235 การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวภายใต้การขับเคลื่อนระบบ การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ (พชอ.) ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านกรูด ต าบลตูมใหญ่ อ าเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ แพรวนภา แหวนมุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านกรูด ต.ตูมใหญ่อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ บทคัดย่อ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านกรูดมีการด าเนินการการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการ ดูแลผู้สูงอายุระยะยาวภายใต้การขับเคลื่อนระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ (พชอ.) วัตถุประสงค์ เพื่อ พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.)ของเครือข่ายระดับ อ าเภอคูเมือง ในเขตของโ รงพย าบ าล ส่งเส ริมสุ ขภ าพต าบ ลบ้ านก รูด ต. ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ รูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ระยะเวลา มกราคม -ธันวาคม 2564 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้สูงอายุติดบ้านและติดเตียง จ านวน 40 ราย กลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มประชากรที่สมัครใจเข้าร่วมงานวิจัย เครื่องมือที่ใช้คือแบบประเมิน ADL แบบประเมิน 2Q ของกระทรวงสาธารณสุข การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิง ปฏิบัติการ (Action research) วิเคราะห์ค่าความถี่ด้วยสถิติ แบบพรรณา ค่าความถี่ ร้อยละ และใช้สถิติ ทดสอบ paired t-test โดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปส าหรับการวิจัย ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่า ADL ที่เพิ่มขึ้น ช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น 2Q มีคะแนนเป็นผลปกติเพิ่มขึ้น มีรูปแบบการเยี่ยมบ้านจากทีม พชอ. ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุติดบ้านและติดเตียงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามปัญหารายบุคคลรูปแบบการมีส่วนร่วมใน ระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ (พชอ.)ของเครือข่ายระดับอ าเภอคูเมือง ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบลบ้านกรูด ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ พบว่ารูปแบบใหม่ดีกว่ารูปแบบเดิม สามารถดูแลกลุ่ม ผู้สูงอายุอายุติดบ้านและติดเตียง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จ านวน 40 รายคิดเป็นร้อยละ100.00 ADL มีคะแนนมากขึ้น จ านวน 30 รายคิดเป็นร้อยละ75.00 ได้รับการแก้ไขปัญหาตรงจุดรายบุคคล จ านวน 40 ราย คิดเป็นร้อยละ100 เช่นได้รับทุนสร้างบ้าน 4ราย ได้เตียงคนไข้ที่สามารถปรับได้7 ราย ได้รับการช่วยเหลือ เรื่องห้องน้ า รถรับส่งตามแพทย์นัดที่โรงพยาบาล 11 ราย ได้รับการช่วยเหลือเรื่องของใช้ เช่นผ้าอ้อมผู้ใหญ่ 7 ราย เป็นต้น 2Q มีคะแนนเป็นผลปกติ40ราย คิดเป็นร้อยละ100สรุปรูปแบบการมีส่วนร่วมในการดูแล ผู้สูงอายุระยะยาวภายใต้การขับเคลื่อนระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.)ที่พัฒนาขึ้นให้ผล ดีกว่าแบบเดิมทุกด้าน ค าส าคัญ การพัฒนารูปแบบ, การมีส่วนร่วม, การดูแลผู้สูงอายุระยะยาว, ระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับ อ าเภอ(พชอ.) , โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล บทน า การดูแลผู้สูงอายุระยะยาวเป็นบริการที่ต้องใช้ระยะเวลานาน มีความต่อเนื่องทางด้านสุขภาพ และ สังคมที่ครอบคลุมทั้งบริการในและนอกสถานบริการ กระทรวงสาธารณสุขก าหนดการพัฒนาคุณภาพชีวิต
236 ระดับอ าเภอ (พชอ.)เป็นยุทธศาสตร์โดยเน้นให้มีการท างานร่วมกันทุกภาคส่วน มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของภาคี เครือข่ายและชุมชน ซึ่งทางอ าเภอคูเมืองโดยการน าของท่านนายอ าเภอประธาน (พชอ.)ร่วมกับคณะกรรมการ ได้จัดประชุมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) ในเขตอ าเภอคูเมืองในวันที่ 4 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 ณ ส านักงานสาธารณสุขอ าเภอคูเมือง นั้นได้เลือกการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการ แก้ไขในระดับอ าเภอคูเมืองต่อเนื่องจากปีที่แล้วซึ่งพบว่ากลุ่มผู้สูงอายุในอ าเภอคูเมืองได้เพิ่มจ านวนมากขึ้นจน เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว จึงเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม อารมณ์ และจิตวิญญาณ แบบองค์รวม และเป็นกลุ่มที่มีการเจ็บป่วยและมีโรคประจ าตัวที่ต้องได้รับการดูแลแบบใกล้ชิดทางโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านกรูด ต าบลตูมใหญ่ อ าเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์นั้นในปี งบประมาณ 2563 มี ประชากรทั้งหมดจ านวน 7,089 คน มีผู้สูงอายุจ านวน 1,047 คน คิดเป็นร้อยละ 14.76 ของประชากรทั้งหมด มีผู้สูงอายุติดสังคม 1,007 คน มีผู้สูงอายุติดบ้าน 33 คน กลุ่มผู้สูงอายุติดเตียง 7 คนคิดเป็นร้อยละ 96.18,3.15 และ 0.67 ตามล าดับ ซึ่งมากขึ้นกว่าปีงบประมาณ 2562 มีกลุ่มผู้สูงอายุติดสังคมจ านวน 1,035 คน มีกลุ่มผู้สูงอายุติดบ้านจ านวน 21 คน กลุ่มผู้สูงอายุติดเตียงจ านวน 3 คน(รพ.สต.บ้านกรูด,2564)(1) ทาง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านกรูดเห็นความส าคัญดังกล่าว จึงจัดท างานวิจัย การพัฒนารูปแบบการมี ส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวภายใต้การขับเคลื่อนระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.) ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านกรูด ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ขึ้น วิธีการศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ (พชอ.) ของเครือข่าย ระดับอ าเภอคูเมือง ในเขตของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านกรูด ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ระยะเวลาการวิจัย เดือน มกราคม – เดือนธันวาคม พ.ศ.2564 รูปแบบการวิจัย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) ระเบียบวิธีการวิจัย ประชากร กลุ่ม ผู้สูงอายุติดบ้านและติดเตียง จ านวน 40 คน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา กลุ่มประชากรทั้งหมดเป็น ผู้สูงอายุติดบ้าน และติดเตียง จ านวน 40 คน เกณฑ์การคัดเข้า ประเมินผลจากวัดตรวจวัด ADL ได้ (5–11 คะแนน) เป็น ผู้สูงอายุกลุ่มที่ 2 (กลุ่มติดบ้าน) ดูแลตนเองได้บ้าง ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง ได้(0–4คะแนน) เป็นผู้สูงอายุกลุ่มที่ 3 (กลุ่มติดเตียง) พึ่งตนเองไม่ได้ช่วยเหลือตนเองไม่ได้พิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มคนที่ยินดีเข้าร่วมงานวิจัย ตั้งแต่ต้นจนจบงานวิจัย เกณฑ์คัดออก กลุ่มคนที่ไม่ยินดีเข้าร่วมการวิจัยตั้งแต่ต้นจนจบการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย แบบประเมิน ADL แบบประเมิน 2Q และการเยี่ยมบ้านของทีม พชอ.ตัวแปรในการวิจัย ตัวแปร ต้น รูปแบบการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวภายใต้การขับเคลื่อนระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับอ าเภอ (พชอ.) ตัวแปรตาม ความสามารถในการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุติดบ้านและติดเตียงให้มีคุณภาพชีวิตที่
237 ดีขึ้นตามปัญหารายบุคคล ค่า ADL เพิ่มขึ้น 2Q ผลปกติเพิ่มขึ้น การรวบรวมข้อมูล การจัดประชุมทีม พชอ. เรื่องผู้สูงอายุระยะยาว (LTC) การเยี่ยมบ้านจากทีม พชอ.เพื่อสรุปปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุ รายบุคคล และด าเนินการแก้ไขปัญหาจากการเยี่ยม ครั้งที่ 1-5 การวิเคราะห์ข้อมูล แบบพรรณา ค่าความถี่ ร้อยละ และใช้สถิติทดสอบ paired t-test โดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปส าหรับการวิจัย ผลการวิจัย พบว่ารูปแบบการมีส่วนร่วมในระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ(พชอ.)ของเครือข่ายระดับ อ าเภอคูเมือง ในเขตของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านกรูด ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ พบว่า รูปแบบใหม่ดีกว่ารูปแบบเดิม สามารถดูแลกลุ่มผู้สูงอายุอายุติดบ้านและติดเตียง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ จ านวน 40 รายคิดเป็นร้อยละ100.00 ADL มีคะแนนมากขึ้น จ านวน 30 รายคิดเป็นร้อยละ 75.00 ได้รับการ แก้ไขปัญหาตรงจุดรายบุคคล จ านวน 40 รายคิดเป็นร้อยละ100.00 เช่นได้รับทุนสร้างบ้าน 4ราย ได้เตียง คนไข้ที่สามารถปรับได้7 ราย ได้รับการช่วยเหลือเรื่องห้องน้ า รถรับส่งตามแพทย์นัดที่โรงพยาบาล 11ราย ได้รับการช่วยเหลือเรื่องของใช้ เช่นผ้าอ้อมผู้ใหญ่ 21 ราย เป็นต้น 2Q มีคะแนนเป็นผลปกติ40ราย คิดเป็น ร้อยละ100.00 อภิปราย สรุป และข้อเสนอแนะ การท างานแบบภาคีเครือข่ายคือปัจจัยแห่งความส าเร็จในการดูแลช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยทุกกลุ่มของ เราสอดคล้องกับ (ปัญญา พละศักดิ์,2564)(2) ท าให้มีการดูแลครบทุกมิติแบบองค์รวมแก้ปัญหาตามบริบทของ แต่ละพื้นที่ (แววดี เหมวรานนท์,2563)(3) ในกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งต้องได้รับการดูแลปัจจัย 4ในการด ารงชีพ คือ อาหาร ยา ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม สามารถเข้าถึงการบริการสุขภาพและสวัสดิการของรัฐตามความจ าเป็นได้ (กีระติ เวียงนาค,2563)(4) จากการท าการวิจัยนี้พบว่า การค้นหาผู้ป่วยโดยทีมเจ้าหน้าที่นั้นไม่ยากแต่การขอ ความช่วยเหลือสิ่งที่ขาดนั้นยากยิ่งกว่า เช่น ที่อยู่อาศัย เตียงคนไข้อาหาร เงิน เสื้อผ้า ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถขอความช่วยเหลือได้ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนในและนอกพื้นที่ ด้วย ค าว่าน้ าใจนั้นยิ่งใหญ่เกินจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ ประมาณค่าตีราคาก็ไม่สามารถท าได้เพราะมี คุณค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด นี่คือปัจจัยแห่งความส าเร็จที่แท้จริง เอกสารอ้างอิง (References) รพสต.บ้านกรูด ข้อมูลจาก Hosxp ปี 2564. ปัญญา พละศักดิ์(2564) การศึกษาและพัฒนารูปแบบการด าเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอ าเภอ ของอ าเภอเมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ.วารสารสภาสาธารณสุขชุมชน ปีที่3 ฉบับที่2 พ.ค.-ส.ค.2564. แววดี เหมวรานนท์ (2563) การประเมินผลการด าเนินงานคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับ อ าเภอ จ.นครราชสีมา .วารสารวิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพปีที่6 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย.2563.
238 กีระติ เวียงนาค (2563) การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุแบบมีส่วนร่วมโดยใช้กลไกคณะกรรมการ พัฒนาคุณภาพชีวิต อ าเภอสูงเม่น จ.แพร่.วารสารวิจัยและวิชาการสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ปีที่ 1 ฉบับที่1 ม.ค.-มิ.ย.2563.
239 พัฒนารูปแบบศูนย์เรียนรู้การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ สุวรรณา มณีจ านงค์, ชุษณีนาฏ แปงการิยา, พิรานันท์ ดวงอิน, รุ่งทิพย์ แพ่งเมือง, รัชฎาภรณ์ บุญอยู่, กอบกุล มาดีคาน, บุษยรัตน์ นาคมูล โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ สรุปผลงาน การเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านเป็นกิจกรรมที่ติดตามการดูแลต่อเนื่องหลังจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาล การ พัฒนางานบริการปฐมภูมิที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกของบุคคล ครอบครัว ชุมชน เป็นส่วนที่ส าคัญใน ระบบบริการสุขภาพ ดังนั้นการพยาบาลผู้ป่วยที่บ้านจึงเป็นกลยุทธ์ส าคัญที่ช่วยลดเวลาการนอนรักษาตัวใน โรงพยาบาลท าให้ปริมาณงานและค่าใช้จ่ายในภาพรวมลดลง การพยาบาลผู้ป่วยที่บ้านเป็นงานบริการปฐมภูมิที่สนับสนุนนโยบายการสร้างหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า โดยเน้นการจัดบริการสุขภาพแบบผสมผสานให้กับประชาชนทุกกลุ่มอายุด้านการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค การรักษาโรคเบื้องต้นและฟื้นฟูสภาพ เพื่อสนับสนุนการดูแลตนเองของประชาชน และ สร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการสุขภาพตนเองของสมาชิกในครอบครัวและชุมชน นอกจากนี้การพยาบาล ผู้ป่วยที่บ้านยังส่งเสริมการแสดงบทบาทอิสระของวิชาชีพพยาบาลน ากระบวนการพยาบาลมาเป็นเครื่องมือ ส าหรับการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน โดยมีการวางแผนร่วมกับทีมการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลก่อนจ าหน่ายผู้ป่วย ออกจากโรงพยาบาล เพื่อให้เกิดกระบวนการการพยาบาลผู้ป่วยต่อเนื่อง(Continuing of Care) เชื่อมโยงการ บริการพยาบาลจากโรงพยาบาลมายังสถานบริการในชุมชนและที่บ้าน พยาบาลจึงเปรียบเสมือนเป็นผู้จัดการ ให้การดูแลผู้ป่วยที่บ้านเกิดระบบการดูแลต่อเนื่องกับโรงพยาบาล โดยมีพยาบาลเป็นกลไกส าคัญช่วยลด ช่องว่างของรอยต่อระหว่างการบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิทุติยภูมิ และตติยภูมิโดยการส่งเสริมการให้ ความรู้และการสื่อสารที่เหมาะสม(Green & Lydon, 2000) เพื่อให้การด าเนินการดูแลต่อเนื่องเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ โดยใช้การวางแผนจ าหน่าย (Discharge Planning) เข้ามาช่วยให้จากผลการศึกษาวิจัยจะเห็น ว่า การที่พยาบาลติดตามไปเยี่ยมดูแลผู้ป่วยที่บ้านหรือการเยี่ยมบ้านมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยและครอบครัว เป็นการสนับสนุนให้คนในชุมชนสามารถดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัวได้ ท าให้เกิดเครือข่ายสุขภาพใน ครอบครัวและชุมชน ซึ่งสามารถพัฒนาไปเป็นแกนน าสุขภาพครอบครัว ผู้ป่วยที่จ าหน่ายออกจากโรงพยาบาล ก็จะรู้สึกอุ่นใจที่มีพยาบาลไปดูแลที่บ้าน ญาติพี่น้องก็จะเข้าใจภาวะความเจ็บป่วยให้ความสนใจดูแลผู้ป่วยมาก ขึ้น ผู้ป่วยและครอบครัวให้ความร่วมมือในการรักษาท าให้ฟื้นหายเร็ว การรักษาได้ผลดี ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ ดีขึ้น (มาลีจิตร์ ชัยเนตร, 2552) ดังนั้นพยาบาลที่ท าหน้าที่พยาบาลผู้ป่วยที่บ้านจึงจ าเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างสูง ในการปฏิบัติการพยาบาลโดยตรง รวมทั้งเป็นผู้ประสานงานระหว่างทีมสุขภาพกับผู้ป่วยและครอบครัวร่วมกับ เครือข่ายต่างๆในชุมชนมาประยุกต์ใช้กับการพยาบาลผู้ป่วยที่บ้าน ผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมดแล้ว น ามาให้ทีมการพยาบาลจัดระบบ น าไปใช้ด าเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการบริการของประชาชนใน พื้นที่ให้เหมาะสมกับจ านวนบุคลากรของทีมการพยาบาลที่มีอยู่ ดูแลผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อส่งเสริมการดูแล ตนเองและเห็นความส าคัญของการป้องกันการเจ็บป่วย การเสริมสร้างสุขภาพที่ดี พร้อมต่อการฟื้นฟูสภาพได้
240 ในช่วงระยะเวลาพักฟื้น เมื่อผู้ป่วยจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาลทีมการพยาบาลต้องจัดท าการวางแผน จ าหน่ายร่วมกันของเครือข่ายบริการสุขภาพที่จะต้องรับผู้ป่วยไว้ในความดูแลต่อ เพื่อการจัดการโรคและการ ดูแลผู้ป่วยที่ต่อเนื่อง สอน / แนะน าครอบครัว/ผู้ดูแลให้สามารถปฏิบัติการดูแลได้เหมาะสม ป้องกันการ เจ็บป่วยซ้ า ติดตามประเมินผลการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย และช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ของผู้ป่วยและพยาบาลซึ่งมีบทบาทเป็นหัวหน้าทีมการพยาบาลผู้ป่วยที่บ้านเป็นผู้ติดตามประเมินผลการดูแล ผู้ป่วยในพื้นที่รับผิดชอบและน ามาวางแผน จัดทีมเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านตามสภาพปัญหาสุขภาพและความต้องการ การดูแล การก าหนดระยะเวลาเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านจะทิ้งช่วงเวลายาวนานเท่าไรขึ้นกับการวินิจฉัยปัญหาทางการ พยาบาล อาการและอาการแสดงของผู้ป่วย ความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยและญาติ / ผู้ดูแล พยาบาลต้องใช้เครื่องมือต่างๆ มาประเมินภาวะผู้ป่วย เช่น ADL , INHOMESSS , Nursing Process ฯลฯ แล้วน าข้อมูลจากการใช้เครื่องมือพิจารณาร่วมกับความรุนแรง (ส านักการพยาบาล : 2556) ส านักการพยาบาลจ าแนกระดับความรุนแรงของผู้ป่วยและความต้องการการช่วยเหลือที่บ้านไว้ 3 ระดับดังนี้ ความรุนแรงระดับที่ 1 หมายถึง กลุ่มผู้ป่วยที่เริ่มเจ็บป่วยระยะแรกจากการเป็นโรคเรื้อรัง มีการ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเล็กน้อย ยังไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการเกิดภาวะโรคร่วม ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะเกี่ยวกับโรคและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมกับสภาวะของโรค ความรุนแรงระดับที่ 2 หมายถึง กลุ่มผู้ป่วยที่มีการด าเนินของโรคส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตปกติ มีความจ ากัด / ไร้ความสามารถเล็กน้อย ช่วยเหลือตัวเองได้ไม่เต็มที่ ศักยภาพในการดูแลตนเองไม่เพียงพอ ต้องการผู้ดูแล /คนช่วยเหลือในการท ากิจกรรมบางส่วน ความรุนแรงระดับที่ 3 หมายถึง กลุ่มผู้ป่วยที่พยาธิสภาพของโรคท าให้เกิดความพิการ/จ ากัด ความสามารถในการท ากิจวัตรประจ าวันด้วยตนเองหรือใส่เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อช่วยในการด ารงชีวิต จ าเป็นต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลือการท ากิจวัตรประจ าวันให้ซึ่งความรุนแรงในระดับ 3 นี้เป็นระดับที่ผู้ดูแลต้องมี ความพร้อมในการดูแลมากที่สุด ผู้ป่วยจ าเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากญาติหรือผู้ดูแล ผู้ป่วยส่วน ใหญ่จะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากผู้ที่เคยดูแลตนเองได้ จนถึงไม่สามารถดูแลตนเองได้ ดังนั้นในการดูแลช่วงนี้ ญาติจะมีความล าบากในการดูแล ต้องคิดที่จะปรับใช้แนวทางเพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้ กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน เป็นกลุ่มงานใหม่ที่แยกมาจากงานรักษาพยาบาลในชุมชน กลุ่มงานเวช กรรมสังคมตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 ระบบงานใช้กระบวนการพยาบาล(nursing process)ในทุกขั้นตอน ใช้ฐาน แนวคิด Hospital base และ Community base ในการพัฒนางานที่ผ่านมากพบว่าผู้ดูแลต้องประสบกับ ปัญหาในการดูแลเนื่องจากไม่เคยดูแลผู้ป่วยติดเตียงมาก่อน สูญเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมของใช้ส าหรับผู้ป่วย ที่ไม่เกิดประโยชน์ มีปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ผู้ดูแลมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในการดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วยบาง รายโรคลุกลามจนไม่สามารถควบคุมได้จนถึงเสียชีวิตในที่สุด เนื่องจากต้องมีการเชื่อมโยงการดูแลทั้งจากโรงพยาบาลและชุมชน โดยเริ่มจากการติดตามเยี่ยม ผู้ป่วยต่อเนื่องที่บ้านพบปัญหาการดูแลที่คล้ายคลึงกัน ปัญหาเกิดขึ้นซ้ าๆในผู้ป่วยรายใหม่ จึงใช้กิจกรรมเชิงรุก
241 ติดตามให้การดูแลตั้งแต่เริ่มวางแผนจ าหน่ายในโรงพยาบาลร่วมกับทีมรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ติดตามให้ การบริหารจัดการรายกรณีต่อเนื่องในชุมชนจนผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดูแลตนเองได้ เพื่อแก้ไข ดังนั้นกลุ่มงานการพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้การดูแลผู้ป่วยที่บ้านโดย การรวบรวมองค์ความรู้และนวัตกรรมที่ใช้ได้ผลดี สะดวกในการใช้งาน เหมาะสมกับบริบทในการดูแลต่อเนื่อง ที่บ้าน จัดกระบวนการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ (Adult learning process) ใช้การสอนในรูปแบบการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ (knowledge management) ส่งผลให้เกิดทัศนคติและทักษะใหม่ๆ ในการดูแลผู้ป่วย มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นจนสามารถดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องที่บ้านได้ กิจกรรมการพัฒนา: ใช้ P-D-C-A แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่1 การเตรียมความรู้โดยการศึกษาเอกสารต าราต่างๆ / ใช้การบริหารจัดการรายกรณี (Case management) ในการแก้ไขปัญหา / ติดตามเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน ระยะที่ 2 น าความรู้ผลการดูแลที่ดีมาใช้ปฏิบัติกับผู้ป่วยรายอื่นๆ ระยะที่ 3 ประเมินผลการดูแล ระยะที่ 4 ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เป็นส่วนหนึ่งของงานประจ า ขั้นตอนการประเมินผู้ป่วย 1. การวัดผลและผลการเปลี่ยนแปลง: ติดตามการดูแลโดยการเยี่ยมประเมินผู้ป่วยที่บ้าน/ใช้แบบ ประเมินความสามารถของครอบครัวต่อการจัดการดูแลสุขภาพตนเองที่บ้านตามเกณฑ์ที่ก าหนด (น. 30 : แนว ทางการจัดเก็บตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาล ประจ าปีงบประมาณ 2563) ประเมินก่อนและหลัง การให้ความรู้ 2. โอกาสพัฒนา หรือข้อเสนอแนะในการพัฒนาต่อไป: พัฒนาการเข้าถึงศูนย์เรียนรู้ในชุมชนโดยจัด โครงการในชุมชนต่างๆในเขตเมืองโดยใช้งบประมาณของอบท. ส่งเสริมให้หน่วยปฐมภูมิทุกแห่งจัดตั้งศูนย์ เรียนรู้ของตนเอง และเผยแพร่องค์ความรู้ทางสื่อออนไลน์ 3. ปัจจัยแห่งความส าเร็จ: ผู้บริหารให้การสนับสนุนและได้รับความร่วมมือกับทุกฝ่ายทั้งในและนอก โรงพยาบาล 12 การสนับสนุนที่ได้รับจากผู้บริหารหน่วยงาน / องค์กร: สถานที่จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ดูแลผู้ป่วยที่ บ้านที่เหมาะสม เข้าถึงง่าย / ส่งเสริมให้พัฒนาองค์ความรู้ให้เป็นรูปธรรม
242 ความเครียดในการท างานและการจัดการความเครียดของ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ในสถานการณ์ระบาดของโควิด 19 ยุพิน สุจินพลัม, สราวุฒิโสภาณะโสม กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน กลุ่มภารกิจด้านบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม บทคัดย่อ ความเครียดเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตส าคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการท างานของเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม โดยส่งผลกระทบต่อการท างาน ซึ่งเป็นงานบริการด่าน หน้าที่ต้องดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นหลัก การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง (cross-sectional descriptive study) มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับความเครียดในการท างาน และวิธีจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด 19 และ 2) เพื่อหา ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดในการท างานและการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ระหว่างเดือน มกราคม - พฤษภาคม 2565 โดยศึกษาจากการตอบ แบบสอบถามของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ที่ปฏิบัติงาน มากกว่า 1 ปี จ านวน 110 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณณา และสถิติทดสอบ Chi-square ผลการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม มีคะแนนความเครียดอยู่ใน ระดับที่มาก จ านวน 110 คน คิดเป็นร้อยละ 100 และวิธีการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่ที่ท างานใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ได้แก่ การพูดระบายกับเพื่อนและคนในครอบครัว (̅= 3.89) การเดินทางไปท่องเที่ยว (̅= 3.28) การนอนโดยไม่คิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น (̅= 2.66) การหากิจกรรม ผ่อนคลาย (̅= 3.97) การพบปะสังสรรค์ (̅= 3.9) การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมวิเคราะห์ปัญหาและวิธีแก้ไข (̅= 3.71) การเก็บไว้คนเดียวไม่พูดกับใคร (̅= 2.78) การนั่งสมาธิ (̅= 2.99) การใช้ยานอนหลับ (̅= 1.06) และการท าร้ายร่างกายตนเอง (̅= 1.00) จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดในการท างานและ การจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม พบว่ามีความสัมพันธ์ กันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติp < 0.001 การจัดการบริการส่งเสริมสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่ ควรมีการติดตามต่อเนื่องและหาแนวทางในการ แก้ไขปัญหาดังกล่าว อันจะเป็นการป้องกันโรคซึมเศร้าและปัญหาความเครียดในเจ้าหน้าที่ต่อไป ค าส าคัญ: ความเครียดในการท างาน, การจัดการความเครียด, โควิด 19 บทน า ในปัจจุบันการด าเนินงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลมีการพัฒนาและแตกต่างจากในอดีตมาก มีการด าเนินงานเชิงรุก โดยมุ่งเข้าหาประชาชนและชุมชนเพื่อสร้างสุขภาพเป็นหลัก รวมทั้งมุ่งจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่เป็น
243 ต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ มีการเชื่อมโยงระบบโดยปรึกษาแพทย์จากโรงพยาบาลหรือส่งต่อผู้ป่วยได้ตลอดเวลา ผลักดัน และเสริมสร้างให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเอง จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563เป็น ต้นมา ข้อมูลจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)หรือ ศบค. 2 (5 พฤษภาคม 2565) พบว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ เป็นอันดับ 24 จ านวน 4.3 ล้านราย จังหวัดอุบลราชธานี อันดับ 9 ของประเทศ จ านวนสะสม 187,748 ราย เสียชีวิต 217 ราย อ าเภอเดชอุดม สะสม 17,841 ราย เสียชีวิตสะสม 21 ราย รักษาหาย 16,017 รายและก าลังรักษา 1,803 ราย ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การด าเนินชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และส่งผลต่อระบบบริการสุขภาพมาเป็นเวลานาน จากการท างาน ในสภาวะเช่นนี้ยาวนานต่อเนื่อง ร่างกายเหนื่อยล้าจากงาน ท าให้เกิดความเครียดได้สูง ภาวะดังกล่าวส่งผล กระทบต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลและต่องานบริการ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบล ไม่สามารถหาแนวทางจัดการกับความเครียดของตนเองได้อย่างเหมาะสม ก็จะน าไปสู่ ปัญหาสุขภาพจิตต่อไปได้ (นฤมล สุธีรวุฒิ, 2558) 4 ความชุกปัญหาสุขภาพจิตภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ข้อมูลช่วงเดือนมกราคม พ.ศ.2565 พบว่าปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้น ได้แก่ ภาวะหมดไฟ ภาวะความเครียดสูง เสี่ยงซึมเศร้า เสี่ยงฆ่าตัวตาย และซึมเศร้ารุนแรง ร้อยละ 1.52, 1.44, 13.37, 2.26 และ 0.32 ตามล าดับ (กรมสุขภาพจิต,2564)3 ทั้งนี้กลุ่มผู้ติดเชื้อมีภาวะเครียดสูงกว่ากลุ่ม ประชาชนทั่วไปถึง 2 เท่า นอกจากนั้นยังพบว่าบุคลากรทางการแพทย์มีภาวะหมดไฟสูงถึงร้อยละ2.54 และมี ความเครียดในระดับสูงถึงร้อยละ 5.21 ภายใต้ความคาดหวังจากหลายภาคส่วน ในการดูแลคนจ านวนมาก ต้อง ปฏิบัติงานติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน ต้องอยู่ภายใต้ความเครียดจากความกดดัน อีกทั้งเป็นบุคคลที่มี ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าบุคคลอื่น จึงท าให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาทาง จิตใจได้มากกว่าทั่วไป ซึ่งอาจเกิดความรู้สึกกดดัน ตึงเครียด โกรธกังวลใจ กลัว หดหู่ ท้อแท้ และเหนื่อยล้าจากหน้างานที่ต้อง เผชิญได้มากกว่าปกติ (กรมสุขภาพจิต,2564)3 ดังนั้น จึงเกิดเป็นค าถามว ่าเจ้าหน้าที ่โรงพยาบาลส ่งเสริมสุขภาพต าบลอ าเภอเดชอุดม มีระดับความเครียดจากการท างานในช ่วงสถานการณ์แพร ่ระบาดโควิด 19 ระดับใดสาเหตุของ ความเครียดเกิดจากอะไรและมีการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อย่างไรโดยประโยชน์ของการศึกษานี้จะช่วยสะท้อนภาพให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพจิตจากการท างานที่เกิดขึ้นใน สภาวะวิกฤตของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล ตลอดจนการวางแผนการรักษาเยียวยา และ ฟื้นฟูสุขภาพจิตของบุคลากรต ่อไป จากปัญหาดังกล ่าวข้างต้นผู้วิจัยจึงสนใจที ่จะศึกษาสถานการณ์ ความเครียดในการท างานและการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดช อุดมในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งสามารถจะน าไปสู่การวางแผนบริหารจัดการความเครียดจากการ ท างานของเจ้าหน้าที ่โรงพยาบาลส ่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ให้มีการปฏิบัติงานที ่มี ประสิทธิภาพ สุขภาพจิตที่ดี มีสภาพแวดล้อมในการท างานที่ดีขึ้นได้
244 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาระดับความเครียดในการท างาน และการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด 19 2. เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ประชากรที่เข้ารับการศึกษา เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม จ านวน 110 คน Inclusion criteria 1.เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดมทั้งหมด จ านวน 110 คน (กลุ่มงานที่ ให้บริการหรือสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง ได้แก่แพทย์ พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าพนักงาน สาธารณสุข เจ้าพนักงานทันตะสาธารณสุข พนักงานขับรถ คนงาน ) 2.ปฏิบัติงานกับผู้ป่วยโดยตรง ระหว่างวันที่ 1 เดือนมกราคม พ.ศ.2565 – วันที่ 31 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 Exclusion criteria 1.เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาสุขภาพจิต โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า จิตเภท โรคติดแอลกอฮอล์และสารเสพติด 2.เจ้าหน้าที่ไม่ประสงค์ให้สอบถามเมื่อพิจารณาตามเกณฑ์คัดออก 3. เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตก่อนการประเมินสุขภาพจิต สถานที่ท าการวิจัย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม วิธีการศึกษาวิจัย (intervention) งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง (cross-sectional descriptive study) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถาม แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม 6 ข้อ ได้แก่ อายุ เพศ สถานภาพสมรส ระดับ การศึกษา ระยะเวลาในการท างาน และรายได้ 2. แบบประเมินความเครียดของกรมสุขภาพจิต 5 ข้อ
245 3. แบบสอบถามการจัดการกับความเครียด เป็นส่วนที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นเองรวบรวมจากกิจกรรมที่ คน ไทยชอบกระท า เมื่อเกิดความเครียดขึ้น ประกอบด้วย วิธีการต่าง ๆ ที่ใช้แก้ไขลดหรือบรรเทาความเครียด ค าถามเป็นแบบเลือกรายการ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1. ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity)ของแบบประเมิน ใช้ (IOC: Index of item Objective Congruence) โดยผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 ท่าน ได้ค่า IOC = 0.91 2. หาค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha reliability coefficient) ได้ค่า Reliability = 0.80 การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ข้อมูลเชิงพรรณนา ใช้สถิติ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม โดยใช้สถิติทดสอบไคสแควร์(Chi-square test) การเก็บรวบรวมข้อมูล 1.ออกแบบสอบถามจากการศึกษาหลักฐานเชิงประจักษ์ 2.ผู้วิจัยได้ท าหนังสือขอความร่วมมือเก็บแบบสอบถามถึงหน่วยงานต่าง ๆ ในโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม เพื่อขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ท างานใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดมเพื่อตอบแบบสอบถาม จ านวน 110 ชุด ระยะเวลาในการด าเนินงานวิจัย วันที่ 5 เดือน พฤษภาคม – วันที่ 20 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 ผลการศึกษา กลุ่มประชากรเป็นเพศหญิงจ านวน 86 คน (ร้อยละ 78.18) เพศชายจ านวน 24 คน (ร้อยละ 21.82) อายุระหว่าง 31 - 40 ปีสถานภาพคู่/แต่งงาน ระดับการศึกษาปริญญาตรี ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน ระหว่าง 1-10 ปี รายได้ต่อเดือน 15,001 - 25,000 บาท จากผลการสอบถามระดับความเครียดในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ ในช่วงของสถานการณ์ โควิด-19 พบว่า เจ้าหน้าที่ฯ มีคะแนนความเครียดอยู่ในระดับที่มาก จ านวน 110 คน คิดเป็นร้อยละ 100.00 และวิธีการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ได้แก่ การพูดระบายกับเพื่อนและคนในครอบครัว (̅= 3.89)การเดินทาง ไปท่องเที่ยว (̅= 3.28) การนอนโดยไม่คิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น (̅= 2.66) การหากิจกรรมผ่อนคลาย (̅= 3.97) การพบปะสังสรรค์ (̅= 3.9) การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมวิเคราะห์ปัญหาและวิธีแก้ไข (̅= 3.71)การเก็บ
246 ไว้คนเดียวไม่พูดกับใคร (̅= 2.78) การนั่งสมาธิ (̅= 2.99) การใช้ยานอนหลับ (̅= 1.06) และการท าร้ายร่างกาย ตนเอง (̅= 1.00) จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและการจัดการความเครียดของเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม พบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (Sig = 0.00) การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ น าไปสู่การวางแผนบริหารจัดการความเครียดในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ให้มีการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ สุขภาพจิตที่ดี มีสภาพแวดล้อมในการท างานที่ดีขึ้นได้ การอภิปรายผล โดยจะเห็นได้ว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม มีความเครียดอยู่ในระดับที่มาก และวิธีการจัดการความเครียดที่แตกต่างกันสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมของแต่ละบุคคล จากผลการศึกษานี้ สามารถจะน าไปสู่การวางแผนบริหารจัดการความเครียดในการ ท างานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ให้มีการท างานที่มีประสิทธิภาพ สุขภาพจิตที่ดี มีสภาพแวดล้อมในการท างานที่ดีขึ้นได้ ข้อเสนอแนะ ความเครียดของเจ้าหน้าที่ที่ท างานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของแต่ละบุคคล ซึ่งความเครียดจากสถานการณ์นี้ อาจท าให้ เกิดโรคซึมเศร้าตามมา ควรมีการประเมินภาวะซึมเศร้าของกลุ่มบุคคลากรที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ ซึมเศร้าหรือการท าร้ายตนเอง นอกจากนี้งานวิจัยนี้มีการศึกษาที่สัมพันธ์กับความเครียด เพื่อช่วยในสนับสนุนการวาง ระบบบริหารจัดการความเครียดในการท างานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล อ าเภอเดชอุดม ให้มีการ ท างานที่มีประสิทธิภาพ สุขภาพจิตที่ดี มีสภาพแวดล้อมในการท างานที่ดีต่อไป เอกสารอ้างอิง กมลวรรณ รอถ้า , ทิพย์วัลย์ สุรินยา.ความเครียด การจัดการความเครียดกับคุณภาพชีวิตในการ ท างานของเจ้าหน้าที่ให้ค าปรึกษาทางโทรศัพท์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 กระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่น คงของมนุษย์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ Covid-19. วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย ปีที่ 52; ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2564: 1-15.1 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). สถานการณ์ผู้ติดเชื้อCOVID-19 อัพเดทรายวันวันที่ 07/01/2022. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2565,จากเว็บไซต์https://ddc.moph.go.th/covid19-dashboard/. 2
247 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการดูแลสังคมจิตใจบุคลากรสุขภาพในภาวะวิกฤตโควิด-19 (21 เม.ย. 63). สืบค้น เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2565, จากเว็บไซต์https://dmh.go.th/covid19/pnews/files/21aug2563-1.pd. 3 นฤมล สุธีรวุฒิ.ภาวะหมดไฟ:ปัจจัยที่เกี่ยวข้องและแนวทางในการป้องกัน.วารสารการวัดผลการศึกษา. ปีที่ 32 ; ฉบับที่ 91 ม.ค.-มิ.ย. 2558:16-25.4 ฐาปนี วังกานนท์.ปัจจัยด้านการท างานที่มีอิทธิพลต่อความเครียดของพนักงาน กรณีศึกษาบริษัท แอมพาส อินดัสตรี จ ากัด. ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตวิชาเอกการจัดการทั่วไป,มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี; 2556:1-103.
248 การถอดบทเรียน : กระบวนการการใช้ โปรแกรม 3S ส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในยุคโควิด-19ของโรงพยาบาลพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช จันทร์ทิมา สุดสมบูรณ์ โรงพยาบาลพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช บทคัดย่อ รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการส่งเสริมให้ผู้หญิงที่มีอายุ 30-60 ปีเข้ารับ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยโปรแกรม 3s ของโรงพยาบาลพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 30-60 ปี จ านวน 1,140 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือโปรแกรม 3S (Self, Service, Safety) ผ่านระบบ google form ซึ่งมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้านเป็นผู้จัดเก็บ ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า จากการให้โปรแกรมดังกล่าว กลุ่มเป้าหมายเข้ารับการตรวจคัดกรอง จ านวน 881 คน คิดเป็นร้อยละ 77.28 สูงกว่าการด าเนินงานในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะไม่บรรลุเป้าหมายร้อยละ 80 ของ สสจ.นศ. แต่ก็ท าให้อัตราการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของปี 2564 สูงกว่า ปี 2563 เพิ่ม ถึงร้อยละ 40 ข้อเสนอแนะคือ น าโปรแกรม 3S ไปใช้ในรอบระยะเวลาที่เหลือเพื่อยันยันผลสัมฤทธิ์และจัดท า เป็นคู่มือปฏิบัติงานให้มีความชัดเจน และ ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรม 3S เพื่อเป็นเครื่องมือใน การส่งเสริมให้ผู้หญิงกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้สูงกว่าเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ความส าคัญของปัญหาวิจัย มะเร็งปากมดลูก เป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส าคัญของไทยที่ท าให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรบุคคลและ สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จากข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2563 พบว่า พบผู้ป่วยราย ใหม่ ปีละกว่า 9,000 ราย และเสียชีวิตปีละ 4,700 ราย หรือในแต่ละวันจะมีผู้หญิงไทยเสียชีวิตสูงถึง 13 คน มะเร็งปากมดลูกสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการตรวจคัดกรองหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะ เริ่มแรก (กรมการแพทย์, 2561) สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ชนิดที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ซึ่งเกี่ยวข้อง กับการมีเพศสัมพันธ์ มะเร็งปากมดลูกสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็ง ปัจจุบันจังหวัด นครศรีธรรมราช เห็นชอบให้ทุกโรงพยาบาลในสังกัด ท าการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีHPV DNA Test เพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (CA Cervix) เป็นบริการทดแทนการตรวจแบบดั้งเดิม( PAP Smear) เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพของบริการที่มีความแม่นย าสูงถึง 99.99 % ลดอุบัติการณ์เป็นมะเร็งปากมดลูกและลดอัตรา ตายได้มากกว่าร้อยละ 80 โดยการตรวจคัดกรองอย่างสม่ าเสมออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ทุก ๆ 5 ปี โรงพยาบาลพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ด าเนินการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ทั้ง 6 หมู่บ้าน ผลการ ด าเนินการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในรอบ 5 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ.2559-2563 พบว่า ผู้หญิงอายุ ระหว่าง 30 –60 ปีได้รับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ร้อยละ 37.14, 45.29, 57.62, 60.10, และ 48.61 ตามล าดับ (ข้อมูล : HDCส านักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช,2565) ซึ่งยังไม่บรรลุเป้าหมายของ กระทรวงสาธารณสุขที่ก าหนดร้อยละ 80 จากปัญหาและบริบทของพื้นที่พบว่า มีความอายเป็นสาเหตุหลัก ของการตรวจคัดกรอง (พรรณี ปิ่นนาค,2563) และช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19ยิ่ง
249 ท าให้การเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกท าได้ยากยิ่งขึ้นเนื่องจากมาตรการทางสาธารณสุขผู้เขียน เป็นผู้รับผิดชอบงานมะเร็งของโรงพยาบาลพรหมคีรี จึงสนใจน าโปรแกรม 3S ประกอบด้วย S: self ประเมิน ตนเอง,เปิดบัตรและกรอกข้อมูลผ่าน google form S:service เข้าสู่กระบวนการตรวจ และ S:safety มีความมั่นใจในการดูแลตนเองปลอดภัยและเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกต่อเนื่องทุก ๆ 5 ปี โปรแกรม 3S จึงมีความจ าเป็นและส าคัญในการเข้ามาเป็นกระบวนการส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจเข้า รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้มากขึ้น วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อศึกษากระบวนการส่งเสริมให้ผู้หญิงที่มีอายุ30-60 ปีเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยโปรแกรม 3S ของโรงพยาบาลพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช วิธีการศึกษา จากการด าเนินงานคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของโรงพยาบาลพรหมคีรี ยังไม่ผ่านเกณฑ์ตามที่ก าหนด ผู้เขียนจึงได้น าโปรแกรม 3S (Self, Service, Safety) มาเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมให้ผู้หญิง กลุ่มเป้าหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งมากมดลูกให้มากขึ้น ซึ่งมีวิธีการดังนี้ 1. จัดท าทะเบียนรายชื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุระหว่าง 30-60 ปี มีจ านวน 1,140 คน ครอบคลุม พื้นที่ 6 หมู่บ้าน 2. ส่ง Link ของ Google form ให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) ที่ดูแลให้ กลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 6 หมู่บ้าน จ านวน 1,140 คน 3. กลุ่มเป้าหมาย ท าประเมินตนเองตามแบบฟอร์ม Google form ที่ อสม.ส่งให้ เพื่อให้เกิดความ ตระหนักรู้และเข้าใจถึงความจ าเป็นและความส าคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เพื่อให้เกิดการ ตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการตรวจ ณ คลินิกวางแผนครอบครัว โรงพยาบาลพรหมคีรี โดยท าการเปิดบัตรและ กรอกข้อมูลพื้นฐานผ่าน Link ของ Google form ซึ่งไม่ต้องมาท าบัตรที่ห้องบัตร เพื่อเว้นระยะห่าง (Social Distancing) จากการติดเชื้อโควิด ลดความแออัด ลดการรอคอยที่ยาวนาน ในวันที่เข้ารับการตรวจ กลุ่มเป้าหมายสามารถมารับบริการที่คลินิกได้เลย ท าให้ไม่ต้องเสียเวลาในการรับการตรวจเหมือนที่ผ่านมา และจ ากัดยอดเข้ารับบริการในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 20 ราย/วัน เท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ผลการศึกษา จากการด าเนินการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2564 ของผู้หญิงกลุ่มเป้าหมาย อายุระหว่าง 30 - 60 ปี จ านวน 1,140 คน ตรวจคัดกรอง จ านวน 881 คน คิดเป็น ร้อยละ 77.28 สูงกว่าการด าเนินงานในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล:HDCส านักงานสาธารณสุขจังหวัด
250 นครศรีธรรมราช,2565) ถึงแม้จะไม่บรรลุเป้าหมายร้อยละ 80 ของ สสจ.นศ. แต่ก็ท าให้อัตราการเข้ารับการ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของปี 2564 สูงกว่า ปี 2563 เพิ่มถึงร้อยละ 40 อภิปรายผล จากการด าเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า โปรแกรม 3S ซึ่งประกอบด้วย การศึกษาความรู้เรื่อง มะเร็งปากมดลูก การประเมินความเสี่ยงของตนเองของผู้หญิงกลุ่มเป้าหมาย (Self) ได้ตระหนักถึงความจ าเป็น และความส าคัญของการตรวจคัดกรองจึงตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการตรวจ (Service)เพื่อสร้างความปลอดภัย ให้ตนเอง (safety)อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาช่วงอายุ 30-60ปี ของตนเอง ส่งผลท าให้ผู้หญิงกลุ่มเป้าหมาย ตัดสินใจเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ ศิริวรรณ จันทร์ แจ้ง และคณะ (2562) รัฐพล สาแก้ว และคณะ (2560) และ ศรีสุรัตน์ ชัยรัตนศักดา (2564) ที่พบว่าโปรแกรม ของผู้ปฏิบัติงานที่สร้างขึ้นตามบริบทของแต่ละพื้นที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปาก มดลูกในผู้หญิงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น สรุปและข้อเสนอแนะ สรุป : กระบวนการส่งเสริมให้ผู้หญิงที่มีอายุ 30 – 60 ปี เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในยุคโควิด-19 ด้วย โปรแกรม 3S ของโรงพยาบาลพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช คือ การหาความรู้และ การประเมินตนเอง เกิดความตระหนักและตัดสินใจเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยความสมัคร ใจ เพื่อสร้างความปลอดภัยในกับตนเองและลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท าให้มี ผู้หญิงกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก จ านวน 881 คน คิดเป็นถึงร้อยละ 77. 28 ของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด นับว่าเป็นโปรแกรมที่ดีและสามารถน าไปสู่การปฏิบัติได้จริงเห็นผลเชิงประจักษ์ และสามารถน าไปต่อยอดเผยแพร่และน าไปประยุกต์ในทุกพื้นที่ของไทย ข้อเสนอแนะ 1) น าโปรแกรม 3S ไปใช้ในรอบระยะเวลาที่เหลือเพื่อยันยันผลสัมฤทธิ์และจัดท าเป็นคู่มือ ปฏิบัติงานให้มีความชัดเจน 2) มีการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรม 3S เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้ผู้หญิง กลุ่มเป้าหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้สูงกว่าเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
251 เอกสารอ้างอิง กรมการแพทย์. (2561). แนวทางการตรวจคัดกรอง วินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก.กระทรวง สาธารณสุข. พรรณี ปิ่นนาค.(2563). เหตุผลและปัจจัยของการไม่ไปรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก กรณีศึกษา สตรีอายุ 30-60 ปี ในต าบลนาโพธิ์ อ าเภอสวี จังหวัดชุมพร. วารสารวิจัยและนวัตกรรม ทางสุขภาพ, 3 (1), น.118-131. รัฐพล สาแก้ว, จงกลฌี ธนาไสย์ และบัณฑิต วรรณประพันธ์. (2560). ผลของโปรแกรมการส่งเสริม พฤติกรรมการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30-60ปี ในเขตโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบลหนองเหล็ก อ าเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์. วารสารสุขภาพและการศึกษา พยาบาล, 23 (1), น.17-30. ศรีสุรัตน์ ชัยรัตนศักดา. (2564). ผลการใช้โปรแกรมการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกต่อความรู้ ทัศนคติ และความตั้งใจมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล พระนอน จังหวัดนครสวรรค์.สวรรค์ประชารักษ์เวชสาร. 18 (1), น. 60-69. ศิริวรรณ จันทร์แจ้ง พัชราพร เกิดมงคล ทัศนีย์ รวิวรกุล. (2562). ผลของโปรแกรมสร้างแรงจูงใจใน การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของอาสาสมัครสาธารณสุขสตรีมุสลิม. วารสารสุขศึกษา, 42 (2), น. 52-62. ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช.(2565).ข้อมูล HDC. สืบค้นจาก https://www.nakhonsihealth.org/.เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564.
252 การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation แบบ“HIปลอดภัย ใส่ใจดูแล” โดยอาศัยกระบวนการพยาบาล ผสานความร่วมมือภาคีเครือข่ายสุขภาพ ตามบริบทชุมชนต าบลเป้า ชาญชัย เหลาสาร, กัลยา ไชยสัตย์, ปิยธิดา ภารพัฒน์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า อ าเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี บทคัดย่อ การระบาดของเชื้อกลายพันธ์โอมิครอน ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ.2564 มีจ านวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จ านวนมากอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อระบบการดูแลอาทิเช่น จ านวนเตียงรองรับผู้ป่วย การเข้าถึงบริการ ล่าช้า จึงต้องมีการปรับแนวทางการดูแลเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาด อย่างเหมาะสมและปลอดภัยต่อ ผู้ป่วยอย่างสูงสุด การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1).เพื่อศึกษาบริบทชุมชนในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 2).เพื่อ ศึกษาการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยอาศัยกระบวนการพยาบาล 3).เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของภาคี เครือข่ายสุขภาพชุมชน เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบบมีส่วนร่วม (Participation Action Research) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation ของเขต รับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า ระหว่างเดือน มกราคม ถึง เดือน มิถุนายน พ.ศ.2565 จ านวน543 คน และภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนต าบลเป้า จ านวน 149 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ยร้อย ละและใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา โดยใช้กระบวนการ PAOR ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน เริ่มจากการศึกษา บริบทชุมชนและสภาพปัญหาในการดูแลผู้ป่วย โรคโควิด-19 ด าเนินการจัดท าแผนและจัดตั้งคณะด าเนินงาน Power Poa Care Team ด าเนินการให้การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในรูปแบบ “HIปลอดภัย ใส่ใจดูแล” และ ประเมินผลตามวัตถุประสงค์ภายหลังให้การดูแลและรวบรวมข้อมูลเป็นระยะเวลา 6 เดือน ผลการศึกษาพบว่า บริบทชุมชนต าบลเป้าเป็นชุมชนที่มีความอบอุ่นและเข็มแข็งมีผู้น าและบุคลากร ที่พร้อมในการเสียสละและ ทุ่มเทตั้งใจในการท างานเพื่อประโยชน์ของชุมชน โดยกระบวนการพยาบาลสามารถดูแลและแก้ไขปัญหาขณะ เจ็บป่วยได้แบบองค์รวมครบทุกด้านปัญหา กาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ จากข้อมูลทะเบียนผู้ป่วยโรค โควิด – 19 เขตพื้นที่ต าบลเป้า พบว่า ในเดือนมกราคม ถึง เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 มีผู้ป่วยจ านวน 543คน ด าเนินการรักษาตามรูปแบบ“HIปลอดภัย ใส่ใจดูแล”ทุกราย ผู้ป่วยและครอบครัวที่รักษาอยู่ในระบบ HIได้รับ การสนับสนุน เครื่องอุปโภคบริโภคตามมาตรการ “กักกัน ไม่ทิ้งกัน”ทุกราย ส่วนการศึกษาด้านการมีส่วนร่วม ในการดูแล พบว่า ก่อนด าเนินการ การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับ น้อย คิดเป็นค่าเฉลี่ย 1.43 คะแนน และหลังด าเนินการ การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับ มาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.18 คะแนน ผลที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ สามารถพัฒนาต่อยอดเพื่อในพื้นที่อื่นๆ เพื่อพัฒนาการดูแล ที่เป็นมาตรฐานในการดูแลผู้ป่วยโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ต่อไป ค าส าคัญ : การดูแลผู้ป่วย โรคโควิด-19 Home Isolation, กระบวนการพยาบาล, ภาคีเครือข่ายสุขภาพ ชุมชน.
253 ที่มาและความส าคัญของปัญหา การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” (Public Health Emergency of International Concern; PHEIC) หลังจากมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่าง รวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย โดยในเดือนมิถุนายน2564 ทั่วโลก มีผู้ป่วยยืนยัน 536 ล้านราย เสียชีวิต 6.31 ล้านราย ประเทศไทย มีผู้ป่วยยืนยัน 4.49 ล้านรายเสียชีวิต 30,363 ราย 1 ข้อมูลผู้ป่วยระลอกเดือน มกราคม 2565 จังหวัดอุบลราชธานี มีผู้ป่วยยืนยัน 258,764 ราย เสียชีวิต 273 ราย อ าเภอตระการพืชผล มีผู้ป่วยยืนยัน 13,282 ราย เสียชีวิต 20 ราย และต าบลเป้า มีผู้ป่วยยืนยัน 644 ราย เสียชีวิต 0 ราย 2 และเมื่อมีการะบาดของเชื้อกลายพันธ์โอมิครอน ส่งผลให้แนวโน้ม จ านวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบต่อระบบการรักษาในสถานพยาบาล ซึ่งพบปัญหาผู้ป่วยล้น เตียงเต็ม การเข้าไม่ถึงระบบให้บริการ การได้รับการดูแลและการรับยาที่ล่าช้า จึงจ าเป็นต้องมีปรับเปลี่ยน รูปแบบการดูแลที่เหมาะสมที่จะสามารถรองรับสถานการณ์ดังกล่าว วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาบริบทชุมชนในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation 2.เพื่อศึกษาการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation โดยอาศัยกระบวนการพยาบาล 3.เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายสุขภาพในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ตามบริบทชุมชน ระเบียบวิธีการศึกษา การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participation Action Research) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร : ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในพื้นที่ต าบลเป้า จ านวน 644 คน เจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า (รพ.สต.เป้า) คณะ อสม.และผู้น าชุมชนทั้ง 11 หมู่บ้านจ านวน146คน กลุ่มตัวอย่าง : คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ได้แก่ ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation ในเขตรับผิดชอบ รพ.สต.เป้า เดือนมกราคม ถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 จ านวน 543 คน ภาคีเครือข่ายสุขภาพ Power Poa Care Team จ านวน 149 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation ผ่านการโทรศัพท์ สนทนากลุ่ม ในคณะด าเนินงานของศูนย์เฝ้าระวังการระบาดโรคโควิด -19 รพ.สต. แบบประเมินการมีส่วนร่วม, สังเกตแบบมีส่วนร่วม, สัมภาษณ์เชิงลึก
254 ทะเบียนผู้ป่วย ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation, ฐานข้อมูล JHCIS การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ระยะเวลาในการด าเนินงาน เดือนมกราคม พ.ศ.2565 ถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 กระบวนการด าเนินงาน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาบริบทชุมชนและสภาพปัญหาในการดูแลผู้ป่วย โรคโควิด-๑๙ ในระบบ Home Isolation ซึ่งประกอบด้วยผู้สูงอายุในชุมชน อสม. ผู้น าชุมชน เจ้าหน้าที่ รพ.สต.เป้า ณ ห้องประชุมชั้น 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า หมู่ 9 ต.เป้า อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งหมด 48 คน ขั้นตอนที่ 2 ด าเนินการจัดท าแผนและจัดตั้งคณะด าเนินงาน Power Poa Care Team ประกอบด้วย1.Manage team 2.Alert Data team 3.Health Power team 4.Support team 5.Consult team ขั้นตอนที่ 3 ด าเนินการให้การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในรูปแบบ “HIปลอดภัย ใส่ใจดูแล”โดย ด าเนินแก้ไขปัญหาและให้การดูแลตามกรอบกระบวนการพยาบาลแบบองค์รวม Holistic care ประกอบด้วย 4 ด้านปัญหา 1.ผู้ป่วยมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบหายใจ 2.ผู้ป่วย มีความวิตกกังวลในการ เผชิญกับโรค 3.ครอบครัวและชุมชนมีความหวาดกลัวต่อการดูแลผู้ป่วย โรคโควิด-19 4.ผู้ป่วยและครอบครัวมี ภาวะหดหู่และสิ้นหวังขณะเผชิญต่อโรค ขั้นตอนที่ 4 ประเมินผลตามวัตถุประสงค์ภายหลังให้การดูแลและรวบรวมข้อมูล เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยหาร้อยละค่าเฉลี่ย ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ รวมทั้ง ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ในการวิเคราะห์ ข้อมูลเชิงคุณภาพ จากการใช้เครื่องมือในการวิจัย ผลการศึกษา บริบทชุมชนในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation บริบทชุมชนต าบลเป้ามีจุดแข็งคือเป็นชุมชนที่มีความอบอุ่นและเข็มแข็งมีผู้น าและบุคลากร ที่พร้อม ในการเสียสละและทุ่มเทตั้งใจในการท างานเพื่อประโยชน์ของชุมชน ส่งผลให้เกิดระบบ การดูแลผู้ป่วย โรคโค วิด-19 ในระบบ Home Isolation ตามบริบทชุมชน การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation โดยอาศัยกระบวนการพยาบาล ผสาน ความร่วมมือภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชน
255 การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19โดยกระบวนการพยาบาลสามารถดูแลและแก้ไขปัญหา ขณะเจ็บป่วย ได้แบบองค์รวมครบทุกด้านปัญหา กาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ จากข้อมูลทะเบียนผู้ป่วยโรคโควิด–19 เขตพื้นที่ต าบลเป้า พบว่าในเดือน มกราคม ถึง เดือนมิถุนายนพ.ศ. 2565 มีจ านวนผู้ป่วย 645 คน โดยผู้ป่วย สามารถเข้าถึงบริการการรักษา ร้อยละ 100 ทุกประเภทบริการ แยกเป็นผู้ป่วย Home Isolation จ านวน 543 คน OPSI จ านวน 95 คน Admit Cohort 8 คน ผู้ป่วย Home Isolation ทั้งหมดด าเนินการรักษาตาม รูปแบบ “HIปลอดภัย ใส่ใจดูแล” ร้อยละ 100.00 ผู้ป่วยและครอบครัวที่รักษาอยู่ในระบบ HI ได้รับการ สนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคตามมาตรการ “กักกัน ไม่ทิ้งกัน” ร้อยละ 100.00 การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ตามบริบทชุมชนต าบล เป้า ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนต าบลเป้า ก่อนและหลัง ด าเนินงาน พบว่า ก่อนด าเนินการ การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับ น้อย คิดเป็นค่าเฉลี่ย 1.43 คะแนน และ หลัง ด าเนินการ การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับ มาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.18 คะแนน ผลการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพพบความคิดเห็นเป็นไปในทางบวก ประกอบกัน 3 ด้านคือ1).ด้าน สุขภาพกาย คือผู้ป่วยได้รับการดูแลเรื่องภาวะสุขภาพได้เหมาะสมต่อความต้องการและมีความปลอดภัยต่อ การแพร่กระจายเชื้อ 2).ด้านสุขภาพจิต คือผู้ป่วยและครอบครัวได้รับการดูแลที่เป็นระบบส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึก ปลอดภัยต่อแนวทางการดูแล 3).ด้านสังคมคือผู้ป่วยและครอบครัวประทับใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากชุมชน และองค์กรในท้องถิ่น กล่าวได้ว่าสามารถจัดการปัญหาการเจ็บป่วยของประชาชนได้อย่างตรงประเด็น ครอบคลุมเหมาะสมต่อสถานการณ์การระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ การน าผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ในงานประจ า 1. ใช้เป็นแนวทางด้านการจัดบริการและการดูแลผู้ป่วยในกรณีมีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้น ในอนาคต รวมทั้งปรับใช้ในกรณีให้บริการส าหรับโรคติดต่ออื่นๆที่ยังมีการระบาดในปัจจุบัน 2. ใช้เป็นรูปแบบการพัฒนาศักยภาพและความรู้ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานควบคุมโรคและการ ดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อในพื้นที่ให้เกิดความเชี่ยวชาญและเพื่อให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนจ าเป็นต้องมี องค์ประกอบที่ส าคัญคือ ภาคีเครือข่าย และความเข้มแข็งของชุมชน เป็นส าคัญ 3. พัฒนาแนวทางการให้บริการส าหรับปัญหาสุขภาพอื่นๆเช่น เช่นคลินิกพิเศษโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การดูแลผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง ตามบริบทของชุมชน 4. ปรับใช้กระบวนการพยาบาล Nursing Process แบบองค์รวม Holistic care ในการดูแลผู้ป่วย กลุ่มอื่นๆ อาทิเช่น ผู้ป่วยประคับประคอง Palliative care ผู้ป่วยโรคมะเร็ง และผู้ป่วยทางด้านสุขภาพจิต เป็นต้น
256 บทเรียนที่ได้รับและปัจจัยแห่งความส าเร็จ 1.ชุมชนเข้มแข็งโดยส าคัญคือมีผู้น าที่มีความเสียสละและทุ่มเทในการท างานเพื่อประชาชนส่งผลให้ การด าเนินงานได้รับการผลักดันและสนับสนุนการด าเนินงานอย่างเต็มที่ไม่มีอุปสรรค 2.มีการวางแผนและสร้างกระบวนการขั้นตอนด าเนินที่เป็นระบบส่งผลให้เกิดการปฏิบัติงานที่ ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ 3.จัดสรรหน้าที่รับผิดชอบได้เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพของผู้ปฏิบัติส่งผล ให้การ ด าเนินงานมีประสิทธิภาพและสามารถปฏิบัติการดูแลได้อย่างเต็มที่เต็มก าลังความสามารถ 4.มีการประชุมและติดตามการด าเนินงานสม่ าเสมอส่งผลให้เกิดการจัดการและแก้ไขปัญหาอย่าง เหมาะสมและมีการพัฒนากระบวนการด าเนินงานอย่างต่อเนื่อง 5.มีแหล่งสนับสนุนทั้งวัสดุและงบประมาณในการด าเนินงาน ข้อเสนอแนะ/การขยายผล การจัดระบบให้บริการสุขภาพชุมชน ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด–19 มีมาตรฐาน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถน าไปถ่ายทอดและใช้ในบริบทแวดล้อมอื่นได้ จึงมีสิ่งที่ยังต้องการ พัฒนา เช่น การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพื้นที่เพื่อเกิดการพัฒนาแนวปฏิบัติ บูรณาการให้เกิด การมีส่วนร่วมการด าเนินงานกับหน่วยงานนอกพื้นที่ต าบล เช่น โรงพยาบาลตระการพืชผล และผลักดันให้มี การจัดตั้งกองทุนการดูแลภาวะสุขภาพชุมชนภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคอุบัติใหม่ เอกสารอ้างอิง World Health Organizatio.Coronavirus (COVID-19) Dashboard confirmed cases [อินเทอร์เน็ต].2565 [เข้าถึงเมื่อ 30 มิถุนายน 2565]. เข้าถึงได้จาก: https://covid19.who.int/. ศูนย์ EOC ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี.รายงานสถานการณ์และจ านวนผู้ป่วยยืนยันผู้ ติดเชื้อCovid-19.การประชุม EOC จังหวัดอุบลราชธานี; 8 มิถุนายน 2565; ส านักงานสาธารณสุข จังหวัดอุบลราชธานี. นรินทิพย์ ชัยพรมเขยวี, ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ, นทัศน์ ศิริโชติรัตน์,และ สุธี อยู่สถาพร. มาตรการใน การควบคุมและป้องกันภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ กรณีศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจ พิเศษดานพรมแดนแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย. วารสารกฎหมายสุขภาพและสาธารณสุข 2560; 2: 193 -210. มหาวิทยาลัยแม่โจ้.แนวคิดเกี่ยวกับบริบทชุมชน [อินเทอร์เน็ต].2564 [เข้าถึงเมื่อ 15 ธันวาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://erp.mju.ac.th.
257 .มารศรีก้วนหิ้น, อุไร เจรประพาฬ และอุไรวรรณ พานทอง.การพัฒนาสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพที่ ปฏิบัติงาน ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล จังหวัดนครศรีธรรมราช : การศึกษาสถานการณ์ก่อน การพัฒนา. วารสารสุขภาพภาคประชาชน 2560; 1: 29-40 .ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค.รายงานสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่า ฉบับที่ 709 [อินเทอร์เน็ต].2564 [เข้าถึงเมื่อ 12 ธันวาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th. ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค.รายงานสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่า ฉบับที่ 719 [อินเทอร์เน็ต].2564 [เข้าถึงเมื่อ 12 ธันวาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th. ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค.รายงานสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่า ฉบับที่729 [อินเทอร์เน็ต].2565 [เข้าถึงเมื่อ 1 มกราคม 2565]. เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th. สุรัยยา หมานมานะ, โสภณ เอี่ยมศิริถาวร และสุมนมาลย์ อุทยมกุล.โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). วารสารสถาบันบ าราศนราดูร 2563; 2: E1-10 สุปรานีศรีพลาวงษ์ และชุลินดา ทิพย์เกษร.ผลของการใช้กระบวนการพยาบาล ของพยาบาลวิชาชีพ ต่อความเสี่ยงทางคลินิกในหอผู้ป่วยอายุรกรรม. รอตีพิมพ์ 2560
258 การพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคไข้เลือดออก ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ปี 2562 - 2565 ต าบลทุ่งช้าง อ าเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน สิทธิชัย จักรอะโน โรงพยาบาลทุ่งช้าง จังหวัดน่าน บทคัดย่อ ปี งบประมาณ 2551–2561 ต าบลทุ่งช้างมีการระบาดไข้เลือดออก โดยมีจ านวนผู้ป่วย 7, 1, 0, 0, 1, 20, 3, 2, 1, 1, 0 และ 0 รายตามล าดับ ปีงบประมาณ 2562 เกิดการระบาดในหมู่บ้านทุ่งผึ้ง จึงได้ ด าเนินการควบคุมโรคเพื่อควบคุมการระบาดและเฝ้าระวังป้องกันการเกิดโรครายใหม่ เป็นการศึกษาวิจัยเชิง ปฏิบัติการปี งบประมาณ2562 - 2565 ประชากรคือกลุ่มประชากรหมู่บ้านทุ่งผึ้ง กลุ่มตัวอย่างคือกลุ่ม อสม. ผู้น าชุมชน แกนน าครอบครัว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออกของกรมควบคุมโรค คู่มือควบคุมโรคไข้เลือดออก แบบบันทึกการส ารวจลูกน้ ายุงลาย มาตรการ ชุมชนควบคุมโรคไข้เลือดออกบ้านทุ่งผึ้ง กล้องถ่ายรูป แนวค าถามการสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์ แบบส ารวจ ความพึงพอใจ บันทึกการประชุม สรุปการด าเนินงาน การด าเนินงานมี 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 การวางแผนการ ควบคุมโรคระบาด ระยะที่ 2 การด าเนินงานควบคุม ป้องกันและเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 3 ประเมิน ผลลัพธ์ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และร้อยละ ผลลัพธ์ ปีงบประมาณ 2562 กลุ่มป่วยโรคไข้เลือดออกบ้านทุ่งผึ้งจ านวน 11 ราย สามารถควบคุม การระบาดได้ไม่เกิดการระบาดซ้ า (generation 2 ) และพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค ไข้เลือดออก ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เกิดรูปแบบการด าเนินงานที่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน น าไปสู่การใช้เป็นเครื่องมือการด าเนินงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่องในปีต่อมา สามารถควบคุมไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ไข้เลือดออกในหมู่บ้านทุ่งผึ้งจนถึงปัจจุบัน การด าเนินงานของต าบลทุ่งช้างยังอยู่ในช่วงของการด าเนินงาน ต่อเนื่องและพัฒนาตามล าดับ ยังต้องมีการพัฒนาต่อไปจนสามารถเป็นต้นแบบที่สามารถน าไปใช้ได้อย่างยั่งยืน บทน า ข้อมูลสถิติการเกิดโรคไข้เลือดออกของต าบลทุ่งช้างย้อนหลัง 10 ปีตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551-2561 พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก จ านวน 7, 1, 0, 0, 1, 20, 3, 2, 1, 1, 0 และ 0 ราย ตามล าดับ และในหมู่บ้านทุ่ง ผึ้ง จ านวน 0, 1, 0, 0, 0, 0, 0, 0, 0, 0 และ 0 รายตามล าดับ ในปี งบประมาณ2562 พบผู้ป่วยไข้เลือดออก ในหมู่บ้านทุ่งผึ้งจ านวน 11 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 354.26 ต่อแสนประชากร จากการลงพื้นที่ควบคุมโรคของ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขพบปัญหาของการเกิดโรคที่ส าคัญได้แก่ การขาดองค์ความรู้และทักษะในการส ารวจ ลูกน้ ายุงลายของ อสม. การจัดการสิ่งแวดล้อมของชุมชนที่ไม่เหมาะสมเอื้อให้เกิดการเพาะพันธุ์ของลูกน้ า ยุงลาย ตลอดถึงความบกพร่องในการด าเนินการพ่นสารเคมีก าจัดยุงตัวแก่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึง ได้พัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคไข้เลือดออกด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้มีระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคไข้เลือดออก ต าบลทุ่งช้างปีงบประมาณ 2562 มีการจัดกิจกรรมอบรม ทบทวนองค์ความรู้ ในกลุ่ม อสม. เพื่อให้เกิดความรู้และทักษะในการส ารวจลูกน้ า
259 ยุงลายมากขึ้น มีการพัฒนาระบบการควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชนที่เริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วย ย้อนหลัง ออกแบบการจัดท าแบบฟอร์มส าหรับ อสม.ในการส ารวจลูกน้ ายุงลายรัศมี 100 เมตร การฉีดพ่น สเปรย์ก าจัดยุงในบ้านผู้ป่วย การประสานข้อมูลการเกิดโรคและการควบคุมการระบาดกับองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น การจัดท าหนังสือนัดหมายผู้น าชุมชนในการประชุมชี้แจงและให้ความรู้เรื่องโรคระบาด แก่ประชาชนในหมู่บ้าน การประชุม อสม.เพื่อติดตามส ารวจลูกน้ ายุงลายตามเกณฑ์มาตรฐานให้ค่าดัชนีลูกน้ า ยุงลาย House index(HI), Container index(CI)ในรัศมี 100 เมตรจากบ้านผู้ป่วยเป็น 0 การแจ้งข้อมูลผู้ที่มี อาการเข้าข่ายสงสัยไข้เลือดออกต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของ อสม. และการส่งต่อเข้ารับการรักษาพยาบาล เกิดแนวปฏิบัติกางมุ้งให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาแผนกผู้ป่วยในทุกราย การจัดกิจกรรมเฝ้าระวัง ป้องกัน และ ควบคุมโรคเพื่อลดการเกิดโรครายใหม่ และเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่กระจายโรคไข้เลือดออก โดยจะต้องสร้าง จุดสนใจร่วมที่กระตุ้นความคิด มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเห็นประโยชน์ของการเฝ้าระวังป้องกันด้วยตนเอง ของประชาชนเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างจริงจัง วิธีด าเนินการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการด าเนินการตั้งแต่ วันที่ 6 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2562 ถึง วันที่ 1 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2565 ประชากรคือกลุ่มประชากรหมู่บ้านทุ่งผึ้ง กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่ม อสม. น าชุมชน แกนน า ครอบครัว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ได้แก่แนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของ กรมควบคุมโรค คู่มือควบคุมโรคไข้เลือดออก แบบบันทึกการส ารวจลูกน้ ายุงลาย มาตรการชุมชนควบคุมโรค ไข้เลือดออกบ้านทุ่งผึ้ง กล้องถ่ายรูป แนวค าถามการสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์ แบบส ารวจความพึงพอใจ บันทึกการประชุม สรุปการด าเนินงาน การด าเนินงานมี 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 การวางแผนการควบคุมโรค ระบาด ระยะที่ 2 การด าเนินงานควบคุม ป้องกันและเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 3 ประเมินผลลัพธ์ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และร้อยละ ผลการศึกษา/วิจัย ระยะที่1 วิเคราะห์ข้อมูลการเกิดโรค ศึกษาแนวทางการควบคุมการระบาดของกรมควบคุมโรค ระยะที่ 2 การด าเนินงานควบคุม ป้องกันและเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก 2.1 วิเคราะห์กระบวนการด าเนินงานควบคุมโรคแบบเดิม 2.2 การลงพื้นที่ควบคุมโรคไข้เลือดออกบ้านทุ่งผึ้ง 2.3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลงพื้นที่พ่นเคมีก าจัดยุงตัวแก่ รัศมี100 เมตรรอบบ้านผู้ป่วย ใน วันที่ 1,3,7 ระยะที่ 3 เป็นการประเมินผลลัพธ์ระหว่าง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2562 - เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 ผลการศึกษาจากการประเมินผลลัพธ์ระหว่าง เดือนสิงหาคม – เดือนตุลาคม พ.ศ.2562 โดยใช้ผล การวิเคราะห์ข้อมูลจ านวนผู้ป่วยรายใหม่เทียบกับระยะเวลาการเกิดโรคภายใน 28 วันหลังพบผู้ป่วยรายแรก วันที่ 9 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2562 หลังการควบคุมโรค พบผู้ป่วยรายที่ 2 วันที่ 21 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2562
260 ระยะห่างจากรายแรกถึงรายที่ 2 จ านวน 11 วัน ระยะห่างของจ านวนวันที่มากที่สุดที่พบผู้ป่วยรายใหม่ คือ 17 วัน การระบาดครั้งนี้จ านวนผู้ป่วยรายใหม่เทียบกับระยะเวลาการเกิดโรคภายใน 28 วันจึงถือว่าไม่เกิดการ ระบาดซ้ า (2nd generation) และปี งบประมาณ2563 – 2565 ไม่พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในบ้านทุ่งผึ้ง การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ จากการควบคุมการระบาดของไข้เลือดออกในหมู่บ้าน อสม.มีทักษะในการแนะน าประชาชนในการ ใช้ทรายอะเบทที่ถูกต้อง การป้องกันตนเอง การพ่นสเปรย์ก าจัดยุงที่ถูกต้อง การพัฒนาความรู้และทักษะใน การพ่นเคมีก าจัดยุงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การทบทวนมาตรการชุมชนในการควบคุมลูกน้ ายุงลาย ของชุมชน การจัดการสิ่งแวดล้อมของชุมชน การพัฒนาช่องทางการสื่อสารเพื่อแจ้งข่าวสาร การสร้างการมี ส่วนร่วมของครัวเรือนด้วยกระบวนการของผู้น าชุมชน การป้องกันการแพร่เชื้อด้วยการกางมุ้งในหอผู้ป่วยใน ส าหรับผู้ป่วยไข้เลือดออก ได้แนวทางการด าเนินการควบคุมการระบาดโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของ ชุมชน ต าบลทุ่งช้างขึ้น ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกที่มี ประสิทธิภาพและเพิ่มทักษะ กระบวนการเชิงชุมชนเข้าในระบบได้อย่างยั่งยืน อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัยพบว่ากระบวนการพัฒนาระบบเฝ้าระวัง ควบคุม ป้องกันโรคไข้เลือดออกโดย กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ต าบลทุ่งช้างที่พัฒนาขึ้น เพื่อควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออก ส่งผล ให้อัตราการเกิดโรคไข้เลือดออกลดลง เกิดจากทุนทางสังคมที่มีความเข้มแข็งของชุมชน การมีส่วนร่วมของ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เจตคติที่เชื่อว่าเป็นปัญหาของส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว มีการคืนข้อมูลให้ชุมชน ตระหนักถึงปัญหา เน้นการบริการเชิงรุกไม่ตั้งรับในโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว การท างานของ อสม. ต าบล ทุ่งช้างที่มีความเข้มแข็ง รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการท างานของ บุคลากรสาธารณสุขที่มีการพัฒนาระบบเฝ้าระวัง ควบคุม ป้องกันโรคไข้เลือดออกโดยกระบวนการมีส่วนร่วม ของชุมชน จนเกิดผลงานนวัตกรรมมุ้งหลากสีในโรงพยาบาล เน้นการสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้ ประชาชนได้เฝ้าระวังการเกิดลูกน้ ายุงลายด้วยตนเองมากกว่าเดิม แสดงให้เห็นถึงความสนใจและเห็น ความส าคัญของการดูแลสุขภาพด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอให้เกิดความเจ็บป่วยก่อน จากนโยบายการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคไข้เลือดออกของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข น าไปสู่การพัฒนารูปแบบและกระบวนการพัฒนาเชิงปฏิบัติการเฝ้าระวัง ควบคุม ป้องกันโรคไข้เลือดออกโดย กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และน าไปใช้อย่างต่อเนื่องในพื้นที่ส่งผลให้ลดการระบาดของโรคไข้เลือดออก ลง และควรขยายผลไปยังนอกพื้นที่ให้ครอบคลุมทั้งอ าเภอ และมีการทบทวนมาตรการชุมชนเป็นประจ าทุกปี เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักในการควบคุมโรค และน าไปใช้จริงในพื้นที่ มีการวัดประเมินผลอย่างชัดเจน จะท าให้เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยตรง
261 รูปแบบการพัฒนาระบบบริการ(กรอบแนวคิด) อสม. ส ารวจลูกน้ ายุงลายทุกวันเป็นเวลา 7 วัน และส่งผลสรุป CI ,HI ให้ จนท.สาธารณสุข ทาง Line เวลา 18.00 น. ทุกวัน (Day 7 =ค่าดัชนีลูกน้ ายุงลายในรัศมี 100 เมตร รอบบ้าน ผู้ป่วยต้องเป็นศูนย์ และเฝ้าระวังต่อเนื่องจนครบ 28 วัน ผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยไข้เลือดออก ผู้รับผิดชอบงานระบาดวิทยาของโรงพยาบาลตรวจสอบข้อมูลและด าเนินการแจ้งข้อมูลผู้ป่วย ไปยังทีมสอบสวนโรค/รพ.สต./อปท.ทราบ ภายใน 3 ชั่วโมงแรก ทีมสอบสวนโรค/จนท.รพ.สต. ลงสอบสวนโรคเบื้องต้น,ส ารวจและท าลายแหล่งเพาะพันธุ์ ลูกน้ ายุงลายรัศมี 100 เมตร และฉีดสเปรย์ในบ้านผู้ป่วยภายใน 3 ชั่วโมงต่อมา การรณรงค์พ่นเคมีก าจัดยุงลายตัวแก่ ของ อปท.,ใช้สเปรย์กระป๋องพ่นในบ้านวันละ 2 เวลา คือ 8.00 น.และเวลา 18.00 น. เป็นเวลา 3 วันติดต่อกันโดยผู้น าชุมชนให้สัญญาณฉีดพ่น พร้อมกันทุกหลังคาเรือน , อสม.ส ารวจและท าลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ ายุงลาย,มอบคู่มือ การควบคุมยุงลาย, แบบส ารวจลูกน้ ายุงลายแก่ อสม. ,ประชุมแจ้งการเกิดโรคระบาดให้ ประชาชนทราบ ,ผู้ใหญ่บ้าน ก านัน ประกาศทางหอกระจายข่าว, อสม.ส่งต่อข้อมูลผู้มี อาการเข้าข่ายสงสัยติดเชื้อไข้เลือดออก(กรณี Admit กางมุ้งให้ผู้ป่วยทุกราย) ครบ 28 วัน ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ถือว่าโรคสงบ พบผู้ป่วยรายใหม่ 3 รายขึ้นไปภายใน 28 วันใน ชุมชนเดียวกันให้พ่นสารเคมีทั้งหมู่บ้านเพิ่มเติม จากรัศมี 100 เมตร
262 เอกสารอ้างอิง อมรา พงศาพิชญ์, “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม”. เอกสารประกอบการสัมมนาวันที่ 30 กันยายน 2529 ห้องประชุมสารนิเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2529 พิมพ์ครั้งที่ 1. : 25 -26. นิตยา เงินประเสริฐศรี. “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม”.วารสารสังคมศาสตร์และ มนุษยศาสตร์ปีที่ 2 ฉบับที่ 7. 2544 : 61-62 จ าเริญ จิตรหลัง (2554: 128) “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม”.ประชากรและสังคม. 2554 พิมพ์ ครั้งที่ 1 นครปฐม . สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล : 128 Stephen Kemmis และ Robin McTaggart.” วิจัยปฏิบัติการ” นักวางแผนวิจัยปฏิบัติการ.พิมพ์ครั้ง ที่ 1 กรุงเทพฯ .กรมวิชาการ. 2550 : 311 ไพโรจน์ ชลารักษ์. “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม”.วารสารราชภัฏ ตะวันตก, 2548 : 20-21 สุชาดา ทวีสิทธิ์ (อ้างถึงใน ปาริชาติ วลัยเสถียร). กระบวนการและเทคนิคการท างานของนักพัฒนา กรุงเทพฯ ส านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย 2543: 8 ส านักโรคติดต่อน าโดยแมลงกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข.การใช้เครื่องพ่นส าหรับผู้ปฏิบัติการ เพื่อป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก. นนทบุรี:กลุ่มกีฏวิทยาและควบคุมแมลงน าโรคส านัก โรคติดต่อน าโดยแมลง กรมควบคุมโรค; 2557 ไข้เลือดออก (Dengue fever) [อินเทอร์เน็ต]. นนทบุรี กรมควบคุมโรค 2563 [เข้าถึงเมื่อ 24 พฤษภาคม 2565].เข้าถึงได้จาhttps://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=44 กองโรคติดต่อน าโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานประจ าปี 2560 กอง โรคติดต่อ น าโดยแมลง. นนทบุรี; 2561 สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออก แดงกีฉบับเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี. พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ องค์การทหารผ่านศึก; 2559. จ านวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก ระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 พ.ศ.2550-2564 กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข [เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2565] ภาพที่ใช้ประกอบเป็นภาพตัวแทนผู้ป่วยจากโรคไข้เลือดออกเพียงบางส่วนที่ได้รับความยินยอมให้สิทธิ ในการเผยแพร่ภาพแล้วเท่านั้น Bureau of Epidemiology, D. o. D. C., MoPH, Thailand (2022). “Bureau of Epidemiology, Department of Disease Control.” Annual Epidemiology. Surveillance Report (2010 to 2021), Report 506, Retrieved 11/02/2022, from http://doe.moph.go.th/surdata/disease.php?ds=262766
263 Alagarasu K. Genetic of susceptibility to severe dengue virus infections: an update and implications for prophylaxis, prognosis and therapeutics. Dengue Bulletin 2016; 39: 1-18. María G.Guzmán et. al. Effect of age on outcome of secondary dengue 2 infections. International Journal of Infectious Diseases 2002;6:118-124 Joao T, Leyanna G, Eric M, Adhara L, Wai WH, Giovanini EC, et al. Relevance of non communicable comorbidities for the development of the severe forms of dengue: a systematic literature review. PLoS Negl Trop Dis. 2016 ; 10 1 ): e 0004284 ศูนย์กฎหมาย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558. พิมพ์ ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2560. ส านักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. นิยามโรคติดเชื้อประเทศไทย. นนทบุรี: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์; 2546. World Health Organization, Special Programme for Research, Training in Tropical Diseases, World Health Organization. Department of Control of Neglected Tropical Diseases, World Health Organization. Epidemic, Pandemic Alert. Dengue: guidelines for diagnosis, treatment, prevention and control. World Health Organization; 2009. World Health Organization. Dengue guidelines for diagnosis, treatment, prevention and control. OMS/TDR. 2011
264 นวัตกรรมกล่องฉับไว ทันใจ ห่างไกล COVID-19 คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังวิถีใหม่ ศุภกิตติ์ คูณค ำ โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบลบ้ำนโพนดวน ต ำบลศรีสว่ำง อ ำเภอโพนทรำย จังหวัดร้อยเอ็ด บทคัดย่อ จำกนโยบำยกระทรวงสำธำรณสุขที่ได้ให้โรงพยำบำลของรัฐทุกระดับมีกำรพัฒนำระบบบริกำร สำธำรณสุขมำอย่ำงต่อเนื่องเพื่อให้ประชำชนได้รับบริกำรอย่ำงมีคุณภำพและเกิดควำมพึงพอใจต่อประชำชน อย่ำงสูงสุด จำกกำรส ำรวจข้อมูลควำมพึงพอใจของผู้ป่วยในคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ออกให้บริกำรเดือนละ 1 ครั้งโดยทีมสหวิชำชีพ รพ.โพนทรำย ร่วมกับ รพ.สต.บ้ำนโพนดวน พบปัญหำ คือ กำรรอคอยนำนในกำรรับ บริกำรท ำให้ผู้ป่วยมีควำมพึงพอใจในระดับ ไม่พอใจและไม่พอใจเลย ซึ่งส ำรวจข้อมูล ในเดือนกุมภำพันธ์ พ.ศ. 2565 คิดเป็นร้อยละ 34.1,7.3 ตำมล ำดับ และเดือนมีนำคม พ.ศ.2565 คิดเป็นร้อยละ 27.1 5.1 ตำมล ำดับ และจำกภำวะ กำรระบำดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ที่สำมำรถติดต่อจำกคนสู่คนด้วยระบบทำงเดินหำยใจ ซึ่ง เป็นปัญหำส ำคัญเกิดกำรระบำดไปทั่วประเทศไทยและทั่วโลก เมื่อต้นปีพ.ศ.2565 ที่ผ่ำนมำ ท ำให้เกิด มำตรกำรต่ำงๆ Social distancing ที่เว้นระยะห่ำง 2 เมตร สวมหน้ำกำกอนำมัย และลดกำรชุมนุมกลุ่ม เพื่อ ป้องกันกำรแพร่กระจำยของเชื้อโรค จำกสภำพปัญหำ และภำวกำรณ์ ดังกล่ำวผู้จัดท ำจึงเล็งเห็นควำมส ำคัญ และได้รับแรงบันดำลใจจำกเทคโนโลยีสมัยใหม่ กำรขนส่งทำงจักรยำนยนต์สั่งผ่ำนแอพพลิเคชั่นออนไลน์Grab Food และ Food panda ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ในกำรน ำระบบแนวทำงมำปร้บใช้ให้เข้ำกับบริบทงำน สำธำรณสุขของเรำ โดยใช้กระบวนกำรกำรทบทวนวรรณกรรมและปรึกษำผู้เชี่ยวชำญเฉพำะทำง เพื่อพัฒนำ นวัตกรรมในชื่อ นวัตกรรมกล่องฉับไว ทันใจ ห่ำงไกล COVID-19 คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังวิถีใหม่ ขึ้น เพื่อลด ควำมแออัดจำกกำรรวมกลุ่มในคลินิก ลดระยะเวลำรอคอยในกำรรับบริกำรและลดระยะเวลำรอรับยำกลับ บ้ำนของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึง อำสำสมัครสำธำรณสุขประจ ำหมู่บ้ำน(อสม.) ในพื้นที่มีส่วนร่วมในกำรดูแล ผู้ป่วยในชุมชนร่วมกับทีมสหวิชำชีพอย่ำงเป็นระบบ วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนำและศึกษำผลของกำรใช้นวัตกรรมกล่องฉับไว ทันใจ ห่ำงไกล COVID-19 คลินิกโรคไม่ ติดต่อเรื้อรังวิถีใหม่ วิธีการด าเนินงาน 1 ขั้นตอนกำรพัฒนำ 1.1 ทบทวนวรรณกรรมและปรึกษำผู้เชี่ยวชำญเฉพำะทำงเภสัชกรรม รพ.โพนทรำย เกี่ยวกับกำร เก็บรักษำเภสัชภัณฑ์ 1.2 เตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ กล่องโฟมทึบแสง สี่เหลี่ยมแบบมีฝำปิดสนิท ขนำด 30x40 เซนติเมตร แผ่นฟอยล์เก็บควำมเย็น ขนำด 20x30 เซนติเมตร ICE Pack 4 ก้อน หรือ น้ ำแข็งที่ห่อหุ้มด้วยถุงพลำสติก
265 หนำยำงยืด ขนำดควำมยำว 80 เซนติเมตร จ ำนวน 2 เส้น Thermometer หรือ เครื่องวัดอุณหภูมิ Application LINE นำมบัตรเบอร์โทร รพ.สต. หรือ เจ้ำหน้ำที่ 1.3 น ำกล่องโฟมที่เตรียมไว้ มำบรรจุ ICE Pack 2 ก้อน หรือ น้ ำแข็งที่ห่อหุ้มด้วยถุงพลำสติกหนำ วำงลงใต้กล่อง และใช้แผ่นฟอยล์เก็บควำมเย็นที่เตรียมไว้มำวำงทับน้ ำแข็งลงไปและใช้เครื่องวัดอุณหภูมิ วำง ลงไปในกล่องและปิดฝำกล่องให้สนิท เพื่อทดสอบอุณหภูมิ ให้อุณหภูมิในกล่อง อยู่ที่ 18-25 องศำเซลเซียส (ภำควิชำเภสัชศำสตร์ ม.มหิดล) จึงพร้อมใช้งำน 2 ขั้นตอนกำรเตรียมกำรและน ำไปใช้ 2.1 ประชุมปรึกษำหำรือแนวทำงร่วมกับทีมสหวิชำชีพ แพทย์ พยำบำล เภสัชกร รพ.โพนทรำย และ อสม. 2.2 คัดกรองผู้ป่วยโรคเรื้อรังในวันคลินิก โดย พยำบำลวิชำชีพ ตำมหลักปิงปองจรำจร 7 สีแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มรอรับยำที่บ้ำน คือ สีเขียว ที่ไม่มีอำกำรผิดปกติและไม่มีภำวะแทรกซ้อน 2. กลุ่มรอพบแพทย์ คือ สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีด ำ กลุ่มที่มีภำวะแทรกซ้อน มีอำกำรผิดปกติ และกลุ่มรับยำฉีดอินซูลิน 2.3 ให้กลุ่มรอพบแพทย์เข้ำระบบกำรตรวจรักษำ รอรับยำ และค ำแนะน ำ จำกทีมสหวิชำชีพ ใน คลินิกตำมขั้นตอนปกติ 2.4 กลุ่มรอรับยำที่บ้ำน หลังจำกคัดกรองเสร็จให้ผู้ป่วยฝำกสมุดโรคประจ ำตัว แฟ้มโรคเรื้อรังที่ ลงรำยละเอียดกำรคัดกรองและถุงผ้ำที่ติดชื่อ หมู่ ไว้เรียบร้อยให้กับเจ้ำหน้ำที่ผู้คัดกรองและกลับไปรอรับยำที่ บ้ำนหลังจำกนั้นทีมสหวิชำชีพจะเริ่มกระบวนกำรจัดยำในคลินิก แยกตำมรำยหมู่บ้ำนเตรียมใส่ถุงผ้ำไว้รอ พร้อมทั้งให้นำมบัตรเบอร์โทรติดต่อ โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบล(รพ.สต.)หรือ เจ้ำหน้ำที่เพื่อให้ผู้ป่วยโทร สอบถำมข้อมูลสุขภำพเพิ่มเติม และเข้ำสู่ขั้นตอนกระบวนกำรของกำรใช้ นวัตกรรมฯ โดยใช้Application LINE กลุ่มในชื่อกลุ่ม อสม.โพนดวน แจ้งตัวแทน อสม.ทุกหมู่ รับทรำบและสวมอุปกรณ์ป้องกันหน้ำกำก อนำมัยและออกมำรับ กล่องนวัตกรรมฯ ที่ทำงทีมสหวิชำชีพเตรียมไว้ให้เพื่อน ำไปส่งให้กับผู้ป่วยถึงหน้ำบ้ำน พร้อมลงลำยมือชื่อในแบบบันทึกว่ำผู้ป่วยได้รับถูกต้อง ถูกคน และให้ อสม.น ำกล่องนวัตกรรมฯ พร้อมแบบ บันทึก มำส่งคืน รพ.สต. หลังจำกปฏิบัติหน้ำที่เสร็จเรียบร้อย และให้เจ้ำหน้ำที่ท ำกำรวัดอุณหภูมิกล่องซ้ ำอีก ครั้งเพื่อทดสอบประสิทธิภำพหลังกำรใช้งำน ผลการด าเนินงาน 1. ตำรำงบันทึกผลกำรทดสอบอุณหภูมิกล่องนวัตกรรมฯ ในระยะเวลำ 30 นำที ระยะเวลำ(นำที) 5 10 15 20 25 30 อุณหภูมิที่ทดสอบได้(c) 24 22 22 23 24 25
266 2. ตัวอย่ำงตำรำงบันทึกกำรวัดอุณหภูมิกล่องนวัตกรรมฯ ก่อนกำรใช้งำน และ หลังกำรใช้งำน เดือน พฤษภำคม พ.ศ.2563 กล่องนวัตกรรมฯ ตำมรำยชื่อหมู่บ้ำน อุณหภูมิกล่อง นวัตกรรม ก่อนกำรใช้งำน อุณหภูมิกล่อง นวัตกรรม หลังกำรใช้งำน ระยะทำงและระยะเวลำในกำร ขนส่ง ไป-กลับ (กิโลเมตร)(นำที) กล่อง หมู่ 1 บ้ำนโพนดวน 23 26 500 เมตร 10 นำที กล่อง หมู่ 2 บ้ำนสะแบงตำก 24 24 4 กิโลเมตร 15 นำที กล่อง หมู่ 3 บ้ำนดอนขำม 25 27 8 กิโลเมตร 28 นำที กล่อง หมู่ 7 บ้ำนโนนเจริญ 23 25 600 เมตร 12 นำที กล่อง หมู่ 8 บ้ำนโนนพยอม 22 24 7 กิโลเมตร 26 นำที กล่อง หมู่ 13 บ้ำนทุ่งสระแก 24 26 5 กิโลเมตร 18 นำที กล่อ หมู่ 14 บ้ำนโพนนำงำม 22 25 600 เมตร 12 นำที 3. ตำรำงบันทึกผลกำรส ำรวจควำมพึงพอใจจำกระยะเวลำรอคอยของผู้รับบริกำรในคลินิกโรคไม่ ติดต่อเรื้อรังในแต่ละเดือน เดือน จ ำนวน ผู้รับบริ กำร ทั้งหมด ในคลินิก แต่ละ เดือน (คน)N จ ำนวน ผู้รับบริ กำร รอคอย ในคลินิก แต่ละ เดือน (คน) ควำมพึงพอใจของผู้รับบริกำรในขั้นตอนรอคอย กำรรับบริกำร ก่อนใช้นวัตกรรมฯ คน(ร้อยละ) ควำมพึงพอใจของผู้รับบริกำรในขั้นตอนรอคอย กำรรับบริกำร หลังใช้นวัตกรรมฯ คน(ร้อยละ) พอใจ มำก พอใจ เฉยๆ ไม่พอใจ ไม่ พอใจ เลย พอใจ มำก พอใจ เ ฉยๆ ไม่ พอใจ ไม่ พอใจ เลย กุมภำพันธ์ 82 82 0(0.0) 10(12.2) 38(46.3) 28(34.1) 6(7.3) - - - - - มีนำคม 59 59 0(0.0) 6(10.2) 34(57.6) 16(27.1) 3(5.1) - -- - - - เมษำยน 85 18 - - - - - 45(52.9) 26(30.6) 15(17.6) 3(3.5) 0(0.0) พฤษภำคม 71 13 - - - - - 34(47.9) 28(39.4) 12(16.9) 1(1.4) 0(0.0)
267 ข้อเสนอแนะ 1. ควรเลือกกล่องนวัตกรรมฯที่มีขนำดทนทำน แข็งแรง ป้องกันกำรกระแทกได้ดีจำกกำรใช้งำน ขนส่ง 2. ควรให้ อสม.ที่มีควำมสำมำรถในกำรขับรถจักรยำนยนต์อย่ำงช ำนำญ มีใบขับขี่ และสวมหมวก นิรภัยทุกครั้งเมื่อออกปฏิบัติหน้ำที่ในชุมชน เพื่อป้องกันกำรเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่และปฏิบัติตำมกฎระเบียบ จรำจรอย่ำงเคร่งครัด ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้นวัตกรรมฯในช่วงเดือนที่ผู้ป่วยได้รับกำรตรวจเลือดประจ ำปีและคัดกรองภำวะแทรกซ้อน เพรำะต้องพบแพทย์เพื่อฟังผลตรวจและปรับยำ เอกสารอ้างอิง C.Schroth & P. Phillips.(2017). The Impact of Drug Storage Temperatures on their Efficacy in Extreme Environments. United kingdom: Bournemouth University. นัยนำ สันติยำนนท์.(2551). ควำมคงตัวของเภสัชภัณฑ์และกำรเก็บรักษำ. นครนำยก: กลุ่มวิชำเภสัช กรรมคลินิก คณะเภสัชศำสตร์ มหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ชุติพร รัตนพันธ์ และ ปณิธำน พีรพัฒนำ.(2559). กำรปรับปรุงกระบวนกำรให้บริกำรเพื่อลดกำรรอ คอยโดยใช้แนวคิดลีนและกำรจ ำลองสถำนกำรณ์ : กรณีศึกษำคลินิกทันตกรรม จังหวัดชอนแก่น. ขอนแก่น: วิทยำลัยบัณฑิตศึกษำกำรจัดกำร มหำวิทยำลัยขอนแก่น.
268 นวัตกรรม แผนที่ดูแลใจผู้สูงวัยที่มีภาวะพึ่งพิง ต าบลเขมราฐ ธนำวัช สุวรรณสุข กลุ่มงำนบริกำรด้ำนปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยำบำลเขมรำฐ บทน า ประเทศไทยเข้ำสู่ สังคมสูงอำยุ (Aged Society) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 กล่ำวคือมีประชำกรอำยุ 60 ปี ขึ้นไป ไม่ต่ ำกว่ำร้อยละ 10 ของประชำกรทั้งประเทศ และเพิ่มเป็นร้อยละ 15.00 ของประชำกรทั้งประเทศ เมื่อสิ้นปี พ.ศ.2558 ที่ผ่ำนมำ คำดว่ำประเทศไทยจะมีประชำกรสูงอำยุสูงถึงร้อยละ 20.00 ในปีพ.ศ. 2564 กลำยเป็นสังคมสูงอำยุอย่ำงสมบูรณ์ (Complete Aged Society) จำกกำรส ำรวจของกรมอนำมัย(ปี 2562) พบว่ำผู้สูงอำยุร้อยละ 95 เจ็บป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งจะน ำไปสู่ภำวะทุพพลภำพ และพึ่งพิง และมีผู้ป่วยนอนติดเตียงร้อยละ 1.00 นอกจำกนั้นยังพบว่ำผู้สูงอำยุที่มีภำวะพึ่งพิงระดับสูงแต่ต้อง ดูแลตนเองและไม่มีคนดูแลร้อยละ 13.00 ในกลุ่มเดียวกัน รัฐบำลจึงให้ควำมส ำคัญในกำรด ำเนินกำรเพื่อ รองรับสังคมผู้สูงอำยุมีเป้ำหมำยส ำคัญที่จะป้องกันไม่ให้ผู้สูงอำยุที่ยังแข็งแรงมีกำรเจ็บป่วยจนต้องอยู่ในภำวะ พึ่งพิง และหำกผู้สูงอำยุอยู่ในภำวะพึ่งพิงจะได้รับกำรดูแลอย่ำงเหมำะสม ต ำบลเขมรำฐ พบว่ำ มีผู้สูงอำยุในปีงบประมำณ 2564 จ ำนวน 2,371 คน คิดเป็นร้อยละ 13.59 ของประชำกรทั้งหมด จำกกำรตรวจประเมินควำมสำมำรถในกำรด ำเนินชีวิตประจ ำวัน พบว่ำผู้สูงอำยุที่มีภำวะ พึ่งพิงที่มีคะแนนเอดีแอล น้อยกว่ำหรือเท่ำกับ 11 คะแนน (ติดบ้ำน ติดเตียง) จ ำนวน 278 คน เป็นกลุ่มที่ 1 (เคลื่อนไหวได้บ้ำงมีปัญหำกำรกิน/กำรขับถ่ำยแต่ไม่มีภำวะสับสน) จ ำนวน 186 คน กลุ่มที่ 2 (เคลื่อนไหวได้ บ้ำง มีภำวะสับสน และอำจมีปัญหำกำรกิน/กำรขับถ่ำย) จ ำนวน 65 คน กลุ่มที่ 3 (เคลื่อนไหวเองไม่ได้ และ อำจมีปัญหำกำรกิน/กำรขับถ่ำยหรือเจ็บป่วยรุนแรง) จ ำนวน 18 คน และกลุ่มที่ 4 (เคลื่อนไหวเองไม่ได้ เจ็บป่วยรุนแรงหรืออยู่ในระยะท้ำยของชีวิต) จ ำนวน 9 คน จำกข้อมูลดังกล่ำวจะเห็นได้ว่ำผู้ที่มีภำวะพึ่งพิงทั้ง 4 กลุ่มนี้ มีจ ำนวนเพิ่มมำกขึ้นทุกปีจ ำเป็นต้องได้รับกำรดูแลช่วยเหลือทั้งด้ำนบริกำรสำธำรณสุขและด้ำนสังคม และในจ ำนวนผู้สูงอำยุที่เพิ่มมำกขึ้นนั้น ท ำให้กำรออกเยี่ยมบ้ำนดูแลกลุ่มเป้ำหมำยนี้ยังไม่ครอบคลุม เนื่องจำก ผู้สูงอำยุที่มีภำวะพึ่งพิงจ ำนวนมำกและอยู่แต่ละชุมชนที่เป็นอุปสรรคในกำรค้นหำของเจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุข ทีมสหวิชำชีพและหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้ำหำผู้สูงอำยุไม่พบ ดังข้อมูลสถิติกำรเกิดปัญหำในกำรลงพื้นที่เยี่ยมของ ทีมสหสำขำวิชำชีพและหน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
269 กลุ่มเป้ำหมำย ระยะเวลำกำรรวบรวมข้อมูล 2561 2562 2563 (ตค.-ธค.2562) จ ำนวน(ครั้ง) จ ำนวน(ครั้ง) จ ำนวน(ครั้ง) 1. ปัญหำกำรลงพื้นที่เยี่ยมบ้ำนของเครือข่ำยทีม สหวิชำชีพ รพ.เขมรำฐ ที่ไม่พบบ้ำนกลุ่มเป้หมำย 35 42 11 2. ปัญหำกำรลงพื้นที่เยี่ยมบ้ำนของเครือข่ำยกองทุน LTC ไม่พบบ้ำนกลุ่มเป้หมำย 25 28 15 3. ระยะเวลำในกำรค้นหำและกำรเยี่ยมบ้ำนของทีม (ชม.) 1-2 ชม. 1-2 ชม. ไม่เกิน 1 ชม. 4. ค่ำใช้จ่ำยในกำรประสำนงำน(ต่อครั้ง/เดือน) 500 บำท 500 บำท ไม่เกิน 150 บำท จำกปัญหำดังกล่ำวนั้นทีม Care manager ได้มีกำรน ำปัญหำจำกทีมเครือข่ำยมำทบทวนเพื่อหำ แนวทำงกำรแก้ไขร่วมกัน จึงได้มีกำรคิดค้นนวัตกรรม QR Code GPS น ำทำงในกำรค้นหำผู้สูงอำยุ กลุ่มเป้ำหมำยเพื่อให้เกิดควำมสะดวกเดินทำงของเจ้ำหน้ำที่หรือหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องในกำรลงพื้นที่ต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนำรูปแบบกำรเข้ำถึงผู้สูงอำยุที่มีภำวะพึ่งพิงรำยบุคคลให้เกิดควำมครอบคลุม 2. เพื่อยกระดับกำรพัฒนำรูปแบบกำรติดตำมเยี่ยมบ้ำนเชื่อมโยงยุค 4.0 3. เพื่อศึกษำผลลัพธ์จำกกำรใช้นวัตกรรม QR Code GPS วิธีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ 1. เพื่อเป็นกำรค้นหำวิธีกำรที่สำมำรถท ำให้กำรเยี่ยมบ้ำนเข้ำถึงกลุ่มผู้สูงอำยุที่มีภำวะพึ่งพิงให้ ครอบคลุมโดยใช้ GPS น ำทำงเข้ำถึงกลุ่มเป้ำหมำย 2. สร้ำงต้นแบบนวัตกรรมและกำรพัฒนำต้นแบบแบบ GPS 3. ตรวจประสิทธิภำพในกลุ่มตัวอย่ำงที่ก ำหนดขึ้นและทดลองใช้จ ำนวน 45 รำย 4. ก ำหนดกำรใช้ GPS ในรูปแบบของ QR Code ติดในโฟลเดอร์ประจ ำตัวของผู้สูงอำยุที่มีภำวะ พึ่งพิงทุกรำยในชุมชน 5. ระยะเวลำในกำรศึกษำกำรใช้นวัตกรรม มกรำคม 2563 ถึง กันยำยน 2563 การทดลองประสิทธิภาพสิ่งประดิษฐ์ จำกกำรทดลองใช้นวัตกรรมในกลุ่มเจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุขและนักบริบำลผู้สูงอำยุ สำมำรถใช้ได้อย่ำง มีประสิทธิภำพคือ รวดเร็ว ถูกต้อง ถูกคน และกำรใช้นวัตกรรมมีระดับควำมพึงพอใจจำกกำรใช้ประโยชน์จริง กลุ่มนักบริบำลผู้สูงอำยุและเครือข่ำย อสม. อยู่ในระดับมำกที่สุดระดับค่ำเฉลี่ย 4.75 และประเมินควำมพึง
270 พอใจกำรใช้นวัตกรรมมีระดับควำมพึงพอใจ กลุ่มสหวิชำชีพและญำติผู้ดูแล ร้อยละ 88.0 อยู่ในระดับมำก ค่ำเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.40 และค่ำ S.D. อยู่ที่ระดับ 0.62 ส่วนระยะเวลำในกำรค้นหำก็ลดลงและค่ำใช้จ่ำยในกำร ประสำนงำนก็ลดลงเช่นเดียวกัน ประโยชน์ / การน าไปใช้ - เป็นนวัตกรรมที่มีควำมง่ำยและสะดวกในกำรติดตำมดูแลผู้ป่วยในชุมชน - เจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุขสำมำรถเข้ำถึงข้อมูลแลสะดวกต่อกำรลงพื้นที่ติดตำมเยี่ยมบ้ำน - เป็นนวัตกรรมที่ประหยัดงบประมำณแต่สำมำรถเชื่อมโยงข้อมูลได้หลำยอย่ำงในกำรติดตำมดูแล - สำมรถน ำไปต่อยอดในกำรพัฒนำโปรแกรมกำรติดตำมผู้ป่วยอื่นต่อไปได้ การขยายผลและการบูรณาการ มีกำรขยำยผลทั้งในพื้นที่ต ำบล/อ ำเภอและอ ำเภอใกล้เคียง สำมำรถน ำไปใช้กับกำรดูแลผู้สูงอำยุที่มีภำวะพึ่งพิงและผู้ป่วยอื่นนอกต ำบลได้ ขยำยผลครบคลุมทั้ง 5 กลุ่มวัยในต ำบลเขมรำฐที่มีภำวะเสี่ยง ๆ เช่น ANC ที่มีภำวะเสี่ยง , LBW , PNC ที่มีปัญหำและผู้พิกำร พัฒนำไปใช้ในกำรก ำกับดูแลกำรท ำงำนของ Care giver ในกำรเยี่ยมบ้ำนดูแลผู้ที่มีภำวะพึ่งพิงของ กองทุน Long Team Care ประจ ำเดือน
271 เอกสารอ้างอิง ฐำนข้อมูลประชำกรผู้สูงอำยุต ำบลเขมรำฐในระบบโปแกรม JHCIS ณ วันที่ 30 กันยำยน พ.ศ.2564 https://www.google.com/maps/place
272 นวัตกรรม กล่องยาฝัง Delivery อ าเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี สุภำพร เจริญวงศ์, วรรณิกรณ์ มุกดำพันธ์ กลุ่มงำนบริกำรด้ำนปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยำบำลเขมรำฐ บทน า วัยรุ่น เป็นช่วงวัยที่เป็นจุดเปลี่ยนส ำคัญของชีวิตในหลำยๆ ด้ำนทั้งด้ำนร่ำงกำย จิตใจ อำรมณ์และ สังคม มีควำมอยำกรู้อยำกลองมีพัฒนำกำรทำงเพศท ำให้เกิดควำมต้องกำรทำงเพศน ำไปสู่กำรมีเพศสัมพันธ์ และปัญหำกำรตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งต่อตัววัยรุ่น ครอบครัว ชุมชน สังคม และเศรษฐกิจใน ภำพรวม ประเทศไทยจึงได้มีกำรตรำพระรำชบัญญัติกำรป้องกันและแก้ไขปัญหำกำรตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 เพื่อให้มีควำมเชื่อมโยงสอดคล้องสนับสนุนซึ่งกันและกันอีกทั้งยังเป็นแผนยุทธศำสตร์แห่งชำติ ส ำหรับกำรป้องกันและแก้ปัญหำในกำรตั้งครรภ์ของวัยรุ่น ปีงบประมำณ 2558-2567 ที่ต้องอำศัยกำรบูรณำ กำรและควำมร่วมมือในกำรด ำเนินงำนของหน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นกำรพัฒนำระบบกำรป้องกันและกำร แก้ปัญหำในกำรตั้งครรภ์ของวัยรุ่น และให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับเพศศึกษำรอบด้ำน และกำรประยุกต์เพศศึกษำ รอบด้ำนเพื่อป้องกันกำรตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ("กำรเฝ้ำระวังกำรตั้งครรภ์ในวัยรุ่น."Thailand Journal of Health Promotion and Environmental Health,วำรสำร กำร ส่งเสริม สุขภำพ และ อนำมัย สิ่งแวดล้อม 44.4 (2021) : 114-128. ) จำกข้อมูลวัยรุ่นตั้งครรภ์ที่มำรับบริกำรที่โรงพยำบำลเขมรำฐดังนี้ ปี งบประมำณ 2560 จ ำนวน 31 รำย ปีงบประมำณ 2561 จ ำนวน 42 รำย และปี งบประมำณ 2562 จ ำนวน 80 รำย (ฐำนข้อมูลและสถิติกำร ให้บริกำรของโรงพยำบำลเขมรำฐ ณ วันที่ 30 เดือน กันยำยน พ.ศ.2564) จำกข้อมูลดังกล่ำวนี้จะเห็นได้ว่ำ ปัญหำของกำรตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเขตอ ำเภอเขมรำฐ จังหวัดอุบลรำชธำนี มีแนวโน้มเพิ่มมำกขึ้นในเขตพื้นที่ เจ้ำหน้ำที่กลุ่มงำนบริกำรด้ำนปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยำบำลเขมรำฐ จึงได้มีกำรหำแนวทำงในกำรแก้ไข ปัญหำร่วมกันเพื่อที่จะช่วยให้เด็กและเยำวชนมีควำมรู้ ทักษะ ทัศนคติ และค่ำนิยม เพื่อน ำไปสู่กำรเสริมพลัง ในกำรป้องกันกำรเกิดปัญหำกำรตั้งครรภ์ในวัยรุ่น จึงได้มีกำรคิดค้นนวัตกรรม กล่องยำฝัง Delivery อ ำเภอ เขมรำฐ จังหวัดอุบลรำชธำนีขึ้น เพื่อให้บริกำรกำรฝังยำคุมก ำเนิดแบบ Delivery ให้กับวัยรุ่นที่หลังคลอดทุก รำยและวัยรุ่นที่มีควำมเสี่ยงแบบสมัครใจที่กลุ่มงำนบริกำรด้ำนปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยำบำลเขมรำฐ อัน จะเป็นประโยชน์ในกำรป้องกันกำรตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและเป็นกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ด้ำนเพศศึกษำและทักษะ ชีวิตที่มีคุณภำพต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมกำรเข้ำถึงบริกำรคุมก ำเนิดกึ่งถำวรของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่น 2. เพื่อป้องกันและแก้ปัญหำในกำรตั้งครรภ์ซ้ ำของวัยรุ่น
273 วิธีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ 1. กลุ่มงำนบริกำรด้ำนปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยำบำลเขมรำฐ จัดบริกำรยำฝังคุมก ำเนิดที่ตึกหลัง คลอดและตึกผู้ป่วยในแบบ One stop service 2. ปรึกษำทีมเพื่อจัดท ำกล่องยำฝังคุมก ำเนิด Delivery 3. จัดท ำแนวทำงในกำรให้ตึกหลังคลอดและตึกผู้ป่วยในโรงพยำบำลเขมรำฐ ได้แจ้งกลุ่มงำนบริกำร ด้ำนปฐมภูมิและองค์รวม เมื่อมีรำยงำนกำร Admit ของหญิงวัยรุ่นหลังคลอด การทดลองประสิทธิภาพสิ่งประดิษฐ์ ผลกำรศึกษำจำกกำรใช้นวัตกรรม “กล่องยำฝัง Delivery”ตั้งแต่ปีงบประมำณ 2562 – 2564 สรุป ได้ดังนี้ 1. หญิงวัยรุ่นตั้งครรภ์ซ้ ำในเขตอ ำเภอเขมรำฐ มีแนวโน้มลดลง ปี งบประมำณ 2562 จ ำนวน 4 รำย ปีงบประมำณ 2563 จ ำนวน 3 รำย ปีงบประมำณ 2563 จ ำนวน 2 รำย ดังข้อมูลแสดงในตำรำง ตัวชี้วัด ปีงบประมาณ 2562 2563 2564 1. จ ำนวนหญิงวัยรุ่นตั้งครรภ์ 42 50 37 2. จ ำนวนหญิงวัยรุ่นตั้งครรภ์ซ้ ำ(G2) 4 3 2 2. ผลกำรประเมินควำมควำมพึงพอใจ จำกกำรประเมินควำมพึงพอใจต่อนวตกรรมกล่องยำฝัง Delivery จ ำนวน 30 รำย พบว่ำ ผู้รับบริกำรมีควำมพึงพอใจ ร้อยละ 96.53 และผู้รับบริกำรที่ไม่พึ่งพอใจ ร้อยละ 3.47 ประโยชน์ / การน าไปใช้ 1. นวัตกรรมกล่องยำฝัง Delivery สำมำรถสร้ำงกำรเข้ำถึงบริกำรแก่กลุ่มหญิงหลังคลอดแบบไร้ รอยต่อ 2. นวัตกรรมกล่องยำฝัง Delivery สำมำรถน ำไปใช้งำนบริกำรเชิงรุกทั้งในและนอกโรงพยำบำล เขมรำฐและเครือข่ำยโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบล การขยายผลและบูรณาการ 1. จัดอบรมให้ควำมรู้ในกลุ่มวัยรุ่นและเยำวชน เพื่อให้ทรำบถึงเพศวิถีศึกษำปัญหำกำรตั้งครรภ์ใน วัยรุ่นกำรป้องกันและกำรแก้ไขปัญหำกำรตั้งครรภ์และขั้นตอนกำรบริกำรกล่องยำฝัง Delivery ของกลุ่มงำน บริกำรด้ำนปฐมภูมิและองค์รวมของโรงพยำบำลเขมรำฐ 2. จัดตั้งแกนน ำเยำวชนโดยจัดท ำกลุ่มไลน์วัยรุ่น วัยใสอ ำเภอเขมรำฐขึ้น เพื่อให้เกิดกำรรวมกลุ่ม เพื่อนชวนเพื่อน แนะน ำเพื่อนให้เข้ำถึงบริกำรเพิ่มมำกขึ้นและครอบคลุม
274 เอกสารอ้างอิง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ajcph/article/view/250888 ฐำนข้อมูลและสถิติกำรให้บริกำรของโรงพยำบำลเขมรำฐ ณ วันที่ 30 กันยำยน 2564 http://web.krisdika.go.th/data/law/law2/%A1158/%A1158-20-2559-a0001.htm
275 นวัตกรรม กดแช่ สมุนไพรบ้าน ๆ ช่วยต้านภาวะแทรกซ้อนทางเท้าจากโรคเบาหวาน กรณีศึกษา ต าบลหนองหมี อ าเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร จิรำวรรณ สุวรรณศรี, อ ำนำจ สลับศรี, นิรมล องอำจ, กิตติพงษ์ บุญจันทร์, ศิริรัตน์ ศรีสุรัตน์, น้ ำฝน นำถำบ ำรุง และคณะ โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบลหนองหมี อ ำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร บทคัดย่อ ผู้ป่วยโรคเบำหวำน ปีงบประมำณ 2562 จ ำนวน 209 รำย ควบคุมระดับน้ ำตำลได้ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 32.36 สัมภำษณ์ผู้ที่ควบคุมระดับน้ ำตำลไม่ได้ จ ำนวน 30 รำย ร้อยละ 56.66 มีพฤติกรรมกำรปฏิบัติเพื่อควบคุม ระดับน้ ำตำลในเลือดไม่สม่ ำเสมอ แบ่งกลุ่มผู้ป่วยตำมแนวปฏิบัติระดับควำมเสี่ยงของกำรเกิดแผลที่เท้ำในผู้ป่วย เบำหวำนแห่งประเทศไทย พบว่ำ ผู้ป่วยต ำบลหนองหมี เป็นแผลที่นิ้วเท้ำ แผลที่เท้ำ และแผลที่ขำ จ ำนวน 13 รำย (ร้อยละ 6.22) ตัดเท้ำ นิ้วเท้ำที่เป็นแผล จ ำนวน 7 รำย มีกลุ่มเสี่ยงปำนกลำง (ที่ไม่มีแผล เท้ำผิดรูป ผิวหนัง เล็บ ผิดปกติ ชีพจรที่เท้ำผิดปกติหรือมีกำรรับควำมรู้สึกที่เท้ำผิดปกติ) และกลุ่มเสี่ยงสูง (ที่ไม่มีแผล มีประวัติเคยมีแผลที่ เท้ำ มีกำรรับควำมรู้สึกที่เท้ำผิดปกติ) จ ำนวน 25 รำย ร้อยละ (11.96) พฤติกรรมกำรดูแลตนเองและกำรควบคุม น้ ำตำลในเลือดเป็นปัญหำและอุปสรรคที่แก้ไขได้ยำกส ำหรับผู้ป่วย ส่งผลให้เกิดภำวะแทรกซ้อนทำงเท้ำ จึงได้มีกำร ประชุมกลุ่ม ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องและประยุกต์ใช้แนวคิดในกำรดูแลตนเอง สร้ำงเป็นนวัตกรรม กดแช่ สมุนไพรบ้ำนๆ ช่วยต้ำนภำวะแทรกซ้อนทำงเท้ำ วัตถุประสงค์ในการสร้างนวัตกรรม เพื่อศึกษำผลของนวัตกรรม กดแช่ สมุนไพรบ้ำนๆ ช่วยต้ำนภำวะแทรกซ้อนทำงเท้ำจำกโรคเบำหวำน กรณีศึกษำ ต ำบลหนองหมี อ ำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง จำก Gap Analysis พบว่ำผู้ป่วยมีพฤติกรรมดูแลตนเอง และกำรดูแลเท้ำที่ไม่เหมำะสม ส่งผลให้เกิด ภำวะแทรกซ้อนทำงเท้ำ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนำพฤติกรรมกำรดูแลตนเองและลดกำรเกิดแผลที่เท้ำ โดยใช้หลักฐำน เชิงประจักษ์ของ ซูคัพ (Soukup, 2000) เป็นกรอบแนวคิด ค้นหลักฐำนเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง ประเมินควำม น่ำเชื่อถือ ควำมเป็นไปได้ด้วยหลักกำรของ PICO ตรวจสอบควำมน่ำเชื่อถือ น ำมำวิเครำะห์และสังเครำะห์สร้ำง ข้อสรุป ตรวจสอบควำมถูกต้อง ควำมตรงของเนื้อหำและควำมเหมำะสม ปรับปรุงแก้ไขเป็นรูปแบบน ำรูปแบบที่ได้มำ สร้ำงเป็นนวัตกรรมด้ำนวิธีกำรเพื่อแก้ไขภำวะแทรกซ้อนทำงเท้ำ ดังนี้ 1)ทบทวนวรรณกรรมกำรกด นวด เท้ำ จ ำนวน 8 เรื่อง กำรกดเท้ำ กดสะท้อนฝ่ำเท้ำ กำรนวดด้วยมือและอุปกรณ์ เช่น กะลำ พบว่ำระยะเวลำที่ลดอำกำรชำ หลังกด นวด 3 วัน และให้ผลดีถ้ำท ำติดต่อ 12 สัปดำห์ระยะเวลำกำรนวด 15-60 นำที2)ทบทวนวรรณกรรม สมุนไพรแช่ เท้ำ จ ำนวน 5 เรื่อง พบว่ำ แช่เท้ำที่อุณหภูมิ 36-38 องศำเซลเซียส เป็นเวลำ 10-45 นำที กำรไหลเวียนของเลือดที่ ปลำยเท้ำดีขึ้น อำกำรชำลดลงในสัปดำห์ที่ 4-12 3)แนวคิดทฤษฎีกำรดูแลตนเองของโอเร็ม กล่ำวว่ำ บุคคลจะดูแล ตนเองได้ ต้องมีควำมสำมำรถในกำรตอบสนองควำมต้องกำรดูแลตนเองทั้งหมด ถ้ำไม่มีหรือมีไม่เพียงพอที่จะ
276 ตอบสนองควำมต้องกำรดูแลตนเองทั้งหมด จะเกิดควำมพร่อง ส่งผลให้ต้องกำรควำมช่วยเหลือจำกบุคคลอื่นหรือกำร พยำบำล เนื่องจำกผู้ป่วยของต ำบลหนองหมีเป็นผู้ที่ปฏิบัติตนเพื่อดูแลตนเองได้ จึงประยุกต์ใช้ระบบกำรพยำบำลที่ จะช่วยให้บุคคลได้รับกำรดูแลและสำมำรถดูแลตนเองด้วยกำรสอนและให้ควำมรู้ มีเป้ำหมำยเพื่อลดภำวะแทรกซ้อน ทำงเท้ำ ลดกำรตัดอวัยวะ นิ้วเท้ำ เท้ำ จำกโรคเบำหวำน เน้นกำรปฏิบัติพฤติกรรมดูแลตนเองอย่ำงต่อเนื่อง หลักการ วิธีการศึกษา จัดท ำ/ใช้นวัตกรรมประเภทรูปแบบและกระบวนกำร ใน เดือนมิถุนำยน-สิงหำคม พ.ศ.2562 เครื่องมือที่ ใช้พัฒนำขึ้นตำมแนวคิดทฤษฎีกำรดูแลตนเองของโอเร็ม ด้วยกำรพยำบำลระบบสนับสนุนและให้ควำมรู้ เครื่องมือที่ ใช้ ได้แก่ 1)แบบสอบถำมพฤติกรรมดูแลตนเองจ ำนวน 46 ข้อ มีค่ำดัชนีควำมตรงเชิงเนื้อหำ 96 มีค่ำควำมเที่ยง .92 2)เครื่องตรวจระดับน้ ำตำลในเลือด3)แบบบันทึกข้อมูลสุขภำพ วิเครำะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนำ สถิติกำรทดสอบที กลุ่มตัวอย่ำงเลือกแบบเจำะจงตำมเกณฑ์คัดเข้ำและคัดออกจำกกำรศึกษำ เป็นผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 เป็นแผลที่ นิ้วเท้ำ แผลที่เท้ำ และแผลที่ขำ จ ำนวน 12 รำย และกลุ่มเสี่ยงปำนกลำง กลุ่มเสี่ยงสูง จ ำนวน 25 รำย รวมทั้งหมด 37 รำย มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1)พัฒนำนวัตกรรมโดยวิเครำะห์ปัญหำ ก ำหนดวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัด ศึกษำแนวคิดและ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง สรุปแนวคิดหลักเพื่อสร้ำงนวัตกรรม 2)ทดลองใช้และปรับปรุง ประเมินประสิทธิผลของนวัตกรรม จนได้นวัตกรรมที่มีคุณภำพ 3)สรุปและรำยงำนผล ประเมินควำมพึงพอใจต่อกำรใช้นวัตกรรม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกันและน ำไปปฏิบัติใช้งำนจริง เผยแพร่ยังโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบลในเครือข่ำย รำยละเอียดวิธีกำรพัฒนำนวัตกรรม ดังนี้ 1)ศึกษำหลักกำรพัฒนำนวัตกรรม สรุปแนวคิดคือ ควำมรู้ ประโยชน์และสรรพคุณจำกสมุนไพรที่หำได้ง่ำยในชุมชน 2)กำรน ำควำมรู้ศำสตร์แพทย์ทำงเลือก/แพทย์แผนไทย ประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพของนวัตกรรม และพัฒนำควำมสำมำรถในกำรดูแลตนเองเพื่อให้เกิดกำรปฏิบัติ อย่ำงต่อเนื่อง 3)จัดหำวัสดุ อุปกรณ์ สมุนไพร ในกำรสร้ำงนวัตกรรม 4)ด ำเนินกำรตำมนวัตกรรม ดังนี้ (1)ตรวจวัดควำมรู้สึกที่เท้ำด้วย Monofilament ที่ฝ่ำเท้ำ บริเวณ นิ้วโป้ง นิ้วกลำง นิ้วนำง นิ้วก้อยและส้นเท้ำก่อน และหลังท ำกิจกรรม (2)ตรวจภำวะแทรกซ้อนที่ปลำยประสำทเท้ำ คล ำชีพจร กำรวัดแรงกดของเท้ำด้วยเครื่อง Podoscope(3)สอนกำรกดนวดจุดสะท้อนที่ฝ่ำเท้ำ 5 จุด ที่กึ่งกลำงนิ้วหัวแม่เท้ำ โคนเท้ำด้ำนบนในโคนเท้ำด้ำนบน นอก กลำงฝ่ำเท้ำ และส้นเท้ำ กดจุดๆ ละ 10 วินำทีสลับไปมำ นำน 20-30 นำที/ครั้ง (4)สอนและสำธิตกำรท ำน้ ำ สมุนไพรแช่เท้ำ ประกอบด้วย มะกรูด ขมิ้น ใบบัวบก ใบย่ำนำง ใบมะขำม (มะกรูดท ำให้ผิวชุ่มชื่น ขมิ้นท ำให้ผิวนุ่ม ใบบัวบกเป็นยำเย็นลดกำรอักเสบ ใบย่ำนำงลดอำกำรผื่นคันจำกกำรแพ้ท ำให้สบำยผิว ใบมะขำมช ำระล้ำงควำม สกปรกรูขุมขนครำบไขมันบนผิวหนัง) อย่ำงละ 1 ก ำมือ ผสมน้ ำ 1 ลิตร ต้มให้เดือด (ยกเว้นมะกรูดไม่ต้องต้ม) น ำน้ ำ สมุนไพรที่เดือดมำผสมกับน้ ำให้อุ่น (อุณหภูมิ 36-37 องศำเซลเซียส) น ำมะกรูดที่หั่นเป็นแว่นลงลอย แช่เท้ำ ประมำณ 20-30 นำที ต่อครั้ง (บริเวณที่เป็นแผลไม่ให้แช่น้ ำสมุนไพร ใช้กำรกดนวดแทน) ท ำต่อเนื่องที่บ้ำน สัปดำห์ ละ 2-3 ครั้ง นำน 3 เดือน 5)น ำนวัตกรรมเสนอผู้เชี่ยวชำญเพื่อตรวจสอบและประเมินประสิทธิภำพ6)ปรับปรุงแก้ไข ตำมข้อเสนอแนะและน ำไปใช้กับกลุ่มเป้ำหมำย 7)น ำปัญหำที่พบไปพัฒนำนวัตกรรมให้มีประสิทธิภำพสูงขึ้น
277 ผลการศึกษา : 1)ตรวจควำมรู้สึกที่เท้ำ กลุ่มเสี่ยงปำนกลำงและกลุ่มเสี่ยงสูงต่อกำรเกิดแผลที่เท้ำด้วย โมโนฟิลำเมนต์ จ ำนวน 25 รำย มีกำรรับควำมรู้สึกที่ปลำยเท้ำดีขึ้น จ ำนวน 11 รำย (ร้อยละ 29.73) 2)ผลตรวจภำวะแทรกซ้อนทำง เท้ำ กลุ่มเสี่ยงปำนกลำงและกลุ่มเสี่ยงสูงต่อกำรเกิดแผลที่เท้ำ จ ำนวน 25 รำย ไม่เกิดแผลที่เท้ำและนิ้วเท้ำ(ร้อยละ 100) 3)สอนกดนวดจุดสะท้อนที่ฝ่ำเท้ำด้วยตนเอง ผู้ป่วยที่มีแผลที่เท้ำและนิ้วเท้ำ อำกำรชำที่ปลำยเท้ำน้อยลง กำร รับควำมรู้สึกที่เท้ำดีขึ้น ไม่ได้ตัดเท้ำหรือนิ้วเท้ำ จ ำนวน 12 รำย (ร้อยละ 100.00) 4)หลังแช่เท้ำด้วยสมุนไพร อำกำร ชำที่ปลำยเท้ำน้อยลง กำรรับควำมรู้สึกที่เท้ำดีขึ้น จ ำนวน 23 รำย(ร้อยละ 62.16) 5)ควบคุมน้ ำตำลในเลือดเพิ่มขึ้น ร้อยละ 32.36 เป็น 40.41 ค่ำเฉลี่ยน้ ำตำลในเลือดลดลง (ก่อน x =151.18, S.D.21.15 หลัง x =134.37,S.D. 16.88) ภำยหลัง พฤติกรรมดูแลตนเองมีค่ำเพิ่มขึ้น (ก่อน x =3.76,SD.0.47, หลัง x =4.31,SD.0.42) อย่ำงมี นัยส ำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 6)ประเมินควำมพึงพอใจต่อนวัตกรรมด้วยแบบสอบถำม จ ำนวน 7 ข้อ มำตรำส่วน ประมำณค่ำ 5 ระดับ คะแนนโดยรวมอยู่ระดับ มำกที่สุด ( x =4.56,SD.=0.62) การน าไปใช้ประโยชน์ ใช้เป็นแนวทำงและทำงเลือกป้องกันภำวะแทรกซ้อนทำงเท้ำของโรคเบำหวำน แพทย์แผนไทยและแพทย์ ทำงเลือกดูแลเท้ำของผู้ป่วยควบคู่กับแพทย์แผนปัจจุบัน ผู้ป่วยดูแลเท้ำได้ด้วยตนเองที่บ้ำนอย่ำงต่อเนื่อง สมุนไพร หำได้ง่ำย วิธีท ำง่ำย ส่งผลให้ใส่ใจดูแลสุขภำพเท้ำมำกขึ้น ลดภำวะเสี่ยงต่อกำรเป็นแผลที่เท้ำ กำรตัดเท้ำและนิ้วเท้ำ ค าส าคัญ : กำรกดนวดเท้ำ, น้ ำสมุนไพรแช่เท้ำ, ภำวะแทรกซ้อนทำงเท้ำจำกโรคเบำหวำน เอกสารอ้างอิง กอบกุล พันธ์เจริญวรกุล. ศำสตร์ทำงกำรพยำบำล. ในเอกสำรกำรสอนชุดวิชำ มโนมติและกระบวนกำร พยำบำล ฉบับปรับปรุง. พิมพ์ครั้งที่ 13. นนทบุรี: มหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมำธิรำช2553. หน้ำ 113-76. ไกรสิงห์ รุ่งโรจน์สกุลพร. ศำสตร์กำรกดนวดจุดสะท้ำนเท้ำ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพ ฯ: เจริญดีมั่นคงกำร พิมพ์. 2559. เทพ หิมะทองค ำ. ควำมรู้เรื่องโรคเบำหวำน ฉบับสมบูรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์กำรพิมพ์. 2554. บุญใจ ศรีสถิตย์นรำกูร. ระเบียบวิธีกำรวิจัยทำงพยำบำลศำสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: ยู แอนด์ไอ อินเตอร์มีเดีย. 2553. Orem, D. E., Taylor, S. G., & Renpenning, K. M. (2001). Nursing: Concepts of practice (6th ed.). St. Louis: Mosby.
278 นวัตกรรมเป้สารพัดประโยชน์ ส าหรับการจัดการรายกรณีดูแลผู้สูงอายุ ยุทธพิชัย ปำปะเถ โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบลบ้ำนหนองหว้ำ อ ำเภอวำปีปทุม จังหวัดมหำสำรคำม บทคัดย่อ จำกกำรด ำเนินงำนกำรพยำบำลดูแลผู้สูงอำยุ ในเขตโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบลบ้ำนหนอง หว้ำปัญหำที่พบส่วนใหญ่ ได้แก่ ด้ำนบุคลำกร เน้นบริกำรเชิงรับมำกกว่ำเชิงรุก ด้ำนผู้สูงอำยุ อัตรำส่วน ผู้สูงอำยุเพิ่มมำกขึ้นทุกปี ผู้สูงอำยุชำย 323 คน (ร้อยละ 42.33) ผู้สูงอำยุเพศหญิง 440 คน (ร้อยละ 57.67) (ฐำนข้อมูลHDC,2563-2565) ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอำยุวัยตอนต้นช่วงอำยุ 60-69 ปี(ร้อยละ 47 ) ครอบครัว เดี่ยว ผู้สูงอำยุติดบ้ำนอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ดูแล ผู้สูงอำยุที่มีภำวะพึ่งพิง จ ำนวน 69 คน ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ติดบ้ำน แต่ไม่มีภำวะสับสนจ ำนวน 55 คน กลุ่มที่ 2 ติดบ้ำนแต่มีภำวะสับสน จ ำนวน 12 คน กลุ่มที่ 3 ติดเตียง จ ำนวน 2 คน กลุ่มที่ 4 ติดเตียง จ ำนวน 0 คน โรคที่พบมำกที่สุดในผู้สูงอำยุ ได้แก่ โรคเบำหวำน โรคควำมดัน โลหิตสูง โรคอัมพฤกษ์อัมพำตโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคหืด เป็นต้น ภำวะแทรกซ้อนที่พบได้แก่ ภำวะแผลกดทับ ภำวะแขนและขำอ่อนแรง ภำวะอติดไหล่ติด ภำวะหลงลืม ภำวะขับถ่ำยล ำบำก ฯลฯ ขำดยำ ขำดนัด ขำดกำรเก็บยำที่เป็นระเบียบ ซองยำและตัวยำสลับและปะปนกันในซองยำ กำรรับประทำนยำไม่ตรง ตำมเวลำที่แพทย์สั่ง ด้ำนผู้ดูแล ควำมรู้ไม่เพียงพอในกำรดูแลผู้สูงอำยุ ร้อยละ 45.78 เกิดภำวะวิตกกังวล ด้ำน ชุมชนและภำคีเครือข่ำย ขำดรูปแบบกำรบริกำรสนับสนุนทุนทำงสังคมที่เป็นรูปธรรม ด้ำนอำสำสมัครดูแล ผู้สูงอำยุขำดควำมมั่นใจเกี่ยวกับกำรประเมินภำวะสุขภำพผู้สูงอำยุเบื้องต้น ทักษะและองค์ควำมรู้ในกำรดูแล ผู้สูงอำยุไม่เพียงพอ ร้อยละ 49.54 ซึ่งจำกกำรทบทวนวรรณกรรมพบว่ำ กำรสร้ำงเสริมสุขภำพดูแลผู้สูงอำยุ แบบกำรจัดกำรรำยกรณี และชุมชนเข้ำมำมีส่วนร่วมท ำให้ผู้สูงอำยุมีสุขภำพที่ดีทั้งด้ำนร่ำงกำยและจิตใจ ผู้ ศึกษำจึงได้น ำหลักฐำนเชิงประจักษ์ร่วมกับแนวคิดกำรจัดกำรรำยกรณีและกำรมีส่วนร่วมมำเป็นแนวคิดในกำร พัฒนำงำนนวัตกรรม จำกปัญหำดังกล่ำวผู้วิจัยจึงได้จัดท ำนวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ ส ำหรับกำรจัดกำรรำย กรณีผู้สูงอำยุ เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพกำรประเมิน คัดกรองและดูแลภำวะสุขภำพแก่ผู้สูงอำยุในชุมชนได้อย่ำงมี ประสิทธิภำพและได้มำตรฐำนตำมกำรพยำบำลดูแลผู้สูงอำยุ วัตถุประสงค์ 1.เพื่อพัฒนำนวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ ส ำหรับกำรจัดกำรรำยกรณีดูแลผู้สูงอำยุ 2.เพื่อศึกษำกระบวนกำรพัฒนำนวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ ส ำหรับกำรจัดกำรรำยกรณีดูแลผู้สูงอำยุ 3.เพื่อประเมินผลลัพธ์จำกกำรใช้นวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ ส ำหรับกำรจัดกำรรำยกรณีดูแลผู้สูงอำยุ การทบทวนวรรณกรรม : ทบทวนกฎบัตรออตตำวำ เฉพำะด้ำนกำรส่งเสริมสุขภำพผู้สูงอำยุในชุมชน 5 ประเด็น ได้แก่ กำรสร้ำงนโยบำยสำธำรณะเพื่อผู้สูงอำยุ สร้ำงสภำพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภำพ กำรสร้ำงเสริม สุขภำพผู้สูงอำยุ กำรมีส่วนร่วมของชุมชน กำรปรับเปลี่ยนและส่งเสริมบริกำรทำงด้ำนสำธำรณสุขและ สวัสดิกำรสังคม(กฎบัตรออตตำวำ,1986) ทบทวนแนวคิดกำรดูแลแบบมีส่วนร่วม แนวคิดกำรจัดกำรรำยกรณี
279 และน ำวงจรกำรควบคุมคุณภำพ (PDCA Cycle) หรือวงจรเด็มมิ่ง (Deming Cycle) คือ แนวคิดกำร พัฒนำกำรท ำงำนเพื่อควบคุมคุณภำพงำนให้มีกำรพัฒนำอย่ำงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับควำมนิยมอย่ำง กว้ำงขวำงส ำหรับน ำมำปรับใช้ในกำรผลิตนวัตกรรม ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ กำรวำงแผน กำรลงมือ ปฏิบัติ กำรสังเกตตรวจสอบ และกำรสะท้อนคิด ซึ่งผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยจะร่วมมือกันท ำงำนอย่ำงต่อเนื่อง โดย ร่วมกันวำงแผนเพื่อแก้ปัญหำ น ำแผนสู่กำรปฏิบัติจริง มีกำรสังเกตและสะท้อนผลของกำรปฏิบัติงำนวิจัยทุก ขั้นตอน ระเบียบวิธีวิจัย/การด าเนินงาน กำรพัฒนำนวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ พัฒนำรูปแบบจำกหลักฐำนเชิงประจักษ์เกี่ยวข้องจำก ฐำนข้อมูล ThaiLIS และ Science direct กลุ่มเป้ำหมำย ได้แก่ ผู้สูงอำยุ จ ำนวน 20 คน ผู้ดูแลผู้สูงอำยุ จ ำนวน20 คน อำสำสมัครดูแลผู้สูงอำยุ จ ำนวน 10 คน อำสำสมัครสำธำรณสุข 8 คน พยำบำลวิชำชีพ 3 คน บุคลำกรทำงสำธำรณสุข จ ำนวน 4 คน ทีมสหวิชำชีพและภำคีเครือข่ำย 10 คน ด ำเนินพัฒนำออกแบบ นวัตกรรมเดือนตุลำคม พ.ศ.2563 ถึง มีนำคม พ.ศ.2565 ทดลองและเก็บข้อมูล น ำนวัตกรรมที่พัฒนำขึ้นไป ประเมินและดูแลผู้สูงอำยุ เก็บรวบรวมข้อมูลจำกแบบประเมินผลกำรใช้นวัตกรรม แบบประเมินควำมรู้ผู้ดูแล และอำสำสมัคร แบบประเมินควำมพึงพอใจ แนวทำงสัมภำษณ์ แนวทำงสนทนำกลุ่ม วิเครำะห์ข้อมูลด้วยสถิติ เชิงพรรณนำ วิเครำะห์เนื้อหำและค่ำเฉลี่ยร้อยละ ได้แก่ 1. ขั้นตอนวางแผน (Plan) วำงแผน ศึกษำและวิเครำะห์ข้อมูล ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง โดย กำรสืบค้นจำกต ำรำ งำนวิจัย และเอกสำรวิชำกำร รวมทั้งกำรลงพื้นที่เยี่ยมบ้ำนร่วมกันกับทีมสหวิชำชีพและ ภำคีเครือข่ำยชุมชน ครอบครัวและผู้ดูแลผู้สูงอำยุ เพื่อสัมภำษณ์ผู้สูงอำยุและผู้ดูแลผู้สูงอำยุ จ ำนวน 20 คน ในเขตรับผิดชอบของโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบลบ้ำนหนองหว้ำ และมีคุณสมบัติตำมเกณฑ์ที่ก ำหนด เพื่อค้นหำผู้สูงอำยุที่มีปัญหำกำรรับประทำนยำ ปัญหำด้ำนสมองเสื่อม ปัญหำด้ำนกำรขับถ่ำย ด้ำนกำร เคลื่อนไหว ด้ำนกำรมองเห็น และด้ำนอื่นๆ แล้วน ำข้อมูลไปวำงแผน ก ำหนดรูปแบบเพื่อพัฒนำนวัตกรรมเป้ สำรพัดประโยชน์ โดยรวมนวัตกรรมไว้ในกระเป๋ำหนึ่งใบ เพื่อใช้ในกำรประเมิน คัดกรอง ดูแล สร้ำงเสริม สุขภำพ กำรจัดกำรรำยกรณีแก่ผู้สูงอำยุแบบองค์รวม ซึ่งได้แก่ ปฏิทินเตือนกำรลืมกินยำ จิ๊กซอร์ฝึกสมอง กล่องสีเตือนควำมจ ำ แผ่นประเมินควำมเจ็บปวด (pain score) แผ่นวัดสำยตำ Snellen chart กระบอกฉี่ ยำงยืดออกก ำลังกำย โมเดลอำหำร โมเดลพลิกตะแคงตัว หุ่นสอนฉีดยำเบำหวำน กล่องประเมิน ADL กะละมังสระผม เสื่อกดจุด กระจกส่องเท้ำ โมเดลกะลำฟันสวย เป็นต้น 2. ขั้นตอนการปฏิบัติ(Do) นวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ มีรำยละเอียดดังนี้ 1. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหำในผู้สูงอำยุ ได้แก่ ปัญหำด้ำนกำรรับประทำนยำ ปัญหำด้ำน สมองเสื่อม ปัญหำด้ำนกำรขับถ่ำย ปัญหำด้ำนกำรเคลื่อนไหว ปัญหำด้ำนกำรมองเห็น ปัญหำแผลกดทับ เป็น ต้น ส่วนปัญหำของอำสำสมัครดูแลผู้สูงอำยุ ได้แก่ อำสำสมัครดูแลผู้สูงอำยุไม่มีควำมมั่นใจในกำรประเมิน ภำวะสุขภำพผู้สูงอำยุเบื้องต้น มีทักษะและควำมรู้ในกำรดูแลผู้สูงอำยุไม่เพียงพอ เป็นต้น
280 2. ออกแบบนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหำในแต่ละด้ำนของผู้สูงอำยุ เพื่อน ำมำจัดกำรรำยกรณีดูแล ผู้สูงอำยุแต่ละรำยในชุมชน และท ำกำรลงมือปฏิบัติ โดยท ำเป็นเป็นกระเป๋ำเป้สำรพัดประโยชน์ที่สำมำรถบรรจุ นวัตกรรมต่ำงๆ ที่ช่วยในกำรประเมิน คัดกรอง ดูแลสร้ำงเสริมสุขภำพ และจัดกำรรำยกรณีแก่ผู้สูงอำยุได้ครบ แบบองค์รวมในใบเดียว อุปกรณ์ที่ใช้ในกำรประดิษฐ์ ประกอบด้วย ฟิวเจอร์บอร์ด กรรไกร คัดเตอร์ ไม้บรรทัด กระดำษกำวสองหน้ำ กระดำษสติกเกอร์ ปำกกำ ดินสอ สีเมจิก กระดำษขนำด A4 ซิปยำว 45 นิ้ว ยำงยืด เข็ม เย็บผ้ำ ด้ำยผ้ำขำวม้ำ กระบอกน้ ำ ถุงปัสสำวะ ซองยำ กะละมัง กะลำ ฯลฯ ขั้นตอนและวิธีผลิตนวัตกรรม 1. น ำแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดมำจัดท ำเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ ขนำด 30x45 เซนติเมตร แล้ว ประกอบชิ้นส่วนที่เตรียมไว้เป็นกล่อง 2. น ำผ้ำขำวม้ำ จ ำนวน 2 ผืน แต่ละผืน ขนำด 1 วำ ตัดออกเป็นชิ้นขนำดควำมยำวตำมกล่อง สี่เหลี่ยมผืนผ้ำ แล้วน ำมำประกอบใส่ซิปยำว 45 นิ้ว โดยมีประเป๋ำด้ำนหน้ำ จ ำนวน 2 อัน ด้ำนข้ำง จ ำนวน 2 อัน ด้ำนหลัง จ ำนวน 1 อัน 3. น ำยำงยืดจ ำนวน 20 วง แต่ละวงจ ำนวน 5 เส้น เย็บครอบด้วยผ้ำขำวม้ำที่เตรียมไว้ ควำมยำว ของสำยกระเป๋ำ 15 นิ้ว แล้วมำท ำเป็นสำยกระเป๋ำที่สำมำรถถอดออกมำเพื่อใช้ในกำรออกก ำลังกำยโดยยำง ยืดได้ 4. ท ำปฏิทินเตือนกำรลืมกำรกินยำ โดยน ำฟิวเจอร์บอร์ด ขนำด 30x45 เซนติเมตร และ ออกแบบสติ้กเกอร์ยำที่มีภำพวันเวลำกำรกินยำที่ชัดเจน พิมพ์ วันที่ 1–31 ให้ครบเดือน และพิมพ์เวลำ รับประทำนยำ คือเช้ำ เที่ยง เย็น และก่อนนอน แล้วจัดยำตำมแผนกำรรักษำ และน ำยำมำบรรจุซองยำตำม เวลำที่รับประทำนในแต่ละเวลำ 5. ท ำกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ ขนำด 10x30 เซนติเมตร และกั้นช่องว่ำงเป็น 3 ช่อง เพื่อใช้ในกำร ประเมินกำรมองเห็นแยกสี จ ำนวน 3 สี ได้แก่ สีแดง สีฟ้ำ สีชมพู เป็นต้น 6. ท ำจิ๊กซอว์ขนำด 20x20 เซนติเมตร จ ำนวน 9 ชิ้น โดยน ำรูปภำพของญำติผู้ป่วย เพื่อฝึก ทดสอบควำมจ ำและประเมินภำวะสมองเสื่อมในผู้สูงอำยุ 7. ติดที่วัดสำยตำ Snellen chart จ ำลองเข้ำกับข้ำงในกล่อง เพื่อประเมินวัดสำยตำและกำร มองเห็นของผู้สูงอำยุ 8. ผลิตนวัตกรรมสื่อภำพพลิกให้ควำมรู้เกี่ยวกับกำรดูแลผู้สูงอำยุและกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กำรบริโภค ผลิตสื่อโมเดลอำหำร โมเดลจ ำลองหุ่นฉีดยำในผู้ป่วยเบำหวำน โมเดลนำฬิกำพลิกตะแคงตัว ป้องกันแผลกดทับ โมเดลกะลำฟันสวยเพื่อสอนกำรแปรงฟันที่ถูกวิธี เสื่อกดจุดจำกฝำน้ ำขวด โดยน ำฝำขวดที่ ใช้แล้วมำติดตำมเสื่อกกเพื่อใช้ส ำหรับลดอำกำรปวดชำปลำยเท้ำท ำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนปลำยได้ดี เป็นต้น 9. ผลิตนวัตกรรมกระบอกฉี่จำกวัสดุกระบอกน้ ำที่ใช้แล้ว น ำมำเจำะรูต่อสำยยำงเข้ำกับถุง ปัสสำวะ เพื่อใช้ในกำรขับถ่ำยปัสสำวะที่สำมำรถพกพำได้สะดวกในกำรเดินทำง และกำรขับถ่ำยปัสสำวะโดย ไม่ต้องลุกไปฉี่ตอนกลำงคืน เพื่อป้องกันกำรพลัดตกหกล้มขณะไปขับถ่ำยปัสสำวะตอนกลำงคืน
281 10. ผลิตนวัตกรรมกะละมังสระผม โดยน ำท่อพลำสติกมำติดกับกะละมังเพื่อระบำยน้ ำ และตัด ผนังกะละมังด้ำนตรงข้ำมเป็นรูปครึ่งวงกลมแล้วน ำฟองน้ ำที่ห่อหุ้มด้วยพลำสติกมำติดเพื่อจะท ำที่หนุนรองคอ ประโยชน์ใช้ส ำหรับดูแลสุขวิทยำและสระผมผู้สูงอำยุที่นอนติดเตียง 11.ท ำแฟ้มใส่แนวปฏิบัติกำรดูแลผู้สูงอำยุและแบบประเมินคัดกรองดูแลสุขภำพเบื้องต้นของ ผู้สูงอำยุ 12.น ำนวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้ำหมำย 3 ขั้นการตรวจสอบปฏิบัติตามแผน (Check) กำรประเมินผลตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขรูปแบบ นวัตกรรม โดยน ำปัญหำที่พบ ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นต่ำง ๆ ที่ได้น ำไปทดลองใช้ “นวัตกรรมเป้สำรพัด ประโยชน์” มำประเมินหำจุดเด่นและจุดด้อย แก้ไขปรับปรุง ประเมินผลงำนกำรด ำเนินกำร กำรประเมินผล กำรด ำเนินตำมขั้นตอน และกำรประเมินผลงำนตำมเป้ำหมำยของแผนงำนที่ได้มีกำรก ำหนดไว้ เพื่อให้ได้ นวัตกรรมที่สำมำรถน ำไปใช้ประโยชน์ได้จริง จำกกำรด ำเนินงำน ครั้งที่ 1 พบว่ำ นวัตกรรมยังมีควำมไม่ครอบคลุมในกำรจัดกำรรำยกรณีดูแลผู้สูงอำยุที่ติดเตียง ขำดเรื่องของกำรจัดกำรกรณีปัญหำกำรเคลื่อนไหว ปัญหำข้อติด ปัญหำแผลกดทับ กำรสระผมบนเตียง ฯลฯ ทีมผู้วิจัยจึงได้ประชุมทบทวนวรรณกรรมและค้นหำแนวปฏิบัติกำรป้องกันแผลกดทับในผู้สูงอำยุนอนติดเตียง ระยะเวลำยำวนำน จึงได้คิดค้นนวัตกรรมโมเดลนำฬิกำพลิกตะแคงตัวและยำงยืดป้องกันข้อไหล่ติด กะละมัง สระผมบนเตียง และน ำไปทดลองใช้กับผู้สูงอำยุติดเตียง และประเมินผล ครั้งที่ 2 พบว่ำ นวัตกรรมยังมีควำมหลำกหลำยในกำรจัดกำรรำยกรณีผู้สูงอำยุทุกกลุ่ม ผู้ใช้ยังมี ควำมรู้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับวิธีกำรใช้นวัตกรรมที่ถูกต้อง ทำงทีมผู้วิจัยจึงได้ประชุมร่วมกันเพื่อปรับปรุงชี้แนะ แนวทำงวิธีกำรใช้ให้ถูกต้องครบทุกนวัตกรรม ลงพื้นที่พร้อมยกตัวอย่ำงกรณีศึกษำแล้วน ำนวัตกรรมมำปรับใช้ หลังน ำนวัตกรรมไปทดลองใช้เพิ่มเติมและประเมินสะท้อนผล ท ำให้ผู้ใช้นวัตกรรมเกิดควำมมั่นใจ มีควำมรู้ใน กำรใช้นวัตกรรม และสำมำรถจัดกำรรำยกรณีดูแลผู้สูงอำยุได้ถูกต้องและเหมำะสมเป็นอย่ำงดี 4 ขั้นการด าเนินงานให้เหมาะสม/ปรับปรุง (Act) ท ำกำรระดมสมองร่วมกับทีมสหวิชำชีพและภำคี เครือข่ำยเพื่อหำทำงแก้ไขปัญหำ/จุดอ่อน/ ข้อดี/จุดแข็งที่พบ เพื่อปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และน ำผลขั้นตรวจสอบ มำวิเครำะห์สะท้อนผลกำรปฏิบัติ แก้ไขให้เกิดควำมสมบูรณ์ ทั้งคู่มือกำรใช้งำน โครงสร้ำง องค์ประกอบ รูปแบบภำษำ เนื้อหำและควำมสะดวกในกำรใช้งำน“นวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์”แล้วน ำไปใช้ได้จริงกับ ผู้สูงอำยุในเขตรับผิดชอบของโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบลบ้ำนหนองหว้ำและโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพ ต ำบลงัวบำและพื้นที่ชุมชนในอ ำเภอวำปีปทุม โดยประเมินผลจำกผลลัพธ์ด้ำนกระบวนกำรและผลลัพธ์ด้ำน คลินิกเก็บรวบรวมข้อมูลจำกแบบสัมภำษณ์ดูแลผู้สูงอำยุ แบบบันทึกกำรจัดกำรรำยกรณีผู้สูงอำยุ แบบ สังเกตกำรณ์มีส่วนร่วม แบบประเมินควำมพึงพอใจ วิเครำะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนำ ค่ำเฉลี่ยร้อยละ
282 ผลการศึกษา ที่ ตัวชี้วัด ผลลัพธ์ด้านกระบวนการ เป้าหมาย ผลลัพธ์เชิง ร้อยละ ระยะ เวลา 1. ทักษะและควำมรู้ในกำรประเมิน คัดกรอง และดูแล สุขภำพของผู้สูงอำยุเบื้องต้นของญำติดูแลผู้สูงอำยุ/ อำสำสมัครดูแลผู้สูงอำยุ/อสม./พยำบำลวิชำชีพ/บุคลำกร ทำงสำธำรณสุข ร้อยละ 80 ขึ้นไป ร้อยละ 98.72 3 เดือน 2. ผู้สูงอำยุได้รับกำรประเมินคัดกรองปัญหำภำวะสุขภำพ ร้อยละ 80 ขึ้นไป ร้อยละ 100 3 เดือน 3. ประเมินควำมพึงพอใจของนวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ ร้อยละ 80 ขึ้นไป ร้อยละ 98.84 3 เดือน ผลลัพธ์ด้านคลินิกสุขภาพของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุ ติดเตียง ADL แผลกด ทับ การเคลื่อน ไหว การขับถ่าย สมองเสื่อม ฟัน การ รับประทาน ยา ผู้สูงอำยุ ติดเตียง 2 คน ไม่มีภำวะ แทรกซ้อน สำมำรถใช้ ชีวิตได้ ตำมปกติ จำกกลุ่ม ติดเตียงสู่ กลุ่มติด บ้ำน ADL เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.23 1 คน หลังใช้ โมเดล นำฬิกำ พลิก ตะแคงตัว แผลกดทับ ดีขึ้น ค่ำ คะแนน Barden score ได้ 16 คะแนน มีภำวะข้อติด 2 คน หลังใช้ นวัตกรรมยำง ยืดท ำให้ลด อำกำรข้อติดได้ ดีไม่มีอำกำร ปวดอำกำรชำ ตำมปลำยเท้ำ วัดค่ำ pain score ได้ 3-5 คะแนน จำกกำรใช้ นวัตกรรมเสื่อ กดจุด ขับถ่ำยปกติ ดีขึ้น ปัญหำ ท้องผูก ลดลง จำกกำรใช้ นวัตกรรม ดมเดล อำหำร ผู้สูงอำยุไม่มี ภำวะสมอง เสื่อม ฝึกฝนพัฒนำ สมองจำก นวัตกรรม จิ๊กซอว์และ นวัตกรรม ผู้สูงอำยุ มีฟัน 20 ซี่ ร้อยละ 83.68 รับประทำน ยำได้ถูกต้อง ตรงตำม เวลำ จัดยำเป็น ระเบียบ เรียบร้อย ร้อยละ 100
283 หลังพัฒนำกระบวนกำรผ่ำน PDCA พบว่ำ เกิดนวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ ส ำหรับกำรจัดกำรรำย กรณีผู้สูงอำยุ ประกอบด้วย กล่องประเมิน ADL/ปฏิทินเตือนกำรกินยำ/จิ๊กซอร์ฝึกสมอง/กล่องสีเตือนควำมจ ำ/ แผ่นประเมินควำมเจ็บปวด/แผ่นวัดสำยตำ/กระบอกฉี่/ยำงยืดออกก ำลังกำย/โมเดลอำหำร/นำฬิกำพลิกตะแคงตัว/ หุ่นสอนฉีดยำเบำหวำนและล้ำงแผล/กะละมังสระผม/เสื่อกดจุด/กระจกส่องเท้ำ/โมเดลกะลำฟันสวยฯลฯ ทักษะ และควำมรู้ในกำรประเมิน คัดกรอง และดูแลสุขภำพของผู้สูงอำยุเบื้องต้นร้อยละ 98.72ผู้สูงอำยุได้รับกำรประเมิน คัดกรองปัญหำภำวะสุขภำพเบื้องต้นร้อยละ 100.00 ประเมินควำมพึงพอใจร้อยละ 98.84ผลกำรใช้นวัตกรรม พบว่ำ ค่ำคะแนนเฉลี่ยกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองของผู้สูงอำยุที่ได้ทดลองใช้นวัตกรรมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยส ำคัญ ทำงสถิติ P<0.05 ทั้งนี้หน่วยงำนอื่นสำมำรถน ำไปผลิตตัดเย็บเพื่อใช้ดูแลผู้สูงอำยุโดยผลิตจำกผ้ำขำวผ้ำวัสดุที่หำได้ ง่ำยจำกภูมิปัญญำท้องถิ่น ตัดเย็บเป็นเป้ใส่นวัตกรรม รำคำต้นทุนต่ ำ สะดวกและปลอดภัย คงทนแข็งแรง สรุป สำมำรถจ ำแนกอุปกรณ์นวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ ได้เป็นด้ำนต่ำงๆดังนี้ ด้านการส่งเสริมฝึกฝนพัฒนาสมอง ประโยชน์ใช้ส ำหรับกำรฝึกสมองในผู้สูงอำยุ ในกำรจ ำแนกสี ควำมจ ำเกี่ยวกับ วัน เวลำ สถำนที่และบุคคล โดยกำรน ำนวัตกรรมจิ๊กซอร์ฝึกควำมจ ำและกล่องสีฝึกควำมจ ำ มำใช้ ในกำรประเมินและป้องกันภำวะสมองเสื่อมในผู้สูงอำยุได้ ด้านการใช้ยา “ปฏิทินเตือนการกินยา ฉลากยา ใช้ง่าย ใส่ใจผู้สูงวัย” ปฏิทินเตือนกำรกินยำเป็น นวัตกรรมที่ใช้ในกำรป้องกันกำรลืมรับประทำนยำหรือจ ำไม่ได้ว่ำรับประทำนยำ แล้วหรือยังของผู้ป่วยอีกทั้งยังเป็น กำรลดภำระกำรดูแลของญำติของผู้ป่วย ท ำให้ญำติสำมำรถไปปฏิบัติภำรกิจอื่น ๆ ได้ ผู้ป่วยสำมำรถหยิบยำ รับประทำนได้อย่ำงถูกต้อง ถูกขนำด ถูกเวลำ ไม่รับประทำนยำซ้ ำซ้อน ซึ่งมีผลต่อกำร รักษำอำกำรของผู้ป่วยเอง โดยกำรสังเกตสลำกยำที่มีภำพบอกเวลำมื้อเช้ำ มื้อกลำงวัน มื้อเย็นและเวลำก่อนนอน ด้านการเคลื่อนไหวและการออกก าลังกายจำกกำรน ำวัสดุในท้องถิ่น เช่น กะละมะพร้ำว ฝำขวดน้ ำ เสื่อกก ยำงยืด ฯลฯ เกิดนวัตกรรมกะลำยำงยืดและเสื่อกดจุด ประโยชน์สำมำรถน ำมำใช้ในกำรยืดเหยียดกล้ำมเนื้อ ป้องกัน ภำวะข้อติดและไหล่ติด กระตุ้นปลำยประสำทบริเวณฝ่ำมือฝ่ำเท้ำ ท ำให้ระบบไหลเวียนเลือดมีกำรหมุนเวียนได้ดี ด้านการประเมิน คัดกรอง ดูแลและส่งเสริมภาวะสุขภาพผู้สูงอายุโดยกำรน ำนวัตกรรมแผ่นจ ำลองกำรวัด สำยตำ แผ่นประเมินควำมเจ็บปวด กล่องประเมิน ADL ผู้สูงอำยุ ชุดสอนฉีดยำผู้สูงอำยุที่ป่วยด้วยโรคเบำหวำน โมเดล อำหำร โมเดลปิงปองเจ็ดสี ภำพพลิกให้ควำมรู้ดูแลผู้สูงวัย เป็นต้น ท ำให้ผู้ดูแลผู้สูงอำยุและอำสำสมัครดูแลผู้สูงอำยุ สำมำรถประเมินคัดกรอง ดูแล ส่งเสริม ให้ค ำแนะน ำหรือสุขศึกษำแก่ผู้สูงอำยุและผู้ดูแลได้อย่ำงถูกต้องและเหมำะสม ด้านการส่งเสริมดูแลสุขภาวะผู้สูงอายุ นวัตกรรมกะละมังสระผม ประโยชน์สำมำรถน ำมำใช้ส ำหรับสระ ผมผู้ป่วยหรือผู้สูงอำยุที่มีภำวะนอนติดเตียงเป็นระยะเวลำยำวนำน ท ำให้ผู้สูงอำยุสุขสบำย อีกทั้งดูแลควำมสะอำด ในเรื่องกำรโกนหนวด ตัดเล็บ นวดหน้ำและนวดเท้ำได้เป็นอย่ำงดี และนวัตกรรมกระบอกฉี่ ผู้สูงอำยุสำมำรถใช้ กระบอกฉี่ ในกำรขับถ่ำยปัสสำวะกลำงดึกโดยไม่ต้องลุกหรือลงจำกเตียงเพื่อไปปัสสำวะกลำงดึก เพื่อป้องกันกำร พลัดตกเตียงหรืออุบัติเหตุได้ ด้านการส่งเสริมป้องกันแผลกดทับ นวัตกรรมนำฬิกำปลุกป้องกันแผลกดทับ ประโยชน์ท ำให้ผู้ดูแล ผู้สูงอำยุและอำสำสมัครดูแลผู้สูงอำยุ มีควำมรู้ในกำรพลิกตะแคงตัวตำมเวลำที่ก ำหนดโดยพลิกตะแคงตัวทุก
284 2 ชั่วโมงตำมเข็มนำฬิกำโดยมีโมเดลท่ำทำงในกำรพลิกตะแคงตัว และสำมำรถท ำให้ผู้สูงอำยุที่มีภำวะนอนติดเตียง ไม่เกิดแผลกดทับได้เป็นอย่ำงดี ด้านการส่งเสริมช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ โดยจัดท ำระบบ Tele-nursing และออกแบบ QR CODE ชื่อผู้ป่วย HN โรคประจ ำตัว เน้นผู้ป่วยที่มีปัญหำภำวะสับสนทำงสมอง ภำวะสมองเสื่อม ภำวะหลงลืม ซึ่งมีควำม เสี่ยงต่อกำรพลัดหลงทำง รำยละเอียดประกอบด้วยชื่อญำติ เบอร์โทรญำติ เบอร์โทร รพ.สต.บ้ำนหนองหว้ำ LINE ID พยำบำลประสำนในคลินิกผู้สูงอำยุ โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพต ำบลบ้ำนหนองหว้ำ ด้านการส่งเสริมดูแลสุขภาพฟัน นวัตกรรมโมเดลฟัน ประโยชน์ช่วยสอนให้กำรแปรงฟันที่ถูกวิธีและกำร ดูแลฟันในผู้สูงอำยุ กำรดูแลฟันปลอมในผู้สูงอำยุที่ใส่ฟันปลอม ด้านการส่งเสริมโภชนาการ นวัตกรรมโมเดลอำหำร ประโยชน์ช่วยสอนให้ผู้ดูแลผู้สูงอำยุจัดอำหำรที่ถูก หลักโภชนำกำร และปรุงอำหำรที่มีรสชำติที่ไม่เค็มจัด หวำนจัด เผ็ดจัดเกินไป เน้นอำหำรให้ครบหลัก 5 หมู่ ลด อำหำรหวำน มัน เค็ม ด้านการส่งเสริมจิตวิญญาณ โดยกำรเปิดวิดิทัศน์พำผู้สูงอำยุท ำสมำธิ สวดมนต์ แผ่เมตตำ ประโยชน์ท ำ ให้ผู้สูงอำยุมีสุขภำพจิตที่ดี มีควำมสุขสงบ ปล่อยวำง นอนหลับพักผ่อนได้เพียงพอ เปิดโอกำสให้ครอบครัวเข้ำมำมี ส่วนร่วมในกำรช่วยให้ผู้สูงอำยุรู้สึกว่ำตนเองมีคุณค่ำ เช่น กำรไปขอค ำแนะน ำ และค ำปรึกษำ ขอควำมช่วยเหลือให้ ดูแลควบคุมภำยในบ้ำน ปรึกษำเรื่องกำรเลี้ยงดูบุตรหลำนหรือกำรกล่ำวชื่นชม เล่ำเหตุกำรณ์ประทับใจต่อผู้สูงอำยุ การน าผลงานไปใช้ประโยชน์และคุณค่าของนวัตกรรม กำรน ำนวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ไปเผยแพร่ ในกำรศึกษำนี้น ำไปใช้จริงแก่อำสำสมัครดูแลผู้สูงอำยุใน รพ.สต.จ ำนวน 4 แห่งพบว่ำ นวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์สำมำรถน ำมำใช้ในกำรดูแลผู้สูงอำยุในชุมชนได้จริง เหมำะสมกับงำนประจ ำ ค่ำเฉลี่ยร้อยละ 100 นวัตกรรมเป้สำรพัดประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้น ำไปสอนนักศึกษำฝึกประสบกำรณ์ และเผยแพร่ในงำน มหกรรมดูแลผู้สูงอำยุระดับอ ำเภอ ผู้ป่วยในคลินิก NCD คุณภำพ รพ.สต.บ้ำนหนองหว้ำและพื้นที่อื่น ๆ ในระดับ อ ำเภอวำปีปทุม เอกสารอ้างอิง ณัฐฑิฎำ นะกุลรัมย์.กำรพัฒนำรูปแบบกำรส่งเสริมสุขภำพกลุ่มผู้สูงอำยุติดสังคมโดยชุมชน บ้ำนอังกัญ ต ำบลท่ำสว่ำง อ ำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์.วำรสำรวิชำกำร สคร.9 นครรำชสีมำ 2559;23(1):52-63. ยุทธนำ พูนพำนิช.รูปแบบกำรส่งเสริมสุขภำพโดยชุมชนเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอำยุ.วำรสำรวิชำกำร สำธำรณสุข.กรุงเทพฯ.2557. ศตวรรษ ศรีพรหม.กำรมีส่วนร่วมของชุมชนในกำรพัฒนำต ำบลต้นแบบด้ำนกำรดูแลสุขภำพ ผู้สูงอำยุระยะยำว [วิทยำนิพนธ์]. มหำสำรคำม:มหำวิทยำลัย,2556.