The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

85 ภูมิเริ่มจัดหาเจ้าภาพรับผิดชอบงานจากการรับมอบงานผ่านการประชาคมชุมชน ตั้งกลุ่มแกนน าสุขภาพดูแล ชื่อชั่วคราวว่า “คณะกรรมการพัฒนาต้นแบบการดูแลผู้ปุวยหลอดเลือดสมองระยะยาวในชุมชน” จ านวน 10 คน ท าหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและให้ค าแนะน า ประสานงานแหล่งประโยชน์ คณะกรรมการต้นแบบฯ เริ่มท างาน โดยออกเยี่ยมบ้านเพื่อประเมินความต้องการ และออกแบบการดูแลให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าว รวมทั้งประสานกับบุคลากรในการพัฒนาศักยภาพ ฝึกทักษะการดูแล จัดท าคู่มือประกอบ มีการติดตามดูแล แก้ไข ประเมินผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการให้ผู้ปุวยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีการด าเนินการพัฒนาศักยภาพ ฝึก ทักษะการดูแล จัดท าคู่มือประกอบ มีการจัดการเรียนรู้2 ฐาน ได้แก่ 1) ฐานคิด ประกอบด้วย ก) ต้นไม้ อุดมการณ์ เพื่อพัฒนาอุดมการณ์จิตสาธารณะที่ส าคัญคือ การเป็นผู้ให้และอุทิศตนเพื่อสังคม และ ข) การ บริหารจัดการศูนย์เบิ่งแยง ประกอบด้วย การจัดตั้ง การบริหารจัดการ 2) ฐานปฏิบัติการดูแล เพื่อพัฒนา ศักยภาพการดูแลผู้ปุวย 2 กลุ่ม ได้แก่ ก) ศักยภาพการดูแลผู้ปุวยติดเตียงให้ได้รับความช่วยเหลือในการดูแล กิจวัตรประจ าวัน การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการปูองกันภาวะเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ข) ศักยภาพการดูแลผู้ปุวยกลุ่มติดบ้านซึ่งดูแลตนเองได้บางส่วน มีปัญหาความพิการเหลืออยู่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี จากการมีอุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนไหว และการดูแลตนเองตามปัญหาและความต้องการของผู้ปุวย การมี คุณภาพชีวิตที่ดี และการปูองกันภาวะเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น 2. ระยะที่ 2 ศึกษาผลของการทดลองปฏิบัติตามร่างการออกแบบการดูแลผู้ปุวยฯ 2.1การประเมินผลจากการสังเกตการมีส่วนร่วม ดังนี้1) มีการจัดประชุมเพื่อให้ความรู้และ ทักษะการจัดการเคลื่อนไหวและออกก าลังกาย รวมถึงการเยี่ยมบ้านแก่อาสาสมัครฯ ผู้น าชุมชนประกาศเสียง ตามสายเพื่อให้ความรู้แก่ลูกบ้าน เมื่อประเมินคะแนนสมรรถนะด้านความรู้และทักษะในการจัดการเคลื่อนไหว และการออกก าลังกาย พบว่าอยู่ในระดับดีเพิ่มขึ้นทั้งด้านความรู้ทักษะ 2) ประธาน อสม. ในแต่ละชุมชนเป็น ผู้รับผิดชอบหลักในการติดตามเยี่ยมบ้านผู้ปุวยและแจ้งผลการติดตามทางไลน์แอปพลิเคชัน 3) ผู้ปุวยทั้ง 10 รายได้รับการเยี่ยมบ้านตามแนวทางที่ก าหนดไว้ และไม่พบภาวะแทรกซ้อนและกลับเป็นซ้ า 4) ญาติผู้ดูแลมี ความพึงพอใจในการให้บริการ 5) อาสาสมัคร ประธานชุมชน คณะกรรมการฯและสมาชิกชุมชน ร่วมจัดท า กิจกรรมจัดหางบประมาณและแหล่งประโยชน์ เพื่อปรับปรุงที่พักอาศัย และผ้าอ้อมส าเร็จรูป 2.2การประเมินผลลัพธ์ พบว่า 1) ผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองระยะยาว มีคะแนน ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันเพิ่มขึ้น 7 ราย และผู้ปุวยทุกรายไม่มีภาวะแทรกซ้อนข้อติด ระหว่างการศึกษา เมื่อมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของญาติผู้ดูแลด้านการจัดการเคลื่อนไหวและออกก าลัง กาย อยู่ในระดับดีและเพิ่มขึ้น อภิปรายผล การดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองระยะยาว พบปัญหาที่ส าคัญ คือ ผู้ให้บริการ สุขภาพและท้องถิ่นไม่มีแผนปฏิบัติการหรือแนวทางในการติดตามดูแลผู้ปุวย ไม่มีการติดตามเยี่ยมบ้าน ผู้ ให้บริการสุขภาพควรมีความต่อเนื่องในฟื้นฟูสมรรถภาพiii สอดคล้องกับการศึกษาของ ศิราณี ศรีหาภาค และ คณะ iv พบว่าปัญหาอุปสรรคที่ส าคัญคือ การเตรียมความพร้อมบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่ เพียงพอ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีบทบาทหลักในการประสานความร่วมมือกับทุกฝุายที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้บริการสุขภาพควรให้ความส าคัญในการพัฒนาความรู้และทักษะแก่สมาชิกในชุมชน โดยเฉพาะใน ผู้ดูแลและอาสาสมัครในชุมชน ซึ่งมีประสบการณ์น้อยจะท าให้ขาดความมั่นใจในการดูแลผู้ปุวย การวิจัยครั้งนี้ มีการพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครทั้งด้านความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง จากชุดการเรียนรู้ นับตั้งแต่ฐานตั้งไข่ (ใช้หัวใจเบิ่งแยง) ฐานใจ (ดูใจให้ดี) ฐานกาย (ให้พลังกาย) ฐานกิน (กินให้โรคพ่าย) ฐานกิจวัตร (ไม่ดูดาย


86 กิจวัตร) และฐานจัดการเคลื่อนไหว (รักดีต้องจัดหนัก) สอดคล้องกับข้อก าหนดสมรรถนะของอาสาสมัครฯของ กระทรวงสาธารณสุข คือ 1)สามารถน านโยบายไปสู่การปฏิบัติเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับพื้นที่ 2)สามารถเป็นผู้น าในงานส่งเสริมสุขภาพและปูองกันโรค รักษาพยาบาลเบื้องต้น 3)สามารถสร้างและบริหาร เครือข่ายในงานสร้างสุขภาพแบบหุ้นส่วน 4)สามารถรณรงค์ขับเคลื่อนชุมชนและสังคมให้ตื่นตัวและรับผิดชอบ ต่อตนเอง ชุมชน และสภาวะแวดล้อม 5)สามารถเตรียมและริเริ่มมาตรการทางสังคมใหม่ ๆ ที่จะมีผลต่อการ ขจัดและลดปัญหาทางสุขภาพ และ 6)สามารถสร้างจิตส านึกประชาชนในการเฝูาระวังดูแลสุขภาพ การน าผลการวิจัยไปใช้ 1. ในระดับชุมชนและระดับหน่วยบริการ ควรเร่งผลักดันให้เกิดการจัดตั้ง“คณะกรรมการดูแลผู้ปุวย ระยะยาวในชุมชน”เพื่อดูแลผู้ปุวยที่มีภาวะพึ่งพิงติดบ้านติดเตียง โดยชุมชนเพื่อชุมชน 2. ชุมชน ท้องถิ่น และโรงพยาบาลควรมีความร่วมมือกันในการพัฒนาระบบการจัดเก็บฐานข้อมูล ผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในชุมชน และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพบริการในการดูแล ผู้ปุวย โดยความร่วมมือของระดับชุมชนและหน่วยบริการ ข้อเสนอแนะ ประเทศไทยก าลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ในขณะที่การเตรียมความพร้อมตามนโยบายการดูแลระยะ ยาวยังไม่สามารถบรรลุผลตามเปูาหมายและมีแนวโน้มจะมีความยากล าบากในการขับเคลื่อนการปฏิบัติใน ระดับพื้นที่ ซึ่งกระทบการเข้าถึงบริการ ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะจากการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. สนับสนุนการพัฒนาก าลังของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับระบบการดูแลระยะยาวในสถาน บริการปฐมภูมิให้มีจ านวนเพียงพอส าหรับในอนาคต โดยเฉพาะผู้จัดการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ซึ่งต้องแบก รับภาระและเป็นกลไกส าคัญของการขับเคลื่อนระบบการดูแลระยะยาวในชุมชน 2. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ควรเป็นเจ้าภาพหลักในพื้นที่ สนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมของ หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งโรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล และเครือข่ายต่างๆในชุมชน รวมทั้งผู้น าในชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการดูแลระยะยาวของชุมชน เอกสารอ้างอิง WHO | International Classification of Functioning, Disability and Health (ICF) [Internet]. WHO. Available from: http://www.who.int/classifications/icf/en/. [cited 2021 Jan 17]. 1 จีระนันท์ ระพิพงษ์. การออกก าลังกายเพื่อการบ าบัดรักษา (Therapeutic Exercise). ภาควิชาเวช ศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ค้นเมื่อ 10 มกราคม 2565 จาก file:///C:/Users/User/Desktop/A1-KKH%20Khon%20Kaen%20Hospital/A3- SECSI/08_1MSKExercise_JR.pdf 1 ดารุณี จงอุดมการณ์ และคณะ. (2564). โครงการพัฒนาต้นแบบเพื่อพัฒนาศักยภาพครอบครัวและ ชุมชนในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว. (รายงานการวิจัย). ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น 1 Lincoln YS, Guba EG. 1985. Naturalistic inquiry. Sage: Beverly Hill, CA.


87 1 ทีมสหสาขาวิชาชีพ ศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ จังหวัดชลบุรี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2554). คู่มือการดูแลผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู: ฉบับผู้ปุวยและ ผู้ดูแล. ฉบับการวางแผนจ าหน่ายผู้ปุวยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง 1 ศิราณีศรีหาภาค, วัชรี อมรโรจน์วรวุฒิ, ณรงค์ ค าอ่อน,พัฒนี ศรีโอษฐ์, พลอยลดา ศรีหานู, ทิพวรรณ ทับซ้าย. (2564). สถานการณ์ ปัญหาและความต้องการการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน ภายใต้กองทุนระบบการดูแลระยะยาว จังหวัดขอนแก่น. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9, 15(36)ม หน้า 44- 62. 1 WHO | International Classification of Functioning, Disability and Health (ICF) [Internet]. WHO. Available from: http://www.who.int/classifications/icf/en/. [cited 2021 Jan 17]. 1 จีระนันท์ ระพิพงษ์. การออกก าลังกายเพื่อการบ าบัดรักษา (Therapeutic Exercise). ภาควิชาเวช ศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ค้นเมื่อ10 มกราคม 2565 จาก file:///C:/Users/User/Desktop/A1-KKH%20Khon%20Kaen%20Hospital/A3- SECSI/08_1MSKExercise_JR.pdf 1 ดารุณี จงอุดมการณ์ และคณะ. (2564). โครงการพัฒนาต้นแบบเพื่อพัฒนาศักยภาพครอบครัวและ ชุมชนในการดูแลผู้ปุวยที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว. (รายงานการวิจัย). ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น 1 Lincoln YS, Guba EG. 1985. Naturalistic inquiry. Sage: Beverly Hill, CA. 1 ทีมสหสาขาวิชาชีพ ศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ จังหวัดชลบุรี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2554). คู่มือการดูแลผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู: ฉบับผู้ปุวยและ ผู้ดูแล. ฉบับการวางแผนจ าหน่ายผู้ปุวยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง 1 ศิราณีศรีหาภาค, วัชรี อมรโรจน์วรวุฒิ, ณรงค์ ค าอ่อน,พัฒนี ศรีโอษฐ์, พลอยลดา ศรีหานู, ทิพวรรณ ทับซ้าย. (2564). สถานการณ์ ปัญหา และความต้องการการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน ภายใต้กองทุนระบบการดูแลระยะยาว จังหวัดขอนแก่น. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9, 15(36)ม หน้า 44- 62.


88 การรับรู้ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของประชากรวัยท างานในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อม อ าเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา Affecting COVID-19 Prevention Behaviors of Work-force Age in Banlueam municipality, Banlueam district, Nakhonratchasima province. สะธิทร จีมกลาง ศิริกานต์ นากระโทก โรงพยาบาลบ้านเหลื่อม จ. นครราชสีมา บทคัดย่อ โรคโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ที่มีการระบาดไปทั่วโลก การศึกษาเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง (Crosssectional descriptive study) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้เกี่ยวกับโรควิด-19 และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรม การปูองกันโรคติดเชื้อโควิด 19 ของประชากรกลุ่มวัยท างาน กลุ่มตัวอย่าง 100 คน โดยศึกษาทัศนคติ แรง สนับสนุนทางสังคม การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของการเกิดโรค การรับรู้ ประโยชน์ของการปฏิบัติเพื่อปูองกันการเกิดโรคการรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อปูองกันการเกิดโรค และ พฤติกรรมการปูองกันโรค และปัจจัยการรับรู้เรื่องโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนวัยท างาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่ามีความรู้ในภาพรวมอยู่ระดับปานกลาง ร้อยละ 66.4 การรับรู้โอกาสเสี่ยงของ การเกิดโรค กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 48.66 การรับรู้ความรุนแรงของโรค กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วย อย่างยิ่ง ร้อยละ 46.66 การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติเพื่อปูองกันโรค กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 45 การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อปูองกันโรค กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 19.33 ปัจจัยการชัก น าพบว่าการได้รับอิทธิพลระหว่างบุคคล กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมปฏิบัติอย่างสม่ าเสมอ 7 วันต่อสัปดาห์ ร้อย ละ 51.00 การได้รับข้อมูลข่าวสาร พบว่าได้รับอย่างสม่ าเสมอ 7 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 43.40 ภาพรวมมี พฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อโควิด-19 อยู่ในระดับดี โดยมีพฤติกรรมปฏิบัติตามสุขลักษณะเป็นประจ า ร้อย ละ 62.90 บทน า โรคโควิด-19 (COVID 19 ย่อจาก Coronavirus disease 2019) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาซึ่งมีชื่อทางการว่า SARS-CoV-2 ท าให้เกิดอาการไข้ ไอและอาจมีปอดอักเสบ พบผู้ปุวย ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเปุย์ สาธารณรัฐประชาชนจีน โรคติดเชื้อไวรัสโคโร นา 2019 (COVID-19) เป็นโรคติดต่อซึ่งเกิดจากไวรัสโคโรนาชนิดที่มีการค้นพบล่าสุด และเป็นโรคอุบัติใหม่นี้ ไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 2020) จึงประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเมื่อวันที่ 30 เดือนมกราคม พ.ศ.2562 และยกระดับให้เป็นการระบาดใหญ่ ทั่วโลก ส าหรับสถานการณ์การระบาดในประเทศไทยนั้น กระทรวงสาธารณสุขยืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ราย แรกในวันที่ 12 เดือนมกราคม พ.ศ.2563 และข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ 28 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 world meters covid ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก รายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19 อยู่ที่ 530,766,398 ราย เพิ่มขึ้น 527,054 ราย ส าหรับประเทศไทยสถิติข้อมูล ณ วันที่ 30 เดือน พฤษภาคม 2565 พบผู้ปุวยรายใหม่ 3,854 ราย ผู้ปุวยยืนยันสะสม 2,223,067 ราย หายปุวย แล้ว 2,205,476 ราย และเสียชีวิตสะสม 8,300 ราย (กรมควบคุมโรค, 2565) ทั้งนี้โรคติดต่ออุบัติใหม่ส่วน ใหญ่มีความซับซ้อนและยากต่อการจัดการ หากขาดระบบเครื่องมือปูองกันควบ คุมโรคที่มีประสิทธิภาพแล้ว โรคเหล่านี้อาจก่อเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนและอาจส่ง ผลกระทบต่อสังคมและ


89 เศรษฐกิจอย่างมหาศาล ซึ่งในแต่ละประเทศย่อมมีมาตรการการรับมือที่แตกต่างกันตามความรุนแรงของการ แพร่ระบาด กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และเนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบยารักษา ดังนั้นเปูาหมายหลักในการควบคุมโรคคือการ ปูองกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น รวมไปถึงการปูองกันตัวเองจากเชื้อโรคของประชาชน (อภิวดี อินทเจริญ และคณะ,2564) ทั้งนี้โรคติดต่อเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม หากประชาชนมีพฤติกรรม การปูองกันโรคที่ดีจะช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดโรคได้ดีมากยิ่งขึ้น และปูองกันตนเองจากการแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ไปสู่บุคคลอื่น ซึ่งก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคภาวะแทรกซ้อน หรือเสียชีวิต รวมไปถึงการมี มาตรการการปูองกันการแพร่ระบาด เช่น การสั่งปิดกิจการ ร้านอาหาร การห้ามเดินทางข้ามจังหวัดส่งผล กระทบต่อเศรษฐกิจรายได้และอาชีพตามมา (ณัฎฐวรรณ ค าแสน, 2564) จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยว ข้องกับพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อ โควิด-19 ที่ผ่านมาพบว่าปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้ แรงสนับสนุนทาง สังคม ทัศนคติ การได้รับข้อมูลข่าวสาร การได้รับอิทธิพลระหว่างบุคคลการรับรู้โอกาสเสี่ยงการเกิดโรคการ รับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์ของ การปฏิบัติเพื่อปูองกันโรค การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติ เพื่อปูองกันโรคเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการปูองกันโรค (อภิวดี อินทเจริญ และคณะ, 2564) เนื่องจากประชาชนทุกกลุ่มมีความเสี่ยงในการสัมผัสกับบุคคลอื่นการรับรู้จะน าไปสู่ความรู้ ความคิด ความ เข้าใจ จนก่อเกิดเป็นพฤติกรรมการปูองกันโรค ดังนั้นการรับรู้จึงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลนั้น (Becker, 1974) และพฤติกรรมในการปูองกันและควบคุมโรคที่ถูกต้อง เหมาะสมจะเป็นการคัดกรอง เฝูาระวังและ ปูองกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมากลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลบ้านเหลื่อมยังไม่มีการส ารวจหรือ ศึกษาการรับรู้และพฤติกรรมด้านการปูองกันโรคโควิด-19 ของประชากรในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อม ซึ่ง เป็นประชากรกลุ่มใหญ่และเป็นกลุ่มที่มีผลกระทบต่อการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างมีนัยส าคัญ ในพื้นที่และทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของกลุ่มงานฯ และเพื่อให้เห็นภาพรวมความรู้ความเข้าใจการ ปูองกันโรคโควิด-19 ในระดับพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลบ้านเหลื่อม ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาเรื่อง การรับรู้และพฤติกรรมการปูองกันโรคโควิด-19 ของประชากรในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อมเพื่อจะได้น า ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาไปปรับปรุงงาน พัฒนางานและวางแผนการด าเนินงานส่งเสริมสุขภาพประชากรให้ ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพปูองกันโรค ก าหนดยุทธศาสตร์การปูองกันและควบคุมโรครวมทั้งจัดท าโครงการ ให้ความรู้เรื่องการส่งเสริมสุขภาพให้มีพฤติกรรมในการปูองกันโควิด-19 หรือโรคติดเชื้ออื่นเพื่อให้ประชากรใน เขตเทศบาลบ้านเหลื่อมมีสุขภาพดีอย่างเหมาะสมและเป็นปัจจัยหลักที่จะเอื้อให้เกิดการปูองกันโควิด-19 ใน พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป วัตถุประสงค์การศึกษา 1. เพื่อศึกษาระดับความรู้เกี่ยวกับโรควิด-19 ได้แก่ ทัศนคติ แรงสนับสนุนทางสังคม การรับรู้โอกาส เสี่ยงของการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของการเกิดโรค การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติเพื่อปูองกันการ เกิดโรคการรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อปูองกันการเกิดโรค และพฤติกรรมการปูองกันโรคของกลุ่มวัย ท างานของในเขตเทศบาลบ้านเหลื่อม อ าเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อโควิด 19 ของประชากรกลุ่มวัยท างาน ในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อม อ าเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา


90 จริยธรรมวิจัยและวิธีการศึกษา งานวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) ได้รับการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์จากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ ส านักงานสาธารณสุข จังหวัดนครราชสีมา โครงการวิจัยเลขที่ NRPH 035 เอกสารรับรองเลขที่ KHE 2022-035 รับรองวันเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 โดยคอบคลุมการพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการ ด าเนินการวิจัยและสิทธิ์ในการเข้าร่วมการวิจัย การตัดสินใจเข้าร่วมโครงการวิจัยโดยอิสระ การยุติการเข้าร่วม การวิจัยโดยไม่มีผลกระทบต่อการด าเนินชีวิตหรือชุมชน การรักษาความลับของผู้เข้าร่วมการวิจัย ผู้วิจัยชี้แจง ให้กลุ่มตัวอย่างในวันที่เริ่มเก็บข้อมูลเมื่อมีผู้สนใจยินยอมเข้าร่วมวิจัย และประเด็นผู้วิจัยขอให้ผู้เข้าร่วมการ วิจัยลงนามในแบบยินยอมเข้าร่วมการวิจัย ประชากรการวิจัย คือ ประชาชนในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อม จ านวน 2,396 คน (ส านักงาน สถิติแห่งชาติ, 2565 ข้อมูล ณ วันที่ 30 เดือนเมษายน พ.ศ.2565) จาก htps://stat.bora.dopa.go.th สุ่ม ตัวอย่างโดยใช้ตารางทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane, 1967) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95เปอร์เซนต์ความคลาด เคลื่อนในการสุ่มร้อยละ 10.00 ได้จ านวนผู้ตอบแบบสอบถามการวิจัย 100 คน เครื่องมือการวิจัยคือ แบบสอบถาม (Questionnaire) ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาลและสาธารณสุขชุมชน 3 คน ได้ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความ สอดคล้องกันทั้งค าถามและข้อเลือกตอบ (index of item objective congruence-IOC) อยู่ระหว่าง 0.67- 1.00 ผู้วิจัยน าแบบสอบถามที่ปรับปรุงตามข้อ เสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้ (Try Out) กับประชากร ที่มิใช่กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 30 คน ผลการหาค่า IOC แบบสอบถามทั้งฉบับผ่านเกณฑ์ตามข้อก าหนด หลังจาก นั้นจึงน าแบบสอบถามไปเก็บข้อมูลการวิจัย ผลการศึกษา ผลการวิจัยพบว่าประชากรวัยท างานในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อมที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 100 คน เป็นเพศหญิง ร้อยละ 72.00 และเพศชายร้อยละ 28.00 แบ่งเป็นกลุ่มอายุระหว่าง 18-40 ปี ร้อยละ 21.00 กลุ่มอายุระหว่าง 41-50 ปี ร้อยละ 31.00 และกลุ่มอายุตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไป ร้อยละ 48.00 มีสถานภาพโสด ร้อยละ 17.00สมรส ร้อยละ 77.00 และหม้าย/หย่า/แยกกันอยู่ ร้อยละ 6.00 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ ากว่า 10,000 บาท ต่อเดือน ร้อยละ 81.00 มีรายได้ระหว่าง 10,001-30,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 15.00 และ มากกว่า 30,001 บาทต่อเดือน ร้อยละ 4.00 มีอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 16.00 อาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 57.00 อาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 9.00 อาชีพข้าราชการ/พนักงานของรัฐ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 11.00 เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ร้อยละ 3.00 และไม่ระบุอาชีพ ร้อยละ 4.00 ประชากรวัยท างานในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อมที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรน่า 2019 ส่วนใหญ่มีความรู้ในภาพรวมอยู่ระดับปานกลาง ร้อยละ 66.40 จ าแนกเป็นรายข้อดังนี้ ข้อ ที่ 1) โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีการระบาดครั้งแรกที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตอบถูกร้อยละ 89.00 ข้อที่ 2)ค้างคาวคือสัตว์ที่ถูกสันนิษฐานว่าเป็นสัตว์น าโรคโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตอบถูกร้อยละ 94.00 ข้อที่ 3)ละอองฝอยคือตัวกลางแพร่กระจายโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตอบถูกร้อยละ 36.00 ข้อที่ 4) ระยะฟักตัวของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คือ 2-14 วัน ตอบถูกร้อยละ 4.00 ข้อที่ 5)เหงื่อออกมากคือ พยาธิสภาพที่ไม่ใช่อาการของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตอบถูกร้อยละ 63.00 ข้อที่ 6)นางทับทิมเป็น แม่ค้าขายเสื้อผ้าออนไลน์อยู่ที่บ้านเป็นบุคคลที่ไม่มีประวัติเสี่ยงและไม่ที่จ าเป็นต้องตรวจหาเชื้อโคโรนา 2019 ตอบถูกร้อยละ 81.00 ข้อที่ 7)การเข้าไปในสถานที่แออัดคือพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019


91 ตอบถูกร้อยละ 76.00 ข้อที่ 8)ถ้าบุคคลที่มีอาการไอ จามหรือเป็นผู้ปุวยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจควร แนะน าให้ใส่หน้ากากอนามัย ตอบถูกร้อยละ 60.00 ข้อที่ 9)เจลแอลกอฮอล์ที่จะใช้ปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโค โรนา 2019 ต้องมีความเข้มข้นอย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์ ตอบถูก ร้อยละ 82.00 และตอบถูกร้อยละ 79.00 และในข้อที่ 10)ว่าอาการท้องผูกคือไม่ใช่อาการข้างเคียงหลังจากรับวัคซีนปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ปัจจัยการรับรู้เรื่องโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผลการศึกษาพบว่าการรับรู้โอกาสเสี่ยงของการ เกิดโรค กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 48.66 เห็นด้วย ร้อยละ 26.66 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 19.66 ไม่เห็น ด้วย ร้อยละ 4.66 และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 0.36 การรับรู้ความรุนแรงของโรค กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วย อย่างยิ่ง ร้อยละ 46.66 เห็นด้วย ร้อยละ 33.66 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 10.66 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 8.12 และไม่เห็น ด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 0.90 การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติเพื่อปูองกันโรค กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อย ละ 45 เห็นด้วย ร้อยละ 27.33 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 11.66 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 10.33 และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 5.68 การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อปูองกันโรค กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 19.33 เห็นด้วย ร้อยละ 16.66 ไม่แน่ใจร้อยละ 8 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 26.68 และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ร้อยละ 29.33 ปัจจัยการชักน าเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผลการวิจัยพบว่าการได้รับอิทธิพลระหว่าง บุคคล กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมปฏิบัติอย่างสม่ าเสมอ 7 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 51.00 ปฏิบัติบ่อยครั้ง 5-7 วัน ต่อสัปดาห์ ร้อยละ 31.00 ปฏิบัติบางครั้ง 3 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 9.20 ปฏิบัตินานๆ ครั้ง 1-2 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 6.80 และไม่เคยปฏิบัติเลย ร้อยละ 2.00 การได้รับข้อมูลข่าวสาร พบว่ากลุ่มตัวอย่างได้รับอย่าง สม่ าเสมอ 7 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 43.40 ได้รับข่าวสารบ่อยครั้ง 5-7วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 24.40 ได้รับเป็น บางครั้ง 3 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 13.40 นานๆ ที่ได้รับ 1-2 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 13.80 และไม่เคยได้รับ ข่าวสารเลย ร้อยละ 5.00 กลุ่มตัวอย่างประชากรวัยท างานในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อมมีพฤติกรรมการปูองกันโรคติดต่อ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดังนี้ 1)ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์อย่างน้อย 20 วินาที 2)สวมหน้ากากอนามัยหรือ หน้ากากผ้าในขณะที่อยู่นอกบ้านหรือเคหะสถาน 3)หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่นและแออัด 4)รักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตรในขณะที่มีการพูดคุยหรือสนทนากับผู้อื่น 5)หลีกเลี่ยงการ สัมผัส ตา จมูกและปากหากไม่ได้ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ก่อน 6)ปิดปากและจมูกทุกครั้งเมื่อไอ หรือ จาม ด้วยกระดาษทิชชูหรือข้อพับแขน 7)เลือกทานอาหารที่ร้อนหรือปรุงสุกใหม่ๆ ใช้ช้อนกลาง 8)ใช้ช้อนกลาง ส่วนตัวเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น 9)หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของ เครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่น และ 10)สังเกต ตนเองเมื่อมีอาการไข้ ไอ มีน้ ามูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น หายใจเหนื่อยหอบ ลิ้นไม่รับรู้รสชาติ ซึ่งภาพรวม ประชากรวัยท างานในกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อโควิด-19 อยู่ในระดับดี โดยมีพฤติกรรม ปฏิบัติตามสุขลักษณะเป็นประจ า ร้อยละ 62.90 ปฏิบัติบ่อยครั้ง ร้อยละ 29.60 นานๆ ครั้งปฏิบัติ ร้อยละ 4.90 ปฏิบัติเป็นบางครั้ง ร้อยละ 1.60 และไม่เคยปฏิบัติเลย ร้อยละ 1.00 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ ผลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้จะถูกน าไปจัดท าเป็นโครงการให้ความรู้ กิจกรรมส่งเสริมการรับรู้โอกาส เสี่ยงและความรุนแรงของโรค การปูองกันตนเองเพื่อสนับสนุนพฤติกรรมปูองกันโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยน าไป วางแผนการด าเนินงานส่งเสริมสุขภาพในภารกิจของกลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม ตลอดจน ก าหนดยุทธศาสตร์การปูองกันและควบคุมโรคหรือโรคติดเชื้ออื่นในเขตเทศบาลต าบลบ้านเหลื่อมและพื้นที่ รับผิดชอบของโรงพยาบาลบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป


92 อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ โรคติดเชื้อโควิด-19 มีผลกระทบในวงกว้างต่อชีวิตประชาชนในหลายมิติ ถ้าหากประชาชนมีการรับรู้ ที่ดีก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และลดการแพร่กระจายเชื้อในพื้นที่ได้ เป็นอย่างดี ผู้ศึกษางานวิจัยครั้งนี้จึงอภิปรายสรุปผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์งานวิจัยข้อแรก กลุ่มวัยท างานของในเขตเทศบาลบ้านเหลื่อม อ าเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา มีความรู้เกี่ยวกับโรคโควิด-19 อยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ ทัศนคติ แรงสนับสนุนทาง สังคม การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของการเกิดโรค การรับรู้ประโยชน์ของการ ปฏิบัติเพื่อปูองกันการเกิดโรคการรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อปูองกันการเกิดโรค และพฤติกรรมการ ปูองกันโรค ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของอภิวดี อินทเจริญ และคณะ (2564) ที่สะท้อนว่าโรคโควิด-19 เป็น โรคติดต่อที่มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม หากประชาชนมีพฤติกรรมการปูองกันโรคที่ดีจะช่วยลดอุบัติการณ์ การเกิดโรคได้ดีมากยิ่งขึ้น และปูองกันตนเองจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปสู่บุคคลอื่น ซึ่งก่อให้เกิด ความรุนแรงของโรคภาวะแทรกซ้อน หรือเสียชีวิต รวมไปถึงการมีมาตรการการปูองกันการแพร่ระบาด เช่น การสั่งปิดกิจการสถานประกอบการต่างๆ ร้านอาหาร การห้ามเดินทางข้ามจังหวัดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รายได้และการประกอบอาชีพของประชาชน 2. ส าหรับวัตถุประสงค์งานวิจัยข้อที่ 2 ก็สืบเนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบยารักษาอย่างเป็น ทางการ ดังนั้นเปูาหมายหลักในการควบคุมโรค คือ การปูองกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น ซึ่งผล จากงานวิจัยพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อโควิด 19 ของประชากรกลุ่มวัยท างานในเขตเทศบาลต าบลบ้าน เหลื่อมพบว่าปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้ แรงสนับสนุนทางสังคม ทัศนคติ การได้รับข้อมูลข่าวสาร การได้รับ อิทธิพลระหว่างบุคคลการรับรู้โอกาสเสี่ยงการเกิดโรคการรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์ของ การ ปฏิบัติเพื่อปูองกันโรค การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อปูองกันโรคเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการ ปูองกันโรคในภาพรวมอยู่ในระดับดี ซึ่งสอดคล้องกับอภิวดี อินทเจริญ และคณะ (2564) ที่ค้นพบว่าประชาชน ทุกกลุ่มมีความเสี่ยงในการสัมผัสกับบุคคลอื่นการรับรู้จะน าไปสู่ความรู้ ความคิด ความเข้าใจจนก่อเกิดเป็น พฤติกรรมการปูองกันโรค รวมทั้งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องการรับรู้ของ Becker (1974) ที่กล่าวว่าการรับรู้นั้น มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งพฤติกรรมในการปูองกันและควบคุมโรคที่ถูกต้องเหมาะสมจะเป็นการคัด กรอง เฝูาระวังและปูองกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอกสารอ้างอิง กรมควบคุมโรค. (2565). สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย. สืบค้น 25 พฤษภาคม2565, จาก https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/index.php. กรมอนามัย. กระทรวงสาธารณสุข. (2563). คู่มือมาตรการและแนวทางในการดูแลด้าน อนามัย สิ่งแวดล้อมในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2565, จาก https://www.hatyaidho.com/web/?p=1480. ณัฎฐวรรณ ค าแสน. (2564). ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมในการปูองกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ของประชาชนในเขตอ าเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอม เกล้า จังหวัดเพชรบุรี, 4(1), 33-48.


93 อภิวดี อินทเจริญ, คันธมาทน์ กาญจนภูมิ, กัลยา ตันสกุล และ สุวรรณา ปัตตะพัฒน์. (2564). ปัจจัย ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการปูองกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตเทศบาลเมือง คอหงส์ จังหวัดสงขลา. วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน, 3(2), 19-30. Becker, M. H. (1974). The health belief model and personal health behavior. Health Education Monographs, 2, 324-473.Bloom, B.S. (1975). Taxonomy of Education. New York: World Health Organization. (2020).Coronavirus disease (COVID-19) pandemic. Retrieved May 20, 2020, from https://www.who.int/emergencies/diseases/novelcoronavirus-2019


94 การประเมินผลของการใช้โปรแกรม Follow Care ในการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง เครือข่ายโรงพยาบาลโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย นเรนทร์ฤทธิ์ ผาจันทร์ โรงพยาบาลโพนพิสัย บทคัดย่อ โรงพยาบาลโพนพิสัยได้พัฒนานวัตกรรมโปรแกรม Follow Care เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการส่งต่อดูแล ต่อเนื่องระหว่างโรงพยาบาลและเครือข่ายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล (รพ.สต.) ในพื้นที่อ าเภอโพนพิสัย มาช่วยในระบบการดูแลต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการรักษา ท าให้มีความสะดวก รวดเร็ว ลด ขั้นตอนการเข้ารับบริการ และพยาบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น จากการเก็บรวบรวมข้อมูลใน ปีงบประมาณ 2563 พบว่ามีการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยผ่านโปรแกรม ไปยังเครือข่ายรพ.สต.รวมทั้งหมด 16 แห่ง จ านวนทั้งสิ้น 1728 ราย โดยส่งข้อมูลจากแผนกผู้ป่วยนอกร้อยละ 49.4 แผนกสูติกรรมร้อยละ 28.0 และ แผนกผู้ป่วยในร้อยละ 22.6 ปัญหาที่พบได้แก่ 1) การตอบรับการเยี่ยมบ้านในโปรแกรม ล่าช้า 2) การคืน ข้อมูลผลการเยี่ยมบ้านไม่คลอบคลุม 3) ขาดการสื่อสารตอบกลับระหว่างโรงพยาบาลและ รพ.สต. จากปัญหา ที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้มีแนวคิดที่จะน ามาพัฒนาและประเมินผลของการใช้โปรแกรม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงประเมินผล มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อประเมินผลของการใช้โปรแกรม Follow care เชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลการดูแลต่อเนื่องระหว่างโรงพยาบาลโพนพิสัย และ รพ.สต.ในพื้นที่อ าเภอ โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ด าเนินการระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 กลุ่ม ตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ 50 คน ผู้ป่วย 20 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ เครื่องมือการ วิจัยคือโปรแกรม แบบสอบถามแบบกึ่งโครงสร้าง แบบประเมินความเหมาะสมของโปรแกรมแบบสอบถามเพื่อ ประเมินผลลัพธ์การใช้โปรแกรม และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ความเหมาะสมของการใช้โปรแกรม Follow Care ภาพรวมอยู่ในระดับ เหมาะสมมาก x (SD.)=4.1(0.5) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการมีความพึงพอในภาพรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด x (SD.)=4.2(0.6) โดยโปรแกรม Follow Care เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการดูแล รักษาส่งผลดีในแง่ของการส่งต่อข้อมูลของผู้รับบริการที่เหมาะสมกับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน บทน า การดูแลต่อเนื่อง เป็นการดูแล 6 มิติ คือความต่อเนื่องของข้อมูลสารสนเทศ ความต่อเนื่องของ สัมพันธภาพระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ความต่อเนื่องของการรักษา ความต่อเนื่องของล าดับชั้นของ เหตุการณ์ ความต่อเนื่องของการจัดการ และมิติอื่น เช่น ความต่อเนื่องของสถานที่ที่บริการ ดังนั้นจึง จ าเป็นต้องพิจารณาความต่อเนื่องของการดูแล ในมุมมองต่างๆเพื่อสามารถจัดบริการการดูแลต่อเนื่องที่ สามารถตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (วิลาวัณย์ ชมนิรัตน์, 2551) การติดตามการเยี่ยมและดูแลผู้ป่วยหลังจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาลมีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการ


95 พัฒนาคุณภาพบริการดูแลรักษาต่อเนื่อง จากข้อมูลการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องระหว่าง โรงพยาบาลโพนพิสัยและเครือข่ายรพ.สต. ในพื้นที่อ าเภอโพนพิสัย พบว่ามีปัญหาคือ ด้านผู้ป่วย ท าเอกสารส่ง ต่อสูญหาย ไม่น าส่งเอกสารให้รพ.สต. ท าให้ด้านเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ไม่มีข้อมูลจากโรงพยาบาล ส่งผลให้ไม่ได้ ติดตามเยี่ยมผู้ป่วย ด้านโรงพยาบาลเมื่อส่งผู้ป่วยดูแลต่อเนื่องไม่ทราบความก้าวหน้าในการดูแลต่อเนื่อง ผลกระทบที่ตามมาคือ การดูแลรักษาเกิดความล่าช้า ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ป่วยกลับมารักษาด้วยโรคเดิม ปัจจุบันโรงพยาบาลโพนพิสัยได้พัฒนานวัตกรรมโปรแกรม Follow Care ซึ่งโปรแกรมจะเชื่อมกับ ฐานข้อมูล H0SxP ส่งถึง รพ.สต.15 แห่ง การท างานของโปรแกรมจะมี 2 ส่วนคือส่วนโรงพยาบาลเข้าใช้งาน และส่วน รพ.สต.ในส่วนของทางโรงพยาบาลเมื่อส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยไปให้ทาง รพ.สต.เข้ารหัส login เลือกแผนก ที่ส่งและคีย์ HN ผู้ป่วยที่ต้องการส่งต่อ เลือก visit ที่ต้องการให้ติดตามเยี่ยม ข้อมูลผู้ป่วยจะปรากฏอยู่ใน โปรแกรม โดยรายละเอียดข้อมูลผู้ป่วยจะดึงจากฐานข้อมูล H0SxP แผนกที่ส่งของโรงพยาบาลจะเลือกสาเหตุ ที่ส่ง ข้อมูลของผู้ป่วยจะไปรากฎที่หน้าจอหลักของโปรแกรม และมีกล่องข้อความเพื่อสื่อสารกันหลังจาก รพ. สต.ให้การรักษาหรือติดตามเยี่ยม เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการส่งต่อดูแลต่อเนื่องระหว่างโรงพยาบาลและเครือข่าย รพ.สต. ในพื้นที่อ าเภอโพนพิสัย มาช่วยในระบบการดูแลต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการรักษา ท าให้ มีความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนการเข้ารับบริการ และพยาบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดยที่ เป้าหมายของการดูแลต่อเนื่องคือ 1) ผู้ป่วยได้รับการดูแลต่อเนื่องตรงตามแผนการรักษาของแพทย์ โดยผู้ป่วย ได้รับการเยี่ยมบ้านภายใน 1 วันหลังจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาล 2) ผู้ป่วยที่ได้รับการเยี่ยมบ้านต้องไม่เกิด การ Readmit ภายใน 28 วัน 3) ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากที่ได้รับการเยี่ยมบ้าน 4) มีการตอบกลับโดย การสื่อสารทั้งรพ.สต.และโรงพยาบาลแม่ข่ายรวมถึงมีการจ าหน่ายผู้ป่วยจากระบบการติดตามเยี่ยม จากการ เก็บรวบรวมข้อมูลในปีงบประมาณ 2563 พบว่ามีการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยผ่านโปรแกรม ไปยังเครือข่าย รพ.สต. 15 แห่ง และศูนย์สุขภาพชุมชนโรงพยาบาลโพนพิสัย รวมทั้งหมด 16 แห่ง จ านวนทั้งสิ้น 1728 ราย โดยส่ง ข้อมูลจากแผนกผู้ป่วยนอกร้อยละ 49.4 แผนกสูติกรรมร้อยละ 28.0 และแผนกผู้ป่วยในร้อยละ 22.6 ปัญหาที่ พบได้แก่ 1) การตอบรับการเยี่ยมบ้านในโปรแกรม Follow Care ล่าช้า 2) การคืนข้อมูลผลการเยี่ยมบ้านไม่ ครอบคลุม 3) ขาดการสื่อสารตอบกลับระหว่างโรงพยาบาลและรพ.สต. ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดูแลต่อเนื่อง ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์ มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาในภายหลัง ด้วยความส าคัญดังกล่าวทางผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะประเมินผลของการใช้ โปรแกรม Follow Care ในการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องเครือข่ายโรงพยาบาลโพนพิสัย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องแบบไร้ รอยต่อ ครบถ้วนตามประเด็นการติดตามต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ มีความพึงพอใจในการรับบริการและ พยาบาลที่ใช้งานโปรแกรม สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาโปรแกรมให้ดีขึ้นเพื่อน าไปขยายสู่ องค์กรภายนอกต่อไป วัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อประเมินผลของการใช้โปรแกรม Follow Care เชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลการดูแลต่อเนื่อง ระหว่างโรงพยาบาลโพนพิสัย และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล ในพื้นที่อ าเภอโพนพิสัย จังหวัด หนองคาย


96 วิธีการศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงประเมินผล (Evaluation research) ที่แผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลโพน พิสัย จังหวัดหนองคาย ด าเนินการระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2564 ประชากรที่ จะศึกษาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 1)เป็นพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลโพนพิสัยงานผู้ป่วยในชาย จ านวน 12 คน งานผู้ป่วยในหญิง จ านวน 12 คน งานผู้ป่วยในสามัคคีรวมน้ าใจ(ตึกพิเศษ) จ านวน 7 คน งานเวชปฏิบัติชุมชน จ านวน 4 คน และพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานเครือข่าย รพ.สต.ทั้ง 15 แห่ง จ านวน 15 คน รวมทั้งสิ้น 50 คน 2)กลุ่มผู้รับบริการที่เป็นผู้ป่วยที่จ าหน่ายจากงานผู้ป่วยในชาย งานผู้ป่วยในหญิงและ งานผู้ป่วยในสามัคคีรวมน้ าใจ(ตึกพิเศษ) โรงพยาบาลโพนพิสัย โดยแพทย์มีแผนการรักษาให้มีการ รักษาพยาบาลต่อเนื่องในเดือนมีนาคม ทั้งหมด จ านวน 20 คน การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ การวิเคราะห์ สถานการณ์ปัญหาและวางแผนการพัฒนา การน าโปรแกรมไปใช้และการประเมินผลการใช้โปรแกรม เครื่องมือในการวิจัยคือ โปรแกรม Follow Care แบบสัมภาษณ์สถานการณ์ในการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง แบบประเมินความเหมาะสมของโปรแกรม แบบประเมินผลลัพธ์การใช้โปรแกรม และแบบสอบถามความพึง พอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา การหาความตรงตามเนื้อหา การหาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้ค่า Kuder-Richardson (KR-20) มีค่าเท่ากับ 0.9 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับสูง และแบบสอบถามความพึงพอใจตรวจสอบความเที่ยงของแบบสอบถาม โดยใช้ item total correlation หาค่าความเที่ยงโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach's alpha coefficient มีค่าเท่ากับ 0.9 ได้รับเอกสารรับรองโครงการวิจัย จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลโพนพิสัย เลขที่โครงการวิจัย 12/64 ECPPS 08 ลงวันที่ 8 เดือนมกราคม พ.ศ.2564 ผลการศึกษา ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มประชากรที่ศึกษาพบว่าในกลุ่มพยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 88.0 อายุเฉลี่ย 37 ปี (SD.=11.0) มีอายุระหว่าง 24-60 ปี ต าแหน่งข้าราชการร้อยละ 98.0 พนักงาน กระทรวงสาธารณสุขร้อยละ 2.0 ประสบการณ์การท างานเฉลี่ย 14 ปี (SD.=11.3) มีประสบการณ์การท างาน อยู่ระหว่าง 1-40 ปี พยาบาลวิชาชีพให้คะแนนความเหมาะสมของการใช้โปรแกรม ภาพรวมอยู่ในระดับ เหมาะสมมาก x (SD.) =4.1(0.5) หัวข้อที่มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุดคือ หน้าหลักการเข้าใช้งาน โปรแกรม ได้คะแนนร้อยละ 87.2 และการแสดงผลในโปรแกรมเมื่อมีการส่งข้อมูล ได้คะแนนร้อยละ 84.4 และในกลุ่มผู้รับบริการเป็นเพศหญิง ร้อยละ 50.0 และเพศชาย ร้อยละ 50.0 อายุเฉลี่ย 50 ปี (SD.=26.0) มี อายุระหว่าง 1-107 ปีสถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 70.0 โสด ร้อยละ 25.0 และหย่าร้าง ร้อยละ 5.0 ระดับ การศึกษามัธยมศึกษา ร้อยละ 35.0 ไม่ได้ศึกษา ร้อยละ 30.0 ประถมศึกษา ร้อยละ 20.0 และปริญญาตรี ร้อยละ 15.0 ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการมีความพึงพอในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด x (SD.) =4.2(0.6) โดยหัวข้อที่มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดคือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมีความคุ้มค่า เหมาะสม ได้คะแนนร้อยละ 95.0


97 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ การน าโปรแกรมมาใช้ในการท างานท าให้เจ้าหน้าที่รพ.สต.เข้าถึงข้อมูลและแผนการรักษาของผู้ป่วย ง่ายขึ้น ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ มีความสะดวก รวดเร็ว สามารถออกติดตามเยี่ยมบ้านหรือให้การพยาบาล ผู้ป่วยต่อเนื่องได้ทันทีหลังจากจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาล อภิปรายสรุป จากการศึกษาผลของการใช้โปรแกรม Follow Care เชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลการดูแลต่อเนื่องระหว่าง โรงพยาบาลโพนพิสัย และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล ในพื้นที่อ าเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายพบว่า ในผู้รับบริการทั้ง 20 ราย มีการสื่อสารจากโรงพยาบาลถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลภายใน 24 ชั่วโมง มีการรายงานการติดตามหลังการจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาล ได้รับข้อมูลการดูแลต่อเนื่องตรงตามแผนการ รักษาของแพทย์ ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นระหว่างการรักษาต่อเนื่อง มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ แผนการรักษาแก่ผู้ป่วย ประวัติการรักษาและข้อมูลของผู้ป่วยมีความถูกต้อง ผู้ป่วยไม่กลับไปรักษาตัวใน โรงพยาบาลด้วยโรคเดิมภายใน 28 วัน และโปรแกรมมีประโยชน์ในการใช้ดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง ยังมีผู้รับบริการ 2 ราย ขาดการติดตามเยี่ยมหรือการให้การดูแลอย่างต่อเนื่องหลังจากจ าหน่ายภายใน 48 ชั่วโมงไม่ทันเวลา และ ผู้รับบริการ 4 ราย ยังไม่มีการรายงานการจ าหน่ายผู้ป่วยจาก รพ.สต. การส่งต่อข้อมูลของผู้รับบริการผ่านโปรแกรม Follow Care แก้ไขปัญหาการเชื่อมโยงข้อมูล เรื่อง ของการตอบรับการเยี่ยมบ้านและการคืนข้อมูลการเยี่ยมบ้านตอบกลับมาทางโรงพยาบาลเกิดผลลัพธ์ในระบบ การดูแลต่อเนื่องที่น่าพอใจ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมีการสื่อสารทั้ง 2 ทาง มีการตอบกลับข้อมูลซึ่งกันและกัน รวมถึงการน าเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ผสมผสานกับการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของอารี รัตน์ เนติวัชรเวช(7) ที่พบว่าทีมดูแลต่อเนื่องมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการดูแลสุขภาพต่อเนื่องแบบบูรณาการ โดยใช้โปรแกรมสารสนเทศในระดับมาก และยังไม่มีโรงพยาบาลในจังหวัดหนองคายน าโปรแกรมหรือ นวัตกรรมเกี่ยวกับการส่งต่อข้อมูลการรักษาจากโรงพยาบาลสู่รพ.สต.ในรูปแบบนี้ไปใช้ทางผู้วิจัยจึงขอสรุปว่า โปรแกรมเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลต่อเนื่องได้จริง ช่วยเพิ่มคุณภาพของการดูแลรักษาและยังส่งผลดีในแง่ ของการส่งต่อข้อมูลของผู้รับบริการที่เหมาะสมกับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน ข้อเสนอแนะ ในการท าวิจัยในครั้งนี้ ควรมีการพัฒนาโปรแกรมยืนยันข้อมูลของผู้ป่วยก่อนการบันทึกข้อมูลลงใน โปรแกรมเพื่อให้การเข้ารับบริการในรพ.สต.ถูกต้องและแม่นย า ในการท าวิจัยครั้งต่อไป ควรน าโปรแกรมไปใช้ กับโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดหนองคายที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน


98 เอกสารอ้างอิง การส ารวจความพึงพอใจผู้ป่วย ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์[อินเทอร์เน็ต]. 2562 [cited 2021 Jan 27]. Available from: http://excellent.med.cmu.ac.th/meccmu/wpcontent/uploads/2020/05/ผลส ารวจความพึงพอใจผู้ป่วย-ประจ าปี-2562.pdf บุญชม ศรีสะอาด. การแปลผลเมื่อใช้เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแบบมาตราส่วนประมาณค่า[อินเทอร์เน็ต]. [cited 2021 Jan 27]: 1-7. Available from: http://www.watpon.com/boonchom/trans.pdf. บุญชม ศรีสะอาด, บุญส่ง นิลแก้ว. การอ้างอิงประชากรเมื่อใช้เครื่องมือแบบมาตราส่วนประมาณค่า กับกลุ่มตัวอย่าง [อินเทอร์เน็ต]. 2535[cited 2021 Jan 21];3:22-25. Available from: https://edu.msu.ac.th/jem/home/ journal_file/23.pdf. ประภา จงใจภักดี. ความพึงพอใจในงานของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลรามาธิบดี[วิทยานิพนธ์ปริญญา วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต(สาธารณสุขศาสตร์) สาขาเอกบริหารสาธารณสุข]. กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยมหิดล; 2556. วิลาวัณย์ ชมนิรัตน์, นิตย์ ทัศนิยม. การจัดการเพื่อให้กลุ่มผู้ที่เป็นเบาหวานได้รับการดูแลต่อเนื่อง. วารสารสมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ2551;27(3):12-21. หน่วยการพยาบาลต่อเนื่อง ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช. แนวทางการดูแลต่อเนื่อง (Continuing care) [อินเทอร์เน็ต]. [cited 2021 Jan 21]. Available from: https://www.si.mahidol.ac.th/Th/division/nursing/NDivision/N_OPD/admin/download_f iles/3_61_1.pdf อารีรัตน์ เนติวัชรเวช. ผลลัพธ์ของรูปแบบการดูแลสุขภาพต่อเนื่องแบบบูรณาการ โดยใช้โปรแกรม สารสนเทศในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เครือข่ายส านักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร. (2563). [อินเทอร์เน็ต]. [cited 2021 Jan 21]. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnatned/article/download/242637/165515/


99 รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในชุมชน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน กิตติยาภรณ์ บุญไพโรจน์ โรงพยาบาลส าโรง อ าเภอส าโรง จังหวัดอุบลราชธานี บทคัดย่อ รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในชุมชน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทก่อความรุนแรงโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการป้องกันการ ก่อความรุนแรง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ได้แก่ สาธารณสุข ต ารวจ ปลัดอ าเภอ ผู้น าชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) และผู้ป่วยจิตเภท 15 คน วิธีด าเนินการ โดยใช้บวนการ PAOR ตามแนวคิดของเคมมิสและแมกทากาด มี 4 ขั้นตอน 1) วางแผน 2) ลงมือปฏิบัติ 3) สังเกตการณ์4) สะท้อนผล เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าเฉลี่ยร้อยละ ข้อมูล เชิงคุณภาพใช้วิเคราะห์เชิงเนื้อหา พบว่ารูปแบบของการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในชุมชน โดยใช้กระบวนการมีส่วน ร่วมของชุมชนนั้น เป็นการน าเครือข่ายชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยซึ่งส่งผลให้การดูแลมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังเกิดรูปแบบการดูแลขึ้น 5 รูปแบบ 1) การประชุมระดมสมองผู้มีส่วนร่วม 2) การอบรมให้ความรู้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง 3) มีมาตรการป้องกันการก่อความรุนแรง 4) มีการพัฒนาระบบส่งต่อ ผู้ป่วยจากชุมชนถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วเป็นระบบ 5) มีการก ากับการกินยาและมาตรวจตามนัด หลังจาก น ารูปแบบไปด าเนินการ พบว่า ผู้ป่วยจิตเภทก่อความรุนแรงในชุมชนลดลง คิดเป็นร้อยละ 13.33 ผู้ป่วยจิต เภทได้รับการดูแลโดยมีการก ากับการทานยาจากผู้น าชุมชน อสม. คิดเป็นร้อยละ 86.66 มีการส่งต่อจาก ชุมชนเนื่องจากมีอาการเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง คิดเป็นร้อยละ 13.33 บทน า แนวโน้มสถานการณ์การเกิดความรุนแรงในชุมชน ที่เกิดจากอาการก าเริบของผู้ป่วยจิตเภทเป็น ปัญหาที่ส าคัญ ระดับประเทศ จากรายงานสถิติของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมี ผู้ป่วยจิตเภทที่มีอาการเริ่มต้นถึงรุนแรงร้อยละ 14.30 หรือ 7 ล้านคน โดยเป็นผู้ป่วยโรคจิตเภทประมาณ 400,000 คน โรคจิตเภทเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการรักษา จะเกิดการ เสื่อมถอยทางความคิด การรับรู้ อารมณ์ และพฤติกรรมอย่างมาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่ออาการทุเลาลง จะยังคงมี อาการหลงเหลืออยู่ และมีอาการก าเริบ คลุ้มคลั่ง ประสาทหลอน ก้าวร้าวมีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น ทรัพย์สิน รวมทั้งก่อเหตุอาชญากรรมในชุมชน อ าเภอส าโรงจังหวัดอุบลราชธานี มีผู้ป่วยที่ เจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตเภท ปีงบประมาณ 2562-2564 จ านวน 258, 270 และ265 ตามล าดับมีสถานการณ์ ก่อความรุนแรงในชุมชน เช่น เผาบ้าน ท าร้ายตนเองและผู้อื่น ท าให้เสียทรัพย์สิน ครอบครัวและชาวบ้าน หวาดกลัว และไม่กล้าอยู่ร่วมกับผู้ป่วย ท าให้ผู้ป่วยขาดการดูแล และไม่ได้รับการติดตามต่อเนื่อง ซึ่งท าให้ ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการมีอาการก าเริบได้ง่าย เมื่อมีเหตุการณ์รุนแรงจากผู้ป่วยจิตเภทเกิดขึ้นในชุมชน ไม่มีระบบส่ง ต่อ ซึ่งในปีงบประมาณ 2564 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยก่อความรุนแรงจ านวน 15 คน มีสาเหตุมาจาก ไม่ยอมรับการ


100 เจ็บป่วยท าให้ขาดยาคิดเป็นร้อยละ 80.00 ญาติไม่มีศักยภาพในการดูแล/ผู้สูงอายุ/กลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ร้อยละ 86.00 ผู้ป่วยก่อความรุนแรงในชุมชนร้อยละ 86.00 วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในชุมชน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการ ป้องกันการก่อความรุนแรงในชุมชน วิธีการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายอ าเภอส าโรง ได้แก่ เจ้าหน้าที่ สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ต ารวจ ปลัดอ าเภอ ผู้น าชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน และผู้ป่วยจิตเภทที่มี ประวัติก่อความรุนแรง 15 คน โดยใช้การบวนการ PAOR ตามแนวคิดของเคมมิสและแมกทากาด (kemmis & MC Taggart) มี 4 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 วางแผน (Plan) มีการประชุมร่วมกับชุมชน เพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ ซึ่งได้ปัญหาดังนี้ ไม่ยอมรับการเจ็บป่วยท าให้ขาดยาคิดเป็นร้อยละ 80.00 ญาติไม่มีศักยภาพในการดูแล/ผู้สูงอายุ/กลัวไม่กล้า เข้าใกล้ ร้อยละ 86.00 ผู้ป่วยก่อความรุนแรงในชุมชนร้อยละ 86.00 ระดมสมองออกแบบการดูแลร่วมกับ ชุมชน ประชุมเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ความรู้และชี้แจงแนวทางปฏิบัติมีการก าหนดหน้าที่ในการ ปฏิบัติ โดย สาธารณสุข มีหน้าที่เก็บข้อมูลและส่งข้อมูลให้เครือข่าย ติดตามเยี่ยมและประเมินพฤติกรรม ก้าวร้าวรุนแรง ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง ปลัดอ าเภอ ต ารวจ มีหน้าที่ติดตามผู้ป่วยร่วมกับทีม รับ ประสาน ติดตามผู้ป่วยมารับการรักษาที่โรงพยาบาล กรณีก่อความรุนแรงในชุมชน ออกมาตรการชุมชนและ ติดตามการใช้มาตรการชุมชน ผู้น าชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน รับแจ้งเหตุในชุมชน ประสานงานส่วนที่เกี่ยวข้อง ติดตามการรับประทานยาของผู้ป่วยในชุมชน บันทึกพฤติกรรมของผู้ป่วยในชุมชน ขั้นที่ 2 ลงมือปฏิบัติ (Act) โดย 1.ผู้รับผิดชอบงานสุขภาพจิตโรงพยาบาลรวบรวมข้อมูลการรักษา ติดตามข้อมูล และส่งต่อข้อมูลให้เครือข่าย 2. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรพ.สต. ผู้น าชุมชน อสม. ติดตามก ากับให้ ผู้ป่วยกินยาตามแผนการรักษาของแพทย์ 3. สาธารณสุข ปลัดอ าเภอ ผู้น าชุมชน อสม.เป็นทีมใหญ่ ออก ติดตามเยี่ยมผู้ป่วยจิตเภทก่อความรุนแรง เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง 4.ต ารวจ ปลัดอ าเภอ น าทีมออกระงับเหตุ เมื่อมีเหตุการณ์ก่อความรุนแรง พร้อมน าผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล 5.เจ้าหน้าที่ รพ.สต.แจ้งพยาบาลสุขภาพจิตของโรงพยาบาล ประเมินความก้าวร้าวรุนแรงจากข้อมูล และเหตุการณ์ เตรียม ทีมรอ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วย อย่างรวดเร็ว ขั้นที่ 3 สังเกตการณ์ (Observer) ติดตามผลการรับประทานยา ติดตามบันทึกรายงานพฤติกรรม ของผู้ป่วยจิตเภทจากผู้น าชุมชนและ อสม.เช็คจ านวนผู้ป่วยจิตเภทที่ยังก่อความรุนแรงในชุมชน ขั้นที่ 4 สะท้อนผล (Reflect) ยังมีผู้ป่วยจิตเภทก่อความรุนแรงในชุมชน มีการดื่มสุรา แล้วก่อเหตุ ผู้ป่วยได้รับการดูแลโดยมี การก ากับการกินยาจากผู้น าชุมชนและ อสม.ครบตามแผนการรักษา พบว่ามีการส่ง


101 ต่อผู้ป่วยจิตเภทก่อความรุนแรงจากชุมชน เนื่องจากยังมีปัญหาที่พบอยู่ จึงน ากระบวนการ PAOR ตามแนวคิด ของเคมมิสและแมกทากาด (kemmis & MC Taggart) มี 4 ขั้นตอน รอบที่ 2 ดังนี้ ขั้นที่ 1 วางแผน (Plan) ปรับรูปแบบการดูแล ก าหนดมาตรการการดูแล มาตรการชุมชนเรื่องงด ขายสุราให้ผู้ป่วย ขั้นที่ 2 ลงมือปฏิบัติ (Act) ปลัดอ าเภอ ผู้น าชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขชี้แจงกับชุมชน ขอความ ร่วมมืองดขายสุราให้ผู้ป่วยจิตเภท ปลัดอ าเภอ ผู้น าชุมชน ติดตามการบ าบัดรักษา. และการปฏิบัติตาม มาตรการชุมชนของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ติดตามเยี่ยมผู้ป่วยและครอบครัว ขั้นที่ 3 สังเกตการณ์ (Observer) สอบถาม ตรวจสอบ ร้านค้าที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ ผู้น าชุมชน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประเมินพฤติกรรมผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง โดยใช้แบบ ประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ในรายที่ยังมีประวัติก่อความรุนแรง ขั้นที่ 4 สะท้อนผล (Reflect) ร้านค้าปฏิบัติตามมาตรการ ผู้ป่วยยังมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการก่อความ รุนแรง ผลการประเมินโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมก้าวร้าว ได้ 1 คะแนน ตรวจพบปัสสาวะสีม่วงจ านวน 2 คน เครื่องมือที่ใช้ แบบประเมินภาวะฉุกเฉินก้าวร้าว (Overt Aggression Scale : OAS) การสังเกตแบบมีส่วน ร่วม การจดบันทึก ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าเฉลี่ยร้อยละ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิเคราะห์เชิง เนื้อหา ผลการศึกษา รูปแบบของการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในชุมชน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนนั้น เป็นการน า เครือข่ายชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยซึ่งส่งผลให้การดูแลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังเกิด รูปแบบการดูแลขึ้น 5 รูปแบบ 1.การประชุมระดมสมองผู้มีส่วนร่วม 2.การอบรมให้ความรู้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง 3.มี มาตรการป้องกันการก่อความรุนแรง (มาตรการชุมชน) 4.มีการพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยจากชุมชนถึง โรงพยาบาลอย่างรวดเร็วเป็นระบบ 5.มีการก ากับการกินยาและมาตรวจตามนัด หลังจากน ารูปแบบไป ด าเนินการ พบว่า ผู้ป่วยจิตเภทก่อความรุนแรงในชุมชนลดลง คิดเป็นร้อยละ 13.33 ผู้ป่วยจิตเภทได้รับการ ดูแลโดยมีการก ากับการทานยาจากผู้น าชุมชนและอสม. คิดเป็นร้อยละ 86.66 มีการส่งต่อจากชุมชนเนื่องจาก มีอาการเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง คิดเป็นร้อยละ 13.33 การน าไปใช้ประโยชน์ 1.ใช้เป็นแนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเภทก่อความรุนแรง(SMI-V) ในการป้องกันการก่อความรุนแรงใน ชุมชนได้ 2.ใช้เป็นตัวอย่างการศึกษา ค้นคว้าการพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภทในชุมชนได้ 3.เป็นเอกสาร ประกอบการศึกษา ค้นคว้า ส าหรับนักศึกษาพยาบาล พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่สนใจ ได้


102 อภิปรายผล การศึกษาครั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากกรอบแนวคิดและทฤษฎีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพพบว่า ผู้ป่วยจิตเภทมีการใช้สารเสพติดร่วมกับการทานยารักษาจิตเวช ระบบการติดตามดูแลยังไม่ครอบคลุมพอ ท า ให้ผู้ป่วยจิตเภทเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงได้สูง ผลการวิจัยพบว่า การดึงศักยภาพเครือข่ายชุมชนเข้ามามี ส่วนร่วม ในการดูแลผู้ป่วยจิตเภท เพื่อลดการก่อความรุนแรง เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกับผู้ป่วย ความส าเร็จของ งาน เกิดการผสมผสานความร่วมมือ ระหว่างสาธารณสุขกับการมีส่วนร่วมของชุมชน การมีเครือข่ายและการ ประสานงานที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับบทวิจัยของ (ปุณญณิน เขื่อนเพ็ชร์,2559) ส่งผลให้การพัฒนาการดูแลผู้ป่วย จิตเภทในชุมชนของอ าเภอส าโรงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะ 1.ควรมีการด าเนินงานอย่างต่อเนื่อง และประเมินผลเป็นระยะเพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบบริการ 2.ควรมีการพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เอกสารอ้างอิง กองบริหารระบบบริการสุขภาพจิต. คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภทส าหรับโรงพยาบาลในเขตสุขภาพ ฉบับ พยาบาล/นักวิชาการสาธารณสุข.พิมพ์ครั้งที่ 4.กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ถนนติวา นนท์อ าเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี.2563. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข.คู่มือการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความ รุนแรง (Serious Mental Illness with High Risk to Violence:SMI-V)ส าหรับสถาบัน/โรงพยาบาล สังกัด กรมสุขภาพจิต.2560. ปุณญณิน เขื่อนเพ็ชร์.ประสิทธิผลของการมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการปรับเปลี่ยนภาวะอ้วนลงพุงใน ผู้สูงอายุ เครือข่ายบริการสุขภาพ.ปีที่ 7 ฉบับที่ 1/2559 พอเพียง ทรัพย์อินทร์. การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิง นิเวศใน วัด: กรณีศึกษาวัดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี.เสนอตอบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนคริ นทรวิโรฒ เพื่อเปนส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา การ วางแผนและการจัดการการทองเที่ยวเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดลอมพฤษภาคม 2551. พัณณ์ชิตา โยคะนิตย์ และนรินทร์ สังข์รักษา.ถอดบทเรียนการเรียนรู้สุขภาพชุมชนต าบลหนอง สาหร่าย อ าเภอ พนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี.วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย 2553.วิจิตร ศรีสุพรรณ. การวิจัย ทางการพยาบาลหลักการและแนวปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 3.เชียงใหม่. โครงการต ารา คณะพยาบาล ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2547.


103 ความรู้ ความเชื่อ และทัศนคติการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ ของพยาบาล วิชาชีพ ในโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ธีรพงศ์ เกษมบุตร ส านักงานสาธารณสุขอ าเภอพิบูลมังสาหาร บทคัดย่อ ปัจจุบันประเทศไทย ได้มีการอนุมัติใช้กัญชาทางการแพทย์ พยาบาลถือเป็นบุคคลส าคัญในระบบ สุขภาพที่ต้องรับผิดชอบการดูแลยาและแผนการรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ดังนั้นพยาบาลจึงต้องมีความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับกัญชาที่ใช้ในทางการแพทย์ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง ( Crosssectional descriptive study) เพื่อศึกษาความรู้ ความเชื่อและทัศนคติ การดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชา เพื่อทางการแพทย์ของพยาบาลวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี จังหวัด อุบลราชธานีจ านวน 125 คน โดยใช้แบบสอบถามความรู้ ความเชื่อและทัศนคติ การดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการ ใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติทดสอบแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า เพศชายร้อยละ 9.6 และเพศหญิง ร้อยละ 90.3 มีอายุเฉลี่ย 37.09 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีร้อยละ 93.6 ระดับปริญญาโท ร้อยละ 4.8 ระดับปริญญาเอก ร้อยละ 1.6 มีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยมะเร็งเฉลี่ย 3.08 ปี มีความรู้เกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ อยู่ในระดับปานกลาง (̅= 2.715 SD=.967) กลุ่มตัวอย่างสนับสนุนการใช้กัญทางการแพทย์เพื่อลดอาการปวดเรื้อรังจากโรคมะเร็ง มากที่สุด ร้อยละ 86.4 และมีความเชื่อและทัศนคติเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ อยู่ในระดับปานกลาง (̅= 2.765 SD = 1.076) ข้อเสนอแนะการท าวิจัยในครั้งต่อไปควรมีการศึกษาเปรียบเทียบความรู้ ความเชื่อและทัศนคติ ก่อน-หลัง และควรมีกิจกรรมการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์แก่พยาบาลวิชาชีพทุก ระดับ บทน า กัญชาเป็นพืชสมุนไพรที่ประกอบด้วยสารแคนนาบินอยด์ (cannabinoids) ซึ่งมี 2 ขนานในกัญชาที่ ออกฤทธิ์ต่างกัน คือ เตตร้าไฮโดรแคนนาบินอยด์ (delta-9 tetrahydrocannabinol: THC) และแคนนาบิ- ไดอัล (cannabidiol: CBD) ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้ง กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทส่วนปลาย ฮอร์โมน และภูมิคุ้มกันโดยผ่านระบบกัญชาในร่างกาย (Endocannabinoid system:ECS) endocannabinoid ของร่างกาย (Pollio, 2016) จึงมีการน าประโยชน์ของสารสกัดจากกัญชามาใช้ในทาง การแพทย์เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วย การศึกษาวิจัยในปัจจุบันเกี่ยวกับความรู้เรื่องกัญชาทางการแพทย์มีการศึกษา อย่างต่อเนื่อง และในหลายโรค หลายภาวะที่ยังไม่มีหลักฐานที่จะยอมรับหรือปฏิเสธการรักษาด้วยกัญชา (Abrams, 2018)


104 กัญชาถูกน ามาใช้ทางการแพทย์เพื่อรักษาบรรเทาอาการต่าง ๆ เป็นครั้งแรกในสมัยจีนโบราณก่อนที่ จะมีการใช้ทั่วโลกในปัจจุบัน ในช่วงแรกที่กัญชาถูกน ามาใช้ทางการแพทย์พบว่ามีความยากและไม่ปลอดภัยใน การใช้ แต่ก็มีการศึกษาพบว่ากัญชามีประโยชน์ทางด้านการแพทย์ (Friedman & Sirven, 2017) และกัญชา ถูกน ามาใช้ทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 (Zlas et al., 1993) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการ ห้ามใช้กลุ่มยาอนุพันธ์ฝิ่น และการจ ากัดขยายการใช้กัญชาเนื่องจากมีผลต่อทางด้านจิต ความพยายามในการ ห้ามการใช้กัญชาครั้งล่าสุดคือการลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดของสหประชาชาติใน ปี ค.ศ 1961 (Assembly, 1972) ภายใต้อนุสัญญานี้กัญชาได้รับการพิจารณาว่ามีข้อจ ากัดในการรักษาทางการแพทย์ และมี ความเสี่ยงสูงต่อการเสพติดและใช้ไปในทางที่ผิด (Assembly, 1972) การศึกษาในปัจจุบันพบว่ามีเหตุผลที่ เป็นไปได้ส าหรับใช้กัญชาในการรักษาทางการแพทย์แต่ยังมีข้อจ ากัดน าผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติ เนื่องจากมี ข้อจ ากัดหลายประเด็นของงานวิจัย เช่น การทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับกัญชา เนื่องจากกัญชามีสถานะผิด กฎหมาย (Russo, 2016) นอกจากนี้การศึกษาเกี่ยวกับกัญชาพบว่าความคงที่ในผลิตภัณฑ์ และองค์ประกอบ ของกัญชาที่ใช้มีความแตกต่างกันซึ่งท าให้การเปรียบเทียบผลการทดลองมีข้อจ ากัด (Whiting et al.,2015) ทางการแพทย์ได้มีการน ากัญชาเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยในการรักษาอาการ และโรคต่างๆ ดังนี้ ลด อาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการได้รับเคมีบ าบัด (antiemetic effect) เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยมะเร็ง และเอดส์ (appetite stimulation) ลดอาการปวด (analgesic effect) ลดอาการปลอกประสาทเสื่อม (multiple sclerosis) ช่วยควบคุมอาการลมชัก (epilepsy) ลดความดันในตาของผู้ป่วยต้อหิน (glaucoma) ป้องกันและรักษาอาการสมองฝ่อ (neurodegeneration and neuroprotection) คลายความวิตกกังวล (antianxiety effect) และการรักษามะเร็ง (anticancer effect) (Davis, 2016) ส าหรับประเทศไทยกัญชาจัดเป็นสมุนไพรที่มีใช้กันอย่างแพร่หลายในทางการแพทย์แผนไทย มานานกว่า 300 ปี แต่เนื่องจากกัญชามีฤทธิ์ท าให้เสพติดจึงถูกจัดอยู่ในสารเสพติดประเภทที่ 5 ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ แต่ก็ยังมีการลักลอบใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อรักษาอาการของโรคพาร์กินสัน มะเร็ง ลมชัก บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนและอาการปวด เป็นต้น ซึ่งเรียกว่าเป็นการใช้กัญชาแบบใต้ดิน ต่อมาได้มีการประกาศพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับใหม่ (ฉบับที่ 7 ) พ.ศ.2562 ในวันที่ 18 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 ซี่งอนุญาติให้สามารถน ากัญชามาใช้ในกรณีจ าเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนาการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ได้ (ผกาทิพย์ รื่นระเริง ศักดิ, 2562) แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในการใช้กัญชาที่ถูกต้องตามกฎหมายของรัฐบาล และการใช้กัญชาของผู้ป่วยเพื่อ ทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น ทีมสุขภาพมีความส าคัญในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยกัญชา นอกจากนี้ทีม สุขภาพมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบายและให้ค าปรึกษาเกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ใน โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลอื่น ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัย ประสิทธิภาพระหว่างยากับยากัญชาทาง การแพทย์ จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับทีมสุขภาพในเรื่องความรู้ ความเชื่อ ทัศนคติ งานวิจัย ทบทวนอย่างเป็นระบบพบว่าความรู้ ความเชื่อ ทัศนคติของทีมสุขภาพ เกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ มีผลต่อ พฤติกรรมการดูแลผู้ป่วย แม้ว่าทีมสุขภาพมีความรู้ แต่ถ้ามีความเชื่อและทัศคติที่ไม่ดีต่อการใช้กัญชาทาง


105 การแพทย์ ทีมสุขภาพจะให้ข้อแนะน าหรือสั่งการรักษาด้วยกัญชาน้อยกว่า กลุ่มทีมสุขภาพที่มีความเชื่อและ ทัศคติที่ดีต่อการใช้กัญชาทางการแพทย์(Gardiner, K. M et al., 2019) ในการใช้กัญชาทางการแพทย์ ในแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โดยการศึกษาของ Emily A Karanges และคณะ พบว่า ส่วนใหญ่รับรู้ว่าความรู้ของตนเองไม่เพียงพอและร้อยละ 28.8 ที่มีความมั่นใจให้ค าแนะน า ผู้ป่วยเกี่ยวกับกัญชา (Emily A Karanges et al., 2018) การศึกษาของ Frank J. และคณะ ศึกษา ความรู้ และทัศนคติในนักศึกษาเภสัช ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาเภสัชขาดความมั่นใจ ในการให้ความรู้เกี่ยวกับกัญชา ทางการแพทย์ ส าหรับผู้ป่วย และ ควรเพิ่มเติมความรู้ในหลักสูตร (Caligiuri, F. J. et al., 2018) การศึกษา ของวิชาชีพพยาบาลเกี่ยวกับกัญชาในทางการแพทย์ในเรื่องความรู้ ประสบการณ์ อุปสรรค ทัศนคติ และวิธีที่ ต้องการในการรับข้อมูลการศึกษาเพิ่มเติมของการใช้กัญชาในทางการแพทย์ พบว่าหากพยาบาลมีความรู้ เกี่ยวกับการใช้กัญชาในทางการแพทย์ มีความเชื่อในการใช้ และทัศนคติต่อกัญชาในทางการแพทย์ จะสามารถดูแลผู้ป่วยใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Balneaves, L. et al., 2018) เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ส าหรับพยาบาลไทย การอบรมเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ในเรื่องความ ปลอดภัย และประสิทธิภาพของกัญชายังไม่ทั่วถึง พยาบาลวิชาชีพมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบการ ปฏิบัติงานตามขอบเขตหน้าที่ และสอดคล้องกับบทบาทของพยาบาล ทั้งนี้พยาบาลมิได้มีหน้าที่ปฏิบัติการ พยาบาลโดยตรงแก่ผู้ป่วยอย่างเดียว พยาบาลยังต้องรับผิดชอบการดูแล บริการพยาบาลให้มีคุณภาพและ ประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งในกระบวนการรักษา แพทย์เป็นเจ้าของแผนการรักษา สั่งการใช้ยาต่าง ๆ ที่อาจรวมไป ถึงยาที่มีส่วนผสมกับกัญชา หรือแผนการรักษาที่มีกัญชาเข้ามาเกี่ยวข้อง เภสัชกรจ่ายยาตามค าสั่งการใช้ยา และพยาบาลเป็นผู้บริหารยาแก่ผู้ป่วย พยาบาลเป็นบุคคลส าคัญในระบบสุขภาพ เพราะต้องรับผิดชอบการ ดูแลยาและแผนการรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด พยาบาลจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องยา กระบวนการรักษา ซึ่งในปัจจุบันมีการอนุมัติใช้กัญชาทางการแพทย์จึงเป็นสิ่งส าคัญอย่างยิ่งที่พยาบาลต้องมีความรู้ความเข้าใจกับ กัญชาที่ใช้ในทางการแพทย์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา (กุลยา ตันติผลชีวะ และ พนิดา ดามาพงษ์, 2562) การน ากัญชามาใช้ส าหรับผู้ป่วยเป้าหมายที่ส าคัญคือผู้ป่วยมะเร็ง พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยทั้งใน โรงพยาบาลและในชุมชนมีบทบาทโดยงตรงในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่ายังขาด ข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับพยาบาลไทยในการใช้กัญชาทางการแพทย์ เกี่ยวกับความรู้ความเชื่อและทัศนคติการ ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ในการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีความจ าเป็น เนื่องจากกัญชาที่ น ามาใช้ทางการแพทย์เป็นเรื่องใหม่ ที่ได้รับการยอมรับให้ใช้ในประเทศไทย และเริ่มมีการใช้มากยิ่งขึ้น ข้อมูล ที่ได้จากงานวิจัยนี้ก็จะเป็นแนวทางในการพัฒนาพยาบาลในเรื่องกัญชาทางการแพทย์ต่อไป เกี่ยวกับความรู้ ความเชื่อและทัศนคติเกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ เพื่อการมีประสิทธิภาพในการท างานและการ ปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้รับบริการ


106 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ ของพยาบาล วิชาชีพ 2.เพื่อศึกษาความเชื่อและทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ ของพยาบาลวิชาชีพ วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) ประชาการและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี จังหวัด อุบลราชธานีจ านวน 125 คน เครื่องมือการวิจัยมีอะไรบ้างประกอบด้วยแบบสอบถามความรู้ ความเชื่อและ ทัศนคติ การดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ พัฒนาโดยทีมวิจัยจากการทบทวนวรรณกรรม แบบสอบถามประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 8 ข้อ ส่วนที่ 2 แบบประเมิน ความรู้ของพยาบาลกับการใช้กัญชาทางการแพทย์10 ข้อ ส่วนที่ 3 แบบประเมินความเชื่อ และทัศนคติ ของ พยาบาลกับการใช้กัญชาทางการแพทย์12 ข้อ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ตรวจสอบความตรงของ เนื้อหา (content validity) ตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย แพทย์ 1 ท่าน พยาบาล 1 ท่าน และอาจารย์พยาบาล 1 ท่าน ผลการทดสอบความเที่ยง =.85 ผลการทดสอบความเชื่อมั่นของเนื้อหา = .87 ขอบเขตของการเก็บรวบรวมข้อมูล เดือนตุลาคม พ.ศ. 2562–เดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้คือ 1.ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Descriptive statistics. ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. ความรู้ ความเชื่อและทัศนคติ การดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาเพื่อทาง การแพทย์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Descriptive statistics ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิธีการ รวบรวมข้อมูล 1. สร้างแบบฟอร์มแบบสอบถามความรู้ ความเชื่อและทัศนคติ การดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้ กัญชาเพื่อทางการแพทย์ ของพยาบาลวิชาชีพโดยใช้ Google form 2. สอบถามความรู้ ความเชื่อและทัศนคติ การดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ ของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีจ านวน 125 คน ด้วยแบบสอบถาม โดยใช้ Google form ผลการวิจัย 1. ข้อมูลทั่วไปกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี จังหวัด อุบลราชธานีจ านวน 125 คน แบ่งเป็นเพศชาย 12 คน คิดเป็นร้อยละ 9.6 และเพศหญิง 113 คน คิดเป็น ร้อยละ 90.3 โดยกลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 37.09 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคิดเป็นร้อยละ 93.6 จบ การศึกษาระดับปริญญาโท คิดเป็นร้อยละ 4.8 จบการศึกษาระดับปริญญาเอก คิดเป็นร้อยละ 1.6 และ ประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยมะเร็งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.075 ปีSD = 1.756


107 2. ความรู้กัญชาทางการแพทย์ ผลการศึกษาเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ของพยาบาลวิชาชีพ ส่วนใหญ่มี ความรู้เกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ อยู่ในระดับปานกลาง (̅= 2.715) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้ออยู่ใน ระดับปานกลาง ผลการศึกษาเกี่ยวกับการสนับสนุนให้ผู้ป่วยกลุ่มใดเหมาะสมที่จะใช้กัญชาทางการแพทย์ในการ รักษา โดยกลุ่มตัวอย่างสนับสนุนการใช้กัญทางการแพทย์เพื่อลดอาการปวดเรื้อรังจากโรคมะเร็งมากที่สุด ร้อย ละ 86.4 เรียงตามล าดับมากไปน้อย คือ อันดับ 1 ลดอาการปวดเรื้อรังจากโรคมะเร็ง อันดับ 2 ผู้ป่วยระยะ สุดท้าย อันดับ 3 ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการได้รับเคมีบ าบัด อันดับ 4 รักษาอาการนอนไม่หลับ อันดับ 5 เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยมะเร็งและเอดส์อันดับ 6 รักษาอาการลมชัก อันดับ 7 รักษาภาวะซึมเศร้า อันดับ 8 รักษาอาการคลุ้มคั่งในผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม อันดับ 9 รักษาภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง อันดับ 10 ลดความดันในตาของผู้ป่วยต้อหิน อันดับ 11 รักษาอาการท้องผูก 3. ความเชื่อและทัศนคติกัญชาทางการแพทย์ ผลการศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อและทัศนคติกัญชาทางการแพทย์ของพยาบาลวิชาชีพ ส่วนใหญ่มี ความเชื่อและทัศนคติเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ อยู่ในระดับปานกลาง (̅=2.765) และเมื่อพิจารณาเป็น รายข้ออยู่ในระดับปานกลาง อภิปรายผลการวิจัย ผลการวิจัยเรื่อง ความรู้ ความเชื่อ และทัศนคติการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาเพื่อทาง การแพทย์ ของพยาบาลวิชาชีพ มีผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ ความเชื่อ และทัศนคติของพยาบาล วิชาชีพที่ใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง มีประเด็นที่สามารถน ามาอภิปรายผลได้ ดังนี้ จากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งใช้กัญชาทางการแพทย์ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง เนื่องจาก พยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ (วิจิตร ศรีสุพรรณ, วิลาวัลย์ เสนารัตน์, วิภาดา คุณาวิกฤติกลุ, ชื่นชม เจริญยุทธ และนิชากร ศิริกนกวิไล, 2550) กล่าวว่า จ านวนผู้ประกอบวิชาชีพ การพยาบาลในประเทศไทยประมาณร้อยละ 90.0 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 10.0 เป็นเพศชาย เมื่อพิจารณาในรายด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านความเชื่อและทัศนคติ ซึ่งสามารถอภิปรายเป็นราย ด้านได้ ดังนี้ด้านความรู้ ผลการศึกษาพบว่าพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาทางการแพทย์ ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ อยู่ในระดับปานกลาง (=2.715) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าเรื่อง กัญชายังเป็นเรื่องที่ใหม่ งานวิจัยหรือความทางวิชาการส าหรับเรื่องนี้ในประเทศไทยยังน้อยเมื่อเทียบกับ งานวิจัยของต่างประเทศ และผลการศึกษาเกี่ยวกับการสนับสนุนการใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อลดอาการปวด เรื้อรังจากโรคมะเร็งมากที่สุด ร้อยละ 86.4 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Blake, et al., 2017 กล่าวว่า การ ลดความเจ็บปวดมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเหล่านี้มีความหลากหลายของปริมาณที่ใช้ในการรักษาตั้งแต่ 2.7–43.2 มก./วัน THC และ 0-40 มก./วัน CBD และ THC ได้รับการบริหารปริมาณที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์ กับการบรรเทาอาการปวดที่เพิ่มขึ้น ในเรื่องความรู้ของพยาบาลวิชาชีพในการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ใน


108 การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ผลการศึกษา พบว่ามีพยาบาลวิชาชีพที่ไม่เคยเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการใช้กัญชาทาง การแพทย์ถึงร้อยละ 48.0 และพยาบาลวิชาชีพจ านวนเกือบครึ่ง (ร้อยละ 47.2) มีระยะเวลาปฏิบัติงานใน บทบาทของพยาบาลปฏิบัติการในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในช่วง 1-10 ปี ซึ่งพยาบาลวิชาชีพเหล่านี้ผ่านการ ฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งมาแล้ว มีจ านวนชั่วโมงการอบรมมาก ที่สุดในช่วง 8-16 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 23.2 และพยาบาลวิชาชีพยังขาดข้อมูลการใช้สารสกัดกัญชารักษาโรค ตามทางการแพทย์แบบแผนปัจจุบัน ซึ่งยังมีข้อบ่งใช้ที่จ ากัด รวมถึงการใช้สารบริสุทธิ์ชนิดใดในสัดส่วนเท่าใด การทราบขนาดยาที่แน่นอน และโรคหรือภาวะที่ใช้เป็นยาขนานแรกยังมีจ านวนน้อยมากท าให้มีความรู้ ในการ ใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งไม่เพียงพอ ด้านความเชื่อและทัศนคติ ผลการศึกษาพบว่าพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการใช้กัญชาทาง การแพทย์ ส่วนใหญ่มีความเชื่อและทัศนคติต่อกัญชาทางการแพทย์ อยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้อาจเป็น เพราะว่าเรื่องกัญชายังเป็นเรื่องที่ใหม่ในประเทศไทย และยังความคิดว่ากัญชายังจัดเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งที่ ผิดกฎหมาย ไม่เหมาะที่จะน ามาใช้กับการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Milica Paut Kusturica, 2019 กล่าวว่า นักศึกษาที่ไม่เคยใช้กัญชามีความคุ้นเคยกับการใช้กัญชาในทางที่ผิดและมี ความเห็นว่าการใช้กัญชาเพื่อการบ าบัด อาจท าให้เกิดการติดหรืออาจน าสู่การใช้เป็นสารเสพติด และเชื่อว่า การท าให้ถูกกฎหมายของกัญชาทางการแพทย์อาจท าให้เกิด 'การรั่วไหลของ' กัญชาเข้าสู่ตลาดที่ผิดกฎหมาย ข้อเสนอแนะ การท าวิจัยในครั้งต่อไปควรมีการศึกษาเปรียบเทียบความรู้ ความเชื่อและทัศนคติ ก่อน-หลัง และควรมีกิจกรรมการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์แก่พยาบาลวิชาชีพทุก ระดับ เอกสารอ้างอิง ผกาทิพย์ รื่นระเริงศักดิ์.(2562).กัญชากับการรักษาโรค.สืบค้นจาก https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article//453กัญชา./ กุลยา ตันติผลาชีวะ และพนิดา ดามาพงษ์. (2562). แนวโน้มทางการพยาบาลด้านการใช้กัญชาทาง การแพทย์. เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการประจ าปี 2562 เรื่อง “บทบาทพยาบาลกับ กัญชาทางการ แพทย์” ระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคม 2562 ณ โรงพยาบาลราชวิถี. Abrams, D. I. (2018). The therapeutic effects of Cannabis and cannabinoids: An update from the National Academies of Sciences, Engineering and Medicine report. European journal of internal medicine, 49, 7-11. Assembly, U. G. (1972). Protocol Amending the Single Convention on Narcotic Drugs, 1961, 9 December 1975: A/RES/3444, available at: http://www. refworld. org/docid/3b00f1c118. html .


109 Balneaves, L., Alraja, A., Ziemianski, D., McCuaig, F. & Ware, M. (2018). A National Needs Assessment of Canadian Nurse Practitioners Regarding Cannabis for Therapeutic Purposes. Cannabis and Cannabinoid Research, 3(1), 66-73. Retrieved November 25 , 2019, from https://www.liebertpub.com/doi/10.1089/can.2018.0002. Blessing EM, Steenkamp MM, Manzanares J, Marmar CR. (2015). Cannabidiol as a Potential Treatment for Anxiety Disorders. Neurotherapeutics. 12(4), 825-36. Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4604171/. Caligiuri, F. J., Ulrich, E. E., & Welter, K. J. (2018). Pharmacy student knowledge, confidence and attitudes toward medical cannabis and curricular coverage. American journal of pharmaceutical education, 82(5), 6296. Cyr, C., Fernanda Arboleda, M., Kumar Aggarwal, S., Lynda, G., Daeninck, P., Néron, A., et al. (2018). Cannabis in palliative care: current challenges and practical. Ann Palliat Med. 7(4), 463-477. Davis, M. P. (2016). Cannabinoids for symptom management and cancer therapy: the evidence. Journal of the National Comprehensive Cancer Network, 14(7), 915-922. Doyle, A. & Harvey, J. (2019). Cannabis and Epilepsy. Journal of Dual Diagnosis. (1-8). Friedman, D., & Sirven, J. I. (2017). Historical perspective on the medical use of cannabis for epilepsy: ancient times to the 1980s. Epilepsy & Behavior, 70, 298-301. Hser YI, Mooney LJ, Huang D, Zhu Y, Tomko RL, McClure E, et al. (2017). Reductions in cannabis use are associated with improvements in anxiety, depression, and sleep quality, but not quality of life. J Subst Abuse Treat. 81, 53–58. Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/28847455. Pollio, A. (2016). The name of Cannabis: a short guide for nonbotanists. Cannabis and cannabinoid research, 1(1), 234-238. Karanges, E. A., Suraev, A., Elias, N., Manocha, R., & McGregor, I. S. (2018). Knowledge and attitudes of Australian general practitioners towards medicinal cannabis: a crosssectional survey. BMJ open, 8(7), e022101. Gardiner, K. M., Singleton, J. A., Sheridan, J., Kyle, G. J., & Nissen, L. M. (2019). Health professional beliefs, knowledge, and concerns surrounding medicinal cannabis–A systematic review. PloS one, 14(5), e0216556.


110 Russo, E. B. (2016). Current therapeutic cannabis controversies and clinical trial design issues. Frontiers in pharmacology, 7, 309. Susan AS. (2017). Effects of Marijuana on Mental Health : Anxiety Disorders. Alcohol & drug abuse institute. Retrieved from https://adai.uw.edu/pubs/pdf/2017mjanxiety. Whiting, P. F., Wolff, R. F., Deshpande, S., Di Nisio, M., Duffy, S., Hernandez, A. V., . . . Ryder, S. (2015). Cannabinoids for medical use: a systematic review and metaanalysis. Jama, 313(24), 2456-2473. Zlas, J., Stark, H., Seligman, J., Levy, R., Werker, E., Breuer, A., & Mechoulam, R. (1993). Early medical use of cannabis. Nature, 363(6426), 215-215.


111 การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล ตามบริบทชุมชนต าบลเป้า โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของ ภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนต าบลเป้า อ าเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี กัลยา ไชยสัตย์, ชาญชัย เหลาสาร,สุนันทา ค าดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า อ าเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี บทคัดย่อ โรคโควิด-19 สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลก เมื่อมีการกลายพันธ์หลบ ภูมิคุ้มกัน ท าให้เกิดการติดต่อได้ง่ายขึ้น ระบาดเป็นวงกว้าง ส่งผลให้เกิดปัญหาประชาชนจ านวนมากต่างพา กันหลั่งไหลกลับบ้านเกิดเมืองนอน “หนีตาย” มาอยู่กับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง แต่เมื่อเดินทางกลับมา กลับถูก สังคมตีตรา เกิดความขัดแย้งในชุมชน หมู่บ้าน “แม้แต่ พ่อ แม่ก็กลัวลูกตัวเอง ทุกคนกลัวติดเชื้อ กลัวตาย” การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล ตามบริบทชุมชนต าบลเป้า วิจัยเชิงปฏิบัติการประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาปัญหาและบริบทชุมชนพร้อมสังเคราะห์ แนวทางและกระบวนการการดูแล กลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ตัวแทนคณะอาสาสมัครสาธารณสุข ประจ าหมู่บ้าน(อสม.) และผู้น าชุมชนทั้ง 11 หมู่บ้าน จ านวน 46 คน พบว่า เดิมมีรูปแบบการให้บริการแบบ ผู้ป่วยใน แต่รูปแบบดังกล่าวนั่น ไม่สอดคล้องกับบริบทและปัญหาในปัจจุบัน จึงมีการระดมความคิดและวาง รูปแบบเถียงนาโมเดลขึ้น ขั้นตอนที่ 2 จัดท าแผน จัดตั้งศูนย์การเฝ้าระวังและการดูแลการระบาดของโรค โควิด–19 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล เป้า พร้อมทั้งจัดหาและเตรียมเถียงนาซึ่งอาศัยการมีส่วนร่วมของ ภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนต าบลเป้า ขั้นตอนที่ 3 ด าเนินการดูแลผู้ป่วยโดยใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรค โควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล ตามแผน โดยอาศัยกระบวนการ PAOR กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในห้วงเดือน เมษายน พ.ศ. 2564–เดือน ธันวาคม พ.ศ.2564 จ านวน 109 คน ขั้นตอนที่ 4 ประเมินและ สรุปผลการด าเนินงาน ผลการศึกษาพบว่า การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล ตามบริบทชุมชน ต าบลเป้า โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชน โดยมีมาตรการชุมชน “กักกัน ไม่ทิ้งกัน”และมี แนวทางการด าเนินงานด้วยวิธี 3ส. สอดส่องมองหา ใส่ใจรับฟัง และ ส่งต่อประสานงาน รวมทั้งได้รับการ สนับสนุนความช่วยเหลือด้านสังคมจากทีมภาคีเครือข่ายต าบลเป้า ส่งผลให้ภายหลังการดูแล พบข้อมูลดังนี้ ต าบลเป้ามีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในพื้นที่จ านวน 109 คน ได้เข้าสู่การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล จ านวน 84 คน คิดเป็น ร้อยละ 77.06 โดยแบ่งเป็นการดูแลในเถียงนาตนเอง จ านวน 63 คนคิดเป็นร้อยละ 75.00 ดูแลในเถียงนาชุมชน จ านวน 21 คนคิดเป็นร้อยละ 25.00 ผู้ป่วยได้รับการพิจารณาส่งต่อเข้ารับการ รักษาเมื่อมีอาการเปลี่ยนปลงจ านวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 4.76 ผู้ป่วยทั้งหมด ได้ปฏิบัติและได้รับการ ช่วยเหลือตามมาตรการ “กักกัน ไม่ทิ้งกัน” ร้อยละ 100.00 ผลการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากการ สัมภาษณ์เชิงลึก และสังเกตแบบมีส่วนร่วม ภายหลังการวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า ความคิดเห็นไปในทางบวก จึง กล่าวได้ว่ามาตรการชุมชน “กักกัน ไม่ทิ้งกัน” สามารถให้การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ แนวทางการพัฒนา : พัฒนาระบบการดูแลแบบ Telemedicine. ค าส าคัญ: การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดลตามบริบทชุชนต าบลเป้า.


112 บทน า จากสถานการณ์โรคโคโรนาไวรัส 2019 (COVID-19) ที่ระบาดอย่างรุนแรง เมื่อปีพ.ศ.2562 ได้ สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลก และในประเทศไทย กรุงเทพมหานคมีผู้ป่วยโรคโควิด ระบาดอย่างรุนแรงและรวดเร็วจ านวนมาก ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล โรงพยาบาลปฏิเสธการรักษาผู้ป่วย เนื่องจากเตียงไม่พอ มีผู้ป่วยได้ล้มตายที่บ้าน สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ประชาชนคน ต าบลเป้าที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดต่างพากันหลั่งไหลกลับบ้านเกิดเมืองนอน “หนีตาย” มาอยู่กับพ่อแม่ ญาติพี่ น้อง เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่ ไม่มีที่ไหนที่จะดีและปลอดภัยเท่าบ้านเกิดเมืองนอนอีกแล้ว แต่เมื่อเดินทาง มาถึงบ้านเนื่องจากเป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรง พ่อ แม่ ญาติพี่น้องก็เกิดความหวาดกลัว ไม่ให้กลุ่มเสี่ยงโรค โคโรนาไวรัส 2019 เข้ามาพักอาศัยที่บ้านและในหมู่บ้าน ถูกสังคมตีตรา เกิดความขัดแย้งในชุมชน หมู่บ้าน “แม้แต่ พ่อ แม่ก็กลัวลูกตัวเอง ทุกคนกลัวติดเชื้อ กลัวตาย” วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล ตามบริบทชุมชนต าบลเป้า ระเบียบวิธีการศึกษา วิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) กลุ่มเป้าหมาย - ประชากร : ประชาชนในเขตรับผิดชอบพื้นที่ รพ.สต.เป้า จ านวน 5,764 คน -กลุ่มตัวอย่าง : เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ตัวแทน คณะอสม.และผู้น าชุมชนทั้ง11หมู่บ้าน จ านวน 46คน -กลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ป่วยโรคโควิด-19ใน เดือนเมษายน พ.ศ.2564 – เดือนธันวาคม พ.ศ.2564จ านวน 109คน ระยะเวลาในการด าเนินงาน เดือนเมษายน พ.ศ.2564 – เดือนธันวาคม พ.ศ.2564 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - ทะเบียนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ต าบลเป้า แบบบันทึกการให้ความร่วมมือในการกักกันตัว - แบบบันทึกสุขภาพขณะรักษาตัวในเถียงนาโมเดล - การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม การวิเคราะห์ข้อมูล - ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ในการวิเคราะห์ข้อมูล - ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ในการวิเคราะห์ข้อมูล


113 กระบวนการพัฒนา ขั้นตอนที่1 ศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการในการควบคุมโรคและการรักษาสุขภาพของประชาชน ในชุมชนต าบลเป้า ผ่านเวทีการประชุมชุมรมผู้สูงอายุต าบลเป้า ซึ่งประกอบด้วยผู้สูงอายุใน โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้าร่วมกับภาคีเครือข่าย (บวร) เจ้าคณะต าบลเป้าพร้อมคณะสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการ ก านัน นายกองค์การบริหารส่วนต าบล ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน อสม.ทุกหมู่บ้าน ณ ห้องประชุมชั้น 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า หมู่ 9 ต.เป้า อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานีมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งหมด 46 คน ได้ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (Emergency Operations Center: EOC) ระดับต าบลขึ้น เพื่อปรึกษาหารือรองรับจัดเตรียมสถานที่อยู่ที่กักตัว สถานที่ รักษาประชาชนที่ป่วยเป็นโรคโคโรนาไวรัส 2019 ซึ่งตามบริบทของชุมชนต าบลเป้า มีอาชีพท านา มีที่นา มีเถียงนาเป็นของตัวเอง ร้อยละ 80.00 ซึ่งเถียงนานั้นเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 มีไฟฟ้า มีน้ าใช้ การเดินทาง สะดวกสบายไม่ไกลจากหมู่บ้าน ดังนั้น จึงจัดเถียงนา ให้เป็นที่กักตัวของกลุ่มเสี่ยง และเป็นที่พักรักษาตัวของ ผู้ป่วย ถ้าใครไม่มีเถียงนาทางผู้น าชุมชน และอสม.ก็จัดศูนย์พักคอยในต าบลซึ่งเป็นเถียงนาของคนในชุมชนให้ พักกักตัว โดยมีอสม.คอยประสาน ติดตามอาการ ส่งต่อข้อมูลให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ และ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประสานโรงพยาบาลตระการพืชผลเพื่อส่งต่อ และติดตามการรักษา องค์การบริหารส่วนต าบลสนับสนุนถุงยังชีพ ผู้น าชุมชนดูแลเรื่องความปลอดภัย ขั้นตอนที่ 2 ด าเนินการจัดท าแผนและจัดตั้งศูนย์การเฝ้าระวังและดูแลการระบาดของโรคโควิด–19 รพ.สต.เป้า และพิจารณาหน้าที่รับผิดชอบของทีมภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนต าบลเป้า ดังนี้ 1.Manage team โดยผู้อ านวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า ก านันต าบลเป้า ตัวแทนสถานีต ารวจภูธรอ าเภอตระการพืชผล มีหน้าที่หลักในการบริหารและจัดการปัญหาภาพรวมในการ ด าเนินงานพร้อมทั้งบริหารความช่วยเหลือด้านสังคมของผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยงที่ได้มีการกักกันตัวตามมาตรกา 2.Alert Data team โดยนักวิชาการสาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า ผู้ใหญ่บ้าน 11 หมู่บ้าน และประธาน อสม. ทั้ง 11 หมู่บ้าน มีหน้าที่หลักในการประสานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ การระบาด ของโรคโควิด-19 และรับผิดชอบข้อมูลการเข้าออกของกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ต าบลเป้า อ าเภอตระการ พืชผล จังหวัดอุบลราชธานี 3.Health Power team โดยคณะ อสม. ต าบลเป้าและผู้น าต าบลเป้า ซึ่งท าหน้าหลักที่ในการ ติดตามและเก็บข้อมูลการกักกันตัวตามมาตรการกักกันไม่ทิ้งกัน 4.Support team โดยพยาบาลวิชาชีพและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเป้า มีหน้าที่หลักในการให้ความช่วยเหลือในการให้ค าแนะน าเรื่องภาวะสุขภาพและการพยาบาลรวมทั้งการติดตาม สุขภาพและการเจ็บป่วยระหว่างการกักกันตัว 5.Consult team โดยหัวหน้าฝ่ายควบคุมโรคระบาดส านักงานสาธารณสุขอ าเภอตระการพืชผล และผู้รับผิดชอบงานควบคุมโรคระบาดโรงพยาบาลตระการพืชผล มีหน้าที่หลักในการรับปรึกษากรณีปัญหา ซับซ้อน ที่พื้นที่ไม่สามารถบริหารจัดการได้หรือเป็นปัญหาที่ต้องส่งต่อข้อมูลเพื่อประสานรับการช่วยเหลือ ขั้นตอนที่ 3 ด าเนินการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ตามแผนโดยอาศัยกระบวนการ PAOR ดังนี้


114 P1: (Plan) Alert Data team และ Health Power team ส่งต่อข้อมูลซึ่งกันและกัน โดยเมื่อ Alert Data team ได้รับข้อมูลการตรวจพบเชื้อของประชาชนในพื้นที่และนอกพื้นที่ที่ประสงค์จะกลับมารักษา ที่บ้านตามรูปแบบ เถียงนาโมเดล จะมีการจัดเก็บข้อมูลและวางแผนการดูแล เพื่อส่งต่อข้อมูลยังคณะท างาน เพื่อให้รับทราบและด าเนินการออกติดตามต่อไป A1: (Act) Alert Data team และ Health Power team ร่วมกันออกเยี่ยมครอบครัวและ วางแผนพิจารณาสถานที่พักรักษา (เถียงนา) ในด้านความมั่นคงความปลอดภัย สิ่งอ านวยความสะดวกรวมทั้ง แนวทางการรักษาและการติดตามตลอดการรักษา ภาคีเครือข่ายสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคขณะรักษาตัว O1: (Observe) Alert Data team และ Support team ด าเนินการติดตามเยี่ยมและประเมิน ภาวะสุขภาพของผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษาเพื่อส่งต่อข้อมูลภาวะสุขภาพไปยัง Consult และ Manage team R1: (Reflect) ภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชน ประชุมร่วมกันรายไตรมาส เพื่อทบทวนปัญหาและ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างการด าเนินงานในแต่ละทีม รวมทั้งการปรับแผนแนวทางและแผนการออกเยี่ยม เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและครอบคลุมปัญหาของกลุ่มเสี่ยงและการระบาด ขั้นตอนที่ 4 ประเมินผลตามวัตถุประสงค์ภายหลังให้การดูแลเป็นระยะเวลา 9 เดือน โดยใช้ทะเบียน ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ต าบลเป้า แบบบันทึกการให้ความร่วมมือในการกักกันตัว แบบบันทึกสุขภาพขณะรักษาตัว ในเถียงนาโมเดล หาค่าเฉลี่ยร้อยละ ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ รวมทั้งใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ในการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ จากการใช้การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ในกลุ่มผู้ป่วยและญาติที่ ผ่านกระบวนการรักษาและครบกักตัว รวมทั้งภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนต าบลเป้า ผลการศึกษา บริบทชุมชนในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในรูปแบบเถียงนาโมเดล บริบทชุมชนต าบลเป้าโดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีที่นา มีเถียงนาเป็นของตัวเอง ร้อยละ 80.00 ซึ่งเถียงนานั้นเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 มีไฟฟ้า มีน้ าใช้ การเดินทางสะดวกสบายไม่ไกลจาก หมู่บ้าน ดังนั้น จึงจัดเถียงนา ให้เป็นที่กักตัวของกลุ่มเสี่ยงและเป็นสถานที่พักรักษาในกลุ่มผู้ป่วย หากกลุ่ม เสี่ยงหรือกลุ่มป่วยไม่มีเถียงนาเป็นของตนเอง คณะกรรมศูนย์การเฝ้าระวังและดูแลการระบาดของโรคโควิด– 19 ต าบลเป้า ได้มีการด าเนินการจัดศูนย์พักคอยในต าบลซึ่งเป็นเถียงนาของคนในชุมชนให้พักกักตัวและรักษา ตัวตลอดการรักษา การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในรูปแบบเถียงนาโมเดล โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย สุขภาพชุมชนต าบลเป้า การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล ตามบริบทชุมชนต าบลเป้า โดยการมีส่วนร่วมของ ภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชน โดยมีมาตรการชุมชน “กักกัน ไม่ทิ้งกัน”และมีแนวทางการด าเนินงานด้วยวิธี 3ส. สอดส่องมองหา ใส่ใจรับฟัง และ ส่งต่อประสานงาน รวมทั้งได้รับการสนับสนุนความช่วยเหลือด้านสังคมจาก ทีมภาคีเครือข่ายต าบลเป้า ภายหลังการดูแล พบข้อมูลดังนี้ ต าบลเป้ามีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในพื้นที่จ านวน


115 109 คน ได้เข้าสู่การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล จ านวน 84 คน คิดเป็น ร้อยละ 77.06 โดยแบ่งเป็นการดูแลในเถียงนาตนเอง จ านวน 63 คนคิดเป็นร้อยละ 75.00 ดูแลในเถียงนาชุมชน จ านวน 21 คนคิดเป็นร้อยละ 25.00 ผู้ป่วยได้รับการพิจารณาส่งต่อเข้ารับการรักษาเมื่อมีอาการเปลี่ยนปลงจ านวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 4.76 ผู้ป่วยทั้งหมด ได้ปฏิบัติและได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการ “กักกัน ไม่ทิ้งกัน” ร้อยละ 100.00 ผลการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก และสังเกตแบบมีส่วนร่วม ภายหลังการ วิเคราะห์เนื้อหา พบว่า ความคิดเห็นไปในทางบวก จึงกล่าวได้ว่ามาตรการชุมชน “กักกัน ไม่ทิ้งกัน” สามารถ ให้การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ อภิปรายผลการศึกษา การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเถียงนาโมเดล ตามบริบทชุมชนต าบลเป้า โดยอาศัยการมีส่วนร่วม ของภาคีเครือข่ายสุขภาพชุมชนต าบลเป้า อ าเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานีนั้น เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ ส่งผลให้เกิดรูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ คือสามารถลด ปัญหาการไม่มีสถานที่รองรับการรักษา ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการการรักษาอย่างเป็นระบบ มีการติดตาม ประเมินอาการตลอดการรักษาจากสหสาขาวิชาชีพ ได้รับการดูแลเครื่องอุปโภคบริโภคระหว่างการรักษา ตลอดจนเกิดการสร้างเครือข่ายดูแลสุขภาพชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน สอดคล้องกับผลการวิจัย การการป้องกันภาวะวิกฤติโรคระบาด. ที่พบว่าการเฝ้าระวังและดูแลกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยในชุมชนนั้นจ าเป็นที่ จะต้องควบคุมพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเพื่อลดความเสี่ยง และเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมที่ควรปฏิบัติ อย่างยิ่ง รวมทั้งการที่จะต้อง มีการดูแลจากทีมสหสาขาวิชาชีพนอกพื้นที่พร้อมให้การดูแล เพื่อแก้ไขปัญหาที่ ซับซ้อนและหลากหลาย ได้อย่างตรงประเด็นและครอบคลุม ทุกมิติซึ่งสอดคล้องมาตรการในการควบคุมและ ป้องกันภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ที่มีกระบวนการเฝ้าระวังและดูแล ที่มีระบบประสานงานและมีภาคี เครือข่ายทั้งในพื้นที่ชุมชน และภาคีเครือข่ายนอกพื้นที่ และให้การดูแล ปัญหาสุขภาพที่เกินขีดความสามารถ ของพื้นที่ หรือที่จ าเป็น ต้องใช้ทักษะเชี่ยวชาญในการดูแลเพื่อการแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 เป็นมาตรฐานและ เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การน าผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ในงานประจ า 1.น ารูปแบบการดูแลผู้ป่วยแบบเถียงนาโมเดลไปปรับใช้ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง กลุ่มโรค ระบบทางเดินหายใจและกลุ่มโรคติดต่อที่มีปัญหาด้านอาคารสถานที่และความพร้อมของครอบครัว ในการ ดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 2.พัฒนารูปแบบการดูแลแบบเถียงนาโมเดลสู่กระบวนการการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระบบ Home Isolation และ OP Self Isolation


116 บทเรียนที่ได้รับและปัจจัยแห่งความส าเร็จ 1.กระบวนการและขั้นตอนการด าเนินเป็นระบบส่งผลให้เกิดการปฏิบัติงานที่ราบรื่น 2.การบริหารจัดการหน้าที่ปฏิบัติที่เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพของผู้ปฏิบัติส่งผลให้การ ด าเนินงานมีประสิทธิภาพและสามารถปฏิบัติการดูแลได้อย่างเต็มที่เต็มก าลังความสามารถ 3.ชุมชนมีความเข้มแข็งมีผู้น าที่มีความเสียสละและทุ่มเทในการท างานเพื่อประชาชนส่งผลให้การ ด าเนินงานได้รับการผลักดันและสนับสนุนการด าเนินงานอย่างเต็มที่ไม่มีอุปสรรค 4.การประชุมและติดตามการด าเนินงานสม่ าเสมอส่งผลให้เกิดการจัดการและแก้ไขปัญหาอย่าง เหมาะสมและมีการพัฒนากระบวนการด าเนินงานอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะ/การขยายผล 1.อบรมพัฒนาศักยภาพและความรู้ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานควบคุมโรคในพื้นที่ให้เกิดความ เชี่ยวชาญและเพื่อให้มีประสิทธิภาพและยั้งยืนจ าเป็นต้องมีองค์ประกอบที่ส าคัญคือ ภาคีเครือข่าย และความ เข้มแข็งของชุมชน เป็นส าคัญ 2.พัฒนาระบบการดูแลโดยเพิ่มกระบวนการการดูแลด้วยระบบ Telemedicine. เอกสารอ้างอิง ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค.รายงานสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส โคโรน่า ฉบับที่454 [อินเทอร์เน็ต].2564 [เข้าถึงเมื่อ 3 เมษายน 2564].เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th. ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค.รายงานสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่า ฉบับ ที่484 [อินเทอร์เน็ต].2564 [เข้าถึงเมื่อ 5 พฤษภาคม 2564].เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th. สุรัยยา หมานมานะ, โสภณ เอี่ยมศิริถาวร, สุมนมาลย์ อุทยมกุล..โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). วารสารสถาบันบ าราศนราดูร 2563; 2: E1-10. สุทัศน์ โชตนะพันธ์. การป้องกันภาวะวิกฤติโรคระบาด. วารสารบ าราศนราดูร 2559; 3: 143-156. นรินทิพย์ ชัยพรมเขยวี, ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ, นทัศน์ ศิริโชติรัตน์,และ สุธี อยู่สถาพร. มาตรการใน การควบคุมและป้องกันภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ กรณีศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจ พิเศษดานพรมแดนแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย. วารสารกฎหมายสุขภาพและสาธารณสุข 2560; 2: 193 -210. นันทิยา เมฆวรรณ, สมเดช พินิจสุนทร. ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานระบาดวิทยาของเจ้าหน้าที่ สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล จังหวัดอุดรธานี. วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2556; 3: 91-104.


117 การพัฒนารูปแบบการให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเกิ้ง ดวงดาว ราตรีสุข, ญาณีกร สีสุรี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเกิ้ง อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อศึกษาสถานการณ์การให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วย โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง 2)เพื่อพัฒนารูปแบบการให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดัน โลหิตสูง ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 3)เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการให้บริการ ทางสุขภาพฯ วิธีการศึกษา แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์การให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วย โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการให้บริการทางสุขภาพ ในสถานการณ์การระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยใช้แนวคิดของ Kemmis & McTaggart มาใช้ในกระบวนการ ด าเนินงาน ระยะที่ 3 ประเมินผลการพัฒนารูปแบบให้บริการทางสุขภาพที่พัฒนาขึ้น กลุ่มเป้าหมายใน การศึกษาคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป เภสัชกร เจ้าหน้าที่รพ.สต.เกิ้ง อาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน(อสม.) ผู้น าชุมชน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ระยะเวลาการศึกษา วันที่ 1 เดือนเมษายน พ.ศ.2564 ถึง วันที่ 31 เดือนมีนาคม พ.ศ.2565 เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลเชิง ปริมาณ ใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าและใช้วิธี วิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า ผลกระทบการให้บริการทางสุขภาพอยู่ในระดับมาก มีผู้ป่วยมารับบริการ จ านวนมาก สถานที่คับแคบ เกิดความแออัด มีระยะเวลารอคอยนาน เมื่อพัฒนารูปแบบการให้บริการทาง สุขภาพ โดยจัดบริการผู้ป่วยตามระดับความเสี่ยงทางคลินิกโดยจ าแนกผู้ป่วยเป็นกลุ่มสีเขียว(ผู้ป่วยควบคุมโรค ได้ดี)ได้รับการตรวจน้ าตาลปลายนิ้ว วัดสัญญาณชีพ ในชุมชนโดย อสม.พยาบาลคัดกรองความเสี่ยง แพทย์สั่ง ยา เภสัชจัดยา อสม.น าส่งยาที่บ้าน กลุ่มสีเหลือง(ผู้ป่วยควบคุมโรคได้ปานกลาง)และกลุ่มสีแดง(ผู้ป่วยควบคุม โรคไม่ดี)พบแพทย์ตามนัดทุกครั้งที่รพ.สต. ส่งผลให้ลดความแออัดของผู้ป่วยที่มารับบริการจากเดิมครั้งละ 35- 45 คนลดลงเหลือ 5-10 คน ลดระยะเวลารอคอยในการเข้ารับบริการเดิมใช้เวลาเฉลี่ยคนละ 60-90 นาที ลดลงเหลือ 30-45 นาที ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในการจัดบริการอยู่ในระดับมาก ค าส าคัญ : การพัฒนารูปแบบ, การให้บริการทางสุขภาพ, โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 บทน า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคอุบัติใหม่ที่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชน เกิดการ เจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจ านวนมาก ประชาชนเกิดความกลัวและวิตกกังวลกับการระบาดของโรค หน่วยงานยังไม่มีแนวทางการการดูแลผู้ป่วย ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งใน


118 พื้นที่ของต าบลเกิ้ง มีการระบาดของโรคและมีผู้ติดเชื้อเป็นจ านวนมาก ส่งผลให้มีผลกระทบในการให้บริการ ทางสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไม่สามารถมารับการตรวจหรือรับยาตามนัด ได้ มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรค เป็นต้น ดังนั้นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเกิ้ง จึงต้องมี การจัดระบบบริการให้เข้าถึงบริการและการป้องกันการแพร่กระจายของโรค โดยการพัฒนารูปแบบการ ให้บริการทางสุขภาพ ให้เหมาะสมกับบริบทของสถานบริการ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์การให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง 2. เพื่อพัฒนารูปแบบการให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในสถานการณ์ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 3. เพื่อศึกษาผลของการการพัฒนารูปแบบให้บริการทางสุขภาพฯ วิธีการศึกษา ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์การให้บริการ ทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยศึกษาแฟ้มประวัติผู้ป่วย จากทะเบียน และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Hosxp สังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมในการ ให้บริการของเจ้าหน้าที่ ประจ าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ในการให้บริการผู้ป่วย สัมภาษณ์บุคลากร สาธารณสุขในรพ.สต.เกิ้ง และตัวแทน อสม. เกี่ยวกับปัญหา อุปสรรคในการให้บริการผู้ป่วย สนทนากลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่มารับบริการที่ รพ.สต.เกิ้ง ตัวแทน อสม.ในพื้นที่ต าบลเกิ้ง และผู้น า ชุมชนในพื้นที่ต าบลเกิ้ง เกี่ยวกับปัญหา อุปสรรคในการมารับบริการสุขภาพ ในสถานการณ์การระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ จัด ประชุมเพื่อน าเสนอผลการวิเคราะห์สถานการณ์ต่อทีมพัฒนารูปแบบดูแลผู้ป่วย ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการ ให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโร นา 2019 โดยใช้วงจรเชิงปฏิบัติการ P-A-O-R (Plan, Act, Observe, Reflect) ของ Kemmis & McTaggart มาใช้ในกระบวนการด าเนินงาน โดยคืนข้อมูล สภาพปัญหาที่ค้นพบในระยะที่ 1 ให้แก่ทีมซึ่งประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักวิชาการสาธารณสุข ผู้น าชุมชน ตัวแทน อสม. ตัวแทนผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความ ดันโลหิตสูง เพื่อรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น จัดตั้งทีมประชุมระดมความคิดเห็น ประกอบด้วย แพทย์เวชปฏิบัติ ทั่วไป เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข อสม.สาขาโรคไม่ติดต่อ ผู้น าชุมชนในพื้นที่ต าบลเกิ้ง 10 คน เพื่อสร้างรูปแบบการให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วย ระยะที่ 3 ประเมินผลการพัฒนารูปแบบให้บริการ ทางสุขภาพที่พัฒนาขึ้น กลุ่มเป้าหมายในการศึกษา แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม1) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการ ให้บริการทางสุขภาพ ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คือ ผู้ป่วยเบาหวาน และ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิต เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ผู้น าชุมชน และอสม. จ านวน 203 คน 2) กลุ่มพัฒนารูปแบบการ ให้บริการทางสุขภาพ จ านวน 30 คน 3) กลุ่มทดลองใช้รูปแบบการให้บริการทางสุขภาพ จ านวน 205 คน


119 โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ระยะเวลาการศึกษา วันที่ 1 เดือนเมษายน พ.ศ.2564 ถึง วันที่ 31 เดือน มีนาคม พ.ศ.2565 เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามผลกระทบการให้บริการทางสุขภาพ แบบทดสอบ ความรู้เรื่องโรคโควิด 19 แบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบ สัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติเชิง พรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าและใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา การวิจัยนี้ ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัย ของโรงพยาบาลมหาสารคาม วันที่ 1 เดือนเมษายน พ.ศ. 2564 เลขที่จริยธรรมวิจัย MSKH_REC 64-02-047 การพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่าง คณะผู้วิจัยได้แจ้ง วัตถุประสงค์และสอบถามความสมัครใจของกลุ่มตัวอย่าง ให้เวลาในการตัดสินใจก่อนเข้าร่วมด าเนินกิจกรรม ทุกขั้นตอน ไม่เปิดเผยนามผู้ให้ข้อมูล ข้อมูลเก็บเป็นความลับ และน าเสนอผลการวิจัยเป็นภาพรวม ให้ผู้ร่วม ศึกษาถอนตัวหรือยุติการเข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกเวลา ผลการศึกษา ระยะที่ 1 จากการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม พบว่า ระบบ บริการมีความแออัด ผู้ป่วยที่มารับบริการจ านวนมาก (ประมาณครั้งละ 35-45 คน) สถานที่คับแคบ และมี ระยะเวลารอคอยนานในการเข้ารับบริการเฉลี่ยคนละ 60-90 นาทีไม่สามารถไปตรวจตามแพทย์นัดได้ท าให้ จ านวนผู้ป่วยขาดนัดเพิ่มมากขึ้น จากการประเมินแบบทดสอบความรู้และพฤติกรรมพบว่าผู้ป่วยมีความรู้โรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับดีร้อยละ 85.89 พฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อโควิด 19 อยู่ในระดับ มากที่สุด ( X=4.64,SD=0.73) ผลกระทบการให้บริการทางสุขภาพอยู่ในระดับมาก ( X =3.07,SD=0.95) โดยเฉพาะวิตกกังวลเมื่อมารับบริการแล้วจะติดจากสถานบริการ ( X =3.35,SD=0.96) หลังจากนั้นน าข้อมูลที่ ได้มาวิเคราะห์และร่วมกันวางแผนแก้ไข ระยะที่2 น าผลการศึกษาในระยะที่ 1 มาปฏิบัติโดยใช้วงจรเชิง ปฏิบัติการ P-A-O-R มาปรับปรุงและพัฒนา 2 วงรอบ จึงได้รูปแบบการให้บริการทางสุขภาพ ซึ่งจัดแบ่งกลุ่ม การให้บริการผู้ป่วยตามระดับความเสี่ยงทางคลินิกเพื่อเข้ารับการบริการที่เหมาะสมโดยจ าแนกเป็นกลุ่มสี เกณฑ์การประเมิน กลุ่มสีเขียว กลุ่มสีเหลือง กลุ่มสีแดง อาการ - ควบคุมโรคได้ดี -ไม่มีโรคแทรกซ้อนตา ไต เท้า -ไม่มีความเสี่ยง - กลุ่มควบคุมโรคได้ปานกลาง - มีโรคแทรกซ้อนตา ไต เท้า ไม่ รุนแรง - มีความเสี่ยง - กลุ่มควบคุมโรคไม่ดี - มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง และไม่ Stable DTX (น้ าตาลก่อน อาหารเช้า) ≤ 130 มิลลิกรัมเปอร์เดซิลิตร 131 – 179 มิลลิกรัมเปอร์เดซิลิตร ≥ 180 มิลลิกรัมเปอร์ เดซิลิตร HbA1C (น้ าตาลเฉลี่ย สะสม) < 7 เปอร์เซนต์ 7 - 7.9 เปอร์เซนต์ ≥ 8 เปอร์เซนต์ BP(ความดันโลหิต) < 140/90 มิลิเมตรปรอท 140-179/90-109 มิลิเมตรปรอท ≥ 180/110 มิลิเมตรปรอท


120 โดยกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวจะได้รับการตรวจน้ าตาลปลายนิ้ว วัดสัญญาณชีพ ในชุมชนโดยอาสาสมัคร สาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.)ที่ได้รับการอบรม ล่วงหน้า 1-2 วันก่อนถึงวันนัด ปรับระบบการเติมยา (Drug refilled) โดยแพทย์ อสม.น าส่งยาที่บ้าน นัดผู้ป่วยมาที่รพ.สต.เพื่อพบแพทย์ครั้งเว้นครั้ง สลับกับการเติมยาทุก3 - 4 เดือน ส าหรับผู้ป่วยที่มีอาการเปลี่ยนแปลงหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาอื่นๆ สามารถเข้าพบแพทย์ได้ตามความเหมาะสม ผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีแดงพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งที่รพ.สต. ผลการควบคุมโรคได้ 2 ครั้งติดต่อกันสามารถปรับ เข้ากลุ่มผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว รพ.สต.จัดระบบบริการเพื่อควบคุมป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ โดยซักประวัติเสี่ยง เว้น ระยะห่าง 1-2 เมตร จัดให้มีแอลกอฮอล์เจลล้างมือบริการในคลินิก วัดอุณหภูมิร่างกาย สวมหน้ากากอนามัยทุก ราย จัดบริการแบบเหลื่อมเวลา นัดผู้ป่วยไม่เกิน 5-10 คน ผู้ป่วยรอตรวจในอาคารครั้งละ 1-2 คน ประกันเวลารอ คอยเฉลี่ย ไม่เกิน 1ชั่วโมง ตรวจรักษาและปรับระบบการเติมยา (Drug refilled) โดยแพทย์ พัฒนาความรู้และสร้าง ทักษะให้กับ อสม.พร้อมจัดเตรียมวัสดุ/อุปกรณ์ส าหรับการปฏิบัติงานที่มีคุณภาพมาตรฐานอย่างเพียงพอส าหรับ อสม.เวลาออกปฏิบัติงานติดตามผู้ป่วย โทรศัพท์ติดตามผู้ป่วยเพื่อสนับสนุนการจัดการตนเองและนัดตรวจตามนัด ระยะที่ 3 ได้รูปแบบการให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในสถานการณ์การระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยจัดบริการผู้ป่วยตามระดับความเสี่ยงทางคลินิกเพื่อเข้ารับการบริการที่เหมาะสม โดยจ าแนกเป็นกลุ่มสี ส่งผลให้ลดความแออัดของผู้ป่วยที่มารับบริการจากเดิมครั้งละ 35-45 คนลดลงเหลือ 5-10 คน ลดระยะเวลารอคอยในการเข้ารับบริการเดิมใช้เวลาเฉลี่ยคนละ 60-90 นาทีลดลงเหลือ 30-45 นาที ผู้ป่วย คลายความวิตกกังวลมีความพึงพอใจในการจัดบริการ อยู่ในระดับมาก ( X = 4.87 , SD = 0.34) การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ ประโยชน์ด้านการปฏิบัติ เกิดการวางแผนร่วมกัน มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และน าผล ที่ได้จากการวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนแก้ไขปัญหาของการให้บริการทางการแพทย์ในผู้ป่วย โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้อย่างถูกต้องและเกิด การมีส่วนร่วมของชุมชน อีกทั้งผลจากการศึกษาสามารถใช้เป็นแนวทางน าไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับกับพื้นที่อื่นๆ ได้ อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ ผลจากการศึกษา สะท้อนให้เห็นสภาพปัญหาการให้บริการทางสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิต สูง ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลเกิ้งซึ่งผู้ป่วย ที่มารับบริการประมาณครั้งละ 35-45 คน สถานที่คับแคบ และมีระยะเวลารอคอยในการเข้ารับบริการเฉลี่ยคนละ 60-90 นาทีเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย อีกทั้งเมื่อมีการระบาดของโรคเพิ่มมากขึ้นจึงท าให้ไม่สามารถไปตรวจตาม แพทย์นัดได้ ส่งผลให้การติดตามการรักษาไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาการให้บริการให้มีความสอดคล้องกับ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเน้นการท าแผนและปรับปรุงแนวทางการให้บริการในสถานบริการ และจัดท าแนวทางการ ดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในชุมชน ทั้งการจัดจุดคัดกรอง การจัดเตรียมอุปกรณ์ การพัฒนาทักษะ อสม. ให้มีความรู้และทักษะในการป้องกันการติดเชื้อ เพื่อจะได้เป็นก าลังหลักในการจัดให้บริการแก่ผู้มารับบริการได้


121 เอกสารอ้างอิง กิตติพร เนาว์สุวรรณ, นภชา สิงห์วีรธรรม, นวรัตน์ ไวชมภู, กชกร ฉายากุล. ความส าเร็จในการ ด าเนินงานควบคุมโรคติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในชุมชนของอาสา สมัคร สาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) ในประเทศไทย.วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ 2563;12:195-212. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการจัดบริการคลินิกเบาหวานความดันโลหิตสูงวิถี ใหม่แบบยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (ส าหรับระดับผู้ปฏิบัติงาน)(อินเทอร์เน็ต). 2563 (เข้าถึง เมื่อ5 มี.ค.2564). เข้าถึงได้จาก: https://www.dms.go.th/backend//Content/Content_File/Practice_guidelines/Atta ch/25630715154231PM_new%20normal%20integrated%20people%20health%20 service%20in%20DM%20HT(final%2030.6.63).pdf ดรัญชนก พันธ์สุมา, พงษ์สิทธิ์ บุญรักษา. ความรู้ทัศนคติและพฤติกรรมการป้องกันโควิด 19 ของประชาชนในต าบลปรุใหญ่ อ าเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา. ศรีนครินทร์เวชสาร 2564;36:597-604. ธานี กล่อมใจ, จรรยา แก้วใจบุญ, และทักษิกา ชัชวรัตน์. ความรู้และพฤติกรรมของประชาชน เรื่องการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019. วารสารการพยาบาล การสาธารณสุข 2563;21:29-39. บุญมา สุนทราวิรัตน์และกายสิทธิ์ แก้วยาสี. โควิด-19 แนวทางการด าเนินงานและผลกระทบ ระดับพื้นที่จังหวัดเลย ประเทศไทย. วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน 2564;7:16-34. ประภา ราชา, จารุภา คงรส, และธนพร สดชื่น. การพัฒนาระบบบริการพยาบาลผู้ป่วยโรคไม่ ติดต่อเรื้อรังในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19. วารสารแพทย์เขต 4-5 2563;39:414- 426.


122 ผลของกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 ในการลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ผู้พักสังเกต อาการโควิด19 ศูนย์พักสังเกตอาการโควิด19 อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี วรรณพร ดวงศิลป์ ส านักงานสาธารณสุขอ าเภอเขื่องใน จ.อุบลราชธานี บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 ในการลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ผู้พักสังเกตอาการโควิด19 ที่ศูนย์พักสังเกตอาการโควิด19 อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ใช้รูปแบบการวิจัยเป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) โดย ศึกษากลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่เข้าพักสังเกตอาการโควิด19 ที่ศูนย์พักสังเกต อาการโควิด19 (Local Quarantine) อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานีที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป จ านวน30 คน ได้มาจากวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ก าหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ เกณฑ์กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 15.0-30.0 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบคัดกรองการสูบบุหรี่และการได้รับ กิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 ประกอบด้วย การปรับมุมมองทัศนคติในการเผชิญ สถานการณ์โควิด19, การจัดการอารมณ์และความเครียดด้วยตนเอง, ฝึกสติและสมาธิ, การผ่อนคลาย ความเครียดด้วยตนเอง, และเสริมสร้างพลังใจด้วยตนเอง ปรับ 4 เติม 3 (ปรับ 4 ประกอบด้วย 1. ปรับ อารมณ์ 2.ปรับความคิด3.ปรับเป้าหมาย และ4.ปรับพฤติกรรม เติม 3 ประกอบด้วย1. เติมศรัทธา 2.เติมมิตร และ 3.เติมจิตใจ) โดยประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดตามหลัก การจัดกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโค วิด19 ของศูนย์สุขภาพจิตที่10 ร่วมกับกิจกรรมทีม Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team (MCATT) อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อย ละ เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยภายในกลุ่ม โดยใช้สถิติทดสอบ Paired t-test ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่าผู้พักสังเกตอาการโควิด19 ที่มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ได้เข้าร่วมกิจกรรมการ ส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 แล้วมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม เพื่อส่งเสริมการลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ สรุปผลการวิจัย ผู้พักสังเกตอาการโควิด19 ร่วมกิจกรรมการส่งเสริม การดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ภายหลังการจัดกิจกรรม มีค่าลดลงกว่าก่อนการจัด กิจกรรมกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p=0.02 ( x =5.5, SD=1.25, t=2.15) ข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 เหมาะสมที่จะใช้พัฒนาความสุข ลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ลดภาวะเครียดและลดภาวะซึมเศร้า ในกลุ่มผู้เข้า พักสังเกตอาการโควิด19 ทั้งในระดับชุมชน ระดับ Local Quarantine และ ระดับ State Quarantine ต่อไป และควรได้รับการขยายผลสู่การปฏิบัติในชุมชนในวงกว้างเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพกายต่อไป ค าส าคัญ: การส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19, พฤติกรรมการสูบบุหรี่


123 บทน า สถานการณ์การเกิดวิกฤติการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ซึ่งปัจจุบันประเทศ ไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดที่ยาวนานนั้นออส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินท าให้ประชาชนเกิดปัญหา สุขภาพจิตใน 4 ประเด็น ได้แก่ ภาวะเครียด(Stress) ภาวะเหนื่อยล้าหมดไฟ(Burnout) โรคซึมเศร้า(Depression) และการฆ่าตัวตาย(Suicide) ตามมาได้ โดยกรมสุขภาพจิต ได้ท าการส ารวจภาวะความเครียด พบว่า ประชาชน อาจเกิดความเครียดเพิ่มขึ้นและอาจเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายมีแนวโน้มที่สูง มากขึ้น มีผู้คนจ านวนมากตกอยู่ในภาวะเครียด และมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มสุราเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปี พ.ศ.2563 ในภาวะที่ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) มีการประกาศ lock down เพื่อป้องกันการระบาดอย่างเข้มงวด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้มีปัญหาการ สูบบุหรี่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการลดภาวะเครียดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส าคัญในการเกิดโรคเรื้อรัง หลายชนิด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าได้มีการด าเนินการควบคุมการสูบบุหรี่มาโดยตลอด แผน ยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2559-2562 มีเป้าหมายให้ความชุกการเสพยาสูบของ ประชากรไทยอายุ15ปีขึ้นไป เมื่อสิ้นปีพ.ศ.2562 ไม่เกินร้อยละ 16.7 (ส านักควบคุมบริโภคยาสูบ,2559) ในปีพ.ศ. 2558 พบว่า อัตราการบริโภคยาสูบของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปเปลี่ยนแปลงจากร้อยละ 20.7 ในปี พ.ศ. 2552 เป็นร้อยละ 19.9 ในปี พ.ศ.2558 ซึ่งยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ก าหนดไว้ (ส านักควบคุมบริโภคยาสูบ และ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ, 2559) จากสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดอุบลราชธานีได้มีการควบคุมป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโค โรนา 2019 (COVID-19) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมีการจัด Local Quarantine ของจังหวัดอุบลราชธานี มี การประเมินความเครียด และประเมินพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในผู้เข้ าพักสังเกตอาการโควิด19 ที่ศูนย์พักสังเกตอาการโควิด19 จังหวัดอุบลราชธานีพบว่ามีพฤติกรรมสูบบุหรี่เป็นประจ า คิดเป็นร้อยละ 21.0มี พฤติกรรมสูบบุหรี่นานๆครั้ง คิดเป็นร้อยละ 49.0 และไม่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ คิดเป็นร้อยละ 30.0 จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงใช้กิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 ในการลด พฤติกรรมการสูบบุหรี่ซึ่งประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดตามหลัก การจัดกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโค วิด 19 ของศูนย์สุขภาพจิตที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานีร่วมกับการกิจกรรม MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานีและน าผลการศึกษามาใช้เป็น แนวทางในการดูแลผู้ที่มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ สามารถลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ใน Local Quarantine และ State Quarantine เพื่อส่งเสริมสุขภาพกายร่างกายและจิตใจต่อไป วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 ในการลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ผู้ พักสังเกตอาการโควิด19 ที่ศูนย์พักสังเกตอาการโควิด19 อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี สมมติฐานการวิจัย


124 พฤติกรรมการสูบบุหรี่ภายหลังจัดกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด 19 ลดลงกว่าก่อน การจัดกิจกรรม วิธีการศึกษา การศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) โดยศึกษากลุ่มเดียววัดก่อน และหลังการ ทดลอง (The One Group Pretest Posttest Design) ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้ที่เข้าพักสังเกตอาการโค วิด19 ที่ Local Quarantine อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานีที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ขึ้นไป จ านวน 100 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ผู้ที่เข้าพักสังเกตอาการโควิด19 ที่ Local Quarantine อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานีโดยก าหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เกณฑ์กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 15.0 – 30.0 (กัญญ์สิริ จันทร์เจริญ, 2552) โดยศึกษากลุ่มตัวอย่าง จ านวน 30 คน โดยมีวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)สุ่มด้วยวิธีการจับฉลากแบบไม่คืน ก าหนดเกณฑ์การคัดเลือก (Inclusion criteria) ได้แก่ อายุ 15 ปีขึ้นไป ไม่มีข้อจ ากัดในการเคลื่อนไหวร่างกาย ยินยอมเข้าร่วมกิจกรรม ก าหนดเกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) ได้แก่ มีภาวะการเจ็บป่วย ไม่สะดวกเข้าร่วมในการท ากิจกรรมกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. แบบคัดกรองการสูบบุหรี่ (Fagerstrom Test for Nicotine Dependence) 2. กิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 โดยประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดตามหลักการ จัดกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 ของศูนย์สุขภาพจิตที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานีร่วมกับการ กิจกรรม MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) อ าเภอเขื่องใน จังหวัด อุบลราชธานี วิธีการด าเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยได้ก าหนดข้อตกลงและท าการชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยและอธิบายขั้นตอนการ ด าเนินการทดลองและให้กลุ่มตัวอย่างท าแบบคัดกรองการสูบบุหรี่ในสัปดาห์แรก ก่อนการทดลอง (Pre-test) 2. จัดกิจกรรมกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 ประกอบด้วย การปรับมุมมอง ทัศนคติในการเผชิญสถานการณ์โควิด19, การจัดการอารมณ์และความเครียดด้วยตนเอง, ฝึกสติและสมาธิ, การ ผ่อนคลายความเครียดด้วยตนเอง, และเสริมสร้างพลังใจด้วยตนเอง ปรับ4เติม3 (ปรับ 4 ประกอบด้วย ปรับ อารมณ์,ปรับความคิด,ปรับเป้าหมายและปรับพฤติกรรม เติม 3 ประกอบด้วย เติมศรัทธา, เติมมิตร และ เติม จิตใจ) ที่ได้ก าหนดไว้ทั้ง 5 กิจกรรม จัดโปรแกรมสัปดาห์ละ 1ครั้ง ครั้งละ 90 นาที รวมทั้งสิ้น 2 สัปดาห์เมื่อ กลุ่มตัวอย่างได้เข้าร่วมกิจกรรมกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 ทั้ง 5 กิจกรรมเป็นที่เรียบร้อย แล้ว ท าการทดสอบหลังการทดลองอีกครั้งด้วยแบบคัดกรองการสูบบุหรี่ ชุดเดิมภายหลังจากการทดลองสิ้นสุดลง


125 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปทางชีวะสังคมของกลุ่มตัวอย่าง โดยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ เปรียบเทียบ ความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยภายในกลุ่ม โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน Paired samples t-test ผลการศึกษา ผู้พักสังเกตอาการโควิด19 ร่วมกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 (การปรับมุมมอง ทัศนคติในการเผชิญสถานการณ์โควิด19, การจัดการอารมณ์และความเครียดด้วยตนเอง, ฝึกสติและสมาธิ, การ ผ่อนคลายความเครียดด้วยตนเอง, และเสริมสร้างพลังใจด้วยตนเอง ปรับ 4 เติม 3) มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ภายหลังการจัดกิจกรรม ลดลงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด19 อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p=0.02 ( x =5.5, SD=1.25, t=2.15) การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ ผู้พักสังเกตอาการโควิด-19 ที่มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ได้เข้าร่วมกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจใน ภาวะโควิด-19แล้วมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม การจัดการลดพฤติกรรมการ สูบบุหรี่ ส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพกายในผู้เข้าพักสังเกตอาการโควิด-19 ในระดับชุมชน ในระดับ Local Quarantine และ State Quarantine อภิปราย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของผู้พักสังเกตอาการโควิด-19 หลังเข้าร่วม กิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด-19 มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลงกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรม อธิบายได้ว่าเมื่อพักสังเกตอาการโควิด-19 ได้เข้าร่วมกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะ โควิด-19 โดยได้รับการปรับมุมมอง ทัศนคติ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และเสริมสร้างพลังใจด้วยตนเองเกิดความ เชื่อมั่นในตนเองที่สมารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลิกสูบบุหรี่ รวมทั้งมีวิธีการจัดการตัวกระตุ้นได้ด้วยตนเอง ยิ่งท าให้เกิดความเชื่อมั่น เสริมสร้างพลังและรับรู้ตนเองว่าสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดและเลิกสูบบุหรี่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของเอมหทัย ศรีจันทร์หล้า (2556)ศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้ สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการเลิก สูบบุหรี่ของผู้ป่วยจิตเภท ที่มีแนวทางการจัดกิจกรรม ลักษณะคล้ายคลึง กันกับการศึกษานี้ โดยกิจกรรมส่งเสริม การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self efficacy) ตามแนวคิดของแบน ดูรา ได้แก่ การใช้ตัวแบบ (Modeling) การพูดให้ก าลังใจจากครอบครัวให้เกิดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง การสร้างการรับรู้ความสามารถของตนเอง ตามแนวทางการปรับมุมมองทัศนคติในการ เผชิญสถานการณ์โควิด19, การจัดการอารมณ์และความเครียดด้วยตนเอง, ฝึกสติและสมาธิ, การผ่อนคลาย ความเครียดด้วยตนเอง, และเสริมสร้างพลังใจด้วยตนเอง ปรับ 4 เติม 3 เช่นเดียวกับการศึกษาของ พรรณี ปาน เทวัญ (2560) ที่ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลิกสูบบุหรี่ พบว่าบุคคลที่มีการรับรู้ความสามารถของ ตนเองใน ระดับสูงจะสามารถหยุดสูบบุหรี่ได้และเช่นเดียวกับการศึกษาของนพภัสสร วิเศษ(2564) ที่ศึกษาประสิทธิผลของ


126 โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับการมีส่วน ร่วมของครอบครัว ต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของผู้ป่วยโรค จิตเภทที่ติดบุหรี่ พบว่าโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวสามารถช่วยให้ ผู้ป่วยจิตเภทที่ติดบุหรี่ลดและเลิกสูบบุหรี่ได้ ดังที่ผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด-19 เป็นกิจกรรมสร้างพลังใจก าหนดเป้าหมายไปสู่ความส าเร็จของการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลดและเลิกสูบบุหรี่ เป็นการสร้างพลังใจที่จะเอาชนะอุปสรรค รวมทั้ง ฝึกทักษะ การปรับความคิด การปรับอารมณ์ความเครียด และ การจัดการกับอารมณ์และความเครียดที่เป็นอุปสรรคต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลดและเลิกสูบบุหรี่ด้วย ตนเอง ช่วยให้เกิดความมั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะลดและเลิกการสูบบุหรี่ได้อย่างต่อเนื่อง สรุปข้อเสนอแนะ สรุปกิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด-19 สามารถช่วยให้พักสังเกตอาการโควิด-19 ลด พฤติกรรมการสูบบุหรี่ได้ ข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมการส่งเสริมการดูแลจิตใจในภาวะโควิด-19 เหมาะสมที่จะใช้พัฒนาความสุข ลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ลดภาวะเครียดและลดภาวะซึมเศร้าในกลุ่มผู้เข้าพัก สังเกตอาการโควิด-19 น าไปประยุกต์ในระดับชุมชน ในระดับ Local Quarantine State Quarantine Community Isolationและคลินิกเลิกบุหรี่ในสถานบริการสาธารณสุข และควรได้รับการขยายผลสู่การปฏิบัติใน ชุมชนในวงกว้างเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพกายต่อไป และการศึกษาครั้งต่อไปควรน าไปประยุกต์ใช้ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้สารเสพติดหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อเปรียบเทียบผลการศึกษาและประยุกต์ใช้ ต่อไป เอกสารอ้างอิง กรองจิต วาทีสาธกกิจ. (2559). คู่มือรักษาโรคเสพติดยาสูบส าหรับพยาบาล (พิมพ์ครั้งที่ 1). นนทบุรี : มณปรียา กราฟฟิค. ส านักควบคุมบริโภคยาสูบ. (2559). แผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. 2559-2562. นนทบุรี : ไนซ์เอิร์ธ ดีไซน์.พรรณี ปานเทวัญ. (2560). วารสารพยาบาลทหารบก ปีที่ 18 ฉบับที่ 3. กรุงเทพฯ : สมาคมพยาบาลทหารบก เอมหทัย ศรีจันทร์หล้า. (2556). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรม การเลิกสูบบุหรี่ของผู้ป่วยจิตเภท. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นพภัสสร วิเศษ. (2564). วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ปีที่15 ฉบับที่3. นนทบุรี : วิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี กัญญ์สิริ จันทร์เจริญ. (2552). การวิจัยทางการพยาบาล:แนวคิด หลักการ และวิธีปฏิบัติ. นนทบุรี: สถาบันพระบรมราชชนก ส านักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข


127 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ ระดับต าบล เปมิกา บุตรจันทร์ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ด้านพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึง ประสงค์ ระดับต าบลและเพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ต าบลสวาท ผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วย ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป บุคลากรด้านสาธารณสุข ผู้รับผิดชอบงานผู้สูงอายุ เทศบาลต าบล ด าเนินการวิจัยระหว่าง เดือน มกราคม–เดือนกันยายน พ.ศ.2564 แบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ โดยใช้การประชุมกลุ่ม ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ ผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ ระดับต าบลโดยใช้กระบวนการพยาบาล ระยะที่ 3 สรุปและประเมินผล เก็บรวมรวม ข้อมูลโดยใช้ 1)ระบบApplication : Health For You (H4U) กรมอนามัย 2)แบบวัดความรู้การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุ 3)แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุ 4)แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย และสถิติวิเคราะห์โดยใช้สถิติทดสอบ Paired t-test ผลการศึกษา ระยะที่ 1 กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุจ านวน 316 ราย พบว่า ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมที่พึง ประสงค์ ร้อยละ 11.39 แยกเป็นรายด้านพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ผู้สูงอายุสามารถปฏิบัติได้ดี ตามล าดับ คือ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ร้อยละ 98.73 ไม่สูบบุหรี่ ร้อยละ 88.92 มีการดูแลตนเองเมื่อ เจ็บป่วย ร้อยละ 86.08 ผลจากการประชุมกลุ่ม เหตุผลที่สามารถปฏิบัติพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้ดี 3 อันดับ แรก คือ 1.ไม่อยากเป็นภาระให้คนในครอบครัว 2.อยากจะมีร่างกายแข็งแรง 3.สมาชิกในครอบครัวเป็นผู้ดูแล จัดหาให้ผู้สูงอายุ ระยะที่ 2 ได้รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ “สูงวัยม่วงศรีเจริญ ชัยสุขภาพดี” ระยะที่ 3 ประเมินผลโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุ แบบวัด ความรู้การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 36 ราย มีค่าคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีความพึงพอใจ ระดับมากที่สุดร้อยละ 86.00 ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการจัด กิจกรรมตามโปรแกรมในผู้สูงอายุควรน ากระบวนการพยาบาลมาใช้ให้กลุ่มตัวอย่างมีส่วนร่วมก าหนดเป้าหมาย ในการปฏิบัติการพยาบาลดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคมให้ชะลอชรา ค าส าคัญ : ผู้สูงอายุ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ Application : Health For You (H4U) บทน า ปัจจุบันประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการคาด ประมาณประชากรของประเทศไทย ปี 2553-25831 พบว่า ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จ านวน 20.5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 32.00 ของจ านวนประชากรทั้งหมด ในปีพ.ศ. 2564 ประเทศไทยจะเข้า สู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์2 คาดประมาณการณ์ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้าน บริการสุขภาพผู้สูงอายุของภาครัฐต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 1, 3 ปี 2553 รวม = ร้อยละ 0.60


128 (ร้อยละ 27.00 ของค่าใช้จ่ายด้านบริการสุขภาพทั้งหมด ปี 2565 รวม = ร้อยละ 1.1 (ร้อยละ39 ของ ค่าใช้จ่ายด้านบริการสุขภาพทั้งหมด เมื่อเทียบอัตราการพึ่งพิงของประชากรสูงอายุต่อคนวัยท างานของ ประเทศไทย ปี พ.ศ.2543 วัยท างาน 100 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุ 14.30 คน ปี 2553 วัยท างาน 100 คน ต้อง ดูแลผู้สูงอายุ 19.70 คน และปีพ.ศ. 2543 วัยท างาน 100 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุ 30.30 คน 3 การที่จ านวน ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการใส่ใจสุขภาพ การรับโภชนาการที่ดี รวมถึงมีการพัฒนาทาง การแพทย์ที่ทันสมัย ส่งผลให้ประชากรมีชีวิตยืนยาว แต่การมีชีวิตที่ยืนยาวอาจไม่สามารถเป็นเครื่องชี้วัด ความสุขหรือคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้ จึงให้ความส าคัญในการปฏิบัติด้านพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อให้ผู้สูงอายุ สามารถดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด จากการส ารวจโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ผลการส ารวจ พบว่า ประเทศไทยผู้สูงอายุมี พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ผ่าน 5 ด้าน ร้อยละ 37.80 4 และจังหวัดยโสธร ผ่าน 5 ด้าน ร้อยละ 31.90 จากรายงานการประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน (ADL) เป็นผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม ร้อยละ 95.65 เป็นผู้สูงอายุกลุ่มพึ่งพิง ร้อยละ 4.355, 6 ปี 2564 เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ ช่วยลด และป้องกันการเกิดภาวะพึ่งพิง จึงเพิ่มความหมายของพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์และพฤติกรรมการดูแล สุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ เพิ่มจากเดิม เป็น 8 ด้าน3 ได้แก่ 1. มีกิจกรรมทางกายที่ระดับปานกลาง 2. กินผัก และผลไม้ได้วันละ 5 ก ามือ เป็นประจ า 3. ดื่มน้ าเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 4. ไม่สูบบุหรี่/ไม่สูบยาเส้น 5. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 6. มีการดูแลตนเองเมื่อเจ็บป่วย 7. มีการนอนหลับอย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมงและ 8. ด้านทันตกรรม/การดูแลสุขภาพช่องปาก ทั้งนี้เพื่อให้การจัดบริการได้ตรงกับปัญหา และความต้องการของผู้สูงอายุ ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิด การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) ตามแนวคิดของ Kemmis & Taggart7 ร่วมกับใช้กระบวนการ พยาบาล 8 ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การประเมินภาวะสุขภาพ การวินิจฉัยทางการพยาบาล การวางแผน การพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาลและการประเมินผล ในการแก้ปัญหาสุขภาพเป็นรายบุคคลแบบองค์รวม ตามแนวทางวิทยาศาสตร์ น าความรู้ไปสู่การปฏิบัติบนพื้นฐานการใช้เหตุผล การตัดสินใจและแก้ปัญหา สร้าง ความเชื่อมั่นให้แก่ผู้สูงอายุในคุณภาพของการพยาบาลที่ได้รับ ผู้วิจัยจึงให้ความส าคัญในการศึกษาสถานการณ์ ด้านพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ในพื้นที่จะได้น าผลการศึกษาครั้งนี้มาใช้ในการส่งเสริมสนับสนุนให้ ผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเอง และพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพที่เหมาะสมกับพื้นที่สอดคล้องกับปัญหาและความ ต้องการของผู้สูงอายุ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์ด้านพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ ต าบลสวาท 2. เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ต าบลสวาท


129 วิธีการศึกษา การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) ตาม แนวคิดของ Kemmis&Taggart7 ร่วมกับกระบวนการพยาบาล8 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้สูงอายุที่มี อายุ 60 ปีขึ้นไป ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา ต าบลสวาท อ าเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เกณฑ์การคัดเข้า คือเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ไม่มีปัญหาด้านการฟังและการพูด อาศัยอยู่ ในพื้นที่ต าบลสวาท ยินดีเข้าร่วม และเกณฑ์การคัดออก คือ ผู้พิการ กลุ่มติดบ้าน กลุ่มติดเตียง ด าเนินการวิจัย ระหว่าง เดือน มกราคม – เดือนกันยายน พ.ศ.2564 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้มาจากศูนย์อนามัยที่ 10 กรมอนามัยประกอบด้วย1) ระบบApplication : Health For You (H4U) จากส านักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 5 2) บันทึกการจัดท าแผนส่งเสริมสุขภาพดี ดูแลผู้สูงอายุรายบุคคลในชุมชน เขตสุขภาพที่ 10 3) แบบวัดความรู้ การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุ (ด้านการเคลื่อนไหว ด้านโภชนาการ ด้านการดูแลสมองดี ด้านสุขภาพช่อง ปาก ด้านความสุข และด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยของผู้สูงอายุ) 12 ข้อ 4)แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพที่พึง ประสงค์ของผู้สูงอายุ 8 ข้อ การประเมินความตรงเชิงเนื้อหารายข้ออยู่ระหว่าง 0.83-1 และ5) แบบประเมิน ความพึงพอใจได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค = 0.82 การพิทักษ์สิทธิผู้เข้าร่วมในการวิจัย การศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยมีการแจ้งวัตถุประสงค์และถามความ สมัครใจของผู้ร่วมวิจัยก่อนร่วมด าเนินกิจกรรมทุกขั้นตอน มีการค านึงถึงศักดิ์ศรีและความมีคุณค่าของผู้ร่วม วิจัยเสมอ โดยยึดหลักจริยธรรมในการวิจัยคือ 1) หลักความเคารพในบุคคล 2) หลักสิทธิประโยชน์และไม่ก่อ อันตราย 3) หลักยุติธรรม นอกจากนี้ ผู้ร่วมวิจัยสามารถแจ้งความจ านงเพื่อยุติการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆได้ ตลอดเวลา ขั้นด าเนินการวิจัย การด าเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ กลุ่ม ตัวอย่าง จ านวน 316 คน ประมวลผลผ่านระบบ Application : Health For You (H4U) น าข้อมูลที่ได้มา ประชุมระดมสมองร่วมกับทีมหมอครอบครัว ผู้รับผิดชอบงานผู้สูงอายุเทศบาลต าบล ผู้แทนจากชมรมผู้สูงอายุ น าข้อมูลที่ได้มาพัฒนาและวางแผนการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ ระดับต าบล ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ ระดับต าบลประชุมชี้แจงและทดลองใช้ รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ “สูงวัยม่วงศรี-เจริญชัยสุขภาพดี”ในสมาชิกชมรม ผู้สูงอายุบ้านศรีเจริญชัยบ้านม่วงกาชัง กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 38 คน ท าแบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพที่พึง ประสงค์ของผู้สูงอายุ แบบวัดความรู้การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุก่อนด าเนินกิจกรรม แจ้งผลการประเมิน พฤติกรรมสุขภาพ และผลแบบวัดความรู้การปฏิบัติตัวให้กลุ่มตัวอย่างทราบ ให้กลุ่มตัวอย่างจับคู่ดูแลชะลอ ชราร่วมแก้ปัญหาโดยใช้กระบวนการพยาบาล ดังนี้ 1)การประเมินภาวะสุขภาพ ใช้แบบประเมินความเสี่ยง ด้านพฤติกรรมตามความเสี่ยงที่พบให้ทราบประเด็นความเสี่ยงที่มี 2)การวินิจฉัยทางการพยาบาลตามผลการ ประเมินสุขภาพด้วยตนเองตามองค์ประกอบ“สุขเพียงพอ ชะลอชรา ชีวายืนยาว”ผลการประเมินพฤติกรรม สุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุ สรุปปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยง 3)วางแผนการพยาบาล น าผลการ ประเมินที่ได้จากข้อ 2 มาตั้งเป็นความคาดหวังด้านสุขภาพก าหนดเป้าหมายระยะสั้นระยะยาว 4)การ


130 ปฏิบัติการพยาบาล ด้วยการให้แต่ละคู่จัดท ารายละเอียดกิจกรรมแผนส่งเสริมสุขภาพดีรายบุคคลเป็นราย สัปดาห์ 5)การประเมินผล ด้วยการติดตามเยี่ยมคู่ของตนในกลุ่มตัวอย่างน ามาแลกเปลี่ยนในการนัดกิจกรรม ครั้งต่อไปโดยด าเนินกิจกรรมตามโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพดี ดูแลผู้สูงอายุรายบุคคลในชุมชน 6 ด้านของกรม อนามัย 4 ครั้ง ครั้งที่ 1วันที่ 16 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2564 การปฏิบัติตัวด้านโภชนาการ ด้านสุขภาพช่องปาก ครั้งที่ 2วันที่ 23 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 การปฏิบัติตัวด้านการเคลื่อนไหว ด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยครั้ง ที่ 3วันที่ 30 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2564 การปฏิบัติตัวด้านการดูแลสมองดี ด้านความสุข และครั้งที่ 4วันที่ 7 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 ประชุมกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติร่วมกัน ระยะที่ 3 สรุปและประเมินผล รูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ “สูงวัยม่วงศรีเจริญชัยสุขภาพดี”โดยใช้ประเมิน พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุ แบบวัดความรู้การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุและประเมิน ความพึงพอใจหลังด าเนินกิจกรรมเป็นการประเมินผลลัพธ์ในการใช้รูปแบบดังกล่าว ผลการศึกษา ระยะที่ 1 สถานการณ์ด้านพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ ต าบลสวาท อ าเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร จากการประมวลผลแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุ 8 ด้าน ด้วยระบบ Application : Health For You (H4U) พบว่า 1.ลักษณะกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ จ านวน 316 ราย เป็นเพศ หญิง ร้อยละ 64.00 เพศชาย ร้อยละ 36.00 สถานภาพสมรส หม้าย ร้อยละ 58.00 คู่ ร้อยละ 40.00 การศึกษาส่วนใหญ่ระดับประถมศึกษา ร้อยละ 90.00 อาชีพส่วนใหญ่เกษตรกรรม ร้อยละ 95.00 จากการ ส ารวจวิเคราะห์ข้อมูล พบ ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ภาพรวม ครบ 8 ด้าน ร้อยละ 11.39 แยกเป็น รายด้านพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ผู้สูงอายุสามารถปฏิบัติได้ดี ตามล าดับ คือไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ร้อยละ 98.73 ไม่สูบบุหรี่ ร้อยละ 88.92 มีการดูแลตนเองเมื่อเจ็บป่วย ร้อยละ 86.08 และ พฤติกรรมผู้สูงอายุที่สามารถปฏิบัติได้น้อย ตามล าดับ คือ มีกิจกรรมทางกายที่ระดับปานกลาง ร้อยละ 31.65 กินผักผลไม้ได้วันละ 5 ก ามือ เป็นประจ า ร้อยละ 44.94 และ ดื่มน้ าเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ร้อยละ 48.42 และ 2. ผลจากการประชุมกลุ่ม 1) เหตุผลที่สามารถปฏิบัติพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้ดี 3 อันดับแรก คือ 1.1) ไม่อยากเป็นภาระให้คนในครอบครัว 1.2) อยากจะมีร่างกายแข็งแรง ปฏิบัติตามค าแนะน าจาก บุคลากรทางการแพทย์เนื่องจากมีโรคประจ าตัว 1.3) สมาชิกในครอบครัวสนับสนุน ดูแล จัดหาให้ และ 2) เหตุผลที่สามารถปฏิบัติพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้น้อย 3 อันดับแรก คือ 2.1) สภาพร่างกาย (ความอยาก อาหารลดลง ไม่มีก าลัง ความเจ็บป่วย) 2.2) พึ่งพิงสมาชิกในครอบครัวจะจัดหาให้แก่แล้วเกรงใจลูกหลาน และ2.3) ไม่มีเพื่อน อายที่จะปฏิบัติ ระยะที่ 2 กลุ่มตัวอย่างจ านวน 36 ราย พบว่ามีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุก่อน ทดลอง ร้อยละ 54.00 (19 คน) ค่าคะแนนแบบวัดความรู้การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุ ก่อนทดลองใช้ รูปแบบ ค่าคะแนนเฉลี่ย 8.81 คะแนน (S.D.=1.7) การปฏิบัติตัวด้านที่กลุ่มตัวอย่างพบความเสี่ยงมากที่สุด 3 อันดับได้แก่ ด้านการดูแลสมองดี ด้านการเคลื่อนไหว ด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย หลังทดลองใช้รูปแบบ กลุ่ม ตัวอย่างมีความเข้าใจรับทราบความเสี่ยงและแนวทางในการจัดการปัญหา ประเมินหลังการทดลองใช้รูปแบบ


131 มีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุหลังทดลอง ร้อยละ 86.00 (31 คน) ค่าคะแนนแบบวัดความรู้ การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุค่าเฉลี่ย 9.89 คะแนน (S.D.=1.6) ค่าคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ประเมินผลตามแบบวัดความรู้การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุ พบด้านที่เป็นปัญหาในการ ปฏิบัติของผู้สูงอายุ คือด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ได้ตามมาตรฐาน เนื่องจากต้องมีเรื่องค่าใช้จ่ายเข้ามา เกี่ยวข้อง และด้านการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ มียังดื่ม 4 ราย สูบบุหรี่ 1 ราย มีความพึง พอใจ ระดับมากที่สุดร้อยละ 86.00 ระดับมากร้อยละ 14.00 การน าไปใช้ประโยชน์ ผลการศึกษาการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ ระดับต าบล ผู้สูงอายุสามารถน าไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจ าวัน ในการดูแลตนเองเพื่อชะลอความชรา เช่น กลุ่มตัวอย่างที่ ประเมินพบภาวะสมองเสื่อมได้รับการส่งต่อรักษาที่คลินิกผู้สูงอายุของ โรงพยาบาล จ านวน 5 ราย ผู้สูงอายุที่ ประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยส าหรับผู้สูงอายุในกรณีที่ไม่สามารถจัดการได้ เสนอขอรับการ ช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น น าเข้าแผนเพื่อปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อม จ านวน 2 ครอบครัว และ น าโปรแกรมความรู้การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุ (ด้านการเคลื่อนไหว ด้านโภชนาการ ด้านการดูแลสมอง ดี ด้านสุขภาพช่องปาก ด้านความสุข และด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยของผู้สูงอายุ) มาใช้ในการจัดกิจกรรม ของชมรมผู้สูงอายุในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน อภิปรายผล ภายหลังที่กลุ่มตัวอย่างได้รับรู้ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตัวของตนเอง มีความตระหนักและใส่ใจใน การวางแผนการปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงในการด าเนินชีวิตสังเกตจากค่าคะแนนประเมินผลตามแบบวัดความรู้ การปฏิบัติตัว 6 ด้านของผู้สูงอายุประเมินหลังการทดลองใช้รูปแบบ ค่าคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 การศึกษาครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้สูงอายุ จากอาสาสมัครสาธารณสุขที่มีความคุ้นเคย ทั้งกับผู้สูงอายุและพื้นที่ ร่วมกับมีหน่วยงานจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบงานผู้สูงอายุร่วมเป็น ทีมการด าเนินการวิจัย พบสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการด าเนินการและมีโอกาสพัฒนาเป็นปัจจัยแห่งความส าเร็จใน การปฏิบัติจริง พบปัญหาดังนี้ 1)ระบบเทคโนโลยีการสื่อสารช้า ไม่เสถียร โทรศัพท์ไม่รองรับ แก้ไขโดยการใช้ โทรศัพท์ของทีมวิจัย ร่วมกับลงข้อมูลในเอกสาร และมีปัญหาเรื่องความเข้าใจในภาษาทางวิชาการ เช่น ผัก 1 ทัพพี การอธิบายใช้ภาพประกอบ4 กรณีที่สามารถใช้งานApplicationได้ จะมีค าแนะน าให้ท าให้ผู้สูงอายุได้รับ ทราบการคืนข้อมูลพฤติกรรมของตนเอง การประมวลผลในระบบพื้นที่ต้องรอผลการประมวลผลในภาพรวม จากภาพรวมเขต 2)ในเรื่องประเพณีค่านิยมการปฏิบัติ กลุ่มตัวอย่างอยู่ในพื้นที่ชนบท การที่ผู้สูงอายุจะมาออก ก าลังกายเหมือนสังคมเมืองยังถูกนินทาว่า ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม จึงอายที่จะปฏิบัติ เช่น “เฒ่าแล้วควรอยู่บ้าน มาออกก าลังกายท าตัวเหมือนเด็ก” “บ่อยู่สมเฒ่าไปเลาะเล่นบ้านนั้นบ้านนี้” 3)มีความไม่เข้าใจในสื่อน าสู่การ ปฏิบัติ (สื่อเป็นภาษาที่เป็นทางการวิชาการ) เช่น การกินผักผลไม้ ต้องกินปริมาณมากน้อยเท่าไร ไม่มีฟัน ใช้ ฟันปลอมทั้งปาก ผู้สูงอายุจ าท าความสะอาดเฉพาะฟันปลอม การออกก าลังกายเข้าใจว่าต้องเป็นการออก


132 ก าลังกายเหมือนกลุ่มวัยทั่วไป เป็นต้น ในส่วนของข้อมูลทั่วไปพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ระดับ การศึกษาส่วนใหญ่เป็นระดับประถมศึกษา มีปัญหาเรื่องการอ่านการเขียน การวางแผนการปฏิบัติที่เป็น ทางการจึงท าได้ไม่ครบถ้วน ผู้สูงอายุมีการรับรู้ปัญหาด้านสุขภาพด้านร่างกาย ด้านจิตใจต้องการให้สังคม ตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ9 ข้อเสนอแนะ ควรพัฒนาศักยภาพสมาชิกในชมรมผู้สูงอายุ และสมาชิกในครอบครัวที่ดูแลผู้สูงอายุให้เข้ามามีส่วน ร่วมในกิจกรรมการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่พึงประสงค์ เอกสารอ้างอิง ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ: ข้อมูลส ามะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2553 ส านักงานสถิติแห่งชาติ [ออนไลน์] เมื่อ 10 สิงหาคม 2563 จาก http://www.nso.go.th/sites/2014/Pages/pop/% มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทยและสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาลัยมหิดล รายงาน สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ปี 2558 [ออนไลน์] เมื่อ 10 สิงหาคม 2563 จาก https://thaitgri.org/?p=37841 ส านักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย. [ออนไลน์] เมื่อ 10 สิงหาคม 2563 จาก https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/13/browse?locale-attribute=th ส านักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.คู่มือการด าเนินงานตัวชี้วัดร้อยละของ ประชากรสูงอายุที่มีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ปีงบประมาณ 2564. [ออนไลน์] เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2564 จาก https://apps.hpc.go.th/dl/web/index.php?r=download%2Fview&id=769 Application : Health For You (H4U) . จากhttps://h4u.moph.go.th/ประมวลผลเมื่อ 30 มิถุนายน 2563 โปรแกรม 3 C กรมอนามัย ประมวลผลรายงานเมื่อ 17 กรกฎาคม 2563 จาก http://ltc.anamai.moph.go.th/ แนวคิดและความเป็นมาของวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม [อินเทอร์เน็ต]. 2556 [เข้าถึงเมื่อ 13 มกราคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://pongmed.wordpress.com/2013/08/26/par1/ Potter, P.A. & Perry, A.G.(2005). Fundamental of Nursing. 6th ed.St.Louis: Mosby. จิณณ์ณิชา พงษ์ดีและปิยธิดา คูหิรัญญรัตน์. ปัญหาและความต้องการด้านสุขภาพของผู้สูงอายุในเขต พื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านเหมืองแบ่ง ต าบลหนองหญ้าปล้อง อ าเภอ วังสะพุง จังหวัดเลย. วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2558;3(4): 561-576.


133 การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคเรื้อรังศูนย์ สุขภาพชุมชนโรงพยาบาลตระการพืชผล อ าเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี พัชนีทักทาย,บุษบา การกล้า,สุพล การกล้า,ณัฐพล ปัญญา บทคัดย่อ โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุส าคัญของความพิการและเสียชีวิตในระบบสาธารณสุขไทยและทั่ว โลก พบในกลุ่มโรคความดันโลหิตสูงเสี่ยง 3-17เท่า โรคเบาหวาน2-4 เท่า ในโรงพยาบาลมีการคัดกรองความ เสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองยังไม่ครอบคลุมในผู้ป่วยโรคเรื้อรังติดบ้านติดเตียง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษา การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ตั้งแต่เดือน มิถุนายน พ.ศ.2564 ถึง เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 กลุ่มตัวอย่าง มี 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) สหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง 12 คน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 208 ราย 2) ผู้มีส่วนได้เสียในชุมชน 48 คน 3)กลุ่มเสี่ยงปานกลาง/เสี่ยงสูง 42 คน การศึกษาแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 1) การวางแผน การวิเคราะห์ข้อมูลและสถานการณ์ 2)การปฏิบัติการตามกรอบการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง แบบภาคขยาย(Expanded Chronic Care Model 3) การสังเกตการณ์และสะท้อนผลการพัฒนา 4 ) ระยะ ประเมินผล เครื่องมือและการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลจากสถิติผู้ป่วย แบบสอบถามการรับรู้สัญญาณ เตือนและพฤติกรรมการป้องกันโรค แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบประเมินThai CV Risk Score ผล การศึกษา พบว่า การคัดกรอง CVD Risk ไม่ครอบคลุมมีการใช้ Chart แถบสีของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมี ความยุ่งยาก ผู้ป่วยยังไม่รับทราบถึงระดับความเสี่ยงและยังไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในกลุ่มผู้ป่วยที่ขาดนัด และจากแบบสอบถามพบว่าผู้ป่วยมีการรับรู้สัญญาณเตือน ค่า x = 3.68 SD = 1.66 พฤติกรรมการปฏิบัติ ป้องกันโรค ค่า x = 3.15 SD= 1.36 ด้านที่ปฏิบัติน้อยที่สุด คือ การออกก าลังกาย x =2.96 SD =1.31 ใน ชุมชน มีความเห็นว่าโรคเรื้อรังก่อให้เกิดโรค อัมพฤกษ์ อัมพาตและเสียชีวิต ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เสียเวลา เป็นภาระของครอบครัว มีข้อเสนอแนะ ให้เริ่มพัฒนาจากตนเองและครอบครัว ลดการกิน หวาน กินเค็ม กิน มัน มีการพัฒนารูปแบบ 3 เรื่อง 1)Information System มีการจัดการข้อมูล มาวางแผนระบบบริการและ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2)Re Design 2.1ใช้ Mobile Application (Thai CVD Risk Score)ในการคัด กรองและเพิ่มการรับรู้สัญญาณเตือน 2.2ให้ค าปรึกษารายกลุ่ม รายบุคคล 2.3)ใช้ Care plan ปรับเปลี่ยน พฤติกรรม 2.4)ปรับแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน2.5)บริการเชิงรุก3.Community Participation ท าให้เกิดผลลัพธ์ อัตราการคัดกรอง CVD Risk เพิ่มขึ้น ปี2564 -2565 เป็นร้อยละ68.48 ,81.14 ตามล าดับ กลุ่มเข้าปรับ พฤติกรรม 42 คน หลังด าเนินการมีระดับHbA1c ) ลดลง ( ก่อน=9.12 mg% หลัง = 8.76 mg%) ค่าน้ าหนัก ตัวเฉลี่ยลดลง (ก่อน = 61.19 Kgs หลัง= 60.5 kgs) ค่ารอบเอวเฉลี่ยมีค่าลดลง(ก่อน = 33.91 นิ้ว หลัง = 33.39 นิ้ว) และผู้ป่วยที่เลิกบุหรี่ได้ 1 คน จากที่มีผู้สูบบุหรี่ 3 คน 2)ในชุมชน มีการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อ สุขภาพ การสร้างนโยบายสาธารณะ บทเรียนที่ได้รับ/ปัจจัยแห่งความส าเร็จ ความส าคัญของการจัดการ ข้อมูลและน ามาออกแบบระบบการบริการ พร้อมทั้งการปรับแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน ส่งเสริมให้เกิดความ ร่วมมือของสหสาขาวิชาชีพและชุมชน


134 ค าส าคัญ การเฝ้าระวัง,ลดความเสี่ยง,โรคหลอดเลือดสมอง บทน า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุส าคัญของความพิการและเสียชีวิตในระบบสาธารณสุขไทยและทั่ว โลก มีการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก จากโรคหลอดเลือดสมอง 5.7 ล้านคนต่อปี (World Stroke Organization, 2008) ประเทศไทยป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 2.4 แสนคนต่อปี(กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค, 2550) ทั้งยังก่อให้เกิดความพิการ หากผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ทัน ภายใน ระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง จะสามารถช่วยรักษาชีวิต และ/หรือช่วยฟื้นฟูร่างกายไม่ให้เกิดความพิการถาวรได้ จากสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความส าคัญ โดยก าหนดนโยบายระดับชาติในปี พ.ศ.2559 ให้สถานบริการท าการคัดกรองเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และในระดับปฐมภูมิ เน้นให้ มีการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ มีการส ารวจค้นหาและให้ความรู้กลุ่มเสี่ยง และมีการก ากับติดตาม กลุ่มเป้าหมายกลุ่มเสี่ยงเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการอย่างรวดเร็วทันเวลา สถานการณ์โรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดอุบลราชธานียังพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตติดอยู่ใน 5 อันดับของการเสียชีวิตชองประชากร (จากฐานข้อมูล ศูนย์รับแจ้งเหตุ จังหวัดอุบลราชธานี EMS 1669 ปี งบประมาณ 2559-2562 ) ในอ าเภอตระการพืชผลยังพบว่าอัตราป่วยยังมีความชุกสูงอยู่และมีแนวโน้มสูงขึ้น (ข้อมูลอัตราป่วยโรคหลอดเลือดสมองงานอุบัติเหตุฉุกเฉิน ปี 2561-2563 ) พบอัตราป่วย 196.39 , 198.84 และ 210.25 ต่อประชากรแสนคน ตามล าดับ ศูนย์สุขภาพชุมชนโรงพยาบาลตระการพืชผล มีอัตราผู้ป่วยราย ใหม่ ( ปีงบประมาณ 2561-2563 ) 212.83 ,266.04 ,106.41 ต่อประชากรแสนคน ผู้ป่วยที่มีอุบัติการณ์ของ โรครุนแรง และเสียชีวิต พบในกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ที่ขาดนัด ขาดยา และพบในโรคเรื้อรัง เบาหวาน รองลงมาคือกลุ่มไม่มีโรคประจ าตัว การคัดกรอง CVD Risk Scoreในกลุ่มเสี่ยงยังไม่ครอบคลุม เนื่องจากการคัดกรอง CVD Risk รูปแบบเดิมคือการจดบันทึกโดยใช้ Chart แถบสีของกระทรวงสาธารณสุข มีความยุ่งยากในการคัดกรอง ส่วนการใช้การคัดกรองแบบ Mobile Application (Thai CVD Risk Score) ยังใช้เฉพาะกลุ่มพยาบาลและแพทย์ หลังการประเมินมีการบันทึกระดับความเสี่ยงในสมุดผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จาก การสังเกต จากการสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่พบว่า เมื่อมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง แล้ว ยังไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ใช้วิธีการรอดูอาการที่บ้าน เมื่อไม่ดีขึ้นจึงมาโรงพยาบาล ท าให้ระยะเวลาการเข้าถึงกระบวนการรักษาล่าช้า จากข้อมูลข้างต้นผู้วิจัยได้ทบทวนเอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการจัดการการเฝ้าระวัง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพบว่าการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังแบบภาคขยาย (Expanded Chronic Care Model:ECCM) ที่พัฒนาโดยBarr VJetat (2002) เป็นรูปแบบที่มีมิติของการมีส่วนร่วมของพหุภาคีในชุมชนใน การเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงในกลุ่มผู้ป่วยโดยมีเป้าหมายของการกระตุ้นเสริมการมีส่วนร่วม คือ การส่งเสริม ให้ประชาชนค้นหาหนทางของตนเองในการจัดการกับสุขภาพของชุมชน จากแนวคิดข้างต้นผู้วิจัยจึงน ารูปแบบ การดูแลจัดการโรคเรื้อรังแบบขยายมาพัฒนาเป็นรูปแบบการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอด เลือดสมองในผู้ป่วยโรคเรื้อรังแบบองค์รวม ที่ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับหน่วยบริการสุขภาพ


Click to View FlipBook Version