The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

รวมสรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ – พ.ศ. ๒๕๕๕ ส าหรับเจ้าหน้าที่ ที่ กสร. ๑๘/๒๕๕๖ กองนิติการ พฤษภาคม ๒๕๕๖ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน


รวมสรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ - พ.ศ. ๒๕๕๕ พิมพ์ครั้งที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จ านวน ๑,๐๐๐ เล่ม หน่วยงาน กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ ๐ ๒๒๔๖ ๗๐๓๙ โทรสาร ๐ ๒๒๔๖ ๗๕๘๙ Website www.Labour.go.th เลขหนังสือ ที่ กสร. ๑๘/๒๕๕๖ พิมพ์ที่ โทรศัพท์


“กฎหมายมีไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม ดังนั้น ความยุติธรรมจึงต้องมาก่อนกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งคือ กฎหมายจะต้องใช้ เพื่อสนองเป้าหมายของความยุติธรรมเป็นส าคัญ” พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แด่เนติบัณฑิต ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐ โทร. ๐ ๒๒๔๖ ๗๐๓๙ แฟกซ์ ๐ ๒๒๔๖ ๗๕๘๙ www.labour.go.th


ค ำน ำ การหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องข้อกฎหมายก็เพื่อเป็นแนวทาง การปฏิบัติงาน ในการตีความกฎหมายและหรือวินิจฉัยข้อกฎหมายในแต่ละเรื่อง ดังนั้น การศึกษา แนวสรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องเกี่ยวกับแรงงาน จะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง กับการใช้กฎหมายแรงงาน ซึ่งจะมีหลักการและสาระส าคัญบางเรื่องที่มีประโยชน์ส าหรับเจ้าหน้าที่ หนังสือสรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เล่มนี้ ได้รวบรวมความเห็นของคณะกรรมการ กฤษฎีกาเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายแรงงานที่หน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้หารือไปยังส านักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นเป็นเรื่องเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ ในการศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในเจตนารมณ์หลักการ และบทบัญญัติกฎหมายด้านแรงงาน และสามารถน าไปปฏิบัติ ให้ค าแนะน าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ต่อไป กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พฤษภาคม ๒๕๕๖


ก สารบัญ สารบัญ เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ที่ ๒๔๔/๒๕๑๕ ปัญหาเกี่ยวกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ (กรณีพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ฉบับที่ ๒ ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ที่ ๑๘๓/๒๕๑๗ ค าร้องของพนักงานโรงงานยาสูบ การรถไฟฯ และการท่าเรือ ขอให้แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การยึดและอายัดเงินเดือน ค่าจ้างและเงินโบนัส ส านักงาน คณะกรรมการตรวจ และติดตามผล การปฏิบัติราชการ ๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่ ๒๕๐/๒๕๑๘ การจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่ ๒๑/๒๕๑๙ การตีความหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน (กรณีองค์การสวนยาง) ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๙ ที่ ๑๓๑/๒๕๑๙ กฎหมายแรงงานที่เกี่ยวกับธนาคาร แห่งประเทศไทย(ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็น กิจการที่ไม่อยู่ในบังคับแห่พระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หรือไม่) ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๑๑


ข สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๒๐๕/๒๕๑๙ การจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ถูกสั่งให้ออก จากงานฐานขาดคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการ และพนักงารัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๑๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ที่ ๑๓๓/๒๕๒๐ หารือปัญหากฎหมายแรงงาน (กรณีองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย) กระทรวงคมนาคม ๑๖ ที่ ๓๓๗/๒๕๒๐ หารือปัญหากฎหมายแรงงาน (กรณีบริษัท เอเอ็มซีเซอร์วิสจ ากัด ด าเนินกิจการรับจ้างท างานบ้านทั่วไป) กรมแรงงาน ๑๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ ๒๗๑/๒๕๒๒ ขอความเห็นในปัญหาเกี่ยวกับการใช้ ข้อบังคับพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ แก่ส านักงานตลาดของ กรุงเทพมหานคร กรมแรงงาน ๒๒ ที่ ๔๐๔/๒๕๒๒ การจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน (กรณีองค์การสารส้ม) ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๒๔ ที่ ๔๑๐/๒๕๒๒ การจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน (กรณีพลตรีดวง แก้วโกมุท) ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๒๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่ ๑๐๐/๒๕๒๓ การก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ของ การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ๒๙


ค สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปีพ.ศ. ๒๕๒๔ ที่ ๑๔๒/๒๕๒๔ หารือปัญหาข้อกฎหมายพระราชบัญญัติ คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ (อ านาจของกองตรวจคนเข้าเมือง กรมต ารวจ และคณะกรรมการพิจารณา คนเข้าเมืองที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าว ท างานและเรียกเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ประกอบการพิจารณา) กรมแรงงาน ๓๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่ ๔๔๗/๒๕๒๖ การจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพประเภท ๒ เมื่อออกจากงานโดยมีเวลาท างาน ครบห้าปีบริบูรณ์ตามพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ ส านักงาน คณะกรรมการ การศึกษาเอกชน ๓๔ ที่ ๔๙๖/๒๕๒๖ หารือปัญหาข้อกฎหมาย (การลาของพนักงาน อ.ส.ม.ท. ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้าง ในศาลแรงงานกลาง เพื่อเข้ารับการอบรม และไปปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบ จะถือเป็นการลาเพื่อไปร่วมประชุม ตามที่ทางราชการก าหนด ตามนัยมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่) กรมแรงงาน ๓๖


ง สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ที่ ๒๕๘/๒๕๒๗ หารือปัญหากฎหมาย (ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด สาขาภูเก็ต จะถือว่าเป็นสถานประกอบกิจการแห่งหนึ่ง ซึ่งลูกจ้างมีสิทธิจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง ได้ตามมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่) กรมแรงงาน ๓๘ ที่ ๔๓๖/๒๕๒๗ ขอหารือปัญหาข้อกฎหมาย (การแก้ไขประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน โดยแก้ไข ค านิยาม “ค่าทดแทน” ให้คลุมถึงค่าฟื้นฟู สมรรถภาพในการท างาน) กรมแรงงาน ๔๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ที่ ๓๑๙/๒๕๒๘ เงินค่าชดเชยการใช้หรือยืมเครื่องบิน ของกองทัพอากาศ (เงินค่าชดเชย ซึ่งกองทัพอากาศจะได้รับในการให้ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจใช้หรือยืม เครื่องบินล าเลียง เป็นเงินในลักษณะ ตามความในมาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ หรือไม่) ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๔๒


จ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ที่ ๗๒/๒๕๒๙ การก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ ารายเดือน (อ านาจหน้าที่ของคณะกรรมกฤษฎีกา ตามระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็น ทางกฎหมายฯ (ข้อ ๙)) กระทรวงการคลัง ๔๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ที่ ๓๔๑/๒๕๓๒ การตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ค้างช าระ เงินกองทุนเงินทดแทนตามประกาศของ คณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ กรมแรงงาน ๕๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่ ๗๖/๒๕๓๔ การโอนข้าราชการในส านักงานกองทุน เงินทดแทนในกรมแรงงานไปเป็นของ ส านักงานประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๓๓ กระทรวง มหาดไทย ๕๔ ที่ ๒๗๙/๒๕๓๔ การรับจดทะเบียนสมาคมพนักงารัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๒๖ วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๓๔ กรมแรงงาน ๕๖


ฉ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๔๘๒/๒๕๓๔ ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออก พระราชกฤษฎีกา ออกตามความใน พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๔(๖) รองนายกรัฐมนตรี (นายมีชัย ฤชุพันธุ์) ๕๘ ที่ ๕๑๔/๒๕๓๔ การเลือกตั้งและการแต่งตั้งกรรมการ ผู้แทนฝ่ายลูกจ้างและกรรมการ ผู้แทนฝ่ายนายจ้างในสภาที่ปรึกษาเพื่อ พัฒนาแรงงานแห่งชาติตามค าสั่งของ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ กรมแรงงาน ๖๐ ที่ ๖๘๔/๒๕๓๔ การชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานเกี่ยวกับสิทธิ และหน้าที่ของพนักงาน ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ กรมแรงงาน ๖๓


ช สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ ๒๐๐/๒๕๓๕ อ านาจของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ ในการพิจารณาค าร้องทุกข์ของพนักงาน หรือของสมาคมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในข้อบังคับของ รัฐวิสาหกิจ (มาตรา ๑๘(๒) แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๓๔) คณะปฏิรูป การปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ กรมแรงงาน ๖๖ ที่ ๓๕๗/๒๕๓๕ การเสนอชื่อบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกสมาคม นายจ้างหรือสหภาพแรงงานเข้าสมัคร รับเลือกตั้งเพื่อด ารงต าแหน่งเป็น ผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงาน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดี แรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ กรมแรงงาน ๖๘


ซ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๕๔๖/๒๕๓๕ การตีความพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ (กรณีการจ่ายเงินสมทบ ของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างรายเดือน ประโยชน์ทดแทนการคลอดบุตรและ ประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้จาก การคลอดบุตร คณะปฏิรูปการปกครอง แผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ส านักงาน ประกันสังคม ๗๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ที่ ๑๗๔/๒๕๓๖ การจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนที่เป็น ลูกจ้างรายเดือน ประโยชน์ทดแทน การคลอดบุตร และประโยชน์ทดแทน การขาดรายได้จากการคลอดบุตร ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กระทรวง มหาดไทย ๗๔ ที่ ๒๕๕/๒๕๓๖ สิทธิลาคลอดของลูกจ้างหญิงที่ลาคลอด ต่อเนื่องกันในระหว่างการใช้ประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครอง แรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ กับประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ กระทรวง มหาดไทย ๗๘


ฌ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ที่ ๒๐๙/๒๕๓๗ การแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับสวัสดิการของ พนักงานและลูกจ้างของการท่าอากาศยาน แห่งประเทศไทย การท่าอากาศยาน แห่งประเทศไทย ๘๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ที่ ๑๖๐/๒๕๓๘ การก าหนดเงินชดเชยภาระการขาดทุน จากการน าเขาปูนซีเมนต์ กรณีบริษัท ทีพีไอ โพลีน จ ากัด กรมการค้าภายใน ๘๕ ที่ ๓๒๐/๒๕๓๘ การจ่ายค่าชดเชยและการนับอายุการท างาน ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ๘๙ ที่ ๖๔๐/๒๕๓๘ การจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ส าหรับลูกจ้างประจ าของส่วนราชการ กรมบัญชีกลาง ๙๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่ ๒๗๘/๒๕๓๙ การขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุน เพื่อช่วยเหลือคนหางานไปท างาน ในต่างประเทศ (กรณีการท าสัญญาจ้างใหม่ กับนายจ้างเดิม) กรมการจัดหางาน ๙๓ ที่ ๔๗๘/๒๕๓๙ หลักเกณฑ์การค านวณนับระยะเวลา การเกษียณอายุของพนักงานรัฐวิสาหกิจ กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ๙๖


ญ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ ๒๘๔/๒๕๔๐ ความหมายของค าว่า “กรรมกร” ตามพระราชกฤษฎีกาก าหนดงานในอาชีพ และวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท า พ.ศ. ๒๕๒๒ (กรณียาม) กรมการจัดหางาน ๑๐๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ ๔๐/๒๕๔๒ หารือเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ สวัสดิการสังคม พ.ศ. .... กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ๑๐๕ ที่ ๔๙๘/๒๕๔๒ สถานภาพการเป็นกรรมการผู้แทนพนักงาน ในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (องค์การส่งเสริมกิจการโคนม แห่งประเทศไทย) กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ๑๐๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ที่ ๔๑/๒๕๔๔ การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ของ กรมการจัดหางานเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ๑๑๐ ที่ ๙๕/๒๕๔๔ การแก้ไขประกาศสมาคมผู้จัดการ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ส านักงาน คณะกรรมการ ก ากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ๑๑๔


ฎ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ (ต่อ) ที่ ๑๙๗/๒๕๔๔ ขอให้วินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับ การก าหนดเกษียณอายุการท างาน ของพนักงานตามระเบียบข้อบังคับ ของบริษัทฯ ไว้แตกต่างจากที่แจ้งต่อ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม นายประเสริญ พิงตุคุ ๑๒๐ ที่ ๕๑๕/๒๕๔๔ การเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การนายจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ๑๒๑ ที่ ๕๔๖/๒๕๔๔ การขยายความคุ้มครองประกันสังคม กับลูกจ้างในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง ๑ คนขึ้นไป กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ๑๒๕ ที่ ๕๘๕/๒๕๔๔ หารือปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ กรมทะเบียนการค้า ๑๒๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่ ๒๗๖/๒๕๔๕ อ านาจพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับ การจ่ายเงินทดแทน กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ๑๓๑


ฏ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ (ต่อ) ที่ ๔๖๙/๒๕๔๕ อ านาจในการสั่งหรือเรียกให้บุคคล ที่เกี่ยวข้องส่งเอกสารหลักฐานที่จ าเป็น มาเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗(๒) แห่งพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ส านักงาน ประกันสังคม ๑๓๕ ที่ ๕๑๒/๒๕๔๕ อ านาจของพนักงานตรวจแรงงาน ในการออกค าสั่งตามมาตรา ๑๒๔ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ (กรณีที่สิทธิเรียกร้อง ของลูกจ้างขาดอายุความทางแพ่ง) กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ๑๓๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่ ๕๕๘/๒๕๔๖ ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับประโยชน์ ทดแทนกรณีว่างงาน ตามพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ส านักงาน ประกันสังคม ๑๔๓ ที่ ๕๖๑/๒๕๔๖ หารือปัญหาบทบัญญัติมาตรา ๒๗ วรรคสอง (๑) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริม การพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ กรมพัฒนาฝีมือ แรงงาน ๑๔๕


ฐ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ (ต่อ) ที่ ๖๙๒/๒๕๔๖ หารือปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ส านักงาน คณะกรรมการ ก ากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ๑๔๗ ที่ ๗๒๖/๒๕๔๖ การก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย ๑๕๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ ๑๖๑/๒๕๔๗ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แรงงาน คนต่างด้าวจากนายจ้าง กรมการจัดหางาน ๑๕๔ ที่ ๒๙๐/๒๕๔๗ ผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามมาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ส านักงาน ประกันสังคม ๑๕๖ ที่ ๓๖๑/๒๕๔๗ ขอหารือปัญหาข้อกฎหมาย (กรณีมาตรา ๙๑ ตรีแห่งพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครอง คนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ จังหวัดหนองคาย ๑๕๘


ฑ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๓๘๒/๒๕๔๗ ความหมายของค าว่า “บุตร” ตามมาตรา ๗๓(๒) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ ส านักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ๑๕๙ ที่ ๔๕๓/๒๕๔๗ ขอหารือวิธีปฏิบัติในการวางเงินค่าทดแทน ในกรณีที่ไม่อาจทราบชื่อของผู้มีสิทธิได้รับ เงินค่าทดแทน กรมชลประทาน ๑๖๑ ที่ ๕๒๖/๒๕๔๗ ขอหารือเกี่ยวกับการว่าจ้างพนักงาน ซึ่งเกษียณอายุการปฏิบัติงานมาเป็นลูกจ้าง บริษัท ไทยเดินเรือ ทะเล จ ากัด ๑๖๒ ที่ ๕๓๖/๒๕๔๗ หารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดท าสัญญา จ้างแรงงานผู้บริหารระดับต่ ากว่ากรรมการ ผู้จัดการของธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) ๑๖๓ ที่ ๕๔๑/๒๕๔๗ หารือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ การท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ (คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในสถาบัน เทคโนโลยีแห่งเอเชีย และสมาชิกใน ครอบครัวจะได้รับยกเว้นการปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ หรือไม่) กรมการจัดหางาน ๑๖๕


ฒ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๑๐๓๕/๒๕๔๗ ขอหารือการบังคับใช้ระเบียบกระทรวง แรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงานขององค์การ เอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ กรมการจัดหางาน ๑๖๙ ที่ ๑๐๖๔/๒๕๔๗ สภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๔๓ (กรณีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคน าเงินเดือน ค่าจ้างที่ลูกจ้างได้เลื่อนเมื่อเกษียณอายุ เป็นฐานในการค านวณค่าชดเชยหรือเงิน เพื่อตอบแทนความชอบในการท างาน) กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ๑๗๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ ๓๖/๒๕๔๘ การจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้แก่พนักงานของศูนย์ให้ค าปรึกษา ทางการเงินส าหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และประชาชน (ศงป.) กระทรวงการคลัง ๑๗๗ ที่ ๓๗๐/๒๕๔๘ ขอทบทวนปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กระทรวงการคลัง ๑๘๐


ณ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๔๔๑/๒๕๔๘ หารือปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงาน ประกันสังคม ๑๘๕ ที่ ๕๓๙/๒๕๔๘ พิจารณาวินิจฉัยความหมายมาตรา ๒๓ และ ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ นายพิเชฐ กล่อมจิตต์ ๑๘๗ ที่ ๖๖๐/๒๕๔๘ ขอหารือเกี่ยวกับแนวปฏิบัติการด าเนินการ ปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินสมทบกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาคซึ่งจดทะเบียนแล้ว การไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค ๑๘๘ ที่ ๖๗๖/๒๕๔๘ การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน ของอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กตาม พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กรุงเทพมหานคร ๑๘๙ ที่ ๗๓๓/๒๕๔๘ ขอหารือเรื่องนิติสัมพันธ์นายจ้างกับลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงาน ประกันสังคม ๑๙๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่ ๗๐/๒๕๔๙ อ านาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริม การพัฒนาฝีมือแรงงานตามพระราชบัญญัติ ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ๑๙๓


ด สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๗๓/๒๕๔๙ ขอหารือนิติสัมพันธ์นายจ้างกับลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงานประกันสังคม ๑๙๕ ที่ ๑๖๕/๒๕๔๙ หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ การเข้ามาท างาน กรมการจัดหางาน ๑๙๖ ที่ ๓๓๐/๒๕๔๙ ขอหารือปัญหาข้อกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ ๒๐๐ ที่ ๓๙๙/๒๕๔๙ ค่าบริการอื่นที่จ าเป็นตามมาตรา ๖๓(๖) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กระทรวงแรงงาน ๒๐๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่ ๖๕๒/๒๕๕๐ ขอทบทวนความเห็นของคณะกรรมการ กฤษฎีกาเกี่ยวกับโครงการจัดหา และด าเนินการระบบงานเทคโนโลยี สารสนเทศแรงงาน กระทรวงแรงงาน ๒๐๕ ที่ ๖๙๕/๒๕๕๐ โครงการจัดหาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อรองรับการประกันสังคมกรณีว่างงาน ของส านักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ๒๑๖


ต สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ ๑๒๑/๒๕๕๑ การปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการค่าจ้าง ซึ่งพ้นจากต าแหน่งตามวาระในระหว่าง ที่ยังมิได้แต่งตั้งกรรมการใหม่เข้ารับหน้าที่ กระทรวงแรงงาน ๒๒๑ ที่ ๑๒๕/๒๕๕๑ หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ บทเฉพาะกาลตามมาตรา ๑๖๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ๒๒๕ ที่ ๔๗๙/๒๕๕๑ การพาลูกจ้างไปท างานในต่างประเทศ ตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ กรมการจัดหางาน ๒๒๘ ที่ ๗๓๗/๒๕๕๑ ขอทบทวนความเห็นของคณะกรรมการ กฤษฎีกาเกี่ยวกับสถานะของสมาคมนายจ้าง ในการเป็นองค์กรภาคเอกชนที่มี วัตถุประสงค์หลักด้านการพัฒนาแรงงาน ตามมาตรา ๖ (๑) (ช) (๓) แห่งพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๓ ส านักงานสภา ที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ๒๓๑


ถ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๘๓๖/๒๕๕๑ ประโยชน์ตอบแทนของพนักงานและลูกจ้าง ของธนาคาร แห่งประเทศไทย ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติ ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ธนาคารแห่ง ประเทศไทย ๒๓๖ ที่ ๘๕๔/๒๕๕๑ การน าเงินกองทุนประกันสังคมไปใช้จ่าย หรือจัดหาผลประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการให้บริการทางการแพทย์ แก่ผู้ประกันตน กระทรวงแรงงาน ๒๓๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ ๒๗๕/๒๕๕๒ ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ (กรณีนายจ้างจ่ายเงินให้ลูกจ้าง เมื่อนายจ้างหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน เป็นการชั่วคราว) ส านักงาน ประกันสังคม ๒๔๒ ที่ ๖๙๘/๒๕๕๒ สถานภาพความเป็นผู้ประกันตนตาม พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ของลูกจ้างบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) ส านักงาน ประกันสังคม ๒๔๗


ท สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ ๒๖/๒๕๕๔ ความชอบด้วยกฎหมายของระเบียบ กระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการในการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเป็นกรรมการส่งเสริม การพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๓ กระทรวงแรงงาน ๒๕๓ ที่ ๕๘/๒๕๕๔ สถานภาพความเป็นผู้ประกันตนตาม พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ของพนักงานจ้างเหมาที่ปฏิบัติงาน ในมหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยทักษิณ ๒๕๖ ที่ ๒๒๓/๒๕๕๔ ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ (กรณีเงินเพิ่มการครองชีพ ชั่วคราวของพนักงานราชการ) กระทรวงแรงงาน ๒๕๙ ที่ ๒๘๗/๒๕๕๔ การคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษา สมทบในศาลแรงงานฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้างตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ๒๖๒ ที่ ๓๖๗/๒๕๕๔ การสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงาน ประกันสังคม ๒๖๔


ธ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๙๑๘/๒๕๕๔ บัตรผ่านแดนเป็นเอกสารใช้แทนหนังสือ เดินทางตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง หรือไม่ กรมการจัดหางาน ๒๖๖ ที่ ๙๒๐/๒๕๕๔ อ านาจนายทะเบียนตามมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ กรมสวัสดิการ และคุ้มครอง แรงงาน ๒๗๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ ๗๓/๒๕๕๕ การด าเนินคดีอาญากรณีนายจ้างน าค าสั่ง ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่สั่งตาม มาตรา ๑๒๕ แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๑๘ ไปฟ้องเพิกถอนต่อศาลแรงงาน กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ๒๗๔ ที่ ๑๗๘/๒๕๕๕ การขยายก าหนดเวลาการน าส่งเงินสมทบ ของนายจ้าง ตามพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ส านักงาน ประกันสังคม ๒๗๗ ที่ ๗๔๑/๒๕๕๕ โรงเรียนนานาชาติจะต้องยื่นแบบลงทะเบียน จ่ายเงินสมทบให้แก่บุคลากรทางการศึกษา ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ หรือไม่ กระทรวงแรงงาน ๒๘๑


น สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๙๔๐/๒๕๕๕ การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ให้แก่ลูกจ้างในโครงการสมัครใจลาออก หรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนด ส านักงาน ประกันสังคม ๒๘๘ ที่ ๑๐๓๓/๒๕๕๕ ข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินทดแทน กรณีลูกจ้างเสพของมึนเมา ส านักงานประกันสังคม ๒๙๑ ที่ ๑๔๑๑/๒๕๕๕ การเรียกหรือรับค่าใช้จ่ายตาม กฎหมายว่าด้วยการจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน ๒๙๔ ที่ ๑๕๗๙/๒๕๕๕ องค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณา ร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงาน ๒๙๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ ๒๙๙/๒๕๕๖ การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง ตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๑๘ กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ๒๙๘ ที่ ๓๐๑/๒๕๕๖ การด าเนินคดีอาญานายจ้างตาม พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ๓๐๒ ที่ ๓๓๔/๒๕๕๖ การเป็นลูกจ้างตามพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ส านักงาน ประกันสังคม ๓๐๕


บ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) เรื่องเสร็จ เรื่อง ผู้หารือ หน้า ที่ ๓๓๕/๒๕๕๖ หารือปัญหาข้อกฎหมายกรณี การท าสัญญาโอนการจ้างระหว่าง ธนาคารธนชาต จ ากัด (มหาชน) ธนาคารนครหลวงไทย จ ากัด (มหาชน) และพนักงานธนาคารนครหลวงไทย จ ากัด (มหาชน) กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ๓๐๗


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๑๕


หน้า ๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้แจ้งไปยังส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยหนังสือ ด่วนมาก ที่ สร.๐๒๐๓/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ความว่า ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๕) ได้พิจารณาปัญหาเกี่ยวกับ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งออกโดยอาศัยอ านาจตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ แล้ว มีความเห็นแตกต่างกันแยกเป็นสองฝ่าย กรรมการฝ่ายข้างมากเห็นว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ มิได้มีค านิยาม ค าว่า นายจ้างและลูกจ้างไว้ฉะนั้น จึงต้องถือความหมายตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ที่ก าหนดความหมายของนายจ้างและลูกจ้างไว้นั้นก็ไม่เป็นการขัดกับประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฝ่ายข้างมากเห็นว่าพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยมีฐานะเป็น ลูกจ้างของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงต้องอยู่ภายใต้ บังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน แต่กรรมการฝ่ายข้างน้อยเห็นว่า พนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่มีลักษณะเป็นลูกจ้างตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ และไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน เพราะประกาศฉบับนี้จะใช้บังคับได้เฉพาะแต่นายจ้างและลูกจ้างเท่านั้น ต่อมาเมื่อกระทรวงคมนาคม ได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วก็ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๕) ฝ่ายข้างมากแต่มีความเห็นสอดคล้องกับฝ่ายข้างน้อยและเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายครบคณะ) พิจารณาให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ดังปรากฏรายละเอียดตามส าเนาหนังสือกระทรวงคมนาคม ด่วนมาก ที่ คค. ๐๒๐๑/๒๒๘๗ ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายครบคณะ) ได้พิจารณาปัญหา เรื่องดังกล่าวข้างต้นโดยมีผู้แทนกระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) และกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) ร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ ด้วยแล้ว มีความเห็นดังนี้ (๑) โดยที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ มิได้ก าหนดความหมายของค าว่า “นายจ้าง” และ “ลูกจ้าง” ไว้ จึงต้องพิจารณาความหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นบทกฎหมายทั่วไป ซึ่งตามมาตรา ๕๗๕ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ความหมายไว้ว่า ลูกจ้าง หมายถึง ผู้ซึ่งตกลงจะท างานให้แก่ นายจ้างและนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ท างานให้ ความเกี่ยวพันระหว่างนายจ้างและ ลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีลักษณะเป็นความเกี่ยวพันตามสัญญาในกฎหมาย เอกชน คือ สัญญาจ้างแรงงาน แต่ความเกี่ยวพันระหว่างพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยกับ เรื่องเสร็จที่ ๒๔๔/๒๕๑๕ เรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ (กรณีพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ฉบับที่ ๒


หน้า ๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การรถไฟแห่งประเทศไทยมีลักษณะเป็นความเกี่ยวพันตามกฎหมายและข้อบังคับที่ออกโดยอาศัย อ านาจกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ กล่าวคือ การบรรจุ การแต่งตั้ง และการถอดถอนพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยตลอดจนระเบียบวินัย การลงโทษพนักงานและระเบียบปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยต้องเป็นไปตามข้อบังคับ ซึ่งคณะกรรมการของการรถไฟแห่งประเทศไทยก าหนดขึ้นโดยอาศัยอ านาจตามมาตรา ๒๕(๓) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และข้อบังคับดังกล่าวนี้ คณะกรรมการของการรถไฟแห่งประเทศไทยจะก าหนดขึ้นเองตามอ าเภอใจก็หาได้ไม่ ต้องเสนอให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาให้ความเห็นชอบ ถ้ารัฐมนตรีไม่ให้ความเห็นชอบข้อบังคับ ดังกล่าวนั้นก็ไม่อาจใช้บังคับได้ (มาตรา ๔๐) นอกจากนี้กิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามกฎหมายก็อาจถือได้ว่าเป็นกิจการของรัฐต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมของรัฐบาล การแต่งตั้ง และการให้ออกจากต าแหน่งของพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยบางต าแหน่งต้องได้รับ ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเช่น ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือถ้าเป็นพนักงานชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้อ านวยการฝ่ายต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน (๒) ลักษณะความเกี่ยวพันระหว่างพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยกับ การรถไฟแห่งประเทศไทยดังกล่าวใน (๑) จึงเห็นได้ว่ามีลักษณะเป็นความเกี่ยวพันตามกฎหมาย และข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอ านาจกฎหมายโดยตรงท านองเดียวกับความเกี่ยวพันระหว่าง ข้าราชการกับกระทรวง ทบวง กรม หาใช่เป็นความเกี่ยวพันที่เกิดขึ้นโดยสัญญาในกฎหมายเอกชน โดยมีการแลกเปลี่ยนการแสดงเจตนาและมีการท าความตกลงยินยอมหรือก าหนดวัตถุประสงค์ แห่งสัญญาอย่างเดียวกับสัญญาจ้างแรงงานในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ นอกจากนี้ สิทธิและหน้าที่ของพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยก็เช่นเดียวกับสิทธิและหน้าที่ของ ข้าราชการ มิได้ก าหนดขึ้นโดยสัญญา แต่ได้ก าหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับ กล่าวคือ เป็นความเกี่ยวพันอันมีกฎหมายวางหลักบังคับไว้ก่อนแล้วส าหรับต าแหน่งหน้าที่นั้นๆ และใช้บังคับ แก่บุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้องเป็นหลักทั่วไป กฎหมายและข้อบังคับนั้นไม่ได้ท าขึ้นด้วยความตกลง ยินยอมของบุคคลผู้ได้รับแต่งตั้งให้ด ารงต าแหน่งหน้าที่การงานเหมือนกับสัญญาแต่อย่างใด ความเกี่ยวพันดังกล่าวแล้วจึงถือได้ว่ามิใช่ความเกี่ยวพันระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ตามสัญญา ปัญหากฎหมายข้อนี้ได้มีค าพิพากษาฎีกา ที่ ๗๖๙/๒๕๐๕ วินิจฉัยไว้ว่า กระทรวง ทบวง กรม กับข้าราชการมิได้เป็นคู่กรณี แสดงเจตนา ตกลงกระท านิติกรรม ผู้เข้ารับราชการต้องมีคุณสมบัติ และมีการปฏิบัติงานตามที่ฝ่ายปกครองก าหนดไว้ ค่าตอบแทน การบังคับบัญชา และรักษาวินัย การออกจากราชการ และสิทธิในบ าเหน็จบ านาญย่อมเป็นไปตามกฎหมาย หาได้เป็นไปตามผล ในทางนิติกรรมไม่ (๓) เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ที่ให้ อ านาจคณะกรรมการของการรถไฟแห่งประเทศไทยก าหนดข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง และการถอดถอนพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระเบียบปฏิบัติงานของการรถไฟแห่ง ประเทศไทย และระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานของการรถไฟฯ ตลอดจนข้อบังคับว่าด้วย กองทุนสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานและครอบครัวในกรณีพ้นจากต าแหน่ง ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือกรณีอื่นอันควรสงเคราะห์ ซึ่งข้อบังคับทั้งหมดนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีหรือ


หน้า ๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะรัฐมนตรีจึงจะใช้บังคับได้แล้ว ย่อมเห็นได้ว่าความเกี่ยวพันระหว่างพนักงานของการรถไฟ แห่งประเทศไทยกับการรถไฟแห่งประเทศไทยต้องเป็นไปตามข้อบังคับซึ่งออกโดยอาศัยอ านาจ ตามกฎหมายว่าด้วยการรถไฟแห่งประเทศไทย หาได้เป็นไปตามสัญญาแต่อย่างใดไม่ พนักงาน ของการรถไฟแห่งประเทศไทยจึงมิได้มีลักษณะเป็นลูกจ้างตามสัญญาในประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ และไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ เพราะประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ซึ่งเป็นแม่บท ที่ให้อ านาจออกประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวนั้น เจตนาจะใช้บังคับได้แต่เฉพาะแก่นายจ้าง และลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น หาได้มีผลบังคับแก่ผู้ที่มิได้มีฐานะเป็น ลูกจ้างหรือนายจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น พนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทยด้วยไม่ (๔)อนึ่ง มีข้อที่ควรสังเกตเกี่ยวกับประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ว่าประกาศฉบับนี้มีความมุ่งหมายที่จะให้ความคุ้มครองแรงงานแก่ ลูกจ้างก าหนดความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับ ลูกจ้างให้เป็นไปโดยวิธีปรองดองและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย จึงได้ยกเลิกเฉพาะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๙ ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ และพระราชบัญญัติก าหนด วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน พ.ศ. ๒๕๐๘ เท่านั้น หาได้มีบทบัญญัติให้ยกเลิกบทกฎหมายอื่นที่ขัดหรือแย้งกับประกาศของ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ เป็นการทั่วไปไม่ ฉะนั้น จึงไม่มีผลลบล้างข้อบังคับของการรถไฟ แห่งประเทศไทย ซึ่งได้ก าหนดโดยอาศัยอ านาจพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษด้วย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมษายน ๒๕๑๖ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปีพ.ศ. ๒๕๑๗


หน้า ๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฏีกา ตามหนังสือส านักงานคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ ที่ สร .๐๕๐๑/๓๐๐ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๗ ความว่า คณะกรรมการสอบสวนตามค าร้อง ของราษฎรขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับเรื่องหนี้สิน (ก.ส.ส.) ได้รับค าร้องของพนักงานโรงงานยาสูบ การรถไฟฯ และการท่าเรือฯ จ านวนมากขอให้แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยึดอายัดเงินเดือน ค่าจ้าง และโบนัส ซึ่งคณะกรรมการ ก.ส.ส. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า พนักงานดังกล่าวได้รับความ เดือดร้อนมากจึงได้กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เสนอให้แก้กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖ ก าหนดให้เงินเดือน ค่าจ้าง และรายได้อื่น เช่น โบนัสของพนักงานของรัฐวิสาหกิจ อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินเดือน หรือรายได้อื่นเพื่อให้ผู้มีรายได้ สามารถครองชีพใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย และการศึกษาของบุตร ซึ่ง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีบัญชาให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาในแง่ กฎหมายและข้อเสนอในการแก้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อด าเนินการต่อไปนั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาเอกสารประกอบเรื่องดังกล่าวข้างต้น คือ บันทึกข้อความของส านักงานคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการด่วนมาก ที่ สร. ๐๕๐๑/ผต./พ. ลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๗ แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงจากการด าเนินการ สอบสวนของคณะกรรมการ ก.ส.ส. ว่า พนักงานโรงงานยาสูบเป็นหนี้นายทุนตามสัญญาเงินกู้ ๔๖๘ ราย ท าสัญญาลงจ านวนเงินต้นสูงกว่าเงินที่ออกให้กู้ในอัตรา ๑,๐๐๐ บาท ต่อ ๑๐,๐๐๐ บาท เก็บดอกเบี้ยเป็นรายสัปดาห์ร้อยละ ๒.๕๐-๓.๐๐ บาท หรือร้อยละ ๑๒๐ บาท ต่อปี พนักงานรถไฟ มีค าร้องประมาณ ๓๐๐ ราย สอบสวนได้เพียง ๑๒๔ ราย มีเจ้าหนี้รายใหญ่ คือ นายจ าลอง พานิชกุล และบุตรสาว นางวลีรัตน์ อร่ามกุล ใช้วิธีการให้ลูกหนี้ท าสัญญากู้ย้อนหลังโดยคิดดอกเบี้ย ในอัตราสูงรวมกับเงินต้นเสียก่อนแล้วน าคดีขึ้นฟ้องศาลให้ศาลบังคับคดีเท่าที่มีตัวเลขปรากฏตามรายงาน การสอบสวนของกองบัญชาการคณะปฏิวัติเดิม จ านวนเงินที่ลงไว้ในสัญญา ๖,๙๕๑,๑๐๐ บาท ได้มีการผ่อนใช้เงินต้นและดอกเบี้ยไปแล้ว ๔,๕๖๕,๕๘๒.๕๙ บาท พนักงานรถไฟที่ร้องขอความ ช่วยเหลือมาส่วนมากเมื่อถูกหักเงินเดือนและค่าแรงตามหมายศาลแล้วจะเหลือเงินกลับไปเลี้ยง ครอบครัวประมาณเดือนละ ๔๐-๑๐๐ บาท เป็นอย่างสูง เมื่อไม่พอกินก็ต้องกลับไปท าสัญญากู้ยืม มากินมาใช้อีกจากข้อเท็จจริงดังกล่าว ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าพฤติการณ์ ของนายทุนที่กระท าแก่พนักงานโรงงานยาสูบและพนักงานรถไฟอาจด าเนินการได้ทั้งทางคดีแพ่ง และคดีอาญา ๑. คดีแพ่ง โดยที่สัญญากู้เงินนี้เป็นสัญญาที่เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราซึ่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ บัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญาก าหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้นก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี” จึงเป็นสัญญาที่ต้องห้าม ตามกฎหมายและเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญากู้เงิน เรื่องเสร็จที่ ๑๘๓/๒๕๑๗ เรื่อง ค าร้องของพนักงานโรงงานยาสูบ การรถไฟฯ และการท่าเรือฯ ขอให้แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยึดและอายัดเงินเดือน ค่าจ้างและเงินโบนัส


หน้า ๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฏีกา ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๑๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส าหรับกรณีที่ นายจ าลอง พานิชกุล และนางวลีรัตน์ อร่ามกุล ซึ่งใช้วิธีการให้ลูกหนี้ท าสัญญากู้ย้อนหลัง โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงรวมกับเงินต้นเสียก่อนแล้วน าคดีขึ้นฟ้องศาลให้ศาลบังคับคดีเมื่อศาลบังคับคดี และออกหมายอายัดเงินเดือนกับเงินค่าแรงอื่นๆ ให้แล้วเจ้าหนี้จึงจ่ายเงินให้แก่ลูกหนี้นั้น วิธีการดังกล่าวนี้ถ้าไม่มีหลักฐานพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราแล้ว น่าจะถือว่า เป็นนิติกรรมอ าพรางตามมาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อีกด้วย และขอให้ ศาลบังคับตามเจตนาอันแท้จริงการน าพยานบุคคลมาสืบเพื่อหักล้างพยานเอกสารนั้น วรรคสอง ของมาตรา ๙๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ได้บัญญัติให้ท าได้เพื่อประกอบ ข้ออ้างว่าพยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือสัญญา หรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด ฉะนั้น จึงไม่เป็นการยากที่จะให้ศาลพิพากษาว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นโมฆะได้ ๒. คดีอาญา การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นความผิดตามมาตรา ๓ แห่ง พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช ๒๔๗๕ ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินพันบาทหรือทั้งจ าทั้งปรับ ในกรณีที่ก าหนดจ านวนเงินกู้ในสัญญาไม่ตรงต่อความ เป็นจริงก็มีความผิดในท านองเดียวกัน การให้บุคคลจ านวนมากกู้เงินโดยใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยเกินอัตราและ บีบบังคับลูกหนี้ให้ได้รับความเดือดร้อนดังที่นายจ าลอง พานิชกุล และครอบครัวกระท าถือได้ว่าเป็น ความผิดฐานก่อกวนความสงบเรียบร้อย และบ่อนท าลายเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี โดยมติของคณะรัฐมนตรีมีอ านาจสั่งการหรือกระท าการใดๆ ได้ตามมาตรา ๑๗ แห่งธรรมนูญ การปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๑๕ นอกจากความผิดตามที่กล่าวแล้วบางกรณีอาจเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา ๓๔๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับได้อีก ๓. การแก้ไขกฎหมาย การยึดหรืออายัดเงินเดือนของลูกหนี้นั้น มีมาตรา ๒๘๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ตามค าพิพากษาต่อไปนี้ไม่อยู่ในความรับผิด แห่งการบังคับคดี (๑) เบี้ยเลี้ยงชีพ ซึ่งกฎหมายก าหนดไว้และเงินรายได้เป็นคราวๆ อันบุคคลภายนอก ได้ยกให้เพื่อเลี้ยงชีพเป็นจ านวนไม่เกินกว่าเดือนละสี่สิบบาท (๒) เงินเดือน บ านาญ บ าเหน็จ และเบี้ยหวัดของข้าราชการหรือคนงานของรัฐบาล และบ านาญที่รัฐบาลได้จ่ายให้แก่ญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น (๓)ค่าชดใช้ค่าจ้าง และบ านาญของเสมียน คนงาน หรือคนใช้อื่นๆ นอกจากที่ กล่าวไว้ในอนุมาตรา (๒) แต่ถ้าค่าจ้างและบ านาญนั้นเกินกว่าเดือนละสี่สิบบาทส่วนที่เกินนั้น ถ้ามิได้มีกฎหมายพิเศษบังคับไว้ประการใดแล้ว ให้อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีได้ จนถึงจ านวนที่ศาลจะก าหนดตามที่เห็นสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆ ไป” โดยที่พนักงาน รัฐวิสาหกิจ เช่น พนักงานโรงงานยาสูบ การรถไฟฯ และการท่าเรือฯ นั้น จะมีฐานะเป็น “คนงานของ


หน้า ๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฏีกา รัฐบาล” ตามมาตรา ๒๘๖ (๒) หรือไม่ ยังไม่มีการตีความให้แน่ชัดจึงแล้วแต่ศาลจะใช้ดุลพินิจ ว่ารัฐวิสาหกิจในรูปองค์การของรัฐบาลจะเป็น “รัฐบาล” ตามความหมายของมาตรา ๒๘๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนี้หรือไม่แต่การที่ศาลสั่งยึดหรืออายัดเงินเดือน ของพนักงานรัฐวิสาหกิจดังกล่าวก็เป็นการแสดงอยู่แล้วว่าศาลมีความเห็นว่าพนักงานขององค์การ ของรัฐบาลไม่รวมอยู่ในความหมายของ “คนงานของรัฐบาล” และศาลมีอ านาจยึดหรืออายัดเงินเดือนได้ ตามที่เห็นสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆ ไป ตาม (๓) ของมาตรา ๒๘๖ การที่ศาลก าหนดให้ลูกหนี้มีเงินเลี้ยงครอบครัวไว้เพียงประมาณเดือนละ ๔๐-๑๐๐ บาท นั้นน่าจะไม่เหมาะสมเพราะตามสภาพของค่าครองชีพในปัจจุบันลูกหนี้ไม่อาจเลี้ยง ตนเองและครอบครัวด้วยจ านวนเงินดังกล่าวได้อย่างแน่นอน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงมีความเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งมาตรา ๒๘๖ ที่ก าหนดเงินเดือน ค่าจ้างที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี เพียง ๔๐ บาท นี้ควรจะปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันเพราะประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งนี้ได้ตราขึ้นเกือบ ๔๐ ปีมาแล้ว ไม่อาจสร้างความเป็นธรรมให้แก่ลูกหนี้ได้ เพียงพอ อนึ่ง ขณะนี้ได้มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่…) พ.ศ.... เพื่อแก้ไขปัญหานี้เช่นเดียวกันซึ่งรัฐบาล ได้รับร่างพระราชบัญญัติมาพิจารณาก่อนรับหลักการแล้ว ตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีหลักการบัญญัติให้เงินเดือน บ านาญบ าเหน็จ และเบี้ยหวัดของข้าราชการ หรือคนงานของรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจ และเงินสงเคราะห์ที่รัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจจ่ายให้แก่คู่สมรส หรือบุตรของข้าราชการ หรือคนงานของรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจ และบ านาญที่รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจได้จ่ายให้แก่ญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้นไม่อยู่ใน ความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนค่าชดใช้ค่าจ้าง บ านาญ และเงินสงเคราะห์ของพนักงาน คนงานอื่น ให้ศาลก าหนดจ านวนที่เห็นสมควรแต่ต้องไม่ต่ ากว่าเงินเดือนขั้นต่ าสุดของข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าเป็นหลักการที่น่าจะรับไว้พิจารณาได้ เพราะการ แก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามหลักการที่คณะกรรมการ ก.ส.ส. ได้เสนอมาโดย บัญญัติให้เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัสของพนักงานของรัฐวิสาหกิจอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ไม่เกินร้อยละ ๒๕ นั้น อาจจะมีข้อโต้แย้งได้สองประการ คือ ประการแรกเป็นการก าหนดจ านวน เงินขั้นต่ าตามอัตราส่วนร้อยละของรายได้ซึ่งอาจไม่มีความสัมพันธ์กับ “ความจ าเป็น” ที่แท้จริงในการ ครองชีพเพราะรายได้ขั้นต่ าที่จ าเป็นแก่การครองชีพของบุคคลควรก าหนดได้เป็นจ านวนเงินแน่นอน ส่วนพฤติการณ์อื่นๆ ที่อาจท าให้มีการใช้จ่ายมากขึ้นกว่านั้นควรจะเป็นดุลพินิจของศาลที่จะ พิจารณาก าหนดเพิ่มขึ้นได้ และประการที่สอง การจัดประเภทของพนักงานขององค์การของรัฐ น่าจะจัดรวมอยู่กับประเภท “คนงานของรัฐบาล” ตามมาตรา ๒๘๖ (๒) ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งมากกว่าที่จะจัดรวมอยู่กับคนงานของเอกชน ห้างร้านทั่วไปตามมาตรา ๒๘๖ (๓) ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๑๗ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๑๘


หน้า ๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา หนังสือส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีด่วนมาก ที่ สร.๐๒๐๓/๑๕๙๙๙ ลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๘ ถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงการคลังขอให้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นว่ารัฐวิสาหกิจหรือวิสาหกิจเอกชนที่มี ระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการจ่ายเงินกองทุนเลี้ยงชีพ หรือกองทุนสงเคราะห์ หรือกองทุน บ าเหน็จพนักงานให้พนักงานและลูกจ้างที่ออกจากงาน รวมทั้งกรณีที่ต้องพ้นจากหน้าที่เพราะ ครบเกษียณอายุและได้รับเงินบ าเหน็จบ านาญหรือเงินกองทุนสงเคราะห์หรือกองทุนเลี้ยงชีพ เป็นจ านวนไม่น้อยกว่าเงินชดเชยแล้ว จะต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ ๔๖ แห่งประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๗ อีกด้วยหรือไม่นั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๗) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวพร้อมด้วยตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า ความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ ของการจัดให้มีกองทุนเลี้ยงชีพหรือกองทุนสงเคราะห์หรือกองทุนบ าเหน็จพนักงานและลูกจ้าง ก็เพื่อช่วยเหลือพนักงานและลูกจ้างเมื่อออกจากงาน โดยจ่ายให้ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ใน ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับกองทุนนั้นๆ ซึ่งจ านวนเงินที่พนักงานและลูกจ้างได้รับจากกองทุน ดังกล่าวโดยปกติจะมีจ านวนเงินมากกว่าค่าชดเชยที่พนักงานและลูกจ้างจะได้รับตามประกาศ กระทรวงมหาดไทย ส่วนการจ่ายเงินค่าชดเชยตามข้อ ๔๖ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครอง แรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๗ นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพนักงาน และลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างตามข้อ ๒ (๕) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ อันเป็นเหตุให้พนักงานและลูกจ้างต้องว่างงาน โดยไม่มีโอกาสทราบ ล่วงหน้า เงินชดเชยที่จ่ายให้นี้ก็เพื่อมิให้พนักงานและลูกจ้างได้รับความเดือดร้อน ในระหว่างที่ ก าลังหางานใหม่ แต่ส าหรับกรณีที่พนักงานหรือลูกจ้างต้องออกจากงานเนื่องจากเกษียณอายุ เป็นการออกจากงานตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดไว้เป็นการแน่นอนในกฎหมายหรือระเบียบ หรือข้อบังคับ ซึ่งพนักงานหรือลูกจ้างทราบมาก่อนแล้วในขณะที่เริ่มเข้าท างาน การออกจากงานในกรณีนี้จึงอาจ ถือเสมือนว่าเป็นการเลิกจ้างตามระยะเวลาที่มีก าหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนอย่างหนึ่ง โดยหาใช่เป็นเหตุที่เกิดจากนายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างเพื่อไม่ให้พนักงานหรือลูกจ้างท างานต่อไป ไม่เพราะแม้นายจ้างจะประสงค์ให้พนักงานหรือลูกจ้างท างานต่อไปอีกก็ไม่สามารถท าได้ เนื่องจาก พนักงานหรือลูกจ้างนั้นต้องพ้นจากต าแหน่งตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือระเบียบ หรือข้อบังคับ ดังกล่าวแล้วการพ้นจากต าแหน่งเช่นนี้ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นกรณีที่นายจ้างให้พนักงานหรือ เรื่องเสร็จที่ ๒๕๐/๒๕๑๘ เรื่อง การจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน


หน้า ๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ลูกจ้างออกจากงาน โดยพนักงานหรือลูกจ้างไม่ได้กระท าความผิดดังความเห็นของกระทรวงมหาดไทย นายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๗) จึงเห็นว่า (๑) กรณีพนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจมีอายุ ๖๐ ปีบริบูรณ์นั้น ย่อม ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐาน ส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ผู้นั้นจึงต้องพ้นจากต าแหน่งไปตามกฎหมาย ไม่ใช่กรณีเลิกจ้าง ที่จะได้รับเงินค่าชดเชยตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย (๒)กรณีพนักงานหรือลูกจ้างของวิสาหกิจเอกชนนั้นหากวิสาหกิจเอกชนมีระเบียบ หรือข้อบังคับก าหนดให้พนักงานหรือลูกจ้างต้องออกจากงานเมื่อมีอายุครบก าหนดไว้เป็นการแน่นอน ในขณะที่มีการจ้างก็ต้องถือปฏิบัติเช่นเดียวกัน คือ เป็นการพ้นจากต าแหน่งหรือการออกจากงาน อันเนื่องจากมีอายุครบตามที่ก าหนดในระเบียบหรือข้อบังคับ ไม่ใช่กรณีเลิกจ้างที่พนักงานหรือ ลูกจ้าง จะมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามข้อ ๔๖ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๗ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน ๒๕๑๘ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๑๙


หน้า ๑๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ สร.๐๒๐๓/๖๕๒๐ ลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๑๙ แจ้งว่า กระทรวงการคลังได้ขอให้ส านักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาวินิจฉัยกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทย ในประเด็นที่ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่ง พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่ หลังจากที่ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พิจารณาปัญหาเรื่องกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทยไปแล้วว่า ธนาคาร แห่งประเทศไทยได้รับยกเว้นไม่อยู่ในบังคับแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ แต่ส าหรับประกาศกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ในเรื่องอื่น ธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่ได้รับยกเว้นและต้องปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ซึ่งในกรณีนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่า การที่ธนาคารฯ ได้ขอยกเว้น ไม่ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายแรงงานนั้นมิใช่ยกเว้นเฉพาะเรื่องการคุ้มครองแรงงานเพียงเรื่องเดียว แต่ขอยกเว้นมิต้องอยู่ภายใต้กฎหมายแรงงานในเรื่องอื่นๆ ด้วย ซึ่งปัจจุบันนี้ได้แก่พระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีเหตุผลว่า เพราะธนาคารแห่ง ประเทศไทยมีระเบียบข้อบังคับและค าสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน การยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ และอื่นๆ ส าหรับพนักงานและลูกจ้างเพื่อคุ้มครองประโยชน์และสวัสดิการของลูกจ้างและส่งเสริม ความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ อยู่แล้ว การที่จะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัตินี้ จึงไม่ได้ประโยชน์สมดังที่มุ่งหมายและอาจเกิดผลเสียหายได้กล่าวคือ ประการแรก ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่ง ประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ เพื่อให้ท างานที่เป็นราชการแทนกระทรวงการคลัง และงานที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ก็เป็นงานของทางราชการเป็นส่วนใหญ่ เมื่อ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มิให้ใช้บังคับแก่ส่วนราชการ ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงควรไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ด้วย ประการที่สอง หากจะให้พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ บังคับแก่ ธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว อาจจะเกิดความเสียหายแก่งานอันเป็นราชการที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติอยู่ได้ เช่น ถ้ายอมให้พนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ท าข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างเพื่อให้ธนาคารต้องปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง และเมื่อมี ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้เกิดขึ้นจนในที่สุดหากพนักงานของธนาคารนัดหยุดงานขึ้น แม้การหยุดงานนี้จะเป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น ก็อาจท าให้กิจการธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ เรื่องเสร็จที่ ๑๓๑/๒๕๑๙ เรื่อง กฎหมายแรงงานที่เกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นกิจการที่ไม่อยู่ในบังคับ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่)


หน้า ๑๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รับความกระทบกระเทือนได้ ซึ่งจะเกิดผลเสียหายแก่ประเทศชาติยิ่งกว่านั้นพนักงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจไปร่วมกับพนักงาน ของธนาคารพาณิชย์อื่นๆ จัดตั้งสหพันธ์แรงงาน ขึ้นได้หากการเป็นไปดังนั้นแล้วงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับมอบหมายให้กระท าแทน กระทรวงการคลังในเรื่องการควบคุมธนาคารพาณิชย์ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ก็คงจะด าเนินไปไม่ได้เพราะผู้ควบคุมกับผู้ที่ถูกควบคุมมีประโยชน์ได้เสียร่วมกัน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๒) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวข้างต้นโดยพิจารณาพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งมีมาตรา ๔๑ บัญญัติว่าพระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (๑) ราชการส่วนกลาง (๒) ราชการส่วนภูมิภาค (๓) ราชการส่วนท้องถิ่น (๔) ราชการของกรุงเทพมหานคร (๕) กิจการอื่นตามที่ก าหนดใน พระราชกฤษฎีกา แล้ว ปัญหาที่จะต้องพิจารณา คือ ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นกิจการ อย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ใน (๑) ถึง (๕) ของมาตรา ๔ ที่ไม่อยู่ในข่ายบังคับของพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ดังกล่าวหรือไม่ เมื่อได้พิจารณาบรรดาบทกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว มาตรา ๕ ของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ บัญญัติแต่เพียงว่า ให้จัดตั้งธนาคารกลางขึ้นเรียกว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทย” เพื่อรับมอบการออกธนบัตรจาก กระทรวงการคลัง และประกอบธุรกิจอันพึงเป็นงานธนาคารกลางตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ และพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา ๖ บัญญัติว่า ให้ธนาคาร แห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล และไม่มีบทบัญญัติใดที่จะถือได้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือเป็นกระทรวง ทบวง กรม ตามประกาศ ของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๖ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ อีกทั้งไม่ใช่เป็นราชการของ กรุงเทพมหานครตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๑๘ ด้วย เมื่อยังไม่มีพระราชกฤษฎีกายกเว้นการใช้บังคับพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘ แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ฉะนั้น พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงยังคงใช้ บังคับแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ ส าหรับเหตุผลของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ว่าหากจะให้พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ บังคับแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเกิดความเสียหายแก่งานอันเป็นราชการ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติได้ เพราะถ้ายอมให้พนักงานของธนาคาร แห่งประเทศไทยท าข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เมื่อตกลงกันไม่ได้อาจมีการนัดหยุดงาน ท าให้กิจการธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศได้รับความกระทบกระเทือนและเกิดผลเสียหาย แก่ประเทศชาติ หรือการที่พนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยไปร่วมกับพนักงานของธนาคาร พาณิชย์อื่นจัดตั้งสหพันธ์แรงงานขึ้นได้ท าให้งานของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการควบคุม ธนาคารพาณิชย์ด าเนินไปไม่ได้เพราะผู้ควบคุมกับผู้ที่ถูกควบคุมมีประโยชน์ได้เสียร่วมกันนั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า เป็นปัญหาทางนโยบายซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้พิจารณา


หน้า ๑๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าสมควรตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ให้อยู่ในบังคับของ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๑๘ //////////////////////////////


หน้า ๑๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือที่ สร.๐๒๐๓/๑๒๔๐๓ ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๙ ความว่า กระทรวงคมนาคมได้เสนอตามรายงานการรถไฟแห่งประเทศไทยว่า ได้มีความเห็นขัดแย้งกับกรมแรงงานเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ถูกสั่งให้ออกจากงาน ฐานขาดคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๙ (๕) เนื่องจากเคยได้รับโทษจ าคุกตามค าพิพากษาถึงที่สุดให้จ าคุกซึ่งการรถไฟ แห่งประเทศไทยเห็นว่าการให้ลูกจ้างของการรถไฟฯต้องออกจากงานกรณีนี้นั้นมิได้เป็นความประสงค์ ของการรถไฟฯ แต่เป็นเพราะลูกจ้างขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ฉะนั้น จึงไม่ใช่กรณี ที่เป็นการเลิกจ้างที่นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ แต่กรมแรงงานเห็นว่า เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่มีความผิดตามข้อ ๔๗ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ แล้วนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้ตาม ข้อก าหนดแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ การที่การรถไฟฯ เลิกจ้างเนื่องจากขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ไม่เป็นข้อยกเว้นการจ่ายค่าชดเชยตามข้อ ๔๗ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ปัญหานี้ เป็นที่ยุติ จึงขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาว่า การที่ลูกจ้างการรถไฟฯ ซึ่งได้ ถูกการรถไฟฯ เลิกจ้างในฐานเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๙ (๕) นั้น การรถไฟฯ จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างตามข้อก าหนดแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ หรือไม่ นั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๒) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวแล้วมีความเห็นว่า การจ่ายค่าชดเชยตามข้อ ๔๖๑ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพนักงาน และลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างตามข้อ ๒ (๕) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งต้องว่างงานและเพื่อมิให้พนักงานและลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนในระหว่าง ที่ก าลังหางานโดยการเลิกจ้างนั้นมิได้เกิดเพราะลูกจ้างกระท าความผิดตามข้อ ๔๗๓ แห่งประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ เรื่องเสร็จที่ ๒๐๕/๒๕๑๙ เรื่อง การจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ถูกสั่งให้ออกจากงาน ฐานขาดคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐาน ส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘


หน้า ๑๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส าหรับปัญหาที่ว่า การที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานเพราะเหตุที่ลูกจ้าง ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๙ (๕) จะเป็นการเลิกจ้างที่นายจ้างไม่ต้องจ่าย ค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างหรือไม่ นั้น เมื่อพิจารณาความในวรรคสองของข้อ ๔๖ แห่งประกาศ กระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งบัญญัติไว้ว่า“การเลิกจ้างตามข้อนี้ หมายความว่า การที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานปลดออก จากงาน หรือไล่ออกจากงาน โดยที่ลูกจ้างไม่ได้ท าความผิดตามข้อ ๔๗ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฉบับลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือในกรณีที่นายจ้างไม่ยอม ให้ลูกจ้างประจ าท างานเกินเจ็ดวันท างานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม โดยไม่จ่ายค่าจ้าง ให้ถ้าปรากฏว่านายจ้างมีเจตนาจะไม่จ้างลูกจ้างนั้นท างานต่อไปหรือกลั่นแกล้งลูกจ้างให้ถือว่าเป็น การเลิกจ้างด้วย” จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะมีการเลิกจ้างในกรณีใดถ้าลูกจ้างไม่ได้ท าความผิดตาม ข้อ ๔๗ แล้ว นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างทุกกรณี ทั้งนี้ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตาม ข้อ ๔๖ วรรคสาม ที่บัญญัติว่า “ความในข้อนี้มิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างประจ าที่มีก าหนดระยะเวลา การจ้างไว้แน่นอน และเลิกจ้างตามก าหนดระยะเวลานั้น หรือลูกจ้างประจ าที่นายจ้างแจ้งให้ทราบ เป็นหนังสือแต่แรกว่าให้ทดลองปฏิบัติงานในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน และยังอยู่ใน ระยะเวลานั้น” เมื่อข้อ ๔๖ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ก าหนดว่า นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างประจ า ซึ่งเลิกจ้างเฉพาะกรณีที่ลูกจ้างกระท าความผิดตามข้อ ๔๗ หรือการเลิกจ้างลูกจ้างประจ าที่มี ก าหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนตามก าหนดระยะเวลานั้น หรือการเลิกจ้างลูกจ้างประจ าที่นายจ้าง แจ้งให้ทราบเป็นหนังสือแต่แรกว่าให้ทดลองปฏิบัติงานในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ภายในระยะเวลานั้นแล้ว นายจ้างก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างส าหรับการเลิกจ้างในกรณีอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมานั้นส าหรับความเห็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ว่าการเลิกจ้างตามนัยข้อ ๔๖ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยนั้นจะต้องมีการกระท าที่มีลักษณะเป็นการใช้สิทธิหรืออ านาจของ นายจ้างเท่านั้น แต่การที่ลูกจ้างต้องออกจากงานโดยเหตุที่ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นพนักงานหรือ ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากบทบัญญัติในมาตรา ๙ (๕) ของพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้าง โดยนายจ้าง นั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าไม่เป็นข้ออ้างที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานเพราะไม่อยู่ในข้อยกเว้นที่นายจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ ๔๖ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ และข้อ ๔๗ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๑๙ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๒๐


หน้า ๑๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือ ที่ กค. ๐๒๐๖/๑๒๙๗ ลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์๒๕๒๐ ขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในปัญหาเกี่ยวกับการวางหลักเกณฑ์ว่าด้วย การก าหนดอัตราค่าจ้างพนักงานตามข้อบังคับขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยกับประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ซึ่งองค์การโทรศัพท ์ แห่งประเทศไทยกับกรมแรงงานมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ ดังนี้ ๑.การว่าจ้างพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่สองหน้าที่ในระยะเวลาต่อเนื่องกันจะกระท าได้ หรือไม่ซึ่งกรมแรงงานเห็นว่าการจ้างพนักงานให้ปฏิบัติงานสองหน้าที่ในระยะเวลาต่อเนื่องกัน จะกระท าได้หรือไม่ นั้น ขึ้นอยู่กับนายจ้างและพนักงานจะตกลงกันและถ้าการท างานทั้งสองหน้าที่ ต่อเนื่องกันนั้นมีเวลาท างานเกินชั่วโมงท างานปกติแล้วก็ต้องถือว่าเป็นการให้พนักงานท างานล่วงเวลา ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน แต่องค์การโทรศัพท์ฯ เห็นว่า หากงานในหน้าที่หลังเป็นงานคนละประเภทซึ่งระยะเวลาของการท างานไม่ต่อเนื่องกัน และอัตราค่าจ้างก็แตกต่างกันกับงานในหน้าที่แรกแล้ว ก็ไม่ควรถือว่าการปฏิบัติงานในหน้าที่หลัง เป็นการท างานล่วงเวลา ๒. หากการจ้างตาม ๑. กระท าได้ผลประโยชน์ในการท างานหน้าที่หลังจะคิดเป็น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน หรือต้องจ่ายเป็นเงินค่าล่วงเวลา ซึ่งองค์การโทรศัพท์ฯ เห็นว่า ผลประโยชน์ในการท างานในหน้าที่หลังควรเป็นค่าจ้าง ไม่ใช่ค่าล่วงเวลา แต่กรมแรงงานเห็นว่า ถ้าให้พนักงานท างานในหน้าที่แรกครบจ านวนเวลาท างานปกติแล้วให้พนักงานท างานในหน้าที่ หลังต่อมา ผลประโยชน์ในหน้าที่หลังจะต้องจ่ายเป็นค่าล่วงเวลา ๓.การจ่ายเงินค่าล่วงเวลาในกรณีท างานเกินเวลาปกตินั้น หมายถึง ต้องเป็นงาน ลักษณะเดียวกันกับงานที่ปฏิบัติในเวลาปกติหรือไม่ ซึ่งองค์การโทรศัพท์ฯ เห็นว่างานดังกล่าว ต้องเป็นงานลักษณะเดียวกันกับงานที่ปฏิบัติในเวลาปกติแต่กรมแรงงานเห็นว่าการจ่ายเงินค่าล่วงเวลา ไม่มีข้อก าหนดในกฎหมายว่างานที่ท าในชั่วโมงล่วงเวลาจะต้องเป็นงานในลักษณะเดียวกันกับงาน ที่ท าในเวลาปกติดังนั้น งานที่ท าในชั่วโมงล่วงเวลาจึงไม่จ าเป็นต้องเป็นงานในลักษณะเดียวกัน กับงานในเวลาปกติ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๕) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวประกอบกับค าชี้แจงขององค์การโทรศัพท์ฯ แล้ว เห็นว่า ในกรณีนี้ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า นาย ก. ซึ่งเป็นพนักงานขององค์การโทรศัพท์ฯ ปฏิบัติหน้าที่หลักคือตัดต่อสายเคเบิลตั้งแต่ เวลา ๐๘.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ได้อัตราค่าจ้างเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท คิดเฉลี่ยชั่วโมงละ ๖.๒๕ บาท ได้ตกลงรับท างานพิเศษนอกเวลาท างานปกติให้แก่องค์การโทรศัพท์ในหน้าที่พนักงานสลับสาย ต่อโทรศัพท์ทางไกลอีกหน้าที่หนึ่งสัปดาห์ละ ๓ วัน และปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๘.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. เรื่องเสร็จที่ ๑๓๓/๒๕๒๐ เรื่อง หารือปัญหากฎหมายแรงงาน (กรณีองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย)


หน้า ๑๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา รวม ๖ ชั่วโมง โดยได้รับอัตราค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงๆ ละ ๔.๑๖ บาท ฉะนั้น ตามข้อเท็จจริงนี้ จะเห็นว่า ๑.การที่องค์การโทรศัพท์ฯ ว่าจ้างพนักงานขององค์การโทรศัพท์ฯ ให้ปฏิบัติงาน สองหน้าที่ไม่ว่าจะมีระยะเวลาปฏิบัติงานต่อเนื่องกันหรือไม่นั้นย่อมต้องถือว่าเป็นการท างานให้แก่ นายจ้างคนเดียวกัน ระยะเวลาที่ปฏิบัติงานทั้งสองหน้าที่จึงต้องคิดรวมกันจะน ามาคิดแยกจากกัน เป็นแต่ละหน้าที่ไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นแล้วนายจ้างย่อมจะมีทางหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แรงงานโดยใช้วิธีการเช่นว่านี้ได้ โดยเหตุนี้ระยะเวลาปฏิบัติงานทั้งสองหน้าที่รวมทั้งสิ้นจึงต้องไม่เกิน เวลาท างานปกติที่ก าหนดไว้ตามนัยข้อ ๓๑ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมแรงงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมแรงงานมอบหมายตามนัย ข้อ ๑๑๒ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๓) ๒. โดยที่การว่าจ้างในกรณีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าองค์การโทรศัพท์ฯ มีเจตนาที่จะ ช่วยเหลือพนักงานขององค์การโทรศัพท์ฯ ให้มีรายได้พิเศษเพิ่มขึ้นจากรายได้ที่ได้รับอยู่จากการ ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติจึงได้มีการตกลงว่าจ้างพนักงานฯ ให้ปฏิบัติงานพิเศษอันเป็นงานคนละลักษณะ กับงานประจ าและอัตราค่าจ้างก็แตกต่างกันซึ่งพนักงานก็ยินยอมตกลงตามนั้น กรณีจึงถือได้ว่าเป็น ข้อตกลงพิเศษเฉพาะคราวระหว่างองค์การโทรศัพท์ฯ กับพนักงานซึ่งแยกต่างหากจากการตกลง ว่าจ้างให้เป็นพนักงานฯ จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องที่นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างท างานเกินเวลาท างานปกติ ตามนัยข้อ ๓๔๓ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ดังกล่าว ซึ่งนายจ้างจะต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้ ดังนั้นในกรณีนี้ผลประโยชน์ในการท างานจึงย่อมต้องคิดเป็นค่าจ้างตามประเภทของงานที่ตกลง ว่าจ้างกันเท่านั้น ๓.การจ่ายเงินค่าล่วงเวลาในกรณีท างานเกินเวลาท างานตามปกตินั้น เมื่อพิจารณา นิยามค าว่า“ค่าล่วงเวลา” ตามนัยข้อ ๒๔ ประกอบกับข้อ ๓๔ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ แล้วจะเห็นได้ว่ามีความมุ่งหมายให้เป็นงานในลักษณะเดียวกันกับงานที่ปฏิบัติในเวลาปกติ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤษภาคม ๒๕๒๐ //////////////////////////////


หน้า ๑๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงานได้มีหนังสือ ที่ มท. ๑๒๐๔/๕๐๒๓ ลงวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๒๐ ขอให้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในกรณีที่ บริษัท เอเอ็มซีเซอร์วิสจ ากัด ขอความ ร่วมมือจากกรมแรงงานช่วยจัดหาคนงานให้โดยแจ้งว่า บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์รับจ้างท างานบ้านทั่วไป โดยจะเปิดรับสมัครคนงานหญิงแล้วส่งเข้าอบรมในศูนย์ฝึกอบรมงานบ้านของบริษัทฯ ก่อน ในการนี้ คนงานไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่บริษัทฯ แต่อย่างใดแต่จะได้รับผลประโยชน์จากบริษัทฯ โดยไม่คิด มูลค่า เช่น การฝึกอบรมค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้า และเครื่องใช้ประจ าวันส่วนตัว เมื่อผ่าน การอบรมแล้ว บริษัทฯ จะบรรจุเป็นพนักงานของบริษัทฯ โดยได้รับค่าจ้าง สวัสดิการ และท างาน ภายใต้ระเบียบข้อบังคับของบริษัทฯ และบริษัทฯ เป็นผู้ออกค าสั่งให้พนักงานเข้าท างานหยุดท างาน โยกย้ายเปลี่ยนแปลง ลาหยุด พักงาน ขึ้นค่าจ้างฯลฯ เมื่อมีครอบครัวผู้ว่าจ้างจ้างให้บริษัทฯ ท างานบ้าน บริษัทฯจะส่งพนักงานเหล่านั้นไปท างานโดยอยู่กินกับครอบครัวนั้น ทั้งนี้ครอบครัวผู้ว่าจ้างจะจ่าย ค่าจ้างให้บริษัทฯ โดยตรง ส่วนพนักงานจะได้รับค่าจ้างตามอัตราที่ตกลงกับบริษัทฯ จากบริษัทฯ ดังนั้น จึงมีปัญหาว่าการด าเนินกิจการของบริษัทฯ เข้าข่ายตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ หรือไม่และบริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ก าหนดค่าจ้างขั้นต่ าหรือไม่ ซึ่งกรมแรงงานมีความเห็น แตกแยกกันเป็นสามฝ่าย คือ ความเห็นแรก เห็นว่า ๑. บริษัทฯ มิได้ประกอบธุรกิจจัดหางานโดยเรียกหรือรับค่าบริการจึงไม่อยู่ใน ข่ายบังคับของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ๒. กิจการของบริษัทฯ เป็นการรับท างานบ้านทั่วไป โดยการจัดส่งพนักงานของ บริษัทฯ ออกไปบริการแก่ครอบครัวผู้ว่าจ้างเข้าลักษณะเป็นการให้บริการโดยเรียกค่าตอบแทน อ านาจในการว่าจ้าง เลิกจ้าง การจ่ายค่าจ้าง การให้สวัสดิการและการควบคุมลูกจ้างขึ้นอยู่กับ บริษัทฯความสัมพันธ์ระหว่าง บริษัทฯ กับพนักงานจึงมีฐานะเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง ๓. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯลฯและประกาศกระทรวง มหาดไทย เรื่อง ก าหนดค่าจ้างขั้นต่ า ฯลฯ ให้บทวิเคราะห์ศัพท์ “ลูกจ้าง” หมายความว่า “ผู้ซึ่งตกลง ท างานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้างแต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งท างานเกี่ยวกับงานบ้าน”นั้น โดยเจตนารมณ์ ของกฎหมายแล้ว “ลูกจ้างซึ่งท างานเกี่ยวกับงานบ้าน” มุ่งถึงลูกจ้างซึ่งท างานให้แก่เจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นนายจ้างโดยตรง และเป็นการจ้างเพื่อใช้งานภายในบ้านเป็นการส่วนตัวมากกว่าจะเป็น รูปการรับบริการจากบริษัทฯ ดังนั้นเมื่อกิจการของบริษัทฯ เป็นงานบริการเรียกค่าตอบแทนซึ่งเป็น การจ้างงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงก าไรทางเศรษฐกิจ พนักงานเหล่านี้จึงเป็นลูกจ้างในงานบริการ เรียกค่าตอบแทนและมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาก าไรทางเศรษฐกิจต้องอยู่ในบังคับของประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯลฯ และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง เรื่องเสร็จที่ ๓๓๗/๒๕๒๐ เรื่อง หารือปัญหากฎหมายแรงงาน (กรณีบริษัท เอเอ็มซีเซอร์วิส จ ากัด ด าเนินกิจการรับจ้างท างานบ้านทั่วไป)


หน้า ๑๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ก าหนดค่าจ้างขั้นต่ า และเมื่อไม่มีบทยกเว้นไม่ใช้บังคับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ก าหนด ค่าจ้างขั้นต่ า บริษัทฯ จึงต้องอยู่ในบังคับของประกาศดังกล่าวด้วย ความเห็นที่สอง เห็นว่า บริษัทฯ ประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนหางานหรือลูกจ้าง ให้แก่นายจ้างโดยเรียกหรือรับค่าบริการ เพราะ ๑. เมื่อบริษัทส่งพนักงานไปท างานกับเจ้าของบ้านแล้ว การสั่งงานการควบคุมบังคับ บัญชาขึ้นอยู่กับเจ้าของบ้านซึ่งรับบุคคลนั้นไปท างาน พนักงานจะได้กินอยู่และท างานตามค าสั่งของ เจ้าของบ้านเช่นเดียวกับคนรับใช้ในบ้านทั่วไป เป็นการท างานให้แก่เจ้าของบ้านมิใช่ท างานให้แก่ บริษัทฯ และบริษัทฯ จะไม่ได้สั่งการควบคุมบังคับบัญชาพนักงานในฐานะนายจ้างเลย ๒.การที่บริษัทฯ รับสมัครพนักงาน และรับสมัครเจ้าของบ้านที่ต้องการคนรับใช้ ในบ้านเป็นสมาชิก เมื่อพนักงานเป็นคนหางานหรือลูกจ้างและเจ้าของบ้านที่รับพนักงานเข้าท างาน เป็นนายจ้างการด าเนินงานของบริษัทฯ จึงเป็นการประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนหางานหรือหา คนงานให้แก่นายจ้าง ๓. การที่บริษัทฯ เรียกเก็บเงินจากเจ้าของบ้านที่เป็นสมาชิกเมื่อสมาชิกแจ้ง ความจ านงต้องการคนรับใช้ในบ้านและเรียกเก็บเงินรายเดือนจากเจ้าของบ้านที่รับพนักงานเข้า ท างานและแบ่งจ่ายให้แก่พนักงานบางส่วน กิจการของบริษัทจึงเป็นการเรียกหรือรับค่าบริการ จัดหาคนงานให้แก่นายจ้าง ๔. การที่บริษัทฯ เป็นผู้รับค่าบริการจากเจ้าของบ้านแล้วให้พนักงานรับเงินจาก บริษัทฯเป็นเพียงวิธีการเพื่อให้เห็นว่าเจ้าของบ้านไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้แก่พนักงานโดยตรงเท่านั้นแต่ ก็ถือว่าเงินที่เจ้าของบ้านจ่ายให้แก่บริษัทฯ นั้น เป็นเงินค่าจ้างของพนักงาน ๕. หากเปิดโอกาสให้กับบริษัทฯ ประกอบธุรกิจท านองนี้โดยไม่อยู่ภายใต้บังคับ ของพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ก็จะท าให้ส านักงานจัดหา งานเอกชนเลี่ยงกฎหมายโดยด าเนินการท านองนี้ ความเห็นที่สาม เห็นว่า ๑. ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๔ “จัดหางาน” หมายความว่า การประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนหางาน หรือหาลูกจ้างให้แก่ นายจ้างการที่บริษัทฯ รับคนงานเข้าอบรมแล้วบรรจุเป็นพนักงานของบริษัทฯ และเมื่อมีผู้มาจ้าง บริษัทฯ ให้ท างานบ้าน บริษัทฯ ก็ส่งพนักงานเหล่านี้ไปท าโดยอยู่กินกับครอบครัวผู้จ้างแต่รับเงิน ค่าจ้างจากบริษัทฯ การปกครองบังคับบัญชาอยู่กับบริษัทฯ เช่นนี้ ถือได้ว่าบริษัทฯ เป็นนายจ้าง และพนักงานดังกล่าวเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ พนักงานดังกล่าวมิได้เป็นลูกจ้างของครอบครัว ที่ท างานให้การกระท าของบริษัทฯเป็นการรับคนเข้าท างานในบริษัทฯ เองเช่นเดียวกับที่บริษัทต่างๆ รับสมัครคนงานเข้าท างานในบริษัทฯ ดังนั้น จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการประกอบธุรกิจหางานที่จะเข้าอยู่ ในนิยามค าว่า “จัดหางาน” ตามมาตรา ๔ และไม่ได้มีการเรียกหรือรับค่าบริการไม่อยู่ในบังคับ ของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ๒. พนักงานของบริษัทฯ ดังกล่าว แม้จะเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ แต่งานที่ท านั้น เป็นงานบ้าน ดังนั้น จึงไม่อยู่ในบังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ก าหนดค่าจ้างขั้นต่ า ดังกล่าว ซึ่งให้บทวิเคราะห์ศัพท์“ลูกจ้าง” ไว้ว่า “ลูกจ้าง” หมายความว่าผู้ซึ่งตกลงท างานให้แก่


หน้า ๒๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา นายจ้างเพื่อรับค่าจ้างแต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งท างานเกี่ยวกับงานบ้าน” ในท านองเดียวกันพนักงาน ดังกล่าวก็ไม่ใช่ “ลูกจ้าง” ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และไม่เป็น ลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนด้วย ทั้งนี้ตามนิยาม ค าว่า“ลูกจ้าง”ของประกาศฉบับดังกล่าว ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๕) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวประกอบกับค าชี้แจงของผู้แทนกรมแรงงานแล้ว มีความเห็นว่า ตาพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ในมาตรา ๔ ได้นิยามค าว่า “จัดหางาน” หมายความว่า การประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนหางาน หรือลูกจ้างให้แก่นายจ้าง และนิยามค าว่า “คนหางาน” หมายความว่า บุคคลซึ่งประสงค์จะท างานโดยรับค่าจ้างเป็นเงินหรือประโยชน์อย่างอื่น กรณีของ บริษัท เอเอ็มซีเซอร์วิส จ ากัด ตามที่ปรากฏในระเบียบข้อบังคับของพนักงานผู้ช่วยแม่บ้าน และ ระเบียบข้อบังคับของสมาชิกที่บริษัทฯ ก าหนดขึ้นนั้นมีหลักการโดยสรุปว่า สมาชิก (ครอบครัว ผู้ว่าจ้าง) ต้องเสียเงินค่าเข้าเป็นสมาชิกกับบริษัทฯ เป็นจ านวน ๑,๐๐๐ บาท แล้วบริษัทฯ จะ จัดหาคนท างานบ้าน หรือคนใช้หรือ “ผู้ช่วยแม่บ้าน” ตามชื่อที่บริษัทฯ เรียกซึ่งบริษัทฯ ได้จัด การอบรมแล้วไปท างานโดยอยู่กินกับครอบครัวสมาชิกนั้นและครอบครัวผู้ว่าจ้างต้องจ่ายค่าจ้าง ให้แก่บริษัทฯ เดือนละ ๔๕๐ บาท โดยบริษัทฯ จะจ่ายให้แก่พนักงานของตน (ผู้ช่วยแม่บ้าน) โดยตรงเป็นรายเดือนเพียงเดือนละ ๑๐๐ บาท กับจะจ่ายเพิ่มเติมตามระเบียบหรือข้อตกลงให้เมื่อ พนักงานท างานครบ ๒ เดือน ๖ เดือนและ ๑ ปี ตามอัตราส่วนสูงขึ้นดังที่บริษัทฯ ได้ก าหนด ไว้แต่อย่างไรก็ตามเงินที่บริษัทฯ จะจ่ายเพิ่มเติมให้แก่พนักงานหรือผู้ช่วยแม่บ้านตามก าหนดเวลานั้น ก็ยังต่ ากว่าเงินที่บริษัทฯ เรียกเก็บจากสมาชิกหรือครอบครัวผู้ว่าจ้างจ่ายให้กับบริษัทฯ และแม้ บริษัทฯ จะวางระเบียบขึ้นเงินเดือนให้แก่พนักงานของตนเดือนละ ๕๐ บาท เมื่อพนักงานบริษัทฯ ท างานมาครบหนึ่งปีก็ตามแต่บริษัทฯ ก็วางระเบียบที่จะเรียกค่าจ้างเพิ่มจากครอบครัวสมาชิกเดือนละ ๕๐ บาท เช่นกัน กรณีเช่นนี้มีลักษณะเป็นว่าบริษัทฯ รับเงิน ค่าจ้างจากครอบครัวสมาชิกเพื่อไปจ่ายให้แก่พนักงานของตนอีกทอดหนึ่ง นอกจากนี้เมื่อพิจารณาในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ กับพนักงานแล้ว ก็ปรากฏว่าบริษัทฯ ได้ให้พนักงานของตนไปกินอยู่อาศัยกับครอบครัวสมาชิกและต้องท างานตามที่ครอบครัวสมาชิก สั่งทุกอย่างการส่งตัวพนักงานคืนก็กลับเป็นสิทธิของฝ่ายครอบครัวสมาชิกเมื่อพิจารณาถึงการจ่าย ค่าจ้างและความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ กับพนักงานแล้วพึงเป็นที่เข้าใจว่าพนักงานเหล่านี้ มีฐานะเป็นลูกจ้างของครอบครัวสมาชิกโดยตรงและการด าเนินการหรือธุรกิจดังกล่าวของบริษัทฯ นี้ มีลักษณะเป็นการ “จัดหางาน” และพนักงานหรือผู้ช่วยแม่บ้านก็มีลักษณะเป็น “คนหางาน” ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ แม้บริษัทฯ จะเลี่ยงวิธีการจัดหางานโดยรับคนเข้าเป็นพนักงานของบริษัทฯ และเลี่ยงค าว่า “นายจ้าง” เป็น สมาชิกหรือครอบครัวผู้ว่าจ้างก็ตาม แต่ลักษณะการและธุรกิจของบริษัทฯ ก็คงอยู่ในข่ายของ พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ดังกล่าวแล้วนั่นเอง บริษัทฯ จึงต้อง ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัตินี้ อนึ่ง ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ผู้รับอนุญาตจัดหางานจะเรียกหรือรับเงินค่าบริการจากลูกจ้างหรือนายจ้างหรือจากทั้งสองฝ่ายได้


Click to View FlipBook Version