The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

หน้า ๑๕๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือที่ กก ๕๒๐๑/๓๐๔๑ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ด้วยสภาพการจ้างงานมัคคุเทศก์ ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ประกอบธุรกิจน าเที่ยวไม่ได้ก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าไว้แต่อย่างใด แต่กลับสร้าง เงื่อนไขผลประโยชน์ร่วมกันให้มัคคุเทศก์ถือปฏิบัติ อันเป็นเหตุให้มัคคุเทศก์จะต้องมุ่งแสวงหา ผลประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจนก่อให้เกิดการร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติการณ์อันไม่เหมาะสมของ มัคคุเทศก์ซึ่งนับวันจะมีเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ต่างก็มีการก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ไว้ทั้งสิ้น ส านักงานทะเบียนธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย(ททท.) ได้เชิญองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยกองบังคับการ ต ารวจท่องเที่ยว กรมการจัดหางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ส านักงานคณะกรรมการ ค่าจ้าง กระทรวงแรงงาน สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพชมรม มัคคุเทศก์อาชีพหัวหิน-ชะอ า สหภาพแรงงานมัคคุเทศก์แห่งประเทศไทย สมาพันธ์ มัคคุเทศก์ และการท่องเที่ยวภาคเหนือ ชมรมมัคคุเทศก์ญี่ปุ่น สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต และสมาคมผู้ประกอบการน าเที่ยวไทย เพื่อประชุมพิจารณาก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม และวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ซึ่งได้ข้อยุติเห็นชอบให้มีการก าหนด อัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ต่อมาปรากฏว่าสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยวได้แจ้งว่าไม่เห็นด้วยกับ การก าหนดค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ ต่อมาปรากฏว่าสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยวได้แจ้งว่า ไม่เห็นด้วยกับการก าหนดค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์โดยให้ความเห็นว่ากรณีดังกล่าวเห็นควรให้ ภาคเอกชนโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมหารือและแก้ไขปัญหาต่อไป ส านักงานทะเบียนธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์กรุงเทพมหานคร จึงได้น าประเด็นปัญหาเรื่องนี้ เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๔๕ วันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๕ ซึ่งในการประชุมดังกล่าว กรรมการแต่ละท่านได้เสนอความเห็น อย่างกว้างขวาง และมีความเห็นชอบกับการก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์มีแต่ กรรมการภาคเอกชน (สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว) ที่ไม่เห็นด้วย ที่ประชุมจึงมีมติมอบหมาย ให้ประธานกรรมการ (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้พิจารณา ก าหนดอัตราค่าจ้างโดยยึดกรอบที่กรรมการแสดงความเห็นไว้ และคณะกรรมการส่งพร้อมหนังสือ ที่ นร ๐๙๐๑/๑๐๗๑ ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ซึ่งส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีถึงส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ได้อาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๑๐(๑) แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ออกประกาศคณะกรรมการธุรกิจ น าเที่ยวและมัคคุเทศก์เรื่อง การก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ โดยได้มอบหมาย ให้ททท. เป็นผู้ด าเนินการประกาศก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ททท. จึงขอหารือว่า การก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เรื่องเสร็จที่ ๗๒๖/๒๕๔๖ เรื่อง การก่าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่่าของมัคคุเทศก์


หน้า ๑๕๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่๕) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้แทนการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทยและผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวง) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริง แล้ว มีความเห็นว่า พระราชบัญญัติธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกฎหมายที่ตราขึ้น เพื่อก าหนดมาตรฐานการประกอบธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของบุคคล ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ โดยมาตรา ๑๐ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ ธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้บัญญัติให้คณะกรรมการธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ มีอ านาจหน้าที่ในการก าหนดแผนงานและมาตรการต่างๆ เกี่ยวกับการส่งเสริมและควบคุมธุรกิจ น าเที่ยวและมัคคุเทศก์ ดังนั้น ประเด็นปัญหาว่าการก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ โดยอาศัยอ านาจตามมาตรา ๑๐(๑) ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จึงต้องพิจารณาว่ามาตรา ๑๐(๑) บัญญัติให้อ านาจคณะกรรมการไว้เพียงใด ซึ่งเมื่อพิจารณามาตราดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่า ได้ก าหนดอ านาจของคณะกรรมการธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ไว้อย่างกว้างๆ โดยไม่ได้ก าหนด ไว้อย่างชัดเจนถึงอ านาจในการก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า การก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์เป็นมาตรการที่ก าหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมและควบคุม ธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๕) เห็นว่า อ านาจหน้าที่ ในการก าหนดแผนงานและมาตรการต่างๆเกี่ยวกับการส่งเสริมและควบคุมธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ ตามมาตรา ๑๐(๑) แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น หมายถึง อ านาจในการก าหนดแผนงานและมาตรการต่างๆ ให้ผู้ประกอบธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ ใช้เป็นแนวทางในการด าเนินการเพื่อยกมาตรฐานในการประกอบธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ แต่ไม่รวมถึงการก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์ โดยเห็นว่ากรณีดังกล่าวหากพระราชบัญญัติ ธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต้องการให้คณะกรรมการธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ มีอ านาจก็ต้องบัญญัติไว้โดยชัดเจน ดังเช่น พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่บัญญัติ ไว้ในมาตรา ๓๘(๖) ให้นายทะเบียนมีอ านาจประกาศก าหนดอัตราค่าจ้างของตัวแทนประกันชีวิต และนายหน้าประกันชีวิต เป็นต้น ดังนั้น เมื่อพระราชบัญญัติธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ไม่ได้บัญญัติให้คณะกรรมการธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์มีอ านาจก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ า ของมัคคุเทศก์ไว้ การที่คณะกรรมการธุรกิจน าเที่ยวและมัคคุเทศก์ออกประกาศเพื่อก าหนดอัตรา ค่าจ้างขั้นต่ าของมัคคุเทศก์และก าหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจน าเที่ยวต้องจ่ายค่าจ้างแก่มัคคุเทศก์ ไม่ต่ ากว่าอัตราที่ก าหนดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤศจิกายน ๒๕๔๖ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๗


หน้า ๑๕๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางาน ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๓๐๒/๑๘๒๖๗ ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความว่า นายกรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการที่กระทรวงแรงงาน เสนอในการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ (พม่า ลาวกัมพูชา) โดยก าหนดให้ กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักเพื่อก าหนดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาแรงงาน ต่างด้าวโดยให้มีการน าเข้าแรงงานต่างด้าวโดยถูกต้องตามกฎหมายและให้นายจ้างซึ่งมีความสามารถ จ้างแรงงานต่างด้าวมีหน้าที่ต้องช าระค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานต่างด้าว โดยให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางานพิจารณาจากบทบัญญัติ ของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงานแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติการท างาน ของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งอยู่ในการก ากับดูแลของกรมการจัดหางานเป็นกฎหมายที่ตราขึ้น เพื่อควบคุมการท างานของคนต่างด้าวและไม่มีบทบัญญัติใดให้อ านาจในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม การใช้แรงงานต่างด้าวจากนายจ้างแต่อย่างใด จึงไม่สามารถน ามาใช้กับกรณีนี้ได้ส าหรับพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ในมาตรา ๒๒ ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ก าหนดให้รัฐมนตรีมีอ านาจ ออกกฎกระทรวงให้มีการคุ้มครองแรงงานกรณีต่างๆ แตกต่างไปจากพระราชบัญญัตินี้ได้จึงเห็นว่า การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานต่างด้าวจากนายจ้างสามารถออกกฎกระทรวงตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาใช้บังคับได้แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความรอบคอบ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย กรมการจัดหางานจึงขอหารือในประเด็นดังต่อไปนี้ ๑.กระทรวงแรงงานสามารถออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาบังคับให้นายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวช าระเงินค่าธรรมเนียม การใช้แรงงานต่างด้าวในฐานะที่เป็นกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งได้หรือไม่ อย่างไร ๒. หากไม่สามารถด าเนินการตามข้อ ๑ ได้ ควรใช้กฎหมายใดมาบังคับใช้ในกรณีนี้ หรือหากไม่มีกฎหมายจะบังคับใช้จะต้องแก้ไขกฎหมาย เห็นว่าควรบรรจุรายละเอียดในเรื่องนี้ไว้ ในกฎหมายฉบับใดจะเป็นการถูกต้อง หากไม่ถูกต้องเห็นควรแก้ไขอย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาประเด็นข้อหารือดังกล่าว โดยได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางาน) แล้ว มีความเห็น ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง กระทรวงแรงงานสามารถออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาบังคับให้นายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวช าระเงิน ค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานต่างด้าวในฐานะที่เป็นกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งได้หรือไม่ อย่างไร ในประเด็นนี้ เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แล้ว จะเห็นได้ว่า มีความมุ่งหมายเพื่อคุ้มครองลูกจ้างจากการใช้แรงงานของนายจ้าง ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม ดังปรากฏเหตุผลในการตราพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น ในหลักการของพระราชบัญญัติฯ นี้ จึงเป็นการก าหนดหลักเกณฑ์การท างานของลูกจ้าง เรื่องเสร็จที่ ๑๖๑/๒๕๔๗ เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานคนต่างด้าวจากนายจ้าง


หน้า ๑๕๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยทั่วไปไม่ว่าลูกจ้างผู้นั้นจะเป็นคนต่างด้าวหรือไม่ และโดยที่มาตรา ๒๒๒ แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ บัญญัติให้แต่เฉพาะงานประเภทเกษตรกรรม งานประมงทะเล งานบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเล งานที่รับไปท าที่บ้าน งานขนส่ง และงานอื่นตามที่ก าหนด ในพระราชกฤษฎีกา จะออกกฎกระทรวงก าหนดหลักเกณฑ์ให้มีการคุ้มครองแรงงานของลูกจ้าง แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้เท่านั้น มิได้หมายความ รวมถึงการให้อ านาจรัฐมนตรีออกกฎกระทรวงเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานคนต่างด้าว จากนายจ้างแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ กระทรวงแรงงานจึงไม่อาจอาศัยอ านาจตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ออกกฎกระทรวงก าหนดให้นายจ้างที่ใช้แรงงาน คนต่างด้าวมีหน้าที่ต้องช าระค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานคนต่างด้าวได้ ประเด็นที่สอง หากไม่สามารถด าเนินการตามประเด็นที่หนึ่งได้ควรใช้กฎหมายใด มาบังคับใช้ในกรณีนี้ หรือหากไม่มีกฎหมายจะบังคับใช้จะต้องแก้ไขกฎหมาย เห็นว่าควรบรรจุ รายละเอียดในเรื่องนี้ไว้ในกฎหมายฉบับใดจะเป็นการถูกต้อง หากไม่ถูกต้องเห็นควรแก้ไขอย่างไร ในประเด็นนี้ เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้ว จะเห็นได้ว่า บทบัญญัติในกฎหมายนี้มีหลักการเพื่อใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบอาชีพ หรือท างานในราชอาณาจักร โดยก าหนดให้คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้ท างานต้องเสียค่าธรรมเนียม ใบอนุญาตท างาน แต่มิได้ก าหนดให้นายจ้างต้องช าระค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานคนต่างด้าว รวมทั้งไม่มีการก าหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานคนต่างด้าวท้ายพระราชบัญญัติฯ แต่อย่างใด จึงเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ไม่มีบทบัญญัติ ให้อ านาจในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานคนต่างด้าวจากนายจ้าง นอกจากนี้เมื่อได้ฟัง ค าชี้แจงของผู้แทนกรมการจัดหางานว่า ประสงค์จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานคนต่างด้าว ทั้งกรณีที่เป็นการจ้างแรงงานคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยถูกต้องตามกฎหมายและ กรณีที่เป็นการจ้างแรงงานคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเป็น การสกัดกั้น ป้องกัน ปราบปราม จัดระบบการจ้างแรงงานต่างด้าว ตลอดจนการจับกุมด าเนินคดี และส่งกลับคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโดยที่การจัดระบบ บริหารแรงงานต่างด้าวดังกล่าว มีผลกระทบต่อการใช้กฎหมายอื่น เช่น กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และกฎหมายว่าด้วยการท างานของคนต่างด้าว ดังนั้น หากจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ แรงงานคนต่างด้าวจากนายจ้าง กระทรวงแรงงานจึงควรเสนอให้มีการตรากฎหมายแม่บทเพื่อเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานคนต่างด้าวจากนายจ้างเป็นพิเศษ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีนาคม ๒๕๔๗ //////////////////////////////


หน้า ๑๕๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๖๐๗/๑๘๐๗ ลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอหารือปัญหาของผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน ตามมาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ สรุปความได้ว่า คณะกรรมการ กองทุนเงินทดแทนมีความเห็นขัดแย้งกันเป็นสองฝ่ายเกี่ยวกับผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนกรณีลูกจ้าง ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย และบุตรซึ่งมีอายุเกินสิบแปดปีแต่ยังอยู่ในระหว่าง การรักษาสถานภาพการเป็นนักศึกษาในระบบการศึกษานอกโรงเรียนจะเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน จากนายจ้างหรือไม่ โดยมีความเห็น ดังนี้ ฝ่ายที่หนึ่ง เห็นว่า มาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่ศึกษาตามหลักสูตรในระบบการศึกษาปกติอันเป็นการบรรเทา ความเดือดร้อนที่บุคคลดังกล่าวต้องสูญเสียผู้อุปการะขณะอยู่ในวัยเรียน ส่วนบุคคลที่ศึกษาใน ระบบการศึกษานอกโรงเรียนจะประกอบอาชีพแล้วเป็นส่วนใหญ่ซึ่งสามารถรับผิดชอบตนเองได้ จึงไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีสิทธิตามมาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ฝ่ายที่สอง เห็นว่า มาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มิได้มีข้อความใดที่แยกระบบการศึกษาไว้ การให้ความเห็นว่าบุตรที่ศึกษาในระบบการศึกษา นอกโรงเรียนไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติ ให้บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษา จึงเห็นว่าบุตรที่อยู่ในระบบการศึกษาภาคปกติหรือการศึกษา นอกระบบก็ควรมีสิทธิได้รับเงินทดแทนเช่นเดียวกัน ส านักงานประกันสังคมจึงขอหารือว่า บุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามมาตรา ๒๐(๓) ประกอบกับมาตรา ๑๘(๔) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ตามความเห็นของ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนฝ่ายใดเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของส านักงานประกันสังคม และได้ฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและส านักงาน ประกันสังคม) และผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ (ส านักงานปลัดกระทรวง) แล้ว เห็นว่า วัตถุประสงค์ ในการจ่ายเงินทดแทนตามมาตรา ๑๘(๔) ประกอบกับมาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ เพื่อให้นายจ้างอุปการะช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนด้านการเงินในการเรียน การศึกษาแก่บุตรของลูกจ้างผู้ถึงแก่ความตายเนื่องจากการท างานให้นายจ้าง โดยบัญญัติให้บุตร ของลูกจ้างที่มีอายุต่ ากว่าสิบแปดปีมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจนมีอายุครบสิบแปดปี ส่วนบุตรที่มี อายุครบสิบแปดปีแล้วได้ก าหนดเงื่อนไขว่าจะต้องอยู่ระหว่างการศึกษาในระดับที่ไม่สูงกว่าปริญญาตรี จึงจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนตลอดระยะเวลาที่ยังศึกษาอยู่ เว้นแต่จะครบก าหนดระยะเวลาตาม สิทธิการพิจารณาสิทธิในการได้รับเงินทดแทนของนางสาวจารุวรรณฯ จึงต้องพิจารณาตาม พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ว่า นางสาวจารุวรรณฯ ยังศึกษาอยู่ในระดับที่กฎหมาย เรื่องเสร็จที่ ๒๙๐/๒๕๔๗ เรื่อง ผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามมาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗


หน้า ๑๕๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา บัญญัติไว้หรือไม่ ซึ่งเมื่อได้พิจารณารูปแบบและระบบของการศึกษาตามมาตรา ๑๕(๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว จะเห็นได้ว่า การศึกษาทั้งสองระบบ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบหรือการศึกษานอกระบบต่างก็เป็น “การศึกษา” ตามความหมาย ของมาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ แต่การศึกษาตามความหมาย ของบทมาตราดังกล่าวจะท าให้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนหรือไม่ จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริง ต่อไปว่า ผู้มีสิทธิดังกล่าวได้ลงทะเบียนเรียนซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาหรือไม่ หากเพียงแต่ลงทะเบียน เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นนักศึกษา แต่มิได้ลงทะเบียนเรียนก็ถือไม่ได้ว่ายังศึกษาอยู่ จึงไม่มีสิทธิ ได้รับเงินทดแทนตามมาตรา ๒๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมษายน ๒๕๔๗ //////////////////////////////


หน้า ๑๕๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา จังหวัดหนองคายได้ขอหารือปัญหาข้อกฎหมายว่าความผิดตามมาตรา ๙๑ ตรี แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ หรือไม่ นั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พนักงานอัยการจังหวัดหนองคายได้ฟ้องนางขัตติยา หรือ แก้ว แก้วภมร นางสมหมาย เทศศรีเมือง นายภานุเดช พระให้พร หรือ แก้วภมร เป็นคดีต่อศาลจังหวัดหนองคาย คดีด าหมายเลข ๓๔๕/๒๕๔๗ และหมายเลข ๓๔๗/๒๕๔๗ ในฐานความผิดร่วมกันจัดหางานให้คนหางานไปท างานในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาต หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหรือส่งคนหางานไปต่างประเทศ และได้ไปซึ่งทรัพย์สิน จากผู้ถูกหลอกลวงและร่วมกันฉ้อโกง ซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีที่เกี่ยวข้องเนื่องกับที่จังหวัดหนองคาย ได้หารือมายังส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงเป็นกรณีตามข้อ ๙ ของระเบียบคณะกรรมการ กฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ก าหนดว่า กรรมการกฤษฎีกาจะไม่พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องที่มีการฟ้องร้อง เป็นคดีอยู่ในศาล เว้นแต่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีจะได้มีมติหรือมีค าสั่งเป็นการภายใน ให้พิจารณา คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงจะพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมาย ดังนั้น ส านักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่อาจพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องนี้ได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๔๗ ////////////////////////////// เรื่องเสร็จที่ ๓๖๑/๒๕๔๗ เรื่อง ขอหารือปัญหาข้อกฎหมาย กรณีมาตรา ๙๑ ตรี แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗


หน้า ๑๕๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือ ที่ นร ๐๔๑๐/๑๔๘๒ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความว่า คณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ๖๘๐๔/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๖ ถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้พิจารณาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของส านักงานประกันสังคม เรื่อง การจ่ายเงินสงเคราะห์ให้แก่ผู้ประกันตนกรณีเสียชีวิต เพื่อครอบครัวของผู้ประกันตนจะได้รับ เงินสงเคราะห์โดยไม่ต้องฟ้องศาลทุกราย เพราะคณะกรรมาธิการแรงงานเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ สวัสดิภาพความเป็นอยู่ของประชาชน จึงขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาด าเนินการหาทางแก้ไข และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ ส านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว เห็นว่า ความหมายของค าว่า“บุตร” ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ ยังไม่ชัดเจนในการน าไปปฏิบัติ ท าให้ ทายาทของผู้ประกันตนเสียสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ และน าไปสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง ประชาชนกับราชการ จึงขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเรื่องดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของส านักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรีโดยได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนส านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและส านักงานประกันสังคม) แล้วเห็นว่า เรื่องนี้มีข้อพิจารณาว่า ค าว่า “บุตร” ตามมาตรา ๗๓๑(๒) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ หมายความว่าบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของบิดามารดาที่ได้จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นหรือหมายความถึงบุตรอันแท้จริง ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ประกันตนด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณามาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แล้วจะเห็นได้ว่า เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีที่ผู้ประกันตนตาย โดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการท างาน โดยตามมาตรา ๗๓(๒) บัญญัติกรณีที่ ผู้ประกันตนตาย และมิได้มีหนังสือระบุผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ไว้ให้เฉลี่ยจ่ายเงินสงเคราะห์ แก่สามีภริยา บิดามารดา หรือ“บุตร” ของผู้ประกันตนในจ านวนที่เท่ากัน ในขณะที่กรณีสงเคราะห์บุตร ตามมาตรา ๗๕ ตรีแห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ประกันสังคม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ และในกรณีชราภาพตามมาตรา ๗๗ จัตวา(๑) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้จ่ายแก่ “บุตรชอบด้วยกฎหมาย” และเมื่อพิจารณาเรื่องประโยชน์ทดแทนในกรณี คลอดบุตรตามมาตรา ๖๕๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ ที่บัญญัติว่าถ้าผู้ประกันตนไม่มีภริยา ก็ให้หญิงซึ่งอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับผู้ประกันตนโดยเปิดเผยตามระเบียบที่เลขาธิการก าหนด เรื่องเสร็จที่ ๓๘๒/๒๕๔๗ เรื่อง ความหมายของค าว่า “บุตร” ตามมาตรา ๗๓(๒) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗


หน้า ๑๖๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าได้ให้ ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรตามความเป็นจริงประกอบด้วยแล้ว จะเห็นได้ว่าในส่วน ประโยชน์ทดแทนในกรณีตายตามมาตรา ๗๓(๒) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ ที่ให้น าเงินสงเคราะห์ มาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจ านวนที่เท่ากันในกรณีที่ ผู้ประกันตนมิได้ท าหนังสือระบุผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ไว้นั้น กฎหมายมีเจตนารมณ์ว่า บุคคลซึ่ง จะได้รับเงินสงเคราะห์ที่เฉลี่ยจ่ายให้เป็นบุคคลในครอบครัวของผู้ประกันตน และการที่กฎหมาย ในมาตรานี้ไม่ก าหนดว่าต้องเป็นคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรชอบด้วยกฎหมายเหมือนบุคคล ในครอบครัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็เพราะมีเจตนารมณ์ให้ผู้ได้รับประโยชน์ทดแทน ตามมาตรา ๗๓(๒) นี้เป็นสามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรตามสถานภาพความเป็นจริง ด้วยเหตุผล ดังกล่าว จึงเห็นว่า บุตรของผู้ประกันตนตามมาตรา ๗๓(๒) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ หมายความรวมถึงบุตรอันแท้จริงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ประกันตนอันมีสิทธิจะได้รับ ประโยชน์ทดแทนในกรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายด้วย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๔๗ //////////////////////////////


หน้า ๑๖๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมชลประทานขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในปัญหา เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการวางเงินค่าทดแทน ในกรณีที่ไม่อาจทราบชื่อของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ และระเบียบส านักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการน าเงินค่าทดแทนไปวางต่อศาลหรือส านักงานวางทรัพย์ หรือฝากไว้กับ ธนาคารออมสิน ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๒ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวข้างต้นแล้วขอเรียนว่า ปัญหาที่กรมชลประทานหารือมานั้นเป็นปัญหาในทางปฏิบัติว่าจะด าเนินการวางฎีกาในกรณีดังกล่าว อย่างไร ไม่ใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันอยู่ในอ านาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่จะพิจารณา ให้ความเห็นแก่หน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา ๗(๒) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรราการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่อาจรับข้อหารือดังกล่าวไว้พิจารณาได้ อย่างไรก็ตาม โดยที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางฎีกาเบิกเงินตามระเบียบ การเบิกจ่ายจากคลัง พ.ศ. ๒๕๒๐ ออกตามความในพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ กรมชลประทานจึงอาจหารือแนวทางปฏิบัติดังกล่าวต่อกรมบัญชีกลางกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็น หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวโดยตรงได้ และหากมีปัญหาข้อกฎหมายที่ท าให้ไม่อาจปฏิบัติ หน้าที่ได้กรมชลประทานก็อาจขอหารือไปยังส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรกฎาคม ๒๕๔๗ ////////////////////////////// เรื่องเสร็จที่ ๔๕๓/๒๕๔๗ เรื่อง ขอหารือวิธีปฏิบัติในการวางเงินค่าทดแทน ในกรณีที่ไม่อาจทราบชื่อของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน


หน้า ๑๖๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จ ากัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้ขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเกี่ยวกับ การว่าจ้างพนักงานซึ่งเกษียณอายุการปฏิบัติงานไปแล้วที่เคยด ารงต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชี และการเงินเป็นลูกจ้างชั่วคราวของบริษัทฯ ความละเอียดทราบอยู่แล้ว นั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว ขอเรียนว่า ข้อหารือที่บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จ ากัด หารือมานี้เป็นกรณีที่ข้อ ๔ ของระเบียบคณะกรรมการ กฤษฎีกาว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ (ที่ส่งมาพร้อมนี้) ได้ก าหนดว่า เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปตามขั้นตอนของการบริหาร ราชการแผ่นดินเรื่องที่กรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมาย จะต้องเป็นเรื่องที่ ได้มีการปรึกษาหารือระหว่างส่วนราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือรักษาการตามกฎหมายแล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าว บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จ ากัด ควรจะได้ด าเนินการให้เป็นไปตามข้อ ๔ แห่งระเบียบดังกล่าว โดยหารือไปยังกระทรวงการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ กฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจเสียก่อน จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และหากบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จ ากัด ได้สอบถามแล้ว แต่ยังข้องใจในปัญหาดังกล่าว ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายินดีที่จะด าเนินการให้ความเห็นต่อไป ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรกฎาคม ๒๕๔๗ ////////////////////////////// เรื่องเสร็จที่ ๕๒๖/๒๕๔๗ เรื่อง ขอหารือเกี่ยวกับการว่าจ้างพนักงานซึ่งเกษียณอายุการปฏิบัติงานมาเป็นลูกจ้าง


หน้า ๑๖๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) ได้มีหนังสือ ที่ ทบส. ๘/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๗ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า เนื่องจากในปัจจุบัน สภาพการแข่งขันทางธุรกิจมีความรุนแรงมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการเงิน และการธนาคารการคัดสรรพนักงานในระดับบริหารจึงมีความส าคัญ ซึ่งในระบบมาตรฐานสากล การว่าจ้างพนักงานโดยเฉพาะระดับผู้บริหารได้ก าหนดระยะเวลาการจ้างงานที่แน่นอน เพื่อให้ได้ บุคลากรที่มีความสามารถเหมาะสมกับธุรกิจ มีการปรับปรุงตนเองให้มีความรอบรู้ทันต่อสภาวการณ์ ตลอดระยะเวลาการท างาน ธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) จึงก าหนดนโยบายให้ผู้บริหาร ระดับต่ ากว่ากรรมการผู้จัดการจัดท าสัญญาจ้างแรงงาน จากเดิมที่เป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มิได้ ก าหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอนเป็นการท าสัญญาจ้างแรงงานที่มีก าหนดระยะเวลา แต่อยู่บนพื้นฐาน ของความสมัครใจของแต่ละบุคคล โดยธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) เห็นว่า คณะกรรมการ ธนาคารมีอ านาจอนุมัติการท าสัญญาจ้างแรงงานได้ และสาระของสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าว ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกล่าวคือ ๑. ตามหนังสือส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขที่ นร ๐๒๑๕/๑๑๒๒๑ ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๘ และหนังสือกระทรวงการคลัง เลขที่ กค ๐๕๑๑/๓๘๑๖๖ ลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๘ ข้อ ๒.๕(๓) ให้คณะกรรมการธนาคารมีอิสระในการบริหารงานบุคคล การบริหารเงินเดือน ค่าจ้างและผลตอบแทนต่างๆ ได้ ๒. ตามหนังสือของกระทรวงแรงงาน ที่ รง ๐๕๐๙/ว ๑๐๓๖ ลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๖ คณะรัฐมนตรีโดยอ านาจตามมาตรา ๑๓(๒) แห่งพระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ ให้ธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) และรัฐวิสาหกิจอีก ๑๑ แห่งสามารถด าเนินการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการเงิน ในการก าหนดอัตราการจ้าง ค่าตอบแทน หรือสวัสดิการต่างๆ ของพนักงานได้เอง เมื่อคณะกรรมการ ธนาคารเห็นชอบแล้ว เพื่อมิให้เกิดปัญหาข้อโต้แย้งในอนาคต ธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) จึงขอ ค ายืนยันว่า คณะกรรมการธนาคารสามารถปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างดังกล่าวข้างต้นได้เอง และการด าเนินการดังกล่าวมิได้ขัดต่อกฎหมายฉบับใด คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) และได้รับฟังค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) และผู้แทนธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) แล้ว ได้ความว่า ธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) จะก าหนดนโยบายให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้บริหารในต าแหน่งสายงาน รองจากกรรมการผู้จัดการ ๑๙ สายงานที่เดิมได้ท าสัญญาจ้างไว้กับธนาคารฯ โดยไม่มีการก าหนด ระยะเวลาการจ้างไว้ ให้ลาออกจากการจ้างแล้วท าสัญญาจ้างกับธนาคารฯ ใหม่โดยให้มีการก าหนด เรื่องเสร็จที่ ๕๓๖/๒๕๔๗ เรื่อง หารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดท าสัญญาจ้างแรงงานผู้บริหาร ระดับต่ ากว่ากรรมการผู้จัดการของธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน)


หน้า ๑๖๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ระยะเวลาการจ้างไว้ ในการนี้ผู้บริหารทั้ง ๑๙ สายงานได้เข้าใจนโยบาย และสมัครใจจะลาออก จากธนาคารฯ แล้วท าสัญญาจ้างที่มีการก าหนดระยะเวลาการจ้างใหม่กับธนาคารฯ ซึ่งในเรื่องนี้ ส านักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ส านักพัฒนารัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง และบริษัทกฎหมายกรุงไทย จ ากัด มีความเห็นว่าสามารถด าเนินการได้โดยได้รับความเห็นชอบ ของคณะกรรมการธนาคารฯ และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) ก็มิได้คัดค้านแต่ประการใด แต่กรรมการบางคนในคณะกรรมการธนาคารฯ มีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างดังกล่าวอาจมีปัญหาเกี่ยวกับ “สภาพการจ้าง” ตามพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้ จึงให้หารือมายังคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน ส่วนผู้แทนกระทรวงแรงงานได้ชี้แจงว่า การท าสัญญาจ้างใหม่ตามนโยบายของธนาคารฯ เป็นเรื่อง ที่กระท าได้แต่ต้องรักษาสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างไว้อย่างเดิม คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวแล้ว เห็นว่า สัญญาจ้างแรงงานในระหว่างธนาคารฯ กับลูกจ้างผู้บริหารในระดับต่ ากว่ากรรมการผู้จัดการ เป็นสัญญาจ้างระหว่างบุคคล คู่สัญญาจะก าหนดหรือไม่ก าหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไรก็ได้ แล้วแต่ข้อตกลงของคู่สัญญาซึ่งมิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “สภาพการจ้าง”ตามความหมายในพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ กล่าวคือ มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้บัญญัตินิยามค าว่า “สภาพการจ้าง” ไว้หมายถึง หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการจ้างหรือการท างาน ก าหนดวันและเวลาท างาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรือประโยชน์อื่นของนายจ้างและลูกจ้าง อันเกี่ยวกับการจ้างหรือการท างาน ฉะนั้น สภาพการจ้าง จึงต้องมีลักษณะเป็นหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไปเกี่ยวกับการท างานของลูกจ้าง เมื่อพิจารณา ข้อเท็จจริงตามข้อหารือจะเห็นได้ว่าเป็นกรณีการท าสัญญาจ้างระหว่างธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) กับผู้บริหารในระดับต่ ากว่ากรรมการผู้จัดการจ านวน ๑๙ สายงาน ซึ่งเดิมได้ท า สัญญาจ้างกันไว้โดยไม่มีการก าหนดระยะเวลาการจ้าง ธนาคารฯ ประสงค์จะท าสัญญาจ้างแรงงานใหม่ ให้มีก าหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอนภายหลังที่บุคคล ๑๙ สายงานได้ลาออกแล้ว การเปลี่ยนแปลง สัญญาดังกล่าว จึงเป็นการท าสัญญาจ้างแรงงานระหว่างคู่สัญญาใหม่โดยก าหนดระยะเวลาของ การท าสัญญาจ้างที่แน่นอน ไม่มีลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลง “สภาพการจ้าง” ตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนั้น คณะกรรมการธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) จึงมีอ านาจก าหนดให้ผู้บริหารในระดับต่ ากว่ากรรมการผู้จัดการจัดท าสัญญาจ้าง ที่มีก าหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอนได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๔๗ //////////////////////////////


หน้า ๑๖๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้มีหนังสือที่ รง ๐๓๐๒/๑๓๑๓๖ ลงวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า กรมการจัดหางานได้รับ ข้อหารือ กรณีจังหวัดปทุมธานีได้มีหนังสือที่ ปท ๐๐๒๘/๑๖๔๗๖ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ขอให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ เพราะคณะกรรมการอ านวยการ คณะกรรมการบริหาร คณะผู้ท าการสอนและบริหาร นักศึกษา ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ตลอดจนบุคคลอื่นที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของบุคคลซึ่งปฏิบัติงาน ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ การท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้มีหนังสือ ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๕ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี โต้แย้งว่า สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้ จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ตามหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทยกับเลขาธิการองค์การสนธิสัญญาการป้องกัน ร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ เจ้าหน้าที่ อาจารย์ของสถาบัน และสมาชิกของครอบครัว เป็นบุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจตามความตกลงที่รัฐบาลไทยท าไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งในกรณีนี้ คือ องค์การสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์ จึงได้รับการอนุมัติให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา ๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ กรมการจัดหางานเห็นว่า สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองการด าเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. ๒๕๑๐ และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวได้บัญญัติให้คนต่างด้าวได้รับการยกเว้นจากข้อจ ากัดตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เกี่ยวกับจ านวนคนเข้าเมืองและระยะเวลาที่ได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้รับ การยกเว้นเกี่ยวกับการท างานของคนต่างด้าว และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีสถานะเป็นนิติบุคคล ในประเทศไทย จึงไม่เป็นองค์การระหว่างประเทศตามมาตรา ๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติการท างาน ของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ และเห็นว่า การตีความข้อ ๓(๑) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ของส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะใช้ กับกรณีคนต่างด้าวที่เป็นบุคคล ซึ่งรัฐบาลอนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใด ตามมาตรา ๔(๗) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ เท่านั้น ไม่อาจ น ามาปรับใช้กับคนต่างด้าวตามมาตรา ๔(๕) ได้ กลุ่มกฎหมาย ส านักบริหารกลาง ส านักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน มีความเห็นว่า สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีขึ้นตามประกาศใช้ความตกลงระหว่างรัฐบาล เรื่องเสร็จที่ ๕๔๑/๒๕๔๗ เรื่อง หารือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ (คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และสมาชิก ในครอบครัวจะได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการท างาน ของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ หรือไม่)


หน้า ๑๖๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แห่งประเทศไทยกับองค์การสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์ ว่าด้วยสถาบันเทคโนโลยี แห่งเอเชีย เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ และองค์การสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกัน แห่งเอเชียอาคเนย์เป็นองค์การระหว่างประเทศเนื่องจากมี ๘ ประเทศเข้าเป็นสมาชิก ดังนั้น คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการอ านวยการ คณะกรรมการบริหาร คณะผู้ท าการสอนและบริหาร นักศึกษาของสถาบัน ตลอดจนบุคคลอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกในครอบครัว ของบุคคลดังกล่าว และปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจตามวัตถุประสงค์ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย จึงได้รับการยกเว้นตามมาตรา ๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ กรมการจัดหางานจึงขอหารือว่า ๑.กรมการจัดหางานจะน าบันทึกของส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การตีความ ข้อ ๓(๑) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ กรณีบุคคล ซึ่งรัฐบาลไทยอนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใดในราชอาณาจักร มาปรับใช้กับคนต่างด้าวตามมาตรา ๔ (๕) (๖) และ (๗) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ และมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาก าหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือ ภารกิจบางประการในราชอาณาจักรไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้หรือไม่ อย่างไร ๒. คนต่างด้าวที่ท างานเป็นคณะกรรมการอ านวยการ คณะกรรมการบริหาร คณะผู้ท าการสอนและบริหาร นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ตลอดจนบุคคลอื่นๆ ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวของผู้ซึ่งปฏิบัติงาน ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียจะได้รับการยกเว้น จากการปฏิบัติตามมาตรา ๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ หรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมการจัดหางาน โดยได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและกรมการจัดหางาน) และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมพิธีการทูต และกรมองค์การ ระหว่างประเทศ) แล้ว มีความเห็น ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง ที่ว่า กรมการจัดหางานจะน าบันทึกของส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การตีความข้อ ๓(๑) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ กรณีบุคคลซึ่งรัฐบาลไทยอนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใด ในราชอาณาจักร มาปรับใช้กับคนต่างด้าวตามมาตรา ๔ (๕) (๖) และ (๗) แห่งพระราชบัญญัติ การท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ และมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาก าหนดให้คนต่างด้าว ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติ การท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้หรือไม่ อย่างไร ในประเด็นนี้ มีความเห็นว่า ข้อ ๓(๑) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ กับมาตรา ๔(๗) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่ไม่ใช้บังคับแก่การปฏิบัติหน้าที่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทย อนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใด จึงต้องมีข้อเท็จจริงโดยมี รายละเอียดเกี่ยวกับตัวคนหรือกลุ่มคนต่างด้าวที่จะเข้ามาและมีรายละเอียดเกี่ยวกับหน้าที่หรือ


หน้า ๑๖๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใดที่ต้องปฏิบัติหรือต้องกระท าในประเทศไทย รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี จึงจะพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เข้ามาในประเทศไทยได้ การอนุญาตจึงเป็นเรื่อง โดยเฉพาะเจาะจง เฉพาะรายบุคคล และเฉพาะกรณีอย่างหนึ่งอย่างใด ส่วนมาตรา ๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ เป็นเรื่องที่ให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามา ปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการท างานของ คนต่างด้าวเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจที่ผู้นั้นได้รับอนุญาตให้เข้ามา ในราชอาณาจักรซึ่งจะต้องมีข้อเท็จจริงโดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับหน้าที่หรือภารกิจให้ปรากฏ ในเอกสารตามความตกลงที่รัฐบาลไทยท าไว้กับรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ส่วนมาตรา ๔(๖) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ เป็นเรื่องที่ให้คนต่างด้าว ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจเพื่อประโยชน์ในทางการศึกษา วัฒนธรรม ศิลปะการกีฬา หรือกิจการอื่น ตามที่ก าหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการท างานของคนต่างด้าว เช่นกัน และปัจจุบันได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในมาตรา ๔(๖) ใช้บังคับแล้ว คือ พระราชกฤษฎีกาก าหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกา ดังกล่าวได้ก าหนดลักษณะของการปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจเพื่อประโยชน์ในทางการศึกษา วัฒนธรรม ศิลปะ การกีฬา หรือกิจการอื่นไว้โดยเฉพาะในเรื่องนั้นๆ ชัดแจ้งแล้ว ด้วยเหตุนี้ คนต่างด้าว ซึ่งเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภารกิจบางประการในฐานะบุคคลตามมาตรา ๔(๕) และ (๖) จึงไม่ต้องได้รับ อนุญาตจากรัฐบาลไทยเป็นการเฉพาะเจาะจงอีก ดังนั้น กรณีตามข้อ ๓(๑) แห่งประกาศของ คณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และมาตรา ๔(๗) แห่งพระราชบัญญัติ การท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงเป็นคนละกรณีกับมาตรา ๔(๕) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติ การท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ รวมทั้งพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในมาตรา ๔(๖) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงไม่อาจน า บันทึกของส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การตีความข้อ ๓(๑) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ มาปรับใช้กับคนต่างด้าวตามมาตรา ๔(๕) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ และตามมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาก าหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ ประเด็นที่สอง ที่ว่า คนต่างด้าวซึ่งท างานเป็นคณะกรรมการอ านวยการ คณะกรรมการบริหาร คณะผู้ท าการสอนและบริหาร นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ตลอดจนบุคคลที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของบุคคลซึ่งปฏิบัติงาน ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย จะได้รับการยกเว้นจากการปฏิบัติตามมาตรา ๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ หรือไม่ อย่างไร ในประเด็นนี้ มีความเห็นว่า ค าว่า “สถาบัน” ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองการด าเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. ๒๕๑๐ หมายความว่า สถาบัน


หน้า ๑๖๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เทคโนโลยีแห่งเอเชียอันเป็นสถาบันซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎบัตรของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ตามความเห็นชอบร่วมกันของประเทศภาคีขององค์การสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันแห่งเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ.) ซึ่งเดิมสถาบันแห่งนี้ คือ บัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ สปอ. และ ได้ถูกแปรสภาพพ้นจากการควบคุมขององค์การ สปอ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาแก่ ประชาชนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ และเทคโนโลยีชั้นสูง และมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัตินี้ ได้บัญญัติว่า สถาบันเป็นนิติบุคคลมีภูมิล าเนาในประเทศไทยได้รับการยกเว้น จากกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนราษฎร์และกฎหมายว่าด้วยสภาการศึกษาแห่งชาติ (ปัจจุบันกฎหมาย ว่าด้วยโรงเรียนราษฎร์ คือ กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนและกฎหมายว่าด้วยสถาบัน อุดมศึกษาเอกชน) อีกทั้งมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้สถาบันฯ ได้รับยกเว้น ภาษีอากรบางประการตามประมวลรัษฎากร กฎหมายว่าด้วยศุลกากร กฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือน และที่ดิน และกฎหมายว่าด้วยภาษีบ ารุงท้องที่ ส่วนคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรไทย ในฐานะตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองการด าเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. ๒๕๑๐ ก็ให้ได้รับยกเว้นจากข้อจ ากัดตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเกี่ยวกับจ านวนคนเข้าเมือง และระยะเวลาที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เฉพาะที่กระทรวงการต่างประเทศ ให้ความเห็นชอบเท่านั้น ไม่มีข้อยกเว้นหรือข้อที่ไม่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้ามาท างานในราชอาณาจักร ของคนต่างด้าว และตามประกาศใช้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศไทยกับองค์การ สนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์ว่าด้วยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ก็เป็นเพียง ความตกลงในการจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มิใช่ความตกลงตามความหมายในมาตรา ๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ทั้งสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นโดยความตกลงระหว่างรัฐในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสถานะเป็นเพียง องค์กรภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐระดับภูมิภาค ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้ ในเรื่องเสร็จที่ ๒๙๒/๒๕๔๖ โดยมีเอกสิทธิ์ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองการด าเนินงาน ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. ๒๕๑๐ สถาบันแห่งนี้มิได้มีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ตามความเห็นของกรมพิธีการทูตและค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) จึงเห็นว่า คนต่างด้าวซึ่งท างานเป็นคณะกรรมการบริหาร คณะผู้ท าการสอนและบริหาร นักศึกษาของสถาบันฯ ตลอดจนบุคคลที่เป็นสมาชิกในครอบครัว ของบุคคลซึ่งปฏิบัติงาน ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา ๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๔๗ //////////////////////////////


หน้า ๑๖๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางาน ได้มีหนังสือที่ รง ๐๓๐๒/๓๕๑๒ ลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๗ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงแรงงานโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้ออกระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงานขององค์การ เอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ เพื่อก าหนดแนวทางการควบคุมดูแลการเข้ามา ด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศ หรือการตั้งส านักงานภูมิภาคในประเทศไทยต่อมา คณะกรรมการประสานงานองค์การพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) มีหนังสือขอให้กระทรวงแรงงาน ยกเลิกการใช้บังคับระเบียบดังกล่าว เนื่องจากมีผลกระทบต่อการด าเนินงานขององค์การพัฒนา เอกชนไทยอย่างมาก และเจตนารมณ์ตามมาตรา ๒๙ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชน อันได้แก่ ระเบียบ กฎกระทรวง ที่ออกโดยฝ่ายบริหารจะต้องมีพระราชบัญญัติรองรับ แต่ระเบียบกระทรวงแรงงานดังกล่าวออกโดย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ กรมการจัดหางานมีความเห็นเกี่ยวกับ ประเด็นปัญหาการบังคับใช้ระเบียบดังกล่าวข้างต้น ดังนี้ ๑. ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงาน ขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นระเบียบที่ออกโดยอาศัยอ านาจ ในการบริหารราชการแผ่นดินมิได้มีกฎหมายใดบัญญัติให้อ านาจไว้ ทั้งนี้ เพื่อวางแนวทางในการควบคุม ดูแลการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย เนื่องจากไม่มีกฎหมายใด บัญญัติมาตรการควบคุมดูแลการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศไว้เป็นการเฉพาะ หากองค์การเอกชนต่างประเทศรายใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามก็มิได้มีบทบัญญัติลงโทษไว้ แต่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องอาจด าเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับการด าเนินงานขององค์การเอกชน ต่างประเทศตามอ านาจหน้าที่ของตนที่มีอยู่ตามกฎหมายเท่านั้น ดังนั้น ระเบียบกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ และระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การพิจารณาและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชน ต่างประเทศในประเทศไทย และการจัดตั้งส านักงานภูมิภาคในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งออก ตามความในระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาส่งพร้อมหนังสือ ที่ นร ๐๙๐๑/๒๑๖๐ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๗ ซึ่งส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีถึง ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงไม่มีสภาพบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อประชาชนทั่วไป ๒. เนื่องจากเป็นระเบียบซึ่งออกโดยมติคณะรัฐมนตรี ไม่มีกฎหมายใดรองรับ กระทรวงแรงงานอาจไม่มีอ านาจตามกฎหมาย หรือไม่อาจบังคับใช้ต่อบุคคล นิติบุคคล รวมทั้ง เรื่องเสร็จที่ ๑๐๓๕/๒๕๔๗ เรื่อง ขอหารือการบังคับใช้ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงาน ขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑


หน้า ๑๗๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานภาคเอกชน และอาจขัดต่อบทบัญญัติมาตรา ๖ ประกอบกับมาตรา ๒๙ มาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บทบัญญัตินั้นเป็นอันบังคับมิได้ กรมการจัดหางานได้น าข้อหารือดังกล่าวเสนอต่อกระทรวงแรงงาน และกระทรวงแรงงาน มีความเห็นว่า ระเบียบดังกล่าวมีสภาพบังคับเป็นกฎหมายได้ และไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย แต่อย่างใด กรมการจัดหางานพิจารณาแล้วเห็นว่า การพิจารณาว่าระเบียบ ดังกล่าวมีสภาพการบังคับ ต่อผู้เกี่ยวข้องในฐานะกฎหมายหรือไม่ เป็นประเด็นปัญหาส าคัญที่จะต้อง พิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ จึงขอหารือว่า ๑. ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงาน ขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นระเบียบที่ออกโดยอาศัยอ านาจ ในการบริหารราชการแผ่นดินมิได้มีกฎหมายใดบัญญัติให้อ านาจไว้ จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่อย่างไร ๒. ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงาน ขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ มีสภาพบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อบุคคล นิติบุคคล รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชน หรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวง และกรมการจัดหางาน) แล้ว มีความเห็น ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามา ด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นระเบียบที่ออกโดย อาศัยอ านาจในการบริหารราชการแผ่นดินมิได้มีกฎหมายใดบัญญัติให้อ านาจไว้จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ ประเด็นนี้เห็นว่า ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามา ด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ มีหลักการใช้บังคับแก่ องค์การเอกชนต่างประเทศอันได้แก่ สถาบัน องค์การ สมาคม มูลนิธิ หรือนิติบุคคลอื่น หรือ กลุ่มบุคคลต่างประเทศที่เป็นเอกชนหรือที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศให้เข้ามา ด าเนินงานในประเทศไทยในเรื่องการขอจัดตั้งส านักงานหรือด าเนินกิจกรรมให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนทางการเงิน การจัดประชุมสัมมนา นิทรรศการ การบริจาค การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์ วิชาการและเทคโนโลยี การช่วยเหลือสนับสนุนแก่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือนิติบุคคล ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ในประเทศไทยหรือประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ ตามที่ก าหนดนิยามไว้ในข้อ ๕ ของระเบียบดังกล่าว และเมื่อพิจารณาสาระส าคัญของระเบียบนี้ จะเห็นได้ว่า ข้อ ๗ ของระเบียบดังกล่าวก าหนดให้คณะกรรมการพิจารณาการด าเนินงานของ องค์การเอกชนต่างประเทศ ประกอบด้วยปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ปัจจุบันคือ กระทรวงแรงงาน) หรือรองปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมซึ่งได้รับมอบหมายจาก ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ผู้แทนส านักข่าวกรองแห่งชาติผู้แทนส านักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติผู้แทน กองบัญชาการทหารสูงสุด ผู้แทนส านักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้แทนส านักงานต ารวจสันติบาล


หน้า ๑๗๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นต้น มีอ านาจพิจารณาอนุญาตการเข้ามาด าเนินงานหรือตั้งส านักงานภูมิภาคขององค์การเอกชน ต่างประเทศ ในประเทศไทยตามที่ก าหนดไว้ในข้อ ๙ และในการพิจารณาอนุญาตให้องค์การ เอกชนต่างประเทศเข้ามาด าเนินงานหรือตั้งส านักงานภูมิภาคในประเทศไทยนั้น คณะกรรมการ พิจารณาการด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศจะต้องค านึงถึงนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่น วัตถุประสงค์และแนวทางการด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศนั้น ตลอดจนความเห็น และข้อเสนอแนะของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ทั้งนี้ ตามข้อ ๑๐ ของระเบียบ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศ ในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ ส่วนองค์การเอกชนต่างประเทศที่จะขอเข้ามาด าเนินงาน ต้องมี คุณสมบัติตามข้อ ๑๒ ของระเบียบฯได้แก่ ไม่มุ่งหวังผลก าไรหรือมุ่งหวังผลทางการเมืองมีวัตถุประสงค์ ในการเข้ามาให้ความช่วยเหลือหรือพัฒนาแก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลหรือ นิติบุคคลส่วนราชการ หรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาและความมั่นคงของประเทศไทย และ มีแนวทางการด าเนินงานที่ไม่ขัดกับนโยบายของรัฐบาลไทย และองค์การเอกชนต่างประเทศที่ ได้รับอนุญาตให้เข้ามาด าเนินงานจะต้องปฏิบัติตามที่ก าหนดไว้ในข้อ ๑๔ ของระเบียบฯ อันได้แก่ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข หรือข้อปฏิบัติตามที่คณะกรรมการพิจารณาการด าเนินงาน ขององค์การเอกชนต่างประเทศก าหนด รวมทั้งต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ ของราชการไทย เป็นต้น และในข้อ ๒๑ ของระเบียบฯ นี้ได้ก าหนดมาตรการควบคุมกรณีที่ องค์การเอกชนต่างประเทศกระท าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบฯ หรือในกรณีที่คณะกรรมการ พิจารณาการด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศ เห็นว่า การด าเนินงานขององค์การเอกชน ต่างประเทศไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี หรือกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ หรือความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับ ประเทศอื่น คณะกรรมการก็อาจมีหนังสือเตือนให้องค์การเอกชนต่างประเทศนั้นปฏิบัติให้ถูกต้อง ภายในเวลาที่ก าหนด หากองค์การเอกชนต่างประเทศยังไม่ปฏิบัติการให้ถูกต้องคณะกรรมการ พิจารณาการด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศมีอ านาจสั่งระงับการด าเนินงานขององค์การ เอกชนต่างประเทศนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ หรือมีอ านาจเสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อส่งให้คนต่างด้าว ที่เข้ามาท างานในองค์การนั้นหรือในส านักงานภูมิภาคหรือส านักงานสาขาออกจากประเทศไทย หรือยุติการด าเนินงานใดๆ ก็ได้ จึงเห็นได้ว่า ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นระเบียบ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมดูแลการที่องค์การเอกชนต่างประเทศจะเข้ามาด าเนินการหรือจัดตั้ง ส านักงานภูมิภาคในประเทศไทย และมีลักษณะเป็นการก าหนดมาตรการในทางบริหารเพื่อประโยชน์ แห่งความมั่นคงภายในประเทศ โดยก าหนดให้องค์การเอกชนต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ด าเนินงานจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไข หรือข้อปฏิบัติที่คณะกรรมการพิจารณาการด าเนินงาน ขององค์การเอกชนต่างประเทศก าหนด ระเบียบฯ นี้จึงมีหลักการใช้บังคับแก่บุคคลโดยเฉพาะ เจาะจง ในที่นี้ก็คือ องค์การเอกชนต่างประเทศ แต่ไม่มีหลักการใช้บังคับแก่บุคคลหรือนิติบุคคล ทั่วไปของไทย การที่ฝ่ายบริหารก าหนดมาตรการในการควบคุมดูแลการด าเนินงานขององค์การ เอกชนต่างประเทศโดยการออกระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามา


หน้า ๑๗๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจ ก าหนดนโยบาย มาตรการ และวิธีการด าเนินการต่างๆ เพียงเท่าที่จ าเป็นเพื่อคุ้มครองและ รักษาความมั่นคงภายในประเทศ ด้วยเหตุนี้ ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงไม่กระทบ กระเทือนสาระส าคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพหรือเป็นการจ ากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามที่ มาตรา ๖ มาตรา ๒๙ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติรับรองไว้ ประเด็นที่สอง ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามา ด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ มีสภาพบังคับใช้เป็น กฎหมายต่อบุคคล นิติบุคคล รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชนหรือไม่ อย่างไร ประเด็นนี้เห็นว่า ตามที่ได้พิจารณาในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่า ระเบียบกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ ไม่กระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และระเบียบดังกล่าวมีหลักการใช้บังคับแก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจงในที่นี้ก็คือองค์การเอกชน ต่างประเทศ แต่ไม่มีหลักการใช้บังคับแก่บุคคลหรือนิติบุคคลทั่วไปของไทย ดังนั้นระเบียบฯ นี้ จึงไม่มีสภาพใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อบุคคล นิติบุคคล รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชนอื่น นอกเหนือจาก ที่ก าหนดไว้ในนิยาม “องค์การเอกชนต่างประเทศ” อันได้แก่ สถาบัน องค์การสมาคม มูลนิธิ หรือนิติบุคคลอื่น หรือกลุ่มบุคคลต่างประเทศที่เป็นเอกชน หรือสถาบัน องค์การสมาคม มูลนิธิ หรือนิติบุคคลอื่น หรือกลุ่มบุคคลต่างประเทศที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ แต่ไม่รวมถึง สถาบัน องค์การ สมาคม มูลนิธิ หรือนิติบุคคลอื่น หรือกลุ่มบุคคลของไทย ทั้งนี้ ตามข้อ ๕ ของระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยการเข้ามาด าเนินงานขององค์การเอกชน ต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ธันวาคม ๒๕๔๗ //////////////////////////////


หน้า ๑๗๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีหนังสือ ที่ รง ๐๕๐๙/๐๒๘๘๘ ลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าชดเชย ให้แก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุตามข้อ ๔๖ ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ เว้นแต่รัฐวิสาหกิจได้ระบุว่า เงินบ าเหน็จบ านาญนั้นให้ถือเป็นเงินที่รัฐวิสาหกิจต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างกรณีเลิกจ้างด้วย ซึ่งถ้าเงิน จ านวนดังกล่าวมีจ านวนไม่น้อยกว่าค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามกฎหมายให้ถือว่าลูกจ้าง ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแล้ว การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ได้มีค าสั่ง ที่ ส ๑๖/๒๕๑๙ เรื่อง การจ่ายค่าชดเชย ตามกฎหมายแรงงาน ลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๙ ก าหนดให้ลูกจ้างที่เกษียณอายุได้รับค่าชดเชย ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยใช้อัตราค่าจ้างสุดท้ายที่ลูกจ้างได้รับจริงเป็นฐานในการค านวณ ค่าชดเชยและได้ปรับปรุงการจ่ายค่าชดเชยอีกหลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ มีการแก้ไข ข้อบังคับ กฟภ. ว่าด้วยระเบียบพนักงาน พ.ศ. ๒๕๑๗ เกี่ยวกับการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจ าปี ให้แก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุโดยให้เลื่อนขั้นเงินเดือนอีกหนึ่งขั้นก่อนพ้นจากต าแหน่งในวันที่ ๓๐ กันยายน แต่มิได้น ามาใช้ในการจ่ายตอบแทนการท างานจริง ทั้งนี้ ในการจ่ายค่าชดเชยของ กฟภ. ได้ใช้อัตราเงินเดือนที่เลื่อนใหม่ดังกล่าวเป็นฐานในการค านวณค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้นมา และได้มีการแก้ไขค าสั่งเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยอีกหลายครั้ง แต่ไม่มีหลักการเลื่อนขั้นเงินเดือนอีกหนึ่งขั้นให้แก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุเพื่อใช้เป็นฐานในการค านวณ ค่าชดเชย ซึ่งปัจจุบัน คือ เงินเพื่อตอบแทนความชอบในการท างาน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ กระทรวงการคลังได้มีหนังสือ ที่ กค ๐๕๒๙.๔/๓๓๔๐๘ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ แจ้งให้กฟภ. ด าเนินการเลื่อนขั้นเงินเดือนของผู้ที่เกษียณอายุเพื่อประโยชน์ในการค านวณบ าเหน็จ ให้เป็นแนวทางเดียวกับรัฐวิสาหกิจทั่วไป กล่าวคือ เจตนารมณ์ของการเลื่อนขั้นเงินเดือนของ ผู้เกษียณอายุเพื่อน ามาค านวณบ าเหน็จเท่านั้น มิใช่น ามาค านวณเงินเพื่อตอบแทนความชอบ ในการท างาน จึงขอให้กฟภ. ค านวณเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการท างานตามที่กฎหมายก าหนด และกระทรวงการคลังได้มีหนังสือ ที่ กค ๐๕๒๙.๒/๑๒๑๐๕ ลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๓ ยืนยันการขอทบทวนของกฟภ. ว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้ให้ค าจ ากัดความของค าว่า “ค่าจ้าง” ว่า เป็นเงินหรือเงินและสิ่งของที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง เป็นการตอบแทนการท างานโดยค านวณตามผลงานที่ลูกจ้างท าได้ อัตราค่าจ้างสุดท้ายจึงเป็น อัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับจริงในวันสุดท้ายของการปฏิบัติงาน การที่ กฟภ. น าอัตราเงินเดือน เรื่องเสร็จที่ ๑๐๖๔/๒๕๔๗ เรื่อง สภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ (กรณีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคน าเงินเดือนค่าจ้างที่ลูกจ้างได้เลื่อนเมื่อเกษียณอายุ เป็นฐานในการค านวณค่าชดเชยหรือเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการท างาน)


หน้า ๑๗๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา สุดท้ายที่ได้เลื่อนในวันที่ ๓๐ กันยายน เป็นฐานในการค านวณค่าชดเชยจึงไม่ถูกต้อง และการใช้ อัตราเงินเดือนเดิมก่อนได้เลื่อนเพื่อเป็นฐานในการค านวณค่าชดเชยมิใช่เป็นการลดสิทธิประโยชน์ ของลูกจ้าง จึงขอให้กฟภ. ถือปฏิบัติในการค านวณค่าชดเชยของลูกจ้างที่เกษียณอายุตามหลักเกณฑ์ ของกระทรวงการคลังโดยเคร่งครัดต่อไป ด้วยเหตุนี้กฟภ. จึงได้ชะลอการน าอัตราเงินเดือนสุดท้าย ที่ได้เลื่อนในวันที่ ๓๐ กันยายน เป็นฐานในการค านวณค่าชดเชยให้แก่ผู้ที่เกษียณอายุตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๓ จนถึงปัจจุบัน โดยช่วงเวลาดังกล่าวได้ใช้เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ลูกจ้าง ได้รับจริงเป็นฐานในการค านวณ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น กฟภ. จึงขอหารือปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติ ตามกฎหมายต่อคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ตามมาตรา ๑๓(๘) แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ว่า การค านวณค่าชดเชยโดยใช้เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย ที่ได้เลื่อนเมื่อเกษียณอายุมาเป็นฐานในการค านวณตามวิธีที่กฟภ. ถือปฏิบัติมาถือเป็นสภาพการจ้าง หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ได้พิจารณาประเด็นหารือของ กฟภ. แล้ว มีความเห็นเป็น ๓ แนวทาง คือ แนวทางที่ ๑ การใช้เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ได้เลื่อนเมื่อเกษียณอายุเป็นฐาน ในการค านวณตามที่กฟภ. ถือปฏิบัติมาไม่เป็นสภาพการจ้าง เนื่องจากเงินดังกล่าวมิใช่เงินเดือน ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการค านวณค่าชดเชย และค่าชดเชยเป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติไว้มิใช่เรื่องของ การตกลงกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างที่จะก่อให้เกิดเป็นสภาพการจ้าง แนวทางที่ ๒ การใช้เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ได้เลื่อนเมื่อเกษียณอายุเป็นฐาน ในการค านวณตามที่กฟภ. ถือปฏิบัติมานานย่อมผูกพันนายจ้างและลูกจ้างจึงเป็นสภาพการจ้าง แนวทางที่ ๓ การใช้เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ได้เลื่อนเมื่อเกษียณอายุเป็นฐาน ในการค านวณตามที่กฟภ. ถือปฏิบัติมาจะเป็นสภาพการจ้างต่อเมื่อมีการปรับปรุงข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย หรือมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ที่เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังก าหนดเกี่ยวกับการพิจารณาประโยชน์ตอบแทนต่างๆอัตราเงินเดือน และค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ นอกเหนือจากที่มีอยู่ก่อนมติคณะรัฐมนตรีนี้ รัฐวิสาหกิจต้องท าความตกลงกับกระทรวงการคลังก่อนจึงจะด าเนินการได้อีกทั้งการด าเนินการดังกล่าว ต้องมิใช่การส าคัญผิดคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จึงมีมติมอบหมายให้กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปโดยถูกต้องและถือเป็น บรรทัดฐานในการปฏิบัติตามกฎหมายในประเด็นดังต่อไปนี้ ๑.การค านวณค่าชดเชยโดยใช้เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ได้เลื่อนเมื่อเกษียณอายุ เป็นฐานในการค านวณตามที่ กฟภ. ถือปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น ซึ่งไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ถือเป็นสภาพการจ้างหรือไม่ ๒.สภาพการจ้าง หรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ในเรื่องที่เป็นสิทธิตามกฎหมาย หากนายจ้างก าหนดไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือการส าคัญผิดจะผูกพันนายจ้างให้ต้อง ปฏิบัติต่อไปหรือไม่อย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานและได้รับฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (กรมสวัสดิการ


หน้า ๑๗๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา และคุ้มครองแรงงาน ) ผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลางและส านักงานคณะกรรมการ นโยบายรัฐวิสาหกิจ) และผู้แทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานประสงค์ให้คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาประเด็น ปัญหากรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคค านวณค่าชดเชยและเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการท างาน โดยใช้เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ได้เลื่อนอีกหนึ่งขั้นในวันที่ ๓๐ กันยายน มาเป็นฐานในการค านวณ เมื่อพนักงานหรือลูกจ้างเกษียณอายุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๓ แล้วกลับไปใช้ เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ได้รับจริงเป็นฐานในการค านวณค่าชดเชยตามที่กระทรวงการคลัง ทักท้วงนั้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะต้องจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการท างานตามพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างที่เกษียณอายุตั้งแต่เดือน กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นต้นไป โดยใช้เงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ได้เลื่อนเมื่อเกษียณอายุ เป็นฐานในการค านวณดังที่ได้ถือปฏิบัติมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือประกอบกับข้อเท็จจริง ดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ค าสั่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ส ๑๖/๒๕๑๙ เรื่อง การจ่ายค่าชดเชย ตามกฎหมายแรงงาน ลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๙ ได้ก าหนดอัตราการจ่ายค่าชดเชยไว้ในข้อ ๓ ให้พนักงานหรือลูกจ้างที่เกษียณอายุได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่า “ค่าจ้างอัตราสุดท้าย” โดยค านวณ ตามระยะเวลาการท างาน เพื่อให้สอดคล้องกับ ข้อ ๔๖ ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๗ โดย กฟภ. ได้จ่ายค่าชดเชย ให้กับพนักงานหรือลูกจ้างที่เกษียณอายุในอัตราค่าจ้างสุดท้ายที่พนักงานหรือลูกจ้างได้รับจริง เป็นฐานในการค านวณตลอดมา จนกระทั่งข้อบังคับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคว่าด้วยระเบียบพนักงาน พ.ศ. ๒๕๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมความในข้อ ๒๓ วรรคสี่ โดยข้อบังคับการไฟฟ้าฯ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๒ ก าหนดให้พนักงานหรือลูกจ้างที่เกษียณอายุได้รับการเลื่อนอันดับเงินเดือนหรือค่าจ้างในวันสิ้นปี งบประมาณเพื่อประโยชน์ในการค านวณเงินกองทุนสงเคราะห์หรือเงินช่วยเหลืออื่น โดยไม่ก่อ ให้เกิดสิทธิรับเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้เลื่อน การที่ กฟภ. น าหลักเกณฑ์การเลื่อนเงินเดือนหรือ ค่าจ้างในวันสิ้นปีงบประมาณก่อนที่จะพ้นจากต าแหน่งมาค านวณค่าชดเชยให้กับพนักงานหรือ ลูกจ้างที่เกษียณอายุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้นมา ทั้งที่ข้อบังคับดังกล่าวมิได้ก าหนดให้ น ามาใช้บังคับกับการค านวณค่าชดเชยด้วยจึงเป็นการค านวณค่าชดเชยที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจาก ความหมายของค าว่า “ค่าจ้าง” ตามข้อ ๒ ของประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ หมายความว่า “เงินหรือเงินและสิ่งของที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการท างานในเวลาปกติของ วันท างาน ฯลฯ...” ค่าจ้างอัตราสุดท้ายตามข้อ ๔๖ ของประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จึงหมายถึงค่าจ้างครั้งสุดท้ายที่ลูกจ้างได้รับตามความเป็นจริง ต่อมาเมื่อพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ใช้บังคับ เพื่อก าหนดความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจให้แตกต่างจากความสัมพันธ์ ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในกิจการของเอกชน ได้บัญญัติให้อ านาจคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ก าหนดมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๑๑(๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยข้อ ๓๗ ของระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงาน


หน้า ๑๗๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ ก าหนดนิยามค าว่า “ค่าชดเชย” หมายถึง “เงินที่รัฐวิสาหกิจจ่ายให้แก่ พนักงานเมื่อเลิกจ้างนอกเหนือจากเงินประเภทอื่น ซึ่งรัฐวิสาหกิจตกลงจ่ายให้แก่พนักงาน” และ ข้อ ๔๕ ของระเบียบดังกล่าวก าหนดให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้าง ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยที่สอดคล้องกับข้อ ๔๖ ของประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ส่วนพนักงานหรือลูกจ้างที่เกษียณอายุนั้น ข้อ ๔๗ ของระเบียบฉบับเดียวกันก าหนดว่า พนักงาน หรือลูกจ้างที่เกษียณอายุไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย เว้นแต่ได้ท างานติดต่อกันครบห้าปีจึงมีสิทธิ ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการท างานเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ระเบียบดังกล่าวยังมีผลใช้บังคับกับพนักงานหรือลูกจ้างของ กฟภ. ตามบทเฉพาะกาลมาตรา ๙๕๑๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ อันเป็นการก าหนดมาตรฐานขั้นต่ า ของสภาพการจ้าง เมื่อไม่ปรากฏว่า กฟภ. มีข้อบังคับหรือค าสั่งเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยหรือ เงินเพื่อตอบแทนความชอบในการท างานที่ก าหนดสิทธิประโยชน์ไว้สูงกว่าสิทธิประโยชน์ตาม ระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงต้องน าเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย ที่พนักงานหรือลูกจ้างได้รับตามความเป็นจริงเป็นฐานในการค านวณเงินเพื่อตอบแทนความชอบ ในการท างานของพนักงานหรือลูกจ้างที่เกษียณอายุเนื่องจากการจ่ายค่าชดเชยหรือการจ่ายเงิน เพื่อตอบแทนความชอบในการท างานเป็นการจ่ายเงินตามกฎหมายมิใช่การจ่ายเงินที่เกิดจาก ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ธันวาคม ๒๕๔๗ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๘


หน้า ๑๗๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการคลังได้มีหนังสือ ด่วน ที่ กค ๑๐๐๖/๒๑๕๒๗ ลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ศูนย์ให้ค าปรึกษา ทางการเงินส าหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และประชาชน (ศงป.) จัดตั้งขึ้นตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ ได้ด าเนินการจ้างบุคลากรเข้ามาปฏิบัติงานทั้งใน กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น ๑๗๒ คน เมื่อการด าเนินงานของ ศงป. สิ้นสุดลง ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๗ พนักงานของศงป. จึงเสนอเรื่องให้คณะกรรมการนโยบายของ ศงป. พิจารณาจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้แก่พนักงานของ ศงป. ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นแตกต่างกันสรุปได้ ดังนี้ ความเห็นที่หนึ่ง เห็นว่า ศงป. ไม่มีสถานะเป็นหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ศงป. จึงอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานเมื่อเลิกจ้างตามมาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และแม้สัญญาจ้างระหว่างศงป. และพนักงานจะมีก าหนดเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดการจ้างที่แน่นอน แต่สัญญาจ้างดังกล่าวยังมีเงื่อนไขเกี่ยวกับการสิ้นสุดของสัญญาว่า “คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาจ้างโดยแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือ ไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน” จึงเป็นสัญญาที่ไม่มีก าหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน เมื่อสัญญาจ้าง ระหว่าง ศงป. และพนักงานสิ้นสุดลง ศงป. จึงผูกพันที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ความเห็นที่สอง เห็นว่า ศงป. จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อด าเนินการให้ ค าแนะน าเรื่องการด าเนินธุรกิจโดยเฉพาะด้านการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งรวบรวมข้อมูลในเรื่องฐานะทางการเงินของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อประกอบการ จัดท านโยบายที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ และท าหน้าที่ประสานงานกับ สถาบันการเงินเพื่อช่วยในการปรับปรุงด้านการเงินโดยไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหาก าไร ในทางเศรษฐกิจ ศงป. จึงเป็นนายจ้างซึ่งจ้างลูกจ้างท างานที่มิได้แสวงหาก าไรในทางเศรษฐกิจ ตามกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในมาตรา ๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ศงป. จึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ในเรื่องการจ่ายค่าชดเชย ตามมาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อ สัญญาจ้างระหว่างศงป. และพนักงานของศงป. สิ้นสุดลงแล้วศงป. จึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชย ให้แก่พนักงานของ ศงป. เรื่องเสร็จที่ ๓๖/๒๕๔๘ เรื่อง การจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้แก่พนักงานของศูนย์ให้ค าปรึกษาทางการเงินส าหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และประชาชน (ศงป.)


หน้า ๑๗๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการคลังจึงขอหารือปัญหาข้อกฎหมาย ดังนี้ ๑.กิจการของศูนย์ให้ค าปรึกษาทางการเงินส าหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และประชาชน (ศงป.) ถือเป็นกิจการที่มิได้แสวงหาก าไรในทางเศรษฐกิจตามกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือไม่ ๒. ศูนย์ให้ค าปรึกษาทางการเงินส าหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และ ประชาชน (ศงป.) ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการด าเนินงานหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกระทรวงการคลัง โดยได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงการคลัง (ส านักงานเศรษฐกิจการคลัง) แล้ว ปรากฏ ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ศูนย์ให้ค าปรึกษาทางการเงินส าหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และ ประชาชน (ศงป.) จัดตั้งขึ้นตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ เริ่มด าเนินการ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ โดยมีคณะกรรมการนโยบายซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นผู้ก ากับดูแล ด้านนโยบายและเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร มีผู้อ านวยการเป็นผู้ลงนามในสัญญาว่าจ้าง พนักงานและมีอ านาจบรรจุ แต่งตั้ง และอนุญาตการลาออกของพนักงานซึ่งมีจ านวนประมาณ ๑๗๒ คน ศงป. ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็นค่าใช้จ่ายในการด าเนินงาน ซึ่งไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการ และไม่มีรายได้หรือรายรับในระบบบัญชี คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า ตามปัญหา ที่หารือมีข้อพิจารณาว่า ศงป. ถือเป็นกิจการที่มิได้แสวงหาก าไรในทางเศรษฐกิจตามกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และจะต้องจ่าย ค่าชดเชยให้แก่พนักงานเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการด าเนินงานหรือไม่ ในประเด็นนี้ เห็นว่า ศงป. จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการให้ค าแนะน าในเรื่องการด าเนินธุรกิจโดยเฉพาะด้านการเงิน ท าหน้าที่ประสานงานกับสถาบันการเงินในการปรับปรุงด้านการเงิน รวมทั้งการรวบรวมข้อมูล ในเรื่องฐานะการเงินของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อประกอบการจัดท านโยบาย และมาตรการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ มีอิสระในการด าเนินงาน และท างานนอกระบบราชการโดยได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็นค่าใช้จ่ายของศงป. สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทยและหอการค้าไทยเป็นผู้ด าเนินการจัดตั้ง ศงป. โดยมีคณะกรรมการนโยบาย ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นผู้ก ากับดูแลด้านนโยบายและการด าเนินงาน ศงป. จึงเป็นหน่วยงาน ที่ได้รับเงินจากรัฐบาลเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ค าแนะน าในเรื่องการด าเนินธุรกิจด้านการเงิน แก่วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และประชาชน โดยไม่เรียกเก็บค่าบริการจากผู้ใช้บริการ และไม่มีรายได้ที่จะเป็นก าไรในการด าเนินงาน ศงป. จึงเป็นนายจ้างประเภทซึ่งจ้างลูกจ้างท างาน ที่มิได้แสวงหาก าไรในทางเศรษฐกิจ และได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ตามมาตรา ๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และตาม (๓) แห่งกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยไม่ต้องพิจารณาก าหนดระยะเวลาการท างานตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสาม และวรรคสี่


หน้า ๑๗๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ศงป. จึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้แก่พนักงานของ ศงป. ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มกราคม ๒๕๔๘ //////////////////////////////


หน้า ๑๘๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือที่ กค ๑๐๐๖/๑๘๗๒๒ ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๗ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความว่า ตามที่ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พิจารณาและให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่ส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หารือมานั้น ผลการพิจารณา ให้ความเห็น ท าให้การบังคับใช้และการด าเนินการของส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะนายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงาน ยิ่งขึ้นแต่มีเพียงความเห็นในประเด็นเรื่อง การก าหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาในการรับเงินสมทบ ของนายจ้างว่า ขัดต่อเจตนารมณ์และบทบัญญัติของพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เท่านั้นที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติและมีผลกระทบต่อการจัดตั้งและการด าเนินงาน ของกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ กระทรวงการคลังจึงขอทบทวนการตีความในปัญหาข้อกฎหมาย ของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ในประเด็นดังกล่าวอีกครั้งโดยที่ประชุมใหญ่ของคณะกรรมการ กฤษฎีกา และต่อมาส านักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๖/๓๗๙๙ ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ เพื่อยืนยันว่า ประเด็นที่กระทรวงการคลังขอทบทวน คือ ประเด็นว่าการที่ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างร่วมกันก าหนดข้อบังคับกองทุนส ารองเลี้ยงชีพที่มีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาในการที่ลูกจ้างจะได้รับเงินสมทบจากนายจ้างเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ และบทบัญญัติของพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ หรือไม่ ปัญหานี้สืบเนื่องมาจากส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นนายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ.๒๕๓๐ ได้มีหนังสือขอหารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กรณีการจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนตามมาตรา ๘๒ และมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ว่า จะมีการขอแก้ไขข้อบังคับ ของกองทุน โดยก าหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนที่ให้เป็นหลักประกันแก่ลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างตาย หรือออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุนตามที่ก าหนดนิยามไว้ในมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ แต่เพียงกรณีใดกรณีหนึ่ง หรือแต่บางกรณี เช่น (๑) กรณี ลูกจ้างตายจึงจะมีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนในส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ และ (๒) จะก าหนดเงื่อนไขในการได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้เป็นไปได้ยาก เช่น ต้องท างานมาไม่น้อยกว่าสามสิบปีหรือมากกว่านั้นเป็นกรณีหนึ่ง และจะขอจดทะเบียนข้อบังคับ ของกองทุนว่า (๑) เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐๕ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กับเงินที่มีผู้อุทิศให้ ให้ตกได้แก่สมาชิกในกองทุนเฉพาะรายนายจ้างหรือสมาชิกบางราย และ(๒) จะจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนว่า ถ้าผู้มีสิทธิได้รับเงินตามมาตรา ๒๓๖ แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ไม่มารับเงินภายในก าหนดเวลาซึ่งระบุไว้น้อยกว่าสิบปีนับแต่ เรื่องเสร็จที่ ๓๗๐/๒๕๔๘ เรื่อง ขอทบทวนปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐


หน้า ๑๘๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา วันสิ้นสมาชิกภาพ ให้เงินที่ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายจากกองทุนตามมาตรา ๒๓ ตกได้แก่บุคคล ตามที่ก าหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุนซึ่งอาจเป็นนายจ้างหรือมูลนิธิต่างๆ เป็นอีกกรณีหนึ่ง จะก าหนดในข้อบังคับได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ให้ความเห็นว่า เหตุผลในการประกาศใช้ พระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุน โดยความสมัครใจของนายจ้างและลูกจ้าง และประสงค์จะให้เป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ตลอดจนส่งเสริมการระดมเงินออมภาคเอกชน เพื่อน าไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการวางหลักเกณฑ์การด าเนินการและจัดการกองทุน เพื่อให้กองทุนส ารองเลี้ยงชีพมั่นคง และเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง จึงได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ว่ากองทุนเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างตาย หรือลาออกจากงาน หรือ ลาออกจากกองทุนและได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๓๘ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันว่า เมื่อลูกจ้าง สิ้นสมาชิกภาพ ฯลฯ ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่ก าหนดในข้อบังคับของกองทุน ซึ่งหมายถึงมาตรา ๙๙(๘) ดังนั้น เมื่อลูกจ้างจ่ายเงินสะสม และนายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตามมาตรา ๑๐ แล้ว เงินดังกล่าวทั้งหมดก็เป็นเงินก้อนเดียว ของกองทุนซึ่งเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๗๑๑ จะแยกเป็นบางประเภทออกมาไม่ได้ และเงินนั้น ไม่อาจกลับคืนไปยังนายจ้างหรือบุคคลอื่นใดอีก นอกจากจะน าไปลงทุน โดยมีผู้จัดการกองทุน ตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ น าเงินของกองทุนมาจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามมาตรา ๒๓ ฉะนั้น ข้อบังคับของกองทุนตามมาตรา ๙๑๕(๘) แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ฉบับใดที่มีข้อความระบุให้ลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิกภาพแล้วไม่มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนโดยการก าหนด เงื่อนไข เงื่อนเวลาไว้เพื่อไม่ต้องจ่ายเงินจากกองทุนตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นข้อบังคับที่จ ากัดสิทธิของลูกจ้างขัดต่อเจตนารมณ์และบทบัญญัติของกฎหมาย การขอแก้ไข หรือขอจดทะเบียนในกรณีที่ขอหารือมา จึงกระท าหรือก าหนดลงไปไม่ได้ ต่อมาส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ขอหารือ เพิ่มเติมว่า การก าหนดในข้อบังคับ (๑) ให้ลูกจ้างต้องท างานกับนายจ้างไม่น้อยกว่าสามปี หรือ (๒) หากลูกจ้างรายใดถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกเนื่องจากกระท าผิดต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง หรือทุจริต ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ ของเงินสมทบ จะก าหนดได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เงินสะสมของลูกจ้าง และเงินสมทบของนายจ้างที่จ่ายไปแล้วเป็นเงินของกองทุน จึงไม่มีเงินสมทบของนายจ้างอยู่ใน กองทุนอีก การจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนให้เอาเงินสมทบของนายจ้างที่จ่ายไปแล้วกลับมา เป็นเงื่อนไขไม่ว่าในเรื่องใดเพื่อตัดสิทธิลูกจ้างไม่ให้ได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ จึงเป็นกรณีที่เป็นไปไม่ได้ และขัดต่อกฎหมายโดยชัดแจ้ง กระทรวงการคลังจึงขอทบทวนการตีความในปัญหาข้อกฎหมายกรณีดังกล่าว เพื่อให้ที่ประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาต่อไป


หน้า ๑๘๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา อนึ่ง กระทรวงการคลังได้มีหนังสือ ที่ กค ๑๐๐๖/๑๘๗๐ ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๘ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อส่งเอกสารเพิ่มเติมกรณีการขอทบทวน ปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนี้เป็นปัญหาส าคัญ จึงได้จัดให้มีการประชุมร่วมของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) เพื่อพิจารณาทบทวนปัญหาข้อกฎหมายตามข้อหารือ ของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตามข้อ ๑๐ วรรคสาม แห่งระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วย การรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๓ คณะที่ ๙ และคณะที่ ๑๒) ได้พิจารณาทบทวนปัญหาดังกล่าวข้างต้น โดยมีผู้แทนกระทรวงการคลัง (ส านักงานเศรษฐกิจการคลัง) และผู้แทนส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว มีความเห็นว่า กองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีวิวัฒนาการดั้งเดิมมาจากการที่นายจ้างภาคเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ จัดให้มีสวัสดิการแก่พนักงานหรือลูกจ้างเมื่อออกจากงานในลักษณะเงินบ าเหน็จ โดยค านวณ จ่ายให้ตามอายุงานของพนักงานหรือลูกจ้าง และมีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขว่า ผู้มีสิทธิรับบ าเหน็จ ต้องมีอายุงานไม่น้อยกว่าที่ก าหนด และผู้ที่ออกจากงานโดยมีความผิดไม่มีสิทธิรับบ าเหน็จเช่นเดียวกัน กับการจ่ายเงินบ าเหน็จของข้าราชการหรือลูกจ้างประจ าของทางราชการ การจ่ายบ าเหน็จของ นายจ้างภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจนี้ นายจ้างอาจจ่ายจากเงินของกิจการเองเช่นเดียวกับรายจ่าย ในการด าเนินงานอื่นๆ หรือจ่ายจากเงินที่นายจ้างจัดสรรหรือกันส ารองไว้เป็นเงินส ารองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ลักษณะส าคัญของกองทุนส ารองเลี้ยงชีพแต่เดิมจึงเป็นกองทุนที่นายจ้าง สมัครใจตั้งขึ้นแต่ฝ่ายเดียวเพื่อจูงใจให้ลูกจ้างท างานอยู่กับนายจ้างด้วยความภักดี โดยที่เงินที่ นายจ้างจ่ายหรือกันส ารองเข้ากองทุนยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี กล่าวคือ จะถือเป็น รายจ่ายในการค านวณก าไรสุทธิเพื่อเสียภาษีไม่ได้จนกว่านายจ้างจะจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้าง ออกจากงานเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เพื่อเป็นการส่งเสริมการระดมเงินออมภาคเอกชน เพื่อน าไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ และเพื่อส่งเสริมการจัดสวัสดิการให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน กระทรวงการคลังจึงได้มี มาตรการส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพที่ลูกจ้างและนายจ้างมีส่วนร่วมกันจ่ายเงินสะสม และเงินสมทบเข้ากองทุน และลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมและเงินสมทบ รวมทั้งผลประโยชน์ของเงิน ดังกล่าวเมื่อลูกจ้างออกจากงานตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุน และกระทรวงการคลัง ให้ประโยชน์ในทางภาษีแก่นายจ้างที่จ่ายเงินเข้ากองทุนส ารองเลี้ยงชีพโดยการแก้ไขมาตรา ๖๕ ตรี(๒) แห่งประมวลรัษฎากร ให้น าเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนส ารองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ก าหนดโดยกฎกระทรวง ถือเป็นรายจ่ายในการค านวณ ก าไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ตามมาตรา ๑๙ แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ ในการนี้ได้มีการออก กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุน


หน้า ๑๘๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส ารองเลี้ยงชีพ ก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการรับจ่ายและการจัดการ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพไว้ โดยในข้อ ๖๒๐ แห่งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวก าหนดว่า “การจ่ายเงิน จากกองทุนในส่วนที่เป็นเงินสมทบและผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินสมทบให้กระท าได้เฉพาะกรณี จ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือบุคคลอื่นตามที่ระบุไว้ในระเบียบว่าด้วยกองทุนของบริษัท...” และระเบียบ ว่าด้วยกองทุนส ารองเลี้ยงชีพของแต่ละบริษัทก็มีข้อก าหนดในการจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ซึ่งมีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาท างานหรือมีเงื่อนไขไม่จ่าย ให้ในกรณีลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่ก าหนดหรือออกจากงานเพราะมีความผิดเช่นเดียวกันกับที่เคย ปฏิบัติมาแต่ก่อน และในข้อ๗ แห่งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวก็มีบทบัญญัติรองรับการรับเงินคืน จากกองทุนกรณีที่ไม่ต้องจ่ายให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงานไว้ว่า “ในกรณีที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงินจาก กองทุนให้แก่ลูกจ้างเมื่อพ้นจากงานไม่ว่าเหตุใด หรือลูกจ้างออกจากกองทุนโดยมิได้ออกจากงาน เงินที่บริษัทจ่ายสมทบเข้ากองทุน และผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินที่บริษัทจ่ายสมทบในส่วนนั้น ที่ได้ถือเป็นรายจ่ายไว้แล้ว ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนให้ถือเป็นรายได้ของบริษัทในรอบระยะเวลา บัญชีที่ไม่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้าง รายได้ของบริษัทตามวรรคหนึ่งให้จ่ายออกจากกองทุนได้” ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๓๐ ได้มีการออกพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยรัฐได้ส่งเสริมให้มีการระดมเงินออมภาคเอกชน เพื่อน าไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้วางหลักเกณฑ์การด าเนินการและจัดการกองทุน เพื่อให้กองทุนส ารองเลี้ยงชีพมั่นคง และเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง โดยก าหนดให้กองทุนส ารองเลี้ยงชีพเป็นนิติบุคคล นอกจากนี้ มาตรา ๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ก าหนดไว้ว่า “เงินทุนส ารองเลี้ยงชีพลูกจ้างที่ได้จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับถ้าประสงค์จะให้เป็นกองทุน ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ด าเนินการ(ยื่นขอจดทะเบียน) ตามวรรคหนึ่ง” และมาตรา ๒๓ ก าหนดไว้ว่า “เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจาก กองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดในข้อบังคับของกองทุน...” ต่อมาได้มีการ ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๓ (พ.ศ. ๒๕๓๓) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วย กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความใน ประมวลรัษฎากรว่าด้วยกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ และบัญญัติให้กองทุนส ารองเลี้ยงชีพที่จะได้รับ ประโยชน์ทางภาษีได้แก่กองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ดังนั้น กองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความในประมวล รัษฎากร ว่าด้วยกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ จึงได้มาจดทะเบียนเป็นกองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยกองทุนส ารองเลี้ยงชีพโดยมีข้อบังคับของกองทุนในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินให้แก่สมาชิก ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อออกจากงานที่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาท างานหรือเงื่อนไขไม่จ่ายเงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบให้เมื่อลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่ก าหนดหรือออกจากงานเพราะมีความผิด เช่นเดียวกันกับที่เคยปฏิบัติมาแต่ก่อนและในข้อ ๖ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๓ (พ.ศ. ๒๕๓๓) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ก็มีบทบัญญัติรองรับการรับเงินคืน จากกองทุนกรณีที่ไม่ต้องจ่ายให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงานไว้เหมือนกันว่า “ในกรณีที่บริษัทได้จ่าย เงินสมทบเข้ากองทุนและถือเป็นรายจ่ายไปแล้ว ถ้าบริษัทได้เงินกลับคืนมาจากกองทุนด้วย ประการใดๆ เงินที่ได้กลับคืนมานั้นให้ถือเป็นรายได้ของบริษัทในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้กลับคืนมา”


หน้า ๑๘๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนั้น จึงเป็นเครื่องยืนยันเจตนารมณ์ได้ว่า หลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดไว้ในข้อบังคับของ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนส ารองเลี้ยงชีพนี้อาจมีข้อก าหนดให้จ่ายเงินสมทบ และผลประโยชน์ส่วนของนายจ้างให้แก่ลูกจ้างที่ออกจากงาน โดยค านึงถึงอายุงานของลูกจ้าง หรือไม่จ่ายให้ในกรณีลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่ก าหนดหรือออกจากงานโดยมีความผิดได้ ซึ่งเป็น หลักเกณฑ์เดียวกันกับที่ทางราชการใช้ปฏิบัติในการจ่ายเงินบ าเหน็จบ านาญแก่ข้าราชการและ ลูกจ้างประจ าต่อเนื่องกันมาจนปัจจุบันนี้ จึงเห็นได้ว่า ในการด าเนินการและการจัดการกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพ เป็นกระบวนการพิเศษที่มีลักษณะเป็นการต่างตอบแทนกันระหว่างรัฐ ลูกจ้าง และนายจ้าง กล่าวคือ รัฐจะได้รับประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอันเป็นผลมาจาก การระดมเงินออมภาคเอกชนในกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ฝ่ายลูกจ้างก็จะได้รับประโยชน์ตอบแทน ทางด้านภาษีและจากความแน่นอนในการได้รับเงินเมื่อออกจากงานจากกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ เป็นการตอบแทนการท างานต่างๆ ให้แก่นายจ้างด้วยความจงรักภักดีส่วนนายจ้างก็จะได้รับ ประโยชน์ตอบแทนทางด้านภาษีและจากผลงานของลูกจ้าง นอกจากนั้นเมื่อกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเป็นนิติบุคคลต่างหากจากนายจ้างและลูกจ้าง การจัดการกองทุนและเงินของกองทุนจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดไว้ในกฎหมาย และข้อบังคับของกองทุน และไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายส่วนใดก าหนดให้กองทุนต้องจ่ายเงินสมทบ พร้อมเงินผลประโยชน์ทั้งหมดให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงานทุกกรณี หรือห้ามนายจ้างและลูกจ้างตกลง หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขการจ่ายเงินสมทบ พร้อมเงินผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้าง เมื่อออกจากงาน โดยค านวณตามอายุงานหรือไม่จ่ายให้ในกรณีที่ลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่ก าหนด หรือลูกจ้างออกจากงานเพราะมีความผิด นอกจากนี้เมื่อพิจารณาว่า พระราชบัญญัติกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นกฎหมายส่งเสริมให้มีการจัดสวัสดิการให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน โดยความสมัครใจของนายจ้างและลูกจ้าง ตลอดจนส่งเสริมการระดมเงินออมภาคเอกชน และวางหลักเกณฑ์การด าเนินการและการจัดการกองทุน เพื่อให้กองทุนส ารองเลี้ยงชีพมั่นคง และเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง ไม่ใช่กฎหมายบังคับให้นายจ้างจ่ายเงินสวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน โดยก าหนดเงื่อนไขจ่ายให้ตามอายุงาน ของลูกจ้างหรือไม่จ่ายให้ในกรณีที่ลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่ก าหนดหรือลูกจ้างออกจากงาน เพราะมีความผิดได้โดยไม่ขัดเจตนารมณ์และบทบัญญัติของกฎหมาย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๔๘ //////////////////////////////


หน้า ๑๘๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ รง ๐๖๐๗/๓๓๔๑ ลงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความว่า ส านักงานประกันสังคม มีปัญหาในการพิจารณากรณีส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีและลูกจ้างของหน่วยงานดังกล่าวจะอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ ส านักงานประกันสังคมจึงขอหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้ ๑. ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติซึ่งจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติ พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๓๔ มีสถานะเป็นส่วนราชการตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือเป็นหน่วยงานซึ่งอยู่ในก ากับดูแลของรัฐ โดยมิใช่ส่วนราชการตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ๒. พนักงาน ลูกจ้าง และลูกจ้างโครงการของส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติซึ่งมีการจัดจ้างตามข้อบังคับคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๖ จะอยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของส านักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน โดยได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวง และส านักงานประกันสังคม) แล้ว เห็นว่า ปัญหาข้อหารือของส านักงานประกันสังคมข้อที่หนึ่ง มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติซึ่งจัดตั้ง โดยพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นหน่วยงานซึ่งเป็นราชการ ส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่นตามมาตรา ๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) เห็นว่า มาตรา ๔(๑) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ก าหนดยกเว้นไม่ใช้บังคับพระราชบัญญัติดังกล่าวแก่ข้าราชการ ลูกจ้างประจ า ลูกจ้างชั่วคราวรายวัน และลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมงของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน ซึ่งกรณีที่จะพิจารณาว่า หน่วยงานใดเป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือไม่ จักต้อง พิจารณาจากพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งได้ก าหนดการจัดระเบียบ ราชการบริหารส่วนกลางไว้ตามมาตรา ๗๓ จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคไว้ตามมาตรา ๕๑ และจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นไว้ตามมาตรา ๗๐ ส าหรับการจัดระเบียบบริหาร ในกระทรวงซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนกลางนั้น มาตรา ๑๘๖ วรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัติให้แบ่งเป็นส านักงาน รัฐมนตรีส านักงานปลัดกระทรวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีฐานะเป็นกรม เรื่องเสร็จที่ ๔๔๑/๒๕๔๘ เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓


หน้า ๑๘๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา และมาตรา ๑๙๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติให้การจัด ระเบียบราชการในกระทรวงหนึ่งๆ เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมาตรา ๓๙๘ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้แบ่งส่วนราชการ ในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดังนี้คือ (๑) ส านักงานรัฐมนตรี(๒) ส านักงานปลัดกระทรวง (๓) กรมวิทยาศาสตร์บริการ และ (๔)ส านักงานปรมาณูเพื่อสันติดังนั้น ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติจึงมิได้เป็นส่วนหนึ่งของราชการบริหารส่วนกลาง และมิได้เป็นส่วนราชการ ในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่เป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๓๔ อยู่ในก ากับดูแลของรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามมาตรา ๑๓๐ แห่งพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการ บริหารและอ านาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติจึงมิใช่ราชการ ส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่นตามมาตรา ๔๑๑(๑) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ปัญหาข้อหารือของส านักงานประกันสังคมข้อที่สอง ที่ว่า พนักงาน ลูกจ้าง และลูกจ้างโครงการของส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติซึ่งมีการจัดจ้าง ตามข้อบังคับคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๖ จะอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่า ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ไม่ใช่ราชการส่วนกลางราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่นตามมาตรา ๔(๑) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จึงไม่ได้รับการยกเว้นไม่ใช้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ดังนั้น พนักงานลูกจ้าง และลูกจ้างโครงการของส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรกฎาคม ๒๕๔๘ //////////////////////////////


หน้า ๑๘๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามหนังสือที่อ้างถึง ท่านมีความประสงค์จะขอหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการตีความมาตรา ๒๓ และ ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ความละเอียดทราบแล้ว นั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอเรียนชี้แจงว่า โดยที่ระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๓ ก าหนดไว้ว่า กรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายแก่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการซึ่งมีอ านาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะเรื่อง โดยผ่านทางกระทรวง ทบวง กรม ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือผู้ซึ่ง คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ขอความเห็นเป็นการเฉพาะราย แต่โดยที่ท่านมิได้ เป็นบุคคลตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ดังนั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่อาจรับข้อหารือ ของท่านไว้พิจารณาได้ อย่างไรก็ตาม หากท่านเห็นว่าข้อหารือของท่านควรได้รับการวินิจฉัย ท่านอาจเสนอข้อหารือดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบหรือผู้รักษาการตามกฎหมายต่อไปได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน ๒๕๔๘ ////////////////////////////// เรื่องเสร็จที่ ๕๓๙/๒๕๔๘ เรื่อง พิจารณาวินิจฉัยความหมายมาตรา ๒๓ และ ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐


หน้า ๑๘๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามหนังสือที่อ้างถึง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ขอหารือเกี่ยวกับแนวปฏิบัติการ ด าเนินการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินสมทบกองทุนส ารองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ความละเอียดทราบแล้วนั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอเรียนว่า การพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมาย ของคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษา ให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งตามข้อ ๔ ของระเบียบดังกล่าว ได้ก าหนดว่า “เรื่องที่กรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายจะต้องเป็นเรื่องที่ได้ มีการปรึกษาหารือระหว่างส่วนราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือรักษาการตามกฎหมายแล้ว” ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งข้อหารือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังไม่ปรากฏว่าได้มีการหารือกับส่วนราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือรักษาการตามกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคน าปัญหาข้อกฎหมายนี้ หารือต่อหน่วยงานดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อด าเนินการให้เป็นไปตามข้อ ๔ ของระเบียบดังกล่าวก่อน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตุลาคม ๒๕๔๘ ////////////////////////////// เรื่องเสร็จที่ ๖๖๐/๒๕๔๘ เรื่อง ขอหารือเกี่ยวกับแนวปฏิบัติการด าเนินการ ปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินสมทบกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซึ่งจดทะเบียนแล้ว


หน้า ๑๘๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรุงเทพมหานคร ได้มีหนังสือ ที่ กท ๐๔๐๕/๓๘๗๙ ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กรุงเทพมหานครได้แต่งตั้งอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนตามชุมชนต่างๆ ในพื้นที่เขตของกรุงเทพมหานคร รวม ๔๔ เขต และปัจจุบันมีอาสาสมัครทั้งสิ้นจ านวน ๑,๓๓๕ คน ซึ่งในการแต่งตั้งอาสาสมัครดังกล่าว จะด าเนินการคัดเลือกโดยคณะกรรมการชุมชนออกประกาศรับสมัคร และมีการสอบสัมภาษณ์ ทั้งนี้ จะมีเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนของส านักงานเขตเข้าร่วมท าการสัมภาษณ์ผู้สมัครด้วย โดยเมื่อมีการคัดเลือก เรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการชุมชนจะส่งรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกให้ผู้อ านวยการเขตออกค าสั่ง แต่งตั้ง ตามหลักเกณฑ์ของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และในค าสั่งแต่งตั้งอาสาสมัครจะระบุ ระยะเวลาการท างานไว้ภายในปีงบประมาณ ซึ่งอาสาสมัครแต่ละคนจะได้รับค่าตอบแทนเดือนละ ๔,๑๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายได้เฉพาะผู้ปฏิบัติงานตามวันและเวลาราชการ หรือตามหลักเกณฑ์ที่ ปลัดกรุงเทพมหานครก าหนด ต่อมาส านักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๖ ได้มีหนังสือแจ้งว่าได้รับการร้องเรียน จากลูกจ้างของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนซอยสวนพลู เขตสาทร กรณีไม่แจ้งชื่อลูกจ้าง ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนต่อส านักงานประกันสังคม จึงขอให้ส านักงานเขตสาทรด าเนินการ แจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ลูกจ้างเข้าท างาน นอกจากนี้ส านักงาน ประกันสังคมเขตพื้นที่ ๖ ได้มีหนังสือแจ้งด้วยว่าการพิจารณาความเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน ของส่วนราชการตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ไม่จ าเป็นต้องพิจารณาว่าลูกจ้าง นั้นจะได้รับค่าตอบแทนจากงบประมาณหมวดใด หากพิจารณาได้ความว่านิติสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนราชการกับลูกจ้างอยู่ในลักษณะนายจ้างลูกจ้าง ก็ต้องถือว่าลูกจ้างเหล่านั้นเป็นลูกจ้างชั่วคราว รายเดือนของส่วนราชการ ซึ่งจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนและส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคม โดยนายจ้างซึ่งเป็นส่วนราชการมีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง น าส่งเข้ากองทุนประกันตนด้วย กรุงเทพมหานครพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ของอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กกับกรุงเทพมหานครว่าจะมีลักษณะเป็นนายจ้างลูกจ้าง โดยถือว่าอาสาสมัครเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือนของกรุงเทพมหานครหรือไม่ เนื่องจากอาสาสมัคร ที่เสนอตัวเข้าท างานดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนนี้ จะคัดเลือกจากผู้ที่เสียสละเข้าท างาน ด้วยความสมัครใจ ซึ่งมีการจ่ายค่าตอบแทนให้ตามที่ระเบียบก าหนดโดยมิได้ยึดถือตามวุฒิการศึกษา ซึ่งแตกต่างจากหลักเกณฑ์ที่ก าหนดเกี่ยวกับการจ้างลูกจ้าง ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๓๕ และกรุงเทพมหานครมิได้จัดสวัสดิการต่างๆ ให้แก่อาสาสมัคร ไม่มีการ ควบคุมวินัย การลา และไม่มีการบังคับบัญชาการท างานด้วย ประกอบกับกรุงเทพมหานครยังมี เรื่องเสร็จที่ ๖๗๖/๒๕๔๘ เรื่อง การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓


หน้า ๑๙๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา อาสาสมัครอีกหลายประเภท ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติกรุงเทพมหานคร จึงขอหารือว่า อาสาสมัครผู้ดูแลเด็กดังกล่าว ถือว่าเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าว ประกอบกับ ได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานประกันสังคม) และผู้แทนกรุงเทพมหานครแล้ว เห็นว่า แม้ว่าโดยวัตถุประสงค์ของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสนับสนุน การพัฒนาชุมชน พ.ศ. ๒๕๓๖ จะก าหนดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้แต่ละชุมชนในแต่ละเขตพื้นที่ของ กรุงเทพมหานครจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนไว้เป็นสถานที่รับเลี้ยงและดูแลเด็กก่อนวัยเรียน ในชุมชนนั้น โดยคณะกรรมการชุมชนจะเป็นผู้เสนอเรื่องขอจัดตั้งและคัดเลือกบุคคลท าหน้าที่ อาสาสมัครเพื่อปฏิบัติงานด้านการพัฒนาชุมชนในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน และกรุงเทพมหานคร จะเป็นผู้สนับสนุนให้ความช่วยเหลือในด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายในการด าเนินการ แต่ในทางปฏิบัติของกรุงเทพมหานครประกอบกับข้อบัญญัติที่เกี่ยวกับศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน และอาสาสมัคร กรุงเทพมหานครเป็นผู้ด าเนินการในเรื่องดังกล่าวเสียเอง กล่าวคือ ในการจัดตั้ง ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน และการแต่งตั้งอาสาสมัครที่จะปฏิบัติงานในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนนั้น กรุงเทพมหานครเป็นผู้ด าเนินการ เช่น ตามค าสั่งแต่งตั้งอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กของส านักงานเขตสาทร ได้ระบุว่าส านักงานเขตเป็นผู้ด าเนินการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชน และผู้อ านวยการเขต จะเป็นผู้แต่งตั้งอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก โดยอาศัยความในข้อ ๔๑ ของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสนับสนุนการพัฒนาชุมชนฯ นอกจากนั้น ในการจ่ายค่าตอบแทน อาสาสมัครแต่ละคนซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน คนละ ๔,๑๐๐ บาทต่อเดือน ก็เป็นไปตามอัตราในบัญชีท้ายระเบียบกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสนับสนุน การพัฒนาชุมชนฯอันเป็นกฎเกณฑ์ที่กรุงเทพมหานครก าหนด และจะเบิกจ่ายให้เฉพาะผู้มาปฏิบัติ หน้าที่ตามวันและเวลาราชการหรือตามหลักเกณฑ์ที่ปลัดกรุงเทพมหานครก าหนด รวมทั้งปรากฏ ตามค าสั่งแต่งตั้งอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กและค าชี้แจงของผู้แทนกรุงเทพมหานครด้วยว่าค่าตอบแทน ของอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก กรุงเทพมหานครจะตั้งงบประมาณ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ประจ าปีแผนงานพัฒนาชุมชน งานพัฒนาชุมชน หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ (ค่าตอบแทน) ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเงินงบประมาณดังกล่าวได้ตั้งไว้ที่ส านักงานเขตแต่ละเขตที่มีการจัดตั้ง ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน โดยในแต่ละเดือน อาสาสมัครดังกล่าวจะต้องมาเบิกเงินค่าตอบแทน จากส านักงานเขตที่ตนปฏิบัติงานในเขตพื้นที่นั้น จึงเห็นได้ว่า ในข้อเท็จจริงอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ก่อนวัยเรียน ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสนับสนุนการพัฒนาชุมชน พ.ศ. ๒๕๓๖ มีนิติสัมพันธ์กับกรุงเทพมหานครในลักษณะของการเป็นนายจ้าง - ลูกจ้าง แม้ในการ ปฏิบัติงานจะไปปฏิบัติงานในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนที่ตั้งอยู่ในชุมชนต่างๆ ก็ตาม และเมื่อ โดยลักษณะการปฏิบัติงานและการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่มีลักษณะเป็นลูกจ้างชั่วคราว รายเดือน ซึ่งตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๔(๑) ได้ก าหนดให้ลูกจ้าง ของราชการส่วนท้องถิ่นที่เป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ด้วย ไม่ว่าจะเรียกว่าลูกจ้างหรืออาสาสมัครก็ตาม ดังนั้น อาสาสมัคร


หน้า ๑๙๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้ดูแลเด็กก่อนวัยเรียน จึงเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือนของกรุงเทพมหานครซึ่งต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตุลาคม ๒๕๔๘ //////////////////////////////


หน้า ๑๙๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามหนังสือที่อ้างถึง ส านักงานประกันสังคมได้ขอหารือเรื่องนิติสัมพันธ์นายจ้าง กับลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ความละเอียดทราบแล้ว นั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอเรียนว่า การพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมาย ของคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษา ให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งตามข้อ ๔ ของระเบียบดังกล่าว ได้ก าหนดว่า “เรื่องที่กรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายจะต้องเป็นเรื่องที่ได้ มีการปรึกษาหารือระหว่างส่วนราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือรักษาการตามกฎหมายแล้ว” ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งข้อหารือของส านักงานประกันสังคม ในกรณีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนและกฎหมาย ว่าด้วยประกันสังคมยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์หรือใช้ดุลพินิจแก้ไขปัญหาในกรณีดังกล่าวและยังไม่ได้มี การหารือกับผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบหรือรักษาการตามกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่อาจรับข้อหารือของท่านไว้ พิจารณาได้อย่างไรก็ตาม หากท่านเห็นว่าข้อหารือดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาวินิจฉัยก็อาจ เสนอข้อหารือดังกล่าวไปยังกระทรวงแรงงานซึ่งเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายเพื่อให้เป็นไป ตามขั้นตอนของการบริหารราชการแผ่นดิน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ////////////////////////////// เรื่องเสร็จที่ ๗๓๓/๒๕๔๘ เรื่อง ขอหารือเรื่องนิติสัมพันธ์นายจ้างกับลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๙


หน้า ๑๙๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้มีหนังสือที่ รง ๐๔๑๖/๐๕๗๐๖ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความว่า มาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติ ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้ก าหนดให้โอนเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีไปยังกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริม การพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ เนื่องจากระทรวงการคลังมีหนังสือ ที่ กค ๐๔๐๖.๒/ว ๖๔ ลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๘ วางแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งขึ้น โดยให้ส่วนราชการเจ้าของคดี สามารถใช้ดุลยพินิจร่วมกับพนักงานอัยการในการพิจารณาเกี่ยวกับการประนีประนอมยอมความ ส าหรับคดีแพ่งบางประเภทได้ซึ่งมีสาระส าคัญ คือ (๑) คดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไม่ว่าส่วนราชการจะเป็นโจทก์หรือจ าเลย หากส่วนราชการเจ้าของคดีและพนักงานอัยการผู้ด าเนินคดี มีความเห็นสอดคล้องเป็นประการใด ให้พิจารณาด าเนินการตามความเห็นดังกล่าวได้โดยค านึงถึง ประโยชน์ของทางราชการเป็นส าคัญ และไม่ต้องส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณา (๒) คดี ตามข้อ ๑ หากส่วนราชการเจ้าของคดีและพนักงานอัยการผู้ด าเนินคดีมีความเห็นไม่ตรงกัน ให้ ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังเพื่อพิจารณา (๓) คดีแพ่ง ที่มีทุนทรัพย์เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ส่วนราชการเจ้าของคดีส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังเพื่อพิจารณากรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จึงขอ หารือว่า คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนา ฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ มีอ านาจพิจารณาการประนีประนอมยอมความของลูกหนี้กองทุน พัฒนาฝีมือแรงงาน (กองทุนตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี) ในชั้นพนักงานอัยการและในชั้นศาล ได้หรือไม่ หากไม่มีอ านาจอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในฐานะหัวหน้าส่วนราชการจะใช้อ านาจ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินในการประนีประนอมยอมความดังกล่าว ได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวโดยมีผู้แทน กระทรวงการคลัง(กรมบัญชีกลาง) และผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวง และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า มาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติ ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติให้จัดตั้ง “กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน” ในกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส าหรับใช้จ่าย เกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานตามกรณีที่ก าหนดไว้ในข้อ ๑๑ แห่งระเบียบ คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ว่าด้วยการรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการบริหารกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้แก่ จ่ายเป็นเงินกู้ยืมให้แก่ผู้รับ การฝึกจ่ายเป็นเงินกู้ยืมให้แก่ผู้ด าเนินการฝึก หรือผู้ด าเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน หรือผู้ประกอบกิจการ เป็นต้น ส าหรับการให้กู้ยืมเงินกองทุนดังกล่าว มาตรา ๒๘ วรรคสอง เรื่องเสร็จที่ ๗๐/๒๕๔๙ เรื่อง อ านาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕


หน้า ๑๙๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นได้ว่าในการท าสัญญากู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน แม้จะก าหนดให้อธิบดีเป็นคู่สัญญา ในการให้กู้ยืมเงินก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ในการให้กู้ยืมเงินแล้วปรากฏว่า ระเบียบฯ ได้ก าหนดให้คณะกรรมการมีอ านาจพิจารณากลั่นกรองการให้กู้ยืมเงินและการช าระเงินกู้ยืม คืนกองทุน การก าหนดหลักเกณฑ์เช่นนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความรอบคอบในการพิจารณาให้กู้ยืม เงินกองทุนดังกล่าว อันจะส่งผลให้กองทุนมีความมั่นคง แต่อย่างไรก็ดี โดยเหตุที่ในการ ด าเนินการเพื่อบังคับช าระหนี้ตามระเบียบนี้ ไม่มีข้อก าหนดเกี่ยวกับการประนีประนอมยอมความไว้ และเมื่อพิจารณาหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค ๐๔๐๖.๒/ว ๖๔ ลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๘ ซึ่งวางแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งเพื่อให้ส่วนราชการเจ้าของคดี สามารถใช้ดุลยพินิจร่วมกับพนักงานอัยการในการพิจารณาเกี่ยวกับการประนีประนอมยอมความ ส าหรับคดีแพ่งบางประเภทได้แล้วเห็นว่า ส่วนราชการเจ้าของคดีส าหรับกรณีที่หารือนี้ หมายถึง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานซึ่งจะเป็นผู้มีอ านาจใช้ดุลยพินิจร่วมกับพนักงานอัยการในการ ประนีประนอมยอมความ แต่คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานได้มีส่วนร่วมในการ พิจารณาด าเนินการเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินตามระเบียบว่าด้วยเรื่องดังกล่าว ดังนั้น ในการ ประนีประนอมยอมความจึงควรผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการด้วย และเมื่อระเบียบ ดังกล่าวยังไม่มีข้อก าหนดในเรื่องนี้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานจึงอาจเพิ่มเติม ระเบียบฯ ให้ครอบคลุมถึงการประนีประนอมยอมความเพื่อแก้ไขปัญหาทางปฏิบัติในเรื่องนี้ได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ //////////////////////////////


หน้า ๑๙๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามหนังสือที่อ้างถึง ส านักงานประกันสังคมได้ขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมาย เรื่อง ขอหารือนิติสัมพันธ์นายจ้างกับลูกจ้างตามพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ว่านิติสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ กับบริษัทศูนย์การแพทย์ จ ากัด (มหาชน) เป็นลูกจ้างนายจ้างตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ ความละเอียดทราบแล้ว นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวโดยรับฟังข้อเท็จจริง และความเห็นของผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและส านักงานประกันสังคม)แล้ว เห็นว่าตามข้อ ๙ (๒) ของระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็น ทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ก าหนดว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาจะไม่ พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องที่อยู่ในอ านาจหน้าที่ของสถาบันอื่นอยู่แล้วตามกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ากรณีตามข้อหารือนี้บริษัทศูนย์การแพทย์ไทย จ ากัด (มหาชน) ได้ยื่น อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) จึงมีมติไม่รับพิจารณาให้ความเห็นประเด็นปัญหา ตามข้อหารือ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ////////////////////////////// เรื่องเสร็จที่ ๗๓/๒๕๔๙ เรื่อง ขอหารือนิติสัมพันธ์นายจ้างกับลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓


หน้า ๑๙๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางาน ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๓๐๒/๑๖๕๙ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๙ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความว่า มาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ก าหนดให้คนต่างด้าวเข้ามาท างานในราชอาณาจักรได้ต่อเมื่องานนั้นไม่ใช่งานที่ก าหนดห้ามไว้ ในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา ๖ และต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือ เจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย โดยมีข้อยกเว้นว่าคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการ ชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เพื่อท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วน มีระยะการท างาน ไม่เกินสิบห้าวัน จะสามารถท างานนั้นได้ต่อเมื่อมีหนังสือแจ้งการท างานดังกล่าวให้อธิบดีหรือ เจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบ ทั้งนี้ตามมาตรา ๑๑ ก าหนดว่า คนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาต ท างานตามมาตรา ๗ ต้องมีลักษณะที่ส าคัญประการหนึ่ง คือ ต้องได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยมิใช่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว หรือผู้เดินทางผ่าน จึงเกิดปัญหาในการตีความข้อกฎหมายในประเด็น ๑. กรณีที่คนต่างด้าว เข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วน ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๑ ด้วยหรือไม่ ๒ กรณีที่ คนต่างด้าวเข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วน จะต้องถือหนังสือเดินทางที่ได้รับการตรวจลงตรา ประเภทใดกรมการจัดหางานพิจารณาแล้ว มีความเห็นเป็น ๒ แนวทาง คือ ความเห็นที่หนึ่งเห็นว่า บทบัญญัติในส่วนแรกของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ บัญญัติให้คนต่างด้าวเข้ามาท างานในราชอาณาจักรได้ต่อเมื่องานนั้นมิใช่งานที่ก าหนดห้ามไว้ ในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา ๖ และต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือ เจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายก่อนนั้น เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับกรณีทั่วไปหรือกรณีปกติ แต่ในตอนท้ายของมาตรา ๗ ก าหนดเป็นข้อยกเว้นให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง สามารถท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วนมีระยะ การท างานไม่เกินสิบห้าวันได้ โดยได้รับยกเว้นการขอรับใบอนุญาตท างาน เพียงแต่มีหนังสือ แจ้งให้อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบ ดังนั้น คนต่างด้าวที่จะเข้ามาท างาน อันจ าเป็นและเร่งด่วนจึงสามารถถือหนังสือเดินทางที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทใดก็ได้ เนื่องจาก การเข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วนของคนต่างด้าวตามมาตรา ๗ ไม่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติ มาตรา ๑๑ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ก าหนดลักษณะของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตท างานเท่านั้น ความเห็นที่สองเห็นว่า มาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้ก าหนดหลักเกณฑ์ในการเข้ามาท างานในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว โดยคนต่างด้าวซึ่งจะขอรับ ใบอนุญาตท างานตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะต้องมีลักษณะตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๑ แม้มาตรา ๗ จะก าหนดยกเว้นการขอรับใบอนุญาตให้คนต่างด้าวที่เข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วน ซึ่งมีระยะ การท างานไม่เกินสิบห้าวัน เพียงแต่มีหนังสือแจ้งให้อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบ แต่ในกรณีดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการท างาน ดังนั้น การเข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วนของคนต่างด้าว ตามมาตรา ๗ ต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา ๑๑ ด้วย และคนต่างด้าวดังกล่าวต้องได้รับอนุญาต เรื่องเสร็จที่ ๑๖๕/๒๕๔๙ เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเข้ามาท างาน


หน้า ๑๙๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยมิใช่ได้รับอนุญาต ให้เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางผ่าน ส่วนกระทรวงแรงงานมีความเห็นว่าเมื่อพิจารณาบทบัญญัติ ในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่บัญญัติว่า “คนต่างด้าว ซึ่งจะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๗ จะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้ฯลฯ” จะเห็นได้ว่า เป็นบทบัญญัติ ที่มุ่งหมายจะใช้บังคับแก่คนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาตท างานตามมาตรา ๗ เท่านั้น ประกอบกับ กฎหมายว่าด้วยการท างานของคนต่างด้าวมีวัตถุประสงค์ที่จะควบคุมการท างานของคนต่างด้าว เพื่อสงวนไว้ซึ่งอาชีพบางประเภทที่คนไทยท าได้ จึงก าหนดให้คนต่างด้าวจะท างานที่มิได้ห้ามไว้ ได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายตามมาตรา ๗ ซึ่งคนต่างด้าว จะต้องมีลักษณะที่ไม่ต้องห้ามตามมาตรา ๑๑ ด้วย แต่ในกรณีที่คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เพื่อท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วน มีระยะการท างานไม่เกินสิบห้าวัน ตามที่บัญญัติไว้ในตอนท้ายของมาตรา ๗ แม้ว่าคนต่างด้าว จะเข้ามาเพื่อท างานแต่ก็เป็นการท างานเฉพาะกรณีจ าเป็นและเร่งด่วนและมีระยะการท างาน ไม่เกินสิบห้าวันซึ่งแตกต่างจากการเข้ามาท างานของคนต่างด้าวที่จะต้องขอรับใบอนุญาตท างาน จึงได้รับการยกเว้นการขอรับใบอนุญาต แต่คนต่างด้าวจะท างานนั้นได้ต่อเมื่อมีหนังสือแจ้งให้อธิบดี หรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบตามแบบที่อธิบดีก าหนด คนต่างด้าวในกรณีนี้จึงไม่ต้อง อยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๑ ส่วนคนต่างด้าวดังกล่าวจะต้องถือหนังสือเดินทางที่ได้รับการ ตรวจลงตราประเภทใดนั้นก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพื่อให้การปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ เป็นไปด้วยความถูกต้องตามเจตนารมณ์ ของกฎหมายและสามารถใช้เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติงานกรมการจัดหางานจึงขอหารือว่า ๑. กรณีที่คนต่างด้าวเข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วนมีระยะเวลาการท างาน ไม่เกินสิบห้าวันตามมาตรา ๗ จะต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๑ ด้วยหรือไม่ ๒. กรณีที่คนต่างด้าวเข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วนมีระยะการท างานไม่เกิน สิบห้าวันตามมาตรา ๗ จะต้องถือหนังสือเดินทางที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทใด คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวโดยมีผู้แทน กระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและกรมการจัดหางาน) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กรมการกงสุล) และผู้แทนส านักงานต ารวจแห่งชาติ (ส านักงานตรวจคนเข้าเมือง) เป็นผู้ชี้แจง ข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าส าหรับปัญหาข้อหารือข้อที่ว่า คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วน มีระยะการท างานไม่เกินสิบห้าวันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จะต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๑ ด้วยหรือไม่ นั้น เห็นว่า มาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ บัญญัติให้คนต่างด้าวจะท างานได้ ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมการจัดหางานหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย เว้นแต่ คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพื่อท างาน อันจ าเป็นและเร่งด่วน มีระยะการท างานไม่เกินสิบห้าวัน โดยคนต่างด้าวนั้นจะท างานได้เมื่อมีหนังสือ แจ้งให้อธิบดีกรมการจัดหางานหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบ และคนต่างด้าวซึ่งจะขอรับ ใบอนุญาตท างานได้จะต้องมีลักษณะตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๑ คือ มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร หรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง


หน้า ๑๙๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมิใช่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางผ่าน และไม่เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ หรือต้องห้ามตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศก าหนดในราชกิจจานุเบกษา ส าหรับคนต่างด้าวที่เข้ามา ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองนั้น ได้มีบัญญัติไว้ในมาตรา ๓๔ แห่ง พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้แก่ การเข้ามาเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ทางทูต หรือกงสุลการปฏิบัติหน้าที่ราชการ การท่องเที่ยว การเล่นกีฬา เป็นต้น ส าหรับงานจ าเป็นและเร่งด่วน ซึ่งมีระยะการท างานไม่เกินสิบห้าวันและคนต่างด้าว จะท างานได้เมื่อมีหนังสือแจ้งให้อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบ นั้น เป็นไปตาม ที่ก าหนดไว้ในข้อ ๔ แห่งระเบียบกรมการจัดหางาน ว่าด้วยการรับแจ้งงานอันจ าเป็นและเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้แก่ งานประชุม งานตรวจสอบภายในเป็นครั้งคราว งานบรรยายพิเศษ เป็นต้น อย่างไรก็ดี งานที่คนต่างด้าวจะท าได้นั้น จะต้องไม่ใช่งานที่ก าหนดห้ามไว้ในพระราชกฤษฎีกา ที่ออกตามมาตรา ๖ และหากปรากฏว่าคนต่างด้าวนั้นได้รับอนุญาตให้เข้ามาท างานในราชอาณาจักร ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือตามกฎหมายอื่นจะต้องยื่นค าขอรับใบอนุญาต ต่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายภายในก าหนดเวลาตามมาตรา ๑๐ ดังนั้น เมื่อพิจารณา บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เพื่อท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วน มีระยะการท างานไม่เกิน สิบห้าวันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ไม่ต้อง ขออนุญาตท างานต่ออธิบดีกรมการจัดหางานหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย และเมื่อไม่อยู่ ในฐานะผู้จะขอรับใบอนุญาตท างาน จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๑ แต่อย่างใดในส่วนปัญหา ข้อหารือที่ว่า คนต่างด้าวนั้นจะต้องถือหนังสือเดินทางที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทใด เห็นว่า มาตรา ๓๔๘ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติเกี่ยวกับ การเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวของคนต่างด้าว ได้แก่ เข้ามาเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ทางทูต หรือกงสุล การปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ การท่องเที่ยว เป็นต้น และในวรรคสองของ (๑) ของมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติเกี่ยวกับการตรวจลงตราและการยกเว้น ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ก าหนดในกฎกระทรวง ด้วยเหตุนี้การจะพิจารณา ว่าคนต่างด้าวที่เข้ามาท างานอันจ าเป็นและเร่งด่วนมีระยะเวลาการท างานไม่เกินสิบห้าวัน ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จะถือหนังสือ เดินทางที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทใด ย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีว่าจะเข้าหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และข้อยกเว้นตามกฎหมายว่าด้วย คนเข้าเมืองอย่างไร และโดยที่มาตรา ๓๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติให้คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ใน ราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต้องไม่ประกอบอาชีพหรือรับจ้างท างาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาต จากผู้บัญชาการต ารวจแห่งชาติหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายและถ้ากฎหมายว่าด้วย การท างานของคนต่างด้าวบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายนั้น จะเห็นได้ว่า กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเปิดช่องให้คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว สามารถประกอบอาชีพหรือรับจ้างท างานได้ตามที่กฎหมายว่าด้วยการท างานของคนต่างด้าวบัญญัติไว้ เมื่อปรากฏว่า มาตรา ๗ แห่งกฎหมายว่าด้วยการท างานของคนต่างด้าวบัญญัติให้คนต่างด้าว ที่เข้ามาท างานอันจ าเป็นเร่งด่วน มีระยะการท างานไม่เกินสิบห้าวันสามารถท างานได้เมื่อมีหนังสือแจ้ง


Click to View FlipBook Version