The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

หน้า ๒๔๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงถือเป็น “ค่าจ้าง” ที่นายจ้าง มีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อหักน าส่งเป็นเงินสมทบตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤษภาคม ๒๕๕๒ //////////////////////////////


หน้า ๒๔๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคมได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ รง ๐๖๐๗/๑๐๓๑๕ ลงวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ด้วยลูกจ้างของบริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) ซึ่งถูกตัดสิทธิประกันสังคม เนื่องจากเป็นลูกจ้างกลุ่มพนักงานขาย และเก็บเงินที่ไม่มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง ได้ร้องขอความเป็นธรรมขอให้ส านักงาน ประกันสังคมพิจารณาคืนสิทธิความเป็นผู้ประกันตน ดังนี้ ๑. ขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ต่อไป เหมือนดังเช่นที่ผ่านมา ๒. หากเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ไม่ได้ ไม่ควรพิจารณาตัดสิทธิให้มี ผลย้อนหลัง ๓. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเห็นควรมีมาตรการเยียวยาโดยให้ผู้ประกันตน ที่ได้รับผลกระทบสามารถใช้สิทธิตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ต่อไปส านักงานประกันสังคมได้มีการพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) มาเป็นล าดับ คือ ๑. ในปีพ.ศ. ๒๕๕๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๑ มีพนักงานของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) ขอรับสิทธิประโยชน์ทดแทนจากกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน เป็นจ านวนมาก ส านักงานประกันสังคมด าเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า บริษัทฯ ได้มีการน า บุคคลซึ่งไม่ใช่ลูกจ้างขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนและได้รวบรวมหลักฐานด าเนินคดีอาญากับบริษัทฯ กรณียื่นแบบรายการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนโดยเจตนากรอกข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จ านวน ๓ คดีและอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อด าเนินคดี จ านวน ๑๓ เรื่อง ในขณะเดียวกันส านักงานประกันสังคมพบว่า ฐานข้อมูล การน าส่งเงินสมทบของบริษัทฯ ในทุกงวดของการส่งเงินสมทบจะมีผู้ประกันตนที่ไม่มีการน าส่ง เงินสมทบอยู่จ านวนหนึ่ง และมีการส่งเงินสมทบในอัตราขั้นต่ าสุด คือ จ านวนเงิน ๘๓ บาท จ านวนประมาณ ๘๐๐ - ๑,๐๐๐ รายต่องวด ๒.ส านักงานประกันสังคมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพนักงานขายและเก็บเงิน ของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) จ านวน ๑๕ ราย ปรากฏว่า แม้จะก าหนด วันเวลาท างานไว้ต่อกันแต่พนักงานจะเข้าส านักงานเวลาใดก็ได้ หากไม่สามารถไปขายหรือเก็บเงิน ก็เลื่อนนัดลูกค้า หรือบางรายให้บุคคลอื่นท าแทน บางรายมีงานประจ าหรือประกอบอาชีพอื่น นอกจากเป็นพนักงานขาย บางรายสามารถน าสินค้ายี่ห้ออื่นมาเสนอขายให้ลูกค้าได้ และกรณี ลาป่วยไม่มีการเขียนใบลาหรือส่งใบรับรองของแพทย์ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แต่อย่างใด เรื่องเสร็จที่ ๖๙๘/๒๕๕๒ เรื่อง สถานภาพความเป็นผู้ประกันตน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ของลูกจ้างบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน)


หน้า ๒๔๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. โดยที่ความเป็นนายจ้างลูกจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มีความหมายเป็นไปท านองเดียวกับ ความหมายนายจ้าง ลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน มาตรา ๕๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ โดยบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะท างานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ท างานให้ซึ่งสัญญาจ้างแรงงานถือเป็นสัญญาต่างตอบแทน ที่นายจ้างมุ่งประสงค์ที่จะใช้แรงงานลูกจ้างเป็นส าคัญ ซึ่งการค านึงถึงการใช้แรงงานเป็นส าคัญนี้ ท าให้สัญญาจ้างแรงงานมีลักษณะส าคัญต่างไปจากสัญญาต่างตอบแทนอื่นๆ คือ นายจ้างมีอ านาจ ควบคุมบังคับบัญชาลูกจ้างซึ่งอาจปรากฏในลักษณะของการวางกฎระเบียบ ข้อบังคับ หรือค าสั่ง นายจ้าง หากลูกจ้างฝ่าฝืนจะมีการก าหนดมาตรการเพื่อให้เกิดสภาพบังคับด้วยการว่ากล่าวตักเตือน เลิกจ้าง ไล่ออก ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๘๓ ๔. ส านักงานประกันสังคมได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งพยานเอกสาร และพยานบุคคลแล้วเห็นว่า พนักงานขายและเก็บเงินของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด(มหาชน) มีการท างานที่เป็นอิสระไม่จ าต้องอยู่ภายใต้อ านาจการควบคุมบังคับบัญชาของผู้ใด จึงได้มี ค าวินิจฉัยว่า ลูกจ้างของบริษัทฯ ต าแหน่งพนักงานขายและเก็บเงิน ไม่มีนิติสัมพันธ์การเป็น นายจ้างลูกจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยมีหนังสือ ที่ รง ๐๖๒๗/๓๒๑๓ ลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๒ แจ้งการพิจารณาให้บริษัทฯ ทราบ พร้อมทั้งได้แจ้งสิทธิในการอุทธรณ์ ให้ทราบแล้ว ซึ่งบริษัทฯ ได้รับแจ้งเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๒ แต่เมื่อครบก าหนดระยะเวลา อุทธรณ์ บริษัทฯ มิได้ด าเนินการอุทธรณ์ แต่บริษัทฯ ได้มีหนังสือ ที่ ทบบ. ๔๑ - ๘๖/๒๐๐๙ ลงวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒ แจ้งรายชื่อกลุ่มพนักงานขายที่ไม่มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง จ านวน ๒,๕๖๕ ราย เพื่อให้ส านักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๔ เพิกถอนความเป็น ผู้ประกันตนจึงเป็นสาเหตุให้ลูกจ้างกลุ่มดังกล่าวมายื่นข้อร้องเรียนขอความเป็นธรรม ๕. ส านักงานประกันสังคมพิจารณาการขอความเป็นธรรมของลูกจ้างบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) แล้ว มีความเห็น ดังนี้ (๑) โดยที่พนักงานขายและเก็บเงินของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด(มหาชน) ที่อยู่ในข่ายถูกเพิกถอนการเป็นผู้ประกันตนมีจ านวน ๒,๕๖๕ ราย ดังนั้น เพื่อให้การด าเนินการ เพิกถอนการเป็นผู้ประกันตนเป็นไปด้วยความรอบคอบรัดกุม เห็นควรมีหนังสือแจ้งไปยังกลุ่มบุคคล ดังกล่าวให้มีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงหลักฐานถึงการมีสถานะเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายต่อ ส านักงานประกันสังคมภายใน ๓๐ วัน นับแต่ได้รับแจ้งจากส านักงานประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๐ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบ การพิจารณาเพิกถอนการเป็นผู้ประกันตน (๒) ในกรณีที่ส านักงานประกันสังคมได้พิจารณาหลักฐานแล้วเห็นว่า บุคคลใด มิได้มีสถานะเป็นลูกจ้างที่จะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ หรือบุคคลใดไม่มีการโต้แย้งภายใน ระยะเวลาที่ก าหนด ส านักงานประกันสังคมจะด าเนินการเพิกถอนความเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๓๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒ ซึ่งเดือนมีนาคม ๒๕๕๒ เป็นเดือนที่ไม่มีการน าส่ง เงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมโดยให้ค านึงถึงความเชื่อโดยสุจริตของกลุ่มบุคคลดังกล่าวว่า


หน้า ๒๔๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตนเองมีสถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ถูกต้องตามกฎหมาย ประกอบการค านึงถึงหลัก ความมั่นคงแห่งนิติฐานะ อันเป็นการใช้ดุลพินิจตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕๐ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “ค าสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจถูก เพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนโดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังหรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใด ขณะหนึ่งตามที่ก าหนดได้...” ทั้งนี้ กลุ่มบุคคลดังกล่าวหากประสงค์ที่จะได้รับความคุ้มครอง ในระบบประกันสังคมต่อไป ก็สามารถแสดงความจ านงเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ได้ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายก าหนด ๖. คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงานได้มีมติที่ประชุม ตามที่ส านักงานประกันสังคมเสนอ ดังนี้ แนวทางที่หนึ่ง เมื่อพนักงานขายและเก็บเงิน (เอส.เอ.) ของบริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) มิได้มีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้าง ท าให้ขาดองค์ประกอบของความเป็น ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ และไม่เข้าข่ายความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ สิ้นสุดลง เนื่องจากสิ้นสภาพความเป็นลูกจ้างตามมาตรา ๓๘ (๒) จึงไม่สามารถที่จะด าเนินการเพื่อให้เป็น ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ได้แต่อย่างไรก็ตามการเพิกถอนความเป็นผู้ประกันตนในกรณีนี้เห็นว่า ตามมาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ ให้ค านึงถึงความเชื่อโดยสุจริตของผู้รับประโยชน์ในความคงอยู่ของค าสั่งทางปกครอง ดังนั้น จึงเห็นควรเพิกถอนความเป็นผู้ประกันตนโดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่มีค าวินิจฉัยว่าความเป็น ผู้ประกันตนสิ้นสุดลง แนวทางที่สอง เห็นว่า หากมีค าวินิจฉัยว่าลูกจ้างไม่ใช่ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ให้ใช้แนวทางเยียวยาโดยใช้หลักกฎหมายปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๑ เพิกถอนค าสั่งทางปกครองที่รับลูกจ้าง เข้าเป็นผู้ประกันตนแต่เพียงบางส่วน โดยให้คงสิทธิความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ไว้เพื่อให้ ลูกจ้างอาจใช้สิทธิความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ต่อไปได้ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ลงมติเสียงข้างมากมีความเห็นไปในแนวทางที่หนึ่ง ด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๕ งดออกเสียง ๓ เสียง ส านักงานประกันสังคมจึงขอหารือเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรม ต่อกลุ่มลูกจ้างดังกล่าว ดังนี้ ๑. พนักงานขายและเก็บเงิน (เอส. เอ.) ของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด(มหาชน) ซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง ต้องถูกเพิกถอนความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ตั้งแต่เมื่อใดที่ไม่กระทบต่อการคืนเงินสมทบและสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนรับไปแล้ว ๒. กรณีเพิกถอนความเป็นผู้ประกันตนโดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่มีค าวินิจฉัยว่า ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงโดยค านึงถึงความเชื่อโดยสุจริตตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กลุ่มลูกจ้างดังกล่าวสามารถที่จะสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้หรือไม่ อย่างไร


หน้า ๒๕๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของส านักงานประกันสังคม โดยมีผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและส านักงานประกันสังคม) เป็นผู้ชี้แจง ข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) ได้ก าหนดแบบสัญญาว่าจ้างพนักงานขาย (เอส. เอ.) โดยในข้อ ๒ ได้ก าหนดให้ลูกจ้างต้องเชื่อฟัง และปฏิบัติตามค าแนะน า ค าสั่งของผู้จัดการหน่วย ผู้จัดการร้านผู้จัดการสาขา ผู้จัดการภาค ผู้จัดการเขต และผู้บังคับบัญชาอื่นๆ เพื่อให้การท างานเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยลูกจ้างจะต้องลงเวลาท างาน ณ หน่วยงานที่ตนสังกัดและต้องปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบ แบบแผน ข้อบังคับในการท างาน ตามที่บริษัทฯ ก าหนดไว้ และข้อ ๓ ได้ก าหนดให้ลูกจ้าง ต้องท ารายงานการขายสินค้าและการเก็บเงิน และรายงานอื่นๆ เป็นรายวัน รายสัปดาห์ และประจ าเดือน ตามแบบและวิธีการที่บริษัทฯก าหนดไว้และตามที่บริษัทฯสั่งให้ปฏิบัติเป็นครั้งคราว และข้อ ๖ ได้ก าหนดให้ในระหว่างเวลาที่ผูกพันตามสัญญานี้ ลูกจ้างจะไม่ขายสินค้าของบุคคลอื่น หรือของตนเอง ซึ่งเป็นชนิดหรือประเภทเดียวกับสินค้าของบริษัทฯ และจะอุทิศเวลาเพื่อปฏิบัติ หน้าที่ตามสัญญานี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งสัญญาว่าจ้างพนักงานขาย (เอส. เอ.) นี้ แตกต่างจาก สัญญาแต่งตั้งตัวแทนจ าหน่าย (เอส. อาร์.) ที่มีข้อก าหนดในสัญญาในข้อ ๑ ว่า ตัวแทนจ าหน่าย ไม่ใช่ลูกจ้างของบริษัทฯ ไม่ผูกพันอยู่กับบริษัทฯ ด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบ การจ่ายเงินทดแทน และการอุทธรณ์ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ พระราชบัญญัติกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพฯ และพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ และสัญญาแต่งตั้งผู้ขาย (เอส. พี.) ที่มี ข้อก าหนดในสัญญาในข้อ ๒๕ ว่า ผู้ขายมิใช่ลูกจ้างของบริษัท ไม่ผูกพันอยู่กับบริษัทด้วยประกาศ ของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ก าหนดการจ่ายค่าทดแทน เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบ เรื่องการจ่ายเงินทดแทน ของส านักงานกองทุนเงินทดแทน และเรื่องการอุทธรณ์ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯและประกาศ กระทรวงมหาดไทยเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องแรงงาน และในการออกหนังสือส าคัญ แสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้แก่บริษัทฯและออกบัตรประกันสังคมให้แก่พนักงานขาย(เอส. เอ.) ตามมาตรา ๓๖๑ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ นั้น ส านักงานประกันสังคม จะพิจารณาจากแบบรายการตามมาตรา ๓๔๒ ที่บริษัทฯ ยื่นมาโดยไม่มีการตรวจสอบในเรื่อง นิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างและลูกจ้าง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาข้อหารือของส านักงานประกันสังคม ประกอบกับข้อเท็จจริงข้างต้นแล้ว มีความเห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มีบทบัญญัติก าหนดวิธีการด าเนินการเกี่ยวกับการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนไว้เป็นการเฉพาะ และมีหลักเกณฑ์ที่มีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ ากว่าหลักเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ในพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การพิจารณากรณีที่หารือมาจึงเป็นไปตามนัยมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คือ ไม่ต้องน าบทบัญญัติตาม กฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้กับกรณีที่หารือนี้ และเห็นสมควรก าหนด ประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นสองประเด็นและมีความเห็นในแต่ละประเด็น ดังนี้


หน้า ๒๕๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ประเด็นที่หนึ่ง บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) และพนักงานขาย (เอส. เอ.) มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างและลูกจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นกฎหมายที่มีความมุ่งหมายใช้บังคับ กับนายจ้างและลูกจ้างอันเป็นนิติสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อสร้าง หลักประกันในด้านสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างเพื่อความมั่นคงในการประกอบอาชีพและการด ารงชีวิต และเมื่อได้พิจารณาข้อความที่ปรากฏในสัญญาว่าจ้างพนักงานขาย (เอส. เอ.) ของบริษัทฯ แล้วเห็นได้ว่า พนักงานขาย (เอส. เอ.) อยู่ภายใต้อ านาจบังคับบัญชาของบริษัทฯและจะต้องปฏิบัติ ตามระเบียบ แบบแผน ข้อบังคับในการท างานตามที่บริษัทฯ ก าหนด นิติสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ และพนักงานขาย (เอส. เอ.) จึงเป็นคู่สัญญาในเรื่องจ้างแรงงานตามมาตรา ๕๗๕๔ แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามสัญญาว่าจ้างดังกล่าวเพียงประการเดียวแล้ว จะเห็นได้ว่า บริษัทฯ และพนักงานขาย (เอส. เอ.) มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างและลูกจ้าง ตามมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ประเด็นที่สอง ในกรณีที่ส านักงานประกันสังคมได้มีค าวินิจฉัยว่า บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) และพนักงานขาย (เอส. เอ.) มิได้มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง และลูกจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงานประกันสังคมจะต้องด าเนินการ ในกรณีนี้อย่างไร เห็นว่า เมื่อบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบรายการ แสดงรายชื่อผู้ประกันตน อัตราค่าจ้าง และข้อความอื่นต่อส านักงานประกันสังคม และส านักงาน ประกันสังคมได้ออกหนังสือส าคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้แก่บริษัทฯ และออกบัตร ประกันสังคมให้พนักงานขาย (เอส. เอ.) รวมทั้งได้มีการส่งเงินสมทบ และพนักงานขาย (เอส. เอ.) ซึ่งเป็นผู้ประกันตนได้ขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีต่างๆ มาโดยตลอด ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตาม บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และเพื่อรักษาประโยชน์ของส านักงาน ประกันสังคม บริษัทฯ และพนักงานขาย (เอส. เอ.) และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ส านักงาน ประกันสังคมได้ตรวจพบว่า บริษัทฯ ได้น าบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกจ้างขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน และหลังจากนั้นบริษัทฯ ได้แจ้งรายชื่อพนักงานขาย (เอส. เอ.) ที่ไม่มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง และลูกจ้างเพื่อให้ส านักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๔ เพิกถอนการเป็นผู้ประกันตน จึงเห็นว่า ส านักงานประกันสังคมควรรีบด าเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นลูกจ้างของ พนักงานขาย (เอส. เอ.) แต่ละราย ที่ได้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนไว้ให้ชัดเจน หากปรากฏว่า พนักงานขาย(เอส. เอ.) รายใด มิได้มีนิติสัมพันธ์ในการเป็นลูกจ้างของบริษัทฯส านักงานประกันสังคม ต้องแจ้งค าสั่งเป็นหนังสือไปยังบริษัทฯ และพนักงานขาย (เอส. เอ) รายนั้น เพื่อให้ทราบว่า ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓๖ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯของพนักงานขาย(เอส. เอ.) รายนั้นสิ้นสุดลง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งค าสั่ง เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากบริษัทฯ หรือพนักงานขาย (เอส.เอ.) ผู้ใดไม่พอใจในค าสั่งก็มีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้ภายใน สามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งค าสั่งดังกล่าวตามมาตรา ๘๕๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ และเมื่อ คณะกรรมการอุทธรณ์ได้พิจารณาวินิจฉัยแล้วและแจ้งค าวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ผู้อุทธรณ์ทราบ


หน้า ๒๕๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา หากผู้อุทธรณ์ไม่พอใจก็มีสิทธิน าคดีไปสู่ศาลแรงงานได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ค าวินิจฉัยตามมาตรา ๘๗ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตุลาคม ๒๕๕๒ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๔


หน้า ๒๕๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงาน ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ รง ๐๔๑๑/๕๔๒๐ ลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า กระทรวงแรงงาน ได้ออกระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยแนวทางและวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคี พ.ศ. ๒๕๕๑ ก าหนดให้อธิบดีกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานรักษาการตามระเบียบดังกล่าว โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องด าเนินการแจ้ง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งและโดยที่พระราชบัญญัติส่งเสริม การพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๘ บัญญัติให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนา ฝีมือแรงงาน ซึ่งมีกรรมการส่วนหนึ่งมาจากผู้แทนฝ่ายนายจ้างหนึ่งคนและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง อีกหนึ่งคน โดยให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดในระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม กรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีความเห็นว่า การปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงแรงงาน ว่าด้วยแนวทางและวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคี พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น มีปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากตามข้อเท็จจริงคณะกรรมการส่งเสริม การพัฒนาฝีมือแรงงานมิได้ท างานในลักษณะไตรภาคีแต่เป็นการท างานร่วมกันหลายฝ่าย การที่พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ก าหนดให้มีผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างก็เพื่อให้ความเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาฝีมือแรงงานการนับองค์ประชุม ก็ต้องไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการทั้งหมดไม่ว่าผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง จะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ ซึ่งแตกต่างกับคณะกรรมการไตรภาคีของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งต้องประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างจึงจะนับองค์ประชุมได้ประกอบ กับการสรรหาผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างตามระเบียบกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าว จะต้องใช้งบประมาณในการจัดการเลือกตั้งครั้งละประมาณ ๖ ล้านบาท เพื่อให้กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานด าเนินการจัดการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายละหนึ่งคนซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากจึงได้น าเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ พิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงและคณะกรรมการร่างกฎหมายมีมติมอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ไปออกระเบียบการแต่งตั้งกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานโดยอาศัยอ านาจตามมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ใช้เป็นการเฉพาะโดยไม่ต้องใช้ระเบียบกลาง ที่เป็นระบบไตรภาคี กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจึงได้ด าเนินการออกระเบียบกระทรวงแรงงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเป็นกรรมการ ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๓ ก าหนดให้สภาองค์การนายจ้างและสภาองค์การลูกจ้าง เรื่องเสร็จที่ ๒๖/๒๕๕๔ เรื่อง ความชอบด้วยกฎหมายของระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการในการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง เป็นกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๓


หน้า ๒๕๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ละสภาเสนอชื่อสมาชิกผู้มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นผู้แทนสภาละหนึ่งคน และให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเลือกกันเองให้เหลือผู้แทนฝ่ายละไม่เกินสามคนเพื่อเสนอรายชื่อให้รัฐมนตรี พิจารณาแต่งตั้งเป็นกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานฝ่ายนายจ้างหนึ่งคนและฝ่ายลูกจ้างหนึ่งคน ต่อมาสภาองค์การลูกจ้างรวม ๖ สภา ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ ถึงอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานขอให้ยกเลิกการสรรหาคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยให้เหตุผลว่าขัดต่อมาตรา ๘๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติว่า รัฐต้องด าเนินการตามแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ ดังต่อไปนี้ (๗) ส่งเสริมให้ ประชากรวัยท างานมีงานท า คุ้มครองแรงงานเด็กและสตรี จัดระบบแรงงานสัมพันธ์และระบบไตรภาคี ที่ผู้ท างานมีสิทธิเลือกผู้แทนของตน จัดระบบประกันสังคม รวมทั้งคุ้มครองให้ผู้ท างานที่มีคุณค่า อย่างเดียวกันได้รับค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้หารือกับกระทรวงแรงงานแล้ว เห็นควรมีหนังสือ แจ้งสภาองค์การลูกจ้าง โดยได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๔๑๑/๑๒๔๖๑ ลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง ขอให้ยกเลิกการสรรหาคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ถึงสภาองค์การลูกจ้าง ทั้ง ๖ สภา สรุปความว่า มาตรา ๘๔ (๗) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐมิได้เป็นบทบัญญัติที่มีลักษณะบังคับ แต่มีลักษณะเป็นแนวทาง ในการบริหารงานของรัฐให้ส่วนราชการปฏิบัติตามภารกิจต่างๆ ที่มีอยู่โดยค านึงถึงแนวนโยบายพื้นฐาน ดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม ทั้งกระบวนการในการแต่งตั้งก็มีพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๓๘ ให้อ านาจและก าหนดวิธีการโดยอยู่บนแนวนโยบายพื้นฐาน ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๘๔ (๗) แล้ว รวมทั้งเห็นควร มีหนังสือหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย กระทรวงแรงงาน จึงขอหารือว่า ระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเป็นกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๓ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ภารกิจเป็นไป อย่างถูกต้องต่อไป คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกระทรวงแรงงาน โดยมีผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐได้บัญญัติเจตนารมณ์ไว้อย่างชัดเจนตามมาตรา ๗๕ ว่า “บทบัญญัติในหมวดนี้เป็นเจตจ านงให้รัฐด าเนินการตรากฎหมายและก าหนดนโยบาย ในการบริหารราชการแผ่นดิน” การที่มาตรา ๘๔ (๗) บัญญัติอยู่ในหมวดนี้ และบัญญัติให้รัฐต้อง ด าเนินการตามแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจโดยจัดระบบไตรภาคีที่ผู้ท างานมีสิทธิเลือกผู้แทนของตน ซึ่งมี เจตนารมณ์ในการก าหนดแนวนโยบายที่ต้องน าไปใช้ในการด าเนินการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศ รัฐจึงต้องด าเนินการจัดระบบไตรภาคีให้ผู้ท างานมีสิทธิเลือกผู้แทนของตนเพื่อให้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดังกล่าวโดยในการตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเรื่องแนวนโยบายพื้นฐาน แห่งรัฐนั้นจะต้องตีความอย่างกว้างเพื่อให้รัฐสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐจัดระบบไตรภาคี


หน้า ๒๕๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ผู้ท างานมีสิทธิเลือกผู้แทนของตนค าว่า “ไตรภาคี” มีความหมายว่า ประกอบด้วยผู้แทนสามฝ่าย ได้แก่ ผู้แทนฝ่ายรัฐ ผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ส่วนข้อความที่ว่า “ผู้ท างานมีสิทธิเลือก ผู้แทนของตน” หมายความว่าที่มาของผู้แทนฝ่ายลูกจ้างอันเป็นภาคีหนึ่งนั้น รัฐธรรมนูญ ก าหนดให้ผู้ท างานมีสิทธิเลือกผู้แทนฝ่ายลูกจ้างโดยจะใช้วิธีการใดในการเลือกก็ได้ตามวัตถุประสงค์ ของแต่ละกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นการเลือกโดยตรงของผู้ท างานทุกคนในประเทศหรือเลือกทางอ้อม โดยอาจให้องค์กรของผู้ท างาน เช่น สหภาพแรงงานเป็นผู้เลือกแทนก็ได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติ ถึงวิธีการเลือกผู้แทนไว้เป็นการเฉพาะ เมื่อมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ก าหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งกรรมการทั้งหมดมีจ านวน ๑๗ คน ประกอบด้วยบุคคลหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐ ซึ่งได้แก่ ผู้แทนส่วนราชการต่างๆ และผู้แทนรัฐวิสาหกิจ ที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายหอการค้า ฝ่ายสภาอุตสาหกรรม ฝ่ายสมาคมธนาคาร ฝ่ายสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ฝ่ายผู้ทรงคุณวุฒิ และก าหนดให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการจากผู้แทนฝ่ายนายจ้างหนึ่งคน และจากผู้แทนฝ่ายลูกจ้างหนึ่งคน ดังนั้น โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นพหุภาคีมิใช่เป็นการจัดระบบแรงงานสัมพันธ์และระบบไตรภาคี ตามมาตรา ๘๔ (๗) ของรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เมื่อบทบัญญัติมาตรา ๓๘ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ก าหนดให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดในระเบียบกระทรวงแรงงาน การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเป็นกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงเป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนั้น ระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งผู้แทน ฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเป็นกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงชอบด้วยกฎหมายและมิได้ขัดต่อมาตรา ๘๔ (๗) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อหารือนี้เป็นกรณีที่จะต้องพิจารณาถึงความชอบ ด้วยกฎหมายตามรัฐธรรมนูญของระเบียบดังกล่าว จึงอยู่ในอ านาจหน้าที่ของศาลปกครอง ที่จะเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย ดังนั้น การให้ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ในกรณีนี้ จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น แต่การวินิจฉัยชี้ขาดย่อมเป็นอ านาจหน้าที่ของศาลปกครอง ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มกราคม ๒๕๕๔ //////////////////////////////


หน้า ๒๕๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา มหาวิทยาลัยทักษิณ ได้มีหนังสือที่ ศธ ๖๔/๔๐๘๘ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ มหาวิทยาลัยทักษิณได้ด าเนินการจ้างเหมาบริการให้บุคคลภายนอก เข้าด าเนินงานในหน่วยงานภายในของมหาวิทยาลัยทักษิณ โดยในการจ้างดังกล่าวได้มีข้อก าหนด เงื่อนไขเกี่ยวกับการจ้างว่า “ผู้รับจ้างจะต้องลงเวลาปฏิบัติงานและปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือค าสั่งของมหาวิทยาลัยผู้ว่าจ้าง” แต่เจตนาที่แท้จริงของมหาวิทยาลัยทักษิณมีความประสงค์ จ้างเหมาบริการที่ต้องการผลส าเร็จของงานเป็นหลัก และถือเป็นการจ้างบุคคลภายนอกประเภท ค่าจ้างเหมาเอกชนด าเนินการของส่วนราชการ ซึ่งไม่ถือเป็นการจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ และไม่ถือเป็นการจ้างแรงงาน ตามนัยหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๘๖ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ เรื่อง ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจ้างเอกชน ด าเนินงานของส่วนราชการ ในระยะเริ่มแรก(พ.ศ. ๒๕๕๑) มหาวิทยาลัยทักษิณจึงไม่ได้ท าการขึ้นทะเบียน ผู้ประกันตนและน าส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ต่อมามหาวิทยาลัยทักษิณได้รับหนังสือ จากส านักงานประกันสังคมจังหวัดพัทลุงและส านักงานประกันสังคมจังหวัดสงขลาแจ้งให้มหาวิทยาลัย ด าเนินการยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อผู้ประกันตน และน าส่งเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุน ประกันสังคมพร้อมเบี้ยปรับ เนื่องจากข้อก าหนดในการจ้างเหมาของมหาวิทยาลัยมีลักษณะที่ผู้ว่าจ้าง มีการควบคุมบังคับบัญชาต่อผู้รับจ้างมหาวิทยาลัยทักษิณจึงได้ด าเนินการยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อ ผู้ประกันตนและน าส่งเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคม จากกรณีที่เกิดขึ้น ส านักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๑๕ จังหวัดสงขลา ได้มีจดหมายบันทึกให้มหาวิทยาลัยทักษิณชี้แจงถึงการยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อผู้ประกันตน และน าส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ว่าจ้างเข้ากองทุนประกันสังคม โดยเห็นว่าเป็นการกระท าที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้มหาวิทยาลัยต้องสูญเสียงบประมาณรายจ่ายที่ไม่ต้องจ่าย เป็นการไม่ถือปฏิบัติตามหนังสือ กรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๘๖ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ มหาวิทยาลัยทักษิณจึงขอหารือว่ามหาวิทยาลัยทักษิณจะต้องปฏิบัติตามหนังสือ กรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๘๖ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ เรื่อง ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจ้างเอกชนด าเนินงานของส่วนราชการ หรือต้องปฏิบัติตามส านักงานประกันสังคมที่ให้ยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อผู้ประกันตนและน าส่ง เงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุประกันสังคม คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของมหาวิทยาลัยทักษิณ โดยมีผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานประกันสังคม) เรื่องเสร็จที่ ๕๘/๒๕๕๔ เรื่อง สถานภาพความเป็นผู้ประกันตน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ของพนักงานจ้างเหมาที่ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยทักษิณ


หน้า ๒๕๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนส านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้แทนมหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยทักษิณได้ท าสัญญาจ้างเหมาพนักงานตามแบบสัญญาจ้าง เหมาพนักงาน โดยข้อความที่ปรากฏในแบบสัญญาจ้างเหมาพนักงานในข้อ ๑ ได้ก าหนดให้ผู้ว่าจ้าง เป็นผู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อผู้รับจ้างใช้ในการปฏิบัติงาน ข้อ ๒ ได้ก าหนด รายละเอียดงานจ้างเหมาและคุณสมบัติของผู้รับจ้าง ให้เป็นไปตามเอกสารแนบท้ายสัญญา ซึ่งแตกต่างกันไป ตามลักษณะงาน เช่น สัญญาจ้างเหมาพนักงานท าความสะอาด ได้ก าหนดให้ผู้รับจ้างต้องปฏิบัติงาน เฉพาะกิจและปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าจ้างรวมทั้งก าหนดระยะเวลาการปฏิบัติงาน อัตราค่าจ้าง ค่าท างานในวันหยุด การลาป่วย การลากิจ การลาออก และการลงโทษ ตลอดจนก าหนด คุณสมบัติของผู้รับจ้างไว้ว่าต้องมีความรับผิดชอบ ความอุตสาหะ การรักษาวินัย มีความสามารถ ในการพัฒนางานและพัฒนาตนเอง ข้อ ๕ ได้ก าหนดให้ผู้รับจ้างต้องปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ และค าสั่งโดยชอบของผู้ว่าจ้างเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน และผู้รับจ้างต้องลงเวลาท างานไปกลับด้วยตนเอง ทุกครั้งที่มาปฏิบัติงาน ข้อ ๙ ได้ก าหนดให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่ผู้รับจ้างผิดสัญญา หรือเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามค าสั่งของผู้ว่าจ้าง และข้อ ๑๒ ได้ก าหนดให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิตรวจและควบคุมงาน ให้เป็นไปตามที่ระบุในสัญญา โดยมีสิทธิสั่งการใดๆ เกี่ยวกับงานที่จ้างและผู้รับจ้างต้องปฏิบัติ ตามค าสั่งทุกประการ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาข้อหารือของมหาวิทยาลัยทักษิณ ประกอบกับข้อเท็จจริงข้างต้นแล้ว มีความเห็นว่า ข้อหารือดังกล่าวมีประเด็นที่ต้องพิจารณา สองประเด็น ดังต่อไปนี้ ประเด็นที่หนึ่ง สัญญาระหว่างมหาวิทยาลัยทักษิณและพนักงานจ้างเหมาเป็นสัญญา จ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างท าของ เห็นว่า เมื่อได้พิจารณาข้อสัญญาที่ปรากฏในแบบสัญญาจ้างเหมาพนักงาน ของมหาวิทยาลัยและเอกสารแนบท้ายสัญญาข้างต้น ซึ่งมีการก าหนดระยะเวลาการปฏิบัติงาน อัตราค่าจ้าง ค่าท างานในวันหยุด การลาป่วย การลากิจ การลาออก การลงโทษ ผู้รับจ้าง ต้องมีความรับผิดชอบ ความอุตสาหะ รักษาวินัย มีความสามารถในการพัฒนางานและพัฒนาตนเอง และต้องปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ และค าสั่งโดยชอบของผู้ว่าจ้างเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน ตลอดจนผู้รับจ้างต้องลงเวลาท างานไปกลับด้วยตนเองทุกครั้งที่มาปฏิบัติงาน และในกรณีที่พนักงานจ้างเหมา ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือค าสั่งของมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสามารถลงโทษได้จากข้อสัญญาดังกล่าว จึงเห็นได้ว่า การปฏิบัติงานของพนักงานจ้างเหมาขึ้นอยู่กับการสั่งงานและอ านาจบังคับบัญชา ของมหาวิทยาลัยและจากแนวค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๑/๒๕๓๗ ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๓๐๕/๒๕๔๕ และค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๙๔๒/๒๕๕๐ ได้พิพากษาวางหลักกฎหมายไว้ว่า สัญญาที่มีลักษณะดังกล่าว ไม่ใช่สัญญาจ้างท าของ แต่เป็นสัญญาจ้างแรงงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) จึงเห็นว่า สัญญาระหว่างมหาวิทยาลัยทักษิณและพนักงานจ้างเหมาเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา ๕๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมหาวิทยาลัยทักษิณมีฐานะเป็นนายจ้างและพนักงานจ้างเหมา บริการมีฐานะเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ประเด็นที่สอง มหาวิทยาลัยทักษิณจะต้องปฏิบัติตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๘๖ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ เรื่อง ซ้อมความเข้าใจ เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจ้างเอกชนด าเนินงานของส่วนราชการ หรือต้องปฏิบัติ


หน้า ๒๕๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามส านักงานประกันสังคมที่ให้ยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อผู้ประกันตนและน าส่งเงินสมทบ ในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคมนั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่า สัญญาระหว่างมหาวิทยาลัยทักษิณและพนักงานจ้างเหมาเป็นสัญญาจ้างแรงงาน และโดยที่ มหาวิทยาลัยทักษิณไม่ใช่ราชการส่วนกลางราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่นที่ลูกจ้างของตน ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ (มาตรา ๔ (๑) ๒) นอกจากนี้ ไม่มีบทบัญญัติใด ในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยทักษิณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ยกเว้นให้มหาวิทยาลัยทักษิณหรือลูกจ้างตามสัญญาจ้างเหมาบริการ (สัญญาจ้างแรงงาน) ไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ดังนั้น มหาวิทยาลัยทักษิณจึงต้องปฏิบัติ ตามที่ส านักงานประกันสังคมแจ้งให้ยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อผู้ประกันตนและน าส่งเงินสมทบ ในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคมตามที่กฎหมายก าหนด ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ //////////////////////////////


หน้า ๒๕๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงาน ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๖๐๗/๐๕๓๑ ลงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๑ และวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๑ เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือส าหรับ ข้าราชการและลูกจ้างประจ าที่มีรายได้น้อยให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว โดยกระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๔/ว ๖๙ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ก าหนดหลักเกณฑ์ เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว สรุปได้ว่า พนักงานราชการที่มีค่าตอบแทน ไม่ถึงเดือนละ ๑๑,๗๐๐ บาท ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท แต่เมื่อรวมกับค่าตอบแทนที่ได้รับต้องไม่เกินเดือนละ ๑๑,๗๐๐ บาท และผู้ได้รับเงินข้างต้นรวมกันแล้ว ไม่ถึงเดือนละ ๘,๒๐๐ บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนหรือค่าจ้าง อีกจนถึงเดือนละ ๘,๒๐๐ บาท กรณีการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวนั้น กรมบัญชีกลางได้มีความเห็น ตามหนังสือ ที่ กค ๐๔๐๖.๔/๒๒๘๓๐ ลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ ตอบข้อหารือกระทรวงพลังงาน กรณีส านักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ทักท้วงว่า เจ้าหน้าที่ของส านักงานปลัดกระทรวงพลังงาน มิได้น าเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานราชการมารวมค านวณกับค่าตอบแทนค านวณหัก เพื่อน าส่งกองทุนประกันสังคม ซึ่งกรมบัญชีกลางเห็นว่า การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว เป็นนโยบายของรัฐเพื่อช่วยเหลือการครองชีพของข้าราชการและลูกจ้าง และรวมถึงเจ้าหน้าที่ ของรัฐอื่นที่มีรายได้น้อยเพื่อให้มีรายได้พื้นฐานเพียงพอต่อการด ารงชีวิต เนื่องจากค่าครองชีพในปัจจุบันได้ เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเป็นการจ่ายชั่วคราว ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ และลูกจ้างประจ าของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หากมีการปรับโครงสร้าง เงินเดือนของข้าราชการและโครงสร้างค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ กระทรวงการคลังอาจพิจารณา ปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้าง เงินเดือนของข้าราชการและโครงสร้างค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการที่ปรับใหม่ได้ ดังนั้น เงินเพิ่ม การครองชีพชั่วคราวดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเงินตอบแทนการท างานในลักษณะเงินเดือนหรือค่าจ้าง ที่ต้องน ามาค านวณเพื่อหักน าส่งกองทุนประกันสังคมแต่อย่างใด ส านักงานประกันสังคมมีความเห็นว่า กรณีการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพที่นายจ้าง จ่ายให้แก่ลูกจ้างทุกเดือนมีจ านวนแน่นอนไม่แตกต่างไปจากการจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้าง ถือได้ว่า เงินเพิ่มค่าครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่จ่ายเพื่อตอบแทนการท างานในวันและเวลาท างานปกติ จึงถือเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กระทรวงแรงงานพิจารณาแล้ว มีความเห็นเป็นไปในแนวทางเดียวกับส านักงานประกันสังคม แต่เนื่องจากกรมบัญชีกลางมีความเห็นว่า เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานราชการ เรื่องเสร็จที่ ๒๒๓/๒๕๕๔ เรื่อง ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ (กรณีเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานราชการ)


หน้า ๒๖๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา มิใช่เป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการท างานในลักษณะเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ต้องน ามาค านวณ เพื่อหักน าส่งกองทุนประกันสังคม ซึ่งความเห็นดังกล่าวมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงาน เจ้าหน้าที่ส านักงานประกันสังคม รวมทั้งมีผลกระทบต่อลูกจ้างในการได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทน ในกรณีต่างๆ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ น้อยลง กระทรวงแรงงานจึงขอหารือ ว่าเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานราชการที่คณะรัฐมนตรีมีมติจ่ายให้เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ลูกจ้างที่มีรายได้น้อยตามที่กระทรวงการคลังก าหนดหลักเกณฑ์นั้น ถือเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกระทรวงแรงงาน โดยมีผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวง และส านักงานประกันสังคม) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า การจ่ายเงินเพิ่ม การครองชีพชั่วคราวของพนักงานราชการ ต้องพิจารณาจ านวนเงินรวมที่ได้รับ โดยแยกเป็น ๒ กรณี กล่าวคือ กรณีที่หนึ่ง พนักงานราชการซึ่งมีค่าตอบแทนไม่ถึงเดือนละ ๑๑,๗๐๐ บาท พนักงานราชการจะได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท แต่เมื่อรวมกับ ค่าตอบแทนที่ได้รับต้องไม่เกินเดือนละ ๑๑,๗๐๐ บาท เช่น พนักงานราชการ กลุ่มงานบริการในขั้น ๑๑ ซึ่งมีอัตราค่าตอบแทนเดือนละ ๙,๖๐๐ บาท เมื่อได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวอีกเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท พนักงานราชการจะได้รับค่าตอบแทนเดือนละ ๑๑,๑๐๐ บาท ซึ่งไม่เกินเดือนละ ๑๑,๗๐๐ บาทในกรณีนี้พนักงานราชการจะได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ส าหรับพนักงานราชการ กลุ่มงานบริการ ในขั้น ๑๓ ซึ่งมีอัตราค่าตอบแทน เดือนละ ๑๐,๖๕๐ บาท เมื่อได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวอีกเดือนละ ๑,๕๐๐ บาทแล้ว พนักงานราชการจะได้รับค่าตอบแทนเกินเดือนละ ๑๑,๗๐๐ บาท ในกรณีนี้พนักงานราชการจะได้รับเงินเพิ่ม การครองชีพชั่วคราวเดือนละ ๑,๐๕๐ บาทเท่านั้น กรณีที่สอง พนักงานราชการที่มีค่าตอบแทนรวมกับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว อีกเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ตามกรณีที่หนึ่งแล้วยังไม่ถึงเดือนละ ๘,๒๐๐ บาท พนักงานราชการ จะได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนหรือค่าจ้างอีกจนถึงเดือนละ ๘,๒๐๐ บาท เช่น พนักงานราชการ กลุ่มงานบริการ ในขั้น ๑ ถึงขั้น ๓ ซึ่งมีอัตราค่าตอบแทนเดือนละ ๕,๘๖๐ บาท ๖,๑๒๐ บาท และ ๖,๓๘๐ บาท ตามล าดับ ในกรณีนี้พนักงานราชการจะได้รับเงินเพิ่มการครองชีพ ชั่วคราว เพิ่มจากอัตราค่าตอบแทนอีกเดือนละ ๒,๓๔๐ บาท ๒,๐๘๐ บาท และ ๑,๘๒๐ บาท ตามล าดับ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาข้อหารือของกระทรวงแรงงาน ประกอบกับข้อเท็จจริงข้างต้นแล้ว เห็นว่า การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้แก่พนักงานราชการ ซึ่งมีค่าตอบแทนไม่ถึงเดือนละ ๑๑,๗๐๐ บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท แต่เมื่อรวมกับค่าตอบแทนที่ได้รับต้องไม่เกินเดือนละ ๑๑,๗๐๐ บาท และผู้ได้รับเงินข้างต้นรวมกันแล้ว ไม่ถึงเดือนละ ๘,๒๐๐ บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนหรือค่าจ้าง อีกจนถึงเดือนละ ๘,๒๐๐ บาท นั้น มีลักษณะการจ่ายเป็นรายเดือนท านองเดียวกับเงินเดือน โดยจ่ายเป็นประจ า มีจ านวนแน่นอน และยึดโยงกับอัตราค่าตอบแทนรายเดือนที่พนักงานราชการได้รับ


หน้า ๒๖๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แม้วัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจะเป็นการจ่ายเพื่อช่วยเหลือการครองชีพ ของข้าราชการและลูกจ้าง และรวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นที่มีรายได้น้อยเพื่อให้มีรายได้พื้นฐาน เพียงพอต่อการด ารงชีวิต เนื่องจากค่าครองชีพในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยหากมีการปรับโครงสร้างเงินเดือนของข้าราชการและโครงสร้างค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ กระทรวงการคลังอาจพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ที่ปรับใหม่ได้ก็ตาม ย่อมแสดงให้เห็นว่าการจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนซึ่งเป็นค่าจ้างที่พนักงานราชการ ได้รับอยู่ไม่สมดุลกับค่าครองชีพ จึงต้องเพิ่มค่าจ้างโดยเรียกว่าเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ซึ่งแม้จะเรียกว่าเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแต่ส่วนราชการก็จ่ายให้ตลอดไปจนกว่าจะมีการปรับปรุง โครงสร้างค่าจ้างให้ถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนั้น เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานราชการ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติจ่ายให้เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกจ้างที่มีรายได้น้อยตามที่กระทรวงการคลัง ก าหนดหลักเกณฑ์นั้น จึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการท างานในวันและ เวลาท างานปกติ ถือว่าเป็น “ค่าจ้าง” ตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ทั้งนี้ ได้มีค าพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ในท านองเดียวกัน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมษายน ๒๕๕๔ //////////////////////////////


หน้า ๒๖๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มีหนังสือ ที่ นร ๐๕๐๘/ท ๒๔๗๗ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่าส านักงานศาลยุติธรรมเสนอ เรื่องเพื่อขอให้น าความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานภาค ๑ ถึงภาค ๖ และศาลแรงงานภาค ๘ ถึงภาค ๙ ชุดเดิมพ้นจากต าแหน่งรวม ๔๓๑ คน และแต่งตั้งผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานดังกล่าวชุดใหม่ให้ด ารงต าแหน่งแทน ซึ่งคณะกรรมการบริหาร ศาลยุติธรรมได้ด าเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานใหม่รวม ๕๕๒ คน โดยแต่งตั้งผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลางและศาลแรงงานภาค ๑ ถึงภาค ๙ แต่ในส่วน ของศาลแรงงานภาค ๓ ภาค ๔ ภาค ๖ ภาค ๘ และภาค ๙ ได้แต่งตั้งผู้พิพากษาสมทบ ทั้งสองฝ่ายไม่เท่ากัน ซึ่งส านักงานศาลยุติธรรมแจ้งว่าไม่กระทบต่อการพิจารณาพิพากษาคดีแรงงาน ที่ก าหนดให้องค์คณะของผู้พิพากษาศาลแรงงานประกอบด้วยผู้พิพากษาหนึ่งคน และผู้พิพากษาสมทบ ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละหนึ่งคนตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า การคัดเลือกผู้สมควรแต่งตั้ง เป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานภาค ๓ ภาค ๔ ภาค ๖ ภาค ๘ และภาค ๙ ซึ่งได้จ านวน ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างไม่เท่ากัน และส านักงานศาลยุติธรรมประสงค์ ขอให้ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีน าความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป นั้น ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นคนละประเด็นกันกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ ซึ่งบัญญัติให้ศาลแรงงาน ต้องมีองค์ประกอบของผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างจ านวนเท่าๆ กัน ถึงแม้ว่า ส านักงานศาลยุติธรรมเห็นว่า กรณีจ านวนผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างไม่เท่ากัน ดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบต่อองค์คณะของผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีแต่กรณีนี้อาจขัดต่อบทบัญญัติ มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงขอหารือมายังส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า การน าความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้พิพากษาสมทบตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติฯ ในศาลแรงงานภาค ๓ ภาค ๔ ภาค ๖ ภาค ๘ และภาค ๙ ซึ่งมี จ านวนผู้สมควรแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างไม่เท่ากันนั้นจะกระท า ได้หรือไม่ประการใด คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรีโดยได้รับฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนส านักนายกรัฐมนตรี (ส านักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี) ผู้แทนกระทรวงแรงงาน (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) และผู้แทนส านักงาน ศาลยุติธรรม แล้ว เห็นว่า มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน เรื่องเสร็จที่ ๒๘๗/๒๕๕๔ เรื่อง การคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงาน ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒


หน้า ๒๖๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า “ในศาลแรงงาน ให้มีผู้พิพากษาและผู้พิพากษาสมทบตามจ านวน ที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม ก าหนดตามความจ าเป็นเพื่อประโยชน์ในทางราชการของแต่ละศาล โดยเฉพาะผู้พิพากษาสมทบ ฝ่ายนายจ้างและผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างให้มีจ านวนฝ่ายละเท่าๆ กัน” บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะให้อ านาจคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (กบศ.) ตามพระราชบัญญัติระเบียบ บริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จะพิจารณาก าหนดจ านวนผู้พิพากษาและผู้พิพากษาสมทบ ให้เหมาะสมกับปริมาณและลักษณะคดีที่จะเข้าสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานแต่ละศาล โดยค านึงถึงความจ าเป็นและเพื่อประโยชน์ในทางราชการของศาลนั้นๆ ส าหรับการได้มาซึ่งผู้พิพากษาสมทบนั้นเป็นไปตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ ซึ่งบัญญัติให้พระมหากษัตริย์จะได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้พิพากษาสมทบจากบุคคลซึ่งคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้างซึ่งมีที่มาจากสองทาง คือ (๑) บัญชีรายชื่อซึ่งผ่านการเลือกตั้งจากผู้แทนฝ่ายสมาคมนายจ้าง กับรัฐวิสาหกิจและสหภาพแรงงานจ านวนไม่เกินสองเท่าของจ านวนที่ กบศ. ก าหนด และ (๒) บัญชีรายชื่อ ผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างซึ่งผ่านการเลือกกันเองโดยบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อ จากกระทรวงแรงงาน หรือคณะกรรมการหรือองค์กรที่เกี่ยวกับแรงงานตามประกาศของคณะกรรมการ ตุลาการศาลยุติธรรม จ านวนไม่เกินสองเท่าของจ านวนที่ กบศ. ก าหนด บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ ให้คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมเป็นผู้คัดเลือกผู้พิพากษาสมทบจากรายชื่อผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้างซึ่งผ่านการเลือกตั้งหรือเลือกกันเองตามมาตรา ๑๔ (๑) และ(๒) แห่งพระราชบัญญัติฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และในการคัดเลือกแต่ละครั้งของคณะกรรมการตุลาการ ศาลยุติธรรมอาจจะได้ผู้ที่จะได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างมีจ านวนไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของบุคคลที่ได้รับ การเสนอชื่อคัดเลือกและความจ าเป็นที่จะต้องได้ผู้พิพากษาสมทบจ านวนหนึ่งไปก่อนเพื่อให้การพิจารณา พิพากษาอรรถคดีเป็นไปตามหลักการของมาตรา ๑๗๔ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ที่บัญญัติ ให้องค์คณะของผู้พิพากษาศาลแรงงานต้องประกอบด้วยผู้พิพากษาและผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละเท่าๆ กัน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมษายน ๒๕๕๔ //////////////////////////////


หน้า ๒๖๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ รง ๐๖๐๗/๓๗๗๓ ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า มาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ บัญญัติว่า บุคคลอื่นใดซึ่งมิใช่ลูกจ้างตามมาตรา ๓๓ จะสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้ โดยให้แสดงความจ านงต่อส านักงาน บทบัญญัติดังกล่าวท าให้ส านักงานประกันสังคมมีข้อสงสัยในการปฏิบัติตามกฎหมายว่า บุคคลตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ เช่น ข้าราชการ ลูกจ้างชั่วคราวรายวัน ของส่วนราชการ ลูกจ้างงานบ้าน หรือลูกจ้างของนายจ้างซึ่งประกอบการค้าเร่หรือการค้าแผงลอย สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ได้หรือไม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีความเห็นแตกต่างกันเป็นสองแนวทาง ดังนี้ แนวทางที่หนึ่ง เห็นว่า บุคคลตามมาตรา ๔ ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ ได้ เนื่องจากมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ บัญญัติไม่ใช้บังคับ แก่บุคคลตาม (๑) - (๕) และกิจการหรือลูกจ้างอื่นตามที่ก าหนดในพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๔ (๖) แนวทางที่สอง เห็นว่า บุคคลตามมาตรา ๔ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ ได้ เนื่องจากผู้ประกันตนที่อยู่ในระบบประกันสังคมมีอยู่ ๒ ประเภท คือ ประเภทที่กฎหมายบังคับ ได้แก่ ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ ประเภทสมัครใจ ได้แก่ ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ ซึ่งการที่มาตรา ๔ บัญญัติไม่ใช้บังคับแก่บุคคลตาม (๑) - (๕) และกิจการหรือลูกจ้างอื่นตามที่ก าหนดในพระราชกฤษฎีกานั้น ความหมายคือไม่บังคับให้ลูกจ้างดังกล่าวจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ แต่ผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ เป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ และมาตรา ๔๐ ได้ก าหนด ไว้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่จะสมัครเป็นผู้ประกันตนหมายถึงบุคคลอื่นใดก็ได้ที่ไม่ใช่ลูกจ้างตามมาตรา ๓๓ ส านักงานประกันสังคมจึงขอหารือปัญหาข้อกฎหมายต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า บุคคลตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้หรือไม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจน ในประเด็นข้อกฎหมายและเพื่อให้การประชาสัมพันธ์ชี้แจงผู้ที่สนใจจะสมัครเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ เป็นไปโดยถูกต้อง และขอให้พิจารณาตอบข้อหารือเพื่อให้ทันกับการบังคับ ใช้ร่างพระราชกฤษฎีกาก าหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็น ผู้ประกันตน พ.ศ. .... ที่จะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาประเด็นข้อหารือดังกล่าว โดยฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและส านักงานประกันสังคม) แล้ว เห็นว่าพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ตราขึ้นโดยมีเจตนารมณ์ เพื่อสร้างหลักประกัน เรื่องเสร็จที่ ๓๖๗/๒๕๕๔ เรื่อง การสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓


หน้า ๒๖๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้แก่ลูกจ้างและบุคคลอื่น โดยจัดตั้งกองทุนประกันสังคมขึ้น เพื่อให้การสงเคราะห์แก่ลูกจ้างและบุคคลอื่น ซึ่งประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย อันมิใช่เนื่องจากการท างาน รวมทั้งกรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และส าหรับกรณีว่างงานซึ่งให้หลักประกันเฉพาะลูกจ้าง โดยผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ สามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทที่กฎหมายบังคับ ได้แก่ ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ และประเภทสมัครใจ ได้แก่ ผู้ประกันตน ตามมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ ส าหรับการประกันตนตามมาตรา ๔๐ แม้กฎหมายจะบัญญัติให้บุคคลอื่นใดซึ่งมิใช่ลูกจ้าง ตามมาตรา ๓๓ จะสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้ โดยให้แสดงความจ านง ต่อส านักงานประกันสังคมก็ตาม แต่โดยที่มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ (๑)ข้าราชการ ลูกจ้างประจ า ลูกจ้างชั่วคราวรายวัน และลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมง ของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน (๒) ลูกจ้างของรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ (๓)ลูกจ้างของนายจ้างที่มีส านักงานในประเทศและไปประจ าท างานในต่างประเทศ (๔) ครูหรือครูใหญ่ของโรงเรียนเอกชน (๕) นักเรียน นักเรียนพยาบาล นิสิตหรือนักศึกษา หรือแพทย์ฝึกหัด ซึ่งเป็นลูกจ้าง ของโรงเรียน มหาวิทยาลัยหรือโรงพยาบาล และ (๖) กิจการหรือลูกจ้างอื่นตามที่ก าหนดในพระราชกฤษฎีกา ปัจจุบันได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาก าหนดลูกจ้างตามมาตรา ๔ (๖) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาก าหนดลูกจ้าง ตามมาตรา ๔ (๖) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ไว้แล้ว เมื่อมาตรา ๔๐ เป็นบทบัญญัติหนึ่งในพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ และไม่ปรากฏว่า มีบทบัญญัติมาตราใดบัญญัติยกเว้นมิให้น ามาตรา ๔ มาใช้บังคับกับมาตรา ๔๐ ย่อมเป็นการแจ้งชัดว่า พระราชบัญญัตินี้ประสงค์จะยกเว้นการใช้บังคับแก่บุคคลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔ และตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ดังนั้น บุคคลในสถานะตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จึงไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ อย่างไรก็ตาม หากกระทรวงแรงงานหรือรัฐบาลมีนโยบายที่จะให้บุคคลหรือลูกจ้าง ตามมาตรา ๔ ประเภทใดสามารถสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ได้ก็ควรด าเนินการเสนอ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔ มาตรา ๓๓ หรือมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาก าหนดลูกจ้างตามมาตรา ๔ (๖) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. ๒๕๔๕ ต่อไป ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมษายน ๒๕๕๔ //////////////////////////////


หน้า ๒๖๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางาน ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๓๐๒/๑๓๔๒๗ ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติ การท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ก าหนดให้คนต่างด้าวซึ่งมีภูมิล าเนาและเป็นคนสัญชาติ ของประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ถ้าได้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมีเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง อาจได้รับอนุญาตให้ท างานบางประเภทหรือลักษณะงานในราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราว ในช่วงระยะเวลาหรือตามฤดูกาลที่ก าหนดได้ ทั้งนี้ เฉพาะการท างานภายในท้องที่ ที่อยู่ติดกับชายแดนหรือท้องที่ต่อเนื่องกับท้องที่ดังกล่าว ซึ่งในการหารือระหว่างส่วนราชการที่มีหน้าที่ รับผิดชอบเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการท างานของคนต่างด้าวและกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เกี่ยวกับการพิจารณาว่าบัตรผ่านแดนเป็นเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือไม่ กรมการจัดหางานมีความเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามมาตรา ๑๔ เนื่องจากในการพิจารณายกร่างบทบัญญัติดังกล่าวของคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางาน ได้ชี้แจงสภาพปัญหาการลักลอบท างานของคนต่างด้าวในบริเวณชายแดนซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณา เกี่ยวกับเอกสารที่คนต่างด้าวในบริเวณชายแดนใช้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งบัตรผ่านแดน เพื่อก าหนดให้เป็นเอกสารในการขอรับใบอนุญาตท างานซึ่งได้ข้อยุติให้ใช้ถ้อยค าว่าเอกสารใช้แทน หนังสือเดินทางก็เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง แต่ส่วนราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ได้แก่ ส านักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการกงสุล และกรมเอเชียตะวันออก เห็นว่า บัตรผ่านแดนไม่ใช่เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามกฎหมาย ว่าด้วยคนเข้าเมือง เนื่องจากบัตรผ่านแดนเป็นเอกสารที่ออกตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลต่างประเทศเกี่ยวกับการเดินทางข้ามพรมแดนตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติ คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้คนสัญชาติของประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย ได้รับยกเว้นไม่ต้องมีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง กรมการจัดหางานพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สอดคล้อง กับเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าว จึงขอหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้ได้ข้อยุติ ในประเด็น ดังต่อไปนี้ ๑. บัตรผ่านแดนเป็นเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔ ดังกล่าว หรือไม่ ๒. เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางดังกล่าว หมายถึง เฉพาะเอกสารที่ทางการ ของประเทศต้นทางออกให้แก่คนต่างด้าว หรือไม่ อย่างไร เรื่องเสร็จที่ ๙๑๘/๒๕๕๔ เรื่อง บัตรผ่านแดนเป็นเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือไม่


หน้า ๒๖๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๖) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมการจัดหางาน โดยมีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กรมการกงสุลกรมสนธิสัญญาและกฎหมายและกรมเอเชียตะวันออก) ผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและกรมการจัดหางาน) ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (ส านักงานปลัดกระทรวงและกรมการปกครอง) และผู้แทนส านักงานต ารวจแห่งชาติ เป็นผู้ชี้แจง ข้อเท็จจริง ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมดังนี้ ๑. ผู้แทนกรมการจัดหางานได้ชี้แจงว่า ในปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวจากประเทศ ที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยได้เข้ามาท างานในราชอาณาจักรจ านวนมากโดยคนกลุ่มนี้ไม่มีใบอนุญาต ท างานในราชอาณาจักรไทย ซึ่งกรมการจัดหางานได้มีนโยบายในการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยมาตรการหนึ่ง คือมาตรการทางกฎหมายตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่บัญญัติให้คนต่างด้าวซึ่งมีภูมิล าเนาและเป็นคนสัญชาติของประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ถ้าได้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมีเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง อาจได้รับอนุญาตให้ท างานบางประเภทหรือลักษณะงานในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ในช่วงระยะเวลาหรือตามฤดูกาลที่ก าหนดได้แต่เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองที่ใช้บังคับในปัจจุบันแล้ว จะเห็นได้ว่า บัตรผ่านแดนเป็นเอกสาร ที่ออกตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศในการเดินทางข้ามพรมแดน ตามมาตรา ๑๓ (๒) จึงท าให้เกิดปัญหาว่าบัตรผ่านแดนจะใช้กับความหมายของค าว่า “เอกสาร ใช้แทนหนังสือเดินทาง”ได้หรือไม่ ซึ่งกรมการจัดหางานมีความเห็นว่า บัตรผ่านแดนถือว่าเป็นเอกสาร ใช้แทนหนังสือเดินทางที่กรมการจัดหางานจะน ามาใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตท างาน ให้คนต่างด้าวได้ ๒.ผู้แทนกรมการกงสุล ผู้แทนกรมเอเชียตะวันออก ผู้แทนส านักงานต ารวจแห่งชาติ และผู้แทนกรมการปกครอง ได้ชี้แจงและมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า บัตรผ่านแดนไม่มีลักษณะ เป็นเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง เนื่องจากหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง เป็นเอกสารที่รัฐบาลของแต่ละประเทศออกให้แก่ประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองซึ่งรัฐบาล ของนานาประเทศยอมรับและใช้เป็นมาตรฐานสากล โดยเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางมีหลายประเภท เช่น เอกสารที่รัฐบาลออกให้ส าหรับการเดินทางเข้าประเทศโดยมีวัตถุประสงค์เป็นการเฉพาะ เพื่อเดินทางกลับประเทศของตน หรือเพื่อใช้แทนหนังสือเดินทางในการเดินทางกลับประเทศของตน ส าหรับกรณีที่บุคคลนั้นไม่มีหนังสือเดินทางและประเทศนั้น ไม่มีสถานทูตหรือสถานกงสุลในประเทศ หรือเอกสารการเดินทางของสหประชาชาติ แลสเซ่ปาสเซ่ (Laissez-passer) ที่สหประชาชาติ ออกให้แก่เจ้าหน้าที่ของตนเพื่อใช้แสดงตัวในการเดินทาง แต่กรณีของบัตรผ่านแดนจะออกตามข้อตกลง ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลของประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกัน โดยมีวัตถุประสงค์จ ากัด เพียงเพื่อให้ประชาชนเดินทางสัญจรข้ามแดนเท่านั้น ซึ่งหน่วยงานของรัฐบาลจะออกบัตรผ่านแดน ให้กับคนชาติของตนที่เป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา ๑๓ (๒) โดยในความตกลง ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลของต่างประเทศ จะก าหนดวัตถุประสงค์ไว้อย่างชัดเจนให้ประชาชน ทั้งสองฝ่ายข้ามชายแดนเพื่อท่องเที่ยว ประชุม สัมมนา เป็นต้น แต่ไม่มีวัตถุประสงค์ในการเข้ามาท างาน ในราชอาณาจักร ยกเว้นประเทศมาเลเชียที่ไม่ระบุวัตถุประสงค์ไว้นอกจากนี้ มาตรา ๑๒ (๑) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ก าหนดให้คนต่างด้าวที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร


หน้า ๒๖๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ต้องมีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่มาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติ คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ก าหนดข้อยกเว้นให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรได้โดยไม่ต้องมีเอกสาร เดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางโดยต้องเป็นคนสัญชาติของประเทศที่มีอาณาเขต ติดต่อกับประเทศไทยเดินทางข้ามพรมแดนไปมาชั่วคราว และต้องปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่าง รัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศนั้น ดังนั้น จึงเห็นว่าบัตรผ่านแดนไม่มีลักษณะเป็นเอกสารใช้แทน หนังสือเดินทาง กรมการจัดหางานจึงไม่อาจน าบัตรผ่านแดนที่ออกตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติ คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มาเพื่อใช้ประกอบการอนุญาตให้คนต่างด้าวท างานในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๖) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นกรณีตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่อ้างอิง ไปยังพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยได้พิจารณาการชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมของผู้แทน หน่วยงานที่รักษาการและปฏิบัติการตามกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยกระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางาน) ที่เป็นหน่วยงานรักษาการและปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการท างาน ของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ และกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และส านักงาน ต ารวจแห่งชาติ ที่เป็นหน่วยงานรักษาการและปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกอบกับได้พิจารณาตัวอย่างของบัตรผ่านแดนที่น ามาแสดงในที่ประชุมแล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๖) มีความเห็นในแต่ละประเด็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง เห็นว่า ข้อหารือนี้เป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าวซึ่งมีภูมิล าเนา และเป็นคนสัญชาติของประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติ การท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่บัญญัติให้คนต่างด้าวนั้น อาจได้รับอนุญาตให้ท างาน บางประเภทหรือลักษณะงานในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวในช่วงระยะเวลาหรือตามฤดูกาล ที่ก าหนดได้เฉพาะในท้องที่ที่อยู่ติดกับชายแดนหรือท้องที่ต่อเนื่องกับท้องที่ดังกล่าว โดยได้บัญญัติไว้ ชัดเจนว่าถ้าคนต่างด้าวเหล่านั้นได้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมี“เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง” อาจได้รับอนุญาตให้ท างานได้ โดยในการยื่นค าขอรับใบอนุญาตท างาน ชั่วคราวให้แสดงเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางดังกล่าวด้วย กรณีก็จะต้องพิจารณาเอกสารดังกล่าว ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า มาตรา ๑๒ (๑) ได้บัญญัติให้คนต่างด้าวที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรจะต้องมีหนังสือเดินทาง หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง และมาตรา ๑๓ (๒) ก็ได้บัญญัติข้อยกเว้นว่าคนต่างด้าว ที่เป็นคนสัญชาติของประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยเดินทางข้ามพรมแดนไปมาชั่วคราว โดยปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศนั้น ไม่ต้องมีหนังสือเดินทาง หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่สามารถใช้บัตรผ่านแดนซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลแห่งประเทศที่ติดต่อกัน เมื่อบัตรผ่านแดนตามข้อเท็จจริงที่หารือเป็นเอกสารที่รัฐบาล จะออกให้กับคนชาติของตนซึ่งเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลแห่งประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทย ซึ่งสามารถใช้ในการเดินทางข้ามแดน เข้ามาในราชอาณาจักรไทยได้เป็นการเฉพาะคราวเท่านั้น และบัตรผ่านแดนเป็นเอกสารคนละประเภท กับเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง บัตรผ่านแดนจึงไม่อาจเป็นเอกสาร


หน้า ๒๖๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ใช้แทนหนังสือเดินทางได้เพราะบัตรผ่านแดนเป็นเอกสารที่เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลแห่งประเทศนั้น ซึ่งเป็นข้อยกเว้นของการมีเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามที่บัญญัติ ไว้ในมาตรา ๑๓ (๒) และโดยที่หนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางเป็นเอกสาร ที่รัฐบาลของประเทศออกให้ประชาชนเพื่อแสดงสัญชาติตัวบุคคล และการให้ความคุ้มครองทางการทูต ซึ่งหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น รัฐบาลของนานาประเทศยอมรับและใช้เป็นสากล แต่กรณีของบัตรผ่านแดน ที่ออกตามมาตรา ๑๓ (๒) จะออกตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลของประเทศที่มีอาณาเขต ติดต่อกันเพื่ออ านวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเดินทางสัญจรข้ามแดนเท่านั้น มีลักษณะเป็น ความตกลงที่ฝ่ายบริหารออกให้บุคคลในสัญชาติของตนเป็นการเฉพาะตัว เฉพาะถิ่น และเฉพาะ ประเทศที่ได้ท าความตกลงกันไว้ บัตรผ่านแดนจึงไม่อาจใช้เป็นการทั่วไปเช่นหนังสือเดินทางหรือ เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ดังนั้น จึงเห็นว่าบัตรผ่านแดนไม่มีลักษณะเป็นเอกสารใช้แทน หนังสือเดินทางกรมการจัดหางานจึงไม่อาจใช้บัตรผ่านแดนที่ออกตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตีความว่าเป็นเอกสารประเภทเดียวกับเอกสาร ใช้แทนหนังสือเดินทางเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวท างานในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ ประเด็นที่สอง เห็นว่า กรณีตามปัญหาข้อหารือเป็นเรื่องข้อเท็จจริงเพื่อ ขอทราบความหมายของเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ซึ่งกรมการจัดหางานควรปรึกษาหารือ กับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤศจิกายน ๒๕๕๔ //////////////////////////////


หน้า ๒๗๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๕๐๙/๐๐๖๒๘๙ ลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ด้วยนายสาโรจน์ สุขแสงดาวและนายสมศักดิ์ เหมฤดีสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟ แห่งประเทศไทย มีหนังสือลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ถึงกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขอให้ นายทะเบียนมีค าสั่งเพิกถอนมติคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย กรณีให้ผู้ร้องทั้งสองออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย เนื่องจากปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสหภาพแรงงานฯ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงข้อบังคับของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วปรากฏข้อเท็จจริง ดังนี้ ๑.ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟ แห่งประเทศไทย ครั้งที่ พิเศษ/๒๕๕๒ วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ มีกรรมการบริหาร สหภาพแรงงานฯ เข้าร่วมประชุมทั้งหมด ๒๖ คน จากกรรมการบริหารสหภาพแรงงานฯ ทั้งหมด ๒๘ คนระเบียบวาระที่ ๒ เรื่องพิจารณา ข้อ ๒.๒ เรื่องพิจารณาสมาชิกภาพของสมาชิก ที่กระท าตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสหภาพแรงงานและประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสียแก่สหภาพแรงงานฯ จ านวน ๒ คน คือ (๑) นายสาโรจน์สุขแสงดาว ต าแหน่งพนักงานรถจักร ๗ สังกัดงานรถจักรบางซื่อ มติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานฯ สรุปว่า เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ นายสาโรจน์ฯ ได้ร่วมกับฝ่ายบริหารร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีต ารวจภูธรหาดใหญ่ เพื่อด าเนินคดีกับกรรมการสหภาพแรงงานฯ สาขาหาดใหญ่ ในข้อหากระท าการขัดขวาง การปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งการกระท าดังกล่าวมีเจตนาให้ร้ายต่อสหภาพแรงงานฯ และกรรมการสหภาพ แรงงานฯ สาขาหาดใหญ่ทั้ง ๖ คน ท าให้บุคคลทั่วไปหรือสาธารณชนเข้าใจและส าคัญผิด เกิดการดูหมิ่นเกลียดชังฝ่าฝืนข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อที่ ๒๓๙ เพราะไม่เคยขับรถในเส้นทางจากสถานีชุมทางหาดใหญ่ไปทางใต้จนเกือบเกิดอุบัติเหตุเป็นการจงใจ กระท าที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนถือเป็นการกระท าตนเป็นปฏิปักษ์ ต่อสหภาพแรงงานฯ อย่างชัดแจ้งเห็นว่า นายสาโรจน์ฯ มีเจตนาไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการบริหาร ข้อบังคับของสหภาพแรงงานฯ และมติที่ประชุมใหญ่ ขัดขวางการด าเนินการของสหภาพแรงงานฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของสหภาพแรงงานฯ หมวด ๖ ข้อ ๑๓ (๒) (๔) (๖) (๗) และเป็นการปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสหภาพแรงงานอย่างเป็นประจักษ์ต่อสาธารณะ และสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ทั่วประเทศ (๒) นายสมศักดิ์ เหมฤดีต าแหน่งพนักงานรถจักร ๗ สังกัดงานรถจักรบางซื่อ มติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานฯ สรุปว่า เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่องเสร็จที่ ๙๒๐/๒๕๕๔ เรื่อง อ านาจนายทะเบียนตามมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓


หน้า ๒๗๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา นายสมศักดิ์ฯ ได้ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนปรากฏเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายวันและหนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ โดยกล่าวว่า “การด าเนินการของคณะกรรมการ สหภาพแรงงานฯ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสหภาพ ไม่ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ระหว่างนายจ้างลูกจ้าง การขับไล่ผู้บริหารไม่เป็นการแสวงหาและรักษาประโยชน์ของสมาชิก มีการเหนี่ยวน าให้สมาชิกลางานถ่วงงาน สร้างความเสียหายแก่สาธารณชนและการรถไฟฯ คณะกรรมการไม่ได้ท าหน้าที่คณะกรรมการที่แท้จริง แต่ก าลังท ากิจการที่เป็นปฏิปักษ์กับวัตถุประสงค์ ของสหภาพแรงงานฯ และเป็นการใช้รูปแบบทางการเมืองท าลายกระบวนการแรงงานในรัฐวิสาหกิจไทย จึงเห็นว่าการน าความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นเครื่องมือต่อรองไม่ใช่วิสัยของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่มีเกียรติ” การด าเนินงานของสหภาพแรงงานฯ ได้ด าเนินการตามวัตถุประสงค์และมติที่ประชุม คณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานฯ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของการรถไฟฯ ความปลอดภัย ของประชาชนและสวัสดิการของสมาชิก เป็นการด าเนินการตามวัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงานฯ และตามนโยบายที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า การกระท าของนายสมศักดิ์ฯ มีเจตนาไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานฯ และข้อบังคับของสหภาพแรงงานฯ ขัดขวางการด าเนินการของสหภาพแรงงานฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์แถลงข่าวใส่ความต่อสื่อมวลชน ท าให้สหภาพแรงงานฯ ได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของสหภาพแรงงานฯ หมวด ๖ ข้อ ๑๓ (๒) (๔) (๖) (๗) จึงถือเป็นการปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสหภาพแรงงานฯ อย่างเป็นประจักษ์ต่อสาธารณะและสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ทั่วประเทศ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานฯ จึงอาศัยอ านาจตามข้อบังคับ ของสหภาพแรงงานฯ ข้อที่ ๑๐ (๔) มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้นายสาโรจน์ สุขแสงดาว และนายสมศักดิ์ เหมฤดี พ้นจากการเป็นสมาชิกตั้งแต่วันที่คณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานฯ ลงมติเป็นต้นไป ๒. สหภาพแรงงานฯ ได้จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญประจ าปี ๒๕๕๓ ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ มีสมาชิกเข้าร่วมประชุมทั้งหมด ๘๗๙ คน ระเบียบวาระที่ ๓ พิจารณาคุณสมบัติสมาชิกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหภาพฯ ได้น ามติของคณะกรรมการสหภาพแรงงานฯ ครั้งที่ พิเศษ/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ให้ที่ประชุมใหญ่ลงมติซึ่งที่ประชุมใหญ่ฯ มีมติเสียงข้างมากเห็นด้วยที่ให้นายสาโรจน์สุขแสงดาว ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ด้วยคะแนนเสียง ๓๓๗ เสียงและไม่เห็นด้วย ๒๓๔ เสียง และมีมติด้วยเสียงข้างมากเห็นด้วย ที่ให้นายสมศักดิ์ เหมฤดีออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ด้วยคะแนนเสียง ๓๙๗ เสียง และไม่เห็นด้วย ๒๔๑ เสียง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เห็นว่า โดยที่มาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ บัญญัติว่า “นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายมีอ านาจสั่งให้นายจ้าง กรรมการของสหภาพแรงงาน หรือสมาชิกของ สหภาพแรงงาน กระท าการหรืองดเว้นการกระท าใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือที่ก าหนดไว้ในกฎหมาย หรือข้อบังคับของสหภาพแรงงาน แล้วแต่กรณี” จึงมีปัญหาข้อกฎหมาย ว่านายทะเบียนมีอ านาจในการเพิกถอนมติคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงาน และมติที่ประชุมใหญ่ ของสหภาพแรงงานหรือไม่ ซึ่งมีความเห็นแตกต่างกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า การขอให้นายทะเบียน


หน้า ๒๗๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา วินิจฉัยและมีค าสั่งให้เพิกถอนมติที่ประชุมคณะกรรมการ และที่ประชุมใหญ่ที่ให้ออกจากการเป็นสมาชิก สหภาพแรงงาน อยู่ภายใต้อ านาจของนายทะเบียนตามมาตรา ๖๒ ที่จะพิจารณาด าเนินการได้ อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากกรอบอ านาจของนายทะเบียนตามมาตรา ๖๒ ต้องเป็นเรื่องที่กฎหมาย หรือข้อบังคับของสหภาพแรงงานก าหนดหน้าที่ให้สมาชิกหรือกรรมการต้องปฏิบัติแต่ไม่ปฏิบัติ นายทะเบียนจึงมีอ านาจสั่งให้สมาชิกหรือกรรมการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายหรือข้อบังคับ ของสหภาพแรงงาน แต่ตามข้อเท็จจริงในกรณีนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องปฏิบัติตามกฎหมายหรือข้อบังคับ ของสหภาพแรงงานแต่เป็นเรื่องที่สมาชิกร้องขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการสหภาพแรงงานฯ และมติที่ประชุมใหญ่ที่มีมติให้สมาชิกผู้กระท าการเป็นปฏิปักษ์ต่อสหภาพแรงงานออกจากการเป็นสมาชิก อันเป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสหภาพแรงงานฯและสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ในการประชุมใหญ่ เป็นเรื่องของรายละเอียดจึงไม่อยู่ในข่ายที่นายทะเบียนจะมีค าสั่งเพิกถอนมติ ของคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานฯ และมติที่ประชุมใหญ่สหภาพแรงงานฯ ได้ หากกฎหมาย ประสงค์ให้นายทะเบียนมีอ านาจในการเพิกถอนมติที่ประชุมก็ควรก าหนดไว้เป็นการเฉพาะ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจึงขอหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าตามบทบัญญัติตามมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ นั้น นายทะเบียนมีอ านาจเพิกถอนมติคณะกรรมการสหภาพแรงงานและมติที่ประชุมใหญ่ของสหภาพ แรงงานได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน โดยมีผู้แทนกระทรวงแรงงาน (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) และผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖๒๑ บัญญัติว่า “ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายมีอ านาจสั่งให้นายจ้าง กรรมการของสหภาพแรงงาน หรือสมาชิก ของสหภาพแรงงาน กระท าการหรืองดเว้นการกระท าใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือที่ก าหนดไว้ในกฎหมาย หรือข้อบังคับของสหภาพแรงงาน แล้วแต่กรณี” และมาตรา ๖๓ บัญญัติว่า“นายทะเบียนมีอ านาจสั่งให้กรรมการสหภาพแรงงานผู้ใดผู้หนึ่ง หรือคณะกรรมการสหภาพแรงงาน ออกจากต าแหน่งได้ เมื่อปรากฏว่า (๓) ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามค าสั่งของนายทะเบียน หรือพนักงาน เจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายตามมาตรา ๖๒” บทบัญญัติดังกล่าวจึงให้อ านาจนายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายในการสั่งกรรมการสหภาพแรงงานเป็นรายบุคคล หรือทั้งคณะให้กระท าการหรืองดเว้นการกระท าการใด ๆ เพื่อควบคุมดูแลให้บุคคลดังกล่าว ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายหรือข้อบังคับของสหภาพแรงงาน และหากบุคคลดังกล่าวฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามค าสั่ง นายทะเบียนก็มีอ านาจสั่งให้กรรมการสหภาพแรงงานออกจากต าแหน่ง ได้เท่านั้น บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้อ านาจนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียน มอบหมายที่จะสั่งเพิกถอนมติคณะกรรมการสหภาพแรงงานและมติที่ประชุมใหญ่ของสหภาพแรงงานได้ ดังนั้น นายทะเบียนจึงไม่มีอ านาจเพิกถอนมติคณะกรรมการสหภาพแรงงานและมติที่ประชุมใหญ่ ของสหภาพแรงงาน อย่างไรก็ตาม หากมีกรณีใดที่นายทะเบียนเห็นว่าคณะกรรมการสหภาพแรงงาน หรือกรรมการสหภาพแรงงานผู้ใดมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ก าหนดไว้ในกฎหมายหรือข้อบังคับ


หน้า ๒๗๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ของสหภาพแรงงาน นายทะเบียนก็ย่อมมีอ านาจตามมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ในการสั่งการให้บุคคลดังกล่าวกระท าการหรืองดเว้นการกระท าใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามที่ก าหนดไว้ในกฎหมายหรือข้อบังคับของสหภาพแรงงานได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤศจิกายน ๒๕๕๔ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕


หน้า ๒๗๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๕๐๔/๐๘๘๒๖ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ตามที่มาตรา ๔๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้อ านาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ วินิจฉัยชี้ขาดค าร้องตามมาตรา ๑๒๕ ซึ่งเป็นค าร้องเกี่ยวกับการกระท าอันไม่เป็นธรรม ตามมาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓ และในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ชี้ขาดว่าเป็นการกระท าอันไม่เป็นธรรมให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอ านาจสั่งให้นายจ้าง รับลูกจ้างกลับเข้าท างานหรือให้จ่ายค่าเสียหาย หรือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่เห็นสมควร ในกรณีดังกล่าวได้มีนายจ้างจ านวนมากน าค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ไปฟ้องเพิกถอนต่อศาลแรงงานแต่เนื่องจากมาตรา ๑๒๗ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ บัญญัติให้ด าเนินคดีอาญากรณีการฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓ ได้ต่อเมื่อผู้เสียหายเนื่องจากการฝ่าฝืนได้ยื่นค าร้องกล่าวหาต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ตามมาตรา ๑๒๔ และผู้ถูกกล่าวหาไม่ปฏิบัติตามค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ตามมาตรา ๑๒๕ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจึงพิจารณาด าเนินคดีอาญานายจ้างในข้อหา การกระท าอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓ เมื่อนายจ้าง ไม่ปฏิบัติตามค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ภายในระยะเวลาที่ก าหนด แต่ได้ถูกโต้แย้งว่า ค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ต่อศาลแรงงานค าสั่งยังไม่เป็นที่สุด กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานไม่สามารถด าเนินคดีอาญาในกรณีดังกล่าวได้นอกจากนั้น ระยะเวลาในการอุทธรณ์ค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์โดยน าคดีไปสู่ศาลแรงงานนั้น จะใช้ระยะเวลาตามกฎหมายใด เนื่องจากพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มิได้ก าหนด เรื่อง การอุทธรณ์ค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไว้นั้น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจึงขอหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในประเด็นดังนี้ ๑. การด าเนินคดีอาญากรณีนายจ้างน าค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่สั่งตามมาตรา ๔๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ไปฟ้องเพิกถอน ต่อศาลแรงงานจะต้องรอผลค าพิพากษาในคดีดังกล่าวก่อนหรือไม่ จึงจะสามารถด าเนินคดีอาญา ได้เนื่องจากมาตรา ๑๒๗ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ บัญญัติให้ด าเนินคดีอาญา กรณีการฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓ ได้ต่อเมื่อผู้เสียหายเนื่องจากการฝ่าฝืน ได้ยื่นค าร้องกล่าวหาต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ตามมาตรา ๑๒๔ และผู้ถูกกล่าวหาไม่ปฏิบัติตามค าสั่ง ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา ๑๒๕ ดังนั้น เมื่อมาตรา ๑๒๖ และมาตรา ๑๒๗ ได้ก าหนดเหตุแห่งการระงับไปของคดีอาญาและขั้นตอนของการด าเนินคดีอาญาไว้แล้ว การระงับ เรื่องเสร็จที่ ๗๓/๒๕๕๕ เรื่อง การด าเนินคดีอาญากรณีนายจ้างน าค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่สั่งตามมาตรา ๑๒๕ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ไปฟ้องเพิกถอนต่อศาลแรงงาน


หน้า ๒๗๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การด าเนินคดีอาญาหรือการด าเนินคดีอาญาในกรณีนี้จึงต้องปฏิบัติตามที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ก าหนดไว้ส่วนการน าค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไปฟ้องเพิกถอน ต่อศาลแรงงานนั้นเป็นคดีในส่วนแพ่งเป็นกระบวนการอุทธรณ์ค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งเป็นค าสั่งทางปกครอง ซึ่งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้ชะลอการด าเนินคดีอาญาไว้ก่อน และหากรอผลค าพิพากษาในคดีฟ้องเพิกถอนค าสั่ง อาจท าให้คดีอาญาขาดอายุความทางอาญาได้ อย่างไรก็ตาม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ถูกโต้แย้งว่า ควรรอผลค าพิพากษาของศาล ว่าค าสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากด าเนินคดีอาญาก่อนที่ศาลจะมีค าพิพากษา หากศาลมีค าพิพากษาให้เพิกถอนค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน อาจถูกด าเนินคดีในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ตามมาตรา ๑๕๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้ ๒.ระยะเวลาการอุทธรณ์ค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ เนื่องจากพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มิได้ก าหนดขั้นตอนการอุทธรณ์ค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไว้ ซึ่งในกรณีดังกล่าวศาลฎีกาได้เคยมีค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๘๒/๒๕๓๒ ว่าค าสั่งชี้ขาดของ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่มีบทบัญญัติใดบัญญัติว่าถึงที่สุด คู่ความที่ไม่พอใจค าสั่งนั้นจึงมีสิทธิ น าคดีมาฟ้องศาลแรงงานให้วินิจฉัยว่าค าสั่งดังกล่าวชอบหรือไม่อีกได้ ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๔) ซึ่งการฟ้องคดีดังกล่าว มีก าหนดอายุความสิบปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในขณะที่ การด าเนินคดีอาญาในกรณีนายจ้างฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓ ซึ่งมีโทษ ตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ จ าคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ มีก าหนดอายุความฟ้องคดีห้าปี ตามมาตรา ๙๕ (๔) แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่ในปัจจุบันได้มีการตราพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่ก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองไว้โดยเฉพาะ ดังนั้น ระยะเวลาในการอุทธรณ์ค าสั่งคณะกรรมการ แรงงานสัมพันธ์โดยน าคดีไปฟ้องเพิกถอนต่อศาลแรงงาน ควรก าหนดตามกฎหมายฉบับใด เนื่องจากคดีไม่อยู่ในอ านาจศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคสอง (๓) แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ก าหนดระยะเวลาการฟ้องคดี เพื่อเพิกถอนค าสั่งทางปกครองไว้เก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน โดยมีผู้แทนกระทรวงแรงงาน (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว มีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง เห็นว่า องค์ประกอบของความผิดได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้ว และมาตรา ๑๒๗ ได้ก าหนดเงื่อนไขแห่งการด าเนินคดีอาญาไว้ว่าจะด าเนินคดีอาญาได้เมื่อครบเงื่อนไข สองประการ คือ ๑. เมื่อผู้เสียหายเนื่องจากการฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ หรือมาตรา ๑๒๓ ได้ยื่นค าร้องกล่าวหาผู้ฝ่าฝืนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา ๑๒๔ และ ๒. ผู้ถูกกล่าวหา (ผู้ฝ่าฝืน) นั้นไม่ปฏิบัติตามค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ซึ่งสั่งตามมาตรา ๑๒๕ วรรคหนึ่ง


หน้า ๒๗๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนั้น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจึงต้องพิจารณาว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นครบตามเงื่อนไข ที่กฎหมายก าหนดไว้แล้วหรือไม่ หากครบตามเงื่อนไขที่กฎหมายก าหนดไว้แล้ว ย่อมสามารถด าเนินคดีอาญา ต่อนายจ้างผู้ฝ่าฝืนกฎหมายได้โดยไม่จ าเป็นต้องรอค าพิพากษาในคดีที่นายจ้างฟ้องขอให้เพิกถอน หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ต่อศาลแรงงาน ประเด็นที่สอง เห็นว่า กรณีนี้ได้เคยมีค าพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้เพียงว่า ระยะเวลาที่ก าหนดตามค าสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ตามมาตรา ๔๑ (๔) มาตรา ๑๒๕ และมาตรา ๑๒๖) ดังกล่าวมิใช่อายุความฟ้องร้องคดี ทั้งยังมิใช่ขั้นตอนและวิธีการที่ก าหนด โดยกฎหมายฯลฯ เมื่อโจทก์ไม่เห็นด้วยกับค าสั่งนั้นก็มีสิทธิฟ้องต่อศาลแรงงานขอให้เพิกถอนเสียได้ แต่เนื่องจากการฟ้องขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์นั้น ผู้กล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวหาต้องฟ้องต่อศาลแรงงานตามมาตรา ๘ (๔) แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ และเมื่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มิได้บัญญัติอายุความในการโต้แย้งค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไว้โดยเฉพาะอายุความฟ้องร้องคดี จึงเป็นไปตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งก าหนดไว้สิบปี หากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเห็นว่าเป็นอายุความที่ยาวนาน อาจส่งผลกระทบกับการปฏิบัติงาน ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ ก็ต้องด าเนินการให้มีการแก้ไขเรื่องดังกล่าวในพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อให้การฟ้องโต้แย้งค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ มีอายุความตามที่เห็นว่ามีความเหมาะสมต่อไป ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มกราคม ๒๕๕๕ //////////////////////////////


หน้า ๒๗๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ รง ๐๖๐๗/๑๙๒๔๙ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ด้วยกระทรวงแรงงานมีความเห็นเกี่ยวกับการขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาการน าส่งเงินสมทบ ตามบทบัญญัติมาตรา ๘๔ ทวิแห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ว่าการที่เลขาธิการ ส านักงานประกันสังคมเห็นว่ามีสถานประกอบการได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ อันถือได้ว่ามีเหตุจ าเป็นเกิดแก่นายจ้างจนไม่สามารถจะน าส่งเงินสมทบให้แก่ส านักงานประกันสังคม ได้ภายในก าหนดเวลาตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ เลขาธิการส านักงานประกันสังคมจะประชาสัมพันธ์ โดยการออกประกาศส านักงานประกันสังคม เพื่อแจ้งให้นายจ้างผู้ตกอยู่ในภาวะอันมีเหตุจ าเป็นดังกล่าวได้ทราบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการตามที่กฎหมายบัญญัติเพื่อประโยชน์ของนายจ้างในการด าเนินการยื่นค าร้องต่อเลขาธิการ ส านักงานประกันสังคมในการขอขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลา และเลขาธิการส านักงานประกันสังคม อาจขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาออกไปได้ตามความจ าเป็นแก่กรณี แต่ต้องไม่เกินกว่าหนึ่งเท่า ของระยะเวลาตามที่ก าหนดไว้ในมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ซึ่งเมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏต่อเลขาธิการส านักงานประกันสังคมโดยค าร้องของนายจ้าง ที่ได้ยื่นแสดงเหตุแห่งความจ าเป็น จนไม่สามารถน าส่งเงินสมทบให้แก่ส านักงานประกันสังคมได้ภายในก าหนดเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ เลขาธิการส านักงานประกันสังคมอาจใช้ดุลยพินิจขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาให้นายจ้าง น าส่งเงินสมทบออกไปได้ตามความจ าเป็นแก่กรณีทั้งนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๔ ทวิ วรรคหนึ่ง และการที่เลขาธิการส านักงานประกันสังคมได้ใช้ดุลยพินิจขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาออกไป ยังคงถือว่านายจ้างมิได้น าส่งเงินสมทบภายในก าหนดเวลาตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคมฯ จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ส านักงานประกันสังคมจึงขอหารือ ในประเด็นดังต่อไปนี้ (๑) นายจ้างมีหน้าที่น าส่งเงินสมทบให้แก่ส านักงานประกันสังคมภายในวันที่สิบห้า ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีภัยพิบัติเกิดขึ้น เช่น ธรณีพิบัติอุทกภัย ซึ่งเหตุการณ์อุทกภัยมีผลกระทบ ต่อเนื่องต่อสถานประกอบการตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ เป็นต้นมา จนเป็นเหตุให้นายจ้าง ไม่สามารถช าระเงินสมทบตามระยะเวลาที่ก าหนดไว้ตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ และไม่อยู่ในวิสัยที่จะยื่นค าร้องก่อนสิ้นระยะเวลาดังกล่าวเพื่อขอขยายระยะเวลาการช าระเงินสมทบ เมื่อนายจ้างร้องขอขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาน าส่งเงินสมทบโดยมีเหตุจ าเป็นอันมิได้เกิดจากความผิด ของนายจ้างตามมาตรา ๖๖ ประกอบกับมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เรื่องเสร็จที่ ๑๗๘/๒๕๕๕ เรื่อง การขยายก าหนดเวลาการน าส่งเงินสมทบของนายจ้าง ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙


หน้า ๒๗๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๓๙ หากเลขาธิการส านักงานประกันสังคมเห็นว่านายจ้าง ไม่อยู่ในวิสัยที่จะยื่นค าร้อง ขอขยายระยะเวลาได้ตามมาตรา ๘๔ ทวิวรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ จึงผ่อนปรนให้นายจ้างยื่นค าร้องขอขยายก าหนดเวลาน าส่งเงินสมทบได้ภายในสิบห้าวัน นับแต่พฤติการณ์เช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลงขึ้นอยู่กับเหตุการณ์อุทกภัยในแต่ละพื้นที่เข้าสู่ภาวะปกติ จึงขอหารือว่า เลขาธิการส านักงานประกันสังคมจะออกประกาศส านักงานประกันสังคมโดยอาศัย อ านาจตามมาตรา ๖๖ ประกอบกับมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาการน าส่งเงินสมทบโดยให้นายจ้างช าระเงินสมทบภายในสิบห้าวัน นับแต่เหตุการณ์อุทกภัยในแต่ละพื้นที่เข้าสู่ภาวะปกติได้หรือไม่ อย่างไร (๒) กรณีที่นายจ้างขอขยายระยะเวลาตามมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ และนายจ้างช าระเงินสมทบภายในก าหนดเวลาที่ได้ขยาย หรือเลื่อนออกไปแล้วตามข้อ (๑) นายจ้างต้องจ่ายเงินเพิ่มตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคมฯ หรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ได้พิจารณาข้อหารือของส านักงาน ประกันสังคม โดยมีผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานประกันสังคม) เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด แล้วปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า เหตุที่ส านักงานประกันสังคมขอหารือเกี่ยวกับการใช้บทบัญญัติ มาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ เพื่อขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลา การน าส่งเงินสมทบของนายจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ นั้น เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ เป็นเหตุให้นายจ้างไม่อาจน าส่งเงินสมทบให้แก่ส านักงานประกันสังคม ภายในก าหนดเวลาตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ซึ่งตามปกติ หากนายจ้างไม่น าส่งเงินสมทบภายในเวลาที่ก าหนดจะต้องจ่ายเงินเพิ่มตามมาตรา ๔๙ และแม้ว่า มาตรา ๘๔ ทวิแห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ จะก าหนดให้ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามก าหนดเวลา ตามมาตรา ๔๗ สามารถยื่นค าร้องก่อนสิ้นก าหนดเวลาเพื่อขอขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาโดยแสดง เหตุแห่งความจ าเป็นที่ท าให้ไม่สามารถปฏิบัติตามก าหนดเวลาได้ก็ตาม แต่นายจ้างที่ประสบอุทกภัย ก็ไม่สามารถยื่นค าร้องขอขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาก่อนสิ้นก าหนดเวลาน าส่งเงินสมทบได้ ทั้งนี้ ส านักงานประกันสังคมพิจารณาในเบื้องต้นแล้วเห็นว่า การที่นายจ้างไม่สามารถน าส่งเงินสมทบได้ ภายในก าหนดเวลาตามกฎหมายนั้นสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่จ าเป็น อันมิได้เกิดจากความผิดของนายจ้าง จึงน่าจะน าบทบัญญัติมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ มาขยายก าหนดเวลาน าส่งเงินสมทบได้ โดยให้นายจ้างน าส่งเงินสมทบ ภายในสิบห้าวันนับแต่เหตุการณ์อุทกภัยในแต่ละพื้นที่เข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ดีเพื่อให้การด าเนินการ ในเรื่องนี้เป็นไปโดยรอบคอบและชอบด้วยกฎหมาย ส านักงานประกันสังคมจึงขอหารือว่า เลขาธิการส านักงานประกันสังคมจะอาศัยอ านาจตามมาตรา ๖๖ ประกอบกับมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ออกประกาศส านักงานประกันสังคมเพื่อขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลา การน าส่งเงินสมทบของนายจ้างได้หรือไม่ และหากมีการขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลา และนายจ้าง ได้น าส่งเงินสมทบภายในก าหนดเวลาที่ขยายหรือเลื่อนออกไปแล้ว นายจ้างจะยังคงต้องจ่ายเงินเพิ่ม ตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ อีกหรือไม่


หน้า ๒๗๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้พิจารณาแล้วมีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง มาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาที่ก าหนดไว้ในกฎหมาย ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว จะใช้บังคับกับระยะเวลาในเรื่องใดบ้าง นั้น จ าต้องพิจารณาถึงขอบเขตการใช้บังคับพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ว่าใช้บังคับกับเรื่องใด ซึ่งเห็นว่า มาตรา ๓ ก าหนดให้ใช้บังคับ พระราชบัญญัตินี้แก่วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามกฎหมายต่างๆ และมาตรา ๕ ก าหนดว่า “วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง” หมายถึง การเตรียมการและการด าเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อ จัดให้มีค าสั่งทางปกครองหรือกฎ และรวมถึงการด าเนินการใดๆ ในทางปกครองตามพระราชบัญญัตินี้ แต่โดยที่พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ มิได้ก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกฎไว้ ปัจจุบันพระราชบัญญัตินี้จึงใช้บังคับแก่การเตรียมการและการด าเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีค าสั่ง ทางปกครองอันเป็นความหมายของค าว่า “การพิจารณาทางปกครอง” ตามที่ก าหนดในมาตรา ๕ รวมทั้งการด าเนินการใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการพิจารณาทางปกครอง เช่น การแจ้งค าสั่งทางปกครอง การบังคับตามค าสั่งทางปกครอง ฯลฯ เมื่อพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ เป็นกฎหมาย ที่ใช้บังคับแก่การพิจารณาทางปกครองและการด าเนินการที่เกี่ยวเนื่องกับการพิจารณาทางปกครอง มาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ว่าด้วยการขยายระยะเวลาที่ก าหนดไว้ในกฎหมาย จึงเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับแก่ระยะเวลาที่ก าหนดไว้ในกฎหมายซึ่งเกี่ยวกับการพิจารณาทางปกครอง หรือการด าเนินการที่เกี่ยวเนื่องเท่านั้น เช่น ระยะเวลาที่กฎหมายก าหนดไว้ส าหรับการใช้สิทธิต่างๆ ของคู่กรณีในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เป็นต้นว่า ระยะเวลาอุทธรณ์ค าสั่งทางปกครอง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองหรือกฎหมายอื่นๆ ระยะเวลายื่นค าขอให้พิจารณาค าสั่ง ทางปกครองใหม่ตามมาตรา ๕๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ระยะเวลายื่นค าขอค่าทดแทนความเสียหายอันเกิดจากการเพิกถอนค าสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่า กรณีเหล่านี้เป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากการออกค าสั่งทางปกครอง และคู่กรณีต้องใช้สิทธิภายในระยะเวลา ที่กฎหมายก าหนดเพื่อขอให้ทบทวนค าสั่งทางปกครอง หรือขอค่าทดแทนความเสียหาย อันเกิดจากการเพิกถอนค าสั่งทางปกครอง และเมื่อคู่กรณีได้ยื่นค าขอแล้วก็จะน าไปสู่การพิจารณา เพื่อออกค าสั่งทางปกครอง โดยเจ้าหน้าที่ต่อไป ส าหรับกรณีตามข้อหารือนี้ การที่มาตรา ๔๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ก าหนดให้นายจ้างน าส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนและเงินสมทบ ในส่วนของนายจ้างให้แก่ส านักงานประกันสังคมภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักค่าจ้าง ของผู้ประกันตนเพื่อน าส่งเป็นเงินสมทบนั้น เป็นกรณีที่นายจ้างมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติ ภายในก าหนดเวลาเท่านั้น มิใช่ระยะเวลากระท าการของคู่กรณีในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เพราะไม่มีการออกค าสั่งทางปกครองก าหนดให้นายจ้างต้องน าส่งเงินสมทบแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อก าหนดเวลาน าส่งเงินสมทบตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ มิใช่ระยะเวลาที่เกี่ยวกับการพิจารณาทางปกครองหรือการด าเนินการที่เกี่ยวเนื่องแล้ว จึงไม่อยู่ ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ และไม่อาจน าบทบัญญัติมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมาบังคับใช้เพื่อขยายก าหนดเวลาน าส่งเงินสมทบได้ ด้วยเหตุนี้


หน้า ๒๘๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการส านักงานประกันสังคมจึงไม่อาจอาศัยอ านาจตามมาตรา ๖๖ ประกอบกับมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ออกประกาศส านักงานประกันสังคมเพื่อขยาย หรือเลื่อนก าหนดเวลาการน าส่งเงินสมทบตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ได้ ประเด็นที่สอง เมื่อได้วินิจฉัยในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่า เลขาธิการส านักงานประกันสังคม ไม่อาจอาศัยอ านาจตามมาตรา ๖๖ ประกอบกับมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครองฯ ออกประกาศส านักงานประกันสังคมเพื่อขยายหรือเลื่อนก าหนดเวลาการน าส่งเงินสมทบ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ได้ข้อหารือในประเด็นนี้จึงไม่จ าต้องวินิจฉัย อนึ่ง คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่า ได้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ อันถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ท าให้นายจ้างในพื้นที่นั้นๆ ไม่สามารถ น าส่งเงินสมทบภายในก าหนดเวลาตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ได้ ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรมแก่นายจ้าง รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจึงชอบที่จะอาศัยอ านาจ ตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ ประกอบกับมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ก าหนดแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ โดยอาจมีหนังสือ แจ้งเวียนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายประกันสังคมใช้ดุลยพินิจงดการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากนายจ้าง ที่ไม่สามารถน าส่งเงินสมทบภายในก าหนดเวลาเนื่องจากประสบอุทกภัย แต่ทั้งนี้ นายจ้าง ผู้ประสบเหตุอุทกภัยจะต้องน าเงินสมทบที่ไม่อาจน าส่งตามก าหนดเวลาเดิมมาส่งภายในระยะเวลา ที่รัฐมนตรีเห็นว่าเหมาะสมด้วย หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว นายจ้างไม่น าเงินสมทบมาส่ง ก็ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มจากนายจ้างได้ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายในแนวทางดังกล่าวเป็นการด าเนินการ ที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาผ่อนผันหรือขยายระยะเวลาการด าเนินการต่างๆ ให้แก่ประชาชน ผู้ประสบอุทกภัย หรืออาจพิจารณางดค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับได้ตามแต่กรณี โดยถือเป็นเหตุสุดวิสัย ที่เกิดแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยด าเนินการให้เป็นไปตามอ านาจหน้าที่ตามที่ก าหนดในกฎหมาย หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ //////////////////////////////


หน้า ๒๘๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงาน ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๖๐๗/๙๕๔๐ ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า มาตรา ๘๖ และมาตรา ๑๒๗ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติให้กิจการของโรงเรียนในระบบ และโรงเรียนนอกระบบตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติว่า ให้ยกเลิกความในมาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “กิจการของโรงเรียนในระบบ เฉพาะในส่วนของผู้อ านวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และ กฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน แต่ผู้อ านวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนต้องได้รับประโยชน์ ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่ก าหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน” และมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติว่า“ให้ผู้ปฏิบัติงานที่มิใช่ครูใหญ่ หรือผู้อ านวยการ หรือครูของโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเป็นโรงเรียนในระบบตามพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตนและส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามกฎหมาย ว่าด้วยการประกันสังคมมาก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ด าเนินการส่งเงินสมทบ กองทุนประกันสังคมต่อไปนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ โดยให้นับระยะเวลา ในการส่งเงินสมทบต่อเนื่องกับระยะเวลาที่ได้ส่งมาแล้ว และให้มีสิทธิตามที่กฎหมายว่าด้วย การประกันสังคมก าหนด” กระทรวงแรงงานพิจารณาแล้วว่า มาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้วางหลักให้กิจการของโรงเรียนในระบบเฉพาะ ในส่วนของผู้อ านวยการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ดังนั้น โรงเรียนนานาชาติซึ่งเป็นโรงเรียนในระบบในฐานะนายจ้าง จึงไม่ต้องขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และกองทุนเงินทดแทนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ให้แก่บุคลากรทางการศึกษา ของโรงเรียนแต่อย่างใด และมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ก าหนดบทนิยาม ค าว่า “บุคลากรทางการศึกษา” หมายความว่า ผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งท าหน้าที่ให้บริการหรือ ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดกระบวนการการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหารการศึกษา ในโรงเรียน ได้แก่ ผู้ปฏิบัติหน้าทีบรรณารักษ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานแนะแนว ผู้ปฏิบัติหน้าที่เทคโนโลยี การศึกษาผู้ปฏิบัติหน้าที่งานทะเบียนวัดผล ผู้ปฏิบัติหน้าที่บริหารงานทั่วไป หรือผู้ปฏิบัติหน้าที่อื่น ตามที่คณะกรรมการก าหนดประกอบกับมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน เรื่องเสร็จที่ ๗๔๑/๒๕๕๕ เรื่อง โรงเรียนนานาชาติจะต้องยื่นแบบลงทะเบียนจ่ายเงินสมทบให้แก่ บุคลากรทางการศึกษาตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ หรือไม่


หน้า ๒๘๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติว่า “ให้ผู้ปฏิบัติงานที่มิใช่ครูใหญ่หรือผู้อ านวยการ หรือครู ของโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเป็นโรงเรียนในระบบตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตนและส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม มาก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ด าเนินการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมต่อไป นับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ...” เป็นการบัญญัติให้สิทธิยกเว้นเฉพาะผู้ปฏิบัติงาน ที่มิใช่ครูใหญ่หรือผู้อ านวยการ หรือครูของโรงเรียนนานาชาติ จึงมีผลท าให้“บุคลากรทางการศึกษา” ของโรงเรียนนานาชาติซึ่งมิใช่กลุ่มบุคคลตาม มาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง และเคยส่งเงินสมทบ กองทุนประกันสังคมมาก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ จะได้รับสิทธิการส่งเงินสมทบ กองทุนประกันสังคมต่อ แต่มาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มิได้บัญญัติถึงสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ท าให้เกิดปัญหาการปฏิบัติงาน ของส านักงานประกันสังคม ในส่วนที่เกี่ยวกับกองทุนเงินทดแทนว่าจะต้องขึ้นทะเบียน ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ให้แก่บุคลากรทางการศึกษาดังกล่าวด้วยหรือไม่ ซึ่งมีความเห็นแตกต่างเป็น ๒ แนวทาง ดังนี้ ความเห็นที่หนึ่ง มาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้วางหลักให้ กิจการของโรงเรียนในระบบเฉพาะในส่วนของผู้อ านวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมและกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน แต่มาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้บัญญัติยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานที่มิใช่ครูใหญ่หรือผู้อ านวยการ หรือครูของโรงเรียนนานาชาติ และเคยส่งเงินสมทบ กองทุนประกันสังคมมาก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ จะได้รับสิทธิการส่งเงินสมทบ กองทุนประกันสังคมต่อ แสดงว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะให้สิทธิแก่บุคคลต่อเฉพาะกฎหมายประกันสังคม อนึ่ง “บุคลากรทางการศึกษา” ของโรงเรียนนานาชาติซึ่งถือเป็นโรงเรียนในระบบจะไม่อยู่ภายใต้ บังคับกฎหมายเงินทดแทนตามหลักการของมาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนั้น โรงเรียนนานาชาติจึงไม่ต้องขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ให้แก่บุคลากรทางการศึกษาแต่อย่างใด ความเห็นที่สอง มาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้วางหลักให้กิจการของโรงเรียนในระบบไม่อยู่ภายใต้บังคับทั้งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ต่อมาเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ก าหนดให้บุคคลบางประเภทกลับมาได้รับความคุ้มครอง ดังนั้น ควรที่จะหมายความ รวมถึงการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทั้งสองกองทุน ประกอบกับมาตรา ๔ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่นายจ้างซึ่งประกอบธุรกิจ โรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับครูหรือครูใหญ่ ดังนั้น หากเป็นลูกจ้างอื่นที่มิใช่ครูหรือครูใหญ่ย่อมมีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทน


หน้า ๒๘๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงานเห็นว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นกฎหมายซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของส านักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน แต่ให้มีผลบังคับหรือยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมและกฎหมาย ว่าด้วยเงินทดแทนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของส านักงานประกันสังคม ดังนั้น เพื่อให้การบังคับใช้ กฎหมายเป็นไปด้วยความถูกต้อง จึงขอหารือว่า บุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตนและส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม มาก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ จะต้องขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ด้วยหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๘) เห็นว่า ประเด็นปัญหาข้างต้นเป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่ส าคัญ สมควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ จึงขอให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อาศัยอ านาจตามความในข้อ ๑๒ แห่งระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการประชุมของกรรมการ กฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ จัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๘) และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) เป็นกรณีพิเศษ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมคณะที่ ๘ และคณะที่ ๙) ได้พิจารณา ข้อหารือของส านักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน โดยมีผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงาน ประกันสังคม) ผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ (ส านักงานปลัดกระทรวงและส านักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน) ผู้แทนส านักงานกองทุนสงเคราะห์ และผู้แทนสมาคมโรงเรียนนานาชาติ แห่งประเทศไทย เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติม สรุปความได้ว่า มาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติให้กิจการของโรงเรียนในระบบไม่อยู่ ภายใต้บังคับของกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานรวม ๔ ฉบับ โดยก่อนหน้านั้นโรงเรียนนานาชาติ ถือเป็นโรงเรียนนอกระบบซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ต่อมาเมื่อมีการใช้บังคับพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ก าหนดให้โรงเรียนนานาชาติเป็นโรงเรียนในระบบ จึงก่อให้เกิดปัญหาในการด าเนินการ ในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ เพราะมาตรา ๗๘ และมาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนฯ บัญญัติให้ผู้อ านวยการ ครู หรือบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินทดแทน โดยให้กองทุนสงเคราะห์ เป็นผู้จ่ายเงินทดแทนให้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ก าหนด แต่บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ กลับไม่ได้บัญญัติกรณีของบุคลากรทางการศึกษาไว้แต่อย่างใด จึงมีปัญหาว่า บุคลากรทางการศึกษา ของโรงเรียนนานาชาติที่เคยอยู่ภายใต้ระบบเงินทดแทนมาก่อน จะได้รับสิทธิตามกฎหมายว่าด้วย เงินทดแทนต่อไปหรือไม่ ทั้งในขณะนี้ก็ยังไม่เคยมีกรณีการจ่ายเงินทดแทนมาเลยตั้งแต่พระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ใช้บังคับ แม้ว่ามาตรา ๗๘ และมาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนฯ จะให้อ านาจคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ก าหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายเงินค่าทดแทน และให้คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ก าหนดระเบียบการจ่ายเงินสวัสดิการสงเคราะห์ให้แก่ผู้มีสิทธิก็ตาม แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มี การออกระเบียบเพื่อใช้บังคับแก่โรงเรียนนานาชาติ นอกจากนี้ การให้ความคุ้มครองแก่บุคลากร ทางการศึกษากลุ่มนี้ซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมในเรื่องการจ่ายเงินทดแทน


หน้า ๒๘๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การประสบอันตรายในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ โดยให้จ่ายจากกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมาย ว่าด้วยโรงเรียนเอกชนนั้นเป็นกรณีที่ไม่สามารถกระท าได้ เพราะบุคลากรกลุ่มนี้ได้รับการยกเว้น ให้ไม่อยู่ในระบบกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนมาตั้งแต่ต้นแล้ว ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติมีความประสงค์ ที่จะให้บุคลากรทางการศึกษาอยู่ภายใต้ความคุ้มครองทั้งในส่วนของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ เนื่องจากก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๐ บุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติก็เคยอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายทั้งสองฉบับนี้อยู่แล้ว ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ กฎหมายฉบับนี้ ได้จ าแนกกลุ่มบุคคลผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียนนานาชาติออกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ (๑) ผู้อ านวยการและครู (๒) บุคลากรทางการศึกษาและ (๓) ผู้ปฏิบัติงานอื่นในโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งในส่วนของผู้อ านวยการ และครูมีความชัดเจนว่า จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของกองทุนสงเคราะห์ ส่วนผู้ปฏิบัติงานอื่น ในโรงเรียนนานาชาติ เช่น คนงาน คนสวน พนักงานขับรถ หรือพนักงานท าความสะอาด นั้น ไม่อยู่ในการดูแลของกองทุนสงเคราะห์ แต่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ประเด็นปัญหาจึงมีเพียงว่า บุคลากรทางการศึกษาที่เคยอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย ว่าด้วยการประกันสังคมและกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนมาก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จะอยู่ในบังคับ ของกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนหรือไม่ เพราะเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน โดยพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยบทเฉพาะกาลมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติรองรับเฉพาะสิทธิทางกฎหมาย ของบุคลากรทางการศึกษาในกลุ่มนี้ซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตนและส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมมาก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้มีหน้าที่ ในการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมต่อไปตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม แต่ไม่ได้บัญญัติ รองรับในเรื่องกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนไว้ด้วย จึงเกิดปัญหาว่า บุคลากรทางการศึกษากลุ่มที่เคยส่งเงิน สมทบกองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมมาก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ จะได้รับสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนด้วยหรือไม่ ซึ่งสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย เห็นว่า ควรจะต้องหมายรวมถึงสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนด้วย เพราะบุคลากรทางการศึกษากลุ่มนี้ เคยได้รับสิทธิตามกฎหมายอยู่ก่อนแล้ว จึงควรจะได้รับสิทธิต่อไปประกอบกับบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มนี้ยังคงส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาโดยตลอดส่วนการส่งเงินสมทบเข้ากองทุน เงินทดแทน นั้น เนื่องจากพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ก าหนดให้นายจ้างเป็นผู้จ่ายเงินสมทบ แต่ฝ่ายเดียว โดยบุคลากรทางการศึกษาเหล่านี้ในฐานะลูกจ้างไม่มีหน้าที่จะต้องเป็นผู้ส่งเงินสมทบ และในทางปฏิบัติโรงเรียนนานาชาติในฐานะนายจ้างเป็นผู้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ บุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติยังไม่สามารถ ใช้สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการอื่นใดจากกองทุนสงเคราะห์ได้เนื่องจากปัจจุบันยังมิได้มีการปรับแก้ไขระเบียบ คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ว่าด้วยการส่งเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งรวมถึงระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ว่าด้วยเงินสวัสดิการสงเคราะห์เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ของผู้อ านวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๑ และระเบียบ คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้อ านวยการ ผู้บริหาร ครู และบุคลากร


หน้า ๒๘๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ทางการศึกษาเป็นเงินทุนเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้วย และขณะนี้อยู่ระหว่างด าเนินการสรรหา คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ชุดใหม่ส านักงานกองทุนสงเคราะห์ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ ไว้แล้ว หากได้คณะกรรมการชุดใหม่ก็จะรีบด าเนินการเรื่องนี้ทันที คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมคณะที่ ๘ และคณะที่ ๙) พิจารณา แล้วเห็นว่า โดยที่มาตรา ๔๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ บัญญัติให้นายจ้าง ซึ่งมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบยื่นแบบลงทะเบียนจ่ายเงินสมทบและแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้าง ตามแบบที่เลขาธิการส านักงานประกันสังคมก าหนด และมาตรา ๔ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ บัญญัติให้พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่นายจ้างซึ่งประกอบธุรกิจ โรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับครูหรือครูใหญ่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้นายจ้างซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับครูหรือครูใหญ่ จึงได้รับการยกเว้นไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วย เงินทดแทน และไม่ต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน แต่ผู้ปฏิบัติงานอื่นที่ปฏิบัติงาน อยู่ในโรงเรียนเอกชนที่มิใช่ครูหรือครูใหญ่ ย่อมอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน แต่เนื่องจากมาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติยกเว้นมิให้ น ากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนมาใช้บังคับกับกิจการของโรงเรียนในระบบ จึงมีข้อพิจารณาว่า การบัญญัติยกเว้นมิให้น ากลุ่มกฎหมายแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน มาใช้บังคับ จะมีผลทางกฎหมายอย่างไร เมื่อพิเคราะห์บทบัญญัติมาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ จะเห็นได้ว่า มีความมุ่งหมายที่จะยกเว้นมิให้น ากฎหมายในกลุ่มของแรงงาน มาใช้บังคับกับกิจการของโรงเรียนเอกชน เนื่องจากพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนฯ ได้ก าหนด หลักเกณฑ์การจัดสวัสดิการสงเคราะห์ให้แก่ผู้อ านวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ส่วนกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนก็มีหลักเกณฑ์และเจตนารมณ์ที่จะให้การสงเคราะห์ และจัดสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิตามที่กฎหมายก าหนดไว้เช่นกัน ตามปัญหาที่หารือสืบเนื่องจาก มาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติให้สิทธิ แก่ผู้ปฏิบัติงานซึ่งมิใช่ครูใหญ่ หรือผู้อ านวยการ หรือครูของโรงเรียนนานาชาติซึ่งเป็นโรงเรียน ในระบบตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนฯ ที่เคยเป็นผู้ประกันตนและส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมมาก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ด าเนินการส่งเงิน สมทบกองทุนประกันสังคมต่อไป โดยให้นับระยะเวลาในการส่งเงินสมทบต่อเนื่องกับระยะเวลา ที่ได้ส่งมาแล้ว และให้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมก าหนด จึงมีผลท าให้ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งมิใช่ครูใหญ่หรือผู้อ านวยการ หรือครูของโรงเรียนนานาชาติกลับเข้าสู่ระบบประกันสังคมอีกครั้งหนึ่ง และกลุ่มบุคคลเช่นว่านี้ ย่อมหมายรวมถึงบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติด้วย จึงมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามข้อหารือว่า โรงเรียนนานาชาติจะต้องยื่นแบบลงทะเบียนจ่ายเงินสมทบ ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ให้แก่บุคลากรทางการศึกษาซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตน และส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือไม่


หน้า ๒๘๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน คือ การจัดให้ลูกจ้าง ได้รับความคุ้มครองช่วยเหลือและขจัดความไม่แน่นอนในการเรียกค่าเสียหายที่ได้รับจากการประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยจากการท างานตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ รวมถึงการจัดให้มีกองทุนเงินทดแทนเพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างว่า จะต้องได้รับเงินทดแทน เมื่อประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายเนื่องจากการท างานตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มีหลักการและเจตนารมณ์ ปรากฏตามหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติฯ คือ เพื่อสร้างหลักประกันให้แก่ลูกจ้างและบุคคลอื่น โดยจัดตั้งกองทุนประกันสังคมขึ้น เพื่อให้การสงเคราะห์แก่ลูกจ้างและบุคคลอื่นซึ่งประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตายอันมิใช่เนื่องจากการท างาน รวมทั้งกรณีคลอดบุตรกรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และส าหรับกรณีว่างงานซึ่งให้หลักประกันเฉพาะลูกจ้าง จะเห็นได้ว่ากฎหมายว่า ด้วยเงินทดแทนและกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม มีหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ มาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่เป็นการให้สิทธิเข้าสู่ระบบประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม จึงไม่มีผลทางกฎหมาย ที่จะก่อให้เกิดสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนตามมาแต่อย่างใด โรงเรียนนานาชาติจึงไม่ต้อง ยื่นแบบลงทะเบียนจ่ายเงินสมทบตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ให้แก่บุคลากร ทางการศึกษาซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตนและส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วย การประกันสังคมก่อนวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่ข้อเท็จจริงปรากฏตามค าชี้แจงของผู้แทนสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทยว่า ปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติยังคงส่งเงินสมทบให้แก่ผู้ปฏิบัติงานอื่น ซึ่งรวมถึงบุคลากรทางการศึกษา ที่มิใช่ครูหรือครูใหญ่เข้ากองทุนเงินทดแทนด้วย อีกทั้ง ผู้แทนส านักงานประกันสังคมก็ยอมรับตรงกัน ว่าได้รับเงินสมทบดังกล่าวเข้ากองทุนเงินทดแทนในระหว่างนี้ไปพลางก่อน เพื่อมิให้เกิดปัญหา ที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มกรณีไม่จ่ายเงินสมทบภายในก าหนดเวลาหากปรากฏในภายหลังว่าผู้ปฏิบัติงานอื่น ที่มิใช่ครูหรือครูใหญ่ของโรงเรียนนานาชาติต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาบทบัญญัติในส่วนที่ ๕ ว่าด้วยการสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ แม้ว่าจะมีบทบัญญัติในการจัดสวัสดิการสงเคราะห์แก่ผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียนเอกชน เป็นการเฉพาะก็ตาม แต่จากการตรวจสอบประกาศและระเบียบของกองทุนสงเคราะห์ที่ออกตาม ความในพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ในส่วนที่เกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์ที่ใช้บังคับ ในปัจจุบันพบว่า ประกาศและระเบียบดังกล่าวจะไม่ใช้บังคับแก่โรงเรียนที่เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติ หรือหลักสูตรเฉพาะชาติ ทั้งนี้ มาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติให้โรงเรียนในระบบ ผู้อ านวยการ ครู บุคลากรทางการศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการ ส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบ แล้วแต่กรณี เข้ากองทุนสงเคราะห์ตามเกณฑ์ที่กฎหมายก าหนด ท าให้บุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ดังกล่าวด้วย แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีประกาศหรือระเบียบที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนใช้บังคับ ครอบคลุมถึงโรงเรียนนานาชาติ จึงส่งผลให้โรงเรียนนานาชาติไม่อาจปฏิบัติตามที่กฎหมายก าหนดไว้ได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติยังคงส่งเงินสมทบให้แก่ผู้ปฏิบัติงานที่ไม่ใช่ครู หรือครูใหญ่เข้ากองทุนเงินทดแทนอยู่และประสงค์จะส่งเงินสมทบเพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาของตน


หน้า ๒๘๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รับความคุ้มครองในลักษณะเดียวกับที่ได้รับจากกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนอยู่ต่อไป ดังนั้น เพื่อคุ้มครองการท างานของบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติมิให้ต้องเสียสิทธิที่พึงได้ ตามกฎหมายและไม่เกิดภาระที่จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนเกินความจ าเป็นจึงสมควรที่คณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชนจะอาศัยอ านาจตามมาตรา ๘๖ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ออกระเบียบก าหนดมาตรการคุ้มครองการท างานของผู้อ านวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ของโรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์และบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ให้ครอบคลุมไปถึงสิทธิในลักษณะที่จะพึงได้รับจากกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนด้วย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรกฎาคม ๒๕๕๕ //////////////////////////////


หน้า ๒๘๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ รง ๐๖๐๗/๑๐๗๓๗ ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า มีสถานประกอบการหลายแห่งประสบปัญหาอุทกภัยในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ท าให้เครื่องจักรเสียหายและส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิต จึงต้องปรับโครงสร้างองค์กรและก าลังคน เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิต แต่เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสถานประกอบการ จึงได้ก าหนดให้มีโครงการ “สมัครใจร่วมใจจาก” โดยลูกจ้างผู้ได้รับการอนุมัติตามโครงการนี้จะได้รับสิทธิ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เช่น เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ เงินส าหรับวันลา พักผ่อนประจ าปีคงเหลือ และเงินบ าเหน็จ ในกรณีที่ไม่ได้รับการอนุมัติลูกจ้างยังคงท างานอยู่ต่อไป แต่ถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์ที่จะท างานจะต้องแสดงความจ านงลาออกเองโดยไม่ได้รับสิทธิใดๆ และโดยที่กฎกระทรวงก าหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งออกโดยอาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ก าหนดอัตราการได้รับเงินทดแทนในกรณีว่างงานไว้ในข้อ ๑ โดยก าหนดให้ลูกจ้าง ซึ่งเป็นผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนในกรณีว่างงานในอัตราดังต่อไปนี้ (๑) ร้อยละห้าสิบ ของค่าจ้างรายวันส าหรับการว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้างโดยให้ได้รับครั้งละไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน (๒) ร้อยละสามสิบของค่าจ้างรายวันส าหรับการว่างงานเพราะเหตุลาออกจากงานหรือเหตุสิ้นสุด สัญญาจ้างที่มีก าหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามก าหนดระยะเวลานั้น โดยให้ได้รับ ครั้งละไม่เกินเก้าสิบวัน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวก่อให้เกิดความเห็นเป็น ๒ แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ ๑ เห็นว่า ลูกจ้างที่สมัครเข้าร่วมโครงการและได้รับคัดเลือกควรได้รับ เงินทดแทนในกรณีว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้างตามข้อ ๑ (๑) แห่งกฎกระทรวงก าหนดหลักเกณฑ์ และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ก าหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิ ได้รับเงินทดแทนในกรณีว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้างในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายวัน ครั้งละไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน เนื่องจากการเลิกจ้างตามมาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หมายความว่า การกระท าใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างท างานต่อไป และไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึง กรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ท างานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถด าเนินกิจการต่อไป กรณีผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างเข้าร่วมโครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนด (EarlyRetire) เนื่องจากบริษัทต้องการลดอัตราพนักงาน หากลูกจ้างเข้าร่วมโครงการและได้รับคัดเลือก ให้ออกจากงานก็จะได้รับค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า เงินส าหรับวันลา พักผ่อนประจ าปีคงเหลือ และเงินบ าเหน็จ ซึ่งเงินเหล่านี้นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างได้ในกรณีเลิกจ้างเท่านั้น ประกอบกับเจตนาที่แท้จริงของบริษัทคือ ต้องการลดจ านวนลูกจ้าง เรื่องเสร็จที่ ๙๔๐/๒๕๕๕ เรื่อง การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานให้แก่ลูกจ้าง ในโครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนด


หน้า ๒๘๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แนวทางที่ ๒ เห็นว่า ลูกจ้างที่สมัครเข้าร่วมโครงการและได้รับคัดเลือกควรได้รับ เงินทดแทนในกรณีว่างงานเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างตามข้อ ๑ (๒) แห่งกฎกระทรวงก าหนดหลักเกณฑ์ และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ก าหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทน ในกรณีว่างงานเพราะเหตุลาออกจากงานหรือเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีก าหนดระยะเวลาการจ้างไว้ แน่นอนและเลิกจ้างตามก าหนดระยะเวลานั้นในอัตราร้อยละสามสิบของค่าจ้างรายวันครั้งละไม่เกินเก้าสิบวัน เนื่องจากโครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนด (Early Retire) มีลักษณะ เป็นการเชิญชวนเพื่อให้ลูกจ้างท าค าเสนอ เมื่อบริษัทสนองรับค าเสนอแล้วจึงเป็นกรณีที่นายจ้าง และลูกจ้างทั้งสองฝ่ายท าความตกลงร่วมกันเพื่อให้เกิดเป็นสัญญาที่มีผลท าให้สัญญาฉบับเดิม สิ้นสุดเร็วขึ้นจากเดิม จึงอยู่ในความหมายของการสิ้นสุดสัญญาจ้างซึ่งแตกต่างจากกรณีนายจ้างเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกที่เป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวโดยอีกฝ่ายไม่จ าต้องตกลงหรือยินยอมด้วย ส านักงานประกันสังคมเห็นว่า เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ส านักงานประกันสังคม เป็นไปในแนวทางเดียวกันและเพื่อให้เกิดความชัดเจนถูกต้องในการตีความสมเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงขอหารือว่า ลูกจ้างซึ่งเข้าร่วมโครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนด (EarlyRetire) มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เพราะเหตุเลิกจ้างหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของส านักงานประกันสังคม โดยมีผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และส านักงานประกันสังคม) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า ข้อหารือดังกล่าวมีประเด็นที่ต้อง พิจารณาว่า การได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานของลูกจ้างในโครงการสมัครใจลาออก หรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนด ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามกฎกระทรวงก าหนดหลักเกณฑ์ และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ ในข้อ ๑ (๑) เพราะเหตุถูกเลิกจ้าง หรือข้อ ๑ (๒) เพราะเหตุลาออกจากงานหรือเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีก าหนดระยะเวลาการจ้าง ไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามก าหนดระยะเวลานั้น โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) มีความเห็นว่า โครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนดอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกันโดยต้องพิจารณา จากถ้อยค าที่ปรากฏอยู่ในโครงการของนายจ้างแต่ละรายเพื่อให้ทราบเจตนาของนายจ้างนั้น ส าหรับกรณี ตามข้อหารือนี้เป็นกรณีที่นายจ้างก าหนดโครงการฯ ขึ้นเพื่อให้ลูกจ้างสมัครเข้าร่วมโครงการฯ เมื่อลูกจ้างได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ลูกจ้างจะต้องออกจากงานและนายจ้างจะจ่ายเงิน ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ เงินส าหรับวันลาพักผ่อนประจ าปีคงเหลือ และเงินบ าเหน็จ ให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นการตอบแทนการออกจากงาน โครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนด จึงมีลักษณะเป็นการท าข้อตกลงร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างที่จะระงับความผูกพันตามสัญญาจ้าง ด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่ายซึ่งมีผลท าให้สัญญาจ้างสิ้นสุด โดยนายจ้างได้รับประโยชน์เป็นการลดจ านวน ลูกจ้างและลูกจ้างได้รับผลประโยชน์ตอบแทนต่างๆ ตามที่นายจ้างเสนอให้ กรณีจึงไม่อาจน าความหมาย ของการเลิกจ้างตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาใช้กับกรณีดังกล่าวได้เนื่องจากไม่ใช่เป็นการใช้อ านาจของนายจ้างแต่เพียงฝ่ายเดียวในการบอกเลิก สัญญาจ้าง


หน้า ๒๙๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อการที่ลูกจ้างออกจากงานตามข้อตกลงในโครงการดังกล่าวเป็นการที่ผู้ประกันตน ต้องหยุดงานเนื่องจากนิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลง จึงเป็นกรณี “ว่างงาน” ตามบทนิยามในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนย่อมมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามมาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน และเมื่อได้วินิจฉัยในเบื้องต้นแล้วว่า โครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนดมีลักษณะ เป็นการท าข้อตกลงร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างที่จะระงับความผูกพันตามสัญญาจ้าง ด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่ายซึ่งมีผลท าให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง กรณีจึงมิใช่นายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้าง หรือลูกจ้างเป็นฝ่ายลาออก หรือเป็นการสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีก าหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน และเลิกจ้างตามก าหนดระยะเวลานั้น แต่เป็นกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงหรือชัดแจ้ง ซึ่งต้องตีความเพื่อให้ประโยชน์ทดแทนแก่ผู้ประกันตนโดยค านึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย ประกอบเจตนาของนายจ้างที่จัดให้มีโครงการดังกล่าว เมื่อพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มีเจตนารมณ์ เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันและให้การสงเคราะห์แก่ลูกจ้าง ประกอบกับโครงการ สมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนดเป็นกรณีที่นายจ้างต้องการลดจ านวนลูกจ้างลง ดังนั้น ลูกจ้างที่ออกจากงานตามโครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนครบก าหนดจึงควร ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในอัตราเดียวกับการว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้างตามข้อ ๑ (๑) แห่งกฎกระทรวงก าหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๕๕ //////////////////////////////


หน้า ๒๙๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๖๐๗/๑๒๒๙๗ ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ๑. นางสถาพร หานาคี ได้ยื่นขอรับเงินทดแทนกรณีนายเกษม หานาคีลูกจ้าง ของบริษัทอยุธยา คัลเล็ต จ ากัด ประสบอันตรายจนถึงแก่ความตายขณะปฏิบัติงาน ต่อส านักงาน ประกันสังคมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งส านักงานประกันสังคมได้มีค าวินิจฉัยว่าการประสบอันตราย ของลูกจ้างไม่เนื่องมาจากการท างาน เพราะลูกจ้างเสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดอื่นจนไม่สามารถครองสติได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ นางสถาพรฯ จึงได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนเพื่อพิจารณากลับค าวินิจฉัยดังกล่าว ๒. คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนพิจารณาอุทธรณ์ของนางสถาพรฯ แล้วพบว่า มีประเด็นต้องพิจารณาว่า ลูกจ้างที่เสพสุราจนไม่สามารถครองสติได้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากนายจ้าง หรือไม่หากการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยนั้นมิได้เป็นผลโดยตรงจากการเสพสุราแต่เป็นผล อันเนื่องมาจากบุคคลอื่นเป็นผู้กระท า ซึ่งในประเด็นนี้คณะกรรมการฯ มีความเห็นแตกต่างกัน เป็น ๒ แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่หนึ่ง เห็นว่า ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทน เนื่องจากการประสบอันตราย ของลูกจ้างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเสพของมึนเมา (ดื่มสุรา) จนไม่สามารถครองสติได้ เพราะค าว่า“จนไม่สามารถครองสติได้” ในทางกฎหมายจะต้องมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดในปริมาณ ที่เกินกว่าที่กฎหมายก าหนด โดยมิได้ยกเว้นว่าอันตรายนั้นจะต้องเกิดจากการเมาสุราจนครองสติไม่ได้ รวมอยู่ด้วยทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่อยู่ในอาการมึนเมามีโอกาสที่จะท าให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นได้สูง แนวทางที่สอง เห็นว่า ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทน เนื่องจากตามบทบัญญัติ มาตรา ๒๒ ได้เขียนไว้ว่าการประสบอันตรายของลูกจ้างเนื่องจากการเสพสุรา จะแปลว่าการเสพสุรา เป็นผลท าให้ลูกจ้างประสบอันตรายไม่ได้ เพราะถ้าการเสพสุราไม่ได้เป็นผลท าให้ลูกจ้างประสบอันตราย แต่มีเหตุจากปัจจัยอื่นมาท าให้ลูกจ้างประสบอันตราย กรณีนี้จะต้องพิจารณาจากทฤษฎีผลโดยตรงว่า การประสบอันตรายนั้นเนื่องจากการเสพสุราหรือไม่ กล่าวคือ ถ้าการประสบอันตรายของลูกจ้าง เกิดขึ้นเนื่องจากการขาดสติสัมปชัญญะเพราะเหตุมึนเมาจนครองสติไม่ได้ ถือว่าการเสพสุรา เป็นผลท าให้เกิดการประสบอันตรายขึ้น ดังนี้จะไม่ได้รับความคุ้มครอง แต่ในกรณีของลูกจ้างรายนี้ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าเหตุที่ลูกจ้างเสียชีวิตจากการถูกรถขยะทับเป็นเพราะลูกจ้างเองเป็นผู้กระท า ด้วยการขาดสติสัมปชัญญะเพราะเหตุมึนเมาจนครองสติไม่ได้หรือเพราะรถตักขยะมาทับเสียชีวิตเอง ประกอบกับความปลอดภัยในการท างานความรับผิดชอบเป็นของนายจ้างในฐานะเป็นผู้ดูแลโดยตรง หากนายจ้างไม่เข้มงวดให้ลูกจ้างปฏิบัติตามระเบียบของบริษัท เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงเช่นนี้ ต้องถือว่าลูกจ้างประสบอันตรายเนื่องจากการท างานให้นายจ้าง ส านักงานประกันสังคมพิจารณาแล้วเห็นว่า มาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นบทบัญญัติที่บัญญัติขึ้นเพื่อยกเว้นให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินทดแทน เรื่องเสร็จที่ ๑๐๓๓/๒๕๕๕ เรื่อง ข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินทดแทนกรณีลูกจ้างเสพของมึนเมา


หน้า ๒๙๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ในการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้างเพราะเหตุลูกจ้างเสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดอื่น จนไม่สามารถครองสติได้ซึ่งเหตุแห่งการยกเว้นดังกล่าว จะเห็นได้ว่าหากลูกจ้างเสพของมึนเมา หรือสิ่งเสพติดอื่นจนไม่สามารถครองสติได้และได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วยเพราะเหตุที่ลูกจ้าง ไม่สามารถครองสติได้ก็ถือว่าอยู่ในข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง โดยไม่ต้องตีความในประเด็นข้อกฎหมายอีกส่วนกรณีตามข้อเท็จจริงจะเห็นได้ว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง ที่ชัดเจนว่าการประสบอันตรายนั้นเป็นผลอันเนื่องมาจากตัวลูกจ้างเองหรือจากเหตุปัจจัยอื่นมากระท า ให้ลูกจ้างได้รับอันตราย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนถูกต้องตามเจตนารมณ์และการตีความ ประเด็นข้อกฎหมาย จึงขอหารือดังนี้ (๑) ค าว่า “จนไม่สามารถครองสติได้” มีความหมายทางกฎหมายอย่างไร (๒) ในกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากเหตุปัจจัยอื่น มากระท าให้ลูกจ้างได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วย ซึ่งมิใช่ผลโดยตรงจากการเสพของมึนเมาหรือ สิ่งเสพติดอื่นจนไม่สามารถครองสติได้ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทนหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของส านักงานประกันสังคม โดยมีผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและส านักงานประกันสังคม) และผู้แทน กระทรวงสาธารณสุข (กรมควบคุมโรค) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว มีความเห็นดังต่อไปนี้ ประเด็นที่หนึ่ง ค าว่า “จนไม่สามารถครองสติได้” ตามมาตรา ๒๒ (๑) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มีความหมายอย่างไร นั้น เห็นว่า ค าว่า “จนไม่ สามารถครองสติได้” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒ (๑) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ หมายความว่า ขาดสติขาดความยั้งคิดซึ่งบุคคลนั้นเคยมีอยู่ก่อน ไม่มีการควบคุมตนเองอย่างบุคคลธรรมดา หรือไม่สามารถรู้สึกผิดชอบในเรื่องต่างๆ ได้ ซึ่งการพิจารณาว่าพฤติการณ์ใดจะถือได้ว่าเป็นกรณี ที่ไม่สามารถครองสติได้นั้นจะต้องพิจารณาจากพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกเป็นรายกรณีไป หากเป็นเรื่องที่สงสัยว่าไม่สามารครองสติได้เนื่องจากการเสพของมึนเมาที่มีแอลกอฮอล์ก็อาจน า ผลการตรวจวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดซึ่งเป็นวิธีการทางการแพทย์มาเป็นข้อมูลประกอบ การพิจารณาได้ แต่ผลการตรวจดังกล่าวไม่อาจใช้ยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าบุคคลนั้นสามารถครองสติ ได้หรือไม่ เพราะแต่ละบุคคลมีความสามารถในการครองสติหลังจากที่ได้ดื่มสุราหรือเสพของมึนเมาไปแล้ว แตกต่างกัน ทั้งนี้ ได้มีตัวอย่างค าพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ว่า การที่จ าเลยพูดจาไม่รู้เรื่อง น าไปสถานีต ารวจก็ไม่รู้เรื่องแสดงให้เห็นว่าจ าเลยเมาสุรามากจนครองสติไม่ได้ ประเด็นที่สอง ในกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันเนื่องมาจาก เหตุปัจจัยอื่นมากระท าให้ลูกจ้างได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วย ซึ่งมิใช่ผลโดยตรงจากการเสพของมึนเมา หรือสิ่งเสพติดอื่นจนไม่สามารถครองสติได้ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทนหรือไม่ นั้น เห็นว่า มาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นบทบัญญัติยกเว้นมิให้นายจ้าง ต้องจ่ายเงินทดแทนในการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้างตามมาตรา ๑๓ ถึงมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งการตีความบทบัญญัติที่เป็นข้อยกเว้นต้องตีความไปตามถ้อยค าที่บัญญัติ ไว้ในกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยค านึงถึงเจตนารมณ์ในการคุ้มครองลูกจ้างตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ด้วย เมื่อบทบัญญัติมาตรา ๒๒ (๑) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ บัญญัติให้นายจ้าง ไม่ต้องจ่ายเงินทดแทนในการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้าง โดยใช้ค าว่า “เพราะเหตุ”


หน้า ๒๙๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ลูกจ้างเสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดอื่นจนไม่สามารถครองสติได้จึงต้องตีความว่า นายจ้างจะไม่ต้องจ่าย เงินทดแทนในการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้างได้ก็ต่อเมื่อลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยเพราะเหตุที่ลูกจ้างเสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดจนไม่สามารถครองสติได้เท่านั้น ดังนั้น แม้ลูกจ้างจะเสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดจนไม่สามารถครองสติได้ แต่หากการประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยของลูกจ้างมิได้เกิดขึ้นเพราะเหตุที่ลูกจ้างเสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดนั้นนายจ้าง ก็ยังมีหน้าที่ในการจ่ายเงินทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน ๒๕๕๕ //////////////////////////////


Click to View FlipBook Version