The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

14รูปเล่มวิชาการครั้งที่ 14_เชียงราย_2565

135 วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบริบท สถานการณ์ การพัฒนารูปแบบและผลการพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและลด ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์สุขภาพชุมชนโรงพยาบาลตระการพืชผล วิธีด าเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 3 กลุ่ม รวม 320 คน ดังนี้1) สหสาขาวิชาชีพที่มีส่วน เกี่ยวข้อง 12 คน ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ขึ้นทะเบียนจ านวน 208 ราย 2) ผู้มีส่วนได้เสียในชุมชน จ านวน 48 คน 3) กลุ่มเสี่ยงปานกลาง/เสี่ยงสูงในสถานบริการ จ านวน 42 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดที่ 1 แบบ สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างส าหรับเจ้าหน้าทีและผู้น าชุมชน ชุดที่ 2.แบบสอบถามการรับรู้สัญญาณเตือนและ พฤติกรรมการป้องกันโรค ชุดที่3. แผนการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (Care Plan) การด าเนินการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ตามแนวคิดของเคมมิส และ แมกแทกการ์ด (Kemmis and McTaggart. 1988) ด าเนินการศึกษาระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564- พฤษภาคม พ.ศ.2565 ระยะที่ 1 การเตรียมการ ผู้วิจัยได้ทบทวนเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จัดประชุมชี้แจงแนวทางการ ด าเนินงาน 1.1) การเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถิติผู้ป่วย และระบบสนับสนุนต่างๆ 1.2) สอบถาม สัมภาษณ์ สหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง 1.3) ประชุมระดมสมองร่วมทีม น าข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อน าสู่การพัฒนาในระยะ ต่อไป ระยะที่ 2 การปฏิบัติการ (Action) ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน วิเคราะห์สถานการณ์การเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคใช้ เครื่องมือตามกรอบแนวคิด การจัดการโรคเรื้อรังภาคขยาย (Expanded Chronic Care Model) ในสถาน บริการมีการสัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม กลุ่มเจ้าหน้าที่ มีการประเมินการรับรู้สัญญาณเตือนและพฤติกรรมการ ป้องกันโรค ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ในชุมชน มีการสัมภาษณ์ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้น าชุมชน แล้วน าข้อมูลมา ใช้ในการวางแผนเพื่อ วิเคราะห์ประเด็นปัญหา ก าหนดวัตถุประสงค์ ขั้นตอนที่ 2 ปฏิบัติการในสถานบริการ 1)การอบรมพัฒนาทักษะเจ้าหน้าที่ใช้ Mobile Application (Thai CVD Risk Score) ทักษะการสื่อสารกับผู้ป่วย การสะท้อนคิด การจัดท า Care plan รายบุคคล 2)การพัฒนาระบบการจัดการข้อมูลผู้ป่วยโรคเรื้อรังแยกตามระดับความเสี่ยงและระบบการนัด ผู้ป่วย 3)การสร้างการรับรู้ภาวะเสี่ยงต่อโรครายบุคคล การคืนข้อมูลและสนับสนุนการตัดสินใจของผู้ป่วย 4) ประชุมกลุ่มย่อยเพื่อเสริมการจัดการดูแลตนเอง โดยให้กลุ่มเสี่ยงปานกลางร่วมวิเคราะห์พฤติกรรมตนเอง เพื่อ ตั้งเป้าหมาย วางแผน และหาแนวทางปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมโดยใช้ Care Plan รายบุคคล โดยมีการจัดประชุมกลุ่ม 3 ครั้ง เดือนละ 1 ครั้ง ในชุมชน 1)เชื่อมโยงและระบบข้อมูลผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภาวะ เสี่ยงต่อโรคเรื่องระดับความเสี่ยง รายบุคคลและภาพรวมของชุมชน 2) การออกแบบการจัดบริการใหม่เน้นเชิง รุก3) ประชุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อรับรู้สถานการณ์โรคเพื่อหาแนวทางเฝ้าระวังป้องกันในชุมชน 4.)การอบรม


136 ให้ความรู้เรื่องโรค การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยง การบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การ ใช้ยา การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง อาหารอ่อนหวาน อ่อนเค็ม จ านวน 2 ครั้ง ขั้นตอนที่ 3 การสังเกตการณ์(Observe) โดยการสังเกตการปฏิบัติตามแนวทางการพัฒนา รูปแบบแบบการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ทั้งในสถานบริการและในชุมชน เพื่อการสะท้อนผล การพัฒนาแล้วปรับปรุงแก้ไขต่อไป ขั้นตอนที่ 4 การสะท้อนผลการปฏิบัติ(Reflection) ผู้ศึกษาและทีมประเมินผลวิเคราะห์ผลการ ด าเนินการโดยประเมินผลการพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง จากแบบประเมินที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและได้ร่วมกัน สะท้อนความคิดเห็นต่อการพัฒนา หาข้อสรุปและสะท้อนผลเป็นรอบๆแล้วรายงานเป็นภาพรวม ระยะที่ 3 สรุปและประเมินผลการวิจัย (Evaluation) ท าการสรุปติดตามและประเมินผลแนวปฏิบัติ ที่พัฒนาขึ้นโดย รวมทั้งการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการต่อรูปแบบการการเฝ้าระวัง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ร่วมด้วยเพื่อสะท้อนเป็นวงจรแบบต่อเนื่องของการพัฒนา ต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลทั่วไปน าเสนอด้วยสถิติพื้นฐานได้แก่จ านวน การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ส่วนการรับรู้ สัญญาณเตือนและพฤติกรรมการป้องกันโรคน าเสนอด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จริยธรรมในการวิจัย ผู้วิจัยขออนุมัติและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานีเลขที่ SSJ.UB 2564-054 ผลการศึกษา 1. ก่อนด าเนินการ มีการเฝ้าระวังโดยการประเมิน CVD risk ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ใช้ข้อมูลผู้ป่วย เทียบ จาก Chart แถบสีของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีความยุ่งยากและใช้เวลานาน แล้วยังขาดการคืนข้อมูล ให้ผู้ป่วย ท าให้ผู้ป่วยขาดความตระหนัก ในความเสี่ยงของตนเองและ จากการส ารวจผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มารับ บริการ เดือนมิถุนายน พ.ศ.2564จ านวน 218 คนเป็นเพศชาย ร้อยละ 36.24 เพศหญิง ร้อยละ 63.79 มีการ รับรู้สัญญาณเตือน( x 3.68,SD=1.66) พฤติกรรมการปฏิบัติป้องกันโรค x = 3.15,SD= 1.26) ด้านพฤติกรรม สุขภาพ ทั้ง 4 ด้าน การบริโภคอาหาร การพักผ่อนนอน การออกก าลังกาย การดูแลสุขภาพจิต x =3.92 SD=1.28 )ด้านที่ปฏิบัติน้อยที่สุด คือ การออกก าลังกาย ( x = 2.96, SD=1.31) ในชุมชน มีความเห็นว่าโรค เรื้อรังมีผลกระทบก่อให้โรค อัมพฤกษ์ อัมพาตและเสียชีวิต ด้านเศรษฐกิจ/สังคม ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เสียเวลา ต้องกินยาตลอดชีวิต เป็นภาระของครอบครัว มีข้อเสนอแนะ ให้เริ่มพัฒนาจากตนเอง ครอบครัว (เรื่องความคิดความเชื่อ ทัศนคติ) ลดการกิน หวาน กินเค็ม กินมัน อยากได้ความรู้เรื่องโรค การบริโภคอาหาร การมีสื่อให้ความรู้ การเพิ่มกลุ่มคนเข้าร่วมออกก าลังกาย 2. การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรค เรื้อรัง 3 ด้าน 1)Information System มีการจัดการข้อมูล มาวางแผนระบบบริการและการปรับเปลี่ยน พฤติกรรม 2)Re Design การออกแบบบริการใหม่ 3.Community Participation การมีส่วนร่วมของชุมชน


137 1.การพัฒนาระบบการจัดการข้อมูล (Information System) 1) การจัดท าทะเบียนผู้ป่วยแยก ตามระดับความเสี่ยงการคืนข้อมูลให้บุคคล ชุมชน 2) การน าข้อมูลมาพัฒนาระบบการดูแลในโรงพยาบาล เรื่องการเข้าถึงบริการและเฝ้าระวังโรค 3)การควบคุมก ากับตัวชี้วัดที่ส าคัญ 3) การใช้มูลข่าวสารทาง หอ กระจายข่าว ทางกลุ่ม line ของผู้ดูแลผู้ป่วย อสม นักบริบาลชุมชน 2. การจัดบริการสุขภาพใหม่ 2.1 การจัดบริการใหม่ 1) มีการประเมิน CVD Risk โดยใช้Mobile Application (Thai CV Risk Score) 2) มีเพิ่มการบริการเชิงรุกในช่วงบ่าย กรณีไม่มาตามนัด 3) มีจิตอาสา อสม. นักบริบาล ร่วมออกแบบบริการทั้งเชิงรับและเชิงรุก 4)การเพิ่มการรับรู้สัญญาณเตือนเสี่ยงต่อการเกิด โรค อาการและการแสดงของโรค รายกลุ่มและรายบุคคล 5) มีการรับยาแทนโดยอสม ญาติและทางไปรษณีย์ 2.2 การจัดการดูแลตนเอง 1) ผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้รับการประเมินความเสี่ยงและรับรู้ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรค รายบุคคล เน้นการใช้สมุดบันทึก อาการเตือนที่ต้องรู้ มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต้องปรึกษา หมอคนที่1และ 2 ไม่ต้องรอให้มีหลายอาการ และให้ความรู้แนวทางการเข้าถึงบริการ เมื่อมีอาการ 2) กลุ่มเสี่ยงปานกลางและ เสี่ยงสูง น ามาเพิ่มพูนทักษะ การดูแลตนเอง โดยให้ประเมินตนเองถึงระดับความเสี่ยงและตัดสินใจในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยการใช้กระบวนการกลุ่มและเสริมพลัง 2.3 การสนับสนุนการตัดสินใจของสห วิชาชีพ การสนับสนุนให้สหสาขาวิชาชีพในทีม มีส่วนร่วมในการออกแบบระบบบริการ ใช้โปรแกรม Thai CVD Risk เพื่อเพิ่มการรับรู้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค การออกแบบแนวทางการปฏิบัติในการเฝ้าระวังคัดกรอง ภาวะเสี่ยงที่ชัดเจนในกลุ่มผู้ป่วยที่ขาดนัด ติดบ้านติดเตียง มีแพทย์เวชศาตร์ครอบครัวเป็นผู้ให้ค าปรึกษา 3.การมีส่วนร่วมของชุมชน 3.1การสร้างนโยบายสาธารณะ ที่เอื้อต่อสุขภาพในชุมชน การหนุน เสริมกลุ่มออกก าลังกายให้มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง การหนุนเสริมให้ผู้ดูแลน าผลผลิตจากกลุ่มเกษตรอินทรีย์มา ปรุงใช้เป็นอาหารเมนูชูสุภาพ อ่อนหวาน อ่อนเค็มโดยกลุ่มแม่บ้านและอสม. และหนุนเสริมกิจกรรมทางกาย ของผู้ป่วยในการท าเกษตรอินทรีย์โดยกรรมการชุมชน 3.2 การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ การจัดท า ป้ายความรู้ อาการและการแสดงของโรค การเลือกชื้ออาหาร อาหารที่มีปริมาณเกลือสูงที่ค้นพบในชุมชน และ เครื่องปรุงรสที่นิยมใช้ที่ศาลาหมู่บ้านและตลาดชุมชน การให้ความรู้เรื่องโรคผ่านหอกระจายข่าว การให้ ความรู้ผู้ประกอบอาหารในชุมชน 3.3 เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน การหนุนเสริมน าข้อมูลผู้ป่วยโรค เรื้อรังจัดท าโครงการเพื่อขอรับสนับสนุนจากกองทุนประกันสุขภาพโดยชุมชนเอง การอบรมให้ความรู้ เรื่อง การบริโภคอาหาร การประชุมเชิงปฏิบัติการทดสอบความเค็มของอาหารในครัวเรือน ตลาดชุมชนและร้านค้า แผงลอย 3 ผลลัพธ์การพัฒนารูปแบบ 3.1ได้รูปแบบการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือด สมองในผู้ป่วยโรคเรื้อรังโดยการใช้ Application mobile Thai CVD Risk ในการคัดกรองความเสี่ยงแทนการ บันทึกโดยใช้ chart แถบสี3.2 การเปลี่ยนแปลงหลังพัฒนา (ล้อตามที่ผู้วิจัยอ้างอิงของไพรินทร์ พัสดุมา 2 ประเด็นคือ1) การเปลี่ยนแปลงของระบบสุขภาพชุมชนเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เกิดแนวทางปฏิบัติ ที่ชัดเจนบริการเชิงรุกคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรังติดบ้าน ในช่วงบ่าย 2) การเปลี่ยนแปลงด้านการรับรู้ การจัดการและพฤติกรรมของกลุ่มผู้เกี่ยวข้องในระบบสุขภาพชุมชน ผู้น าชุมชน และผู้ดูแลกลุ่มเสี่ยง รับรู้ ข้อมูลเรื่องโรค การเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เกิดนโยบายหมู่บ้านลดเค็ม สื่อโมเดลอาหารลดเค็มในชุมชน


138 เพิ่มกลุ่มออกก าลังกายในชุมชน 3)ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังและกลุ่มเสี่ยงปานกลาง พบว่า อัตราการ ตรวจคัดกรอง CVD Risk ของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ปีงบประมาณ 2564 -2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.48,81.14 ตามล าดับ กลุ่มที่เข้าปรับลดปัจจัยเสี่ยงของกลุ่มเสี่ยงปานกลาง พบว่าเป็นเพศหญิง มากกว่าเพศชาย ร้อยละ 76.19 ,23.80 ตามล าดับ และผู้ป่วยมีจ านวนโรค 2 โรคถึงร้อยละ97.61 มีอายุน้อยที่สุด 37 ปี อายุมากที่สุด 76 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป หลังเข้าปรับเปลี่ยนตามโปรแกรมพบว่ากลุ่มเสี่ยง มีระดับ น้ าตาลสะสม (HbA1c) หลังด าเนินการมีค่าลดลง ( ก่อน=8.904 mg%หลัง = 8.592 mg%) และพบผู้ที่มี HbA1cน้อยกว่า 7 % จ านวน 6 รายคิดเป็น ร้อยละ 14.28 มีค่าน้ าหนักตัวเฉลี่ยหลังด าเนินการลดลง (ก่อน = 61.19 Kgs หลัง= 60.5 kgs)และผู้ที่มีน้ าหนักตัวลดลง จ านวน 10 ราย คิดเป็น 23.80 ค่าเฉลี่ยรอบเอวหลัง ด าเนินการลดลง (ก่อน = 33.91 นิ้ว หลัง = 33.39 นิ้ว) และพบผู้ป่วยที่เลิกบุหรี่ได้ 1 คน จากที่มีผู้สูบบุหรี่ 3 คน อภิปรายผล ก่อนด าเนินการใช้ข้อมูลผู้ป่วยเทียบประเมิน จาก Chart แถบสีของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีความ ยุ่งยากและใช้เวลานาน ผู้ป่วยไม่รับรู้ความเสี่ยงของตนเอง หลังพัฒนารูปแบมีการใช้ Mobile Application (Thai CV Risk Score) และปรับเปลี่ยนระบบบริการใหม่มีการคืนข้อมูลภาวะเสี่ยง มีการให้ค าปรึกษารายกลุ่ม และรายบุคคล และกลุ่มเสี่ยงเข้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยใช้ Care plan รายบุคคล สามารถลดปัจจัยเสี่ยง ได้สอดคล้องกับการศึกษา สมชัย อัศวสุดสาคร ศึกษาเรื่อง การบูรณาการะบบบริการสุขภาพเพื่อคัดกรองและ ลดกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด จังหวัดนครราชสีมา ปีงบประมาณ 2560-2561ที่จัด การจัด อบรมเชิงปฏิบัติการการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิด CVD ในกลุ่มที่มีคะแนนเสี่ยง ติดตามเยี่ยมบ้านโดยทีม หมอครอบครัว หลังครบ 6 เดือน กลุ่มเสี่ยงมีความรู้เพิ่มขึ้น,พฤติกรรมบริโภคหวานลดลง.พฤติกรรมบริโภค ไขมันลดลง อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p -value <0.001 และอาณัติ วรรณะ ศึกษาการรับรู้และการ จัดการเมื่อมีสัญญาณเตือนในผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า การรับรู้ปัจจัยเสี่ยงมีความสัมพันธ์กับการจัดการเพื่อป้องกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p < .001 (r = 0.3 3) และการรับรู้สัญญาณเตือนมีความสัมพันธ์กับการจัดการเมื่อมีสัญญาณเตือนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ p < .001 (r = 0.224) สรุป การวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองใน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยใช้แนวคิด การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังแบบภาคขยาย (Expanded Chronic Care Model : ECCM) มาเป็นแนวทางการพัฒนาที่ครอบคลุมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในชุมชน ส่งผลให้มีการจัดการ โรคเรื้อรังในชุมชน โดยมีเป้าประสงค์ให้เกิดการดูแลตนเองของผู้ป่วย การจัดการตนเองของชุมชน และที่ ความส าคัญสุดคือเป็นพื้นฐานของการพัฒนาโดยแนวคิดดังกล่าวช่วยส่งเสริมให้มีการจัดการข้อมูลและน ามา ออกแบบระบบการบริการ ทั้งในและนอกสถานบริการ พร้อมทั้งการปรับแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน ส่งเสริม ให้เกิดความร่วมมือระหว่างสหสาขาวิชาชีพและชุมชน และเกิดผลลัพธ์ที่ดีกับผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยงได้


139 เอกสารอ้างอิง ส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. (2550). การประเมินกลุ่มเสี่ยงเบื้องต้นต่อการเป็นอัมพฤกษ์ และอัมพาต. ส านักโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข. ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี.เอกสารสรุปผลการด าเนินงานกลุ่มงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2563 (อินเตอร์เน็ต).2563 แหล่งข้อมูลhttp://www.phoubon.in.th/ สมาคมโรคหลอดเลือดสมองแห่งประเทศไทย. (2550). วัณโรคหลอดเลือดสมองโลก (Stroke Awareness Day). กรุงเทพฯ :สถาบันประสาทวิทยา. World Stroke Organization. (2008). 7th World Stroke Congress: statistic. Retrieved June 16,2009, fromhttp://www.world stroke. สุรัตน์ บุญยืน วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทยปีที่ 6 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการ เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง .2559 (257-266) ไพรินทร์ พัสดุ ดารุณีจงอุดมการณ์วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย ปีที่ 13 ฉ.1การพัฒนาระบบ สุขภาพชุมชนเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยง.2563 (179-193) ภราดร ล้อธรรมมา วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีปีที่ 12 Mobile Application คัดกรอง ความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสาหรับกลุ่มเสี่ยง.2563 (52-57)


140 การประเมินผลโปรแกรม DAVC ในการประเมินผู้ป่วยยืนยัน การติดเชื้อโควิด 19 เข้าสู่กระบวนการรักษา กรณีศึกษาอ าเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี นวรัตน์ สิงห์ค า กลุ่มบริการปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลบุณฑริก บทคัดย่อ การระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขอย่างกว้างขวาง การศึกษาครั้งนี้เป็น การศึกษาแบบEvaluation research เพื่อประเมินผลการใช้โปรแกรม DAVC (Diagnosis, Age,Vaccine, Chief complain) ประเมินผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 ที่ใช้ความเสี่ยงเฉพาะรายและระดับความรุนแรง ของโรคในการจัดบริการที่เหมาะสม เพื่อให้เครือข่ายบริการสุขภาพสามารถจัดบริการที่มีประสิทธิภาพผู้ป่วย สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่ตรวจ ATK positive ทุกรายใน อ าเภอบุณฑริกระหว่างวันที่ 1 เดือน มีนาคม พ.ศ.2565 ถึง วันที่ 30 เดือน เมษายน พ.ศ.2565 จ านวน6,950 ราย ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยส่วนมากเอายุ 5-59 ปี ร้อยละ 75.88 มีโรคประจ าตัวร้อยละ 91.21 รับ บริการแบบTele med ร้อยละ 80.91 การใช้โปรแกรมให้มีประสิทธิภาพ คือ การมีส่วนร่วมและยอมรับจาก ทีมสหสาขาวิชาชีพ บทน า สถานการณ์วิกฤติที่ทั่วโลกก าลังเผชิญ คือ การระบาดของโรค COVID19 หลังจากที่มีการพบผู้ที่ติด เชื้อรายแรกในเมืองอู่ฮั่นเมื่อ เดือนธันวาคม พ.ศ.2562 ซึ่ง COVID19 เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่งในตระกูลโคโรนา สามารถก่อให้เกิดโรคได้ทั้งในคนและสัตว์ ซึ่งถ้าเกิดในคนจะท าให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ โดยมีระยะฟัก ตัว 2-14 วัน ซึ่งอาจไม่มีอาการป่วยที่สังเกตเห็นได้สามารถแพร่กระจายเชื้อได้จากละอองฝอยจากการไอ จาม น้ าลาย น้ ามูก ซึ่งหากร่างกายสูดเอาละอองฝอยจากการไอ จาม ของผู้ติดเชื้อจะสามารถรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ เนื่องจากเป็นโรคอุบัติใหม่และเป็นยุคโรคไร้พรมแดน ท าให้มีการระบาดไปทั่วโลก ส าหรับสถานการณ์โรค COVID 19 ในไทยพบผู้ป่วยรายแรก เมื่อวันที่ 8 เดือนมกราคม พ.ศ.2563 ซึ่งผู้ป่วยเป็นหญิงชาวจีนคัดกรองได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิและพบผู้ป่วยคนไทยคนแรกที่ไม่มีประวัติไปจีนโดย มีอาชีพขับแท็กซี่ ตรวจพบเมื่อวันที่ 31 เดือนมกราคม พ.ศ.2563 หลังจากนั้นก็พบว่ายอดผู้ป่วยที่พบใน ประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยในเดือนมีนาคมโดยแหล่งรังโรคคือสนามมวยลุมพินีและสถานบันเทิง ส าหรับอ าเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานีพบผู้ป่วยรายแรกต้นเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 จากการสอบสวนโรคพบว่าเป็นภรรยาผู้ป่วยที่ยืนยันการติดเชื้อ COVID19 รายที่ 2 ของจังหวัดอุบลราชธานี และรายที่ 2 และ 3 ตรวจพบเมื่อปลายเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 เป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง คือ จังหวัดภูเก็ต เมื่อเดินทางเข้าพื้นที่แล้วพบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคPUI และเริ่มพบผู้ป่วยจากการ ระบาดของโรค COVID19 ระลอกที่ 3 อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ เดือนเมษายนพ.ศ.2564 จนถึงปัจจุบันจากนโยบาย ระบบการรักษาที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนและจ านวนผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องท าให้


141 ระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยในเครือข่ายบริการสุขภาพอ าเภอบุณฑริกมีทั้งการรักษาในโรงพยาบาล Home Isolate และ Self-Isolate ซึ่งการประเมินผู้ป่วยเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาในแต่ละรูปแบบมีความส าคัญต่อ ความปลอดภัยของผู้ป่วย ผู้วิจัยได้มีการพัฒนาโปรแกรม DAVC ในการประเมินผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 ของอ าเภอบุณฑริกเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งหลังจากได้มีการด าเนินการดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้มีการประเมินผลการด าเนินตามโปรแกรมดังกล่าวเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ในการน าไปพัฒนาในการ ดูแลผู้ป่วยอย่างปลอดภัยต่อไป วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลการใช้โปรแกรม DAVC ในการประเมินผู้ป่วยโควิด 19 เข้าสู่ระบบบริการของอ าเภอ บุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี วิธีการศึกษา/การด าเนินงาน 1. รูปแบบการศึกษา เป็น Evaluation research 2. ประชากรที่เข้ารับการศึกษา ผู้ป่วยที่ตรวจ ATK positive ทุกรายในอ าเภอบุณฑริกระหว่างวันที่ 1 เดือนมีนาคม พ.ศ.2565 ถึง วันที่ 30 เดือนเมษายน พ.ศ.2565 จ านวน 6,950 ราย 3. สถานที่ท าการวิจัย โรงพยาบาลบุณฑริก อ าเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี 4. วิธีด าเนินการวิจัย (Methods) 4.1. การพัฒนาโปรแกรม DAVC 4.2. การใช้โปรแกรม DAVC ในการประเมินผู้ป่วยโควิด 19 เข้าสูระบบบริการ 4.3. เก็บรวบรวมข้อมูลและประมวลผล 4.4. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบบันทึกข้อมูล 4.5. สรุปผลและจัดท ารายงานการวิจัย 5. การเก็บและรวบรวมข้อมูล (Data Collection) 5.1. ข้อมูลพื้นฐาน ชื่อ สกุล อายุ 5.2. ข้อมูลจากการสอบสวนโรค 5.3. ข้อมูลการเข้าสู่กระบวนการรักษาของผู้ป่วย 6. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้วิเคราะห์ (Data Analysis and Statistics) สถิติความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ผลการศึกษา การประเมินผลการใช้โปรแกรม DAVC ในการประเมินผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 อ าเภอบุณฑริก 1. Cortex เครือข่ายบริการสุขภาพอ าเภอบุณฑริกที่ให้บริการดูแลประชาชนในพื้นที่ 8 ต าบล 127 หมู่บ้านมีหน่วยบริการปฐมภูมิจ านวน 17 แห่ง เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล 16 แห่ง ศูนย์สุขภาพ ชุมชน 1 แห่ง มีหน่วยบริการที่เป็นโรงพยาบาลขนาด 60 เตียง หลังจากที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 ได้มี


142 การปรับตึกผู้ป่วยใน 1 แห่งเป็น Cohort word สามารถรับผู้ป่วยได้ 35 ราย และเมื่อ เดือนสิงหาคม พ.ศ.2565 ได้มีการเปิดโรงพยาบาลสนามสามารถรับผู้ป่วยได้ 80 ราย ส่วนการให้บริการตรวจผู้ป่วยนอกได้มี การปรับพื้นที่เป็น ARI clinic ซึ่งเปิดให้บริการ 08.00 – 16.00 น. สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ไม่เกิน 50 ราย ซึ่งถ้าเกินกว่านี้จะท าให้ผู้ป่วยได้รับการบริการล่าช้า หลังจากระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ.2565 ซึ่งพบผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น อย่างต่อเนื่อง และจากประกาศกรมการแพทย์ฉบับปรับปรุงวันที่ 1 เดือนมีนาคม พ.ศ.2565 เรื่องแนวทางการ คัดกรองเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 แบบโรคประจ าถิ่น (Endemic) อ าเภอบุณฑริกได้มี การปรับระบบการดูแลผู้ป่วยนอกออกเป็น 2 ระบบคือ รับเข้ามาประเมินโรงพยาบาลซึ่งดูแลโดย ARI clinic และกลุ่ม Home Isolate รอรับยาที่บ้านโดยมีทีมสหสาขาวิชาชีพให้บริการแบบ Telemed ซึ่งได้มีการพัฒนา โปรแกรม DAVC มาใช้เพื่อประเมินผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาทั้ง 2 แบบได้อย่างเหมาะสม 2. Input ส าหรับการด าเนินการตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและส านักงานสาธารณสุข จังหวัดอุบลราชธานีในการเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 แบบโรคประจ าถิ่น โดยการใช้ โปรแกรม DAVC ในการประเมินผู้ป่วย เป็นการบูรณาการงานประจ า ไม่ได้ใช้บุคลากรเพิ่มขึ้นจากการท างาน ปกติ แต่จะมีการใช้โปรแกรม DAVC เป็นแนวทางให้ทีมสอบสวนโรคสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในผู้ป่วยทุกรายที่ ท าการสอบสวนโรค จากกนั้น PM ระบบจะท าการกรองข้อมูลตามโปรแกรมเพื่อจัดบริการให้ผู้ป่วยแต่ละราย อย่างเหมาะสม 3. Process โปรแกรม DAVC ในการประเมินผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 อ าเภอบุณฑริก โปรแกรม ระดับคะแนน 0 1 2 D : Diagnosis ไม่มีโรคประจ าตัว/ ภาวะเสี่ยง Good control Poor control A : Age 5 – 49 ปี 2- 4 ปี หรือ 50 – 59 ปี < 2 ปีและ > 60 ปี V : Vaccine อย่างน้อย 1 เข็ม อายุ > 50 ปี ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน C : Chief complain ไม่มีอาการ มีอาการเล็กน้อย มีอาการเหนื่อย แน่นหน้าอก โรคประจ าตัว หมายถึง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ ไตวาย หอบหืด ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาวะเสี่ยง หมายถึง ตั้งครรภ์ ภาวะอ้วน โรคตับ การใช้โปรแกรม DAVC ในการพิจารณาจัดบริการการรักษาผู้ป่วย ระดับคะแนน ระบบการรักษา ระดับคะแนน 0 -3 ยกเว้น ยกเว้น มีโรคประจ าตัว ระบบ Tele med ระดับคะแนน 3 – 6 คะแนน รับมาโรงพยาบาลเพื่อประเมินเพิ่มเติม


143 4. Product 4.1 ข้อมูลทั่วไป ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด 19 จ าแนกตามอายุ อายุ จ านวน ( n = 6950) ร้อยละ อายุน้อยกว่า 5 ปี 616 8.86 อายุ 5 - 59 ปี 5275 75.88 อายุมากกว่า 60 ปี 1059 15.23 Minimum = 23 วัน Maximum = 103 ; x̅= 34.72 จากตารางที่ 1 พบว่าผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 อายุมากสุด 103 ปี อายุน้อยสุด 23 วัน อายุ เฉลี่ย 34.72 ปี ส่วนใหญ่อายุ 5 – 59 ปี ร้อยละ 75.88 รองลงมา คือ อายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 15.23 และ อายุน้อยกว่า 5 ปี ร้อยละ 8.86 ตามล าดับ ตารางที่ 2 แสดงข้อมูลภาวะเสี่ยงของผู้ป่วยยืนยันการโควิด 19 ภาวะเสี่ยง จ านวน ( n=1264 ) ร้อยละ โรคประจ าตัว 1153 91.21 ภาวะอ้วน BMI > 30 69 5.45 ตั้งครรภ์ 42 3.32 จากตารางที่ 2 พบว่ามีผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อที่มีภาวะเสี่ยงส่วนใหญ่ มีโรคประจ าตัว ร้อยละ 91.21 รองลงมาคือ ภาวะอ้วน BMI > 30 ร้อยละ 5.45 และตั้งครรภ์ ร้อยละ 3.32 ตามล าดับ 4.2 ข้อมูลเข้าสู่กระบวนการรักษา ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2565 ถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2565 มีผู้ป่วยที่ผล ATK – Positive ส่งเข้าสู่กระบวนการรักษาจ านวน 6,950 ราย ถ้าเข้ามาประเมินโรงพยาบาลเฉลี่ยวันละ 113.93 ราย ตารางที่ 3 แสดงข้อมูลหลังการใช้โปรแกรม DAVC จัดผู้ป่วยเข้าสู่ระบบบริการ รูปแบบบริการ จ านวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยต่อวัน รับเข้ามาประเมินโรงพยาบาล 2014 28.97 33.01 รับบริการแบบ Tele med 4936 71.02 80.91 จากตารางที่ 3 พบว่าผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อ ส่วนใหญ่เข้าสู่ระบบบริการแบบ Tele med ร้อยละ 80.91 รองลงมา คือ รับเข้ามาประเมินในโรงพยาบาล ร้อยละ 33.01 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ การใช้โปรแกรม DAVC ใช้เป็นเกณฑ์เพื่อให้ทีมสอบสวนโรคสอบถามอาการเบื้องต้นเพื่อส่งต่อให้ทีม ประเมินน ามาใช้ในการพิจารณาในการจัดบริการที่เหมาะสมและปลอดภัยให้แก่ผู้ป่วยแต่ละราย โดยสิ่งที่ ส าคัญที่สุดในการใช้โปรแกรมให้มีประสิทธิภาพ คือ การมีส่วนร่วมและยอมรับจากทีมสหสาขาวิชาชีพ


144 อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ โปรแกรม DAVC เป็นการประเมินผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 ที่ใช้ความเสี่ยงเฉพาะรายและ ระดับความรุนแรงของโรคในการจัดบริการที่เหมาะสม เพื่อให้เครือข่ายบริการสุขภาพสามารถจัดบริการที่มี ประสิทธิภาพ ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย สามารถน าไปประยุกต์ใช้กับโรคอุบัติ ใหม่อุบัติซ้ าเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย เอกสารอ้างอิง กุลณัฐ ไกรศรีและคณะ. (2564). ศึกษาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยว ชุมชนในจังหวัดปทุมธานี. วารสารวิชาการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ. [เข้าถึงเมื่อ 2 เมษายน. 2565]. เข้าถึงได้จาก:https://so04.tci-thaijo.org/index.php/svittj/article/view/243621/174030 กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข (2565) แนวปฏิบัติส าหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการให้ค าแนะน า และการจัดบริการ Home Isolate ฉบับปรับปรุงวันที่ 4 มกราคม 2565 [เข้าถึงเมื่อ 21 เม.ย. 2565]. เข้าถึงได้จาก:https://covid19.dms.go.th/Content/Select_Landding_page?contentId=159 จันทรวิมล คีรีกังวาล และคณะ (2564). ผลกระทบด้านเศรษฐกิจสถานการณ์โควิด-19 ต่อครัวเรือนใน อ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก. วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์. [เข้าถึงเมื่อ 2 เม.ย. 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://so03.tcithaijo.org/index.php/hssj/article/view/248557/171474 วิเชียร มันแหล่และคณะ. (2564). การศีกษาผลกระทบและการปรับตัวของประชาชนในสถานการณ์การ แพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 จังหวัดนครศรีธรรมราช. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์. [เข้าถึงเมื่อ 20 เม.ย. 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://so03.tcithaijo.org/index.php/JMND/article/view/256978/171137 ณรงค์ใจเที่ยง. (2564). มาตรการป้องกันโควิด 19 ระบาดระลอกใหม่. วารสารกฎหมายและนโยบาย สาธารณสุข. [เข้าถึงเมื่อ 2 พฤษภาคม. 2565]. เข้าถึงได้จาก : https://so05.tcithaijo.org/index.php/journal_law/article/view/249130/171691 World Health Organization.(2020). update-28-covid-19-what-we-know. WHO Publications. [เข้าถึงเมื่อ 2 เม.ย. 2565]. เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/docs/defaultsource/searo/thailand/update-28-covid-19


145 ผลของการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินร่วมกับการใช้Early warning sign ภาวิณีย์ สัญจรโคกสูง โรงพยาบาลสว่างวีระวงศ์ บทคัดย่อ แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินเป็นหน่วยงานที่ส าคัญเป็นด่านแรกที่ให้บริการแก่ผู้ใช้บริการที่มีอาการ ฉับพลัน และอยู่ในภาวะฉุกเฉินซึ่งต้องการการช่วยเหลือที่เร่งดวน รวดเร็ว ถูกต้องทันเวลาและปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Research) เพื่อประเมินผลการใช้ แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ร่วมกับการใช้ Early warning sign ในการดูแลผู้ป่วย กลุ่ม ตัวอย่างคือผู้รับบริการ จ านวน 3,058 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ chi-square test ผลการศึกษาพบว่า พยาบาลมีการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ครอบคลุม ไม่มีอุบัติการณ์ทรุดลงขณะรอตรวจ ผลการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินร่วมกับการใช้ Early warning พบว่า มีการคัดแยก Over triage ร้อยละ 0.10 และการคัดแยก Under triage ร้อยละ 0.02 มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส าคัญทางสถิติ บทน า แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินเป็นหน่วยงานที่ส าคัญในโรงพยาบาลเป็นด่านแรกที่ให้บริการแก่ ผู้ใช้บริการที่มีอาการฉับพลัน และอยู่ในภาวะฉุกเฉินจากการเจ็บป่วยอย่างกะทันหันซึ่งต้องการการช่วยเหลือที่ เร่งดวน รวดเร็ว ถูกต้องทันเวลาและปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินจึงจ าเป็นที่ ต้องมีเครื่องมือเป็นเกณฑ์ในการคัดกรองผู้ป่วยที่แม่นย าและน่าเชื่อถือในการคัดกรองอาการของผู้ป่วยที่ ต้องการ การรักษาอย่างเร่งดวน และใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีอยู่อย่างจ ากัดให้ได้ประโยชนอย่างสูงสุด โดยไดก าหนดเกณฑ์การประเมินเพื่อคัดแยกระดับความฉุกเฉิน ณ หองฉุกเฉินตามระบบ ESI Version 4 มีการ แบ่งระดับเป็น 5 ระดับ ไดแก 1) ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต 2) ผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งดวน 3) ผู้ป่วยฉุกเฉินไมรุนแรง 4) ผู้ป่วยทั่วไป และ 5) ผู้ป่วยใช้บริการสาธารณสุขอื่น จากข้อมูลงานผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช ปี พ.ศ. 2562– 2564 มีผู้รับบริการจ านวน 8,415, 7,397 และ 6,041 ราย ตามล าดับงานผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและ นิติเวช เริ่มพัฒนาระบบการคัดแยกผู้ป่วยครั้งแรก โดยจัดพยาบาลวิชาชีพหมุนเวียนปฏิบัติงานประจ าจุดคัด กรองผู้ป่วยแต่บทบาทในการคัดแยกผู้ป่วยไม่ชัดเจน เนื่องจากยังไม่มีแนวทางการคัดแยกไปในทิศทางเดียวกัน อาศัยประสบการณ์จากการท างานของเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียว อุบัติการณ์ร้อยละของการคัดแยก under triage ที่ ER ปีงบประมาณ 2562-2564 ร้อยละ 0.07, 0.04 และ 0.03 ตามล าดับ ร้อยละของการคัดแยก over triage ที่ ER ปีงบประมาณ 2562-2564 ร้อยละ 0.26, 0.20 และ 0.16 ตามล าดับการคัดแยกที่จุดคัด กรองคลาดเคลื่อน under triage ท าให้ผู้ป่วยทรุดลงขณะรอตรวจที่ OPD จากสถานการณ์พบว่ามีการคัด กรองตามอาการผู้ป่วย และตามคิวทั่วไป ไม่มีการประเมิน warning sing ณ จุดคัดกรอง ท าให้ผู้ป่วยไปรอ ตรวจที่ OPD เกิดการทรุดลง เช่น ผู้ป่วยเด็กไข้สูง ชีพจรเร็ว ไม่มีการประเมิน warning sign ผู้ป่วยเกิดอาการ


146 ชักขณะรอตรวจ, ผู้ป่วย re-visit มาด้วยอาการปวดจุกแน่นท้อง วิงเวียน แน่นหน้าอก ส่งไปตรวจที่ OPD แพทย์ส่งท า EKG พบ ST elevation Dx. STEMI ส่งต่อ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เป็นต้น การคัดกรอง ที่ห้องฉุกเฉินคลาดเคลื่อน under triage อาจท าให้ผู้ป่วยไม่ปลอดภัย over triage ใช้ทรัพยากรมากขึ้นผู้ป่วย อื่นอาจเสียโอกาส ผู้ศึกษาเห็นความส าคัญในการพัฒนาคุณภาพระบบการคัดแยกผู้ป่วย จึงสนใจศึกษาผล ของการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ร่วมกับ Early warning sign โดยมีการพัฒนา ระบบคัดกรองโดยจัดพยาบาลประจุดคัดกรองเป็นคนเดียว ไม่มีการหมุนเวียน มีการพัฒนาบัตรคิวแยก ประเภทและอาการผู้ป่วยตามความเร่งด่วนก าหนด warning sign ที่ชัดเจนแยกจากบัตรคิวทั่วไป เพื่อสื่อสาร ให้ผู้ปฏิบัติงานได้เข้าใจและปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน ผู้ป่วยได้รับการรักษาทันเวลาและปลอดภัย เพื่อลดความ ผิดพลาดจากการคัดแยกผู้ป่วย มีแนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินที่ชัดเจน มีความเข้าใจง่าย และสะดวกต่อการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วย อีกทั้งเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของพยาบาลอย่างมี ประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อผู้รับบริการ วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อพัฒนาแนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ร่วมกับการใช้ Early warning sign งานผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลสว่างวีระวงศ์ 2. เพื่อประเมินผลการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ร่วมกับการใช้ Early warning sign งานผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลสว่างวีระวงศ์ วิธีการศึกษา/การด าเนินงาน 1. รูปแบบการศึกษา: การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Research) เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ วันที่ 1 เดือนมกราคม ถึง วันที่ 28 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 2. ประชากรที่ศึกษา 2.1 .พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลสว่างวีระวงศ์ จ านวน 9 คน และเข้าร่วมงานวิจัยด้วยความสมัครใจ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมกราคม ถึง วันที่ 28 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 กลุ่มตัวอย่างจ านวน 3,058 ราย 2.2. การแบ่งระดับความรุนแรงและอาการแสดงของผู้ป่วยร่วมกับ Early warning sign จ านวน 3,058 ราย ซึ่งมีการประเมินดังนี้ 2.2.1 การใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน 2.2.2 การประเมินสภาพและจัดระดับความฉุกเฉิน 2.2.3 การส่งต่อจุดบริการตามระดับความฉุกเฉิน 2.2.4 การเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงและการพยาบาลเบื้องต้น 2.2.5 ความครบถ้วนในการลงรูปแบบบันทึกอาการผู้ป่วย 2.2.6 อุบัติการณ์ของการคัดแยก Under triage


147 2.2.7 อุบัติการณ์ของการคัดแยก Over triage 2.2.8 อุบัติการณ์ทรุดลงขณะรอตรวจ 3. การวิเคราะห์ข้อมูล:การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป โดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์ประสิทธิผลของการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความ รุนแรง โดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน สถิติทดสอบ chi-square test 4. เครื่องมือที่ใช้:1) แนวทางการคัดแยกระดับความฉุกเฉิน ณ หองฉุกเฉินตามระบบ ESI Version 4 2) แบบบันทึกการคัดแยกผู้ป่วย ณ จุดคัดแยก (Triage) ตามมาตรฐานส าคัญจ าเป็น 3) บัตรคิวแบ่งระดับตาม ความฉุกเฉินมีearly warning sign 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล: รวบรวมข้อมูลการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้ป่วยและอุบัติการณ์การคัดกรองผิดพลาด ผลการศึกษา 1. แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินร่วมกับการใช้ Early warning sign พบว่า พยาบาลมีการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ร้อยละ 100.00 การประเมินสภาพและจัด ระดับความฉุกเฉิน ร้อยละ 100.00 การส่งต่อจุดบริการตามระดับความฉุกเฉิน ร้อยละ 100.00 การเฝ้าระวัง อาการเปลี่ยนแปลงและการพยาบาลเบื้องต้น ร้อยละ 96.66 ความครบถ้วนในการลงแบบบันทึกอาการผู้ป่วย ร้อยละ 90.00 และอุบัติการณ์ทรุดลงขณะรอตรวจ ร้อยละ 0 2. ผลการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินร่วมกับการใช้ Early warning sign โดยประเมินจากแบบประเมินการปฏิบัติตามระดับความฉุกเฉิน พบว่า มีการคัดแยก Over triage ร้อยละ 0.10 และการคัดแยก Under triage ร้อยละ 0.02 มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส าคัญทางสถิติ อภิปรายผล แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินร่วมกับการใช้ Early warning sign งานอุบัติเหตุ ฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลสว่างวีระวงศ์ มีการพัฒนาจากประเด็นปัญหาของความผิดพลาด ความคลาด เคลื่อนของการคัดกรองผู้ป่วย การคัดแยก Over triage ที่มีนัยส าคัญทางสถิติ ตามระดับความรุนแรงไม่ ถูกต้องตรงกับอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย แต่ผลการศึกษาพบว่า ไม่มีอุบัติการณ์ทรุดลงขณะรอตรวจ หากใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินร่วมกับการใช้ Early warning sign สามารถน าไปใช้ ในการประเมินคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะท าให้การรักษาพยาบาล ผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินได้ตามระดับความรุนแรงของผู้ป่วย ไม่ให้มีอาการทรุดลงขณะรอตรวจได้


148 สรุปและข้อเสนอแนะ สรุป การวิจัยนี้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ร่วมกับการใช้ Early warning sign มีมาตรฐานหน่วยงานสามารถน าไปใช้ในการประเมินคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สามารถให้การช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตได้ตามความรุนแรงและความเร่งด่วนของอาการ ป่วย ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการจัดอบรมการคัดแยกผู้ป่วย (Triage) ให้กับบุคลากรทุกคนในหน่วยงาน เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจในการคัดแยกผู้ป่วยในทิศทางเดียวกัน 2. ควรมีการประสานขั้นตอนการปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วย และการจ าแนกผู้ป่วยระหว่างแผนก ผู้ป่วยฉุกเฉิน และผู้ป่วยนอก


149 การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ในพื้นที่ชุมชนเมืองเขตรับผิดชอบของหน่วยบริการปฐมภูมิเครือข่าย โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี ธีรนุช ชละเอม, แสงเดือน แสงสระศรี, ประเสริฐ ประกายรุ้งทอง กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี บทคัดย่อ ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน เป็นผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่อาจพบปัญหาการดูแล สุขภาพตนเอง โดยผู้ป่วยไม่ทราบวิธีปฏิบัติเมื่อมีอาการทรุดลง หรือเกิดความเครียดขณะกักตัวที่บ้าน การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านนี้ ใช้แนวคิดการดูแล สุขภาพแบบองค์รวม โดยวิธีการส่งผ่านข้อมูล ให้ความรู้ แนวทางปฏิบัติผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินความพึงพอใจรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมส าหรับผู้ป่วย โควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านผ่านแอปพลิเคชันไลน์ การด าเนินงานแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะศึกษา แนวคิด ทฤษฎี และสถานการณ์ในปัจจุบัน ระยะพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม ด้านสติปัญญา ระยะปฏิบัติการ และระยะประเมินผล กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านในพื้นที่อ าเภอเมืองนนทบุรีจ านวน 1,034 ราย และท าการประเมินความพึงพอใจรูปแบบ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ผลการด าเนินการพบว่าผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 62 ช่วงอายุระหว่าง 25-59 ปี ได้มีการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมโดยมีองค์ประกอบ ของการพัฒนา 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความพึง พอใจต่อการใช้รูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในระดับมากที่สุด โดยด้านร่างกาย พบคะแนนเฉลี่ยความ พึงพอใจมากที่สุด( x = 4.72, S.D.=0.48 ) ส่วนความพึงพอใจการดูแลด้านจิตใจ( x =4.70, S.D.=0.51) ใกล้เคียงกับการดูแลด้านสังคม( x =4.68, S.D.=0.31) โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจน้อยสุด คือ การดูแลด้านสติปัญญา( x =4.13, S.D.=0.63 )อยู่ในระดับมาก รูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมผ่านแอป พลิเคชันไลน์นี้ ท าให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ดี มีสุขภาพกายและจิตใจ ที่ดี ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่อยู่อาศัยร่วมบ้านและสังคมอย่างถูกสุขอนามัยและมีการ ปรับตัวเมื่อแยกกักตัวได้ ค าส าคัญ: การดูแลแบบองค์รวม,โควิด-19,แยกกักตัวที่บ้าน,แอปพลิเคชันไลน์ บทน า โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออุบัติใหม่เกิดจากไวรัสเชื้อไวรัสโคโรนา พบครั้งแรกใน นครอู่ฮั่นมณฑลหู เป่ย ประเทศจีน และเกิดการระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก จนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ส าคัญใน ปัจจุบัน จ านวนผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลก จนถึง วันที่ 30 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 พบผู้ติดเชื้อ531,522,540


150 ราย ผู้เสียชีวิต 6,310,805 ราย ส าหรับประเทศไทยสถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในการระบาดระลอก ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมกราคม พ.ศ.2565 ถึงวันที่ 30 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 มีผู้ติดเชื้อสะสม 2,211,076 ราย เสียชีวิตสะสม 8,212 ราย ส่วนจังหวัดนนทบุรี พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 จ านวนทั้งหมด60,545 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 4,698.38ราย/ประชากรแสนราย จ านวนผู้ป่วยเสียชีวิต 64 ราย คิดเป็นอัตราตาย 4.97 ราย/ประชากรแสนราย อัตราป่วยเสียชีวิตร้อยละ 0.11 โดยหน่วยบริการปฐมภูมิเครือข่ายโรงพยาบาลพระนั่ง เกล้ารับผิดชอบดูแล พบผู้ป่วยโควิด-19 ในเขตอ าเภอเมือง จ านวน15,555 ราย ซึ่งในอ าเภอเมืองพบผู้ป่วยโค วิดมากที่สุดในจังหวัดนนทบุรี คิดเป็นอัตราป่วย 4,272.48 รายต่อประชากรแสนคนจ านวนผู้ป่วยเสียชีวิต 13 ราย คิดเป็นอัตราตาย 3.57 รายต่อประชากรแสนคน อัตราป่วยเสียชีวิตร้อยละ 0.08 จะเห็นได้ว่าจ านวน ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลรักษายังมีปริมาณมากและต้องการการดูแลที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่ที่มีอาการไม่รุนแรงพบได้ร้อยละ 80.00 ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 1 สามารถรับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านได้ แทนการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อลดปัญหาในด้านการ บริหารจัดการเตียงและบุคลากรทางการแพทย์ 2 ผู้ป่วยจะได้รับยาและอาหาร การดูแลที่เหมาะสม การ ติดตามจากแพทย์ได้รวดเร็วขึ้นแก้ไขปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการทางการแพทย์ เนื่องจากการแยกกักตัวที่บ้าน เป็นรูปแบบการรับบริการที่แตกต่างออกไปจากการรักษาในสถานพยาบาลทั่วไป อาจท าให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านบางรายเกิดปัญหาการดูแลสุขภาพตนเองจากการไม่ทราบแนวทางปฏิบัติ หรือเกิด ภาวะแทรกซ้อนจากการเจ็บป่วย ท าให้ส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ คุณภาพชีวิต สังคมและเศรษฐกิจขณะที่ แยกกักตัวที่บ้าน เช่น อาการของโรคมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น มีภาวะแทรกซ้อน การแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ผู้ที่ อาศัยในบ้าน เกิดความเครียด ความกลัวและวิตกกังวลจากการติดเชื้อของตัวผู้ป่วยเองและผู้ที่อาศัยในบ้าน คนในชุมชนกลัวเชื้อแพร่กระจาย โรงพยาบาลไม่สามารถติดตามและประเมินอาการผู้ป่วยได้ ขาดรายได้ หรือไม่สามารถท างานได้ ขาดการตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหาเมื่อต้องเผชิญกับการติดเชื้อ และการฝ่าฝืนข้อ ปฏิบัติขณะแยกกักตัวที่บ้าน โดยมีรายงานว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยที่แยกกักตัวที่บ้านมีการออกจากบ้านอย่าง น้อยหนึ่งครั้ง และ 1 ใน 3 ไม่ปฏิบัติตามกฎการเว้นระยะห่าง 3 จากข้อมูลพบว่ามีจ านวนผู้ป่วยในเขตอ าเภอ เมือง นนทบุรีที่ได้รับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านในช่วงวันที่1 เดือนมกราคม- วันที่ 30 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 มีจ านวน 14,156 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยผู้ใหญ่ 12,175. ราย และผู้ป่วยเด็ก 1,981 ราย ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน บางรายได้รับการดูแลแบบมิติทางกายด้านเดียว เพื่อมุ่งเน้นให้หายจากโรค โดยไม่ได้ค านึงถึงมิติอื่น เช่น ความเครียดวิตกกังวลจากการติดเชื้อและการขาด รายได้ช่วงที่กักตัวอยู่ที่บ้าน ท าให้เมื่อหายจากการเจ็บป่วย อาจมีปัญหาทางใจและสังคมตามมาได้ จากปัญหา สุขภาพดังกล่าวทางทีมสหวิชาชีพ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จึงได้ท าการศึกษาและพัฒนารูปแบบการดูแล สุขภาพของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน โดยท าการประยุกต์ใช้แนวคิดและทฤษฎีการดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม ซึ่งเป็นการมองสุขภาพว่าเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับทั้งชีวิตมากกว่าการเน้นเฉพาะความเจ็บป่วยหรือ การจัดการกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย 4 และเป็นความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตปัญญา ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันและกัน รูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมส าหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่แยกกัก ตัวที่บ้านจะส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีทั้ง 4 ด้าน อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และ


151 สติปัญญา เมื่อผู้ป่วยมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ทุกด้านอย่างเป็นองค์รวมจะส่งผลให้ปราศจากความเจ็บป่วยและ ภาวะแทรกซ้อน สามารถกลับมาด าเนินชีวิตได้อย่างปกติ มีคุณภาพชีวิตที่ดี 5 ซึ่งรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบ องค์รวม ใช้วิธีการส่งผ่านข้อมูล ให้ความรู้ ค าแนะน า แนวทางการปฏิบัติ หรือการสื่อสารระหว่างทีมสห วิชาชีพกับผู้ป่วยหรือญาติผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ซึ่งเป็นการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) แบบออนไลน์ วิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ที่มีสะดวกสบาย รวดเร็ว ทันต่อเวลาในการรับส่งข้อมูลและการสื่อสาร สามารถ เก็บข้อมูลและส่งต่อได้ 6 เพื่อให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน ปฏิบัติตัวเกี่ยวกับสุขภาวะทั้ง 4 ด้าน ได้อย่างถูกต้อง ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนและไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ผู้ป่วยสามารถน าความรู้ ข้อค าแนะน า และ แนวทางปฏิบัติที่ได้รับจากรูปแบบการดูแลสุขภาพองค์รวมไปปฏิบัติหลังจากหายจากการเจ็บป่วยแล้ว เพื่อให้ มีสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมีประสิทธิภาพและผู้รับบริการมี ความพึงพอใจ สามารถน าไปประยุกต์พัฒนาหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และบริบทใน กลุ่มผู้ป่วยโรคอื่นๆต่อไปได้ วัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อพัฒนาและประเมินความพึงพอใจรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมส าหรับผู้ป่วยโรค โควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านผ่านแอปพลิเคชันไลน์ วิธีการด าเนินงาน เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง ตั้งแต่ วันที่ 1 เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 จนถึง วันที่ 30 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 อายุ 18-70 ปีที่ขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบการ ดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า,ศูนย์สุขภาพชุมชนวัดแคนอกและหน่วยบริการปฐมภูมิ เครือข่ายโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี ค านวณขนาดตัวอย่างด้วยสูตรทาโร่ ยามาเน ได้กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 1,034 ราย โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายเพื่อคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ผู้ศึกษาได้ดัดแปลงแผนด าเนินงานจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 7 โดยก าหนดระยะด าเนินงานเป็น4 ระยะ คือ 1)ระยะศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และสถานการณ์ในปัจจุบัน 2)ระยะพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม 3)ระยะปฏิบัติการ ด าเนินการน ารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมาใช้กับผู้ป่วยโรค โควิด-19 และ 4) ระยะประเมินผล ท าการประเมินความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์ รวม ด้วยแบบประเมิน เครื่องมือที่ใช้ในการด าเนินงาน ได้แก่ รูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมส าหรับ ผู้ป่วยโรค โควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านผ่านแอปพลิเคชันไลน์ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปและแบบประเมินความ พึงพอใจใช้เป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่าลิเคริท(Likert Scale)


152 ผลการศึกษา ผู้ป่วยโรคโควิด-19 เข้าสู่ระบบการดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้านจ านวน 1,034 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศ หญิงร้อยละ 62.00 ช่วงอายุระหว่าง 25 - 59 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 35 ปี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง มีญาติหรือผู้อาศัยร่วมบ้านคอยดูแลที่บ้านร้อยละ73.30 ได้มีการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพ แบบองค์รวมส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โดยรูปแบบที่พัฒนาขึ้น มีองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา มีขั้นตอนกระบวนการดูแล สุขภาพ 5 ขั้นตอนคือ 1.ขั้นประเมินทักษะการดูแลสุขภาพก่อนการใช้รูปแบบ 2.ขั้นเตรียมความพร้อม 3.ขั้นลง มือปฏิบัติ 4.ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ 5. ขั้นการประเมินทักษะการดูแลสุขภาพ หลังการใช้รูปแบบ พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในระดับมากที่สุด โดยด้าน ร่างกาย พบคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุด( x =4.72, S.D.=0.48 )ส่วนความพึงพอใจการดูแลด้านจิตใจ ( x =4.70, S.D.=0.51) ใกล้เคียงกับการดูแลด้านสังคม( x =4.68, S.D.=0.31 ) โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยความ พึงพอใจน้อยสุด คือ การดูแลด้านสติปัญญา( x =4.13, S.D.=0.63 )อยู่ในระดับมาก อภิปรายผล การศึกษานี้เป็นการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลได้ ครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งการใช้แอปพลิเคชันไลน์นี้ก็เป็นรูปแบบการสื่อสารที่สะดวก รวดเร็ว เพื่อค้นหาปัญหา ความต้องการการดูแลและพัฒนาความสามารถของผู้ป่วยในการดูแลตนเอง รูปแบบองค์รวมที่พัฒนาขึ้นมี องค์ประกอบ 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย มีการจัดกิจกรรม คือ การให้ข้อมูลการดูแลสุขภาพตัวเองที่บ้าน การฝึก หายใจและออกก าลังกาย การจัดส่งยา อาหาร น้ า วัสดุการแพทย์ที่จ าเป็น ได้แก่ อุปกรณ์วัดไข้ เครื่องวัด ออกซิเจนในเลือด เป็นต้น เนื่องจากการติดเชื้อโควิด-19 จะมีผลกระทบกับระบบทางเดินหายใจโดยตรง จึงมี การพัฒนาเพื่อประเมินและติดตามอาการผ่านแอปพลิเคชันไลน์ทั้งฟีเจอร์ LINE Chat และ LINE VDO Call เพื่อจะได้ติดตามและเห็นการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิด และเป็นกิจกรรมที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ผู้ป่วยจึงมีความพึงพอใจมากที่สุด ด้านจิตใจ มีการให้ข้อมูลและค าปรึกษาการดูแลสุขภาพจิตด้วยตนเอง การ บริหารจิตใจผ่านหลักสูตรออนไลน์ ด้านสังคม มีการให้ค าแนะน าเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันระหว่างผู้ป่วยกับผู้อยู่ อาศัยร่วมบ้าน การกระตุ้นสร้างจิตส านึกร่วมกันในสังคม รับผิดชอบต่อสังคม ด้านสติปัญญา มีการให้ ค าแนะน าให้ตระหนักในคุณค่าของตนเอง การใช้หลักธรรมะของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์ใช้กับการดูแล สุขภาพ ซึ่งเหมือนกับการศึกษาของ Kemmis S, Mc Taggart R. 7 ที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา สอดคล้องกับความหมายของการมีสุขภาวะที่ดีซึ่ง การใช้รูปแบบการดูแลแบบองค์รวมนี้ ไม่พบปัญหาหรืออุปสรรคในการใช้งาน แต่การใช้แอปพลิเคชันไลน์ LINE VDO Call บางครั้งอาจพบสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่เสถียร จึงปรับมาใช้รูปแบบการโทรศัพท์แทน


153 สรุป ข้อเสนอแนะ ผู้ป่วยสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ดี มีสุขภาพกายและจิตใจที่ดี ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน สามารถอยู่ ร่วมกับผู้ที่อยู่อาศัยร่วมบ้านและสังคมอย่างถูกสุขอนามัยและมีการปรับตัวเมื่อแยกกักตัว สามารถน ารูปแบบการ ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมไปพัฒนาหรือประยุกต์รูปแบบให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และกลุ่มผู้ป่วยโรคอื่น ๆได้ ประโยชน์ที่น าผลงานไปใช้ สามารถน าความรู้ค าแนะน า และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพทั้ง 4 ด้าน ไปปฏิบัติ หลังจากหายจากการเจ็บป่วยแล้ว เพื่อให้มีสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถน าไปใช้ประโยชน์ในการ ติดตามและประเมินอาการ การติดต่อสื่อสารระหว่างทีมสหวิชาชีพกับผู้ป่วยได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วย ให้การรักษาตามความเหมาะสมได้ โดยไม่จ าเป็นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล เอกสารอ้างอิง World Health Organization. Living guidance for clinical management of COVID-19: Living guidance, 23 November 2021. Geneva: World Health Organization; 2021. กรมการแพทย์. แนวทางปฏิบัติส าหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการให้ค าแนะน าผู้ป่วยและการ จัดบริการผู้ป่วยโควิด-19 แบบ Home Isolation ฉบับปรับปรุง วันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2565 [อินเทอร์เน็ต]. นนทบุรี: กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข;2565 [เข้าถึงเมื่อ 5 พ.ค. 2565]. เข้าถึงได้จาก: https://covid19.dms.go.th/backend/Content/Content_File/Covid_Health/Attach/2565 0105175718PM_แนวทางhomeIso.pdf Yilmaz ZU, Duman S, Öztürk GZ, Özdemir HM, Hogan GG, Karatas E. Evaluating the home isolation of COVID-19 patients in primary care. Journal of Ideas in Health 2021;4:357-64. ส านักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุ. ชุดความรู้เพื่อการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุที่มีคุณภาพ สุขภาพองค์รวม. กรุงเทพฯ: ส านักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุ; 2556. พระมหาสากล สุภรเมธี. การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมตามแนวพุทธปรัชญา. วารสารมหาวิทยาลัย มหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด 2558;4:351-8. สันต์ หัตถีรัตน์. การแพทย์ทางไกล [อินเทอร์เน็ต]. 2564 [เข้าถึงเมื่อ 2565 มิถุนายน 3]. เข้าถึงได้ จาก: https://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=2389 Kemmis S, Mc Taggart R. Participatory action research: Communicative action and the public sphere. In: Denzin N, Lincoln Y. Eds, Strategies of Qualitative Inquiry, Sage, Thousand Oaks, 2007;271-330.


154 ประสิทธิผลของโปรแกรมการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยแนวคิดการจัดการตนเองในแม่วัยรุ่น ต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ The Effects of Breastfeeding Promoting Support Program with Self-management Concepts on Breastfeeding Behavior among Adolescent Mothers. เพ็ญพรรณ กุณฑล, เกสราวรรณ ประดับพจน์ โรงพยาบาลพรหมคีรี อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช บทคัดย่อ การตั้งครรภ์และการคลอดในสตรีวัยรุ่นเป็นปัญหาในสังคมที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) โดยศึกษาแบบกลุ่มเดียววัดซ้ า (One-groups PrePosttest designs) เพื่อศึกษาโปรแกรมการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยแนวคิดการจัดการตนเอง โดยการสนับสนุนจากพยาบาลและครอบครัวส าหรับแม่วัยรุ่นต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยใช้ 1) คู่มือส าหรับพยาบาลในการส่งเสริมการเลี้ยงลุกด้วยนมแม่ 2) คู่มือส าหรับแม่วัยรุ่นหลังคลอด (Adolescent Mothers manual) กลุ่มตัวอย่างคือ แม่วัยรุ่นหลังคลอดจ านวน 30 คน วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ Paired t-test ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังได้รับโปรแกรม 6 เดือน แม่วัยรุ่นมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) และมี พฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างถูกต้องตามแบบประเมิน ร้อยละ 96.67 บทน า การตั้งครรภ์และการคลอดในสตรีวัยรุ่นเป็นปัญหาในสังคมที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง อัตราการคลอด บุตรของวัยรุ่น อายุ15 -19 ปีต่อสตรีวัยเดียวกัน 1,000 คน มีแนวโน้มสูงขึ้นมาเรื่อยๆ1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มารดาหลังคลอดบุตรคนแรกซึ่งไม่มีประสบการณ์ ท าให้ไม่มั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีการรับรู้อุปสรรค ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และมีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ถูกต้อง2 และพบว่ามารดาวัยรุ่นมีอัตรา เลี้ยงลูกด้วยนมแม่รวมทั้งระยะเวลาในการให้นมแม่สั้นกว่ามารดาวัยทั่วไป มีมารดาวัยรุ่นเพียงร้อยละ 17.00 เท่านั้นที่ให้นมแม่ต่อเนื่องจนถึง 6 เดือน นอกจากนี้มารดาวัยรุ่นหลังคลอดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากขาดการเตรียมความพร้อมในการเป็นมารดาจากวุฒิภาวะที่เปลี่ยนสถานะจาก วัยรุ่นมาเป็นมารดาที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น ขาดความมั่นใจในตนเองที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จากการ ทบทวนวรรณกรรมพบว่า การช่วยเหลือมารดาวัยรุ่นในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประสบผลส าเร็จและเกิด ประโยชน์สูงสุดทั้งมารดาและทารกนั้น ต้องมีการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องโดยบุคลากรทางด้านนมแม่3 และจาก การสนับสนุนของครอบครัวโดยส่งเสริมให้ครอบครัวมีบทบาทส าคัญในการสนับสนุนให้มารดาหลังคลอดเลี้ยง ลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน4 จากตัวชี้วัดของกระทรวงสาธารณสุข หญิงตั้งครรภ์ที่อายุน้อยกว่า 20 ปีไม่ควรเกินร้อยละ 10.00 แต่จากอัตราการตั้งครรภ์ในมารดาที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีของโรงพยาบาลพรหมคีรีย้อนหลัง 3 ปี (พ.ศ.2559-


155 2561) พบร้อยละ 25.86, 22.40, 14.45 ตามล าดับซึ่งเกินเกณฑ์ตัวชี้วัด และจากตัวชี้วัดการเลี้ยงลูกด้วยนม แม่อย่างเดียว 6 เดือนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50.00 เมื่อแยกเฉพาะแม่วัยรุ่นย้อนหลัง 3 ปี (พ.ศ.2551-2563) พบว่ามีอัตราร้อยละ 43.54, 43.75, 42.86 ตามล าดับซึ่งน้อยกว่าตัวชี้วัด ด้วยเหตุนี้เพื่อเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ในแม่วัยรุ่นอย่างเดียวนาน 6 เดือน ผู้วิจัยได้พัฒนาโปรแกรมการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ด้วยแนวคิดการจัดการตนเองในแม่วัยรุ่น โดยการสนับสนุนจากพยาบาลและครอบครัวมาประยุกต์ใช้ในการ ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยเน้นแนวคิดการจัดการตนเองโดยการสนับสนุนจากพยาบาลและครอบครัว ต่อพฤติกรรมกรรมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งให้สมาชิกภายในครอบครัวสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลมาก ขึ้น มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันส่งเสริมให้ครอบครัวเห็นความส าคัญและสนับสนุนให้มารดาหลังคลอดซึ่งเป็นแม่ วัยรุ่นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน วัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อพัฒนาโปรแกรมการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยแนวคิดการจัดการตนเอง โดยการ สนับสนุนจากพยาบาลและครอบครัวส าหรับแม่วัยรุ่นต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตัวชี้วัดคือ ภายหลัง ได้รับโปรแกรมครบ 6 เดือน แม่วัยรุ่นมีความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มมากขึ้น และมีพฤติกรรมการ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างถูกต้อง วิธีการศึกษา/การด าเนินงาน เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) โดยศึกษาแบบกลุ่มเดียววัดซ้ า (One-groups Pre-Posttest designs) ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ แม่วัยรุ่นหลังคลอด กลุ่ม ตัวอย่าง คือ แม่หลังคลอดที่มีอายุน้อยกว่า20 ปี เครือข่ายสุขภาพอ าเภอพรหมคีรีโดยก าหนดคุณสมบัติของ แม่วัยรุ่นหลังคลอดโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จ านวน 30 คน ไม่มีข้อห้ามในการเลี้ยงลูกด้วยนม แม่มีความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และยินดีเข้าร่วมในการวิจัย เป็นการประยุกต์แนวคิดการจัดการ ตนเองมาใช้ในการพัฒนาโปรแกรม ดังนี้ 1) ให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และการเตรียมความพร้อมในการเลี้ยง ลูกด้วยนมแม่ 2) ฝึกทักษะในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และมอบคู่มือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 3) สนับสนุนสมาชิก ในครอบครัว โดยสอนทักษะด้านการอุ้มทารกในท่าต่างๆ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือแม่วัยรุ่นหลังคลอดในการ ให้นมบุตรได้อย่างถูกต้อง 4) สร้างแรงจูงใจ โดยการติดตามเยี่ยมบ้านร่วมกับทีมรพ.สต.พร้อมแม่อาสาเดือนละ ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ก าลังใจแม่วัยรุ่นและสมาชิกในครอบครัวให้เกิดแรงจูงใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยศึกษาช่วงระหว่างเดือน เมษายน พ.ศ.2563 ถึงเดือน กันยายน พ.ศ.2563 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ได้แก่ อายุ สถานภาพสมรส ศาสนา อาชีพ รายได้ ระดับการศึกษา อาศัยอยู่กับใคร ความตั้งใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่าง เดียวนาน 6 เดือน ผู้ที่จะสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาชีพของสามี2) แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการ


156 เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเอง โดยใช้ค าถามเป็นแบบตอบใช่/ไม่ใช่ จ านวน 15 ข้อ ซึ่งค าถามจะ ครอบคลุมความรู้ ประโยชน์ และวิธีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การประเมินการได้รับนมแม่ ปัญหาที่พบในการ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 3) แบบประเมินพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยใช้ B-R-E-A-S-T FEEDING OBSERVATION FORM ที่สร้างโดยองค์การอนามัยโลก 2. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยแนวคิดการ จัดการตนเองในแม่วัยรุ่นโดยการสนับสนุนจากพยาบาลและครอบครัว ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาจากแนวคิดการ สนับสนุนจัดการตนเอง (Self–management support) และจากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องดังนี้คือ 1) คู่มือส าหรับพยาบาลในการส่งเสริมการเลี้ยงลุกด้วยนมแม่ 2) คู่มือส าหรับแม่วัยรุ่นหลังคลอด (Adolescent Mothers manual) การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ตรวจสอบความตรงของเนื้อหา ผู้วิจัยน าแบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คู่มือ ส าหรับพยาบาลในการส่งเสริมการเลี้ยงลุกด้วยนมแม่ และคู่มือส าหรับแม่วัยรุ่นหลังคลอด ตรวจสอบความตรง ของเนื้อหาและความเข้าใจของภาษาที่ใช้ในข้อค าถามในแต่ละข้อ โดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 5 ท่าน ประกอบ ด้วย แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป 2 ท่าน พยาบาลผู้เชี่ยวชาญสาขาการพยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน 3 ท่าน และได้ น ามาปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ จากนั้นน าไปทดลองใช้กับกลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่ม มารดาหลังคลอดที่ตั้งครรภ์ครรภ์แรกจ านวน 10 ราย และน าไปปรับปรุงก่อนน าไปใช้จริงกับกลุ่มทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ข้อมูลทั่วไปวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. ข้อมูลจากการประเมินความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของแม่วัยรุ่นและครอบครัว ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยแนวคิดการจัดการตนเองในแม่วัยรุ่นโดย การสนับสนุนจากพยาบาลและครอบครัว วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ Paired t-test ผลการศึกษา ภายหลังได้รับโปรแกรม 6 เดือน แม่วัยรุ่นมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่ม มากขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) และมีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนม แม่ได้อย่างถูกต้องตามแบบประเมิน ร้อยละ 96.67 สามารถน าโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้และเผยแพร่ให้กับ มารดาหลังคลอดรายอื่น ๆ เพื่อสร้างเจตคติทางบวกให้เกิดความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และสามารถ เป็นแนวทางในการพัฒนาบทบาทของพยาบาลและแม่อาสาในการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แบบเชิงรุกสู่ ชุมชนของเครือข่ายสุขภาพอ าเภอพรหมคีรีได้ต่อไป


157 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ เป็นข้อมูลสุขภาพของสถานบริการ ท าให้เข้าใจถึงสถานการณ์ปัญหาของกลุ่มวัยท างานที่มีภาวะเม ตาบอลิกซินโดรม อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วยให้ทีมเวชปฏิบัติชุมชนที่ดูแลกลุ่มโรคเรื้อรังใน หน่วยบริการปฐมภูมิ น าไปใช้ในการวางแผนการจัดการความเสี่ยง การวางแผนการรักษา การจัดกิจกรรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการส่งต่อไปพบแพทย์ เพื่อชะลอการด าเนินของโรค และอัตราการตายจาก ภาวะแทรกซ้อนของโรค และการวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพของชุมชนในปีต่อไป สามารถน า ผลการวิจัยที่ได้ไปใช้เป็นแนวทางในการทบทวนและออกแบบโปรแกรมการให้ความรู้เกี่ยวกับการออกก าลัง กาย การบริโภคอาหาร และการจัดการกับความเครียดในกลุ่มกลุ่มวัยท างานที่มีภาวะเมตาบอลิกซินโดรมได้ อย่างเหมาะสม รวม ทั้งขยายผลการศึกษาไปในพื้นที่ชุมชนอื่น อันเป็นกลไกส่วนหนึ่งที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ในการรักษา พยาบาลของภาครัฐ พร้อมทั้งลดโอกาสการทุพพลภาพและเสียชีวิตของประชาชนได้อีกด้วย อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษาพบว่าแม่วัยรุ่นหลังคลอดที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง มีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ อย่างถูกต้องตามแบบประเมินพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ B-R-E-A-S-T FEEDING OBSERVATION FORM ทุกราย แสดงว่า ครอบครัวมีส่วนส าคัญในการเสริมพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สอดคล้องกับ งานวิจัยผลของโปรแกรมการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยการสนับสนุนของครอบครัวต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาหลังคลอด4 และสอดคล้องกับการศึกษาของจิรา ภัทรภร และนฤมล 5 ที่พบว่า ปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคมมีผลต่อระยะเวลาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว ครบ 6 เดือนและการที่สมาชิกภายในครอบครัวได้ร่วมรับฟังความรู้วิธีการและแนวทางปฏิบัติในการส่งเสริม การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ร่วมกัน ท าให้ครอบครัวเข้าใจและเปิดโอกาสให้มารดาหลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ อย่างเต็มทึ่6 นอกจากนี้การมีบุคคลในครอบครัวและบุคลากรทางสุขภาพ ช่วยเหลือและสนับสนุนในการเลี้ยง บุตรด้วยนมมารดา เป็นปัจจัยที่ท าให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาส าเร็จ7 ซึ่งรูปแบบการให้ความรู้เป็นรายบุคคล โดยการเยี่ยมบ้านและให้ค าปรึกษาทางโทรศัพท์ มีผลต่อระยะเวลาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และพฤติกรรม เกี่ยว กับการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา8 ข้อเสนอแนะ ควรน าโปรแกรมการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยแนวคิดการจัดการตนเองและการ สนับสนุนจากครอบครัว ไปศึกษาในกลุ่มมารดาหลังคลอดกลุ่มอื่นๆ โดยศึกษาในลักษณะการวิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มเติมประเด็นที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป


158 เอกสารอ้างอิง สุสัณหา ยิ้มแย้ม, ปานจันทร์คนสูง. การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในแม่วัยรุ่น. พยาบาลสาร. 2562; 46(1): 232-42. สุจิตรา ยวงทอง, วิไลพรรณ สวัสดิ์พาณิชย์, วรรณี เดียวอิศเรศ. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการเลี้ยง ลูกด้วยนมแม่ส าหรับมารดาหลังคลอดบุตรคนแรกต่อระยะเวลาและพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา. 2555;7(2):100-115. มาลีวัล เลิศสาครศิรฺ. การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด : บทบาทพยาบาล และครอบครัว. วารสารการพยาบาลและการศึกษา. 2562;12(1):1-13. อัญญา ปลดเปลื้อง, อัญชลีศรีจันทร์, สัญญา แก้วประพาฬ. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่โดยการสนับสนุนของครอบครัว ต่อความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ของมารดาหลังคลอด. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2559;11(2): 41-52 จิรา ขอบคุณ, ภัทรภร สฤษชสมบัติ, นฤมล ขุริรัง. ปัจจัยที่มีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว ครบ 6 เดือน. 2553. เข้าถึงได้จาก http://www. bcnnv.ac.th/80bcnnv/ 80%20pee/ Abstract_ Full%20text/O.57. pdf (ค้นข้อมูล 20 ธันวาคม 2562) ขนิษฐา เมฆกมล, จรัญญา ดีจะโปะ, ชญาดา เนตรกระจ่าง. ผลของการส่งเสริมการเลี้ยงลูก ด้วยนม แม่โดยเน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลางต่อความรู้ทัศนคติของมารดาหลังคลอดและ ครอบครัวและอัตรา การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี. 2556;24(2):47-59. เปรมฤดี ศรีวิชัย, พรนภา สุริยะไชย. ความส าเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียว ในมารดา วัยรุ่น 6 เดือนแรกหลังคลอด ที่โรงพยาบาลพะเยา. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี. 2558;26(1):17-24. พัชรินทร์ เงินทอง, กรรณิการ์ กันธะรักษา, และนงลักษณ์เฉลิมสุข. การให้ความรู้ต่อการเลี้ยงบุตร ด้วยนมมารดาในมารดาวัยรุ่น: การทบทวนอย่างเป็นระบบ. พยาบาลสาร. 2558;42(พิเศษ):57-68.


159 ผลของโปรแกรม 3อ 2ส.และพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของกลุ่มเสี่ยง โรคเบาหวาน ต าบลตาอุด อ าเภอขุขันธ์จังหวัดศรีสะเกษ รุจิรา อ าพันธ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านคลองกลาง จังหวัดศรีสะเกษ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาผลของโปรแกรม 3อ 2ส. และพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ต าบลตาอุด อ าเภอขุ ขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานจากการเจาะเลือดคัดกรองเบาหวานใน ปีงบประมาณ 2563 จ านวน 80 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม แบ่งกลุ่มด้วยวิธีสุ่ม อย่างง่าย (Sample Random Sampling) โดยที่กลุ่มกลุ่มทดลองได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย โปรแกรม 3อ 2ส. กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ ประเมินผลลัพธ์ระดับน้ าตาลในเลือดก่อนและหลังการ ทดลองครบ 12 สัปดาห์ ระยะเวลาการด าเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนเมษายน พ.ศ.2563 ถึงวันที่ 31 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2563 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และเชิงอนุมาน ด้วยสถิติทดสอบ Independent t-test และ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่าภายหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 12 กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของระดับน้ าตาล ในเลือดลดลงจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p <0.001 (95%CI=10.661-16.589 ) ส่วนกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยระดับน้ าตาลในเลือดแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติp=0.41(95%CI=-3.292- 7.892 ) ระดับน้ าตาลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังการทดลองพบว่า กลุ่มทดลองมีระดับน้ าตาลใน เลือดแตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p <0.001(95%CI=-14.755--7.745 ) ส่วนด้านพฤติกรรมพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรม แตกต่างจากก่อนทดลอง อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p <0.001(95%CI=10.422-12.978 ) กลุ่มควบคุมพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมแตกต่างจากก่อนทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p=0.017 (95%CI=0.312-2.938 ) พฤติกรรมระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ย ด้านพฤติกรรมแตกต่างกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p <0.001 (95%CI=6.866-9.184 ) จากผลการวิจัยพบว่าการใช้โปรแกรม 3อ 2ส.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อ การเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานมีผลท าให้ระดับน าตาลในเลือดลดลง ดังนั้นจึงควรมีการขยาย ผลไปยังผู้ป่วยในพื้นที่อื่นต่อไป บทน า สถานการณ์โรคเบาหวานทั่วโลกมีผู้ป่วยจ านวน 463 ล้านคน และคาดการณ์ว่า ในปี 2588 จะมี ผู้ป่วยเบาหวานจ านวน 629 ล้านคน ส าหรับประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนคนต่อปี และมีผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระบบทะเบียน 3.2 ล้านคน ของกระทรวงสาธารณสุข ก่อให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาด้านสาธารณสุขอย่างมหาศาล


160 เฉพาะเบาหวานเพียงโรคเดียวท าให้สูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเฉลี่ยสูงถึง 47,596 ล้านบาทต่อปี (กรม ควบคุมโรค,2564) จังหวัดศรีสะเกษ พบข้อมูลผู้ป่วยโรคเบาหวาน 5 ปีย้อนตั้งแต่ ปีงบประมาณ 2559 ถึงปี 2563 จ านวน 9,015, 9,266, 9,969 ,10,452 และ 11,358 ตามล าดับ(ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ,2563) ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลเฝ้าระวังโรค สถานการณ์โรคเบาหวานต าบลตาอุด อ าเภอขุขันธ์ จังหวัด ศรีสะเกษ ในปีงบประมาณ 2563 ต าบลตาอุด มีพื้นที่รับผิดชอบ 9 หมู่บ้าน ประชากรในความรับผิดชอบ 5,637 คน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ผู้ป่วยเบาหวานในพื้นที่ 145คน (ส านักงานสาธารณสุข อ าเภอขุขันธ์,2563) ซึ่งมีแนวโน้มที่สูงขึ้น และมักจะพบผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกพบว่าประชากรอายุ 35ปีขึ้นไป มีเส้นรอบพุงเกิน 9.3 ล้านคน และ เป็นโรคอ้วนลงพุง 6 ล้านคน โรคอ้วนลงพุง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไม่ติดต่อที่เป็นปัญหาสาธารณสุขใน ปัจจุบัน ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือด สมอง เป็นต้น หลักส าคัญของการลดอ้วน ลดพุง ท าได้โดยใช้หลัก 3อ. คือ การควบคุมอารมณ์ ควบคุมอาหาร และขยันออกก าลังกาย 2ส.คือ ไม่ดื่มสุรา และไม่สูบบุหรี่ (เพชราภรณ์ เอี่ยมรัตน์,2558) จากสภาพปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน และเศรษฐกิจที่มีผลกระทบ มากเมื่อเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคเบาหวาน และแนวทางในการป้องกันการป่วยด้วยโรคเบาหวานของประชาชน กลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรคเบาหวาน ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะท าการศึกษาเรื่องผลของโปรแกรม 3อ 2ส.และพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ต าบลตาอุด อ าเภอขุขันธ์จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อหาแนวทางการป้องกันและควบคุมการป่วยด้วยโรคเบาหวานของ ประชาชนที่มีความเสี่ยงไม่ให้ป่วยด้วยโรคเบาหวาน และเพื่อให้วางแผนด าเนินงานป้องกันควบคุม โรคเบาหวานให้เกิดประสิทธิภาพและประสบความส าเร็จต่อไป วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรม 3อ 2ส. และพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของ กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ต าบลตาอุด อ าเภอขุขันธ์จังหวัดศรีสะเกษ วิธีการศึกษา รูปแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง โดยแบ่งกลุ่มศึกษาออกเป็น 2 กลุ่ม โดยก าหนดเป็นกลุ่ม ทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก 3อ.2ส. กลุ่ม เปรียบเทียบไม่ได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก 3อ. 2ส. เก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลอง โดยเครื่องมือชุดเดียวกัน และมีการทดลองใช้โปรแกรมนาน 12 สัปดาห์


161 ขอบเขตของการวิจัย 1.ขอบเขตด้านเนื้อหา ผู้วิจัยได้ท าการศึกษาผลของโปรแกรม 3อ 2ส. และพฤติกรรมสุขภาพต่อการ ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ต าบลตาอุด อ าเภอขุขันธ์จังหวัดศรีสะเกษ 2.ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรคือ เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานจากการเจาะเลือดคัดกรองเบาหวานในปีงบประมาณ2563 จ านวน 80 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง จ านวน 40 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ จ านวน 40 คน แบ่งกลุ่มด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling) โดยที่กลุ่มกลุ่มทดลองได้รับการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมด้วยโปรแกรม 3อ 2ส. จ านวน 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง และเครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก 3อ.2ส. ของ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ต าบลตาอุด อ าเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อหาประกอบด้วยความรู้ ความเข้าใจทางสุขภาพที่ถูกต้อง การส่งเสริมสุขภาพสร้างขึ้นโดยอาศัยแนวคิด ทฤษฎีจากต าราเกี่ยวกับการ ปรับพฤติกรรมสุขภาพ ประกอบด้วย แผ่นพับ สไลด์ประกอบการบรรยาย วีดีทัศน์ ตัวอย่าง การให้ค าแนะน า แบบมีส่วนร่วม การสนทนากลุ่มเกี่ยวกับเรื่องการรับประทานอาหาร กิจกรรมการสาธิตและสาธิตย้อนกลับการ ออกก าลังกาย น าเสนอตัวอย่างอาหารที่ถูกต้อง น าเสนอวิธีการผ่อนคลายความเครียด และน าเสนอวิธีการ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มสุรา การสนทนากลุ่ม การซักถาม และการให้คู่มือ เสริมความรู้ร่วมกับการบันทึก พฤติกรรมสุขภาพ 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับคุณลักษณะส่วนบุคคล จ านวน 6 ข้อ ประกอบด้วย เพศ อายุระดับ การศึกษา สถานภาพ รายได้ อาชีพ ส่วนที่ 2 พฤติกรรมสุขภาพตามแนวทาง 3อ.2ส. จ านวน 20 ข้อ โดยมีลักษณะค าถามเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับมีเกณฑ์การแปลผลดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 0.00–1.00 หมายถึง พฤติกรรมระดับต่ า คะแนนเฉลี่ย 1.01–2.00 หมายถึง พฤติกรรมระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 2.01-3.00 หมายถึง พฤติกรรมระดับสูง การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองในแต่ละขั้นตอน โดยด าเนินการ ดังนี้ 1. ผู้วิจัยพบกลุ่มตัวอย่างก่อนด าเนินการทดลอง เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยขั้นตอนการ ด าเนินการวิจัย ระยะเวลาในการท าวิจัย และชี้แจงการพิทักษ์สิทธิ และลงนามในการตอบรับหรือการปฏิเสธ การเข้าร่วมการวิจัยในครั้งนี้


162 2.ผู้วิจัยด าเนินการเก็บข้อมูล โดยเก็บข้อมูลก่อนการทดลองในสัปดาห์แรก ให้กลุ่มตัวอย่างตอบ แบบสอบถามทั้ง 2 ส่วน คือ ข้อมูลส่วนบุคคล และพฤติกรรม จากนั้นด าเนินการทดลองซึ่งมีระยะเวลาทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ โดยกลุ่มตัวอย่างจะได้รับโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ซึ่งมีรายละเอียดของ กิจกรรมในโปรแกรมดังนี้ ครั้งที่ 1 (สัปดาห์ที่ 1) สร้างสัมพันธภาพ เพื่อจัดระบบความคิด และความเชื่อ เน้นกิจกรรมการ สร้างเสริมความรู้ และภาวะแทรกซ้อนจากพฤติกรรมสุขภาพ การให้ความรู้โดยใช้สไลด์ประกอบการบรรยาย การชมวีดีทัศน์ การเสนอตัวอย่าง การให้ค าแนะน าแบบมีส่วนร่วม การสนทนากลุ่มเกี่ยวกับเรื่องการ รับประทานอาหาร การออกก าลังกาย อารมณ์ บุหรี่ และแอลกอฮอล์ การซักถาม และการให้คู่มือเสริมความรู้ ร่วมกับการบันทึกพฤติกรรมสุขภาพ ครั้งที่ 2 (สัปดาห์ที่ 2) กิจกรรมการสาธิตและสาธิตย้อนกลับการออกก าลังกาย และการสนทนา กลุ่ม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ครั้งที่ 3 (สัปดาห์ที่ 3) น าเสนอตัวอย่างอาหารที่ถูกต้อง น าเสนอวิธีการผ่อนคลายความเครียด และน าเสนอวิธีการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มสุรา รวมทั้งการสนทนากลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ครั้งที่ 4 (สัปดาห์ที่ 12) ระยะหลังการทดลอง เมื่อสิ้นสุดครั้งที่ 3 (สัปดาห์ที่ 3) กลุ่มตัวอย่าง ได้รับประเมินหลังการทดลองโดยตอบแบบสอบถามทั้ง 2 ส่วน คือความรู้เกี่ยวกับโรคที่เกิดจากพฤติกรรม สุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ซึ่งเป็นชุดเดียวกับก่อนการทดลอง ส าหรับระยะติดตามผลในช่วง สัปดาห์ที่ 12 3.เก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัยโดยใช้แบบทดสอบ และแบบประเมินพฤติกรรมเช่นเดียวกับก่อนการ ใช้โปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics)และสถิติเชิงอนุมานด้วยสถิติ ทดสอบ Independent t-test และ Paired t-test ผลการวิจัย 1. ข้อมูลทั่วไป กลุ่มทดลอง ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 77.42 มีอายุระหว่าง 50 - 59 ปี ร้อยละ 38.71 การศึกษาสูงสุดระดับประถมศึกษา ร้อยละ 64.52 สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 90.32 มีอาชีพเป็นเกษตรกร ร้อยละ 38.71 มีรายได้อยู่ระหว่าง 5,001 – 10,000 บาท/เดือน ร้อยละ 48.39 กลุ่มเปรียบเทียบส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง ร้อยละ 65.45 มีอายุระหว่าง 40 - 49 ปี ร้อยละ 40.68 การศึกษาสูงสุดระดับประถมศึกษา ร้อยละ 70.62 สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 89.42 มีอาชีพเป็นเกษตรกร ร้อยละ 43.61 มีรายได้อยู่ระหว่าง 5,001 – 10,000 บาท/เดือน ร้อยละ 50.62


163 2. ผลการวิจัยพบว่าภายหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 12 กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของระดับน้ าตาลใน เลือดลดลงจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p< 0.001( 95%CI = 25.56 − 33.64 ) ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ยระดับน้ าตาลในเลือดไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p= 0.28 ( 95% = 0.19 − 3.11) และระดับน้ าตาลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังการ ทดลองพบว่า กลุ่มทดลองมีระดับน้ าตาลในเลือดแตกต่างจากกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ p< 0.001( 95% = 22.03 − 29.76) 3. ด้านพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของกลุ่มทดลอง พบว่ากลุ่มทดลอง ก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรม แตกต่างจากก่อนทดลอง อย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ p< 0.001( 95% = 2.11 − 2.88) กลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังการทดลองกลุ่ม ควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมแตกต่างจากก่อนทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p= 0.04, (95% = 0.006 − 0.394) ส่วนพฤติกรรมระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมแตกต่างกับกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p< 0.001( 95% = 1.34 − 2.35) การน าไปใช้ประโยชน์ สามารถน าโปรแกรม3อ 2ส. ไปขยายผลใช้ในกลุ่มเป้าหมายพื้นที่อื่นได้ อภิปรายผล จากการศึกษาผลของโปรแกรม 3อ 2ส. และพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด ของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ต าบลตาอุด อ าเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า โปรแกรมปรับเปลี่ยน พฤติกรรมตามหลัก 3อ 2ส. สามารถท าให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในทางที่ดีขึ้น และพบว่ากลุ่ม ทดลองมีค่าเฉลี่ยของระดับน้ าตาลในเลือดลดลงจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p < 0.001( 95% = 25.56 − 33.64 ) ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของดารณี ทองสัมฤทธิ์, เยาวลักษณ์ มีบุญ มาก และกนกวรรณ บริสุทธิ์ (2560) ที่ศึกษาผลของการใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อ ความสามารถในการดูแลตนเองของ กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานในต าบลวัดเพลง อ าเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี พบว่าหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับน้ าตาลในเลือด (DTX) น้อยกว่าก่อนการทดลอง อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติp < .01 (t = 12.300) ส่วน. ด้านพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของ กลุ่มทดลอง พบว่ากลุ่มทดลอง ก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรม แตกต่าง จากก่อนทดลอง อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ p< 0.001( 95% = 2.11 − 2.88) ซึ่งสอดคล้องกับ การศึกษาของ นวลนิตย์ ไชยเพชร (2560) ที่ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อ พฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังชุมชนโพหวาย ต าบลบางกุ้ง อ าเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ ธานีพบว่าพฤติกรรมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หลังเข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ< 0.05


164 ข้อเสนอแนะ 1.ควรมีการศึกษาติดตามระยะยาวในการติดตามพฤติกรรมสุขภาพเพื่อเป็นการ ประเมินประสิทธิผล ของโปรแกรม 3อ 2ส.และพฤติกรรมสุขภาพ 2.ในการท าวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษารูปแบบอื่นที่สามารถช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยง โรคเบาหวานมีผลท าให้ระดับน าตาลในเลือดลดลง เอกสารอ้างอิง ดารณี ทองสัมฤทธิ์, เยาวลักษณ์ มีบุญมาก และกนกวรรณ บริสุทธิ์. (2560).ผลของการใช้โปรแกรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อความสามารถในการดูแลตนเองของ กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานในต าบล วัดเพลง อ าเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 28(1), 26- 37. นวลนิตย์ ไชยเพชร, อุดมศิลป์ แก้วกล่ า, สิทธิพงษ์ สอนรัตน์ และยุวดี วิทยพันธ. (2560). ประสิทธิผล ของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อ พฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ชุมชนโพหวาย ต าบลบางกุ้ง อ าเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีNon Communicable Diseases (NCD’s) High Risk Patients: Effectiveness of a Health Behaviors Changing Programs on Health Behavior in Suratthani. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 4(2), 45-59. เพชราภรณ์ ค าเอี่ยมรัตน์. (2558). ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองตาม หลัก 3อ.2ส. ของประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ต าบลทุ่ม อ าเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ. วารสาร วิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 8(3), 4-10. ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ. (2563). สรุปผลงานประจ าปี 2563. ศรีสะเกษ: ส านักงาน. (เอกสารอัดส าเนา). ส านักงานสาธารณสุขอ าเภอขุขันธ์. (2563). สรุปผลงานประจ าปี 2563. ศรีสะเกษ: ส านักงาน. (เอกสารอัดส าเนา). อติญาณ์ ศรเกษตริน, รุ่งนภา จันทรา, รสติกร ขวัญชุม และลัดดา เรืองด้วง. (2560). ผลของ โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามแนวทาง 3อ.2ส. ของอาสาสมัครสาธารณสุข ประจ า หมู่บ้าน (อสม.)ต.คลองฉนาก อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการ สาธารณสุขภาคใต้, 4(1), 253-264.


165 รูปแบบบริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยประยุกต์ใช้แนวคิดแบบลีน โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม สุรศักดิ์ กุณโฮง โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม บทคัดย่อ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในทุกภูมิภาคทั่วโลก ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 ประเทศไทยได้เข้าสู่การระบาดระลอกใหม่ โรงพยาบาลกันทรวิชัยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มารับบริการ จ านวนมาก เกิดความแออัดเนื่องจากมีขั้นตอนให้บริการหลายขั้นตอน ส่งผลให้หน่วยงานต้องมีการ ปรับเปลี่ยนการให้บริการเพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนารูปแบบบริการและอุปสรรคการให้บริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19โดยประยุกต์ใช้แนวคิดแบบ ลีน (2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลกันทรวิชัย รูปแบบเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการกลุ่มตัวอย่างคือผู้รับบริการจ านวน 174 คน และผู้ให้บริการจ านวน 21 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย ระหว่าง เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 – เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 กระบวนการพัฒนา 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะเตรียมการ เก็บข้อมูลระยะเวลาบริการและความพึงพอใจผู้รับบริการ 2) ระยะพัฒนา รูปแบบ โดยใช้เครื่องมือลีนก าจัดความสูญเปล่า และออกแบบระบบการให้บริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโค วิด-19 โรงพยาบาลกันทรวิชัย 3) ระยะทดลองใช้รูปแบบและประเมินผล เครื่องมือวิจัยได้แก่ 1) แนวคิดแบบ ลีน ได้แก่ แนวคิด DOWTIME เครื่องมือ ECRS (Eliminate, Combine, Rearrange, Simplify) 2) แบบ บันทึกเวลา 3)แบบสอบถามความพึงพอใจผู้รับบริการ น าเสนอด้วยค่าค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา 1) ลดขั้นตอนจาก 13 ขั้นตอน เหลือ 4 ขั้นตอน 2)ระยะเวลาการรับบริการ เฉลี่ยจาก 124.65 นาที ลดลงเหลือ 38.65 นาที 3)ความพึงพอใจภาพรวมผู้รับบริการระดับมาก สรุปผล การศึกษา : การประยุกต์ใช้แนวคิดแบบลีนในการพัฒนารูปแบบบริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลกันทรวิชัย สามารถลดขั้นตอน ลดระยะเวลาบริการ เพิ่มความพึงพอใจ และเพิ่มคุณภาพการบ บริการได้ ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้ 1.ประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบบริการในหน่วยงาน อื่น ๆ ที่มีปัญหาความแออัด และระยะเวลารอคอยนาน 2.ควรมีการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและDigital Lean ที่ตอบสนองคุณภาพบริการของผู้รับบริการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความแออัดในโรงพยาบาล บทน า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) หนึ่งในตระกูล โคโรนาไวรัส เช่น ซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome: SARS) ที่เคยเกิดการระบาดใน เอเชียปี ค.ศ. 2002 และเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome: MERS) ที่เคยเกิดระบาด ในตะวันออกกลางเมื่อปี ค.ศ. 2012 ซึ่งทั้งซาร์ส และเมอร์สเป็นโรคที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ที่ท าให้มีผู้เสียชีวิตจ านวนมาก โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุ คือ เชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นเชื้อตระกูลเดียวกัน กับโควิด 19 ที่สามารถติดต่อเข้าสู่คน ผ่านทางการไอ จาม สัมผัส


166 โดยตรงกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ ามูก น้ าลาย จากการศึกษาการติดเชื้อจากไวรัส พบว่า คนติดเชื้อคนหนึ่ง จะสามารถแพร่เชื้อไป ให้คนอื่นได้ประมาณ 2- 6 คน ในเดือนมกราคม พ.ศ.2565 ประเทศไทยได้เข้าสู่การระบาดระลอกใหม่ โรงพยาบาลกันทรวิชัยมีผู้ ติดเชื้อโควิด-19 มารับบริการจ านวนมาก เกิดความแออัดเนื่องจากมีขั้นตอนให้บริการหลายขั้นตอน ส่งผลให้ หน่วยงานต้องมีการปรับเปลี่ยนการให้บริการเพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น แนวคิดแบบลีน เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่มีการน าประยุกต์ใช้ในระบบบริการสุขภาพเพื่อสร้างระบบการ ดูแลสุขภาพให้มีความชัดเจน ลดความสูญเปล่าในการบริการ และจัดบริการรักษาพยาบาลได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม โดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า พอเพียง และมีทิศทางที่ท าให้บรรลุเป้าหมายในการ ดูแลรักษาด้านสุขภาพ หลักการของระบบลีนมี 5 ประการ 1) ระบุคุณค่า (value) 2) สร้างกระแสคุณค่า (value stream)ในทุกๆ ขั้นตอนการบริการ 3) ท าให้กิจกรรมต่างๆ ที่มีคุณค่าเพิ่มสามารถด าเนินไปได้อย่าง ต่อเนื่องโดยปราศจากการติดขัด 4) ระบบดึง (pull) โดยให้ความส าคัญเฉพาะสิ่งที่ผู้รับบริการต้องการเท่านั้น 5) สร้างคุณค่าและก าจัดความสูญเปล่า (perfection) โดยค้นหาส่วนเกินที่ถูกซ่อนไว้ซึ่งเป็นความสูญเปล่าทั้ง 8 ชนิด และก าจัดออกไปอย่างต่อเนื่อง วัตถุประสงค์ 1. พัฒนารูปแบบบริการและอุปสรรคการให้บริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19โดยประยุกต์ใช้ แนวคิดแบบลีน 2. เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลกันทร วิชัย วิธีการศึกษา/การด าเนินงาน รูปแบบเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างคือผู้รับบริการจ านวน 174 คน และผู้ให้บริการ จ านวน 21 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย ระหว่าง เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 – เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 กระบวนการพัฒนา 3 ระยะ 1) ระยะเตรียมการ ท าหนังสือขออนุญาตท าวิจัยต่อผู้อ านวยการโรงพยาบาลกันทรวิชัย พัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ชี้แจงผู้ที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลก่อนการพัฒนา โดย แจก แบบสอบถามความพึงพอใจ และเก็บระยะเวลาการใช้บริการของผู้ป่วยโควิด-19 โดยใช้แบบบันทึกเวลาใช้ บริการ แล้วน ามาวิเคราะห์ผล 2) ระยะพัฒนารูปแบบ ให้ความรู้เรื่องแนวคิดแบบลีนแก่ทีมผู้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 วิเคราะห์ความ สูญเปล่าโดยใช้แนวทาง DOWTIME ใช้เครื่องมือลีนก าจัดความสูญเปล่าร่วมกับการจัดการเข้ากับ Digital Lean ผ่าน Mobile Application พร้อมทั้งออกแบบระบบการบริการใหม่เขียนแผนผัง น าเสนอผู้บริหาร และ ชี้แจงแนวทางปฏิบัติร่วมกันในทีมผู้ให้บริการ


167 3) ระยะทดลองใช้รูปแบบและการประเมินผลด าเนินการทดลองใช้รูปแบบบริการเจอแจกจบ ส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยประยุกต์ใช้แนวคิดแบบลีน แจกแบบสอบถามความพึงพอใจ และเก็บระยะเวลารอ คอยการใช้บริการของผู้ป่วยโควิด-19 โดยใช้แบบบันทึกเวลาใช้บริการ รวบรวมแบบสอบถามความพึงพอใจ เพื่อน าไปวิเคราะห์และรายงานผลแจก ผลการศึกษา 1) ลดขั้นตอนจาก 13 ขั้นตอน เหลือ 4 ขั้นตอน 2) ระยะเวลาการรับบริการเฉลี่ยจาก 124.65 นาที ลดลงเหลือ 38.65 นาที 3) ความพึงพอใจภาพรวมผู้รับบริการระดับมาก ภาพที่ 1 แผนผังการบริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19ก่อนประยุกต์ใช้แนวคิดแบบลีน ภาพที่ 2 แผนผังการบริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19หลังประยุกต์ใช้แนวคิดแบบลีน อภิปรายผล รูปแบบบริการเจอแจกจบส าหรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยการประยุกต์ใช้แนวคิดแบบลีน โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ลดขั้นตอนการให้บริการ ลดระยะเวลา การใช้บริการ เพิ่มความพึงพอใจภาพรวมของผู้รับบริการจากระดับปานกลางเป็นระดับมาก ซึ่งสอดคล้องกับ การศึกษาของ เกตนิภา สนมวัฒนะวงศ์ (2553) ได้น าการจัดการแบบลีนประยุกต์ใช้ ในการพัฒนารูปแบบการ จัดการการรับใหม่ผู้ป่วยอายุรกรรม งานผู้ป่วยใน 2 โรงพยาบาลท่าตะโกจังหวัดนครสวรรค์พบว่าสามารถลด ระยะเวลาในการรับผู้ป่วยใหม่ จากเวลา 59.82 นาที เหลือ 48.79 นาที คัดกรอง ท าบัตร ส่งบัตรมาแผนก ลงทะเบียน แจ้งผล ATK ซักประวัติ CxR พบแพทย์ ยื่นใบสั่งยา จัดยา รับ ค าแนะน า จ่ายยา ผู้รับบริการแสดงผล ตรวจ ท าบัตรและลงทะเบียน ผู้ป่วยรายใหม่ CxR ATK หรือ พบแพทย์ จ่ายยาและรับ ค าแนะน า


168 ข้อเสนอแนะ 1. ประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบบริการในหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีปัญหาความแออัด และ ระยะเวลารอคอยนาน 2. ควรมีการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและ Digital Lean ที่ตอบสนองคุณภาพบริการของ ผู้รับบริการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความแออัดในโรงพยาบาล เอกสารอ้างอิง กรมการแพทย์. (2564). แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(cpg). สืบค้น 10 เมษายน 2565, จาก https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/g_health_care/g04_CPG170464.pdf จริยาวัตร คมพยัคฆ์, และวนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย.การพยาบาลอนามัยชุมชน: แนวคิด หลักการ และการ ปฏิบัติการพยาบาล. สมุทรปราการ: โครงการส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ; 2553. ชนาภา ชาติมนตรี. การใช้แนวคิดลีนในการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาล: กรณีศึกษาโรงพยาบาล ตติยภูมิ.วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพยาบาล จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย; 2554. เกตนิภา สนมวัฒนะวงศ์. การจัดการแบบลีนประยุกต์ใช้ในการพัฒนารูปแบบการจัดการ การรับใหม่ ผู้ป่วยอายุรกรรม งานผู้ป่วยใน 2 โรงพยาบาลท่าตะโกจังหวัดนครสวรรค์. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสต รมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพยาบาล.บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2553.


169 ประสิทธิผลโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(Caregiver) อ าเภอเมือง จังหวัดหนองบัวล าภู The Effectiveness of Competency Development among Caregiver Taking Care program the Elderly with Dependency, Muang District, Nong Bua Lamphu Province เยาวภา สีดอกบวบ, พะเยา พรมดี,ขวัญจิต คงพุฒิคุณ ศูนย์ประสานการดูแลต่อเนื่องกลุ่มงานการพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลหนองบัวลําภู บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(Caregiver) อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู โดยใช้โปรแกรมหลักสูตรอบรมพัฒนา สมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ปรับปรุงพัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมกิจกรรม คือผู้ดูแลผู้สูงอายุ ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุจํานวน 70 ชั่วโมงของกรมอนามัยจํานวน 93 คน คัดเลือกแบบ เฉพาะเจาะจง ดําเนินการวิจัย 4 ระยะ คือ ระยะการวางแผน ระยะปฏิบัติการ ระยะสังเกตผลการปฏิบัติงาน และระยะ ที่ 4 การปรับปรุงระบบและส่งต่อผลลงโปรแกรมให้พื้นที่/ชุมชน ระยะเวลาดําเนินการ 7 เดือน ระหว่างเดือนมีนาคม พ.ศ.2564 ถึงเดือน กันยายน พ.ศ.2564 เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินความรู้ ทัศนคติ และทักษะการปฏิบัติในการดูแลผู้สูงอายุทีมีภาวะพึ่งพิง ก่อนและหลังพัฒนาสมรรถนะ 1 เดือน และเก็บข้อมูล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่บ้าน จํานวน 49 คน เกี่ยวกับ (Barthel Activities of Daily Living : ADL) ภาวะแทรกซ้อน แผลกดทับ และข้อติดก่อนและหลังโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการเปรียบเทียบ ประสิทธิผลก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมพัฒนา ผลการศึกษาพบว่าผู้ดูแลผู้สูงอายุมีด้านทักษะทั้ง 8 ด้านเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติและมีค่าเฉลี่ยและระดับความรู้เพิ่มจากเดิม 13.4(±1.8) คะแนนเป็น 15.0(±2.0) ส่วนคะแนนด้านทัศนะคติ ไม่พบความแตกต่าง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากจัดโปรแกรมการพัฒนา สมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ปรับปรุงพัฒนาขึ้น โดยการมีส่วนร่วมของทีมสหวิชาชีพ โรงพยาบาล หนองบัวลําภู สามารถเพิ่มระดับความรู้เพิ่มจากเดิม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้น จากเดิมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติรวมถึงเพิ่มพูนทักษะทั้ง 8 ด้านอย่างมีนัยยะสําคัญทางสถิติการวิจัยครั้งนี้มี ข้อเสนอแนะ ควรมีการจัดกิจกรรมในแผนพัฒนาสมรรถนะในการดูแลผู้สูงอายุและกลุ่มวัยอื่นๆที่มีภาวะพึ่งพิง รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้กลุ่มจิตอาสาเหล่านี้ อย่างต่อเนื่องต่อไป ค าส าคัญ: โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะ, ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง Caregiver: CG บทน า คาดว่าภายในปี 2568 ไทยจะก้าว สู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) และพบว่า มี ผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ร้อยละ 85.0 หรือ 6 ล้านคน ดูแลตนเองได้ อีกร้อยละ 15 หรือ 1 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุ ที่มีภาวะพึ่งพิงคนอื่น มีโรคเรื้อรัง ส่วนใหญ่สายตาไม่ดี มองเห็นไม่ชัดเจน(2) ปัญหาจากการเจ็บปุวยด้วยโรคไม่ ติดต่อเรื้อรังควบคู่ไปกับการเสื่อมโทรมทั้งร่างกายและจิตใจ ความสามารถในการดูแลตนเองเพื่อประกอบ กิจวัตรประจําวัน (Activity of daily living-ADL) ลดลง เกิดภาวะทุพลภาพ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องมีผู้ดูแลช่วยการทํากิจกรรมต่างๆ เช่น อาบน้ํา แต่งตัว รับประทานอาหาร การใช้ห้อง สุขา เป็นต้น ทําให้ ต้องพึ่งพาบุคคลอื่นในการดูแลตนเอง(3) จากสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ภาวะพึ่งพิง (กลุ่ม ติดบ้าน ติดเตียง) คะแนนประเมินความสามารถในการดําเนินชีวิตประจําวันตามดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL index) เท่ากับ หรือน้อยกว่า 11 คะแนน จะได้รับบริการด้านสาธารณสุขตามชุดสิทธิประโยชน์ จึงเกิดข้อตกลงดําเนินงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนการดําเนินงานและงบประมาณเรื่องการจัดระบบการดูแลระยะ


170 170 ยาวด้านสาธารณสุขสําหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care) แบบบูรณาการของหน่วยบริการใน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งได้รับการดูแล จากรายงานสถานการณ์ ผู้สูงอายุอําเภอเมืองหนองบัวลําภู(4) โดยการประเมินความสามารถในการทํากิจวัตรประจําวัน ปีงบประมาณ 2561,2562 และ2563 พบผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดบ้าน 428, 259 และ428 เป็นกลุ่มติดเตียง 50 ,54 และ 60(5) พบว่า เป็นกลุ่มที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว มีภาวะโรคเรื้อรัง มีภาวะติดเตียงได้รับการดูแลคาอุปกรณ์ รวมทั้งต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นในการดูแลที่บ้าน เจ็บปุวยรุนแรงหรืออยู่ในระยะท้ายของชีวิต(6,7) และส่วนใหญ่ยังพบปัญหามีผู้ดูแลหลักในครอบครัว เครือข่ายบริการสุขภาพอําเภอเมืองหนองบัวลําภูจึง เล็งเห็น มีความตระหนักถึงความสําคัญของปัญหาผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีโรคประจําตัวและมีภาวะพึ่งพิง จึงมีการ ทํางานแบบมีส่วนร่วมในรูปแบบการดําเนินงานของศูนย์ประสานการดูแลต่อเนื่อง และทีมสหวิชาชีพ โรงพยาบาลหนองบัวลําภูร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพอําเภอเมืองทั้ง15 ตําบลทุกแห่ง อีกทั้งตอบรับ นโยบายกระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้มีทีมหมอครอบครัว (Family Care Team) และนโยบาย 3 หมอ นโยบายการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care-LTC) ของรัฐบาล(8) ได้มีการส่งอาสาสมัครเข้าร่วมการ พัฒนาอบรมการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ หลักสูตร 70 ชั่วโมงตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 จนถึงปี พ.ศ.2564 ยอดรวม ผู้ดูแลผู้สูงอายุทั้งสิ้น 238 คน ถือเป็นหมอคนที่1 คือหมอใกล้ตัว เป็นกําลังสําคัญในทีมให้ดูแลผู้สูงอายุใน ชุมชนร่วมกับทีมหมอครอบครัว เข้าไปดูแลสุขภาพประชาชนถึงระดับครัวเรือนและชุมชน ดังนั้นศูนย์ประสาน การดูแลต่อเนื่อง โรงพยาบาลหนองบัวลําภูในบทบาทผู้ประสานหลักทีมหมอครอบครัว/ทีมสหวิชาชีพ เครือข่ายบริการสุขภาพอําเภอเมืองหนองบัวลําภู จึงเล็งเห็นและให้ความสําคัญในการสนับสนุน โดยจัดการ อบรมพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ ทัศนคติ และเน้นด้านทักษะการดูแลกลุ่มที่มีภาวะพึ่งพิงทั้ง 8 ด้าน เพิ่มเติม อย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(Caregiver) กลุ่มที่เป็นคนในพื้นที่มีคุณสมบัติการใช้ เครื่องมือสื่อสารระบบเทคโนโลยี มีต้นทุนการผ่านการอบรบหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ 70 ชั่วโมง กรมอนามัย ที่สําคัญยังคงมีจิตอาสาทํางานร่วมกับบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ โดยใช้โปรแกรมที่ได้รับการอนุมัติให้พัฒนา เนื้อหาหลักสูตร จากหลักสูตรฟื้นฟูผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver ) 18 ชั่วโมง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยสหวิชาชีพที่มีประสบการณ์ในการทํางานดูแลกลุ่มที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ และมีพยาบาลเครือข่ายการดูแล ต่อเนื่องและCare manager จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพทุกแห่งร่วมเป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนา เมื่อผู้ดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(Caregiver)ที่ผ่านการอบรมในโปรแกรมนี้ จะมีความรู้ ทัศนคติ และทักษะการดูแลที่ดี ขึ้นจนเกิดความมั่นใจในการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ของตน จน สามารถส่งต่อการดูแลที่ดีด้วยใจบริการให้ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลที่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง อําเภอเมือง จังหวัด หนองบัวลําภูและเพื่อศึกษาประสิทธิผลโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู วิธีการศึกษา ชนิดวิจัย : Action research การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย 4 ระยะ คือ การวางแผน (Planning) การปฏิบัติงาน (Do) ระยะสังเกตผลการปฏิบัติงาน (Check) และการปรับปรุงระบบ (Action)เพื่อคืนข้อมูลสู่พื้นที่ชุมชน


171 171 สถานที่ศึกษา : พื้นที่ รพ.สต.ที่บ้านผู้ปุวย 15 ตําบล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล 21 แห่ง เขตอําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู อาสาสมัครที่ศึกษา: ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Caregiver) อําเภอเมืองจังหวัดหนองบัวลําภู ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(Caregiver)ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรกรมอนามัย 70 ชั่วโมง ปฏิบัติหน้าที่ CG ใน พื้นที่ อําเภอเมืองหนองบัวลําภู.ผ่านการอบรม >2 ปีสมัครใจเข้าร่วมการศึกษาวิจัย มีทักษะการใช้เครื่องมือ smart phone ตัวแปรตามที่ศึกษา: ทักษะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 8 ทักษะ ระดับความรู้ ระดับทัศนคติ ของcaregiver เริ่มทําการเก็บข้อมูลหลังจาก ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลหนองบัวลําภู เอกสารรับรองเลขที่06/2564 ลงวันที่ 24 เดือนมีนาคม พ.ศ.2564 หลังจากผู้ปุวย ลงชื่อในแบบฟอร์มยินยอมเข้าร่วมการวิจัย การค านวณขนาดศึกษา : Caregiver 93 ราย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล : คํานวณสถิติเชิงพรรณนา โดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน สําหรับข้อมูลต่อเนื่องที่มีการกระจายแบบปกติ สถิติสําหรับการเปรียบเทียบ ใช้สถิติ ทดสอบ Exact probability test สําหรับ categorical variable และ T-test สําหรับ continuous variable การเปรียบเทียบค่าคะแนนความปวด วิเคราะห์ความแตกต่างโดยใช้ Exact McNemar‘s test,dependent t-test, Marginal homogeneity test ผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 4ระยะดังนี้ คือ ระยะที่ 1 การวางแผน (Plan) ทบทวนฐานข้อมูล caregiver ที่ได้รับการพัฒนาผ่านการอบรมหลักสูตร ผู้ดูแลผู้สูงอายุ 70 ชั่วโมง กรมอนามัย ตั้งแต่ ปีงบประมาณพ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบัน อําเภอเมืองหนองบัวลําภู จํานวน 238 คน จัดทําแผนงานกิจกรรมการพัฒนาสรรถนะดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดย Caregiver ภายใต้ โครงการพัฒนาระบบการดูแลระยะยาว (Long Term care)กลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงเครือข่ายบริการสุขภาพ อําเภอเมืองหนองบัวลําภู ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564สนับสนุนงบประมาณ จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 8 อุดรธานี ระยะที่ 2การปฏิบัติงาน (Action or Do) เป็นการดําเนินงานตามแผนที่วางไว้ดังนี้สํารวจสถานการณ์ และโอกาสพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดย Caregiver พื้นที่อําเภอเมืองหนองบัวลําภู โดยบันทึกข้อมูล โดยการสร้าง google form จากข้อมูลCaregiver จํานวน 93 คน กลุ่มCaregiver: ข้อมูลทั่วไป ระดับความรู้ ระดับ ทัศนคติ กลุ่มCare manager: ข้อมูลทั่วไป ระดับความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของCaregiver และทักษะการ ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 8 ทักษะ กลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัว :ข้อมูลทั่วไป ระดับความพึงพอใจต่อการดูแล ของ Caregiver ผู้วิจัยได้จัดเวทีทาง zoom เพื่อคืนข้อมูลสถานการณ์ที่สํารวจได้ในกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริหารเครือข่ายบริหาร สุขภาพอําเภอเมืองจากโรงพยาบาลหนองบัวลําภูและสาธารณสุขอําเภอเมืองหนองบัวลําภูCare manager จากรพ สต/ศูนย์แพทย์ฯ 21 แห่ง ผู้รับผิดชอบงานสาธารณสุขจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพื้นที่อําเภอเมือง หนองบัวลําภู ระยะที่ 3ระยะสังเกตผลการปฏิบัติงาน ( Check or Observation) 1. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงเพื่อพัฒนาศักยภาพ สมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ที่ปรับปรุงพัฒนาขึ้น โดยการมีส่วนร่วมของทีมสหวิชาชีพ พยาบาลพี่เลี้ยง


172 172 และCare manager จากรพสต/CMU 21 แห่งในอําเภอเมืองหนองบัวลําภู กลุ่มเปูาหมาย ที่เข้าร่วมอบรมทั้งหมด 93 คนแบ่งเป็น 2 รุ่น ระยะเวลาอบรม 3 วันกิจกรรมประกอบด้วย วันแรกและวันที่2 จัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้ ความรู้ ตามหัวข้อความรู้ทักษะ โดย วิทยากรทีมสหวิชาชีพที่ห้องประชุมโรงพยาบาลหนองบัวลําภู และ วันที่ 3 กิจกรรมฝึกปฏิบัติทักษะการดูแลผู้ที่ภาวะพึ่งพิงที่รพ.สต.แบ่งเป็นรายโซน ทั้งหมด 5 โซน โดย วิทยากรพยาบาลพี่ เลี้ยงและ Care manager จากรพสต/CMU 21 แห่งในอําเภอเมืองหนองบัวลําภู 2. ติดตามประเมินผลหลังกิจกรรมจัดโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Caregiver)และนําไปใช้ระยะเวลา 1 เดือนบันทึกข้อมูลโดย google form กลุ่ม Caregiver : ระดับความรู้ ระดับ ทัศนคติกลุ่ม Care manager: ระดับความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของCaregiver ,ทักษะการดูแลผู้สูงอายุที่มี ภาวะพึ่งพิง 8 ทักษะ ภาวะสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ADL ,แผลกดทับ (เพิ่มเติมการใช้อุปกรณ์ที่บ้านเพื่อ ประเมินภาวะสุขภาพ) และกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัว :ระดับความพึงพอใจต่อการดูแลของ Caregiver ระยะที่ 4 การปรับปรุงระบบ (Action)เพื่อคืนข้อมูลสู่พื้นที่ชุมชน ผู้วิจัยได้จัดเวทีเพื่อคืนข้อมูลผลที่ได้ จากดําเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง กลุ่มผู้เกี่ยวข้องได้แก่ ผู้บริหารเครือข่ายบริหารสุขภาพอําเภอเมืองจากโรงพยาบาลหนองบัวลําภูและสาธารณสุขอําเภอเมือง หนองบัวลําภู Care manager จากรพสต/ศูนย์แพทย์ฯ 21 แห่ง ผู้รับผิดชอบงานสาธารณสุขจากองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นพื้นที่อําเภอเมืองหนองบัวลําภูรวมทั้งเสนอข้อคิดเห็นแนวทางการพัฒนาการดําเนินการดูแลผู้สูงอายุที่ มีภาวะพึ่งพิงต่อไป ผลวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ลักษณะทั่วไปของ caregiver เพศหญิงมากกว่าเพศชาย อายุเฉลี่ย 48.7 ปี,สถานภาพสมรส คู่ร้อยละ 81.7,ระดับการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ร้อยละ75.2 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นร้อยละ 65.6, ร้อยละ 100.0 การนับถือศาสนาพุทธ ,มีรายได้ไม่เกิน 10,000บาท/เดือน,ส่วนใหญ่ผ่านการอบรมหลักสูตร ผู้ดูแลผู้สูงอายุ70ชั่วโมงที่จัดโดยหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข, เคยผ่านการอบรมฟื้นฟูเพียงร้อยละ40.9, ได้รับมอบหมายดูแลรับผิดชอบผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยเฉลี่ย ร้อยละ 5.4 คน ทําหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ เฉลี่ย 1.7 วันต่อสัปดาห์ และ 2 ชั่วโมงต่อวัน และได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ร้อยละ 90.3 ตารางที่ 1 การประเมินทักษะการปฏิบัติของ Caregiver รายกิจกรรม ทั้งจํานวน caregiver ที่ผ่านการ ประเมินทักษะการปฏิบัติในแต่ละด้าน จําแนกตามรายทักษะการปฏิบัติในการจัดการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่ มีภาวะพึ่ง โดยเปรียบเทียบก่อน–หลังโปรแกรม โดยรวม (n = 93) ทักษะ ก่อนโปรแกรม หลังโปรแกรม P- value n* % n* % 1.การดูแลผู้ปุวยให้อาหารทางสายยาง 66 71 92 99 <0.001 2.การดูแลช่วยเคลื่อนไหวข้อต่างๆ 82 88.1 93 100 0.001 3.การดูแลดูดเสมหะโดยใช้เครื่องช่องปาก 31 33.3 90 96.8 <0.001 4.การดูแลดูดเสมหะโดยใช้เครื่องช่องเจาะคอ 20 21.5 90 96.8 <0.001 5.การดูแลผู้ปุวยที่คาสายสวนปัสสาวะ 69 74.1 93 100 <0.001 6.การดูแลแผลกดทับหรือแผลเรื้อรัง 82 88.2 93 100 0.001 7.การดูแลปูองกันแผลกดทับ 86 92.3 93 100 0.015 8.การดูแลสุขภาพจิต 85 91.4 93 100 0.008


173 173 *Exact McNemar‘s test *n=จํานวนcaregiverที่ผ่านการประเมินทักษะการปฏิบัติในแต่ละด้านก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ จากตารางที่ 1 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีทักษะการปฏิบัติผ่านการประเมินในการจัดการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุดี ขึ้น หลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ทั้ง 8 ทักษะแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสติ(p<0.001) โดยสามารถผ่านการ ประเมินทําถูกทุกขั้นตอน 4 ทักษะ ได้แก่ การดูแลช่วยเคลื่อนไหวข้อต่างๆ, การดูแลผู้ปุวยที่คาสายสวน ปัสสาวะ , การดูแลแผลกดทับหรือแผลเรื้อรัง , การดูแลปูองกันแผลกดทับ และ การดูแลสุขภาพจิต ตารางที่ 2 จํานวน ร้อยละ ระดับความรู้ ระดับทัศนคติ ในการจัดการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Care giver)เปรียบเทียบก่อน – หลังโปรแกรม โดยรวม (n = 93) ระดับความรู้ ก่อนโปรแกรม (n=93 หลังโปรแกรม (n=93) P- value n % n % ความรู้, mean (±SD) 13.4 (±1.8) 15.0 (±2.0) <0.001 ระดับปานกลาง 15 16.1 2 2.2 <0.001 ระดับดี 67 72.4 49 52.7 ระดับดีมาก 11 11.8 42 45.2 <0.001, mean (±SD) 41.2 (±4.0) 41.4 (±6.5) 0.806 ระดับปานกลาง 0 0 0 0 0.342 ระดับดี 37 39.8 43 46.2 ระดับดีมาก 56 60.2 50 53.8 *Exact McNemar‘s test,dependent t-test, Marginal homogeneity test* จากตารางที่ 2 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เพิ่มขึ้น จาก13.4 เป็น15 จากคะแนนเต็มทั้งหมด 20 คะแนน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสติ(p<0.001) ในขณะที่ค่าเฉลี่ยคะแนนทัศนคติไม่แตกต่าง กันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติและมีระดับความรู้การดูแลผู้สูงอายุหลังจากได้เข้าร่วมโปรแกรมฯอยู่ในระดับ ดี มาก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 45.2 และมีระดับทัศนคติทั้งหมดอยู่ในระดับดี และดีมาก ข้อมูลทั่วไปของผู้สูงอายุที่มี ภาวะพึ่งพิงที่มีติดตามข้อมูล พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 59.2 มีอายุเฉลี่ย72.2 ปี มีภาวะเจ็บปุวย เรื้อรังที่เป็นความเสื่อมในวัยสูงอายุ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง ไตวายเรื้อรัง รวมทั้ง ภาวะสมองเสื่อม จนส่งผลมีความสามารถในการดูแลกิจวัตรลดลง ค่า ADL เฉลี่ย 6คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 เพื่อให้ช่วยในการดํารงชีวิตรับการคาอุปกรณ์ไปดูแลที่บ้าน ผู้ปุวยและครอบครัวส่วนใหญ่มีส่วนร่วมกับ Caregiverและบุคลากรด้านสุขภาพในชุมชนเพื่อดูแลปัญหาสุขภาพ และได้รับการดูแลโดยคนในครอบครัวเป็น หลัก


174 174 ตารางที่ 3 จํานวน ร้อยละ ประเภทเตียงผู้ปุวย( คะแนน ADL) ผู้และภาวะแทรกซ้อนสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ที่ รับช่วยเหลือดูแลCare giver เปรียบเทียบก่อน – หลังโปรแกรม โดยรวม ผู้ปุวยประเภทเตียง ก่อนโปรแกรม(n =49) หลังโปรแกรม(n =48) Pvalue n % n % ค่าคะแนนความสามารถในการดําเนินชีวิตประจําวัน mean,(±SD) 6.0 ± (4.8) 6.0 ± (5.0) 0.654 ประเภทเตียง 3 (คะแนน ADL 0-4/20) 23 46.9 22 45.8 1.000 เตียง 2 (คะแนน ADL 5-11/20) 23 46.9 23 47.9 เตียง 1 (คะแนน ADL มากกว่า 11/20) 3 6.2 3 6.3 ภาวะแทรกซ้อน แผลกดทับ 4 8.2 3 6.1 1.000 ข้อติดแข็ง 6 12.2 7 14.3 1.000 เสียชีวิต 0 0 1 2.0 *Exact McNemar‘s test,dependent t-test, จากตารางที่ 3 พบว่า ความสามารถในการดูแลกิจวัตรประจําวันโดยแบ่งกลุ่มเป็นประเภทเตียง รวมทั้ง ภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุเมื่อเปรียบเทียบก่อน-หลังการพัฒนาcaregiver ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติ และพบในระหว่างติดตามประเมินพบมีเสียชีวิต 1คน การอภิปรายผล จากการดําเนินการตามโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ภาวะพึ่งพิง ที่จัดทําขึ้นโดยการมี ส่วนร่วมของทีมสหวิชาชีพ เครือข่ายบริการสุขภาพอําเภอเมืองหนองบัวลําภู พบว่าสามารถเพิ่มระดับความรู้ เพิ่มจากเดิม ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้นจากเดิม รวมถึงเพิ่มพูนทักษะทั้ง 8 ด้าน จนเกิดความมั่นใจกล้าที่ จะดูแลผู้ปุวย สอดคล้อง กับ ปภาสนีแซ่ติ๋ว(9) และคณะ ศึกษาศักยภาพผู้ดูแลผู้สูงอายุหลังจากอบรมหลักสูตร ผู้ดูแล ผู้สูงอายุ 70 ชั่วโมงของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสุราษฎร์ธานีพบว่าผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มี ความรู้ ความเข้าใจเรื่องโรคเรื้อรังและมีทักษะการปฏิบัติในการจัดการช่วยเหลือผู้สูงอายุใน ระดับสูงก็จะมีความมั่นใจ มากขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุติดเตียงที่บ้านและสามารถให้คําแนะนําที่ถูกต้องรวมทั้งสามารถดูแลผู้สูงอายุให้ รอดพ้นจากอันตราย ,ดร. บุษยา วงษ์ชวลิตกุลและคณะ(10) ได้ทําการศึกษา ความรู้และทัศนคติของผู้ดูแล ผู้สูงอายุ กรณีศึกษาผู้ดูแลผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชราบ้านธรรมปกรณ์โพธิ์กลาง และสถานสงเคราะห์ คนชราบ้านธรรมปกรณ์วัดม่วงจังหวัดนครราชสีมา ที่สนับสนุนผู้ดูแลส่วนใหญ่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแล มีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้สูงอายุในระดับสูง นอกจากการประเมินผลจากความรู้ทัศนคติ และทักษะการดูแลที่เกิด ขึ้นกับผู้ดูแล (Caregiver)แล้วการศึกษาครั้งนี้ยังได้ประเมินความพึงพอใจการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึงพิงโดย ผู้ดูแล(Caregiver) ของกลุ่มพี่เลี้ยงในพื้นที่ได้แก่พยาบาลเครือข่ายการดูแลต่อเนื่องในระดับพื้นที่ และผู้สูงอายุ ที่มีภาวะพึ่งพิงและครอบครัว ชลการ ทรงศรี และคณะ (11) ได้ถอดบทเรียนบทเรียนการดําเนินงานระบบการ ดูแลระยะยาวดานสาธารณสุข สําหรับผูสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในระบบหลักประกันสุขภาพแหงชาติ สวน Caregiver มีความเขมแข็งในการลงเยี่ยมผูสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และรายงานปญหาของผูสูงอายุตอ re Manager จะเห็นไดในหลายพื้นที่ที่ใหขอมูลวา Caregiver ทําดวยใจ มีจิตอาสาที่จะเขาเยี่ยมผูสูงอายุที่มี ภาวะพึ่งพิง แมคาตอบแทนจะนอย Caregiver ผลลัพธดานความพึงพอใจของผูสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงตอ


175 175 การไดรับการดูแลจากผูดูแลผูสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง พบวา โดยรวมผูสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีความพึงพอใจ ใน ระดับมากตอผูดูแลผูสูงอายุ จากการไดรับการดูแลอยางทั่วถึงสม่ําเสมอและตอเนื่องและยังมีความตองการที่ จะไดรับการดูแลจากผูดูแลผูสูงอายุตอไป ซึ่งผู้ศึกษาและคณะได้ดําเนินการดังกล่าวแบบมีส่วนร่วม ให้ ความสําคัญของการพัฒนาCaregiver ไปพร้อมกับCare Manager โดยทีมสหวิชาชีพที่เป็นผู้มีความรู้ความ เชี่ยวชาญ และประสบการณ์และสัมพันธภาพที่ดีในชุมชน พัฒนาและร่วมเป็นวิทยากร โดยได้รับความ เห็นชอบและให้ความสําคัญสนับสนุนอย่างเต็มที่การดําเนินการดังกล่าวทุกขั้นตอน จากผู้บริหารเครือข่าย บริการสุขภาพอําเภอเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องโดยผ่านเวทีคืนข้อมูลสถานการณ์การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึงพิง โดยผู้ดูแล(Caregiver) ที่ได้ดําเนินการสํารวจก่อนจะดําเนินการโปรแกรมพัฒนา จนคณะทํางานสามารถการ ดําเนินการบรรลุตามวัตถุประสงค์เป็นอย่างดี และเป็นการมั่นใจและความพร้อม ได้เห็นถึงแนวทางทางการ ดําเนินงานของทีมการจัดบริการการดูแลระยะยาวกลุ่มที่มีภาวะพึ่งพิง สอดคล้องกับ รุ่งลาวัลย์ รัตนพันธ์ (3) และปิยรัตน์ ยาประดิษย์(12) ศึกษาการพัฒนาระบบการจัดบริการระยะยาวด้านสาธารณสุขสําหรับผู้สูงอายุที่ มีภาวะพึ่งพิง ที่ตอบสนองต่อความต้องการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแท้จริงส่งผลให้ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในชุมชน ได้รับการดูแลด้านสาธารณสุข ลดภาวะแทรกซ้อน และความรุนแรงของโรค ลดความพิการและได้รับ การฟื้นฟูสภาพ ได้รับการรักษาที่เหมาะสม แม้เป็นผู้ปุวยระยะสุดท้ายก็ได้เสียชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีของความ เป็นมนุษย์ ปัจจัยแห่งความสําเร็จโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Caregiver) ของศูนย์ประสาน การดูแลต่อเนื่อง และทีมสหวิชาชีพ โรงพยาบาลหนองบัวลําภู ร่วมกับเครือข่ายบริการสุขภาพอําเภอเมือง หนองบัวลําภูในครั้งนี้ ประกอบด้วย นโยบายการดําเนินงานการดูแลผู้สูงอายุทุกระดับที่ชัดเจนและให้การ สนับสนุนการดําเนินงานทุกด้าน มีผู้รับผิดชอบหลักเป็นผู้เชื่อมประสาน มีทีมผู้เกี่ยวข้องที่ที่มีความรู้ความ เชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะด้าน ที่พร้อมให้ความร่วมมือและเสียสละ การทํางานระยะยาวที่ต้องร่วมมือ หลายภาคส่วน โดยคนที่มีจิตอาสาในพื้นที่เป็นหลัก ภายใต้ต้นทุนหรือทรัพยากรทุกด้านในชุมชน และได้รับ การสนับสนุนส่งเสริมการดําเนินงานจากหน่วยงานทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุ ที่มีภาวะพึ่งพิงเข้าถึงบริการดูแลระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เกิดการจัดบริการในชุมชนโดยบุคลากรที่ไม่ใช่วิชาชีพ ร่วมกับกระตุ้นให้เกิดการดูแลให้กําลังใจอย่างใกล้ชิดในครอบครัว ข้อเสนอแนะ ควรจะส่งเสริมมีการต่อยอดการพัฒนาฟื้นฟูสมรรถนะทุกด้านที่จําเป็นในการดูแลผู้สูงอายุตลอดจน กลุ่มวัยอื่นๆที่มีภาวะพึ่งพิง ให้กับCaregiver รวมทั้งจะเป็นการเสริมแรง สร้างขวัญและกําลังใจให้กลุ่มจิตอาสา เหล่านี้ โดยจัดเป็นกิจกรรมในแผนพัฒนาCaregiver เป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องต่อไป เอกสารอ้างอิง สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที12 (พ.ศ. 2560 - 2564). กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ; 2560. สื่อมัลติมีเดีย[อินเตอร์เนต].สาระสุขภาพผู้สูงอายุ.สูงวัยอายุยืน: กรมอนามัย; 2019[อ้างอิงถึง 10 กันยายน 2562]. ที่มาhttps://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledgs/elderly/ :


176 176 รุ่งลาวัลย์ รัตนพันธ์. การพัฒนาระบบการจัดบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข สําหรับผู้สูงอายุที่มี ภาวะพึ่งพิงในชุมชน พยาบาลวิชาชีพชํานาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลยางใหญ่ อําเภอเมือง นครราชสีมา: 2564 รายงาน[อินเตอร์เนต]. HDC report สสจ. หนองบัวลําภู: 2564 ;2021 ที่มา http://nbdatacenter.moph.go.th/hdc/main/index.php รายงาน[อินเตอร์เนต].โปรแกรม 3C กรมอนามัย: .2564;2021 ที่มาhttp://ltc.namai.moph,go.th. สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. คู่มือระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสําหรับผู้สูงอายุ ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนในระบบหลักประกันสุขภาพ 2559. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์สํานักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ; 2559. ภาษาไทย. ปภาสินี แซ่ติ๋ว, ชไมพร จินต์คณาพันธ์ และศราวุธ เรืองสวัสดิ์.การศึกษาศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุ หลังจากอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ 70 ชั่วโมง ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี: ดร. บุษยา วงษ์ชวลิตกุล,วิรัช สงวนวงศ์วาน,สิริรัตน์ ฉัตรชัยสุชา,ดร. ธนกร ลิ้มศรัณย์, สิริวดี ไทย สมัครและคณิต เรืองขจร . ความรู้และทัศนคติของผู้ดูแลผู้สูงอายุกรณีศึกษาผู้ดูแลผู้สูงอายุในสถาน สงเคราะห์คนชราบ้านธรรมปกรณ์โพธิ์กลาง และ สถานสงเคราะห์คนชราบ้านธรรมปกรณ์วัดม่วง จังหวัดนครราชสีมา: ชลการ ทรงศรี, ธวัชชัย เขื่อนสมบัติ, สุวัฒน ทรงศรี, อาคม นามบุรีและกิติพร โพธิทากูล. บทเรียน การดําเนินงานระบบการดูแลระยะยาวดานสาธารณสุข สําหรับผูสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในระบบ หลักประกันสุขภาพแหงชาติ ไดรับการสนับสนุนจาก สํานักงานหลักประกันสุขภาพแหงชาติ เขต 8 อุดรธานี: เมษายน 2563 .ปิยรัตน์ ยาประดิษฐ์ และอรสา กงตาล, การพัฒนาการจัดบริการดูแลระยะยาวสําหรับผู้สูงอายุที่มี ภาวะพึ่งพิง ตําบลหนองสิม อําเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ;2563มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนา ผู้สูงอายุไทย. สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2560. กรุงเทพฯ: เขตบริการสุขภาพที่คู่มือการดูแล สุขภาพผู้ปุวยระยะยาวที่บ้าน สําหรับแกนนําผู้ดูแลสุขภาพผู้ปุวยระยะยาวที่บ้าน และจิตอาสา. อุดรธานี: 2557 กองการพยาบาลสาธารณสุข สํานักอนามัยกรุงเทพมหานคร (2557).คู่มือการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติด บ้านกรุงเทพมหานคร:2557 ลาภเบจกุล, ชาญศิริกาญจน์, ศศศ., et al. คู่มือแนวทางการดูแลระยะยาวสําหรับทีมดูแลครอบครัว. กรุงเทพมหานคร: Cyber Print Group Press; 2559. ภาษาไทย. สํานักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย. คู่มือแนวทางการอบรมฟื้นฟู caregiver หลักสูตร 70 ชั่วโมง (caregiver ฟื้นฟู18 ชั่วโมง); สิงหาคม 2563


177 177 สมาธิบ าบัด(SKT) ลดเครียด ลดยาด้วยนวัตกรรม “ปฏิทินลดยานอนหลับ” Meditation Therapy (SKT) Reduce stress, reduce medication with innovative sleeping pills calendar. มงคล อาตวงศ์และคณะ ศูนย์สุขภาพชุมชนหมอหาญ โรงพยาบาลนายแพทย์หาญ จังหวัดยโสธร บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการติดตามลดการรับประทานยานอน หลับของผู้สูงอายุโรคนอนไม่หลับด้วย“ปฏิทินลดยานอนหลับ”โดยประยุกต์หลักการบริหารยาของโคเฮน (cohen,1999) ทั้งหมด 5 ด้าน 1)การได้รับยาถูกคน 2)การได้รับยาถูกขนาดถูกเวลา 3)การได้รับยาถูกชนิด 4) การสังเกตอาการข้างเคียงของยา 5)การเก็บรักษายา และใช้รูปแบบวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kimmis & McTaggart เป็นแนวคิดเชิงกระบวนการขั้นตอนการดําเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการติดตามลดการรับประทานยานอนหลับของผู้สูงอายุด้วย ปฏิทินลดการรับประทานยา ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติการ การสะท้อนการ ปฏิบัติการ และการปรับปรุงแผนปฏิบัติการ ระยะที่ 3 ประเมินผลการใช้รูปแบบการติดตามการลดการ รับประทานยาด้วยปฏิทินลดยานอนหลับ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่ใช้ยานอนหลับเป็นประจําในทุกรอบนัด ของแพทย์ จํานวน 50 ราย ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามพฤติกรรมการรับประทานยานอนหลับ แบบบันทึกการเยี่ยมบ้านของ อสม. แบบประเมิน ความพึงพอใจต่อการใช้ปฏิทินลดยานอนหลับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และ ค่าเฉลี่ย ผลการศึกษาพบว่า การใช้รูปแบบการติดตามการลดการรับประทานยานอนหลับของผู้สูงอายุโรค นอนไม่หลับด้วย“ปฏิทินลดยานอนหลับ”ภายหลังการใช้ปฏิทินลดยานอนหลับ ผู้สูงอายุโรคนอนไม่หลับ สามารถรับประทานยาได้ถูกต้อง คือ ถูกขนาด ถูกเวลา และลดการใช้ยานอนหลับได้ครึ่งหนึ่งต่อรอบเดือน ได้รับยาครบตามแผนการรักษาของแพทย์ ผลการประเมินต่อความพึงพอใจต่อการใช้ปฏิทินลดยานอนหลับ มี ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 93 อย่างไรก็ตามปฏิทินลดยานอนหลับนี้ได้ทําการปรับปรุง ตามข้อเสนอแนะโดยนําตัวเลขและสัญลักษณ์รูปภาพใหม่ พร้อมขนาดตัวอักษรที่ใหญ่ขึ้น แสดงวันของการ รับประทานยาของผู้ปุวย (ก่อนนอน) มาปรับใช้บนฉลากยาเพิ่มความเข้าใจให้ผู้สูงอายุ และเลือกใช้สีพื้นหลัง ฉลากยาที่ผู้สูงอายุมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ดังนั้นจึงควรนําปฏิทินลดยานอนหลับไปใช้ในกลุ่มผู้ปุวยโรคนอนไม่ หลับ ที่มีโรคร่วมชนิดอื่นด้วยที่มีประวัติรับประทานยานอนหลับผิดวิธี และทานยานอนหลับเป็นประจําจนติด ยาหรือมีภาวะดื้อยานอนหลับ ค าส าคัญ : รูปแบบการติดตาม, ยานอนหลับ, ปฏิทินลดยานอนหลับ บทน า การนอนหลับเป็นกิจกรรมพื้นฐานที่สําคัญต่อการดํารงชีวิต มนุษย์ใช้เวลาในการนอนหลับมากถึง 1 ใน 3 ของเวลาทั้งชีวิต ในขณะหลับร่างกายจะมีการลดลงของระดับการรู้สติหรือความรู้สึกตัว โดยมีการ เปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาต่างๆ เมื่อเกิดปัญหาการนอนติดต่อกันเป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่อการทํางาน ของระบบต่างๆในร่างกาย รวมถึงระดับการรู้คิด ปัญหาการใช้ยานอนหลับ (hypnotic drugs) นอกจากนี้ยังส่ง ต่อคุณภาพชีวิตและเกิดผลกระทบทางด้านอารมณ์ได้อีกด้วย ปัญหาการนอนที่พบบ่อยที่สุดคือ ภาวะนอนไม่ หลับ (insomnia) พบประมาณร้อยละ 30 ของประชากรในผู้สูงอายุจะต้องเคยประสบกับอาการนี้ในช่วงเวลา


178 178 ใดเวลาหนึ่งของชีวิต บางคนอาจเป็นชั่วครั้งชั่วคราว แต่มีบางส่วนที่มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง และมีถึงร้อยละ 10 ที่อาการนอนไม่หลับนี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานหรือรบกวนการดํารงชีวิตประจําวัน จนได้รับการวินิจฉัย ว่าเป็นโรคนอนไม่หลับ (insomnia dissorder) ในผู้สูงอายุนั้นภาวะนอนไม่หลับสามารถพบได้มากกว่าช่วงวัย อื่น การศึกษาพบว่าความชุกของภาวะนอนไม่หลับในผู้สูงอายุนั้นสูงถึงเกือบร้อยละ 50 ซึ่งอาจเนื่องมากจาก การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น มีการลดลงของการสร้างเมลาโทนิน เป็นต้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวงจรการหลับ–การตื่น (sleep-wake cycle) การเปลี่ยนแปลงนี้ทําให้ ผู้สูงอายุมีการนอนหลับที่สั้นลง หลับได้ไม่ลึกและตื่นบ่อย และเป็นเหตุผลหนึ่งที่สูงอายุมีการใช้ยานอนหลับเป็น จํานวนมากและมีการเพิ่มปริมาณการทานยานอนหลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจะเห็นได้ว่าปัญหาการนอนหลับเป็น ปัญหาสําคัญและพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และยังเกิดปัญหาการใช้ยานอนหลับในผู้สูงอายุเป็นจํานวนมาก พร้อม กับการเพิ่มขนาดยานอนหลับขึ้นเรื่อยๆ จากการเยี่ยมบ้านพบว่าผู้สูงอายุที่ใช้ยานอนหลับทานยาหมดก่อนกําหนดที่แพทย์สั่งไว้ ปัญหาเหล่านี้ พบมากในผู้สูงอายุที่ติดยานอนหลับและมีภาวะดื้อยานอนหลับ ทําให้ยารับประทานไม่ตรงตามแผนการรักษา ของแพทย์และส่งผลเสียต่อผู้สูงอายุ ในเรื่องของอารมณ์ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนในชุมชน และการดํารงชีวิต ศูนย์สุขภาพชุมชนหมอหาญ จึงได้จัดทํานวัตกรรม“ปฏิทินลดยานอนหลับ” เพื่อให้ผู้สูงอายุได้ลดวันและจํานวน ยานอนหลับด้วยตัวเอง วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการติดตามการลดการรับประทานยาของผู้สูงอายุด้วยปฏิทินลดยานอนหลับ วิธีการศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อพัฒนารูปแบบการติดตามการลด การรับประทานยาของผู้สูงอายุด้วยปฏิทินลดยานอนหลับ เครื่องมือเป็นแบบสอบถามพฤติกรรมการ รับประทานยานอนหลับ แบบบันทึกการเยี่ยมบ้านของ อสม. แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ปฏิทินลดยา นอนหลับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่รับบริการในศูนย์สุขภาพชุมชนหมอหาญ โรงพยาบาลนายแพทย์หาญ อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร จํานวน 50 ราย โดยผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) จํานวน 50 รายมีคุณสมบัติ ดังนี้ เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกจากแพทย์ว่าปุวยด้วยโรคนอนไม่หลับ (insomnia disorder) มารับบริการใน ศูนย์สุขภาพชุมชนหมอหาญ อาศัยอยู่ตามลําพัง ไม่มีญาติดูแล .มีประวัติรับประทานยาผิดวิธี เช่น ผิดเวลา ผิด ขนาด ผิดจํานวน ลืมรับประทานยา ปรับลดขนาดยาเอง หยุดรับประทานยาบางมื้อ มีความสมัครใจในการเข้า ร่วมงานวิจัย ผลการศึกษา จากการศึกษาข้อมูลทั่วไปและทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมการ รับประทานยานอนหลับ พบว่าผู้สูงอายุมีความสับสนในการรับประทานยา และไม่มีญาติดูแลกํากับการ


179 179 รับประทานยา ทําให้รับประทานยาผิดวิธี เช่น ผิดเวลา ผิดขนาด ผิดจํานวน ลืมรับประทานยา ปรับลด เพิ่ม ขนาดยาเอง หรืออ่านหนังสือไม่ออก ทําให้รับประทานยาผิดวิธี สอดคล้องกับการศึกษาของ พัชณี สะแม, พัชรี คมจักรพันธุ์ และศิริวรรณ พิริยคุณธร (2559) ที่ทําการศึกษาการพัฒนาคู่มือการกินยาด้วยตนเองสําหรับ ผู้สูงอายุมุสลิมที่เป็นเบาหวาน พบว่าปัญหาในการรับประทานยาของผู้สูงอายุมีในเรื่องของการลืมรับประทาน ยา การไม่มีความรู้เรื่องการรับประทานยา และข้อจํากัดในการอ่านหนังสือภาษาไทย ผู้วิจัยจึงได้พัฒนารูปแบบ การติดตามการลดการรับประทานยาของผู้สูงอายุโรคนอนไม่หลับ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมในการกํากับติดตาม การกินยาของผู้สูงอายุ โดยติดตามเยี่ยมบ้าน ประเมินการกินยา ทุก 1 สัปดาห์ ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ โดย ผู้ทําการวิจัยได้ให้กลุ่มตัวอย่างเลือกทานยานอนหลับในวันตัวเลขคู่ หรือ คี่ และประเมินผลโดยปฏิทินลดยา นอนหลับ ผู้วิจัยจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรายการยาที่ใช้ในผู้ปุวยเฉพาะราย จัดยาที่ผู้ปุวยรับประทานในแต่ละ มื้อ ใส่ในซองยาเรียงกันตามจํานวนตัวเลขวันคู่ หรือตัวเลขวันคี่ ตามที่กลุ่มตัวอย่างได้เลือกไว้ในแต่ละเดือน ตามปฏิทินยา โดยฉลากยาได้นําสัญลักษณ์รูปภาพ ที่แสดงมื้อของการรับประทานยาของผู้ปุวย (ก่อนนอน) มา ปรับใช้บนฉลากยา เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับยาถูกต้องตามหลักการบริหารยา 5 ด้านของโคเฮน (cohen,1999) ภายหลังการนําปฏิทินลดยานอนหลับไปใช้กับกลุ่มเปูาหมาย พบว่า ผู้สูงอายุที่ปุวยด้วยโรคนอนไม่หลับมีความ เข้าใจเกี่ยวกับวิธีรับประทานยาโดยใช้“ปฏิทินลดยานอนหลับ”สามารถรับประทานยาได้ถูกต้อง คือ ถูกขนาด ถูกเวลา ได้รับยาครบตามแผนการรักษาของแพทย์ และยังสามารถลดปริมาณของยานอนหลับที่ใช้ได้ด้วย ฉลากยามีรูปภาพประกอบเข้าใจง่าย ภาษาที่ใช้กระชับ ชัดเจน เข้าใจง่าย ขนาดตัวอักษรเหมาะสม ตรงความ ต้องการผู้สูงอายุ สามารถนําไปใช้ได้จริง เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีความสับสนในการรับประทานยา และไม่มีญาติ ดูแลกํากับการรับประทานยา ผลการวิจัยครั้งนี้ สรุปได้ว่า รูปแบบการติดตามการรับประทานยาของผู้สูงอายุโรคนอนไม่หลับด้วย “ปฏิทินลดยานอนหลับ”มีความเหมาะสมที่จะนําไปใช้กับผู้สูงอายุที่มีการใช้ยานอนหลับเป็นเวลานาน ติดยา นอนหลับ และไม่มีญาติดูแลกํากับการรับประทานยา การผ่านกระบวนการพัฒนารูปแบบอย่างเป็นระบบตาม ปัญหา และความต้องการของผู้สูงอายุที่ปุวยด้วยโรคนอนไม่หลับ โดยสอดคล้องกับบริบทผู้สูงอายุแต่ละราย ปฏิทินลดยานอนหลับอาจเป็นปัญหาสําหรับผู้ที่ไม่สามารถอ่านหรือเขียนหนังสือได้ ดังนั้นหากนําไปใช้ใน ผู้สูงอายุที่มีข้อจํากัดเรื่องการอ่าน เขียน ควรแนะนําให้ผู้ดูแลหรืออาสาสมัครสาธารณสุข (อสม) เป็นผู้แนะนํา และให้ความช่วยเหลือต่อไป ข้อเสนอแนะ ในกรณีที่ผู้ปุวยไม่สามารถหรือมีข้อจํากัดในการอ่าน หรือเขียนหนังสือควรให้คําแนะนําแก่ผู้ดูแล ช่วยเหลือ (อสม) และวิธีการใช้ปฏิทินลดยานอนหลับ เอกสารอ้างอิง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบางงา.(2559).ปฏิทินเตือนการกินยา [ออนไลน์] เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มิถุนายน 2564 จาก http://gishealth.moph.go.th/healthmap/upload/document /work_01502_100217_155159.pdf วีระยุทธ ชาตะกาญจน์. (2553). การวิจัยเชิงปฏิบัติการ [ออนไลน์] เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มิถุนายน 2564 จากfile:///C:/Users/Administrator/Downloads/101776-Article%20Text-256910-1- 10- 20171019.pdf


180 180 ปิยวรรณ เหลืองจิรโณทัย, ศุภธิดา สิทธิหล่อ, และรุ่งทิวา หมื่นปา. (2550). ความร่วมมือในการใช้ยา รักษาโรคเบาหวานชนิด รับประทานกับการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด [ออนไลน์] เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มิถุนายน 2564 file:///C:/Users/Administrator/Downloads/ Documents/No3Vol17P223_230.pdf ชัชฎาภรณ์ กมขุนทด. (2554). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องสม่ําเสมอ ของผู้ปุวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 [ออนไลน์] เข้าถึงข้อมูลวันที่ 25 มิถุนายน 2564 จาก file:///C:/Users/Administrator/Downloads/Documents/Fulltext%231_178470.pdf นิติกุล บุญแก้ว. (2556). ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจภายในกับพฤติกรรมควบคุมน้ําตาลในเลือด ของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 [ออนไลน์] เข้าถึงข้อมูลวันที่ 25 มิถุนายน 2564 จาก www.grad.mahidol.ac.th/storage/.../1/5610196/F-5610196.docx วรนัน คล้ายหงส์ และคณะ. (2559). ปัจจัยทํานายพฤติกรรมการรับประทานยาอย่างถูกต้องสม่ําเสมอ ของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2 [ออนไลน์] เข้าถึงข้อมูลวันที่ 25 มิถุนายน 2564 จาก file:///C:/Users/Administrator/Downloads/8 7 5 8 4-Article%2 0Text-2 1 3 7 7 6-1-1 0- 20170526%20(2).pdf ธนวัฒน์ สุวัฒนกุล. (2561). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดของผู้ปุวย เบาหวานชนิดที่ 2 [ออนไลน์] เข้าถึงข้อมูลวันที่ 25 มิถุนายน 2564 จาก file:///C:/Users/Administrator/Downloads/Documents/hsri-journal-v1 2 n3 -p515 - 522.pdf พัชณี สะแม และคณะ. (2559). การพัฒนาคู่มือการกินยาด้วยตนเองสําหรับผู้สูงอายุมุสลิมที่เป็น เบาหวาน [ออนไลน์] เข้าถึงข้อมูลวันที่ 30 มิถุนายน 2564 จาก file:///C:/Users/Administrator /Downloads/65348-Article%20Text-153600-1-10-20160831.pdf


181 181 ผลของโปรแกรมการเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณีในการส่งเสริมทักษะการแก้ไขปัญหา รายบุคคลของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เขตอ าเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นงลักษณ์ มณีรอด โรงพยาบาลเสนา อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา บทคัดย่อ การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและ หลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้และทักษะการแก้ไขปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือด สมองระหว่างก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณี โดยศึกษาในผู้ปุวยที่ ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองชนิดตีบ แตก หรืออุดตัน ที่รู้สึกตัวดี สามารถสื่อสารได้ รับไว้รักษาที่หอผู้ปุวยอายุรกรรม โรงพยาบาลเสนาและจําหน่ายกลับบ้าน โดยมีที่พักอาศัยอยู่ในเขตอําเภอ เสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ 20 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2563–วันที่ 30 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2564 คัดเลือกตัวอย่างที่มีคุณสมบัติเฉพาะเจาะจงจํานวน 31 ราย โดยมีพยาบาลผู้จัดการรายกรณีผู้ปุวย โรคหลอดเลือดสมองติดตามเยี่ยมบ้านผู้ปุวยหลังจําหน่าย จํานวน 4 ครั้ง รวมระยะเวลา 6 เดือน (2 สัปดาห์ ถึง 1เดือน, 2 เดือน, 3 เดือน และ 6 เดือน) กิจกรรมประกอบด้วย 1)การประเมินความรู้และทักษะในการดูแล ตนเองของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองที่เคยได้รับคําแนะนําก่อนจําหน่ายออกจากโรงพยาบาล 2)การค้นหา ปัญหาจากสถานการณ์จําลอง 3)ค้นหาทางเลือกที่จะใช้แก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด 4)เลือกวิธีการที่สามารถแก้ไข ปัญหาได้ในระยะยาว 5)ฝึกปฏิบัติตามแผนโดยมีขั้นตอนที่ชัดเจน 6)บันทึกปัญหาพร้อมระบุวิธีการแก้ไขผ่าน แบบบันทึก 7)ตรวจสอบผลการแก้ไขปัญหาเป็นระยะผ่านการโทรศัพท์หรือปรึกษาผ่านไลน์ ประเมินทักษะการ แก้ไขปัญหาหลังได้รับโปรแกรม 6 เดือนหลังจําหน่ายโดยแบบวัดความรู้และทักษะการแก้ปัญหาของผู้ปุวยโรค หลอดเลือดสมองที่ผู้วิจัยพัฒนาเอง ผลการศึกษา พบว่า 1.หลังได้รับโปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีความรู้สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ p< .001 (t=4.387) 2. หลังได้รับโปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีทักษะในการแก้ไขปัญหาสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ p< .001 (t=6.943) ค าส าคัญ: การเยี่ยมบ้าน, พยาบาลผู้จัดการรายกรณี, ผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง, ทักษะการแก้ไขปัญหา บทน า โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคทางระบบประสาทที่มีความรุนแรง มักพบบ่อยในผู้สูงอายุจากรายงาน องค์การอนามัยโลกพบว่า ในแต่ละปีมีผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองราว 15 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉลี่ยทุก ๆ 6 วินาทีจะมีคนตายด้วยโรคหลอดเลือดสมองอย่างน้อย 1 คน ทั้งนี้ในปี พ.ศ.2568 คาดว่าจะมีผู้ปุวยโรค ดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า1 และจากองค์กรอัมพาตโลก (World Stroke Organization: WSO)2 รายงานว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก มีจํานวนผู้ปุวยด้วยโรคหลอดเลือดสมองทั่วโลก 17 ล้านคน3 และเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง จํานวน 6.5 ล้าน ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในอันดับที่ 2 รองจากโรคมะเร็ง4 จากรายงานอัตราการปุวยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ในอําเภอเสนา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ปีงบประมาณ 2560-2562 เท่ากับ 226, 236 และ 305 คนตามลําดับ5 พบว่ามีแนวโน้มที่ เพิ่มขึ้นและเป็นปัญหาต่อผู้ปุวยทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ หลังได้รับการรักษาถึงแม้ ผู้ปุวยรอดชีวิตมากกว่าร้อยละ 80.00 ต่อปี แต่พบความพิการทําให้สูญเสียการทําหน้าที่ของระบบประสาท เรื้อรังต้องใช้ชีวิตอย่างพิการตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ ปัจจุบันแนวโน้มในการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของผู้ปุวย


182 182 สั้นลง ทําให้ผู้ปุวยและญาติไม่สามารถจดจําข้อมูลในการดูแลตนเองได้ มักพบปัญหาที่ไม่ได้รับคําแนะนําในการ ดูแลและจัดการตนเองเมื่ออยู่บ้าน พบผู้ปุวยมากกว่าร้อยละ 50 มีปัญหาที่ไม่สามารถจัดการปูองกันและแก้ไข ได้ จนเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะอยู่บ้าน ผู้วิจัยจึงพัฒนาโปรแกรมการเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณี เพื่อให้ผู้ปุวยและญาติผู้ดูแลมี ความรู้และทักษะในการประเมินปัญหา ปูองกันปัญหาและจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะแทรกซ้อนลดลง ผู้ปุวยสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจําวันได้เพิ่มขึ้น วัตถุประสงค์การศึกษา เปรียบเทียบทักษะการแก้ไขปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองระหว่างก่อนและหลังได้รับ โปรแกรมการเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณี วิธีการศึกษา ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) ศึกษาในผู้ปุวยที่ได้รับการ วินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองชนิดตีบ แตก หรืออุดตัน ที่รู้สึกตัวดี สามารถสื่อสารได้ รับไว้ รักษาครั้งแรกที่หอผู้ปุวยอายุรกรรม โรงพยาบาลเสนาและจําหน่ายกลับบ้านที่อยู่ในเขตอําเภอเสนา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ 20 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2563 – วันที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2564 คัดเลือก กลุ่มตัวอย่างที่มีคุณสมบัติเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งหมดจํานวน 37 ราย กลุ่มตัวอย่างเสียชีวิตระหว่างการศึกษาเนื่องจากเป็นผู้ปุวยระยะสุดท้าย จํานวน 6 ราย เหลือกลุ่มตัวอย่าง จํานวน 31 ราย ได้รับการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลเสนา เลขที่ อย 0032.202.2/ 027 ลงวันที่ 15 เดือนธันวาคม พ.ศ.2563 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1. แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง และคะแนนความสามารถในการ ปฏิบัติกิจวัตรประจําวันโดยใช้แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจําวัน ดัชนีบาร์เธล เอ ดี แอล (Barthel ADL Index) ฉบับแปลเป็นภาษาไทยโดยสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข (2559)7 ในการศึกษาครั้งนี้แบ่งระดับความสามารถในการดูแลตนเองเป็น 2 ระดับ คือ คะแนน Barthel ADL 0-70 คะแนน หมายถึง ไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจําวันได้ ถึงปฏิบัติได้ปานกลาง คะแนน 75-100 หมายถึง สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจําวันได้มากถึงทั้งหมด 2. แบบวัดความรู้ในการประเมินปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง ใช้วัดระดับความรู้ถึงปัจจัย เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจําหน่ายออกจากโรงพยาบาล จํานวน 10 ข้อ คะแนนอยู่ระหว่าง 0–10 คะแนนน้อย หมายถึง ระดับความรู้ในการประเมินปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองต่ํา คะแนนมาก หมายถึง ระดับความรู้ในการประเมินปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองสูง 3. แบบวัดทักษะในการแก้ปัญหา เป็นแบบประเมินที่ใช้วัดความสามารถของผู้ปุวย/ ญาติโรคหลอด เลือดสมองในการเลือกหรือจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับผู้ปุวยเมื่อพบปัญหาระหว่างอยู่ที่บ้าน โดยผู้ปุวยหรือ ญาติเป็นผู้ประเมินและให้คะแนนตนเอง คะแนนอยู่ระหว่าง 0 – 10 คะแนน คะแนนน้อย หมายถึง ทักษะใน การแก้ปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมองต่ํา คะแนนมาก หมายถึง ทักษะในการแก้ปัญหาของผู้ปุวยโรค หลอดเลือดสมองสูง


183 183 4. โปรแกรมการเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณีโรคหลอดเลือดสมอง ระยะเวลา 6 เดือน ประกอบด้วย ติดตามเยี่ยมบ้านผู้ปุวยหลังจําหน่าย จํานวน 4 ครั้ง (2 สัปดาห์ถึง 1เดือน, 2 เดือน, 3 เดือน และ 6 เดือน) กิจกรรมประกอบด้วย 1)การประเมินความรู้และทักษะในการดูแลตนเองของผู้ปุวยโรคหลอด เลือดสมองที่เคยได้รับคําแนะนําก่อนจําหน่ายออกจากโรงพยาบาล 2)การค้นหาปัญหาจากสถานการณ์จําลอง 3)ค้นหาทางเลือกที่จะใช้แก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด 4) เลือกวิธีการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว ให้ผู้ปุวย หรือญาติอธิบายถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหา นําประเด็นปัญหาที่พบและการแก้ไขปัญหามาวิเคราะห์และ หาแนวทางจัดการร่วมกัน 5)ฝึกปฏิบัติตามแผนโดยมีขั้นตอนที่ชัดเจน 6)บันทึกปัญหาพร้อมระบุวิธีการแก้ไข ผ่านแบบบันทึก 7)ตรวจสอบผลการแก้ไขปัญหาเป็นระยะผ่านการโทรศัพท์หรือปรึกษาผ่านไลน์ ให้ความรู้และ ฝึกทักษะซ้ําในส่วนที่ขาด หรือปฏิบัติได้ไม่ถูกต้อง สรุปปัญหาที่พบและวิธีแก้ไขที่สําเร็จ ตั้งเปูาหมายในการ ปูองกันปัญหาหรือแก้ไขปัญหา ประเมินความรู้และทักษะการแก้ไขปัญหาหลังได้รับโปรแกรม 6 เดือนหลัง จําหน่ายโดยแบบวัดความรู้และทักษะการแก้ปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง ผลการศึกษา ข้อมูลทั่วไป กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งเป็นเพศหญิง จํานวน 16 ราย (ร้อยละ 51.60) เพศชาย จํานวน 15 ราย (ร้อยละ 48.40) อายุเฉลี่ย 65.45+ 15.08 ปี (19- 87 ปี) ส่วนใหญ่เป็นโรคหลอดเลือดสมองชนิดตีบ/อุดตัน จํานวน 27 ราย(ร้อยละ 87.10) อีก 4 ราย เป็นโรคหลอดเลือดสมองชนิดแตก (ร้อยละ 12.90) ตาราง 1 เปรียบเทียบคะแนนความรู้ในการประเมินปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง ระหว่างก่อนและ หลังได้รับโปรแกรมเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณี (n=31) ด้วยสถิติทดสอบที คะแนน ก่อนได้รับโปรแกรม หลังได้รับโปรแกรม t-test p-value Min Max Mean+ SD Min Max Mean+ SD ความรู้ในการ ประเมินปัญหา 2 10 7.58+1.91 7 10 9.29+1.03 4.387 .000001* *p<.05 จากตาราง เปรียบเทียบคะแนนความรู้ในการประเมินปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง ระหว่างก่อนและหลังได้รับโปรแกรมเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณี(n=31) พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนน ความรู้หลังได้รับโปรแกรมสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ตาราง 2 เปรียบเทียบคะแนนทักษะการไขปัญหาของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง ระหว่างก่อนและหลังได้รับ โปรแกรมเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณี (n=31) ด้วยสถิติทดสอบที คะแนน ก่อนได้รับโปรแกรม หลังได้รับโปรแกรม t-test p-value Min Max Mean+ SD Min Max Mean+ SD ทักษะการแก้ไข ปัญหา 0 10 5.10+3.09 6 10 9.29+1.32 6.943 .000001* *p<.05


184 184 ตาราง 3 ความสัมพันธ์คะแนนความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจําวัน ระหว่างก่อนและหลังได้รับ โปรแกรมการเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณีโรคหลอดเลือดสมอง (n = 31) ด้วยสถิติทดสอบไคกําลัง สอง ข้อมูลส่วนบุคคล ก่อนได้รับโปรแกรม หลังได้รับโปรแกรม X 2 p- Value จํานวน ร้อยละ จํานวน ร้อยละ คะแนนความสามารถในการปฏิบัติ กิจวัตรประจ าวัน 0 – 70 คะแนน 75 – 100 คะแนน 22 9 71.00 29.00 10 21 32.30 67.70 6.039 0.015* *p<.05 การน าผลงานไปใช้ประโยชน์ 1. นําโปรแกรมการเยี่ยมบ้านโดยพยาบาลผู้จัดการรายกรณีไปใช้ในการดูแลต่อเนื่องผู้ปุวยกลุ่มโรค อื่น ๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางการพยาบาลที่ดีขึ้น 2. ขยายแนวคิดในการเสริมทักษะการแก้ไขปัญหาไปยังกระบวนการ หรือขั้นตอนอื่น ๆ ในการดูแล รักษา ทั้งผู้ปุวยใน ผู้ปุวยนอก และชุมชน อภิปรายสรุป ข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษา พบว่า คะแนนความรู้ในการประเมินปัญหาและคะแนนทักษะในการแก้ไขปัญหา ของผู้ปุวยโรคหลอดเลือดสมอง หลังได้รับโปรแกรมสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างได้รับการ ดูแลต่อเนื่อง ได้รับความรู้ที่เฉพาะเจาะจงรายด้าน มีการสอนซ้ํา ทําให้ผู้ปุวยและญาติมีความรู้และทักษะใน การแก้ไขปัญหา แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการเยี่ยมบ้านจากพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโรคหลอดเลือด สมองช่วยให้ผู้ปุวยและญาติได้รับการประเมินปัญหาที่ตรงประเด็น และมีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ เฉพาะเจาะจงรายบุคคล สอดคล้องกับ Ernest & Newell (1969) และ Newell & Simon (1972) ตาม แนวคิดและทฤษฎีในการแก้ไขปัญหาซึ่งใช้สถานการณ์จําลองให้บุคคลคาดการณ์ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและหา แนวทางการจัดการปัญหาก่อนเกิด ซึ่งส่งผลให้บุคคลสามารถจัดการรับมือกับปัญหาและแก้ไขได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สอดคล้องกับณัฐชา ทานะมัย (2551) การให้ความรู้และฝึกทักษะ ควรให้เฉพาะเจาะจงและ เหมาะสมกับสภาพปัญหาผู้ปุวยแต่ละราย ผ่านทางการสื่อสารที่หลากหลาย ตอบคําถามที่ผู้ปุวยและญาติได้ ทันความต้องการ ทําให้การให้ความรู้และฝึกทักษะได้ประโยชน์และมีประสิทธิภาพมาก ทําให้ผู้ปุวยและญาติ มีความมั่นใจในการประเมินปัญหาและหาแนวทางการแก้ไขผู้ปุวยปลอดภัย เอกสารอ้างอิง World Health Organization. (2015). The global burden of disease. [cited 2017 November 1] from: http//www.who.int สํานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค . [online]. [ cited 2015 Aug 13]; Available from : URL : http://thaincd.com/information-statistic / non-communicable-disease-data.php World Stroke Organization: WSO. World Stroke Campaign. 2015. Retrieved from http://www.world-stroke.org วันที่ค้นข้อมูล 23 มกราคม 2561.


Click to View FlipBook Version