The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

หน้า ๑๐๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติสวัสดิการสังคม พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการสงเคราะห์และคุ้มครองผู้ด้อยโอกาส พ.ศ. ..... ซึ่งคณะกรรมการ นโยบายและประสานงานการด าเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมีมติให้กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมยกร่างขึ้นนั้นว่า ร่างพระราชบัญญัติสวัสดิการสังคมฯเป็นกฎหมายที่มีสาระส าคัญ เป็นนัยเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติการสงเคราะห์และคุ้มครองผู้ด้อยโอกาสฯ หรือไม่ ความละเอียดทราบแล้วนั้นส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอเรียนว่า ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริม การจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. .... (ร่างพระราชบัญญัติสวัสดิการสังคม พ.ศ. ....) ที่ได้ผ่านการพิจารณา ของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) และอยู่ระหว่างการด าเนินการ ของส านักงานฯ เพื่อเสนอไปยังส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนั้น มีหลักการเป็นการก าหนด ให้มีองค์กรเพื่อท าหน้าที่ก าหนดนโยบายและส่งเสริมให้มีการจัดสวัสดิการสังคม รวมทั้งประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ ในการจัดการสวัสดิการสังคมตามอ านาจหน้าที่ของหน่วยงานนั้นหรือตามที่ หน่วยงานดังกล่าวจะด าเนินการ และให้จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนองค์กรสาธารณะประโยชน์ ในการจัดสวัสดิการสังคม ซึ่งแม้ว่าการจัดการสวัสดิการสังคมในความหมายของร่างพระราชบัญญัตินี้ จะมีความหมายถึงการจัดบริการขั้นพื้นฐานหรืออ านวยความสะดวกแก่เด็ก เยาวชน คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสก็ตาม แต่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้มิได้มีบทบัญญัติโดยตรง เกี่ยวกับการที่รัฐจะด าเนินการให้ความคุ้มครองแก่บุคคลดังกล่าวในเรื่องใด กรณีนี้จึงเป็นเรื่อง ในทางนโยบายที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจะต้องพิจารณาว่า ตามหลักการของ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้พอเพียงแก่การให้ความคุ้มครองแก่บุคคลดังกล่าวตามบทบัญญัติ มาตรา ๕๓ และมาตรา ๘๐ ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม มีความเห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้สามารถน าไปปฏิบัติให้เป็นผลในการให้ความคุ้มครองแก่บุคคล ดังกล่าวตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ย่อมจะต้องมีหน้าที่ยืนยันความเห็นและนโยบาย ของกระทรวงฯ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป จึงมิใช่เป็นเรื่องที่อยู่ในอ านาจหน้าที่ของ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาให้ความเห็นได้ อนึ่ง กรณีที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมขอให้พิจารณาเปรียบเทียบร่าง พระราชบัญญัติสวัสดิการสังคม พ.ศ. .... กับร่างพระราชบัญญัติการสงเคราะห์และคุ้มครอง ผู้ด้อยโอกาส พ.ศ. .... ว่าเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาสาระเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่นั้น โดยที่ในขณะนี้ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมยังมิได้ยกร่างพระราชบัญญัติการสงเคราะห์และคุ้มครอง ผู้ด้อยโอกาส พ.ศ. .... จึงไม่อาจทราบได้ว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะมีหลักการและเนื้อหาสาระ เป็นอย่างใด ส านักงานฯ จึงไม่อยู่ ในฐานะที่จะให้ความเห็นเป็นประการใดได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม มีความเห็นว่า การจัดท าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว จะมีหลักการเป็นเช่นเดียวกับร่างพระราชบัญญัติสวัสดิการสังคม พ.ศ. .... กรณีย่อมเป็นเรื่อง ที่ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมที่จะต้องรายงาน เรื่องเสร็จที่ ๔๐/๒๕๔๒ เรื่อง หารือเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติสวัสดิการสังคม พ.ศ. ....


หน้า ๑๐๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติวินิจฉัยต่อไปดังที่กล่าวแล้วในตอนต้น ฉะนั้น ในปัญหาที่กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมหารือมาดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอ านาจหน้าที่ที่ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะพิจารณาให้ความเห็นได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มกราคม ๒๕๔๒ //////////////////////////////


หน้า ๑๐๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ รส ๐๒๑๓/๙๐๘ ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ได้มีค าสั่ง ที่ ๑๐/๒๕๔๑ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๑ แต่งตั้งคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จ านวน ๒๑ คน ประกอบด้วย กรรมการโดยต าแหน่ง ๖ คน กรรมการ ผู้แทนฝ่ายบริหาร ๕ คน กรรมการผู้แทนพนักงาน ๕ คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕ คน โดยมีวาระการด ารงต าแหน่ง ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๑ เป็นต้นไป และมี นายบุญจันทร์ เจริญรัมย์ นายกสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจองค์การส่งเสริมกิจการโคนม แห่งประเทศไทย เป็นกรรมการผู้แทนพนักงานด้วยต่อมาองค์การส่งเสริมกิจการโคนม แห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้มีค าสั่ง ที่ ๙๐/๒๕๔๒ ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ไล่นายบุญจันทร์ฯ ออกจากงานตั้งแต่วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ฐานขัดค าสั่งผู้บังคับบัญชา ละทิ้งหน้าที่ และผิดวินัยตามข้อบังคับของ อ.ส.ค. ซึ่งนายบุญจันทร์ฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการ อ.ส.ค. ขอให้พิจารณารับกลับเข้าท างานตามเดิมขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่าง การพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการ อ.ส.ค. กรณีดังกล่าวจึงท าให้เกิดปัญหาข้อกฎหมาย เกี่ยวกับสถานภาพการเป็นกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เนื่องจากนายบุญจันทร์ฯ เห็นว่า ตนยังคงมีคุณสมบัติในการเป็นกรรมการผู้แทนพนักงาน ในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เพราะมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ก าหนดเหตุแห่งการพ้นจากต าแหน่งกรรมการไว้ ๖ กรณี เท่านั้น โดยมิได้ก าหนด กรณีการขาดคุณสมบัติจากการเป็นพนักงานของกรรมการว่าต้องพ้นจากต าแหน่งด้วย ซึ่งผล การพิจารณาของ อ.ส.ค. อาจรับกลับเข้าเป็นพนักงานได้ตามเดิมกรณีดังกล่าว กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม เห็นว่า มาตรา ๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ ได้บัญญัติว่า ผู้แทนพนักงานตามวรรคหนึ่งให้นายกสมาคมคัดเลือกกันเองและเสนอชื่อให้ รัฐมนตรีแต่งตั้ง จะเห็นว่าคุณสมบัติของผู้แทนพนักงานต้องเป็นนายกสมาคมฯ เมื่อนายบุญจันทร์ฯ ถูกไล่ออกจากงานจึงไม่ได้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจแล้ว ย่อมพ้นจากการเป็นสมาชิกสมาคมฯ และนายกสมาคมฯจึงท าให้ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตั้งแต่วันที่ถูกไล่ออกจากงาน แม้ผลการอุทธรณ์ของนายบุญจันทร์ฯ ในภายหลังให้กลับเข้าท างาน เป็นพนักงานก็ตาม ก็ไม่มีผลให้นายบุญจันทร์ฯกลับคืนสภาพการเป็นสมาชิกสมาคมฯและนายกสมาคมฯ รวมทั้งกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ด้วย จึงขอหารือ คณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับสถานภาพการเป็นกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ของนายบุญจันทร์ฯ ว่ายังคงมีอยู่หรือไม่ เมื่อ อ.ส.ค. ได้มีค าสั่งไล่ออกแล้ว และหากผลการพิจารณาอุทธรณ์ของ อ.ส.ค. ให้รับนายบุญจันทร์ฯ กลับเข้าท างานตามเดิม จะพิจารณาอย่างไร เรื่องเสร็จที่ ๔๙๘/๒๕๔๒ เรื่อง สถานภาพการเป็นกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย)


หน้า ๑๐๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ได้รับฟังค าชี้แจง จากผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวง) แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริง เพิ่มเติมว่า องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้มีค าสั่งเพิกถอนค าสั่งให้ นายบุญจันทร์ เจริญรัมย์ ออกจากงาน และมีค าสั่งพักงานนายบุญจันทร์ฯแทนเพื่อพิจารณา ลงโทษทางวินัยต่อไป แต่อย่างไรก็ดี กระทรวงแรงงานฯ ได้ชี้แจงว่า กรณีปัญหาเช่นเดียวกับ กรณีนายบุญจันทร์ฯมีอยู่เป็นจ านวนมาก ซึ่งท าให้มีปัญหาในการพิจารณาสถานภาพการเป็น กรรมการผู้แทนพนักงานดังกล่าว ดังนั้น กระทรวงแรงงานฯ จึงขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาให้ความเห็นในปัญหานี้เป็นกรณีทั่วไป เพื่อเป็นบรรทัดฐานส าหรับการพิจารณา ของกระทรวงแรงงานฯ ต่อไป คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ได้พิจารณาข้อหารือ ดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ส านักงาน ปลัดกระทรวง) แล้ว มีความเห็น ดังนี้ ๑. กรณีกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ้นจาก การเป็นพนักงาน จะถือว่าพ้นจากการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้มาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ จะมิได้บัญญัติ ถึงเหตุแห่งการพ้นจากต าแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เพราะพ้นจากการเป็นพนักงาน รัฐวิสาหกิจไว้ก็ตาม แต่หากพิจารณาถึงที่มาของกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัตินี้แล้ว จะเห็นได้ว่า ผู้ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้ง เป็นกรรมการผู้แทนพนักงานจะต้องเป็นผู้ด ารงต าแหน่งนายกของสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งนายกของสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วยกันคัดเลือกขึ้นมา ดังนั้น การเป็นนายกของสมาคม พนักงานรัฐวิสาหกิจจึงเป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งให้ด ารงต าแหน่งกรรมการผู้แทนพนักงาน ในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ส าหรับต าแหน่งนายกของสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต าแหน่งหนึ่งในกรรมการสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ก าหนดว่า ผู้ซึ่งจะเป็นกรรมการสมาคมฯ ได้จะต้องเป็นสมาชิกของสมาคมฯ เท่านั้น และมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ยังก าหนดไว้ด้วยว่าผู้ซึ่งจะเป็นสมาชิกของสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจใด จะต้องเป็นพนักงาน ในรัฐวิสาหกิจนั้นด้วย ดังนั้น หากพ้นจากการเป็นพนักงานของรัฐวิสาหกิจแล้ว จึงเท่ากับว่า ผู้นั้นพ้นจากการเป็นสมาชิกสมาคมฯ กรรมการและนายกของสมาคมฯ ไปด้วย ตามมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ฉะนั้น เมื่อบุคคลผู้ด ารงต าแหน่ง กรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ้นจากการเป็นพนักงานของ รัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นผลให้พ้นจากการเป็นนายกสมาคมฯ อันเป็นคุณสมบัติของการเป็นกรรมการ ผู้แทนพนักงาน บุคคลผู้นั้นจึงต้องพ้นจากการเป็นกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ตั้งแต่วันที่พ้นจากการเป็นพนักงานเป็นต้นไป ๒.กรณีบุคคลตาม ๑. ได้อุทธรณ์ค าสั่งให้ออกจากพนักงานและผลการพิจารณาอุทธรณ์ ให้กลับเข้าท างานเป็นพนักงานตามเดิม สถานภาพการเป็นกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์จะเป็นอย่างไรนั้น เห็นว่า การยื่นอุทธรณ์เพื่อขอให้พิจารณารับกลับเข้าท างาน


หน้า ๑๐๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นพนักงานตามเดิมเป็นเพียงสิทธิอุทธรณ์ที่รัฐวิสาหกิจก าหนดให้บุคคลซึ่งรัฐวิสาหกิจมีค าสั่งให้ ออกจากงานสามารถจะกระท าได้เมื่อเห็นว่าตนถูกลงโทษไม่เป็นธรรม เช่น ตามที่ อ.ส.ค. ก าหนดไว้ในข้อ ๗๘ แห่งข้อบังคับ อ.ส.ค. ว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นต้น สถานภาพการเป็นพนักงานของบุคคลนั้นจะมีขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่รัฐวิสาหกิจนั้น ได้มีค าสั่งรับกลับ เข้าท างานเป็นพนักงานเป็นต้นไป ซึ่งมิได้มีผลให้กลับมาเป็นกรรมการผู้แทนพนักงานใน คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ได้อีก เนื่องจากในวันที่บุคคลดังกล่าวได้รับค าสั่งจาก รัฐวิสาหกิจให้พ้นจากการเป็นพนักงานนั้นได้ขาดคุณสมบัติในการเป็นกรรมการผู้แทนพนักงานไปแล้ว กล่าวคือมิได้ด ารงต าแหน่งนายกสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ และมิได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯ แล้ว ดังนั้น การที่บุคคลดังกล่าวจะกลับมาเป็นกรรมการผู้แทนพนักงานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ อีกนั้น ก็จะต้องด าเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยจะต้องเป็นสมาชิกสมาคมฯ ด ารงต าแหน่งนายกของสมาคมฯ และได้รับการคัดเลือกจาก นายกของสมาคมฯ ทั้งหมด เพื่อได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีเพื่อเป็นกรรมการผู้แทนพนักงาน ต่อไป ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๔๒ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๔


หน้า ๑๑๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ รส ๐๒๐๔/ว ๘๔๙ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๓ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอหารือในปัญหาข้อกฎหมาย โดยมีข้อเท็จจริงว่า กรมการจัดหางานเห็นว่าการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นการฟ้องคดีเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานและข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้างตามที่ก าหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมอาศัยอ านาจ ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ของ กรมการจัดหางานที่มีคุณวุฒิไม่ต่ ากว่าปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ให้มีอ านาจฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดี ต่อศาลแรงงาน ในข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ใน ๔ กรณีคือ (๑) คนหางานฟ้องผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อให้ชดใช้ค่าบริการ และค่าใช้จ่าย ในส่วนที่เสียเงินคืนให้ครบจ านวน (๒) คนหางานฟ้องเรียกชดใช้ค่าบริการและค่าใช้จ่ายที่เสียไปคืน กรณีนายทะเบียน จัดหางานกลางไม่สามารถหักหลักประกันได้ เพราะหลักฐานไม่ชัดเจนว่าผู้รับอนุญาตจัดหางาน ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ (๓)คนหางานฟ้องผู้รับอนุญาตจัดหางานในฐานะเป็นตัวแทนของนายจ้าง ในต่างประเทศตามสัญญาจ้างแรงงานที่ท ากับคนหางาน (๔) คนหางานฟ้องบุคคลที่ตกลงจะจัดส่งคนหางานไปต่างประเทศ แต่ไม่สามารถ จัดส่งไปได้ เพื่อขอให้ชดใช้ค่าบริการและค่าใช้จ่ายคืน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีความเห็นว่า จากเรื่องที่กรมการจัดหางาน เสนอมา ๔ กรณี แม้จะเป็นคดีแรงงานตามมาตรา ๘ (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่ลักษณะคดีตามกรณี (๑) (๒) และ (๔) เป็นการเรียกร้องเอาค่าบริการและค่าใช้จ่ายคืนจากผู้รับอนุญาต จึงมิใช่การฟ้องคดีหรือแก้ต่าง คดีแรงงานที่เกิดขึ้นจากข้อโต้แย้ง อันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ส่วนลักษณะคดีตามกรณี (๓) เป็นเรื่องที่คนหางานฟ้องร้อง ผู้รับอนุญาตที่เป็นตัวแทนที่ท าสัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศหรือมีภูมิล าเนาในต่างประเทศ ตามมาตรา ๘๒๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นการฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาจ้าง แรงงาน มิได้หมายความรวมถึงการฟ้องคดีตามสิทธิที่ลูกจ้าง ควรได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เนื่องจากการจ้างงานมิได้กระท าในประเทศไทย กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมมีความเห็นเป็นอย่างเดียวกับกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน และมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้ เรื่องเสร็จที่ ๔๑/๒๕๔๔ เรื่อง การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑


หน้า ๑๑๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ๑. กรณีคนหางานฟ้องผู้รับอนุญาตจัดหางานในฐานะเป็นตัวแทนของนายจ้าง ในต่างประเทศตามประเด็น (๓) เป็นการฟ้องคดีตามสัญญาจ้างแรงงาน สมควรให้กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานซึ่งรับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นผู้พิจารณาตามอ านาจหน้าที่ ๒. กรณี (๑) (๒) และ (๔) เป็นการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งแม้จะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงาน แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของ “คนหางาน” มิใช่ “ลูกจ้าง” จึงน ามาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาใช้บังคับไม่ได้ ๓. มาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ก าหนดให้ รัฐมนตรีผู้รักษาการมีอ านาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีคุณวุฒิไม่ต่ ากว่าปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ เพื่อมีอ านาจฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีแรงงานให้แก่ลูกจ้าง หรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่ง ถึงแก่ความตายได้จนคดีถึงที่สุด โดยให้กระทรวงแรงงานฯ แจ้งให้ศาลทราบ นั้น เป็นกรณี การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ก าหนด ดังนั้น การที่จะอาศัยบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อแต่งตั้งข้าราชการของกรมการจัดหางาน เป็นผู้มีอ านาจฟ้องหรือแก้ต่างคดีตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ จึงเป็นเรื่องการด าเนินการที่ไม่มีกฎหมายให้อ านาจในเรื่องดังกล่าวไว้ และไม่สามารถด าเนินการ แต่งตั้งโดยอาศัยข้อกฎหมายดังกล่าวได้ กรณีดังกล่าวกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเห็นว่าเป็นเรื่องที่หน่วยงาน มีความเห็นในข้อกฎหมายที่แตกต่างกัน จึงขอหารือข้อกฎหมายดังกล่าวมา คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้ฟังค าชี้แจงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม กรมการจัดหางาน และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) แล้ว ได้ความตามค าชี้แจงว่า กรมการจัดหางาน ซึ่งมีอ านาจหน้าที่ในการด าเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน ได้ปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแก่คนหางานที่ถูกหลอกลวงให้เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปท างานในต่างประเทศสูงกว่าอัตราที่กฎหมายก าหนด หรือเสียค่าใช้จ่ายแล้วไม่สามารถเดินทาง ไปท างานได้หรือเดินทางไปท างานแล้วไม่ได้ท างานหรือไม่ได้รับค่าจ้างตามสัญญา และกรมการจัดหางาน ได้ให้ความช่วยเหลือในทุกด้านที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนหางาน โดยเฉพาะกรณีคนหางานฟ้อง ผู้รับอนุญาตจัดหางานให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานชดใช้ค่าบริการและค่าใช้จ่ายคืน หรือฟ้องผู้รับ อนุญาตจัดหางานในฐานะเป็นตัวแทนของนายจ้างในต่างประเทศให้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงาน ที่ท ากับคนหางาน หรือฟ้องบุคคลที่ตกลงจะจัดส่งคนหางานไปท างานต่างประเทศแต่ไม่สามารถ จัดส่งไปได้เพื่อให้ชดใช้ค่าบริการและค่าใช้จ่ายคืน ซึ่งกรณีต่างๆ เหล่านี้ กล่าวโดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ มีจ านวนประมาณ ๒๐๐ ราย ซึ่งคนหางานส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในกระบวนการ พิจารณาของศาลแรงงานและตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ กรมการจัดหางานจะจัดนิติกร ให้ความช่วยเหลือ แก่คนหางานในการฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีต่อศาลแรงงานโดยตลอด ได้แก่ การร่างค าฟ้อง การจัดเตรียมเอกสาร และการให้ค าปรึกษาการด าเนินคดีต่อศาลแรงงานทุกขั้นตอน กรมการจัดหางาน จึงเห็นว่าเพื่อให้คนหางานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและได้รับบริการจากรัฐในการฟ้องคดี


หน้า ๑๑๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือแก้ต่างคดีพิพาทตามกฎหมายว่าด้วยการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน ควรจัดให้มี พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการด าเนินคดีที่เกิดขึ้น ตามกฎหมายจัดหางานและคุ้มครองคนหางานเป็นทนายความว่าคดีให้แก่คนหางานดังกล่าว แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่ได้บัญญัติให้มี การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอ านาจฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีแรงงานให้แก่คนหางานไว้ กรณีดังกล่าวนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมอาจอาศัยอ านาจตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ให้มีอ านาจฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีแรงงานให้คนหางานได้ เพราะคดีแรงงานตามพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ก็เป็นคดีแรงงานตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามค าวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษา ศาลแรงงานกลางซึ่งได้วินิจฉัยไว้แล้วในหลายคดี คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาแล้ว เห็นว่า กรณีที่หารือมีประเด็น ที่ต้องพิจารณาเพียงว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจะอาศัยอ านาจ ตามความในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่งตั้งให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานมีอ านาจฟ้องคดีแรงงานให้แก่คนหางานตามพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้หรือไม่ มิใช่ประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าคดีแรงงานตาม พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นคดีแรงงานที่อยู่ในอ านาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือไม่ ดังนั้น จึงไม่อาจอ้างค าวินิจฉัยของอธิบดี ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางที่ ๒๐-๒๒/๒๕๓๓ ซึ่งวินิจฉัยว่า คดีพิพาทตามพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ถือเป็นคดีพิพาทตามกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงานอยู่ด้วย มาเป็นแนวทางหรือเป็นหลักในการพิจารณาตามข้อหารือในกรณีนี้ได้ เพราะค าวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยเกี่ยวกับเขตอ านาจ ของศาลแรงงานตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มิใช่ค าวินิจฉัยตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาตามที่หารือมา ส าหรับประเด็นตามข้อหารือ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาแล้ว เห็นว่า มาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มีเจตนารมณ์เป็นการเฉพาะ ที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอ านาจในการฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีให้แก่ลูกจ้างหรือทายาท ของลูกจ้าง ในกรณีลูกจ้างถึงแก่ความตายในกรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ความหมายของ “คดีแรงงาน” ดังกล่าวจึงต้องเป็นคดีแรงงานของ “ลูกจ้าง” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เท่านั้น ไม่อาจขยายความให้ รวมไปถึงคดีแรงงานของ “คนหางาน” ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ด้วย เพราะหากกฎหมายประสงค์ที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอ านาจฟ้องคดี หรือแก้ต่างคดีแรงงานในกฎหมายเรื่องใดก็จะบัญญัติไว้ในกฎหมายเรื่องนั้นเป็นการเฉพาะไว้ โดยชัดแจ้งดังเช่น ตามข้อ ๖ ของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๕


หน้า ๑๑๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา และตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจะอาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอ านาจฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีแรงงาน ให้แก่คนหางานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) มีข้อเสนอแนะว่า กรณีที่ คนหางานมีข้อพิพาทเป็นคดีแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ นั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในปัจจุบันเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานได้ให้ความช่วยเหลือแก่คนหางาน ในการด าเนินคดีต่อศาลแรงงานอยู่แล้ว ดังนั้น หากกรมการจัดหางานประสงค์จะให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีอ านาจฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีให้แก่คนหางานได้ ก็สมควรเสนอต่อ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเพื่อขอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมมีอ านาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอ านาจฟ้องคดีหรือแก้ต่างคดีแรงงาน ให้แก่คนหางานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้ด้วย ก็จะเหมาะสมและเป็นคุณประโยชน์แก่คนหางานจ านวนมากรายที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่ ในขณะนี้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มกราคม ๒๕๔๔ //////////////////////////////


หน้า ๑๑๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กลต. น. ๙๗๒/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ขอให้ตีความตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพที่ได้รับแต่งตั้งให้จัดการกองทุนที่ลูกจ้างและนายจ้างตกลงกัน จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๓) ให้ยังคงมีอ านาจจัดการกองทุนได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปี โดยให้น าบทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติ ของผู้จัดการกองทุน การจัดการกองทุนและการก าหนดโทษที่ใช้บังคับอยู่ก่อนมาใช้บังคับกับ ผู้จัดการกองทุนในระหว่างนี้ด้วย และเพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลการจัดการกองทุนของ ผู้จัดการกองทุน นายทะเบียนอาจประกาศก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จัดการกองทุน ต้องปฏิบัติเพิ่มเติมได้ ก่อนที่พระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ สมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพได้มีหนังสือ ที่ ส.ก.ช. ๐๐๑/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๓ เรื่อง ขอให้พิจารณายกเลิกวิธีการบันทึกบัญชี และหนังสือ ที่ ส.ก.ช. ๐๒๙/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๓ เรื่อง น าส่งร่างประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๑/๒๕๔๓ ถึงผู้อ านวยการส านักงานเศรษฐกิจการคลัง (นายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพในขณะนั้น) เพื่อขอความเห็นชอบในการเปลี่ยนวิธีการพิจารณาตีราคาหลักทรัพย์ของกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ เกี่ยวกับการบันทึกราคาของพันธบัตรรัฐบาลและตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ าประกัน ต้นเงินและดอกเบี้ยจากการบันทึกบัญชีด้วยวิธีมูลค่าตามบัญชี เป็นการบันทึกบัญชีด้วยราคาตลาด ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๔๒ โดยยกเลิกความในข้อ ๓ (๓) ของประกาศสมาคมฯ ที่ ๓/๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์การตีราคาหลักทรัพย์ และให้น าหลักเกณฑ์ในข้อ ๔ (๓) มาใช้ บังคับแทน กล่าวคือ การค านวณมูลค่าเพื่อน าไปใช้ค านวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ จากค าว่า “ให้ใช้มูลค่าตามบัญชี” เป็น “ให้ค านวณเป็นราคาตลาด” ประกอบกับส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กลต. น. ๔๔๕/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๓ เรื่อง การตีราคา หลักทรัพย์ของกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ถึงผู้อ านวยการส านักงานเศรษฐกิจการคลัง สรุปความได้ว่า การก าหนดให้ตีราคาพันธบัตรรัฐบาลและตราสารแสดงสิทธิ์ในหนี้ที่กระทรวงการคลัง ค้ าประกัน ต้นเงินและดอกเบี้ยโดยใช้มูลค่าตามบัญชีนั้น เป็นการไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๔๒ เรื่อง การบัญชีส าหรับกิจการที่ด าเนินธุรกิจเฉพาะด้านการลงทุนที่ก าหนดให้บันทึกบัญชี ตามมูลค่ายุติธรรม และเนื่องจากมาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ก าหนดให้การจัดการกองทุนที่จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่ พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ต้องเป็นไปตามกฎกระทรวง ประกาศ ค าสั่ง ฯลฯ ที่ใช้บังคับ เรื่องเสร็จที่ ๙๕/๒๕๔๔ เรื่อง การแก้ไขประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒


หน้า ๑๑๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปีดังนั้น จึงจ าเป็นต้องแก้ไขประกาศสมาคมฯ ที่ ๓/๒๕๔๑ ให้แล้วเสร็จ ก่อนวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๓ ตามที่สมาคมฯ ได้ขอให้นายทะเบียนพิจารณาให้ความเห็นชอบ แต่นายทะเบียนมิได้ให้ความเห็นชอบร่างประกาศสมาคมฯ ที่ ๑/๒๕๔๓ เมื่อพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ ส านักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือ ที่ กค ๐๓๐๕/๑๒๐๖ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๓ เรื่อง ขอให้พิจารณายกเลิกวิธีการบันทึกบัญชี ถึงเลขาธิการส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยแจ้งว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีด าริให้ส านักงาน คณะกรรมการ ก.ล.ต. รับเรื่องนี้ไปพิจารณาต่อไป ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นว่า การแก้ไขหลักเกณฑ์การตีราคาพันธบัตร รัฐบาลและตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ าประกันต้นเงินและดอกเบี้ยจากมูลค่า ตามบัญชี เป็นมูลค่ายุติธรรมนั้น จะต้องแก้ไขประกาศสมาคมฯ ที่ ๓/๒๕๔๑ แต่โดยที่ประกาศ สมาคมฯ ฉบับดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก่อนวันที่ พระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับ มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ก าหนดให้ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะ นายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพมีอ านาจก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จัดการกองทุน ต้องปฏิบัติเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ดี ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นความจ าเป็นที่จะต้อง แก้ไขประกาศสมาคมฉบับดังกล่าว เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีกระทบต่อประโยชน์ของสมาชิกกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพในการจ่ายผลประโยชน์ จากกองทุนให้แก่สมาชิกที่จะสิ้นสมาชิกภาพ ส านักงาน คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงขอความอนุเคราะห์ให้การพิจารณาการตีความตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอ านาจในการแก้ไขประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๓/๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์ การตีราคาหลักทรัพย์หรือไม่ ต่อมาส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีหนังสือ ด่วน ที่ กลต. น. ๑๕๖๔/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกประกาศสมาคมผู้จัดการ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับล าดับ การออกประกาศสมาคมฯ ดังนี้ ๑. ข้อ ๒.๕ ของประกาศส านักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง การก าหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และขั้นตอนในการขออนุญาตและการอนุญาตให้เพิ่มประเภทผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ก าหนดให้ผู้จัดการกองทุนจะต้องเข้าเป็นสมาชิกชมรมหรือสมาคมที่กลุ่มผู้จัดการกองทุนรวมตัวกัน จัดตั้งขึ้น และต้องปฏิบัติงานอยู่ในระเบียบที่ชมรมหรือสมาคมและนายทะเบียนก าหนดทุกประการ ๒. ส านักงานเศรษฐกิจการคลังได้รับรองสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่จัดตั้งขึ้นและก าหนดให้ผู้จัดการกองทุนต้องเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฯ ส่วนการก าหนดหลักเกณฑ์ หรือระเบียบให้สมาชิกถือปฏิบัติจะต้องให้ส านักงานเศรษฐกิจการคลังพิจารณาด้วย ๓. ส านักงานเศรษฐกิจการคลังได้พิจารณาร่างประกาศสมาคมฯ เกี่ยวกับการตีราคา หลักทรัพย์โดยการค านวณเป็นราคาตลาด ซึ่งต่อมารัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบประกาศสมาคมฯ


หน้า ๑๑๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ ๒/๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์การตีราคาหลักทรัพย์ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๑ มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ ๔. ส านักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กค ๐๓๐๕/๗๐๖๔ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๑ เรื่อง การตีราคาหลักทรัพย์ ตอบข้อหารือของคณะกรรมการ กองทุนฯ ว่า ประกาศสมาคมฯ ที่ ๒/๒๕๔๑ เป็นประกาศที่ทางการก าหนดขึ้นตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ๕. ส านักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กค ๐๓๐๕/๗๕๕๙ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๑ แจ้งให้สมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพปรับปรุงประกาศสมาคมฯ ที่ ๒/๒๕๔๑ ตามแนวทางของรัฐมนตรีกล่าวคือ เปลี่ยนจาก “การค านวณเป็นราคาตลาด” เป็น “ให้ใช้มูลค่าตามบัญชี” โดยรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบประกาศสมาคมฯ ที่ ๓/๒๕๔๑ มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๑ ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงขอหารือเพิ่มเติมว่า (๑) หนังสือของส านักงานเศรษฐกิจการคลัง ด่วนมาก ที่ กค ๐๓๐๕/๗๐๖๔ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๑ และ ด่วนมาก ที่ กค ๐๓๐๕/๗๕๕๙ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๑ ถือเป็นหลักเกณฑ์หรือค าสั่งตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่ เนื่องจากประกาศสมาคมฯ ฉบับดังกล่าวส านักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้มอบอ านาจให้สมาคมฯ เป็นผู้ออก (๒) หากส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะนายทะเบียนประสงค์จะให้ ความเห็นชอบการแก้ไขประกาศสมาคมฉบับดังกล่าวจะสามารถด าเนินการได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวโดยฟังค าชี้แจง ข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงการคลัง (ส านักงานเศรษฐกิจการคลัง) และผู้แทนส านักงาน คณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว มีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง การแก้ไขประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๓/๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์การตีราคาหลักทรัพย์ โดยส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในฐานะนายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ จะขัดหรือแย้งกับมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่ นั้น เห็นว่า ประกาศสมาคมผู้จัดการ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๓/๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์การตีราคาหลักทรัพย์ ลงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๑ เป็นข้อก าหนดของสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเกี่ยวกับหลักการบัญชี และวิธีการค านวณมูลค่าของหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อน าไปใช้ค านวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ของกองทุนส ารองเลี้ยงชีพในการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัญญัติว่า การจัดการและค่าใช้จ่าย ในการจัดการกองทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในกฎกระทรวง ซึ่งข้อ ๓ และข้อ ๔ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดการเงินกองทุนและการตีราคาหลักทรัพย์ไว้ ประกอบกับข้อ ๒.๔ ของประกาศส านักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง การก าหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และขั้นตอนในการขออนุญาตและการอนุญาตให้เพิ่มประเภทผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ


หน้า ๑๑๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ก าหนดให้ผู้จัดการกองทุนต้องเป็นสมาชิกของสมาคมที่กลุ่มผู้จัดการกองทุนรวมตัวกันจัดตั้งขึ้น และต้องปฏิบัติงานอยู่ในระเบียบที่สมาคมและนายทะเบียนก าหนดทุกประการ เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๔ โดยพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่บัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพมีหน้าที่และอยู่ในบังคับบทบัญญัติ เกี่ยวกับการจัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และมาตรา ๑๓๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติว่าผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคลต้องจัดการกองทุนส่วนบุคคลตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศก าหนด แต่เพื่อให้การจัดการกองทุนของผู้จัดการ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุน ส่วนบุคคลตามมาตรา ๑๓๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว สามารถจัดการกองทุน ที่ได้ด าเนินการอยู่แล้ว ก่อนวันที่พระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับให้เป็นไปโดยต่อเนื่อง มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงได้ก าหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับผู้จัดการกองทุนที่มีลักษณะดังกล่าว ให้ยังคงจัดการกองทุนได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ และเพื่อ ประโยชน์ในการควบคุมดูแลการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเดิมให้มี มาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ใกล้เคียงกับผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้บัญญัติให้ ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะนายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ มีอ านาจก าหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ให้ผู้จัดการกองทุนปฏิบัติเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ มาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังได้ก าหนดบทเฉพาะกาล เพื่อรองรับบรรดากฎกระทรวงที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดการกองทุน ฯลฯ ให้ยังคงใช้บังคับกับผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเดิมได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปีเช่นเดียวกัน จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า มาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นบทเฉพาะกาลที่บัญญัติ ให้ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะนายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพมีอ านาจหน้าที่ ควบคุมดูแลการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเดิมให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ประกาศส านักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง การก าหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และขั้นตอนในการขออนุญาต และการอนุญาตให้เพิ่มประเภทผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ รวมทั้งประกาศสมาคมผู้จัดการ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๓/๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์การตีราคาหลักทรัพย์ โดยนายทะเบียน สามารถก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการควบคุมดูแลการจัดการกองทุนของ ผู้จัดการกองทุนเพิ่มเติมได้เท่านั้น ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศก าหนด เพื่อให้ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเดิมมีมาตรฐานใกล้เคียงกับผู้จัดการกองทุน ส่วนบุคคล ตามนัยมาตรา ๑๓๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์


หน้า ๑๑๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ และโดยที่การออกประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๓/๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์การตีราคาหลักทรัพย์ เป็นการปฏิบัติตามหนังสือและประกาศของส านักงาน เศรษฐกิจการคลังซึ่งเป็นนายทะเบียน (เดิม) ที่ก าหนดให้ผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพต้องเข้า เป็นสมาชิกของสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพและต้องปฏิบัติอยู่ในระเบียบตามที่สมาคม ก าหนดไว้ ประกาศสมาคมฉบับดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ตามมาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ยังคงใช้บังคับกับผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเดิมได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติ ดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น การแก้ไขข้อ ๓ (๓) ของประกาศสมาคมฉบับดังกล่าวเกี่ยวกับ การตีราคาพันธบัตรรัฐบาลและตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ าประกันต้นเงิน และดอกเบี้ย เพื่อน าไปใช้ค านวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ จากค าว่า “ให้ใช้มูลค่าตามบัญชี” เป็น “ให้ใช้มูลค่ายุติธรรม” จึงเป็นการแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับการจัดการกองทุน ของผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเดิมซึ่งมาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ มิได้บัญญัติให้อ านาจนายทะเบียนท าการแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพที่มีอยู่เดิม ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงไม่มีอ านาจแก้ไขประกาศสมาคมฉบับดังกล่าว เนื่องจากไม่เป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ ของบทเฉพาะกาลตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ทั้งนี้ จนกว่าระยะเวลาหนึ่งปี ตามบทเฉพาะกาลจะได้ล่วงพ้นไปแล้ว ประเด็นที่สอง หนังสือส านักงานเศรษฐกิจการคลัง ด่วนมาก ที่ กค ๐๓๐๕/๗๐๖๔ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๑ เรื่อง การตีราคาหลักทรัพย์ และหนังสือส านักงานเศรษฐกิจการคลัง ด่วนมาก ที่ กค ๐๓๐๕/๗๕๕๙ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๑ เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ การตีราคาหลักทรัพย์ของกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ถือเป็นหลักเกณฑ์หรือค าสั่งตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่ นั้น เห็นว่า หนังสือส านักงานเศรษฐกิจการคลัง ด่วนมาก ที่ กค ๐๓๐๕/๗๐๖๔ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๑ เรื่อง การตีราคาหลักทรัพย์ เป็นหนังสือของผู้อ านวยการส านักงานเศรษฐกิจการคลังในฐานะ นายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเพื่อตอบข้อหารือของคณะกรรมการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ เกี่ยวกับอ านาจในการออกประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๒/๒๕๔๑ โดยชี้แจงว่า ประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนฉบับดังกล่าวมีความถูกต้องตามกฎหมายโดยรัฐมนตรีได้ให้ ความเห็นชอบแล้ว และขอให้สมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ น าประกาศดังกล่าวเพื่อใช้ บังคับกับสมาชิกต่อไป และให้แจ้งต่อสมาชิกและคณะกรรมการกองทุนที่มีข้อสงสัยทราบด้วย ส าหรับหนังสือส านักงานเศรษฐกิจการคลัง ด่วนมาก ที่ กค ๐๓๐๕/๗๕๕๙ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๑ เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การตีราคาหลักทรัพย์ของกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพเป็นหนังสือของนายทะเบียนเพื่อแจ้งให้สมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ


หน้า ๑๑๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรับปรุงแก้ไขประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๒/๒๕๔๑ ในส่วนที่รัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบในการแก้ไขเพิ่มเติม จะเห็นได้ว่าหนังสือส านักงานเศรษฐกิจการคลังทั้งสองฉบับเป็นหนังสือเวียนของ นายทะเบียนเกี่ยวกับการจัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเพื่อแจ้งให้สมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ และผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและปฏิบัติตาม ดังนั้น หนังสือส านักงานเศรษฐกิจการคลังทั้งสองฉบับ จึงเป็นหลักเกณฑ์ที่อยู่ภายใต้บังคับบทเฉพาะกาลตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยยังคงมีผลใช้บังคับกับผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ได้รับการแต่งตั้งก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปี ประเด็นที่สาม หากส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะนายทะเบียน ประสงค์จะให้ความเห็นชอบร่างประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๑/๒๕๔๓ ที่ได้แก้ไขประกาศสมาคมฯ ที่ ๓/๒๕๔๑ จะสามารถด าเนินการได้หรือไม่ นั้น เห็นว่า ร่างประกาศสมาคมผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ที่ ๑/๒๕๔๓ เป็นร่างประกาศที่สมาคม ผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพจัดท าขึ้นเพื่อแก้ไขความในข้อ ๓ (๓) ของประกาศสมาคมฯ ที่ ๓/๒๕๔๑ โดยน าหลักเกณฑ์ตามข้อ ๔ (๓) มาใช้บังคับแทน กล่าวคือ การค านวณมูลค่าเพื่อ น าไปใช้ค านวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจากค าว่า “ให้ใช้มูลค่าตามบัญชี” เป็น “ให้ค านวณเป็นราคาตลาด” ซึ่งนายทะเบียน (ผู้อ านวยการส านักงานเศรษฐกิจการคลัง) ยังมิได้พิจารณาให้ความเห็นชอบ การที่ร่างประกาศสมาคมฯ ที่ ๑/๒๕๔๓ ได้มีการแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเดิม จากการใช้มูลค่า ตามบัญชีเป็นการให้ค านวณเป็นราคาตลาด ซึ่งมาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับมาตรา ๑๓๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้นายทะเบียน อาจประกาศก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จัดการกองทุนต้องปฏิบัติเพิ่มเติมได้ ในกรณีที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมดูแลการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนเท่านั้น มิได้บัญญัติให้อ านาจนายทะเบียนท าการแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดการ กองทุนของผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพที่มีอยู่เดิมภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติ ดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น ส านักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะนายทะเบียนจึงไม่มีอ านาจ ให้ความเห็นชอบร่างประกาศสมาคมฯ ที่ ๑/๒๕๔๓ จนกว่าจะพ้นระยะเวลาหนึ่งปีตามบทเฉพาะกาล ในมาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ //////////////////////////////


หน้า ๑๒๐ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามที่ท่าน (นายประเสริญ พิงตุคุ) ได้หารือไปยังส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในปัญหาเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับของบริษัท ซีเทรคสากล จ ากัด ในเรื่องการเกษียณอายุของลูกจ้าง ซึ่งระบุไว้แตกต่างกันระหว่างระเบียบข้อบังคับฉบับซึ่งแจ้งหรือส่งส าเนาต่อกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมและฉบับซึ่งใช้อยู่ปัจจุบันในบริษัทฯ ว่าการกระท าของบริษัทฯ ดังกล่าว มีความผิดตามกฎหมายใด อย่างไร หรือไม่นั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอเรียนว่า การให้ความเห็นทางกฎหมายของ คณะกรรมการกฤษฎีกานั้น จะต้องเป็นไปตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒ กล่าวคือ คณะกรรมการฯ มีอ านาจหน้าที่ให้ความเห็นทางกฎหมายแก่ “หน่วยงานของรัฐ” เท่านั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่อาจด าเนินการตามที่ท่านหารือได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหา กฎหมายซึ่งท่านขอให้วินิจฉัยนั้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดูแลรับผิดชอบให้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น ท่านสามารถปรึกษาหารือ หรือร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าวได้ ซึ่งหากที่ท าการบริษัทฯ ตั้งอยู่ใน พื้นที่เขตวัฒนา เขตคลองเตย และเขตสวนหลวง ท่านอาจติดต่อโดยตรงไปที่ส านักงาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่วัฒนา หมายเลขโทรศัพท์๓๙๑๙๔๕๙๒, ๓๘๑๘๓๕๔ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เมษายน ๒๕๕๔ ////////////////////////////// เรื่องเสร็จที่ ๑๙๗/๒๕๔๔ เรื่อง ขอให้วินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับการก าหนดเกษียณอายุการท างานของพนักงาน ตามระเบียบข้อบังคับของบริษัทฯ ไว้แตกต่างจากที่แจ้งต่อ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม


หน้า ๑๒๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎรกา กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ รส ๐๖๐๗/๒๐๙๙ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่ากระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมได้ตรวจสอบข้อบังคับของสภาองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้าและ อุตสาหกรรมไทย ที่ได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ก าหนดให้ สมาชิกของสภาองค์การนายจ้างประกอบด้วยสมาชิก ๒ ประเภท กล่าวคือ สมาชิกสามัญ ได้แก่ สมาคมนายจ้าง หรือสหพันธ์นายจ้าง และสมาชิกสมทบ ได้แก่ นิติบุคคลที่มีใบอนุญาต ประกอบธุรกิจการค้าและหรืออุตสาหกรรมตามกฎหมาย โดยสมาชิกสมทบไม่มีสิทธิออกเสียง ในการลงมติกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมพิจารณาเห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ บัญญัติให้มีองค์การฝ่ายนายจ้างได้ ๓ ระดับ คือ สมาคมนายจ้าง สหพันธ์นายจ้าง และสภาองค์การนายจ้าง และสมาชิกขององค์การฝ่ายนายจ้างทั้ง ๓ ระดับ จะต้องมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิจัดตั้งองค์การฝ่ายนายจ้างโดยเป็นนายจ้างที่ประกอบกิจการประเภทเดียวกัน กล่าวคือ สมาชิกสมาคมนายจ้างมาจากนายจ้างที่ประกอบกิจการประเภทเดียวกัน สมาชิกสหพันธ์ นายจ้างมาจากสมาคมนายจ้างตั้งแต่ ๒ สมาคมขึ้นไปที่มีสมาชิกประกอบกิจการประเภทเดียวกัน ส่วนสมาชิกสภาองค์การนายจ้างนั้น มาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ บัญญัติให้สิทธิเฉพาะสมาคมนายจ้างหรือสหพันธ์นายจ้างเป็นผู้มีสิทธิจัดตั้งสภาองค์การนายจ้าง ดังนั้น สมาชิกสภาองค์การนายจ้างจึงต้องเป็นสมาคมนายจ้างหรือสหพันธ์นายจ้างเท่านั้น นายจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มิได้มีการรวมตัวกันจดทะเบียนเป็นสมาคมนายจ้าง จึงไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกสภาองค์การนายจ้างได้ การก าหนดให้มีสมาชิกสมทบไว้ในข้อบังคับ ของสภาองค์การนายจ้างอันเป็นข้อก าหนดว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกับสภาองค์การ นายจ้างในการด าเนินกิจการจึงไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย ประการส าคัญ ขณะนี้ สภาองค์การนายจ้างหลายแห่งพยายามขอจดทะเบียนข้อบังคับโดยก าหนดให้มีสมาชิกสมทบ เพื่อประโยชน์ของสภาองค์การนายจ้างในการอ้างสิทธิความเป็นผู้แทนของนายจ้างที่เป็นสมาชิกสมทบ ท าให้เกิดความสับสนและเป็นปัญหาต่อการปฏิบัติตามกฎหมาย เนื่องจากขัดต่อหลักการรวมตัวกัน ของฝ่ายนายจ้างตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่บัญญัติให้ นายจ้างต้องรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสมาคมนายจ้างก่อนแล้วสมาคมนายจ้างจึงจะรวมตัวกัน เป็นสหพันธ์นายจ้างหรือสภาองค์การนายจ้างต่อไป การที่สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทยก าหนดให้มี สมาชิกสมทบไว้ในข้อบังคับจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายสมควรเพิกถอนการจดทะเบียน แต่เนื่องจาก การเพิกถอนดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของสภาองค์การนายจ้างและนายจ้างที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับมีความเห็นแย้งว่า เมื่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มิได้บัญญัติ เกี่ยวกับสมาชิกของสภาองค์การนายจ้างไว้โดยชัดแจ้ง จึงเป็นสิทธิของสภาองค์การนายจ้างที่จะ เรื่องเสร็จที่ ๕๑๕/๒๕๔๔ เรื่อง การเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การนายจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘


หน้า ๑๒๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎรกา ก าหนดให้มีสมาชิกสมทบไว้ในข้อบังคับโดยไม่ขัดต่อกฎหมายใดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม จึงขอหารือปัญหาข้อกฎหมายเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการอย่างถูกต้องต่อไป ดังนี้ ๑. นายจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมนายจ้าง หรือสหพันธ์นายจ้างมีสิทธิเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การนายจ้างได้หรือไม่ ๒.สภาองค์การนายจ้างสามารถรับบุคคลหรือนิติบุคคลที่มิได้จดทะเบียนเป็นสมาคม นายจ้างหรือสหพันธ์นายจ้างเข้าเป็นสมาชิกสมทบได้หรือไม่ ๓. สภาองค์การนายจ้างสามารถก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสมาชิกสมทบไว้ใน ข้อบังคับของสภาองค์การนายจ้างได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะที่ ๙) ได้ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวงและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) แล้ว ได้ความว่า ศาลปกครองกลางได้มีค าพิพากษาเกี่ยวกับประเด็นข้อหารือของกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม สรุปว่า การที่สภาองค์การนายจ้างแต่ละแห่งจะมีสมาชิกสมทบหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามข้อบังคับของสภาองค์การนายจ้างซึ่งต้องจดทะเบียนต่อกระทรวงแรงงานและ สวัสดิการสังคม จึงต้องถือว่าสมาชิกสมทบเป็นส่วนหนึ่งของสภาองค์การนายจ้าง และขณะนี้ คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดโดยมีประเด็นเกี่ยวกับการนับจ านวน สมาชิกสมทบของสภาองค์การนายจ้างรวมอยู่ด้วย คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมประกอบกับข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นแล้ว มีความเห็นดังนี้ ๑. นายจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมนายจ้าง หรือสหพันธ์นายจ้างมีสิทธิเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การนายจ้างได้หรือไม่ นั้น เห็นว่ามาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยค าสั่งของคณะปฏิรูป การปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๖ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นบทบัญญัติที่ก าหนด หลักเกณฑ์การจัดตั้ง สภาองค์การนายจ้างโดยบัญญัติให้สมาคมนายจ้างหรือสหพันธ์นายจ้าง ไม่น้อยกว่าห้าแห่ง อาจจัดตั้งสภาองค์การนายจ้างเพื่อส่งเสริมการศึกษาและส่งเสริมการแรงงาน สัมพันธ์และความในวรรคสามของมาตราเดียวกันได้บัญญัติให้น าบทบัญญัติว่าด้วยสมาคมนายจ้าง ในหมวด ๖ และสหพันธ์นายจ้างในหมวด ๘ มาใช้บังคับแก่สภาองค์การนายจ้างโดยอนุโลม เมื่อพิจารณาบทบัญญัติว่าด้วยสมาคมนายจ้างในมาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่บัญญัติว่า “ผู้ซึ่งจะเป็นสมาชิกของสมาคมนายจ้างได้จะต้องเป็นนายจ้างที่ประกอบ กิจการประเภทเดียวกัน ...ฯลฯ...” และบทบัญญัติว่าด้วยสหพันธ์นายจ้างในมาตรา ๑๑๒ แห่ง พระราชบัญญัติดังกล่าวที่บัญญัติว่า “สมาคมนายจ้างตั้งแต่สองสมาคมขึ้นไปที่มีสมาชิกประกอบ กิจการประเภทเดียวกันอาจรวมกันจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหพันธ์นายจ้าง...ฯลฯ...” ประกอบการ พิจารณาด้วยแล้ว จะเห็นได้ว่าองค์การฝ่ายนายจ้างมีด้วยกัน ๓ ระดับ กล่าวคือ สมาคมนายจ้าง เป็นองค์กร ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของนายจ้างที่ประกอบกิจการประเภทเดียวกันจ านวนไม่น้อยกว่า สามคนเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างและระหว่างนายจ้างด้วยกัน เมื่อนายทะเบียน ได้จดทะเบียนแล้วสมาคมนายจ้างย่อมมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้ ตามมาตรา ๕๔ มาตรา ๕๕


หน้า ๑๒๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎรกา มาตรา ๕๖ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ สหพันธ์นายจ้าง เป็นองค์กรซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสมาคมนายจ้างตั้งแต่สองสมาคมขึ้นไปที่มี สมาชิกประกอบกิจการประเภทเดียวกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสมาคมนายจ้างและคุ้มครองผลประโยชน์ของสมาคมนายจ้างและนายจ้าง เมื่อได้จัดตั้ง และนายทะเบียนได้จดทะเบียนแล้วสหพันธ์นายจ้างย่อมมีฐานะเป็นนิติบุคคลต่างหากจากสมาคม นายจ้าง ตามมาตรา ๑๑๒ มาตรา ๑๑๕ และมาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ สภาองค์การนายจ้าง เป็นองค์กรสูงสุดของฝ่ายนายจ้างซึ่งเกิดจากการรวมตัวของ สมาคมนายจ้างหรือสหพันธ์นายจ้างตั้งแต่ห้าสมาคมหรือห้าสหพันธ์ขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริมการศึกษาและส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ เมื่อได้จัดตั้งและนายทะเบียนได้จดทะเบียนแล้ว สภาองค์การนายจ้างย่อมมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายต่างหากจากสมาคม นายจ้างและสหพันธ์นายจ้างที่เป็นสมาชิก อย่างไรก็ตาม แม้สมาคมนายจ้างและสหพันธ์นายจ้าง จะมีสมาชิกเป็นนายจ้างที่ประกอบกิจการประเภทเดียวกันก็ตามแต่เมื่อสมาคมนายจ้างและ สหพันธ์นายจ้างมีการรวมกันเป็นสภาองค์การนายจ้างแล้ว สภาองค์การนายจ้างก็อาจมีสมาชิก ที่มาจากนายจ้างซึ่งประกอบกิจการต่างประเภทกันได้ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๑๔ ได้บัญญัติเรื่อง การเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์นายจ้างว่า “การเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์นายจ้าง...ฯลฯ.. จะกระท าได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจ านวนสมาชิก ทั้งหมดของแต่ละสมาคมนายจ้างฯ “ส่วนการเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การนายจ้างนั้น มาตรา ๑๑๙ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม ได้บัญญัติให้น า บทบัญญัติว่าด้วยสมาคมนายจ้างในหมวด ๖ และสหพันธ์นายจ้างในหมวด ๘ มาใช้บังคับแก่ สภาองค์การนายจ้างโดยอนุโลม จะเห็นได้ว่า กฎหมายได้ก าหนดขั้นตอนการเข้าเป็นสมาชิกของ สหพันธ์นายจ้างไว้อย่างชัดเจนว่า สมาคมนายจ้างแต่ละสมาคมหากประสงค์จะเข้าเป็นสมาชิก ของสหพันธ์นายจ้างจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกในสมาคมนายจ้างของตนด้วยคะแนนเสียง เกินกึ่งหนึ่ง และสภาองค์การนายจ้างจะต้องน าหลักเกณฑ์การเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์นายจ้าง มาใช้บังคับกับการเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การนายจ้างด้วย กล่าวคือ สมาชิกของสภาองค์การ นายจ้างจะต้องประกอบไปด้วยสมาคมนายจ้างหรือสหพันธ์นายจ้าง โดยสมาคมนายจ้างหรือ สหพันธ์นายจ้างที่จะเข้าจัดตั้งหรือเป็นสมาชิกสภาองค์การนายจ้างจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก นายจ้างซึ่งเป็นสมาชิกในสมาคมนายจ้างนั้นหรือได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกในสหพันธ์นายจ้างนั้น ด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจ านวนสมาชิกทั้งหมดของแต่ละสมาคมนายจ้างหรือแต่ละ สหพันธ์นายจ้างตามมาตรา ๖๓ ประกอบกับมาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ดังนั้น นายจ้างซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของสมาคมนายจ้างหรือมิได้เป็น สมาชิกของสหพันธ์นายจ้างจึงไม่อาจเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การนายจ้างได้ แต่ทั้งนี้มิได้ห้าม นายจ้างหรือบุคคลอื่นที่จะเข้ามาร่วมกิจกรรมของสภาองค์การนายจ้างตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ในฐานะอื่นที่มิใช่สมาชิกตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ส าหรับประเด็นปัญหาที่ ๒ และ ๓ นั้น กรณีได้ความตามค าพิพากษาของ ศาลปกครองกลาง และค าอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีลงวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๔ ว่า ทั้งสองฝ่าย


หน้า ๑๒๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎรกา ยังมีประเด็นข้อโต้แย้งเรื่อง การน าจ านวนสมาชิกสมทบของสภาองค์การนายจ้างมานับรวมกับ จ านวนสมาชิกของสภาองค์การนายจ้างในการพิจารณาคัดเลือกผู้แทนข้างมากที่สุดให้เป็นผู้แทน ฝ่ายนายจ้าง เพื่อเข้าร่วมประชุมใหญ่ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และขณะนี้คดีอยู่ระหว่าง การพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ดังนั้น ปัญหาข้อกฎหมาย เรื่องสมาชิกสมทบที่ได้ขอหารือ มาจึงเป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาลตามข้อ ๙(๑) แห่งระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการร่างกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) จึงไม่อาจพิจารณาให้ความเห็นตามข้อหารือทั้ง ๒ ประเด็น ดังกล่าวได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน ๒๕๔๔ //////////////////////////////


หน้า ๑๒๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้ขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายว่า การขยายความคุ้มครองประกันสังคมกับลูกจ้างในสถานประกอบการ ที่มีลูกจ้าง ๕ คน ขึ้นไป มีความชอบด้วยบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นของสิทธิและความเท่าเทียมกันของลูกจ้างในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง น้อยกว่า ๕ คน ที่ไม่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ดังความละเอียดทราบแล้วนั้นส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอเรียนว่า การประกันสังคม เป็นส่วนหนึ่งของหลักประกันที่รัฐจัดให้แก่ประชาชนสืบเนื่องจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๖ ที่บัญญัติเป็นแนวนโยบายว่า “รัฐต้องส่งเสริมให้ประชากรวัยท างานมีงานท า คุ้มครองแรงงานโดยเฉพาะแรงงานเด็กและแรงงานหญิง จัดระบบแรงงานสัมพันธ์การประกันสังคม รวมทั้งค่าตอบแทนแรงงานให้เป็นธรรม” ซึ่งระบบการประกันสังคมของรัฐจะมีรูปแบบใดหรือ ให้การประกันในระดับใดย่อมขึ้นอยู่กับความพร้อมของรัฐและสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ กลุ่มบุคคลที่จะได้รับหลักประกันในด้านต่างๆ และสวัสดิการที่บุคคลเหล่านั้นอาจได้รับจากรัฐ ตามกฎหมายอื่นหรือจากนายจ้างโดยถือเป็นหนึ่งของค่าตอบแทนแรงงานที่เป็นธรรม ความพร้อม ของบุคคลในการออมทรัพย์เพื่อสร้างหลักประกันให้แก่ตนเอง ตลอดจนความเป็นไปได้ในการบริหาร จัดการระบบประกันสังคมและการบังคับใช้กฎหมายประกอบด้วย ส าหรับในประเทศไทยนั้น รัฐพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมแล้วเห็นว่า สมควรแบ่งความช่วยเหลือออกเป็น ๒ ระดับ คือ ระดับแรกเป็นการช่วยเหลือแก่บุคคลผู้ยากไร้ กลุ่มหนึ่ง และอีกระดับหนึ่ง คือ การให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะที่พอจะช่วยเหลือ ตนเองได้โดยในกลุ่มผู้ยากไร้ รัฐจะให้ความช่วยเหลือโดยไม่คิดมูลค่า เช่น การได้รับการรักษา พยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่มาตรา ๕๒ ของรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติไว้ อย่างไรก็ดีความช่วยเหลือดังกล่าวจะมีมาตรฐานขั้นต่ าอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับฐานะ ทางการคลังของประเทศที่จะต้องเฉลี่ยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเท่าเทียมกันในกลุ่มผู้ยากไร้ส าหรับ บุคคลผู้อยู่ในฐานะที่พอจะช่วยเหลือตนเองได้นั้น รัฐได้ใช้นโยบายประกันสังคมภาคบังคับ ในการพยายามกระตุ้นให้บุคคลดังกล่าวเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างหลักประกันให้แก่ตนเอง เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการให้ผู้ประกันตนออกเงินส่วนหนึ่ง โดยรัฐออกเงินสมทบ ให้ส่วนหนึ่งและนายจ้างของบุคคลนั้นออกเงินสมทบด้วยอีกส่วนหนึ่ง ในการนี้รัฐได้ตรา พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ขึ้นใช้บังคับ เพื่อสร้างหลักประกันให้แก่ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงานและบุคคลโดยทั่วไปด้วยการให้ประโยชน์ทดแทนในกรณีต่างๆ ได้แก่ ประโยชน์ทดแทน กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ หรือกรณีว่างงาน ตามเงื่อนไขที่ก าหนด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมาตรฐานของหลักประกัน ที่บุคคลกลุ่มนี้ได้รับจะสูงกว่าบุคคลกลุ่มแรกได้รับ เนื่องจากมีส่วนของเงินที่บุคคลนั้นและ เรื่องเสร็จที่ ๕๔๖/๒๕๔๔ เรื่อง การขยายความคุ้มครองประกันสังคมกับลูกจ้าง ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง ๑ คนขึ้นไป


หน้า ๑๒๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา นายจ้างจ่ายเพื่อช่วยเหลือรวมอยู่ด้วยส าหรับประเด็นที่ว่า การประกันสังคมภาคบังคับจะจ ากัด ให้กับบุคคลเพียงบางกลุ่มจะสามารถกระท าได้หรือไม่นั้น โดยหลักแล้วบุคคลย่อมมีสิทธิ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐ หากจะมีข้อยกเว้นใดก็ย่อมต้องเป็นเพราะเหตุจ าเป็นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จึงจะไม่ขัดต่อบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญในแง่ของความเท่าเทียมกันตามกฎหมาย โดยในการจ ากัดขอบเขตความครอบคลุม ประกันสังคมภาคบังคับนี้ บางประเทศอาจใช้อัตราเงินเดือนของลูกจ้างเป็นเกณฑ์ บางประเทศ อาจพิจารณาจากความสามารถในการช่วยเหลือตนเองของบุคคลเป็นเกณฑ์หรือบางประเทศอาจจ ากัด ตามขนาดของกิจการหรือจ านวนลูกจ้างของกิจการเช่นเดียวกับแนวทางตามกฎหมายว่าด้วย ประกันสังคมของประเทศไทย ซึ่งกรณีหลังนี้จะเป็นไปตามหลักความเสมอกันของบุคคลที่จะได้รับ ความช่วยเหลือจากรัฐก็ต่อเมื่อมีปัญหาจ าเป็นในการบริการจัดการระบบการประกันสังคมท าให้ ไม่อาจจัดระบบช่วยเหลือแก่บุคคลทั้งหมดได้ดังนั้น หากรัฐพิจารณาเป็นว่ายังไม่อาจขยายความ ครอบคลุมประกันสังคมกับลูกจ้างในกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ ๑ คนขึ้นไปในขณะนี้ เพราะมีเหตุ จ าเป็นใดที่ไม่อาจจัดให้ได้โดยน้ าหนักเพียงพอที่สามารถอธิบายได้ เมื่อชั่งผลกระทบต่อประโยชน์ ได้เสียแล้ว ก็ย่อมไม่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในแง่ของความเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กันยายน ๒๕๕๔ //////////////////////////////


หน้า ๑๒๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้มีหนังสือที่ พณ ๐๖๐๖/๒๐๔๗ ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า กรมทะเบียนการค้าได้รับการหารือจากสมาคมธนาคารต่างชาติและสมาคมบริษัทเงินทุนเกี่ยวกับ ปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่าการ ประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และ การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นธุรกิจ ที่มีกฎหมายอื่นก าหนดเรื่องการถือหุ้น การเป็นหุ้นส่วนหรือการลงทุนของคนต่างด้าว การอนุญาต หรือการห้ามคนต่างด้าวในการประกอบธุรกิจบางประเภท หรือก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องน าความในพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ไปใช้บังคับในส่วนที่มีกฎหมายอื่นก าหนดไว้เป็นการเฉพาะ ตามนัยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจ ดังกล่าวจึงไม่ต้องด าเนินการแจ้งต่ออธิบดีกรมทะเบียนการค้าเพื่อขอหนังสือรับรองตามมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ใช่หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้เจ้าหน้าที่กรมทะเบียนการค้ามีความเห็นเป็นสองฝ่าย ดังนี้ ฝ่ายแรก เห็นว่า (๑) มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ได้ก าหนดข้อยกเว้น ส าหรับธุรกิจที่มีกฎหมายอื่นก าหนดเรื่องการถือหุ้น การเป็นหุ้นส่วนหรือการลงทุนของคนต่างด้าว การอนุญาตหรือการห้ามคนต่างด้าวในการประกอบธุรกิจบางประเภท หรือก าหนดหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ก็ให้เป็นไปตามกฎหมายเฉพาะนั้น โดยไม่ให้น าพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ไปใช้บังคับกับคนต่างด้าวนั้นอีก เพื่อมิให้เกิดความซ้ าซ้อนของการบังคับใช้กฎหมาย (๒) ธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ เป็นธุรกิจที่มีกฎหมายเฉพาะคือ พระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ก าหนดเรื่อง การถือหุ้น การลงทุน การอนุญาต ตลอดจน ก าหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงเป็นผลให้ คนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องแจ้งขอหนังสือรับรองต่ออธิบดี กรมทะเบียนการค้า แม้กรมทะเบียนการค้าจะถือว่าเป็นธุรกิจบริการตามบัญชีสาม (๒๑) ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ก็ตาม ฝ่ายที่สอง เห็นว่า (๑) ธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ไม่เป็นธุรกิจที่มีกฎหมายเฉพาะก าหนดเรื่องการถือหุ้น การเป็นหุ้นส่วน การลงทุนของคนต่างด้าว การอนุญาตหรือการห้ามคนต่างด้าวในการประกอบธุรกิจบางประเภท เรื่องเสร็จที่ ๕๘๕/๒๕๔๔ เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒


หน้า ๑๒๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพราะพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ฯ และพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจ เครดิตฟองซิเอร์ฯ ไม่มีบทนิยามเกี่ยวกับคนต่างด้าวหรือบทบัญญัติที่ก าหนดลักษณะของความเป็น คนต่างด้าวไว้ (๒) การจะถือว่าธุรกิจใดมีกฎหมายก าหนดไว้เป็นการเฉพาะกฎหมายดังกล่าว ควรจะต้องบัญญัติไว้อย่างชัดเจนถึงความเป็นคนต่างด้าว และก าหนดหลักเกณฑ์เรื่องการถือหุ้น การเป็นหุ้นส่วน การลงทุนของคนต่างด้าว การอนุญาตหรือการห้ามคนต่างด้าวในการประกอบธุรกิจ บางประเภท หรือก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไว้อย่างชัดเจน (๓) มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ มิได้มีผลเป็นการยกเว้น ให้การประกอบธุรกิจตามกฎหมายเฉพาะไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ ของคนต่างด้าวฯ ทั้งหมด เพียงแต่ยกเว้นเฉพาะเรื่องการถือหุ้น การเป็นหุ้นส่วน การลงทุนของ คนต่างด้าว การอนุญาตหรือการห้ามคนต่างด้าวในการประกอบธุรกิจบางประเภท หรือก าหนด หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเท่านั้น ส่วนในเรื่องอื่นๆ ก็ต้องเป็นไปตาม บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ทั้งนี้ หากกฎหมายประสงค์ จะยกเว้นไม่น าพระราชบัญญัติดังกล่าวไปใช้บังคับแก่ธุรกิจใดจะต้องบัญญัติไว้อย่างชัดเจน (๔) ธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ เป็นธุรกิจบริการตามบัญชีสาม (๒๑) ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ คนต่างด้าวที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจดังกล่าว ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจ และส าหรับคนต่างด้าว ที่ประกอบธุรกิจดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว ต้องแจ้งขอหนังสือรับรองต่ออธิบดีตาม มาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๖) ได้เชิญผู้แทนกระทรวงพาณิชย์(กรมทะเบียน การค้า และส านักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์) ผู้แทนกระทรวงการคลัง (ส านักงานเศรษฐกิจการคลัง) และผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทยมาชี้แจงประเด็นที่หารือเพิ่มเติม ซึ่งผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) ได้ตั้งข้อหารือมาใหม่ให้ชัดเจนขึ้น ดังนี้ (๑) การประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ เป็นธุรกิจที่อยู่ในข่ายได้รับยกเว้นมิให้น าความในพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ ของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ มาใช้บังคับตามนัยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ (๒) ผู้ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ จะต้องแจ้งเพื่อขอหนังสือรับรอง ตามมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่ หรือจะต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๖ ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวข้างต้นแล้ว มีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง เห็นว่า พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นการประกอบธุรกิจ ด้านการค้าหรือบริการ ส าหรับข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ ของคนต่างด้าวฯ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นจากหลักทั่วไปนั้นต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ เฉพาะกรณี


หน้า ๑๒๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่กฎหมายอื่นได้ก าหนดเรื่องการถือหุ้น การเป็นหุ้นส่วน การลงทุนของคนต่างด้าว การอนุญาต หรือการห้ามคนต่างด้าวในการประกอบธุรกิจบางประเภท หรือก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไว้เป็นประการใดเท่านั้น จึงให้ใช้บังคับตามกฎหมายดังกล่าว และไม่ให้น าความในพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ มาใช้บังคับเฉพาะในส่วน ที่มีกฎหมายอื่นก าหนดไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ก็ดี พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.๒๕๒๒ ก็ดีได้ก าหนดเรื่องดังกล่าวข้างต้นไว้หรือไม่ ถ้ามีบทก าหนด เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่ระบุไว้ก็ไม่น าความในพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ไปใช้บังคับในส่วนของเรื่องนั้นๆ นอกเหนือจากนั้น บทบัญญัติของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ ของคนต่างด้าวฯยังต้องใช้บังคับกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การที่ข้อความของบทบัญญัติ มาตรา ๑๓ บัญญัติเป็นข้อยกเว้นว่า “มิให้น าความในพระราชบัญญัตินี้ไปใช้บังคับในส่วนที่มี กฎหมายอื่นก าหนดไว้เป็นการเฉพาะแล้ว” มิได้ท าให้เป็นการยกเว้นไม่ใช้พระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ทั้งฉบับ ดังนั้น ส่วนหนึ่งส่วนใดที่กฎหมายอื่นมิได้ก าหนดไว้ เป็นการเฉพาะในเรื่องที่ระบุ ก็ต้องใช้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าวฯ บังคับ ประเด็นที่สอง มีปัญหาที่พิจารณา ๒ ประการ คือ (๑) คนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจ การธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์อยู่แล้วจะต้องแจ้ง เพื่อขอหนังสือรับรองตามมาตรา ๔๕ หรือไม่ และ (๒) คนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจดังกล่าว จะต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ปัญหาประการแรกนั้น เห็นว่ามาตรา ๔๕ เป็นการพิจารณาองค์ประกอบของ กรณีที่เข้าข่ายที่ต้องด าเนินการแจ้งต่ออธิบดีเพื่อขอหนังสือรับรอง ดังนี้ (๑) เป็นคนต่างด้าว (๒) ประกอบธุรกิจประเภทที่ก าหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ อยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ และ (๓) ธุรกิจที่ประกอบนั้นเป็นธุรกิจที่ไม่ได้ก าหนด ไว้ในบัญชีท้ายประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๑ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕ องค์ประกอบประการแรก เห็นว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ และ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ฯ ไม่มีบทนิยาม ค าว่า“คนต่างด้าว” ไว้เป็นการเฉพาะ ดังนั้น การพิจารณาความเป็นคนต่างด้าวในการประกอบธุรกิจ จึงต้องเป็นไปตามบทนิยามค าว่า “คนต่างด้าว” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ ของคนต่างด้าวฯ องค์ประกอบประการที่สอง เห็นว่า ธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ เป็น “การท าธุรกิจบริการอื่น” ตามบัญชีสาม (๒๑) ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ เนื่องจากบัญชีท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้ก าหนดขึ้นให้สอดคล้องกับความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ(GATS) ซึ่งตามความตกลงดังกล่าว ได้ให้ค าจ ากัดความค าว่า “บริการการเงิน” (financial services) คือ การบริการใดๆ ที่มีลักษณะ ทางการเงิน และรวมถึงการธนาคารและการบริการทางการเงินอื่นๆ ทั้งปวงนอกจากนั้นการที่ กระทรวงพาณิชย์ก าลังด าเนินการในขณะนี้เพื่อออกกฎกระทรวงยกเว้นให้ธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ไม่อยู่ในบัญชีสาม (๒๑) ท้ายพระราชบัญญัติ


หน้า ๑๓๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ เป็นการชี้ให้เห็นว่าธุรกิจดังกล่าวข้างต้น เป็นธุรกิจบริการ ตามบัญชีสาม (๒๑) ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ องค์ประกอบประการที่สามเห็นว่า ธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ เป็นธุรกิจบริการที่อยู่ในบัญชีค. หมวด ๓ ท้ายประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๑ฯ เนื่องจากมีลักษณะเป็นการให้บริการอย่างหนึ่ง แม้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๑ฯ จะไม่ได้ระบุเป็นประเภทของธุรกิจไว้เป็นการเฉพาะก็ตาม แต่ค าว่า“การประกอบธุรกิจบริการ” ตาม บัญชีค. หมวด ๓ ท้ายประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๖ มีความเห็นว่า มีความหมายเช่นเดียวกับ “การท าธุรกิจบริการ” ตามบัญชีสาม (๒๑) ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ และโดยที่ธุรกิจดังกล่าว ที่ก าหนดไว้เป็นธุรกิจบริการตามบัญชีท้ายประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๑ฯ จึงไม่อยู่ในข่าย ขององค์ประกอบประการที่สามของมาตรา ๔๕ ที่ต้องด าเนินการแจ้งต่ออธิบดีเพื่อขอหนังสือรับรอง ตามความในมาตรา ๔๕ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตีความโดยเหตุผลอื่นใดว่าธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ไม่อยู่ในบัญชีท้ายประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๑ฯ อันมีผลให้เข้าข่ายของมาตรา ๔๕ ที่จะต้องด าเนินการแจ้งต่ออธิบดีเพื่อขอ หนังสือรับรอง แต่ในมาตรา ๔๕ นั้นเองยังได้ก าหนดว่า การด าเนินการแจ้งต่ออธิบดีเพื่อขอ หนังสือรับรองนั้น ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความ ในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการออก กฎกระทรวงดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๖ จึงมีความเห็นว่า การออกกฎกระทรวง เกี่ยวกับการด าเนินการแจ้งต่ออธิบดีขึ้นใช้บังคับย่อมถือเป็นเงื่อนไขของการนับระยะเวลาในการแจ้ง เพื่อขอหนังสือรับรอง ดังนั้น หากยังไม่มีการออกกฎกระทรวงคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจการ ธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์อยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯใช้บังคับจึงยังไม่สามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติของมาตรา ๔๕ ได้ ส่วนคนต่างด้าวที่ได้แจ้งขอหนังสือรับรองไปแล้ว ก็ไม่เป็นการแจ้งเพื่อขอหนังสือรับรองตามบทบัญญัติ ของมาตรา ๔๕ ปัญหาประการที่สองนั้น เห็นว่า ถ้าเป็นกรณีคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจนั้นอยู่แล้ว ในวันที่พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ใช้บังคับ ก็ให้ด าเนินการแจ้งต่ออธิบดี เพื่อขอหนังสือรับรองตามมาตรา ๔๕ โดยไม่ต้องขออนุญาตอีก แต่ในกรณีคนต่างด้าวที่ไม่เข้าข่าย มาตรา ๔๕ การจะประกอบธุรกิจใดๆ ของคนต่างด้าวจะต้องขออนุญาตตามพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ เว้นแต่มีบทบัญญัติส่วนหนึ่งส่วนใดของพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้บัญญัติเป็นการยกเว้นไว้ หรือให้ด าเนินการประการอื่นแทนการขออนุญาต ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตุลาคม ๒๕๔๔ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๕


หน้า ๑๓๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้มีหนังสือ ที่ รส ๐๒๐๔/๓๐๙๗ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า พระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัติให้พนักงานหรือสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่พอใจผลการพิจารณาค าร้องทุกข์ของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ซึ่งเป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจมีสิทธิอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบผลการพิจารณา และให้ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์แล้วแจ้งผลให้ผู้อุทธรณ์และรัฐวิสาหกิจทราบ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออุทธรณ์ตามมาตรา ๑๑(๓) แห่งพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบกับข้อ ๗ ของประกาศคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวินิจฉัยและด าเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวินิจฉัยและด าเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๔๐ ซึ่งออกตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ยกเลิกพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ มิได้บัญญัติให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัย อุทธรณ์ค าร้องทุกข์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนไว้แต่ประการใด กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมพิจารณาแล้ว เห็นว่า เพื่อให้การปฏิบัติงาน เป็นไปตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ จึงขอหารือปัญหาข้อกฎหมายดังนี้ ๑. คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนหรือไม่ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจะมอบหมายให้คณะกรรมการ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนได้หรือไม่ ปัญหาทั้งสองประเด็นดังกล่าว กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และที่ประชุม คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม รวมทั้ง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีความเห็นเป็นสองแนวทางดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง ความเห็นที่หนึ่ง เห็นว่า การที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ไม่มีบทบัญญัติให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนไว้ดังเช่นพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ แต่บทเฉพาะกาลในมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ เรื่องเสร็จที่ ๒๗๖/๒๕๔๕ เรื่อง อ ำนำจพิจำรณำอุทธรณ์เกี่ยวกับกำรจ่ำยเงินทดแทน


หน้า ๑๓๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้บัญญัติว่า บรรดาระเบียบประกาศ …ฯลฯ… ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปจึงมีผลท าให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาในช่วง ระยะเวลาที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ใช้บังคับแล้ว แต่ฝ่ายบริหาร ยังเตรียมการไม่พร้อม ประกอบกับประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์ การพิจารณาวินิจฉัยและด าเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนฯ ได้ก าหนดให้คณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนไว้ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์จึงมีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่าย เงินทดแทนด้วย ความเห็นที่สอง เห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มีเจตนารมณ์ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีอ านาจหน้าที่เพียงให้ค าปรึกษาหารือเพื่อแก้ไขปัญหา ตามค าร้องทุกข์ของลูกจ้างหรือสหภาพแรงงาน โดยมิได้มีบทบัญญัติให้คณะกรรมการแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ซึ่งแตกต่าง จากพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่บัญญัติให้คณะกรรมการกิจการ สัมพันธ์มีอ านาจหน้าที่พิจารณาค าร้องทุกข์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ซึ่งรวมถึงเงินทดแทนด้วย และ เมื่อผู้ร้องทุกข์ไม่พอใจผลการพิจารณาดังกล่าวก็มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ได้ ส าหรับมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่บัญญัติรองรับบรรดาระเบียบ ประกาศ …ฯลฯ… ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์นั้น หมายความว่า ระเบียบประกาศ …ฯลฯ… ดังกล่าวจะใช้บังคับได้ต่อเมื่อไม่ขัดหรือแย้งกับ พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนั้น การให้อ านาจคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนตามข้อ ๗ ของประกาศ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวินิจฉัย และด าเนินการเกี่ยวกับ การจ่ายเงินทดแทนฯ ย่อมเป็นการขัดกับพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บท คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์จึงไม่มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัย อุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ประเด็นที่สอง ความเห็นของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เห็นว่า พระราชบัญญัติพนักงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้บัญญัติให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจวินิจฉัย อุทธรณ์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ซึ่งรวมถึงการวินิจฉัยอุทธรณ์ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กิจการสัมพันธ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน แต่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ใช้บังคับในปัจจุบัน ไม่มีบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้น่าจะมอบหมายให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ได้ตามมาตรา ๑๓ (๙) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓


หน้า ๑๓๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ความเห็นของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและคณะกรรมการพิจารณา ร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เห็นว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมจะต้องมีอ านาจตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ จึงมอบหมายอ านาจหน้าที่ให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ตามมาตรา ๑๓ (๙) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ เมื่อกฎหมายมิได้บัญญัติให้ รัฐมนตรีมีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน รัฐมนตรีจึงไม่อาจมอบหมาย ให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนได้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมและได้ฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวงและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) แล้ว มีความเห็นดังนี้ ๑. คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนหรือไม่ นั้น เห็นว่า มาตรา ๑๑ (๑)๑ แห่งพระราชบัญญัติพนักงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้บัญญัติให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจก าหนด มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ให้กับพนักงานของรัฐวิสาหกิจ โดยมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินทดแทนให้กับพนักงานของรัฐวิสาหกิจในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เนื่องจากการท างาน ให้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนอย่างเท่าเทียมกันกับลูกจ้างของภาคเอกชนตาม กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กล่าวคือเมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจาก การท างานลูกจ้างจะได้รับเงินทดแทน ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ได้ก าหนดมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ ตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยการออกระเบียบ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งข้อ ๓๘๔ ของระเบียบดังกล่าวได้ก าหนดว่า การพิจารณาวินิจฉัยและด าเนินการ เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการก าหนด และข้อ ๗๕ ของประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวินิจฉัยและด าเนินการ เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวินิจฉัยและด าเนินการเกี่ยวกับ การจ่ายเงินทดแทน (ฉบับที่ ๓ ) ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๔๐ ได้ก าหนดให้ผู้ยื่นค าร้องซึ่งไม่พอใจ ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันทราบผลการพิจารณา และให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์พร้อมทั้งแจ้งผลให้ผู้อุทธรณ์และรัฐวิสาหกิจทราบภายในสามสิบวัน นับแต่ วันที่ได้รับหนังสืออุทธรณ์และค าวินิจฉัยดังกล่าวให้เป็นที่สุด โดยที่บทเฉพาะกาลตามมาตรา ๙๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้บัญญัติให้บรรดาระเบียบ ประกาศ …ฯลฯ… ตาม พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งมีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป และโดยที่ขณะนี้ยังไม่มีการ ออกระเบียบคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เกี่ยวกับการก าหนดมาตรฐานขั้นต่ า


หน้า ๑๓๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ของสภาพการจ้างตามมาตรา ๑๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่มีเจตนารมณ์เพื่อก าหนดมาตรฐานของสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับบทบัญญัติในมาตรา ๑๑(๑) แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงต้องน าระเบียบคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ และประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวินิจฉัย และด าเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนฯซึ่งมีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ใช้บังคับ มาใช้บังคับไปพลางก่อน ถึงแม้พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ จะมิได้บัญญัติให้ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนไว้ แต่ก็มิได้มีบทบัญญัติใดจ ากัดหรือห้ามมิให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณา วินิจฉัยอุทธรณ์ในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน การที่ระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ และประกาศคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาวินิจฉัยและด าเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ก าหนดให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ มีอ านาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ในเรื่องนี้ไว้ จึงไม่เป็นการขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ แต่อย่างใด ระเบียบและประกาศของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ดังกล่าวยังคงใช้บังคับได้ตามมาตรา ๙๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนั้น คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์จึงมีอ านาจพิจารณา วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนได้ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจะมอบหมายให้ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทน ได้หรือไม่ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยปัญหาตามข้อหารือในประเด็นที่ ๑ แล้ว ปัญหาข้อหารือ ในประเด็นที่ ๒ จึงไม่จ าต้องวินิจฉัยแต่อย่างใด ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤษภาคม ๒๕๔๕ //////////////////////////////


หน้า ๑๓๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคมได้มีหนังสือ ที่ รส ๐๗๑๑/๒๓๒๙ ลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๕ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอหารือเรื่อง การสั่งให้ส่งหรือเรียกเอกสาร หลักฐานที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ สรุปความได้ว่า ตามที่มาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้ก าหนดให้คณะกรรมการ กองทุนเงินทดแทน คณะกรรมการการแพทย์ คณะอนุกรรมการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ มีอ านาจหน้าที่ในการสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องส่งเอกสาร สิ่งของ หรือข้อมูลที่จ าเป็น รวมทั้งจะสั่ง ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงด้วยก็ได้ นั้น ส านักงานประกันสังคมมีปัญหาในการปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งสองมาตราดังกล่าวเนื่องจากผู้ที่ถูกเรียกหรือสั่งให้ส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ ซึ่งเป็น แพทย์หรือโรงพยาบาลที่ให้การรักษาลูกจ้างที่เจ็บป่วยไม่ส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวให้แก่ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนคณะกรรมการการแพทย์คณะอนุกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยให้เหตุผลว่าลูกจ้างไม่ยินยอมถ้าแพทย์หรือโรงพยาบาลส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ ของผู้ป่วยดังกล่าวจะขัดต่อข้อบังคับของแพทยสภาในเรื่องการเปิดเผยความลับของผู้ป่วย และสิทธิของผู้ป่วย ตลอดจนขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ซึ่งปัญหา ดังกล่าวท าให้เกิดข้อขัดข้องในการพิจารณาเพื่อจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง เนื่องจากไม่มีข้อมูล เอกสารหลักฐานทางการแพทย์เพียงพอในการวินิจฉัยว่า ลูกจ้างเจ็บป่วยหรือถึงแก่ความตาย ด้วยโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการท างานและได้กลายเป็นปัญหา ต่อการท างานของส านักงานประกันสังคม ส านักงานประกันสังคมจึงขอหารือ ดังนี้ ๑. การที่ลูกจ้างได้ท าหนังสือไม่ยินยอมให้แพทย์และโรงพยาบาลที่ให้การรักษา พยาบาลแก่ตนส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ของตนแก่ผู้ใดนั้น เมื่อคณะกรรมการและพนักงาน เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้มีค าสั่งตามมาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ สั่งให้แพทย์และโรงพยาบาลที่ให้ การรักษาส่งหรือเรียกให้ส่งเอกสารทางการแพทย์ของลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ป่วย แพทย์ และโรงพยาบาล นั้นจะต้องปฏิบัติตามค าสั่งของคณะกรรมการและพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นหรือไม่เพราะเหตุใด ๒. บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๒ และ มาตรา ๕๗(๒) ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ อย่างไร ในการพิจารณาข้อหารือดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้ฟังค าชี้แจง ข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวง และ ส านักงานประกันสังคม) และผู้แทนแพทยสภา แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า กรณีที่เป็น ปัญหากับส านักงานประกันสังคมในการพิจารณาวินิจฉัยเพื่อจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างนั้น เรื่องเสร็จที่ ๔๖๙/๒๕๔๕ เรื่อง อ านาจในการสั่งหรือเรียกให้บุคคลที่เกี่ยวข้องส่งเอกสารหลักฐานที่จ าเป็น มาเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗


หน้า ๑๓๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เกิดจากการที่ลูกจ้างกลุ่มหนึ่งเจ็บป่วยแล้วได้เข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์ผู้หนึ่ง และได้รับ การวินิจฉัยจากแพทย์เหมือนกันทั้งกลุ่มว่าลูกจ้างเจ็บป่วยเนื่องจากการท างาน ลูกจ้างนั้นจึงได้น า ใบรับรองแพทย์ของแพทย์ผู้เดียวกันนั้นมายื่นค าร้องขอรับเงินทดแทนจากส านักงานประกันสังคม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาใบรับรองแพทย์ประกอบกับการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่า ใบรับรองแพทย์เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะมีค าสั่งให้จ่ายเงินทดแทนได้ เพราะแพทยสภาถือว่าใบรับรองแพทย์เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยเบื้องต้นในทางการแพทย์เท่านั้น คณะกรรมการการแพทย์จึงได้เรียกให้ลูกจ้างเข้ารับการตรวจร่างกายซ้ าหรือเรียกให้ส่งเอกสาร หลักฐานทางการแพทย์เพิ่มเติมแต่ลูกจ้างนั้นไม่ยินยอมที่จะตรวจร่างกายซ้ าหรือส่งเอกสารหลักฐาน เพิ่มเติม พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้จึงได้มีค าสั่งยกค าร้องลูกจ้างกลุ่มนี้จึงได้อุทธรณ์ค าสั่ง ไปยังคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนโดยค าแนะน าของ คณะกรรมการการแพทย์ จึงได้เรียกให้ลูกจ้างนั้นเข้ารับการตรวจร่างกายซ้ าหรือเรียกให้ส่ง เอกสารหลักฐานทางการแพทย์เพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาอีกครั้งแต่ลูกจ้างกลุ่มนั้นต่างไม่ปฏิบัติ ตามค าสั่งและท าเป็นหนังสือไม่ยินยอมให้แพทย์และโรงพยาบาลที่ให้การรักษาพยาบาลแก่ตน ส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ของตนแก่ผู้ใดคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนจึงมีค าวินิจฉัยยืน ตามค าสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ให้ยกค าร้องของลูกจ้างกลุ่มดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาปัญหาข้อหารือของส านักงาน ประกันสังคม ประกอบข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นแล้ว มีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง แพทย์ และโรงพยาบาลที่ให้การรักษาพยาบาลลูกจ้าง มีหน้าที่ ต้องส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ของลูกจ้างโดยที่ลูกจ้างนั้นได้มีหนังสือไม่ยินยอมให้ส่งเอกสาร หลักฐานดังกล่าวแก่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน คณะกรรมการการแพทย์คณะอนุกรรมการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้มีค าสั่งตามมาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗(๒) แห่งพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ หรือไม่ เพราะเหตุใด นั้น เห็นว่า โดยที่บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้บัญญัติให้ส านักงานประกันสังคมมีหน้าที่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ ลูกจ้างที่ประสบอันตราย เจ็บป่วย สูญหายหรือถึงแก่ความตาย ฯลฯ เนื่องมาจากการที่ลูกจ้าง ได้ท างานให้แก่นายจ้าง แต่ในทางปฏิบัติการพิจารณาวินิจฉัยว่าลูกจ้างรายใดเจ็บป่วยหรือ ถึงแก่ความตายด้วยโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการท างานหรือไม่ เป็นกรณีที่มีข้อขัดข้องและมีปัญหา ดังนั้น พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๐ จึงบัญญัติให้คณะกรรมการการแพทย์มีอ านาจหน้าที่ในการให้ค าปรึกษาแนะน าทางการแพทย์ แก่คณะกรรมการและส านักงานประกันสังคมในการวินิจฉัยกรณีดังกล่าว ในการนี้กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคมจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้แพทย์ได้ใช้ในการวินิจฉัยโรคจากการท างาน โดยออกประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์การวินิจฉัยและการประเมิน การสูญเสียสมรรถภาพของผู้ป่วยหรือบาดเจ็บด้วยโรคจากการท างาน (ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงฯ ฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑) ก าหนดให้หลักฐานทางการแพทย์ซึ่งประกอบด้วย เวชระเบียน ผล และรายงานการชันสูตรต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรค ใบรับรองแพทย์ และความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์ ในการวินิจฉัยด้วย และเพื่อให้คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนคณะกรรมการการแพทย์


หน้า ๑๓๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะอนุกรรมการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทราบข้อเท็จจริง รวมทั้งให้ได้มาซึ่งเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยการจ่ายเงินดังกล่าวพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗(๒) จึงได้บัญญัติให้คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน คณะกรรมการ การแพทย์ คณะอนุกรรมการ และพนักงานเจ้าหน้าที่มีอ านาจสั่งหรือเรียกให้บุคคลที่เกี่ยวข้อง มาให้ถ้อยค าหรือส่งเอกสาร สิ่งของ หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องและจ าเป็นมาเพื่อประกอบการ พิจารณาได้ ดังนั้น เมื่อมีบทบัญญัติของกฎหมายให้อ านาจไว้อย่างชัดแจ้งเช่นนี้แล้ว แพทย์ และโรงพยาบาลซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องในการรักษาพยาบาลลูกจ้างจึงมีหน้าที่ต้องส่งเอกสาร หลักฐานทางการแพทย์เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการที่ได้มีค าสั่งตามมาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗(๒) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ส าหรับประเด็นที่ว่าแพทย์และโรงพยาบาลไม่อาจส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ ของลูกจ้างผู้ป่วยให้แก่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน คณะกรรมการการแพทย์คณะอนุกรรมการ และพนักงานเจ้าหน้าที่เนื่องจากลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ป่วยได้ท าหนังสือไม่ยินยอมให้แพทย์และโรงพยาบาล ส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ให้แก่ผู้ใด ถ้าแพทย์และโรงพยาบาลส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ ของลูกจ้างผู้ป่วยจะเป็นการขัดต่อข้อบังคับของแพทยสภาในเรื่องการเปิดเผยความลับของผู้ป่วย และสิทธิผู้ป่วย ตลอดจนขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในเรื่องสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล นั้นเห็นว่า ข้อบังคับของแพทยสภา ว่าด้วยจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๒๖ หมวด ๓ ว่าด้วยการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ข้อ ๙ ได้ก าหนดว่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยซึ่งตนทราบมาเนื่องจากการประกอบวิชาชีพ เป็นข้อก าหนด ที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องรักษาความลับและปฏิบัติตาม มิฉะนั้นอาจถูกกล่าวหาหรือ กล่าวโทษจากบุคคลผู้ได้รับความเสียหายได้แต่ข้อบังคับดังกล่าวได้ก าหนดข้อยกเว้นไว้ในข้อเดียวกัน นั้นว่า ในกรณีที่ผู้ป่วยเองได้ให้ความยินยอม หรือเมื่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องปฏิบัติ ตามกฎหมายหรือตามหน้าที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมก็อาจเปิดเผยความลับของผู้ป่วยซึ่งตน ได้ทราบมาเนื่องจากการประกอบวิชาชีพได้ เพราะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและตามหน้าที่ จึงไม่ขัดต่อข้อบังคับของแพทยสภาและเห็นว่า การส่งเอกสารหลักฐานในกรณีนี้มิได้เป็นการกล่าว หรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความไปยังสาธารณชนอันเป็นการละเมิดหรือกระทบถึงสิทธิของบุคคล ในความเป็นอยู่ส่วนตัว จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นอกจากนี้ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๑๕๗ ได้บัญญัติว่าข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีลักษณะเป็นรายงานการแพทย์หรือข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะเป็นการรุกล้ าสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐอาจมีค าสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ฯลฯ แต่ก็มีบางกรณีที่เป็นข้อยกเว้น ดังเช่นที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๒๔(๘) ที่ให้หน่วยงานของรัฐเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความควบคุมดูแล ของตนต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่มีอ านาจตามกฎหมายที่จะขอข้อเท็จจริง ดังกล่าว โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลนั้นได้ ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการกองทุน เงินทดแทน คณะกรรมการการแพทย์ คณะอนุกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่มีอ านาจตามกฎหมายในการเรียก หรือสั่งให้แพทย์และโรงพยาบาลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นหน่วยงานของรัฐส่งเอกสาร


หน้า ๑๓๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา หลักฐานทางการแพทย์ของผู้ป่วยให้แก่คณะกรรมการ ฯลฯ แพทย์และโรงพยาบาลก็มีหน้าที่ ต้องจัดส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการ ฯลฯ ได้โดยไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ด้วย ประเด็นที่สอง บทบัญญัติมาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗(๒) แห่งพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือไม่ อย่างไร นั้น เห็นว่าในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๓๒(๖) บัญญัติให้ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีอ านาจหน้าที่ให้ค าปรึกษาและแนะน าแก่ส านักงานประกันสังคม ในการด าเนินการตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ประกอบกับมาตรา ๓๘ และ มาตรา ๔๐ บัญญัติให้มีคณะกรรมการการแพทย์มีอ านาจให้ค าปรึกษาแนะน าในทางการแพทย์ แก่คณะกรรมการและส านักงานประกันสังคม ดังนั้นมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ จึงบัญญัติให้คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน คณะกรรมการการแพทย์ฯลฯ มีอ านาจสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องส่งเอกสารหรือข้อมูลที่จ าเป็นมาพิจารณาได้ และมาตรา ๕๗(๒) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ก็ได้บัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอ านาจมีหนังสือ ให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณาได้ด้วย จึงเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๕๗(๒) เป็นบทบัญญัติที่จ าเป็นในการให้ผู้มีอ านาจ หน้าที่สั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์มาเพื่อประกอบการพิจารณาในเรื่อง หรือจ านวนเงินทดแทนที่จะจ่ายให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง บทบัญญัติทั้งสอง มาตรานี้จึงเป็นบทบัญญัติที่รองรับการปฏิบัติงานของผู้มีอ านาจและหน้าที่เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มิใช่เรื่องการกระท าละเมิด หรือการกระท าที่กระทบถึงสิทธิส่วนบุคคลที่จะได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย จึงเห็นว่า พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๒ และ มาตรา ๕๗(๒) ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๔๕ //////////////////////////////


หน้า ๑๓๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีหนังสือที่ รส ๐๖๐๕/๐๙๑๖๑ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า เมื่อลูกจ้างยื่นค าร้องต่อ พนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา ๑๒๓ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ว่านายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และมาตรา ๑๒๔ บัญญัติให้อ านาจพนักงานตรวจแรงงานออกค าสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าว ให้แก่ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตาย หรือออกค าสั่งว่าลูกจ้างหรือ ทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ซึ่งเป็นค าสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ในการพิจารณา ค าร้องซึ่งยื่นต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา ๑๒๓ นั้นมีบางรายซึ่งสิทธิเรียกร้องของลูกจ้าง ขาดอายุความ ขณะที่กรณีนายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินดังกล่าวตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มีโทษทางอาญาตามที่กฎหมายก าหนดและมีอายุความ ทางอาญาตามมาตรา ๙๕ แห่งประมวลกฎหมายอาญาแตกต่างจากอายุความคดีแพ่ง ดังนั้น เพื่อให้การออกค าสั่งพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา ๑๒๔ ส าหรับกรณีที่สิทธิเรียกร้องของลูกจ้าง ขาดอายุความทางแพ่ง เป็นการใช้อ านาจโดยถูกต้องตามกฎหมาย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงขอหารือในประเด็นดังต่อไปนี้ ๑. กรณีที่ลูกจ้างยื่นค าร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา ๑๒๓ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ว่านายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับ สิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เช่น นายจ้างค้างจ่ายค่าจ้าง หากปรากฏข้อเท็จจริงโดยพนักงานตรวจแรงงานเห็นเองว่า สิทธิเรียกร้องของลูกจ้างนั้นขาดอายุความ ก่อนยื่นค าร้องหรือขาดอายุความในระหว่างการพิจารณาของพนักงานตรวจแรงงาน เช่น สิทธิเรียกร้อง ในเงินค่าจ้างของลูกจ้างมีอายุความ ๒ ปีตามมาตรา ๑๙๓/๓๔(๙) แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์พนักงานตรวจแรงงานมีอ านาจออกค าสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้างได้หรือไม่ ๒. กรณีที่นายจ้างยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธการช าระหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง พนักงานตรวจแรงงานต้องรับฟังข้อต่อสู้ดังกล่าวหรือไม่หากต้องรับฟังข้อต่อสู้ดังกล่าวพนักงาน ตรวจแรงงานมีอ านาจออกค าสั่งตามมาตรา ๑๒๔ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานส่งพร้อม หนังสือ ที่ นร ๐๖๐๑/ ๑๗๗๗ ลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๕ ซึ่งส านักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกามีถึงส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๑ ว่า ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับเงิน เพราะ เหตุที่สิทธิเรียกร้องของลูกจ้างขาดอายุความแล้ว ได้หรือไม่ ๓. กรณีที่สิทธิเรียกร้องของลูกจ้างขาดอายุความเฉพาะบางส่วน เช่น กรณีที่ นายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างมาตลอดเป็นระยะเวลา ๓ ปีสิทธิเรียกร้องของลูกจ้างจึงขาดอายุความ เรื่องเสร็จที่ ๕๑๒/๒๕๔๕ เรื่อง อ านาจของพนักงานตรวจแรงงานในการออกค าสั่งตามมาตรา ๑๒๔ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ (กรณีที่สิทธิเรียกร้องของลูกจ้างขาดอายุความทางแพ่ง)


หน้า ๑๔๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เพียง ๑ ปี ส่วนค่าจ้างที่นายจ้างค้างจ่ายเป็นระยะเวลาอีก ๒ ปี ยังไม่ขาดอายุความ พนักงานตรวจแรงงานมีอ านาจออกค าสั่งตามมาตรา ๑๒๔ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างได้หรือไม่ ถ้ามีอ านาจออกค าสั่งได้ พนักงานตรวจแรงงาน จะออกค าสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างเต็มจ านวนที่ค้างจ่าย หรือบางส่วนเท่าที่สิทธิเรียกร้อง ของลูกจ้างไม่ขาดอายุความ ๔. กรณีที่นายจ้างไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่ในขั้นตอนการเปรียบเทียบปรับ นายจ้างผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและค าสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน นายจ้างได้ยก ข้อต่อสู้ว่าสิทธิเรียกร้องของลูกจ้างขาดอายุความแล้ว แต่คดีอาญายังไม่ขาดอายุความ พนักงาน เจ้าหน้าที่มีอ านาจด าเนินคดีอาญานายจ้างดังกล่าวต่อไปได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาข้อหารือดังกล่าวและมีความเห็น สรุปได้ว่า ข้อหารือดังกล่าวมีประเด็นข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาว่า กรณีข้อเท็จจริงปรากฏว่า สิทธิเรียกร้องของลูกจ้างขาดอายุความทางแพ่ง ไม่ว่าจะปรากฏโดยพนักงานตรวจแรงงานเห็นเอง หรือนายจ้างยกข้อต่อสู้ พนักงานตรวจแรงงานมีอ านาจออกค าสั่งตามมาตรา ๑๒๔ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้างได้ หรือไม่และพนักงานเจ้าหน้าที่มีอ านาจด าเนินคดีอาญากับนายจ้างผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และค าสั่งพนักงานตรวจแรงงานต่อไปได้หรือไม่เห็นว่า การออกค าสั่งตามมาตรา ๑๒๔ นั้น พนักงานตรวจแรงงานมีอ านาจหน้าที่สอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงเพียงว่า ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงิน ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือไม่ แล้วออกค าสั่ง ไปตามข้อเท็จจริงนั้น พนักงานตรวจแรงงานไม่มีอ านาจหน้าที่ก้าวล่วงไปพิจารณาว่าสิทธิเรียกร้อง ของลูกจ้างขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ และหากการสอบสวน ข้อเท็จจริงปรากฏว่าสิทธิเรียกร้องของลูกจ้างมีอยู่จริง นายจ้างก็มีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้าง หนี้ตามสิทธิเรียกร้องยังคงมีอยู่ไม่ได้ระงับไปเพราะเหตุว่าขาดอายุความการปฏิเสธการช าระหนี้ ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความเป็นสิ่งที่นายจ้างและลูกจ้างจะได้ว่ากล่าวเมื่อมีการด าเนินคดี ในชั้นศาลต่อไป ส าหรับการด าเนินคดีอาญากับนายจ้างนั้น เห็นว่า อายุความของสิทธิเรียกร้อง ตามมาตรา ๑๙๓/๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นระยะเวลาที่กฎหมายก าหนดไว้ ให้เจ้าหนี้ใช้บังคับสิทธิเรียกร้อง ไม่เกี่ยวข้องกับก าหนดระยะเวลาในการด าเนินคดีอาญากับ ผู้กระท าผิดที่จะได้รับโทษตามมาตรา ๙๕ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้น เมื่อคดีอาญายังไม่ขาดอายุความ พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมีอ านาจด าเนินคดีอาญาแก่นายจ้างได้ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อหารือในเรื่องนี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ส าคัญ จึงจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เพื่อพิจารณาข้อหารือข้างต้นตามข้อ ๑๑ ของระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการประชุม ของกรรมการร่างกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้พิจารณาปัญหาข้อหารือข้างต้นโดยมี ผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวงและกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงและมีความเห็นสอดคล้องกับคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ดังนี้


หน้า ๑๔๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ประเด็นที่หนึ่ง กรณีข้อเท็จจริงปรากฏว่าสิทธิเรียกร้องของลูกจ้างขาดอายุความ ทางแพ่ง พนักงานตรวจแรงงานจะมีอ านาจออกค าสั่งตามมาตรา ๑๒๔ ให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าว แก่ลูกจ้างได้หรือไม่ อย่างไร เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ในหมวด ๑๒ มีบทบัญญัติว่าด้วยการยื่นค าร้องของลูกจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงาน การสอบสวนข้อเท็จจริง และมีค าสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน โดยมาตรา ๑๒๓ บัญญัติให้ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรม ของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายยื่นค าร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน ในกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือ ไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่ก าหนดไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อมีการยื่นค าร้องแล้วมาตรา ๑๒๔ บัญญัติให้พนักงานตรวจแรงงานสอบสวนข้อเท็จจริงให้ได้ความ ในประเด็นที่ว่านายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือไม่ หากปรากฏว่าลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงิน ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่าย พนักงานตรวจแรงงานก็มีอ านาจออกค าสั่งให้ นายจ้างจ่ายเงินนั้น ให้แก่ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตาย เพราะนายจ้างได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินในกรณีตามค าร้องในมาตรา ๑๒๓ แล้ว แต่ถ้าพนักงานตรวจแรงงาน เห็นว่า ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่มีสิทธิได้รับเงินในกรณีตามค าร้อง พนักงานตรวจแรงงานก็ออกค าสั่งและแจ้งเป็นหนังสือให้นายจ้างและลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรม ของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายทราบ ส่วนที่หารือว่าในกรณีที่พนักงานตรวจแรงงานเห็นเองว่าสิทธิ เรียกร้องของลูกจ้างบางรายขาดอายุความหรือในกรณีที่นายจ้างยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่า พนักงานตรวจแรงงานไม่มีอ านาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่จะชี้ขาดว่าสิทธิเรียกร้องของลูกจ้างขาดอายุความ แล้วหรือไม่ เพราะอยู่นอกเหนืออ านาจหน้าที่ของพนักงานตรวจแรงงานซึ่งมีหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริง ตามประเด็นในมาตรา ๑๒๓ ว่านายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงิน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือไม่เท่านั้น หากมีกรณีเกิดขึ้นจริงตามมาตรา ๑๒๓ พนักงานตรวจแรงงานก็ต้องมีค าสั่งให้นายจ้างปฏิบัติไปตามนั้น หนี้ตามสิทธิเรียกร้องของลูกจ้าง ยังคงมีอยู่ไม่ระงับไปเพราะเหตุขาดอายุความ การใช้สิทธิของนายจ้างในการยกอายุความขึ้นเป็นเหตุ ปฏิเสธการช าระหนี้เป็นเรื่องในระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้าง ซึ่งถึงแก่ความตายซึ่งตามปกติก็ด าเนินการทางศาลได้อยู่แล้ว ดังที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕ บัญญัติว่าเมื่อคู่กรณีฝ่ายใดไม่พอใจในค าสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน ก็น าคดีไปสู่ศาลได้ ประเด็นที่สอง กรณีสิทธิเรียกร้องขาดอายุความทางแพ่ง แต่การด าเนินคดีอาญา ในขั้นตอนเปรียบเทียบปรับนายจ้างผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและค าสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ยังไม่ขาดอายุความคดีอาญา พนักงานเจ้าหน้าที่มีอ านาจด าเนินคดีอาญากับนายจ้างต่อไปได้หรือไม่ เห็นว่า อายุความทางแพ่งตามมาตรา ๑๙๓/๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นเรื่อง ระยะเวลาที่กฎหมายก าหนดไว้ให้เจ้าหนี้ใช้บังคับสิทธิเรียกร้อง เป็นคนละเรื่องกับก าหนดระยะเวลา ในด าเนินคดีอาญากับผู้กระท าความผิดที่จะได้รับโทษตามมาตรา ๙๕ วรรคหนึ่ง แห่งประมวล กฎหมายอาญา จึงต้องแยกกัน หากคดีอาญาในความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย


หน้า ๑๔๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ในแต่ละมาตราหรือความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามค าสั่งของพนักงานตรวจแรงงานตาม มาตรา ๑๒๔ ยังไม่ขาดอายุความ พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมีอ านาจด าเนินคดีอาญาแก่นายจ้างต่อไปได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๔๕ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๖


หน้า ๑๔๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคม มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ รง ๐๖๐๗/๓๖๐๒ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ดังนี้ ๑. ผู้ประกันตนซึ่งลาออกจากงานโดยสมัครใจจะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน กรณีว่างงานหรือไม่ เนื่องจากไม่มีข้อบัญญัติของกฎหมายในกรณีลาออกโดยสมัครใจไว้ ซึ่งจะ แปลความหมายจากนิยามค าว่า "ว่างงาน" ว่าเป็นการว่างงานที่ลาออกโดยสมัครใจได้หรือไม่ หรือกรณีการว่างงานต้องมิใช่เหตุที่ถูกเลิกจ้างตามมาตรา ๗๘(๒) การว่างงานจึงหมายถึง การว่างงานจากการลาออกโดยสมัครใจด้วย ๒. ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน มาตรา ๗๙ บัญญัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และอัตราที่ก าหนดในกฎกระทรวง หากจะก าหนดในกฎกระทรวงว่า "ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ได้แก่ เงินทดแทนการขาดรายได้ การบริการจัดหางานและการพัฒนาฝีมือแรงงาน" แล้ว จะถือว่า การบริการจัดหางาน และการพัฒนาฝีมือแรงงานนั้นเป็นประเภทของประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ได้หรือไม่ ๓. กรณีที่ได้มีการจัดเก็บเงินสมทบกรณีว่างงาน และจ่ายประโยชน์ทดแทนให้ ผู้ประกันตนแล้ว หากปรากฏว่าประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมีเงินไม่พอจ่าย จะสามารถน าเงิน ดอกผลของ ๖ กรณีคือ ๑. กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ๒. คลอดบุตร ๓. ทุพพลภาพ ๔. ตาย ๕. สงเคราะห์บุตร ๖. ชราภาพ มาจ่ายเพื่อประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานก่อนจะได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของกระทรวงแรงงาน และได้ฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงแรงงาน (ส านักงานปลัดกระทรวงและส านักงาน ประกันสังคม) แล้ว มีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่ ๑ กรณีลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนได้ลาออกจากงานโดยสมัครใจจะมีสิทธิ ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานหรือไม่ เห็นว่า การที่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ลาออกจากงานโดยสมัครใจผลที่ตามมาคือลูกจ้าง ต้องหยุดงาน เนื่องจากนิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลง ดังนั้น การลาออกจากงานโดยสมัครใจจึงเป็นกรณี"ว่างงาน" ตามค านิยามในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เมื่อลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบ มาแล้วไม่น้อยกว่าหกเดือน และอยู่ภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนการว่างงาน โดยเป็นผู้ที่อยู่ ในเงื่อนไขตาม (๑) (๒) และ (๓) ของมาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จึงเป็นผู้ที่มีสิทธิจะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เรื่องเสร็จที่ ๕๕๘/๒๕๔๖ เรื่อง ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗


หน้า ๑๔๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ประเด็นที่ ๒ กรณีกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จะก าหนดให้การบริการจัดหางานและการพัฒนาฝีมือแรงงานเป็น ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานได้หรือไม่ เห็นว่า ประโยชน์ทดแทนในกรณีต่างๆ ตั้งแต่หมวด ๒ ถึงหมวด ๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ก าหนดประเภทของประโยชน์ ทดแทนไว้โดยมีรายละเอียดว่า เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องใดบ้าง ส่วนในหมวด ๘ แห่งพระราชบัญญัติ เดียวกันซึ่งก าหนดประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมิได้ก าหนดประเภทประโยชน์ทดแทนว่าเป็น ค่าใช้จ่ายในเรื่องใด แต่ก็เห็นได้ว่าการที่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนว่างงานจะขาดเงินค่าจ้างซึ่งเป็น ค่าตอบแทนการท างาน ประโยชน์ทดแทนการว่างงานตามหมวด ๘ จึงมีได้แต่เรื่องการขาดเงินค่าจ้าง ของลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่เคยได้รับมาแต่ก่อนเท่านั้น และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๗๙ ได้บัญญัติให้ผู้ประกันตนที่ว่างงานมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเริ่มต้น ตั้งแต่วันที่แปดนับแต่วันว่างงานจากการท างานกับนายจ้างรายสุดท้ายตามหลักเกณฑ์และอัตรา ที่ก าหนดในกฎกระทรวง โดยมิได้บัญญัติให้อ านาจออกกฎกระทรวงก าหนดประเภทของประโยชน์ ทดแทนเป็นค่าใช้จ่ายอย่างอื่นได้ ทั้งการบริการจัดหางานและการพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นกรณี ที่ก าหนดไว้ในกฎหมายอื่น ซึ่งจะน ามาก าหนดว่าเป็นประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ไม่ได้ ประเด็นที่ ๓ กรณีกองทุนเพื่อประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมีเงินไม่พอจ่าย จะน า เงินดอกผลของเงินกองทุนเพื่อประโยชน์ทดแทนกรณีอื่นๆ มาจ่ายเพื่อประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ไปก่อนได้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๒๑ บัญญัติให้ จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในส านักงานประกันสังคม กองทุนนี้จึงเป็นกองทุนเดียวและเป็นกองทุน ของส านักงานประกันสังคม เงินกองทุนตามมาตรา ๒๓ เป็นของส านักงานฯ ไม่ต้องน าส่ง กระทรวงการคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน และให้จ่ายเงินจากกองทุนเป็นประโยชน์ทดแทนในกรณีต่างๆ ตามมาตรา ๕๔ ได้กองทุนในส านักงานประกันสังคมจึงเป็นกองทุนเพื่อจ่ายเป็นประโยชน์ทดแทน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ทุกกรณี มิได้แบ่งแยกประโยชน์ทดแทนออก ต่างหากจากกันแต่ละกรณี และเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายแยกกองทุนออกเป็นแต่ละกรณี ต่างหากจากกัน ก็สามารถน าเงินกองทุนไปจ่ายเป็นประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานตามที่ขอหารือ มาได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๔๖ //////////////////////////////


หน้า ๑๔๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้มีหนังสือ ที่ รง ๐๔๐๔.๓/๐๑๕๑๘ ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความว่า โดยที่มาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติให้จัดตั้งกองทุนขึ้น กองทุนหนึ่ง เรียกว่า “กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน” ในกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส าหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน และบัญญัติให้กองทุนประกอบด้วย (๑) เงินที่โอนมาจากเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรีและด าเนินการบริหารกองทุนตามระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๙ (๒) เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ (๓) เงินสมทบ ที่ผู้ประกอบกิจการส่งเข้ากองทุน (๔) เงินและหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้กองทุน (๕) ดอกผล หรือผลประโยชน์ที่เกิดจากกองทุน (๖) เงินและหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนนอกจาก (๑) ถึง (๕) ที่กองทุนได้รับไม่ว่ากรณีใด เนื่องจากเมื่อมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานขึ้นตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ และจะต้องมีการโอนเงินของ กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีมาเป็นของกองทุนดังกล่าวตาม มาตรา ๒๗ วรรคสอง (๑) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ แต่โดยที่การด าเนินการของกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจาก จะมีเงินของกองทุนแล้ว กองทุนยังมีทรัพย์สิน หนี้สิน และภาระผูกพันที่กองทุนจะต้องด าเนินการ ต่อไปด้วยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจึงขอหารือว่า เงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามมติ คณะรัฐมนตรีที่จะโอนไปยังกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานในมาตรา ๒๗ วรรคสอง(๑) แห่งพระราชบัญญัติ ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ นั้น จะหมายความรวมถึงทรัพย์สินหนี้สิน และภาระผูกพันที่กองทุนต้องด าเนินการต่อไปด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อจะได้ด าเนินการให้ถูกต้อง ตามกฎหมายต่อไป คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้รับฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจาก ผู้แทนกรมพัฒนาฝีมือแรงงานแล้วได้ความว่า ขณะนี้กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตาม มติคณะรัฐมนตรียังคงด าเนินการในรูปแบบของเงินทุนหมุนเวียนอยู่อย่างเดิม มิได้ถูกยกเลิกไป ส่งพร้อมหนังสือที่ นร ๐๙๐๑/๐๘๐๒ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๖ ซึ่งส านักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกามีถึงส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีปัญหาที่หารือมาสืบเนื่องจากการประชุมคณะท างาน พิจารณาการยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ตามค าสั่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่ ๒๗๕/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๔๖ วันจันทร์ ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๖ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ไม่ได้บัญญัติว่าเงินของกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องเสร็จที่ ๕๖๑/๒๕๔๖ เรื่อง หารือปัญหาบทบัญญัติมาตรา ๒๗ วรรคสอง (๑) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕


หน้า ๑๔๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่จะโอนมายังกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาผีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ นั้นจะต้องโอนตั้งแต่เมื่อใด และเงินตามมาตรา ๒๗ วรรคสอง (๑) จะหมายความ รวมถึงทรัพย์สินหนี้สิน และภาระผูกพันด้วยหรือไม่ ที่ประชุมจึงได้มีมติให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ท าหนังสือหารือมายังส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอให้พิจารณาว่า เงินที่โอนมาตาม มาตรา ๒๗ วรรคสอง (๑) จะหมายความรวมถึงทรัพย์สิน หนี้สิน และภาระผูกพันที่เกิดขึ้น ด้วยหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาปัญหาที่หารือประกอบกับค าชี้แจง เพิ่มเติมดังกล่าวแล้ว เห็นว่า มาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้บัญญัติให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุน หมุนเวียนส าหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมาตรา ๒๗ วรรคสอง (๑) บัญญัติให้โอนเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีมาเป็นของกองทุน พัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ การโอนเงินกองทุนดังกล่าวจึงเป็นการโอนโดยผลของกฎหมาย ฉะนั้นเมื่อมีการจัดตั้งกองทุน พัฒนาฝีมือแรงงานขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงต้อง มีการโอนการด าเนินการของกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานเดิมที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีมายัง กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายนี้ การที่บทบัญญัติในมาตรา ๒๗ วรรคสอง (๑) บัญญัติให้โอนเงินจากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีมายังกองทุน พัฒนาฝีมือแรงงานที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ จึงหมายความรวมถึงการโอนทรัพย์สิน หนี้สิน และภาระผูกพันของกองทุนดังกล่าวที่มีอยู่เดิมด้วย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๔๖ //////////////////////////////


หน้า ๑๔๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีหนังสือด่วนมาก ที่ กลต.ม. ๕๐๒๖/๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๕ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้รับแต่งตั้งให้ เป็นนายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๓ ในการปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนกองทุนส ารองเลี้ยงชีพส านักงานฯ ได้รับการสอบถามจากคณะกรรมการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพและผู้จัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งส านักงานฯ ไม่อาจพิจารณาให้เป็นที่ยุติได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว ส านักงานฯจึงขอหารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ดังต่อไปนี้ ปัญหาที่หนึ่ง บริษัทจัดการขอแก้ไขข้อบังคับกองทุนโดยก าหนดวัตถุประสงค์ของ กองทุนเพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างกรณีตาย หรือออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุนเพียงกรณีใด กรณีหนึ่งและขอแก้ไขข้อบังคับก าหนดให้ลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพแต่บางกรณีเช่น กรณีลูกจ้างตาย จึงจะมีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนในส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ นอกจากนี้ ข้อบังคับจะก าหนดเงื่อนไขในการได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้เป็นไปได้ยาก เช่น ก าหนดให้สมาชิกต้องท างานมาไม่น้อยกว่าสามสิบปี หรือมากกว่านั้นจึงจะมีสิทธิได้รับเงิน การขอแก้ไขข้อบังคับในลักษณะดังกล่าวจะท าได้หรือไม่เพียงใด ปัญหาที่สอง การขอจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนหรือการแก้ไขข้อบังคับของกองทุน ในกรณีดังต่อไปนี้ นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ได้หรือไม่ ข้อ ๑ กองทุนที่มีนายจ้างหลายรายหรือที่มีนายจ้างรายเดียวขอจดทะเบียนข้อบังคับ ของกองทุนว่า (๑) ให้เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กับเงินที่มีผู้อุทิศให้ให้ตกได้แก่สมาชิกในกองทุนเฉพาะรายนายจ้างหรือสมาชิกบางราย และ (๒) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกองทุนเฉพาะรายนายจ้าง และหนี้ตามค าพิพากษาที่มีต้นเหตุมาจาก นายจ้างรายใด ให้เป็นภาระรับผิดชอบแก่สมาชิกเฉพาะราย หรือแก่เฉพาะนายจ้างรายนั้น ข้อ ๒ การขอจดทะเบียนข้อบังคับกองทุนโดยก าหนดให้เงินสิทธิประโยชน์ ตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่ผู้มีสิทธิได้รับหลังจาก ลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพไม่มารับเงินภายในก าหนดเวลาซึ่งระบุไว้น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ ให้เงินดังกล่าวตกได้แก่บุคคลตามที่ก าหนดในข้อบังคับกองทุนซึ่งอาจเป็นนายจ้างหรือมูลนิธิต่างๆ ปัญหาที่สาม กรณีที่นายจ้างประสบปัญหาการด าเนินธุรกิจขาดทุนไม่อาจจ่ายค่าจ้าง ให้แก่ลูกจ้างได้ครบตามสิทธิที่ลูกจ้างมีอยู่ หรืออาจต้องเลื่อนการจ่ายค่าจ้างออกไป และนายจ้าง มิได้หักเงินสะสมของลูกจ้างและมิได้จ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุน เป็นเหตุให้นายจ้าง ส่งเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนล่าช้าไปด้วย ค าว่า “ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง”ตาม มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ หมายถึง การจ่ายค่าจ้างตามข้อตกลงในสัญญาจ้างหรือวันที่มีการจ่ายค่าจ้างจริง เรื่องเสร็จที่ ๖๙๒/๒๕๔๖ เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐


หน้า ๑๔๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ปัญหาที่สี่ ในกรณีที่คณะกรรมการกองทุนแจ้งให้ผู้จัดการกองทุนทราบการสิ้นสมาชิกภาพ ในระยะเวลากระชั้นชิดหรือหลังครบก าหนดสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ หรือกรณีสมาชิก สิ้นสมาชิกภาพระหว่างเดือนตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ก็จะต้องรอให้ถึงวันสิ้นงวดการจ่ายเงินเดือนก่อนจึงจะค านวณหาเงินที่ต้องจ่ายให้แก่ สมาชิกได้หากจะก าหนดวันสิ้นสมาชิกภาพของสมาชิกในข้อบังคับกองทุนให้เป็นวันอื่น จะกระท า ได้หรือไม่ ปัญหาที่ห้า กรณีสามีซึ่งเป็นสมาชิกของกองทุนท าหนังสือระบุให้ภรรยาเป็นผู้รับ ประโยชน์ตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ต่อมาศาลมีค าพิพากษาถึงที่สุดว่าภรรยาได้กระท าความผิดฐานฆ่าสามีตายโดยเจตนา สิทธิประโยชน์ ตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นมรดกหรือไม่ ประเด็นข้อหารือเพิ่มเติม กรณีส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ได้รับจดทะเบียนข้อบังคับกองทุนซึ่งมีข้อความตามปัญหาข้อหารือดังกล่าวข้างต้น หากต่อมาส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าข้อความบางประการในข้อบังคับที่รับ จดทะเบียนไว้ขัดต่อกฎหมายหรือวัตถุประสงค์ของกองทุน ส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะนายทะเบียนจะต้องด าเนินการประการใดหรือไม่อย่างไร เช่นต้องเพิกถอนข้อบังคับกองทุนส่วนนั้น หรือโดยผลของการรับจดทะเบียนข้อบังคับกองทุนที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายก็ไม่สามารถใช้บังคับได้อยู่แล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของส านักงานคณะกรรมการ ก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยได้รับฟังค าชี้แจงจากผู้แทนส านักงานคณะกรรมการ ก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว มีความเห็นในปัญหาที่หารือ ดังต่อไปนี้ ปัญหาที่หนึ่ง ที่ว่า บริษัทจัดการได้ขอแก้ไขข้อบังคับของกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ โดยการก าหนด (๑) วัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีตาย ลาออก จากงาน หรือลาออกจากกองทุน เพียงกรณีใดกรณีหนึ่งเท่านั้น (๒) เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพ ให้สมาชิกได้รับเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์ของเงินสมทบ แต่ในบางกรณี เช่น กรณีตาย และ (๓) บริษัทจัดการจะก าหนดเงื่อนไขของการที่จะได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ ให้เป็นไปได้ยาก เช่น ให้สมาชิกต้องท างานกับนายจ้างต่อเนื่องกันมาไม่น้อยกว่าสามสิบปี หรือ มากกว่านั้น ทั้งสามกรณีดังกล่าว จะก าหนดในข้อบังคับของกองทุนฯ ได้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ให้เหตุผลของการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ฉบับนี้สรุปได้ว่า เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพโดยความสมัครใจของนายจ้าง และลูกจ้าง และประสงค์จะให้เป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน โดยมาตรา ๓๑ บัญญัติว่า “กองทุนส ารองเลี้ยงชีพซึ่งนายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้น ประกอบด้วยเงินที่ลูกจ้างจ่ายสะสม เงินที่นายจ้างจ่ายสมทบ ฯลฯ” มาตรา ๕ วรรคสอง บัญญัติว่า “กองทุนต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อ เป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างตาย หรือออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน” นอกจากนี้มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง ยังได้บัญญัติว่า “เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพ ฯลฯ … ผู้จัดการ กองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดในข้อบังคับของ กองทุน โดยให้จ่ายรวมทั้งหมดครั้งเดียว” ในข้อความและเหตุผลของบทบัญญัติดังกล่าว


หน้า ๑๔๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แสดงเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ว่า เมื่อลูกจ้างจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนและนายจ้างจ่าย เงินสมทบเข้ากองทุนตามมาตรา ๑๐๔ แล้ว เงินดังกล่าวทั้งหมดก็ตกเป็นของกองทุนซึ่งเป็นนิติบุคคล ตามมาตรา ๗๕ ไม่อาจกลับคืนไปยังนายจ้างหรือบุคคลอื่นใดได้นอกจากจะจ่ายเงินนั้นรวมทั้งหมด ครั้งเดียวตามมาตรา ๒๓๖ ให้แก่ลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิกภาพ ฉะนั้น ข้อบังคับของกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ซึ่งมีรายการตามมาตรา ๙๗ ฉบับใด ที่มีข้อความระบุให้ลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิกภาพแล้วไม่มีสิทธิ ได้รับเงินกองทุนส ารองเลี้ยงชีพโดยก าหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใดๆไว้ เช่น ยังไม่ถึงแก่ความตายก็ดี ยังไม่ออกจากงานก็ดีหรือยังท างานไม่ครบระยะเวลาที่ก าหนดไว้ก็ดีย่อมเป็นข้อบังคับที่จ ากัดสิทธิ ของลูกจ้างขัดต่อเจตนารมณ์ และขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังที่อ้างถึงข้างต้น ดังนั้น การขอแก้ไขข้อบังคับทั้งสามกรณีในปัญหาข้อนี้ นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ไม่ได้ ปัญหาที่สอง ที่ว่า การขอจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนหรือการขอแก้ไขข้อบังคับ ของกองทุนในกรณีดังต่อไปนี้นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ได้หรือไม่ ข้อ ๑ กรณีกองทุนที่มีนายจ้างหลายรายหรือที่มีนายจ้างรายเดียวขอจดทะเบียน ข้อบังคับของกองทุนโดยการก าหนดว่า (๑) เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม กับเงินที่มีผู้อุทิศให้ ให้ตกได้แก่สมาชิกในกองทุนเฉพาะรายนายจ้างหรือสมาชิกบางราย หรือ (๒) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากกองทุนเฉพาะรายนายจ้างและหนี้ตามค าพิพากษาที่มีต้นเหตุจากนายจ้างรายใดให้เป็นภาระ รับผิดชอบแต่เฉพาะสมาชิกเฉพาะรายหรือเฉพาะนายจ้างรายนั้น มีความเห็นใน (๑) ว่า เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม และเงินที่มีผู้อุทิศให้เมื่อเอาไปรวมกับเงินประเภทอื่นแล้ว จะเป็นเงินของกองทุนก้อนเดียวกันจะแยกบางประเภทออกมาไม่ได้ กองทุนเป็นนิติบุคคลมี ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ด าเนินการประกอบธุรกิจการจัดการลงทุนตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ ด้วยเหตุนี้มาตรา ๒๓ จึงบัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้าง สิ้นสมาชิกภาพตามข้อบังคับในมาตรา ๙(๘) เท่านั้น จะก าหนดให้เงินเพิ่มหรือเงินที่มีผู้อุทิศ ให้ตาม (๑) ตกได้แก่สมาชิกในกองทุนเฉพาะรายนายจ้าง หรือสมาชิกบางรายไม่ได้และมีความเห็น ใน (๒) ว่า ค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๙(๙) เป็นค่าใช้จ่ายในการด าเนินกิจการของกองทุนโดยรวม ไม่ว่าค่าใช้จ่ายหรือหนี้ตามค าพิพากษาจะมีต้นเหตุมาจากนายจ้างรายใด กองทุนก็ต้องรับภาระ รับผิดชอบ การก าหนดในข้อบังคับให้ผิดไปจากหลักการนี้เป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุน และกฎหมาย นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ไม่ได้ ข้อ ๒ การขอจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนว่า เมื่อสมาชิกสิ้นสมาชิกภาพตาม มาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ หากลูกจ้างหรือบุคคลที่สมาชิก ของกองทุนท าหนังสือก าหนดให้เป็นผู้รับเงินจากกองทุน ไม่มารับเงินจากกองทุนภายในก าหนด เวลาที่ระบุไว้น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันที่สมาชิกสิ้นสมาชิกภาพ ให้เงินที่ต้องจ่ายจากกองทุนตกได้แก่ บุคคลตามที่ได้ก าหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุน นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนข้อบังคับที่ก าหนดไว้ ดังกล่าวได้หรือไม่ นั้น เห็นว่า สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนตามมาตรา ๒๓๑ แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นสิทธิเรียกร้องเฉพาะตัว มาตรา ๒๔๑ จึงบัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนไม่อาจโอนกันได้ และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีลูกจ้าง ที่เป็นสมาชิกหรือบุคคลที่สมาชิกก าหนดไว้โดยพินัยกรรมหรือท าหนังสือก าหนดชื่อมอบไว้แก่ ผู้จัดการกองทุนเท่านั้นที่จะมีสิทธิเรียกร้องขอรับเงินได้ เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพผู้จัดการกองทุน


หน้า ๑๕๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้าง หรือแก่บุคคลที่ลูกจ้างก าหนดให้เป็นผู้รับเงิน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดในข้อบังคับของกองทุน ในระหว่างเวลาที่ผู้จัดการกองทุน ยังไม่ได้จ่ายเงินจากกองทุน เงินในกองทุนยังเป็นสิทธิของบุคคลตามมาตรา ๒๓ อยู่ดังนั้นการขอ จดทะเบียนในข้อบังคับว่า ถ้าลูกจ้างหรือบุคคลที่สมาชิกของกองทุนท าหนังสือก าหนดให้เป็นผู้รับเงิน จากกองทุน ไม่มารับเงินจากกองทุนภายในก าหนดเวลาที่ระบุไว้ในข้อบังคับนับแต่วันที่ลูกจ้าง สิ้นสมาชิกภาพ ซึ่งเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ตาม ก็ให้เงินที่ต้องจ่ายจากกองทุนตกได้แก่บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกหรือบุคคลตามมาตรา ๒๓ จึงเป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุน และขัดต่อกฎหมายซึ่งได้ก าหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงิน โดยไม่มีการก าหนดเวลาในการที่จะเรียก เอาเงินดังกล่าวจากผู้จัดการกองทุน นายทะเบียนจึงไม่อาจรับจดทะเบียนให้ได้ ปัญหาที่สาม ที่ว่า วันที่มีการจ่ายค่าจ้างตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ จะหมายถึง วันที่ถึงก าหนดจ่ายค่าจ้างตามข้อตกลงใน สัญญาจ้างแรงงานหรือวันที่มีการจ่ายค่าจ้างจริง นั้น เห็นว่า นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้าง ในวันที่ได้ตกลงกันในสัญญาจ้างแรงงาน และมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ทุกครั้งที่มี การจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนโดยให้นายจ้างหักจากค่าจ้าง และให้นายจ้าง จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตามอัตราที่ก าหนดในข้อบังคับของกองทุน” เห็นได้ว่าอัตราที่ก าหนด ในข้อบังคับ ต้องใช้ค่าจ้างที่มีจ านวนเงินคงที่แน่นอนเป็นฐานในการค านวณให้ได้อัตราเงินสะสม และเงินสมทบก่อน จึงจะน าอัตราที่ค านวณไว้มาก าหนดในข้อบังคับได้ถ้าหากนายจ้างจ่ายค่าจ้าง แต่ละเดือนไม่ครบจ านวนเงินตามสัญญาจ้าง หรือเลื่อนการจ่ายค่าจ้างออกไป ค่าจ้างจะมีจ านวนเงิน ที่ไม่คงที่และไม่แน่นอน นายจ้างซึ่งมีหน้าที่หักเงินสะสมจากค่าจ้างและส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ตามอัตราที่ก าหนดในข้อบังคับ ก็ปฏิบัติตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ไม่ได้และกรณีที่ไม่อาจแปล บทบัญญัติว่าเป็นวันที่มีการจ่ายค่าจ้างจริง ก็เพราะจะท าให้ลูกจ้างเสียประโยชน์ที่ควรได้ และ นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มตามบทบัญญัติในมาตรา ๑๐ วรรคสาม ดังนั้น ค าว่า “ทุกครั้งที่มี การจ่ายค่าจ้าง” ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง จึงมีความหมายว่า วันที่ถึงก าหนดจ่ายค่าจ้างตาม ข้อตกลงในสัญญาจ้างแรงงานมิใช่วันที่มีการจ่ายค่าจ้างจริง ปัญหาที่สี่ ที่ว่า ในกรณีที่คณะกรรมการกองทุนแจ้งวันสิ้นสมาชิกภาพของลูกจ้าง ให้ผู้จัดการกองทุนทราบล่าช้า เป็นเหตุให้ผู้จัดการกองทุนจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างภายใน เวลาที่ก าหนดไว้ในมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่งไม่ได้หากจะก าหนดให้วันสิ้นสมาชิกภาพของสมาชิก ในข้อบังคับเป็น “ให้นับแต่วันอื่น” จะกระท าได้หรือไม่ นั้น เห็นว่า มาตรา ๒๓๑ วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติที่เร่งรัดให้ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนรวมทั้งหมดครั้งเดียวให้แก่ลูกจ้าง การจะก าหนดวันเริ่มต้นนับเวลาเป็นให้นับแต่วันอื่นเช่นที่ให้ตัวอย่างมาก็จะท าให้ล่าช้าออกไปอีก จึงจัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุนและขัดต่อกฎหมายและเห็นว่าผู้จัดการกองทุนจ่ายเงินภายใน เวลาที่ก าหนดไว้ในมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง ไม่ได้ก็แต่เพียงบางกรณีและหากผู้จัดการกองทุนเห็นว่า บทบัญญัติในมาตรานี้มีปัญหาในการปฏิบัติส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ควรแนะน าให้ผู้จัดการกองทุนด าเนินการให้มีการขอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย โดยการก าหนดเวลา ให้คณะกรรมการกองทุนรีบแจ้งวันสิ้นสมาชิกภาพของลูกจ้างให้ผู้จัดการกองทุนทราบ และแก้ไข


หน้า ๑๕๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้เริ่มต้นนับเวลาในการจ่ายเงินเป็นว่า “นับแต่วันที่ผู้จัดการกองทุนได้รับแจ้งการสิ้นสมาชิกภาพ จากคณะกรรมการกองทุน” ก็จะท าให้ปัญหาการนับเวลาตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่งหมดไป ปัญหาที่ห้า ที่ว่า กรณีภรรยาเป็นผู้มีสิทธิรับเงินจากกองทุนตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง แต่ต่อมาภรรยาเป็นผู้ต้องค าพิพากษาถึงที่สุดว่าได้ฆ่าสามีตายโดยเจตนา เงินที่ต้องจ่ายจากกองทุน ตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง จะเป็นมรดกหรือไม่นั้น เห็นว่า เงินที่ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายแก่ลูกจ้าง หรือผู้มีสิทธิตามมาตรา ๒๓ นั้น มีบุคคลที่พึงได้รับเงินโดยเฉพาะอยู่แล้ว เงินดังกล่าวจึงไม่เป็น มรดก ส าหรับปัญหาที่ขอหารือเพิ่มเติมที่ว่า หากมีข้อบังคับของกองทุนที่นายทะเบียน ได้รับจดทะเบียนไว้แล้วขัดต่อกฎหมายหรือวัตถุประสงค์ของกองทุน จะต้องเพิกถอนหรือด าเนินการ ประการใดนั้น เห็นว่า การรับจดทะเบียนเป็นค าสั่งทางปกครอง ถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจ ถูกเพิกถอนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนได้ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่จะต้องขอจดทะเบียนข้อบังคับกองทุนใหม่ดังนั้น จึงควรแจ้งให้ กองทุนขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเสียใหม่ โดยการยกเลิกข้อบังคับที่ขัดต่อกฎหมายหรือวัตถุประสงค์ ของกองทุนตามมาตรา ๙ แล้วขอจดทะเบียนข้อบังคับใหม่ที่ถูกต้องตามมาตรา ๙ ก็จะท าให้ ปัญหาที่เกิดจากข้อบังคับของกองทุนหมดสิ้นไปได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตุลาคม ๒๕๔๖ //////////////////////////////


Click to View FlipBook Version