185 185 สํานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค . [online]. [ cited 2015 Aug 13]; Available from : URL : http://thaincd.com/information-statistic / non-communicable-disease-data.php กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข , “สถิติสาธารณสุข พ.ศ.2560” D-Library | National Library of Thailand, accessed March 1, 2018 รายงานผู้ปุวยในเวชสถิติผู้ปุวยใน โรงพยาบาลเสนา. (2561). รายงานสถิติผู้ปุวยใน วันที่สืบค้นข้อมูล 23 มกราคม 2561. สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์. แนวทางการพยาบาลผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองสําหรับ พยาบาลทั่วไป ฉบับสมบูรณ์ (2558) พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2559. ณัฐชา ทานะมัย. (2551). ผลของโปรแกรมการสอนการดูแลแบบองค์รวมต่อความสามารถในการดูแล ของผู้ดูแลผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง.วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการ พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร. Emest & Newell (1972). Human problem solving, general problem solver. Retrieved from https://www.academia.edu/4351245 สืบค้นข้อมูล 25 ตุลาคม 2561.
186 186 ผลการประยุกต์ใช้ทฤษฎีขั้นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ต่อการลดน้ าหนัก รอบเอวและ ค่าดัชนีมวลกาย ของผู้มารับบริการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ โรงพยาบาลบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ บดินทร์ รินลา, ดร.สมคิด เทียมแก้ว และ วาสนา นิลโอโล โรงพยาบาลบ้านแท่น บทคัดย่อ อัตราการเกิดโรคเบาหวานรายใหม่ของอําเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ 3 ปีย้อนหลัง ช่วงปี พ.ศ.2561 ถึง พ.ศ. 2563 ร้อยละ 9.75, 9.92 และ 4.50ตามลําดับและอัตราการเกิดผู้ปุวยความดันโลหิตสูงรายใหม่ ร้อยละ 3.10, 1.97 และ 2.61 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลการเกิดภาวะอ้วนลงพุง ประชาชน มี พฤติกรรมการออกกําลังกายที่ไม่เหมาะสม ไม่ออกกําลังกาย กินอาหารรสหวาน เค็ม มันเป็นประจํา ดังนั้นผู้วิจัย จึงสนใจในการพัฒนางานประจําสู่งานวิจัย โดยมีการนําทฤษฎีขั้นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาประยุกต์ใช้ใน การดําเนินงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีขั้นตอนการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการลดน้ําหนัก รอบเอว และค่าดัชนีมวลกายของผู้มารับบริการในปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภาพ และเพื่อประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ 2ส ก่อนและหลังปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของผู้มารับบริการ ดําเนินการระหว่างเดือนมีนาคม พ.ศ.2564 –เดือน มิถุนายน พ.ศ2565 กลุ่ม ตัวอย่างเป็นประชาชนกลุ่มเสี่ยงสูงเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง จํานวน 35 คน โดยคัดเลือกแบบเจาะจง เก็บ รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม Health Model หาค่าเฉลี่ย ร้อยละ และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า จํานวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 35 คน เป็นเพศชาย 5 คน ร้อยละ 14.28 เพศหญิง 30 คน ร้อยละ 85.71 หลังเข้ารับบริการในคลินิกไร้พุง 6 เดือน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีน้ําหนักลดลงทั้งหมด 18 กก. และลดลงเฉลี่ย 0.3 รอบเอวลดลงทั้งหมด 17.7 ซม. และลดลงเฉลี่ย 0.1 ค่าดัชนีมวลกายลดลงทั้งหมด 7.6 ลดลงเฉลี่ย 0.1 และผลการประเมินพฤติกรรมสุขภาพ 3อ 2ส ก่อน-หลัง เข้าร่วมกิจกรรมแยกตามรายข้อ คือ 1) ความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพ 2)การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ 3)การสื่อสารสุขภาพ 4)การ จัดการตนเอง 5)การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ และ 6)การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง มีค่าคะแนนเฉลี่ย โดยรวมสูงขึ้น 1.37 และค่าคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมก่อนร่วมกิจกรรมร้อยละ 73.41 ในระดับ พอใช้ หลังร่วมกิจกรรมมีค่าคะแนนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 85.39 ในระดับดีมาก สรุปได้ว่า จากผลการศึกษา สามารถนําแนวคิดทฤษฎีขั้นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาประยุกต์ใช้ในคลินิกไร้พุงได้ และในช่วง กระบวนการปรับความรู้สึกนึกคิดปลุกจิตสํานึก ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมยางยืดกล้ามเนื้อ เพื่อประกอบการ แนะนําการออกกําลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้มารับบริการ ข้อเสนอแนะ ผู้มารับบริการมีความ ต่างของบุคคล ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นรายบุคคล โดยใช้เทคนิคที่หลากหลาย และควรมี การศึกษาวิจัยต่อในกลุ่มผู้รับบริการที่มีการเจ็บปุวยด้วยโรคไม่ติดต่อเพื่อปูองกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อไป ค าส าคัญ ทฤษฎีขั้นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม, คลินิกไร้พุง บทน า ปัจจุบันแม้จะมีความก้าวหน้าทางด้านวิชาการและทางการแพทย์ แต่ความชุกและอุบัติการณ์ของ โรคไม่ติดต่อที่เกิดจากพฤติกรรม เช่น โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง กลับมีแนวโน้มสูงขึ้นจนกลายเป็น ปัญหาที่สําคัญของกระทรวงสาธารณสุขทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ประกอบกับสถานการณ์โรค ระบาดโควิด-19 ที่มีนโยบาย ไม่ให้ประชาชนรวมกลุ่มทํากิจกรรมต่างๆ การให้อยู่บ้าน ไม่กินอาหารร่วมกัน ไม่ มีกิจกรรมในที่สาธารณะ เป็นต้น นโยบายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชน ทําให้พฤติกรรมสุขภาพ
187 187 เปลี่ยนแปลงในทิศทางที่แย่ลง เช่น ไม่ออกกําลังกาย มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง กินอาหารจานด่วน สิ่งที่สะท้อนผล ของสถานการณ์ พบว่า มีผู้ปุวยเบาหวานรายใหม่เกิดขึ้นจํานวน 501,299 คน และในช่วงปี พ.ศ2554-2563 มี แนวโน้มเพิ่มขึ้น 501,299-553,941 คนต่อปี ทั้งนี้จะมีจํานวนผู้ปุวยเบาหวานเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 6 ปี และในปี พ.ศ.2564 ประมาณการณ์ว่าจะมีผู้ปุวยเบาหวานรายใหม่สูงถึง 8,200,000 คน [1] และจากข้อมูลการเกิดเบาหวานและความดันโลหิตสูงรายใหม่ของตําบลบ้านแท่น 3 ปีย้อนหลังการ เกิดและการเกิดผู้ปุวยความดันโลหิตสูงรายใหม่ ตามลําดับดังนี้ร้อยละ 3.1, 1.97 และ 2.61 จะเห็นได้ว่ามี อัตราการเกิดผู้ปุวยรายใหม่ทุกปี สาเหตุมาจากปัจจัยหลัก เช่น ภาวะอ้วนลงพุง ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25 พฤติกรรมการออกกําลังกายที่ไม่เหมาะสมไม่ออกกําลัง และพฤติกรรมการรับประทานอาหารประเภทหวาน มัน เค็ม[1] โรงพยาบาลบ้านแท่น มีการจัดบริการคลินิกไร้พุงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 และมีการพัฒนาระบบ บริการมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการประเมินผ่านเกณฑ์เป็นคลินิกไร้พุงคุณภาพ (Diet Physical Activity Clinic Quality: DPAC Quality) แต่จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนที่ เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการจัดบริการในคลินิกไร้พุงที่เป็นการให้คําปรึกษาแบบเหมารวมไม่ได้วิเคราะห์ปัญหา และความต้องการของผู้รับบริการรายบุคคล ไม่มีเทคนิคหรือแนวคิดที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้รับบริการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพตนเองได้ จากปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ประชาชนเจ็บปุวยด้วยโรคเบาหวานและความดัน โลหิตสูงรายใหม่เพิ่มขึ้น ในปี พ.ศ. 2562-2563 ร้อยละ 11.57 และ 13.85 ตามลําดับ ผู้วิจัยซึ่งเป็น ผู้รับผิดชอบงานคลินิกไร้พุง โรงพยาบาลบ้านแท่น จึงมีแนวคิดในการพัฒนางาน โดยนําทฤษฎีขั้นตอนการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของโปรชาสกา และไดคลีแมน [2] มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนางานคลินิกไร้พุง โรงพยาบาล บ้านแท่น เพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินงานคลินิกไร้พุง ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน และ สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีขั้นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ต่อการลดน้ําหนัก รอบเอว และค่าดัชนีมวลกายของผู้มารับบริการในคลินิกไร้พุง โรงพยาบาลบ้านแท่น 2. เพื่อประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ 2ส ก่อนและหลังปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของผู้มารับบริการในคลินิกไร้พุง โรงพยาบาลบ้านแท่น วิธีการศึกษา การศึกษาครั้งนี้ เป็นงานวิจัยจากงานประจํา (Routine to Research: R2R) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย เชิงปฏิบัติการ (Action Research) [4] เพื่อการปรับปรุงพัฒนางาน ให้เกิดคุณภาพบริการในคลินิกไร้พุง โรงพยาบาลบ้านแท่น โดยนําทฤษฎีขั้นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาประยุกต์ใช้ในการดําเนินงานในคลินิก ประเมินผลก่อน-หลังดําเนินการ โดยการประเมินน้ําหนัก เส้นรอบเอว ค่าดัชนีมวลกาย และใช้แบบประเมิน ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ 2ส ก่อนและหลังใช้กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยมี ระยะของการศึกษา 4 ระยะตามแนวคิดของ Kemmis & Mc Taggart (1988) ดังนี้ระยะที่ 1 การวางแผน (Planning) ซึ่งเป็นการนําข้อมูลปัญหามาวางแผนร่วมกันของคณะกรรมการงานคลินิกไร้พุง เพื่อปรับเปลี่ยน พัฒนาระบบงาน ซึ่งมุ่งเน้นผลลัพธ์ในระยะ 6 เดือน คือ การลดน้ําหนัก รอบเอว และค่าดัชนีมวลกายของผู้มา รับบริการในคลินิกไร้พุง ระยะที่ 2 ระยะปฏิบัติการ (Action) ได้รูปแบบที่เป็นการให้คําปรึกษาเพื่อปรับเปลี่ยน
188 188 พฤติกรรมโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีขั้นตอนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตามกระบวนการ 5 ขั้นตอน ระยะที่ 3 ระยะสังเกตการณ์ (Observations) เป็นระยะที่ผู้ให้บริการติดตามเยี่ยมบ้าน ดูแบบบันทึกพฤติกรรมสุขภาพ รายวัน หรือโทรศัพท์ติดตาม และให้คําแนะนําปรึกษาต่อเนื่อง ระยะที่ 4 ระยะการสะท้อนกลับ (Reflection) ซึ่งเป็นระยะที่ผู้มารับบริการกลับมาตามนัด โดยการนัดของผู้แพทย์ หรือการนัดของคลินิกไร้พุง เป็นการ สะท้อนผลการปฏิบัติตนการวิเคราะห์ผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกันระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ ประชากร คือ ผู้มารับบริการในคลินิกไร้พุง โรงพยาบาลบ้านแท่น ระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ2564 ถึง เดือนเมษายน พ.ศ2565 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มารับบริการในคลินิกไร้พุง โรงพยาบาลบ้านระหว่างเดือน เมษายน พ.ศ2564 ถึงเดือน เมษายน พ.ศ2565 จํานวน 35 คนโดยคัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่ผู้วิจัย กําหนด ดังนี้ 1)เป็นผู้ปุวยเบาหวาน หรือความดันสูงรายใหม่ที่มารับบริการที่คลินิกไร้พุง 2)เป็นผู้ปุวยเบาหวาน ที่มีระดับน้ําตาลในเลือดขณะอดอาหารมากกว่า 200 มิลลิกรัมเปอรืเซนต์ติดต่อกัน 3 visit หรือผู้ปุวยความ ดันโลหิตสูงที่มีค่าระดับความกันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 160/90 มิลลิเมตรปรอท ที่ถูกส่งมาจากคลินิกโรค เรื้อรัง 3)ประชาชนที่มีภาวะเสี่ยงสูง จากค่ารอบเอวมากกว่า 80 เซนติเมตรในเพศหญิง และมากกว่า 90 เซนติเมตรในเพศชาย หรือค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 25 4)ประชาชนทั่วไปที่สนใจ หรือต้องการลด น้ําหนัก และมารับบริการในคลินิกไร้พุง 5)มีภูมิลําเนาอยู่ในพื้นที่อําเภอบ้านแท่น 6)ยินยอมเข้าร่วมโครงการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยยินยอมรับการติดตามอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล นักวิจัย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการในคลินิกไร้พุง เป็นเครื่องมือที่สําคัญในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ และ เครื่องมืออื่นๆ ประกอบด้วย แบบบันทึกผลการตรวจสุขภาพ แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพกองสุขศึกษา เครื่องชั่งน้ําหนัก ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ นครราชสีมา สายวัดรอบเอว เครื่องวัดความดันโลหิต และเครื่องตรวจหาค่าระดับน้ําตาลในเลือดในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Health Model ในคอมพิวเตอร์ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ เพื่อ เปรียบเทียบผลก่อน-หลัง การดําเนินงานในการประเมินผลน้ําหนัก รอบเอว และค่าดัชนีมวลกาย โปรแกรม บันทึกข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพของกองสุขศึกษาและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผู้วิจัยใช้หลักการพิทักสิทธิ์กลุ่ม ตัวอย่าง โดยการชี้แจงวัตถุประสงค์การวิจัยการขอความยินยอมเข้าร่วมโครงการโดยการเซ็นในใบยินยอมเข้า ร่วมโครงการวิจัย และชี้แจงถึงการถอนตัวไม่เข้าร่วมโครงการได้ตลอดเวลา และไม่มีผลต่อการมารับบริการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในคลินิกไร้พุง หรือมารับบริการในโรงพยาบาลบ้านแท่นของกลุ่มตัวอย่างที่ถอนตัว ระหว่างเวลาที่ศึกษาวิจัย และการไม่เปิดเผยชื่อ สกุล ภาพถ่ายของกลุ่มตัวอย่าง รวมถึงการนําเสนอผลการวิจัย เป็นภาพรวม โดยมีผลการพิจารณาจริยธรรมการวิจัย สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ เลขที่ 21/2564 ลง วันที่ 6เดือน เมษายน พ.ศ 2564 ผลการศึกษา จํานวนกลุ่มตัวอย่างจํานวน 35คน ผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Health Model หลังเข้ารับบริการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในคลินิกไร้พุงในระยะเวลา 6 เดือน กลุ่มตัวอย่างมีน้ําหนักรวมลดลง 39 กิโลกรัมและลดลงเฉลี่ย 2.4 กิโลกรัมรอบเอวรวมลดลง 41.7 เซนติเมตรและลดลงเฉลี่ย 2.6 เซนติเมตร ค่าดัชนีมวลกาย ลดลงทั้งหมด 14.1 และลดลงเฉลี่ย 0.9การประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ 2 ส รายข้อ ดังนี้ 1)ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ ก่อนเข้าโครงการคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 56.25 ระดับความรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรม สุขภาพโดยรวม ไม่ถูกต้อง หลังเข้าโครงการ ร้อยละของคะแนน 93.75 ระดับความรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ
189 189 โดยรวม ถูกต้องที่สุด 2)การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ ก่อนเข้าโครงการคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 68.13 ระดับความรู้ ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม พอใช้ หลังเข้าโครงการ ร้อยละของคะแนน 93.75 ระดับความรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม ดีมาก 3)การสื่อสารสุขภาพ ก่อนเข้าโครงการคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 67.39 ระดับความรู้ด้าน สุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม พอใช้ หลังเข้าโครงการ ร้อยละของคะแนน 76.25 ระดับความรู้ด้านสุขภาพและ พฤติกรรมสุขภาพโดยรวม พอใช้ 4)การจัดการตนเอง ก่อนเข้าโครงการคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 73.75 ระดับความรู้ด้าน สุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม พอใช้ หลังเข้าโครงการ ร้อยละของคะแนน 77.92 ระดับความรู้ด้านสุขภาพและ พฤติกรรมสุขภาพโดยรวม พอใช้ 5)การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ ก่อนเข้าโครงการคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 82.50 ระดับ ความรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม ดีมาก หลังเข้าโครงการ ร้อยละของคะแนน 84.38 ระดับความรู้ด้าน สุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม ดีมาก6)การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง ก่อนเข้าโครงการคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 85.94 ระดับความรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม ดีมาก หลังเข้าโครงการ คะแนน ร้อยละ 95.83 ระดับ ความรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม ดีมาก และ ความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวม ก่อนเข้าโครงการคะแนน อยู่ที่ร้อยละ 73.41 ระดับ พอใช้ หลังเข้าโครงการ ร้อยละของคะแนน 85.39 ระดับดีมาก และพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ 2ส ก่อนเข้าโครงการคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 78.75 ระดับ พอใช้ หลังเข้าโครงการ ร้อยละของคะแนน 89.79 อยู่ในระดับ ดีมาก การอภิปรายผล ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีน้ําหนักรวมลดลงเฉลี่ย 2.4 กิโลกรัม รอบเอวลดลงเฉลี่ย 2.6 เซนติเมตร และค่าดัชนีมวลกายลดลงเฉลี่ย 0.9 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ สุพิชชา วงศ์จันทร์ (2557) ใน การใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 3-self เพื่อลดภาวะอ้วนของวัยรุ่นตอนปลาย[6] และสอดคล้องกับ การศึกษาของสุรินทร์ สีระสูงเนิน, ดํารง สีระสูงเนิน และชีวี เชื่อมาก (2554) ในศึกษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภาพโดยใช้หลัก 3 อ แบบพอเพียงด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น กรณี: ตําบลหนองชัยศรี อําเภอหนองหงส์ จังหวัด สุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างมีค่าดัชนีมวลกายลดลง และการใช้แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรม สุขภาพ 3 อ 2 ส มีค่าคะแนนดีขึ้นในระดับดีมาก[7] ข้อเสนอแนะ ในการนําผลการวิจัยไปใช้ มีข้อจํากัดเฉพาะพื้นที่ เนื่องด้วยปัญหาและความต้องการของผู้ มารับบริการในคลินิกไร้พุงเป็นปัญหาเฉพาะบุคคลเท่านั้น อาจมีข้อจํากัดในการนําผลการวิจัยไปใช้ในพื้นที่อื่นๆ การดําเนินงานคลินิกไร้พุง ควรศึกษาพฤติกรรมสุขภาพรายบุคคลก่อนเพื่อนําสู่การวิเคราะห์ปัญหาเฉพาะบุคคล เพื่อให้สามารถจัดบริการได้ตรงกับปัญหาและความต้องการด้านสุขภาพของผู้รับบริการ เอกสารอ้างอิง สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลสถิติ; 2563 [เข้าถึงเมื่อ 10 กันยายน 2563] จาก: URL:http://bps.ops.moph.go.th/index.php?mod=bps&doc=5 Prochaska, JO & Diclemente. The Trans theoretical approach crossing traditional boundaries therapy. Homewood, IL; Dow Jones-Irwin; 1984. องอาจ นัยพัฒน์. การออกแบบการวิจัย: วิธีการเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ และ ผสมผสานวิธี. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2551. Kemmis, S, & Mc Taggart, R.(Eds). The Action Research reader (3rd) . Geelong, Victoria: Deakin University Press; 1988. Denzin, N.K. &Lincon, Y.S. Introduction: The Discipline and Practice of
190 190 Qualitative Research. In N.K. Denzin and Y.S. Lincon. Handbook of Qualitative Research. 2nd. Thousand Oaks, CA: Sage; 2000. สุพิชชา วงศ์จันทร์. ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 3-self เพื่อลดภาวะอ้วนของ วัยรุ่นตอนปลาย [บทคัดย่อ]. [ปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์]. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ; 2557. สุรินทร์ สีระสูงเนิน, ดํารง สีระสูงเนิน และชีวี เชื่อมาก. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพโดยใช้หลัก 3 อ แบบพอเพียงด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น กรณี: ตําบลหนองชัยศรี อําเภอหนองหงส์ จังหวัดสุรินทร์; 2554 [เข้าถึงเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2564]
191 191 ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค อาหารตามแนวทางของ DASH ร่วมด้วยทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตน ต่อกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ปิยพร ศรีพนมเขต กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลร้อยเอ็ด บทคัดย่อ การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental research:Two group pretest-posttest design) นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทาง ของ DASHร่วมด้วยทฤษฎีการรับรู้ความสามารถ แห่งตน เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ใน ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2564กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัยในครั้งนี้ เป็นผู้ที่ผ่าน การตรวจคัดกรองความเสี่ยงด้านสุขภาพ ในปีงบประมาณ 2564 มี อายุ35 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชาย และหญิง ที่มี ค่าความดันโลหิตที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยง คือ 130-139/85-89 มิลลิเมตรปรอท จํานวน 74 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่ม ทดลอง 37 คน และกลุ่มควบคุม 37 คน โดยมีระยะเวลาในการศึกษา ทั้งหมด 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ใน การท าวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เครื่องมือที่ใช้ในการ รวบรวมข้อมูล และส่วนที่ 2 คือ เครื่องมือ ที่ใช้ในการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล แบ่ง ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ (1)ข้อมูลปัจจัยด้านลักษะ ทางประชากร (2)แบบสัมภาษณ์การรับรู้ ความสามารถแห่งตนเกี่ยวกับ การบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH (3)แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ประกอบไปด้วย กิจกรรมส่งเสริมการรับรู้ และเสริมสร้างความมั่นใจ ได้แก่ 1)การให้ความรู้เรื่องโภชนาการ เพื่อ ควบคุมและปูองกันความดันโลหิตสูงตามแนวทางของ Dietary Approaches to Stop Hypertension : DASH 2)การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ระหว่างกลุ่มตัวอย่าง และจากบุคคลที่ประสบความสําเร็จในการ ควบคุมระดับความดันโลหิตสูง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) แจกแจงความถี่ หาค่าจํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทดสอบ ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยภายในสองกลุ่ม (paired t-test) และทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยสอง กลุ่ม (t-test for independent samples) ผลการศึกษา ภายหลังได้รับโปรแกรม พบว่า คะแนนเฉลี่ยด้าน การรับรู้ ในกลุ่มทดลองสูงขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คะแนนเฉลี่ยด้าน พฤติกรรมกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ไม่มีความแตกต่างทางสถิติกลุ่มทดลองมีระดับความดันโลหิตตัวบน และตัวล่าง ต่ําลง กว่ากลุ่มควบคุม มีความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 กลุ่มทดลอง มี คะแนนเฉลี่ยด้านการรับรู้ และพฤติกรรม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค าส าคัญ:บริโภคอาหารตามแนวทางของ Dietary Approaches to Stop Hypertension (DASH) บทน า โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญ องค์การอนามัยโลกได้คาดการณ์ว่าจะมีความ ชุก ของโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 1.56 พันล้านในปี พ.ศ.2568 ประเทศไทยข้อมูลจากกรม ควบคุมโรคระหว่าง พ.ศ.2558-2560 ผู้ปุวยโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นจาก 540,012 คน เป็น 813,485 คน จังหวัดร้อยเอ็ดในปี งบประมาณ 2564 มี ผู้เสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิตสูงคิดเป็นร้อยละ 480.76 ต่อ ประชากรแสนคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี จากข้อมูลการตรวจคัดกรองสุขภาพของประชาชน7ชุมชนเขต เทศบาลเมือง อําเภอเมืองจังหวัดร้อยเอ็ด ในปีงบประมาณ 2562-2564 ในประชาชน อายุ 35 ปีขึ้นไป พบว่า มีความเสี่ยงต่อเกิดโรคความดันโลหิตสูง จํานวน 272.0,275.1, 280.5, 280.5 และ 290.0 คนต่อประชากร 1,000 คน ตามลําดับ(ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง,2564) และในปี 2564 มี ผู้เสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิตสูง
192 192 คิดเป็นร้อยละ 480.76 ต่อประชากรแสน คน (ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง,2564) โดยจะเห็นได้ว่าโรคความดัน โลหิตสูงมี แนวโน้มที่จะพบว่ามีประชาชนมีภาวะความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทุกปี จังหวัดร้อยเอ็ดได้กําหนดเกณฑ์ เปูาหมายอัตราผู้ปุวยความดันโลหิตสูงรายใหม่ไม่เกินร้อยละ 2.5 แต่ปีที่ผ่านมาอัตราผู้ปุวยความดันโลหิตสูง รายใหม่จากกลุ่มเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.00 จากการวิเคราะห์สาเหตุปัญหาพบว่า สาเหตุของการเกิด ความดัน โลหิตสูงส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการดําเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย การ บริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของเกลือและไขมันสูง และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (เสาวลักษณ์ มูลสาร และเกษร สําเภาทอง,2559) สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ให้เป็น แนวทางในการควบคุมโรคความดันโลหิตสูงดังนั้นจะเห็นได้ว่าการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH เป็น แนวทางที่สําคัญที่ใช้ในการควบคุมความดันโลหิตสูงซึ่งได้ผลดี ในด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหารการปูองกัน ภาวะแทรกซ้อน และควบคุมระดับความดันโลหิตสูงและส่งผลให้ระดับความดันโลหิตทั้ง Systolic และ Diastolic ลดลง จึงควรส่งเสริมให้มีการนําแนวทางดังกล่าวไปใช้เพื่อช่วยปูองกันความเสี่ยง และ ภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง รายงานการวิจัยมากมายที่ยืนยันว่า รูปแบบอาหาร DASH สามารถ ลดความดันโลหิตได้จริง จากการศึกษาของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พบว่า รูปแบบการ บริโภคอาหาร DASH สามารถลดระดับความดันโลหิตได้มากกว่าการบริโภคอาหารรูปแบบอื่น (กองการแพทย์ ทางเลือก กรมการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก,2563) รูปแบบการบริโภคอาหาร DASH นี้ เน้น การบริโภคอาหารหลัก ๆ คือ ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันต่ํา นมไขมันต่ํา ลดไขมันอิ่มตัว และคลอ เลสเตอรอล รวมถึงเมล็ด ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง เนื้อปลา และสัตว์ปีกไม่มีหนัง ผู้วิจัยเห็นถึงความสําคัญจึงได้ ศึกษาผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH ร่วมกับการรับรู้ ความสามารถแห่งตนเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง โดยการศึกษาในครั้งนี้ได้มีการประยุกต์ใช้ แนวคิดทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตนมาเป็นกรอบแนวคิดในการสร้างโปรแกรมการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH โดยเน้นในเรื่องการรับรู้ความสามารถแห่งตนต่อการ ปูองกันโรคความดันโลหิตสูง วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ Dietary Approaches to Stop Hypertension (DASH)ร่วมด้วยทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตน วิธีด าเนินการ : รูปแบบการวิจัย/กระบวนการวิจัย การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) ดําเนินการ เก็บข้อมูลจากประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงจํานวน 74 คนแบ่งเป็น2กลุ่ม กลุ่มที่1. เป็นกลุ่มทดลองจํานวน 37 คน ให้รับโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ตามแนวทางของ DASH กลุ่มที่2. เป็นกลุ่มควบคุมจํานวน 37 คน ให้การบริการแบบปกติตามมาตรฐานการดูแลกลุ่มเสี่ยงต่อ โรคความดันโลหิตสูง ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปทั้งเพศชายและหญิง มี ค่าความ ดันโลหิตที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยง คือ 130-139/85-89 มิลลิเมตรปรอท ใน 7 ชุมชนเขตรับผิดชอบของ ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง จังหวัดร้อยเอ็ดจํานวน 1,200 คน
193 193 กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่เป็นไปตามเกณฑ์คัดเข้าคัดออกและการคํานวณขนาด ตัวอย่าง โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มี อายุตั้งแต่35 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชาย และหญิง มีค่าความดันโลหิตที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยง คือ 130-139/85-89 มิลลิเมตรปรอท และร่วมด้วยปัจจัย เสี่ยงต่อโรค ความดันโลหิต ยินดีเข้าร่วมการวิจัย ให้ลงนามในใบยินยอมเข้าร่วมการวิจัย และดําเนินตามขั้นตอนของ โปรแกรม เครื่องมือและการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 ข้อมูลปัจจัยด้านลักษะทางประชากร ได้แก่ เพศ อายุ น้ําหนัก รอบเอว อาชีพ การศึกษา และรายได้ของครอบครัว ส่วนที่ 2 แบบสัมภาษณ์การรับรู้ความสามารถแห่งตนเกี่ยวกับ การบริโภคอาหาร ตามแนวทาง ของ DASH ดัดแปลงมาจากแบบสัมภาษณ์ของ พิชามญช์ ภู่เจริญ, (2550)ประกอบด้วยข้อ คําถาม 8 ข้อ ส่วนที่ 3 แบบสัมภาษณ์ด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหารตาม แนวทางของ DASH ประกอบด้วย ข้อ คําถาม 12 ข้อ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทาง ของ DASH ร่วมด้วยทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตนและแรงสนับสนุนทางสังคมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตาม แนวคิดทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตนที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH การ รับรู้ความสามารถแห่งตน พฤติกรรมการบริโภคอาหาร ตามแนวทางของ DASH และระดับ ความดันโลหิต ซึ่ง รายละเอียดของโปรแกรมแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 รายละเอียดของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค อาหารตามแนวทางของ DASH ร่วมด้วยทฤษฎีความสามารถแห่งตน ครั้งมีรายละเอียดของการดําเนินกิจกรรมทั้งหมด 4 กิจกรรม ใช้ เวลาในการดําเนินกิจกรรมทั้งหมด 7 ครั้ง 7 สัปดาห์ โดยใช้เวลาในการดําเนินกิจกรรมครั้งละ 1 วันต่อสัปดาห์ (ตามเวลาที่กําหนดของแต่ ละกิจกรรม) จนครบทั้งหมด 7 ครั้ง 7 สัปดาห์ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้กิจกรรม ที่ 1 สร้างสัมพันธภาพกลุ่มเสี่ยงความดันโลหิตสูง อธิบายวัตถุประสงค์ของการวิจัย ประโยชน์ที่ คาดว่าจะ ได้รับ ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล และขอความร่วมมือในการเข้าร่วมการวิจัย กิจกรรมที่ 2 วัดความดัน โลหิต ทําแบบทดสอบ ให้ความรู้เป็นรายบุคคล รายกลุ่ม และแจกคู่มือการควบคุมความดันโลหิต การให้ ความรู้เรื่องโภชนาการเพื่อควบคุมและปูองกันความดัน โลหิตสูงตามแนวทางของ DASH กิจกรรมที่ 3 การ กําหนดเปูาหมายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค อาหารโดยการให้กลุ่มเปูาหมาย กําหนดรายการ อาหารตามแนวทางของ DASH และปริมาณ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เหมาะสมที่ตนเองสามารถปฏิบัติได้ใน ระยะเวลาในแต่ละสัปดาห์ ลงในแบบ บันทึกการบริโภคอาหาร จากกนั้นให้บันทึกการบริโภคอาหารตาม แนวทางของ DASH และปริมาณ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจริงในแต่ละวันใน ระยะเวลา 1 สัปดาห์ เป็นเวลา 2 เดือน กิจกรรมที่ 4 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกลุ่มตัวอย่าง การ เลือกการบริโภคอาหาร และการกําหนดปริมาณ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เหมาะสม ส่วนที่ 2 เอกสารประกอบการใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทาง ของ DASH ร่วมด้วยทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตนซึ่งประกอบด้วย การแจกคู่มืออาหารพิชิตความดัน โลหิตสูงแนวทางของ DASH เครื่องมือทําวิจัยได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจํานวน 3 ท่านและได้นําไป ทดสอบเพื่อหาความเชื่อมั่นจากกลุ่มตัวอย่างที่โรงพยาบาลชุมชนได้ค่า Cronbach’s Alpha Coefficient เท่ากับ 0.80
194 194 การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน สถิติ ทดสอบ Paired t–test และ Independent t–test กําหนดค่าระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การพิทักษ์สิทธิ์และจริยธรรมการวิจัย งานวิจัยนี้ผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เลขที่ RE041/2564 ผลการด าเนินการ ข้อมูลลักษณะทางประชากรกลุ่มตัวอย่างมีจํานวน 74 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจํานวน 37 คน และ กลุ่มควบคุม 37 คน จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า กลุ่มทดลองส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 59.50) อายุ ในช่วงระหว่าง 40-45 ปี(ร้อยละ 40.54) อายุเฉลี่ย 40.16 ปี (SD.= 5.25) การศึกษาระดับปริญญาตรี(ร้อย ละ 59.50) สถานภาพสมรสคู่ (ร้อยละ 89.20) อาชีพข้าราชการ (ร้อยละ 37.80) น้ําหนักเฉลี่ย 70.48 กิโลกรัม (SD.= 9.85) ค่าเฉลี่ยส่วนสูง 161.89 เซนติเมตร (SD.= 8.21) ค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกาย 26.73 kg/m2 (SD.= 2.16) กลุ่มควบคุมส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 51.40) อายุในช่วงระหว่าง 40-45 ปี (ร้อยละ 48.6) อายุ เฉลี่ย 58.00 ปี (SD.=9.40) การศึกษาระดับมัธยมศึกษา (ร้อยละ 59.50) มีสถานภาพสมรสคู่ (ร้อยละ 67.60) อาชีพแม่บ้าน (ร้อยละ 37.80) น้ําหนักเฉลี่ย 59.48 กิโลกรัม (SD.=8.95) ค่าเฉลี่ยส่วนสูง 163.33 เซนติเมตร (SD.=8.86) ค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกาย 22.27 kg/m2 (SD.=2.86) การเปรียบเทียบพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของDASH ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุมในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เมื่อทดสอบหาความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงก่อนการทดลองพบว่า กลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมการ บริโภคอาหารมากกว่ากลุ่มทดลอง (p=.051) โดยมีคะแนนเฉลี่ยมากกว่า 2.21 (95%CI -3.42, 1.01) หลังการ ทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการบริโภคอาหารมากกว่ากลุ่มควบคุม (p= .372) โดยมีคะแนน เฉลี่ยมากกว่า 0.75 (95%CI -0.92, 2.43) เปรียบเทียบการรับรู้ความสามารถแห่งตน ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เมื่อทดสอบหา ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนด้านการรับรู้ความสามารถแห่งตนในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงก่อนการ ทดลองพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถแห่งตนมากกว่ากลุ่มควบคุม (p<0.05) โดยมี คะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถแห่งตนมากกว่า 8.27 คะแนน (95% CI 7.21,9.33) หลังการทดลอง กลุ่ม ทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถแห่งตนมากกว่ากลุ่มควบคุม (p<0.05) โดยมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ ความสามารถแห่งตนมากกว่า 8.16 คะแนน (95%CI 6.60, 9.71) เปรียบเทียบระดับความดันโลหิตระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ภายหลังการทดลอง พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าความดันโลหิตตัวบนต่ํากว่ากลุ่มควบคุม (p<05) โดยมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบนแตกต่าง กัน 19.45 มิลิเมตรปรอท (95%CI-22.44,-16.47) และกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวล่างต่ํากว่ากลุ่ม ควบคุม (p<.05) โดยมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวล่างแตกต่างกัน 6.78 มิลิเมตรปรอท (95%CI-9.76,-3.80)
195 195 การน าไปใช้น าข้อมูล 1.ขยายโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ Dietary Approaches to Stop Hypertension (DASH) การจัดการดูแลตนเองในประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ในชุมชน 2.จัดทําเป็น model เพื่อรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคความ ดันโลหิตสูง ในชุมชน อภิปรายผลการวิจัย ข้อเสนอแนะ จากการศึกษา พบว่าภายหลังการได้รับโปรแกรม กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยด้านการรับรู้ ความสามารถแห่งตนสูงกว่าก่อนการได้รับโปรแกรม และสูงกว่ากลุ่มควบคุมผลของโปรแกรมต่อค่าเฉลี่ยของ คะแนนการรับรู้ความสามารถของตนเองต่อการรับประทานในรูปแบบ DASH พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ ความสามารถของตนเองดีขึ้นหลังจากที่เข้าร่วมโปรแกรม เกิดจากการที่ ผู้วิจัยเน้นให้กลุ่มตัวอย่างได้มีส่วนร่วม ในการร่วมกิจกรรม การคํานวณปริมาณโซเดียมด้วยตนเอง และการเลือก รับประทานอาหารที่เหมาะสม โดย มีผู้วิจัยเป็นผู้ให้คําปรึกษา จนเกิดความมั่นใจสามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวัน ได้ด้วยตนเองสอดคล้องกับ การศึกษาของ กนกวรรณ อุดมพิทยารัชต์ (2557) ที่ทําการศึกษาประสิทธิผลของ โปรแกรมสุขศึกษาที่ ประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการออกกําลังกายของ ผู้ปุวยโรคความดัน โลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ อําเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาครโดยเน้นการสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้ ผู้ปุวยสามารถออกกําลังกายเองได้ โดยผู้ดูแลมีส่วนร่วมเน้นเทคนิคการสร้างการเรียนรู้ที่เหมาะสม พบว่า กลุ่ม ทดลองมีการเปลี่ยนแปลงด้านการรับรู้ความสามารถตนเองเพิ่มขึ้น และระดับความดันโลหิตลดลงกว่าก่อนการ ทดลอง จากกิจกรรมในโปรแกรมการให้ความรู้เรื่องการลดโซเดียมในอาหารและการรับประทานอาหาร ใน รูปแบบ DASH มีเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของตนเองโดยให้อาสาสมัครคํานวณปริมาณโซเดียม โดยมี คําพูดชักจูง แนะนําให้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง และสม่ําเสมอ ซึ่งทําให้เกิดประสบการณ์ที่ประสบความสําเร็จ ด้วย ตนเอง และได้เห็นประสบการณ์หรือแบบอย่างจากบุคคลอื่น รวมถึงสภาวะด้านร่างกายและอารมณ์ของ อาสาสมัครที่มีความพร้อมในการปฏิบัติ ปัจจัยเหล่านี้นําไปสู่การรับรู้ความสามารถของตนเองด้านพฤติกรรม การรับประทานอาหารตามแนวทางของ DASH ภายหลังการได้รับโปรแกรมกลุ่มทดลอง มีค่าคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหารตาม แนวทาง ของ DASH ที่สูงกว่าก่อนการได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุมเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ อธิบายได้ว่าโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของDASHร่วมด้วยทฤษฎีการรับรู้ ความสามารถแห่งตน และแรงสนับสนุนทางสังคมไม่ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ตามแนวทางของ DASH ส่งผลให้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่เป็นไปตามคํากล่าวของแบนดูรา(1997) ที่ได้กล่าวว่า การกระทํากิจกรรมจนเกิดความสําเร็จนั้น จะต้องประกอบด้วยการกระทําที่ประสบผลสําเร็จด้วยตนเอง การ สังเกต ตัวแบบ หรือการสังเกตประสบการณ์ของผู้อื่น การได้รับคําแนะนําหรือโน้มน้าวด้วยคําพูด และการ กระตุ้นทางสภาวะทางสรีระและอารมณ์ ซึ่งจะสามารถส่งเสริมให้มีความมั่นใจในการปฏิบัติพฤติกรรมการ บริโภคอาหารตามแนวทางของDASH และเกิดความคาดหวังในความสามารถตนเองในการปฏิบัติพฤติกรรม สําหรับการศึกษาครั้งนี้กลุ่มทดลองไม่ได้ลงมือฝึกปฏิบัติจริงเกี่ยวกับการประกอบอาหารตามแนวทางของ DASH อาจทําให้เกิดความไม่มั่นใจในการปฏิบัติพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH ทําให้ ขาดทักษะ และความมั่นใจว่าในชีวิตประจําวันตนเองจะสามารถปฏิบัติได้จริง อย่างไรก็ตามการศึกษาครั้งนี้ยัง พบข้อมูลการสนับสนุนผลการวิจัย จากการใช้เอกสารประกอบในการทดลอง คือแบบบันทึกในการบริโภค อาหารตามแนวทางของ DASH
196 196 ส่วนค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิต หลังการทดลองของกลุ่มทดลองต่ํากว่าก่อนการได้รับโปรแกรมการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH และต่ํากว่ากลุ่มควบคุม ในขณะกลุ่มทดลอง มีค่าความดันโลหิตตัวล่างที่ต่ํากว่าก่อนการได้รับโปรแกรม และต่ํากว่ากลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไป ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และไม่สอดคล้องกับ ผลการศึกษาของวัลยา ทองน้อย(2554)ที่ได้ประยุกต์แบบแผน ความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางด้านสังคม ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อปูองกันโรคหลอด เลือดสมองของผู้ปุวยโรคความดันโลหิตสูง ตําบลโนนพะยอม พบว่า ค่าเฉลี่ยของความดันโลหิตทั้งซิสโตลิค และไดแอสโตลิคของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่ง ตนและการสนับสนุนทางสังคมในการออกกําลังกายต่ํากว่าก่อนทดลอง ข้อเสนอแนะ 1. การนําโปรแกรม DASH Diet มาใช้เป็นแนวทางในการดําเนินโปรแกรม หรือ กิจกรรมลด พฤติกรรมเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง ควรมีการดําเนินการเป็นช่วงระยะต่อเนื่อง มีการติดตาม 2. ควรมีการศึกษาบริบทพื้นที่วิถีชีวิตการบริโภคของกลุ่มเปูาหมาย รวมถึงรูปแบบของโปรแกรม DASH Diet ก่อนที่จะทําการศึกษาวิจัย เพื่อให้เกิดความสอดคล้อง เอกสารอ้างอิง กนกวรรณ อุดมพิทยารัชต์. (2557). โปรแกรมสุขศึกษาโดยประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถ ตนเอง เพื่อส่งเสริมพฤติกรรม การออกก าลังกายของผู้ปุวยโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ. Veridian E-Journal Silpakorn University (Humanities, Social Sciences, and Arts), 7(1), 11. กองการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. (2563). แดชไดเอท (DASH Diet) บําบัดโรคความดันโลหิตสูง. (วี อินดี้ ดีไซน์ จํากัด ed.): กรุงเทพฯ . วัลยา ทองน้อย.(2554)การประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางด้าน สังคม ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อปูองกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ปุวยโรคความดัน โลหิต สูง ตําบลโนนพะยอม อําเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น [วิทยานิพนธ์].ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ศิริวรรณ ตุรงค์เมือง.(2556) ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนในการควบคุมโรคต่อ พฤติกรรม การควบคุมโรคและการควบคุมโรคในผู้ปุวยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมโรคไม่ได้ [วิทยานิพนธ์]. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย. แนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูงในเวชปฏิบัติทั่วไป พ.ศ.2551 [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: สมาคม; 2551 [เข้าถึงเมื่อ 10 มิถุนายน 2564]. เข้าถึงได้จาก :http://www.thaihypertension.org/2008guideline.pdf. เสาวลักษณ์ มูลสาร, เกษร สําเภาทอง. (2559). ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการ บริโอาหารตาม แนวทางของ DASH ร่วมด้วยทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตน และแรงสนับสนุน ทางสังคม เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง. วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา, 11(1), 87-98. Bandura A.(1997) Social Learning Theory. New Jersy: Englewood Cliffs.
197 197 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตัดสินใจฉีดวัคซีนและผลของการสนทนาสร้างแรงจูงใจ ส าหรับผู้ลังเลต่อการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี พนิดา สุขประสงค์ ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช สาขาเทศบาลเมืองลพบุรี บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบ Combined researchแบ่งการศึกษาเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 ศึกษาแบบ Cross sectional descriptive study เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ การยอมรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และระยะที่ 2 การศึกษาแบบกึ่งทดลอง (quasi–experimental study) เพื่อ ศึกษาผลของการสนทนาสร้างแรงจูงใจสําหรับผู้ลังเลในการฉีดวัคซีนต่อการยอมรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 กลุ่ม ตัวอย่าง เป็นประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองฯอายุ 18 ปีขึ้นไปคํานวณขนาดกลุ่ม ตัวอย่างสูตรทาโร่ยามาเน่ ได้จํานวน 300 ราย ทําการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลระยะที่1 สําหรับในระยะ ที่ 2 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ยินยอมฉีดวัคซีนโควิด-19 จํานวน 78 ราย ได้รับการสนทนา สร้างแรงจูงใจ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือพบทุกข้อคําถามมีค่า IOC > 0.5 และค่าความเชื่อมั่น=.895 ผลการวิจัย ระยะที่ 1 พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 จํานวน 222 ราย คิดเป็นร้อย ละ74.00 โดยเหตุผลส่วนใหญ่ที่ฉีดคือเพื่อปูองกันการติดเชื้อโควิด-19 ร้อยละ 88.30 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการ ตัดสินใจฉีดวัคซีนได้แก่ อายุแรงจูงใจด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 และด้านการรับรู้ ความสามารถของตนในการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 และสําหรับระยะที่ 2 หลังได้รับกระบวนการ สนทนาสร้างแรงจูงใจ กลุ่มตัวอย่างที่มีความลังเลตัดสินใจฉีดวัคซีนโควิด-19 จํานวน 42 ราย คิดเป็นร้อยละ 52.80 บทน า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เกิดจากการติดเชื้อSARS-CoV-2ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง และ ส่งผลกระทบทั่วโลกและตลอดจนประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอแนวปฏิบัติ VUCA ได้แก่ Vaccine: ฉีดครบลดปุวยหนัก Universal Prevention: ปูองกันตัวเองตลอดเวลา Covid Free Setting: สถานที่และผู้ให้บริการมีความพร้อม และATK: antigen test kit การได้รับวัคซีนโควิด-19 จึงถือเป็นอีกหนึ่ง ความหวังที่จะช่วยลดการติดเชื้อ ลดการแพร่ระบาด และ ลดความรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19กรม ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกําหนดให้มีการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ70.00 และเร่งรัดฉีด วัคซีนโควิด19 ในกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มหญิง ตั้งครรภ์ และกลุ่มผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เพื่อลดการเจ็บปุวยรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิต1 จาก ฐานข้อมูลลพบุรีพร้อม ณ.วันที่ 4 เดือน มกราคม พ.ศ.2565 พบว่าประชาชนอําเภอเมืองลพบุรีได้รับวัคซีนอย่าง น้อย 1 เข็ม เพียงร้อยละ 54.28 ประชาชนส่วนหนึ่งยังไม่ตัดสินใจที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากยังมีความ กังวลในเรื่องของความปลอดภัยและผลข้างเคียงจากวัคซีน ซึ่งองค์การอนามัยโลกถือว่า ความลังเลใจของการ รับวัคซีนเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพระดับโลก 10 อันดับแรกของปี 20192 กรมสุขภาพจิต กระทรวง สาธารณสุขได้พัฒนาองค์ความรู้ในรูปแบบของ “การสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจสําหรับผู้ลังเลในการฉีดวัคซีนโค วิด-19”(VA VI for vaccine hesitancy) เพื่อเป็นเครื่องมือสําคัญในการแก้ปัญหาการลังเลใจในการฉีดวัคซีนโค วิด19 ผู้วิจัยในบทบาทพยาบาลเวชปฏิบัติ เป็นหมอครอบครัวคนที่ 2 สนใจที่จะนํากระบวนการสนทนาเพื่อ สร้างแรงจูงใจดังกล่าวมาใช้ในการส่งเสริมให้ประชาชนที่มีความลังเลใจให้สามารถตัดสินใจในการรับวัคซีนโค
198 198 วิด-19 ด้วยตนเอง ทั้งนี้ผู้วิจัยคาดหวังว่าประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบจะมีการรับวัคซีนโควิด-19 ครอบคลุม เพิ่มมากขึ้น และจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ วัตถุประสงค์การศึกษา 1.เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตัดสินใจฉีดวัคซีนปูองกันโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา19 ของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ 2.เพื่อศึกษาผลของการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจสําหรับผู้ลังเลในการฉีดวัคซีนปูองกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา-19 ของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ วิธีการศึกษาและการด าเนินงาน รูปแบบการศึกษา เป็นการศึกษาแบบ Combined research แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาแบบ Cross-sectional descriptive study ศึกษาเพื่ออธิบายความชุกและ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านลักษณะบุคคล และแรงจูงใจในการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 กับการ ตัดสินใจฉีดวัคซีนโควิด-19 ระยะที่ 2 เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi–Experimental study) แบบวัดกลุ่มเดียว เปรียบเทียบผลก่อนหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจงจากผลการศึกษาระยะที่ 1 ในผู้ที่ยังไม่ได้ รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 กลุ่มตัวอย่างจะได้รับกระบวนการ “การสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจสําหรับผู้ลังเลใน การฉีดวัคซีนโควิด-19” ติดตามประเมินผล 1 เดือน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์ สุขภาพชุมชนเมือง โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช สาขาเทศบาลเมืองลพบุรี จํานวน 1,007 คน คํานวณหา ขนาดกลุ่มตัวอย่างสูตรทาโร่ยามาเน่ (n=N ÷1+Ne2 , e=.05) 3 ได้ขนาดตัวอย่าง 292 ราย ปรับเป็น 300 ราย คุณสมบัติเกณฑ์คัดเข้า 1)อายุ 18 ปี ขึ้นไป 2)สามารถพูด อ่าน เขียน และฟังภาษาไทยเข้าใจ 3)ยินดีเข้าร่วม วิจัย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยสุ่มแบบเป็นระบบ (Systematic Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลลักษณะบุคคลและแบบสอบถามแรงจูงใจ ต่อการปูองกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 ตามแนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจของโรเจอร์ส 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการรับรู้ ความรุนแรงของโรค การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ความคาดหวังในประสิทธิผลของปูองกันโรคด้วยวัคซีน โควิด-19 และการรับรู้ความสามารถตนเองในการปูองกันโรค ด้านละ 5 ข้อคําถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณ ค่า 5 ระดับ 2. เครื่องมือที่ใช้ดําเนินงาน ได้แก่ “กระบวนการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจสําหรับผู้ลังเลในการฉีด วัคซีนโควิด-19” เป็นรูปแบบการสนทนาสร้างแรงจูงใจ(Motivation Interview: MI) ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วยขั้นตอนให้ข้อมูลที่ถูกต้อง(Vaccine Advice: VA) และการสรางแรงจูงใจใน การฉีดวัคซีน ถาม-ชม-แนะ (Vaccine Intervention: VI) การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ 1. การตรวจสอบความเที่ยงตรง(content validity)โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน หาค่าดัชนีความ สอดคล้องของแบบสอบถามแรงจูงใจในการปูองกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 พบว่าทุกข้อคําถามมีค่า IOC> 0.5
199 199 2. การตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือ(reliability) ทดลองใช้แบบสอบถาม 30 ชุด วิเคราะห์ หาค่าความเชื่อมั่นด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่น =.895 การวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติเชิงพรรณนา ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ลักษณะบุคคล และแรงจูงในการปูองกันการติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา-19 และผลการสนทนาสร้างแรงจูงใจ นําเสนอเป็นค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าต่ําสุด-สูงสุด และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. สถิติเชิงอนุมาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรโดยใช้เทคนิคถดถอยแบบโลจิสติก(Logistics Regression) ด้วยสถิติ multiple logistic regressions ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติ.05 การพิทักษ์สิทธิและจริยธรรมการวิจัย การวิจัยนี้ ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการ วิจัยในมนุษย์โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช จังหวัดลพบุรี เลขที่ KNH 02/65 ขั้นตอนการด าเนินงาน 1) ระยะที่ 1 กําหนดกรอบพื้นที่และกลุ่มตัวอย่าง 2) ประชุมชี้แจงอสม.แนะนําการใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3) เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลระยะที่ 1 4) ระยะที่ 2 ลงพื้นที่ดําเนินการสนทนาสร้างแรงจูงใจในกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่ฉีดวัคซีน 5) จัดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 6) ติดตามและสรุปประเมินผล ผลการศึกษา ระยะที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง 300 ราย กลุ่มตัวอย่างที่ตัดสินใจฉีดวัคซีนจํานวน 222 ราย คิดเป็นร้อยละ 74.0 เหตุผลที่ตัดสินใจฉีดวัคซีนส่วนใหญ่คือฉีดเพื่อปูองกันการติดเชื้อโควิด-19 คิดเป็นร้อยละ 88.3 แรงจูงใจ ในการปูองกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 ด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับสูง(mean=4.129, SD=0.502) ส่วนด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (mean=3.592, SD=0.403) ด้านความคาดหวังใน ประสิทธิผลของการตอบสนองต่อการปูองกันโรคด้วยวัคซีนโควิด-19 (mean=3.449,SD.=0.378) และด้านการ รับรู้ความสามารถตนเองต่อการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19(mean=3.910, SD=0.498) ทั้ง 3 ด้านอยู่ใน ระดับปานกลาง กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ยินยอมฉีดวัคซีน จํานวน 78 ราย คิดเป็นร้อยละ 26.00 เหตุผลที่ไม่ยินยอมฉีดวัคซีนโค วิด-19ส่วนใหญ่คือกลัวแพ้วัคซีน ร้อยละ 62.80 แรงจูงใจในการปูองกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 ด้านการ รับรู้ความรุนแรงของโรค(mean=3.830, SD=0.350) ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ(mean=3.166, SD=0.400) และด้านการรับรู้ความสามารถตนเองต่อการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 (mean=3.044 SD=0.504) ทั้ง 3 ด้านอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองต่อการ ปูองกันโรคด้วยวัคซีนโควิด-19อยู่ในระดับน้อย (mean= 2.615, SD=.616) ผลการวิเคราะห์ตัวแปรเดียวที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ.05 ทั้งหมด 7 ปัจจัย ได้แก่ ด้านลักษณะบุคคล : อายุ อาชีพ เป็นกลุ่มเสี่ยง แรงจูงใจในการปูองกัน การติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 ด้านการรับรู้ความรุนแรงของโรค ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ด้าน ความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองต่อการปูองกันโรคด้วยวัคซีนโควิด-19 และด้านการรับรู้ ความสามารถตนเองต่อการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19
200 200 การวิเคราะห์คราวละหลายตัวแปร โดยใช้สถิติ การถดถอยแบบพหุ (multiple logistic regressions) พบว่าปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตัดสินใจฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด 3 ปัจจัย ได้แก่อายุ (AOR=2.629, CI=1.322-5.226, p-value=.006) แรงจูงใจด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส โคโรนา-19 (AOR=3.906, CI=1.172-11.991, p-value=.017) และด้านการรับรู้ความสามารถของตนในการ ปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 (AOR=46.027, CI=10.455-202.631, p-value=.000) ระยะที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่มีความลังเลไม่ตัดสินใจฉีดวัคซีนโควิด-19 จํานวน 78 ราย ได้รับ “กระบวนการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจ”VA/VI หลังสิ้นสุดกระบวนการ กลุ่มตัวอย่างตัดสินใจฉีดวัคซีน โควิด-19 จํานวน 42 ราย คิดเป็นร้อยละ 52.8 อภิปรายผล จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจฉีดวัคซีนได้แก่อายุ 60 ปีขึ้นไป สัมพันธ์กับการ ตัดสินใจฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งสอดคล้องกับการแนวทางการดําเนินงานวัคซีนโควิด-19 ในผู้ใหญ่ที่กําหนดให้ ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของการเจ็บปุวย4 แรงจูงใจในการปูองกันโรคใน ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้านการรับรู้ความสามารถของตนในการปูองกันโรคติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019สัมพันธ์กับการตัดสินใจฉีดวัคซีนโควิด-19 สอดคล้องกับการศึกษาของ กัญญาภัค ประทุม ชมภู ที่ศึกษา พบว่า ปัจจัยแรงจูงใจในการปูองกันโรคด้านการรับรู้ความสามารถตนเองในการปูองกันโรคมี ความสัมพันธ์กับการรับบริการวัคซีนปูองกันโรคไข้หวัดใหญ่5 ผลของการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจ สามารถส่งเสริมให้กลุ่มตัวอย่างตัดสินใจยอมรับการฉีดวัคซีน โควิด-19 เพิ่มขึ้น 42 ราย ซึ่งการสนทนาสร้างแรงจูงใจเป็นการให้คําปรึกษาที่มีเปูาหมาย ผู้สนทนาผลักดัน ความตั้งใจโดยอาศัยความจริงใจ เป็นมิตร ใช้แรงจูงใจในบริบทของคู่สนทนา ด้วยการถามเป็น กังวลใจอะไร สงสัยอะไร และให้กําลังใจเป็น เมื่อมีข้อมูลถูกต้องเราก็ชื่นชม แต่หากไม่ใช่ ก็ต้องอธิบายเพื่อให้ความลังเลนั้น หายไป6 บุคลากรทางการแพทย์เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีโอกาสที่จะโน้มน้าวโดยกระบวนการสร้าง แรงจูงใจ ให้ข้อเท็จจริงเป็นการสนับสนุนความอิสระทางความคิดในการเลือกรับวัคซีนของแต่ละบุคคล จน นําไปสู่การก้าวข้ามความลังเล7 สอดคล้องกับการศึกษาของ เทิดศักดิ์ เดชคง เรื่องผลของโปรแกรมการสนทนา แบบสร้างแรงจูงใจต่อค่าซีสโตลิคและไดแอสโตลิคในผู้ปุวยความดันโลหิตสูงที่พบว่าช่วยควบคุมความดันโลหิต ในผู้ปุวยความดันโลหิตสูงได้8 ข้อเสนอแนะ 1. ควรขยายผลการสนทนาสร้างแรงจูงใจไปในกลุ่มที่ยังมีความลังเลและยังไม่ได้รับวัคซีน 2. ควรมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง ให้กลุ่มเปูาหมายให้ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 3 เข็ม 3. ควรพัฒนาการสื่อสารความรู้ให้ชุมชนเข้าใจถึงโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อและปูองกันโรค การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ 1. ผลของการรับวัคซีนโควิด-19 เพิ่มขึ้นสามารถส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันในชุมชนเพิ่มมากขึ้น 2. ผลของการศึกษาสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาคุณภาพบริการกลุ่มอื่นๆได้
201 201 เอกสารอ้างอิง กระทรวงสาธารณสุข กรมสุขภาพจิต. หลักสูตรการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจสําหรับผู้ลังเลใจในการ ฉีดวัคซีนโควิด19 สําหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุข. กรุงเทพ: บริษัท บียอนด์ พับลิสชิ่ง จํากัด; 2564. Zolezzi M, Paravattil B, El‑Gaili T. Using motivational interviewing techniques to informdecision‑making for COVID‑19 vaccination. International Journal of Clinical Pharmacy. 2021; [cited 2020 Jan 15] Available from:https://doi.org /10.1007/s11096- 021-01334-y. ธีรวฒิ เอกะกลุ. ระเบียบวิธีวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.อุบลราชธานี:สถาบันราชภัฎ อุบลราชธานี; 2543. กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุม. แนวทางการให้วัคซีนโควิด 19 ในสถานการณ์ระบาดปี 2564 ประเทศไทย. สมุทรปราการ .บริษัท ทีเอส อินเตอร์พริ้นท์ จํากัด. 2564; 21-22. กัญญาภัค ประทุมชมพู. ปัจจัยแรงจูงใจในการปูองกันโรคที่มีผลต่อการรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในผู้สูงอายุตําบลแสนสุข อําเภอเมืองชลบุรีจังหวดชลบุรี[อินเทอร์เน็ต] [วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศา สตรมหาบัณฑิต]. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา; 2559. [เข้าถึงเมื่อ 13 มกราคม 2565]. เข้าถึงได้จาก: http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/57920350.pdf ศูนย์สุขภาพจิตที่ 7. เอกสารประกอบการอบรมการสนทนาสร้างแรงจูงใจ [Motivational Interviewing]สําหรับผู้ลังเลในการตัดสินใจฉีดวัคซีนปูองกันCOVID19. [เข้าถึงเมื่อ 13 มกราคม 2565]. เข้าถึงได้จาก: https://mhc7.go.th/archives/10778 Gabarda A, Butterworth W.S. Using Best Practices to Address COVID-19 Vaccine Hesitancy:The Case for the Motivational Interviewing Approach. health promotion practice. 2021; 22: 611-615. เทิดศักดิ์ เดชคง. ผลของโปรแกรมการสนทนาแบบสร้างแรงจูงใจต่อค่าซีสโตลิคและไดแอสโตลิคใน ผู้ปุวยความดันโลหิตสูง. วารสารวิชาการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. 2020; 3: 59-68.
202 202 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมและผลลัพธ์ทางคลินิก ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 The effect of a self-management behavior promoting program for delayed progression of kidney disease and clinical outcomes in patients with chronic kidney disease stage 3 สุปราณี เมืองโคตร, สําราญ พูลทอง, วิลาวัลย์ หลักเขต รพ.สต.ปทุม อ. เมือง จ. อุบลราชธานี บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนหลัง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริม พฤติกรรมสนับสนุนการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมและผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ปุวยโรคไตระยะที่ 3 กลุ่ม ตัวอย่างเป็นผู้ปุวยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ในคลินิกโรคเรื้อรังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลปทุม อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้จากการคํานวณขนาดตัวอย่างด้วยโปรแกรม STATA version 13.0 จํานวน 40 ราย สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามคุณสมบัติ อาสาสมัครได้รับโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรม สนับสนุนการจัดการตนเองที่สร้างจากทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ตรวจสอบความตรงของเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประกอบด้วย การประเมินข้อมูลสุขภาพ การส่งเสริมสมรรถนะการรับรู้ด้านสุขภาพ การปฏิบัติตนและดูแลตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม การส่งเสริมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม และติดตาม เยี่ยมบ้าน รวมเวลาดําเนินการ 13 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามด้วยการสัมภาษณ์ แบบ ประเมินความรู้เรื่องไตเสื่อม พฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม ประเมินการทํางานของไตโดยใช้ค่า อัตราการกรองของไต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณณาและสถิติทดสอบ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรมในการส่งเสริมสุขภาพในการ จัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมสูงกว่าก่อนดําเนินการอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p< 0.05 และ p < 0.05 ตามลําดับ) นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีค่าระดับการกรองของไต(eGFR) คงที่ ร้อยละ 57.5 และมีค่า การกรองของไต(eGFR) ดีขึ้นร้อยละ 25.0 ส่วนค่าเฉลี่ยระดับการกรองของไต(eGFR) ก่อนและหลังได้รับ โปรแกรมเพิ่มขึ้นไม่แตกต่างกัน โปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมสนับสนุนการจัดการตนเองมีประสิทธิผลใน การเปลี่ยนแปลงการรับรู้ความสามารถของตนเองในการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม จึงควรจัดโปรแกรมนี้ อย่างต่อเนื่องในคลินิกโรคเรื้อรังเพื่อปรับพฤติกรรมการจัดการตนเอง ลดภาวะแทรกซ้อนชะลอไตเสื่อม ส่งผล ต่อคุณภาพชีวิตผู้ปุวยเรื้อรังให้ดีขึ้น ส าคัญ : การส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเอง, ชะลอไตเสื่อม บทน า ไตวายเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ต้องดูแลระยะยาวในระบบสุขภาพ โรคไตเรื้อรัง แบ่งเป็น 5 ระยะ ระยะที่ 3 เป็นภาวะที่มีการทําลายของไตและมีอัตราการกรองของไตลดลงปานกลาง กลุ่มนี้ถ้าดูแล ตนเองไม่ดี ภายใน 4–7 ปี จะเข้าสู่ระยะ 4 และ 5 และเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งต้องรักษาด้วยการ บําบัดทดแทนไตที่ค่าใช้จ่ายสูงเฉลี่ย 20,000–30,000 บาทต่อคนต่อเดือนการจัดการกับปัจจัยที่เป็นสาเหตุของ โรคและพฤติกรรมเสี่ยงจะช่วยยืดระยะเวลาในการเข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรค ลดความรุนแรงของ ภาวะแทรกซ้อน ทําให้ผู้ปุวยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น1 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลปทุมเป็นสถานบริการระดับ ปฐมภูมิ มีผู้ปุวยโรคเรื้อรังเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่มารับบริการที่รพ.สต.ปทุมจํานวน 317 รายในปี งบประมาณ 2561ผู้ปุวยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเสียชีวิต2ราย รักษาด้วยการฟอกไตทางเส้นเลือดจํานวน 10 ราย และอีก 3 ราย ดูแลแบบประคับประคอง จากการสัมภาษณ์ผู้ปุวยกลุ่มนี้พบว่า ไม่ทราบระดับการกรอง
203 203 ของไตของตนเอง ไม่มีความตระหนักรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อชะลอไตเสื่อม โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ปทุม ได้พัฒนานวัตกรรม สตาร์เตือนไต และวงล้อชะลอไตเสื่อม ขึ้นเพื่อใช้สื่อสารให้ผู้ปุวยได้ทราบถึงระดับ การกรองของไตและให้ความรู้กับผู้ปุวยในคลินิกก่อนรับยากลับบ้าน และจากการสังเกตขณะเยี่ยมบ้านวิถีชีวิต ในของชาวอีสานพบว่า บริโภคอาหารรสจัด เค็ม ใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม Non-Steroidal Anti-Inflammatory : NSAID ประจํา ด้านผู้ให้บริการยังไม่มีโปรแกรมการจัดการเพื่อสร้างความตระหนักรู้ที่จะปรับพฤติกรรมเพื่อ ชะลอไตเสื่อม ในปี พ.ศ.2562 จึงพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมใน กลุ่มที่มีอัตราการกรองของไตระดับ 3ขึ้น โดยใช้กรอบแนวคิด ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ซึ่งการ รับรู้ปัจจัยสําคัญ รับรู้โอกาสเสี่ยง รับรู้ความรุนแรง รับรู้ประโยชน์ จะส่งผลช่วยกระตุ้นให้ผู้ปุวยมีพฤติกรรมที่ เหมาะสม มีแรงจูงใจและพร้อมที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความรุนแรงของโรคและช่วยชะลอการเสื่อมของ ไตซึ่งเหมาะกับบริบทของสถานบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ วัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมและผลลัพธ์ทางคลินิกใน ผู้ปุวยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 โดย มีวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ 1. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้เรื่องไตเสื่อม และพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม 2. เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกก่อนและหลังร่วมโปรแกรม วิธีการศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดผล ก่อนหลัง (one group pre-posttest design) ประชากร ที่ศึกษาเป็นผู้ปุวยโรคเบาหวาน และโรคความดัน โลหิตสูงที่มีระดับการกรองของไต ในระดับ 3a และ 3b ที่รับการรักษาที่คลินิกเรื้อรังในโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตําบลปทุมอําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานีระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2562–เดือนมกราคม พ.ศ. 2564 กลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยคํานวณด้วยโปรแกรมสําเร็จรูป Stata version 13.0 ตามสูตรการคํานวณ ขนาดตัวอย่างได้ จํานวน 40 ราย โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling)ตามคุณสมบัติดังนี้อายุ 30ปีขึ้นไปได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ อัตราการกรองของไตระดับ 3a และ3b (eGFR>30–59 มิลลิกรัมต่อ นาที) เข้าใจและสื่อสาราษาไทยได้ ไม่มีภาวะปุวยทางจิต และแพทย์ผู้รักษาประเมินว่าสามารถร่วมกิจกรรมได้ เกณฑ์คัดออก ระดับเครตินินมากกว่า 2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มีภาวะแทรกซ้อน โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือไม่สามารถร่วมกิจกรรมได้ เครื่องมือที่ใช้ในการด าเนินการวิจัย คือโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพเพื่อการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยใช้กรอบ แนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health belief Model) ตรวจสอบความตรงของเนื้อหาโดย ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย อายุรแพทย์โรคไต 1 ท่าน พยาบาลเฉพาะทางคลินิกไตวายเรื้อรัง 2 ท่าน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามด้วยการสัมภาษณ์ แบบประเมินความรู้เรื่องไตเสื่อม พฤติกรรมการ จัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม ซึ่งมีค่า IOCเท่ากับ 1 และ 0.98 ประเมินการทํางานของไตโดยใช้ค่าอัตราการ กรองของไต(eGFR) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณณาและสถิติอนุมานเปรียบเทียบก่อนและหลัง ดําเนินการด้วยสถิติทดสอบ Paired t-test งานวิจัยผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ของสํานักงาน
204 204 สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานีเลขที่ SSJ.UB 2563-061 ลงวันที่11 เดือนเมษายน พ.ศ.2563 ดําเนินกิจกรรม ตามโปรแกรมเป็นเวลา13 สัปดาห์ดังนี้ ตารางที่ 1 โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพเพื่อการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมผู้ปุวยไตวายระยะที่3 ครั้งที่ กิจกรรม เครื่องมือ/อุปกรณ์ สัปดาห์ที่ 1 การประเมินข้อมูลสุขภาพ สร้าง สัมพันธภาพ / แจ้งผลการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ/ประเมินความรู้ไตเสื่อมและ พฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไต เสื่อม -นวัตกรรมสตาร์เตือนไต -แบบสอบถาม ( pre-test) สัปดาห์ที่2 การส่งเสริมสมรรถนะการรับรู้ด้านสุขภาพ การปฏิบัติตนและดูแลตนเองเพื่อชะลอไต เสื่อม ความรู้โรคไตวาย/อาหาร/ยา NSAID/การ ออกกําลังกายที่เหมาะสม (มณีเวช/ยืด เหยียด/เดิน) -ให้ความรู้ รายบุคคล 30นาที -สมุดสื่อการสอน “ไต ของเรา เราต้องรู้” ของสถาบันโรคไตราชนครินทร์ -สื่อการสอน“วงล้อชะลอไต”และสื่อ เครื่องปรุง เครื่องดื่ม เทียบปริมาณเกลือ และน้ําตาล -สาธิต มณีเวช/ยืดเหยียด สัปดาห์ที่4 การส่งเสริมเพื่อเพิ่มศักยภาพทบทวนความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวเพื่อชะลอไต เสื่อม -เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่2 สัปดาห์ที่ 5 ติดตามเยี่ยมบ้าน ค้นหาปัญหาในการจัดการ ตนเองในระดับครอบครัวและวางแผนแก้ไข ร่วมกัน Salt meter/สมุดสื่อการสอน “ไต ของ เรา เราต้องรู้ สัปดาห์ที่ 8 อบรมให้ความรู้ การส่งเสริมสุขภาพและการ จัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม สาธิตอาหาร ทดสอบ Salt meter ใน อาหารฝึกปฏิบัติ การออกกําลังกาย ระยะเวลา 6 ชั่วโมง สัปดาห์ที่ 9-12 การส่งเสริมเพื่อเพิ่มศักยภาพทบทวนความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวเพื่อชะลอไต เสื่อม ทบทวนกิจกรรมเช่นเดียวกับสัปดาห์ที่ 4- 5/เยี่ยมบ้าน ซ้ําในรายที่ยังพบปัญหา สัปดาห์ที่13 การตรวจหาผลลัพธ์ทางคลินิก /ประเมิน ความรู้เรื่องไตเสื่อมและพฤติกรรมการ จัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม(Post-test) สะท้อนผลก่อนและหลังการเข้าร่วม กิจกรรม/ ยุติการสื่อสาร ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างเพศหญิง ร้อยละ 65.0 มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรมในการส่งเสริม สุขภาพในการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมสูงกว่าก่อนดําเนินการอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05 และ p < 0.05 ตามลําดับ) นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีค่าระดับการกรองของไต(eGFR) คงที่ ร้อยละ 57.5 และ มีค่าการกรองของไต(eGFR) ดีขึ้นร้อยละ 25.0 ส่วนค่าเฉลี่ยระดับการกรองของไต(eGFR) ก่อนและหลังได้รับ โปรแกรมเพิ่มขึ้นไม่แตกต่างกัน ดังแสดงใสนตารางที่ 2และ3
205 205 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม ก่อนและหลังดําเนินการ (n= 40) กลุ่มตัวอย่าง Min -Max ̅ SD t df p ก่อนดําเนินการ 27 - 46 39.40 4.79 2.80 39 0.008 หลังดําเนินการ 19 - 53 43.05 8.33 ตารางที่ 3 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยอัตราการกรองของไตก่อนและหลังดําเนินการ(n = 40) อัตราการกรองของไต(eGFR) Min -Max ̅ SD t df p ก่อนดําเนินการ 33 - 59 49.67 7.37 0.34 39 0.730 หลังดําเนินการ 20 - 101 50.50 15.22 อภิปรายผล และเสนอแนะ โปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมสนับสนุนการจัดการตนเองมีประสิทธิผลในการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ ความสามารถของตนเองในการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเพราะมีการสะท้อนข้อมูลการรับรู้ระดับการกรองของไต พฤติกรรมการบริโภคเดิมที่ไม่ถูกต้อง ทราบสาเหตุ รับรู้ โอกาสเสี่ยง ความรุนแรง โรคแทรกซ้อนและวิธีการปฏิบัติตัว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลุ่ม เสริมแรงกิจกรรมดี ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการจัดการตนเอง และเกิดผลลัพธ์ทาง คลินิกที่ดีขึ้นสอดคล้องกับการศึกษาที่พบว่า การตระหนักรู้ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการจัดการตนเอง ทําให้ผลลัพธ์ ทางคลินิกดีขึ้นและชะลอ การเปลี่ยนแปลงของระดับการกรองของไตที่แย่ลง 2,3,4,5 ข้อเสนอแนะ นําโปรแกรมนี้บรรจุในงานประจําในคลินิกบริการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลปทุม และควรมีการศึกษาระยะยาวและขยายผลเพื่อพัฒนาโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ผู้ปุวยเรื้อรังและภาระในระบบสุขภาพ เอกสารอ้างอิง สํานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.คู่มือปฏิบัติการเพื่อดําเนินงานลดโรคไต เรื้อรัง CKD ในผู้ปุวยเบาหวานและความดันโลหิตสูง.กรุงเทพฯ:โรงพิมพองคการสงเคราะหทหารผ่าน ศึกในพระบรมราชูปถัมภ์; 2559 นุสรา วิโรจนกูฎ.ผลของโปรแกรมการพัฒนาความรู้ การจัดการตนเองและการมีส่วนร่วม ของผู้ดูแล ต่อระดับน้ําตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดและการชะลอความเสื่อมของไต ในผู้ปุวยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ ควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดไม่ได้.วารสารวิชาการแพทย์เขต11 2560 ;1:41-48 ศิริลักษณ์ถุงทอง. ผลของโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมจากเบาหวานต่อ พฤติกรรมการจัดการตนเองและผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ปุวยเบาหวานชนิดที่2 ที่ไม่สามารถควบคุม ระดับน้ําตาลได้.วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์.2557;1:67-84 นุชนาฏ ด้วงผึ้ง.ผลของการส่งเสริมให้ผู้ปุวยมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การบริโภคอาหาร เพื่อชะลอการเสื่อมของไตในผู้ปุวยไตเสื่อมระยะที่ 3.วารสารสํานักงานปูองกันควบคุมโรคที่ 10 2562 ;1:19-31 ขวัญเรือน แก่นของ , ศิริรัตน์ อนุตระกูลชัย , สุณีเลิศสินอุดม, อัมพรพรรณ ธีรานุตร.ผลของ โปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อชะลอการเสื่อมของไตในผู้ปุวย โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3a .วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ 2562 ;3 : 211-220.
206 206 ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของคนวัยท างานที่มีภาวะเสี่ยง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรงพยาบาลยางตลาด อ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ วราภรณ์ พงภักดิ์ขวัญ, ชลทิพย์ ธีระชาติสกุล, สินีนาฎ ไชยมงคล พรรณวดี บุญพยุง, ว เอกชัย ภูผาใจ และจิราภรณ์ ภูโอบ ศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน โรงพยาบาลยางตลาด อําเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของคนวัยทํางานที่มีภาวะเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ใน พื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลยางตลาด ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์–เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2564 โดยใช้ทฤษฎี ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Transtheoretical Model/Stage of Change Model : TTM) และ แนวคิดการจัดการตนเอง (Self-management) มาใช้เป็นกรอบการวิจัย ผู้ร่วมวิจัย ประกอบด้วย ทีมสห วิชาชีพ: แพทย์ พยาบาล นักโภชนากร นักกายภาพบําบัด ที่ปฏิบัติงานในศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน โรงพยาบาล ยางตลาด กลุ่มตัวอย่างเป็นแบบกลุ่มเดียว วัดค่าก่อน-หลังการวิจัย เป็นกลุ่มคนวัยทํางานที่มีผลตรวจสุขภาพ ประจําปีผิดปกติ จํานวน 36 คน ได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในระยะเวลา 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ สมุดประจําตัวสุขภาพวัยทํางาน แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพ เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย (seca mBCA514) แอพพลิแคชั่นไทยสุข และ แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และเลือกใช้สูตรอาหาร Intermittent fasting ร้อยละ 66.60 หลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยภาวะสุขภาพ (น้ําหนักตัว, ค่าดัชนีมวลกาย , รอบเอว, ค่าไขมันในร่างกาย และค่าความดันโลหิต) ลดลง มีค่าเฉลี่ยมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 0.16 กิโลกรัม มี คะแนนพฤติกรรมสุขภาพระดับดีขึ้นไป เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.67 และมีความ พึงพอใจต่อการเข้าร่วมโปรแกรม ระดับมากที่สุด ร้อยละ 82.75 ค าส าคัญ โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ, โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง, การจัดการตนเอง, วัยทํางาน บทน า ประชาชนกลุ่มวัยทํางานเป็นกลุ่มที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การมีสุขภาพที่ดีทั้ง กาย จิต สังคม และจิตวิญญาณของประชากรวัยทํางานจึงเป็นสิ่งสําคัญ จากข้อมูลการสํารวจเกี่ยวกับสุขภาพ อนามัยของคนวัยทํางานของสํานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าคนในวัยทํางานมีการบริโภคอาหารหลักครบทั้ง 3 มื้อ น้อยกว่าวัยอื่นๆ นอกจากนี้ยังออกกําลังกายน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ พบคนวัยทํางานเพียง 1 ใน 5 เท่านั้นที่มี การออกกําลังกาย และยังพบว่ามีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพด้วยการดื่มสุราและสูบบุหรี่มากกว่าวัยอื่นๆ (สํานักงานสถิติแห่งชาติ,2564) จากข้อมูลพฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลให้ประชาชนวัยทํางานมีโอกาสเป็นกลุ่ม เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญของประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง เป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบ ทําให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อน ทําให้เกิดความพิการและตายก่อนวัยอันควร ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภาพของประชาชนวัยทํางานจึงมีความสําคัญและจําเป็นเพื่อลดการเกิดโรคไม่ติดต่อหรือลดภาวะความ รุนแรงของโรคดังกล่าว
207 207 จากข้อมูลการตรวจสุขภาพประจําปีของประชาชนวัยทํางานที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลยางตลาด ปีงบประมาณ 2562-2564 จํานวน 645, 853 และ 525 คน พบผู้ที่มีผลตรวจสุขภาพผิดปกติ จํานวน 301, 412 และ 257 คน คิดเป็นร้อยละ 46.67, 48.30 และ 48.95 ตามลําดับ เป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิด โรคไม่ติดต่อเรื้อรังและเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้ ดังนั้นทีมผู้วิจัยจึงเล็งเห็นความสําคัญของการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพของประชากรวัยทํางานเพื่อลดโอกาสการเกิดโรคต่างๆ เพิ่มการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็น กําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป วัตถุประสงค์การศึกษา 1. เพื่อเปรียบเทียบภาวะสุขภาพ (น้ําหนัก ดัชนีมวลกาย รอบเอว องค์ประกอบร่างกาย) ของกลุ่ม ตัวอย่างก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 2. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมสุขภาพ ของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ วิธีการศึกษา 1. การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อน และหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) 2. กลุ่มตัวอย่าง คือ คนวัยทํางานที่เข้ารับการตรวจสุขภาพประจําปีในโรงพยาบาลยางตลาด ที่มีผล ตรวจสุขภาพผิดปกติ จํานวน 36 คน ผู้วิจัยใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือ 1)เป็นผู้ที่มีดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป หรือมีรอบเอวเกิน (ผู้หญิงเกิน 80 ซม./ผู้ชายเกิน 90 ซม.) หรือมีระดับน้ําตาลในเลือด มากกว่า 106 มิลลิกรรมเปอร์เซนต์ หรือมีระดับไขมันในเลือดสูง Cholesterol มากกว่า 200 มิลลิกรรมต่อ เดซิลิตร LDL มากกว่า 150 มิลลิกรรมต่อเดซิลิตร Triglyceride มากกว่า 200 มิลลิกรรมเปอร์เซนต์ หรือมี ระดับความดันโลหิตสูงเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท ขึ้นไป 2)ยินยอมเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภาพ 3)ประเมิน Stage of Change มีแรงจูงใจขั้น 4 ขึ้นไป 4)สามารถเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพได้ตลอดระยะเวลา 12 สัปดาห์ 3. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1)โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 2)สมุด ประจําตัวสุขภาพวัยทํางาน 3)แบบประเมินพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การออกกําลังกาย และอารมณ์ 4)เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย (seca mBCA514) 5)แอพพลิแคชั่นไทยสุข 6)แบบประเมินความพึงพอใจต่อ การเข้าร่วมโปรแกรม 4. การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล ทีมผู้วิจัยดําเนินการเก็บข้อมูล ระยะเวลา 12 สัปดาห์ (ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ – เดือนพฤษภาคม 2564) โดยกลุ่มตัวอย่างจะได้รับโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ รายละเอียดของกิจกรรมในโปรแกรม มีดังนี้ ครั้งที่ 1 (สัปดาห์ที่ 1) การประเมินและคัดกรองภาวะสุขภาพ ได้แก่ ข้อมูลประวัติสุขภาพ น้ําหนัก ส่วนสูง รอบเอว ค่าดัชนีมวลกาย ความดันโลหิต ประเมินสมรรถภาพทางกาย ทดสอบสมรรถภาพ ทางกาย วัดองค์ประกอบร่างกาย ประเมินความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรค หลอดเลือดหัวใจ ประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการติดบุหรี่ ประเมินพฤติกรรมการกิน
208 208 ออกกําลังกายและอารมณ์ ประเมินความเครียด จากนั้นแปลผลการประเมินสมรรถนะแล้วคืนข้อมูลแก่กลุ่ม ตัวอย่าง สร้างความตระหนักต่อสภาวะสุขภาพ ประเมิน Stage of Change สอนการใช้แอพพลิเคชั่นไทยสุข ครั้งที่ 2 (สัปดาห์ที่ 2) เรื่องอาหารสุขภาพ ให้ข้อมูลอาหารสุขภาพแต่ละสูตร เปิดโอกาสให้กลุ่ม ตัวอย่างเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสมกับตัวเอง สอนตั้งเปูาหมายเชิงพฤติกรรม ครั้งที่ 3 (สัปดาห์ที่ 3) การออกกําลังกาย เรียนรู้หลักการออกกําลังกายที่ถูกต้องและฝึก ปฏิบัติการออกกําลังกาย ตั้งเปูาหมายเชิงพฤติกรรม ครั้งที่ 4 (สัปดาห์ที่ 5) เรียนรู้และฝึกการจัดการทางอารมณ์และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดย ฝึกทําสมาธิบําบัด (SKT) ครั้งที่ 5 (สัปดาห์ที่ 9) การติดตามและเสริมพลังอย่างต่อเนื่อง ติดตามภาวะสุขภาพและเสริม พลังผ่านไลน์กลุ่ม และแอพพลิชั่นไทยสุข ครั้งที่ 6 (สัปดาห์ที่ 12) การประเมินผลภาวะสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างงยั่งยืน ประเมินภาวะสุขภาพ ได้แก่ น้ําหนัก ส่วนสูง รอบเอว BMI ความดันโลหิต ประเมินสมรรถภาพทางกาย ทดสอบสมรรถภาพทางกาย วัดองค์ประกอบร่างกาย ประเมินพฤติกรรมการกิน ออกกําลังกายและอารมณ์ ชื่นชมเสริมพลังและเสริมแรงให้กําลังใจ การพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง การวิจัยในครั้งนี้ ทีมผู้วิจัยดําเนินการวิจัยโดยยึดหลักความเคารพใน บุคคล คือ การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคน หลักผลประโยชน์หรือไม่ก่ออันตราย และหลักยุติธรรม คือ การ ให้ความเสมอภาคกับผู้ร่วมในการวิจัยทุกคน ซึ่งมีการดําเนินการโดยเสนอโครงร่างการวิจัยต่อคณะกรรมการ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลยางตลาด เพื่อพิจารณารับรองก่อนดําเนินการ เลขที่ 011/ 2564 ลง วันที่ 20 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 ผลการศึกษา 1)ข้อมูลทั่วไป กลุ่มตัวอย่างจํานวน 36 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 77.77 อายุเฉลี่ย 43.89 ปี เลือกใช้สูตรลดน้ําหนัก Intermittent fasting ร้อยละ 66.60 2)ข้อมูลภาวะสุขภาพ หลังเข้าร่วมโปรแกรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยน้ําหนักตัวลดลง 8.18 กิโลกรัม ค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกาย ลดลง 3.56 ค่าเฉลี่ยรอบเอวลดลง 3.87 เซนติเมตร ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบนลดลง 6 mmHg ค่าเฉลี่ย ความดันโลหิตตัวล่างลดลง 7.45 มิลิเมตรปรอท ค่าเฉลี่ยไขมันในร่างกายลดลง 4.46 กิโลกรัม และค่าเฉลี่ย มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 0.16 กิโลกรัม 3)พฤติกรรมสุขภาพและความพึงพอใจ หลังเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนพฤติกรรมสุขภาพระดับดีขึ้นไป เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.67 มีความพึง พอใจต่อการเข้าร่วมโปรแกรมระดับมากที่สุด ร้อยละ 82.75 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ นักวิจัยหรือผู้ที่สนใจ สามารถนํารูปแบบโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของคนวัย ทํางานที่มีภาวะเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไปปรับใช้ในหน่วยงานหรือพื้นที่ตามบริบทที่ปฏิบัติงานได้ อภิปรายสรุป และข้อเสนอแนะ ผู้เข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้เรียนรู้ทักษะและตัดสินใจในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมและตั้งเปูาหมายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยตนเอง ทําให้การไปถึงเปูาหมายที่ตั้งไว้ได้โดยง่าย สามารถปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกําลังกายและอารมณ์ได้ ส่งผลต่อภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น
209 209 ของกลุ่มที่เข้าร่วมโปรแกรม ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและสามารถดําเนินชีวิตได้อย่างมี คุณภาพ เอกสารอ้างอิง สํานักงานสถิติแห่งชาติ. การสํารวจพฤติกรรมสุขภาพคนไทย ปี 2564 [อินเทอร์เน็ต]; 2564 [เข้าถึง เมื่อ 15 ก.พ. 2564]. เข้าถึงได้จาก: http://www.nso.go.th/sites/2014/Pages/ActivityNSO/2564/07/A05-07-64-1.aspx. สํานักบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย. คู่มือดําเนินงาน ศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน. นนทบุรี: เดอะ กราฟิโก ซิสเต็มส์ จํากัด; 2562. สํานักบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย. คู่มือดําเนินงาน ศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน เล่ม2.นนทบุรี: เดอะ กราฟิโก ซิสเต็มส์ จํากัด; 2562. สํานักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม. คู่มือเครือข่ายคลินิกโรคจากการทํางาน พ.ศ. 2560. กรุงเทพฯ: สํานักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม; 2560.
210 210 รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน บุหลัน สุขเกษม และคณะ ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาลศรีสะเกษ บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยการมี ส่วนร่วมของชุมชน ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีขั้นตอนการวิจัย คือ 1)ศึกษาบริบทและสภาพปัญหาของการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 2)ระยะพัฒนารูปแบบการดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มตัวอย่างคือ ประชาชนกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้เกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุที่ มีภาวะพึ่งพิง จํานวน 38 คน ประกอบด้วย นายกเทศมนตรี หรือตัวแทน กรรมการกองทุน (LTC) แพทย์เวช ศาสตร์ครอบครัว นักกายภาพบําบัด ผู้นําชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้จัดการสุขภาพผู้สูงอายุในระยาว (Caremanager:CM) ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(Care giver:CG) และผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยใช้ หลักการจัดการคุณภาพ 4ขั้นตอน คือ 1)การวางแผน 2)การนําแผนไปปฏิบัติ 3)การประมวลผลข้อมูล และ 4) การสะท้อนผล (PAOR) จํานวน 3วงรอบ ผ่านกระบวนการสนทนากลุ่ม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการ สัมภาษณ์เชิงลึก การบันทึก และการสังเกต ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึง เดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มี ภาวะพึ่งพิงโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมืองอําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ รูปแบบในการพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง คือ PKESCVModel ประกอบด้วย1) P:Policy คือ นโยบายสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ด้านการดูแลรักษา ส่งเสริมสวัสดิการ และความมั่นคง ปลอดภัย 2)K:Knowledge andSkill คือ ความรู้และทักษะในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 3)E:Empowerment การเสริมสร้างพลัง 4)S:Socialsupport คือ สิ่งสนับสนุนทางสังคม5)C:Collaboration คือ การมีส่วนร่วมที่เข้มแข็ง ซึ่งความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจะนําไปสู่ความต่อเนื่องและยั่งยืน และ 6)V: Value คือ การให้คุณค่าต่อผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดการพัฒนารูปแบบการดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ค าส าคัญ: รูปแบบ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง การมีส่วนร่วม บทน า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในอาเซียนที่เข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged society) คือการที่มีจํานวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น มากกว่า ร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดจากนั้นจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” (Complete aged society) เมื่อมีประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดในปีพ.ศ.2564และจะเป็น“สังคมสูงวัย ระดับสุดยอด” (Super aged society) เมื่อมีประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด ประมาณปี พ.ศ.2574 จํานวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้น ทําให้ความต้องการดูแลเพิ่มขึ้นจากการเจ็บปุวยเรื้อรัง โดยเฉพาะหากประสบภาวะทุพลภาพอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีจํานวนผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง ได้หรือได้แต่มีข้อจํากัดเพิ่มมากขึ้นในเขตรับผิดชอบของศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง โรงพยาบาลศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะ เกษ ปี2565 มีจํานวนผู้สูงอายุ 1,982 คนเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จํานวน 78 คน พบว่ามีบางคนเกิด ภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่เป็นอยู่ บางคนอาการหนักขึ้น และเสียชีวิต และปัญหาที่พบในกระบวนการดูแลอื่นๆเช่น ผู้ช่วยเหลือดูแล (CG) ไม่สามารถให้การดูแลได้ตามแผนการพยาบาล ญาติยังไม่มั่นในในการดูแลของ Care Giver ส่วนระบบการเบิกจ่ายค่าตอบแทนของผู้ดูแลยังมีข้อจํากัดตามระเบียบของหน่วยบริการ เนื่องจากยังไม่ มีศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่ชัดเจน จากปัญหาในภาพรวมของการดําเนินงานที่ผ่านมา และผลกระทบ
211 211 ที่เกิดขึ้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยการมีส่วนร่วม ของชุมชน ในเขตรับผิดชอบของศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยให้ครอบครัวและภาคีเครือข่ายในชุมชนมีส่วนร่วมในการ ดูแล ช่วยให้ผู้สูงอายุกลุ่มพึ่งพิงมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องมีความพึง พอใจ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ศูนย์ สุขภาพชุมชนเขตเมือง อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ วิธีการศึกษา/การด าเนินงาน รูปแบบการศึกษา/วิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยใช้กระบวนการ คุณภาพ 4 ขั้นตอน PAOR ดังนี้P:Planning ขั้นการวางแผน โดยการวิเคราะห์บริบท นโยบาย และระบบการดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงร่วมกับผู้เกี่ยวข้องในชุมชน A:Action ขั้นปฏิบัติการ โดยกระบวนการ สนทนากลุ่มเพื่อ หารูปแบบในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน O:Observation ขั้นการสังเกต โดยกระบวนการ ติดตาม สนับสนุน ให้คําแนะนํา และประเมินการมีส่วนร่วม R:Reflection การสะท้อนผล เปรียบเทียบผลการ ดําเนินงานก่อนและหลังการพัฒนา ผ่านกระบวนการสนทนากลุ่ม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อนําไปสู่ กระบวนการวางแผนในวงรอบต่อไป ประชากรกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในเขตรับผิดชอบของศูนย์สุขภาพชุมชนเขต เมือง โรงพยาบาลพยาบาลศรีสะเกษ อําเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ นายกเทศมนตรีหรือตัวแทน กรรมการกองทุน LTC แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว นักกายภาพบําบัด ผู้นําขุมชน อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข (CM) ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (CG) จํานวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth Interview) แบบสนทนากลุ่มย่อย (Focus group Disscussion) และแบบสังเกตการณ์สนทนากลุ่มย่อย การเก็บรวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การบันทึก และการสังเกต ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึง เดือนมิถุนายนพ.ศ.2565 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหาประกอบด้วย ข้อมูลด้านบริบท ชุมชน กระบวนการพัฒนา และผลลัพธ์ของการพัฒนา ดังนี้ ส่วนที่1 การวิเคราะห์ข้อมูลด้านบริบทชุมชน ได้แก่ข้อมูลการสํารวจพื้นฐาน รายได้ โรค ประจําตัวจํานวนผู้ดูแลในครอบครัว/ชุมชน คะแนนการประเมินกิจวัตรประจําวัน(ADL)ในกลุ่มตัวอย่างที่เป็น ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ
212 212 ส่วนที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลด้านการดําเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยการมี ส่วนร่วมของชุมชน ศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ในการการวาง แผนการปฏิบัติการการสังเกตการณ์และการสะท้อนผลการปฏิบัติ เลขใบอนุญาตจริยธรรมในมนุษย์ SPPH 2022-037 ผลการศึกษา จากการศึกษาการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ศูนย์ สุขภาพชุมชนเขตเมือง อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นการศึกษาโดยการจัดกิจกรรมสนทนากลุ่ม ย่อย (Focus group) กลุ่มผู้ดูแลหลักและผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชน ตัวแทนองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ตัวแทน อสม.และผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน Care giver, Care manager ที่เน้นการสะท้อนปัญหา วิเคราะห์ปัญหา และนํามาพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ทําให้ได้รูปแบบการดําเนินงานดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เหมาะสมกับชุมชน ก่อนจะนํามาถอดบทเรียนจากกระบวนการที่ได้ดําเนินงานมาใช้ ในการสรุปรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยได้รูปแบบในการพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง คือ PKESCVModel ประกอบด้วย 1)P: Policy คือ นโยบายสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ด้าน การดูแลรักษา ส่งเสริมสวัสดิการ และความมั่นคงปลอดภัย 2)K: Knowledge and Skill คือ ความรู้และ ทักษะในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 3)E: Empowermentการเสริมสร้างพลัง 4)S: Social support คือ สิ่งสนับสนุนทางสังคม 5)C: Collaboration คือ การมีส่วนร่วมที่เข้มแข็ง ซึ่งความร่วมมือและเข้มแข็งจะ นําไปสู่ความต่อเนื่องและยั่งยืน และ 6)V: Value คือ การให้คุณค่าต่อผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ 1. สามารถนําผลการศึกษาดังกล่าวไปใช้วางแผนแก้ไข ปรับปรุงหาแนวทางในการพัฒนารูปแบบ การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2. สามารถนําผลการศึกษาไปทบทวนรูปแบบดูแลสุขภาพให้เหมาะสมกับบริบทผู้สูงอายุ ที่มีภาวะ พึ่งพิง อภิปรายสรุป จากการศึกษาการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ศูนย์สุขภาพ ชุมชนเขตเมือง อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ โดยการจัดกิจกรรมสนทนากลุ่มย่อย (Focus group) ในกลุ่มผู้ดูแล หลักและผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ กลุ่มผู้นําชุมชน ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวแทนอสม.และผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน Care giver, Care manager ที่เน้นการสะท้อนปัญหา วิเคราะห์ปัญหา และนํามาพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะ พึ่งพิง ทําให้ได้รูปแบบการดําเนินงานดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เหมาะสมกับชุมชน ก่อนจะนํามาถอดบทเรียนจาก กระบวนการที่ได้ดําเนินงานมาใช้ในการสรุปรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยได้รูปแบบในการพัฒนาการดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง คือ PKESCVModel ประกอบด้วย 1)P:Policy 2)K:Knowledge andSkill 3)E: Empowerment 4)S: Socialsupport5)C: Collaboration และ 6)V: Value ข้อเสนอแนะ ควรศึกษาผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่พัฒนาขึ้นโดยการติดตามประเมินในลักษณะ เปรียบเทียบระยะเวลาที่แตกต่างกันเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการดําเนินงานต่อไป
213 213 เอกสารอ้างอิง ณิสาชล นาคกุล.การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ปุวยเรื้อรังกลุ่มติดบ้าน ติดเตียงในเขตเทศบาลนครสุ ราษฎร์ธานีจังหวัดสุราษฎร์ธานี (วิทยานิพนธ์). สุราษฎร์ธานี; 2561 ทิพยรัตน์ กันทะ.การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง กรณีศึกษาโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตําบลสวด อําเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน (วิทยานิพนธ์). น่าน; 2564 วรางคณา ศรีภูวงษ์,ชาญยุทธ ศรีภูวงษ์ และ สุรศักดิ์ เทียบฤทธิ์.การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพ ผู้สูงอายุระยะยาวในกลุ่มที่มีภาวะพึ่งพิง ในเขตตําบลท่าขอนยาง อําเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม(วิทยานิพนธ์). มหาสารคาม; 2563 มูลนิธิสถาบันการวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย.สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ.2558. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์บริษัทอัมรินทร์พรินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จํากัด; 2558. สายใจ จารุจิตร, ราตรี อร่ามศิลป์ และวรรณศิริ ประจันโน.รูปแบบการเยี่ยมบ้านผู้ปุวยติดเตียงตาม ปัญหาและความต้องการของผู้ดูแล(วิทยานิพนธ์). จันทบุรี; 2562 สํานักงานสถิติแห่งชาติ.รายงานการสํารวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยปีพ.ศ.2560.กรุงเทพฯ: สํานักงานสถิติแห่งชาติ; 2561. สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.).คู่มือสนับสนุนการบริหารจัดการระบบการดูแลระยะ ยาวด้านสาธารณสุขสําหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.กรุงเทพฯ: สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.); 2557. อนุชา ลาวงค์และคณะ.รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด (วิทยานิพนธ์). ร้อยเอ็ด; 2564
214 214 การศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานศึกษา : กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ฉวีวรรณ เผ่าพันธุ์, มัณฑนา กลมเกลียว ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองราชภัฏศรีสวัสดิ์ โรงพยาบาลมหาสารคาม บทคัดย่อ การศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานศึกษา:กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ใน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และศึกษาผลลัพธ์ของกระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ต่อความรู้ การรับรู้ความเสี่ยง ความรุนแรง และพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ร่วมวิจัย ประกอบด้วย กลุ่มผู้แทนภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามคุณลักษณะส่วนบุคคล แบบทดสอบความรู้ แบบสอบถามการรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรง ของโรค แบบสอบถามพฤติกรรมการปูองกันโรค แบบบันทึกข้อมูลชุมชน แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสนทนากลุ่ม และแบบสังเกตการณ์การมีส่วนร่วม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะศึกษาสถานการณ์ ระยะที่ 2 ระยะพัฒนา โดยใช้แนวคิดของ Kemmis และ Mctaggart (1988)1 ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน การวางแผนการ ปฏิบัติงาน การลงมือปฏิบัติตามแผน การติดตามสังเกตการณ์ และการสะท้อนผล และระยะที่ 3 ระยะ ประเมินผล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ paired ttest และวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า 1)ก่อนการพัฒนา ประชาชนขาดความรู้เกี่ยวกับโรค ขาดการรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค มีพฤติกรรมการปูองกันโรคไม่เหมาะสม สถานศึกษาขาด มาตรการในการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2)กิจกรรมการพัฒนา ประกอบด้วย การให้ความรู้ การ เสริมสร้างการรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การพัฒนาพฤติกรรมการ ปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การออกแบบระบบบริการและการสร้างมาตรการในการปูองกันโรคติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานศึกษา 3)หลังการพัฒนา ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีความรู้ เกี่ยวกับโรค การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค ตลอดจนพฤติกรรมการปูองกันโรค และภาคี เครือข่ายมีส่วนร่วมในการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสําคัญทาง สถิติ (p<0.05) พบว่าผู้ปุวยโรคโควิด-19 อัตราปุวย 96.47 ต่อประชากรพันคน ปัจจัยแห่งความสําเร็จ คือ การ มีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ข้อเสนอแนะ สามารถนําไปใช้ในการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในพื้นที่อื่น โดยเน้นการบูรณาการเรียนรู้แบบสหวิชาชีพ (Inter-professional Education:IPE) ให้กับ แกนนํานักศึกษาในสถานศึกษาก่อให้เกิดความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพในสถานศึกษาต่อไป บทน า จังหวัดมหาสารคามซึ่งได้ถือได้ว่า“เมืองแห่งการศึกษา ตักสิลานคร”เป็นที่ตั้งสถานศึกษา ทุกระดับ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามถือว่าสถานศึกษาที่มีขนาดใหญ่ มีนักศึกษาจํานวนมาก ในช่วงการแพร่ ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีการเดินทางเคลื่อนย้ายเข้า-ออกของประชากรที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น ตลอดเวลา ซึ่งสาเหตุหลักของการระบาดในจังหวัดมหาสารคาม คือการแพร่ระบาดในกลุ่มร่วมวง กิน ดื่ม สังสรรค์ในสถานบันเทิง เล่นกีฬาร่วมกัน ส่วนใหญ่จะมีภูมิลําเนาต่างจังหวัด ทําให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปสู่คนในครอบครัวที่อยู่พื้นที่ต่างจังหวัดหรือในทางตรงกันข้ามก็นําเชื้อจาก ครอบครัวมาแพร่สู่เพื่อนและคนใกล้ชิดที่จังหวัดมหาสารคามได้เช่นกัน
215 215 ข้อมูลสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม ณ วันที่ 9 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 พบผู้ปุวยยืนยัน จํานวน 35,831 คน และผู้ปุวยเสียชีวิตสะสม จํานวน 142 คน และข้อมูลจากศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองราชภัฏศรีสวัสดิ์ พบว่า มีผู้ปุวยสะสม จํานวน 1,584 ราย ส่วน ใหญ่เป็นกลุ่มของนักศึกษา จํานวน 1,482 ราย คิดเป็นร้อยละ 93.56 บุคลากรและอาจารย์ จํานวน 102 ราย คิดเป็นร้อยละ 6.44 ซึ่งจากการวิเคราะห์เหตุการณ์ช่วงระยะเวลาที่พบผู้ปุวยมากที่สุด คือ ช่วงเวลาเปิดทําการ เรียนการสอนออนไลน์ จากการเก็บข้อมูลในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่า ประชาชนมีความกลัวติดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 89.12 มีความวิตกกังวล และความเครียดต่อสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 87.91 สาเหตุของปัญหา พบว่า ประชาชนกลุ่มเปูาหมายขาดความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เนื่องจาก เป็นโรคอุบัติใหม่ ยังไม่ได้รับรู้มาก่อน ขาดความตระหนักเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทําให้ปฏิบัติตัว ไม่ถูกต้องและเหมาะสม ตลอดจนยังไม่มีรูปแบบแนวทางการดําเนินงานที่ชัดเจน ภาระงานส่วนใหญ่ยังคงเป็น ของบุคลากรด้านสาธารณสุขอันอาจจะเกิดจากขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในการนี้ผู้วิจัยจึงต้องการที่ จะศึกษาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ใน สถานศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานศึกษาโดย กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในชุมชน และนําผลลัพธ์ที่ได้โดยนําไปปรับใช้ในพื้นที่สถานศึกษา ระดับอุดมศึกษาอื่นต่อไปได้ วัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ในมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และศึกษาผลลัพธ์ของกระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วม ของภาคีเครือข่ายต่อความรู้ การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรง และพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 วิธีการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การศึกษาครั้งนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ จริยธรรมการวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์โรงพยาบาลมหาสารคาม (MSKH_REC65-01-039) ผู้ร่วมวิจัย ประกอบด้วย คณะกรรมการบริหารสถานศึกษา แกนนําบุคลากรและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย กลุ่มผู้แทนภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ผู้นําสโมสรนักศึกษา อาสาสมัครนักศึกษาในมหาวิทยาลัย (อสน.ม.) ตัวแทน อสม. ตัวแทนผู้นําชุมชนในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม และตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัย รวมจํานวน 365 คน คัดเลือกผู้เข้าร่วมวิจัยแบบเจาะจง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะศึกษาสถานการณ์ ระยะที่ 2 ระยะพัฒนาโดยใช้แนวคิดของ Kemmis และ Mctaggart (1988)5 ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน การวางแผน ปฏิบัติงาน การลงมือปฏิบัติตามแผน การติดตามสังเกตการณ์ และการสะท้อนผลการปฏิบัติงาน และระยะที่ 3 ระยะประเมินผล ดําเนินการในช่วงเดือนมกราคมพ.ศ. 2564 – เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบเกี่ยวกับความรู้ การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรง พฤติกรรมการปูองกันควบคุมโรค ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการปูองกันควบคุมโรคปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แนวทางการประชุม และสนทนากลุ่ม แบบสรุปการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ โรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถ 3 ท่าน โดยมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคติดต่อ ระบาดวิทยา และอาจารย์ด้านการวิจัย นําแบบสอบถามที่แก้ไขไป
216 216 ทดลองใช้ (Try out) เพื่อหาความเที่ยง โดยการทดสอบกับแกนนําสุขภาพและนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬา แห่งชาติ วิทยาเขตมหาสารคาม จํานวน 30 ชุด แล้วนําข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาคุณภาพโดยแบบทดสอบ ความรู้เกี่ยวกับโรค ด้วยวิธีการของ KR-20 ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.82 ส่วนแบบสอบถามการรับรู้ความ เสี่ยงและความรุนแรงของโรค และแบบสอบถามพฤติกรรมการปูองกันโรค และการมีส่วนร่วมหาค่าความ เชื่อมั่นด้วยวิธีการของครอนบาช ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.80, 0.78 และ0.86 ตามลําดับ การวิเคราะห์ ข้อมูล ข้อมูลคุณลักษณะส่วนบุคคล วิเคราะห์ด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบความรู้ การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค และพฤติกรรมการปูองกันและควบคุม โรค การมีส่วนร่วมการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระหว่างก่อนกับหลังการพัฒนา วิเคราะห์ด้วยสถิติทดสอบ paired t-test ส่วนข้อมูลชิงคุณภาพ วิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา 1) ก่อนการพัฒนา ได้มีการระบาดของโรคซึ่งถือว่าเป็นโรคอุบัติใหม่ ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับโรคติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับปานกลาง ( ̅= 14.65, S.D.= 0.86) การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับมาก ( ̅= 3.91, S.D.= 0.74) มีพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโร นา 2019 อยู่ในระดับมาก ( ̅= 3.89, S.D.= 0.57) การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการปูองกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับน้อย ( ̅= 2.72, S.D.= 0.63) 2) กิจกรรมการพัฒนาสร้างการมีส่วนร่วม ร่วม คิด ร่วมวางแผน ร่วมดําเนินการ ร่วมประเมินผล ร่วมรับผลประโยชน์ พร้อมกับการให้ความรู้ การเสริมสร้างการ รับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และพัฒนาพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 การออกแบบระบบบริการและการสร้างมาตรการในการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานศึกษา (3) การประเมินผลหลังการพัฒนากลุ่มเปูาหมาย มีคะแนนเฉลี่ยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมใน การปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับมากที่สุด อันอาจส่งผลต่อความรู้ การรับรู้ความเสี่ยงและ ความรุนแรงของโรค และพฤติกรรมการปูองกันโรคที่เพิ่มสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p < 0.05) และสถานการณ์ของผู้ปุวยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่าจํานวน 1,584 ราย คิดเป็นอัตราปุวย 96.47 ต่อประชากรพันคน ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคโควิด-19 คะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความเสี่ยง และ ความรุนแรงของโรคโควิด-19 และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการปูองกันโรคโควิด-19 และการมีส่วนร่วมในการ ปูองกันและควบคุมโรคระหว่างก่อนกับหลังการพัฒนา ตัวแปร ก่อนการพัฒนา หลังการพัฒนา t P-value ̅ S.D. ̅ S.D. 1. ความรู้เกี่ยวกับโรค 14.65 0.86 19.23 0.52 18.54 0.024 2. การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค 3.91 0.74 4.87 0.58 9.12 0.042 3. พฤติกรรมปูองกันโรค 3.89 0.57 4.49 0.44 8.25 0.048 4. การมีส่วนร่วมในการปูองกันและควบคุมโรค 2.72 0.63 4.64 0.43 5.65 0.032
217 217 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ หลังจากการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ในมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ส่งผลให้มีระบบการปูองกันและควบคุมโรค และระบบ การช่วยเหลือนักศึกษา อาจารย์ บุคลากร และประชาชนที่ได้รับผลกกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาคการศึกษามหาวิทยาลัย ภาครัฐ ภาคท้องถิ่น และภาคประชา สังคม ทั้งนี้สามารถพัฒนาเป็นระบบเพื่อรองรับกับการระบาดระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ อย่างมีประสิทธิภาพและการเตรียมความพร้อมเปลี่ยนผ่านสู่โรคประจําถิ่นต่อไป อภิปราย สรุปผลและข้อเสนอแนะ จากสภาพปัญหา พบว่า ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับน้อย จึงได้ดําเนินการพัฒนาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย การวิเคราะห์สภาพปัญหา วาง แผนการ/มาตรการปูองกัน ลงมือปฏิบัติ การสังเกตการณ์และการสะท้อนผลการดําเนินงานต่าง ๆ และถอด บทเรียนร่วมกัน เนื่องจากเห็นความสําคัญและตระหนักว่าการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นเรื่องของทุกคนทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมมือกันให้ผ่านพ้นวิกฤตการไปได้ บูรณาการเรียนรู้แบบสห วิชาชีพ ก่อให้เกิดความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพในสถานศึกษาต่อไป และหลังการพัฒนา พบว่า ผู้เข้าร่วมวิจัยมีคะแนนเฉลี่ยการมีส่วนร่วมในการปูองกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สูงกว่าก่อน การพัฒนาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ p = 0.032 สอดคล้องกับการศึกษาของกาญจนา ปัญญาธรและ คณะ (2563)1 ศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการปูองกันโรคโควิด-19 พบว่า บุคลากรทางสุขภาพและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนํากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ตั้งแต่การสร้างแบบสํารวจ การกําหนดพื้นที่ และทีมงานสํารวจแล้วนําไปสู่การวางแผนการดําเนินงานกําหนดกิจกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกับเจ้าหน้าที่ สาธารณสุขบนพื้นฐานของชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อนําไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีในการดําเนินงานด้านการวาง แผนการปูองกันและควบคุมโรค ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มขึ้นใน ระดับปานกลาง สอดคล้องกับการศึกษาของณิภารัตน์ ปัญญาและคณะ (2564)3 พบว่า ระดับความรู้การ ปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 57.22) ส่งผลต่อการรับรู้ความเสี่ยงและ ความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ สอดคล้องกับสุภาพร วงธี (2564)4 พบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรม การปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019และพฤติกรรมการปูองกันโรคโควิด-19 สอดคล้องกับการศึกษาของ ดรัญชนก พันธ์สุมาและคณะ (2564) 2 พบว่า ความรู้และทัศนคติมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการปูองกันโควิด19 ปัจจัยส่วนบุคคลมีความสัมพันธ์กับระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม จากการศึกษานี้สามารถนํากระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายไปใช้ในการปูองกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานศึกษาในทุกระดับ เพื่อให้การดําเนินงานปูองกันและควบคุมโรค ติดเชื้อไวรัสโคโร นา 2019 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับนโยบายโรคประจําถิ่นต่อไป
218 218 เอกสารอ้างอิง กาญจนา ปัญญธร, กฤษณา ทรัพย์สิริโสภา, กมลทิพย์ ตั้งหลักมั่นคง, และวรรธนี ครองยุติ. การมีส่วน ร่วมของชุมชนในการปูองกันโรค COVID-19 บ้านหนองสวรรค์ ตําบลเชียงพิณ อําเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี2564;32:189-204. ดรัญชนก พันธ์สุมา, พงษ์สิทธิ์ บุญรักษา. ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการปูองกันโควิด-19 ของ ประชาชนในตําบลปรุใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา. ศรีนครินทร์เวชสาร 2564;36 :597- 604. ณิภารัตน์ ปัญญา, กิจปพน ศรีธานี, มณฑิรา จันทวารีย์, และอดิศักดิ์ พละสาร. ความรู้ เจตคติ และ การปฏิบัติตัวในการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. ว.มรม 2564;5:183-192. สุภาพร วงธี. ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของอาสาสมัคร สาธารณสุขประจําหมู่บ้าน จังหวัดสุโขทัย. วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร; 2564. Kemmis, S., & McTaggart, R The Action Research Planner (3rd ed.). Geelong, Australia: Deakin University; 1988.
219 219 กรณีศึกษา : การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตจากการเสพแอมเฟตามีน (Nursing care of patients amphetamine induced psychotic disorder) อมรศรี ฉายศรี โรงพยาบาลบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บทคัดย่อ สถานการณ์โรคจิตจากยาเสพติดเพิ่มจํานวนขึ้นต่อเนื่อง เราพบว่าผู้ที่มีอาการทางจิตเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลจิตเวชประมาณร้อยละ 10-20 มีสาเหตุมาจากการดื่มสุราและใช้ยาเสพติด การนํามาตรฐานการ พยาบาลในชุมชนมาใช้ร่วมกับหลักการพยาบาลจิตเวชในการดูแลผู้ปุวยจิตเภทในชุมชนช่วยให้ผู้ปุวยมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น วัตถุประสงค์1.เพื่อนํากระบวนการพยาบาลมาใช้ในการดูแลผู้ปุวยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีน 2.เพื่อ เป็นแนวทางในการดูแลผู้ปุวยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีนจากโรงพยาบาลต่อเนื่องถึงชุมชน วิธีการศึกษา คัดเลือกผู้ปุวยแบบเจาะจง 2 ราย ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีน นํามาตรฐานการพยาบาล จิตเวชชุมชนประกอบด้วย การประเมินภาวะสุขภาพ การวินิจฉัยภาวะสุขภาพ การวางแผนการพยาบาล ปฏิบัติการพยาบาล ประเมินผลการพยาบาล และการดูแลต่อเนื่อง โดยกําหนดเปูาหมายการพยาบาล เป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1.เพื่อให้ผู้ปุวยมีความปลอดภัยจากภาวะหวาดระแวง ได้รับการเสริมสร้างสัมพันธภาพและความ ไว้วางใจ ร่วมมือให้การรักษาด้วยยา 2.เพื่อปูองกันไม่ให้ผู้ปุวยกลับไปเสพสารเสพติดซ้ํา 3.เพื่อส่งเสริมศักยภาพ การดูแลตนเองของผู้ปุวย และพัฒนาการมีส่วนร่วมของครอบครัวให้ดูแลผู้ปุวยได้อย่างถูกต้อง สรุปผลการศึกษา การนํามาตรฐานการพยาบาลจิตเวชชุมชน มาใช้ในการดูแลผู้ปุวยที่มีอาการทางจิตจากการใช้ยาเสพติดในชุมชน ร่วมกับการบําบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดสารเสพติด ช่วยให้ผู้ปุวยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บทน า ปัญหาการใช้สารเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ที่มีการแพร่ระบาดและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ติดสาร เสพติดจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดอาการทางจิต มีภาวะหวาดระแวง ได้แก่ อาการหลงผิด ประสาทหลอน ซึ่งจะนําไปสู่พฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรง มีการทําร้ายตนเอง ทําร้ายบุคคลใกล้ชิด ที่มักจะเห็นในข่าวปัจจุบันอยู่เป็นประจํา อําเภอบางปะอินเป็นพื้นที่การระบาดของยาเสพติดสูงเป็นลําดับต้นๆของภาคกลาง เนื่องจากมี สถานประกอบการจํานวนมาก มีนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ 2 แห่ง เป็นเส้นทางลําเลียง อยู่ใกล้พื้นที่ค้าและ แพร่ระบาดสําคัญ จึงมีผู้เข้ารับการบําบัดรักษามากเป็นลําดับต้นของจังหวัด ในปีบประมาณ 2563 มีผู้เข้ารับ การบําบัดรักษาทั้งหมด 197คน เป็นผู้ปุวยยาเสพติดที่มีอาการทางจิตมีภาวะความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง ( Serious Mental Illness with High Risk to Violence: SMI-V ) 6 คน และในปีงบประมาณ 2564 มีผู้เข้า รับการบําบัดรักษาทั้งหมด 210 คน เป็นผู้ปุวยยาเสพติดที่มีอาการทางจิตมีภาวะความเสี่ยงต่อการก่อความ รุนแรง10 คนพบว่ามีผู้ปุวย SMI-V เพิ่มมากขึ้น จึงทําการศึกษาโดยนํากระบวน การพยาบาลมาใช้ร่วมกับการ บําบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดสารเสพติดแบบ Matrix Program และ Motivation Interview เพื่อเป็นแนวทาง ในการดูแลผู้ปุวยที่มีอาการทางจิตจากแอมเฟตามีน จากโรงพยาบาลต่อเนื่องถึงชุมชน ช่วยลดการกลับไปเสพ ซ้ําและปูองกันการก่อความรุนแรงในชุมชน วัตถุประสงค์การศึกษา 1. เพื่อนํากระบวนการพยาบาลมาใช้ในการดูแลผู้ปุวยโรคจิตจากแอมเฟตามีน 2. เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ปุวยโรคจิตจากแอมเฟตามีนต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน
220 220 วิธีการศึกษา/การด าเนินงาน 1. คัดเลือกผู้ปุวยแบบเจาะจง 2 ราย ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคจิตจากแอมเฟตามีน 2. ดําเนินการศึกษา ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 โดยนํามาตรฐานการ พยาบาลจิตเวชชุมชนประกอบด้วย การประเมินภาวะสุขภาพ การวินิจฉัยภาวะสุขภาพ การวางแผนการ พยาบาล ปฏิบัติการพยาบาล ประเมินผลการพยาบาล และการดูแลต่อเนื่อง กําหนดเปูาหมายการพยาบาล เป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 เพื่อให้ผู้ปุวยมีความปลอดภัยจากภาวะหวาดระแวง ได้รับการเสริมสร้าง สัมพันธภาพและความไว้วางใจร่วมมือให้การรักษาด้วยยา ระยะที่ 2 เพื่อปูองกันไม่ให้ผู้ปุวยกลับไปเสพสาร เสพติดซ้ํา ระยะที่ 3 เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ปุวยและพัฒนา การมีส่วนร่วมของครอบครัวให้ ดูแลผู้ปุวยได้อย่างถูกต้อง 3. สรุปผลการปฏิบัติการพยาบาล ผลการศึกษา กรณีศึกษาครั้งนี้ นําเสนอผลการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ การประเมินภาวะสุขภาพ การ วางแผนการพยาบาล และการติดตามประเมินผล โดยมีรายละเอียด ดังน ี้ การประเมินภาวะสุขภาพ รายที่ 1 เพศชายอายุ 33 ปี ประวัติใช้ยาบ้ามา 8 ปี มีอาการหวาดระแวง แพทย์วินิจฉัย Paranoid schizophrenia , amphetamine induced psychotic disorder เริ่มรักษาวันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2560 ด้วยยา Haloperidol Decanoate 150 mg. im , Trihexyphenidyl (5) 1x2 pc , Vitamin B1 (100) 2x2 pc , D5 2xhs ปีพ.ศ. 2563 ไปใช้ยาบ้าซ้ําอาการกําเริบญาติจึงแจ้งให้ตํารวจมาดําเนินคดีส่ง บําบัด ในระบบบังคับบําบัด เมื่อวันที่ 5 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 รายที่ 2 เพศชายอายุ 24 ปี ประวัติใช้ยาบ้ามา10 ปี มีอาการหวาดระแวงทําร้ายมารดา แพทย์ วินิจฉัย Paranoid schizophrenia, amphetamine induced psychotic disorder รักษาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ด้วยยา Fluphen 50 mg. im เดือนละครั้ง, Fluoxetine(20) 2x1, Trihexphenidyl (5) 1x2 , Clonazepam(2) 1xhs , B1 1x2 , Perphenazine (8) 2xhs อาการกําเริบเนื่องจากกลับไปใช้ยาบ้า และดื่มสุรา ตํารวจตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะ ดําเนินคดี ส่งเข้าระบบบังคับบําบัด เมื่อวันที่ 13 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 การประเมินสุขภาพกาย ทั้ง 2 ราย ไม่พบความผิดปกติไม่มีโรคประจําตัว สัญญาณชีพปกติ การประเมินสุขภาพจิต ไม่มีภาวะซึมเศร้า ไม่มีความเสี่ยงทําร้ายตนเอง มีความเสี่ยงทําร้ายผู้อื่น หวาดระแวงและมี พฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิด เป็นผู้ปุวยยาเสพติดที่มีอาการทางจิตมีภาวะความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง (Serious Mental Illness with High Risk to Violence: SMI-V ) วินิจฉัยภาวะสุขภาพ ทั้ง 2 ราย ได้รับการวินิจฉัย Paranoid schizophrenia , amphetamine induced psychotic disorder
221 221 การวางแผนการพยาบาล และการติดตามประเมินผล วินิจฉัยทางการพยาบาล : เสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อผู้อื่น เนื่องจากมีความคิดหวาดระแวง วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ปุวยมีความปลอดภัยจากภาวะหวาดระแวง ได้รับการเสริมสร้างสัมพันธภาพและความ ไว้วางใจร่วมมือให้การรักษาด้วยยา กิจกรรมการพยาบาล 1.สร้างความไว้วางใจในการติดต่อกับผู้ปุวยแบบตัวต่อตัว (one to one relationship) โดย เน้นการสร้างความไว้วางใจและความเชื่อถือ ทุกครั้งที่พบกับผู้ปุวย 2. ยอมรับผู้ปุวยโดยการเรียกชื่อให้ถูกต้อง รับฟังเรื่องราวอย่างสนใจเพื่อให้ผู้ปุวยเกิดความไว้วางใจ 3. การสื่อสารกับผู้ปุวยต้องเปิดเผยรักษาคําพูด ให้ข้อมูลอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา 4. แสดงการยอมรับอาการประสาทหลอน หรือหวาดระแวงของผู้ปุวย โดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายว่าที่ ผู้ปุวยเล่าไม่เป็นความจริง แต่แสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งได้โดยใช้เทคนิคการให้ความจริง (presenting reality) ในขณะการสนทนา เพื่อช่วยให้ผู้ปุวยเกิดความเข้าใจว่าความคิดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการเจ็บปุวยที่ เกิดขึ้นและหวาดระแวงน้อยลง 5. ไม่แสดงกิริยาที่อาจทําให้ผู้ปุวยเกิดความสงสัยหรือไม่มั่นใจ ระมัดระวังการกระซิบต่อหน้าผู้ปุวย เพราะผู้ปุวยอาจเข้าใจว่าพยาบาลนินทา หรือระแวง 6. ดูแลให้ผู้ปุวยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อช่วยลดอาการหวาดระแวง 7. ประเมินอาการหวาดระแวงทุกครั้งที่มารับบริการ โดยสอบถามทั้งจากผู้ปุวยและญาติ เพื่อ ประเมินอาการและให้การพยาบาลได้เหมาะสม ประเมินผลการพยาบาล 1. ผู้ปุวยและผู้อื่นปลอดภัยจากอันตราย ที่เกิดขึ้นจากความคิดหวาดระแวง 2. ผู้ปุวยร่วมมือกินยา/กินยาต่อเนื่องและปลอดภัยจากอาการไม่พึงประสงค์จากยา 3. ผู้ปุวยมาเข้ารับการบําบัดตามนัดทุกครั้ง วินิจฉัยทางการพยาบาล : เสี่ยงต่อการกลับไปเสพสารเสพติดซ้ําเนื่องจากขาดแรงจูงใจในการเลิกเสพยา เสพติด วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ปุวยไม่กลับไปเสพสารเสพติดซ้ํา กิจกรรมการพยาบาล 1. สํารวจแรงจูงใจในการเลิกยาเสพติด 2. สร้างแรงจูงใจ โดยให้ผู้ปุวยบอกถึงประวัติการใช้ยาที่ผ่านมา และผลกระทบจากการใช้ยาเสพติด 3. ให้ผู้ปุวยพิจารณาปัจจัยความสําเร็จและอุปสรรคในการเลิกยาเสพติด 4. ให้คําปรึกษารายบุคคล / ครอบครัว ตามโปรแกรม matrix program ประเมินผลการพยาบาล 1. แรงจูงใจอยู่ในระดับลงมือปฏิบัติ บอกผลกระทบจากการใช้ยาได้ บอกปัจจัยความสําเร็จและ อุปสรรคในการเลิกยาเสพติดได้ 2. เปูาหมายในชีวิตคือมีงานทํา มีเงินเก็บ วางแผนปูองกันการติดซ้ํา โดยการจัดการกับตัวกระตุ้นได้ และเข้ารับการบําบัดครบตามโปรแกรม วินิจฉัยทางการพยาบาล : เสี่ยงต่อการมารักษาซ้ําเนื่องจากผู้ปุวยและญาติขาดความรู้ความเข้าใจในการ ปฏิบัติตัวและดูแล
222 222 วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ปุวยและพัฒนาการมีส่วนร่วมของครอบครัวให้ดูแล ผู้ปุวยได้อย่างถูกต้อง กิจกรรมการพยาบาล 1. ส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ปุวย การร่วมมือในการรักษาด้วยยาและพัฒนาการมี ส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้ปุวย โดย - ให้ความรู้กับผู้ปุวยและญาติ ถึงพยาธิสภาพของโรค แผนการรักษาพยาบาล และการดูแล ช่วยเหลือผู้ปุวย - สอนให้ผู้ปุวยและญาติสังเกตอาการเตือนก่อนอาการทางจิตกําเริบ - เสริมสร้างพลังอํานาจ และสอนทักษะการจัดการกับความเครียดให้กับผู้ดูแล - ให้ข้อมูลในแหล่งที่สามารถช่วยเหลือได้ในกรณีฉุกเฉินแก่ผู้ดูแล เบอร์โทรฉุกเฉิน 1669 - แนะนําญาติให้ใช้การสื่อสารทางบวก ชมเชยผู้ปุวยเมื่อทํากิจกรรมร่วมกับครอบครัวได้เพื่อให้ ผู้ปุวยเกิดความมั่นใจและภาคภูมิใจในตนเอง 2. พัฒนาทักษะพยาบาลที่รพ.สต.ในการติดตามดูแลช่วยเหลือผู้ปุวยและครอบครัว 3. มีเกณฑ์การส่งต่อลงรพ.สต.และช่องทางการส่งต่อจากรพ.สต.เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ประเมินผลการพยาบาล 1. ผู้ปุวยมีสัมพันธภาพในครอบครัวและผู้อื่นดีขึ้น สามารถดูแลกิจวัตรประจําวันตัวเองได้ 2. ผู้ปุวยรายที่ 1 สามารถช่วยงานค้าขายในร้านขายของครอบครัวได้รายที่ 2 ยังไม่สามารถทํางาน ได้ มีปัญหาสุขภาพล้มไหล่หลุด ได้รับรักษาโดยการผ่าตัด อยู่ในระหว่างการรักษา 3. พยาบาลที่รพ.สต.สามารถติดตามดูแลช่วยเหลือผู้ปุวยและครอบครัวได้ 4. รายที่ 1 เลิกดื่มสุรา และเลิกใช้ยาเสพติด รายที่ 2 ยังแอบไปดื่มสุรา และกลับไปใช้ยาเสพติดซ้ํา ในปริมาณน้อยลง เป็นครั้งคราว 5. ประเมินคุณภาพชีวิตโดยเครื่องชี้วัดคุณภาพชีวิตขององค์กรอนามัยโลกชุดย่อ(WHOQOL-BREFTHAI) พบว่ารายที่ 1 คะแนนคุณภาพชีวิตโดยรวมก่อน 69 แปลผล มีคุณภาพชีวิตโดยรวมระดับ กลางๆ (61- 95คะแนน) คะแนนหลัง 98 แปลผล มีคุณภาพชีวิตโดยรวมระดับที่ดี (96-130คะแนน) รายที่ 2 คะแนน คุณภาพชีวิตโดยรวมก่อน 65 แปลผล มีคุณภาพชีวิตโดยรวมระดับกลางๆ (61-95คะแนน) คะแนนหลัง 97 แปลผล มีคุณภาพชีวิตโดยรวมระดับดี(96-130คะแนน) การดูแลต่อเนื่อง ส่งต่อการดูแลให้ทีมสุขภาพชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข และ ชุมชนร่วมการดูแลต่อเนื่อง โดยมีเกณฑ์การส่งต่อเครือข่ายเมื่อผู้ปุวยมีพฤติกรรมและอาการดังนี้ 1. อาการทางจิตสงบ 2. ไม่มีอาการหลงผิดประสาทหลอนที่เป็นอันตราย 3. ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมได้ 4. ไม่มีความเสี่ยงต่อการทําร้ายตนเอง ผู้อื่น และทรัพย์สิน 5. สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจําวันได้ด้วยตนเอง 6. สื่อสารความต้องการของตนกับผู้อื่นได้ 7. ญาติและผู้ดูแลมีทัศนคติที่ดี มีความรู้ในการดูแล สามารถประเมินอาการกําเริบของผู้ปุวยได้
223 223 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ นําผลการศึกษาไปใช้ในการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ปุวยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวงที่ใช้สาร เสพติดและการจัดการผู้ปุวยรายกรณีในการดูแลผู้ปุวยที่มีอาการทางจิตจากการใช้สารเสพติด อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ ผู้ปุวยทั้ง 2 ราย เป็นผู้ปุวยยาเสพติดที่มีอาการทางจิตมีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง มีอาการ กําเริบซ้ําจากการใช้ยาบ้าและดื่มสุรา จึงใช้กลวิธีหลากหลายในการดูแลเพื่อให้ผู้ปุวยและผู้อื่นมีความปลอดภัย จากภาวะหวาดระแวง ผู้ปุวยไม่กลับไปเสพยาเสพติดซ้ํา และส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ปุวย พัฒนาการมีส่วนร่วมของครอบครัวให้ดูแลผู้ปุวยได้อย่างถูกต้อง จุดเด่นในการดูแลผู้ปุวยทั้ง 2 รายนี้คือ นํา มาตรฐานการพยาบาลจิตเวชชุมชนประกอบด้วย การประเมินภาวะสุขภาพ การวินิจฉัยภาวะสุขภาพ วาง แผนการพยาบาล ปฏิบัติการพยาบาล ประเมินผลการพยาบาล และการดูแลต่อเนื่องร่วมกับการบําบัดฟื้นฟู สมรรถภาพผู้ติดสารเสพติดแบบ Matrix Program และ Motivation Interview จะเห็นว่าผู้ปุวยกรณีศึกษา รายที่ 1 มีแนวโน้มของการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจดีกว่ารายที่ 2 เพราะครอบครัวมีความสนใจในการ ดูแลช่วยเหลือกันดีผู้ปุวยไม่ดื่มสุรา ดังนั้นเมื่อเสริมสร้างทักษะการดูแลผู้ปุวยอย่างถูกต้องให้กับครอบครัว กรณีศึกษาที่1 จึงทําให้ผู้ปุวยได้รับการดูแลช่วยเหลือจนมีภาวะสุขภาพดีขึ้น ชี้ให้เห็นว่าการนํามาตรฐานการ พยาบาลจิตเวชชุมชนมาใช้ในการดูแลผู้ปุวยที่มีอาการทางจิตจากการใช้ยาเสพติดในชุมชน ช่วยให้ผู้ปุวยมี คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เอกสารอ้างอิง กรมการแพทย์และกรมสุขภาพจิต. คู่มือการบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแบบผู้ปุวยนอกตามรูปแบบ กาย-จิต-สังคมบําบัด (Matrix Program) ; 2544. กรมสุขภาพจิต. คู่มือผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการเข้าถึงบริการและดูแลผู้ปุวยโรคจิต สําหรับ พยาบาล/นักวิชาการสาธารณสุขฉบับปรับปรุง. บริษัท ดีน่าดู มีเดีย พลัส จํากัด; 2560. กรมสุขภาพจิต. แนวทางการติดตามดูแลต่อเนื่องผู้ปุวยจิตเวชสุรา/ยา/สารเสพติด (ฉบับทดลองใช้). บริษัท พรอสเพอรัสพลัส จํากัด; 2563. กรมสุขภาพจิตและสํานักการพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข. มาตรฐานการพยาบาลจิตเวชและ สุขภาพจิต; 2556 กิตต์กวี โพธิ์โน และคณะ. ประสิทธิผลการบําบัด Co-occurring disorder (COD) Interventionใน ผู้ปุวยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีน.วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย 2561. สํานักการพยาบาลสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข.มาตรฐานการพยาบาลในชุมชนปทุมธานี: สํานักพิมพ์สื่อตะวันจํากัด; 2559 สํานักงานหลักประกันสุขภาพ. คู่มือการดูแลผู้ปุวยจิตเวชเรื้อรังกลุ่มเสี่ยงในชุมชนสําหรับบุคลากร หน่วยบริการระดับปฐมภูมิ. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจํากัดแสงจันทร์การพิมพ์; 2559. ผ่องศรี งามดี. การพยาบาลผู้ปุวยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง:กรณีศึกษา. วารสารสํานักงาน สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น 2563; 2(2) : 265-280.
224 224 พิชัย แสงชาญชัย.การสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจ.(เข้าถึงเมื่อ 4 มีนาคม 2564) แหล่งข้อมูล : http://www.tyrkk.go.th/center/media/kunena/attachments/583/MotivationalInterviewi ng.pdf. สถาบันธัญญารักษ์ กรมการแพทย์. คู่มือการบําบัดความคิดและพฤติกรรมในผู้ปุวยเมทแอมเฟตามีน: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2557. สุวัฒน์ มหันตนิรันดร์กุล. เครื่องชี้วัดคุณภาพชีวิตขององค์กรอนามัยโลกชุดย่อฉบับภาษาไทย: โครงการจัดทําโปรแกรมสําเร็จรูปในการสํารวจสุขภาพจิตในพื้นที่; 2545 . อมรา ศิริกุล. การใช้มาตรฐานการพยาบาลในชุมชนในผู้ปุวยจิตเวช:กรณีศึกษาผู้ปุวยโรคจิตเภทที่มี ความคิดหวาดระแวง. วารสารโรงพยาบาลพิจิตร 2556;28(1):81-89.
225 225 การพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง : กรณีศึกษา นางสายใจ เอื้อรักสกุล โรงพยาบาลพาน จังหวัดเชียงราย บทคัดย่อ โรคจิตเภท (schizophrenia) เป็นโรคที่พบ ร้อยละ 40.00-50.00 ของผู้ปุวยจิตเวชทั้งหมด สถิติของ ผู้รับบริการในโรงพยาบาลพานที่ผ่านมา พบว่า โรคทางจิตเวชมีจํานวนเพิ่มขึ้น โดยพบว่า โรคจิตเภท พบมาก เป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 52.67-58.96 ของผู้ปุวยจิตเวชทั้งหมด มีผู้ปุวยจิตเภทชนิดหวาดระแวงที่อาการ กําเริบซ้ํา/ส่งต่อ คิดเป็นร้อยละ 20.3 และ 13.65 ในปีพ.ศ.2563-2564 ตามลําดับซึ่งพยาบาลมีบทบาทสําคัญ ในการใช้กระบวนการพยาบาลประยุกต์องค์ความรู้สู่การดูแลผู้ปุวยให้ครอบคลุมด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม และเมื่อผู้ปุวยกลับไปอยู่บ้าน/ ครอบครัว/ ชุมชน ญาติหรือผู้ดูแลจะเป็นบุคคลสําคัญคนหนึ่งที่มี หน้าที่ในการดูแลผู้ปุวยเพี่อปูองกันการกลับเป็นซ้ําของอาการ ส่งผลให้ผู้ปุวยมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถใช้ชีวิต อยู่ร่วมกับครอบครัวและสังคมได้อย่างปกติสุข กรณีศึกษานี้เป็นการดูแลผู้ปุวยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง รักษาที่คลินิกจิตเวช โรงพยาบาลพาน จังหวัดเชียงราย โดยมีอาการกําเริบซ้ํา จากการรับประทานยาไม่ ต่อเนื่อง ใช้สุราและยาเสพติด ครอบครัวมีการดูแลที่ไม่ถูกต้อง วัตถุประสงค์ดูแลเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เพื่อให้ผู้ปุวยมีความปลอดภัยจากหวาดระแวง ร่วมมือในการรักษาด้วยยา เสริมสร้างสัมพันธภาพ ใช้ระยะเวลา 4 สัปดาห์ ระยะที่ 2 เพื่อเพิ่มศักยภาพการดูแลตนเอง ครอบครัวสามารถดูแลผู้ปุวยได้ถูกต้อง ใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ วิธีดําเนินการเป็นการศึกษารายกรณี จํานวน 2 ราย ดําเนินการ ระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ.2564- เดือนมีนาคม พ.ศ.2565 ขั้นตอน ได้แก่ เลือกผู้ปุวยแบบเจาะจง ทบทวนเอกสารและวรรณกรรม ประเมิน ภาวะสุขภาพ ตรวจสภาพจิต ประวัติการเจ็บปุวยทางจิตเวช วิเคราะห์ข้อมูล ปฏิบัติตามกระบวนการพยาบาล อภิปรายผลสรุปและข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาพบว่าผู้ปุวยทั้ง 2 ราย มีการรับประทานยาตามแผนการรักษา ไม่มีอาการกําเริบซ้ํา มีการสร้างสัมพันธภาพกับครอบครัวและสังคมได้ดีขึ้น ครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจใน การดูแล การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้บทบาทพยาบาลและการดูแลจิตเวชชุมชน มาประยุกต์ใช้ในการดูแล ผู้ปุวยช่วยให้ผู้ปุวยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้อเสนอแนะในการนําผลการศึกษาไปใช้ควรนําไป พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ปุวยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวงที่ใช้สารเสพติด และการจัดการผู้ปุวยราย กรณีในการดูแลผู้ปุวยจิตเภท ค าส าคัญ: โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง อาการกําเริบซ้ํา บทบาทพยาบาล การดูแลจิตเวชชุมชน
226 226 NURSING CARE IN PATIENTS WITH PARANOID SCHIZOPHRENIA: CASE STUDY Saijai Uearaksakul, Phan Hospital ABSTRACT Schizophrenia is the most frequent type of psychiatry, comprising around 40-50% of the patients. According to statistics at Phan Hospital, S has been the most common of psychological patients in recent years, ranging from 52.67% to 58.96% of psychiatric patients. Symptoms of patients found in 2020 and 2021, 20.3% and 13.65% respectively, were paranoid schizophrenia and had experienced symptoms return (relapses). Nurses play an important role in treating and caring of the patients with a combination of medicine and therapy and day-today support and treatment. When the patients got back home, support and care from families and communities can help them gradually recovered and lived normally. The conclusion is drawn from the case study of schizophrenia patients at Phan Hospital. The study was done on 2 cases during September 2021 to March 2022. The study was conducted among the patients who were addicted in alcohol or drugs, did not take medicine as prescribed, or had not been taken proper care from families. Patient caring are 2 steps. Step 1 aims at recovering them from paranoid, cooperating in treatment, this takes about 4 weeks. Step 2 aims to increase their ability to take care of themselves and educate their families to live normally with the patients, this takes about 8 weeks. The study finds that the 2 patients took medicine as prescribed, did not experience symptoms return, received good care from families/communities and were able to gradually live normally. The study confirmed nurses’ crucial role in schizophrenia treatment. It suggests that the study should be further developed in order to get the best result. Key words : Paranoid schizophrenia , Relapse , Nurses role and , Community Psychiatry Nursing บทน า โรคจิตเภท (schizophrenia) เป็นโรคที่ พบได้ ร้อยละ 0.5-1 ของประชากรทั่วไป พบมากเป็น อันดับหนึ่งของโรคทางจิตเวช โดยพบ ร้อยละ 40.00-50.00 ของ ผู้ปุวยจิตเวช สถิติของผู้รับบริการ ใน โรงพยาบาลพานที่ผ่านมา พบว่า โรคทางจิตเวชมีจํานวนสูงเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ โดยพบว่า โรคจิตเภท พบมากเป็น อันดับ 1 ในทุกปีงบประมาณ คิดเป็นร้อยละ 52.67-58.96 ของผู้ปุวยจิตเวชทั้งหมด มีผู้ปุวยจิตเภทที่อาการ กําเริบซ้ํา/ส่งต่อ คิดเป็นร้อยละ 20.3 และ 13.65 ในปี ปีงบประมาณ 2563-2564 ตามลําดับ (คลินิก สุขภาพจิต โรงพยาบาลพาน, 2564) โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง (Paranoid Schizophrenia: F20.0) เป็น โรคจิตเภทชนิดที่พบมากที่สุดลักษณะสําคัญทางคลินิกคือความหมกมุ่นอยู่กับอาการหลงผิดหรือหูแว่วอาการ หวาดระแวงเป็นอาการที่ไม่ไว้วางใจผู้อื่นจนหลงผิดคิดว่าตนเองถูกปองร้ายหรือคิดว่ามีคนขู่จะทําร้ายอาการ หวาดระแวงจะมีผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมเช่นการแยกตัวหรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวความหลง ผิดอาจจะทําให้ผู้ปุวยทําร้ายตัวเองหรือผู้อื่นการบําบัดรักษาที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบันจะมีการรักษาโดยใช้ยา และการรักษาโดยไม่ใช้ยาผู้ปุวยจําเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาและการดูแลทางจิตสังคมร่วมกับญาติมีการ
227 227 ติดตามดูแลต่อเนื่องเพื่อปูองกันการขาดยาจะสามารถช่วยลดความรุนแรงและช่วยให้ผู้ปุวยกลับมาใช้ชีวิตได้ อย่างปกติหรือใกล้เคียงปกติรวมถึงการส่งต่อเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพที่เหมาะสม ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคคือการ เข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะการบริการในชุมชน ยังเกิดความไม่ทั่วถึงเพียงพอในการดูแลผู้ปุวยโรค จิตเภท ขาดการมีส่วนร่วมในการดูแลโดยชุมชนจึงทําให้ผู้ปุวยจิตเภทเรื้อรังอาการกําเริบได้ ซึ่งสอดคล้องกับ ปัญหาของโลกในเรื่องการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต คือผู้ปุวยโรคทางจิตเวชเข้าถึงบริการต่ํากว่าโรคทางกาย อันเนื่องมาจากทัศนคติ การยอมรับการรักษาและการพัฒนาระบบบริการยังไม่เพียงพอ (Department of Mental Health, Ministry of) ดังนั้นการดูแลผู้ปุวยโรคจิตเภทจึงจําเป็นต้องเตรียมความพร้อมของครอบครัว และชุมชนโดยใช้บทบาทของพยาบาลจิตเวชร่วมกับทีมเครือข่ายสุขภาพในชุมชน ส่งเสริม ปูองกัน บําบัดรักษา และการฟื้นฟูเพื่อช่วยให้ผู้ปุวยโรคจิตเภทสามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตามบริบทของความ ครัว และชุมชนที่อาศัยอยู่ อีกทั้งยังเป็นการลดปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการกลับมารักษาซ้ําในโรงพยาบาลแบบ ผู้ปุวยใน ลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อค้นหาสาเหตุ/ปัจจัย ของอาการกําเริบทางจิต 2. เพื่อให้ผู้ปุวยไม่เกิดอาการกําเริบซ้ํา สามารถดูแลปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม 3. เพื่อให้ครอบครัวและผู้ดูแลสามารถประเมินอาการกําเริบทางจิตและดูแลผู้ปุวยจิตเภทอย่าง เหมาะสม 4. เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ปุวยจิตเภทชนิดหวาดระแวงในคลินิกและชุมชน วิธีด าเนินการ 1. คัดเลือกผู้ปุวยแบบเจาะจง 2 รายที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวงโดยยังมี อาการหวาดระแวงเด่นชัดเสี่ยงต่อเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นสูงอาการกําเริบซ้ําจากไม่รับประทานยาตาม แผนการรักษาใช้สุราและยาเสพติดร่วมครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจในการดูแลไม่เพียงพอ 2. ดําเนินการศึกษาระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ.2564-มีนาคมพ.ศ.2565 กําหนดเปูาหมายการ พยาบาลเป็น 2 ระยะโดยระยะที่ 1 การเสริมสร้างสัมพันธภาพและความไว้วางใจร่วมมือให้การรักษาด้วยยาใช้ ระยะเวลา 4 สัปดาห์ระยะที่ 2 ส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ปุวยและพัฒนาการมีส่วนร่วมของ ครอบครัวให้มีบทบาทในการดูแลผู้ปุวยได้อย่างถูกต้องผู้ปุวยไม่มีอาการกําเริบซ้ํา ใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ ขั้นตอนที่ 3 สรุปผลการปฏิบัติการพยาบาลโดยเปรียบเทียบข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลและกระบวนการ พยาบาลวิเคราะห์กรณีศึกษาทั้ง 2 รายโดยวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลทั่วไปข้อวินิจฉัยการพยาบาลปฏิบัติการ พยาบาลและผลลัพธ์ทางการพยาบาล ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ด้านบริหาร 1.เป็นข้อมูลสําหรับผู้บริหารในการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ทีมสหสาขาวิชาชีพสามารถให้การ ดูแลผู้ปุวยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวงได้อย่างครอบคลุม 2. เป็นข้อมูลแนวทางสําหรับนิเทศติดตามการดูแลผู้ปุวยโรคจิตเภทให้กลับไปอยู่ในครอบครัว/ ชุมชน
228 228 ด้านบริการ 1. ผู้ปุวยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวงได้รับการพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐาน 2. ผู้ปุวยและครอบครัวมีความรู้/ศักยภาพในการดูแลตัวเองและผู้ปุวย ลดอาการกําเริบซ้ํา ด้านวิชาการ นําไปเป็นเผยแพร่เป็นกรณีศึกษาในการดูแลผู้ปุวยโรคจิตเภทที่มีอาการหวาดระแวง ผลการวิจัย จากการรวบรวมข้อมูลผู้ปุวยกรณีศึกษาทั้ง 2 รายนํามาวางแผนการพยาบาลตามหลักของ กระบวนการพยาบาลโดยจัดลําดับความสําคัญของข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลครอบคลุมองค์รวมประกอบด้วย การพยาบาลที่ให้แก่ผู้ปุวยจิตเภทที่มีภาวะหวาดระแวงมี 2 ระยะคือระยะที่ 1 วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ปุวยมี ความปลอดภัยจากภาวะหวาดระแวงได้รับการเสริมสร้างสัมพันธภาพและความไว้วางใจร่วมมือให้การรักษา ด้วยยาใช้ระยะเวลา 4 สัปดาห์ระยะที่ 2 วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ปุวยและ พัฒนาการมีส่วนร่วมของครอบครัวให้ดูแลผู้ปุวยได้อย่างถูกต้องผู้ปุวยไม่มีอาการกําเริบใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ สามารถเขียนตามกระบวนการพยาบาลเพื่อสังเคราะห์บทเรียนนําไปสู่การหาแนวทางการพัฒนาต่อเนื่อง อภิปรายและสรุปผลการวิจัย ผู้ปุวยจิตเภทในกรณีศึกษาทั้ง 2 รายเป็นชนิดหวาดระแวงโดยเป็นผู้ปุวยที่ส่งกลับจากโรงพยาบาล สวนปรุงเพื่อการดูแลต่อเนื่องในคลินิกจิตเวชและยาเสพติดโรงพยาบาลพาน จังหวัดเชียงราย อาการกําเริบ ผู้ปุวยทั้ง 2 รายมีลักษณะอาการทางคลินิกคล้ายคลึงกันและตรงตามทฤษฎีโรคซึ่งสภาพปัญหาความเจ็บปุวย ไม่แตกต่างกันคือผู้ปุวยมีอาการกําเริบจากปัญหาการรับประทานยาไม่ต่อเนื่องและใช้สุรายาเสพติดร่วมจึงเป็น ผลให้ไม่สามารถควบคุมอาการทางจิตให้สงบตามเปูาหมายการรักษาได้พบว่าอาการกําเริบของผู้ปุวยรายที่ 2 จะมีลักษณะอาการทางคลินิกที่รุนแรงกว่ารายที่ 1 เนื่องจากใช้สุราในปริมาณมากและดื่มสุราเป็นประจํา ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องในการรับประทานยาจิตเวช ครอบครัว/ญาติเครียด ท้อแท้ในการดูแลผู้ปุวย จึงใช้กลวิธี หลากหลายในการดูแลช่วยเหลือผู้ปุวยและครอบครัวจุดเด่นของการพยาบาลผู้ปุวยจิตเภททั้ง 2 รายคือใช้ หลักการพยาบาลจิตเวชในชุมชนซึ่งจะเห็นว่าผู้ปุวยกรณีศึกษาทั้ง 2 ราย มีแนวโน้มของการฟื้นฟูสภาพที่ดีขึ้น ครอบครัวมีความสนใจในการดูแลผู้ปุวยและเมื่อเสริมสร้างทักษะการดูแลผู้ปุวยอย่างถูกต้องให้ครอบครัว จึง ทําให้ผู้ปุวยได้รับการดูแลช่วยเหลือจนมีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนใช้การเสริมแรงด้วยการพัฒนา ทักษะการดูแลผู้ปุวยให้กับพยาบาลในพื้นที่และอาสาสมัครหมู่บ้านของผู้ปุวยทั้ง 2 รายเพื่อให้ผู้ปุวยและ ครอบครัวสามารถใช้แหล่งประโยชน์ใกล้บ้านได้ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ อมรา ศิริกุล ชี้ให้เห็นว่าการนํา มาตรฐานการพยาบาลในชุมชนมาประยุกต์ใช้ร่วมกับหลักการพยาบาลจิตเวชในการดูแลผู้ปุวยโรคจิตเภทใน ชุมชนช่วยให้ผู้ปุวยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้อเสนอแนะ ควรนําผลการศึกษานี้ไปพัฒนาเป็นแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ปุวยโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวงที่ใช้ สารเสพติดร่วมและพัฒนาแนวทางการติดตามดูแลผู้ปุวยจิตเภทในชุมชนเพื่อลดอาการกลับเป็นซ้ํา
229 229 เอกสารอ้างอิง กรมสุขภาพจิตและสํานักการพยาบาลมาตรฐานการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต, เชียงใหม่: [มปท.]; 2556 มาโนชหล่อตระกูลและปราโมทย์สุคนิชย์, จิตเวชศาสตร์รามาธิบดีกรุงเทพฯ: บริษัท บียอนด์เอ็นเทอร์ ไพรซ์จํากัด; 2558. ลัดดาแสนสีหาสุขภาพจิตชุมชนฉวีวรรณสัตยธรรม, บรรณาธิการการพยาบาลจิตเวชและตสุขภาพจิต พิมพ์ครั้งที่ 10. นนทบุรี: ยุทธรินทร์การพิมพ์; 2552. สุวนีย์เกี่ยวกิ่งแก้ว, การพยาบาลจิตเวชพิมพ์ครั้งที่ 2 โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2554 สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคู่มือการดูแลผู้ปุวยจิตเวชเรื้อรังกลุ่มเสี่ยงในชุมชนสําหรับ บุคลากรของ หน่วยบริการระดับปฐมภูมิ, กรุงเทพฯห้างหุ้นส่วนจํากัดแสงจันทร์การพิมพ์ 2559. อมรา ศิริกุล. การใช้มาตรฐานการพยาบาลในชุมชนในผู้ปุวยจิตเวช: กรณีศึกษาผู้ปุวยโรคจิตเภทที่มี ความคิดหวาดระแวง. วารสารโรงพยาบาล พิจิตร 2556: 28 (1): 81-92.
230 230 การพยาบาลผู้เสพติดเมทแอมเฟตามีนที่มีอาการทางจิตร่วม ชลสินธิ์ ศรีลาศักดิ์ โรงพยาบาลบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา บทคัดย่อ ความสําคัญ สารเสพติดในกลุ่มแอมเฟตามีน (Amphetamine) เป็นสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทําให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น แต่ถ้าใช้มากเกินไป ก็จะทําให้ผู้เสพมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง ทําให้มีอาการ หวาดระแวง กลัวคนมาทําร้าย หูแว่ว เห็นภาพหลอน หรือทําให้เกิดอาการของภาวะคลุ้มคลั่ง โดยแสดงออก ในรูปของพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง จนถึงอาจมีการทําร้ายตนเองและบุคคลอื่น หรือบางรายอาจมีอาการคลุ้ม คลั่งสลับกับซึมเศร้าได้ วัตถุประสงค์ในการศึกษา 1.เพื่อศึกษาผู้ปุวยเสพติดยาบ้าที่มีอาการร่วมทางจิตเวช 2. เพื่อจัดทําแนวทางการดูแลผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการร่วมทางจิตเวช 3.เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการร่วมทาง จิตเวชได้รับการบําบัดรักษายาเสพติดและ รักษาอาการร่วมทางจิตเวช โดยมีขั้นตอนการดําเนินงานดังนี้1. ทบทวนกระบวนการบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ปุวยยาบ้าที่มีอาการทางจิตร่วมด้วย 2.เลือกประเด็นปัญหาในการ ดูแล และเลือกกรณีศึกษา 1 ราย 3.รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาที่ผ่านมา 1 ปี ประวัติส่วนบุคคล ประวัติการเจ็บปุวย ประวัติครอบครัว ประวัติการใช้ยาและสารเสพติด ประวัติการเจ็บปุวยทางจิตเวช อาการ แทรกซ้อนทางจิตเวช แบบแผนการดําเนินชีวิตพร้อมทั้งประเมินสภาพผู้ปุวย 4.ศึกษาค้นคว้า เอกสารทาง วิชาการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับยาบ้า อาการทางจิตที่เกิดจากการใช้สารเสพติด แนวทางการรักษา ทฤษฎีการให้คําปรึกษา การดูแลผู้ปุวยที่ใช้สารเสพติดแล้วมีอาการทางจิตร่วมด้วย 5.รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ วางแผนให้คําปรึกษา และการดูแลต่อเนื่องให้ครอบคลุมทั้งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ กรณีศึกษาที่เลือกมาเป็นผู้ติดสารเสพติดที่มีอาการทางจิตร่วมเพศหญิง อายุ 30 ปีสถานภาพสมรส หย่าร้างโย ได้รับการวินิจฉัยโรค F155 Stimulant induce psychosis เริ่มเสพยาบ้าตั้งแต่อายุ 22 ปีและเสพอย่าง ต่อเนื่องมา 8 ปีโดยไม่ได้ประกอบอาชีพ เป็นกรณีที่มีความยุ่งยากซับซ้อน เนื่องจากในครอบครัวมีผู้ปุวยที่ติด สารเสพติดและมีอาการทางจิตร่วม 2 คนโดยมีน้องชายอีก1 คนที่เสพยาบ้าและมีอาการทางจิตเวชร่วมด้วย มี เด็กอายุ 8-14 ปีในความดูแล 4 คน ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง มีมารดาเป็นผู้ที่หารายได้มาจุนเจือใน ครอบครัวเพียงคนเดียว โดยมารดาประกอบอาชีพอาชีพรับจ้างรายวัน ผลลัพธ์การดูแลผู้ปุวย ได้ประเมินตามตามแบบติดตามผู้ปุวยจิตเวชเรื้อรังในชุมชน 10 ด้าน พบว่า ด้านที่อยู่ในเกณฑ์ดีมีทั้งหมด 9 ด้านได้แก่ ด้านอาการทางจิต ด้านการกินยา ด้านผู้ดูแล ด้านการทํากิจวัตร ประจําวัน ด้านสัมพันธภาพในครอบครัว ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการสื่อสาร ด้านความสามารถในการเรียนรู้ เบื้องต้น ด้านการใช้สารเสพติด ที่ยังเป็นปัญหามี 1 ด้านคือ ด้านการประกอบอาชีพ ซึ่งผู้ปุวยยังไม่สามารถ ประกอบอาชีพประจําได้ แต่สามารถรับจ้างทั่วไปเป็นบางวันเมื่อมีผู้ต้องการให้ไปช่วยงาน จากที่ได้ ทําการศึกษาสรุปได้ว่า การดูแลผู้ปุวยที่ติดยาเสพติดเพื่อให้สามารถดํารงชีวิตในสังคมได้นั้น ต้องมีการดูแล อย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมทั้งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัว ชุมชนและทีมสหสาขาวิชาชีพ บทน า ปัญหายาเสพติดนับเป็นปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสร้างความเสียหาย ให้กับประเทศชาติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และคุณภาพชีวิตของประชากร รัฐบาลทุกสมัยมี นโยบายปูองกันและปราบปรามยาเสพติดเพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสงบสุข แต่ปัญหาดังกล่าว กลับมี แนวโน้มทวีความรุนแรง และมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันการใช้ยาเสพติดเป็นปัญหาทางด้าน
231 231 สาธารณสุขของชาติสารเสพติดในกลุ่มแอมเฟตามีน (Amphetamines) เป็นสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทําให้ร่างกายตื่นตัวมีพละกําลังมากเป็นพิเศษ แต่ในทางตรงกันข้ามหากร่างกายได้รับสารเหล่านี้มากเกินไป ก็ จะทําให้ผู้เสพมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง ทําให้มีอาการหวาดระแวง จิตหลอน นํามาซึ่งการเกิดอาชญากรรม ต่างๆได้ (มานพ คณะโต, 2551) โดยอาการทางจิตที่พบในผู้ปุวยที่ใช้สารแอมเฟตามีน เช่น มีลักษณะคล้ายกับ โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง (Paranoid schizophrenia) ซึ่งมีอาการแสดง คือ หวาดระแวง กลัวคนมาทําร้าย อาจมีเห็นภาพหลอน หูแว่ว อารมณ์แสดงออกไม่เหมาะสม และมีภาวะทํางานมากเกินปกติ อีกทั้งแอมเฟตา มีนยังทําให้เกิดอาการของภาวะคลุ้มคลั่ง โดยแสดงออกในรูปของพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง จนถึงอาจมีการทํา ร้ายตนเองและบุคคลอื่น หรือบางรายอาจมีอาการคลุ้มคลั่งสลับกับซึมเศร้าได้ โดยอาการเหล่านี้เกิดในช่วงของ การเมาสารเสพติด (พิชัย แสงชาญชัย และคณะ, 2549) นอกจากนี้ยังทําให้ผู้ปุวยมีการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ อารมณ์ จนกระทบต่อการดํารงชีวิตในสังคม กล่าวคือ มีความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับการเสพสารแอมเฟตามีน พยายามทําทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สารแอมเฟตามีนมาเสพ และมักแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิด สัมพันธภาพ ระหว่างบุคคลเสียไป ขาดความรับผิดชอบตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง และขาดวินัย (จําเนียร สุวรางกูร , 2552) เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดปัญหาสังคม และเมื่อคนในสังคมเกิดความหวาดกลัว ไม่มั่นใจ จึงทําให้คนในสังคมเกิดทัศนคติในเชิงลบ มีท่าทีการแสดงออกของสังคมในด้านลบ หวาดกลัว และรังเกียจ ผู้ปุวย เกิดการปฏิเสธทั้งคนในครอบครัว ที่ทํางาน และสังคม จนผู้ปุวยเกิดประสบการณ์ของการถูกปฏิเสธทาง สังคม คือ ครอบครัวแตกแยก ขาดความรัก ไม่มีที่อยู่ ไม่มีงานทํา คิดว่าตนเองไร้ค่า (เบญจมาศ ดวงจําปา, 2557) โรงพยาบาลบางไทรเป็นโรงพยาบาลประจําอําเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนาด 30 เตียง ภายใต้สังกัด กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้การบําบัดรักษาผู้เสพผู้ติดยาเสพติดในระบบการบําบัดรักษา แบบเมทริกซ์โปรแกรม (Matrix program) หรือจิตสังคมบําบัดเป็นโปรแกรมการบําบัดรักษาผู้ปุวย ที่ติดยา และสารเสพติดแบบผู้ปุวยนอก ซึ่งได้รับการยอมรับว่าได้ผลดีในด้านการบําบัดรักษา ซึ่งประกอบด้วย กระบวนการบําบัดรักษาทางด้านร่างกาย จิตใจ และปรับเปลี่ยนความคิดพฤติกรรมของผู้ปุวยโดยประยุกต์ โปรแกรมแมทริกซ์ (Matrix program)จากประเทศสหรัฐอเมริกา และนํามา ปรับใช้เพื่อให้เข้ากับบริบทและ สถานการณ์ในประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะที่สําคัญ คือ มีการบําบัดที่หลากหลาย มีการกําหนดเนื้อหาที่ชัดเจนใน แต่ละวัน เป็นการรักษาแบบผู้ปุวยนอก (ไป-กลับ) เพื่อให้ผู้ปุวยได้ฝึกทักษะเรียนรู้การหยุดเสพยาใน สถานการณ์จริง ถึงแม้ว่าการบําบัดในลักษณะนี้ จะมีข้อดีหลายประการ แต่ปัญหาประการหนึ่งที่สําคัญก็คือ ผู้ เข้ารับการบําบัดนั้น ยังคงมีการใช้ยา เสพติดอยู่ในระหว่างการบําบัด และที่สําคัญมีผู้ปุวยจํานวนมากที่ขาดนัด ติดตามไม่ได้จนทําให้เกิดการบําบัดรักษาไม่ครบตามโปรแกรมกําหนด( Drop out) และที่เป็นปัญหาที่พบมาก ขึ้นทุกปีคือผู้ที่เสพยาเสพติดแล้วมีอาการทางจิตร่วมด้วยเพิ่มขึ้นทุกๆปี ซึ่งต้องส่งต่อเพื่อรับการรักษาแบบ ผู้ปุวยในที่โรงพยาบาลศรีธัญญา โดยในปีพ.ศ.2561 จํานวน 5 คน ปี พ.ศ.2562 จํานวน 3 คน และปี พ.ศ.2563 จํานวน 15 คน และจําเป็นต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง หากยังมีการใช้ยาซ้ําอีก อาการทางจิตก็ สามารถกลับเป็นได้อีก วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาผู้ปุวยเสพติดยาบ้าที่มีอาการร่วมทางจิตเวช 2. เพื่อจัดทําแนวทางการดูแลผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการร่วมทางจิตเวช 3 .เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการร่วมทางจิตเวชได้รับการบําบัดรักษายาเสพติดและรักษาอาการ ร่วมทางจิตเวช
232 232 วิธีการศึกษา เป็นการศึกษารายกรณีซึ่งเป็นกรณีที่มีความยุ่งยากซับซ้อน เนื่องจากในครอบครัวมีผู้ปุวยที่ติดสาร เสพติดและมีอาการทางจิต 2 คน มีเด็กอายุ 8 -12 ปีในความดูแล 4 คน ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง มี มารดาเป็นผู้ที่หารายได้มาจุนเจือในครอบครัวเพียงคนเดียว จากอาชีพรับจ้างรายวัน ระยะเวลาที่ศึกษา เดือน มีนาคม พ.ศ.2564- เดือนสิงหาคม พ.ศ.2564 ขั้นตอนการด าเนินงาน 1. ทบทวนกระบวนการบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ปุวยยาบ้าที่มีอาการทางจิตร่วมด้วย 2. เลือกประเด็นปัญหาในการดูแล และเลือกกรณีศึกษา 1 ราย 3. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาที่ผ่านมา 1 ปี ประวัติส่วนบุคคล ประวัติการเจ็บปุวย ประวัติครอบครัว ประวัติการใช้ยาและสารเสพติด ประวัติการเจ็บปุวยทางจิตเวช อาการแทรกซ้อนทางจิตเวช แบบแผนการดําเนินชีวิตพร้อมทั้งประเมินสภาพผู้ปุวย 4. ศึกษาค้นคว้า เอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับยาบ้า อาการทางจิตที่เกิด จากการใช้สารเสพติด แนวทางการรักษา ทฤษฎีการให้คําปรึกษา การดูแลผู้ปุวยที่ใช้สารเสพติดแล้วมีอาการ ทางจิตร่วมด้วย 5.รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ วางแผนให้คําปรึกษา และการดูแลต่อเนื่องให้ครอบคลุมทั้งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ ผลการศึกษา 1.ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 1.1 เสี่ยงต่อการทําร้ายตนเองและผู้อื่น 1.2 เสี่ยงการเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุและอาการข้างเคียงจากการได้รับยารักษาอาการทางจิตที่ ใช้ในการบําบัด 1.3 มีความบกพร่องด้านสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น 1.4 การเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ 1.5 มีความเสี่ยงต่อการกลับไปเสพซ้ําเนื่องจากขาดการรักษาต่อเนื่อง 1.6 เสี่ยงต่อการปฏิเสธการรักษาจากผลข้างเคียงของยาทางจิตเวช และไม่ไปรักษาตามนัด 1.7 ขาดแรงจูงใจในการเลิกยาเสพติดเนื่องจากไม่รับรู้ถึงความรุนแรงของการเสพติด ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลเกี่ยวกับครอบครัว 1. ครอบครัวขาดศักยภาพในการดูแลผู้ปุวยและสมาชิก 2. สัมพันธภาพกับครอบครัวบกพร่อง 3. เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ซ้ํา ผลการบ าบัดรักษาและการพยาบาลและการดูแลช่วยเหลือ จากการติดตามเยี่ยมอย่างต่อเนื่องตามแบบ ติดตามผู้ปุวยจิตเวชเรื้อรังในชุมชน ๑๐ ด้าน 1. ด้านอาการทางจิต ไม่มีอาการหูแว่ว ไม่เห็นภาพหลอน ช่วยเหลือตนเองได้ดํารงชีวิตในชุมชน ได้ 2. ด้านการกินยา กินยาสม่ําเสมอ ครบทุกวันตามที่แพทย์สั่ง
233 233 3. ด้านผู้ดูแล มารดาดูแลเอาใจใส่มากขึ้น สัมพันธภาพในครอบครัวดีขึ้น 4. ด้านการท ากิจวัตรประจ าวัน ทําได้ด้วยตนเอง และสามารถทํางานบ้านต่างๆได้ตามปกติ 5. ด้านการประกอบอาชีพ ทําได้บ้าง โยรับจ้างทั่วไปเมื่อมีเพื่อบ้านมาจ้าง หรือ พระในวัดให้ ช่วยงานจะมีค่าแรงให้ 6. ด้านสัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพในครอบครัวดีขึ้น มารดาทํางานประจํา น้องชาย รักษาอาการทางจิตสงบ บุตรและหลานมีโรงเรียนประจําที่ได้รับการช่วยเหลือจากพัฒนาสังคมจังหวัด 7. ด้านสิ่งแวดล้อม มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง โดยเป็นบ้านของพระ ซึ่งอยู่ติดวัดและให้อาศัย อยู่ฟรีโดยไม่ต้องเช่า 8. ด้านการสื่อสาร พูดจาโต้ตอบ สื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลได้ 9. ด้านความสามารถในการเรียนรู้เบื้องต้น สามารถเรียนรู้ได้เร็ว บอกครั้งเดียวทําได้ 10. ด้านการใช้สารเสพติด หยุดเสพยาบ้าได้ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลศรีธัญญา ยังสูบบุหรี่ การดูแลช่วยเหลือครอบครัวโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ 1. ช่วยหาที่อยู่อาศัย 2. ช่วยหาอุปกรณ์ เครื่องใช้ในบ้าน ในครัว 3. การศึกษาของบุตรและหลาน ผู้ปุวยมีบุตร 3 คน คนโตเพศหญิง อายุ 13 ปี เรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 คนที่ 2 เพศชาย อายุ 11 ปี เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ส่วนคนที่ 3 หลังคลอดยกให้คน อื่นเป็นบุตรบุญธรรม และในครอบครัวยังมีลูกของน้องสาวอาศัยอยู่ด้วย 2 คน เพศชายอายุ 14 ปี เรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 และเพศชายอายุ 10 ปี เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย เด็กผู้ชายทั้ง 3 คน บ้านพักเด็ก และครอบครัว และพัฒนาสังคมจังหวัดได้ประสานให้เด็กไปอยู่ที่โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ จังหวัดชัยนาท ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2564 และรับกลับมาบ้านได้ในช่วงปิดเทอม ส่วนเด็กผู้หญิงอยู่ในช่วงดําเนินการ 4. การช่วยเหลือเรื่องรายได้และการทํางาน ชุมชน เรียกรับจ้างรายวัน เป็นบางวัน พระที่วัด ให้ การดูแลเรื่อง อาหารเป็นบางวัน ให้รับจ้างทําความสะอาดเป็นบางวัน การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ 1. ผู้ทํากรณีศึกษามีความรู้ความเข้าใจและมีทักษะในการประเมิน วินิจฉัย วางแผน และบริการให้ คําปรึกษาผู้ปุวยเสพติดยาบ้าที่มีอาการทางจิตร่วมด้วย 2. เป็นเอกสารทางวิชาการ การให้คําปรึกษาและการดูแลต่อเนื่องผู้ปุวยที่เสพติดยาบ้าและมีอาการ ทางจิตร่วมด้วย สําหรับใช้เป็นแนวทางสําหรับบุคลากรที่ทํางานด้านยาเสพติดและจิตเวช และบุคลากรอื่นที่ สนใจ 3. เป็นเอกสารอ้างอิงสําหรับผู้ปฏิบัติงาน ผู้ทําวิจัย และผู้ที่สนใจ อภิปรายสรุปและข้อเสนอแนะ อภิปราย จากกรณีศึกษาพบว่าเป็นกรณีที่มีความยุ่งยากซับซ้อน มีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ที่อยู่ อาศัย ด้านสังคม การดูแลเด็กและเยาวชนจํานวน 4 คน มีผู้ปุวยจิตเวชจากยาเสพติด 2 คน ดังนั้นการดูแลให้ ความช่วยเหลือในครอบครัวนี้ไม่สามารถทําได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง จําเป็นต้องให้ความร่วมมือกัน ทุกภาคส่วนในด้านการรักษาจําเป็นต้องมีการประสานงานการรักษาอย่างต่อเนื่องโดยประสานงานกับ หน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งจะทําให้กรณีศึกษาคงอยู่ในระบบการดูแลรักษาต่อไป การให้การดูแลช่วยเหลือที่ยั่งยืน จากทุกภาคส่วนคือการช่วยให้กรณีศึกษาและน้องชายเลิกเสพยาเสพติด มีอาชีพที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้บุตร
234 234 และหลานจํานวน ๔ คนได้รับการศึกษาที่เหมาะสม และพบว่าผู้ปุวยมีปัญหาในการสร้างสัมพันธภาพกับคนใน ครอบครัวและการสร้างสัมพันธภาพกับคนอื่น ดังนั้นการฝึกให้ผู้ปุวยเรียนรู้สามารถสร้างสัมพันธภาพกับคน รอบข้าง รวมถึงขาดทักษะในการแก้ปัญหาที่เหมาะสมซึ่งเมื่อเจอตัวกระตุ้นทําให้จัดการไม่ได้ส่งผลให้เกิดการ เสพซ้ําได้อีก จึงเป็นเรื่องที่ผู้บําบัดต้องมีความตระหนักอย่างยิ่ง สอดคล้องกับการศึกษาของ นิภาวัล บุญทับถม (2561) ว่าผู้ปุวยยาเสพติดส่วนใหญ่มักมีภาพพจน์เกี่ยวกับตนเองว่าไม่เป็นที่ยอมรับของครอบครัวและสังคม ดังนั้นควรส่งเสริมให้ผู้ปุวยมีทักษะในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม ทีมบําบัดต้องมีการวางแผนดูแล ให้ความรู้ ทักษะการแก้ไขปัญหา การฝึกทักษะการค้นหาและจําแนกตัวกระตุ้น การเผชิญตัวกระตุ้นฉุกเฉิน การยอมรับ ตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง สร้างความมุ่งมั่นตั้งใจในการเลิกยา การสํารวจอารมณ์ตนเอง รับรู้อารมณ์ตนเอง การควบคุมและแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม ฝึกการผ่อนคลายความเครียด การเผชิญปัญหาและการ แก้ไขปัญหา การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ การปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว การสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจ การประคับประคองช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปุวยดําเนินชีวิตในสังคมได้โดยไม่พึ่งยาเสพติด ในด้านการกินยาจิตเวชต่อเนื่องผู้ปุวยมีผู้ดูแลคือมารดาซึ่งต้องดูแลบุคคลในครอบครัว 2 คนที่ต้อง รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้บําบัดต้องให้ผู้ปุวยและญาติเห็นความสําคัญซึ่งจะทําให้ลดอาการทางจิต ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นสอดคล้องกับการศึกษาของ นวลกนก อัมภาผล (2561) ว่าการให้ความรู้ความเข้าใจกับ ผู้ปุวยและครอบครัวเรื่องการรับประทานยาตามแผนการรักษา การสังเกตผลข้างเคียงของยา ความจําเป็นใน การติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการทางจิตร่วมด้วย ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการติดตามค้นหาผู้ปุวยที่มีความยุ่งยากซับซ้อนรายอื่นๆ เพื่อประสานงานให้ความช่วยเหลือ ร่วมกับทีมสหวิชาชีพจากหน่วยงานอื่น 2. ควรมีการติดตามผลการช่วยเหลือในระยะยาว เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลช่วยเหลือรายอื่นๆ ต่อไป อ้างอิง นิภาวัล บุญทับถม. การพยาบาลผู้ปุวยเสพติดยาบ้าที่มีภาวะแทรกซ้อนทางจิตเวชก้าวร้าวรุนแรง. สถาบันบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กรมการแพทย์; 2561. นวลกนก อัมภาผล. การพยาบาลผู้ปุวยเสพติดยาบ้าที่มีอาการแทรกซ้อนทางจิต. สถาบันบําบัดรักษา และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี, กรมการแพทย์; 2561. พิชัย แสงชาญชัย. ตําราจิตเวชศาสตร์สารเสพติด.สํานักงบประมาณความช่วยเหลือด้านการปูองกัน และปราบปรามยาเสพติด.กรุงเทพฯ; 2549. มานพ คณะโต. หลักการจัดทําระบบฐานข้อมูลเพื่อการเฝูาระวังทางระบาดวิทยาด้านยาเสพติด. สํานักงานคณะกรรมการปูองกันและปราบปรามยาเสพติด. กระทรวงยุติธรรม; 2551. Corey, G. Theory and practice of group counseling (6th ed.). belmont, ca: thomson learning; 2004.