The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

35 และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ตามกฎบัตรออตตาวา (Ottawa charter) ได้ก าหนดกลยุทธ์ในการสร้างเสริมสุขภาพ 5 ด้าน คือ การสร้างนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ การสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อเอื้อต่อสุขภาพ การเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่ชุมชน การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ และการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล ดังนั้น การด าเนินงานสร้างเสริม สุขภาพแก่คนพิการจะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนจ าเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชน และ ผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การค้นหาปัญหาหรือความต้องการ การวิเคราะห์ และจัดล าดับความส าคัญของปัญหา การ วางแผน การด าเนินงาน และการประเมินผล ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการพัฒนารูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชน แบบภาคีเครือข่ายศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองบ้านส่องนางใยเป็นการพัฒนางาน เพื่อให้คนพิการในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ ดี ซึ่งผลการศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นแนวทางแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนางานด้านการสร้าง เสริมสุขภาพแก่คนพิการต่อไป วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์ และสภาพปัญหาของคนพิการในชุมชน 2)เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลคน พิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่าย3)เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบ ระเบียบวิธีวิจัย เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 36 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบการ สุ่มอย่างง่าย ประกอบด้วย คนพิการกับญาติผู้ดูแล จ านวน 20คน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ด้านคนพิการ ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ3 คน นักกายภาพบ าบัด 2คน ผู้น าชุมชน 2คน และอาสาสมัคร สาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน 5คน เจ้าหน้าที่เทศบาล จ านวน 2 คน ประชาชนที่เป็นจิตอาสา 2คน การวิจัย แบ่งเป็น 3 ระยะที่1เป็นระยะเตรียมการของการสร้างรูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่าย ระยะที่ 2 เป็นระยะด าเนินการการพัฒนารูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายโดยใช้ขบวนการ PAORตามแนวคิดของ Kemmis&Mc Taggartและระยะที่ 3 เป็นระยะการประเมินผลของการใช้รูปแบบ การเก็บ รวบรวมข้อมูลใช้ วิธีการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ สถิติเชิงพรรณนาและวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา จริยธรรม ผลการศึกษา พบว่า ได้รูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายที่เป็นรูปธรรม 5 ขั้นตอน 3 คุณลักษณะ คือ 1) การประชุมวางแผนแต่งตั้งคณะกรรมการ และคณะท างาน 2) การส ารวจปัญหา และความ ต้องการ 3) การร่วมแก้ไข้ปัญหาปฏิบัติตามรูปแบบการดูแลที่พึงประสงค์ 4) การร่วมประเมินผลจากการ ปฏิบัติ5) การถอดบทเรียน และการพัฒนาต่อเนื่อง และมีคุณลักษณะเด่น 3 คุณลักษณะ คือ 1) การท างาน เป็นทีม 2) การมีส่วนร่วม และ 3) ภาคีเครือข่ายความเข้มแข็ง ส าหรับผลการพัฒนารูปแบบในครั้งนี้พบว่าคน พิการมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ดูแล และญาติรู้สึกเป็นภาระในการดูแลน้อยลง ภาคีเครือข่ายมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น และ


36 ยังสามารถน าไปใช้เป็นแนวทางแก่พยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ ในการสร้างเสริมสุขภาพแก่คนพิการที่เหมาะสม กับบริบทของแต่ละชุมชน การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ ลดปัญหาคนพิการในพื้นที่เกิดรูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายน ามาใช้ในการ ดูแลคนพิการในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคามเขตรับผิดชอบของศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองบ้านส่องนางใย และมี การขยายผลน ารูปแบบที่ได้เป็นแนวทางการจัดบริการฟื้นฟูสภาพด้วยงบประมาณของเทศบาลเมือง มหาสารคาม อภิปรายผล การพัฒนารูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองบ้านส่องนาง ใยพบว่ารูปแบบการดูแลคนพิการในชุมชนแบบภาคีเครือข่ายที่เป็นรูปธรรม 5 ขั้นตอน 3 คุณลักษณะซึ่ง สอดคล้องกับกฎบัตรออตตาวา (Ottawa charter) เนื่องจากการแก้ไขปัญหาให้กับคนพิการไม่อาจที่จะท าได้โดย หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะต้องอาศัยการบูรณาการของทุกภาคส่วนแบบมีส่วนร่วม การก าหนดนโยบายที่เอื้อต่อ สุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนพิการ การสร้างสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อสุขภาพ การพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน จึงเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน การพัฒนาทักษะส่วนบุคคลให้คนพิการ และผู้ดูแลให้มีศักยภาพ และการปรับ ระบบบริการสุขภาพจึงจะท าให้งานประสบผลส าเร็จท าให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้อเสนอแนะ ควรมีการติดตามประเมินผลระยะยาวเพื่อดูความยั่งยืน และควรน ากระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของกลุ่มอื่นๆ ในชุมชนต่อไป เอกสารอ้างอิง รัชนี สรรเสริญ.การฟิ้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชน: กลยุทธ์หลักเพื่อการดูแลคนพิการ,วารสารการ พยาบาลและการศึกษา: ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (2012): January-April ศิรินาถ ตงศิริ. แนวทางการน าฐานข้อมูลสมรรถนะของคนพิการไปใช้ในการส่งเสริมและพัฒนา คุณภาพชีวิต คนพิการในชุมชน.วารสารวิจัยสาธารณสุข 2556;7(1);99-113


37 การศึกษาอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 ของกลุ่มผู้ป่วย ที่เข้าระบบ การรักษาในชุมชน อ าเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี สราวุฒิ โสภาณะโสม กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน กลุ่มภารกิจด้านบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม บทคัดย่อ จากสถานการณ์โควิด-19 พื้นที่อ าเภอเดชอุดม พบผู้ป่วยที่รักษาหายเพิ่มมากขึ้น แต่พบว่ามีอาการผิดปกติ หรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid-19) หลังจากรักษาหายแล้ว โดยเฉพาะผู้ป่วยโควิด-19 ในชุมชนอ าเภอเดชอุดม การวิจัยครั้งนี้จึงต้องการศึกษาอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็น โควิด-19 (Long Covid -19) ของระบบการรักษาในชุมชน พื้นที่อ าเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี, และศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) กับระยะเวลา การเข้ารับการรักษา และประวัติการได้รับวัคซีนโควิด-19 การวิจัยนี้เป็นการส ารวจ (Survey Research) การติดตาม ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยหลังติดเชื้อโควิด 19 ภายหลังรักษาหายแล้วที่ไม่น้อยกว่า 4 สัปดาห์ ในกลุ่มผู้ป่วยติด เชื้อโควิด-19 ยืนยันผลตรวจด้วยวิธี ATK ที่เข้าระบบการรักษาในชุมชน ระหว่างวันที่ 4 เดือนมกราคม –วันที่ 31 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2565กลุ่มตัวอย่างที่เก็บจริงจ านวน 450 ราย เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ ระหว่างวันที่ 5 เดือนพฤษภาคม –วันที่ 20 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 โดยประยุกต์ใช้แบบประเมินภาวะ Long COVID-19 ของ กรมการแพทย์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา และ สถิติไคสแควร์ (X 2 ) โดยผลการศึกษา พบผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ หรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) จ านวน 366 ราย ร้อยละ 81.33 รักษาด้วยยาฟ้า ทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) จ านวน 120 ราย คิดเป็นร้อยละ 26.67 มีอาการผิดปกติหรือ ภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) คิดเป็นร้อยละ 73.33 และรักษาด้วยยา favipiravir จ านวน 330 ราย คิดเป็นร้อยละ 73.33 มีอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) คิดเป็นร้อยละ 84.24 อาการที่พบบ่อย ได้แก่ อ่อนเพลีย (ร้อยละ 31.97) ไอ (ร้อยละ 24.32) อาการหายใจ ล าบาก (ร้อยละ 10.93) ความจ าสั้น (ร้อยละ 7.65) ปวดศีรษะ (ร้อยละ 4.37) เจ็บหน้าอกและผมร่วง (ร้อยละ 3.28) หนาวสั่น หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ สมองล้า นอนไม่หลับ ท้องเสียบ่อย มีผื่นขึ้น และปวดกล้ามเนื้อ (ร้อยละ 2.19) ใจสั่น จมูกไม่ได้กลิ่น/ลิ้นไม่ได้รส วิตกกังวล กลืนล าบาก ตามองเห็นไม่ชัด (ร้อยละ 0.82) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า อาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาการ เข้ารับการรักษาอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p = 0.000) แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับประวัติการได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติ จากผลการศึกษานี้ สามารถเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแนวปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วย COVID19 ในพื้นที่อ าเภอเดชอุดมต่อไป ค าส าคัญ:อาการหลังติดเชื้อโควิด-19, โควิด-19


38 บทน า จากสถานการณ์โควิด-19 อ าเภอเดชอุดมอยู่ในอันดับที่ 4 ของจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีจ านวน ผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1-20 มกราคม พ.ศ.2565 ผู้ป่วยยืนยันสะสม 21,027 ราย (ศูนย์ ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดอุบลราชธานี, 2565)1 ข้อมูลวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2565 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการประกาศแนวทางปฏิบัติส าหรับบุคลากร ทางการแพทย์ในการให้ค าแนะน าผู้ป่วยและการจัดบริการผู้ป่วยโควิด-19 แบบ Home Isolation ส าหรับ เกณฑ์การจ่ายยาไวรัสในผู้ป่วย COVID-19 ของจังหวัดอุบลราชธานี พิจารณาจ่ายยาต้านไวรัส และให้ฟ้า ทะลายโจรหรือกระชายขาว และยาบรรเทาอาการตามเกณฑ์การรักษา (ศูนย์ EOC ส านักงานสาธารณสุข จังหวัดอุบลราธานี, 2565)2 นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของโรงพยาบาลนครปฐม พบว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรต่อ การร่วมรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงน้อย ช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการแสดงโค วิด-19 ได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับเพียงการรักษามาตรฐานเพียงอย่างเดียว (ดารารัตน์ รัตนรักษ์, 2564)3 และยังมี งานทบทวนวรรณกรรม พบว่ายาต้านไวรัสจะมีประสิทธิภาพอย่างมาก เมื่อเริ่มให้ยาเร็วที่สุด และสามารถลด การเสียชีวิตของผู้ป่วย COVID-19 ได้ (Charan Thej Reddy Vegivinti, 2565)4 การลดความรุนแรงของเชื้อ COVID-19 ได้อีกวิธีหนึ่งคือการฉีดวัคซีนป้องกัน (Kenichiro Takahashi, 2565)5 ถึงแม้ว่ายอดผู้ป่วย COVID-19 ที่รักษาหายจะมีจ านวนมากขึ้น แต่พบว่ามีอาการผิดปกติหรือ ภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Post COVID syndrome) หรือ ภาวะ Long COVID หลังจาก รักษาหายแล้ว โดยอาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นใหม่ หรือเป็นอาการที่หลงเหลืออยู่หลังรักษาหาย จากผลส ารวจ ของ Office of National Statistics (ONS) สหราชอาณาจักร พบว่า จากกลุ่มตัวอย่างจ านวน 1.2 ล้านคนที่ อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ความชุกของผู้มีภาวะลองโควิดอยู่ที่ร้อยละ 95 (Priya Venkatesan, 2556)6 และจากรายงานของวารสารศูนย์อนามัยที่ 9 ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2565 พบว่า ผู้ป่วย จ านวน 202 คน มีความชุกภาวะหลังการติดเชื้อโควิด-19 ร้อยละ 64.87 (เมธาวี หวังชาลาบวร, 2565)7 ซึ่ง อาการสามารถเกิดได้ในทุกระบบของร่างกาย ตั้งแต่ระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบ ประสาท ระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพจิต โดยมักพบมีอาการภายหลังได้รับเชื้อ 4 ถึง 12 สัปดาห์โดยอาการที่ พบสามารถดีขึ้นหรือแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไปได้หรือมีการกลับเป็นซ้ าใหม่ได้ (กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข, 2564)8 อาการภาวะหลังการติดเชื้อโควิด-19 ที่พบได้บ่อยคือ อาการผมร่วง ภาวะเมื่อยล้าภาย หลังจากการท ากิจกรรม อาการหายใจล าบาก อาการเหนื่อยล้า และ อาการนอนไม่หลับ ตามล าดับ ซึ่งเพศ หญิงมีแนวโน้มที่จะมีอาการภาวะหลังการติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าผู้ป่วยชาย (เมธาวี หวังชาลาบวร, 2565)7 อ าเภอเดชอุดม มีจ านวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 ที่เข้าระบบการรักษาในชุมชน ที่รักษาหายแล้ว เพิ่มขึ้น และมีอาการหลงเหลือจากการรักษาหายแล้ว จึงต้องการทราบถึงภาวะ long COVID ที่เกิดขึ้นกับ ผู้ป่วยโควิด-19 ในชุมชนอ าเภอเดชอุดม ว่ามีอาการอะไรบ้างและส่งผลกระทบต่อการด าเนินชีวิตของผู้ป่วยใน แง่มุมใดบ้าง เพื่อน ามาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแนวปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ในพื้นที่ อ าเภอเดชอุดมต่อไป


39 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาการเข้ารับการรักษา และประวัติการได้รับวัคซีนโควิด -19 กับ อาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) วิธีด าเนินการวิจัย รูปแบบการวิจัย วิจัยเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) และ หาความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาการเข้ารับการรักษา และประวัติการได้รับวัคซีนโควิด-19 กับอาการผิดปกติหรือ ภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันผลตรวจด้วยวิธี ATK หลังรักษาหายแล้วไม่น้อยกว่า 4 สัปดาห์ อ าเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 4 เดือน มกราคม –วันที่ 31 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 จ านวน 5,666 ราย กลุ่มตัวอย่างในการ วิจัย สูตรในการค านวณของ Daniel, W.W. & Cross, C.L. (2013). Biostatistics: A foundation for analysis in health sciences (10th ed.). USA: John Wiley $ Sons.ดังนั้น กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ 412.34 ราย ปรับเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เก็บจริง 450 ราย จริยธรรม สถานที่ท าการวิจัยอ าเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เครื่องมือวิจัย แบบประเมินภาวะ Long COVID-19 ในผู้ที่เคยป่วยเป็นโควิด-19 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล และ ปัจจัยที่ทบทวนงานวิจัยและแนวคิดพบว่ามีผลต่อการเกิดอาการ Long Covid-19 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1. ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ของแบบประเมิน ใช้ (IOC: Index of item Objective Congruence)โดยผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 ท่าน ได้ค่า IOC = 0.91 2. หาค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha reliability coefficient) ได้ค่า Reliability = 0.80 วิธีการเก็บข้อมูล จากการสอบถามอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) ทาง โทรศัพท์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบ ไคสแควร์ Chi -square (X 2 )


40 ระยะเวลาในการด าเนินงานวิจัย วันที่ 5 เดือน พฤษภาคม –วันที่ 20 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2565 ผลการศึกษา จากผลการศึกษาพบผู้ป่วยมีอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) จ านวน 366 ราย ร้อยละ 81.33 รักษาด้วยยาฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) จ านวน 120 ราย คิดเป็น ร้อยละ 26.67 มีอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) จ านวน 88 ราย คิด เป็นร้อยละ 73.33 และรักษาด้วยยา favipiravir จ านวน 330 ราย คิดเป็นร้อยละ 73.33 มีอาการผิดปกติหรือ ภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) จ านวน 278 ราย คิดเป็นร้อยละ 84.24 อาการที่พบบ่อย ได้แก่ อ่อนเพลีย (ร้อยละ 31.97) ไอ (ร้อยละ 24.32) อาการหายใจล าบาก ความจ าสั้น (ร้อยละ 7.65) ปวดศีรษะ (ร้อยละ 4.37) เจ็บหน้าอกและผมร่วง (ร้อยละ 3.28) หนาวสั่น หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ สมองล้า นอนไม่หลับ ท้องเสียบ่อย มีผื่นขึ้น และปวดกล้ามเนื้อ (ร้อยละ 2.19) ใจสั่น จมูกไม่ได้กลิ่น/ลิ้นไม่ได้รส วิตกกังวล กลืนล าบาก ตามองเห็นไม่ชัด (ร้อยละ 0.82) ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในวันที่ 1 หลังตรวจพบเชื้อโควิด-19 มีจ านวน 364 ราย มีอาการผิดปกติหรือ ภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) จ านวน 275 ราย (ร้อยละ 75.55) มีอาการตั้งแต่ 2 อาการ ขึ้นไป จ านวน 179 ราย (ร้อยละ 65.09)ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาหลังตรวจพบเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 2 ขึ้นไป มีจ านวน 86 ราย มีอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) จ านวน 76 ราย (ร้อยละ 88.37) มีอาการตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไป จ านวน 66 ราย (ร้อยละ 86.84) ส่วนผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 มีจ านวน 34 ราย มี อาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) จ านวน 24 ราย (ร้อยละ 70.59) มี อาการตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไป จ านวน 24 ราย (ร้อยละ 100.00)ผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่ 1 เข็มขึ้นไปมีจ านวน 416 ราย มีอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) จ านวน 335 ราย (ร้อยละ 80.52) มีอาการตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไป จ านวน 221ราย (ร้อยละ 65.97) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่าอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาการเข้ารับการรักษา ไม่มีความสัมพันธ์กับประวัติการได้รับวัคซีนโควิด-19 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ ทราบอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) และผลการรักษาการ ใช้ยาที่แตกต่างกัน เพื่อใช้ในการวางแผนแนวทางการให้ค าแนะน าแก่ผู้ป่วยหลังติดเชื้อ Covid-19และลดความวิตกกังวลใน ชุมชน การอภิปรายผล โดยจะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับการรักษาเร็วจะส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติภายหลังการรักษามีอาการน้อย แต่ผู้ที่ได้รับ วัคซีนแล้ว ยังมีอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long Covid -19) และอาการรุนแรงน้อย กว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน จากผลการศึกษานี้สามารถเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแนวปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ในพื้นที่อ าเภอเดชอุดม และกระตุ้นให้ประชาชนสนใจเข้ารับวัคซีนเพิ่มขึ้น


41 ข้อเสนอแนะ อาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโรควิด-19 ของระบบการรักษาในชุมชน พื้นที่อ าเภอเดช อุดม จังหวัดอุบลราชธานีที่พบนั้น สอดคล้องกับระยะการเข้ารับการรักษา แต่ไม่สอดคล้องกับการรับวัคซีน เพื่อเป็นการ พัฒนาแนวปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ในพื้นที่อ าเภอเดชอุดม เมื่อตรวจพบเชื้อผู้ป่วยควรได้รับการรักษาทันที่ และควรมีการกระตุ้นให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยให้ความรู้ว่า วัคซีนไม่ได้ป้องกันการติดอย่างแน่นอน แต่สามารถลดความรุนแรงขณะได้รับเชื้อ และส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการป่วยเป็นโควิด-19 (Long COVID) น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้มีข้อจ ากัดหลายประการ ขาดการเก็บข้อมูลพฤติกรรมบางกลุ่มเช่น การสูบบุหรี่เป็น ประจ า หรือกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจ ที่อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจได้ข้อมูล อาการโดยพื้นฐานของผู้ป่วยเดิมแต่ละคนก่อนการติดเชื้อการเพื่อให้มีข้อมูลในการเปรียบเทียบ ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่ม ข้อสรุปที่แม่นย าให้กับงานศึกษาอื่นๆต่อไปได้ และด้วยแนวโน้มของอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนภายหลังการติดเชื้อ โควิด-19 สามารถหลงเหลืออยู่เกินกว่า 1 ปี จึงท าให้การศึกษาติดตามภาวะหลังการติดเชื้อโควิด-19 ของผู้ป่วย จึงมี ความส าคัญ เอกสารอ้างอิง ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดอุบลราชธานี. (2565). จ านวนผู้ป่วย COVID-19 การระบาดระลอกเดือนมกราคม 2565 จ.อุบลราชธานี. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565, จากเว็บไซต์ http://mis.phoubon.in.th/web/index.php?r=site%2Fampur1 ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดอุบลราชธานี. (2565). ส าหรับเกณฑ์การจ่ายยาไวรัสในผู้ป่วย COVID-19 ของจังหวัดอุบลราชธานี. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565, จากเว็บไซต์: https://www.facebook.com/photo/?fbid=343765347790222&set=a.3082935446707362 ดารารัตน์ รัตนรักษ์, รุจิรา เข็มเพชร, อุษณีย์ พูลวิวัฒนกูล และคณะ. ประสิทธิผลและความปลอดภัย ของสารสกัดฟ้าทะลายโจรต่อการร่วมรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงน้อย โรงพยาบาล นครปฐม. วารสารแพทย์เขต 4-5 2564;40:279.3 Charan Thej Reddy Vegivinti, Kirk W. Evanson, Hannah Lyons; et al. Efcacy of antiviral therapies for COVID-19: a systematic review of randomized controlled trials. BMC Infectious Diseases Diseases [Internet]. 2022 [cited] 2022 May 20]; 22(107), 1. doi: 10.1186/s12879-022-07068-0.4


42 Kenichiro Takahashi, Masahiro Ishikane, Mugen Ujiie; et al. Duration of Infectious Virus Shedding by SARS-CoV-2 Omicron Variant–Infected Vaccinees. Emerging Infectious Diseases [Internet].2022 [cited] 2022 May 20]; 28:5. DOI: 10.3201/eid2805.2201975 Priya Venkatesan. (2022). Do vaccines protect from long COVID?. The lancet respiratory medicine Diseases [Internet].2022 [cited] 2022 May 20]; 10(3), 30. DOI:https://doi.org/10.1016/S2213-2600(22)00020-0 6 เมธาวี หวังชาลาบวร, ศรัณย์ วีระเมธาชัย, ธนกมณ ลีศรี. ความชุกของภาวะหลังการติดเชื้อโควิด-19 ในผู้ป่วยที่มีประวัติติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากการติดตามที่ระยะ 3 เดือนหลังการติดเชื้อ. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 2565;16:265.7 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 หลังรักษาหาย (POST COVID SYNDROME) หรือภาวะ LONG COVID ส าหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข [อินเตอร์เน็ต]. นนทบุรี: กรมการแพทย์; 2565 [เข้าถึงเมื่อ 20 พฤษภาคม 2565]. เข้าถึงได้จาก: https://covid19.dms.go.th/Content/Select_Landding_page?contentId=1578


43 ผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ านาจในผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุ ต่อความเครียด ความรู้ และ พฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 อ าเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย นิพนธ์ จิตอนุกูล รพ.สต.บ้านหนองกก อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังทดลองเพื่อศึกษาผลของ โปรแกรมเสริมสร้างพลังอ านาจในผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุ ต่อความเครียด ความรู้ และพฤติกรรมการ ป้องกันโรคโควิด-19 อ าเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ระยะเวลา 12 สัปดาห์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อ เปรียบเทียบระดับความเครียด ระดับความรู้และพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นผู้สูงอายุ กลุ่ม ตัวอย่าง เป็นกลุ่มทดลองจ านวน 35 คน กลุ่มควบคุม 35 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเสริมพลังอ านาจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติทดสอบ Paired Simple t-test และIndependent t-test ผลการวิจัยพบว่าระดับความเครียดกลุ่มทดลองก่อนและหลังทดลองและระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมหลังทดลองแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p< .05 ระดับความรู้กลุ่มทดลองก่อน และหลังการทดลองและระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ p<.05 พฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 กลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลองและระหว่างกลุ่ม ทดลองกับกลุ่มควบคุมหลังทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p< .05 สรุปผลการทดลอง แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ านาจ สามารถปรับเปลี่ยนระดับความความเครียด ความรู้ และ พฤติกรรมสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิมได้ บทน า โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดขึ้นเมื่อตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุที่ท าให้ผู้ป่วย เสียชีวิตจ านวน 1.5 ล้านคนหรือร้อยละ 48.0 ก่อนอายุ 70 ปี (WHO, 2021) เป็นโรคที่ส่งผลกระทบท าให้ ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งทางร่างกาย เช่น ภาวะแทรกซ้อนทางตา ไต และเท้า ทางด้านจิตใจ ผู้ป่วยมีภาวะ เครียด วิตกกังวล ขาดความรู้ความเข้าใจ ผู้ป่วยหลายรายมีพฤติกรรมสุขภาพไม่ถูกต้องไม่สามารถควบคุม ระดับน้ าตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ และในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็น โรคติดต่อร้ายแรงที่เกิดจากระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลกและท าให้ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 3.8 ล้านคนทั่วโลก เป็นปัญหาวิกฤติทางสุขภาพทั่วโลก (กรมควบคุมโรค,กระทรวง สาธารณสุข,2564) การศึกษาหลายการศึกษาให้ผลสอดคล้องกันว่านอกจากภาวะสูงอายุแล้ว ผู้ป่วยที่มีการติด เชื้อซึ่งเป็นสาเหตุการโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีโรคอื่นร่วมด้วย จะมีอาการแสดงที่รุนแรงและมีความ เสี่ยงต่ออัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่ไม่มีโรคร่วมด้วย โดยโรคที่พบร่วมซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุด คือ โรคเบาหวาน (Chee YJ, Tan SK, Yeoh E., 2020) จากการทบทวนวรรณกรรมสถานการณ์โรคเบาหวาน พบว่า อัตราป่วยโรคเบาหวานต่อประชากรแสนคนจังหวัดสุโขทัยระหว่างปี งบประมาณ 2559 -2563 เท่ากับ 8,954.58, 9,160.45, 9,883.58, 9,846.86 และ 10,404.18 ตามล าดับ อัตราป่วยโรคเบาหวานต่อประชากร


44 แสนคนอ าเภอคีรีมาศ ระหว่างปี งบประมาณ 2559 -2563 เท่ากับ 8,752.25, 8,868.01, 9,361.26, 9,414.66 และ 9,239.68 จากข้อมูลดังกล่าวท าให้เห็นว่าโรคเบาหวานยังคงเป็นปัญหาที่ส าคัญทางด้าน สาธารณสุขของอ าเภอคีรีมาศ (ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย, 2564) จากสถานการณ์การระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ท าให้รัฐบาลของแต่ประเทศทั่วโลกมีความจ าเป็นที่จะต้องน ามาตรการต่าง ๆ มาใช้เพื่อควบคุมการระบาดของโรค ส่งผลกระทบท าให้ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนวิถีการด าเนินชีวิต รวมถึง ผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ซึ่งการปรับเปลี่ยนวิถีการด าเนินชีวิตเหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อทางกายเท่านั้นแต่ยังมี ผลกระทบต่อจิตใจของผู้ป่วยด้วย (Holmes et al., 2020; Whitehead, 2020) ส่งผลท าให้ผู้ป่วยมีความวิตก กังวลเพิ่มขึ้น มีภาวะซึมเศร้า และเกิดความเครียดจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Flesia et al., 2020; Wang et al., 2020) ภาวะเครียดท าให้ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถควบคุมระดับ น้ าตาลในเลือดได้และส่งผลท าให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆตามมาอีกมากมาย (Wagner et.al, 2018) และ ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 มีการปรับระบบการให้บริการผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยการส่งยาไปให้ผู้ป่วยที่ บ้าน ผู้ป่วยไม่ได้มารับยา/พบแพทย์ตามปกติ ส่งผลท าให้ผู้ป่วยเบาหวานมีความเครียด วิตกกังวล ขาดความรู้ ความเข้าใจในการดูแลตนเองในระหว่างการระบาดของโรคโควิด -19 Gibson กล่าวถึงการเสริมสร้างพลังอ านาจว่าเป็นกระบวนการทางสังคมที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้มีความ ตระหนัก มีการเสริมสร้างและดึงเอาความสามารถของตนเองมาใช้เพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ตนเองต้องการ สามารถ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองได้และสามารถเคลื่อนย้ายแหล่งข้อมูลที่จ าเป็นเพื่อให้รู้สึกว่าสามารถควบคุม ชีวิตของตนเองได้ (Gibson, 1995) การเสริมสร้างพลังอ านาจจะเป็นวิธีการท าให้ผู้ป่วยได้มองเห็นปัญหา สะท้อนคิดเพื่อการวิเคราะห์ปัญหาและมีส่วนร่วมในการก าหนดเป้าหมายในการแก้ปัญหาของตนเอง การ เสริมสร้างพลังอ านาจในผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการปฏิบัติงานเพื่อการบรรลุสุขภาวะของ ผู้ป่วย ครอบครัวและชุมชน เป็นกระบวนการที่มีการใช้กันมากขึ้นและได้รับการยอมรับในความคุ้มทุนและ คุ้มค่าในการดูแลสุขภาพ เป็นการส่งเสริมความสามารถให้แก่บุคคล โดยส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้เป็นหุ้นส่วนในการ ดูแลสุขภาพร่วมกับทีมสุขภาพโดยให้ผู้ป่วยมีอิสระและมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจในการดูแลสุขภาพของ ตนเอง เช่น การวิจัยของ อุไรวรรณ พานทอง และ พัชราภรณ์ ขจรวัฒนากุล (2563) พบคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ เกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน หลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p <.05) การวิจัยของ เพ็ญศรี รอดพรม, นฤมล จันทร์สุข และ นันตพร ทองเต็ม (2565) พบค่าเฉลี่ย พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มทดลองหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่า กลุ่มควบคุม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p < .01 จากผลการวิจัยจะเห็นได้ว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยใช้แนวคิดเสริมสร้างพลังอ านาจตามแนวคิดของกิบสันนั้นส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วย โรคเบาหวานได้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจน าแนวคิดการเสริมสร้างพลังอ านาจกับผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุใน สถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาใช้เป็นแนวคิดในการออกแบบโปรแกรม เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ความเครียดและความรู้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุ ของอ าเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย


45 ผู้วิจัยในบทบาทพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติหน้าที่ให้การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานในชุมชนได้เล็งเห็น ความส าคัญในการแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการวิจัยและเพื่อให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุมีพฤติกรรมการ ป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีความเหมาะสมกับโรคของตนเองซึ่งจะส่งผลต่อภาวะสุขภาพที่ดีของผู้ป่วยต่อไป โดย ผลจากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้จะเป็นแนวทางให้พยาบาลวิชาชีพและบุคลากรทางด้านสุขภาพได้น าแนวทางใน การศึกษาวิจัยเพื่อให้การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุไปใช้กับผู้ป่วยรายอื่น ๆ ต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ านาจในผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุ ต่อความเครียด ความรู้ และพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 อ าเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย วิธีด าเนินการวิจัย เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experiment research) แบบสองกลุ่มวัดสองครั้ง ก่อนและ หลังการทดลอง (Two Groups Pretest-Posttest Design) ได้รับการพิจารณาและรับรองจากคณะกรรมการ จริยธรรมการวิจัยด้านสาธารณสุขในมนุษย์ จังหวัดสุโขทัย (COA No.48/2021 IRB No.52/2021) เพื่อศึกษา ผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ านาจในผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุ ต่อความเครียด ความรู้ และพฤติกรรม การป้องกันโรคโควิด-19 อ าเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย โดยกลุ่มทดลองเข้าร่วมกิจกรรมตามโปรแกรม เสริมสร้างพลังอ านาจ เป็นเวลา 2 วัน และมีการติดตามผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ก่อนและหลังการทดลอง จ านวน 2 ครั้งโดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพในสัปดาห์ที่1และ12 ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการให้การพยาบาลตามระบบปกติ และติดตามประเมินผลเมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 12 ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่อยู่ในเขตพื้นที่ของ อ าเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย จ านวน 1,209 คน หากลุ่มตัวอย่างโดยการค านวณด้วยโปรแกรม G* Power ได้กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 70 คน หลังจากค านวนกลุ่มตัวอย่างและคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์การคัดเข้า แบ่งกลุ่มตัวอย่าง เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 35 คน โดยการจับฉลากเลือก 2 ต าบลจาก 10 ต าบลในเขต อ าเภอ คีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ได้ต าบลโตนดเป็นกลุ่มทดลองและต าบลศรีคีรีมาศเป็นกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.โปรแกรมเสริมสร้างพลังอ านาจ ประกอบด้วยกิจกรรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน 4 กิจกรรมคือ 1) การค้นพบสภาพการณ์จริง โดยจัดกิจกรรมให้ความรู้สถานการณ์โรคโควิด-19 และผลกระทบที่เกิดกับผู้ป่วย โรคเบาหวานสูงอายุเพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีความตระหนักในปัญหาและเกิดความเข้าใจในการเกิดโรค 2) การ สะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยการส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถประเมินระดับความเครียด ความรู้และสาเหตุ ของการติดเชื้อโรคโควิด-19 ด้วยตนเอง 3) การตัดสินใจลงมือปฏิบัติ โดยการกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ตัดสินใจเลือก


46 วิธีการปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีความเหมาะสมกับตนเอง 4) คงไว้ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ อย่างมีประสิทธิภาพโดยการส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถด ารงไว้ซึ่งความรู้สึกถึงอ านาจในการควบคุมตนเองและ เลือกวิธีการปฏิบัติให้เหมาะสมได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ มีความสามารถในการปฏิบัติพฤติกรรมการ ป้องกันโรคโควิด-19 สามารถดูแลตนเองได้และคลายความเครียด มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และการติดตามเยี่ยม บ้านจ านวน 2 ครั้ง 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคโค วิด-19 ในผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวาน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมิน ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความรู้เรื่องโรคโควิด-19 ส่วนที่ 3 แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ส่วนที่ 4 แบบประเมินความเครียด (ST-5) การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โปรแกรมเสริมสร้างพลังอ านาจ แบบสอบถามความรู้เรื่องโรคโควิด-19 แบบสอบถามพฤติกรรม การป้องกันโรคโควิด-19 หาค่าดัชนีความตรงของเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่านได้เท่ากับ 0.87 แบบสอบถาม ความรู้เรื่องโรคโควิด-19 หาอ านาจการจ าแนกได้เท่ากับ 0.72 ผู้วิจัยน าไปทดลองใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน สูงอายุที่มีลักษณะคล้ายกันกับผู้ป่วยไตเรื้อรังในกลุ่มตัวอย่างที่จะใช้ในการศึกษาวิจัย โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาของครอนบราคได้เท่ากับ 0.84 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงอนุมาน (Referential Statistics) ใช้สถิติทดสอบ Paired Simple t-test เปรียบเทียบภายในกลุ่มก่อนและหลังการทดลอง Independent T Test เปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม ผลการวิจัย ตาราง 1 แสดงค่าเฉลี่ยค่าเฉลี่ย ความเครียด ความรู้ และพฤติกรรมสุขภาพภายในกลุ่มทดลองและระหว่าง กลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมก่อนการทดลองและหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ Mean S.D. t p-value ความเครียดกลุ่มทดลอง ก่อนการทดลอง (n=35) หลังการทดลอง (n=35) ความเครียดระหว่างกลุ่ม ก่อนการทดลองกลุ่มทดลอง (n=35) ก่อนการทดลองกลุ่มควบคุม(n=35) หลังการทดลองกลุ่มทดลอง (n=35) หลังการทดลองกลุ่มควบคุม (n=35) 5.89 2.74 5.89 6.00 2.74 7.37 .867 .657 .867 .939 .657 .998 18.516 .529 22.679 .04* .917 .03**


47 ความรู้กลุ่มทดลอง ก่อนการทดลอง (n=35) หลังการทดลอง (n=35) ความรู้ระหว่างกลุ่ม ก่อนการทดลองกลุ่มทดลอง (n=35) ก่อนการทดลองกลุ่มควบคุม (n=35) หลังการทดลองกลุ่มทดลอง (n=35) หลังการทดลองกลุ่มควบคุม(n=35) 10.77 17.97 10.77 10.43 17.97 10.14 2.545 1.294 2.545 2.465 1.294 2.031 21.329 .573 19.228 .04* .876 .03** พฤติกรรมกลุ่มทดลอง ก่อนการทดลอง(n=35) หลังการทดลอง(n=35) พฤติกรรมระหว่างกลุ่ม ก่อนการทดลองกลุ่มทดลอง (n=35) ก่อนการทดลองกลุ่มควบคุม (n=35) หลังการทดลองกลุ่มทดลอง (n=35) หลังการทดลองกลุ่มควบคุม (n=35) 38.06 65.43 38.06 40.14 65.43 49.09 3.842 2.693 3.842 2.713 2.693 4.931 41.480 2.623 17.208 .02* .132 .03** * p-value จากค่าสถิติทดสอบ Paired Simple t-test **p-value จากค่าสถิติทดสอบ Independent T-test สรุปผลการศึกษา จากตาราง 1 พบว่าระดับความเครียดกลุ่มทดลองก่อนและหลังทดลองและระหว่างกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุมหลังทดลองแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p< .05 ระดับความรู้กลุ่มทดลองก่อนและ หลังการทดลองและระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ p<.05 พฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 กลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลองและระหว่างกลุ่ม ทดลองกับกลุ่มควบคุมหลังทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p< .05 การอภิปรายผล กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ านาจภายใต้ชุดของกิจกรรมที่ท าให้กลุ่มทดลองได้เข้า ร่วมกิจกรรมตามโปรแกรมซึ่งประกอบไปด้วย 1) การค้นพบสภาพการณ์จริง โดยจัดกิจกรรมให้ความรู้ สถานการณ์โรคโควิด-19 และผลกระทบที่เกิดกับผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงอายุเพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีความ ตระหนักในปัญหาและเกิดความเข้าใจในการเกิดโรค 2) การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยการส่งเสริมให้ ผู้ป่วยสามารถประเมินระดับความเครียด ความรู้และสาเหตุของการติดเชื้อโรคโควิด-19 ด้วยตนเอง 3) การ ตัดสินใจลงมือปฏิบัติ โดยการกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ตัดสินใจเลือกวิธีการปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19


48 ที่มีความเหมาะสมกับตนเอง 4) คงไว้ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพโดยการส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถ ด ารงไว้ซึ่งความรู้สึกถึงอ านาจในการควบคุมตนเองและเลือกวิธีการปฏิบัติให้เหมาะสมได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ ผู้ป่วยมีความรู้ มีความสามารถในการปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 สามารถดูแลตนเองได้และ คลายความเครียด มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และการติดตามเยี่ยมบ้านจ านวน 2 ครั้ง จนน าไปสู่ความมุ่งมั่นต่อการ ปฏิบัติพฤติกรรม ส่งผลให้กลุ่มทดลองเกิดผลลัพธ์คือระดับความเครียด ระดับความรู้และพฤติกรรมการป้องกัน โรคโควิด-19 ก่อนทดลองและหลังทดลอง 12 สัปดาห์ แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิจัยของกรัยรัชช์ นาคข า และ ศิริพันธุ์ สาสัตย์ (2562) ผลการวิจัยพบว่าผู้สูงอายุกลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมการเสริมสร้าง พลังอ านาจและการออกก าลังกายแบบต้านแรงมีภาวะเปราะบางลดลงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ p< .05 และสอดคล้องกับการวิจัยของ จารวี คณิตาภิลักษณ์, ทศพร ค าผลศิริ และลินจง โปธิ บาล (2563) ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองหลังได้รับโปรแกรมการ เสริมสร้างพลังอ านาจสูงกว่าก่อนการได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ (p < .05) คุณภาพชีวิตของ ผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอ านาจสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ โปรแกรมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ (p < .05) และสอดคล้องกับการวิจัยของ ศิริมา สาระนันท (2563) ผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยความรู้และความสามารถของผู้ดูแลเด็กก่อนได้รับโปรแกรม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติ (p< 0.001 และ p< 0.001 ตามล าดับ) และสอดคล้องกับการวิจัยของ ปรียารัตน์ รัตนวิบูลย์ และ ศุ ภาว์ เผือกเทศ (2563) ผลการวิจัยพบว่าจ านวนวัยรุ่นหลังคลอดที่เข้าร่วมโปรแกรมการสร้างเสริมพลังอ านาจ เลือกฝังยาคุมก าเนิดมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (x^2 = 6.054, p < .05) ข้อเสนอแนะ 1.ควรมีการติดตามผลของโปรแกรมการวิจัยในครั้งนี้ในกลุ่มทดลองในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นเช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อติดตามและศึกษาเปรียบเทียบความยั่งยืนของโปรแกรม และควรส่งเสริมสนับสนุนให้ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขน าโปรแกรมไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานสูงอายุ และผู้ป่วยโรคอื่น ๆ เพื่อให้สามารถคลายความเครียด มีความรู้และมีพฤติกรรมป้องกันโรคโควิด-19ที่มีความ เหมาะสมกับโรคของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม 2.ควรน าผลการศึกษาวิจัยนี้ไปใช้เพื่อเป็นแนวทางการศึกษาในผู้ป่วยโรคเบาหวานในกลุ่มอายุต่าง ๆ หรือในผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่น ๆ ต่อไป เอกสารอ้างอิง กรมควบคุมโรค. (2564). สถานการณ์ผู้ติดเชื้อ covid-19 ภายในประเทศ. สืบค้นจาก https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ วันที่ 20 ตุลาคม 2564. กรัยรัชช์ นาคข า และ ศิริพันธุ์ สาสัตย์. (2562). ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอ านาจและการ ออกก าลังกายแบบต้านแรงต่อภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุในชุมชน. วารสารแพทย์นาวี. 46(1), 149-164.


49 จารวี คณิตาภิลักษณ์, ทศพร ค าผลศิริ และลินจง โปธิบาล. (2563). ผลของโปรแกรมการเสริมสร้าง พลังอ านาจต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง. พยาบาลสาร. 47(1), 222-230. ปรียารัตน์ รัตนวิบูลย์ และ ศุภาว์ เผือกเทศ. (2563). ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมพลังอ านาจ ร่วมกับการให้ความรู้ผ่านสื่ออินโฟกราฟิกต่อการตัดสินใจคุมก าเนิดโดยการฝังยาคุมก าเนิดเพื่อป้องกัน การตั้งครรภ์ซ้ าในวัยรุ่น. วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย.13(2), 241-256. ศิริมา สาระนันท. (2563). ผลของโปรแกรมเสริมพลังอ านาจ ผู้แลต่อความรู้ความสามารถในการดูแล เด็กโรคปอดเรื้อรัง. วารสารการแพทย์ โรงพยาบาลอุดรธานี. 28(3), 374-383. ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย. (2564). สถานการณ์ผู้ติดเชื้อ covid-19 จังหวัดสุโขทัย. สืบค้น จาก https://www.skto.moph.go.th/home.php วันที่ 28 ตุลาคม 2564. Chee YJ, Tan SK, Yeoh E. (2020). Dissecting the interaction between COVID 19 and diabetes mellitus. Journal of diabetes investigation. 11(5): 1104-14. Flesia, L., Monaro, M., Mazza, C., Fietta, V., Colicino, E., Segatto, B., Roma, P. (2020). Predicting perceived stress related to the COVID-19 outbreak through stable psychological traits and machine learning models. J. Clin. Med. 9 (10), 3350. Gibson, C. H. (1995). The process of empowerment in mothers of chronically ill children. Journal of Advanced Nursing. 21(6), 1201-1210. Holmes, E.A., O’Connor, R.C., Perry, V.H., Tracey, I., Wessely, S., Arseneault, L., Ballard, C., Christensen, H., Silver, R.C., Everall, I., Ford, T., John, A., Kabir, T., King, K., Madan, I., Michie, S., Przybylski, A.K., Shafran, R., Sweeney, A., Bullmore, E. (2020). Multidisciplinary research priorities for the COVID-19 pandemic: a call for action for mental health science. Lancet Psychiatry 7 (6), 547–560. Wagner, Julie; Armeli, Stephen; Tennen, Howard; Bermudez-Millan, Angela; PérezEscamilla, Rafael (2018). Effects of stress management and relaxation training on the relationship between diabetes symptoms and affect among Latinos. Psychology & Health, (), 1–19. World Health Organization. (2021). Diabetes. Retrieved from: https://www.who.int/news- room/fact-sheets/detail/diabetes.


50 ผลของโปรแกรมพัฒนาทุนชีวิตในการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น อ าเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี อุไรวรรณ ฐิติวัฒนากูล รพ.สต.โคกเทียม อ าเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี บทน า สถานการณ์การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นปัญหาที่ทั่วโลกตื่นตัวและให้ความส าคัญที่จะป้องกันและแก้ไข ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประสบปัญหาอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย ในจังหวัดอุบลราชธานี พบอัตราการคลอดในวัยรุ่นอายุ 10-14 ปี เท่ากับ 1.4, 1.4, 1.1, 1.0 และ 1.2 ต่อประชากรพันคน กลุ่มอายุ 15-19 ปี เท่ากับ 46.1, 43.6, 42.1, 38.7 และ 35.4 ต่อประชากรพันคน (1 ) โดยเฉพาะอ าเภอนาจะหลวย พบอัตราการคลอดในวัยรุ่นสูงเป็นอันดับหนึ่งของจังหวัด อุบลราชธานี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559-2562 โดยในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-19 ปีมีอัตราการคลอดเท่ากับ 31.7, 34.6, 24.9 และ 29.3 ต่อประชากรพันคน (2 ) จากข้อมูลดังกล่าวถึงแม้จะมีอัตราการคลอดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ ยังเกินเกณฑ์ คือ ไม่เกิน 25.0 ต่อประชากรพันคน การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ส่งผลกระทบทั้งต่อมารดา ทารก ครอบครัว สังคม และเศรษฐกิจ กล่าวคือ จะเพิ่มอุบัติการณ์การเกิดภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์การคลอดก่อนก าหนด ( 3 ) และยังส่งผลทางด้านจิตใจ ท า ให้เกิดภาวะเครียด ในรายที่ตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ จะเกิดความรู้สึกอาย หวาดระแวง เนื่องจากต้องปกปิด เกิด ตราบาปฝังลึกในจิตใจ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสังคม ได้แก่ การขาดโอกาสในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ขาด โอกาสในการท างาน และขาดรายได้และมารดาวัยรุ่นอาจไม่สามารถท าหน้าที่ตามบทบาทได้อย่างเต็มที่ ท าให้ การเลี้ยงดูบุตรที่เกิดมาไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร และเด็กถูกทอดทิ้งเพิ่มขึ้น ( 4 ) จากการทบทวนวรรณกรรม เกี่ยวกับสาเหตุและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พบว่า เกิดจากปัจจัยทั้งด้านตัววัยรุ่นเอง ด้าน ครอบครัว ด้านเพื่อน ด้านการศึกษา และด้านสังคมวัฒนธรรม ผู้วิจัยจึงได้น าแนวคิดทุนชีวิต(5 ) มาใช้ในการจัด กิจกรรม ซึ่งประกอบด้วยพลัง 5 ด้าน คือ พลังตัวตน พลังครอบครัว พลังสร้างปัญญา พลังเพื่อนและกิจกรรม และพลังชุมชน ร่วมกับแนวคิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม(6 ) ที่มีองค์ประกอบดังนี้ 1) ประสบการณ์ ผู้สอนช่วย ให้นักเรียนน าประสบการณ์ของตน มาพัฒนาเป็นองค์ความรู้ 2) การสะท้อนคิด ผู้สอนช่วยให้นักเรียนได้มี โอกาสแสดงออก เพื่อแลกเปลี่ยนและอภิปรายความคิดเห็นและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน 3) ความคิดรวบยอด เกิด การเข้าใจ น าไปสู่ความคิดรวบยอด อาจเกิดขึ้นโดยนักเรียนเป็นผู้ริเริ่ม แล้วผู้สอนช่วยเติมแต่งให้สมบูรณ์ และ 4) การทดลองและประยุกต์แนวคิด โดยน าเอาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นใหม่ไปประยุกต์ใช้ ทั้งนี้เพื่อให้วัยรุ่นรู้เท่าทัน เรื่องเพศ เมื่อเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้น และสามารถแก้ปัญหาหรือหาทางออกที่ดีที่สุดได้ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบทุนชีวิตและพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ภายในกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังการทดลอง 2. เพื่อเปรียบเทียบทุนชีวิตและพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังการทดลอง


51 ระเบียบวิธีวิจัย เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง(Quasi-Experimental Design) แบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง (Two Groups Pretest – Posttest) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนหญิงที่ก าลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2564 อ าเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานีจ านวน 157 คน ค านวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ Power analysis (Cohen, 1988)(7 ) ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 16 คน เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้หญิงทั้งหมด ใน กลุ่มทดลองจึงได้คัดเลือดนักเรียนหญิงทั้งหมดจ านวน 1 ห้อง คือ 16 คน แต่ในกลุ่มเปรียบเทียบมีผู้หญิงเพียง 15 คน ดังนั้นกลุ่มเปรียบเทียบ 15 คน รวมขนาดกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 31คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมพัฒนาทุนชีวิต ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาขึ้นโดยใช้แนวคิดทุน ชีวิต (Life assets) (8 ) ประกอบด้วย ทุนชีวิต จ านวน 5 ด้าน และใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (6 ) ใช้ ระยะเวลาด าเนินการ 6 ครั้งใน 6 สัปดาห์ ครั้งละประมาณ 3 ชั่วโมง ประกอบด้วยกิจกรรม ดังนี้1) กิจกรรม การปฐมนิเทศ และสร้างสัมพันธภาพ ให้ความรู้เรื่องพฤติกรรมทางเพศ ทุนชีวิต สถานการณ์ และผลกระทบ จากการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 2) กิจกรรมพัฒนาทุนชีวิตด้านพลังตัวตน เพื่อให้ ตระหนักถึงคุณค่าและเห็น ความส าคัญของตนเอง 3) กิจกรรมพัฒนาทุนชีวิตด้านพลังครอบครัว เพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่าง ผู้ปกครองกับวัยรุ่นในการสื่อสารเรื่องเพศในครอบครัว 4) กิจกรรมพัฒนาทุนชีวิตด้านพลังสร้างปัญญา เพื่อให้มี ความรู้ และทักษะในการจัดการอารมณ์ทางเพศ มีความรู้เรื่องการคุมก าเนิด 5) กิจกรรมพัฒนาทุนชีวิตด้านพลัง เพื่อนและกิจกรรม เพื่อการส่งเสริมทักษะการแก้ไขปัญหา การตัดสินใจ การให้ค าปรึกษาเบื้องต้น และการให้ ความช่วยเหลือเพื่อน 6) การพัฒนาทุนชีวิตด้านพลังชุมชน ร่วมกิจกรรมจิตอาสาในชุมชน รวมทั้งส่งเสริมความ เข้มแข็งทางใจ การสร้างความผูกพันในชุมชน สื่อและอุปกรณ์ที่ใช้ ได้แก่ สไลด์ประกอบการบรรยาย วีดีทัศน์ หนังสั้น ใบความรู้ และใบงาน หุ่นจ าลองอวัยวะเพศชาย อุปกรณ์คุมก าเนิด ตัวแบบมีชีวิต ได้แก่ ปราชญ์ ชาวบ้าน (หมอท าขวัญ) อุปกรณ์เครื่องเขียน และอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ผ้าปิดตา สมุนไพรใช้ปลูก 10 ชนิด พาน บายศรีสู่ขวัญ 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป 9 ข้อ ส่วนที่ 2 แบบสอบถามทุนชีวิต 48 ข้อ ส่วนที่ 3 แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 12 ข้อ ซึ่งดัดแปลงมาจากบุษกร กนแกม (2562) ( 9 ) ประกอบด้วย การปิดโอกาสต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงของตนเอง การคุมก าเนิด และการผ่อนคลายความต้องการทางเพศ


52 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1) การตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (Content validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 5 ท่าน โดย ใช้เกณฑ์ คือ .80 ขึ้นไป (10) ดังนี้ (1) โปรแกรมพัฒนาทุนชีวิต (2) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป (3) แบบสอบถาม ทุนชีวิต และ (4) แบบสอบถามพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น มีค่า CVI เท่ากับ 0.97, 0.95, 1.0 และ 1.0 ตามล าดับ 2) การหาค่าความเที่ยงของเครื่องมือ (Reliability) โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ ครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) ของแบบสอบถามทุนชีวิต และแบบสอบถามพฤติกรรมการ ป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ได้เท่ากับ .820 และ .822 ตามล าดับ การเก็บรวบรวมข้อมูล มีเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนการทดลองทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามทุนชีวิต และพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ด าเนินการ ทดลองโดยกลุ่มเปรียบเทียบเรียนตามปกติในชั้นเรียน ส่วนกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมพัฒนาทุนชีวิต 6 ครั้ง ๆ ละ 3 ชั่วโมง ใช้ระยะเวลา 7 สัปดาห์ และเก็บข้อมูลหลังการทดลองด้วยแบบสอบถามชุดเดิมในสัปดาห์ที่ 7 ด าเนินการ เดือนธันวาคม 2564 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2565 จริยธรรมวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ได้ผ่านการพิจารณารับรอง จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เอกสารรับรองเลขที่ 23/2564 ลงวันที่ 30 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 พิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง โดยเก็บรักษาข้อมูลไว้เป็นความลับ ใช้รหัสแทนชื่อและ นามสกุลจริง น าเสนอเป็นภาพรวม ไม่ระบุชื่อ กลุ่มตัวอย่างมีสิทธิ์ถอนตัวเมื่อใดก็ได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ ล่วงหน้า โดยจะไม่มีผลกระทบ ใด ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลทั่วไปวิเคราะห์โดย การแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนทุนชีวิตและ พฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ ในวัยรุ่นด้วยสถิติ Nonparametric คือ Wilcoxon matched pairs signed rank test และ สถิติ MannWhitney U test ผลการวิจัย พบว่า 1) ข้อมูลทั่วไป ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ มีอายุ 14 ปีทุกคน คิดเป็นร้อยละ 100.0 ส่วน ใหญ่พักอาศัยอยู่กับบิดามารดา ร้อยละ 56.2 และร้อยละ 53.3 ตามล าดับ สถานภาพสมรสของบิดาและมารดา คือ อยู่ด้วยกัน ร้อยละ 75.0 และร้อยละ 66.7 ตามล าดับ ผู้ปกครองประกอบอาชีพเกษตรกรรมร้อยละ 56.2 และร้อยละ 53.3 ตามล าดับ ส่วนใหญ่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่และใช้เหตุผล ร้อยละ 62.5 และร้อย ละ 60.0 ตามล าดับ ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นแบบแบบดีบ้างไม่ดีบ้าง ร้อยละ 81.2 และร้อยละ 73.3 ตามล าดับ กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบส่วนใหญ่มีแฟนหรือคนรักแล้ว ร้อยละ 68.7 และร้อยละ 66.7 ตามล าดับ ส าหรับกิจกรรมที่กลุ่มทดลองกระท ามากที่สุดเมื่อมีอารมณ์ทางเพศ คือ ฟังเพลง ร้อยละ 81.2


53 และเมื่อมีความเครียดจะใช้วิธีคลายเครียดโดย การอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ร้อยละ 37.5 ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบ เมื่อเกิดความรู้สึกหรือมีอารมณ์ทางเพศจะท ากิจกรรม คือ ฟังเพลง ร้อยละ 80.0 และวิธีผ่อนคลายเมื่อเกิด ความเครียด คือ การอยู่เงียบ ๆ คนเดียว 2) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของทุนชีวิตและพฤติกรรมการป้องกันการ ตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังการทดลอง มีผลดังนี้ 2.1) ภายในกลุ่ม พบว่า กลุ่มทดลองก่อนทดลองมีค่าเฉลี่ยทุนชีวิตอยู่ในระดับค่อนข้างน้อย ( X = 75.94, SD. = 22.65) ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอยู่ในระดับปานกลาง ( X = 46.43, SD. = 9.44) หลังทดลอง มีค่าเฉลี่ยทุนชีวิตเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับดีมาก ( X = 126.50, SD. = 6.47) ค่าเฉลี่ย พฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเพิ่มขึ้นเป็นระดับสูง ( X = 57.31, SD. = 3.61) เมื่อเปรียบเทียบความ แตกต่างก่อนและหลังทดลอง พบว่า หลังทดลองมีค่าเฉลี่ยทุนชีวิตและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น สูงกว่าก่อนทดลอง และแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนทดลอง มีค่าเฉลี่ยทุนชีวิตอยู่ในระดับค่อนข้างน้อย ( X = 85.00, SD. = 23.03) ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ ในวัยรุ่นอยู่ในระดับปานกลาง ( X = 48.46, SD. = 6.79) หลังทดลอง มีค่าเฉลี่ยทุนชีวิตเท่าเดิมในระดับ ค่อนข้างน้อย ( X = 83.53, SD. = 24.17) ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเท่าเดิมในระดับปาน กลาง ( X = 48.73, SD. = 6.20) เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังทดลอง พบว่า หลังทดลองมี ค่าเฉลี่ยทุนชีวิตและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเท่ากับก่อนทดลองและไม่แตกต่างกันอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .001 2.2) ระหว่างกลุ่ม พบว่าหลังทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยค่าเฉลี่ยทุนชีวิตเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับดีมาก ( X = 126.50, SD. = 6.47) และพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเพิ่มขึ้นมาในระดับสูง ( X = 57.31, SD. = 3.61) ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับค่อนข้างน้อย ( X = 83.53, SD. = 24.17) และระดับ ปานกลางเท่าเดิม ( X = 48.73, SD. = 6.20) ตามล าดับ เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยทุนชีวิต และพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยสูง กว่ากลุ่มเปรียบเทียบและแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับp = .01 อภิปรายผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของทุนชีวิต และพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์สูงกว่า ก่อนทดลอง อธิบายได้ดังนี้การเปลี่ยนแปลงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และ การพัฒนาทุนชีวิตแก่วัยรุ่นกลุ่มทดลอง ท าให้วัยรุ่นในกลุ่มทดลองมีทุนชีวิตและพฤติกรรมการป้องกันการ ตั้งครรภ์ที่ดีขึ้นกว่าก่อนทดลอง ทั้งนี้เนื่องจากกิจกรรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นได้น าแนวคิดทุนชีวิต (Life assets) ของ สุริยเดว ทรีปาตี (2559) ( 8 ) มาใช้ในการจัดกิจกรรม ร่วมกับการใช้กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นการมี ส่วนร่วมของผู้เรียน ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ การใช้ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน การสะท้อนคิด เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ และเกิดความคิดรวบยอด และน าเอาสิ่งที่ได้รับ ไปประยุกต์ใช้จนเกิดเป็นการ ปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกิจกรรมที่พัฒนาทุนชีวิตนี้เป็นกิจกรรมที่เพิ่มพลัง


54 บวกให้แก่วัยรุ่น โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่น ครอบครัว เพื่อน และชุมชน ในการพัฒนาทุนชีวิตทั้ง 5 พลัง ซึ่งจะน าไปสู่การแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสม และมีพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ใน วัยรุ่นอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องงานวิจัยขอลกชนิภา นราพินิจ (2559) ( 11 ) ท าให้ทุนชีวิตของกลุ่มทดลองเข้มแข็ง ยิ่งขึ้น ช่วยให้วัยรุ่นกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสม และสามารถปฏิบัติในการป้องกันการตั้งครรภ์ ในวัยรุ่นได้ 2. จากกิจกรรมพัฒนาทุนชีวิตข้างต้น เป็นกิจกรรมที่ให้พลังบวกแก่วัยรุ่นกลุ่มทดลอง ทั้งด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคม ได้รับการเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ปกครอง ได้ฝึกช่วยกันแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ ที่ก าหนด ฝึกการสื่อสารเรื่องเพศในครอบครัว ได้เรียนรู้ถึงการคุมก าเนิด ได้ฝึกทักษะที่จ าเป็น เช่น ทักษะการ ปฏิเสธ ได้ร่วมกิจกรรมจิตอาสาในชุมชน ท าให้กลุ่มทดลองมีทุนชีวิตที่เข้มแข็ง มีการปฏิบัติพฤติกรรมการ ป้องกันการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้น ท าให้วัยรุ่นกลุ่มทดลองเกิดความมั่นใจในตนเอง มีความรับผิดชอบต่อบทบาท หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากกลุ่ม เกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจและการแก้ปัญหา ส่งผลท าให้มี ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าเด็กรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และมี วินัยในตนเองไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยง ( 12 ) 3. ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับความรู้เรื่องเพศศึกษาในชั้นเรียนโดยครูประจ าวิชา ไม่ได้รับการพัฒนา ทุนชีวิตทั้ง 5 พลัง ไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และแนวทางในการ ป้องกันการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่ได้มีการฝึกทักษะที่จ าเป็นที่จะน าไปใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ เช่น ทักษะการ ปฏิเสธ ทักษะการเลือกใช้วิธิการคุมก าเนิดชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับการสอนด้วยการบรรยายจาก ครูผู้สอนเพียงอย่างเดียว ผู้เรียนไม่ได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ไม่ได้ใช้ประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ของผู้เรียนมาใช้ใน การวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งทุนชีวิตเป็นพลังที่วัยรุ่นต้องได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็ง เพื่อช่วยให้วัยรุ่นมีปัจจัยป้องกัน พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญในการด าเนินชีวิต ดังนั้นหลังการทดลองจึงพบว่า คะแนนเฉลี่ยทุนชีวิตและ พฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของกลุ่มเปรียบเทียบยังอยู่ในระดับปานกลางเท่าเดิม และน้อยกว่า กลุ่มทดลอง สรุปได้ว่า โปรแกรมพัฒนาทุนชีวิต สามารถน ามาใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้ โดยส่งผล ให้วัยรุ่นมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่ท าให้เกิดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รับรู้ถึงผลกระทบจากการตั้งครรภ์ใน วัยรุ่น ตระหนักถึงความส าคัญในการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และได้รับการเสริมสร้างทุนชีวิตให้เข้มแข็งขึ้น น าไปสู่การมีพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้จริง โดยพบว่า หลังการทดลอง นักเรียนกลุ่มทดลอง จ านวน 16 คน มีคะแนนเฉลี่ยทุนชีวิตและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นสูงขึ้นทุกคน การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ น าไปด าเนินการในกลุ่มเปรียบเทียบและในวัยรุ่นที่มีบริบทใกล้เคียงกัน และควรน าโปรแกรมพัฒนา ทุนชีวิตในการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นถ่ายทอดให้ครูเพื่อจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนต่อไป ข้อเสนอแนะ ควรติดตามในระยะ 6-12 เดือน เพื่อประเมินความต่อเนื่องและยั่งยืน


55 เอกสารอ้างอิง ปิยะรัตน์ เอี่ยมคง, บรรณาธิการ. สถิติการคลอดของแม่วัยรุ่นประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561. นนทบุรี: ส านักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข; 2561. หน้า 1-9.คณะกรรมการ ประสานงานสาธารณสุขอ าเภอนาจะหลวย. รายงานสรุปผลงานประจ าปี คป.สอ.นาจะหลวย. อุบลราชธานี; 2563. ยุพเยาว์ วิศพรรณ์, สมจิต ยาใจ. ผลกระทบด้านสุขภาพด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจจากการตั้งครรภ์ ของแม่วัยรุ่นจังหวัดจันทบุรี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกกล้าจันทบุรี2559;27(ฉบับเพิ่มเติม),1- 16.Raj, A.D., Rabi, B., Amudha, E., Edwin, R.T. & Glyn, C. Factors associated with teenage pregnancy in South Asia: systematic review. Health Science Journal 2010;4(1),3-14. สุริยเดว ทรีปาตี. สร้างต้นทุน(ชีวิต)คุณท าได้.ปทุมธานี: รวมทวีผลการพิมพ์; 2552.กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (พิมพ์ครั้งที่ 3). นนทบุรี: วงศ์กมลโปรดักชั่น; 2543. Cohen.(2018). (อินเทอร์เน็ต). (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 พ.ย.2553).แหล่งข้อมูล: http://www.utstat.toronto.edu/~brunner/oldclass/378f16/readings/CohenPower.pdf. สุริยเดว ทรีปาตี. ต้นทุนชีวิตเด็กและเยาวชนไทย. กรุงเทพฯ: แผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน. กระทรวงสาธารณสุข; 2559. บุษกร กนแกม. ผลของโปรแกรมส่งเสริมทักษะชีวิตแบบมีส่วนร่วมในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ในวัยรุ่นตอนต้น [วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช; 2562. Polit, D. F. and Beck, C.T. Nursing Research: Generating and Assessing Evidence for Nursing Practice. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2012. กชนิภา นราพินิจ. การพัฒนาทุนชีวิตเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของวัยรุ่น. [การศึกษาอิสระ ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2559. พิราวัลย์ พิมพาเรือ. การเพิ่มทุนชีวิตเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงในวัยรุ่นโดยชุมชนมีส่วนร่วมของชุมชน หนองผักก้ามเทศบาลเมืองเลย อ าเภอเมืองจังหวัดเลย. [รายงานการศึกษาอิสระปริญญาพยาบาล ศาสตรมหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2554.


56 การพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต าบลบางไผ่ อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ปภาชุดา อึ๊งภากรณ์ บทคัดย่อ กระบวนการการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่เกื้อหนุนให้เกิด การพัฒนา น ามาซึ่งผลดีต่อสุขภาพ การพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษากระบวนการพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบลบางไผ่ อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จ านวน 90 คน ด าเนินการวิจัยโดยใช้หลักพัฒนาคุณภาพบริการของ เดมมิ่ง PDCA (Plan-Do-Check-Act) เป็นกิจกรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพ ใช้รูปแบบการ ดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง (Chronic Care Model : CCM) ร่วมกับประยุกต์ใช้แนวคิดของไคเซ็น (Kaizen,1986) โดยใช้กระบวนการปรับปรุงระบบงาน (Eliminate Combine Rearrange Simplify : ECRS) ในการจัดการ เปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาคุณภาพระบบบริการการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ การมีส่วนร่วม ความพึงพอใจใน กระบวนการพัฒนาคุณภาพระบบบริการ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยวิธีการสังเกต การสัมภาษณ์ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่าการพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 รูปแบบ ใหม่ โดยใช้หลักเสา 8 ต้น ของเวชศาสตร์ครอบครัว ประกอบไปด้วย 1.Data analysis 2.First contact 3.Continuous 4.Family&Community 5.Comprehensive 6.Patient center 7.Health Prevention & Promotion 8.Health literacy ร่วมกับกระบวนการแบบมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ปุวยโดยญาติ, อาสาสมัคร สาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม) ส่งผลให้ ระดับน้ าตาลในเลือดเฉลี่ยสะสมของผู้ปุวยเบาหวาน (HbA1C)< 7 เปอร์เซ็นต์ ควบคุมได้ถึงร้อยละ 73.33 และระดับความดันโลหิตลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ผู้ปุวยและญาติมี ความพึงพอใจในระดับสูง และ ลดระยะเวลาในการรอคอยได้ถึง 40 นาที บทน า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังนั้น รพ.สต. บางไผ่จึงตระหนักถึงหลักการเพิ่มระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และมาตรการปูองกันควบคุมโรค โดยค านึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปุวยที่มารับบริการในสถานบริการ และผู้ปฏิบัติงาน เพื่อลดความ เสี่ยงในการแพร่กระจายโรคในสถานที่ปฏิบัติงาน หรือ ลดความเสี่ยงในการเดินทางของผู้ปุวยและญาติที่จะมา รอรับการตรวจและรับยา ดังนั้นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ จึงต้องการพัฒนาคุณภาพระบบ บริการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ถึงแม้ว่าโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะ สงบแล้วก็ตาม การมีระบบการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยบริการ


57 ปฐมภูมิที่เกื้อหนุนให้เกิดการพัฒนาทั้งผู้ปุวยและทีมผู้ดูแลสุขภาพที่เตรียมพร้อมท างานเชิงรุกในวิถีใหม่ ซึ่งถ้า ทั้งสองฝุายมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็จะน ามาซึ่งผลดีต่อสุขภาพต่อไป โรคเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส าคัญในระดับโลกและระดับประเทศ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบ มากขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้ปุวยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองปุวยจึงไม่ได้ดูแลตนเองเท่าที่ควร ท าให้เกิดอาการ ปุวย อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือก่อให้เกิดความพิการและตายก่อนวัยอันควร ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ของผู้ปุวย ครอบครัว ชุมชน สังคมตกต่ า ซึ่งผู้ปุวยบางพื้นที่ของประเทศยังขาดโอกาส ในการเข้าถึงบริการที่มี มาตรฐาน ที่ควรจะได้รับตามสิทธิ์ อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ รวมถึงการขาดแคลนบุคลากรทาง การแพทย์ การขาดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา การขาดอุปกรณ์ในการตรวจคัดกรอง หรืออุปกรณ์ในการ ตรวจรักษา1 ซึ่งสอดคลอดกับนโยบายการขับเคลื่อนการด าเนินงานพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิให้มีหน่วย บริการและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข มีส่วนร่วมในการจัดบริการดูแล ประชาชน เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้าน ให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวประจ าตัวเป็น ที่ปรึกษา ให้การดูแลส่งเสริมสุขภาพคนในครอบครัวและชุมชน และมีข้อมูลด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงข้อมูล ระหว่างหน่วยบริการทุกระดับ3 ข้อมูลจังหวัดนนทบุรี มีอัตราปุวยของโรคเบาหวานของปีพ.ศ. 2559-2561 มี แนวโน้มสูงขึ้น ดังนี้ คือ 929.87, 980.91 และ 1,100.72 ต่อประชากรแสนคนตามล าดับ4 โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ มีผู้ปุวยโรคโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 จ านวน 67 คน มารับบริการที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ จ านวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 44.78 และได้รับการเยี่ยมบ้านร้อยละ 65.69 มีระดับน้ าตาลในเลือดเฉลี่ยสะสม (HbA1C) ≤7 เปอร์เซ็นต์คิดเป็นร้อยละ 38.18 จากการสัมภาษณ์ กลุ่มเปูาหมาย จ านวน 30 คน พบว่า ญาติไม่มีเวลาดูแลผู้ปุวย คิดเป็นร้อยละ 66.67 และไม่มีความรู้ คิดเป็น ร้อยละ 43.33 เนื่องจากผู้ปุวยโรคเรื้อรังต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันทั้งตัวผู้ปุวย ญาติ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน และชุมชน จึงส่งผลให้ผู้ปุวยต้องใช้ชีวิตอยู่กับ ภาวะเจ็บปุวยเรื้อรัง ผู้ปุวยต้องมีบทบาทในการเรียนรู้และร่วมดูแลรักษาตนเอง ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี โดยใช้หลักพัฒนาคุณภาพ บริการของเดมมิ่ง PDCA (Plan-Do-Check-Act) เป็นกิจกรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการ ด าเนินงาน ร่วมกับใช้รูปแบบการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง (Chronic Care Model : CCM) 6 องค์ประกอบ และ ประยุกต์แนวคิดของไคเซ็น (Kaizen,1986) โดยใช้กระบวนการปรับปรุงระบบงาน (ECRS) ในการจัดการ เปลี่ยนแปลงระบบ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 ใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 2. เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนาคุณภาพบริการตามระบบใหม่ ในการดูแลสุขภาพผู้ปุวยโรค เรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี


58 วิธีการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้การวิจัยแบบเชิงปฏิบัติการ (Action research) เพื่อศึกษาการพัฒนาระบบ บริการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ อ าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เลขใบอนุญาตจริยธรรมในมนุษย์ของส านักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรีเลขที่ 13/2563 ลงวันที่ 19 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 กลุ่มตัวอย่าง ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มญาติ ผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่คลินิกโรคเรื้อรัง ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบาง ไผ่ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) จ านวน 23 คน ซึ่งท าหน้าที่เป็นทีมสุขภาพ ต าบล คัดเลือกโดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเป็นผู้มีหน้าที่ในการให้บริการ ดูแลช่วยเหลือผู้ปุวยโรคเรื้อรัง ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ จ านวน 7 คน (Purposive Sampling) โดยเป็นผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการสุขภาพผู้ปุวยโรคเรื้อรังโดยตรง 2. กลุ่มผู้ปุวย คือ ผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่คลินิกโรคเรื้อรัง ใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ จ านวน 30 คน คัดเลือก โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) 3. กลุ่มญาติผู้ปุวย คือ ญาติผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในคลินิกโรคเรื้อรัง ใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ จ านวน 30 คน คัดเลือกโดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) . เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ ทั้งหมด 4 ส่วน แบ่งการใช้เครื่องมือเป็น 3 ชุด ดังนี้ชุดที่ 1 แบบสัมภาษณ์กลุ่มบุคคลในระบบ คือ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง แบ่งการสัมภาษณ์ ออกเป็น 3 ส่วน ชุดที่ 2 แบบสัมภาษณ์กลุ่มที่ปุวย คือ กลุ่มผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 แบ่งการ สัมภาษณ์ออกเป็น 4 ส่วน ชุดที่ 3 แบบสัมภาษณ์กลุ่มผู้ดูแลผู้ปุวย คือ กลุ่มผู้ดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวาน ชนิดที่ 2 แบ่งการสัมภาษณ์ออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 แบบสัมภาษณ์ข้อมูลลักษณะทาง ประชากร ส่วนที่ 2 แบบสัมภาษณ์การมีส่วนร่วมในการวางแผนการด าเนินงาน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และการลดขั้นตอน ลักษณะของแบบสัมภาษณ์เป็นข้อค าถามปลายเปิดให้แสดงความคิดเห็น และปลายปิด น า คะแนนมาหาค่าเฉลี่ยแล้วก าหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายค่าเฉลี่ย โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ส่วนที่ 3 แบบสัมภาษณ์บุคลากรในระบบ,ผู้ปุวยและผู้ดูแลผู้ปุวย โรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อศึกษาปัจจัยส าเร็จ ปัญหา และข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการ ด้านการจัดระบบบริการ และด้านการ เปลี่ยนแปลงระบบการท างานใหม่ ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ ให้เลือกตอบด้วยการตัดสินเพียงค าตอบ เดียวในลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Ration Scale) ส่วนที่ 4 แบบสัมภาษณ์ผู้ปุวยและผู้ดูแลผู้ปุวย โรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 เกี่ยวกับพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพตนเอง เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความส าเร็จ และปัญหา ในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการ โดยการประยุกต์ใช้ นโยบาย 3 อ. 2 ส. ตัวชี้วัด (Key Performance Indicator : KPI) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ของจังหวัดนนทบุรี แบบสัมภาษณ์แบ่ง ข้อมูลเป็น 5 ด้าน คือ พฤติกรรมด้านการบริโภค พฤติกรรมด้านการออกก าลังกาย พฤติกรรมด้านอารมณ์ พฤติกรรมด้านการดื่มแอลกอฮอล์ และพฤติกรรมด้านการสูบบุหรี่ ขั้นตอนและวิธีการด าเนินงาน ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้จัดกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพบริการ ซึ่ง ประยุกต์แนวคิดพื้นฐาน (Stephen Kemmis) ประกอบด้วยการวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action)


59 การสังเกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) มีขั้นตอนการด าเนินการวิจัย ดังนี้ ระยะที่ 1 ขั้น วางแผน (Planning) กิจกรรมที่ 1 แต่งตั้งคณะท างาน กิจกรรมที่ 2 เก็บรวบรวมข้อมูล กิจกรรมที่ 3 วิเคราะห์ ข้อมูลกิจกรรมที่ 4 วางแผนในการด าเนินงาน ระยะที่ 2 ขั้นปฏิบัติการ (Action) กิจกรรมที่ 5 ด าเนินการตาม แผนการพัฒนาคุณภาพระบบบริการ ระยะที่ 3 ขั้นการสังเกต (Observe) กิจกรรมที่ 6 การสังเกต ติดตาม ให้ ค าแนะน า กิจกรรมที่ 7 สังเคราะห์ข้อมูล ระยะที่ 4 การสะท้อนผล (Reflection) กิจกรรมที่ 8 ประเมินผล ถอดบทเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้สถิติเชิงพรรณา (Descriptive Statistic) ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้การสังเกต การสัมภาษณ์ และการจดบันทึกข้อมูล จากการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การวิเคราะห์ เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย จากการวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มเปูาหมาย จ านวน 90 คน ทีมวิจัยออกติดตามกลุ่มเปูาหมายที่หน่วย บริการและที่บ้าน บุคลากรในระบบ จ านวน 30 คน คือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ จ านวน 7 คน และแกนน าอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) จ านวน 23 คน ผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 จ านวน 30 คน ญาติผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 จ านวน 30 คน ใช้เวลา 10 วัน ท า การสัมภาษณ์และน าข้อมูลมาสรุปผลการวิจัย สรุปได้ ดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลลักษณะทางประชากร บุคลากร ในระบบ จ านวน 30 คน ประกอบด้วยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว จ านวน 1 คน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจ า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางไผ่ จ านวน 6 คน แกนน าอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) จ านวน 23 คน แยกเป็นเพศหญิง 23 คน เพศชาย 7 คน กลุ่มผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 จ านวน 30 คน แยกเป็นเพศหญิง 23 คน เพศชาย 7 คน ผู้ดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่2 (ญาติผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่2) จ านวน 30 คน แยกเป็นเพศหญิง 23 คน คิดเป็น เพศชาย 7 คน ส่วนที่ 2 การมีส่วนร่วมในการวางแผนการด าเนินงานของบุคลากรในระบบ กลุ่มผู้ปุวย ผู้ดูแลผู้ปุวย (ญาติผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่2) เพื่อพัฒนาคุณภาพระบบบริการในการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง ด้านการมี ส่วนร่วมในการจัดระบบบริการ โดยรวมในทุกๆ ด้าน อยู่ในระดับมาก ส่วนที่ 3 การจัดระบบบริการ ในการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความส าเร็จ ปัญหา และข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการ ในกลุ่มบุคลากรในระบบ กลุ่มผู้ปุวย ผู้ดูแลผู้ปุวย (ญาติผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่2) ด้านการจัดระบบบริการในการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง โดยรวมในทุกๆ ด้าน อยู่ระดับมาก ปัจจัยแห่งความส าเร็จ เจ้าหน้าที่มีความเสียสละ มีความพร้อมและต้องการที่จะพัฒนา คุณภาพระบบบริการใหม่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) ท าหน้าที่เป็นจิตอาสาท าให้ระบบ บริการเป็นไปตามกิจกรรม ขั้นตอนที่ก าหนด ผู้ปุวยเข้ารับบริการได้สะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการรอคอย ส่วนที่ 4 พฤติกรรมในการดูแลสุขภาพตนเอง เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความส าเร็จ และปัญหาในการ พัฒนาคุณภาพระบบบริการ ในกลุ่มผู้ปุวยและ ผู้ดูแลผู้ปุวย (ญาติผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่2) โดยรวม ในทุกๆ ด้านอยู่ในระดับมาก พบปัจจัยแห่งความส าเร็จ ในการพัฒนาระบบบริการผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวาน ชนิดที่ 2 คือ ผู้ปุวยท าตามขั้นตอนและกิจกรรมที่ก าหนดขึ้น ผู้ปุวยสนใจในการเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน แต่ละ เดือนที่นัดผู้ปุวยมีจ านวนไม่มาก ครั้งละ 15 คน เว้นระยะห่างทางสังคมให้ผู้ปุวย มีการจัดกลุ่มผู้ปุวยแยกตรวจ โดยแพทย์เวชศาสตร์ตรวจผู้ปุวยที่ควบคุมระดับน้ าตาลไม่ได้ หรือมีภาวะเสี่ยง ส่วนพยาบาลเวชปฏิบัติตรวจ


60 ผู้ปุวยที่มีการควบคุมระดับน้ าตาลได้ดี ไม่มีภาวะเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ท าให้ผู้ปุวยและญาติไม่ต้องรอนาน กลับบ้านได้เร็ว อภิปรายผลการศึกษาและการน าไปใช้ประโยชน์ พบว่า ในกระบวนการพัฒนาคุณภาพระบบบริการการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ได้แก่ 1) แต่งตั้งคณะกรรมการ 2) เก็บรวบรวมข้อมูล 3) วิเคราะห์ข้อมูล 4) วางแผนในการด าเนินงาน 5) ด าเนินการตามแผนการพัฒนาคุณภาพระบบบริการ 6) การสังเกต ติดตามและ สัมภาษณ์ 7) สังเคราะห์ข้อมูล และ 8) ประเมินผลถอดบทเรียน ซึ่งได้รูปแบบใหม่การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่2 โดยใช้หลักเสา 8 ต้น ของเวชศาสตร์ครอบครัว ประกอบไปด้วย 1.Data analysis 2.First contact 3.Continuous 4.Family&Community 5.Comprehensive 6.Patient center 7.Health Prevention & Promotion 8.Health literacy ท าให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ โดยกระบวนการแบบมีส่วน ร่วม การมีพฤติกรรมที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพตนเอง โดยผู้ปุวยและญาติมีความพึงพอใจในระดับสูงและลด ระยะเวลาในการรอคอยได้ถึง 40 นาทีการที่มีเครือข่ายที่เข็มแข็งในการดูแลสุขภาพผู้ปุวย โดยมีการจัดระบบ บริการที่ดีในการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) คอย ช่วยเหลือผู้ปุวยติดตามอาการปุ วยอย่ างใกล้ชิด และการมีส่ วนร่ วมในการดูแลผู้ปุ วยโดยญาติ จึงส่งผลให้ระดับน้ าตาลในเลือดเฉลี่ยสะสมของผู้ปุวยเบาหวาน (HbA1C)< 7 เปอร์เซ็นต์ ควบคุมได้ถึงร้อยละ 73.33 และระดับความดันโลหิตลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มีภาวะแทรกซ้อน สามารถผ่านเกณฑ์คุณภาพได้ สรุปผลการศึกษา การพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 รูปแบบใหม่ แตกต่างและ ดีกว่ารูปแบบเก่า คือ ระบบบริการใหม่มีความสะดวก รวดเร็วผู้รับบริการมีความพึงพอใจ เจ้าหน้าที่มาตรง เวลาท าให้ท างานไม่ล่าช้า และ มี อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) เป็นจิตอาสาเข้ามาช่วยเหลือ ดูแลผู้ปุวยให้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น มีการจัดท าแผนที่บ้านผู้ปุวย เพื่อใช้ในการติดตามเยี่ยมผู้ปุวย และ ตรวจสอบข้อมูลผู้ปุวยในชุมชน มีการจัดตั้งชมรมเพื่อจัดสวัสดิการในการดูแลช่วยเหลือผู้ปุวยโรคเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 2 มีทีมสุขภาพระดับต าบลให้การสนับสนุนช่วยเหลือให้ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับ เจ้าหน้าที่ภายนอก มีความเหนี่ยวแน่น แม้จะได้รับผลกระทบบ้างในเรื่องของความพร้อมด้านงบประมาณ สนับสนุน หรือบุคลากรผู้ท าหน้าที่เป็นแกนน า หรือแม้กระทั่งภารกิจเร่งด่วนในพื้นที่ ปัญหาผลกระทบจากการ ประกอบอาชีพ แต่ทุกคนมีความตั้งใจในการช่วยเหลือผู้ปุวยด้วยความเสียสละ อดทน เป็นการเรียนรู้ที่ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันในอนาคต เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการให้มี คุณภาพมากยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการด าเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ทุกเดือน และประเมินผลเป็นระยะเปรียบเทียบผลการ ด าเนินงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อน าปัญหามาปรับปรุงแก้ไขให้การพัฒนาคุณภาพบริการดียิ่งขึ้นต่อไป 2. ควรสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2 เปิดโอกาสให้มี ส่วนร่วมในการดูแลผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่ 2


61 3. ควรศึกษาเปรียบเทียบในกลุ่มผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานชนิดที่2 ที่รับยาที่โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบลอื่นๆในเขตอ าเภอเมืองนนทบุรีที่มีบริบทใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงกัน 4. ควรมีการคืนกลับข้อมูล ให้แก่ผู้ปุวย ญาติ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน เพื่อพัฒนา ศักยภาพ และสร้างคุณค่าให้กลับผู้ปุวย ญาติ และ อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน ให้ยั่งยืนและความ ต่อเนื่องตลอดไป เอกสารอ้างอิง World Health Organization. Global status report on noncommunicable diseases, 2015 [Internet]. Geneva, Switzerland; 2015. [Cited 2015 Nov 15]. Available from: บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทางการพยาบาลศาสตร์. กรุงเทพฯ: ยู แอนด์ไอ อินเตอร์มีเดีย. ส านักงานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว. (2562). แนวทางการด าเนินงาน คลินิกหมอครอบครัวส าหรับหน่วยบริการ. ส านักงานสาธารณสุขอ าเภอเมืองนนทบุรี. (2561). สรุปผลรายงานการตรวจคัดกรองโรคไม่ ติดต่อเรื้อรังในเขตอ าเภอเมืองนนทบุรีปีงบประมาณ 2561. นนทบุรี: ส านักงานสาธารณสุข อ าเภอเมืองนนทบุรี.


62 การพัฒนารูปแบบการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยภายใต้บริบท 2 ศาสน์ Development of healthcare management for theelderly under condition of 2 regions in kohtaew district สอาดะ พันธุสะ รพ.สต.เกาะแต้ว สสอ.เมืองสงขลา บทคัดย่อ ประเทศไทยเริ่มก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) ตั้งแต่ปี พ.ศ2559 เป็นต้นมา และก าลังจะเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์(agedsociety) ในปีพ.ศ.2564การพัฒนารูปแบบบริการการดุแลผู้สูงอายุระยะยาว และ ผู้สูงอายุที่ต้องการการพึ่งพิงจึงเป็นสิ่งส าคัญ คือการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลดปัญหา การติดบ้านติดเตียง การศึกษานี้เป็นการวิจัย และพัฒนา (Research and Devenlopment) เพื่อศึกษาปัญหา ความ ต้องการดุแลสุขภาพ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุ พัฒนารูปแบบและประสิทธิผลของการจัดการ ดูแลสุขภาพผู้สูงวัยภายใต้บริบท 2 ศาสน์ กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในต าบลเกาะแต้ว อ าเภอเมือง จังหวัดสงขลา จ านวน 89 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณา เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ก่อน และหลังการจัดการดูแลสุขภาพ ผลการศึกษาพบว่าผู้ปุวยติดเตียงลดลงจาก 2 คน เหลือ 1 คน ผู้ปุวยติดบ้านลดลงร้อยละ 13.49ผู้ปุวยติด สังคมเพิ่มขึ้นจาก 0 คน เป็น 13 คน ความพึงพอใจของผู้สูงอายุภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ข้อที่มีค่าเฉลี่ย สูงสุด คือกิจกรรมที่5การเยี่ยมบ้าน และการเสริมแรง ( X = 3.82, SD=0.68) และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ าสุด คือ ความพึงพอใจ ต่อการมีอิสระในการใช้รูปแบบ ( X = 3.33, SD=0.66) ควรน ารูปแบบการจัดการสุขภาพผู้สูงวัยพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพ และความพึงพอใจเพิ่มขึ้น บทน า ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) ตั้งแต่ปี พ.ศ 2559 เป็นต้นมา และก าลังจะเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์(agedsociety) ในปีพ.ศ.2564 จากการทบทวนกระบวนการพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุปีพ.ศ. 2559 (After Action Review: AAR) โดยใช้ แนวคิดในการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการวางแผนการด าเนินงาน การติดตามประเมินผลและการ ปรับปรุงแก้ไข (Plan Do Check Action : PDCA) ด าเนินงานมาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 – เดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 ส าหรับพื้นที่รพสต.เกาะแต้ว มีผู้สูงอายุที่ต้องดูแลทั้งหมด 1,054 คน คิดเป็นร้อยละ 16.95 พบว่าเป็น ผู้สูงอายุติดสังคม ร้อยละ 85.86 ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จ านวน 115 คนแบ่งเป็นกลุ่มติดบ้าน ร้อยละ 8.63ติดเตียง ร้อยละ 1.13 ได้รับการคัดกรองสภาวะสุขภาพ โดยประเมินความสามารถในการด าเนินชีวิตประจ าวันตามดัชนีบาร์ เธอเอดีแอล(Barthel Activities of Daily Living : ADL) ร้อยละ 74.05 มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ร้อยละ 24.22 มีโรค เรื้อรัง ร้อยละ 20.20 จากที่กล่าวมาผู้วิจัยได้เห็นความส าคัญกับการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ เพราะการพัฒนา รูปแบบบริการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวและผู้สูงอายุที่ต้องการการพึ่งพิงจึงเป็นสิ่งส าคัญเร่งด่วน กลไกที่ส าคัญ คือ การ จัดการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลดปัญหาผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียง ซึ่งมีองค์ประกอบที่ส าคัญคือ จะต้องมีข้อมูลผู้สูงอายุเพื่อวางแผนการดูแลช่วยเหลือ มีผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน มีชมรมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ มีการ เยี่ยมดูแลผู้สูงอายุที่บ้านโดยทีมหมอครอบครัว เพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างถ้วนหน้า เท่าเทียม และมี คุณภาพชีวิตที่ดีโดยเน้นการด าเนินงานแบบครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุที่ยังต้องการ ความช่วยเหลือในด้านร่างกาย ด้านความมั่นคงปลอดภัย และทางด้านสังคม อาจจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของ ผู้สูงอายุ และพัฒนาสุขภาพอย่างยั่งยืนตามเปูาหมายแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติของประเทศต่อไป


63 วัตถุประสงค์วิจัย 1. เพื่อศึกษาปัญหา ความต้องการดูแลสุขภาพ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงวัย 2. เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยภายใต้บริบท 2 ศาสน์ 3. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยภายใต้บริบท 2 ศาสน์ กรอบแนวคิดการวิจัย ผู้วิจัยใช้แนวคิดกระบวนการจัดการตนเองประยุกต์ทฤษฎีการจัดการตนเองสู่การปฏิบัติ ตามแนวคิด ทฤษฎีการจัดการตนเองรายบุคคลและครอบครัว Ryan & Sawin เป็นทฤษฎีการจัดการตนเองรายบุคคลและ ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมจัดการภาวะสุขภาพร่วมกับทีมสุขภาพซึ่งมีความจ าเป็นส าหรับผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลจาก คนในครอบครัว ร่วมกับกฎบัตรออตตาวา World Health Organization. The Ottawa charter for health promotion [Internet]. 1986 เกิดรูปแบบการพัฒนาการจัดการดูแลสุขภาพ ผู้ สูงวัยภายใต้บริบท 2 ศาสน์ต าบลเกาะแต้ว ทฤษฎี Ryan & Sawin,2009 ทฤษฎีการจัดการ ตนเองรายบุคคลและครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วม การจัดการสุขภาพร่วมกับทีมสุขภาพ ประกอบด้วย 1.ความรู้ ความเชื่อ 2.การก ากับ ดูแลตนเองด้านทักษะและความสามารถ 3.การ ช่วยเหลือทางสังคม กฎบัตรออตตาวา 1.สร้างนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ กิจกรรมคนเกาะแต้วไม่ทอดทิ้งกัน 2.สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนสุขภาพ กิจกรรมศูนย์กายอุปกรณ์, ศาสนธรรมประจ า สัปดาห์, โรงเรียนผู้สูงอายุ,จิตอาสาผู้สูงอายุ,วง น้ าชาสุขภาพ และซาเล้งสื่อสารผู้สูงวัยทันข่าว 3.สร้างความเข้มแข็งให้แก่ปฏิบัติการชุมชน กิจกรรม buddy 2 ศาสน์ สองศาสน์ร่วมส่งใจไร้ รอยต่อ care teamและสามวัยสานสัมพันธ์ 4.พัฒนาทักษะส่วนบุคคล กิจกรรมปราชญ์ 2 ศาสน์ 5.ปรับเปลี่ยนบริการสุขภาพ กิจกรรมบาร์สโล๊บ 2ศาสน์, เกาะแต้วเกมส์ และ เรื่องเล่า ฒ(ต้นแบบผส.สุขภาพดี) - สภาพปัญหา - ความต้องการ -การเข้าร่วมกิจกรรม ทางสังคมของผู้สูงอายุ สร้างและพัฒนารูปแบบ กิจกรรม 1.1 ศึกษาจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนา โครงร่างการวิจัย 1.2 ยกร่าง รูปแบบกิจกรรมโดย สังเคราะห์ จากข้อค้นพบและจากการศึกษา ข้อมูลตาม ล าดับขั้นความ ต้องการของมนุษย์5 ขั้น 1.3 น า รูปแบบที่ได้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบ 1.4 ได้รูปแบบ กิจกรรม - การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม - ADL เพิ่มขึ้น - การจัดการตนเอง


64 วิธีการศึกษาและการด าเนินงาน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยด าเนินการในช่วงเดือน ตุลาคม พ.ศ.2563 – เดือน มีนาคม พ.ศ.2565 ผู้วิจัยท าเรื่องขอพิจารณาเก็บข้อมูลการวิจัยจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยรพ.สงขลา รหัส หนังสือรับรอง SKH IRB 2021-Nrt-O3-1009 โรงพยาบาลสงขลา ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ต าบลเกาะแต้ว อ าเภอเมือง จังหวัดสงขลา ในปี พ.ศ.2563 จ านวน 115 คน ก าหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง (Infinite Population) (Jirojkul, 2005) ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างสุ่ม แบบชั้นภูมิก าหนดสัดส่วนตามหมู่บ้าน ได้กลุ่มตัวอย่างจ านวนทั้งสิ้น 89 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตอนที่1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามปัญหาและความต้องการสุขภาพของผู้สูงอายุ ตอนที่ 3 การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุ การเก็บรวบรวมข้อมูล 1.ผู้วิจัยอธิบายลักษณะงานวิจัย ลักษณะรูปแบบกิจกรรมอธิบายขั้นตอน วิธีการเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่ม ตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูลตลอดการวิจัยให้ผู้ช่วยผู้วิจัยและกลุ่มตัวอย่างได้รับทราบพร้อมลงลายมือชื่อยินยอม เข้าร่วมโครงการวิจัย ผลการด าเนินงาน 1. เกิดรูปแบบการพัฒนาการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยภายใต้บริบท 2 ศาสน์ .... ผลการใช้รูปแบบการกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ส าหรับผู้สูงอายุติดบ้านสู่ภาวะติดสังคมต าบลเกาะแต้วระดับการปฏิบัติ กิจวัตรประจ าวัน (ADL)ของผู้สูงอายุพบว่าก่อนใช้รูปแบบการกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพส าหรับผู้สูงอายุติดบ้านสู่ภาวะ ติดสังคม หลังใช้รูปแบบผู้สูงอายุมีภาวะติดบ้านเหลือร้อยละ 86.20และมีภาวะติดสังคมเพิ่มเป็นร้อยละ 14.60 เปรียบเทียบร้อยละระดับการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันระหว่างก่อนและหลังใช้รูปแบบ ระดับ ก่อนการใช้รูปแบบ หลังการใช้รูปแบบ จ านวน ร้อยละ จ านวน ร้อยละ ภาวะติดเตียง(0-4 คะแนน) 2 2.25 1 1.12 ภาวะติดบ้าน (5-11 คะแนน) 87 97.75 75 84.26 ภาวะติดสังคม (12-20 คะแนน) 13 14.60 รวม 89 100.00 89 100.00


65 ความพึงพอใจของผู้สูงอายุต่อรูปแบบ กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพส าหรับผู้สูงอายุติดบ้านสู่ภาวะติด สังคมในเกาะแต้วภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ( X = 3.49, SD=0.29) โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ย สูงสุดคือ กิจกรรมที่5การเยี่ยมบ้าน และการเสริมแรง ( X = 3.82, SD=0.68) และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ าสุด คือ ความพึง พอใจต่อการมีอิสระในการใช้รูปแบบ( X = 3.33, SD=0.66) จากตารางพบว่าหลังใช้รูปแบบผู้สูงอายุมีการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน และความสามารถของครอบครัวต่อการจัดการดูแลสุขภาพตนเองที่บ้านดีขึ้น ข้อเสนอแนะ รูปแบบการกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ส าหรับผู้สูงอายุติดบ้านสู่ภาวะติดสังคมมีความเหมาะสมกับ บริบทของพื้นที่และวิถีชีวิตของผู้สูงอายุติดบ้านในต าบลเกาะแต้ว โอกาlพัฒนาควรน ารูปแบบดังกล่าวไป ก าหนดเป็นนโยบาย ถ่ายทอดลงสู่แผนปฏิบัติการ ตลอดจนมีการด าเนินกิจกรรมทั้งในสถานบริการ ชมรม ผู้สูงอายุตลอดจน การประสานกับองค์กรปกครองส่วนถิ่นในการร่วมด าเนินการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและ เป็นรูปธรรม เอกสารอ้างอิง กิตติพร เนาว์สุวรรณ และมาริสา สุวรรณราช. สภาพปัญหาและความต้องการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่ อยู่ในเขตความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคใต้ตอนล่าง. วารสารวิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนีอุตรดิตถ์. 2562; 11(2): 118–132. World Health Organization. The Ottawa charter for health promotion [Internet]. 1986 [cited 2018 Apr 27]. Available from: http://www.who.int/healthpromotion/ conferences/previous/ottawa/en/index.html. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2557). สังคมผู้สูงอายุ : นัยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ.ค้นเมื่อ 5ตุลาคม 2561, จากhttp://www.stou.ac.th/stouonling/lom/data/sec/Lom12/05-01 html. กษรา โพธิ์เย็น.สังคมผู้สูงอายุ : โอกาสของธุรกิจที่ยั่งยืนในอนาคต;2562 ณรงค์ ด้วงปาน และคณะ.การพัฒนารูปแบบกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพส าหรับผู้สูงอายุการเปลี่ยนผ่านจาก ภาวะติดบ้านไปสู่ติดสังคม ในจังหวัดสงขลา;2560 ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา. ข้อมูลผู้สูงอายุในจังหวัดสงขลาจากระบบรายงาน 43 แฟูม ณ วันที่ 30ตค. 63; 2563.


66 รูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พิชิดา ตัญญบุตร ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วย บริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มเปูาหมาย คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการ คุณภาพของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ แต่งตั้งคณะกรรมการเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิจ านวนทั้งสิ้น 50 คน เก็บข้อมูลปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยแบบสอบถามที่สร้างขึ้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเปรียบเทียบก่อนและหลังการพัฒนา ด้วยสถิติทดสอบ Paired t-test dependent และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่ากระบวนการพัฒนาครั้งนี้ส่งผลความพึงพอใจในการด าเนินงานและการมีส่วนร่วม ในการด าเนินงานของกลุ่มเปูาหมาย ก่อนและหลังการพัฒนามีความแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ p <0.001 การด าเนินงานครั้งนี้ท าให้ได้รูปแบบเบื้องต้นในการพัฒนาเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการ มีส่วนร่วมของชุมชน ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล เทพราช อ าเภอ บ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมของทีมเครือข่ายหน่วยบริการ ปฐมภูมิทุกภาคส่วน ทั้งการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การด าเนินการ การรับผลประโยชน์ และการมีส่วนร่วมในการ ประเมินผล ใน กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ปัจจัยแห่งความส าเร็จของการพัฒนารูปแบบ การจัดการคุณภาพเครือข่าย หน่วยบริการปฐมภูมิ คือ ทุกภาคส่วน ภาคการเมือง สนับสนุนก าลังคน งบประมาณโครงการ วัสดุครุภัณฑ์ และ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ภาควิชาการ สนับสนุน บุคลากรที่มีความรู้และศักยภาพ ภาคประชาชน เห็น ความส าคัญ ให้ความร่วมมือในการด าเนินกิจกรรมทุกขั้นตอน รวมทั้งแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะใน การพัฒนางานให้มีคุณภาพต่อไป บทน า ระบบบริการปฐมภูมิ (Primary Care) เป็นฐานส าคัญของระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและ มีความเท่าเทียม ช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน ประเทศไทยมีนโยบายและแผนการ พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพเพิ่มขึ้น แต่ใน ด้านคุณภาพของระบบบริการปฐมภูมิยังมีข้อจ ากัดและพัฒนาไปได้ไม่เต็มที่ จึงควรมีการเร่งรัดจัดระบบเพื่อ ขับเคลื่อนการพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่างๆ ให้มีความสอดคล้องร่วมมือกันอย่างมีพลังทั้งในส่วนที่เป็นการ บริหารจัดการด้วยกลไกท างานต่อเนื่องและมีบุคลากรที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายโดยการจัดท าให้มีแผน ยุทธศาสตร์ระบบบริการปฐมภูมิ เพื่อท าให้การขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิด าเนินไปได้อย่าง ต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ซึ่งก าหนดไว้ในหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 258 (ช) ด้านอื่นๆ(5) ที่ก าหนดให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ ครอบครัวดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสม พระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 มาตรา 17 จัดให้มีการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ เพื่อเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิหรือเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิในเขต พื้นที่ตามที่คณะกรรมการก าหนด จังหวัดฉะเชิงเทรา ปี พ.ศ.2559-2564 มีหน่วยบริการ/เครือข่ายหน่วย


67 บริการปฐมภูมิ ที่เปิดด าเนินการ จ านวน 28 ทีม (ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา,2564)6 อ าเภอบ้าน โพธิ์ ซึ่งเป็นอ าเภอที่เปิดขึ้นทะเบียนเครือข่ายหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิครอบคลุมทั้งอ าเภอ จากการศึกษา ในพื้นที่อ าเภอบ้านโพธิ์ พบว่า เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอ บ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ด าเนินการขึ้นทะเบียนเป็นเครือข่ายบริการสุขภาพปฐมภูมิ (Network Primary Care Unit) ตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน ในเครือข่ายประกอบด้วย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต าบลเทพราช ,โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเกาะไร่และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบางซ่อน ตาม เกณฑ์มาตรฐานของเครือข่ายหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ ผ่านเกณฑ์ตามเงื่อนไขทั้ง 3 ด้าน แต่ยังขาดการมี ส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการร่วมพัฒนาและการบูรณาการข้อมูลของหน่วยบริการสาธารณสุขในทีม (ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา ,2560)5 จากข้อมูลดังกล่าว ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษารูปแบบการ จัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ของเครือข่าย หน่วยบริการ ปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และมีแนวคิดที่จะน า กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart มาใช้โดยเน้นการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลในทีม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาล แม่ข่ายและ ประชาชนในชุมชน น าไปสู่การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิผ่านเกณฑ์มาตรฐานเป็นเครือข่ายหน่วยบริการ สุขภาพปฐมภูมิต้นแบบต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของ ชุมชน 2. เพื่อศึกษาผลของการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของ ชุมชน 3. เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความส าเร็จของการพัฒนารูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการ ปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล เทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา วิธีการศึกษา/การด าเนินงาน การวิจัยครั้งนี้ใช้กรอบแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการ(Action Research) โดยยึดกระบวนการของ Kemmis & McTaggart (1988)8 มาใช้เป็นกรอบด าเนินการ ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนดังนี้1) ขั้นวางแผน (Planning) 2) ขั้นลงมือปฏิบัติงาน (Action) 3) ขั้นสังเกตผล (Observation) และ 4) ขั้นสะท้อนผล (Reflection) การด าเนินงานทั้ง 4 ขั้นตอน เป็นการด าเนินงานตามวงรอบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 1 วงรอบ (Loop) หากครบ 1 วงรอบการวิจัยแล้ว ยังไม่สามารถที่จะได้รูปแบบการจัดการคุณภาพของเครือข่ายหน่วย บริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็น าประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาหรือต้องการพัฒนา ให้ดีขึ้น เข้าสู่การพัฒนาการเฝูาระวังใหม่ในขั้นตอนวางแผน ขั้นตอนลงมือปฏิบัติการ ขั้นตอนสังเกตผลและ ขั้นตอนสะท้อนผล ในวงรอบต่อไปเรื่อย ๆ หากการจัดการคุณภาพของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิดังกล่าว สามารถผ่านเกณฑ์คุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นต้นแบบได้ก็ท า การถอดบทเรียน เพื่อให้ได้รูปแบบการจัดการคุณภาพของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วน ร่วมของชุมชน เพื่อเป็นต้นแบบที่เหมาะสมและเป็นรูปธรรมต่อไป


68 ประชากรที่จะศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยคัดเลือกแบบเจาะจง จากค าสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ ตามเกณฑ์ การคัดเข้าและการคัดออกของกลุ่มตัวอย่าง โดยพิจารณาจากการตัดสินใจของผู้วิจัยและผู้เข้าร่วมวิจัยโดย ความสมัครใจ และลักษณะของกลุ่มตัวอย่างเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยมีเกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) และเกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) จ านวนทั้งสิ้น 50 คน ประกอบด้วย ผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องในการด าเนินงานพัฒนาเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา คือ ภาคท้องถิ่นจ านวน 6 คน ภาคสาธารณสุข จ านวน 28 คน ภาค ประชาชนจ านวน 16 คน จาก 3 ต าบล (เทพราช , เกาะไร่และบางซ่อน) เครื่องมือการวิจัย แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ดังนี้1)เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ประกอบไปด้วย ส่วน 1 - 4 ดังนี้ ส่วนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล จ านวน 5 ข้อ ส่วนที่ 2 แบบประเมินความรู้ความเข้าใจของทีม เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิเกี่ยวกับการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ จ านวน 15 ข้อ ส่วนที่ 3 แบบประเมินความพึงพอใจในกระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ จ านวน 15 ข้อ ส่วนที่ 4 แบบประเมินการมีส่วนร่วมในการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ จ านวน 15 ข้อ และเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ส่วนที่ 5 แบบสังเกต และจดบันทึก ใช้ในการสังเกตและ บันทึกพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของทีมเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ ในการเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการด้วย กระบวนการ PAOR และแบบสังเกต และจดบันทึกพฤติกรรมการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ของทีม การตรวจความตรงของเครื่องมือ (Content Validity) ของเนื้อหาและความ ครอบคลุมของเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คนในด้านโครงสร้างด้านเนื้อหาและด้านบริหารจากนั้น ปรับปรุง โดยทุกข้อมีค่า ความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม (IOC) มากกว่า 0.5 น าแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับกลุ่มตัวอย่างที่มี่ลักษณะคล้ายคลึงกับ ประชากรในการ วิจัย จ านวน 30 ราย แล้วจึงน าไปท าการหาค่าความเที่ยง (Reliability) โดยวิธี Alpha Coefficient ของ Cronbach (วีระศักดิ์ สืบเสาะ,2551) การวิเคราะห์ค่าได้มากกว่า .70 ขึ้น จริยธรรมวิจัย การวิจัยครั้งนี้ได้เสนอเพื่อพิจารณาและอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยใน มนุษย์ ของส านักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา เลขที่ PH_CCO_REC 019/2565 ลงวันที่วันที่ 10เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2565 ถึง วันที่ 10 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2566 การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามประเมินก่อนการพัฒนาและหลังการพัฒนารูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่าย หน่วยบริการปฐมภูมิ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานโดยการแจกแจงความถี่ หาค่า ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของการมีส่วนร่วมก่อนและหลังการพัฒนาด้วยสถิติ


69 ทดสอบ Pair t-test การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ การวิจัยครั้งนี้ด าเนินการเก็บข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม, การสังเกตแบบมีส่วนร่วม,สัมภาษณ์ข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องโดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย 1) รูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมขอชุมชนของ เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าผลการประเมินมาตรฐานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช จาก การระดมสมอง วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งร่วมกัน กับทีมเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ จึงเกิดรูปแบบการ จัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนของโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และได้ 1 โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายหน่วย บริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์จังหวัดฉะเชิงเทรา 2 โครงการ ติดตามเยี่ยมบ้านโดยทีมเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบลต าบลเทพราช และ 3 โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “ให้ความรู้ อสม. เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ ครอบครัว โครงการและกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้น ได้โดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมของเครือข่ายหน่วยบริการปฐม ภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลต าบลเทพราช ร่วมกับกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2) ผลการวิเคราะห์ความรู้ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลต าบล เทพราช จ านวน 50 คน จะเห็นได้ว่าหลังการพัฒนาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (10.12) ความรู้เกี่ยวกับเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ เพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการพัฒนามีคะแนนเฉลี่ยอยู่ใน ระดับน้อย (8.90) เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ ในระยะก่อน และหลัง การพัฒนา ทดสอบโดยใช้สถิติทดสอบ Paired t-test ได้ค่า t = 9.480 ค่า p-value <0.001 สรุปได้ว่ากลุ่ม ตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ ในระยะก่อนและหลังการพัฒนา มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ 3) ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจใน กระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลต าบลเทพราช จะเห็นได้ว่าหลังการพัฒนาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึง พอใจในกระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ รายด้านและ โดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการ พัฒนา อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ p <0.001 (t = 10.567) 4) ผลการวิเคราะห์การมีส่วนร่วมใน กระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิจะเห็น ได้ว่าหลังการพัฒนาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยการมีส่วนร่วมในกระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วย บริการปฐมภูมิ รายด้านและโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการพัฒนา ค่า t = 3.383 ค่า p-value = 0.001 5) ปัจจัยแห่งความส าเร็จของการพัฒนารูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลต าบลเทพราช เกิดขึ้นได้จากการมี ส่วนร่วมของชุมชนทุกภาคส่วน ทั้ง ภาคท้องถิ่น ภาคสาธารณสุข ภาคประชาชน ได้เข้าใจในกระบวนการ ด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิและเล็งเห็นประโยชน์ ความส าคัญที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัว และชุมชน ท าให้เกิดความร่วมมือในการด าเนินกิจกรรม ทุกขั้นตอน รวมทั้งร่วมแสดงความคิดเห็นและ ข้อเสนอแนะในการพัฒนางานให้เหมาะสมกับ บริบทของพื้นที่และมีคุณภาพยิ่งขึ้นไป


70 อภิปรายสรุป 1) รูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ใน ครั้งนี้ ได้มีทีมภาคีเครือข่าย เข้าร่วมในการด าเนินงานด้วยเทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (เทคนิค PAOR) ได้รูปแบบกิจกรรมทั้งหมด 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่1 โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่าย หน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์จังหวัดฉะเชิงเทรากิจกรรมที่ 2 โครงการติดตามเยี่ยมบ้านโดยทีมเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบลต าบลเทพราช และ กิจกรรมที่ 3 โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ“ให้ความรู้ อสม. เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของค านึง สิงห์เอี่ยม3 ที่ศึกษารูปแบบการมีส่วน ร่วมของประชาชน ตามหลักธรรมาภิบาล การบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดภูเก็ตที่ใช้ รูปแบบเป็น 3PR Model ซึ่งในแต่ละขั้นตอนของ3PR จะมีการด าเนินการรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบ มีส่วนร่วม ประกอบด้วยวงจรย่อยอีก 4 ขั้นตอนซึ่งเรียกย่อๆว่า PAOR ซึ่งประกอบด้วย Planing , Action, Observation และReflection เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่น าผลของการปฏิบัติและการสังเกตมารวบรวมวิเคราะห์ ผลดีผลเสีย สรุปผลสะท้อนข้อมูลกลับไปสู่การวางแผนการด าเนินงานครั้งต่อไปเช่นกัน 2) จากคะแนนความรู้ของทีมเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับเครือข่าย หน่วยบริการปฐมภูมิเพิ่มขึ้นมากว่าก่อนการพัฒนาและมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยความส าคัญทางสถิติ t = 9.48 , p value <0.001 ทั้งนี้เนื่องมาจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เรื่อง นโยบาย ยุทธศาสตร์ตามเกณฑ์หน่วย บริการ/เครือข่ายหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ (3S) และมีการปฏิบัติตามแนวทางเครือข่ายหน่วยบริการปฐม ภูมิ ท าให้หน่วยบริการปฐมภูมิเกิดความรู้และความเข้าใจมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับคะนึงนิตย์ ศิริสมบูรณ์, ฉันธะ จันทะเสนา และดวงตา สราญรมย์ 1 และสมภณ วรสร้อย6 ที่ความรู้มีความสัมพันธ์กับการด าเนินงาน คลินิกหมอครอบครัว 3) ความพึงพอใจในกระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมี คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในกระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิรายด้านและโดยรวม เพิ่มขึ้นมากว่าก่อนการพัฒนาและแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญ (t=10.567p <0.001) เพราะจากกระบวนการวิจัย เชิงปฏิบัติการผู้ร่วมวิจัยได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและเรียนรู้ร่วมกันจนเกิดความเข้าใจและพึง พอใจซึ่งความพึงพอใจของบุคลากรเป็นสิ่งส าคัญในการบริหารเพราะจะช่วยให้ก่อเกิดผลประโยชน์เกื้อกูลต่อ งานท าให้เกิดความร่วมมือร่วมใจเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ สร้างความสามัคคีในหมู่คณะและก่อให้เกิดพลังร่วม (Group Effort) ในหมู่คณะท าให้เกิดความสามัคคีสามารถจะฝุาฟันอุปสรรคทั้งหลายได้ เสริมความเข้าใจอันดี ระหว่างบุคคลในองค์กรกับนโยบายและวัตถุประสงค์ขององค์กรและยังเกื้อหนุนและจูงใจให้สมาชิกเกิด ความคิดสร้างสรรค์ในกิจการต่างๆสอดคล้องกับการศึกษาของนฤมล บุญโสภิณ 5 4) การมีส่วนร่วมในกระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมี คะแนนเฉลี่ยการมีส่วนร่วมในกระบวนการด าเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการ พัฒนาและแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญ t=3.383 ค่า p-value 0.001 ทั้งนี้เนื่องจากทีมเครือข่ายหน่วยบริการ ปฐมภูมิได้มีโอกาสคิดวิเคราะห์และวางแผนการด าเนินงานได้อย่างเหมาะสมตามบริบทของพื้นที่สอดคล้องกับ การศึกษาของนฤมล บุญโสภิณ 5 พบว่าหลังการพัฒนารูปแบบเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิดีขึ้นกว่าก่อนการ พัฒนารูปแบบคืออยู่ในระดับมากเช่นกัน 5) ปัจจัยแห่งความส าเร็จของการพัฒนารูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัด ฉะเชิงเทรา คือการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาคท้องถิ่น คือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาค


71 สาธารณสุข คือ คือบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านโพธิ์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล เทพราช,ต าบลเกาะไร่และต าบลบางซ่อน ภาคประชาชน คือผู้น าชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขประจ า หมู่บ้านได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การด าเนินงาน ในการรับผลประโยชน์และการประเมินผลให้สอดคล้อง บริบทพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลตามเกณฑ์คุรภาพ ด้านการบริการส่งเสริม ปูองกัน ฟื้นฟูอย่างเป็น องค์รวมมีการติดตามยี่ยมบ้านอย่างต่อเนื่องและมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับแม่ข่ายอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะ 1. จากผลการผลของคะแนนความรู้ของเครือข่ายหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิการพัฒนารูปแบบยัง อยู่ในระดับปานกลางจึงควรให้มีการจัดอบรมแก่ทีมเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ เพื่อให้เกิดความรู้ความ เข้าใจ และควรมีการจัดอบรมฝึกทักษะในการปฏิบัติงานของแต่ละวิชาชีพ (Skill mixed team) เพื่อให้การ ดูแลตาม หลักเวชศาสตร์ครอบครัวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2. จากการวิจัยด้านบุคลากรทางการแพทย์ พบว่าแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพไม่ สมัครใจลงไปปฏิบัติงานที่ทีมเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ เนื่องจากการมีภาระงานมากอยู่แล้ว โรงพยาบาล แม่ข่ายควรมีแผนนโยบายเพิ่ม อัตราก าลังของสหวิชาชีพ เพื่อให้การสนับสนุน ด้านบุคลากรในการด าเนินงาน ทีมเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ เพื่อให้การด าเนินงานเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรสร้างช่อง ทางการติดต่อประสานความร่วมมือระหว่างแพทย์ ในโรงพยาบาลแม่ข่ายกับแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เพื่อ เชื่อมโยงระบบการดูแลสุขภาพประชาชนที่ต่อเนื่องให้เป็นระบบเดียวกัน การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ รูปแบบการจัดการคุณภาพเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิโดยกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อเป็น เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิต้นแบบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเทพราช อ าเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และน าไปเป็นต้นแบบขยายการด าเนินงานครอบคลุมทั้งอ าเภอบ้านโพธิ์ ตลอดจนเป็น ต้นแบบให้กับหน่วยบริการ/เครือข่ายบริการสุขภาพปฐมภูมิอื่นทั้งในจังหวัดและในระดับเขตต่อไป เอกสารอ้างอิง คะนึงนิจ ศิริสมบูรณ์, ฉันธะ จันทะเสนา และดวงตา สราญรมย์. (2552). ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการ บริหารงานกองทุนหมู่บ้านในเขตอ าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา. วิทยานิพนธ์ปริญญาบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลย อลงกรณ์. ค านึง สิงห์เอี่ยม. (2560). รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลการบริหาร จัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดภูเก็ต. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, 13(1), 343-344 นฤมล บุญโสภิณ, วรางคณา จันทร์คง และช่อทิพย์ บรมธนรัตน์. (2560). การพัฒนารูปแบบทีมหมอ ครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุติดบ้าน ของต าบลวังสวาบ อ าเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น. วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ป ริ ญ ญ า ส า ธ า ร ณ สุ ข ศ า ส ต ร ม ห า บั ณ ฑิ ต ส า ข า บ ริ ห า ร ส า ธ า ร ณ สุ ข มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วีระศักดิ์ สืบเสาะ.(2551) การวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือวิจัย. มหาสารคาม:คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


72 สมภน วรสร้อย. (2560). ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการด าเนินงานของเครือข่ายทีมสุขภาพของ หมอครอบครัวระดับต าบล อ าเภอน้ าปาด จังหวัดอุตรดิตถ์. วิทยานิพนธ์ปริญญา สาธารณสุขศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา. (2560). การประชุมแผนงานยุทธศาสตร์และตัวชี้วัด ประจ าปี งบประมาณ 2561. ฉะเชิงเทรา: ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา. (2564). งานพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ทุตติยภูมิ และสุขภาพองค์รวม ประจ าปีงบประมาณ 2564. ฉะเชิงเทรา : ส านักงานสาธารณสุขจังหวัด ฉะเชิงเทรา Kemmis, S., & McTaggart, R. (1988). The action research reader. Geelong. Victoria:Deakin University Press.


73 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายในองค์กรแพทย์ โรงพยาบาลมหาสารคาม ลัดดาวัลย์ บูรณวรศิลป์ โรงพยาบาลมหาสารคาม บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายใน องค์กรแพทย์ โรงพยาบาลมหาสารคาม เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยใช้แนวคิดของ Kemmis & McTaggart และทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แบ่งระยะการวิจัยเป็น 3 ระยะ คือ 1)ระยะ เตรียมการ 2)ระยะด าเนินการ และ 3)ระยะประเมินผล เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบส ารวจข้อมูล พฤติกรรมการออกก าลังกาย แบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกาย กลุ่มตัวอย่างจ านวน 74 คน ระยะเวลาศึกษาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิง พรรณา และเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการใช้รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น วิเคราะห์เชิงเนื้อหา โดยใช้สถิติทดสอบ paired T-test ผลการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับขั้นความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ที่ขั้นเริ่ม ปฏิบัติ ร้อยละ 44.6 ใช้เวลาออกก าลังกายเฉลี่ย 50.06 นาที/ครั้ง หรือ 3.43 ครั้ง/สัปดาห์ วิธีออกก าลังกาย ส่วนใหญ่ คือ การเดิน ร้อยละ 48.6 รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 “รู้เขารู้เรา เข้าใจตัวเอง” กิจกรรมที่ 2“เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง”กิจกรรมที่ 3 “เพื่อนช่วยเพื่อน” และกิจกรรมที่ 4 “เล่นน ากัน สานสัมพันธ์องค์กรแพทย์”หลังการใช้รูปแบบการส่งเสริม พฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างมีล าดับขั้นความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการ ออกก าลังกาย กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการออกก าลังกาย การรับรู้สมรรถนะแห่งตนเกี่ยวกับการ ออกก าลังกาย ความสมดุลยภาพในการตัดสินใจในการออกก าลังกายและดัชนีมวลกายเฉลี่ย แตกต่างกับระยะ ก่อนใช้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 สรุปผลการศึกษา: รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาจากทฤษฎีขั้นตอนการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการออกก าลังกายควรขยายผลการศึกษาไปยังสหสาขา วิชาชีพอื่นและส่งเสริมสุขภาพในประเด็นอื่น ๆ ค าส าคัญ: รูปแบบการออกก าลังกาย องค์กรแพทย์ บทน า วิชาชีพแพทย์ ถือได้ว่าเป็นผู้น าทางสุขภาพที่เป็นก าลังส าคัญของระบบสาธารณสุขและด้วยลักษณะ งานในการดูแลผู้ปุวยในสถานพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ เจ็บปุวย1 พบว่าแพทย์ส่วนใหญ่ละเลยการดูแลสุขภาพของตนเองและขาดการออกก าลังกาย1,2 ดังนั้นรูปแบบ การออกก าลังกายที่มีความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล จึงถือว่ามีความส าคัญในการกระตุ้นให้แพทย์มีการออก ก าลังกายและเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมยั่งยืน โรงพยาบาลมหาสารคามมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จ านวนทั้งสิ้น 100 คน อายุระหว่าง 35 - 59 ปี มากกว่าร้อยละ 95.0 ต้องอยู่เวรตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้การดูแลผู้ปุวย จากข้อมูลผลการตรวจสุขภาพ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 - 2564 มีจ านวนแพทย์ที่ตรวจสุขภาพรวมทั้งสิ้น 327 ราย พบว่ามีจ านวน 144 ราย มีปัญหาด้านสุขภาพ ได้แก่ มีค่า BMI > 23 kg/m2 ระดับ Fasting blood sugar > 100 mg% ระดับ Cholesterol > 200 mg/dL ระดับ Triglyceride > 150 mg/ และค่า blood pressure > 140/90 mmHg


74 นอกจากนี้พบว่าแพทย์ส่วนใหญ่มีการออกก าลังกายเฉลี่ยน้อยกว่า 20 – 30 นาที/วันและไม่ต่อเนื่อง มี พฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เหมาะสม เกิดความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการท างาน ด้าน นโยบายองค์กรพบว่าโครงการส่งเสริมการออกก าลังกายที่จัดขึ้นไม่มีการประเมินความสามารถหรือความ พร้อมของบุคลากรก่อนเข้าร่วมโครงการ เป็นผลให้ไม่สอดคล้องกับบริบทการใช้ชีวิตของแพทย์ รวมถึงขาดการ ติดตามประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง1,2 ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการศึกษา การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลัง กายในองค์กรแพทย์ โรงพยาบาลมหาสารคาม โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการ ส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายในองค์กรแพทย์โรงพยาบาลมหาสารคาม และ2) เพื่อประเมินผลการใช้ รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายในองค์กรแพทย์โรงพยาบาลมหาสารคาม ทั้งนี้การศึกษาครั้งนี้ ได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลมหาสารคาม ตาม รหัสโครงการวิจัย เลขที่ MSKH_REC 65-01-007 ลงวันที่ 9 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 วิธีการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยใช้แนวคิดของ Kemmis & McTaggart และทฤษฎีขั้นตอนการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม3 เป็นกรอบการวิจัย ระยะเวลาเดือนตุลาคม 2564 ถึง เดือนพฤษภาคม 2565 ประชากร คือ แพทย์เฉพาะทางในทุกสาขา ในโรงพยาบาลมหาสารคาม จ านวนประชากรทั้งสิ้น 100 คน กลุ่ม ตัวอย่างตามเกณฑ์คัดเลือก ประกอบด้วย 1) เป็นแพทย์เฉพาะทาง ที่ปฏิบัติงานประจ าในโรงพยาบาล มหาสารคาม 2) ไม่อยู่ในระยะเวลาการลาศึกษาในระหว่างที่ท าการศึกษาวิจัย 3) ไม่มีข้อห้ามหรือข้อจ ากัดใน การออกก าลังกาย และ4) ยินดีให้ความร่วมมือเข้าร่วมการวิจัยจนครบตามระยะเวลาที่ก าหนด และเกณฑ์คัด ออกจากการศึกษา ประกอบด้วย 1) ไม่สมัครใจเข้าร่วมการวิจัย และ2) ขอถอนตัว หรือ เข้าร่วมการวิจัยไม่ ครบตามระยะเวลาที่ก าหนด ได้กลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์คัดเลือกจ านวน 74 ราย เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบส ารวจข้อมูลพฤติกรรมการออกก าลังกายที่สร้างขึ้นโดยผู้วิจัยเองและประยุกต์จากทฤษฎีขั้นตอนการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย Boonchuaykuakul วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น Cronbach’s alpha coefficient = 0.94 และ2) รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น เอง ประกอบด้วยทั้งหมด 4 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 “รู้เขารู้เรา เข้าใจตัวเอง” กิจกรรมที่ 2 “เริ่มต้นดี มีชัย ไปกว่าครึ่ง” กิจกรรมที่ 3 “เพื่อนช่วยเพื่อน” และกิจกรรมที่ 4 “เล่นน ากัน สานสัมพันธ์องค์กรแพทย์” ตรวจสอบหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหา (IOC) = 0.87 การวิจัยระยะที่ 1–3 ได้แก่ ระยะที่ 1 ระยะเตรียมการ ประกอบด้วย การวิเคราะห์สถานการณ์ ส ารวจข้อมูล และทบทวนวรรณกรรมแนวคิดและทฤษฎีระยะที่ 2 ระยะด าเนินการ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การวางแผนการปฏิบัติงาน (Plan) ขั้นที่ 2 การปฏิบัติการ (Act) ขั้นที่ 3 การสังเกตการณ์ (Observe) และขั้นที่ 4 การสะท้อนการปฏิบัติงาน (Reflect) และระยะที่ 3 ระยะประเมินผล เป็นการ ประเมินผลการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการออกก าลังกายใช้สถิติเชิงพรรณา และเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการ ใช้รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น ใช้สถิติทดสอบ paired T-test ที่ระดับ นัยส าคัญทางสถิติ 0.05


75 ผลการศึกษา ผู้วิจัยสรุปผลการศึกษาในระยะที่ 1–3 เป็นรายด้านดังนี้ 1)ด้านรูปแบบการออกก าลังกาย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ออกก าลังกายด้วยวิธีเดิน วิ่ง เต้นแอโรบิกและเข้าฟิตเนส ร้อยละ 48.6 24.3 และ 8.1 ตามล าดับ โดยออกก าลังกายเฉลี่ย 50.06 นาที/ครั้ง เฉลี่ย 3.43 ครั้ง/สัปดาห์ 2)ด้านขั้นความพร้อมในการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม พบว่ากลุ่มตัวอย่างอยู่ในขั้นก่อนคิด เริ่มคิดพิจารณา เริ่มปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติ และ ปฏิบัติอย่างสม่ าเสมอ จ านวน 4 8 33 10 และ 19 คนตามล าดับ คิดเป็นร้อยละ 5.4 10.8 44.6 13.5 และ 25.7 ตามล าดับ 3)ด้านกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการออกก าลังกาย พบว่าคะแนนเฉลี่ยกระบวนการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( ̅=3.365,SD = 0.970 4)ด้านการรับรู้สมรรถนะแห่ง ตนเกี่ยวกับการออกก าลังกาย พบว่าความมั่นใจเฉพาะอย่างเกี่ยวกับการออกก าลังกาย อยู่ในระดับปานกลาง ( ̅= 2.982, SD=1.112) 5)ด้านการรับรู้สมรรถนะแห่งตนเกี่ยวกับการออกก าลังกาย พบว่าความมั่นใจเฉพาะ อย่างเกี่ยวกับการออกก าลังกาย อยู่ในระดับปานกลาง ( ̅= 2.982,SD=1.112) 6)ด้านความสมดุลยภาพในการ ตัดสินใจในการออกก าลังกาย พบว่าคะแนนเฉลี่ยความดุลยภาพในการตัดสินใจด้านผลดีอยู่ในระดับปานกลาง ( ̅=2 . 7 3 7,SD=1 . 4 1 8 ) แ ล ะ ด้ า น ผ ล เ สี ย อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ป า น ก ล าง ( ̅=3 . 1 3 2,SD=1 . 3 6 8 ) 7)รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น พบว่าหลังการใช้รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรม การออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างมีล าดับขั้นความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการออกก าลัง กาย แตกต่างกับระยะก่อนใช้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 ความพึงพอใจหลังการใช้รูปแบบการ ส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้นในภาพรวม ร้อยละ 93.0 อภิปรายผลการศึกษา จากการวิเคราะห์บริบทการศึกษาของผู้วิจัยพบว่า มีการส่งเสริมการจัดสภาพแวดล้อม อุปกรณ์การ ออกก าลังกายให้เอื้อต่อการการออกก าลังกายของกลุ่มตัวอย่าง มีแนวทางในการสร้างก าลังใจ เสริมสร้างพลัง อ านาจแห่งตนอย่างชัดเจนในกิจกรรมที่ 2-4 มีการก าหนดรางวัลเพื่อกระตุ้นการออกกังกายเป็นหมู่คณะใน กิจกรรมที่ 4 นอกจากนี้พบว่าระดับดัชนีมวลกายเฉลี่ยหลังใช้รูปแบบที่ พัฒนาขึ้น มีความแตกต่างกับระยะ ก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อวัดระดับความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างต่อการใช้ รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น เมื่อวิเคราะห์รูปแบบกิจกรรมพบว่า รูปแบบ กิจกรรมย่อยของกิจกรรมที่ 2 และ 3 มีความสอดคล้องกับรูปแบบวิถีชีวิต และล าดับขั้นความพร้อมในการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการออกก าลังกายของกลุ่มตัวอย่าง จึงเป็นผลให้เกิดความพึงพอมากที่สุด สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกายที่พัฒนาขึ้น ส่งผลให้กลุ่ม ตัวอย่างมีการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการออกก าลังกายเพิ่มขึ้น ข้อเสนอแนะควรมีการศึกษาการส่งเสริมพฤติกรรมการออกก าลังกาย ในบุคลากรทางสุขภาพกลุ่ม อื่น ๆ และควรมีการศึกษาในประเด็นสุขภาพอื่น ๆ เช่น พฤติกรรมบริโภค การจัดการพฤติกรรมเสี่ยงด้าน สุขภาพ เป็นต้น


76 เอกสารอ้างอิง ปริชมน พันธุ์ติยะ. โรคอ้วนในวิชาชีพแพทย์. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข 2563;14(1):19-25.ศิริพร พุทธรังสี, ชวลี บุญโต, สายสมร เฉลยกิตติ, นุชรัตน์ มังคละคีรี, หทัยรัตน์ ขาวเอี่ยม. การสร้างเสริมสุข ภาวะของบุคลากรทางการพยาบาลในศตวรรษที่ 21 Health behaviors, Health workplace and happy life among healthcare providers in the 21st Century. J Royal Thai Army Nurses [Internet]. 2015 Sep. 16 [cited 2022 May 18];16(2):8-14. กรฎา มาตยากร. การปรับพฤติกรรมการออกก าลังกายตามแนวคิดรูปแบบจ าลองขั้นตอน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม. 2561; 10(2): 108-18


77 ผลของรูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด 19 กระตุ้นเข็มที่ 3 ในกลุ่ม 608 ด้วยกระบวนการเสริม แรงจูงใจและการมีส่วนร่วม กรณีศึกษา โรงพยาบาลไทยเจริญ จังหวัดยโสธร มณีแสง องอาจ,พรสุดา พันธ์ศรี,ศศิวิมล ปูองเพชร,อนุธิดา ศรีวิเศษ โรงพยาบาลไทยเจริญ อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธร บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินรูปแบบการเข้าถึงการวัคซีนโควิด19 กระตุ้นเข็ม ที่ 3 ในกลุ่ม 608 (กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มโรคเรื้อรัง) โดยประยุคใช้แนวคิดการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจ ส าหรับผู้ที่ลังเลใจในการฉีดวัคซีนในพื้นที่โรงพยาบาลไทยเจริญ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยใช้การบวนการ PAORตามกรอบแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart (Kemmis & Mc Taggart, 1990) ด าเนินการ ระหว่างเดือน พฤษภาคม – เดือน มิถุนายนพ.ศ. 2565 ขั้นวางแผน (Planning) ศึกษาสภาพปัญหาการเข้าถึง การฉีดวัคซีน ความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและแผนการการพัฒนารูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด 19 ขั้นปฏิบัติการ (Action) อบรมการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับแกนน า อาสาสมัครสาธารณสุขประจ า หมู่บ้าน(อสม) จ านวน 30 คน ผลการอบรม อสม. มีความรู้หลังการอบรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p value<0.001) และ อสม. ปฏิบัติการสนทนาสร้างแรงจูงใจ กลุ่ม 608 จ านวน 208 คน ขั้นสังเกตการณ์ (Observing)กลุ่ม 608 มีอัตราการได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.44 ขั้นสะท้อนผล (Reflecting)ได้รูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19โดยการมีส่วนร่วมของ อสม. บทน า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus disease; COVID-19) หรือโรคโควิด19 เป็นปัญหา สาธารณสุขส าคัญ ที่ผลกระทบในวงกว้างทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคมที่มหาศาลจนประเมินค่ามิได้ องค์การอนามัยโลกรายงานสถานการณ์โรค ณ วันที่ 25 เดือนมีนาคม พ.ศ.2565 ทั่วโลกมีผู้ปุวยยืนยันกว่า 476,374,234 ล้านราย เสียชีวิตแล้ว 6,108,976 ล้านราย คิดเป็นอัตราปุวยตาย ร้อยละ 1.3 (WHO. (2022). Coronavirus (COVID-19). https://covid19.who.int/) สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดยโสธร ตั้งแต่วันที่ 1 เดือน เมษายน พ.ศ.2564 จนถึงวันที่ 28 เดือน มีนาคม พ.ศ.2565 พบผู้ปุวยยืนยัน 21,966 ราย เสียชีวิต 63 ราย คิดเป็นอัตราปุวยตาย ร้อยละ 0.3 ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้มีโรคประจ าตัว ร้อยละ 73.0 รองลงมาเป็น ผู้สูงอายุ ร้อยละ 57.1 เมื่อจ าแนกผู้ที่เสียชีวิตตามข้อมูลการฉีดวัคซีนปูองกันโรคโควิด19 พบว่าไม่ฉีดวัคซีนเลย ร้อยละ 84.1 ลองลงมา คือ ฉีดเพียง 1 เข็ม ร้อยละ 7.3 และฉีดเพียง 2 เข็ม ร้อยละ 7.3 (ศูนย์สื่อสารโควิด19 ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร ,2565) ดังนั้น จึงต้องพัฒนารูปแบบให้ประชาชนได้รับวัคซีนให้ครอบคลุม มากที่สุดโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง วัตถุประสงค์การศึกษา 1.เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 กระตุ้นเข็มที่ 3 ในกลุ่ม 608 โดยประยุกต์ใช้แนวคิดการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจส าหรับผู้ที่ลังเลใจในการฉีดวัคซีน 2. เพื่อประเมินผลรูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 กระตุ้นเข็มที่ 3 ในกลุ่ม 608 ที่พัฒนาขึ้น


78 วิธีการศึกษา รูปแบบการวิจัย ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) เพื่อพัฒนารูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโค วิด19 กระตุ้นเข็มที่ 3 ในกลุ่ม 608 โดยประยุกต์ใช้แนวคิดการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจส าหรับผู้ที่ลังเลใจใน การฉีดวัคซีน ด าเนินการระหว่างเดือน พฤษภาคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 กระบวนการวิจัย ใช้กระบวนการ PAOR ตามกรอบแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart (Kemmis & Mc Taggart, 1990) มี4 ขั้นตอน รายละเอียดดังนี้ 1) ขั้นวางแผน (Planning) เพื่อแต่งตั้งคณะท างาน ส ารวจสภาพปัญหา สาเหตุการเข้าไม่ถึงการฉีด วัคซีนโควิด19 และวางแผนการพัฒนารูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 โดยการประชุมกลุ่มผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย ขั้นตอนนี้ด าเนินการในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 2) ขั้นปฏิบัติการ (Action) น ารูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 ประกอบด้วยการสนทนาเพื่อ สร้างแรงจูงใจในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นที่พัฒนาขึ้น ไปทดลองใช้กับกลุ่ม 608 ขั้นตอนนี้ด าเนินการในเดือน มิถุนายน พ.ศ.2565. 3) ขั้นสังเกตการณ์ (Observing) ติดตามและประเมินผลการด าเนินงานด้วย การติดตามข้อมูลกลุ่ม 608 ที่มีการฉีดวัคซีนในระบบให้บริการ ประเมินผลการเข้าถึงการฉีดวัคซีนกลุ่ม 608 กระตุ้นเข็มที่ 3 โดย เปรียบเทียบผลการด าเนินงานก่อน-หลังการด าเนินงาน ขั้นตอนนี้ด าเนินการในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 4) ขั้นสะท้อนผล (Reflecting) สรุปผลรูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 ส าหรับผู้ที่ลังเลใจใน การฉีดวัคซีนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพร้อมกับรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงรูปแบบให้ดียิ่งขึ้น ขั้นตอนนี้ ด าเนินการในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1) ประชากร ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจ าตัว 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ (กลุ่ม 608) ทุกคน ในพื้นที่ต าบลไทยเจริญ อ าเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนโควิด 19 กระตุ้น เข็มที่ 3 จ านวน 252 ราย 2) ตัวอย่างและขนาดตัวอย่าง 2.1) กลุ่มตัวอย่างเพื่อใช้ในการส ารวจข้อมูลทั่วไป ค้นหาสาเหตุที่ไม่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 และเป็น เปูาหมายในการสนทนาสร้างแรงจูงใจ คือ กลุ่ม 608 ทุกคน (ศึกษาในประชากร) จ านวน 252 ราย ใช้สูตรการ ค านวณขนาดตัวอย่างส าหรับประมาณค่าสัดส่วนแบบทราบค่าประชากรด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Cochran, 1977) ได้ขนาดตัวอย่าง จ านวน 208 ราย 2.2) กลุ่มตัวอย่างเพื่อใช้ในการสนทนา/ประชุมกลุ่ม และอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการสนทนาเพื่อ สร้างแรงจูงใจของอสม. แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่ (1) ส าหรับการสนทนา/ประชุมกลุ่ม คือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน จ านวน 6 คน ได้แก่ 1)อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) 2)ผู้น าชุมชน 3)บุคลากรสาธารณสุขประจ าศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลไทยเจริญ 4)ตัวแทนผู้สูงอายุหรือกลุ่ม 608 5)ญาติที่ดูแลกลุ่ม 608 และ 6)เจ้าหน้าที่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น (2) ส าหรับอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจส าหรับผู้ที่ลังเลใจในการฉีด วัคซีน แล้วน าแนวทางนี้ ไปใช้กับกลุ่ม 608 ในชุมชน คือ แกนน า อสม. ทุกหมู่บ้านๆ ทั้ง 6 หมู่บ้านๆ ละ 5 คน รวม 30 คน


79 2.3) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 2 ชุด ดังนี้ 1) แบบสอบถามการรับวัคซีนโควิด19 กระตุ้นเข็มที่ 3 และการเสริมแรงจูงใจ 2) แนวค าถามในการสนทนากลุ่ม เพื่อสอบถามความคิดเห็น บริบทการด าเนินงาน และความ ต้องการรูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 โดยประยุกต์ใช้แนวคิดการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจส าหรับผู้ ที่ลังเลใจในการฉีดวัคซีน สร้างขึ้นเองโดยผู้วิจัย จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 2.4) การวิเคราะห์ข้อมูล 1) ข้อมูลเชิงคุณภาพ ท าการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (contend analysis) แล้วสรุปเป็นประเด็นปัญหา และความต้องการในการพัฒนารูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิดส าหรับกลุ่ม 608 ที่ยังลังเลการฉีดวัคซีน กระตุ้นเข็มที่ 3 2) ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติดังนี้ (1) สถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) ได้แก่ จ านวน ร้อยละ เพื่อใช้อธิบายลักษณะทั่วไป ของกลุ่มตัวอย่าง และสาเหตุที่ไม่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 (2) สถิติเชิงอนุมาน (inferential statistics) โดยใช้สถิติดังต่อไปนี้ เปรียบเทียบสัดส่วนการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ในกลุ่ม 608 ก่อนและหลังการวิจัย โดยใช้จ านวน ร้อยละ และเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความรู้ของ อสม.ที่ผ่านการอบรม ด้วยสถิติทดสอบ t-test 2.5) จริยธรรมการวิจัย การวิจัยนี้ได้ผ่านคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร เลขที่ HE 6517 ลงวันที่ 19 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 ผลการศึกษา ขั้นวางแผน (Planning) - การส ารวจสภาพปัญหาการเข้าถึงการฉีดวัคซีนพบว่า มีการรณรงค์เคาะประตูบ้านเชิญชวนให้ กลุ่มเปูาหมายเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมกับองค์กรบริหารส่วนต าบล (อบต.) ก านัน ผู้ใหญ่บ้านและ อสม. แต่ประชาชนก็ยังเข้ารับการฉีดวัคซีนน้อย จากการสนทนาเสนอว่าควรมีการลงพื้นที่ พูดคุยท าความเข้าใจเป็นรายบุคคล ขั้นปฏิบัติการ (Action) - การพัฒนารูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 โดยการจัดอบรมเทคนิคการสนทนาเพื่อสร้าง แรงจูงใจในการฉีดวัคซีนกลุ่ม 608ให้กับแกนน า อสม. ผลการทดสอบความรู้ก่อนและหลังการอบรมเทคนิคการ สนทนาสร้างแรงจูงใจในการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 มีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ(p value<0.001) - อสม.น ารูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 ด้วยเทคนิคการสนทนาสร้างแรงจูงใจ ไปใช้กับ กลุ่ม 608 ขั้นสังเกตการณ์ (Observing) กลุ่ม 608 ที่ได้รับการการสนทนาสร้างแรงจูงใจในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจ านวน 208 คน ตัดสินใจ รับวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 จ านวน 159 คน คิดเป็นร้อยละ 76.4 ขั้นสะท้อนผล (Reflecting) ได้รูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 โดยใช้กระบวนการเสริมแรงจูงใจและการมีส่วนร่วมของ อสม.


80 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ สามารถน ารูปแบบไปใช้กับกลุ่มเปูาหมายอื่นในพื้นที่ได้ รวมถึงขยายผลไปในพื้นที่อื่นได้ อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ อภิปรายสรุป รูปแบบการเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด19 กระตุ้นเข็มที่ 3 ในกลุ่ม 608 โดยประยุกต์ใช้แนวคิดการ สนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจส าหรับผู้ที่ลังเลใจในการฉีดวัคซีน สามารถเพิ่มอัตราการเข้าถึงวัคซีนในกลุ่ม 608 สอดคล้องกับการศึกษาของพัชรภร คอนจ านงค์, ดวงจันทร์ จันทร์เมือง, มานะชัย สุเรรัมย์. (2565). การ พัฒนารูปแบบการด าเนินงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคหัดในกลุ่มเสี่ยง จังหวัดนครราชสีมา ข้อเสนอแนะ กระบวนการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจส าหรับผู้ที่ลังเลใจในการฉีดวัคซีน สามารถบูรณาการ วาง แผนการท างานร่วมกับหน่วยงานอื่นในชุมชนเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น เอกสารอ้างอิง กรมควบคุมโรค. (2565). COVID-19 Interactive Dashboard. https://ddc.moph.go.th/covid19-dashboard/ กรมสุขภาพจิต. (2564). การสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจส าหรับผู้ลังเลในการฉีดวัคซีนโควิด-19. บียอนด์ พับลิสซิ่ง จ ากัด. กานดา แจ่มจรัส. (2558). การพัฒนารูปแบบกระบวนการดูแลรักษาสุขภาพผู้ปุวยไวรัสตับอักเสบบี ด้วยการแพทย์แผนไทย. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดยโสธร. (2564). ประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดยโสธร. http://www.yasothon.go.th/web/manage/announce.html จิราพร บุญโท. (2565). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจฉีดวัคซีนปูองกันโรคโควิด-19 ในผู้ปุวย โรคเรื้อรังโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จังหวัดสมุทรสงคราม. วารสารควบคุมโรค, 48(1), 22–32. ชื่นพันธ์ วิริยะวิภาต, ศศิธร ตั้งสวัสดิ์, สุพัตรา สิมมาทัน, & บุญทนากร พรมภักดี. (2559). การพัฒนา ระบบเฝูาระวังปูองกันควบคุมวัณโรคตามแนวชายแดนไทย-ลาว ในพื้นที่จังหวัดหนองคาย ตาม แนวทางการบันทึกความร่วมมือ. ส านักงานปูองกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น, 23(1), 112– 134. ธีระพงษ์ แก้วหาวงษ์. (2543). กระบวนการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง: ประชาคม ประชาสังคม (6th ed.). คลังนานาวิทยา. ประวิต เอราวรรณ. (2545). การวิจัยปฏิบัติการณ์. บริษัท ส านักพิมพ์ดอกหญ้าวิชาการ จ ากัด. พรพิไล วรรณสัมผัส. (2558). รูปแบบการปูองกันควบคุมโรคไข้เลือดออก ด้วยกระบวนการห้า เครือข่าย ห้าร่วม ห้าคุณลักษณะ อ าเภอเมืองยโสธร. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 24(5), 1096– 1105.


81 พอเพียง ทรัพย์อินทร์. (2551). การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในวัด : กรณีศึกษา วัดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุร. In Animal Genetics. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พัชรภร คอนจ านงค์, ดวงจันทร์ จันทร์เมือง, & มานะชัย สุเรรัมย์. (2565). การพัฒนารูปแบบการ ด าเนินงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคหัดในกลุ่มเสี่ยง จังหวัดนครราชสีมา. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9, 16(1), 75–85. วิวัฒน์ โรจนพิทยากร. (2564). 100 ล้านแล้ว กับ 2 ปี ของการระบาดของโรคโควิด 19. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 30(6), 971–972. ศุภเลิศ เนตรสุวรรณ, ปณิธี ธัมมวิจยะ, เยาวลักษณ์ จริยพงศ์ไพบูลย์, อมรรัตน์ วิริยะประสพโชค, & ไชยเวช ธนไพศาล. (2564). ประสิทธิผลของวัคซีนโควิด 19 ชนิดเชื้อตาย CoronaVac ใน สถานการณ์การระบาดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ประเทศไทย. วารสารควบคุมโรค, 47(2), 1151–1162. ศูนย์ข้อมูลโควิด19 (ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19; ศบค.). (2565). ข้อมูลแถลงข่าวศูนย์บริหาร สถานการณ์โควิด19 (ศบค.) วันที่ 5 เมษายน 2565. ศูนย์สื่อสารโควิด19 ส านักงานสาธารณสุข จังหวัดยโสธร. (2565). สถานการณ์โควิด19 จังหวัดยโสธร. https://www.facebook.com/SATYASOTHON/posts/2843696995910331 ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร. (2565). ศูนย์สื่อสารโควิด จังหวัดยโสธร. https://www.facebook.com/SATYASOTHON Kemmis, S., & Mc Taggart, R. (1990). The action research planner. Deakin University press.Streiner, D. L., & Norman, G. R. (2008). Health Measurement Scales: A Practical Guideto Their Development and Use. Oxford University. WHO. (2022). Coronavirus (COVID-19). https://covid19.who.int/


82 การพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัคร ในการดูแลผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว ธิรากร มณีรัตน์, อรวรรณ ศรีเกิน, กนกพิชญ์ กาฬหว้า, ฐาณิญา โสภณวิทย์, กุหลาบ ไชยปัญหา, ภาณุวัตร สังหาวิทย์, ดารุณี จงอุดมการณ์และคณะ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัคร ในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรค หลอดเลือดสมองระยะยาว และเกิดรูปแบบการให้การดูแลผู้ปุวยติดเตียงระยะยาวใน ชุมชนที่ชัดเจนเป็น รูปธรรม โดยน าไปสู่ระบบหรือกลไกในชุมชนที่ขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพผู้ปุวยติดเตียงที่สามารถขยายผลไป ยังพื้นที่ข้างเคียงได้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยและพัฒนาเรื่องการพัฒนาศักยภาพครอบครัวและชุมชน ในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว ด าเนินการแบบมีส่วนร่วมของทีมผู้วิจัยกับ ผู้น าชุมชน ในต าบลสาวะถีและต าบลโนนท่อน อ าเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ใช้เทคนิค Appreciation Influence and Control (AIC) ซึ่งประกอบด้วย การสร้างอุดมการณ์การสร้างความรู้และแนวปฏิบัติการ สร้างนวัตกรรมการดูแล และการประเมินผล โดยมีอาสาสมัครชุมชนจ านวน 12 คน ร่วมดูแลผู้ปุวยติดเตียงที่ รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองจ านวน 10 คน เก็บรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรู้และทักษะ แบบ สังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์ และน าข้อมูลมาวิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และสถิติพรรณนา ค่าเฉลี่ย และร้อยละ ผลการศึกษาพบว่า ระบบหรือกลไกในชุมชนที่ขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพผู้ปุวยติดเตียง คือการจัดตั้ง ศูนย์จิตอาสาในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาวที่บ้านของชุมชน โดยชุมชน และเพื่อชุมชน ผ่านการจัดการเรียนรู้ฐานคิดที่ประกอบด้วย 2 ตอน ได้แก่ 1) ต้นไม้อุดมการณ์ เพื่อพัฒนา อุดมการณ์จิตสาธารณะที่ส าคัญคือ การเป็นผู้ให้และอุทิศตนเพื่อสังคม และ 2) การบริหารจัดการศูนย์เบิ่งแยง ประกอบด้วย การจัดตั้ง การบริหารจัดการ และพบว่า อสม.ที่ผ่านการอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ฐาน การจัดการเคลื่อนไหวและการออกก าลังกายที่บ้านส าหรับผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง มีสมรรถนะเพิ่มขึ้น ทั้ง ด้านความรู้ทักษะ และสามารถดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนข้อติด ค าส าคัญ: การพัฒนาสมรรถนะ, อาสาสมัคร, โรคหลอดเลือดสมอง บทน า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุหลักที่ส าคัญของการเจ็บปุวยและการเสียชีวิตทั่วโลก และกระทบ ต่อคุณภาพชีวิตของผู้ปุวยอย่างมาก ปัจจุบันมีการพัฒนาบริการสุขภาพเพื่อลดอันตรายจากโรคหลอดเลือด สมองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามครึ่งหนึ่งของผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองไม่สามารถดูแลตนเองได้ ซึ่ง เป็นการสูญเสียวิถีชีวิตและคุณภาพชีวิตตามปกติที่บุคคลเคยมี เพราะต้องกลายเป็นคนพึ่งพา ขาดซึ่งศักดิ์ศรี ของความเป็นมนุษย์ ขาดการมีส่วนร่วมท ากิจกรรมในสังคมและชุมชน จากการทบทวนวรรณกรรม พบข้อมูลนโยบายและระบบการดูแลโรคหลอดเลือดสมองจ านวนมาก จนน าสู่การมีนโยบายชาติถึงแนวทางการบ าบัดเพื่อลดภยันตรายจากหลอดเลือดสมอง แตก ตีบ ตัน ซึ่งเป็น องค์ความรู้กลางน้ า รวมถึงแนวทางการปูองกันกลุ่มเสี่ยงจากการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แตก ตีบ ตัน อัน เป็นองค์ความรู้ต้นน้ า แต่ยังขาดองค์ความรู้ปลายน้ า คือเมื่อช่วยให้ผู้ปุวยรอดชีวิตได้จากภาวะวิกฤต แต่ต้อง กลายเป็นบุคคลพิการ ทุพพลภาพ ติดบ้านติดเตียง จะมีวิธีการใดในการช่วยให้บุคคลเหล่านี้มีชีวิตอยู่อย่างมี ศักดิ์ศรีและคุณภาพชีวิตพอสมควรตามสภาพi เนื่องจากผลกระทบจากพยาธิสภาพของโรคก่อให้เกิดความ ผิดปกติทางร่างกายเช่น อาการอ่อนแรงหรือเกร็งของร่างกาย พูดล าบาก ซึ่งการท ากิจวัตรประจ าวันเองไม่ได้


83 เหมือนเคยนี้ กระทบต่อจิตใจผู้ปุวยอย่างมาก อาจจะรู้สึกตนเองไร้ค่า ขาดความภาคภูมิใจ ไร้ศักดิ์ศรี ต้อง พึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากการให้ก าลังใจแก่ผู้ปุวยแล้ว ต้องมีการช่วยการฟื้นหายด้วยการ เคลื่อนไหวออกก าลังกายเป็นส าคัญ เพื่อให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ไม่เสื่อมสลายการท างาน และไม่ เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ข้อติด เป็นต้น ปัจจุบันนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความส าคัญกับดูแลสุขภาพเชิงรุก ซึ่งอาสาสมัคร สาธารณสุขเป็นบุคคลที่ได้มีบทบาทหน้าที่ส าคัญในฐานะผู้น าการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมสุขภาพ รับผิดชอบดูแลครัวเรือนในชุมชนเฉลี่ย 10-15 หลังคาเรือนต่ออาสาสมัครฯ 1 คน ดังนั้นอาสาสมัคร สาธารณสุขจึงมีบทบาทส าคัญในการปฏิบัติงานดูแลสุขภาพชุมชน และจะสามารถดูแลคนในชุมชนอย่างมี ประสิทธิภาพหากได้รับการพัฒนาสมรรถนะ ทั้งการพัฒนาทัศนคติการพัฒนาองค์ความรู้การพัฒนาทักษะ งานวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองระยะยาว และพัฒนาให้เกิดรูปแบบการให้การดูแลระยะยาวในชุมชนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อน าผลการวิจัยสู่การสร้าง ข้อเสนอแนะการประยุกต์ใช้ในบริบทอื่นๆ ต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัคร ในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองระยะยาว 2. พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองระยะยาว ในเขตต าบลสาวะถีและต าบลโนน ท่อน อ าเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน วิธีด าเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยและพัฒนา เรื่องการพัฒนาศักยภาพครอบครัวและ ชุมชนในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ เลขที่ KEMOU64019 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ใช้วิธีการวิจัยเชิงผสานวิธี (Mixed-Methods Research) คือการวิจัยเชิงคุณภาพในการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของครอบครัว ในการดูแลผู้ปุวย สร้างร่างการออกแบบของครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอด เลือดสมองในระยะยาว และใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณในการศึกษาผลของการทดลองปฏิบัติตามร่างการออกแบบ การดูแลผู้ปุวย ด าเนินการในเขตต าบลสาวะถีและต าบลโนนท่อน อ าเภอเมืองขอนแก่น ตั้งแต่เดือน สิงหาคม พ.ศ.2564 ถึง เดือน มีนาคม พ.ศ.2565 แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรและกลุ่มเปูาหมาย คัดเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเจาะจงตามวัตถุประสงค์ของ การศึกษา ได้ผู้ให้ข้อมูล (Informants) คือ ผู้ปุวยและครอบครัวผู้ดูแล จ านวน 5 ครอบครัว และผู้น าและแกน น าสุขภาพชุมชน จ านวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยเป็นเครื่องมือส าคัญ ในการเก็บข้อมูลวิจัยเชิงคุณภาพ รับผิดชอบน าทีมและก ากับควบคุม คุณภาพข้อมูลโดยนักวิจัยในโครงการ ทีมนักวิจัยผ่านการฝึกอบรมมีประสบการณ์ในการเก็บข้อมูลเป็นอย่างดี (Lincoln, & Guba, 1985) ii เครื่องมือในการวิจัยอื่นๆที่ใช้ในการได้ข้อมูลอย่างครบถ้วน ได้แก่ แนวค าถามใน การสนทนากลุ่ม ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 คน ถือว่ามีความตรงเชิงเนื้อหาสามารถน าไปใช้ เก็บข้อมูลได้ สมุดจดบันทึกภาคสนาม รวมทั้งบันทึกข้อมูลการสนทนาด้วยเครื่องบันทึกเสียง และได้ใช้วิธีการ ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า


84 เก็บรวมข้อมูล ด้วยการสนทนากลุ่มแกนน าครอบครัวที่มีผู้ปุวยรอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองมานานกว่า 6 เดือน และท าประชาคมประชาชนในหมู่บ้านเปูาหมาย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ระยะที่ 2 การศึกษาเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มเปูาหมาย คัดเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเจาะจง คือ ผู้ปุวย ครอบครัวผู้ดูแล จ านวน 10 ครอบครัว และอาสาสมัคร ผู้น า และแกนน าสุขภาพชุมชน จ านวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี2 ส่วน ได้แก่ 1)เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อพัฒนาอาสาสมัครในการจัดการ เคลื่อนไหวและการออกก าลังกายที่บ้านส าหรับผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง 1)แนวทางการดูแลผู้ปุวย 2)เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อประเมินผลการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัคร ได้แก่ แบบประเมิน สมรรถนะด้านความรู้และทักษะในการจัดการเคลื่อนไหวและการออกก าลังกาย และประเมินผลลัพธ์จาก คะแนนความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันของผู้ปุวย และคะแนนความพึงพอใจของผู้ปุวยต่อการ ได้รับการดูแล เก็บรวมข้อมูล ด้วยการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม ใช้เทคนิค AIC ซึ่งประกอบด้วย การสร้างอุดมการณ์ การสร้างความรู้และแนวปฏิบัติ การสร้างนวัตกรรมการดูแล โดยน าข้อมูลที่ได้จากระยะที่ 1 เสนอต่อผู้ร่วม พัฒนารูปแบบคือผู้ให้บริการสุขภาพ และ อสม.ในพื้นที่ เพื่อร่วมกันก าหนดรูปแบบกิจกรรมและแนวทางใน การดูแล ด าเนินงานตามแนวทางที่ออกแบบ และประเมินผลการดูแลผู้ปุวยฯ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัย 1. ระยะที่ 1 ศึกษาปัญหาและความต้องการของครอบครัวในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอด เลือดสมองในระยะยาว สร้างร่างการออกแบบของครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรค หลอดเลือดสมองในระยะยาว ดังนี้ 1.1ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ 51 ปีขึ้นไป มีภาวะโรคร่วม คือความดันโลหิตสูง ผู้ดูแลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ผู้น า ชุมชน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น สถานภาพในชุมชน คือ อสม.ผู้ให้บริการ สุขภาพ ส่วนใหญ่ต าแหน่งพยาบาลวิชาชีพ 1.2การดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว พบปัญหาที่ส าคัญ คือ ผู้ ให้บริการสุขภาพและท้องถิ่นไม่มีแผนปฏิบัติการหรือแนวทางในการติดตามดูแลผู้ปุวย ผู้ให้บริการสุขภาพขาด ความต่อเนื่องในการติดตามเยี่ยมบ้าน และพบว่าท้องถิ่นไม่มีนโยบายในการดูแลผู้ปุวยที่ชัดเจน การจัด สภาพแวดล้อมในบ้านไม่เอื้อต่อการฟื้นฟูสภาพ ชุมชนขาดการรับรู้ปัญหาและความต้องการของผู้ปุวยและ ญาติ ผู้น าชุมชนยังขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะการดูแลผู้ปุวยในชุมชน 1.3ร่างการออกแบบการดูแลตามความปัญหาและความต้องการของผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรค หลอดเลือดสมอง โดยใช้กลไกในชุมชนที่ขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพผู้ปุวยติดเตียง คือการจัดตั้งศูนย์จิตอาสาใน การดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาวที่บ้านของชุมชนโดยชุมชนและเพื่อชุมชน มีการ ออกแบบต้นแบบการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครฯ เชิงกระบวนการ ดังนี้ เริ่มจากเป็นผู้ปุวยทุกรายที่จ าหน่ายออกจากโรงพยาบาลขอนแก่นจนพ้นระยะดูแลระยะสั้น เข้าสู่ การดูแลต่อเนื่องระยะยาว ข้อมูลผู้ปุวยจะได้รับการส่งต่อข้อมูลจากโรงพยาบาลขอนแก่นสู่หน่วยบริการปฐม


Click to View FlipBook Version