The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

วิชาการพยาบาลชุมชนระดับชาติครั้งที่ 14 ปี 2565 “งานพยาบาลชุมชน : ความท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบสุขภาพ” Community nurse : Dare to Change ISBN 978-616-93100-3-7 บรรณาธิการ นางพันนิภา นวลอนันต์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ นางประทุม สุภชัยพานิชพงศ์ นางกมลรัตน์ จูมสีมา ปีที่พิมพ์ 2565 จำนวนหน้า 362 หน้า จำนวนพิมพ์ 200 เล่ม จัดพิมพ์โดย มูลนิธิเครือข่ายพยาบาลชุมชน มูลนิธิดร.วรรณวิไล กองการพยาบาล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชมรมพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป แห่งประเทศไทย ชมรมพยาบาลชุมชนแห่งประเทศไทย ชมรมพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งประเทศไทย สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ เคอาร์พริ้นติ้ง เลขที่ 81 ซอยเลี่ยงเมือง 2 ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลเขมราฐ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี 34170 เจ้าของ มูลนิธิเครือข่ายพยาบาลชุมชน 120 หมู่ที่ 1 ตำบลโคกกรวด อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 30280 โทรศัพท์ 044 395246 โทรสาร 044 395246 ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication data วิชาการพยาบาลชุมชนระดับชาติครั้งที่ 14 ปี 2565 “งานพยาบาลชุมชน : ความท้าทายต่อการ เปลี่ยนแปลงในระบบสุขภาพ” Community nurse : Dare to Change – อุบลราชธานี : มูลนิธิเครือข่าย พยาบาลชุมชน,2565. 362 หน้า. 1.วิชาการพยาบาลชุมชน I.มูลนิธิเครือข่ายพยาบาลชุมชน II.ชื่อเรื่อง ISBN 978-616-93100-3-7


คำนิยม การสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วม เป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างเพื่อนำพัฒนางานร่วมกัน เฉกเช่นพยาบาลชุมชนที่ร่วมตัวกันจนถึงปี พ.ศ.2565 นับเป็น ระยะเวลา 15 ปี ที่เป็นการรวมตัวกันของพยาบาลชุมชน 3 ระดับตามโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง ประกอบด้วย 1)ชมรมพยาบาลชุมชน ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปแห่งประเทศไทย 2)ชมรมพยาบาลชุมชนแห่งประเทศไทย และ 3)ชมรมพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่ง ประเทศไทย นับว่าเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ของพยาบาลชุมชนในการพัฒนางานการพยาบาลชุมชนให้มีคุณภาพ เข้าถึงบริการได้ง่ายสำหรับประชาชนทุกกลุ่มวัยทั้งภาวะสุขภาพดี เสี่ยง หรือป่วย รวมทั้งผู้ป่วยระยะท้ายของ ชีวิต การจัดประชุมวิชาการการพยาบาลชุมชนระดับชาติประจำปี พ.ศ.2565 ครั้งนี้เป็นเวทีวิชาการ พยาบาลชุมชนที่มาแลกเปลี่ยนเรียนซึ่งกันและกันเพื่อนำองค์ความรู้ที่แตกต่างแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนำสู่การปฏิบัติ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ได้เกิดผลลัพธ์ทางการพยาบาลชุมชนที่ดีที่สุด ในนามของกองการพยาบาล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ขอชื่นชมการรวมตัวของ พยาบาล ชุมชน เพื่อพัฒนางานการพยาบาลชุมชนรวมกันอย่างดียิ่ง และเป็นต้นแบบของการรวมตัวกันเป็นชมรมที่ เหนียวแน่น และขอเป็นกำลังใจในการร่วมมือร่วมใจกันพัฒนางานการพยาบาลชุมชนของประเทศไทยให้มี ความรุ่งเรืองพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทั้งในยามปกติหรือยามมีการระบาดของโรคในการสร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับประชาชนชาวไทยได้มีสุขภาพที่ดีและเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนอย่างสง่างาม และยั่งยืนต่อไป ศิริมา ลีละวงศ์ ผู้อำนวยการกองการพยาบาล รักษาการในตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ (ด้านการพยาบาล) ระดับทรงคุณวุฒิ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข


คำนิยม ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปี การ รับมือต่อสถานการณ์การระบาดดังกล่าว เป็นความท้าทายของพยาบาลชุมชน ต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบ สุขภาพ พยาบาลชุมชนต้องใช้ความรู้ แนวคิดทฤษฎีทางการพยาบาล การพยาบาลครอบครัว การพยาบาลเวช ปฏิบัติครอบครัวและชุมชน มาเป็นแนวปฏิบัติ ในการดูแลสุขภาพของประชาชน ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชนให้มีสุขภาวะที่สมบูรณ์ ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนอันเกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ ภาวะการเจ็บป่วยเดิมที่เป็นอยู่ การประชุมวิชาการพยาบาลชุมชนระดับชาติครั้งที่ 14 ปี 2565 ภายใต้หัวข้อ งานพยาบาลชุมชน : (Community nurse : Dare to Change) จึงแสดงให้เห็นถึงความมีศักยภาพและสมรรถนะของพยาบาล ชุมชนในทุกระดับของสถานบริการ ทั้งด้านการบริการพยาบาล ด้านวิชาการ การจัดการความรู้ และการศึกษา วิจัย ขอขอบคุณ ผู้อำนวยการกองการพยาบาล และคณะเจ้าหน้าที่กองการพยาบาล สำนักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขทุกท่าน ที่ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ สนับสนุนให้การจัดการประชุมวิชาการพยาบาล ชุมชนระดับชาติครั้งที่ 14 ปี 2565 ประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง นางสิริพรรณ ธีระกาญจน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ ประธานชมรมพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป แห่งประเทศไทย


คำนิยม การประชุมวิชาการพยาบาลชุมชนระดับชาติครั้งที่ 14 ปี 2565 เป็นการจัดประชุมวิชาการ แบบ on sit ครั้งแรกหลังที่ไม่จัดมาแล้ว 2 ปี เพราะประเทศไทยอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง การแพร่ระบาดของโรค โควิด -19 ในช่วงสถานการณ์โควิด พยาบาลทุกหน่วยต้องปรับตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะจำนวนผู้ป่วยโควิด มีจำนวนมากทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน และการดูแลผู้ป่วยที่บ้านและโรงพยาบาลสนาม ชมรมพยาบาลชุมชน ทั้ง 3 ชมรม คือ ชมรมพยาบาลชุมชน ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ต้องการให้พยาบาลชุมชน แสดงผลงานทำหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ในโรงพยาบาล และทำหน้าที่เชิงรุกในชุมชนทั่วประเทศ ทำหน้าที่คัดกรอง และป้องกันการระบาดของโรคใน ชุมชน หรือสถานกักกันต่างๆ พยาบาลชุมชนที่อยู่ในระบบปฐมภูมิ สามารถรวมพลังเครือข่าย อาสาสมัคร สาธารณสุข ในการป้องกันโรคระบาดในทั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีคุณค่าของวิชาชีพพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชมรม ทั้ง 3 ชมรม เป็นการทำงานในรูปแบบ New normal ใช้ระบบเทคโนโลยีใน การประสานงาน การประชุม แบ่งหน้าที่ในการทำงาน คณะกรรมการและคณะทำงานทุกคณะ มีความเข้มแข็ง มีความรับผิดชอบสูง แสดงให้เห็นถึงความมีศักยภาพและสมรรถนะของการเป็นผู้นำทางการพยาบาล ผู้จัดการ สุขภาพ นักสร้างเสริมสุขภาพ นักบูรณาการเพื่อสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และที่สำคัญความสามารถ ด้านวิชาการ ด้านการจัดการความรู้ ขอขอบคุณ ผู้อำนวยการกองการพยาบาล และคณะเจ้าหน้าที่กองการพยาบาล สำนักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขทุกท่าน ที่ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ สนับสนุนให้การจัดการประชุมวิชาการพยาบาล ชุมชนระดับชาติครั้งที่ 14 ปี 2565 ขอบคุณคณะกรรมการทุกท่านที่มุ่งมั่นในการจัดงานครั้งนี้ ประสบ ผลสำเร็จไปด้วยดี นางบุษบา การกล้า พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ ประธานชมรมพยาบาลชุมชน แห่งประเทศไทย


คำนิยม ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ในช่วงที่มีการระบาดหนักของโรคโคโรน่าไวรัส 2019 หรือ โควิด-19 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะด้าน สุขภาพ มีการระดมสรรพกำลังทุกหน่วยงาน ทุกองค์กรเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายดังกล่าว โดยเฉพาะในหน่วยงาน ด้านการแพทย์ ถือเป็นหน่วยงานด่านหน้าในการดำเนินงานควบคุมและกำจัดโรคโควิด-19 นั่นหมายถึงภาระ อันหนักอึ้ง แรงกดดันต่าง ๆ ย่อมตกอยู่ในความรับผิดชอบ หน้าที่ของพยาบาลในแต่ละระดับ โดยเฉพาะ พยาบาลที่เป็นด้านหน้าและปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคในชุมชน เช่น การค้นหา คัดกรองผู้ป่วยโรคโควิด๑๙ เพื่อรับการรักษาและควบคุมโรค ทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มต่าง ๆ และการจัดตั้ง ดูแล ผู้ป่วยในศูนย์พักคอย โรงพยาบาลสนามในชุมชน ภายใต้ข้อจำกัดทั้งคน ทรัพยากร และอุปกรณ์ที่ขาดแคลน แต่ด้วยศักยภาพและทักษะอันดีของพยาบาลชุมชน ก็ทำให้เราผ่านภาวะวิกฤติดังกล่าวมาได้ พร้อมกับ ประชาชนที่ปลอดภัยและควบคุมโรคได้ในวงจำกัด อย่างไรก็ดีท่ามกลางการระบาดของวิกฤตโรคร้าย เราก็ได้ เห็นอะไรดีเกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเห็นความรัก ความสามัคคีของทีมเจ้าหน้าที่ และประชาชนในชาติซึ่งถือว่า เป็นสิ่งที่เราควรส่งเสริมให้มีกันเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ไม่ว่าเหตุการณ์จะวิกฤตมาก น้อยสักเพียงได้ เราก็สามารถผ่านมันไปได้ เพียงเพราะเรามีความรักและสามัคคีกันของคนในชาติ” และใน การจัดประชุมวิชาการ“งานพยาบาลชุมชน : ความท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบสุขภาพ”Community nurse : Dare to Changeในครั้งนี้ ก็ขอให้เป็นกิจกรรม ๆ ส่วนหนึ่งเพื่อส่งเสริมความรัก ความสามัคคีของ องค์กรพยาบาลโดยเฉพาะพยาบาลชุมชน และอยากเป็นอีกคนหนึ่งที่ส่งต่อและมอบกำลังใจให้กับทุกท่าน ได้มี แรงกาย แรงใจที่เข้มแข็งในการปฏิบัติงานการพยาบาลเพื่อคนในชุมชนและคนไทยต่อไป นายภาคภูมิ สายหยุด ประธานชมรมพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งประเทศไทย


กำหนดการประชุมเชิงปฏิบัติการการพยาบาลชุมชนระดับชาติ ครั้งที่ 14/2565 “งานพยาบาลชุมชน : ความท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบสุขภาพ” Community nurse : Dare to Change ระหว่างวันที่ 9 – 11 สิงหาคม 2565 ณ โรงแรมเฮอริเทจเชียงราย โฮเทล แอนด์คอนเวนชั่น จังหวัดเชียงราย วันที่ 9 สิงหาคม 2565 07.30 – 08.30 น. ลงทะเบียน ชมวีดีทัศน์ “เครือข่ายงานพยาบาลชุมชน” กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม โดย ประธานชมรมพยาบาลชุมชน แห่งประเทศไทย 08.30 – 12.00 น. นำเสนอผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย R2R นวัตกรรม Photo Talk และเรื่องเล่า จำนวน 7 ห้อง 12.00 - 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน 13.00 – 16.30 น. นำเสนอผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย R2R นวัตกรรม Photo Talk และเรื่องเล่า จำนวน 7 ห้อง วันที่ 10 สิงหาคม 2565 08.30 – 12.00น. Growth Mindset อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ 12.00 - 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน 13.00 - 16.30 น. Smart Community Nurse ผศ.(พิเศษ) ดร.นพ.วัชรพล ภูนวล ผู้อำนวยการศูนย์แพทย์ศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ 18.00 – 19.00 น. พิธีเปิด และบรรยายพิเศษ เรื่อง “Next normal ก้าวสู่ชีวิตวิถีถัดไป” โดย ดร. สาธิต ปิตุเดชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข 19.00 – 22.00 น. คืนแห่งเกียรติยศ


วันที่ 11 สิงหาคม 2565 08.30 – 11.00 เกณฑ์ประเมินคุณภาพงานพยาบาลชุมชน อาจารย์โศภิษฐ์ สุวรรณเกศาวงษ์ และทีม กองการพยาบาล 11.00 - 12.00 น. ความท้าทายของระบบสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงกับงานพยาบาลชุมชน อาจารย์ศิริมา ลีละวงศ์กองการพยาบาล 12.00 - 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน 13.00 - 16.30 น. การพัฒนาเครือข่ายพยาบาลชุมชน สู่การพัฒนาสุขภาพประชาชนที่ยั่งยืน โดย ประธานพยาบาลชุมชน รพ.ศ./รพ.ท. แห่งประเทศไทย ประธานพยาบาลชุมชนแห่งประเทศไทย ประธานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พิธีปิด นำเสนอผลงานวิชาการ งานวิจัย นวัตกรรม


ห้องที่ 1 นำเสนอเพื่อความก้าวหน้า วิจัย คณะวิทยากรผู้วิพากย์ ตำแหน่ง ผู้ประสานงาน 1. ผศ.ดร.ภรณี วัฒนสมบูรณ์ อาจารย์พยาบาล 1. พว.เกศสุดาภรณ์ เกียรติอนันต์ 2. นางสิริพรรณ ธีระกาญจน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 2. พว.เพ็ญพรรณ จงจิรวงศา 3. ดร.พิมพ์รัตน์ บุณยะภักดิ์ อาจารย์พยาบาล 3. พว.รัสนา เลิศรุ่งชัยสกุล ห้องที่ 2 นำเสนอเพื่อความก้าวหน้า R2R คณะวิทยากรผู้วิพากย์ ตำแหน่ง ผู้ประสานงาน 1. พว.จรรยาวัฒน์ ทับจันทร์ ข้าราชการบำนาญ 1. พว.อภิยา อุฬมปานนท์ 2. ผศ.ดร.รัชนี มิตกิตติ อาจารย์พยาบาล 2. พว.อรวรรณ สุวิทย์พันธ์ 3. ดร.รสสุคนธ์ แก้วป้องปก พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ 3. พว.ปรีชา มะโนยศ ห้องที่ 3 นำเสนอเพื่อประกวด ประเภท งานวิจัย คณะวิทยากรผู้วิพากย์ ตำแหน่ง ผู้ประสานงาน 1. ดร.พนารัตน์ เจนจบ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 1. พว.กฤษณา สมสะอาด 2. ดร.พฤฒิณี นนท์ตุลา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ 2. พว.วราภรณ์ ศรตะบำ 3. พว.ประทุม สุภชัยพานิชพงศ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 3. พว.วิศรุดา ตีเมืองซ้าย ห้องที่ 4 นำเสนอเพื่อประกวด ประเภท R2R คณะวิทยากรผู้วิพากย์ ตำแหน่ง ผู้ประสานงาน 1. ดร.ธัญญภรณ์ ใจมั่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 1. พว.กัลยา เพียรแก้ว 2. พว.ธัญภา วิภาสหิรัญกร พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 2. พว.อุบล หาญฤทธิ์ 3. พว.เพ็ญศิริ อัตถาวงศ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 3. พว.สายสมร ภัทรจิตรนนท์ ห้องที่ 5 นำเสนอนวัตกรรม (Poster presentation) คณะวิทยากรผู้วิพากย์ ตำแหน่ง ผู้ประสานงาน 1. พว.มลิจันทร์ เกียรติสังวร อาจารย์พยาบาล 1. พว.จันทร์จิรา นันตาเวียง 2. พว.เพ็ญพิศ นุกุลสวัสดิ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 2. พว.สัญญา ปงลังกา 3. พว.สุภาภรณ์ นากลาง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ 3. พว.พิกุล ทองรักษ์


ห้องที่ 6 นำเสนอ ภาพถ่าย (Photo talk) คณะวิทยากรผู้วิพากย์ ตำแหน่ง ผู้ประสานงาน 1. พว.แคทลียา แก้วเสถียร พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 1. พว.กฤษณา พุทธวงค์ 2. นางพันนิภา นวลอนันต์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 2. พว.มาลีจิตร์ ชัยเนตร 3. พว.อมรรัตน์ ลิ่มเฮง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 3. พว.นราวุธ จันทร์เต็ม 4. พว.ประมวน อ้วนเลิง ห้องที่ 7 นำเสนอ เรื่องเล่า คณะวิทยากรผู้วิพากย์ ตำแหน่ง ผู้ประสานงาน 1. พว.ทรรศตวรรณ เดชมาลา ข้าราชการบำนาญ 1. พว.ทักษิณา สิทธิธรรม 2. พว.ศรีทุน ขาวแสง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 2. พว.วันชัย รูปเหลี่ยม 3. พว.วัฒนา สว่างศรี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 3. พว.ฉวีวรรณ อุทโท ห้องที่ 8 นำเสนอผลงาน แววดีมีลุ้น ประเภท R2R คณะวิทยากรผู้วิพากย์ ตำแหน่ง ผู้ประสานงาน 1. ดร.ผาสุข แก้วเจริญตา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ 1. พว.บุญธรรม จ้อยสุดใจ 2. พว.กนกพร ชำนาญเวช พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 2. พว.คนึงนิจ ศรีสอนใจ 3. พว.จิดาภา กระหมุดความ


สารบัญ รหัส ชื่อเรื่อง หน้า ประเภทงาน ประกวดผลงาน ประเภทงานวิจัย (research) ReB 01 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบ แยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) โรงพยาบาลนครปฐม 1 ReB 02 วิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 7 ReB 03 ผลของการใช้สูตรอาหารการลดน ้าหนักแบบจ้ากัดช่วงเวลาการกิน และอาหารจาน สุขภาพ 2 : 1 : 1 ต่อค่าองค์ประกอบร่างกาย 12 ReB 04 การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน 17 ReB 05 การพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด 22 ReB 06 กระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาล ในการดูแลแผลกดทับผู้ป่วยติดเตียงใน ชุมชนของโรงพยาบาลมหาสารคาม 29 ReB 07 การพัฒนารูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชน แบบภาคีเครือข่ายศูนย์สุขภาพชุมชน เมืองบ้านส่องนางใย 34 ReB 08 การศึกษาอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 ของกลุ่มผู้ป่วยที่เข้าระบบการรักษาในชุมชน อ้าเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี 37 ReB 09 ผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ้านาจในผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุ ต่อความเครียด ความรู้ และพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 อ้าเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย 43 ReB 10 ผลของโปรแกรมพัฒนาทุนชีวิตในการป้องกันการตั งครรภ์ในวัยรุ่น อ้าเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี 50 ประเภทงานวิจัย (research) เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพ Re A 01 การพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ป่วยโรคเรื อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลบางไผ่ อ้าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 56 Re A 02 การพัฒนารูปแบบการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย ภายใต้บริบท 2 ศาสน์ 62 Re A 03 รูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วม ของชุมชน ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลเทพ ราช อ้าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา 66 Re A 04 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก้าลังกาย ในองค์กรแพทย์ โรงพยาบาลมหาสารคาม 73


รหัส ชื่อเรื่อง หน้า Re A 05 ผลของรูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด 19 กระตุ้นเข็มที่ 3 ในกลุ่ม 608 ด้วย กระบวนการเสริมแรงจูงใจและการมีส่วนร่วม กรณีศึกษา โรงพยาบาล ไทยเจริญ จังหวัดยโสธร” 77 Re A 06 การพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัคร ในการดูแลผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือด สมองในระยะยาว 82 Re A 07 การรับรู้ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของประชากรวัยท้างานในเขตเทศบาลต้าบลบ้านเหลื่อม อ้าเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา 88 ประเภทงาน: ประกวดผลงาน : Routine to Research R2R B01 ประสิทธิผลของการใช้โปรแกรม Follow Care ในการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องเครือข่าย โรงพยาบาลโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 94 R2R B02 รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทก่อความรุนแรง (SMI-V) โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน 99 R2R B03 ความรู้ความเชื่อ และทัศนคติการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชา เพื่อทางการแพทย์ของพยาบาลวิชาชีพ ในโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี 103 R2R B04 การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล ตามบริบทชุมชนต้าบลเป้า โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนต้าบลเป้า อ้าเภอตระการพืชผลจังหวัดอุบลราชธานี 111 R2R B05 การพัฒนารูปแบบการให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื อไวรัสโคโรนา 2019ของโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต้าบลเกิ ง 117 R2R B06 ผลของกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจ ในภาวะโควิด-19 ในการลดพฤติกรรม การสูบบุหรี่ผู้พักสังเกตอาการโควิด-19 ศูนย์พักสังเกตอาการโควิด-19 อ้าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี 122 R2R B09 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ระดับต้าบล 127 R2R B12 การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ในผู้ป่วยโรคเรื อรัง ศูนย์สุขภาพชุมชนโรงพยาบาลตระการพืชผล อ้าเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี 133


รหัส ชื่อเรื่อง หน้า R2R B16 การประเมินผลโปรแกรม DAVC ในการประเมินผู้ป่วยยืนยันการติดเชื อโควิด-19 เข้าสู่กระบวนการรักษา กรณีศึกษาอ้าเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี 140 R2R B17 ผลของการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วย ตามระดับความฉุกเฉิน ร่วมกับการใช้ Early warning sign งานผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลสว่างวีระวงศ์ 145 R2R B19 การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ส้าหรับผู้ป่วยโควิด-19 แยกกักตัว ที่บ้าน ผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ในพื นที่ชุมชนเมืองเขตรับผิดชอบของหน่วยบริการ ปฐมภูมิเครือข่ายโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี 149 R2R B21 ประสิทธิผลของโปรแกรมการสนับสนุนการเลี ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยแนวคิดการ จัดการตนเองในแม่วัยรุ่น ต่อพฤติกรรมการเลี ยงลูกด้วยนมแม่ 154 R2R B22 ผลของโปรแกรม 3อ 2ส. และพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน ้าตาล ในเลือดของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ต้าบลตาอุด อ้าเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ 159 R2R B24 รูปแบบบริการเจอแจกจบส้าหรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยประยุกต์ใช้แนวคิดแบบลีน โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม 165 ประเภทงาน :research Routine to Research เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพ R2R A01 ประสิทธิผลการพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุ ที่มีภาวะพึ่งพิง(caregiver) อ้าเภอเมือง จังหวัดหนองบ้วล้าภู 169 R2R A 02 สมาธิบ้าบัด(SKT) ลดเครียด ลดยาด้วยนวัตกรรมปฏิทินลดยานอนหลับ 177 R2R A04 ผลของโปรแกรมการเยี่ยมบ้าน โดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณีในการส่งเสริมทักษะ การแก้ไขปัญหารายบุคคล ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เขตอ้าเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 181 R2R A05 ผลการประยุกต์ใช้ทฤษฎีขั นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ต่อการลดน ้าหนัก รอบเอว และค่าดรรชนี มวลกายของผู้มารับบริการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ โรงพยาบาลบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ The Effect of a Trans theoretical Model to loses weight waistline and body mass index of service providers in Chang Behavior Banthaen Hospital Chaiyaphum Province 186 R2R A06 ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค อาหารตามแนวทางของ DASH ร่วมด้วยทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตน ต่อกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง 191 R2R A07 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตัดสินใจฉีดวัคซีนและผลของการสนทนาสร้างแรงจูงใจ ส้าหรับผู้ลังเลต่อการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี 197


รหัส ชื่อเรื่อง หน้า R2R A08 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเอง เพื่อชะลอไตเสื่อม และผลลัพธ์ทางคลินิก ในผู้ป่วยโรคไตเรื อรังระยะที่ 3 202 R2R A09 ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ของคนวัยท้างานที่มีภาวะเสี่ยง โรคไม่ติดต่อเรื อรัง โรงพยาบาลยางตลาด อ้าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 206 R2R A10 รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 210 R2R A11 การศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการป้องกันและควบคุมโรค ติดเชื อไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานศึกษา : กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม 214 R2R A12 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตจากการเสพแอมเฟตามีน 219 R2R A13 การพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง : กรณีศึกษา 225 R2R A14 การพยาบาลผู้เสพติดเมทแอมเฟตามีนที่มีอาการทางจิตร่วม 230 ประเภทงาน research Routine to Research แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (แววดี) R2R B08 การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วม ในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ภายใต้การ ขับเคลื่อนระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับอ้าเภอ (พชอ.) ในเขตโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต้าบลบ้านกรูดต้าบลตูมใหญ่ อ้าเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 235 R2R B11 พัฒนารูปแบบศูนย์เรียนรู้การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ 239 R2R B14 ความเครียดในการท้างานและการจัดการความเครียด ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต้าบล อ้าเภอเดชอุดม ในสถานการณ์ระบาดของโควิด 19 242 R2R B18 การถอดบทเรียน : กระบวนการการใช้ โปรแกรม 3S ส่งเสริมการตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูกในยุคโควิด-19ของโรงพยาบาลพรหมคีรีจังหวัดนครศรีธรรมราช 248 R2R B23 การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation แบบ“HI ปลอดภัย ใส่ใจ ดูแล”โดยอาศัยกระบวนการพยาบาล ผสานความร่วมมือภาคีเครือข่ายสุขภาพ ตามบริบทชุมชนต้าบลเป้า 252 R2R B25 การพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกด้วยกระบวนการมี ส่วนร่วมของชุมชน ปี 2562-2565 ต้าบลทุ่งช้าง อ้าเภอทุ่งช้างจังหวัดน่าน 258 ประเภทงาน : ประกวดผลงาน Innovation Ino 02 นวัตกรรมกล่องฉับไว ทันใจ ห่างไกล COVID-19 โรคไม่ติดต่อเรื อรังวิถีใหม่ 264 Ino 03 แผนที่ดูแลใจผู้สูงวัยที่มีภาวะพึ่งพิง ต้าบลเขมราฐ 268 Ino 04 กล่องยาฝัง Delivery อ้าเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี 272 Ino 05 กดแช่ สมุนไพรบ้านๆ ช่วยต้านภาวะแทรกซ้อนทางเท้าจากโรคเบาหวาน กรณีศึกษา ต้าบลหนองหมี อ้าเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร 275


รหัส ชื่อเรื่อง หน้า Ino 06 เป้สารพัดประโยชน์ส้าหรับการจัดการรายกรณีดูแลผู้สูงอายุ 278 Ino 07 สมุดและบัตรนัดสุขภาพลูกรัก 285 Ino 08 นวัตกรรมป้องกันโควิด-19 กล่องพูดได้อัตโนมัติระบบเซนเซอร์ 288 Ino 09 การพัฒนารูปแบบการดูแลบ้าบัดฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติด โดยชุมชนมีส่วนร่วม (Community based Treatment and Care : CBTx) อ้าเภอเมืองเพชรบูรณ์ ปี 2565 292 Ino 10 0 บาท เพื่อพัฒนางานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็ก 0-5 ปี 295 Ino 11 การประเมินระบบเฝ้าระวังผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีภาวะไตวายระยะเริ่มต้น (ระยะ 3) โรงพยาบาลราชบุรี 298 Ino 12 การพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยโควิด-19 โดยการแยกกักตัวที่บ้าน แบบ Home Isolation 302 Ino 13 community Nursing Round in Palliative care Home ward 306 Ino 14 การพัฒนาระบบการจัดบริการสนามฉีดวัคซีน โรงพยาบาลสงขลา (สนามติณฯ) 314 Ino 15 การพัฒนาระบบการบริหารจัดการระบบการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับการกักตัว ที่บ้าน (Home Isolation ) เครือข่ายโรงพยาบาลสงขลา 319 Ino 16 ผ้าอ้อมซักได้ของกุลนรีใส่สบาย แห้งง่าย ไม่เกิดผื่น ประหยัดเงิน 323 Ino 17 พัฒนาระบบการวางแผนจ้าหน่ายผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง วิถีใหม่ โดยใช้หลัก D-METHOD 327 Ino 18 Admission Covid Entry แสกนก่อนแล้วนอนรอ 331 Ino 19 การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในชุมชน อ้าเภอพาน 337 Ino 20 รับยาทันใจ หายไวโควิด 340 Ino 21 Community Hygge 343


1 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแล แบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) โรงพยาบาลนครปฐม เตือนใจ เทียนทอง , สุธาทิพย์ รุ่งเรืองอนันต์ กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน รพ.นครปฐม บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง (Cross-sectional study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ระดับความพึงพอใจ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบ แยกกักตัวที่บ้าน โรงพยาบาลนครปฐม จ าแนกตามปัจจัยน าเข้า กระบวนการด าเนินงาน และผลลัพธ์การ ด าเนินงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน โรงพยาบาลนครปฐม จ านวน 424 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดย ประยุกต์ใช้ทฤษฎีระบบ (System Theory) เก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 12 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 ถึงวันที่ 31 เดือนมีนาคม พ.ศ.2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบไคสแคว์ (Chi –square) ผลการศึกษา พบว่า 1. ผู้ป่วยมีความพึงพอใจโดยรวมต่อการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งด้าน ปัจจัยน าเข้า กระบวนการด าเนินงาน และผลลัพธ์การด าเนินงาน หากจ าแนกเป็นรายด้าน พบประเด็นที่มี ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด ด้านปัจจัยน าเข้า ได้แก่ พยาบาลเจ้าของไข้ให้การดูแลด้วยความเอาใจใส่ เต็มใจ ให้บริการ ( X = 4.83, S.D. = 0.48) ด้านกระบวนการด าเนินงาน ได้แก่ มีการวัดไข้ วัดออกซิเจนปลายนิ้ว และรายงานอาการประจ าวัน ทางกูเกิลลิ้งค์ (Google link) ทุกวัน ( X = 4.82, S.D. = 0.47) ด้านผลลัพธ์การ ด าเนินงาน ได้แก่ การดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อเพิ่มที่โรงพยาบาล ( X = 4.78, S.D. = 0.56) 2. ระดับการศึกษา และ ระยะเวลาที่ได้รับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน มีความสัมพันธ์กับ ระดับความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p-value < 0.01 บทน า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยที่ขยายเป็นวงกว้าง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 ท าให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยเข้ารักษาได้ ท าให้ผู้ติดเชื้อต้อง รอเตียงนาน ส่งผลให้อาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ปรับแนวทางการรักษาโดยน า ระบบการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation มาใช้ดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาได้เร็วขึ้น ลดจ านวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งกรมการแพทย์น าร่องให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวของโรงพยาบาลราชวิถี 18 ราย ดูแลตัวเองที่บ้าน ซึ่งจากการ ติดตามผล พบว่า มี 16 ราย หายดี ไม่มีอาการรุนแรง (โรงพยาบาลราชวิถี, 2564) ในขณะเดียวกันช่วงเดือน


2 มิถุนายน-เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 จังหวัดนครปฐมพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มาก 1 ใน 10 ของประเทศไทย (ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค, 2564) โรงพยาบาลนครปฐมประสบปัญหาเตียงเต็ม ไม่สามารถ รองรับการดูแลผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการรุนแรงได้ ทางโรงพยาบาลจึงน าแนวคิดเรื่อง Home Isolation มาใช้ดูแล ผู้ป่วยโควิด-19 โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีระบบ (System Theory) มาจัดบริการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปัจจัยน าเข้า (Input) เตรียมคน อุปกรณ์ ยาและอาหาร ที่ต้องใช้ในกระบวนการท างาน (Process) เพื่อให้งานนั้นเกิดผลผลิต/ผลลัพธ์ (Output & Outcome) บรรลุตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผล ให้ผู้ป่วยปลอดภัย และเกิดความพึงพอใจ ซึ่งสอดคล้องกับผลการจัดบริการ Home Isolation ของหน่วยงาน ในสังกัดกรมการแพทย์(2565) ที่พบว่า ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในระดับดี-ดีมาก (ร้อยละ85) โดยกระบวนการที่ ได้รับความพึงพอใจมากที่สุด คือ การประสานงานและการติดตามอาการ ด้วยเหตุนี้ กลุ่มงานการพยาบาล ชุมชน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการด าเนินงาน Home Isolation จึงสนใจที่จะท าการศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) โรงพยาบาลนครปฐม” วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) โรงพยาบาลนครปฐม จ าแนกตามปัจจัยน าเข้า กระบวนการด าเนินงาน และผลลัพธ์การด าเนินงาน วิธีการศึกษา การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง (Cross-sectional study) ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบ Home Isolation โรงพยาบาลนครปฐม ระหว่างวันที่ 12 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 ถึง วันที่ 31 เดือนมีนาคม พ.ศ.2565 จ านวน 14,080 คน การก าหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ Simple Random Sampling ได้กลุ่มตัวอย่างจริง 424 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยประยุกต์ใช้แนวคิด ของทฤษฎีระบบ (System Theory) เป็นแบบส ารวจรายการ จ านวน 22 ข้อ ที่ผ่านการหาคุณภาพของ เครื่องมือ ทั้งความเที่ยงตรงตามเนื้อหา และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) = 0.946 การเก็บรวบรวมข้อมูล ส่งแบบสอบถามความพึงพอใจให้แก่กลุ่มตัวอย่าง ผ่านระบบ Google form โดยใช้เวลาในการเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 12 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 ถึง วันที่ 31 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 รวม 8 เดือน การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ,ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ Chi-square


3 การพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่าง ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาการศึกษาวิจัยใน คนโรงพยาบาลนครปฐม เลขที่ NPH-REC No. 047/2021 ลงวันที่ 11 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 ผลการศึกษา 1. ข้อมูลทั่วไป พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 68.16 อายุเฉลี่ย 34.11 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรีมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 25.94 รองลงมา คือ อนุปริญญา/ประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) คิดเป็นร้อยละ 24.29 มีอาชีพรับจ้างมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.50 รองลงมา คือ ไม่ได้ ประกอบอาชีพ ร้อยละ 25.00 รายได้ของครอบครัวเฉลี่ยเท่ากับ 5,001 – 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 27.12 รองลงมา คือ มีรายได้เฉลี่ย มากกว่า 20,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 24.53 ส่วนใหญ่ใช้เวลาในการดูแลรักษา 11-14 วัน คิดเป็นร้อยละ 88.92 นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อย คิดเป็นร้อยละ 43.63 และปอดอักเสบ คิดเป็นร้อยละ 7.78 2. ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจ พบว่า ในภาพรวมผู้ป่วยมีความพึงพอใจระดับมากที่สุดทุก ด้าน โดยมีความพึงพอใจในด้านผลผลิตและผลลัพธ์การด าเนินงานมากที่สุด ( X = 4.71, S.D. = 0.54) ด้านปัจจัยน าเข้า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด คือ พยาบาลเจ้าของไข้ดูแลด้วยความเอาใจใส่ ( X = 4.83, S.D. = 0.48) ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่ าที่สุด คือ คุณภาพการใช้งานของชุดอุปกรณ์การดูแล สุขภาพ ( X = 4.39, S.D. = 0.96) ด้านกระบวนการด าเนินงาน ข้อที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด คือ มีการวัดไข้ วัดออกซิเจนปลายนิ้ว และรายงานอาการประจ าวันทางกูเกิลลิ้งค์ทุกวัน ( X = 4.82, S.D. = 0.47) ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่ าที่สุด คือ การจัดเก็บขยะติดเชื้อของเทศบาล/อบต. ( X = 3.92, S.D. = 1.34) ด้านผลลัพธ์การด าเนินงาน ข้อที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด คือ การดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านช่วยลด ความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อเพิ่มที่โรงพยาบาล ( X = 4.78, S.D. = 0.56) ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่ าที่สุด คือ การดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านช่วยให้ท่านได้รับการรักษาพยาบาลที่เร็วขึ้น ( X = 4.60, S.D. = 0.77) ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคลกับระดับความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบ Home Isolation ในภาพรวม ตัวแปรข้อมูลส่วนบุคคล ระดับความพึงพอใจในภาพรวม ค่าสถิติ chi-square df. p-value 1. อายุ 17.587 8 0.025 2. ระดับการศึกษา 24.502 10 0.006* 3. รายได้ของครอบครัว 3.709 8 0.882 4. ระยะเวลาที่ได้รับการดูแล 20.892 4 0.000* *p-value < 0.05


4 จากตาราง พบว่า ระดับการศึกษา และ ระยะเวลาที่ได้รับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านมี ความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบ Home Isolation อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p-value < 0.01 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ สามารถเป็นแนวทางการบริหารจัดการการดูแลผู้ป่วยในชุมชน หากเกิดการ ระบาด (Pandemic) ของโรคอุบัติใหม่ได ้ อภิปราย สรุป ข้อเสนอแนะ 1. ผู้ป่วยมีความพึงพอใจโดยรวมต่อการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านอยู่ในระดับมากที่สุดทั้งด้านปัจจัย น าเข้า กระบวนการด าเนินงาน และผลลัพธ์การด าเนินงาน หากจ าแนกเป็นรายด้าน พบว่า 1.1 ด้านปัจจัยน าเข้า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด คือ พยาบาลเจ้าของไข้ให้การดูแล ด้วยความเอาใจใส่ทั้งนี้อาจเนื่องจาก โรงพยาบาลนครปฐม จัดการดูแลในรูปแบบพยาบาลเจ้าของไข้ ประเมิน อาการ Tele-nursing รวมทั้งประสานส่งต่อผู้ป่วย โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับการดูแลเป็นเวลา 11-14 วัน จ านวนมากที่สุด (ร้อยละ 88.92) ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงพอในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ให้กับผู้รับการ ดูแล ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีการดูแลของวัตสัน ที่เน้นการดูแลที่อาศัยการสร้างสัมพันธภาพ ผู้ป่วยจึงยอมรับและ ปฏิบัติตามค าแนะน า (ส านักการพยาบาล, 2556) ซึ่งสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของผู้ป่วยที่ว่า “พยาบาลที่ดูแล ผมมีความเอาใจใส่ ให้ค าแนะน าที่ดี” ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่ าที่สุด คือ คุณภาพการใช้งานของ อุปกรณ์การดูแลสุขภาพ อาจเนื่องจากในช่วงที่ท าวิจัย จ.นครปฐม มีผู้ป่วยโควิดรายใหม่มากถึง 500 ราย/วัน ส่งผลให้การจัดหาอุปกรณ์เกิดความล่าช้า รวมทั้งมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งแจ้งว่า เครื่องใช้งานไม่ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ ผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่ ากว่าข้ออื่นๆ 1.2 ด้านกระบวนการด าเนินงาน ข้อที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด คือ มีการวัดไข้วัด ออกซิเจนปลายนิ้วและรายงานอาการประจ าวัน ทางกูเกิลลิ้งค์ทุกวัน ซึ่งพยาบาลเจ้าของไข้จะแจ้งให้ทราบถึง ความส าคัญของการวัดไข้และออกซิเจน มีระบบเตือนทางไลน์ ผู้ป่วยจึงปฏิบัติตามค าแนะน า การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศในการพยาบาล สร้าง Health literacy ท าให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ถูกต้อง ส่วนข้อที่มี ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่ าที่สุด คือ การจัดเก็บขยะติดเชื้อ ถึงแม้ว่าการก าจัดขยะติดเชื้อจะเป็นหน้าที่ของ เทศบาล/อบต. แต่จากการแพร่ระบาดของโควิด ท าให้มีขยะติดเชื้อเพิ่มขึ้น ทุกภาคส่วนจึงร่วมกันแก้ไข จนทุก ต าบลสามารถจัดการมูลฝอยได้อย่างเป็นระบบ โดยแต่ละต าบลใช้ระยะเวลาจัดการแตกต่างกัน อาจเป็นเหตุ ให้ผู้ป่วยมีความพึงพอใจข้อนี้ต่ ากว่าข้ออื่น 1.3 ด้านผลลัพธ์การด าเนินงาน ประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด คือ การดูแลแบบ แยกกักตัวที่บ้านช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อเพิ่มที่โรงพยาบาล ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์ระบาด โควิด-19 ส่งผลให้เตียงในโรงพยาบาลเต็ม ผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย มักจะไม่ต้องการ admit แต่


5 ต้องการเข้ารับบริการแบบ Home Isolation จากการสอบถามผู้ป่วยให้ข้อมูลว่า “ไม่ต้องการรับเชื้อเพิ่มเติม” “โรงพยาบาลสนามคนเยอะ กลัวอาการจะเป็นมากขึ้น” 2. ระดับการศึกษา และ ระยะเวลาที่ได้รับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน มีความสัมพันธ์กับระดับ ความพึงพอใจของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) อย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ p-value <0.01 2.1 ระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจในภาพรวมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ p-value = 0.006 ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Mariantonietta Pisaturo, et.al., (2564) โดยผู้มี ระดับการศึกษาสูงมีความพึงพอใจในการใช้บริการมากกว่าผู้มีระดับการศึกษาต่ ากว่าปริญญาตรี(วณัฐฐา เสวก วิหาร, 2560) จากผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จบการศึกษาตั้งแต่อนุปริญญา/ปวส.ขึ้นไป มีจ านวนมากที่สุด (ร้อยละ 59.99) ซึ่งการจัดบริการ Home Isolation จะตอบสนองต่อความต้องการของ ผู้ป่วย ดังข้อคิดเห็นของผู้ป่วยที่ว่า “พยาบาลดูแลเราเป็นอย่างดี” “ขอบคุณที่ช่วยดูแล ระบบดีมากๆ” ซึ่งสิ่ง เหล่านี้ย่อมสะท้อนถึงความพึงพอใจที่ผู้ป่วยได้รับ 2.2 ระยะเวลาที่ได้รับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน มีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจใน ภาพรวมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p-value = 0.000 จากการศึกษาครั้งนี้ พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับ การดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน 11-14 วัน (ร้อยละ 88.92) แสดงให้เห็นว่า หลังผู้ป่วยตรวจยืนยันว่าเป็น โควิด-19 แล้ว สามารถเข้ารับการดูแลแบบ Home Isolation ได้เร็ว ภายใน 1-3วันเท่านั้น ประกอบกับผู้ป่วย ส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อย (ร้อยละ 43.63) โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆจึงพบน้อย อาจส่งผลให้ ผู้ป่วยเกิดความพึงพอใจ ข้อเสนอแนะ 1. การจัดบริการ Home Isolation ในรูปแบบพยาบาลเจ้าของไข้มีการประเมินอาการให้ค าปรึกษา เฝ้าระวังอาการ ผ่าน Tele-nursing รวมทั้งประสานการส่งต่อผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล เมื่อมีอาการรุนแรง ซึ่งการจัดบริการนี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการประเมินปัญหาและดูแลตรงตามความต้องการที่แท้จริง ซึ่งสามารถขยายผลในการดูแลผู้ป่วยเมื่อมีการระบาดของโรคอุบัติใหม่อื่นๆต่อไป 2. Home Isolation ที่ผู้ป่วยและญาติสามารถดูแลตนเองได้ โดยใช้อุปกรณ์การแพทย์พื้นฐาน และ มีทีมแพทย์ พยาบาลให้การดูแลผ่าน Digital solution เช่น Line application Tele-nursing ท าให้เกิดการ รักษาพยาบาลรูปแบบใหม่ สามารถน าระบบนี้มาต่อยอดการดูแลผู้ป่วยโรคอุบัติใหม่อื่นๆเมื่อมีการระบาด รวมทั้งผู้ป่วยโรคเรื้อรัง/ผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน 3. ควรจัดระบบการรับผู้ป่วยยืนยันว่าเป็นโควิด-19 เข้ารับการดูแลรักษา ภายใน 1-3 วัน จะท าให้ ผู้ป่วยได้รับการประเมินอาการและเข้าสู่การดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว 4. ควรจัดท าสื่อประกอบการใช้อุปกรณ์การดูแลสุขภาพ (ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว) เช่น VDO , Infographic ฯลฯ สอนและจัดส่งให้ผู้ป่วยรับใหม่ทุกราย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้อุปกรณ์ได้อย่าง ถูกต้อง ซึ่งจะมีผลต่อความแม่นย าของข้อมูลที่จะน าใช้ในการประเมินอาการผู้ป่วย


6 5. ควรมีการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในแต่ละชุมชนอย่างระบบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ รวมทั้งเทศบาล,อบต. มีการเตรียมความพร้อมในพื้นที่ทั้งเรื่องวางแผนงบประมาณ องค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติงาน ในพื้นที่ เพื่อรองรับหากมีการระบาดของโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้น เอกสารอ้างอิง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. การจัดบริการ Home Isolation กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข. [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 5 มี.ค. 2565]. เข้าถึงได้จาก https://covid19.dms.go.th/backend/Content/Content_File/Covid_Health /Attach/HomeIso.pdf กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติด เชื้อในโรงพยาบาล กรณีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส าหรับแพทย์และบุคลากร สาธารณสุข ฉบับปรับปรุงวันที่ 4 สิงหาคม 2564. [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 1 มี.ค. 2565]. เข้าถึงได้ จาก https://covid19.dms.go.th/backend/Content/Content_File/Covid_Health/ โรงพยาบาลราชวิถี. รายงานผลการน าร่องระบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ของผู้ติดโควิด19. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลราชวิถี; 2564. วณัฐฐา เสวกวิหาร. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการใช้บริการโรงพยาบาลรามาธิบดี. ปริญญา นิพนธ์ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; 2560. ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค. รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019. นนทบุรี: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2564.ส านักการพยาบาล. การพยาบาลผู้ป่วยที่บ้าน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2556. Mariantonietta Pisaturo, et.al. Clinical Features of Patients with Home Isolation SarsCov-2 Infection: A Multicenter Retrospective Study in Southern Italy. PubMed [Internet]. 2021 [cited 2022 March 5]. 11(4), 347. Available from : https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/33923857


7 วิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เอกชัย ภูผาใจ, วราภรณ์ พงภักดิ์ขวัญ,ปราณี ภูไกรลาศ จิราภรณ์ ภูโอบ . และอภินันท์ พลเตชะ โรงพยาบาลยางตลาด อ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการสื่อสาร ข่าวสารเรื่องสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ในพื้นที่ อ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้น ารูปแบบการ ประเมิน การตอบสนองและการประเมินผลอย่างรวดเร็ว (Rapid Assessment, Response, and Evaluation: RARE) มาใช้เป็นกรอบกระบวนการ ผู้ร่วมวิจัย ประกอบด้วย ผู้วิจัยหลัก ผู้ร่วมวิจัย ทีมวิจัย ภาคสนามและคณะท างานในชุมชน คณะท างานในชุมชน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วย กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ในชุมชน ได้แก่ ประชาชนทั่วไป ครูและนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มผู้น าชุมชน ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้แทนสมาชิกเทศบาลและองค์การบริหารส่วนต าบล ประธาน อสม. และ อสม. กลุ่มผู้ให้บริการ ได้แก่ บุคลากรสาธารณสุขในสังกัดโรงพยาบาลยางตลาด สาธารณสุขอ าเภอยางตลาด และองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ใช้วิธีการเก็บข้อมูลหลากหลายวิธี และจากผู้ให้ข้อมูลหลักหลายกลุ่ม เพื่อเป็นการตรวจสอบ ยืนยันความถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้มา ได้แก่ การส ารวจ การสัมภาษณ์เชิงลึก การระดม ความคิดเห็น เพื่อให้ได้ข้อมูลในเรื่อง ปัจจัยเสี่ยงต่อการสื่อสารข่าวสารสุขภาพ ความรอบรู้เรื่องสุขภาพ และ กิจกรรมการป้องกันข่าวปลอม และกิจกรรมการสื่อสารข่าวสารสุขภาพในพื้นที่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบส ารวจ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แนวทางการระดมความคิดเห็น แนวทางการสังเกต แบบประเมินความรู้ ก่อนและหลังการอบรม และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม อบรมความรู้การสื่อสารข่าวสาร เรื่องสุขภาพ และข่าวปลอม วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ สถิติทดสอบ Dependent t-test ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้ ของข้อมูล โดยการตรวจสอบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่าคะแนนความรู้เรื่องวิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของ ชุมชน ของผู้เข้าอบรมก่อนการอบรมเพิ่มขึ้นหลังการอบรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลของ ระดับความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรม หลังการอบรมส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีและดีมาก ได้แนวทางการ สื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่เหมาะกับบริบทสามารถน าใช้ได้จริงในชุมชน และประชาชนในชุมชนถูกหลอกให้หลงเชื่อข่าวปลอมน้อยลง บทน า การสื่อสารสุขภาพไม่ใช่การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาโรคเพียงอย่างเดียว แต่เป็น การส่งเสริมสุขภาพตั้งแต่การป้องกัน การสร้าง และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตอย่าง


8 เป็นสุข จนถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยค านึงถึงการน าข้อมูลหรือสารด้านสุขภาพที่น่าสนใจผ่านสื่อต่าง ๆ จากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารให้น าไปใช้ประโยชน์ในชีวิติประจ าวันเพื่อก่อให้เกิดสุขภาพหรือสุขภาวะที่ดีจากการ ด าเนินงานที่ผ่านมาในเรื่องการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพของอ าเภอยางตลาด พบว่า วิธีการสื่อสารข่าวสาร เรื่องสุขภาพ เป็นการด าเนินงานตาม มาตรฐานระบบงานสุขศึกษาของระดับประเทศ ได้แก่ 1) การมีข้อมูล พฤติกรรมสุขภาพ หรือ ข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพ 2) การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง หรือสาเหตุที่ส่งผลต่อพฤติกรรม สุขภาพ 3) การมีแผนงาน หรือ โปรแกรมด้านสุขศึกษา 4) การออกแบบกิจกรรมแก้ปัญหา และปรับเปลี่ยน พฤติกรรม 5) การประเมินผลการด าเนินงาน 6) การเยี่ยมเสริมพลัง 7) การสร้างเครือข่ายการด าเนินงาน 8) การเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบด้านข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, 2563) จะเห็นได้ว่า วิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพ ยังไม่มีแนวทางหรือรูปแบบการด าเนินงานที่ชัดเจน ในระดับพื้นที่ ยังไม่เกิดเครือข่ายการด าเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม มีการท างานแบบแยกส่วน แยกองค์กร ต่างคนต่างท า ไม่สามารถรู้เท่าทันสื่อ หรือข่าวปลอม ที่อาจส่งต่อสุขภาพของประชาชนทุกกลุ่มวัย ท าให้ ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ผิดพลาด จนอาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย และจิตใจ จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัย รูปแบบแนวคิด การประเมิน การตอบสนอง และการ ประเมินผลอย่างรวดเร็ว (Rapid Assessment, Response, and Evaluation: RARE) พบว่าเป็นรูปแบบหนึ่ง ที่จะสามารถน ามาใช้ในการพัฒนาวิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนได้ คือ จะสามารถประเมินสภาพปัญหาของบริบทพื้นที่ บุคคลกลุ่มเสี่ยง สิ่งแวดล้อมที่เสี่ยง วิธีการด าเนินงานตาม บริบทของพื้นที่ สามารถปฏิบัติได้จริง โดยที่คนในชุมชนมีส่วนในการร่วมคิด ร่วมท า ตลอดการด าเนินงาน ซึ่งจะมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง มีวิธีการเก็บข้อมูลที่หลายวิธี จากกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ซึ่งข้อมูลที่ ได้จะเกิดความน่าเชื่อถือสูง (นิดเดิลและคณะ, 2549) จากการศึกษาพบว่ารูปแบบนี้มีน ามาใช้ในการศึกษา สถานการณ์ บุคคลกลุ่มเสี่ยง กิจกรรมการช่วยเหลือโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เช่นการป้องกันและควบคุม โรคเอดส์ในชุมชน (สุพิชญา พลเคน, 2551) การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มเสี่ยง (เอกชัย ภูผา ใจ และลัฆวี ปิยะบัณฑิตกุล, 2556) และวิธีการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน (ปิยณัฐ ค้ามีผล, 2551) จะเห็นได้ว่า RARE มีการน ามาใช้ในด้านสาธารณสุขหลายเรื่อง ทั้งโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน และโรคติดเชื้อ เช่น โรคเอดส์ ซึ่งคนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการคิด และปฏิบัติ ถ้ามีการพัฒนาวิธีการสื่อสาร ข่าวสารเรื่องสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยการน า RARE มาใช้เป็นกรอบกระบวนการในการ ด าเนินงานน่าจะได้ผล ทั้งการประเมินสภาพปัญหา บริบท กลุ่มเสี่ยง และกิจกรรมการด าเนินการโดยชุมชนมี ส่วนร่วมคิด ร่วมท า ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงเสร็จสิ้นโครงการ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์การสื่อสารข่าวสารด้านสุขภาพในพื้นที่ 2. เพื่อพัฒนาวิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพในพื้นที่ 3. เพื่อประเมินผลการปฏิบัติตามวิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพในพื้นที่


9 วิธีการศึกษา 1. การศึกษานี้เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) โดยใช้รูปแบบ RARE เป็นรูปแบบในการ ด าเนินงาน เพื่อพัฒนาวิธีการสื่อสารเรื่องสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ในพื้นที่ อ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่างวันที่ 1 เดือนตุลาคม พ.ศ.2563 ถึงวันที่ 15 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 2. ผู้ร่วมวิจัย ประกอบด้วย ผู้วิจัยหลัก ผู้ร่วมวิจัย ทีมวิจัยภาคสนามและคณะท างานในชุมชน 3. กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก เป็นกลุ่มบุคคลที่สามารถให้ข้อมูลในเรื่อง บุคคลกลุ่มเสี่ยง สถานที่หรือ สิ่งแวดล้อมที่เสี่ยง ข่าวสารที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ กิจกรรมการสื่อสารข่าวสารสุขภาพที่เคยด าเนินการและ ต้องการท าในพื้นที่ ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในชุมชน ได้แก่ ประชาชนทั่วไป ครูและ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) กลุ่มผู้น าชุมชน ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้แทนสมาชิกเทศบาลและองค์การ บริหารส่วนต าบล ประธาน อสม. และ อสม. 3) กลุ่มผู้ให้บริการ ได้แก่ บุคลากรสาธารณสุขในสังกัด โรงพยาบาลยางตลาด สาธารณสุขอ าเภอยางตลาด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบส ารวจ ใช้สอบถามกลุ่มประชาชนในชุมชน ข้อมูลส่วนบุคคล ในประเด็น ข้อมูลทั่วไป และพฤติกรรมสุขภาพ และข้อมูลเกี่ยวกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ และกิจกรรมในการสื่อสารข่าวสารสุขภาพ 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 3) แนวทางการระดมความคิดเห็น 4) แบบประเมินความรู้ก่อนและหลังการอบรม ประเมินความรู้ความเข้าใจ การสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพ และ ข่าวปลอม 5) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม และข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 1) ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์คุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่ม และ ผลระดับความพึงพอใจต่อการอบรม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2) วิเคราะห์ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับความรู้ของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สถิติทดสอบ Dependent t-test และ 3) ข้อมูลเชิง คุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) น าข้อมูลมาจัดหมวดหมู่และวิเคราะห์ตามประเด็นที่ ได้มา ขั้นตอนการศึกษา 1. ระยะเตรียมการ เป็นการด าเนินการในส่วนของการสร้างทีมงาน เพื่อให้มีความเข้าใจในวิธีการ ท างาน ร่วมวางแผนในการด าเนินกิจกรรม ประกอบไปด้วยขั้นตอน คือ เตรียมผู้วิจัยหลัก เตรียมทีมวิจัย ภาคสนาม เตรียมคณะท างานในชุมชน และเตรียมกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก พร้อมมีเหตุผลในการคัดเลือก 2. ระยะด าเนินการ แบ่งการด าเนินการเป็น 3 ระยะ ตามรูปแบบการประเมิน การตอบสนองและ การประเมินผลอย่างรวดเร็ว 1) การประเมินอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้รู้จักบริบทชุมชน ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้ เรื่องการสื่อสารข่าวสารสุขภาพ กิจกรรมด้านสุขภาพที่เคยด าเนินการ และกิจกรรมที่ต้องการด าเนินการ เพื่อ น าข้อมูลมาวางแผนกิจกรรมหรือแนวทางการสื่อสารข่าวสารสุขภาพในพื้นที่ 2) การตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นการด าเนินกิจกรรมโดยการปฏิบัติตามกิจกรรมที่ได้ออกแบบ 3) การประเมินผลอย่างรวดเร็ว เป็นการ ประเมินผลการด าเนินงานตามกิจกรรมการสื่อสารข่าวสารสุขภาพที่พัฒนาขึ้น ผู้วิจัยหลัก และทีมวิจัย


10 ภาคสนาม ประเมินผลการด าเนินงาน และหลังการด าเนินงาน และน าเสนอการประเมินผลต่อคณะท างานใน ชุมชนและส่งต่อกิจกรรมที่จะท าต่อเนื่องให้กับชุมชนกับกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้อง การพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยด าเนินการวิจัยโดยยึดหลักความเคารพในบุคคล คือ การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคน หลักผลประโยชน์หรือไม่ก่ออันตราย และหลักยุติธรรม คือ การให้ความ เสมอภาคกับผู้ร่วมในการวิจัยทุกคน ซึ่งมีการด าเนินการโดยเสนอโครงร่างการวิจัยต่อคณะกรรมการจริยธรรม การวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลยางตลาด เพื่อพิจารณารับรองก่อนด าเนินการ เลขที่ 002/ 2564 ลงวันที่ 13 เดือนมกราคมพ.ศ. 2564 ผลการศึกษา สถานการณ์การสื่อสารข่าวสารด้านสุขภาพในพื้นที่ 1) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลจ านวน 500 คน ส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง มีอายุอยู่ในช่วงตั้งแต่ 45-59 ปี และเป็นผู้สูงอายุ อายุเฉลี่ย 52.1 ปี ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาอยู่ใน ชั้นมัธยมศึกษาและประถมศึกษาตอนต้น ประกอบอาชีพเกษตรกร รายได้เฉลี่ยต่อเดือนน้อยกว่า 5,000 บาท 2) สถิติการเกิดปัญหาข่าวปลอมด้านสุขภาพในพื้นที่ สถิติการเกิดปัญหาข่าวปลอมในพื้นที่อ าเภอยางตลาด ได้แก่ การรับรู้ข่าวจากสื่อโซเชียลมีเดีย การโฆษณาชวนเชื่อ ข่าวคนติดโรคโควิด ยารักษาโรคครอบจักรวาล ครีมหน้าขาว ครีมบ ารุงผิว อาหารเสริมบ ารุงสุขภาพ ยาลดน้ าหนัก ยาแก้ปวด ยาสมุนไพร และเครื่องส าอาง 3) กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการสื่อสารข่าวสารสุขภาพ กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการรับรู้ข่าวปลอมด้านสุขภาพ ได้แก่ ผู้สูงอายุ อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน แม่บ้าน ผู้ติดยา เสพยาเสพติด แม่บ้าน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไตวายเรื้อรัง และกลุ่มคนที่จับกลุ่ม รวมกลุ่มกัน เช่น กลุ่มเล่นการพนัน กลุ่มสภาชา กาแฟ 4) สถานที่ หรือสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการรับรู้ข่าวสารสุขภาพ สถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่ เสี่ยงต่อการรับรู้ข่าวปลอมด้านสุขภาพ ได้แก่ สถานที่รวมกลุ่มกันของคนในชุมชน เช่น ศาลากลางบ้าน ร้านกาแฟ ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม ตลาดนัด บ่อนพนัน วัด และโรงเรียน 5) ช่องทางการรับสื่อสารข่าวสาร ด้านสุขภาพต่าง ๆ และช่องทางการสื่อสารของคนในชุมชน ช่องทางการรับข่าว หรือการสื่อสารข่าวสารของ คนในชุมชน ได้แก่ หอกระจายข่าวหมู่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน ผู้น าชุมชน ส่งต่อข่าวสาร โดยการพูดคุยปากต่อปาก และหมออนามัย 6) กิจกรรมในการป้องกันการสื่อสารข่าวสารสุขภาพในชุมชนที่ เคยมีในพื้นที่ ได้แก่ การอบรมความรู้เรื่องสุขภาพ การท าประชาคมหมู่บ้าน การประกาศเสียงตามสายทางหอ กระจายข่าวหมู่บ้าน การจัดบอร์ดประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ในหมู่บ้าน 7) กิจกรรมแนวทางในการสื่อสาร ข่าวสารสุขภาพในพื้นที่ ได้แก่ การอบรมความรู้เรื่องข่าวสารสุขภาพและข่าวปลอม การตั้งกลุ่มตรวจสอบข่าว ปลอมก่อนส่งต่อในหมู่บ้าน การสร้างแกนน าการรับรู้ข่าวสารด้านสุขภาพในแต่ละหมู่บ้าน การประกาศทาง กระจายข่าวอย่างสม่ าเสมอ จัดกิจกรรมสื่อสารข่าวสารในโรงเรียนผู้สูงอายุในแต่ละต าบล และในโรงเรียน มัธยมศึกษา และการเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวที่ถูกต้อง 8) คะแนนความรู้เรื่องวิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่องสุขภาพ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ในผู้เข้าอบรมก่อนกับหลังการอบรม แสดงให้เห็นว่า กลุ่มผู้เข้ารับการอบรมที่ ได้รับความรู้จากการอบรมมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ (Mean = 11.93) สูงกว่าก่อนการได้รับการอบรม (Mean = 9.45) อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p = 0.00 9) ระดับความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรม อยู่ในระดับดี


11 และดีมาก (ดี = ร้อยละ 54.9, ดีมาก = ร้อยละ 76.6) และความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับดี คือ ร้อยละ 89.5 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ นักวิจัยหรือผู้สนใจ สามารถน ารูปแบบกระบวนการพัฒนา และรูปแบบวิธีการสื่อสารข่าวสารเรื่อง สุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่ได้พัฒนาขึ้นไปปรับใช้ในหน่วยงาน หรือพื้นที่ปฏิบัติงานของตัวเองได้ อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ เนื่องจากผู้วิจัยและทีมวิจัยภาคสนาม เป็นบุคลากรสาธารณสุข ท าให้การด าเนินการวิจัยประสบกับ สถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ในระหว่างการด าเนินการวิจัย ทั้งการระบาดรอบที่ 1 และรอบที่ 2 ท าให้ผลการด าเนินงานขาดความต่อเนื่อง ท าให้ทีมวิจัยได้ปรับเนื้อหา และกิจกรรมให้สอดคล้อง กับการการระบาดของโรคที่ประสบอยู่ และควรมีการศึกษาเพิ่มเติม ขยายผล การน ารูปแบบการพัฒนา หรือ แนวทางที่พัฒนา ขึ้นไปปรับใช้ในพื้นที่อ าเภออื่น ๆ ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อไป เอกสารอ้างอิง นิดเดิลและคณะ. คู่มืออบรมการประเมิน การตอบสนอง และการประเมินผลอย่างรวดเร็ว. (สุพินดา เรืองจิรัษเฐียร, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สหธรรมิก; 2549. ปิยณัฐ ค้ามีผล. การดูแลสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานของชุมชนกุดชุมแพ ต าบลชุมแพ อ าเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น. รายงานการศึกษาอิสระปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาล ชุมชน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2551. สุพิชญา พลเคน. การป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ในวัยรุ่น: กรณีศึกษาชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัด มหาสารคาม. รายงานการศึกษาอิสระปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาล ชุมชน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2551. เอกชัย ภูผาใจ, ลัฆวี ปิยะบัณฑิตกุล. การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มเสี่ยงใน บ้านฮ่องฮี ต าบลยางตลาด อ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์. วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ 2556; 5(3): 165-174. กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. การประเมินและสร้างเสริมความ รอบรู้ด้านสุขภาพ. 2560. ค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2563, จาก http://www.hed.go.th/.


12 ผลของการใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และ อาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 ต่อค่าองค์ประกอบร่างกาย เอกชัย ภูผาใจ , วราภรณ์ พงภักดิ์ขวัญ , สินีนาฏ ไชยมงคล, ชลทิพย์ ธีระชาติสกุล , พรรณวดี บุญพยุง . โรงพยาบาลยางตลาด อ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินประสิทธิผลของการใช้สูตร อาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 ต่อค่าองค์ประกอบร่างกาย 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ การใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และอาหารจาน สุขภาพ 2 : 1 : 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรโรงพยาบาลยางตลาด และส านักงานสาธารณสุขอ าเภอยางตลาด ได้มาโดยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จ านวน 40 คน ขนาดกลุ่มตัวอย่างค านวณโดย ใช้โปรแกรม G Power 3.1.7 ก าหนดขนาดอิทธิพลระดับกลางเท่ากับ 0.25 ในการเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบบันทึกภาวะสุขภาพ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้สูตรอาหาร และ 4) เครื่องวิเคราะห์ค่าองค์ประกอบร่างกาย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และ 2) สูตรอาหาร จานสุขภาพ 2 : 1 : 1 สถิติที่ใช้ทดสอบ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยค่าองค์ประกอบของร่างกาย ของกลุ่มทดลอง โดยใช้ สถิติทดสอบ Dependent t-test และวิเคราะห์ความแปรปรวนค่าองค์ประกอบของร่างกาย ระหว่างกลุ่ม ที่ใช้ สูตรอาหาร IF และกลุ่มที่ใช้สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 โดยใช้สถิติทดสอบ Independent-Samples t-test ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) กลุ่มทดลองที่ใช้สูตรอาหาร (Intermittent Fasting; IF) และสูตรอาหารจาน สุขภาพ 2 : 1 : 1 มีดัชนีมวลกาย รอบเอว และมวลไขมัน ลดลง หลังการทดลองมากกว่าก่อนการทดลองอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับp<0.01 และ 2) กลุ่มทดลองที่ใช้ สูตรอาหาร IF และ สูตรอาหาร 2 : 1 : 1 มี ค่าเฉลี่ยของค่าองค์ประกอบของร่างกาย ก่อนกับหลังการทดลอง ไม่แตกต่างกัน ค าส าคัญ การลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน, อาหารจานสุขภาพ, ค่าองค์ประกอบของร่างกาย บทน า โรงพยาบาลยางตลาด มีการด าเนินงานการส่งเสริมสุขภาพวัยท างานตั้งแต่ พ.ศ.2562 จนถึงปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์หาสาเหตุปัจจัยที่ส่งผลด้านสุขภาพของบุคลากร ปัจจัยที่ส่งผลด้านสุขภาพของ ประชาชนวัยท างานที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ การเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือด หัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง และบูรณาการ 3 แนวคิด มาประยุกต์ในการพัฒนากรอบกระบวนการ เพื่อให้ เกิดกระบวนการด าเนินด าเนินงานที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ ได้แก่ แนวคิดอาชีวอนามัย (Occupation Health) แนวคิดกระบวนการพยาบาล (Nursing Process) และแนวคิดกระบวนการคุณภาพ (Quality Process)


13 ท าให้มีรูปแบบกระบวนการส่งเสริมสุขภาพวัยท างานของโรงพยาบาลยางตลาด (Health & Wellness Promotion Yangtalad Hospital; 1A2S3) ได้แก่ 1) โครงสร้าง (Structure) 2) ข้อมูลสารสนเทศ (Information) 3) สร้างความตระหนัก (Awareness) การคืนข้อมูลสุขภาพทางออนไลน์ ลงพื้นที่ตาม หน่วยงาน และการสร้างบุคคลต้นแบบด้านสุขภาพ 4) การบริการ (Service) การตรวจสุขภาพประจ าปี บุคลากร การออกกิจกรรมตรวจสุขภาพเชิงรุกในสถานประกอบการสิทธิประกันสังคมแล้วมาตรวจรักษาใน โรงพยาบาล ด าเนินการมาแล้ว 1 ปี มีจ านวนสถานประกอบการเข้าร่วมตรวจสุขภาพ จ านวน 35 แห่ง จาก 164 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 21.3 การส ารวจสภาพอากาศในโรงพยาบาลและในชุมชน การด าเนินงานอาชีวอนา มัย การด าเนินงานสุขศึกษา และ การด าเนินงานโดยน าแนวคิดกายศาสตร์มาออกแบบระบบงาน 5) กิจกรรม (Intervention) การอบรมความรู้ด้านสุขภาพแก่บุคลากร รพ.สต. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพสถาน ประกอบการ และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 6) การพัฒนาให้ดีขึ้น (Improvement) R2R วิจัย ติดตามผล ปรับปรุง และ 7) การจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพโดยประยุกต์แนวคิดการมีส่วนร่วม ของชุมชน ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลจ านวน 17 แห่ง และในสถานประกอบการต้นแบบจ านวน 2 แห่ง(1) จากการศึกษาทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมาพบว่า สูตรอาหารในการควบคุมน้ าหนักมีหลากหลาย สูตร แต่ในงานวิจัยนี้ เลือกใช้สูตร 2 สูตร ได้แก่ สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน (Intermittent Fasting; IF) คือ การอดอาหารเป็นช่วง ๆ อย่างต่อเนื่อง สลับกับช่วงรับประทานอาหารปกติ โดยทั่วไปการใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกินจะมีลักษณะที่ชัดเจนในการก าหนด ช่วงเวลาในการรับประทานอาหารและช่วงเวลาที่อดอาหาร ซึ่งไม่ได้เน้นที่การเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคอาหาร พลังงานและสารอาหารที่จะได้รับ โดยสูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกินมีประโยชน์ต่อ สุขภาพในการลดน้ าหนักตัว ลดปริมาณไขมันในร่างกายไม่ต้องควบคุมปริมาณอาหาร และอาจจะช่วยชะลอวัย ได้ อาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 เป็นการก าหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสม โดยการแบ่งสัดส่วนของ จาน เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 9 นิ้ว ออกเป็น 4 ส่วน เท่า ๆ กัน และแบ่งประเภทอาหารที่จะใส่ลงไปในจาน เป็นผัก 2 ส่วน ข้าวหรือ แป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน ผัก 2 ส่วน - ผักสด หรือผักสุกทุกชนิด โดยเลือก ประเภทของผัก ให้หลากหลายข้าว 1 ส่วน - ควรเลือกข้าวที่ไม่ขัดสี เข่น ข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ ขนมปัง โฮลวีท และธัญพืช เช่น ลูกเดือยเนื้อ 1 ส่วน - ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ า เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง ปลา หรือ ไข่ ถั่วเหลือง เต้าหู้ โปรตีนเกษตรเมื่อรู้แล้วว่า สูตร 2 : 1 : 1 ได้แก่ ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน และ เนื้อ 1 ส่วน แต่ถึงกระนั้น การเลือกวัตถุดิบ และกรรมวิธีในการประกอบอาหารให้ได้ อาหาร 1 จาน ก็ส าคัญไม่แพ้กัน (2) ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษา เปรียบเทียบวิธีการควบคุมน้ าหนักทั้งสองวิธีว่าจะสามารถส่งผลต่อค่า องค์ประกอบของร่างกายอย่างไร


14 วัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินประสิทธิผลของการใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และ อาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 ต่อค่าองค์ประกอบร่างกาย และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ การใช้สูตรอาหาร การลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 วิธีการศึกษา 1. การศึกษานี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Research) เปรียบเทียบระหว่าง 2 กลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง ศึกษากลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม มีกลุ่มควบคุมวัดก่อนและวัดหลังการทดลอง 2. ขอบเขตของการวิจัย ตัวแปรในการวิจัย ได้แก่ 1) ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การใช้สูตรอาหาร การลด น้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และการใช้สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 2) ตัวแปรตาม ได้แก่ ดัชนีมวล กาย (โปรแกรมค านวณ) รอบเอว (สายวัด) มวลกล้ามเนื้อ (In body) และมวลไขมัน (In body) ระยะเวลาใน การด าเนินการ ระหว่างเดือน มิถุนายน – เดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2564 3. กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรโรงพยาบาลยางตลาด และส านักงานสาธารณสุขอ าเภอยางตลาด ที่มี ภาวะน้ าหนักเกิน แบ่งเป็น กลุ่มทดลองด้วยวิธีใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน จ านวน 20 คน และกลุ่มทดลองด้วยวิธีการใช้สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 จ านวน 20 คนได้มาโดยวิธีการ คัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จ านวน 40 คน ขนาดกลุ่มตัวอย่างค านวณโดยใช้โปรแกรม G Power 3.1.7 ส าหรับ Windows ก าหนด Power ร้อยละ 80.0 ระดับความน่าจะเป็นที่ 0.05 โดยใช้สถิติ ทดสอบ Independent Samples t - test ก าหนดขนาดอิทธิพลระดับกลางเท่ากับ 0.25 ในการเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม ผลการค านวณได้กลุ่มตัวอย่างจ านวน 18 คนต่อกลุ่ม รวม 2 กลุ่ม เท่ากับ 36 คน และเพิ่มจ านวนกลุ่ม ตัวอย่างที่อาจยกเลิกระหว่างการทดลอง ร้อยละ 15.0 ดังนั้นจึงวางแผนในการเก็บรวบรวมกลุ่มตัวอย่างไม่ น้อยกว่า 40 คน เพื่อให้เพียงพอต่อการค านวณ สามารถเปรียบเทียบได้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติมีการก าหนด คุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าและคัดออกที่ผู้วิจัยก าหนด 4. เครื่องมือที่ใช้ในการท าวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล และเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูล ส่วนบุคคล 2) แบบบันทึกภาวะสุขภาพ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้สูตรอาหาร และ 4) เครื่องวิเคราะห์ค่าองค์ประกอบร่างกาย (Medical Body Composition Analyzer) และเครื่องมือที่ใช้ในการ ทดลอง ได้แก่1) สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และ2) สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 5. การพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยด าเนินการวิจัยโดยยึดหลัก การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคน หลักผลประโยชน์หรือไม่ก่ออันตราย และหลักยุติธรรม ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรม การวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลยางตลาด เลขที่ 009/ 2564 ลงวันที่ 20 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 1) วิเคราะห์คุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่ม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ได้แก่ ค่ามวลกล้ามเนื้อ ดัชนีมวลกาย มวลไขมัน


15 รอบเอว และระดับความพึงพอใจ ของกลุ่มทดลอง โดยใช้สถิติทดสอบ Dependent t-test และ 3) วิเคราะห์ ความแปรปรวน ได้แก่ ค่ามวลกล้ามเนื้อ ดัชนีมวลกาย มวลไขมัน และรอบเอวระหว่างกลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่ม โดยใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณแบบสองทาง (Two – way Analysis of Variance: 2-way ANOVA) 7. ขั้นตอนการศึกษา 1) ประเมินมวลกล้ามเนื้อ ดัชนีมวลกาย มวลไขมัน และรอบเอว ก่อนทดลอง ของกลุ่มตัวอย่าง ที่ศูนย์สุขภาพดีวัยท างาน โรงพยาบาลยางตลาด 2) การทดลอง โดยสูตรอาหารการลด น้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน ในกลุ่มตัวอย่างจ านวน 20 คนและ 2) สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 ใน กลุ่มตัวอย่างจ านวน 20 คน ระยะเวลาในการทดลอง 60 วัน ตั้งแต่ วันที่ 15 เดือนกรกฎาคม – วันที่15 เดือน กันยายน พ.ศ.2564 และ 3) ประเมินมวลกล้ามเนื้อ ดัชนีมวลกาย มวลไขมัน และรอบเอว หลังทดลองของ กลุ่มตัวอย่าง ที่ศูนย์สุขภาพดีวัยท างาน โรงพยาบาลยางตลาด ผลการศึกษา 1) กลุ่มตัวอย่างจ านวน 40 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลองด้วยวิธีใช้สูตรอาหารการลด น้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน จ านวน 20 คน กลุ่มทดลองด้วยวิธีการใช้สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 จ านวน 20 คน กลุ่มละ 20 คน เท่า ๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 42.1 ปี และ 43.8 ปี ตามล าดับ 2) ผลการศึกษาผลของการใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และ อาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 ต่อค่าองค์ประกอบร่างกาย ผลการเปรียบเทียบ ดัชนีมวลกาย รอบเอว มวลกล้ามเนื้อ และมวลไขมัน ระหว่าง ก่อนกับหลังการทดลอง ในกลุ่มที่ใช้ สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน พบว่ากลุ่ม ทดลองที่ใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน มีดัชนีมวลกาย รอบเอว และมวลไขมัน ลดลง หลังการทดลองมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับp = 0.00 ส่วนมวลกล้ามเนื้อหลังการ ทดลองเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลอง แต่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับp = 0.00 3) ผลการเปรียบเทียบ ดัชนีมวลกาย รอบเอว มวลกล้ามเนื้อ และมวลไขมันระหว่าง ก่อนกับหลังการทดลอง ใน กลุ่มที่ใช้ สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 พบว่ากลุ่มทดลองที่ใช้สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 มีดัชนีมวล กาย รอบเอว และมวลไขมัน ลดลง หลังการทดลองมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p = 0.00 ส่วนมวลกล้ามเนื้อหลังการทดลองเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลอง แต่ไม่มีความแตกต่างกันที่ระดับ นัยส าคัญทางสถิติ 4) ผลการเปรียบเทียบค่าองค์ประกอบร่างกาย ในกลุ่มทดลองที่ใช้ สูตรอาหารการลด น้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการกิน และ สูตรอาหาร 2 : 1 : 1 กลุ่มทดลองที่สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบ จ ากัดช่วงเวลาการกินและ สูตรอาหาร 2 : 1 : 1 มีค่าเฉลี่ยของค่าองค์ประกอบของร่างกาย ก่อนกับหลังการ ทดลอง ไม่แตกต่างกัน และ 5) ผลการประเมินความพึงพอใจการใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัด ช่วงเวลาการกิน และอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจต่อการใช้สูตรอาหารโดยภาพรวม คะแนนเฉลี่ย 4.78 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด การน าผลงานไปใช้ประโยชน์1) บุคลากรสาธารณสุขสามารถน าสูตรอาหารไปถ่ายทอดให้ประชาชนที่สนใจ ปฏิบัติตามได้และ 2) นักวิจัยหรือผู้สนใจ สามารถน ารูปแบบการทดลองไปประยุกต์ในการด าเนินงาน ใน สถานพยาบาลได้


16 8. อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ อภิปรายสรุป จากผลการใช้สูตรอาหารการลดน้ าหนักแบบจ ากัดช่วงเวลาการ กินและการใช้สูตรอาหารจานสุขภาพ 2 : 1 : 1 ในกลุ่มทดลอง พบว่า ทั้งสองสูตรอาหารสามารถส่งผลต่อค่า องค์ประกอบของร่างกาย กล่าวคือ ท าให้น้ าหนักตัว ดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว และมวลไขมัน มีค่าลดลงอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติ และมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ สอดคล้องกับการศึกษาของ Trepanowski et al. (2017) (3) ผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีดัชนีมวลกายเฉลี่ย 34 กก/ ตร.ม. จ านวน 100 คน เปรียบเทียบการลดน้ าหนักแบบควบคุมอาหารจ ากัดพลังงาน หรือการจ ากัดแคลอรี่ (Caloric restriction) โดยการจ ากัดปริมาณพลังงานที่บริโภคและการอดอาหารโดยก าหนดวันในการอดอาหาร (Modified alternate day fasting) เทียบกับกลุ่มควบคุมที่ให้ใช้ชีวิตตามปกติ และรักษาน้ าหนักตัวให้คงเดิม โดยติดตาม เป็นระยะเวลา 12 เดือน เป้าหมายเพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลในการลดน้ าหนักตัวของทั้งสองวิธี พบว่าการลด น้ าหนักแบบควบคุมอาหารลดพลังงาน ช่วยลดน้ าหนักได้ 5.3 กิโลกรัม ในขณะที่กลุ่มที่ปฏิบัติด้วยการอด อาหารโดยก าหนดวันในการอดอาหาร มีน้ าหนักตัวลดลง 6.0 กิโลกรัม จึงสรุปได้ว่าทั้งการลดน้ าหนักด้วยวิธี ควบคุมอาหารจ ากัดพลังงาน และวิธีการอดอาการสลับวัน สามารถช่วยลดน้ าหนักได้ทั้งสองวิธีไม่แตกต่างกัน ข้อเสนอแนะ 1) การวิจัยนี้ศึกษาเฉพาะในกลุ่มบุคลากรสาธารณสุข ที่เป็นอาสาสมัครเพื่อเข้าร่วมการวิจัย ควร มีการศึกษาในกลุ่มประชากรอื่น ๆ เช่น พนักงานในสถานประกอบการ เป็นต้น 2) ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมผล ของการใช้สูตรอาหาร วิธีอื่น ๆ เช่น ดูกอง ไดเอต (Dukan diet) เป็นต้น และ 3) ควรเพิ่มการวิเคราะห์ผลการ ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ผลการตรวจระดับไขมันในเลือด เป็นต้น เอกสารอ้างอิง เอกชัย ภูผาใจ, วราภรณ์ พงภักดิ์ขวัญ, จิราภรณ์ ภูโอบ และชลทิพย์ ธีระชาติสกุล. การพัฒนาระบบ การด าเนินงานการส่งเสริมสุขภาพวัยท างานของโรงพยาบาลยางตลาด อ าเภอยางตลาด จังหวัด กาฬสินธุ์. การประชุมวิชาการพยาบาลชุมชนระดับชาติครั้งที่ 13 ปี 2563 : Nursing Now. ณ โรงแรมมารวย การ์เด้น กรุงเทพมหานคร. 15-16 กันยายน 2563. 2563; หน้า 17-19. ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (มปป). คู่มือลดพุงลดโรค. เข้าถึงได้จาก File:///C:/Users/KOB/Downloads/คู่มือ_ลดพุง_ลดโรค_ฉบับประชาชน%20(1).pdf. วันที่สืบค้น 20 ธันวาคม 2564.; 2564 Trepanowski JF, Kroeger CM, Barnosky A, et al. Effect of Alternate-Day Fasting on Weight Loss, Weight Maintenance, and Cardioprotection Among Metabolically Healthy Obese Adults: A Randomized Clinical Trial. JAMA Intern Med. 2017; 177(7): 930–938.


17 การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน พุทธวรรณ ศิวเวทพิกุล พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ โรงพยาบาลโพทะเล จังหวัดพิจิตร บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์วัณโรคของเครือข่ายบริการสุขภาพอ าเภอโพทะเล และพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ระหว่างเดือนมกราคมถึง เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 โดยการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และ ประเมินความพึงพอใจ ผู้บริหาร ทีมสหสาขาวิชาชีพ และทีมชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา เชิญผู้เกี่ยวข้องระดมสมองออกแบบระบบบริการ น าระบบบริการที่พัฒนามาใช้กับผู้ป่วยวัณโรคที่ขึ้นทะเบียนรักษาโรงพยาบาลโพทะเล 1 เมษายนถึง 30 มิถุนายน 2565 ประเมินความพึงพอใจหลังการใช้ระบบบริการที่พัฒนา พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจ เพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มจาก 3.4 (SD 0.26) เป็น 3.6 (SD 0.15) ทีมสหสาขาวิชาชีพเพิ่มจาก 3.1 (SD 0.36) เป็น 3.3 (SD 0.16) และทีมชุมชน เพิ่มจาก 3.4 (SD 0.31)เป็น 3.6 (SD 0.27) น าเสนอระบบบริการที่ พัฒนาและทดลองใช้ แก่ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องทราบ รูปแบบระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคอย่างต่อเนื่องจาก โรงพยาบาลสู่ชุมชน แบ่งออกได้ 3 ส่วน ได้แก่ระบบคัดกรองวัณโรค ระบบบริการคลินิกวัณโรคโรงพยาบาล โพทะเล และระบบเยี่ยมบ้าน ข้อเสนอแนะ 1.ควรพัฒนาระบบการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยวัณโรคที่สามารถน ามา ปฏิบัติได้ในสถานการณ์จริง 2. ระบบบริการวัณโรคควรมีการเชื่อมโยง ไร้รอยต่อระหว่างชุมชนกับโรงพยาบาล 3. การจัดคลินิกแบบ One Stop Service มีสถานที่แยกชัดเจน ช่วยลดความรู้สึกแปลกแยก ถูกรังเกียจ ค าส าคัญ: วัณโรค, ระบบบริการ, การดูแลต่อเนื่อง บทน า ในระบบข้อมูลวัณโรคของประเทศไทย NTIP (National Tuberculosis Information Program)1 ปีงบประมาณ 2559-2563 มีผู้ป่วยวัณโรคขึ้นทะเบียนรักษา จ านวน 58,905 คน, 63,354 คน, 66,931 คน, 69,189 คนและ 68,883 คน ตามล าดับ มีอัตราส าเร็จของการรักษาผู้ป่วยวัณโรค (Success rate) ต่ ากว่า เป้าหมายที่ร้อยละ 82.81, 83.48, 85.44, 83.95 และ 69.39 ตามล าดับ อัตราตาย (Dead rate) สูงกว่า เป้าหมาย ที่ร้อยละ 8.35, 8.15, 8.39, 8.08 ตามล าดับ และมีอัตราขาดการรักษา (Default rate) สูงกว่า เป้าหมายที่ร้อยละ 5.66, 4.95, 4.78, และ 4.78 ในปีงบประมาณ 2559-2562 ตามล าดับ1 การพบผู้ป่วยวัณ โรครายใหม่ต่ ากว่าที่คาดประมาณไว้ สะท้อนถึงการมีผู้ป่วยวัณโรคส่วนหนึ่งเข้ารับการรักษาล่าช้าหรือไม่เข้ารับ การรักษา ยังใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน ท าให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ป่วยวัณโรค เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการขาดยาในผู้ป่วยวัณโรคท าให้มีโอกาสเกิดเชื้อวัณโรคดื้อยา ส่งผลให้คนใน ชุมชนที่มีโอกาสรับเชื้อวัณโรคดื้อยาทั้งๆที่ยังไม่เคยรักการรักษามาก่อน จังหวัดพิจิตรได้ด าเนินงานวัณโรคตามแผนแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ พ.ศ. 2560-2564 พบ ผู้ป่วยวัณโรค ปีงบประมาณ 2559-2563 จ านวน 689,499, 463, 473 และ 603 คน ตามล าดับ มีผลการ


18 ด าเนินงานต่ ากว่าเป้าหมายและต่ ากว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ ได้แก่ อัตราส าเร็จของการรักษา ร้อยละ 77.25, 76.17, 79.19, 80.95 และ 65.45 ตามล าดับ มีอัตราตายสูงกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 15.57, 15.44, 17.34, 14.87 และ 17.96 ตามล าดับ และมีอัตราการขาดยา ปีงบประมาณ 2559-2560 ร้อยละ 5.09,5.87, 2.89, 3.05 และ 3.35 ตามล าดับ2 ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตรก าหนดนโยบาย 2-2-2 เพื่อให้ผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการ การขึ้น ทะเบียน ส่งต่อข้อมูล ติดตามเยี่ยมครบถ้วน ทันเวลา และจัดท าแบบประเมินความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนใน ผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ (TB02)3 ใช้ประเมินและแบ่งผู้ป่วยเพื่อการรักษาและการดูแล และประเมิน TB Mortality scoring3 เพื่อก าหนดแนวทางในการบริหารจัดการแต่ละกลุ่มตามระดับความเสี่ยง3 เพื่อลดอัตรา ตาย โดยเริ่มใช้ในปีงบประมาณ 2564 เครือข่ายบริการสุขภาพอ าเภอโพทะเล และโรงพยาบาลโพทะเล จังหวัดพิจิตรพบผู้ป่วยวัณโรคต่ า กว่าเป้าหมายโดยในปีงบประมาณ 2559-2563 พบ 41, 35, 31, 30, 41 คน คิดเป็นร้อยละ 51.61, 40.86, 49.51, 46.20 และ 52.75 ตามล าดับ2 อัตราส าเร็จการรักษาผู้ป่วยวัณโรคต่ ากว่าเป้าหมาย ยกเว้นในปี งบประมาณ 2560 ที่ด าเนินการได้ตามเป้าหมายคือร้อยละ 91.89 เมื่อทบทวนสาเหตุการตาย (Dead Case Conference) ร่วมกับทีมสุขภาพ พบการตายในผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคร่วม มากกว่าผู้ป่วยวัณโรคกลุ่ม อื่นๆ และผู้ป่วยบางส่วนมีการวินิจฉัยที่ล่าช้า ท าให้มีอัตราตายสูงกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 6.90, 8.11, 22.86, 18.75 และ 24.44 ตามล าดับ และพบอัตราการขาดการรักษาสูงกว่าเป้าหมาย ในปี งบประมาณ 2559 และ ปีงบประมาณ 2561 พบร้อยละ 3.45 และ 2.86 จากการทบทวนกระบวนการดูแลรักษา การวินิจฉัยและการ ดูแลต่อเนื่องร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพโรงพยาบาลโพทะเลและเครือข่ายบริการสุขภาพ พบปัญหาที่ส าคัญคือ 1) ความล่าช้าและอุปสรรคในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพของผู้ป่วย 2) การวินิจฉัยล่าช้า ที่เกิดจากระบบ บริการและกระบวนการวินิจฉัย 3) ผู้ป่วยมีโรคร่วมและการเจ็บป่วยที่ซับซ้อน 4) การติดตามการดูแลและการ กินยาต่อเนื่องในชุมชน 5) การประสานงานและการส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยบริการ 6) สถานการณ์การ ระบาดของโรควิท 19 ที่ท าให้ภาระงานเพิ่มขึ้น มีการจ ากัดผู้รับบริการในโรงพยาบาล ผู้วิจัยในฐานะผู้รับผิดชอบงานวัณโรค จึงมีความสนใจที่จะพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคอย่าง ต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน เพื่อให้ระบบบริการวัณโรคมีคุณภาพ เพิ่มการค้นหาผู้ป่วยวัณโรค ลดความ ล่าช้าในการวินิจฉัยและการรักษา ลดอัตราตาย และอัตราขาดการรักษา วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์ และระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคของเครือข่ายบริการสุขภาพอ าเภอ โพทะเล 2. เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชนของเครือข่ายบริการ สุขภาพอ าเภอโพทะเล


19 วิธีการศึกษา วิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ศึกษาระหว่างวันที่ 1 เดือนมกราคม– วันที่ 30 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2565 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เลือกแบบเฉพาะเจาะจง ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์และพัฒนาระบบบริการวัณโรค กลุ่ม ตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารเครือข่ายบริการสุขภาพโพทะเล 2 คน ทีมสหสาขาวิชาชีพ 10 คน กลุ่มผู้รับบริการ 7 คน ทีมชุมชน 22 คน ระยะที่ 2 ทดลองน าระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน ไปใช้ กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยวัณโรคที่ขึ้นทะเบียนรับการรักษาวันที่ 1 เดือน เมษายน พ.ศ.2565 – วันที่ 30 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 ที่มีภูมิล าเนาอยู่ใน อ.โพทะเล และยินยอมเข้าร่วมการวิจัย 11 คน ระยะที่ 3 ติดตามประเมินผลการปฏิบัติ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ทีมสหสาขาวิชาชีพ 14 คน กลุ่มผู้รับบริการ 11 คน ทีม ชุมชน 11 คน และผู้ป่วยวัณโรค 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ใช้สัมภาษณ์ผู้บริหาร ทีมสหสาขาวิชาชีพ ทีมชุมชน และผู้ป่วย มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.85, 0.76, 0.90 ตามล าดับ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ ระบบบริการวัณ โรค เริ่มจากการคัดกรอง คลินิกวัณโรค และการเยี่ยมบ้าน เป็นข้อมูลในการพัฒนาระบบบริการ 2. แบบสอบถามความพึงพอใจ ใช้กับทีมสหสาขาวิชาชีพ ทีมชุมชน และผู้ป่วย มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.93, 0.89, 0.89 ตามล าดับ มีค่าเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ที่ 0.82, 0.82 และ 0.80 ตามล าดับ ประเมินก่อนและหลังใช้ระบบบริการที่พัฒนา เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบบริการที่พัฒนา การเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์และพัฒนาระบบบริการวัณโรค 1) เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ แบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง และประเมินความพึงพอใจ 2) เชิญผู้เกี่ยวข้องในระบบบริการวัณโรคระดมสมอง ร่วมคิดออกแบบระบบบริการ ระยะที่ 2 ทดลองน าระบบบริการวัณโรคอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน ใช้ในผู้ป่วยวัณโรคขึ้นทะเบียนวัณโรคโรงพยาบาลโพทะเล ระหว่างวันที่ 1 เดือน เมษายน พ.ศ.2565 – วันที่ 30 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 ระยะที่ 3 ติดตามประเมินผลการปฏิบัติ 3.1 ประเมินความพึงพอใจ 1) ผู้รับบริการวัณโรค 2) ทีมสหสาขาวิชาชีพ 3) ทีมชุมชน 3.2 สนทนากลุ่ม (Focus group) โดยเชิญผู้เกี่ยวข้อง ในระบบบริการวัณโรคร่วมให้ข้อเสนอแนะปรับปรุงระบบบริการ ระยะที่ 4 สะท้อนผลการปฏิบัติ น าเสนอ ระบบบริการให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้บริหารเครือข่ายระบบบริการสุขภาพ อ าเภอโพทะเลทราบ


20 การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ข้อมูลคุณภาพจากการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา 2. ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จ านวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน การพิทักษ์สิทธิกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร เลขที่ 15/2564 วันที่ 28 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2564 ผลการศึกษา จากการศึกษาสถานการณ์ พบว่า 1) การคัดกรองวัณโรค พบว่าเจ้าหน้าที่ทราบนโยบาย แต่ไม่เข้าใจรายละเอียดทั้งหมด พบผู้ป่วยวัณ โรครายใหม่ต่ ากว่าที่คาดประมาณ ผู้ที่มีอาการเข้าได้กับวัณโรคไม่ได้รับการคัดกรอง โดยการเอกซ์เรย์ในชุมชน ขาดการติดตามผู้ที่มีความผิดปกติของการคัดกรอง/สงสัยวัณโรค 2) ระบบบริการคลินิกวัณโรค มีความยุ่งยาก สถานที่รอตรวจไม่สะดวก รู้สึกถูกรังเกียจ อาย แปลกแยก รอนาน ข้อมูลความรู้ที่ให้ มีจ านวนมากและหลาย วิชาชีพ ผู้ป่วยจ าไม่ได้ ข้อมูลบางส่วนซ้ ากัน ผู้ป่วยที่มีภาวะทุพโภชนาการ ไม่ส่งปรึกษาโภชนากร 3) การเยี่ยม บ้านตามนโยบาย 2-2-2 และตามมาตรฐาน DOTs ใน 2 เดือนแรก ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในผู้ป่วยทุกราย ทั้งในสถานการณ์ปกติ และในช่วงการระบาดของ Covid -19 รพ.สต.ต้องการข้อมูลก่อนจ าหน่ายผู้ป่วยเพื่อ เตรียมผู้ดูแลและสิ่งแวดล้อม เมื่อ รพ.สต.เยี่ยมบ้านหลังจ าหน่ายไม่มีการตอบกลับข้อมูล ระบบบริการวัณโรค ที่พัฒนา แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1) ระบบการคัดกรองวัณโรค 1.1 ชี้แจงนโยบายการคัดกรองวัณโรค 1.2 เพิ่ม กลุ่มผู้มีอาการเข้าได้กับวัณโรคเข้ารับการ CXR ในชุมชน 1.3 การแจ้งผลCXR สิทธิ์การรักษารพ.โพทะเล สงสัยวัณโรคนัดเก็บเสมหะ (AFB/Expert) ผิดปกติอื่นนัดพบแพทย์ผ่านTB Clinic กรณีสิทธิ์การรักษารพ.อื่น ไปตามสิทธิ์ โดยTB Clinic ประสานการนัด 1.4 เพิ่มการคัดกรองที่OPD และคลินิกพิเศษ ในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้น ไปและพระ 2) ระบบบริการคลินิกวัณโรคในโรงพยาบาล ปรับวันเป็นวันจันทร์ 8.30- 12.00น. สถานที่เป็นตึกศิริ ขจร เป็นOne Stop Service ด าเนินการโดย TB Clinic วันอื่นๆ กรณีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ให้พบ TB Clinic ก่อนส่งพบแพทย์ กรณีมีผู้ป่วยวัณโรคนอนโรงพยาบาล TB Clinic/พยาบาลงานเวชกรรม เยี่ยมติดตามที่หอ ผู้ป่วย 3) ระบบเยี่ยมบ้าน 3.1 TB Clinic ประเมินเสี่ยงในการขาดการรักษา/ความจ าเป็นในการเยี่ยม มากกว่าเท่ากับ 3 คะแนน TB Clinic นัดรพ.สต.ลงเยี่ยมบ้านใน 2-4 สัปดาห์ 3.2 ส่งข้อมูลผู้ป่วยรายใหม่ ให้ รพ.สต. ทาง LineและGoogle Sheet 3.3 รพ.สต.ประเมินผู้ดูแล กรณีคุณสมบัติไม่เหมาะสม/ไม่มีผู้แล หาอส ม.ช่วยดูแล 3.4 ในสถานการณ์ โควิท 19 ผู้ป่วยไม่สามารถมา รพ. ได้ TB Clinic เบิกยา/ประสานส่งยาผ่าน รพ.สต. หรือญาติรับยาแทน ประเมินความพึงพอใจหลังการใช้ระบบบริการที่พัฒนา พบคะแนนเฉลี่ยความพึง พอใจเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มจาก 3.4 ( X = 3.4, S.D.= 0.26) เป็น 3.6 ( X =3.6, S.D.= 0.15) ทีมสห


21 สาขาวิชาชีพเพิ่มจาก 3.1 ( X = 3.1, S.D.=0.36) เป็น 3.3 X = 3.3, S.D.= 0.16) และทีมชุมชนเพิ่มจาก 3.4 ( X = 3.4, S.D.= 0.31) เป็น 3.6 ( X = 3.6, S.D.= 0.27) น าผลงานไปใช้ประโยชน์ ประยุกต์ใช้ในการเลือกผู้ป่วยวัณโรคที่มีความจ าเป็นต้องได้รับการติดตามเยี่ยมบ้าน โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และผู้ป่วยวัณโรคที่มีความต้องการการดูแลที่เฉพาะ มีความยุ่งยากที่ต้องได้รับการ เยี่ยมติดตามโดย TB Clinic อภิปรายสรุป การพัฒนาระบบบริการวัณโรคท าให้ความพึงพอใจเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีผู้รับผิดชอบคลินิก ใช้ ระบบ One Stop Service สถานที่แยกเป็นสัดส่วนไม่ปนกับผู้ป่วยอื่น เยี่ยมเมื่อผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล เป็น การดูแลต่อเนื่องและทราบข้อมูลการรักษาต่อเนื่อง เพิ่มการประเมินเสี่ยงในการขาดการรักษา/ความจ าเป็นใน การเยี่ยม ท าได้รพ.สต.สามารถเยี่ยมได้ในรายที่จ าเป็น การที่TB Clinic ลงเยี่ยมบ้านท าให้ทราบปัญหา สร้าง สัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยและครอบครัว สอดคล้องกับการศึกษาของวงจันทร์ จิตเพียร4 ที่พบว่าผู้ป่วยวัณโรค พึงพอใจมากเนื่องจากการเยี่ยมบ้าน สรุป การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคอย่างต่อเนื่องจาก โรงพยาบาลสู่ชุมชน เพิ่มการค้นพบผู้ป่วยวัณโรค ลดการขาดยา/การขาดการรักษา เพิ่มความพึงพอใจ แต่ยัง พบผู้เสียชีวิตระหว่างการรักษา เนื่องจากมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น มีโรคร่วม และอาการรุนแรง การเข้าถึง ระบบบริการช้า ข้อเสนอแนะ 1.ควรพัฒนาระบบการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยวัณโรคที่สามารถน ามาปฏิบัติได้ในสถานการณ์จริง 2. การจัดระบบบริการวัณโรคต้องเชื่อมโยง ไร้รอยต่อระหว่างชุมชนกับโรงพยาบาล 3. คลินิกแบบ One Stop Service ที่สถานที่แยกชัดเจน ช่วยลดความรู้สึกแปลกแยก ถูกรังเกียจ เอกสารอ้างอิง กองวัณโรค. National Tuberculosis Information Program. [internet]. กรุงเทพ: [cite 2021 May 01] Available From URL https://ntip.ddc.moph.go.th/ ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร. รายงานผู้ป่วยวัณโรคประจ าปี 2564. (เอกสารอัดส าเนา); 2564; พิจิตร กมเลศวร์ จุลบุตร. Death Case Conference. ประชุมผู้รับผิดชอบงานวัณโรค; 26 ตุลาคม 2563; ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร. พิจิตร วงจันทร์ จิตเพียร. การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดรายกรณี ในเขตพื้นที่ความ รับผิดชอบของเครือข่ายบริการปฐมภูมิเมืองย่า3 (CUPเมืองย่า3). [สารนิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสต รมหาบัณฑิต].ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2553.


22 พัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด (The development of a continuous care model for cardiac patients after surgery) พว.อนันต์ พวงค า กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลสุรินทร์ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วย โรคหัวใจหลังการผ่าตัด ด าเนินการระหว่าง เดือน มีนาคม พ.ศ.2561 – เดือนมีนาคม พ.ศ.2562 โดยศึกษาใน กลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่มได้แก่ 1)ผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด 50 คน 2)ผู้ดูแลผู้ป่วย 50 คน และ3)ทีมสห สาขาวิชาชีพ 7 คน การด าเนินการแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1)วิเคราะห์สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยการพัฒนา รูปแบบการดูแลต่อเนื่อง 2)พัฒนาและทดลองรูปแบบการดูแลต่อเนื่องการพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่อง 3) ประเมินผลลัพธ์การใช้รูปแบบการพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่อง ผลการวิจัย การพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด ประกอบด้วยการ จัดการรายกรณีตามกรอบของ Case management society of America และการมีส่วนร่วมของทีมสห สาขาวิชาชีพ โดยมีการประสานความร่วมมือกับบุคลากรและสถานบริการในชุมชนร่วมกับการติดตามการ ปฏิบัติตามแนวทางการรักษาอย่างต่อเนื่อง หลังพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการ ผ่าตัด พบว่าความสามารถในการท ากิจวัตรประจ าวันคือ หลังจ าหน่าย 30 วัน ( X =94.11 ,S.D.=16.03 ) สามารถเดินทางราบและขึ้นลงบันไดได้ คิดเป็น ร้อยละ 100.00 ค่าเฉลี่ยค่ารักษาพยาบาล ( X =248,264.42 ,S.D.=86,227.34 ) ก่อนและหลังการพัฒนารูปแบบฯแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส าคัญทางสถิติ ค่าเฉลี่ยคะแนน ความรู้ความเข้าใจมีทักษะปฏิบัติตนเรื่องการดูแลผู้ป่วยฯเมื่อแรกรับและก่อนจ าหน่ายแตกต่างกันอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.01 ผลเลือดClinical outcome: INR target อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายในการดูแล ผู้ป่วยฯ ก่อนพัฒนารูปแบบฯ ร้อยละ 40.00 และหลังพัฒนารูปแบบฯ ร้อยละ 71.86 แตกต่างกันอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติ p<0.01 ความพึงพอใจต่อบริการของผู้ดูแลผู้ป่วยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( X =96.14 ,S.D.=2.13 ) คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมีคะแนนคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับดีมาก คะแนนเฉลี่ย 89.83 (S.D.=4.35) รูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังการผ่าตัดที่พัฒนาขึ้นสามารถสร้างเครือข่ายการดูแล ผู้ป่วยในระบบโรคหัวใจระดับปฐมภูมิทั่งทั้งจังหวัด ผู้ป่วยที่เข้าถึงบริการได้ทันเวลา ด้วยโปรแกรมการดูแล ต่อเนื่อง Thai COC ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีความรู้ความเข้าใจมีทักษะในการดูแลตนเอง มีผลเลือดอยู่ในเกณฑ์ เป้าหมาย ท าให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจและมีความสามารถในการดูแลตนเองได้ดี เกิดภาวะแทรกซ้อนลดลง คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ข้อเสนอแนะควรมีการประเมินความรู้ความเข้าใจและทักษะปฏิบัติตน ทุกปีหลัง จ าหน่าย เพื่อประเมินการดูแลตนเองได้ ผู้ป่วยมีความมั่นใจ และมีความสามารถในการดูแลตนเองได้ดี


23 บทน า สถานการณ์โรค NCD ของจังหวัดสุรินทร์1 มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น โดยพบว่า ปี งบประมาณ 2558, ปีงบประมาณ 2559 อัตราผู้ป่วยรายใหม่ต่อประชากรแสนคน กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด 16.89 และ 30.18 จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์โรคหัวใจในปี พ.ศ.2560 และ เดือน มีนาคม พ.ศ.2561 เริ่มมีการผ่าตัดหัวใจ โดย มีค่าใช้จ่ายการผ่าตัดเฉลี่ยต่อราย 250,000 บาท2 ที่ผ่านมายังไม่มีรูปแบบการด าเนินงาน และเริ่มต้นการผ่าตัด ใหม่ พบปัญหาคือ การดูแลตนเองที่บ้าน คือ ผู้ป่วยและผู้ดูแลยังไม่มีองค์ความรู้ความเข้าใจและการปฏิบัติตน ต่อเนื่องที่บ้านหลังผ่าตัด เกิดอุบัติการณ์กลับมารักษาซ้ า ปฏิบัติตนต่อเนื่องที่บ้านไม่ถูกต้อง ไม่ฟื้นฟูหัวใจ การ รับประทานอาหารที่ไม่หลากหลาย ผลเลือดINRไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายเดินทางมาตามนัด เฉลี่ยต่อครั้งต่อราย 1,000 บาท จึงเกิดแนวคิดในการค้นหาและพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลัง ได้รับการผ่าตัด วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่ได้จาก การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยครั้งนี้ด าเนินการในลักษณะของการวิจัยและพัฒนา วัตถุประสงค์เพื่อ 1.พัฒนารูปแบบการ ดูแลต่อเนื่องโดยการมีส่วนร่วมของทีมสหสาขาวิชาชีพ และการมีส่วนร่วมของพยาบาลผู้จัดการรายกรณีใน ผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด โรงพยาบาลสุรินทร์2.เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่ได้จากการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ หลังได้รับการผ่าตัด เริ่มด าเนินการระหว่างเดือน มีนาคม พ.ศ.2561 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ.2562 การวิจัยใน ครั้งนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ องค์กรแพทย์ โรงพยาบาลสุรินทร์ เลขที่หนังสือรับรอง 50/2561 ประชากรศึกษา คือ ผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด ที่เข้ารับการรักษาในแผนกศัลยกรรมหัวใจหลอดเลือดและ ทรวงอก โรงพยาบาลสุรินทร์2 จ านวน 50 คน ผู้ดูแลผู้ป่วยที่รับผิดชอบในการท ากิจวัตรประจ าวันโดยตรง สม่ าเสมอ จ านวน 50 คน บุคลากรทีมสหสาขาวิชาชีพที่ร่วมดูแลผู้ป่วยทางคลินิก จ านวน 7 สหสาขาวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คณะผู้วิจัยคัดเลือกแบบเจาะจง โดยก าหนดคุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคหัวใจหลัง ได้รับการผ่าตัดลิ้นหัวใจ การผ่าตัดภายในทรวงอกมีแผลขนาดใหญ่ ในช่วงเดือน มีนาคม พ.ศ.2561 – เดือน มีนาคม พ.ศ.2562 และยินยอมเข้าร่วมโครงการ ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วย 50 คน และผู้ดูแล 50 คน , บุคลากรทีมสหสาขาวิชาชีพที่ร่วมดูแลผู้ป่วยทางคลินิก จ านวน 7 คน


24 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา: 1. เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แผนการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด คู่มือการ ดูแลต่อเนื่องโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด แผ่นพับและสื่อให้ความรู้ในการดูแลตนเองต่อเนื่องที่ผู้วิจัยได้สร้าง ขึ้นเอง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วย โรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด แบบสัมภาษณ์บุคลากรทีมสหสาขาวิชาชีพ 3. แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจและทักษะการปฏิบัติตนการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลัง ผ่าตัด 10 ข้อ 4. แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันด้วยตนเอง3 5. แบบประเมินการปฏิบัติตามแผนการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด ส าหรับ ทีมสหสาขาวิชาชีพ 6. แบบประเมินความพึงพอใจในชุมชนของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด4 7. แบบวัดคุณภาพชีวิตขององค์กรอนามัยโลกชุดย่อฉบับภาษาไทย 4 8. โปรแกรมการดูแลต่อเนื่องไร้รอยต่อ Thai COC การด าเนินการศึกษา การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัดนั้น ผู้วิจัยได้ด าเนินการในลักษณะ ของการวิจัยและพัฒนา 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วย โรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด โดยทีมบุคลากรทีมสหสาขาวิชาชีพที่ร่วมดูแลผู้ป่วยร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ ด้านสถานที่ ด้านบุคลากร ด้านผู้ป่วย/ผู้ดูแล แผนการดูแลผู้ป่วยรายโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด ด้านระบบ การให้บริการ และผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยก่อนการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วย ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบ การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด ในวงรอบที่ 1( น าผลการวิเคราะห์สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยมา พัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัดฉบับที่ 1 ในวงรอบที่ 2 น าผลการวิเคราะห์ ปัญหาการใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด ฉบับที่ 1 น ามาปรับปรุงได้เป็นแผนการดูแล ฉบับที่ 2 ในวงรอบที่ 3 น าผลการวิเคราะห์ปัญหาการใช้รูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการ ผ่าตัดฉบับที่ 2 มาปรับปรุงเพิ่มการให้ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะปฏิบัติตนที่ส าคัญ ลงไปสู่ชุมชน โรงพยาบาล ชุมชน สร้างระบบการให้ค าปรึกษา และการช่วยเหลือช่องทางด่วน ขั้นตอนที่ 3 ประเมินผลลัพธ์จากการดูแล ผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด โดยใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติแจกแจงความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบด้วยสถิติการ วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ า (ANOVA Repeated measure design) เปรียบเทียบด้วยสถิติทดสอบ Pair t-test, วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติทดสอบ one sample t -test


25 ผลการศึกษา การประเมินผลลัพธ์ที่ได้จากการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด โรงพยาบาลสุรินทร์ ข้อมูลทั่วไปของผู้เข้าร่วมวิจัย 50 ราย พบว่า ผู้ป่วยเพศชาย 24 ราย (ร้อยละ 48.00) เพศ หญิง 26 ราย (ร้อยละ 52.00) อายุเฉลี่ย 52.67 ปี (S.D.=13.46) ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 248,264.42 บาท (S.D.=86,227.34) 1.ผลลัพธ์ด้านผู้ป่วย 1.1คะแนนความสามารถในการท ากิจวัตรประจ าวัน(ADL) พบว่า ค่าเฉลี่ย แรกรับ 66.30 (S.D.=2.97) ก่อนจ าหน่าย 74.10 (S.D.=2.64) หลังจ าหน่าย 84.50 (S.D.=2.03) เปรียบเทียบคะแนนADL ของผู้ป่วยโรคหัวใจหลังผ่าตัด เมื่อแรกรับ ก่อนจ าหน่าย และหลังจ าหน่าย 30 วัน ด้วยสถิติ ANOVA Repeated measure design พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติ F (1.652, 80930) = 53.869, p=.000) และค่าเฉลี่ยทุกช่วงเวลามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ 1.2ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยต่อการพัฒนารูปแบบ 240,382.61 บาท (S.D.=85,948.06) หลังการ พัฒนารูปแบบมีค่าเฉลี่ย 248,264.42 บาท (S.D.=86,227.34) น าเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการ พัฒนารูปแบบด้วยสถิติ Independent sample t-test พบว่าค่าเฉลี่ยค่ารักษาพยาบาลก่อนและหลังการ พัฒนารูปแบบแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส าคัญทางสถิติ (t= .95, p=.345) 1.3ผลเลือด การแข็งตัวของเลือดอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย (Clinical outcome: INR=2-3) ก่อนการ พัฒนารูปแบบ ร้อยละ 41.67 หลังการพัฒนารูปแบบมีผลเลือดอยู่ในเกณฑ์เป้าหมายร้อยละ 71.88 1.4 คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด มีคะแนนคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับดีมาก คะแนนต่ าสุดคือ 80.80 คะแนนสูงสุดคือ 92.40 คะแนนเฉลี่ย 89.83 (S.D.=4.35) 2.ผลลัพธ์ด้านผู้ดูแลผู้ป่วย 2.1ความรู้ความเข้าใจและทักษะการปฏิบัติตนเรื่องการดูแลต่อเนื่องในโรคหัวใจหลังการผ่าตัด ผู้ดูแลผู้ป่วยเมื่อแรกรับมีค่าเฉลี่ย 5.02 (range=0-10,S.D.=1.36) และก่อนจ าหน่ายมีค่าเฉลี่ย 7.22 (S.D.=1.20) เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนความรู้เมื่อแรกรับและก่อนจ าหน่ายด้วยสถิติ paired t-test พบว่าคะแนนความรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ (t=13.02, p=.000) 3.ผลลัพธ์ด้านบุคลากรสหสาขาวิชาชีพ 3.1การปฏิบัติตามแผนการดูแลของทีมสหสาขาวิชาชีพ ภายหลังการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วย จ านวน 50 คน พบว่า แพทย์ พยาบาลหอผู้ป่วย เภสัชกร นักกายภาพบ าบัด ปฏิบัติตามแผนได้ครบถ้วน 50 ราย (ร้อยละ 100.00) ทุกวันราชการที่มีการวางแผนจ าหน่าย และในแผนการดูแลได้รับการปฏิบัติ โดย บุคลากรพยาบาลเยี่ยมบ้าน/พยาบาลผู้จัดการรายกรณี ได้ร้อยละ 94.00 4.ผลลัพธ์ด้านชุมชน 4.1ความรู้ความเข้าใจและทักษะปฏิบัติตนเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องรายโรคหัวใจหลังการ ผ่าตัดของทีมสหสาขาวิชาชีพ โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล ก่อนอบรมมีคะแนนเฉลี่ย 10.31 (S.D.=2.29 ) ภายหลังการอบรมมีคะแนนเฉลี่ย 18.65 (S.D.=0.91) และเมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบ


26 ค่าเฉลี่ยด้วยสถิติone sample t-test พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ความความเข้าใจและทักษะการปฏิบัติ ตนของโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลก่อนและหลังการอบรมแตกต่างกันอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติ (t=57.08, p=.000) 4.2 ผลลัพธ์ที่เกิดจากการสร้างระบบการให้ค าปรึกษา และการช่วยเหลือช่องทางด่วน คือ ผู้ป่วย และผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถโทรศัพท์/ไลน์/แชทกับพยาบาลผู้จัดการรายกรณีและแพทย์ได้โดยตรง เกิดความ ต่อเนื่องรวดเร็วในการตอบข้อซักถามตามปัญหาหรือความต้องการของผู้ป่วยในการดูแล มีโอกาสตัดสินใจการ รักษา มีส่วนร่วมในการวางแผนดูแล เอื้อต่อการพัฒนาทักษะความสามารถ การฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย และผู้ดูแลในการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน น าแผนการดูแลไปสู่การปฏิบัติในเวลาที่เหมาะสม ปฏิบัติตนเองตาม แผนการรักษา ได้รับการเสริมพลังเพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีศักยภาพและความมั่นใจในการจัดการสุขภาพ ตนเอง การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ น ารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัดไปใช้ทั่วทั้งจังหวัดสุรินทร์และขยาย การพัฒนารูปแบบในสาขารายโรคอื่น ๆ อภิปรายผล ผลการพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัด 1. รูปแบบการดูแลต่อเนื่องใช้แนวคิดของ Clinical resource management models ตามกรอบ แนวคิดของ case management society of America5 โดยการผสมผสานจัดการทางคลินิกร่วมกับการ จัดการด้านทรัพยากร ผ่านกระบวนการประสานความร่วมมือของทีมสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง โดยการ บูรณาการนโยบายทุกระดับ เกิดผลลัพธ์การดูแล มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกทุกด้าน ผู้ป่วยและครอบครัว ชุมชน และสังคม 2. ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน หลังการพัฒนารูปแบบ คะแนนความสามารถในการ ปฏิบัติกิจกรรมจะสูงขึ้น6 โดยพบว่าผู้ป่วยได้รับการเยี่ยมบ้านโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ น าโดยศัลยแพทย์ พยาบาลหอผู้ป่วย เภสัชกร นักกายภาพบ าบัด พยาบาลวิสัญญี นักเทคโนโลยี พยาบาลชุมชน และพยาบาล วิชาชีพในพื้นที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล โรงพยาบาลชุมชน แสดงให้เห็นว่ามีการดูแลผู้ป่วยอย่าง ต่อเนื่องจากทีมสุขภาพ มีการเชื่อมต่อในทุกประเด็นการดูแลต่อเนื่อง Home programs, Care programs ตั้งแต่แรกรับจนถึงกลับบ้าน ร่วมกับการใช้สื่อการสอน ตามแนวความคิด Education therapy, Teaching back ให้จดจ าอย่างต่อเนื่องจะสามารถลดความพิการได้จริง 3. ค่ารักษาพยาบาลก่อนการพัฒนารูปแบบกับหลังพัฒนารูปแบบไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติ เนื่องจากบางรายจะมีโรคซับซ้อน ความรุนแรงของโรค และมีความผิดปกติของโรคหัวใจแตกต่างกัน ต้อง ใช้อุปกรณ์เครื่องมือในการรักษาพยาบาลแตกต่างกัน ท าให้ค่ารักษาไม่แตกต่างกันอย่างชัดเจน


27 4. ความรู้ความเข้าใจและทักษะปฏิบัติตนของผู้ดูแลผู้ป่วยขณะแรกรับพบว่ามีความบกพร่องด้าน ความรู้ความเข้าใจและมีทักษะการปฏิบัติ แต่เมื่อได้ให้ความรู้ความเข้าใจและฝึกทักษะแล้ว พบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วย สามารถตอบค าถามได้มากขึ้น ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง มั่นใจในการปฏิบัติดูแลผู้ป่วยมากขึ้น โดยพยาบาล ผู้จัดการรายกรณี เป็นที่ปรึกษา และให้ค าชี้แนะได้ตลอดเวลาเมื่อผู้ป่วยกลับถึงบ้านแล้ว 5. ผลเลือด การแข็งตัวของเลือด (Clinical outcome: INR=2-3) เฉลี่ยก่อนการพัฒนารูปแบบและ หลังการพัฒนารูปแบบที่ดีขึ้นอยู่ในเกณฑ์เป้าหมายของทีมสุขภาพ โดยเปรียบเทียบกับดัชนีตัวชี้วัดคุณภาพ บริการอยู่ที่ร้อยละ 50.00 แสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้ป่วย และผู้ดูแลผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจมีทักษะการปฏิบัติตน ในประเด็นการดูแลต่อเนื่อง Home programs, Care programs และมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม วิถีการ ด าเนินชีวิต เมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับบุคลากรทีมสหสาขาวิชาชีพที่ดูแลต่อเนื่องตั้งแต่ขณะอยู่ในการ รักษาตัวที่โรงพยาบาลจนกระทั่งถึงบ้านภายใต้กรอบแนวคิดการพยาบาลชุมชน โดยสามารถดูแลตนเองได้ ภายใต้ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมตามบริบทพื้นที่ นั่นแสดงว่า clinical outcome สามารถดูแลตนเองได้ มีความมั่นใจว่าผู้ป่วยปลอดภัยตามมาตรฐาน ข้อเสนอแนะ การน ารูปแบบการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคหัวใจหลังได้รับการผ่าตัดไปใช้ในงานบริการ 1.การติดตามการใช้ระบบการให้ค าปรึกษาเครือข่ายภายในจังหวัด ทั้งพยาบาลผู้รับผิดชอบราย โรคหัวใจโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลอย่างต่อเนื่อง 2.การประเมินความรู้ความเข้าใจและทักษะปฏิบัติตนของผู้ดูแลผู้ป่วยเมื่อมีการเปลี่ยนผู้ดูแลผู้ป่วย ใหม่ทุกครั้ง 3.ควรมีการประเมินความรู้ความเข้าใจและทักษะปฏิบัติตน ทุกปีหลังจ าหน่าย เพื่อประเมินการดูแล ตนเองได้ ผู้ป่วยมีความมั่นใจ และมีความสามารถในการดูแลตนเอง (Effective Self Care) ได้ดี เอกสารอ้างอิง ส านักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข. รายงานประจ าปี 2560 ส านักโรค ไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข.[อินเทอร์เน็ต].2560 [เข้าถึงเมื่อ 1 เม.ย. 2562] เข้าถึงได้จาก http://www.thaincd.com/document/file/download/papermanual/NCDReport60.pdf สถิติทะเบียนโรงพยาบาลสุรินทร์. สถิติทะเบียน โรงพยาบาลสุรินทร์ 2561. เอกสารอัดส าเนา; 2561. สถาบันประสาทวิทยา.แนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองส าหรับพยาบาลทั่วไป. กรุงเทพมหานคร : สถาบันประสาทวิทยา ชมรมพยาบาลโรคระบบประสาทแห่งประเทศไทย กรมการ แพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2550.


28 กองการพยาบาล ส านักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการจัดเก็บตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพ บริการ พยาบาลประจ าปีงบประมาณ 2561.[อินเทอร์เน็ต].2561 [เข้าถึงเมื่อ 1 เม.ย.2562] เข้าถึงได้ จาก https://www.don.go.th/?page_id=917 Case management society of America. Standards of practice for case management. [online]. 2010 [ cited 2014 Nov.12] ; Available from : http://www.cmsa.org/portals/0/pdf/memberlyonly/standardsofpractice.pdf สมคิด ปุณะศิริ, จินต์จุฑา รอดพาล, สมคิด ตรีราภี, และวิราวรรณ จันทมูล. ผลของการใช้โปรแกรม การเสริมสร้างพลังอ านาจต่อความสามารถในการดูแลสุขภาพของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. วารสารกองการพยาบาล 2552; 3 : 47-57.


29 กระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาล ในการดูแลแผลกดทับผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนของโรงพยาบาลมหาสารคาม ปารณีย์ มากดี/สุทธิรัตน์ บุษดี โรงพยาบาลมหาสารคาม บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนและผลการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการ ดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับในชุมชนของโรงพยาบาลมหาสารคามวิธีการศึกษา :เป็นการวิจัยเชิง ปฏิบัติการ (Action Research) พื้นที่วิจัยอ าเภอเมืองมหาสารคาม ผู้ร่วมด าเนินการวิจัยประกอบด้วย ผู้พัฒนา คุณภาพบริการพยาบาล จ านวน 60 คน และผู้ป่วยพร้อมผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับ 64คน รวม 124 คนการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย 1) ระยะเตรียมการศึกษาบริบท และวิเคราะห์สถานการณ์ 2) ระยะด าเนินการ ใช้แนวคิดของ Kemmis & McTaggart 3)ระยะประเมินผล ด าเนินการวิจัย เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 – เดือนมีนาคม พ.ศ.2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบจ าลองการเพิ่มประสิทธิภาพการ ดูแลแผลกดทับในชุมชนซึ่งได้พัฒนาปรับปรุงเป็นระยะๆให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ แบบประเมินความพึง พอใจตามกรอบ 7aspect แบบสัมภาษณ์วิเคราะห์สถานการณ์แผลกดทับในชุมชนแบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาด้วยความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา: พบว่า 1. กระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับในชุมชน มี 7 กระบวนการ คือ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ ได้ปัญหาสาเหตุและแผนงาน 2) พัฒนาการวางแผนจ าหน่ายและการส่งมอบผู้ป่วย ได้มีการเตรียมความพร้อมและเตรียมบ้าน 3)สร้างแบบจ าลองการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลแผลกดทับในชุมชน “PressureUlcers MSKHModel”มี 10เรื่อง 4) พัฒนาทักษะการดูแลแผลแก่ผู้ดูแลและเครือข่ายได้แกนน า ผู้เชี่ยวชาญด้านแผลในชุมชน 14 คน 5) สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์อย่างเพียงพอโดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการหาย ของแผล 6) จัดท าคู่มือการดูแลแผลกดทับ7)พัฒนาช่องทางการสื่อสาร ครอบคลุม แพทย์ เครือข่าย แกนน า ผู้ดูแล 2.ผลการพัฒนาพบว่าการดูแลแผลกดทับผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนมีคะเนนความพึงพอใจเฉลี่ย 4.44 อยู่ใน ระดับมาก และอัตราการหาย-ดีขึ้น ร้อยละ84.38 สรุปและข้อเสนอแนะ : ผู้ป่วยติดเตียงที่มีลักษณะแผลกดทับที่สามารถประเมินได้ ระดับ 2-4ได้รับการดูแล ตามแบบจ าลองการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลแผลกดทับในชุมชนโดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่และเครือข่าย การดูแลตลอดจนผู้ดูแล และมีช่องทางการสื่อสารที่สามารถติดต่อรายงานได้เมื่อเกิดปัญหา ส่งผลให้ผู้ป่วย ได้รับบริการพยาบาลที่มีคุณภาพและพึงพอใจ ค าส าคัญ: ผู้ป่วยติดเตียง,แผลกดทับ


30 บทน า แผลกดทับเป็นปัญหาสุขภาพที่ส าคัญมักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยติดเตียงที่มีข้อจ ากัดในการเคลื่อนไหว หรือไม่สามารถท ากิจกรรมต่างๆได้ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบริเวณปุ่มกระดูกต่างๆเช่นบริเวณหลังก้นกบสะโพกส้น เท้าล่องหูหรือแม้กระทั่งรูจมูกในผู้ป่วยที่ใส่อุปกรณ์ ซึ่งแผลกดทับในชุมชนระดับ 2-4 มีความรุนแรงมากอาจ ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งเกิดจากแรงกดเฉพาะที่บน ร่างกายร่วมกับมีแรงเสียดทานท าให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่ เพียงพอ เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนและเกิดเนื้อตาย1 จากสถานการณทั่วโลกพบการเกิดแผลกดทับมีอัตราที่เพิ่ม สูงขึ้นทุกป ซึ่งพบในผูปวยเรื้อรัง รอยละ 2.2 – 23.92 ในประเทศไทยพบมีการเกิดแผลกดทับ รอยละ 10.8 – 11.8 โดยที่พบวากลุมผูปวยสวนใหญเปนผู สูงอายุและกลุมผูปวยที่นอนโรงพยาบาลเปนระยะ เวลานาน 3 แผลกดทับที่สามารถป้องกันได้ คือ ความ รุนแรงระดับ 1 เนื่องจากยังไม่มีการลุกลามไปชั้นหนังแท้ส่วนถ้ามีการลุกลามของแผลถึงระดับ 2 การดูแลจะ ยากขึ้นและลุกลามไประดับ 3 ได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้นใน ระยะเวลาเพียง 1-6 วัน4 ปีงบประมาณ 2562-2564 โรงพยาบาลมหาสารคามได้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนซึ่งมีแผลกดทับ ระดับ 2 ขึ้นไป พบว่า มีอัตราการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียงเพิ่มมากขึ้น ปีงบประมาณ 2562 มีผู้ป่วยติด เตียง 197 คนมีแผลกดทับ 12 คน ร้อยละ6.09 ปี งบประมาณ2563 มีผู้ป่วยติดเตียง 220 คนมีแผลกดทับ 40 คน ร้อยละ 18.18 และ ปีงบประมาณ2564 มีผู้ป่วยติดเตียง 172 คน มีแผลกดทับ 37 คน ร้อยละ 21.51 (ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 132 คน เกิดแผลกดทับ 34 คน ร้อยละ25.75 เป็นผู้ป่วยติดเตียงมีอายุน้อยกว่า 60 ปี จ านวน 40 คน เกิดแผลกดทับ 3 คน ร้อยละ7.50 แบ่งเป็นแผลระดับ 2 จ านวน 15 ราย(เกิดจากใน รพ.13 ราย เกิดในชุมชน 12 ราย) แผลระดับ 3 จ านวน 6 ราย(เกิดจากในรพ. 5 ราย เกิดแผลในชุมชน 1 ราย) แผล ระดับ 4 จ านวน 6 ราย(เกิดจากในรพ. 4 ราย เกิดแผลในชุมชน 2 ราย)5 ซึ่งอัตราการเกิดแผลกดทับค่อนข้าง สูงและมีความยุ่งยากซับซ้อนในการดูแล คือญาติหรือผู้ดูแลต้องการดูแลแผลเองที่บ้านแต่ยังขาดความรู้และ ทักษะในการดูแลให้แผลหายและการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ า ขาดวัสดุ อุปกรณ์หรือได้รับการสนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์ ไม่ครบถ้วน ไม่เพียงพอ ขาดแนวปฏิบัติร่วมกันในการดูแลแผลทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและแก้ไข ปัญหาการดูแลแผลกดทับในชุมชน จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบแนวปฏิบัติทางคลินิกในการป้องกันการเกิดแผลกดทับ ประกอบด้วย การพยาบาลเพื่อลดแรงกด ระยะการกดทับ การลดแรงเสียดทาน การป้องกันการเปียกชื้นของ ผิวหนัง การดูแลด้านโภชนาการ การดูแลผู้ป่วยที่มีแผลกดทับระดับ1ขึ้นไป การให้ค าแนะน าและฝึกทักษะแก่ ญาติผู้ดูแล การบันทึกพยาบาลการรายงาน มี Flow ขั้นตอนในการใช้แนวปฏิบัติการใช้อุปกรณ์ นอนลม ที่ นอนเจล ที่นอนฟองน้ า ใช้ตารางพลิกตะแคงตัว นาฬิกาตะแคงตัว6 และสอดคล้องกับปัจจัยท านายการเกิด แผลกดทับโดยเฉพาะความชื้นของผิวหนัง แรงเสียดสีและแรงเฉือนและภาวะโภชนาการจะช่วยลดอุบัติการณ์ การเกิดแผลกดทับได้7 ตลอดจนการพัฒนาทักษะการดูแล8 เป็นสิ่งส าคัญ จึงมีความจ าเป็นต้องมี กระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับในชุมชนของโรงพยาบาล มหาสารคามขึ้น


31 วัตถุประสงค์การศึกษา 1. เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับใน ชุมชน ของโรงพยาบาลมหาสารคาม 2. เพื่อประเมินผลการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับใน ชุมชน ของโรงพยาบาลมหาสารคาม วิธีการศึกษา/การด าเนินงาน เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) พื้นที่วิจัยอ าเภอเมืองมหาสารคาม ผู้ร่วมด าเนินการ วิจัย 124 คน ประกอบด้วย1.ผู้พัฒนาคุณภาพบริการพยาบาล จ านวน 60 คน ประกอบด้วย แกนน า ผู้เชี่ยวชาญด้านแผลในชุมชนจ านวน14 คน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมหาสารคามและโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบล เครือข่ายโรงพยาบาลมหาสารคาม จ านวน 46คน 2.ผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับ 32คน 3. ประชากรที่ศึกษาคือผู้ป่วยติดเตียง 154 คน คัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงทั้งหมดโดยเป็นผู้ป่วยติด เตียงที่มีแผลกดทับ ที่อยู่ในพื้นที่อ าเภอเมืองมหาสารคาม 32 คน การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย 1) ระยะเตรียมการ ศึกษาบริบท และวิเคราะห์สถานการณ์ 2) ระยะด าเนินการ ใช้กรอบแนวคิดของ Kemmis & McTaggart 3)ระยะประเมินผล ด าเนินการวิจัย เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564 – เดือน มีนาคม พ.ศ.2565 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินระดับของการเกิดแผลกดทับ แบบบันทึก PUSH tool เครือข่ายโรงพยาบาลมหาสารคาม แบบประเมินของ Braden scale แบบประเมินภาวะโภชนาการ MNA แบบสัมภาษณ์วิเคราะห์สถานการณ์แผลกดทับในชุมชนแบบกึ่งโครงสร้าง และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบจ าลองการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลแผลกดทับในชุมชนซึ่งได้พัฒนาปรับปรุงเป็นระยะๆให้ สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ แบบประเมินความพึงพอใจตามกรอบ 7aspect แบบสัมภาษณ์วิเคราะห์ สถานการณ์แผลกดทับในชุมชนแบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาด้วยความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์เชิงเนื้อหาทั้งนี้ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลมหาสารคาม(COA No64/050 MSKH_REC 64-01-051) ลงวันที่ 1 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 ผลการศึกษา 1. กระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับในชุมชน ของ โรงพยาบาลมหาสารคาม มี 7 กระบวนการ คือ 1.1) วิเคราะห์สถานการณ์ โดยท า Focus Groupในผู้พัฒนา คุณภาพบริการพยาบาล ประกอบด้วย แกนน าผู้เชี่ยวชาญด้านแผลในชุมชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล มหาสารคามและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล เครือข่ายโรงพยาบาลมหาสารคาม ได้ปัญหา สาเหตุและ การจัดท าแผนงานในการพัฒนา 1.2) พัฒนาการวางแผนจ าหน่ายและการส่งมอบผู้ป่วย โดยการเชื่อมโยงการ ดูแลรักษาพยาบาลเตรียมความพร้อมและเตรียมบ้าน ระหว่างหน่วยบริการตติยภูมิกับปฐมภูมิ โดยร่วมกัน ระหว่างหอผู้ป่วย กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน และการส่งมอบสู่ชุมชน 1.3) สร้างแบบจ าลองการเพิ่ม ประสิทธิภาพการดูแลแผลกดทับในชุมชน “Pressure Ulcers MSKH Model”ประกอบด้วยแนวปฏิบัติ 10


32 เรื่อง ( การจัดท่าทาง โภชนาการ ผิวหนัง แรงกด การจัดการภาวะที่ควบคุมไม่ได้ การจัดการแผล การเตรียม ผู้ดูแล การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ช่องทางการรายงานความก้าวหน้าและมีเครือข่ายติดตาม 1.4) พัฒนา ทักษะการดูแลแผลแก่ผู้ดูแลและเครือข่าย โดยจัดให้มีแกนน าผู้เชี่ยวชาญด้านแผลในชุมชน 14คน 1.5) สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ได้แก่อุปกรณ์ วัสดุท าแผล ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการหายของแผลและระบบข้อมูลที่เป็น ความรู้เกี่ยวกับการดูแลแผล 1.6) จัดท าคู่มือการดูแลแผลกดทับโรงพยาบาลมหาสารคามเกี่ยวข้องกับแนว ปฏิบัติและภาพประกอบการท าแผล 1.7) พัฒนาช่องทางการสื่อสาร แบ่งเป็น 4 ช่องทาง คือ การสื่อสารกับ แพทย์ปฐมภูมิและแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมด้วยโปรแกรมคลินิกเยี่ยมบ้าน การสื่อสารกับผู้ดูแลด้วย Application Line “ศูนย์เยี่ยมบ้านโรงพยาบาลมหาสารคาม” การสื่อสารกับเครือข่ายแกนน าผู้เชี่ยวชาญด้าน แผลในชุมชน ด้วยApplication Line “ศูนย์ อสม./CG/อสม.หมอประจ าบ้าน เขตเมืองมหาสารคาม”การ สื่อสารกับเจ้าหน้าที่ด้วย Application Line “HHC/QAเครือข่าย รพ.มค” 2. ผลการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับในชุมชน ของ โรงพยาบาลมหาสารคาม พบว่า 2.1) อัตราการหายและดีขึ้นพบว่ามีผู้ป่วยติดเตียง 154 คนเกิดแผลกดทับ 32 คน (ร้อยละ 20.78) ประกอบด้วยผู้ป่วยติดเตียงทีมีอายุมากกว่า60ปี 125 คน เกิดแผลกดทับ 25 คน และเป็น ผู้ป่วยติดเตียงทีมีอายุน้อยกว่า 60 ปี 31 คนเกิดแผลกดทับ 7 คนทั้งหมดแบ่งเป็นแผลระดับ 2 จ านวน 20 คน (เกิดจากใน รพ.มค 13 คน เกิดในชุมชน 7 คน) ผลการดูแล แผลดีขึ้น 4 คน หาย 16 คน แผลระดับ 3 จ านวน 4 คน (เกิดจากใน รพ.มค ทั้งหมด) ผลการดูแลผู้ป่วยเสียชีวิตทั้งหมดจากโรคหลัก ทั้ง 4 คน แผล ระดับ 4 จ านวน 8 ราย(เกิดจากใน รพ.มค 5 ราย เกิดแผลในชุมชน 3 ราย) ผลการดูแล แผลดีขึ้น 7 คน เสียชีวิต 1 คนจากโรคหลักอัตราการหายและดีขึ้นร้อยละ84.38 (ผู้ป่วย 32 คน ดีขึ้น 11 คน หาย 16คน เสียชีวิต 5 คน เป็นผู้ป่วยที่มีโรคหลัก) 2.2) คะเนนความพึงพอใจ ใช้ 7aspect เป็นกรอบการประเมิน พบว่า คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ระดับมาก 4.44 อภิปราย กระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับในชุมชน ของ โรงพยาบาลมหาสารคาม ที่ส่งผลให้เกิดอัตราการหายและดีขึ้น การศึกษานี้แตกต่างจากการศึกษาที่ผ่านมาคือ มีแบบจ าลองการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลแผลกดทับในชุมชน “Pressure Ulcers MSKH Model”ซึ่งเป็นแนว ปฏิบัติที่ดีที่น าไปปฏิบัติในชุมชนโดยให้เครือข่าย แกนน าผู้เชี่ยวชาญด้านแผลในชุมชน และญาติได้ร่วมกันดูแล จัดการแผลทีมีความซับซ้อนร่วมกับการเพิ่มบทบาทกลุ่มงานการพยาบาลชุมชนในการร่วมวางแผนจ าหน่าย และการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการหายของแผลที่จัดให้ไปจากโรงพยาบาลอย่างเพียงพอ ตลอดจนมีช่องทางการสื่อสารสามารถแก้ไขปัญหาได้ความครอบคลุม ทันท่วงที ทั้งหมดเป็นกระบวนการที่ดี ส่งเสริมให้อัตราการหายและดีขึ้นร้อยละ84.38 ข้อเสนอแนะ การใช้แบบจ าลองการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแล แผลกดทับในชุมชน ในประเด็น การจัดการภาวะที่ควบคุมไม่ได้ เป็นส่วนส าคัญที่ควรศึกษาต่อยอดและพัฒนา ระบบบริการเรื่องนี้ให้มีแบบแผนที่ชัดเจนต่อไป


33 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ น ากระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทีมีแผลกดทับในชุมชน ของ โรงพยาบาลมหาสารคาม 7 กระบวนการ ไปเผยแพร่แก่เครือข่ายการดูแล“PressureUlcers MSKH Model” เอกสารอ้างอิง Salcido R.From Pressure Ulcers to “Pressure Injury”: Disambiguation and Anthropology. Advances in Skin & Wound Care 2016; 29(7) : 295. Gorecki C, Nixon J, Madill A, Firth J, Brown JM. What influences the impact of pressure ulcers on health-related quality of life? A qualitative patient-focused exploration of contributory factors. Journal of tissue viability 2012; 21(1): 3-12. ปัญญภัทร ภัทรกัณทากุล. ผลของการใช้นวัตกรรมที่ นอนยางรถเพื่อปูองกันแผลกดทับในผู้ป่วยที่มี ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ. วารสารพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข. 2555; 22(1): 48-60 บรรจงพร กันเผือก และคณะ. ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิก ส าหรับป้องกันการเกิด แผลกดทับในผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง หอผู้ปุวยอายุรกรรมหญิง 1 โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก. พยาบาลสาร 2553; 37(2) : 155-69. กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลมหาสารคาม.เอกสารรายงานประจ าปี กลุ่มงานการ พยาบาลชุมชน โรงพยาบาลมหาสารคาม ปีงบประมาณ 2564. งานการพยาบาลที่บ้านและชุมชน 2564. พัชรินทร์ ค านวลและคณะ.ผลของแนวปฏิบัติทางคลินิกส าหรับป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วย กลุ่มเสี่ยง โรงพยาบาลพะเยา.วารสารหัวหินสุขใจไกลกังวล 2561;3(2) : 89-101 ช่อผกา สุทธิพงศ์และศิริอร สินธุ.ปัจจัยท านายการเกิดแผลกดทับในผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง ที่ ไม่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย.วารสารพยาบาลศาสตร์ 2554; 29(2) : 113-23. จิณพิชญ์ชา มะมม. ผลของรูปแบบการพัฒนาทักษะการดูแลต่อการหายของแผลในผู้ป่วยทีมีแผล กดทับ.วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2556; 21(7).


34 การพัฒนารูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองบ้านส่องนางใย พงพรรณ กาละนิโย สุรนันท์ กลิ่นศรีสุข ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองบ้านส่องนางใย ต าบลตลาด อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์ และพัฒนา รูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายและศึกษาผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบ โดยศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง ที่เลือก สุ่มแบบง่าย ประกอบด้วย คนพิการกับญาติผู้ดูแล จ านวน 20คน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการคนพิการ ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ 3คน นักกายภาพบ าบัด 2คน ผู้น าชุมชน 2คน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) 5คน เจ้าหน้าที่เทศบาล 2คน ประชาชนที่เป็นจิตอาสา 2คน การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะที่1 เป็นระยะ เตรียมการของการสร้างรูปแบบการดูแล ระยะที่2 เป็นระยะด าเนินการการพัฒนารูปแบบการดูแลคนพิการใน ชุมชนแบบภาคีเครือข่ายโดยใช้ขบวนการ PAOR 4 ขั้นตอน ตามแนวคิดของ Kemmis&Mc Taggart และระยะที่ 3 เป็นระยะการประเมินผล การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึกการสังเกตแบบมีส่วน ร่วม วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา ได้รูปแบบการดูแลคน พิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายที่เป็นรูปธรรม 5 ขั้นตอน 3 คุณลักษณะ คือ 1) การประชุมวางแผนแต่งตั้ง คณะกรรมการและคณะท างาน 2)การส ารวจปัญหาและความต้องการ 3)การร่วมแก้ไข้ปัญหา และปฏิบัติตามรูปแบบ การดูแลที่พึงประสงค์4) การร่วมประเมินผลจากการปฏิบัติ 5) การถอดบทเรียน และการพัฒนาต่อเนื่องเพื่อ ความยั่งยืน และมีคุณลักษณะเด่น 3 คุณลักษณะ คือ 1) การท างานเป็นทีม 2)การมีส่วนร่วม และ 3) ภาคีเครือข่าย เข้มแข็ง ส าหรับผลการพัฒนารูปแบบในครั้งนี้พบว่าคนพิการมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ดูแล และญาติรู้สึกเป็นภาระใน การดูแลน้อยลง ภาคีเครือข่ายมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น และยังสามารถน าไปใช้เป็นแนวทางแก่พยาบาล และ บุคลากรทางสุขภาพในการสร้างเสริมสุขภาพแก่ผู้พิการที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละชุมชน ข้อเสนอแนะจาก การศึกษาพบว่ารูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายเป็นรูปแบบที่ส าคัญที่บุคลากรด้านสุขภาพ สามารถที่จะน าไปประยุกต์ใช้เพื่อท าให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการดูแลคนพิการ และผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ ในชุมชนต่อไป ค าส าคัญ :การพัฒนารูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่าย, การดูแลคนพิการในชุมชน บทน า คนพิการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ จากการส ารวจสุขภาพของบุคคลทั่วโลก พบว่า มีคนพิการ ประมาณร้อยละ 15.6 ของประชากรทั้งหมด (World Health Organization, 2011) ส าหรับประเทศไทย มีคนพิการ ประมาณ 1.6 ล้านราย (ส านักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ, 2558) จังหวัดมหาสารคามมีคน พิการ 28,538 คน และมีคนพิการ 751คนในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม (ส านักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์จังหวัดมหาสารคาม, 2563)ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองบ้านส่องนางใยมีคนพิการ 242คน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน2563) ซึ่งจากความพิการที่เป็นอยู่ และสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ไม่เอื้ออ านวยส่งผลให้คนพิการ ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านสุขภาพ และปัญหาเหล่านี้ถ้าไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลือ อาจทวีความรุนแรงขึ้นใน อนาคต กลยุทธ์ส าคัญที่จะช่วยในการป้องกัน และเพิ่มความสามารถของคนพิการ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


Click to View FlipBook Version