หน้า ๒๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๒๕ ของจ านวนค่าจ้างที่ลูกจ้างจะได้รับจากนายจ้าง เป็นรายเดือนหรือค่าจ้างในระยะสามสิบวันแรกที่ลูกจ้างเข้าท างาน แต่ปรากฏตามระเบียบ ข้อบังคับของบริษัทฯ ว่าครอบครัวผู้ว่าจ้างหรือสมาชิกต้องจ่ายเงินค่าสมัครเป็นสมาชิกให้แก่ บริษัทฯ ก่อน ๑,๐๐๐ บาท และเมื่อรับคนท างานบ้านไว้แล้วจะต้องจ่ายให้บริษัทฯ อีกเป็น รายเดือน เดือนละ ๔๕๐ บาท รวมปีละ ๕,๔๐๐ บาท (ไม่รวมค่าสมัครเป็นสมาชิก) แต่บริษัทฯ จะจ่ายให้แก่พนักงานหรือผู้ช่วยแม่บ้านเพียงเดือนละ ๑๐๐ บาท โดยตกลงว่าบริษัทฯ จะจ่าย เพิ่มเติมในภายหลังอีกบางส่วนตามเงื่อนไขหรือระเบียบของบริษัทฯ ซึ่งเมื่อค านวณยอดเงินที่ พนักงานหรือผู้ช่วยแม่บ้านแต่ละคนจะได้รับทั้งปีแล้วก็เป็นเงินเพียง ๓,๖๐๐ บาท บริษัทฯ จึง ยังคงมีก าไรปีละ ๑,๘๐๐ บาท ต่อพนักงานหรือผู้ช่วยแม่บ้าน ๑ คน รายได้สุทธิของบริษัทฯ ในกรณีนี้จึงตกประมาณร้อยละ ๓๓.๓๓ ของจ านวนเงินทั้งปีที่บริษัทฯ ได้รับมาซึ่งถ้ากรณีเป็นเช่นนี้ ก็จะเกินกว่าที่ก าหนดในกฎกระทรวงดังกล่าวข้างต้นแม้จะค านึงถึงสวัสดิการที่บริษัทฯ จัดให้แก่ พนักงานของตนแล้วก็ตาม นอกจากนี้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ออกตามความใน พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ บริษัทฯ มีสิทธิจะได้รับค่าบริการ เพียงครั้งเดียวแต่วิธีด าเนินการของบริษัทฯ นี้บริษัทฯ จะได้รับค่าบริการตลอดไปไม่มีก าหนด และถ้ารวมค่าสมัครเป็นสมาชิกของครอบครัวผู้ว่าจ้างอีก ๑,๐๐๐ บาท เข้าด้วยแล้ว กรณีของ บริษัทฯ ก็เป็นอันขัดกับกฎกระทรวงฉบับนี้ด้วยเมื่อได้พิจารณาว่าธุรกิจของบริษัทฯ เข้าข่ายตาม พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ และพนักงานหรือผู้ช่วยแม่บ้าน ของบริษัทฯ เป็นลูกจ้างซึ่งท างานบ้านให้แก่ครอบครัวผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นนายจ้างโดยตรงแล้วปัญหา ที่ว่าบริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ก าหนดค่าจ้าง ขั้นต่ าหรือไม่นั้น ก็ไม่จ าต้องพิจารณา ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ธันวาคม ๒๕๒๐ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๒๒
หน้า ๒๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือ ที่ มท ๑๒๐๘/๔๓๒๓ ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๒๒ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า โดยที่ลูกจ้างของส านักงาน ตลาดของกรุงเทพมหานคร ได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อฝ่ายบริหารของส านักงานตลาดเพื่อขอให้มี การแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงาน สัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘ กรมแรงงาน จึงมีปัญหาสงสัยว่าส านักงานตลาดของกรุงเทพมหานคร จะอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่ เพราะตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้บัญญัติไว้ว่าพระราชบัญญัตินี้ ห้ามมิให้ใช้บังคับแก่ราชการของ กรุงเทพมหานคร กิจการของส านักงานตลาดฯ ดังกล่าวจะถือว่าเป็น “ราชการของกรุงเทพมหานคร” หรือไม่ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๓) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวข้างต้นประกอบค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) และ กรุงเทพมหานครแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ในปัญหาดังกล่าวลูกจ้างของส านักงานตลาด กรุงเทพมหานครได้ด าเนินการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์แล้ว และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีค าสั่งที่ ๒๐-๒๑-๒๒/๒๕๒๒ โดยอาศัยอ านาจตามความ ในมาตรา ๔๑(๔) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ชี้ขาดในประเด็นที่ กรมแรงงานได้ถามมายังส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า “ส านักงานตลาดของกรุงเทพมหานคร เป็นราชการของกรุงเทพมหานคร ซึ่งตามมาตรา ๔(๔) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มิให้ใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวบังคับแก่ราชการของกรุงเทพมหานครหรือไม่” เมื่อได้ค านึงถึงว่า โดยที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ แล้ว เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๒ และปัญหา ที่ทางกรมแรงงานได้ถามมานี้เป็นปัญหาของ “กฎหมายแรงงาน” ซึ่งเป็นกฎหมายสาขาหนึ่ง โดยเฉพาะ ดังนั้น การชี้ขาดในปัญหานี้จึงน่าจะกระท าโดยกระบวนวิธีพิจารณาและสถาบันของ กฎหมายแรงงาน กล่าวคือการชี้ขาดเบื้องต้นโดยคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และในชั้นสุดท้าย โดยศาลแรงงาน (หรือศาลฎีกา) ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแรงงานฯ แม้ว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีอ านาจหน้าที่ในการให้ความเห็นทางกฎหมาย ไม่ว่าสาขาใดได้โดยทั่วไปก็ตาม แต่ส าหรับในระยะเริ่มแรกของการแยกสาขากฎหมายและ แยกกระบวนวิธีพิจารณาตลอดจนสถาบันของกฎหมายแรงงานซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะสาขานั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าการปฏิบัติงานของ กรมแรงงานน่าจะถือหลักหรือ ด าเนินการให้มีบรรทัดฐานได้โดยสถาบันในกระบวนวิธีพิจารณาทางกฎหมายแรงงานก่อน ทั้งนี้ เพราะคุณสมบัติของกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือผู้พิพากษาศาลแรงงานก็ดี หรือองค์ประกอบของสถาบัน (คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์) หรือศาลแรงงานก็ดี ได้มีกฎหมาย เรื่องเสร็จที่ ๒๗๑/๒๕๒๒ เรื่อง ขอความเห็นในปัญหาเกี่ยวกับการใช้ข้อบังคับพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ แก่ส านักงานตลาดของกรุงเทพมหานคร
หน้า ๒๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการนั้นๆ ก าหนดขึ้นไว้โดยเฉพาะและการที่กฎหมายได้ก าหนดขึ้นไว้โดยเฉพาะก็เนื่องจาก ข้อพิพาททางกฎหมายแรงงานมีลักษณะพิเศษ จึงจ าเป็นต้องให้มีสถาบันที่เหมาะสมแก่สภาพของ ข้อพิพาทเหล่านั้น อันจะท าให้สถาบันดังกล่าวสามารถสร้างแนวบรรทัดฐานในสาขาของกฎหมาย แรงงานเป็นเอกเทศได้ตามสมควรและสามารถแก้ปัญหาของสังคมได้ ในเรื่องนี้ มาตรา ๘๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดี แรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้บัญญัติไว้แล้วว่าศาลแรงงานมีอ านาจพิจารณาพิพากษาคดีอุทธรณ์ ค าวินิจฉัยของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จริงอยู่แม้ขณะนี้จะยังมิได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ให้ศาลแรงงานเปิดท าการแต่มาตรา ๑๖๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้บัญญัติไว้แล้วว่าในระหว่างที่ยังมิได้มีกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแรงงานใช้บังคับให้ ศาลยุติธรรมมีอ านาจหน้าที่เช่นเดียวกับศาลแรงงาน ฉะนั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๓) จึงเห็นว่า ปัญหาที่กรมแรงงานถามมานี้ได้รับการวินิจฉัยชี้ขาด โดยสถาบันเบื้องต้นของกระบวนวิธีพิจารณาทางแรงงาน คือ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งประกอบด้วยกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีจ านวนถึง ๘ นายไปแล้ว โดยกรรมการดังกล่าว มีกรรมการถึงสามฝ่ายคือกรรมการซึ่งไม่เป็นฝ่ายใดกรรมการฝ่ายนายจ้างและกรรมการฝ่ายลูกจ้าง และประกอบทั้งกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแรงงานฯ ก็ได้ก าหนดให้คู่กรณีที่ไม่พอใจค าวินิจฉัย ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อุทธรณ์ต่อศาลแรงงานได้ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว การที่ส านักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๓) จะให้ค าวินิจฉัยในชั้นนี้ก็อาจจะมี การกล่าวอ้างถึงค าวินิจฉัยหรือเหตุผลที่ปรากฏในค าวินิจฉัยของแต่ละสถาบัน (คณะกรรมการ แรงงานสัมพันธ์และคณะกรรมการกฤษฎีกา) โดยผู้อ้างแต่ละคนต่างก็มีความมุ่งหมายหรือ ผลประโยชน์ที่แตกต่างกันได้ และสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีแก่ทางราชการหรือส่วนรวม ดังนั้น ในระยะเริ่มแรกของการใช้กระบวนวิธีพิจารณาทางแรงงานและสาขาก ฎหมายแรงงาน กรมแรงงานน่าจะด าเนินการให้มีการก าหนดบรรทัดฐานโดยสถาบันทางแรงงานไปก่อน เพราะเงื่อนไขและรายละเอียดในการจัดตั้งสถาบันเหล่านั้นกฎหมายได้สร้างและก าหนดขึ้น เพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสมกับสภาพของข้อพิพาทนั้นๆ แล้ว ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๒๒ //////////////////////////////
หน้า ๒๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ สร ๐๒๐๓/๑๑๕๖ ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นใน ปัญหาของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้องค์การสารส้มจ่ายเงินสมทบ กองทุนเงินทดแทนเพื่อเป็นการให้ความคุ้มครองแก่พนักงานและลูกจ้างตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๕ และรองนายกรัฐมนตรี(นายสมภพ โหตระกิตย์) ได้พิจารณาแล้วมีค าสั่งให้ส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาก่อนน าเสนอคณะรัฐมนตรี ในปัญหาดังกล่าว ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ คือ ๑. ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ข้อ ๓ ได้ก าหนดให้มีกองทุนเงินทดแทนในกรมแรงงาน เพื่อเป็นทุนให้มีการจ่ายเงินทดแทนแก่ ลูกจ้างแทนนายจ้างในกรณีที่นายจ้างต้องจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ด้วยโรคซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการท างาน โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศก าหนดประเภท ขนาดของกิจการและท้องที่ที่นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน และกระทรวงมหาดไทย ได้ออกประกาศ ลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๖ ก าหนดให้นายจ้างซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่ ๒๐ คนขึ้นไป จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน และได้เริ่มด าเนินการกองทุนเงินทดแทนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์๒๕๑๗ ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ ยกเว้นให้กิจการ ๖ ประเภท ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน คือ การรถไฟ การท่าเรือ การโทรศัพท์หรือโทรคมนาคม การผลิตหรือการจ าหน่ายพลังงานหรือกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชน การประปาการผลิตหรือ การกลั่นน้ ามันเชื้อเพลิง โดยมีเงื่อนไขว่ากิจการดังกล่าวจะต้องเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ หรือเป็นกิจการที่มี พระราชบัญญัติจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะและในกิจการดังกล่าวได้มีการจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์และ สวัสดิการอื่นๆ แก่พนักงานและลูกจ้างอยู่แล้ว ๒. องค์การสารส้มได้จดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๗ ในประเภทกิจการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน อัตราเงินสมทบร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้าง แต่องค์การสารส้มมิได้ช าระเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนโดยแจ้งว่า องค์การสารส้ม เป็นกิจการที่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย ดังกล่าวข้างต้น เพราะองค์การสารส้มอยู่ในข่ายยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยทั้ง ๓ ข้อคือ (๑) องค์การสารส้มจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของ รัฐบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ (๒)องค์การสารส้มเป็นกิจการที่เกี่ยวกับการประปาซึ่งเป็นสาธารณูปโภคเนื่องจาก เป็นผู้ผลิตสารส้มจ าหน่ายแก่การประปาทั่วประเทศ จึงเป็นกิจการที่มีความสัมพันธ์โดยตรงที่แยก ออกได้ยากจากกิจการประปาและองค์การสารส้มได้รับอนุมัติให้เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภค เรื่องเสร็จที่ ๔๐๔/๒๕๒๒ เรื่อง การจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน (กรณีองค์การสารส้ม)
หน้า ๒๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รับสิทธิพิเศษในการจ าหน่ายสารส้มตามหนังสือส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ สร ๐๒๐๓/๖๓๐๕ ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๑ (๓) องค์การสารส้มได้จัดตั้งกองทุนเงินบ าเหน็จพนักงาน ซึ่งมีลักษณะเดียวกับ กองทุนสงเคราะห์อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการอื่นๆ ให้แก่พนักงานและลูกจ้างอีกด้วย ๓. กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าองค์การสารส้มไม่อยู่ในข่ายยกเว้น ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว เพราะประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวนั้นยกเว้น เฉพาะกิจการที่เป็นสาธารณูปโภคหรือสาธารณูปการ ๖ ประเภท ตามที่ระบุไว้ รวมทั้งการประปา ซึ่งเป็นการประกอบกิจการผลิตน้ าเพื่อจ าหน่าย ส่วนองค์การสารส้มเป็นเพียงกิจการผลิตสารส้ม เพื่อจ าหน่ายแม้จะผลิตเพื่อจ าหน่ายแก่การประปาต่างๆก็ไม่ท าให้องค์การสารส้มเป็นกิจการประปาไปได้ การที่องค์การสารส้มอ้างว่ากิจการขององค์การสารส้มเป็นกิจการที่เกี่ยวกับการประปานั้น กรมแรงงาน เห็นว่างานหลักขององค์การสารส้ม คือ การผลิตสารส้มเพื่อจ าหน่ายซึ่งเมื่อจ าหน่ายสารส้มแล้ว องค์การที่รับซื้อสารส้มจะน าสารส้มไปใช้ในกระบวนการผลิตอย่าง ก็เป็นอีกกระบวนการหนึ่งต่างหาก ไม่มีลักษณะต่อเนื่องเป็นกระบวนการผลิตเดียวกันองค์การสารส้มจึงมิใช่รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับ กิจการประปา นอกจากนี้แม้องค์การสารส้มจะด าเนินการผลิตสารส้มให้แก่การประปานครหลวง องค์การสารส้มก็ยังจ าหน่ายสารส้มให้แก่บุคคลอื่นด้วย และในการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรม ก็จัดให้องค์การสารส้มอยู่ในประเภทการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นอุตสาหกรรมมูลฐานเช่นเดียวกับ การผลิตคลอรีนที่ใช้ในการประปามิได้จัดอยู่ในกิจการสาธารณูปโภคและมิให้ได้รับการยกเว้นตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย องค์การสารส้มจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเพื่อ เป็นการให้ความคุ้มครองแก่พนักงานและลูกจ้างตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ๔. เนื่องจากมีปัญหาข้อขัดแย้งดังกล่าวกระทรวงมหาดไทยจึงเสนอขอให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาทบทวนว่าองค์การสารส้มเป็นกิจการประเภทสาธารณูปโภคหรือไม่ เพื่อให้องค์การสารส้ม ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจอื่น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) ได้พิจารณา ข้อโต้แย้งดังกล่าวแล้วเห็นว่า ปัญหาเรื่องนี้จะต้องตีความในประกาศของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ ข้อ ๒ ที่ว่า “เป็นกิจการที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคหรือสาธารณูปโภค ฯลฯ” เสียก่อน ค าว่า “สาธารณูปโภค” นั้น ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานหมายความถึง “การ ประกอบการเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนเป็นสาธารณะ”ดังนั้น ลักษณะของสาธารณูปโภคจะต้อง เป็นการบริการแก่ประชาชน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนหรือจัดไว้ให้ประชาชนใช้ ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๙ ว่าด้วยการควบคุมกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภค ข้อ ๓๑ ก าหนดกิจการที่เป็นกิจการค้าขาย อันเป็นสาธารณูปโภคไว้โดยใน (๕) ได้ก าหนดให้“การประปา” เป็นกิจการสาธารณูปโภคด้วย ดังนั้น การประกอบกิจการนี้ซึ่งถือว่าเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคจึงจะกระท าได้ ต่อเมื่อได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรีตามข้อ ๔ ประกาศของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ ที่กล่าวข้างต้น ในข้อ ๒ ระบุกิจการที่ยกเว้นไม่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ไว้๖ ประเภท บางประเภท
หน้า ๒๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็มีลักษณะเป็นสาธารณูปโภคแต่การท่าเรือการผลิตหรือการกลั่นน้ ามันเชื้อเพลิมีลักษณะที่อาจจะ เป็นหรือไม่เป็นสาธารณูปโภคก็ได้กล่าวคือถ้ามิได้เป็นกิจการที่ท าขึ้นเพื่อบริการแก่ประชาชนเพื่อ ประโยชน์แก่ประชาชนหรือจัดไว้ให้ประชาชนใช้ประโยชน์แล้วก็จะไม่เป็นสาธารณูปโภค เช่น ท่าเทียบเรือของเอกชน หรือการผลิต การกลั่นน้ ามันเชื้อเพลิง ซึ่งท าเป็นการค้าของตนเอง ดังนั้น ประกาศของกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้จึงต้องใช้ถ้อยค าในตอนแรกว่ากิจการที่ได้รับการยกเว้นฯ “เป็นกิจการที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคหรือสาธารณูปการ” เพื่อให้มีความหมายกว้างโดยคลุมถึงกรณี ที่กล่าวข้างต้น ค าว่า“เกี่ยวกับ” ตามความหมายในข้อ ๒ ของประกาศกระทรวงมหาดไทยที่กล่าวนี้ หมายความถึงลักษณะของกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งหาใช่มีความหมายรวมไปถึงกิจการที่เชื่อมโยง หรือติดต่อเป็นทอดๆ ไปดังที่องค์การสารส้มแปลความไม่ ดังนั้นแม้การประปาจะเป็นสาธารณูปโภค คือ เป็นกิจการที่บริการให้ประชาชนใช้น้ าโดยผู้ใดเสียค่าบริการย่อมมีสิทธิใช้และเป็นกิจการ ที่จัดขึ้นส าหรับประชาชนแต่กิจการขององค์การสารส้มมีเพียงแต่ขายสารส้มที่ตนผลิตแก่บุคคล โดยเฉพาะ คือ ขายให้แก่การประปาและบุคคลที่ท าสัญญาซื้อจึงมิได้มีลักษณะเป็นการบริการ ประชาชนหรือจัดไว้ให้ประชาชนใช้และไม่เป็นกิจการอันเกี่ยวกับสาธารณูปโภคมิใช่ว่าถ้ามีการขาย สารส้มให้แก่การประปาซึ่งเป็นสาธารณูปโภคแล้วจะต้องถือว่าเป็นกิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ด้วย มิฉะนั้นการขายวัตถุดิบต่อองค์การสารส้มที่ซื้อมาส าหรับผลิตสารส้มเพื่อขายให้แก่การประปา ก็จะกลายเป็นกิจการสาธารณูปโภคไปด้วยส่วนข้อที่องค์การสารส้มอ้างว่า คณะรัฐมนตรีมีมติให้ องค์การสารส้มเป็นสาธารณูปโภค แม้จะเป็นเช่นนี้จริงแต่จะเข้าลักษณะเป็นสาธารณูปโภคที่ได้รับ การยกเว้นตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จะต้องมีการประกอบกิจการที่เป็นสาธารณูปโภคฯ ตามประกาศนั้นด้วยมิใช่ว่าองค์การสารส้มประกอบกิจการใดๆ กิจการนั้นๆ จะกลายเป็นสาธารณูปโภค ที่ได้รับการยกเว้นไปได้ดังนั้นแม้องค์การสารส้มจะขายสารส้มที่องค์การผลิตได้ให้แก่การประปา ก็ไม่ท าให้องค์การสารส้มได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตามประกาศของ กระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน ๒๕๒๒ //////////////////////////////
หน้า ๒๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มีหนังสือ ที่ สร. ๐๒๐๓/๑๓๑๓๓ ลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในปัญหา ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาว่าตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ ที่ให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานให้แก่ลูกจ้างได้ นั้น จะมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ เป็นต้นไป หรือจะให้มีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่ประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดย ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ใช้บังคับด้วย และท่านรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก เสริม ณ นคร) ได้พิจารณาแล้วมีค าสั่งให้ส่งส านักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา โดยมีข้อเท็จจริงซึ่งสรุปจากรายละเอียดในหนังสือที่อ้างถึง ดังต่อไปนี้ ๑. เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ องค์การฟอกหนังได้เลิกจ้างพลตรีดวงแก้วโกมุท พนักงานองค์การฟอกหนัง เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๙(๒) แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติ มาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ (ซึ่งบัญญัติให้พนักงานของรัฐวิสาหกิจ มีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์) โดยให้ได้รับเงินบ าเหน็จตามข้อบังคับแล้วต่อมา พลตรีดวง แก้วโกมุท ได้ยื่นค าร้องขอรับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานอีกซึ่ง กระทรวงมหาดไทยเห็นว่า พลตรีดวง แก้วโกมุท มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและพนักงานตรวจแรงงาน ได้ออกค าเตือนให้องค์การฟอกหนังจ่ายค่าชดเชยให้องค์การฟอกหนังจึงได้เสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรี พิจารณา ๒.คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๒ เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชย ตามกฎหมายแรงงาน กรณีพลตรีดวง แก้วโกมุท พนักงานองค์การฟอกหนังว่า พลตรีดวง แก้วโกมุท ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน เนื่องจากในขณะที่พลตรีดวง แก้วโกมุท ออกจาก องค์การฟอกหนังนั้น ยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีให้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน (มติคณะรัฐมนตรี วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘) ๓.กระทรวงมหาดไทยเห็นว่ามติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวตามข้อ ๒ น่าจะไม่ถูกต้อง เพราะมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ ซึ่งให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง ได้ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอนั้น น่าจะมิได้หมายความว่าให้จ่ายตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ เป็นต้นไป แต่ควรมีความหมายว่าลูกจ้างคนใดพ้นจากต าแหน่งหรือถูกเลิกจ้างเมื่อใดในระหว่างที่ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ฯลฯ ใช้บังคับ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ ลูกจ้างคนนั้นย่อมมีสิทธิได้รับค่าชดเชย เว้นแต่เป็นการเลิกจ้างในระหว่างประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๕) ใช้บังคับ (ระหว่างวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๒๑ ถึงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๒๑) ลูกจ้างจึงจะได้รับเงินบ าเหน็จหรือค่าชดเชยทางใดทางหนึ่งเท่านั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวแล้วเห็นว่า ในประเด็นข้อแรกของปัญหาที่กระทรวงมหาดไทยหารือได้อ้างว่ามติ เรื่องเสร็จที่ ๔๑๐/๒๕๒๒ เรื่อง การจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน (กรณี พลตรี ดวง แก้วโกมุท)
หน้า ๒๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๒ ที่ว่าพลตรีดวง แก้วโกมุทไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชย ตามกฎหมายแรงงาน เนื่องจากในขณะที่พลตรีดวง แก้วโกมุท ออกจากองค์การฟอกหนังยังไม่มี มติคณะรัฐมนตรีให้จ่ายเงินชดเชยแรงงานได้น่าจะไม่เป็นการถูกต้องนั้นไม่ปรากฏว่ากระทรวงมหาดไทย ได้อ้างไว้ในปัญหาที่หารือว่าไม่ถูกต้องเพราะขัดต่อกฎหมายหรือเพราะเหตุผลอื่นใด ซึ่งในประเด็น ข้อนี้ได้พิจารณาแล้วไม่เห็นว่ามติดังกล่าวขัดต่อกฎหมายว่าด้วยแรงงานแต่อย่างใด เพราะมติดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากมติครั้งก่อนนั่นเอง ดังนั้น เมื่อมติครั้งก่อนชอบด้วยกฎหมายมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวในครั้งหลังจึงเป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย ในประเด็นต่อไปที่กระทรวงมหาดไทยมีความเห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ ที่ให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าชดเชยได้ควรจะมีผลบังคับไม่ว่าก่อนหรือหลังวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ ในระหว่างที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ฯลฯ ใช้บังคับนั้น ประเด็นข้อนี้มีความเห็นว่าการที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติหรือค าสั่งในเรื่องใดให้มีผลเมื่อใด ย่อมเป็นไปตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีซึ่งโดยทั่วไปจะต้องมีผลตั้งแต่วันมีมติและถ้าจะให้มีผล ย้อนหลังอย่างไรก็จะต้องสั่งไว้ในมติหรือค าสั่งในเรื่องนั้นเองเป็นการเฉพาะเรื่อง ดังจะเห็นได้จากมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๐ เรื่อง อนุมัติให้แก้ไขข้อบังคับของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทยให้ผู้ปฏิบัติงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซึ่งต้องพ้นจากต าแหน่ง โดยไม่มีความผิดรวมทั้งที่ครบเกษียณอายุมีสิทธิได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน นอกเหนือ ไปจากกองทุนสงเคราะห์ไปก่อนจนกว่าจะมีประกาศในเรื่องนี้ของกระทรวงมหาดไทยก าหนดเป็น อย่างอื่น ซึ่งได้ก าหนดให้มีผลย้อนหลังว่าให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป จากเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่าง กฎหมายคณะที่ ๒) จึงมีความเห็นว่ามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ ไม่มีผลบังคับ ย้อนหลังและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๒ ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในอ านาจของคณะรัฐมนตรี พิจารณาวินิจฉัย ไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยแรงงานแต่อย่างใด ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน ๒๕๒๒ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๒๓
หน้า ๒๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงคมนาคม ได้มีหนังสือ ที่ คค.๐๒๐๓/๑๒๓๒๓ ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๒๒ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยได้รายงานว่าสหภาพแรงงาน ผู้ปฏิบัติงานการรถไฟแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือหารือไปยังกรมแรงงานเกี่ยวกับเรื่องการ ก าหนดเวลาท างานในการรถไฟแห่งประเทศไทยตามค าสั่งทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ บภบ. ๑๒/๒๕๑๘ ว่าจะถือวันที่หก (วันเสาร์) เป็นวันหยุดประจ าสัปดาห์ของผู้ปฏิบัติงานหรือไม่ และถ้าก าหนดวันหยุดตามประเพณีตรงกับวันเสาร์ จะเลื่อนวันหยุดตามประเพณีวันนั้นไปหยุดใน วันท างานถัดไปได้หรือไม่ กรมแรงงานได้ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยก็ได้มีหนังสือชี้แจงต่อกรมแรงงานแล้ว ต่อมา กรมแรงงานได้แจ้งผลการพิจารณาให้การรถไฟแห่งประเทศไทยทราบว่าตาม ประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๑๕ ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ที่ก าหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจ าสัปดาห์ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นการ ก าหนดมาตรฐานขั้นต่ าของวันหยุดประจ าสัปดาห์ซึ่งจะต้องสอดคล้องต้องกันกับวันท างานด้วย และกรณีที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดให้ผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลาง ผู้ปฏิบัติงานต าแหน่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงานด้านเดินรถและมีการปฏิบัติงานอันมีลักษณะงานประจ าที่ หรือต าแหน่งอื่นที่มี สภาพการท างานและก าหนดเวลาท างานเช่นเดียวกับผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลาง มีวันปฏิบัติงานใน สัปดาห์หนึ่งห้าวันและให้หยุดเต็มวันในวันที่หกและวันที่เจ็ดนั้น หมายความว่า ทั้งวันที่หกและ วันที่เจ็ดเป็นวันหยุดประจ าสัปดาห์โดยสภาพ การให้ถือวันที่เจ็ดเพียงวันเดียวเป็นวันหยุดประจ า สัปดาห์จึงไม่สอดคล้องกับการก าหนดวันท างานห้าวัน และไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ของการก าหนด วันหยุดประจ าสัปดาห์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว การรถไฟแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วไม่เห็นด้วยกับความเห็นของกรมแรงงานและ เห็นว่าไม่จ าต้องปฏิบัติตาม โดยมีเหตุผลดังนี้ ๑. ตามค าสั่งทั่วไป ที่ บภบ. ๑๒๕/๒๕๑๘ เรื่องการก าหนดเวลาท างานในการรถไฟ แห่งประเทศไทย แก้ไขเพิ่มเติม ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ได้ก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ ชัดแจ้งอยู่แล้ว ๒. ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยมีอยู่หลายประเภท หากต้องก าหนด วันหยุดประจ าสัปดาห์เป็น ๒ วัน การรถไฟแห่งประเทศไทยจะต้องรับภาระจ่ายค่าท างานใน วันหยุดเกี่ยวกับงานด้านเดินรถเป็นประจ าตลอดไป ๓. ความเห็นของกรมแรงงานในหนังสือ ที่ มท. ๑๒๐๖/๑๑๓๐๕ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๒ มิใช่เป็นค าวินิจฉัยข้อตกลงจากข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพ การจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เพราะมีที่มาจากการที่สหภาพแรงงาน ผู้ปฏิบัติงานการรถไฟแห่งประเทศไทยได้หารือไปยังกรมแรงงานเท่านั้น ซึ่งคณะกรรมการรถไฟ แห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นสมควรเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาชี้ขาด เรื่องเสร็จที่ ๑๐๐/๒๕๒๓ เรื่อง การก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
หน้า ๓๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหาข้อยุติต่อไปกระทรวงคมนาคมเห็นว่าเพื่อให้เป็นที่ยุติในปัญหาข้อกฎหมายและเพื่อถือ เป็นหลักปฏิบัติต่อไปจึงเสนอขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปัญหาตามรายงานของ การรถไฟแห่งประเทศไทย ดังนี้ คือ ๑. การก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามค าสั่งทั่วไป ที่ บภบ. ๑๒๕/๒๕๑๘ ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ถูกต้องหรือไม่ ๒. การรถไฟแห่งประเทศไทยจะต้องปฏิบัติตามความเห็นของกรมแรงงานที่ได้แจ้งมา เกี่ยวกับวันหยุดประจ าสัปดาห์ดังกล่าวหรือไม่ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๘) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวข้างต้น กับได้ฟังค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงคมนาคม (ส านักงานปลัดกระทรวง คมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย) และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้ว มีความเห็นดังนี้ ๑. ปัญหาแรกที่จะต้องพิจารณา คือ การก าหนดเวลาท างานในการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามค าสั่งทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ บภบ. ๑๒๕/๒๕๑๘ ซึ่งก าหนดให้ผู้ปฏิบัติงาน ประเภทพนักงานต าแหน่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงานด้านเดินรถและมีการปฏิบัติงานอันมีลักษณะ ประจ าที่ เช่น นายตรวจกล นายตรวจไฟฟ้า หรือต าแหน่งอื่นที่มีสภาพการท างานและก าหนดเวลา ท างานแน่นอนเช่นเดียวกับผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลางมีวันปฏิบัติงานในสัปดาห์หนึ่งห้าวัน และให้ หยุดเต็มวันในวันที่หกและวันที่เจ็ด แต่ให้ถือวันที่เจ็ดเป็นวันหยุดประจ าสัปดาห์เพียงวันเดียวนั้น ชอบด้วยหลักเกณฑ์ของการก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ หรือไม่ ทั้งนี้เพราะการก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ตามกฎหมาย แรงงานนั้น ข้อ ๗ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ก าหนดให้นายจ้าง จัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจ าสัปดาห์อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวันการก าหนดวันหยุดประจ า สัปดาห์ไว้นี้ มีผลในเรื่องการจ่ายค่าท างานในวันหยุดตามข้อ ๓๙ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับเดียวกัน และในเรื่องวันหยุดชดเชยในกรณีที่วันหยุดตามประเพณีตรงกับวันหยุดประจ า สัปดาห์ตามข้อ ๙ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ กรณีตามปัญหานี้ ค าสั่งทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ บภบ. ๑๒๕/๒๕๑๘ ซึ่งเป็นค าสั่งแก้ไขเพิ่มเติมค าสั่งทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ ก.๒๖/๑๕๐๑ ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ ได้ก าหนดเพิ่มเติมค าสั่งทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ก.๒๖/๑๕๐๑ ที่ก าหนดให้ผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลางหยุดงานเต็มวันในวันเสาร์และวันอาทิตย์แต่ให้ถือเฉพาะ วันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจ าสัปดาห์ โดยให้ผู้ปฏิบัติงานประเภทพนักงานต าแหน่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยว กับงานด้านเดินรถและมีการปฏิบัติงานอันมีลักษณะประจ าที่ หรือต าแหน่งอื่นที่มีสภาพ การท างานและก าหนดเวลาท างานแน่นอนเช่นเดียวกับผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลางได้หยุดงานเต็มวัน ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ด้วย แต่มิได้ก าหนดให้พนักงานทุกคนได้รับประโยชน์นี้และยังคงให้ถือ เฉพาะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจ าสัปดาห์นอกจากนี้ค าสั่งทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ ก.๒๖/๑๕๐๑ ซึ่งยังคงใช้บังคับอยู่ก็ได้ก าหนด ไว้ชัดเจนว่าการรถไฟฯจะให้ผู้ปฏิบัติงานที่ได้หยุด ในวันที่หก (วันเสาร์) มาปฏิบัติงานก็ได้แสดงว่าวันที่หกมิใช่วันหยุดประจ าสัปดาห์ ดังนั้น ค าสั่ง
หน้า ๓๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั่วไปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ บภบ. ๑๒๕/๒๕๑๘ ซึ่งได้ก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ ไว้หนึ่งวันจึงชอบด้วยหลักเกณฑ์ของการก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ตามประกาศของกระทรวง มหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ เพราะได้ก าหนดวันหยุดประจ าสัปดาห์ตามมาตรฐานขั้นต่ า ที่กฎหมายแรงงานก าหนดไว้แล้ว ๒.ส่วนปัญหาต่อไปที่ว่า ความเห็นของกรมแรงงานตามหนังสือ ที่ มท. ๑๒๐๖/๑๑๓๐๕ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๒ เกี่ยวกับวันหยุดประจ าสัปดาห์ที่แจ้งไปยังการรถไฟแห่งประเทศไทย มีผลผูกพันต่อการรถไฟแห่งประเทศไทยหรือไม่นั้น เห็นว่าความเห็นนี้มิใช่ค าวินิจฉัยข้อพิพาทแรงงาน ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ เนื่องมาจากข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เพราะมิได้มีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ซึ่งส่งให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ กรณีดังกล่าวเป็นแต่เพียงสหภาพแรงงานผู้ปฏิบัติงานการรถไฟแห่งประเทศไทย หารือไปยังกรมแรงงานเท่านั้น ดังนั้น ความเห็นของกรมแรงงานดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพัน การรถไฟแห่งประเทศไทย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีนาคม ๒๕๒๓ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๒๔
หน้า ๓๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงานได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ มท. ๑๒๐๕/๒๑๐๓ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๔ ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอ านาจหน้าที่ของกองตรวจคน เข้าเมืองกรมต ารวจ และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวท างาน ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยมีข้อเท็จจริงว่า ได้มีผู้ร้องเรียนต่อกรมแรงงาน เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของกองตรวจคนเข้าเมือง กรมต ารวจว่า ในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่ อนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาหรืออยู่ต่อไปในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว (เพื่อท างาน) นั้น กองตรวจคนเข้าเมืองได้มีการพิจารณาถึงต าแหน่งงานและลักษณะงานของคนต่างด้าว รวมทั้ง เหตุผลและความจ าเป็นที่จะต้องจ้างคนต่างด้าวนั้นด้วย โดยเรียกหนังสือชี้แจงตลอดจนหลักฐาน เอกสารจากบริษัทห้างร้านที่จะน าคนต่างด้าวเข้ามาท างานไปประกอบการพิจารณา อันเป็นการ ซ้ าซ้อนกับการปฏิบัติงานของกรมแรงงานซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าว ท างานอยู่แล้ว ตามพระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ บางครั้งผลการพิจารณา ก็ไม่สอดคล้องกัน เช่น กรมแรงงานเห็นควรอนุญาตให้ท างาน แต่กองตรวจคนเข้าเมืองเห็นไม่ควร อนุญาตให้เข้ามาท างาน หรือกรมแรงงานเห็นไม่ควรอนุญาตให้ท างาน แต่กองตรวจคนเข้าเมือง เห็นควรอนุญาตให้เข้ามาท างาน กรมแรงงานได้เสนอปัญหาดังกล่าวต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว รองปลัดกระทรวง มหาดไทยได้มอบหมายให้ที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงมหาดไทยพิจารณา ที่ปรึกษาฯได้เสนอความเห็น ว่าการจะพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาท างานในราชอาณาจักรหรือการเพิกถอนการอนุญาต ให้คนต่างด้าวเข้ามาท างานในราชอาณาจักร รวมตลอดถึงการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ คนต่างด้าวท างานในต าแหน่งหน้าที่ใดเป็นระยะเวลาเท่าใดนั้นเป็นอ านาจหน้าที่ของคณะกรรมการ พิจารณาคนเข้าเมือง อธิบดีกรมต ารวจและกองตรวจคนเข้าเมืองด้วย กรมแรงงานพิจารณาแล้ว ไม่เห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง จึงขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ว่ามีบทบัญญัติใดในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ให้อ านาจกองตรวจคนเข้าเมือง กรมต ารวจ และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คนต่างด้าว ท างานและให้อ านาจเรียกเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว และได้ฟังค าชี้แจงเพิ่มเติมของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (ส านักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมต ารวจ และกรมแรงงาน) แล้ว มีความเห็นดังต่อไปนี้ โดยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ กองตรวจคนเข้าเมือง กรมต ารวจ และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองไม่มีอ านาจอนุญาตให้คนต่างด้าวท างาน เรื่องเสร็จที่ ๑๔๒/๒๕๒๔ เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมายพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ (อ านาจของกองตรวจคนเข้าเมือง กรมต ารวจ และคณะกรรมการ พิจารณาคนเข้าเมืองที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวท างาน และเรียกเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณา)
หน้า ๓๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่เนื่องจากมาตรา ๓๕๑ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้บัญญัติให้อ านาจอธิบดี กรมต ารวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอธิบดีมอบหมายอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราวเพื่อการธุรกิจ และอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ต่อไปในราชอาณาจักรเพื่อการธุรกิจได้ ฉะนั้น อธิบดีกรมต ารวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอธิบดีมอบหมายจึงมีอ านาจที่จะได้ทราบข้อเท็จจริง ต่างๆ รวมทั้งต าแหน่งและลักษณะงานของคนต่างด้าวเพื่อประกอบการพิจารณาในการอนุญาต ดังกล่าว ดังนั้น อธิบดีกรมต ารวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอธิบดีมอบหมายจึงย่อมมีอ านาจ เรียกเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าวเพื่อประกอบการพิจารณาได้ มิฉะนั้นก็จะไม่มีข้อมูล ที่จะประกอบการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาต ส่วนคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองซึ่งมี อ านาจตามมาตรา ๗(๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ฯลฯ ที่จะเพิกถอนการอนุญาต ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามมาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง และพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา ๓๖ วรรคสองนั้น ย่อมมีอ านาจตามมาตรา ๑๐ แห่ง พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ฯลฯ ที่จะเรียกเป็นหนังสือ ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงหรือให้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาได้ ส าหรับอธิบดีกรมแรงงานนั้นมีอ านาจออกใบอนุญาตท างานให้คนต่างด้าวตาม พระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่เมื่อพิจารณาถ้อยค าในมาตรา ๗๕ ประกอบกับมาตรา ๑๑(๑) มาตรา ๘๗ และมาตรา ๑๐๘ แห่งพระราชบัญญัติการท างานของ คนต่างด้าว ฯลฯ แล้ว เห็นว่าอธิบดีกรมแรงงานจะใช้อ านาจได้ก็ต่อเมื่อคนต่างด้าวได้รับอนุญาต จากอธิบดีกรมต ารวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอธิบดีกรมต ารวจมอบหมายและได้เข้ามาใน ราชอาณาจักรแล้วเท่านั้น อีกประการหนึ่ง ตามมาตรา ๑๓(๓) และมาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการท างานของตนต่างด้าว ฯลฯ นั้น การออกใบอนุญาตท างานหรือการต่ออายุ ใบอนุญาตจะต้องก าหนดอายุใบอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาตให้ท่านกับระยะเวลาที่คนต่างด้าว ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ดังนั้น การใช้อ านาจของอธิบดี การท างานของคนต่างด้าวจึงเป็นคนละขั้นตอนกัน โดยที่การพิจารณาของกรมแรงงานนั้นอยู่ใน ขั้นตอนหลัง ส่วนในปัญหาที่ว่าผลการพิจารณาอาจไม่สอดคล้องกัน เช่น กรมแรงงานเห็นควร อนุญาตท างาน แต่กองตรวจคนเข้าเมืองเห็นไม่ควรอนุญาตให้เข้ามาท างานหรือกรมแรงงาน เห็นไม่ควรอนุญาตให้ท างาน แต่กองตรวจคนเข้าเมืองเห็นควรอนุญาตให้เข้ามาท างานนั้น เป็นเรื่องของการประสานงานซึ่งกันและกันระหว่างกรมที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย เช่นกัน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๒๔ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๒๖
หน้า ๓๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีหนังสือที่ ศธ ๑๐๐๔/๑๐๗๖๔ ลงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๗๔ (๒) วรรคสอง ก าหนดไว้ว่า“ครูใหญ่และครู ไม่มีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพประเภท ๒ ในกรณีออกจากงานก่อนมีเวลาท างานครบห้าปีบริบูรณ์” และวรรคท้ายก าหนดไว้ว่า “การนับเวลาท างานให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่หนึ่งของเดือนที่ครูใหญ่หรือครู ได้ออกเงินสมทบตามมาตรา ๖๘ (๑)” และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการสงเคราะห์ครูใหญ่ และครูโรงเรียนราษฎร์เป็นเงินทุนเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๑๘ ข้อ ๓ (๒) ก. ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติ โรงเรียนราษฎร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๔๔ ตรี(๖) และมาตรา ๔๔ ทศ ก าหนดไว้ว่า “ออกจากงานและมีเวลาท างานมาแล้วครบห้าปีบริบูรณ์นับตั้งแต่วันที่หนึ่งของเดือนที่ครูได้ออก เงินสมทบ” และพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๖๙ ก าหนดไว้ว่า “ให้ผู้รับ ใบอนุญาตมีหน้าที่หักและรวบรวมเงินสมทบของครูใหญ่หรือครูไว้ทุกคราวที่มีการจ่ายเงินเดือน รายเดือนตามอัตราที่ครูใหญ่หรือครูต้องออกส าหรับเดือนที่แล้วมา และให้น าส่งเงินสมทบดังกล่าว พร้อมทั้งเงินสมทบที่ผู้รับใบอนุญาตออกตามระเบียบการจัดการกองทุนสงเคราะห์และการน าส่ง เงินสมทบภายในวันที่สิบของเดือนถัดไปทุกเดือน” และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการ จัดการกองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่และครูโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ข้อ ๖ ก าหนดไว้ว่า “ให้เจ้าของมีหน้าที่หักและรวบรวมเงินสมทบของครูไว้ทุกคราวที่มีการจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้าง รายเดือน” กับข้อ ๗ และข้อ ๘ ของระเบียบเดียวกันนี้ก าหนดไว้ว่า “ให้เจ้าของน าส่งเงินหรือ น าฝากเงินสมทบของครูและเงินสมทบของเจ้าของในวันจ่ายเงินเดือนอย่างช้าภายในวันที่สิบของ เดือนถัดไป” นั้น ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนมีปัญหาในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการนับเวลา การเป็นครูครบห้าปีเพื่อใช้สิทธิขอรับเงินทุนเลี้ยงชีพประเภท ๒ จึงขอหารือเพื่อเป็นแนวปฏิบัติว่า ๑.การนับเวลาท างานครบห้าปีจะนับตั้งแต่วันที่ ๑ ของเดือนที่ส่งเงินสมทบจนถึง วันที่ออกจากงาน หรือจะนับตั้งแต่วันที่ได้รับการบรรจุเป็นครูถึงวันที่ออกจากงาน ซึ่งปัญหานี้จะเกิดจาก การบรรจุเป็นครูระหว่างเดือน เช่น บรรจุเป็นครูเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ออกจากงาน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ถ้านับเวลาเป็นครูจะได้ห้าปีบริบูรณ์กรณีเช่นนี้จะต้องส่งเงินสมทบ อย่างไร กล่าวคือ ระหว่างวันที่ ๑-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๐ กับระหว่างวันที่ ๑-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๕ จะต้องส่งเงินสมทบหรือไม่อย่างไร ๒. ครูที่ส่งเงินสมทบเป็นเวลาถึงห้าปีหรือเกินว่าห้าปีแต่มีบางเดือนที่มิได้ส่งเงิน สมทบเมื่อออกจากงานจะมีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพประเภท ๒ เพียงใดหรือไม่ เรื่องเสร็จที่ ๔๔๗/๒๕๒๖ เรื่อง การจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพประเภท ๒ เมื่อออกจากงานโดยมีเวลาท างาน ครบห้าปีบริบูรณ์ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕
หน้า ๓๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๓) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าว (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาประกอบกับได้ฟังค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการเอกชน) แล้วเห็นว่า ปัญหาที่ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนหารือมานี้ตามบทกฎหมายเกี่ยวกับ โรงเรียนเอกชนตลอดจนระเบียบและค าสั่งที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ก าหนดระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการสงเคราะห์ครูใหญ่และครูโรงเรียนราษฎร์เป็นเงินทุนเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๑๘ ไว้ซึ่งระเบียบนี้ก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันตามบทเฉพาะการ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ ความในข้อ ๑๐ แห่งระเบียบดังกล่าวก าหนดไว้ว่าในกรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติตาม ระเบียบนี้ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชนเป็นผู้วินิจฉัย คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ ๓) จึงเห็นว่าเมื่อมีระเบียบฯ ก าหนดไว้ดังนี้แล้ว เลขาธิการคณะกรรมการ การศึกษาเอกชนก็ควรจะได้วินิจฉัยข้อหารือนี้เพื่อให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่ก าหนดไว้ในระเบียบ ดังกล่าวนอกจากนี้คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๓) ได้พิจารณาค าสั่ง คณะกรรมการการศึกษาเอกชน ที่ ๕/๒๕๒๕ ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ กองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน ซึ่งออกตามความในมาตรา ๘(๓) แห่งพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ แล้วได้ความว่าการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนสงเคราะห์ตามค าสั่งนี้ ได้ก าหนดให้คณะอนุกรรมการฯ มีหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับระเบียบและ วิธีปฏิบัติงานของกองทุนสงเคราะห์ฯ ดังนั้นนอกจากเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชนจะวินิจฉัย ข้อหารือดังกล่าวข้างต้นได้แล้วส านักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนยังอาจเสนอให้คณะอนุกรรมการ กองทุนสงเคราะห์พิจารณาเรื่องตามข้อหารือนี้ได้อีกด้วย หรือหากยังไม่เป็นที่ยุติก็อาจเสนอให้ คณะกรรมการการศึกษาเอกชนซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวเพื่อพิจารณาให้เสร็จสิ้น ต่อไปได้ซึ่งเรื่องนี้ก็ปรากฏแต่เพียงว่าได้มีการน าปัญหานี้หารือในคณะอนุกรรมการฯ แล้วเท่านั้น แต่คณะอนุกรรมการฯ ซึ่งมีเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชนเป็นประธานอนุกรรมการ ยังมิได้พิจารณามีความเห็นในปัญหานี้แต่อย่างใด คณะอนุกรรมการฯ กลับมีมติให้ส่งเรื่องให้ คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา กล่าวโดยสรุปแล้วคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๓) เห็นว่า เมื่อมีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการสงเคราะห์ครูใหญ่และครูโรงเรียน ราษฎร์เป็นเงินทุนเลี้ยงชีพฯ ก าหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชนเป็นผู้วินิจฉัยปัญหา เกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบฯ ดังกล่าว และค าสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ก าหนดให้คณะอนุกรรมการฯ มีหน้าที่ให้ความเห็นในเรื่องเกี่ยวกับระเบียบและวิธีปฏิบัติงานของ กองทุนสงเคราะห์ฯ อยู่แล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ ๓) จึงไม่พิจารณา ให้ความเห็นในข้อหารือของส านักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ตามระเบียบคณะกรรมการ กฤษฎีกาว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการร่างกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๙ (๒) โดยเห็นว่าสมควรให้มีการด าเนินการตามกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับโรงเรียนเอกชน เสียก่อน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤศจิกายน ๒๕๒๖ //////////////////////////////
หน้า ๓๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงาน ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ มท ๑๑๐๘/๑๐๒๙๕ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ส านักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือหารือ กรมแรงงานว่ามีพนักงานขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ซึ่งเป็นกรรมการ สหภาพแรงงานได้รับเลือกตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างในศาลแรงงานกลาง เมื่อได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบแล้ว จะต้องเข้ารับการอบรมในเรื่องเกี่ยวกับศาลแรงงาน และอ านาจหน้าที่ของผู้พิพากษาสมทบ ฯลฯ และจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดี ตามที่ได้รับมอบหมายการไปอบรมและปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลางของ พนักงานดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องหารือว่า (๑)การลาของพนักงาน อ.ส.ม.ท.ซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานและได้รับเลือกตั้ง เป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างในศาลแรงงานกลาง เพื่อไปเข้ารับการอบรมในเรื่องเกี่ยวกับ ศาลแรงงานและอ านาจหน้าที่ของผู้พิพากษาสมทบ ฯลฯ จะถือเป็นการลาเพื่อไปร่วมประชุมตามที่ ทางราชการก าหนดตามมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่ (๒)การลาของบุคคลตามเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง จะถือเป็นการลาเพื่อไปร่วมประชุมตาม ที่ทางราชการก าหนดตามมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่ (๓)การลาเพื่อไปเข้ารับการอบรมตาม และการลาเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบ ในศาลแรงงานกลางตาม หากเป็นการลาตามมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ จะถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของนายจ้างหรือไม่ กรมแรงงานจึงขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในปัญหาดังกล่าวด้วย คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว และได้ฟังค าชี้แจงจากผู้แทนส านักนายกรัฐมนตรี(ส านักงานปลัดส านักนายกรัฐมนตรีและ อ.ส.ม.ท.) และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้ว มีความเห็นดังต่อไปนี้ ๑.ส าหรับปัญหาข้อแรกนั้น เห็นว่า มาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่บัญญัติให้ลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานมีสิทธิลาเพื่อไปร่วมประชุมตามที่ ทางราชการก าหนดได้นั้น หมายความว่า เป็นการลาเพื่อไปร่วมประชุมตามที่ทางราชการก าหนดซึ่ง เกี่ยวกับการด าเนินกิจการสหภาพแรงงานในฐานะกรรมการสหภาพแรงงานเนื่องจากมาตรา ๑๐๑(๑) กับมาตรา ๙๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ บัญญัติว่ากรรมการสหภาพแรงงาน ต้องเป็นลูกจ้างที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานเท่านั้น การลาของลูกจ้างโดยปกติต้องเป็นไปตาม เรื่องเสร็จที่ ๔๙๖/๒๕๒๖ เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมาย (การลาของพนักงาน อ.ส.ม.ท. ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างในศาลแรงงานกลาง เพื่อเข้ารับการอบรมและไปปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบ จะถือเป็นการลาเพื่อไปร่วมประชุมตามที่ทางราชการก าหนดตามนัยมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่)
หน้า ๓๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้อตกลงหรือระเบียบว่าด้วยการจ้างแรงงานแต่ละรายไป ซึ่งอาจไม่สะดวกในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการฯ ฉะนั้น จึงต้องบัญญัติมาตรา ๑๐๒ ขึ้นไว้ให้กรรมการสหภาพแรงงานมีสิทธิลาเพื่อไปร่วมประชุมตามที่ ทางราชการก าหนดโดยได้รับค่าจ้างและถือว่าเป็นวันท างานเพื่อให้กรรมการฯ ด าเนินกิจการสหภาพ แรงงานได้โดยสะดวก แต่การลาของพนักงาน อ.ส.ม.ท. ซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานเพื่อเข้ารับ การอบรมในเรื่องเกี่ยวกับศาลแรงงาน ฯลฯ ตามนัยมาตรา ๑๔ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เป็นการลาเพื่อเข้ารับการอบรมตามกฎหมาย บัญญัติส าหรับผู้พิพากษาสมทบ ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ไม่จ าเป็นต้องเป็นกรรมการสหภาพแรงงานและเป็นต าแหน่งที่ไม่ผูกพันตนว่าเป็นฝ่ายลูกจ้างหรือ ฝ่ายนายจ้าง ตลอดจนต้องปฏิบัติตามวินัยข้าราชการตุลาการ การอบรมดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับต าแหน่ง กรรมการสหภาพแรงงานและไม่ใช่เป็นการประชุมที่ทางราชการก าหนดเกี่ยวกับการด าเนินกิจการ สหภาพแรงงาน ดังนั้น การลาของพนักงาน อ.ส.ม.ท. ดังกล่าวเพื่อเข้ารับการอบรมในเรื่องศาลแรงงาน ฯลฯ จึงมิใช่เป็นการลาเพื่อไปร่วมประชุมตามที่ทางราชการก าหนดตามมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ๒.ส าหรับปัญหาข้อสองนั้น เห็นว่า การลาของบุคคลดังกล่าวเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ ผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลางมิใช่เป็นการลาเพื่อไปร่วมประชุมที่ทางราชการก าหนด ตามมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ด้วยเหตุผลท านองเดียวกัน กับปัญหาข้อแรก ๓.ส าหรับปัญหาข้อสามนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า การลาเพื่อเข้ารับการอบรมตามปัญหา ข้อแรกและการลาเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลางตามปัญหาข้อสอง มิใช่เป็นการลาตามมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงไม่จ าต้อง ตอบปัญหาข้อนี้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ธันวาคม ๒๕๒๖ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๒๗
หน้า ๓๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงาน ได้มีหนังสือที่ มท ๑๑๐๘/๒๕๓๔ ลงวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๗ ถึง ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด มีหนังสือหารือกรมแรงงาน เกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมการลูกจ้างในธนาคารกรุงเทพ จ ากัด สาขาภูเก็ตตามมาตรา ๔๕ แห่ง พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยมีข้อเท็จจริงว่า สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ มีสมาชิกเป็นลูกจ้างของธนาคารกรุงเทพ จ ากัด ทั้งที่ส านักงานใหญ่และสาขาต่างๆ แต่มีจ านวนไม่ถึง กึ่งหนึ่งของลูกจ้างทั้งหมด ส าหรับธนาคารกรุงเทพ จ ากัด สาขาภูเก็ต มีลูกจ้างทั้งสิ้น ๖๖ คน เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ๔๗ คน สหภาพฯ ได้มีหนังสือแจ้งการแต่งตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง สาขาภูเก็ต จ านวน ๕ คน ต่อกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด และผู้จัดการธนาคาร กรุงเทพ จ ากัด สาขาภูเก็ตด้วย เรื่องนี้ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด มีความเห็นว่าสถานประกอบกิจการ แห่งหนึ่งน่าจะมีคณะกรรมการลูกจ้างเพียงคณะเดียว เพราะระเบียบข้อบังคับของธนาคารฯ จะต้องใช้ในทุกสาขาทั่วประเทศเหมือนกันหมดหากมีหลายคณะย่อมสร้างความปั่นป่วนและเกิด ปัญหาในการบริการงานค่อนข้างมาก กรมแรงงานพิจารณาเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวจะต้องตีความค าว่า“สถานประกอบกิจการ” ในมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งอาจตีความได้เป็นสองนัยคือ ๑. ค าว่า “สถานประกอบกิจการ” มีความหมายเช่นเดียวกับ ค าว่า ”นายจ้าง” ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มิได้หมายถึง สถานที่ท างานหรือหน่วยงาน ของนายจ้างแต่ละแห่งที่ตั้งอยู่ในหลายท้องที่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด ที่มีสาขาอยู่ทุกจังหวัด ก็เป็นสถานประกอบกิจการแห่งเดียว มิใช่แต่ละสาขาเป็นสถานประกอบกิจการแต่ละแห่ง ๒. ในกรณีที่นายจ้างมีหน่วยงานหลายแห่งตั้งอยู่ในหลายท้องที่ ซึ่งแต่ละแห่ง มีอ านาจในการจัดการและการควบคุมบังคับบัญชาลูกจ้างในหน่วยงานของตนเอง หน่วยงานแต่ละแห่ง เป็นสถานประกอบกิจการแห่งหนึ่งได้ เช่น ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด สาขาภูเก็ตก็เป็นสถานประกอบ กิจการแห่งหนึ่ง สถานประกอบกิจการจึงหมายถึงสถานที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมหรือ พาณิชยกรรมแต่ละแห่งที่ตั้งอยู่โดยแต่ละแห่งมีอ านาจในการจัดการและควบคุมบังคับบัญชา ลูกจ้างในหน่วยงานของตนเอง เนื่องจากพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มิได้บัญญัติบทนิยามค าว่า “สถานประกอบกิจการ” ไว้ ประกอบกับถ้อยค าดังกล่าวอาจตีความได้เป็นสองนัยดังกล่าวข้างต้น กรมแรงงานจึงขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในปัญหาดังกล่าวด้วย คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าวและได้ฟังค าชี้แจง จากผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้ว มีความเห็น ดังนี้ เรื่องเสร็จที่ ๒๕๘/๒๕๒๗ เรื่อง หารือปัญหากฎหมาย (ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด สาขาภูเก็ต จะถือว่า เป็นสถานประกอบกิจการแห่งหนึ่ง ซึ่งลูกจ้างมีสิทธิจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง ได้ตามมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่)
หน้า ๓๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา มาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ บัญญัติว่า ใน “สถานประกอบกิจการ” ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ห้าสิบคนขึ้นไปลูกจ้างอาจจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง ในสถานประกอบกิจการนั้นได้ ค าว่า“สถานประกอบกิจการ” นั้น มิได้มีบทนิยามก าหนดไว้เป็นพิเศษจึงต้องถือว่า มีความหมายธรรมดาซึ่งหมายถึงหน่วยงานหนึ่งของนายจ้าง อันเป็นหน่วยงานที่มีอ านาจในการ จัดการและควบคุมบังคับบัญชาลูกจ้างในหน่วยงานนั้น แต่มิได้หมายถึงนิติบุคคลหนึ่งหรือ นายจ้างคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของหน่วยงานทั้งหลาย ทั้งนี้ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการมีคณะกรรมการ ลูกจ้างก็เพื่อให้ลูกจ้างเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการของหน่วยงานแต่ละแห่งของนายจ้าง หลักส าคัญจึงอยู่ที่ระบบการจัดการในแต่ละหน่วยงานของนายจ้างมากกว่าที่จะเน้นที่ตัวนิติบุคคล หรือนายจ้างแต่ละบุคคล กฎหมายจึงใช้ค าว่า “ในสถานประกอบกิจการ” ซึ่งหมายถึง“หน่วยงาน” แต่ละหน่วยของนายจ้างที่ด าเนินกิจการล าพังเป็นหน่วยๆ มิใช่หมายถึงตัว “บุคคล” ถ้ากฎหมาย ประสงค์จะให้ค าว่า“สถานประกอบกิจการ” มีความหมายเช่นเดียวกับตัวบุคคล คือ ตัว “นายจ้าง” แล้ว ก็น่าจะนิยามไว้หรือใช้ค าว่า “นายจ้าง” เสียเลยเนื่องจากว่า “นายจ้าง” มีบทนิยามก าหนด ไว้แล้วในมาตรา ๕ ฉะนั้น ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด สาขาภูเก็ต ซึ่งเป็นส านักงานสาขาที่จัดตั้งขึ้น ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงถือได้ว่าเป็นหน่วยงาน หรือสถานประกอบกิจการหนึ่งของนายจ้าง (ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด) แม้ว่าจะมิใช่นิติบุคคล แยกต่างหากจากนายจ้าง (ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด) ก็ตาม ดังนั้น ในสถานประกอบกิจการดังกล่าว ซึ่งมีลูกจ้าง ๖๖ คน ลูกจ้างมีสิทธิจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบกิจการนั้นได้ ตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ และโดยที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก สหภาพแรงงานถึง ๔๗ คนซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของจ านวนลูกจ้างทั้งหมด สหภาพฯ อาจแต่งตั้งกรรมการ ลูกจ้างทั้งคณะก็ได้ตามมาตรา ๔๕ วรรคสอง โดยมีจ านวนตามที่ก าหนดไว้ในมาตรา ๔๖(๑) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ แต่ถ้าสหภาพไม่ใช้สิทธิแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างทั้งคณะ ลูกจ้างมีสิทธิเลือกตั้งกรรมการลูกจ้างขึ้นคณะหนึ่งได้ตามประกาศกรมแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการเลือกตั้งกรรมการลูกจ้าง ข้อ ๑ สรุปแล้ว ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด สาขาภูเก็ต เป็นสถานประกอบกิจการแห่งหนึ่ง ของนายจ้าง (ธนาคารกรุงเทพ จ ากัด) และโดยที่สถานประกอบกิจการดังกล่าวมีลูกจ้าง ๖๖ คน ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ๔๗ คน (เกินกึ่งหนึ่งของจ านวนลูกจ้างทั้งหมดในสถานประกอบ กิจการนั้น) จึงมีสิทธิจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างได้โดยสหภาพแรงงานอาจแต่งตั้งกรรมการลูกจ้าง ทั้งคณะมี จ านวน ๕ คน ก็ได้ ตามนัยมาตรา ๔๕ และมาตรา ๔๖ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ฯ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๒๗ //////////////////////////////
หน้า ๔๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงานได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ มท ๑๑๑๑/๖๐๙๐ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๗ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กรมแรงงานมีความจ าเป็นที่จะแก้ไขประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งออกตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ข้อ ๒ (๖) เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างกรณี ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยด้วยโรคซึ่งเกิดขึ้นจากการท างาน โดยกรมแรงงานจะขอแก้ไข ให้เงินทดแทน รวมถึงค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างานด้วย จึงได้ด าเนินการแก้ไขประกาศกระทรวง มหาดไทยฉบับดังกล่าว คือ ๑. เพิ่มค าว่า“ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างาน” ในบทนิยามค าว่า“เงินทดแทน”ในข้อ ๒ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ๒. เพิ่มบทนิยามค าว่า “ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างาน” ระหว่างบทนิยามค าว่า “ค่ารักษาพยาบาล” และค าว่า “ค่าท าศพ” ในข้อ ๒ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ๓. เพิ่มค าว่า “ในกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยและจ าเป็นต้องได้รับ การฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างานตามความเห็นของคณะกรรมการที่ปรึกษาพนักงานเงินทดแทน ให้นายจ้างจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างานตามมาตรฐานที่กรมแรงงานก าหนดโดยจ่ายเท่าที่ จ่ายจริงตามความจ าเป็นแต่ไม่เกินสองหมื่นบาท” ในข้อ ๕๒ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวง มหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๙) ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๕ กรมแรงงานจึงได้เสนอร่างประกาศดังกล่าวต่อกระทรวงมหาดไทยปลัดกระทรวง มหาดไทย ให้น าเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการร่างกฎหมายกระทรวงมหาดไทยซึ่งคณะกรรมการฯ มีความเห็นว่ากระทรวงมหาดไทยไม่น่าจะมีอ านาจในการแก้ไขประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับดังกล่าวได้และคณะกรรมการฯ จึงมีความเห็นว่าเนื่องจากเป็นปัญหาในการตีความข้อกฎหมาย ขอให้กรมแรงงานหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนั้น กรมแรงงานจึงได้หารือจะแก้ไขประกาศ ดังกล่าวได้เพียงใดหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว และได้ฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้ว ได้ความว่าเหตุผลที่ คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายกระทรวงมหาดไทยเห็นว่ากระทรวงมหาดไทยไม่น่าจะมีอ านาจ ในการแก้ไขประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ นั้น เนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งเป็น กฎหมายแม่บทได้ก าหนดความรับผิดของนายจ้างในอันที่จะต้องจ่ายเงินทดแทนในกรณีที่ลูกจ้าง เรื่องเสร็จที่ ๔๓๖/๒๕๒๗ เรื่อง ขอหารือปัญหาข้อกฎหมาย (การแก้ไขประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน โดยแก้ไขค านิยาม “ค่าทดแทน” ให้คลุมถึงค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างาน)
หน้า ๔๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการท างานหรือจากโรคซึ่งเกิดขึ้น ตามลักษณะชนิดของโรคนั้นไว้อยู่แล้ว ฉะนั้น การที่กรมแรงงานจะเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับ ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างานโดยการแก้ไขประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ฯ จึงไม่อาจกระท าได้เพราะเป็นการเกินอ านาจของกฎหมายแม่บท อย่างไรก็ตามถ้ากรมแรงงาน ประสงค์จะเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างานไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ก็อาจกระท าได้โดยการแก้ไข ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ฯ เสียก่อน คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) มีความเห็นว่าประกาศ ของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทได้บัญญัติให้ กระทรวงมหาดไทยมีอ านาจก าหนดการคุ้มครองแรงงานในเรื่องต่างๆ หลายเรื่องด้วยกันและ ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องเงินทดแทน ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ข้อ ๒ (๖) ได้บัญญัติให้ นายจ้างต้องรับผิดจ่ายเงินทดแทนในกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยหรือถึงแก่ความตาย เนื่องจากการท างานหรือจากโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือโรคซึ่งเกิดขึ้นจาก การท างานซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้ก าหนดชนิดของโรคนั้น เมื่อพิจารณาความในข้อ ๒ (๖) แล้ว จะเห็นว่าประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวไม่ได้ก าหนดว่าการจ่าย” เงินทดแทนนั้น จะต้องจ่าย เพื่อค่าอะไรบ้าง คงบัญญัติเฉพาะสาเหตุที่จะต้องจ่ายเงินทดแทนซึ่งได้แก่กรณีที่ลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการท างาน หรือจากโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือ สภาพของงาน หรือโรคซึ่งเกิดขึ้นจากการท างานซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้ก าหนดชนิดของโรคนั้น เมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ข้อ ๒ (๖) ได้บัญญัติความไว้แต่เพียงเท่านี้ย่อมเป็นที่ เข้าใจได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวประสงค์จะให้เป็นอ านาจของกระทรวงมหาดไทย ในอันที่จะก าหนดการจ่ายเงินทดแทนเพื่อค่าอะไร หรือเพื่อการใดๆ ได้ตามที่เห็นสมควร และ กระทรวงมหาดไทยก็ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ก าหนดค านิยามของค าว่า “เงินทดแทน” ว่า หมายความถึงเงินที่จ่าย ให้เป็นค่าทดแทนค่ารักษาพยาบาลและค่าท าศพ ฉะนั้น เมื่อกระทรวงมหาดไทยเห็นสมควรให้มี การจ่ายเงินทดแทนเพื่อค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างานด้วย ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่ายในกระบวนการ เวชศาสตร์ฟื้นฟูและหรือการฟื้นฟูอาชีพเพื่อให้ลูกจ้างซึ่งสูญเสียอวัยวะบางส่วนของร่างกายหรือ สูญเสียสมรรถภาพในการท างานของอวัยวะบางส่วนของร่างกายหรือทุพพลภาพสามารถท างาน ที่เหมาะสมได้กระทรวงมหาดไทยก็อาจแก้ไขเพิ่มเติมความหมายของค าว่า “เงินทดแทน” ได้โดย แก้ไขให้รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพในการท างาน เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่อง กับการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้าง ซึ่งไม่เป็นการขัดต่อความในข้อ ๒ (๖) แห่ง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน ๒๕๒๗ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๒๘
หน้า ๔๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มีหนังสือที่ นร ๐๒๐๓/๗๓๗๗ ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ อนุมัติในหลักการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเช่าเครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศ และ ให้กองทัพอากาศน ารายได้ค่าเช่าเครื่องบินล าเลียงดังกล่าว มาใช้จ่ายในการซ่อมบ ารุงเครื่องบิน ของกองทัพอากาศได้ ต่อมากระทรวงการคลังได้มีหนังสือที่ กค ๐๕๐๒/๘๐๓ ลงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๒๘ ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้โดยอ้างว่า กรณีของกองทัพอากาศไม่มีบทบัญญัติของ กฎหมายใดโดยเฉพาะก าหนดให้เก็บเงินรายได้ค่าเช่าเครื่องบินล าเลียงไว้ใช้จ่ายได้และเมื่อพิจารณา จากข้อยกเว้นตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณแล้ว ก็ไม่เข้าข่ายเป็นเงินบูรณะทรัพย์สิน ฉะนั้น กองทัพอากาศ จึงน่าจะต้องน าเงินค่าเช่าเครื่องบินล าเลียงดังกล่าวส่งเป็นรายได้แผ่นดิน กระทรวงกลาโหมจึงได้มีหนังสือที่ กห ๐๖๐๖.๓/๖๔๘ ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๘ ถึงส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี โดยเสนอขออนุมัติในหลักการว่า ๑. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเช่าเครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศได้และ ให้กองทัพอากาศน ารายได้ค่าเช่าเครื่องบินล าเลียงดังกล่าวส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีการ งบประมาณ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ ๒. ให้กองทัพอากาศมีอ านาจอนุมัติให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจใช้หรือยืม เครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศได้เมื่อกองทัพอากาศพิจารณาเห็นสมควรสนับสนุนเพื่อ ประโยชน์ของทางราชการ และในการนี้หากมีค่าใช้จ่ายต่างๆ อันจ าเป็นเกิดขึ้น เช่น ค่าบ ารุงรักษา ค่าน้ ามันเชื้อเพลิง และอื่นๆ ถ้ามีให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจผู้ขอใช้หรือขอยืมเป็นผู้รับภาระ โดยจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่กองทัพอากาศด้วย เงินค่าชดเชยตามข้อ ๒ นี้กระทรวงกลาโหมเห็นว่า เป็นเงินซึ่งกองทัพอากาศได้รับ ในลักษณะที่เป็นค่าชดเชยความเสียหายและสิ้นเปลืองแห่งทรัพย์สินและจ าเป็นต้องจ่ายเพื่อบูรณะ ทรัพย์สิน หรือจัดให้ได้ทรัพย์สินคืนมาซึ่งเป็นอ านาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่จะ อนุมัติให้กองทัพอากาศเก็บไว้ใช้จ่ายได้ตามมาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณ คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษา เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘ แล้ว ลงมติ อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอในข้อ ๑ ส่วนหลักการในข้อ ๒ นั้นให้ส่งส านักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า เงินค่าชดเชยดังกล่าวเป็นเงินในลักษณะตามความใน มาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย เรื่องเสร็จที่ ๓๑๙/๒๕๒๘ เรื่อง เงินค่าชดเชยการใช้หรือยืมเครื่องบินของกองทัพอากาศ (เงินค่าชดเชย ซึ่งกองทัพอากาศจะได้รับในการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจใช้หรือยืม เครื่องบินล าเลียง เป็นเงินในลักษณะตามความในมาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ หรือไม่)
หน้า ๔๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นอ านาจของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังที่จะอนุญาตให้กองทัพอากาศเก็บไว้ใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องน าส่งคลังหรือไม่ ถ้าผล การพิจารณาตีความในหลักการข้อ ๒ นี้ ปรากฏว่าเงินค่าชดเชยดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นเงิน ตามความในมาตราดังกล่าวก็ให้ส านักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กองทัพอากาศ ในส่วนที่ได้ใช้จ่ายในการซ่อมบ ารุงเครื่องบินล าเลียงต่อไป ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงแจ้ง มายังส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อด าเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติดังกล่าวข้างต้น ต่อไป คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ได้พิจารณาปัญหา ค่าชดเชยการใช้หรือยืมเครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้ส านักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นพร้อมทั้งบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องและได้เชิญผู้แทนกระทรวงกลาโหม (ส านักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กรมพระธรรมนูญและกองทัพอากาศ) และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วได้ความว่า กรณีนี้เรื่องเดิมมีว่า บริษัท การบินไทย จ ากัด และบริษัทเดินอากาศไทย จ ากัด มีความจ าเป็นต้องเช่าเครื่องบินล าเลียง ของกองทัพอากาศเพื่อปฏิบัติภาระกิจของบริษัท โดยจะให้ค่าตอบแทนแก่ทางราชการในรูปค่าเช่า กองทัพอากาศเห็นว่าอัตราอนุมัติชั่วโมงบินของเครื่องบินล าเลียงมี ๖๐๐ ชั่วโมง/เครื่อง/ปี แต่ในการเดินทางขนพัสดุของกองทัพอากาศแต่ละเที่ยวใช้ชั่วโมงบินเพียง ๓๐ ชั่วโมงบิน ดังนั้น ใน ๑ ปีกองทัพอากาศจึงยังมีชั่วโมงบินเหลืออยู่อีกประมาณ ๔๘๐ ชั่วโมงบินซึ่งจะต้องใช้ใน การฝึกนักบิน หากใช้ชั่วโมงบินที่ฝึกนักบินให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเช่าก็จะมีรายได้มาชดเชย ค่าใช้จ่ายในการฝึกนักบิน และยังสามารถน ามาใช้เป็นค่าซ่อมบ ารุงเครื่องบิน อันประกอบด้วย ค่าวัสดุที่จะต้องซื้ออะไหล่มาซ่อม เปลี่ยน ทดแทน และค่าใช้สอยในการจ้างเหมาอุปกรณ์เครื่องบิน บางรายการ กองทัพอากาศจึงขอให้กระทรวงกลาโหมขออนุมัติหลักการต่อคณะรัฐมนตรี ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเช่าเครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศได้ และขอน ารายได้ค่าเช่า มาใช้จ่ายในการซ่อมบ ารุงเครื่องบินของกองทัพอากาศต่อไปคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๒๗ อนุมัติในหลักการดังกล่าว ต่อมากองทัพอากาศจึงได้ขอท าความตกลง กับกระทรวงการคลังส่งฝากเงินค่าเช่าเครื่องบิน เป็นเงินรายรับเพื่อบูรณะทรัพย์สินก่อน เพื่อจะน า มาใช้จ่ายในการซ่อมเครื่องบินล าเลียงต่อไปกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า เงินค่าเช่า เครื่องบินดังกล่าวไม่เข้าข่ายเงินบูรณะทรัพย์สินตามมาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ วิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ จึงเป็นเงินรายได้ที่ต้องน าส่งคลังและได้มีหนังสือไปยังส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง กระทรวงกลาโหมจึงได้มีหนังสือชี้แจงไปยังส านัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรีว่าการที่กระทรวงกลาโหมขออนุมัติน ารายได้ค่าเช่าเครื่องบินล าเลียงมาใช้ จ่ายในการซ่อมบ ารุงเครื่องบินของกองทัพอากาศนั้น เนื่องจากในการให้บริการแก่ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจเช่าเครื่องบินมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบ ารุงสูงมากและกองทัพอากาศก็มิได้ตั้ง งบประมาณเพื่อการดังกล่าวไว้ แต่กระทรวงกลาโหมก็เห็นด้วยกับกระทรวงการคลังว่ารายได้ ที่ได้รับจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นค่าเช่าเครื่องบินล าเลียงนั้นน่าจะต้องน าส่งเป็นรายได้ แผ่นดิน ตามมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ดังนั้น เพื่อให้การ
หน้า ๔๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ด าเนินการในเรื่องนี้เป็นไปอย่างถูกต้องกระทรวงกลาโหมจึงขอให้ส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี น าเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยเสนอขออนุมัติในหลักการ ดังนี้ ๑. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเช่าเครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศได้ และให้กองทัพอากาศน ารายได้ค่าเช่าเครื่องบินล าเลียงดังกล่าวส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๒. ให้กองทัพอากาศมีอ านาจอนุมัติให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจใช้หรือ ยืมเครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศได้ เมื่อกองทัพอากาศพิจารณาเห็นสมควรสนับสนุน เพื่อประโยชน์ของทางราชการและในการนี้หากมีค่าใช้จ่ายต่างๆ อันจ าเป็นเกิดขึ้น เช่น ค่าบ ารุงรักษาค่าน้ ามันเชื้อเพลิงและอื่นๆ ถ้ามีให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจผู้ขอใช้หรือขอยืม เป็นผู้รับภาระโดยจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่กองทัพอากาศด้วย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘ อนุมัติในหลักการตามที่ กระทรวงกลาโหมเสนอในข้อ ๑ แต่ส าหรับเงินค่าชดเชยซึ่งกองทัพอากาศจะได้รับในการให้ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจใช้หรือยืมเครื่องบินล าเลียงและประสงค์จะเก็บไว้ใช้จ่ายเองนั้น ยังเป็นปัญหาอยู่ว่าจะเป็นเงินในลักษณะตามความในมาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ วิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นอ านาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่จะอนุญาตให้กองทัพอากาศ น าเงินนั้นไปใช้จ่ายโดยไม่ต้องน าส่งคลังหรือไม่ จึงให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็น ผู้พิจารณาให้ความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีว่า เงินค่าชดเชยซึ่งกองทัพอากาศจะได้รับ ในการให้ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจใช้หรือยืมเครื่องบินล าเลียงและประสงค์จะเก็บไว้ใช้จ่ายเอง ตามที่กระทรวงกลาโหมได้เสนอขออนุมัติในหลักการต่อคณะรัฐมนตรีนั้น เป็นเงินซึ่งกองทัพอากาศ ได้รับในลักษณะที่เป็นค่าชดใช้ความเสียหายหรือสิ้นเปลืองแห่งทรัพย์สิน และจ าเป็นต้องจ่าย เพื่อบูรณะทรัพย์สินหรือจัดให้ได้ทรัพย์สินคืนมา ซึ่งเป็นอ านาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่จะอนุมัติให้กองทัพอากาศเก็บไว้ใช้จ่ายได้ตามมาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ วิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ หรือไม่ มาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณดังกล่าว นั้นบัญญัติว่า “รัฐมนตรีจะอนุญาตให้ส่วนราชการที่ได้รับเงินในกรณีต่อไปนี้น าเงินนั้นไปใช้จ่าย โดยไม่ต้องน าส่งคลังก็ได้คือ (๑) เงินที่ได้รับในลักษณะค่าชดใช้ความเสียหายหรือสิ้นเปลืองแห่งทรัพย์สิน และจ าเป็นต้องจ่ายเพื่อบูรณะทรัพย์สินหรือจัดให้ได้ทรัพย์สินคืนมา บทบัญญัติแห่งกฎหมาย ว่าด้วยวิธีการงบประมาณดังกล่าวนี้ เป็นข้อความที่มีความหมายกว้าง ไม่มีข้อความใดจ ากัด ว่าจะต้องมีความเสียหายหรือสิ้นเปลืองแห่งทรัพย์สินเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงเรียกเก็บตามสัดส่วน แห่งความเสียหายหรือสิ้นเปลืองแห่งทรัพย์สินนั้นแต่ประการเดียว เงินที่ได้รับตามข้อตกลงที่ได้ ท าไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นค่าชดใช้ความเสียหายหรือสิ้นเปลืองที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ทรัพย์สิน
หน้า ๔๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็อาจจะเป็นเงินที่ได้รับในลักษณะเป็นเงินบูรณะทรัพย์สินตามมาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) ได้ ส าหรับเงินค่าชดเชยที่กองทัพอากาศจะได้รับจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ขอใช้หรือขอยืม เครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศนั้น ปรากฏตามหนังสือของกระทรวงกลาโหมที่ กห ๐๖๐๖.๓/๖๔๘ ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๘ ประกอบกับค าชี้แจงของผู้แทนกองทัพอากาศว่า วัสดุอุปกรณ์ ของเครื่องบินล าเลียงนั้นมีอายุการใช้งาน เมื่อถึงก าหนดเวลาจะต้องมีการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ ดังนั้น ในการที่กองทัพอากาศจะให้ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจน าเครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศ ไปใช้งาน จึงต้องมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบ ารุงรวมทั้งค่าน้ ามันเชื้อเพลิงและค่าน้ ามันหล่อลื่น ซึ่งค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการใช้หรือยืมเครื่องบินของกองทัพอากาศนี้กองทัพอากาศได้วาง “เกณฑ์ ความสิ้นเปลืองอากาศยานแบบต่างๆ ของกองทัพอากาศส าหรับปีงบประมาณ ๒๕๒๘” โดยคิด เป็นอัตราชั่วโมงบินไว้เป็นมาตรฐานและได้รับอนุมัติจากผู้บัญชาการทหารอากาศให้ใช้บังคับได้แล้ว ในการที่กองทัพอากาศจะให้ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจใช้หรือยืมเครื่องบินล าเลียงกองทัพอากาศ ก็จะใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นเกณฑ์ค านวณในการเรียกเก็บเงินค่าชดเชยจากส่วนราชการหรือ รัฐวิสาหกิจที่ขอใช้หรือยืมเครื่องบินล าเลียงของกองทัพอากาศเพื่อน าเงินที่ได้รับไปใช้จ่ายในการ ซ่อมบ ารุงและจัดซื้อน้ ามันเชื้อเพลิง น้ ามันหล่อลื่นและอะไหล่ เพื่อมาทดแทนส่วนที่ได้ใช้ไปแล้ว ต่อไป คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) จึงเห็นว่าเงินค่าชดเชยที่ กองทัพอากาศจะได้รับในลักษณะนี้ เป็นเงินที่ได้รับในลักษณะค่าชดใช้ความเสียหายหรือ สิ้นเปลืองแห่งทรัพย์สินและเป็นเงินที่จ าเป็นต้องจ่ายเพื่อบูรณะทรัพย์สินหรือจัดให้ได้ทรัพย์สินคืน มาตามมาตรา ๒๔ วรรคสี่ (๑) แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๗ ที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังมีอ านาจอนุญาตให้กองทัพอากาศน าเงินนั้นไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องน าส่งคลัง ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๒๘ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๒๙
หน้า ๔๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๕๑๒/๔๓๐๕๒ ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๒๘ หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างขั้นต่่าของลูกจ้างประจ่า รายเดือนของรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากรัฐวิสาหกิจหลายแห่งขอให้กระทรวงการคลังปรับโครงสร้าง อัตราเงินเดือนขั้นต่่าเสียใหม่ จากเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท (เงินเดือน + ค่าครองชีพ) เป็นเดือนละ ๒,๑๐๐ บาท โดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่่า (ฉบับที่ ๑๕) ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวงการคลังมีความเห็น ไม่ตรงกับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย โดยกระทรวงการคลังเห็นว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่่า (ฉบับที่ ๑๕) ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้ก่าหนดเฉพาะอัตรา ค่าจ้างขั้นต่่ารายวันไว้วันละ ๗๐ บาท ส่าหรับท้องที่ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น อีก ๘ จังหวัด แต่มิได้ก่าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายเดือนไว้ ดังนั้น ในกรณีพนักงานหรือลูกจ้าง ประจ่ารายเดือนของรัฐวิสาหกิจซึ่งมีวันท่างานสัปดาห์ละ ๕ วัน หรือเดือนละ ๒๒ วัน ค่าจ้าง รายเดือนขั้นต่่าควรจะเป็นเดือนละ ๑,๕๔๐ บาท (๗๐ บาท/๒๒ วัน) และกระทรวงการคลัง ได้หารือกระทรวงมหาดไทยแล้วตามหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๕๑๒/๒๘๕๕ ลงวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๘ และหนังสือ ด่วนมาก ที่ กค ๐๕๑๒/๓๐๑๒๙ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๒๘ กระทรวง มหาดไทยให้ความเห็นตามหนังสือ ที่ มท ๑๑๐๔/๘๗๐๐ ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘ และหนังสือ ที่ มท ๑๑๐๔/๑๑๓๔๑ ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ว่าเนื่องจากประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้อ ๓๒ ได้ก่าหนดให้ลูกจ้างประจ่ารายเดือนมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจ่าสัปดาห์ด้วย ฉะนั้น จะต้องน่าวันหยุดประจ่าสัปดาห์มารวมในการค่านวณค่าจ้างของลูกจ้างประจ่ารายเดือน ค่าจ้าง รายเดือนขั้นต่่าจึงเป็นเดือนละ ๒,๑๐๐ บาท (๗๐ บาท ๓๐ วัน) กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ไม่เห็นพ้องกับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยจึงขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยตีความว่า ควรจะค่านวณก่าหนดอัตราค่าจ้างอย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ได้พิจารณาข้อหารือ ของกระทรวงการคลังดังกล่าว โดยได้เชิญผู้แทนกระทรวงการคลัง (ส่านักงานปลัดกระทรวง การคลังและกรมบัญชีกลาง) และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) มาร่วมชี้แจง ข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่ามีปัญหาที่จะต้องพิจารณาในเรื่องนี้ว่า การจ้างพนักงานหรือลูกจ้างประจ่า รายเดือนของรัฐวิสาหกิจจะต้องน่าวันหยุดประจ่าสัปดาห์มารวมในการค่านวณค่าจ้างด้วยหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) มีความเห็นว่า ตามข้อ ๓๒ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้ก่าหนดให้ลูกจ้างประจ่ามีวันหยุดได้ ๓ ประเภท โดยที่วันหยุดเหล่านี้เป็นสิทธิของลูกจ้าง เรื่องเสร็จที่ ๗๒/๒๕๒๙ เรื่อง การก่าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายเดือน (อ่านาจหน้าที่ของคณะกรรมกฤษฎีกาตามระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายฯ (ข้อ ๙))
หน้า ๔๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่จะไม่ต้องท่างานและนายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างประจ่ารายเดือนส่าหรับวันหยุดประจ่า สัปดาห์เท่ากับค่าจ้างในวันท่างานด้วย ประกอบกับ ข้อ ๓ และข้อ ๗ ของประกาศกระทรวง มหาดไทย เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่่า (ฉบับที่ ๑๕) ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้ก่าหนด อัตราค่าจ้างขั้นต่่าส่าหรับการจ้างแรงงานทั่วไปในท้องที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ๘ จังหวัดเป็นเงินวันละ ๗๐ บาท และห้ามนายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นเงินน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่่า ที่ก่าหนดไว้คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) จึงเห็นว่า การก่าหนด อัตราค่าจ้างขั้นต่่าตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้เป็นการก่าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่่า ส่าหรับการจ้างแรงงานทั่วไปมิใช่การก่าหนดเฉพาะอัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายวันเท่านั้น ดังนั้น เมื่อนายจ้างอยู่ภายใต้บังคับตามประกาศกระทรวงมหาดไทยทั้งสองฉบับดังกล่าวข้างต้นในส่วนที่ เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างแล้ว ในการค่านวณค่าจ้างเป็นรายเดือนส่าหรับลูกจ้างประจ่า รายเดือน จึงต้องน่าวันหยุดประจ่าสัปดาห์มารวมค่านวณด้วย กล่าวคือ อัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายเดือนจะเป็น ๗๐ บาท ๓๐ วันเท่ากับ ๒,๑๐๐ บาท ต่อมา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) พิจารณาทบทวนในปัญหาของกระทรวงการคลังดังกล่าวโดย เลขาธิการฯ มีบันทึกข้อสังเกตในเรื่องนี้แยกเป็น ๒ ประเด็น ดังนี้ ๑. ประเด็นแรก คือ ปัญหาการก่าหนดจ่านวนค่าจ้างขั้นต่่าไม่ว่าจะเป็นรายเดือน หรือรายวันเป็น “ปัญหาข้อกฎหมาย” หรือไม่ ซึ่งเลขาธิการฯ เห็นว่า การก่าหนดจ่านวนค่าจ้างขั้นต่่า ไม่ใช่ “ปัญหาข้อกฎหมาย” ที่อยู่ในอ่านาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกา เพราะการก่าหนด ว่าค่าจ้างขั้นต่่าควรจะเป็นเท่าใดนั้นจะต้องศึกษาและพิจารณา “ข้อเท็จจริงต่างๆ” ตามเงื่อนไข ที่กฎหมายก่าหนดไว้จึงต้องอาศัยองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญและกว้างขวางเฉพาะเรื่องเป็น ผู้พิจารณาซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้อาศัยบทบัญญัติตามข้อ ๒ (๔) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ จัดตั้ง “คณะกรรมการค่าจ้าง” ขึ้นท่าหน้าที่ ดังกล่าวไว้แล้ว ๒. ประเด็นที่สอง คือ การตีความเกี่ยวกับเงื่อนไขการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่่า จากอัตรารายวันให้เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายเดือนเป็นปัญหาข้อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเลขาธิการฯ เห็นว่าถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย) รับตีความโดยเห็นว่าเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย และได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายในเรื่องนี้โดยใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณา เพื่อปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายวันให้เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายเดือนผิดไปจากเงื่อนไขต่างๆ ที่ คณะกรรมการค่าจ้างได้พิจารณามาแล้ว ค่าวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่าง กฎหมาย) ก็จะกลายเป็นการไปก่าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายเดือนแทนคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมาย เลขาธิการฯ จึงเห็นว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย) น่าจะ ไม่รับวินิจฉัยปัญหาที่กระทรวงการคลังหารือและสมควรให้เป็นหน้าที่ของ”คณะกรรมการค่าจ้าง” ซึ่งมีองค์ประกอบพิเศษเป็นผู้ตีความหรือเป็นผู้ก่าหนดเงื่อนไขในการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่่ารายวัน เป็นค่าจ้างขั้นต่่ารายเดือน และส่าหรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยที่ตอบข้อหารือ ของกระทรวงการคลัง ดังที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นเพียงความเห็นของ“ส่วนราชการ” มิใช่ความเห็นของ
หน้า ๔๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการค่าจ้าง ดังนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย) จึงสมควรอาศัย ข้อ ๙ (๒) แห่งระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมาย ของกรรมการร่างกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๒๒ ไม่รับพิจารณาข้อหารือนี้และให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ค่าจ้างด่าเนินเรื่องให้เป็นที่ยุติตามกฎหมายต่อไป คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ได้พิจารณาข้อสังเกต ของเลขาธิการฯ และได้เชิญผู้แทนกรมแรงงาน (กองคุ้มครองแรงงานและส่านักงานคณะกรรมการ ค่าจ้าง) มาร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ผู้แทนกรมแรงงานชี้แจงว่าข้อหารือเรื่องนี้ยังไม่ได้ผ่าน การพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้าง เนื่องจากกรมแรงงานมีระเบียบว่าด้วยวิธีการหารือปัญหา ข้อกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งก่าหนดให้กองที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายนั้น เป็นเจ้าของเรื่องด่าเนินการตอบข้อหารือส่าหรับปัญหาข้อกฎหมายของกระทรวงการคลังนี้ เป็นปัญหาเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน กองคุ้มครองแรงงานจึงเป็นผู้ด่าเนินการตอบข้อหารือ ดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) พิจารณาข้อสังเกต ของเลขาธิการฯ แล้ว เห็นว่าข้อหารือของกระทรวงการคลังในเรื่องนี้มีว่าการจ้างพนักงานหรือ ลูกจ้างประจ่ารายเดือนของรัฐวิสาหกิจจะต้องน่าวันหยุดประจ่าสัปดาห์มารวมในการค่านวณ ค่าจ้างด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาการตีความประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครอง แรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตรา ค่าจ้างขั้นต่่า (ฉบับที่ ๑๕) ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ อันเป็น “ปัญหาข้อกฎหมาย” ที่อยู่ในอ่านาจหน้าที่ของกรรมการร่างกฎหมายที่จะพิจารณาให้ความเห็นได้ และมิใช่ปัญหา ในการก่าหนดนโยบายค่าจ้างของประเทศหรือการก่าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่่าซึ่งลูกจ้างคนเดียว ควรจะได้รับและสามารถด่ารงชีพอยู่ได้อันจะอยู่ในอ่านาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) คงมีความเห็นยืนยันในความเห็นเดิม ที่ได้เคยให้ไว้แล้ว อย่างไรก็ตามคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ไม่ขัดข้อง ถ้าเลขาธิการฯ เห็นว่าปัญหาดังกล่าวสมควรได้รับการพิจารณาจาก “คณะกรรมการ ค่าจ้าง” และควรส่งเรื่องคืนไปยังกระทรวงการคลังเพื่อเสนอให้คณะกรรมการค่าจ้างด่าเนินการ ให้เรื่องนี้เป็นที่ยุติต่อไป เนื่องจากปัญหาว่ากรรมการร่างกฎหมายสมควรรับพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับอัตรา ค่าจ้างขั้นต่่าตามข้อหารือของกระทรวงการคลังหรือไม่เป็นปัญหาส่าคัญ เลขาธิการคณะกรรมการ กฤษฎีกาจึงอาศัยอ่านาจตามข้อ ๑๔(๔) แห่งระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าด้วยการประชุม ของกรรมการร่างกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๒๒ จัดให้มีการประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมายเพื่อ พิจารณาปัญหาดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวแล้วมีความเห็นว่า กรรมการร่างกฎหมายไม่สมควรรับพิจารณาข้อหารือ ของกระทรวงการคลัง เพราะปัญหาเกี่ยวกับการก่าหนดค่าจ้างขั้นต่่าเป็นปัญหาที่ควรได้รับการวินิจฉัย โดยคณะกรรมการค่าจ้างของกระทรวงมหาดไทยเสียก่อน นอกจากนี้ปัญหาเรื่องนี้ยังเป็นปัญหา ระหว่างรัฐบาลและผู้ใช้แรงงาน ซึ่งหากกรรมการร่างกฎหมายให้ความเห็นแล้วอาจมีผลกระทบ
หน้า ๔๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระเทือนในทางการเมือง จึงมีมติไม่พิจารณาให้ความเห็นในปัญหาข้อหารือของกระทรวงการคลัง ตามข้อ ๙(๒) และ (๓) แห่งระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็น ทางกฎหมายของกรรมการร่างกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ส่งเรื่องคืนให้กระทรวงการคลัง ไปด่าเนินการหารือกับคณะกรรมการค่าจ้างต่อไป ส่านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๓๒
หน้า ๕๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงาน มีหนังสือ ที่ มท ๑๑๐๖/๑๐๖๔๓ ลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๓๒ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาความว่า เนื่องจากกรมแรงงานมีหน้าที่ในการเรียกเก็บเงิน สมทบกองทุนเงินทดแทนจากนายจ้างเพื่อน าเข้าสมทบในกองทุนเงินทดแทนส าหรับเป็นทุน จ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการท างาน ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งในข้อ ๓๑ ของ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวบัญญัติให้มีกองทุนเงินทดแทนในกรมแรงงาน โดยให้กองทุน เงินทดแทนประกอบด้วยเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบและให้มีส านักงานกองทุนเงินทดแทนเป็น ผู้ด าเนินการเกี่ยวกับกองทุนเงินทดแทนและในข้อ ๑๐๒ บัญญัติให้อ านาจอธิบดีกรมแรงงาน สามารถออกค าสั่งยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างช าระเงินสมทบกองทุน เงินทดแทนและหรือเงินเพิ่มได้โดยไม่ต้องน าคดีขึ้นสู่ศาล แต่ปรากฏว่าในทางปฏิบัติเกี่ยวกับ การยึด อายัดทรัพย์สิน ตามบทบัญญัติในข้อ ๑๐ ดังกล่าวนั้น กรมแรงงานประสบปัญหา ข้อขัดข้องในการด าเนินการอยู่หลายปัญหาด้วยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับอ านาจ ตามกฎหมายในการตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ค้างช าระหนี้เงินสมทบกองทุนเงินทดแทน และหรือเงินเพิ่ม ทั้งนี้เนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ฯ มิได้มีบทบัญญัติ ในเรื่องดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วการตรวจสอบทรัพย์สินนับว่าเป็นขั้นตอน ส าคัญอย่างยิ่งที่จะท าให้การยึดอายัดทรัพย์สินบรรลุผล เนื่องด้วยการยึด อายัดทรัพย์สินของ กรมแรงงานนั้นไม่มีเจ้าหนี้ในการน ายึดทรัพย์อย่างการบังคับคดีของศาล แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องด าเนินการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อด าเนินการยึดอายัดเอง และเมื่อกฎหมายมิได้บัญญัติให้ อ านาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการด าเนินการดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน ประกอบกับงานยึด อายัด ทรัพย์สินเป็นงานที่เสี่ยงต่อการขัดขวางจากนายจ้างและยังอาจถูกนายจ้างฟ้องร้องได้ ท าให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ไม่มีความมั่นใจในการปฏิบัติงานเท่าที่ควรหากถูกนายจ้างฟ้องก็อาจเป็นผลร้าย แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้ ปัญหาดังกล่าวนี้เมื่อน าไปเปรียบเทียบกับการด าเนินการของพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามประมวลรัษฎากร ในการติดตามเร่งรัดหนี้ภาษีอากรค้างซึ่งมีลักษณะการปฏิบัติ คล้ายคลึงกับการติดตามเร่งรัดหนี้ เงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและหรือเงินเพิ่มของกรมแรงงาน คือ สามารถด าเนินการยึด อายัดทรัพย์สินผู้ค้างช าระหนี้ได้โดยไม่ต้องน าคดีขึ้นสู่ศาลเช่นเดียวกัน แล้วจะเห็นได้ว่าประมวลรัษฎากรมีบทบัญญัติให้อ านาจในการตรวจสอบทรัพย์สินแก่พนักงาน เจ้าหน้าที่ไว้อย่างชัดเจนในมาตรา ๑๒ ตรีแต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ฯ มิได้มี บทบัญญัติดังกล่าวแต่อย่างใด จากการที่มีปัญหาข้อขัดข้องในทางปฏิบัติราชการข้างต้น กรมแรงงานจึงมีความจ าเป็น ต้องพยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว และเมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของประกาศของ เรื่องเสร็จที่ ๓๔๑/๒๕๓๒ เรื่อง การตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ค้างช าระเงินกองทุนเงินทดแทน ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
หน้า ๕๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ฯ แล้ว กรมแรงงานเห็นว่าน่าจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอยู่ ๒ แนวทางด้วยกัน กล่าวคือ แนวทางแรก ให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยอาศัยอ านาจตามความในข้อ ๕ เพื่อให้ปฏิบัติตามข้อ ๑๐ โดยประสงค์ให้อ านาจของ พนักงานเจ้าหน้าที่ ตามข้อ ๕ วรรคสอง ครอบคลุมไปถึงการตรวจสอบทรัพย์สินด้วย โดยถือว่าการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นขั้นตอนหนึ่งของการยึด อายัดทรัพย์สินตามข้อ ๑๐ แนวทางที่สอง ให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศก าหนดระเบียบวิธีการ เกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สิน โดยอาศัยอ านาจตามความในข้อ ๓ วรรคสุดท้าย ซึ่งบัญญัติ ให้อ านาจกระทรวงมหาดไทยในการก าหนดระเบียบวิธีการอันจ าเป็นเพื่อให้ส านักงานกองทุน เงินทดแทนด าเนินการตามวัตถุประสงค์ โดยถือว่าการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นวิธีการอันจ าเป็น ที่จะน าไปสู่ขั้นตอนการยึด อายัดทรัพย์สินเพื่อให้ได้เงินสมทบฯ จากนายจ้างเข้าสู่กองทุนเงินทดแทน อันเป็นวัตถุประสงค์ประการหนึ่งในการด าเนินการของส านักงานกองทุนเงินทดแทน แต่เนื่องจากกรมแรงงานพิจารณาเห็นว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น จ าเป็นต้องอาศัยการตีความข้อกฎหมายประกอบด้วยว่าจะสามารถกระท าได้แค่ไหนเพียงใด ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อีกทั้งเป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ดังนั้น เพื่อ เป็นแนวทางปฏิบัติอันถูกต้องในการพิจารณาด าเนินการต่อไป กรมแรงงานจึงขอให้ส านักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็น ดังนี้ ๑. การที่กระทรวงมหาดไทยจะออกประกาศกระทรวงโดยอาศัยอ านาจตามความ ในข้อ ๕ เพื่อแต่งตั้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามความในข้อ ๑๐ ตามแนวทางแรกดังกล่าว ข้างต้น จะเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และหากกระท าได้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้ง จะมีอ านาจครอบคลุมไปถึงการตรวจสอบทรัพย์สินด้วยหรือไม่ ๒. หากกระทรวงมหาดไทยจะออกประกาศกระทรวงโดยอาศัยอ านาจตามความ ในข้อ ๓ วรรคสุดท้าย ก าหนดระเบียบและวิธีการอันจ าเป็นเกี่ยวกับการด าเนินการตรวจสอบ ทรัพย์สินผู้ค้างช าระเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและหรือเงินเพิ่มตามแนวทางที่สองดังกล่าว ข้างต้นจะสามารถกระท าได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ๓. การตีความข้อความในข้อ ๓ วรรคสุดท้ายที่ว่า "ระเบียบวิธีการอันจ าเป็น เพื่อให้ส านักงานกองทุนเงินทดแทนด าเนินการตามวัตถุประสงค์…." นั้น จะสามารถตีความได้ กว้างขวางเพียงใด ครอบคลุมถึงกรณีใดบ้าง เช่น การก าหนดระเบียบเกี่ยวกับการเร่งรัดหนี้เงิน สมทบกองทุนเงินทดแทนและหรือเงินเพิ่ม และระเบียบเกี่ยวกับการผ่อนช าระหนี้ดังกล่าว จะอยู่ ในความหมายของข้อความดังกล่าวด้วยหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) ได้พิจารณาปัญหา ดังกล่าวโดยได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้วมีความเห็นดังนี้ ๑. ปัญหาประการที่หารือว่า การที่กระทรวงมหาดไทยจะออกประกาศโดยอาศัย อ านาจตามความในข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ฯ เพื่อแต่งตั้งให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามความในข้อ ๑๐ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวจะเป็นการชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ และหากกระท าได้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งจะมีอ านาจครอบคลุมไปถึง
หน้า ๕๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การตรวจสอบทรัพย์สินด้วยหรือไม่นั้น ผู้แทนกรมแรงงานได้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่ นายจ้างซึ่งมีหน้าที่ต้องช าระเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนไม่ได้ช าระเงินตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมาย ก าหนด กรณีเช่นนี้แม้ว่าข้อ ๑๐ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ฯ จะก าหนดให้ อธิบดีกรมแรงงานมีอ านาจออกค าสั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของนายจ้างดังกล่าวเพื่อขาย ทอดตลาดน าเงินมาช าระกองทุนเงินทดแทนได้ แต่ในทางปฏิบัติพนักงานเจ้าหน้าที่มีความจ าเป็น ที่จะต้องได้ทราบเสียก่อนว่านายจ้างผู้ค้างช าระเงินกองทุนเงินทดแทนนั้นมีทรัพย์สินที่จะสามารถ ยึดหรืออายัดได้ตามกฎหมายสิ่งใดบ้างเพื่อรายงานให้อธิบดีกรมแรงงานได้ทราบเป็นข้อมูลเบื้องต้น ก่อนที่จะออกค าสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินให้ได้ผลและเป็นไปโดยถูกต้องต่อไป ซึ่งในกรณีที่ พนักงานเจ้าหน้าที่จะไปด าเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของนายจ้างเพื่อการนี้ ยังมีปัญหาเกรงว่า จะถูกโต้แย้งจากนายจ้างหรือถูกนายจ้างฟ้องร้องการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ฉะนั้น กรมแรงงาน จึงขอหารือว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งตามข้อ ๕ วรรคหนึ่ง แห่งประกาศ ของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ฯ จะใช้อ านาจต่างๆ ตามที่ก าหนดไว้ในข้อ ๕ วรรคสอง แห่ง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนายจ้างก่อนที่จะด าเนินการ เสนอให้อธิบดีกรมแรงงานมีค าสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นต่อไปได้หรือไม่คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อ ๕ วรรคสอง แห่งประกาศ ของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ฯ ที่ก าหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งตามประกาศของ คณะปฏิวัติฉบับนี้มีอ านาจเข้าไปในสถานที่ท างานเพื่อตรวจตราสอบถามข้อเท็จจริง และมีอ านาจ เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง รวมทั้งให้ส่งหลักฐานหรือเอกสารต่างๆ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไป ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้มีความหมายแต่เพียงว่าเป็นการให้อ านาจพนักงานเจ้าหน้าที่ ตรวจตราสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกอบกิจการของนายจ้างว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ถูกต้องตามข้อก าหนดเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานในเรื่องต่างๆ ตามที่ก าหนดไว้ในข้อ ๒ แห่ง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งตามข้อ ๒ ดังกล่าวมิได้ก าหนดให้มีการควบคุม ทรัพย์สินของนายจ้างหรือก าหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องรายงานให้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทราบถึง ความเป็นอยู่ของทรัพย์สินของตนด้วยแต่อย่างใด ฉะนั้นการที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะใช้อ านาจ ตามข้อ ๕ วรรคสองแห่งประกาศ ของคณะปฏิวัติฉบับนี้ไปตรวจสอบทรัพย์สินของนายจ้าง ไม่ว่าจะกระท าไปเพื่อเหตุใดย่อมจะเป็นการกระท าที่เกินขอบเขตอ านาจหน้าที่ของพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ก าหนดไว้ อนึ่ง ข้อ ๑๐ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ฯ ได้ก าหนดไว้ด้วยว่า วิธีการในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามค าสั่งของอธิบดีกรมแรงงานนั้นให้ปฏิบัติตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ก็มิได้มีบทบัญญัติใดให้อ านาจเจ้าหนี้หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีสามารถใช้สิทธิบังคับเหนือลูกหนี้ ในอันที่จะด าเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนที่ศาลจะมีหมายบังคับคดีได้แต่อย่างใด ฉะนั้น ในกรณีนี้เมื่อมิได้มีกฎหมายบัญญัติให้อ านาจไว้โดยเฉพาะการปฏิบัติงานของพนักงาน เจ้าหน้าที่เพื่อท าการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของนายจ้างตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ฯ จึงสมควรเป็นไปในลักษณะเช่นเดียวกับการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่งด้วย โดยเหตุนี้การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งตามข้อ ๕ วรรคหนึ่ง
หน้า ๕๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวจะไปด าเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของนายจ้างล่วงหน้า เพื่อประโยชน์ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้นั้นต่อไป จึงเป็นการกระท าที่ล่วงละเมิดรบกวน สิทธิในทรัพย์สินของนายจ้างโดยไม่เป็นธรรมและมิได้มีกฎหมายบัญญัติรับรองให้มีอ านาจกระท าได้ ๒. ปัญหาประการที่สองที่หารือนี้ หากกระทรวงมหาดไทยจะออกประกาศโดย อาศัยอ านาจตามความในข้อ ๓๘ วรรคสาม แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ฯ ก าหนดระเบียบและวิธีการอันจ าเป็นเกี่ยวกับการด าเนินการตรวจสอบทรัพย์สินผู้ค้างช าระเงิน สมทบกองทุนเงินทดแทนและหรือเงินเพิ่มจะกระท าได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อได้พิจารณาในปัญหาประการแรกแล้วว่า ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๖ฯ มิได้ก าหนด ให้มีการควบคุมทรัพย์สินของนายจ้างได้ด้วยแต่ประการใด ฉะนั้น การที่กระทรวงมหาดไทย จะออกระเบียบโดยมีวัตถุประสงค์ในการให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของนายจ้างเพื่อประโยชน์ ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นตามข้อ ๑๐ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวต่อไป จึงเป็นการออกระเบียบเกินกว่าที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ให้อ านาจไว้กระทรวงมหาดไทย ย่อมไม่มีอ านาจด าเนินการเช่นนั้นได้ ๓. ปัญหาประการที่สามที่หารือว่า ความในข้อ ๓ วรรคสาม แห่งประกาศของ คณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ฯ ที่ก าหนดว่า "...ระเบียบวิธีการอันจ าเป็นเพื่อให้ส านักงานกองทุนเงิน ทดแทนด าเนินการตามวัตถุประสงค์..." นั้น จะสามารถตีความได้กว้างขวางเพียงใด ครอบคลุม ถึงกรณีใดบ้าง เช่น ก าหนดระเบียบเกี่ยวกับการเร่งรัดหนี้เงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและหรือ เงินเพิ่ม และระเบียบเกี่ยวกับการเร่งรัดดังกล่าว จะอยู่ในความหมายของข้อความดังกล่าวด้วยหรือไม่ นั้น เห็นว่า การที่ข้อ ๓ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวก าหนดให้กระทรวงมหาดไทยมีอ านาจ ออกระเบียบวิธีการอันจ าเป็นเพื่อให้ส านักงานกองทุนเงินทดแทนด าเนินการตามวัตถุประสงค์ ต่อไปนั้นย่อมหมายความว่ากฎหมายประสงค์จะให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา ก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการด าเนินกิจการต่างๆ ของส านักงานกองทุนเงินทดแทนในอันที่จะบริหารกองทุนเงิน ทดแทนให้บังเกิดผลส าเร็จตามภาระหน้าที่ที่ก าหนดไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ฯ ได้ตามที่กระทรวงมหาดไทยจะพิจารณาเห็นสมควรและเหมาะสม ฉะนั้น หากระเบียบที่กระทรวง มหาดไทยจะก าหนดขึ้นเป็นระเบียบที่มีสาระเกี่ยวเนื่องกับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของส านักงาน กองทุนเงินทดแทนในอันที่จะให้ส านักงานกองทุนเงินทดแทนปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ กองทุนเงินทดแทนให้ส าเร็จตามเป้าหมายโดยตรงก็ย่อมกระท าได้เสมอแต่ส าหรับระเบียบ ๒ เรื่อง ที่กรมแรงงานยกเป็นตัวอย่างหารือมาด้วยนั้น เนื่องจากมิได้มีรายละเอียดข้อเท็จจริงว่าระเบียบ ดังกล่าวประสงค์จะให้มีสาระเป็นอย่างใดบ้าง คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) จึงไม่อาจให้ความเห็นได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรกฎาคม ๒๕๓๒ //////////////////////////////
สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๓๔
หน้า ๕๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือ ด่วนมาก ที่ มท ๑๖๐๐/๑๙๙๗๖ ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ตามที่ได้มีการจัดตั้ง ส านักงานประกันสังคมขึ้น มีฐานะเป็นกรมในกระทรวงมหาดไทย เพื่อด าเนินการเกี่ยวกับการ ประกันสังคมตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๖ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ (ฉบับที่ ๓๓) พ.ศ. ๒๕๓๓ และได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๖ และมาตรา ๗ บัญญัติให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ข้าราชการ ลูกจ้าง เงินงบประมาณ และอ านาจหน้าที่ของกรมแรงงานและของเจ้าหน้าที่ของกรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับส านักงานกองทุน เงินทดแทน และงานกองทุนเงิน ทดแทนในส านักงานแรงงานจังหวัดไปเป็นของส านักงานประกันสังคม นั้น กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นว่า ต าแหน่งทางวิชาการด้านกองทุนเงินทดแทน จ านวน ๓ ต าแหน่ง ซึ่งเป็นต าแหน่งในราชการบริหารส่วนกลาง และต าแหน่งในฝ่ายยึดอายัด ทรัพย์สิน กองนิติการ กรมแรงงาน จ านวน ๑๑ ต าแหน่ง รวม ๑๔ ต าแหน่ง เป็นต าแหน่งที่ ปฏิบัติงานเกี่ยวกับส านักงานกองทุนเงินทดแทน จึงได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ มท ๐๒๐๓/๑๓๑๖๓ ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๓ และหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ มท ๑๑๒๑/๑๔๙๓๗ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๓ ตามล าดับ ขอให้ส านักงาน ก.พ. พิจารณาตัดโอนต าแหน่งข้างต้นไปเป็น ของส านักงานประกันสังคม ต่อมาส านักงาน ก.พ. ได้มีหนังสือ ที่ นร ๐๗๐๘/๓๐๒๘ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๓ แจ้งให้กระทรวงมหาดไทยทราบว่า ส านักงาน ก.พ. ได้พิจารณาถ้อยค า ตามตัวอักษรในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๓๓ แล้วเห็นว่าไม่สามารถตัดโอน ต าแหน่งข้างต้น รวม ๑๔ ต าแหน่ง ไปเป็นของส านักงานประกันสังคมได้ จึงควรหารือมายัง ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป เนื่องจากปัญหาข้างต้น เป็นปัญหาการตีความพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๓๓ กระทรวงมหาดไทยจึงขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตีความในปัญหาดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) ได้พิจารณาปัญหา ดังกล่าวโดยได้รับฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (ส านักงานประกันสังคม และกรมแรงงาน) และผู้แทนส านักนายกรัฐมนตรี (ส านักงาน ก.พ.) แล้ว มีความเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา ๖๑ ประกอบกับมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของ เรื่องเสร็จที่ ๗๖/๒๕๓๔ เรื่อง การโอนข้าราชการในส านักงานกองทุนเงินทดแทนในกรมแรงงาน ไปเป็นของส านักงานประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๓๓
หน้า ๕๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๓๓ นั้น มีผลเป็นการโอนส านักงานกองทุนเงินทดแทนซึ่งเป็นส่วนราชการในกรมแรงงานไปจัดตั้งขึ้นใหม่ ในส านักงานประกันสังคม ฉะนั้น การที่มาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้โอน ข้าราชการของกรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับส านักงานกองทุน เงินทดแทนไปเป็นของส านักงานประกันสังคมกระทรวงมหาดไทย จึงมุ่งหมายเฉพาะข้าราชการ ที่เคยปฏิบัติงานอยู่ในส านักงานกองทุนเงินทดแทนเดิมในกรมแรงงานที่ถูกโอนไปแล้ว ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น ที่จะต้องติดตาม ไปปฏิบัติงานอยู่ในส านักงานประกันสังคม แทนการปฏิบัติงานอยู่ในกรมแรงงานต่อไป โดยมิได้มีความหมายรวมไปถึงข้าราชการที่ปฏิบัติงาน อยู่ในส่วนราชการอื่นๆ ของกรมแรงงานแม้ว่าจะปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับกองทุนเงินทดแทน อยู่ด้วยก็ตาม เพราะส่วนราชการอื่นๆ นอกเหนือจากส านักงานกองทุนเงินทดแทนในกรมแรงงาน นั้นมิได้ถูกกระทบกระเทือนโดยผลของพระราชบัญญัตินี้ การด ารงต าแหน่งของข้าราชการ ในส่วนราชการนั้นๆ จึงยังคงเป็นไปดังเดิม มิได้อยู่ในบังคับของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มกราคม ๒๕๓๔ //////////////////////////////
หน้า ๕๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงาน ได้มีหนังสือ ที่ มท ๑๑๓๓/๖๖๔๓ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า เนื่องจากมาตรา ๒๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้บัญญัติว่า “กรณีมีผู้ยื่นค าขอจดทะเบียนสมาคม เกินกว่าหนึ่งราย หากค าขอจดทะเบียนรายใดมีข้อความและเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้อง ตลอดจนมีจ านวนผู้แสดงความจ านงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมถึงร้อยละสามสิบของพนักงานทั้งหมด ตามวรรคหนึ่งเป็นล าดับแรกให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนและออกใบส าคัญแสดงการจดทะเบียน แก่ผู้ยื่นค าขอจดทะเบียนรายนั้นก่อน ถ้ามีค าขอจดทะเบียนสมาคมที่มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน ถูกต้องตลอดจนมีผู้แสดงความจ านงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมถึงร้อยละสามสิบของพนักงานทั้งหมด ตามวรรคหนึ่งพร้อมกันตั้งแต่สองรายขึ้นไปให้นายทะเบียนด าเนินการให้ผู้ยื่นค าขอจดทะเบียน แต่ละรายมาร่วมพิจารณาท าความตกลงเพื่อรวมค าขอจดทะเบียนนั้นๆ ให้เป็นค าขอเดียวกัน ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ให้รับจดทะเบียนและออกใบส าคัญแสดงการจดทะเบียนแก่ผู้ยื่นค าขอ จดทะเบียนรายที่มีจ านวนรายชื่อผู้แสดงความจ านงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมมากที่สุด” ดังนั้น จึงมี ปัญหาว่าหากมีผู้ยื่นค าขอจดทะเบียนตั้งแต่สองรายขึ้นไปได้น าเอกสารหลักฐานตลอดจนรายชื่อ และลายมือชื่อผู้แสดงความจ านงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมซึ่งถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายก าหนด มายื่นต่อนายทะเบียนในวันเดียวกันแต่ต่างเวลากัน นายทะเบียนสมควรรับจดทะเบียนให้แก่ผู้ยื่น ค าขอรายใด กล่าวคือ หากถือว่าการยื่นในวันเดียวกันเป็นกรณี “พร้อมกัน” ตามบทบัญญัติ ดังกล่าวแล้ว นายทะเบียนย่อมมิอาจรับจดทะเบียนให้แก่ผู้ยื่นรายใดได้ แต่ต้องด าเนินการให้มี การตกลงรวมค าขอตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เสียก่อน แต่หากถือเอา“เวลา” เป็นเกณฑ์พิจารณาแล้ว รายที่ยื่นครบถ้วนก่อนรายอื่นที่ยื่นมาในวันเดียวกันย่อมมีสิทธิที่จะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียน สมาคม กรมแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่าการแปลความบทบัญญัติดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อ ประโยชน์ได้เสียของพนักงานรัฐวิสาหกิจโดยตรงจึงขอหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ค าว่า “พร้อมกัน” ดังกล่าวข้างต้นมีความหมายเพียงใด กล่าวคือหากมีการยื่นค าขอจดทะเบียน สมาคมฯ เกินกว่าหนึ่งรายขึ้นไปโดยมีเอกสารหรือหลักฐานอื่นใดถูกต้องครบถ้วนในวันเดียวกัน แต่ต่างเวลากันจะถือว่าเป็นกรณี“พร้อมกัน” ตามบทบัญญัติดังกล่าว หรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อถือ เป็นหลักปฏิบัติต่อไป คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๔) ได้พิจารณาปัญหา ดังกล่าวประกอบกับฟังข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้ว เห็นว่า ปัญหาที่กระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) หารือมาว่า กรณีที่มีผู้ยื่นค าขอจดทะเบียนสมาคม พนักงานรัฐวิสาหกิจตั้งแต่สองรายขึ้นไปได้น าเอกสารหลักฐานตลอดจนรายชื่อและลายมือชื่อ ผู้แสดงความจ านงเข้าเป็นสมาชิกสมาคมซึ่งถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายก าหนดมายื่น ต่อนายทะเบียน “ในวันเดียวกันแต่ต่างเวลากัน” จะถือว่าการยื่นค าขอจดทะเบียนสมาคมดังกล่าว เรื่องเสร็จที่ ๒๗๙/๒๕๓๔ เรื่อง การรับจดทะเบียนสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมาตรา ๒๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔
หน้า ๕๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นการยื่นค าขอจดทะเบียนสมาคมฯ พร้อมกันตามมาตรา ๒๖๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ หรือไม่ นั้น เป็นการพิจารณาตีความค าว่า “พร้อมกัน” ในมาตรา ๒๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวว่า จะถือ “วัน” หรือ “เวลา” เป็นเกณฑ์ ในการพิจารณา ซึ่งเมื่อพิจารณาค าว่า “พร้อมกัน” ในมาตรา ๒๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งบัญญัติว่าในกรณีที่มีผู้ยื่นค าขอจดทะเบียนสมาคม เกินกว่าหนึ่งรายให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนและออกใบส าคัญแสดงการจดทะเบียนฯ ให้แก่ ผู้ยื่นค าขอจดทะเบียนซึ่งมีเอกสารหลักฐานครบถ้วนและมีจ านวนผู้แสดงความจ านงเข้าเป็น สมาชิกสมาคมถึงร้อยละสามสิบของพนักงานทั้งหมดเป็นล าดับแรกแล้ว ค าว่า “พร้อมกัน” ดังกล่าวจึงหมายความว่าพร้อมกันทั้งในวันและเวลาเดียวกันด้วย ดังนั้น กรณีที่มีผู้ยื่นค าขอ จดทะเบียนสมาคมฯ เกินกว่าหนึ่งรายในวันเดียวกันแต่ต่างเวลากันจึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่มีผู้ยื่น ค าขอจดทะเบียนสมาคมฯ เกินกว่าหนึ่งราย “พร้อมกัน” ตามมาตรา ๒๖ วรรคสาม แห่ง พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๓๔ //////////////////////////////
หน้า ๕๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามหนังสือที่อ้างถึงความว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ออกพระราชกฤษฎีกา ออกตามในมาตรา ๔(๖) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เพื่อยกเว้นลูกจ้างบางประเภท มิให้อยู่ในข่ายบังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยให้รวมถึงลูกจ้างประจ าและลูกจ้างชั่วคราว และรองนายกรัฐมนตรี(นายมีชัย ฤชุพันธุ์) ได้ขอให้กรรมการร่างกฎหมายพิจารณาให้ความเห็น ในปัญหากฎหมายว่า การออกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะขัดกับพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ มาตรา ๔(๑) หรือไม่ และจะออกพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้นได้หรือไม่ โดยขอให้ด าเนินการ เป็นการด่วนภายใน ๒ สัปดาห์ด้วย ดังความทราบแล้วนั้น บัดนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๓) พิจารณา ปัญหาดังกล่าวข้างต้นเสร็จแล้ว มีความเห็นว่า โดยที่มาตรา ๔(๑) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วว่า มิให้น าพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาใช้บังคับแก่“ลูกจ้างประจ า” ของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ดังนั้น จึงไม่มีความจ าเป็นจะต้องอาศัยอ านาจตามมาตรา ๔(๖) ตราพระราชกฤษฎีกาก าหนด ยกเว้นขึ้นไว้ซ้ าซ้อนอีก ส าหรับ “ลูกจ้างชั่วคราว” ของส่วนราชการนั้น เห็นว่าการที่มาตรา ๔(๑) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ (๑) ข้าราชการ และลูกจ้างประจ าของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราว” ความที่ว่า “ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราว” นั้น เป็นการแสดงวัตถุประสงค์ของ กฎหมายแจ้งชัดว่าไม่ประสงค์จะยกเว้นการใช้บังคับพระราชบัญญัติประกันสังคม แก่ลูกจ้างชั่วคราว ดังนั้น การจะตราพระราชกฤษฎีกาก าหนดให้ลูกจ้างชั่วคราวของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จึงมี ผลเท่ากับเป็นการออกพระราชกฤษฎีกาแก้ไขมาตรา ๔(๑) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ เพื่อตัดข้อความว่า “ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราว”ออก ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อาจกระท าได้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๓) เห็นว่า หากรัฐบาลมีนโยบายที่จะยกเว้นมิให้น าพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาใช้บังคับแก่ “ลูกจ้างชั่วคราว” ก็อาจด าเนินการได้ โดยการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติใน (๑) แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ให้ชัดเจน และคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๓) ได้พิจารณายกร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอมาเพื่อ ประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีหลักการก าหนดให้แก้ไขเพิ่มเติม ความใน (๑) ของมาตรา ๔ จากเดิมที่ก าหนดว่า “ (๑) ข้าราชการและลูกจ้างของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่นยกเว้นลูกจ้างชั่วคราว” เป็น “(๑) ข้าราชการและ ลูกจ้างของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น” เรื่องเสร็จที่ ๔๘๒/๒๕๓๔ เรื่อง ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๔ (๖)
หน้า ๕๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา อนึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๓) ได้ตรวจพิจารณา แก้ร่างพระราชกฤษฎีกาก าหนดลูกจ้างตามมาตรา ๔(๖) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. .... ให้แล้วเสร็จในคราวเดียวกันนี้ด้วย โดยมีมติให้การแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ (๑) ได้แก้ไขความใน (๒) ของร่างมาตรา ๓ ที่ก าหนดว่า “ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ตามความหมายของค าว่า “รัฐวิสาหกิจ” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒” เป็น “ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ตามความหมายของค าว่า “รัฐวิสาหกิจ” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔” ทั้งนี้ เนื่องจากค าว่า“รัฐวิสาหกิจ” ควรอ้างถึงความหมายตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งถึงพนักงานรัฐวิสาหกิจโดยตรง และเป็นกฎหมายใหม่ซึ่งประกาศบังคับใช้ ภายหลังพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ถึง ๓๒ ปี และบทนิยามค าว่า “รัฐวิสาหกิจ” ตามกฎหมายใหม่นี้มีความหมายครอบคลุมค าว่า “รัฐวิสาหกิจ” ทุกประเภทอยู่แล้ว (๒) ได้ตัดความใน (๓) ของร่างมาตรา ๓ ในส่วนที่ก าหนดเกี่ยวกับลูกจ้างของ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ออก เนื่องจากได้มีการแก้ไข เพิ่มเติม (๑) ของมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ แล้ว รายละเอียดของความเห็นปรากฏตามบันทึกความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๓) เรื่อง ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๔ (๖) ร่างพระราชบัญญัติ ประสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาก าหนดลูกจ้างตามมาตรา ๔(๖) แห่ง พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. .... ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว (ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (๑) (๒) และ (๓) ที่ได้เสนอมาพร้อมหนังสือนี้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๓๔ //////////////////////////////
หน้า ๖๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงาน ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ มท ๑๑๑๕/๗๐๐๑ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาความว่า เนื่องจากคณะกรรมการสภาที่ปรึกษา เพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ(ชุดที่ ๖) ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีจัดตั้งโดยนายกรัฐมนตรีเพื่อท าหน้าที่ เป็นที่ปรึกษาด้านแรงงานของรัฐบาล ตามค าสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้หมดวาระลงเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๔ และตาม ค าสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับดังกล่าว ข้อ ๒ ได้ก าหนดให้ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างมาจากการเลือกตั้งของสมาคมนายจ้างและสหภาพแรงงาน กระทรวงมหาดไทย จึงได้มอบหมายให้กรมแรงงานด าเนินการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละ ๕ คน เพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงาน แห่งชาติ(ชุดที่ ๗) ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป กรมแรงงานได้จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในวันที่ ๗ และ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๔ ตามล าดับ โดยอาศัยระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย การก าหนด หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายลูกจ้างและผู้แทนฝ่ายนายจ้างเพื่อเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษา เพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติลงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๑ ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า มีพนักงาน รัฐวิสาหกิจ ๓ คน ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนฝ่ายลูกจ้างซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเสนอรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแต่งตั้งเป็นกรรมการ พร้อมกับผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ๕ คน และ ผู้ทรงคุณวุฒิอีก ๑๐ คน ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๓๔ ซึ่งแยกรัฐวิสาหกิจออกจากพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นผลให้สหภาพแรงงานและสมาคมนายจ้างที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ต้องหมดสภาพลง แต่เนื่องจากการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างได้ด าเนินการ ก่อนวันที่พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ มีผลใช้บังคับ กรมแรงงาน จึงขอหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นในปัญหาดังต่อไปนี้ ๑. พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ มีผลต่อการเลือกตั้ง และการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างที่มาจากรัฐวิสาหกิจหรือไม่ ๒. โดยข้อบัญญัติของค าสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ฯ พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ และจากผลของการเลือกตั้งดังกล่าว ซึ่งมีผู้แทนฝ่ายลูกจ้างที่มาจากสหภาพแรงงานภาคเอกชน จ านวน ๒ คน กระทรวงมหาดไทย จะท าการแต่งตั้งเฉพาะลูกจ้างภาคเอกชนดังกล่าวไปพลางก่อนแล้วแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายลูกจ้างอีก ๓ คน ภายหลังที่ได้ท าการเลือกตั้งใหม่แล้ว ได้หรือไม่ เรื่องเสร็จที่ ๕๑๔/๒๕๓๔ เรื่อง การเลือกตั้งและการแต่งตั้งกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างและกรรมการ ผู้แทนฝ่ายนายจ้างในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติตามค าสั่งของ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
หน้า ๖๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. กระทรวงมหาดไทยจะประกาศยกเลิกการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายลูกจ้างและผู้แทน ฝ่ายนายจ้างที่ได้ด าเนินการเลือกตั้งเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยังมิได้ มีค าสั่งแต่งตั้ง และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งสองฝ่ายโดยแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ก าหนดห้ามมิให้สหภาพแรงงานและสมาคมนายจ้างเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นพนักงาน รัฐวิสาหกิจและหรือผู้บริหารรัฐวิสาหกิจได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๔) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว ประกอบกับค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้วมีความเห็นดังนี้ ๑. ส าหรับปัญหาที่ว่า พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ มีผลต่อการเลือกตั้งและการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างที่มาจากรัฐวิสาหกิจ หรือไม่นั้น จากการสอบถามผู้แทนกระทรวงมหาดไทย(กรมแรงงาน) ได้ความว่า ในปัญหาข้อหารือนี้ กระทรวงมหาดไทยประสงค์จะขอความเห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะยังมีอ านาจ แต่งตั้งผู้ที่ได้รับเลือกตั้งที่เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจจ านวน ๓ คน ให้ด ารงต าแหน่งกรรมการผู้แทน ฝ่ายลูกจ้างในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ ได้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๔) ได้พิจารณาจากข้อ ๒๑ ของค าสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ฯ ซึ่งก าหนดว่า “ให้สภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วยกรรมการ ๒๐ คน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งโดยมีกรรมการ ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ๑๐ คน กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างและกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างฝ่ายละ ๕ คน ส่วนกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ๕ คน ให้บรรดาสมาคมนายจ้างทั่วราชอาณาจักรเป็นผู้เลือกตั้งขึ้น และกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ๕ คน ให้บรรดาสหภาพแรงงานทั่วราชอาณาจักรเป็นผู้เลือกตั้งขึ้น” แล้วเห็นว่า ผู้ที่จะมาเป็นกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างนั้นต้องเป็นผู้ที่ผ่านกระบวนการสรรหาโดย วิธีการเลือกตั้งจากบรรดาสหภาพแรงงานทั่วราชอาณาจักร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะต้องมีค าสั่งแต่งตั้งบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งนั้นเป็นกรรมการด้วย bแต่ส าหรับการเลือกตั้งเพื่อ สรรหาบุคคลที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๔ ตามปัญหาที่หารือ นั้น ปรากฏว่าบรรดาสหภาพแรงงาน ในขณะนั้นซึ่งรวมทั้งสหภาพแรงงานของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ด้วย ได้เป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างโดยเลือกจากผู้ที่เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๓ คน และลูกจ้าง ภาคเอกชน ๒ คน แต่ในระหว่างการเสนอชื่อบุคคลดังกล่าวเพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่งตั้งเป็นกรรมการนั้น ได้มีการประกาศใช้กฎหมายสองฉบับ คือ พระราชบัญญัติพนักงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งมีวัตถุประสงค์จะแยกความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในกิจกรรมหรือธุรกิจของเอกชน และระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในกิจกรรมธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของออกจากกันโดยให้อยู่ภายใต้ บังคับของกฎหมายคนละฉบับและมีผลท าให้กิจการรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ และสหภาพแรงงาน ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ตลอดจนคณะกรรมการสหภาพแรงงานและคณะกรรมการลูกจ้าง ในรัฐวิสาหกิจ นั้นๆ เป็นอันสิ้นสุดลง ไม่อาจด าเนินการใดๆ ในฐานะของสหภาพแรงงานหรือ