The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

สรุปความเห็นกฤษฎีกา ก.ม.แรงงาน 2515-2555

หน้า ๖๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการสหภาพแรงงานหรือคณะกรรมการลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ได้ อีกต่อไป ดังนั้น ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน คือในขณะที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยจะมีค าสั่งแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวนั้น สหภาพแรงงานทั่วราชอาณาจักรซึ่งจะเป็น ผู้เลือกตั้งกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างตามข้อ ๒ ของค าสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ฯ จึงไม่รวมถึงสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจด้วย เนื่องจากสหภาพแรงงานดังกล่าว ได้สิ้นสุดลงแล้วและมีผลท าให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่อาจแต่งตั้งบุคคลที่สหภาพแรงงาน รัฐวิสาหกิจ ได้ร่วมเลือกตั้งไว้ทั้ง ๕ คนดังกล่าว เป็นกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในสภาที่ปรึกษา เพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติได้ ๒. ส าหรับปัญหาที่ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะแต่งตั้งเฉพาะผู้ที่ได้ รับเลือกตั้ง จ านวน ๒ คน ที่ไม่ได้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจให้ด ารงต าแหน่งกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ไปพลางก่อน และแต่งตั้งกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างอีก ๓ คน ภายหลังที่ได้ท าการเลือกตั้งใหม่แล้ว ได้หรือไม่นั้น เนื่องจากได้วินิจฉัยไว้แล้วในปัญหาข้อแรกว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่อาจแต่งตั้งบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งทั้ง ๕ คนดังกล่าวเป็นกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างได้ จึงไม่จ าต้องวินิจฉัยปัญหานี้ ๓.ส าหรับปัญหาที่ว่า กระทรวงมหาดไทยจะประกาศยกเลิกการเลือกตั้งกรรมการ ผู้แทนฝ่ายลูกจ้างและกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างที่ได้ด าเนินการเลือกตั้งเสร็จสิ้นไปแล้วแต่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยังมิได้มีค าสั่งแต่งตั้ง และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งสองฝ่าย โดยแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯก าหนดห้ามสหภาพแรงงานและสมาคมนายจ้างเสนอชื่อ ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ และหรือผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ จะกระท าได้หรือไม่ นั้น เห็นว่า เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่อาจมีค าสั่งแต่งตั้งบุคคลทั้ง ๕ คน ที่ได้รับ เลือกตั้งให้ด ารงต าแหน่งกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างได้กระทรวงมหาดไทยจึงต้องด าเนินการเลือกตั้ง กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างทั้ง ๕ คน ใหม่ ส าหรับการเลือกตั้งกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างนั้น เนื่องจากไม่มีสมาคมนายจ้าง ฝ่ายรัฐวิสาหกิจ จึงไม่มีสมาคมนายจ้างฝ่ายรัฐวิสาหกิจร่วม ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยเช่นปัญหาประการแรก จึงไม่มีความจ าเป็นที่จะต้องเลือกตั้งกรรมการ ผู้แทนฝ่ายนายจ้างใหม่ ส าหรับปัญหาที่หารือว่า กระทรวงมหาหาดไทยจะแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ก าหนดห้ามมิให้สหภาพแรงงานและสมาคมนายจ้างเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นพนักงานและ หรือผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ค าสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ฯ ไม่ได้ก าหนดให้อ านาจกระทรวงมหาดไทยที่จะออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ แต่กระทรวงมหาดไทย ก็ได้เคยออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๒๐ และต่อมาได้ออกระเบียบ กระทรวงมหาดไทยฯ ลงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๑๑ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันโดยมีผลเป็นการยกเลิก ระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ฉบับแรก ดังนั้น การที่กระทรวงมหาดไทยจะแก้ไขระเบียบ กระทรวงมหาดไทยฯ ดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นดุลพินิจของกระทรวงมหาดไทยที่จะพิจารณาตามที่ เห็นสมควร ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๓๔


หน้า ๖๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงาน ได้มีหนังสือ ด่วน ที่ มท ๑๑๓๓/๘๗๙๗ ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ด้วยพระราชบัญญัติพนักงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้บัญญัติให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอ านาจหน้าที่ พิจารณาให้ความเห็นชอบและวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์หรือค าร้องในกรณีต่างๆ เช่น กรณีพนักงาน หรือสมาคมร้องทุกข์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในข้อบังคับตามมาตรา ๑๑ ประกอบมาตรา ๑๘ กรณีสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจเสนอขอปรับปรุงสิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๑๑ ประกอบกับมาตรา ๑๘ กรณีพนักงานถูกเลิกจ้างหรือโยกย้ายตามมาตรา ๒๐ และกรณีนายทะเบียน สั่งให้กรรมการสมาคมฯ ออกจากต าแหน่ง ตามมาตรา ๔๑ เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้มีอ านาจ ในการก าหนดมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๑๑(๑) จากบทบัญญัติดังกล่าว กรมแรงงานพิจารณาเห็นว่า อาจมีปัญหาในทางปฏิบัติ กล่าวคือหากมีการโต้แย้งคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือการวินิจฉัย ชี้ขาดของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์แล้ว ผู้เสียหายจะมีสิทธิด าเนินการต่อไปได้ประการใดบ้าง โดยเฉพาะการที่จะน าคดีขึ้นสู่ศาล ทั้งนี้ เนื่องจากในมาตรา ๑๘ วรรคหก และมาตรา ๔๑ วรรคท้าย บัญญัติให้การพิจารณาหรือการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการฯ เป็นที่สุด และในมาตรา ๒๐ แม้จะมิได้บัญญัติให้ค าวินิจฉัยเป็นที่สุดแต่ก็บัญญัติให้รัฐวิสาหกิจและพนักงานต้องปฏิบัติตาม โดยมิได้บัญญัติขั้นตอนที่ผู้เสียหายจะใช้สิทธิอย่างใดต่อไป เนื่องจากกรมแรงงานเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบดูแลให้มีการปฏิบัติ เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะหน้าที่ในการสร้างความเข้าใจ ให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บุคคลดังกล่าวมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติฯ ดังนั้น เพื่อให้เป็นแนวทางในการที่จะน าไปสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้อย่างถูกต้อง กรณีแรงงานจึงใคร่ขอหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็น ดังต่อไปนี้ ๑. หากมีกรณีโต้แย้งคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาให้ความเห็นชอบ หรือการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในกรณีต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เป็นที่สุด ผู้เสียหายจะมีสิทธิน าคดีขึ้นสู่การพิจารณาชี้ขาดของศาลได้หรือไม่ เพียงใด ๒. เนื่องจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ในมาตรา ๘(๒) บัญญัติให้ศาลแรงงานมีอ านาจในการพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน หรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ ประกอบกับพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติ เรื่องเสร็จที่ ๖๘๔/๒๕๓๔ เรื่อง การชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของพนักงาน ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙


หน้า ๖๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ก าหนดความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายพนักงานโดยเฉพาะการก าหนดวิธีการเสนอข้อปัญหา และการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งก าหนดการคุ้มครอง ประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่พนักงานรัฐวิสาหกิจจะพึงได้รับตามที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จะได้ก าหนดไว้ในมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ จึงมีปัญหาว่าจากลักษณะของพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ดังกล่าวมาจะถือว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมาย ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และหรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ อันศาลแรงงานจะมี อ านาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือไม่เพียงใด คณะกรรมการกฤษฎีกา(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วมีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง เห็นว่า การที่กฎหมายได้บัญญัติให้จัดตั้งองค์กรหรือก าหนดให้ บุคคลหนึ่งบุคคลใดมีอ านาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งสิทธิอันเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติ ตามกฎหมายดังกล่าวโดยให้ค าวินิจฉัยเป็นที่สุดนั้น เป็นกรณีที่กฎหมายต้องการให้ค าวินิจฉัยชี้ขาด ขององค์กรหรือของบุคคลที่ก าหนดไว้ซึ่งกระท าไปโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย มีผลเป็นอันยุติส าหรับข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นและสามารถบังคับตามกฎหมายให้ทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้องจะต้องยอมรับปฏิบัติตามต่อไป ฉะนั้น เมื่อมีค าวินิจฉัยเป็นที่สุดโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมเป็นอันสิ้นสุดกระบวนการตามกฎหมายในการยุติปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่อาจน าเรื่องรื้อฟื้นให้ สถาบันอื่นใดพิจารณาใหม่ได้อีก มิใช่หมายความอย่างที่มีการเข้าใจว่าให้เป็นเรื่องสิ้นสุดเฉพาะ ฝ่ายบริหารโดยคู่กรณียังอาจใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้เปลี่ยนแปลงค าวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขึ้นได้อีกอย่างใดไม่ ทั้งนี้ ตามแนวค าพิพากษาศาลฎีกาก็ได้มีการวินิจฉัยยืนยันหลักการของ กฎหมายดังกล่าวไว้หลายเรื่องแล้วว่าเมื่อมีบทกฎหมายใดก าหนดให้ค าวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กร หรือของบุคคลตามที่กฎหมายก าหนดไว้เป็นที่สุด คู่กรณีย่อมจะต้องปฏิบัติตามค าวินิจฉัยชี้ขาดนั้น ไม่มีสิทธิด าเนินการทางศาลเพื่อเปลี่ยนแปลงค าวินิจฉัยได้ อย่างไรก็ตามความหมายของค าวินิจฉัย เป็นที่สุดนั้น จะต้องเป็นค าวินิจฉัยที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ให้อ านาจมีค าสั่งหรือค าวินิจฉัยเช่นว่านั้น มิได้หมายความว่าแม้ว่าค าสั่งหรือค าวินิจฉัยจะไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็จะถึงที่สุดและน ามาฟ้องร้อง ต่อศาลไม่ได้ด้วย ซึ่งหากมีกรณีดังกล่าวศาลย่อมมีอ านาจพิจารณาพิพากษาค าสั่งหรือค าวินิจฉัย นั้นว่าถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ศาลจะไม่รื้อฟื้นข้อเท็จจริงหรือดุลพินิจที่เจ้าหน้าที่ของ ฝ่ายบริหารรับฟังหรือวินิจฉัยมาโดยถือว่าการใช้ดุลพินิจเป็นปัญหาข้อเท็จจริง การจะฟังข้อเท็จจริง หรือการใช้ดุลพินิจไปในทางใดจะถือว่าเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายมิได้เว้นแต่การฟังข้อเท็จจริง หรือการใช้ดุลพินิจนั้นไม่มีพยานหลักฐานหรือเหตุผลสนับสนุนเพียงพอหรือมิได้เป็นไปโดยสุจริต อันถือได้ว่าการวินิจฉัยเช่นว่านั้นไม่เป็นการชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ การที่พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัติให้ค าวินิจฉัยของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เป็นที่สุด ในกรณีที่มีการวินิจฉัยเกี่ยวกับ ค าร้องทุกข์ของพนักงานหรือข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิและประโยชน์ของพนักงานตามมาตรา ๑๘ และกรณีการสั่งให้ออกจากต าแหน่งกรรมการสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมาตรา ๔๑ หรือ


หน้า ๖๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การที่พระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ฝ่ายบริหารและพนักงานต้องปฏิบัติตามค าวินิจฉัยของ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในเรื่องพนักงานถูกเลิกจ้างหรือโยกย้ายตามมาตรา ๒๐ นั้น หากคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ได้วินิจฉัยชี้ขาดตามอ านาจหน้าที่ที่พระราชบัญญัตินี้บัญญัติไว้ โดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วค าวินิจฉัยชี้ขาดก็จะมีผลบังคับตามกฎหมายเป็นที่สุด ไม่อาจน าคดี ขึ้นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเปลี่ยนแปลงค าวินิจฉัยนั้นได้อีก เว้นแต่จะมีกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าค าวินิจฉัยดังกล่าว เป็นค าวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามนัยค าพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้นซึ่งได้วางแนว เป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว ประเด็นที่สอง เห็นว่า ส าหรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามข้อหารือนี้เป็นเรื่องของ ผู้เสียหายที่จะใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลตามความประสงค์ของผู้เสียหายแต่ละรายที่สมัครใจใช้สิทธิ เช่นนั้นเอง และโดยที่การพิจารณาปัญหาว่าคดีใดจะอยู่ในอ านาจศาลแรงงานหรือไม่นั้น มาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้บัญญัติไว้แล้วว่า ให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยและให้ค าวินิจฉัยเป็นที่สุด ฉะนั้น ประเด็นปัญหา ในเรื่องนี้จึงอยู่ในอ านาจของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัย ซึ่งคู่กรณี หรือศาลที่เกี่ยวข้องจะต้องถือปฏิบัติต่อไปตามค าวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง ดังกล่าว ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤศจิกายน ๒๕๓๔ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๓๕


หน้า ๖๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงาน ได้มีหนังสือ ด่วน ที่ มท ๑๑๓๓/๑๑๘๗๗ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๔ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ด้วยพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ในมาตรา ๔ ได้บัญญัตินิยามค าว่า “สิทธิประโยชน์” หมายถึง สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับ วันและเวลาท างาน ค่าจ้าง เงินเดือน และสวัสดิการของพนักงาน และในมาตรา ๑๘(๒) ได้บัญญัติให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีอ านาจหน้าที่พิจารณาค าร้องทุกข์ของพนักงานหรือ ของสมาคมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจนั้น จากบทบัญญัติดังกล่าว กรมแรงงานพิจารณาเห็นว่าอาจมีปัญหาในทางปฏิบัติ กล่าวคือ หากมีการร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ มีก าหนดไว้ในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจแต่เป็นสิทธิประโยชน์ที่นอกเหนือจากค านิยามตามมาตรา ๔ ดังกล่าวข้างต้น เช่น กรณีร้องทุกข์เกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยที่ผู้ถูกลงโทษเห็นว่าไม่เป็นธรรม และระเบียบข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจมิได้ก าหนดขั้นตอนการร้องทุกข์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวไว้ ปัญหาว่าคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ของรัฐวิสาหกิจนั้นจะมีอ านาจพิจารณาค าร้องทุกข์ดังกล่าว หรือไม่ เพียงใด ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรา ๑๘(๒) บัญญัติเพียงว่าให้มีอ านาจพิจารณาค าร้องทุกข์ เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจนั้นเท่านั้น เนื่องจากกรมแรงงานเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบดูแลให้มีการปฏิบัติ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติข้างต้น ดังนั้น เพื่อให้เป็นแนวทางในการที่จะชี้แจงและ ท าความเข้าใจสาระของพระราชบัญญัติดังกล่าวให้แก่รัฐวิสาหกิจต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง กรมแรงงาน จึงขอหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าอ านาจในการพิจารณาค าร้องทุกข์ของคณะกรรมการ กิจการสัมพันธ์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนดในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจ ดังที่ บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘(๒) นั้น จะหมายถึงอ านาจในการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิหรือประโยชน์ ทุกประการของพนักงานซึ่งได้มีก าหนดไว้ในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจหรือหมายถึงเฉพาะสิทธิประโยชน์ ตามค านิยามในมาตรา ๔ ซึ่งรัฐวิสาหกิจได้น ามาก าหนดไว้ในข้อบังคับแล้วเท่านั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) ได้พิจารณาปัญหา ดังกล่าวโดยรับฟังค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้ว เห็นว่ามาตรา ๑๘(๒) แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔๓ บัญญัติให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ มีอ านาจหน้าที่พิจารณาค าร้องทุกข์ของพนักงานหรือของสมาคมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตาม หลักเกณฑ์ที่ก าหนดในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจนั้น ซึ่งค าว่า “สิทธิประโยชน์” นั้น มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้นิยามไว้ว่า หมายความว่า สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับวันและเวลาท างาน เรื่องเสร็จที่ ๒๐๐/๒๕๓๕ เรื่อง อ านาจของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ในการพิจารณาค าร้องทุกข์ ของพนักงานหรือของสมาคมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่ก าหนด ในข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจ (มาตรา ๑๘(๒) แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔) คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙


หน้า ๖๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ค่าจ้าง เงินเดือน และสวัสดิการของพนักงาน เมื่อมาตรา ๑๘(๒) มิได้มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่า สิทธิประโยชน์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘(๒) นั้นเองมีความหมายเป็นอย่างอื่นที่แตกต่างไปจาก ความหมายในมาตรา ๔ แล้ว จึงเห็นได้ว่ามาตรา ๑๘(๒) มีความมุ่งหมายที่จะให้คณะกรรมการ กิจการสัมพันธ์มีอ านาจหน้าที่พิจารณาค าร้องทุกข์ของพนักงานหรือของสมาคมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ เฉพาะแต่ในเรื่องที่เกี่ยวกับวันและเวลาท างาน ค่าจ้าง เงินเดือน และสวัสดิการของพนักงาน ตามนัยมาตรา ๔ เท่านั้น ส าหรับกรณีตามปัญหาที่กรมแรงงานยกขึ้นว่า คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ จะมีอ านาจในการพิจารณาค าร้องทุกข์ของพนักงานเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยที่ผู้ถูกลงโทษเห็นว่า ไม่เป็นธรรม และระเบียบข้อบังคับของรัฐวิสาหกิจมิได้ก าหนดขั้นตอนการร้องทุกข์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ไว้หรือไม่ นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) เห็นว่า การลงโทษ ทางวินัยมิได้อยู่ในความหมายของค าว่า “สิทธิประโยชน์” ตามนัยมาตรา ๔ ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์จึงไม่มีอ านาจตามมาตรา ๑๘(๒) ที่จะพิจารณาค าร้องทุกข์ เกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยที่ผู้ถูกลงโทษเห็นว่าไม่เป็นธรรมได้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) มีข้อสังเกตว่า การร้องทุกข์เกี่ยวกับการลงโทษนั้นเป็นเรื่องการบริหารงานบุคคลภายในรัฐวิสาหกิจอันเป็นคนละกรณี กับเรื่องสิทธิประโยชน์และสวัสดิการในการท างาน ซึ่งเรื่องการบริหารงานบุคคลนั้น โดยทั่วไป จะก าหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจนั้นๆ เช่น มาตรา ๒๙(๕) แห่งพระราชบัญญัติ การสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๙ บัญญัติให้คณะกรรมการการสื่อสารแห่งประเทศไทย มีอ านาจออกข้อบังคับว่าด้วยวินัยการลงโทษและการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ บัญญัติให้พนักงานของ การรถไฟแห่งประเทศไทยมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวกับการลงโทษได้ตามข้อบังคับที่คณะกรรมการ การรถไฟแห่งประเทศไทยก าหนด มาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ บัญญัติให้พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวกับการลงโทษ ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยก าหนด มาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ บัญญัติให้พนักงานมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวกับการลงโทษได้ ตามข้อบังคับที่คณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาควางไว้ มาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติ การไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ บัญญัติให้พนักงานมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวกับการลงโทษได้ตาม ข้อบังคับที่คณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวงวางไว้ และมาตรา ๒๑(๓) แห่งพระราชบัญญัติ องค์การเภสัชกรรม พ.ศ. ๒๕๐๙ บัญญัติให้คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมมีอ านาจวางข้อบังคับ ว่าด้วยระเบียบวินัย การลงโทษพนักงานและการร้องทุกข์ เป็นต้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีนาคม ๒๕๓๕ //////////////////////////////


หน้า ๖๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมแรงงาน ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ มท ๑๐๑๐/๑๙๗๑ ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาความว่า กรมแรงงานจะด าเนินการ เลือกตั้งผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างในศาลแรงงานกลางซึ่งในการเสนอชื่อผู้สมัคร รับเลือกตั้งนั้นตามกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ หมวด ๑ ข้อ ๒ ก าหนดให้สมาคมนายจ้างและ สหภาพแรงงานซึ่งจดทะเบียนที่ตั้งส านักงานในเขตศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานภาค หรือศาลแรงงาน จังหวัดเสนอชื่อผู้แทนซึ่งสมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานคัดเลือกเข้ารับเลือกตั้งเพื่อด ารงต าแหน่ง เป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างหรือผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างในศาลแรงงานนั้น แล้วแต่กรณี ต่ออธิบดีได้ตามจ านวนที่อธิบดีก าหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากอธิบดีกรมแรงงาน พิจารณาแล้วเห็นว่า ในการเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงาน จากสมาคมนายจ้างและสหภาพแรงงานนั้น เจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้องค์กรนายจ้างและ องค์กรลูกจ้างได้เสนอชื่อผู้แทนขององค์กรซึ่งควรเป็นผู้มีส่วนได้เสียในองค์กร โดยอาจเป็นสมาชิก หรือกรรมการของสมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานเนื่องจากสมาชิกของสมาคมนายจ้างหรือ สหภาพแรงงานย่อมเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวพันและมีส่วนร่วมในกิจกรรมและการด าเนินการของ องค์กรในกิจการอันอาจกระทบต่อส่วนได้เสียของสมาชิกโดยส่วนรวม และต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติ ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ด้วย ดังนั้น การที่สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานเสนอชื่อบุคคลอื่นที่มิได้มีความเกี่ยวพันกับองค์กร หรือเป็นบุคคลภายนอกซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรนายจ้างและองค์กรลูกจ้าง อันได้แก่การ เป็นสมาชิกหรือกรรมการ แต่เป็นบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติถูกต้องตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้น จึงไม่สอดคล้อง กับกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๒๓) ฯลฯ ในหมวด ๑ ข้อ ๒ ฉะนั้น เพื่อให้ผู้แทนของสมาคมนายจ้าง หรือสหภาพแรงงานได้เข้าไปมีบทบาทและช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานในศาลแรงงานได้อย่างแท้จริง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ผู้แทนของสมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงาน ควรเป็นบุคคลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรตามที่กล่าว แต่ปรากฏว่ามีสหภาพแรงงานบางแห่ง เสนอชื่อบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน กรมแรงงาน จึงขอหารือ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานจะเสนอชื่อผู้แทนในการ สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานซึ่งมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นสมาชิกของ สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงาน ได้หรือไม่ และการเสนอชื่อบุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของ เรื่องเสร็จที่ ๓๕๗/๒๕๓๕ เรื่อง การเสนอชื่อบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกสมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงาน เข้าสมัครรับเลือกตั้งเพื่อด ารงต าแหนงงเป็นผู้พิพากาาสมทบนนาาลแรงงาน ตามมาตรา ๑๔ แหงงพระราชบัญญัติจัดตั้งาาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.า. ๒๕๒๒ คณะปฏิรูปการปกครองแผงนดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.า. ๒๕๑๙


หน้า ๖๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานจะเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๔) ได้พิจารณาปัญหา ข้อหารือดังกล่าวประกอบกับค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมแรงงาน) แล้วเห็นว่า มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มิได้ ก าหนดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือของผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานไว้ว่าจะต้องเป็น สมาชิกของสมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงาน และเมื่อพิจารณาประกอบกับกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ แล้ว เห็นว่า กฎกระทรวงดังกล่าวออกโดยอาศัยอ านาจตามมาตรา ๑๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งก าหนดแต่เพียงว่า “หลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งรายชื่อผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง” และมิได้มีบทบัญญัติใดในพระราชบัญญัตินี้ที่ก าหนดให้ อ านาจรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติมีอ านาจออกกฎกระทรวงก าหนดคุณสมบัติของผู้ที่ จะสมัครเข้ารับเลือกตั้งหรือของผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานเพิ่มเติมจากคุณสมบัติที่ได้ก าหนด ไว้แล้วในมาตรา ๑๔ ได้ ในการออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๔ ดังกล่าวจึงต้องเป็นไปตาม เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแม่บท คือ ให้รัฐมนตรีมีอ านาจออกกฎกระทรวงก าหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งรายชื่อผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเท่านั้น ไม่อาจก าหนด คุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือของผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานเพิ่มเติมขึ้นจากบทบัญญัติ แห่งมาตรา ๑๔ ได้ เพราะเป็นการเกินอ านาจกฎหมายแม่บท ดังนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๔) จึงเห็นว่า ในการเสนอชื่อบุคคลเข้าสมัครรับเลือกตั้งเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ด ารงต าแหน่ง เป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานมีสิทธิเสนอชื่อบุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของ สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานได้เมื่อบุคคลนั้นมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่ ก าหนดไว้ในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่เป็นการขัดต่อกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่อย่างใด ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมษายน ๒๕๓๕ //////////////////////////////


หน้า ๗๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ส านักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือ ที่ มท ๑๓๐๗/๒๕๒๙ ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ส านักงานประกันสังคมมีปัญหา ข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ที่จ าเป็นจะต้องตีความเพื่อน าไปใช้ เป็นแนวทางในการจัดเก็บเงินสมทบและวินิจฉัยสั่งจ่ายประโยชน์ทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิดังนี้ ๑. การจ่ายเงินสมทบในกรณีผู้ประกันตนเป็นลูกจ้างรายเดือน เนื่องจากมาตรา ๖ บัญญัติว่า “ในการค านวณค่าจ้างเพื่อออกเงินสมทบให้ถือ เอาค่าจ้างที่คิดเป็นรายวันเป็นเกณฑ์ค านวณ ในการค านวณค่าจ้างรายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายปี เป็นค่าจ้างรายวัน ให้ถือว่าสัปดาห์หนึ่ง มีเจ็ดวัน เดือนหนึ่งมีสามสิบวัน และปีหนึ่งมีสามร้อยหกสิบห้าวัน” และ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้ก าหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันหยุดและวันลาแก่ลูกจ้างรายเดือน เช่นเดียวกับวันท างาน แต่ในแต่ละเดือนมีจ านวนวันไม่เท่ากัน จึงมีปัญหาที่จะต้องตีความว่า ในกรณีที่ผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนจะต้องน าส่งเงินสมทบเดือนละกี่วัน ซึ่งมีความเห็น เป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายแรกเห็นว่าเมื่อใช้ ๓๐ เป็นตัวหารค่าจ้างรายเดือนเพื่อหาค่าจ้างเป็นรายวัน ก็ควรถือว่าต้องน าส่งเงินสมทบเดือนละ ๓๐ วันไม่ว่าในแต่ละเดือนจะมีน้อยหรือมากกว่า ๓๐ วัน หรือไม่ก็ตาม ฝ่ายที่สองเห็นว่าบทบัญญัติมาตรา ๖ เป็นการค านวณค่าจ้างเป็นรายวันเพื่อออก เงินสมทบเท่านั้น มิใช่เป็นการให้ส่งเงินสมทบเดือนละ ๓๐ วัน ผู้ประกันตนหรือนายจ้างจะต้อง น าส่งเงินสมทบกี่วันจะต้องขึ้นอยู่กับจ านวนวันที่ผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างในแต่ละเดือนเมื่อ ผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างในวันหยุดและวันลาเช่นเดียวกับวันท างานซึ่งหมายถึงทุกวันในแต่ละเดือน ผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างผู้ประกันตนก็ต้องน าส่งเงินสมทบตามจ านวนวันในแต่ละเดือนนั้น ๒. ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร เนื่องจากมาตรา ๖๕ บัญญัติว่า “ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีคลอดบุตรส าหรับตนเองหรือคู่สมรสต่อเมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า สองร้อยสิบวันและต้องอยู่ภายในสิบห้าเดือนก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับส าหรับ การคลอดบุตรไม่เกินสองครั้ง” ข้อเท็จจริงผู้ประกันตนมีคู่สมรสเป็นผู้ประกันตนด้วยและมี การคลอดบุตร ๔ ครั้งจึงมีปัญหาว่าผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร ๔ ครั้ง โดยได้รับส าหรับผู้ประกันตนคลอดบุตรเอง ๒ ครั้ง และส าหรับคู่สมรสของผู้ประกันตน คลอดบุตรอีก ๒ ครั้งหรือไม่ เรื่องเสร็จที่ ๕๔๖/๒๕๓๕ เรื่อง การตีความพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ (กรณีการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างรายเดือน ประโยชน์ทดแทน การคลอดบุตรและประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้จากการคลอดบุตร คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๗ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙


หน้า ๗๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้ในกรณีผู้ประกันตนคลอดบุตร เนื่องจากตามประกาศส านักงานประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตรา ส าหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร ลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ได้ก าหนดให้จ่าย ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรโดยเหมาจ่ายในอัตรา ๒,๕๐๐ บาท ต่อการคลอดหนึ่งครั้ง และตามมาตรา ๖๕ บัญญัติว่าผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรต่อเมื่อ ได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสองร้อยสิบวันก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ ดังนั้น ส าหรับ ผู้ประกันตนที่ได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วน้อยกว่าสองร้อยสิบวันก่อนวันคลอดบุตรย่อมไม่มีสิทธิได้รับ ประโยชน์ทดแทนการคลอดบุตรที่เหมาจ่าย ๒,๕๐๐ บาท และไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน การขาดรายได้ตามมาตรา ๖๖ และมาตรา ๖๗ ด้วย แต่เมื่อผู้ประกันตนคลอดบุตรแล้วนายจ้าง ได้จ่ายค่าจ้างระหว่างลาเพื่อการคลอดให้แก่ผู้ประกันตน ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และนายจ้างได้หักค่าจ้างส่วนนี้เป็นเงินสมทบน าส่งส านักงานประกันสังคมด้วย เมื่อนับจ านวนวัน ที่ได้จ่ายเงินสมทบก่อนวันคลอดรวมกับเงินสมทบที่ได้จ่ายหลังวันคลอดบุตรแล้วครบ ๒๑๐ วัน จึงมีปัญหาว่าผู้ประกันตนซึ่งหยุดงานเพื่อการคลอดตามค าสั่งแพทย์ ในกรณีดังกล่าวมีสิทธิได้รับ ประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้หรือไม่ ส านักงานประกันสังคมจึงขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปัญหาข้อกฎหมาย ดังกล่าวด้วย คณะกรรมการกฤษฎีกา(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว โดยรับฟังค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (ส านักงานประกันสังคมและกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน) แล้ว มีความเห็น ดังนี้ ตามปัญหาข้อที่ ๑ ที่ว่า ผู้ประกันตนซึ่งได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนจะต้องออกเงินสมทบ เดือนละกี่วัน นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มิได้มีข้อก าหนดว่าใน การออกเงินสมทบ ผู้ประกันตนจะต้องออกเงินสมทบเป็นจ านวนกี่วันในหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี มาตรา ๔๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการออกเงินสมทบได้บัญญัติไว้ แต่เพียงว่า ให้รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน ออกเงินสมทบเข้ากองทุนฝ่ายละเท่ากัน ตามอัตราที่ก าหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่เกินอัตราเงินสมทบท้ายพระราชบัญญัติ และ กฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ฯลฯ ได้ก าหนดอัตราเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทน กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และคลอดบุตรไว้ร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้าง ของผู้ประกันตนแต่อย่างไรก็ตาม ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการค านวณเงินสมทบของผู้ประกันตน แต่ละคน ถ้าเกินกว่าวันละห้าร้อยบาทมาตรา ๔๖ วรรคสี่ ให้คิดเพียงวันละห้าร้อยบาท ส าหรับ ระยะเวลาการจ่ายค่าจ้างนั้นเนื่องจากประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ มิได้ก าหนดว่าการจ่ายค่าจ้างจะต้องจ่ายกันอย่างไร การจ่าย ค่าจ้างจึงเป็นไปตามที่นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันซึ่งอาจตกลงกันจ่ายเป็นรายเดือน หรือเป็น ระยะเวลาอย่างอื่นที่ไม่เกินหนึ่งเดือน หรือตามผลงานโดยค านวณเป็นหน่วย หรือตามก าหนด เวลาที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน มาตรา ๖ วรรคสอง จึงวางหลักเกณฑ์ในการค านวณค่าจ้าง รายสัปดาห์รายเดือน และรายปีเป็นค่าจ้างรายวัน โดยให้ถือว่าสัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวัน เดือนหนึ่ง มีสามสิบวัน และปีหนึ่งมีสามร้อยหกสิบห้าวัน เมื่อนายจ้างค านวณเงินสมทบของผู้ประกันตนได้


หน้า ๗๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วมาตรา ๔๗ บัญญัติให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องหักค่าจ้างของผู้ประกันตนทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง ตามจ านวนที่จะต้องส่งเป็นเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตน โดยให้นายจ้างน าเงินสมทบในส่วน ของผู้ประกันตนที่ได้หักไว้ และเงินสมทบในส่วนของนายจ้างส่งให้แก่ส านักงานประกันสังคม ภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้และในกรณีที่ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบ มาครบตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ส าหรับประโยชน์ทดแทนแต่ละประเภท ผู้ประกันตนย่อมมีสิทธิ ที่จะได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีต่างๆ ตามที่กฎหมายก าหนดไว้ จากข้อกฎหมายดังกล่าว เห็นได้ว่ามาตรา ๖ วรรคสอง มิใช่บทบัญญัติที่ก าหนด ให้ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างรายเดือนต้องออกเงินสมทบเดือนละสามสิบวัน หากแต่เป็นบทบัญญัติ ที่ก าหนดหลักเกณฑ์ในการค านวณค่าจ้างของผู้ประกันตนในกรณีที่จ าเป็นต้องค านวณเป็นรายวัน เช่น กรณีตามมาตรา ๔๖ เป็นต้นด้วย และเมื่อพิจารณาอัตราเงินสมทบท้ายพระราชบัญญัติ ประกอบกับกฎกระทรวงที่ออกตามนัยดังกล่าวแล้วเห็นว่า เงินสมทบที่ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายนั้น กฎหมายมีเจตนาจะให้ถือเอาค่าจ้างที่ได้รับเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ ต้องจ่ายเป็นร้อยละของค่าจ้าง ของผู้ประกันตน เช่น ร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้าง ดังนั้น เมื่อผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เดือนละเท่าไร ย่อมต้องจ่ายเงินทดแทนเป็นร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้างที่ได้รับนั้น เว้นแต่มีกรณียกเว้น ตามมาตรา ๔๖ โดยมิต้องค านึงว่าในเดือนนั้นมีวันท างานกี่วัน ตามปัญหาข้อที่ ๒ ที่ว่า ผู้ประกันตนมีคู่สมรสเป็นผู้ประกันตนด้วย และมีการ คลอดบุตรสี่ครั้ง ผู้ประกันตนจะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรสี่ครั้งโดยได้รับ ส าหรับผู้ประกันตนคลอดบุตรเองสองครั้ง และส าหรับคู่สมรสของผู้ประกันตนคลอดบุตรอีกสองครั้ง หรือไม่ นั้น เห็นว่าสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรนั้น มาตรา ๖๕ บัญญัติว่า “ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรส าหรับตนเองหรือคู่สมรสต่อเมื่อได้ จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสองร้อยสิบวัน และต้องอยู่ภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนวันรับ บริการทางการแพทย์ ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับส าหรับการคลอดบุตร ไม่เกินสองครั้ง” จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นว่า สิทธิที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรนั้น เป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ประกันตนแต่ละคน ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ประกันตนแต่ละคนได้ออก เงินสมทบครบตามเกณฑ์ที่มาตรา ๖๕ วรรคหนึ่ง ก าหนดไว้ กล่าวคือ ได้จ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่าสองร้อยสิบวัน และอยู่ภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนวันรับบริการทางการแพทย์แล้ว ผู้ประกันตนย่อมมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร ดังนั้น ตามปัญหาข้อหารือจึงเห็นว่า ในกรณีที่ผู้ประกันตนมีคู่สมรส เป็นผู้ประกันตนด้วย ผู้ประกันตนย่อมมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ส าหรับผู้ประกันตนคลอดบุตรเองสองครั้ง และย่อมมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนส าหรับคู่สมรส ของผู้ประกันตนคลอดบุตรอีกสองครั้งด้วย ตามปัญหาข้อที่ ๓ ที่ว่า ผู้ประกันตนที่ต้องหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามค าสั่งแพทย์ และได้รับค่าจ้างในระหว่างลาคลอดบุตรตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แต่ไม่มีสิทธิ ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรตามมาตรา ๖๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้หรือไม่ นั้น เห็นว่า ผู้ประกันตนที่ต้องหยุดงาน


หน้า ๗๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อการคลอดบุตรตามค าสั่งแพทย์จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้หรือไม่จะต้อง พิจารณามาตรา ๖๕ กับมาตรา ๖๖ ประกอบกัน ซึ่งมาตรา ๖๕ บัญญัติว่าผู้ประกันตนมีสิทธิ ได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีคลอดบุตรส าหรับตนเองเมื่อได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า สองร้อยสิบวัน และต้องอยู่ภายในเวลาสิบห้าเดือนก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ โดยที่ บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่จ ากัดสิทธิของผู้ประกันตน การแปลความจึงต้องแปลโดยเคร่งครัด และเมื่อพิจารณาประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรตามมาตรา ๖๖ แล้วจะเห็นว่าประโยชน์ดังกล่าว อาจมีทั้งที่เกิดขึ้นก่อนคลอดและหลังคลอด และเป็นประโยชน์ที่อาจแยกจากกันได้ ดังนั้น ถ้าผู้ประกันตนยังจ่ายเงินสมทบไม่ครบตามระยะเวลาที่กฎหมายก าหนด ผู้ประกันตนย่อมไม่มีสิทธิ จะได้รับประโยชน์ทดแทนส าหรับกรณีที่เกิดขึ้นก่อนจะจ่ายเงินสมทบครบตามระยะเวลาที่ กฎหมายก าหนด แต่เมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบครบตามระยะเวลาที่กฎหมายก าหนดเมื่อไร สิทธิในการได้รับประโยชน์ทดแทนย่อมเกิดขึ้น ทั้งนี้ เฉพาะส าหรับประโยชน์ทดแทนส าหรับกรณี ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากวันจ่ายเงินสมทบครบตามระยะเวลาที่กฎหมายก าหนดเป็นต้นไป เช่น ถ้าในขณะที่คลอด ผู้ประกันตนยังจ่ายสมทบเงินไม่ครบตามระยะเวลา ผู้ประกันตนย่อมไม่มีสิทธิ ได้รับค่าทดแทนในกรณีค่าท าคลอด แต่ภายหลังที่คลอดแล้ว ปรากฏว่า ผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบ ครบถ้วนแล้ว และมีกรณีที่จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลทารกแรกเกิด ผู้ประกันตนย่อมมีสิทธิ ได้รับประโยชน์ทดแทนในส่วนนี้ส่วนจะได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นจ านวนเท่าไร ย่อมเป็นไป ตามอัตราที่คณะกรรมการก าหนด อย่างไรก็ตาม อ านาจของคณะกรรมการที่จะก าหนดหลักเกณฑ์ และอัตราตามมาตรา ๖๖ นั้น คณะกรรมการไม่มีอ านาจที่จะก าหนดหลักเกณฑ์หรืออัตรา ให้เป็นการขัดหรือตัดสิทธิของผู้ประกันตนตามที่ก าหนดไว้ในกฎหมายได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๓๕ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๓๖


หน้า ๗๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือ ที่ มท ๑๓๐๗/๔๕๔๖ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงมหาดไทยมีปัญหาข้อกฎหมาย ที่จ าเป็นต้องตีความพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑.การนับจ านวนวันส่งเงินสมทบของลูกจ้างรายเดือน ซึ่งในแต่ละเดือนมีจ านวนวัน ไม่เท่ากัน กรณีเช่นนี้จะนับตามจ านวนวันที่เป็นจริง หรือนับเดือนละ ๓๐ วัน ๒. การนับจ านวนวันที่ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบ อันก่อให้เกิดสิทธิในการรับ ประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตร หากในวันแรกที่เข้ารับบริการทางการแพทย์ ผู้ประกันตนยังส่ง เงินสมทบไม่ครบ ๒๑๐ วัน แต่ในระหว่างที่ผู้ประกันตนลาคลอด ผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างใน ระหว่างลาคลอดจากนายจ้างตามกฎหมาย และนายจ้างได้หักเงินสมทบส่งกองทุนประกันสังคม ท าให้ลูกจ้างผู้ประกันตนส่งเงินสมทบครบ ๒๑๐ วัน ในระหว่างลาคลอด จึงมีปัญหาที่จะต้อง พิจารณาว่า ๒.๑ ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนจะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนที่เป็นค่าบริการ ทางการแพทย์ตามมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ ๒.๒ ในขณะที่ลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบครบ ๒๑๐ วันแล้ว ลูกจ้างยังมีความจ าเป็นต้องหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามค าสั่งแพทย์ต่อไปลูกจ้างนั้นจะมีสิทธิ รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในส่วนที่เหลืออยู่ตามมาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว โดยรับฟังค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย(ส านักงานประกันสังคม) ด้วยแล้ว ผู้แทนส านักงาน ประกันสังคมชี้แจงว่า ปัญหาที่หารือมานี้เป็นปัญหาที่มีข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่ส านักงานประกันสังคม ได้เคยหารือมาครั้งหนึ่งแล้วตามหนังสือที่ มท ๑๓๐๗/๒๕๒๙ ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ แต่โดยที่ส านักงานประกันสังคมมีความจ าเป็นต้องขอถอนเรื่องคืนเพื่อให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา เสียก่อนตามแนวทางปฏิบัติของกระทรวงมหาดไทย และขณะนี้กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณา แล้วเห็นว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาส าคัญ สมควรหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหาข้อยุติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) พิจารณาแล้ว มีความเห็นดังนี้ ปัญหาข้อที่ ๑ ที่ว่า การนับจ านวนวันส่งเงินสมทบของลูกจ้างรายเดือนซึ่งใน แต่ละเดือนมีจ านวนวันไม่เท่ากัน จะนับตามจ านวนวันที่เป็นจริง หรือนับเดือนละ ๓๐ วัน นั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มิได้มีข้อก าหนดว่าในการออกเงินสมทบ ผู้ประกันตน เรื่องเสร็จที่ ๑๗๔/๒๕๓๖ เรื่อง การจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างรายเดือน ประโยชน์ทดแทนการคลอดบุตร และประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้ จากการคลอดบุตร ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓


หน้า ๗๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา จะต้องออกเงินสมทบเป็นจ านวนกี่วันในหนึ่งสัปดาห์หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี มาตรา ๔๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการออกเงินสมทบได้บัญญัติไว้แต่เพียงว่า ให้รัฐบาล นายจ้างและผู้ประกันตน ออกเงินสมทบเข้ากองทุนฝ่ายละเท่ากันตามอัตราที่ก าหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่เกินอัตรา เงินสมทบท้ายพระราชบัญญัติและกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ฯลฯ ได้ก าหนดอัตรา เงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และ คลอดบุตรไว้ร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน แต่อย่างไรก็ตามค่าจ้างที่ใช้เป็นฐาน ในการค านวณเงินสมทบของผู้ประกันตนแต่ละคน ถ้าเกินกว่าวันละห้าร้อยบาท มาตรา ๔๖ วรรคสี่ ให้คิดเพียงวันละห้าร้อยบาท ส าหรับระยะเวลาการจ่ายค่าจ้างนั้น เนื่องจากประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ มิได้ก าหนดว่าการจ่ายค่าจ้าง จะต้องจ่ายกันอย่างไรการจ่ายค่าจ้างจึงเป็นไปตามที่นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันซึ่งอาจตกลงกัน จ่ายเป็นรายเดือน หรือเป็นระยะเวลาอย่างอื่นที่ไม่เกินหนึ่งเดือนหรือตามผลงานโดยค านวณเป็นหน่วย หรือตามก าหนดเวลาที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันมาตรา ๖ วรรคสอง จึงวางหลักเกณฑ์ในการ ค านวณค่าจ้างรายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี เป็นค่าจ้างรายวัน โดยให้ถือว่าสัปดาห์หนึ่ง มีเจ็ดวัน เดือนหนึ่งมีสามสิบวัน และปีหนึ่งมีสามร้อยหกสิบห้าวัน เมื่อนายจ้างค านวณเงินสมทบ ของผู้ประกันตนได้แล้ว มาตรา ๔๗ บัญญัติให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องหักค่าจ้างของผู้ประกันตน ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้างตามจ านวนที่จะต้องส่งเป็นเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตน โดยให้ นายจ้างน าเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนที่ได้หักไว้และเงินสมทบในส่วนของนายจ้างส่งให้แก่ ส านักงานประกันสังคมภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ และ ในกรณีที่ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาครบตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ส าหรับประโยชน์ทดแทน แต่ละประเภท ผู้ประกันตนย่อมมีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีต่างๆ ตามที่กฎหมาย ก าหนดไว้ จากข้อกฎหมายดังกล่าว เห็นได้ว่ามาตรา ๖ วรรคสอง มิใช่บทบัญญัติที่ก าหนด ให้ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างรายเดือนต้องออกเงินสมทบเดือนละสามสิบวัน หากแต่เป็นบทบัญญัติ ที่ก าหนดหลักเกณฑ์ในการค านวณค่าจ้างของผู้ประกันตนในกรณีที่จ าเป็นต้องค านวณเป็นรายวัน เช่น กรณีตามมาตรา ๔๖ เป็นต้น และเมื่อพิจารณาอัตราเงินสมทบท้ายพระราชบัญญัติ ประกอบกับกฎกระทรวงที่ออกตามนัยดังกล่าวแล้วเห็นว่า เงินสมทบที่ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายนั้น กฎหมายมีเจตนาจะให้ถือเอาค่าจ้างที่ได้รับเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ ต้องจ่ายเป็นร้อยละของค่าจ้าง ของผู้ประกันตน เช่น ร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้าง ดังนั้น เมื่อผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เดือนละเท่าไร ย่อมต้องจ่ายเงินสมทบเป็นร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้างที่ได้รับนั้น เว้นแต่มีกรณียกเว้น ตามมาตรา ๔๖ โดยมิต้องค านึงว่าในเดือนนั้น มีวันท างานกี่วัน ปัญหาข้อที่ ๒ ในประเด็นที่ ๑ ที่ว่า ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนเข้ารับบริการ ทางการแพทย์โดยส่งเงินสมทบไม่ครบ ๒๑๐ วัน แต่ในระหว่างลาคลอด นายจ้างได้หักเงินสมทบ ส่งกองทุนประกันสังคมจนครบ ๒๑๐ วัน ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนที่เป็นค่าบริการ ทางการแพทย์ตามมาตรา ๖๖ หรือไม่ นั้น เห็นว่า ในปัญหานี้จะต้องพิจารณามาตรา ๖๕ กับมาตรา ๖๖ ประกอบกัน ซึ่งมาตรา ๖๕ บัญญัติว่าผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน


หน้า ๗๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ในกรณีคลอดบุตรส าหรับตนเอง เมื่อได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสองร้อยสิบวัน และต้อง อยู่ภายในเวลาสิบห้าเดือนก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ โดยที่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติ ที่จ ากัดสิทธิของผู้ประกันตน การแปลความจึงต้องแปลโดยเคร่งครัด และเมื่อพิจารณาประโยชน์ ทดแทนกรณีคลอดบุตรตามมาตรา ๖๖ แล้วจะเห็นว่าประโยชน์ดังกล่าว อาจมีทั้งที่เกิดขึ้นก่อนคลอด และหลังคลอด และเป็นประโยชน์ที่อาจแยกจากกันได้ ดังนั้น ถ้าผู้ประกันตนยังจ่ายเงินสมทบ ไม่ครบตามระยะเวลาที่กฎหมายก าหนด ผู้ประกันตนย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ ทดแทนส าหรับกรณีที่เกิดขึ้นก่อนจะจ่ายเงินสมทบครบตามระยะเวลาที่กฎหมาย ก าหนด แต่เมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบครบตามระยะเวลาที่กฎหมายก าหนดเมื่อไร สิทธิในการ ได้รับประโยชน์ทดแทนย่อมเกิดขึ้น ทั้งนี้ เฉพาะส าหรับประโยชน์ทดแทนส าหรับกรณีที่จะเกิดขึ้น ภายหลังจากวันจ่ายเงินสมทบครบตามระยะเวลาที่กฎหมายก าหนดเป็นต้นไป เช่น ถ้าในขณะที่คลอด ผู้ประกันตนยังจ่ายเงินสมทบไม่ครบตามระยะเวลา ผู้ประกันตนย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนในกรณี ค่าท าคลอดแต่ภายหลังที่คลอดแล้วปรากฏว่าผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบครบถ้วนแล้ว และมีกรณี ที่จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลทารกแรกเกิด ผู้ประกันตนย่อมมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในส่วนนี้ ส่วนจะได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นจ านวนเท่าไร ย่อมเป็นไปตามอัตราที่คณะกรรมการก าหนด อย่างไรก็ตาม อ านาจของคณะกรรมการที่จะก าหนดหลักเกณฑ์และอัตราตามมาตรา ๖๖ นั้น คณะกรรมการไม่มีอ านาจที่จะก าหนดหลักเกณฑ์หรืออัตราให้เป็นการขัดหรือตัดสิทธิของผู้ประกันตน ตามที่ก าหนดไว้ในกฎหมายได้ ส่วนปัญหาข้อที่ ๒ ในประเด็นที่ ๒ ที่ว่า ในขณะที่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนได้ ส่งเงินสมทบครบ ๒๑๐ วันแล้ว ลูกจ้างยังมีความจ าเป็นต้องหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตาม ค าสั่งแพทย์ต่อไป ลูกจ้างจะมีสิทธิรับเงินทดแทนการขาดรายได้ในส่วนที่เหลืออยู่ตามมาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ หรือไม่ นั้น ผู้แทนส านักงานประกันสังคมได้ชี้แจง ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าตามปัญหาดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ประกันตนคลอดบุตรโดยจ่ายเงินสมทบ มาแล้วน้อยกว่า ๒๑๐ วัน ตัวอย่างเช่น ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ๒๐๕ วัน และได้ หยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามค าสั่งของแพทย์เป็นเวลา ๖๐ วัน ในระหว่างหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบต่อไปจนครบ ๒๑๐ วัน เช่นนี้ผู้ประกันตนจะมีสิทธิรับเงินทดแทน การขาดรายได้ในส่วนของการหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ๕๕ วันที่เหลือหรือไม่คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) เห็นว่า มาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ บัญญัติว่าในกรณีที่ผู้ประกันตนหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ให้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้าง ตามมาตรา ๕๗ ส าหรับการที่ผู้ประกันตนต้องหยุดงานเพื่อ การคลอดบุตรครั้งหนึ่งไม่เกินหกสิบวัน โดยบทบัญญัติมาตรา ๖๗ มิได้มีข้อจ ากัดว่าผู้ประกันตน ซึ่งต้องหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ตามค าสั่งแพทย์จะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วเป็นเวลาเท่าใด ดังนั้น ในประเด็นที่หารือมานี้ เมื่อปรากฏว่าผู้ประกันตนได้หยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามค าสั่ง ของแพทย์ ผู้ประกันตนจึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่หยุดงาน ตามค าสั่งของแพทย์จนถึงวันสุดท้ายที่แพทย์ก าหนดให้หยุดงาน หรือจนถึงวันสุดท้ายที่หยุดงาน ในกรณีที่ผู้ประกันตนกลับเข้าท างานก่อนครบก าหนดเวลาตามค าสั่งของแพทย์ตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง


หน้า ๗๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ไม่เกินระยะเวลาหกสิบวัน ตามมาตรา ๖๗ วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขตามมาตรา ๖๗ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมษายน ๒๕๓๖ //////////////////////////////


หน้า ๗๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ มท ๑๗๐๖/๗๔๐๗ ลงวันที่.. พฤษภาคม ๒๕๓๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงมหาดไทยอาศัยอ านาจ ตามประกาศ ของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ออกประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ปรับปรุงแก้ไขสิทธิลาคลอดของลูกจ้างหญิงให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ความว่า “ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาคลอด ก่อนและหลังคลอดครรภ์หนึ่งไม่เกิน เก้าสิบวัน ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างซึ่งลาคลอดเท่ากับค่าจ้างในวันท างานตลอดระยะเวลา ที่ลา แต่ไม่เกินสี่สิบห้าวัน วันลาตามวรรคหนึ่งให้นับรวมวันหยุดที่มีระหว่างวันลาด้วย” ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว ได้ยกเลิกความในข้อ ๑๘ แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ที่ก าหนดว่า “ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อการคลอดเพิ่มขึ้นจากวันลาป่วยที่ก าหนดไว้ ในข้อ ๑๒ วรรคหนึ่ง โดยไม่ได้รับค่าจ้างอีกหกสิบวันรวมทั้งวันหยุดด้วยแต่ถ้าหญิงนั้นได้ท างาน มาแล้วไม่น้อยกว่า หนึ่งร้อยแปดสิบวัน ให้มีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่าเวลาที่ลาตามอัตราที่ได้รับอยู่ แต่ไม่เกินสามสิบวัน ถ้าหญิงนั้นยังไม่สามารถท างานได้เนื่องจากการคลอดก็ให้มีสิทธิลาโดยไม่ได้รับ ค่าจ้างอีกสามสิบวัน การลาตามข้อนี้ ให้น าข้อ ๑๒ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม” ปรากฏว่ามีลูกจ้างหญิงหลายรายลาคลอดคาบเกี่ยวระหว่างประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฉบับเดิมกับฉบับใหม่ใช้บังคับตัวอย่างเช่น ลาคลอดตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖ รวม ๖๐ วัน เมื่อมีประกาศฉบับใหม่ใช้บังคับ ลูกจ้างนั้นขอลาคลอดต่อจากวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ต่อไปอีก ๓๐ วันและขอรับค่าจ้าง ในวันลาเพิ่มเติมอีก ๑๕ วันด้วย จึงมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าลูกจ้างนั้นมีสิทธิลาและได้รับค่าจ้าง ระหว่างลาเพิ่มขึ้นตามประกาศฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งปัญหาเรื่องนี้มีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายที่หนึ่งเห็นว่า เมื่อเป็นการลาคลอดตามประกาศฉบับเดิมก็ย่อมมีสิทธิตามประกาศฉบับเดิม คือ ไม่มีสิทธิลาต่ออีก ๓๐ วัน และไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างอีก ๑๕ วัน เรื่องเสร็จที่ ๒๕๕/๒๕๓๖ เรื่อง สิทธิลาคลอดของลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดต่อเนื่องกันในระหว่าง การใช้ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ กับประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖


หน้า ๗๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่ายที่สองเห็นว่า เนื่องจากประกาศฉบับใหม่ให้สิทธิลูกจ้างหญิงเพิ่มขึ้นเมื่อมีวันลาคลอด ต่อเนื่องมาถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ยังไม่ถึง ๙๐ วัน และลูกจ้างประสงค์จะลาคลอด ต่อเนื่องจนครบ ๙๐ วัน ตามประกาศฉบับใหม่ลูกจ้างก็ย่อมมีสิทธิลาต่อเนื่องเพิ่มขึ้นจนครบ ๙๐ วัน และมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาคลอดเพิ่มขึ้นตามจ านวนวันลาที่เพิ่มขึ้นนับจากวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ด้วย แต่เมื่อรวมกับค่าจ้างในวันลาคลอดที่ได้รับก่อนวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ แล้วต้องไม่เกิน ๔๕ วัน และกรณีที่ลูกจ้างท างานไม่ครบ ๑๘๐ วัน ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ระหว่างลาคลอด ตามประกาศฉบับเดิม เมื่อลูกจ้างนั้นมีสิทธิลาต่อเนื่องเพิ่มขึ้นจนครบ ๙๐ วัน ตามประกาศฉบับใหม่ ก็ย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาคลอดตามจ านวนวันลาที่เพิ่มขึ้นนับจาก วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ด้วย แต่ไม่เกิน ๑๕ วัน เนื่องจากปัญหาเรื่องนี้มีความเห็นแตกต่างกัน และเป็นปัญหาส าคัญกระทรวงมหาดไทยจึงขอหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณา ให้ความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว โดยรับฟังค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) แล้ว มีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดโดยเริ่มลาก่อนวันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ใช้บังคับ และ ระยะเวลาที่ลาคลอดต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ใช้บังคับรวมหกสิบวัน จะมีสิทธิลาคลอด เพิ่มเติมให้ครบก าหนดเก้าสิบวันและมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่าง วันลาคลอดเพิ่มเติมตามข้อ ๑๘ ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ หรือไม่ และหากลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดเพิ่มเติมดังกล่าว ท างานไม่ครบหนึ่งร้อยแปดสิบวันจะมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างลาคลอดตาม ข้อ ๑๘ ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ(ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ด้วยหรือไม่ โดยที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน เป็นประกาศ ซึ่งออกโดยอาศัยอ านาจตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ มีวัตถุประสงค์ที่จะก าหนดมาตรฐานขั้นต่ าของสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะพึงได้รับจากนายจ้าง เพื่อเป็นการให้ความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของลูกจ้าง โดยในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ ในการลาคลอดของลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์นั้น เดิมข้อ ๑๘ ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ก าหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ มีสิทธิลาเพื่อการคลอดเพิ่มขึ้นจากวันลาป่วยได้อีกหกสิบวันรวมทั้งวันหยุดโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่ถ้าหญิงนั้นได้ท างานมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ให้มีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่าเวลาที่ลา ตามอัตราที่ได้รับอยู่แต่ไม่เกินสามสิบวัน และถ้าหญิงนั้นยังไม่สามารถท างานได้เนื่องจากการคลอด ก็ให้มีสิทธิลาโดยไม่ได้รับค่าจ้างอีกสามสิบวัน และต่อมาได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ แก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๑๘


หน้า ๘๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ของประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว โดยก าหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาคลอด ก่อนและหลังคลอดครรภ์หนึ่งไม่เกินเก้าสิบวัน และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างซึ่งลาคลอด เท่ากับค่าจ้างในวันท างานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกินสี่สิบห้าวัน จากการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวจะเห็นได้ว่าได้มีการเพิ่ม สิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดโดยได้ตัดเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาการท างานของลูกจ้าง ที่ลาคลอดซึ่งจะมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาคลอดออก อันมีผลท าให้ลูกจ้างที่ลาคลอดมีสิทธิได้รับ ค่าจ้างในระหว่างลาคลอดโดยเท่าเทียมกันไม่ว่าลูกจ้างนั้นได้ท างานมาแล้วกี่วัน ส่วนระยะเวลาที่ จะมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างลานั้น ยังคงมีหลักการเช่นเดิม คือ มีสิทธิได้รับค่าจ้างตลอดระยะเวลา ที่ลา เพียงแต่ได้ขยายระยะเวลาที่จะได้รับค่าจ้างจากไม่เกินสามสิบวันเป็นไม่เกินสี่สิบห้าวันเท่านั้น นอกจากนั้น จ านวนวันลาคลอดที่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาได้ ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม คือ มีสิทธิลาได้เก้าสิบวัน ซึ่งในการใช้สิทธิลาคลอดของลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์นั้น ประกาศ กระทรวงมหาดไทยฉบับเดิมและที่แก้ไขใหม่มิได้ก าหนดว่าให้ใช้สิทธิลาคลอดส าหรับการคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งได้เพียงครั้งเดียว ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์จึงมีสิทธิลาคลอดตามระยะเวลาที่กฎหมาย ให้สิทธิโดยไม่จ าเป็นต้องลาครั้งเดียวให้ครอบคลุมระยะเวลาที่มีสิทธิทั้งหมดกล่าวคือ จะขอลาหลายครั้ง ต่อเนื่องกันตามความจ าเป็นก็ได้ ดังนั้น ถ้าลูกจ้างได้ลาคลอดตามสิทธิที่ก าหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ แล้ว เมื่อถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ อันเป็นวันที่ใช้บังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ถ้าวันลาคลอดเดิมยังมิได้สิ้นสุดไปก่อนวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๖ สิทธิการลาคลอดและประโยชน์ที่จะได้รับนับแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ เป็นต้นไป ย่อมเป็นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ โดยมีสิทธิที่จะขอลาคลอดได้ต่อไปจนกว่าจะครบเก้าสิบวันและมีสิทธิ ที่จะได้รับค่าจ้างในระหว่างลาตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกินสี่สิบห้าวัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) จึงเห็นว่า ลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดตามกรณีที่หารือมานี้ย่อมมีสิทธิลาคลอดเพิ่มเติมต่อเนื่องไปอีก จนครบเก้าสิบวัน และมีสิทธิได้รับค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ลาคลอดตามข้อ ๑๘ ของประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ แต่เมื่อรวมกับค่าจ้างในวันลาคลอดที่ได้รับก่อนวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ แล้วต้องไม่เกินสี่สิบห้าวัน ส่วนลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดซึ่งท างานไม่ครบหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากวันลาคลอดที่ลาไว้เดิมและ วันลาคลอดที่ลาเพิ่มเติมอยู่ในช่วงระยะเวลาของการใช้บังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ลูกจ้างหญิงดังกล่าว ย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไม่เกินสี่สิบห้าวัน แต่ค าว่า “ตลอดระยะเวลาที่ลา” ในกรณีหลังนี้ต้องนับแต่ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ อันเป็นวันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ใช้บังคับ เพราะก่อนวันใช้ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ลูกจ้างในกรณีหลังนี้


หน้า ๘๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง เมื่อสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ดังนั้น จึงต้อง นับแต่วันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ใช้บังคับ คือ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ เป็นต้นไป ถ้าวันลานับแต่ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ไม่ถึงสี่สิบห้าวันลูกจ้างคงมีสิทธิได้รับค่าจ้างเพียงเท่าระยะเวลาที่ลา นับแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ เท่านั้น ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๓๖ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๓๗


หน้า ๘๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ได้มีหนังสือ ที่ ทออ. ๒๗๘๓/๒๕๓๖ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๖ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หารือปัญหาข้อกฎหมาย รวม ๒ ข้อ สรุปได้ว่า ๑. ตามที่ได้มีระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของ สิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งออกโดยอาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่งใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง และมีผลให้รัฐวิสาหกิจต้องแก้ไขระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวกับ สิทธิประโยชน์ของพนักงานและลูกจ้างให้สอดคล้องกับระเบียบนี้ ซึ่ง ทอท. ก็ได้ด าเนินการแก้ไข ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ของพนักงานและลูกจ้าง แต่เนื่องจากมาตรา ๑๘(๙) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติให้คณะกรรมการ ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีอ านาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท. อ านาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึงการออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่น เพื่อสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัวโดได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี กรณีนี้จึงมีปัญหาว่าการด าเนินการแก้ไขหรือออกระเบียบข้อบังคับดังกล่าว ทอท. จะต้องขอรับ ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกหรือไม่ ๒. ตามที่มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติให้กิจการของ ทอท. ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงานและกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานและลูกจ้างของ ทอท. ต้อง ได้รับการคุ้มครองแรงงานไม่น้อยกว่าที่ก าหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานนั้น เนื่องจากในปัจจุบันรัฐบาลมีแนวนโยบายที่จะแก้ไขพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นโดยจะน าสาระส าคัญบางส่วนของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เช่น การให้สิทธิพนักงานและลูกจ้างจัดตั้งสหภาพแรงงานและกระบวนการเจรจา ต่อรอง เป็นต้น มาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ กรณีนี้ จึงมีปัญหาว่าบทบัญญัติมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวน่าจะขัดหรือแย้งกับกฎหมายว่าด้วย พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ที่ก าลังด าเนินการแก้ไข และในกรณีนี้ทอท. จะถือปฏิบัติอย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว โดยได้ฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงของผู้แทน ทอท. ผู้แทนกระทรวงคมนาคม (ส านักงานปลัดกระทรวง) และผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) แล้ว มีความเห็นดังนี้ ปัญหาข้อที่ ๑ ที่หารือว่า การแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับสวัสดิการของพนักงานและ ลูกจ้างของ ทอท. ให้สอดคล้องกับระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของ เรื่องเสร็จที่ ๒๐๙/๒๕๓๗ เรื่อง การแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้าง ของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย


หน้า ๘๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา สิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งออกตามในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ และได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว จะต้อง ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๘(๙) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อีกหรือไม่ นั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติขึ้นในขณะที่ยังไม่มีการตรากฎหมายก าหนดความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน และลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจกับรัฐการจัดองค์กรของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ของพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจขึ้นใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง มาตรา ๑๘(๙) แห่ง พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงบัญญัติให้การออกข้อบังคับ ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างของ ทอท. ต้องได้รับความเห็นขอบจากคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นฝ่ายบริหาร ซึ่งมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินและก ากับดูแลการด าเนินกิจการของรัฐวิสาหกิจได้มีโอกาส ตรวจสอบให้การสงเคราะห์เพื่อสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างของ ทอท. ให้อยู่ในหลักเกณฑ์ และมาตรฐานเดียวกันกับการให้การสงเคราะห์เพื่อสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างของ รัฐวิสาหกิจอื่น ดังจะเห็นได้จากการที่กฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจอื่นได้บัญญัติให้การออกระเบียบ หรือข้อบังคับในเรื่องดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน เช่น พระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการประปา นครหลวง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๘ พระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๑๗(๘) และพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓(๑๑) เป็นต้น ต่อมาเมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นกฎหมายทั่วไปใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง โดยส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของพนักงาน รัฐวิสาหกิจ มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ มีอ านาจก าหนดมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจและเมื่อได้รับความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ซึ่งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้ออกเป็นระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งข้อ ๔๘ แห่งระเบียบดังกล่าวก าหนดให้รัฐวิสาหกิจที่ให้สิทธิประโยชน์แก่พนักงานน้อยกว่ามาตรฐานของ สิทธิประโยชน์ที่ก าหนดไว้ในระเบียบนี้ ต้องแก้ไขสิทธิประโยชน์ดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ของสิทธิประโยชน์ที่ก าหนดไว้ในระเบียบนี้ ระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ นี้ จึงเป็นมาตรฐานกลาง ที่ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจได้ทุกแห่งโดยผลของมาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ และเนื่องจากระเบียบดังกล่าวเป็นระเบียบที่ได้รับความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรีแล้ว การแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างของ ทอท. เฉพาะในเรื่องที่แก้ไขให้สอดคล้องกับระเบียบดังกล่าวจึงเป็นการด าเนินการตามที่กฎหมายบังคับ และถือได้ว่าเป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบตามความของมาตรา ๑๘(๙) แห่ง พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ แล้ว และเพื่อความชัดเจน


หน้า ๘๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ในข้อบังคับที่แก้ไขใหม่ สมควรมีข้อความไว้ด้วยว่าเป็นการแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ปัญหาข้อที่ ๒ ที่หารือว่า ตามที่จะมีการแก้ไขพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยน าสาระส าคัญบางส่วนของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เช่น การใช้สิทธิพนักงานและลูกจ้างจัดตั้งสหภาพแรงงานและกระบวนการเจรจาต่อรองมา บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ จะมีผลเป็นการขัดแย้งกับ พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖ ซึ่งบัญญัติให้กิจการ ของ ทอท. ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์หรือไม่ และ ทอท. จะถือ ปฏิบัติอย่างไร นั้น เห็นว่า ข้อหารือดังกล่าวเป็นแต่เพียงการคาดคะเนว่าจะมีกฎหมายบัญญัติ ว่าอย่างไรเท่านั้น โดยยังหาความแน่นอนมิได้การจะพิจารณาวินิจฉัยว่ากฎหมายฉบับหนึ่งจะมีผล ขัดหรือแย้งกับกฎหมายอีกฉบับหนึ่งอย่างไรหรือไม่ ต้องปรากฏว่ามีกฎหมายเกิดขึ้นก่อนจึงจะ วินิจฉัยได้ การวินิจฉัยล่วงหน้าย่อมไม่เกิดประโยชน์เพื่อเป็นเพียงการวินิจฉัยบนสมมติฐานในสิ่ง ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้น คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่อาจให้ความเห็นในปัญหาข้อนี้ได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีนาคม ๒๕๓๗ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๓๘


หน้า ๘๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการค้าภายใน ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พณ ๐๔๐๕/๒๓๐๖ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๗ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่าด้วยกรมการค้าภายในมีปัญหา ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยจากการน าเข้าปูนซีเมนต์ให้กับภาคเอกชนจึงมีความประสงค์ ที่จะขอหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยมีข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณา ดังนี้ ๑. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ มอบหมายให้ กระทรวงพาณิชย์ โดยคณะกรรมการกลางก าหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดจัดระบบ การน าเข้าปูนซีเมนต์ให้มีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการใช้ภายในประเทศและรักษาระดับราคา ไม่ให้เกินกว่าที่ก าหนดไว้รวมทั้งควบคุมดูแลการชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์ ๒. กระทรวงพาณิชย์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกลางก าหนดราคาสินค้า และป้องกันการผูกขาดได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารการน าเข้าปูนซีเมนต์(บนป.) ขึ้น เพื่อด าเนินการ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ๓. บนป. ได้ก าหนดแผนการน าเข้าและบริหารการน าเข้า โดยจ่ายเงินชดเชยภาระ การขาดทุนแก่ผู้น าเข้าตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๓๒ และมีก าหนดสิ้นสุดการน าเข้าที่จะได้รับการชดเชย ได้เพียงในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ เนื่องจากได้มีการตั้งและขยายโรงงานผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ท าให้ปริมาณมีเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว ๔. ในช่วงเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ บนป.ได้ประกาศลดราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ ปอร์ตแลนด์บรรจุถุงลงตันละ ๑๐๐ บาท ซึ่งมีผลท าให้ผู้ที่น าเข้าปูนซีเมนต์ในช่วงวันที่ ๒๐ - ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ ได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นอีกตันละ ๑๐๐ บาท ๕. บริษัท ทีพีไอ โพลีน จ ากัด ได้รับความเห็นชอบให้น าเขาปูนซีเมนต์ จ านวน ๒๙๗,๐๐๐ ตัน (+-๑๐ %) ภายในเวลาที่ก าหนด คือเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ ซึ่งบริษัทฯ ได้น าเข้า ภายในระยะเวลาที่ก าหนดเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ จ านวน ๑๓๗,๗๕๐ ตัน และน าเข้าในช่วง เดือนกันยายน - ตุลาคม ๒๕๓๕ อีกจ านวน ๑๘๖,๙๔๔.๖๗๙ ตัน ๖. บนป. ได้พิจารณาการจ่ายเงินชดเชยให้บริษัทฯ ดังนี้ ๑)จ่ายชดเชยจ านวนที่น าเข้าจริงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม – ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๕ จ านวน ๑๓๗,๗๕๐ ตัน ตามอัตราที่ก าหนดในช่วงเวลาดังกล่าว ๒) ผ่อนผันจ่ายชดเชยจ านวน ๔๐,๔๐๗.๑๓๙ ตัน ที่น าเข้าจริงวันที่ ๗ และ ๘ กันยายน ๒๕๓๕ ตามล าดับ เนื่องจากในทางปฏิบัติบนป. ผ่อนผันให้การน าเข้าซึ่งล่าช้า กว่าก าหนดไม่เกิน ๑๕ วัน ยังได้รับการชดเชยตามอัตราที่ก าหนด (อัตราช่วงวันที่ ๒๐ – ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๕) ๓) ผ่อนผันจ่ายชดเชยจ านวน ๑๑๐,๕๒๖.๕๔ ตัน ซึ่งน าเข้าวันที่ ๑๗, ๒๑ กันยายน และ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๕ (เกินก าหนด ๑๕ วัน ที่อยู่ในเกณฑ์ผ่อนผันเดิม) เนื่องจาก เรื่องเสร็จที่ ๑๖๐/๒๕๓๘ เรื่อง การก าหนดเงินชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์ กรณีบริษัท ทีพีไอ โพลีน จ ากัด


หน้า ๘๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นจ านวนที่อยู่ในจ านวน ๒๙๗,๐๐๐ ตัน ที่ บนป. เห็นชอบให้น าเขา ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนปูนซีเมนต์ในประเทศ และมีเจตนาจะน าเข้าภายในก าหนด กล่าวคือ ได้มีการท าสัญญาน าเข้ากับผู้ขายปูนซีเมนต์ในต่างประเทศภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ให้จ่ายชดเชยโดยใช้เกณฑ์ราคาจ าหน่ายช่วงวันที่ ๙ มกราคม – ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นอัตราต่ ากว่าอัตราชดเชยการน าเข้าช่วงวันที่ ๒๐ - ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ อยู่ตันละ ๑๐๐ บาท ๔) ไม่อนุมัติการจ่ายชดเชยการน าเข้าอีก ๑ เที่ยวเรือ จ านวน ๓๖,๐๑๑ ตัน เนื่องจากเป็นปริมาณที่เกินกว่าจ านวน ๒๙๗,๐๐๐ ตันแลว และบริษัทฯ ได้ท าสัญญาน าเข้า หลังเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ ๗. บริษัท ทีพีไอ โพลีน จ ากัด ได้มีข้อโต้แย้งว่าการจ่ายเงินชดเชยการน าเข้า จ านวน ๑๑๐,๕๒๖.๕๔ ตัน ดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ บนป. ได้ก าหนดไว้ท าให้บริษัทฯ ได้รับเงินชดเชยการขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์จ านวน ๑๑๐,๕๒๖.๕๔ ตัน ต่ ากว่าเงินชดเชย ตามเกณฑ์ที่ บนป. ก าหนดไว้ตันละ ๑๐๐ บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๑ ล้านบาทเศษ ขอให้บนป. พิจารณาจ่ายเงินชดเชยเพิ่ม เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวกรมการค้าภายใน จึงขอหารือส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าการที่ บนป. ได้ผ่อนผันขยายระยะเวลาการน าเข้า ปูนซีเมนต์จ านวน ๑๑๐,๕๒๖.๕๔ ตัน ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จ ากัด ตามข้อเท็จจริงตามข้อ ๓) แล้วนั้น บนป. สามารถที ่จะก าหนดอัตราการชดเชยโดยใช้เกณฑ์ราคาจ าหน ่ายช่วงวันที่ ๙ มกราคม – ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ หรือไม่อย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๔) ได้พิจารณาปัญหา ดังกล่าว ประกอบกับรับฟังค าชี้แจงของผู้แทนกรมการค้าภายในแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ในการแก้ปัญหาภาวการณ์ขาดแคลนปูนซีเมนต์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ถึงปี พ.ศ.๒๕๓๕ คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ เห็นชอบกับแนวทางการน าเข้าปูนซีเมนต์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี(นายพงษ์ สารสิน) ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาแก้ไขปัญหา การก่อสร้างเสนอ คือ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์โดยคณะกรรมการกลางก าหนดราคาสินค้า และป้องกันการผูกขาดจัดระบบการน าเข้าปูนซีเมนต์ให้มีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการใช้ ภายในประเทศและรักษาระดับราคาไม่ให้เกินกว่าที่ก าหนดไว้รวมทั้งควบคุมดูแลการชดเชยภาระ การขาดทุนจากการน าเขาปูนซีเมนต์และให้จ าหน่ายปูนซีเมนต์ตันละ ๑,๓๙๖ บาท ในการนี้ กระทรวงพาณิชย์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกลางก าหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารการน าเข้าปูนซีเมนต์(บนป.) ขึ้นโดยให้มีอ านาจหน้าที่ประการหนึ่ง คือ ก าหนดระเบียบ หลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการบริหารการน าเข้าและการชดเชยภาระ การขาดทุน เพื่อด าเนินการให้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าว คณะกรรมการบริหาร การน าเข้าปูนซีเมนต์ได้ออกระเบียบคณะกรรมการบริหารการน าเข้าปูนซีเมนต์ว่าด้วยการน าเข้า ปูนซีเมนต์โดยขอรับเงินชดเชย (ฉบับที่๒) พ.ศ.๒๕๓๓ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๓ โดยข้อ ๕. ได้ก าหนดการพิจารณาการน าเข้าไว้ว่า คณะกรรมการฯจะเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบการน าเข้า และอนุมัติการชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเขาปูนซีเมนต์และเพื่อให้มีการน าเข้าปูนซีเมนต์ ตามชนิด ประเภท ปริมาณคุณภาพ และในระยะเวลาที่ได้ก าหนดไว้คณะกรรมการฯ จะก าหนด เงื่อนไขใดๆ ให้ผู้น าเข้าปฏิบัติก็ได้ และคณะกรรมการฯ ได้ออกประกาศคณะกรรมการบริหาร


หน้า ๘๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา การน าเข้าปูนซีเมนต์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการน าเขาปูนซีเมนต์โดยขอรับเงินชดเชย (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๓ โดยข้อ ๑. ก าหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะน าเข้าปูนซีเมนต์ โดยขอรับเงินชดเชยยื่นข้อเสนอต่อส านักงานบริหารการน าเข้าปูนซีเมนต์ฯลฯ ข้อ ๒. ก าหนดว่า ข้อเสนอตามข้อ ๑. ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการน าเข้า ดังนี้ (ก) รายละเอียดเกี่ยวกับ แหล่งก าเนิดสินค้าชื่อและที่อยู่ของโรงงานที่ผลิต (แหล่งผลิต) ชื่อและที่อยู่ของผู้ขายราคาน าเข้า และปริมาณ (ข) คุณภาพโดยระบุคุณสมบัติและมาตรฐานของปูนซีเมนต์ที่จะน าเข้า (ค) ระยะเวลา และก าหนดน าเข้า และเมื่อคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อเสนอของผู้ประสงค์จะน าเข้าปูนซีเมนต์ และอนุมัติแล้วข้อ ๔. ก าหนดให้ผู้น าเข้าปูนซีเมนต์ได้รับอนุมัติแล้วจะต้องน าเข้าปูนซีเมนต์ ตามปริมาณ คุณภาพ ขนาด และภายในระยะเวลาที่ผู้น าเข้าได้แจ้งต่อคณะกรรมการฯ และให้ จ าหน่ายปูนซีเมนต์ในราคาไม่เกินราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ที่ผลิตได้ในประเทศ ณ คลังในท้องที่ เมื่อผู้น าเข้าได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขดังกล่าวทุกประการ จะท าให้ผู้น าเข้าปูนซีเมนต์ ได้รับเงินชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์ส าหรับการก าหนดเงินชดเชยภาระ การขาดทุนจากการน าเขาปูนซีเมนต์นั้น คณะกรรมการฯ ได้ก าหนดโดยใช้หลักเกณฑ์ทั่วไป คือ ผลต่างระหว่างต้นทุนการน าเข้าปูนซีเมนต์กับราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๕ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จ ากัด ได้ยื่นค าขอน าเข้า ปูนซีเมนต์ จ านวน ๒๙๗,๐๐๐ ตัน (+-๑๐%) ต่อคณะกรรมการบริหารการน าเข้าปูนซีเมนต์ โดยแจ้งในค าขอด้วยว่าจะน าเข้าให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ และคณะกรรมการฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เห็นชอบการขอน าเข้าปูนซีเมนต์โดยได้รับเงินชดเชย ตามค าขอของบริษัทฯ และต่อมาบริษัทฯก็ได้น าเข้าปูนซีเมนต์บางส่วนภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ และบางส่วนหลังเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ แต่ยังอยู่ภายในระยะเวลา ๑๕ วันหลังจากเดือน สิงหาคม ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่โดยทางปฏิบัติแล้ว คณะกรรมการฯ จะผ่อนผันให้แก่ผู้น าเข้า ทุกรายเป็นการทั่วไป และบริษัทฯ ก็ได้รับเงินชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์ จ านวนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ทั่วไป แต่ปรากฏว่ามีปูนซีเมนต์ อีกส่วนหนึ่ง คือ จ านวน ๑๑๐,๕๒๖.๕๔ ตัน ที่บริษัทฯ ได้น าเข้ามาในวันที่ ๑๗ และวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๕ และ วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๕ ซึ่งล่วงเลยระยะเวลาตามค าขอน าเข้าปูนซีเมนต์ที่คณะกรรมการฯ อนุมัติและล่วงเลยระยะเวลา ๑๕ วันที่คณะกรรมการฯ ผ่อนผันให้แก่น าเขาทุกรายเป็นการทั่วไป อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯไดพิจารณาและมีมติให้จ่ายเงินชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเข้า ปูนซีเมนต์จ านวนดังกล่าวให้แก่บริษัทฯ เนื่องจากเห็นว่าปูนซีเมนต์ที่น าเข้าจ านวน ๑๑๐,๕๒๖.๕๔ ตันนี้ เป็นจ านวนที่อยู่ในจ านวน ๒๙๗,๐๐๐ ตัน (+-๑๐%) ที่คณะกรรมการฯ เห็นชอบให้น าเข้า ประกอบกับบริษัทฯได้มีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนปูนซีเมนต์ในประเทศ แต่คณะกรรมการฯ ได้น าราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในช่วงระหว่างวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ ราคาตันละ ๑,๓๕๗ บาท มาก าหนดจ านวนเงินชดเชยภาระการขาดทุน ให้แก่บริษัทฯ โดยมิได้น าราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ในช่วงระหว่างวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ ราคาตันละ ๑,๒๕๗ บาท ซึ่งเป็นราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ในช่วง เดือนกันยายนและเดือนตุลาคมมาก าหนดจ านวนเงินชดเชยภาระการขาดทุนให้แก่บริษัทฯ บริษัทฯ จึงโต้แย้งว่าเงินชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์จ านวนดังกล่าวไม่เป็นไป


หน้า ๘๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามหลักเกณฑ์ทั่วไปที่คณะกรรมการฯได้ก าหนดไว้และขอให้คณะกรรมการฯพิจารณาจ่ายเงินชดเชย ให้แก่บริษัทฯ เพิ่ม ดังนั้น จึงมีปัญหาว่าคณะกรรมการฯ จะมีอ านาจน าราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ ภายในประเทศในช่วงระหว่างวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ มาใช้ ก าหนดจ านวนเงินชดเชยภาระการขาดทุนให้แก่บริษัทฯ ได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๔) พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า การจ่ายเงินชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์จะมีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอย่างไร ย่อมเป็นอ านาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารการน าเข้าปูนซีเมนต์ ที่จะก าหนดการที่คณะกรรมการฯ ได้อนุมัติให้บริษัท ทีพีไอ โพลีน จ ากัด น าเข้าปูนซีเมนต์ จ านวน ๒๙๗,๐๐๐ ตัน (+- ๑๐%) ตามค าขอของบริษัทฯ ภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ แต่บริษัทฯ ได้เข้าปูนซีเมนต์จ านวนหนึ่งคือ ๑๑๐,๕๒๖.๕๔ ตัน ในวันที่ ๑๗ และวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๕ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๕ จึงเป็นการน าเข้าที่ล่วงเลยระยะเวลาที่ คณะกรรมการฯ อนุมัติไปมากคณะกรรมการฯ ย่อมมีอ านาจที่จะปฏิเสธการจ่ายเงินชดเชยภาระ การขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์จ านวนดังกล่าวได้แต่การที่คณะกรรมการฯ ได้พิจารณา เห็นว่าจ านวนปูนซีเมนต์ดังกล่าวอยู่ในจ านวน ๒๙๗,๐๐๐ ตัน (+- ๑๐%) ที่คณะกรรมการฯ ได้อนุมัติให้น าเข้าประกอบกับบริษัทฯ ก็ได้มีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนปูนซีเมนต์ ในประเทศอีกด้วย จึงมีมติจ่ายเงินชดเชยภาระการขาดทุนจากการน าเข้าปูนซีเมนต์โดยใช้ดุลพินิจ น าราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในช่วงระหว่างวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ คือ ตันละ ๑,๓๕๗ บาท แทนที่จะน าราคาจ าหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ที่ใช้อยู่ในช่วงเวลาที่บริษัทฯ น าเขา คือ ตันละ ๑,๒๕๗ บาท มาใช้ก าหนดจ านวนเงินชดเชย ภาระการขาดทุนให้แก่บริษัทฯ นั้น เห็นว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในอ านาจของคณะกรรมการฯ ที่จะ กระท าได้ตามที่เห็นสมควรเพราะบริษัทฯ มิได้น าเข้าปูนซีเมนต์ตามก าหนดเวลาการน าเข้าปูนซีเมนต์ ที่คณะกรรมการฯ ได้อนุมัติไว้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีนาคม ๒๕๓๘ //////////////////////////////


หน้า ๘๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการคลัง มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กค ๐๕๑๑/๗๙๗๒ ลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๓๘ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงการคลังขอหารือ เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยแก่พนักงานบริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด และคุณสมบัติของพนักงาน รัฐวิสาหกิจ ดังนี้ ๑. บริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลังขณะนี้ ก าลังด าเนินการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนโดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและขายหุ้นเพิ่มทุนให้เอกชน ซึ่งจะท าให้สัดส่วนการถือหุ้น ของภาครัฐบาลลดลงเหลือต่ ากว่าร้อยละ ๕๐ เป็นผลให้บริษัทฯ พ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ พนักงานของบริษัทฯจึงต้องพ้นสภาพการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วยกระทรวงการคลังจึงขอหารือว่า เดิมพนักงานบริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด มีฐานะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจได้รับความคุ้มครอง เกี่ยวกับสิทธิประโยชนต่างๆ ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ เมื่อบริษัทฯ พ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ พนักงานของบริษัทฯ จึงต้องพ้นสภาพจากการเป็น พนักงานรัฐวิสาหกิจด้วยและจะเปลี่ยนสภาพเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนซึ่งจะได้รับความคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ในกรณีนี้บริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าชดเชย ให้พนักงานดังกล่าวหรือไม่อย่างไร ๒.ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๔ ได้ก าหนดความหมายของค าว่า "พนักงาน" ไว้ว่าหมายความว่าพนักงาน และลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ และให้หมายความรวมถึงผู้ว่าการผู้อ านวยการ กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ และให้รวมตลอดถึงที่ปรึกษาคณะกรรมการ ที่ปรึกษารัฐวิสาหกิจ เลขานุการ ผู้ช่วยเลขานุการ ของคณะกรรมการ หรือบุคคล ซึ่งด ารงต าแหน่งที่มีอ านาจหน้าที่คล้ายคลึงกันแต่เรียกชื่ออย่างอื่น ในรัฐวิสาหกิจด้วยปรากฏว่ามีพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งรัฐวิสาหกิจบางแห่ง เช่น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย องค์การทอผ้า องค์การแบตเตอรี่ องค์การฟอกหนัง องค์การ ส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรได้ก าหนดห้ามมิให้ พนักงานเป็นผู้อ านวยการซึ่งในทางปฏิบัติหากมีการแต่งตั้งรองผู้อ านวยการของรัฐวิสาหกิจนั้น เป็นผู้อ านวยการรัฐวิสาหกิจนั้นจะให้รองผู้อ านวยการลาออกจากต าแหน่งก่อนเพื่อแต่งตั้งให้ด ารงต าแหน่ง ผู้อ านวยการต่อไป ในกรณีนี้รัฐวิสาหกิจบางแห่งก็มีการจ่ายเงินบ าเหน็จให้แก่รองผู้อ านวยการไปเลย ในตอนที่ลาออกและเริ่มนับอายุการท างานใหม่ตั้งแต่ด ารงต าแหน่งผู้อ านวยการ บางแห่งก็ยัง ไม่จ่ายเงินบ าเหน็จแต่ให้นับอายุการท างานต่อเนื่องในต าแหน่งผู้อ านวยการต่อไป กระทรวง การคลังจึงขอหารือ ดังนี้ ๒.๑ หลังจากที่รองผู้อ านวยการได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อ านวยการแล้วผู้อ านวยการ จะมีฐานะเป็นพนักงานตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือไม่ เรื่องเสร็จที่ ๓๒๐/๒๕๓๘ เรื่อง การจ่ายค่าชดเชยและการนับอายุการท างานของพนักงานรัฐวิสาหกิจ


หน้า ๙๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒.๒ ถ้าเป็นจะนับอายุการท างานต่อเนื่องจากเมื่อด ารงต าแหน่งรองผู้อ านวยการ หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) พิจารณาเรื่องนี้ โดยฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงของผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ผู้แทนกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม) และผู้แทนบริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด แล้วมีความเห็นดังนี้ ส าหรับปัญหาข้อหารือกรณีที่ ๑ ที่หารือว่า เมื่อ บริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด เปลี่ยนสภาพจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทมหาชน และพนักงานของบริษัทฯ ต้องพ้นสภาพจากการเป็น พนักงานรัฐวิสาหกิจ บริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานดังกล่าวหรือไม่ อย่างไรนั้น เห็นว่า เมื่อบริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด เปลี่ยนสภาพจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทมหาชนโดยมี การเพิ่มทุนจดทะเบียนท าให้สัดส่วนการถือหุ้นของภาครัฐบาลต่ ากว่าร้อยละ ๕๐ และจะด าเนินการ น าบริษัทฯ ซึ่งพ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับบริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด ยังคงเป็นเช่นเดิมและถึงแม้ว่า บริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด เปลี่ยนสภาพเป็นบริษัทมหาชน บริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด ก็ต้องรับไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทเดิมทั้งหมด ตามนัยมาตรา ๑๘๕ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจ ากัด พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพนักงานของ บริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด ยังคงเป็นพนักงานของบริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด เหมือนเดิม บริษัท ทิพยประกันภัย จ ากัด จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานดังกล่าว ส าหรับปัญหาข้อหารือกรณีที่ ๒ นั้น ในการสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้แทน กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้ความว่า ปัญหาตามข้อหารือกรณีที่ ๒ นี้เป็นคนละกรณี กับปัญหาตามข้อหารือกรณีที่ ๑ ซึ่งกรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กระทรวงการคลังยังมิได้ระบุข้อเท็จจริงในรายละเอียดของแต่ละกรณีไปให้ทราบแต่อย่างใด ดังนั้น จึงยังไม่อาจให้ความเห็นตามปัญหาข้อหารือดังกล่าวได้อย่างไรก็ตาม หากกระทรวง การคลังประสงค์จะหารือตามปัญหาในเรื่องดังกล่าวนี้ก็ชอบที่จะได้ระบุข้อเท็จจริงในรายละเอียด ของเรื่องไปให้ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๓๘ //////////////////////////////


หน้า ๙๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมบัญชีกลาง ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๕๒๖/๑ ลงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๘ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงการคลังได้เสนอร่างพระราชบัญญัติ กองทุนบ าเหน็จบ านาญข้าราชการ พ.ศ. .... โดยมีหลักการให้จัดตั้งกองทุนบ าเหน็จบ านาญ ข้าราชการขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบ าเหน็จบ านาญ และเพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์และ จัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่ข้าราชการ ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีหลักเกณฑ์ให้ข้าราชการ ซึ่งเป็นสมาชิกของกองทุนที่ส่งเงินสะสมเข้ากองทุนในอัตราร้อยละ ๓ ของเงินเดือนมีสิทธิได้รับ เงินสมทบจากทางราชการในอัตราเดียวกัน ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้รับหลักการร่างพระราชบัญญัติ ดังกล่าวในวาระแรกแล้ว เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๘ แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ใช้บังคับแก่ข้าราชการเท่านั้น ไม่รวมถึงลูกจ้างประจ าของส่วนราชการด้วยทั้งที่ลักษณะการปฏิบัติงาน ของข้าราชการและลูกจ้างประจ ามีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก กรมบัญชีกลางจึงมีนโยบายจะจัดตั้ง กองทุนส ารองเลี้ยงชีพส าหรับลูกจ้างประจ าของส่วนราชการขึ้น โดยให้ลูกจ้างประจ าที่เป็นสมาชิก ส่งเงินสะสมในอัตราร้อยละ ๓ ของค่าจ้าง และมีสิทธิได้รับเงินสมทบจากทางราชการในอัตราเดียวกัน ส่งเข้ากองทุนไว้เพื่อจ่ายให้แก่ลูกจ้างประจ าเมื่อออกจากราชการ เพิ่มเติมจากการมีสิทธิได้รับเงิน บ าเหน็จจากทางราชการซึ่งจ่ายจากเงินงบประมาณซึ่งเมื่อได้พิจารณาถึงลักษณะของกองทุนที่จะ จัดตั้งขึ้นนี้เห็นว่ามีลักษณะและความประสงค์คล้ายคลึงกับกองทุนส ารองเลี้ยงชีพของลูกจ้าง ในภาคเอกชน และของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ จึงเห็นว่า การจัดตั้งกองทุนส าหรับลูกจ้างประจ าของส่วนราชการน่าจะจัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ แต่เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลในการ ประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว เห็นว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการระดมเงินออมในภาคเอกชน เท่านั้น กรมบัญชีกลางจึงขอหารือ ดังนี้ ๑.การจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ ส าหรับลูกจ้างประจ าของส่วนราชการ สามารถ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้หรือไม่ ๒. ถ้าสามารถจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพของลูกจ้างประจ าขึ้นตาม ๑ ได้ จะจัดตั้งขึ้นเพียงกองทุนเดียวเพื่อใช้กับลูกจ้างประจ าทั่วประเทศในทุกส่วนราชการ โดยให้ กรมบัญชีกลางมีฐานะเป็นฝ่ายนายจ้างแทนส่วนราชการอื่นๆ ได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ได้พิจารณาข้อหารือ ดังกล่าวโดยได้ฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลางและส านักงาน เศรษฐกิจการคลัง) และผู้แทนส านักนายกรัฐมนตรี(ส านักงบประมาณ) แล้ว มีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุน ส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ แล้วจะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์หลักของพระราชบัญญัติฉบับนี้ มุ่งที่จะจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นสวัสดิการหรือหลักประกันแก่ลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างตาย ออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน และเป็นการส่งเสริมให้ลูกจ้างออมทรัพย์ไว้ เรื่องเสร็จที่ ๖๔๐/๒๕๓๘ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพส าหรับลูกจ้างประจ าของส่วนราชการ


หน้า ๙๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อออกจากงานหรือเมื่อออกจากกองทุน ทั้งนี้ โดยกองทุนเกิดขึ้นจากการที่ลูกจ้างและนายจ้าง ตกลงกันจัดตั้งขึ้น โดยลูกจ้างจ่ายเงินสะสมและนายจ้างจ่ายเป็นเงินสมทบตามเกณฑ์ที่ก าหนด ซึ่งค าว่า “ลูกจ้าง” หมายความถึง ผู้ซึ่งตกลงท างานให้แก่นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะมีสัญญา เป็นหนังสือหรือไม่ และค าว่า “นายจ้าง” หมายความถึง ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าท างานโดย จ่ายค่าจ้างไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และไม่ว่าการตกลงนั้นจะมีสัญญาเป็นหนังสือ หรือไม่ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าลูกจ้างประจ าของส่วนราชการอยู่ในความหมายของค าว่า “ลูกจ้าง” ตามพระราชบัญญัติกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ส่วน “นายจ้าง” ตามพระราชบัญญัติ ดังกล่าวก็ย่อมหมายความถึงส่วนราชการที่มีสภาพเป็นนิติบุคคลซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าท างาน โดยจ่ายค่าจ้าง นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติอื่นในพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้วก็ไม่ปรากฏว่า มีข้อห้ามมิให้จัดตั้งกองทุนส าหรับลูกจ้างประจ าของส่วนราชการ ดังนั้น หากส่วนราชการและ ลูกจ้างประจ ามีความประสงค์ที่จะจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพขึ้นโดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และ วิธีการของพระราชบัญญัตินี้ทุกประการก็เห็นว่า สามารถจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพส าหรับ ลูกจ้างประจ าของส่วนราชการขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ได้ ส าหรับข้อความในเหตุผลท้าย พระราชบัญญัติที่ก าหนดว่า “เพื่อเป็นการส่งเสริมการระดมเงินออมในภาคเอกชนเพื่อน าไปใช้ใน การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” นั้น เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงการขยายความเพื่อ ให้เห็นถึงผลประโยชน์อื่นที่ได้รับเนื่องจากการจัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพเท่านั้น มิได้เป็นข้อจ ากัด หรือข้อห้ามมิให้จัดตั้งกองทุนดังกล่าวในภาคราชการ และหากจะพิจารณาข้อเท็จจริงในกรณีนี้ ก็จะเห็นว่า การที่ลูกจ้างประจ าได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนนั้นถือได้ว่าเป็นการระดมเงินออมจาก ภาคเอกชนได้อย่างหนึ่งด้วย ประเด็นที่สอง เนื่องจากค าว่า “นายจ้าง” ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหมายถึง ส่วนราชการที่มีสภาพเป็นนิติบุคคล คือ กระทรวง ทบวง กรม ดังนั้น แต่ละส่วนราชการ จึงต้องร่วมกับลูกจ้างประจ าของส่วนราชการนั้นเพื่อจัดตั้งกองทุนขึ้นมาแต่อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัตินี้ก็ได้เปิดช่องให้ส่วนราชการต่างๆ สามารถร่วมกันจัดตั้งกองทุนขึ้นเพียงแห่งเดียวได้ ดังจะเห็นได้จากนิยามค าว่า “นายจ้าง” และ “กองทุน” มีความหมายกว้างมิได้จ ากัดเฉพาะเพียง นายจ้างคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถจัดตั้งกองทุนได้รวมทั้งมาตรา ๒๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวก็แสดงให้เห็นได้โดยปริยายว่ากองทุนสามารถจัดตั้งขึ้นโดยนายจ้างมากกว่าหนึ่งรายได้ และข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในปัจจุบันมีหลายบริษัทได้ร่วมกันจัดตั้งกองทุนขึ้นเพียงแห่งเดียวและ บริหารงานร่วมกันแล้ว ดังนั้น จึงเห็นว่า หากส่วนราชการต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นนายจ้างจะร่วมกัน จัดตั้งกองทุนส ารองเลี้ยงชีพขึ้นเป็นกองทุนเดียวร่วมกันส าหรับลูกจ้างประจ าของทุกส่วนราชการ เพื่อความสะดวกในการบริหารงานหรือการจัดการกองทุน ไม่ว่าจะอยู่ที่หน่วยงานใดก็ย่อมสามารถ กระท าได้ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤศจิกายน ๒๕๓๘ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๓๙


หน้า ๙๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ รส ๐๓๐๓/๑๖๗๗ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หารือปัญหาข้อกฎหมาย ตามมาตรา ๔๘ ทวิแห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยมีข้อเท็จจริงว่า ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปท างานในต่างประเทศจัดส่งคนงาน ไปท างานที่ไต้หวัน สัญญาจ้างหนึ่งปีตั้งแต่วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ โดยผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปท างานต่างประเทศเป็นผู้จัดส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ในอัตราสามร้อยบาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ.๒๕๒๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและ คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เมื่อครบก าหนดเวลาตามสัญญาจ้างคนงานดังกล่าวได้ท าสัญญาจ้าง ฉบับที่สองกับนายจ้างเดิมเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ สัญญาจ้างฉบับที่สอง มีอายุสองปี (๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ - ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๙) โดยไม่ได้ส่งเงินเข้ากองทุน และต่อมา คนงานผู้นั้นประสบปัญหาในต่างประเทศระหว่างสัญญาจ้างฉบับที่สอง โดยถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๙ จึงไปพบเจ้าหน้าที่ประจ าส านักงานแรงงานไทยในต่างประเทศให้ช่วยเหลือ และขอใช้เงินกองทุนเพื่อเป็นค่าที่พัก ค่าอาหารระหว่างรอด าเนินการส่งกลับประเทศไทยตามข้อ ๑๑ (๓)(ก) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการบริหารและการควบคุมการใช้จ่ายเงินของกองทุนเพื่อ ช่วยเหลือคนหางานไปท างานในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๖ กรมการจัดหางานจึงขอหารือว่า ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวข้างต้น คนหางานจะใช้สิทธิ ตามความในมาตรา ๔๘ ทวิวรรคสอง ขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนตามข้อ ๑๑ (๓)(ก) ของ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบริหารและการควบคุมการใช้จ่ายเงินของกองทุนเพื่อ ช่วยเหลือคนหางานไปท างานในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้หรือไม่ ซึ่งกรมการจัดหางานเห็นว่า สามารถใช้สิทธิจากกองทุนได้ตามมาตรา ๔๘ ทวิวรรคสอง คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) ได้พิจารณาข้อหารือ ดังกล่าว โดยได้รับฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวงและกรมการจัดหางาน) แล้ว เห็นว่า วัตถุประสงค์ของการจัดให้มีกองทุน เพื่อช่วยเหลือคนหางานไปท างานในต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครอง คนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เพื่อต้องการช่วยเหลือคนหางานที่ถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ หรือที่มีปัญหา หลบหนีไปอยู่ที่ส านักงานแรงงานไทยหรือสถานทูตไทยท าให้เกิดปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยอาหารและ ค่าพาหนะเดินทางกลับประเทศไทย ท าให้ทางราชการต้องเข้าไปช่วยเหลือและตกเป็นภาระแก่ งบประมาณของประเทศ ซึ่งมาตรา ๔๘ (ทวิ) วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและ คุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครอง เรื่องเสร็จที่ ๒๗๘/๒๕๓๙ เรื่อง การขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางาน ไปท างานในต่างประเทศ (กรณีการท าสัญญาจ้างใหม่กับนายจ้างเดิม)


หน้า ๙๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ ก าหนดให้คนหางานซึ่งตนเอง หรือนายจ้าง หรือผู้รับอนุญาต จัดหางานได้ส่งเงินเข้ากองทุนก่อนเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุน ตามระเบียบที่รัฐมนตรีก าหนดตามมาตรา ๕๓ เป็นระยะเวลาตามสัญญาจ้าง และในกรณีท างาน จนครบก าหนดสัญญาจ้างแล้วได้ท าสัญญาจ้างใหม่กับนายจ้างเดิม มาตรา ๔๘ ทวิวรรคสอง ก็ได้ก าหนดให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนต่อไป โดยมิได้ก าหนดให้ต้องส่งเงินเข้ากองทุนอีก แต่อย่างใด กรณีข้อเท็จจริงตามที่กรมการจัดหางานหารือ เมื่อสัญญาจ้างฉบับแรกสิ้นสุดลงใน วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ คนหางานได้ท าสัญญาจ้างฉบับที่สองกับนายจ้างเดิมมีอายุ สัญญาสองปี เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ ถึงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ คนหางานผู้นั้นย่อมได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนต่อไปเป็นระยะเวลาตามสัญญาจ้างฉบับที่สอง ตามที่ก าหนดไว้ในมาตรา ๔๘ ทวิวรรคสอง เมื่อปรากฏว่าคนหางานนั้นถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๙ จึงสามารถขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนตามมาตรา ๕๓ ได้ ส าหรับข้อสงสัยของกรมการจัดหางานที่ว่า คนหางานจะขอรับสิทธิประโยชน์ จากกองทุนตามข้อ ๑๑ (๓)(ก) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการบริหารและการควบคุม การใช้จ่ายเงินของกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปท างานในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้หรือไม่นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) เห็นว่า สิทธิของ คนหางานย่อมมีอยู่ตามที่ก าหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯ เมื่อ มาตรา ๔๘ ทวิวรรคสอง ได้ก าหนดให้คนหางานที่ท างานจนครบก าหนดตามสัญญาจ้างและ ได้ท าสัญญาจ้างใหม่กับนายจ้างเดิมได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนตามมาตรา ๕๓ ต่อไป บรรดาอนุบัญญัติต่างๆเช่น กฎกระทรวงที่ออกมาเพื่อก าหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการขอรับสิทธิ ประโยชน์จากกองทุนก็จะต้องมีสาระที่สอดคล้องกับหลักการที่กฎหมายแม่บทก าหนดไว้รวมทั้ง ระเบียบที่ก าหนดแนวทางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ก็จะต้องมีเนื้อความที่สอดคล้องกับ กฎหมายแม่บทด้วยข้อความใดในกฎกระทรวงหรือระเบียบที่ขัดแย้งกับกฎหมายแม่บทก็จะไม่มีผล ใช้บังคับและสมควรแก้ไขปรับปรุงต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้ก าหนดแบบบัตรประจ าตัวสมาชิกกองทุนไว้ท้ายกฎกระทรวงฯโดยมีรายการวันบัตรหมดอายุไว้ด้วย ประกอบกับข้อ ๑๐ วรรคสอง ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบริหารและการควบคุม การใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปท างานในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๖ ก าหนดให้ บัตรประจ าตัวสมาชิกกองทุนมีอายุถึงวันที่สามสิบนับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาสัญญาจ้างตามที่ระบุไว้ ในบัญชีรายชื่อคนหางาน ซึ่งหมายถึงสัญญาจ้างฉบับแรก และในการจ่ายเงินกองทุนเป็นค่าสงเคราะห์ คนหางานที่เป็นสมาชิกกองทุนระหว่างรอส่งกลับประเทศไทยตามข้อ ๑๑ (๓)(ก) ของระเบียบ กระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการบริหารและการควบคุมการใช้จ่ายเงินของกองทุนเพื่อช่วยคนหางาน ไปท างานในต่างประเทศฯ ใช้ถ้อยค าว่า “จ่ายเป็นค่าสงเคราะห์แก่สมาชิกกองทุน” ซึ่งมีนิยาม “สมาชิกกองทุน” หมายความว่า คนหางานที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อคนหางานเพื่อไปท างาน ในต่างประเทศที่จ่ายเงินเข้ากองทุนแล้ว กองทุนได้ออกบัตรประจ าตัวสมาชิกกองทุนให้และบัตรนั้น ยังไม่หมดอายุ ดังนั้น การก าหนดแบบบัตรประจ าตัวสมาชิกกองทุนที่มีวันบัตรหมดอายุไว้ใน กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๓๘) รวมตลอดถึงข้อความต่างๆ ในระเบียบของกระทรวง


หน้า ๙๕ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา มหาดไทย ที่มีผลเป็นการจ ากัดการจ่ายเงินกองทุนเพื่อสงเคราะห์แก่สมาชิกกองทุนและไม่สอดคล้อง กับเจตนารมณ์ของมาตรา ๔๘ ทวิแห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯจึงไม่สามารถ น ามาใช้บังคับเพื่อเป็นการตัดสิทธิคนหางานตามที่กฎหมายก าหนดให้สิทธิละประโยชน์ไว้ อนึ่ง เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติสมควรแก้ไขปรับปรุงอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายในเรื่องนี้ด้วย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พฤษภาคม ๒๕๓๙ //////////////////////////////


หน้า ๙๖ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม มีหนังสือ ที่ รส ๐๖๑๒/๑๑๖๗ ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาความว่า ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) ได้ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมาย กรณีที่กระทรวงการคลัง ได้ขอหารือปัญหาเกี่ยวกับการนับอายุบุคคลว่า "ปัจจุบันได้มีการแก้ไขบทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์บัญญัติเกี่ยวกับการนับอายุบุคคลไว้ อย่างชัดเจนว่า "การนับอายุของบุคคลให้ เริ่มนับแต่วันเกิด..." ดังนั้น การนับอายุบุคคลจึงต้องเริ่มนับแต่วันเกิด และการนับวันสิ้นสุดระยะเวลา เพื่อค านวณอายุบุคคลก็เป็นไปตามมาตรา ๑๙๓/๕ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ปัจจุบัน คือ ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่ม ระยะเวลานั้น ดังนั้น บุคคลที่เกิดในวันที่ ๑ ตุลาคมของ พ.ศ. ๒๔๗๕ พ.ศ. ๒๔๗๖ และ พ.ศ. ๒๔๗๗ จะมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ในวันที่ ๓๐ กันยายน ของ พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ. ๒๕๓๖ และ พ.ศ. ๒๕๓๗ ตามล าดับ ส าหรับการเกษียณอายุราชการนั้น มาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติบ าเหน็จบ านาญ ข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ บัญญัติให้ข้าราชการต้องพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณที่ ข้าราชการนั้นมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ ดังนั้น บุคคลที่เกิดวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พ.ศ. ๒๔๗๖ และ พ.ศ. ๒๔๗๗ จะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในวันที่ ๓๐ กันยายน ของ พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ. ๒๕๓๖ และ พ.ศ. ๒๕๓๗ ตามล าดับ และบุคคลดังกล่าวจะพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปี งบประมาณนั้นๆ คือ พ้นจากราชการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ของ พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ. ๒๕๓๖ และ พ.ศ. ๒๕๓๗ ตามล าดับ..." นั้น เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมในฐานะประธาน คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ได้รับหนังสือจากประธานคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ของ รัฐวิสาหกิจจ านวน ๒ แห่ง คือ การไฟฟ้านครหลวงและโรงงานยาสูบ ขอให้พิจารณาวินิจฉัย ปัญหาในการปฏิบัติเกี่ยวกับการนับอายุพนักงานกรณีเกษียณอายุ โดยรัฐวิสาหกิจทั้งสองแห่ง นั้นเห็นว่าหลักเกณฑ์การนับอายุของพนักงานเพื่อค านวณระยะเวลาการเกษียณอายุโดยอาศัย บทบัญญัติในมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม เป็นคุณกับพนักงานยิ่งกว่า การน าหลักเกณฑ์ การนับอายุของบุคคลตามมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้๑ บันทึก เรื่อง การนับอายุบุคคล ส่งถึงส านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพร้อมกับหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๖๐๑/๖๓๒ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๓๗ ตรวจช าระใหม่มาใช้บังคับ ดังนั้น หากน าหลักเกณฑ์การนับอายุของบุคคลตามมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่มาใช้บังคับกับพนักงานที่เข้าท างานกับรัฐวิสาหกิจก่อนวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเป็นวันที่มาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ เรื่องเสร็จที่ ๔๗๘/๒๕๓๙ เรื่อง หลักเกณฑ์การค านวณนับระยะเวลาการเกษียณอายุของพนักงานรัฐวิสาหกิจ


หน้า ๙๗ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีผลบังคับใช้ (ตามความเห็นของส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้างต้น) น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและวิธีการในการนับระยะเวลาเพื่อค านวณ การเกษียณอายุของบุคคลที่ท าให้ประโยชน์ของพนักงานลดน้อยลงไปกว่าที่มีอยู่เดิมและถือได้ว่าเป็น การบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังอันไม่เป็นคุณ อีกทั้งระยะเวลาที่ค านวณนับเพื่อการเกษียณอายุ ของพนักงานที่เกิดวันที่ ๑ ตุลาคมและเข้าท างานกับรัฐวิสาหกิจก่อนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๕ ก็ยังไม่สิ้นสุดลงในวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีผลใช้บังคับซึ่งการค านวณนับอายุเวลาตามมาตรา ๑๕๘ เดิมมีระยะเวลาที่ยาวกว่าระยะเวลาที่ค านวณนับตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ ดังนั้น จึงต้องน าระยะเวลาที่ยาวกว่า มาใช้บังคับ ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม พิจารณาแล้ว เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหา การตีความข้อกฎหมาย กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจึงขอหารือส านักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา ดังนี้ ๑.การน าหลักเกณฑ์การค านวณนับระยะเวลาเพื่อการเกษียณอายุโดยน ามาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาใช้บังคับแทนหลักเกณฑ์ การค านวณ นับระยะเวลาตามมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมซึ่งมีผล ท าให้พนักงานรัฐวิสาหกิจได้รับประโยชน์ลดน้อยลงไปจากเดิมที่มีอยู่ จะเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ หรือไม่ อย่างไร ๒. พนักงานรัฐวิสาหกิจที่เกิดวันที่ ๑ ตุลาคม และเข้าท างานก่อนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๕ จะใช้หลักเกณฑ์การนับระยะเวลาเพื่อค านวณนับเวลาการเกษียณอายุตามนัย มาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม ก่อนมีการตรวจช าระใหม่ โดยน า มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาปรับใช้ ได้หรือไม่อย่างไร ในการพิจารณาข้อหารือของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมคณะกรรมการ กฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) ได้รับฟังค าชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวง การคลัง (กรมบัญชีกลาง) ผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (กรมสวัสดิการและ คุ้มครองแรงงาน) ผู้แทนการไฟฟ้านครหลวง และผู้แทนโรงงานยาสูบสรุปความได้ว่าผู้แทน การไฟฟ้านครหลวงชี้แจงว่า แนวปฏิบัติเดิมในการนับอายุของพนักงานกรณีเกษียณอายุนั้นได้ใช้ แนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยอาศัยมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับการนับระยะเวลาเป็นเกณฑ์ในการนับอายุของพนักงาน กล่าวคือ มิให้นับวันเกิดเป็นวันแรกแห่งการนับอายุ โดยให้เริ่มนับวันถัดไป เมื่อปัจจุบันได้มีการ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบัญญัติวิธีการนับอายุของบุคคลไว้โดยเฉพาะ ในมาตรา ๑๖ ซึ่งให้การนับอายุของบุคคลให้เริ่มนับแต่วันเกิด... การไฟฟ้านครหลวงจึงได้เปลี่ยน แนวปฏิบัติในการนับอายุของพนักงานให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๑๖ ดังกล่าว ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลง แนวปฏิบัตินี้มีผลกระทบต่อพนักงานที่เกิดในวันที่ ๑ ตุลาคม เพราะจะท าให้พนักงานผู้นั้นมีอายุ


หน้า ๙๘ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ในวันที่ ๓๐ กันยายน ของปีที่พนักงานผู้นั้นมีอายุครบ ๖๐ ปีซึ่งท าให้ เสียสิทธิเป็นพนักงานต่อไปอีกหนึ่งปี และมีผลกระทบในการจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบ ในการท างานตามข้อ ๔๗ แห่งระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของ สิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ การไฟฟ้า นครหลวงเห็นว่าการน ามาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมมาใช้บังคับกับ พนักงานเป็นคุณยิ่งกว่าการน าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจช าระใหม่มาใช้บังคับ นอกจากนี้ การที่จะใช้บังคับกับพนักงานที่เข้างานก่อนวันที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่มีผลบังคับใช้คือ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๕ น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง หากจะใช้บังคับก็ต้องใช้กับพนักงานที่เข้าท างานตั้งแต่ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๕ เป็นต้นไปจึงได้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เป็น ผู้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ผู้แทนโรงงานยาสูบชี้แจงว่า โรงงานยาสูบได้ถือหลักปฏิบัติในเรื่องการนับอายุ ของบุคคลเช่นเดียวกับการไฟฟ้านครหลวง กล่าวคือ ได้ยึดหลักตามมติคณะรัฐมนตรีในปีพ.ศ. ๒๕๐๙ ตลอดมา เมื่อมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ได้บัญญัติ เรื่องการนับอายุของบุคคลไว้โดยเฉพาะและเป็นการขัดต่อแนวทางปฏิบัติเดิม ท าให้สิทธิประโยชน์ ต่างๆของพนักงาน ลดน้อยลงอันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๓๔ นอกจากนี้โรงงานยาสูบเห็นว่า กฎหมายไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง จึงไม่ควรบังคับใช้กับพนักงาน ที่เข้าท างานก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่บังคับใช้กล่าวคือไม่ควร บังคับใช้กับพนักงานที่เข้าท างานก่อนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๕ ผู้แทนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงว่า สืบเนื่องจากรัฐวิสาหกิจทั้งสอง แห่งดังกล่าวได้ขอให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการนับอายุ ของบุคคลกรณีเกษียณอายุของพนักงานรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ได้ พิจารณาแล้วมีความเห็นเป็น ๒ ฝ่าย กล่าวคือ ฝ่ายแรกเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ ในการนับอายุของบุคคลตามมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเพราะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ใช่การที่หน่วยงาน เปลี่ยนแปลงข้อบังคับหรือข้อตกลงเอง แต่ฝ่ายที่สองเห็นว่า ค าว่า "บรรดาระยะเวลา" ในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจ ช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ หมายถึงช่วงระยะเวลาระหว่างการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของระยะเวลา ดังนั้น เมื่อระยะเวลาในการนับอายุของบุคคลกรณีเกษียณอายุส าหรับผู้ที่เข้าท างานก่อน พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับยังไม่สิ้นสุดลง จึงต้องน าการนับ ระยะเวลาตามมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวกว่า มาใช้บังคับตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ ปัญหาดังกล่าวกระทรวงแรงงานฯ เห็นว่า เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณา ผู้แทนกรมบัญชีกลางชี้แจงว่า เดิมการนับอายุของข้าราชการกรณีเกษียณอายุ ได้ยึดหลักตามมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม ทั้งนี้โดยมีมติคณะรัฐมนตรี


หน้า ๙๙ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ให้ถือปฏิบัติเช่นนั้น ซึ่งในทางปฏิบัติรัฐวิสาหกิจก็ได้อนุโลมใช้บังคับการนับ อายุของพนักงานเช่นเดียวกับข้าราชการ ต่อมาเมื่อมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ใช้บังคับและได้มีมติคณะรัฐมนตรี วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๘ ให้ยกเลิกวิธีปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในปี ๒๕๐๙ กรมบัญชีกลางเห็นว่า เมื่อมีการยกเลิกมติ คณะรัฐมนตรีที่ให้น ามาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมมาบังคับใช้แล้ว การจะน ามาตรา ๑๕๘ มาใช้บังคับอีกน่าจะไม่ถูกต้องและในปัจจุบันกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับ การนับอายุของบุคคลก็มีเพียงมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ เท่านั้น จึงน่าจะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในมาตรา ๑๖ ดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) ได้พิจารณาข้อหารือ ของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมในสองประเด็นดังกล่าวแล้วมีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง การน าหลักเกณฑ์การค านวณนับระยะเวลาเพื่อการเกษียณอายุ โดยน ามาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาใช้แทนหลักเกณฑ์การค านวณนับระยะเวลาตามมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์เดิมซึ่งมีผลท าให้พนักงานรัฐวิสาหกิจได้รับประโยชน์ลดน้อยลงไปจากเดิมที่มีอยู่จะเป็น การขัดต่อพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ หรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) มีความเห็นว่า เดิมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้บัญญัติเรื่องการนับอายุของบุคคลไว้ว่าให้เริ่มนับวันใด การนับอายุของบุคคลจึงอาศัยหลักกฎหมายเรื่องการนับระยะเวลาตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่บัญญัติไม่ให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าไปด้วย และระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนถึงวันแห่งปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น ดังเช่น บุคคลซึ่งเกิดวันที่ ๑ ตุลาคม ให้เริ่มนับอายุตั้งแต่วันที่ ๒ ตุลาคม และบุคคลนั้นจะมี อายุครบรอบ ๑ ปี ในวันที่ ๑ ตุลาคมของปีถัดไป ต่อมาเมื่อมีการแก้ไขบทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการนับอายุ ของบุคคลไว้อย่างชัดเจนในมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ว่า "การนับอายุของบุคคลให้เริ่มนับแต่วันเกิด" ซึ่งจากการตรวจสอบรายงานการประชุมคณะกรรมการ พิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ ครั้งที่ ๑๓-๑๓/๒๕๒๖ พบว่า คณะกรรมการฯ เห็นว่า การตีความกรณีของนายเกษม ทิพยจันทร์ นั้น ไม่ตรงต่อความเป็นจริง จึงวางหลักเรื่องการนับอายุของแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕ การนับอายุของบุคคลจึงต้องปฏิบัติตาม บทบัญญัติในมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าว ทั้งนี้โดยไม่ต้องค านึง ว่าบุคคลนั้นจะเกิดเมื่อใด ส าหรับปัญหาว่า การนับอายุของบุคคลโดยเริ่มนับแต่วันเกิดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะขัดต่อพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ หรือไม่ นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) ได้พิจารณาบทบัญญัติ ต่างๆ ในพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการ


หน้า ๑๐๐ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยตลอดแล้วมีความเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวได้ก าหนดสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับวันและเวลาท างาน ค่าจ้าง เงินเดือน และสวัสดิการของพนักงาน และก าหนดสิทธิประโยชน์ขั้นต่ าที่พนักงานรัฐวิสาหกิจ พึงได้รับโดยบัญญัติให้รัฐวิสาหกิจที่ให้สิทธิประโยชน์แก่พนักงานน้อยกว่ามาตรฐานที่ก าหนดไว้ใน กฎหมายดังกล่าวต้องแก้ไขให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่วางไว้ แต่การนับอายุของบุคคลว่าบุคคลใด จะมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์เมื่อใดนั้นเป็นเรื่องวิธีการนับอายุของบุคคล ซึ่งในกฎหมายว่าด้วย พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ก็มิได้ก าหนดวิธีการนับอายุของพนักงานรัฐวิสาหกิจไว้เป็นพิเศษ ฉะนั้น การนับอายุของบุคคลจึงต้องปฏิบัติตามที่มาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้และการเกษียณอายุของพนักงานรัฐวิสาหกิจก็เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐาน ส าหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งบัญญัติให้พนักงานรัฐวิสาหกิจพ้นจากต าแหน่งเมื่อสิ้นปี งบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณของปีที่พนักงานผู้นั้นมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ แม้ว่าการนับอายุของบุคคลตามมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะมีผลให้บุคคล ซึ่งเกิดในวันที่ ๑ ตุลาคม ต้องพ้นจากต าแหน่งในปีงบประมาณที่บุคคลนั้นมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ แต่ผลแห่งการนับดังกล่าวไม่เกี่ยวกับมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจดังที่บัญญัติ ไว้ในกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์แต่ประการใด ประเด็นที่สอง พนักงานรัฐวิสาหกิจที่เกิดวันที่ ๑ ตุลาคม และเข้าท างานก่อน วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๕ จะใช้หลักเกณฑ์การนับระยะเวลาเพื่อค านวณนับเวลาการเกษียณอายุ ตามนัยมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม ก่อนมีการตรวจช าระใหม่ โดยน ามาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาปรับใช้ ได้หรือไม่อย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) เห็นว่ามาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้วางหลักเกณฑ์ไว้เพื่อขจัดข้อโต้แย้งในการใช้บังคับเกี่ยวกับ ระยะเวลาในบรรพ ๑ และลักษณะ ๒๓ สมาคม ของบรรพ ๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์เดิมและระยะเวลาในบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ โดยได้บัญญัติไว้ว่า หากระยะเวลาดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดลงในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (๘ มิถุนายน ๒๕๓๕) และระยะเวลาที่ก าหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้งสองฉบับ ต่างกัน ให้น าระยะเวลาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับ ตัวอย่างเช่น กรณีการอุทธรณ์ค าวินิจฉัยของ นายทะเบียนในการปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนตามมาตรา ๑๒๘๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์เดิม ได้ก าหนดระยะเวลาให้อุทธรณ์ภายใน ๑๕ วัน ส่วนประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ตามมาตรา ๘๒ ได้ก าหนดระยะเวลาอุทธรณ์ให้ภายใน ๓๐ วัน เมื่อระยะเวลาในกฎหมายทั้งสองฉบับต่างกันเช่นนี้ ปัญหามีว่าจะใช้ระยะเวลาใดมาบังคับใช้ มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจช าระใหม่ บัญญัติให้น าระยะเวลาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับ หากระยะเวลาที่บัญญัติไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมยังไม่สิ้นสุดลงในวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ นี้ใช้บังคับ ฉะนั้น หากระยะเวลาในการอุทธรณ์ยังไม่สิ้นสุดลงกล่าวคือยังไม่พ้นก าหนด ๑๕ วัน


หน้า ๑๐๑ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม ผู้มีสิทธิอุทธรณ์สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายในระยะเวลา ที่ยาวกว่า คือ ภายใน ๓๐ วัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ หรือการแจ้งจดทะเบียนกรณีการเปลี่ยนตัวบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายเป็นผู้จัดการสมาคม ตามมาตรา ๑๒๘๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม ได้ก าหนดระยะเวลาให้จดทะเบียน ภายใน ๑๔ วัน แต่ในมาตรา ๘๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ ได้ก าหนดระยะเวลาจดทะเบียนเป็น ๓๐ วัน หรือกรณีที่นายทะเบียนสั่งให้ขีดชื่อสมาคมใด ออกจากทะเบียน ให้ผู้จัดการสมาคมอุทธรณ์ค าสั่งนั้นได้ภายใน ๑๕ วัน ตามมาตรา ๑๒๙๓ ตรี แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ มาตรา ๑๐๓ ได้ก าหนดระยะเวลาในกรณีเดียวกันเป็น ๓๐ วัน คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๒) มีความเห็นว่า ระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตราต่างๆ ตาม ตัวอย่างข้างต้นนั้นเป็นระยะเวลาในความหมายของมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ แต่มาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ที่บัญญัติว่า "การนับอายุของบุคคล ให้เริ่มนับแต่วันเกิด..." นั้น มิใช่ระยะเวลาดังเช่นที่บัญญัติไว้ในบรรพ ๑ และลักษณะ ๒๓ สมาคม ของบรรพ ๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้แต่เป็นการบัญญัติให้เริ่มต้นนับอายุของบุคคลให้ชัดเจนว่าต้องเริ่มนับแต่วันเกิด จึงไม่อาจน ามาตรา ๑๔(๕) แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจช าระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาปรับใช้แก่การนับอายุของบุคคลได้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สิงหาคม ๒๕๓๙ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๐


หน้า ๑๐๒ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมการจัดหางาน ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ รส ๐๓๐๓/๑๖๗๐ ลงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ ถึงส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อขอหารือว่าลักษณะการท างาน ในต าแหน่งยามเป็นงานกรรมกรซึ่งเป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวท าตามพระราชกฤษฎีกาก าหนดงาน ในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท า พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ก าหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖ หรือไม่ โดยมี ข้อเท็จจริงว่า นายมัล จันด์ คนต่างด้าวสัญชาติอินเดีย ได้รับอนุญาตจากส านักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการธุรกิจ (NON-IMMIGRANT VISA (BUSINESS)) เป็นระยะเวลา ๙๐ วัน นับแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ และมาขอใบอนุญาตท างานกับกรมการจัดหางานในต าแหน่งยาม ซึ่งมีลักษณะการท างาน คือ เป็นผู้รักษาความปลอดภัยมิให้เกิดอัคคีภัยและทรัพย์สินเสียหาย ดูแลมิให้บุคคลที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เข้าไปในสถานที่ท างาน กรมการจัดหางานได้พิจารณาลักษณะการท างานตามที่ นายมัล จันด์ ขออนุญาตแล้วมีความเห็นเกี่ยวกับลักษณะงานในต าแหน่งยามเป็น ๒ ฝ่าย ดังนี้ ฝ่ายที่หนึ่ง เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากการจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) ของกรมการจัดหางานซึ่งอาศัยแบบอย่างจากการจัดประเภทมาตรฐานอาชีพขององค์การแรงงาน ระหว่างประเทศแล้ว ได้ก าหนดอาชีพยามไว้ในงานบริการซึ่งลักษณะงานของอาชีพยาม ได้แก่ ผู้เฝ้าอาคารสถานที่หรือเฝ้าทรัพย์สินเพื่อป้องกันอัคคีภัย โจรกรรม และการเข้ามาโดยผิดกฎหมาย และได้ก าหนดอาชีพกรรมกรไว้ในงานกรรมกรหรือคนงานที่มิได้ก าหนดไว้ในกลุ่มอาชีพอื่นๆ ซึ่งลักษณะของงานกรรมกร ได้แก่ ผู้ท างานที่ใช้มือและโดยปกติเป็นการท างานอย่างง่ายๆ ซึ่งต้องใช้ก าลังกายเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงผู้ใช้แรงงานท างานอย่างง่ายๆ ในบริเวณอาคารและสถานที่ นอกจากนี้ เมื่อเทียบเคียงกับค านิยามของยามและกรรมกรตามพจนานุกรมแล้ว ยาม หมายความว่า คนเฝ้าสถานที่หรือระวังเหตุการณ์ตามก าหนดเวลา และกรรมกร หมายความว่า คนงาน ปัจจุบันใช้แทนค าว่า ผู้ใช้แรงงาน จากเหตุผลดังกล่าวจึงเห็นว่า ยามและกรรมกรมีความหมาย เช่นเดียวกัน และจากการสอบถามกับราชบัณฑิตยสถานท าให้ทราบว่าในทางวิชาการนั้น กรรมกร คือ คนงาน ลูกจ้าง และผู้ใช้แรงงาน สวนยาม คือ คนเฝ้าสถานที่เป็นระยะเวลา ตามที่ก าหนด ซึ่งยามก็เป็นผู้ใช้แรงงานประเภทหนึ่ง ดังนั้น เมื่อพิจารณาลักษณะงานในต าแหน่งยาม ของนายมัล จันด์ แลว จึงเห็นว่าเป็นลักษณะของผู้ใช้แรงงานประเภทหนึ่ง ซึ่งโดยปกติเป็น การท างานอย่างง่ายๆ ที่ใช้ก าลังกายเป็นส่วนใหญ่ในบริเวณอาคารและสถานที่ จึงเป็นงานกรรมกร ซึ่งเป็นงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท าตาม (๑) ของบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาก าหนด งานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท า พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแกไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ก าหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖ เรื่องเสร็จที่ ๒๘๔/๒๕๔๐ เรื่อง ความหมายของคําว่า “กรรมกร” ตามพระราชกฤษฎีกา กําหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทํา พ.ศ. ๒๕๒๒ (กรณียาม)


หน้า ๑๐๓ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่ายที่สอง เห็นว่า แม้งานในต าแหน่งยามของนายมัล จันด์ จะเป็นการท างานเบา และเป็นงานอย่างง่ายโดยใช้มือและก าลังกายเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่การท างานของยามนั้นมีหน้าที่ และความรับผิดชอบมากกว่า จึงไม่จัดเป็นกรรมกรที่ห้ามคนต่างด้าวท า คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมการจัดหางาน โดยมีผู้แทน กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ส านักงานปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และกรมการจัดหางาน) เป็นผู้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงแล้ว มีความเห็นว่า งานกรรมกรซึ่งเป็นงานที่ห้าม คนต่างด้าวท าตาม (๑) ของบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาก าหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้าม คนต่างด้าวท า พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาก าหนดงาน ในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖ นั้น มิได้มีบทนิยามค าว่า “กรรมกร” ฉะนั้น การพิจารณาความหมายของค าว่า “กรรมกร” จึงอาจพิจารณาตามความหมาย ทั่วไป ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ พิมพ์ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งได้ ให้ความหมายของ “กรรมกร” ไว้ว่า หมายถึง คนงาน ลูกจ้างที่ใช้แรงงาน เป็นจ าพวกไม่ใช่ทาส ความหมายของค าว่ากรรมกรดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงลักษณะของงานกรรมกรว่า เป็นการท างาน ที่มีการใช้แรงงานเป็นส าคัญ ส่วนค าว่า“ยาม” นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ พิมพ์ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๘ ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง คนเฝ้าสถานที่หรือระวังเหตุการณ์ ตามก าหนดเวลา ซึ่งตรงกับลักษณะของอาชีพยามตามเอกสารการจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) ของกรมการจัดหางานที่จัดท าขึ้นโดยอาศัยพื้นฐานและแบบอย่างการจัดประเภท มาตรฐานอาชีพระหว่างประเทศขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ซึ่งลักษณะอาชีพยาม คือ เฝ้าโรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า หรือทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อป้องกันอัคคีภัย โจรกรรม และ การเข้ามาโดยผิดกฎหมาย เดินตรวจตัวอาคารและบริเวณอาคารเป็นครั้งคราว ตรวจประตูอาคาร หน้าต่าง ประตูรั้ว เพื่อตรวจดูว่าอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย และแน่นหนา และตรวจดูความผิดปกติ ต่างๆ เช่น ท่อน้ าแตก หรือเพลิงไหม้จดบันทึกการตรวจตราตามระยะเวลาที่ก าหนด ณ ป้อมยาม เป็นประจ า ฯลฯ และลักษณะอาชีพยามนี้จัดอยู่ในหน่วยอาชีพผู้ให้บริการความปลอดภัยซึ่งมิได้ จัดประเภทไวในที่อื่น เมื่อพิจารณาลักษณะการท างานในอาชีพยามดังกล่าวแล้วเห็นว่า แม้เป็น งานที่มีลักษณะการท างานอย่างง่ายๆ ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ใช้แรงงานเป็นพิเศษแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงตามค าชี้แจงของผู้แทนกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (กรมการจัดหางาน) ด้วยว่า ยามมีการท างานที่พิเศษแตกต่างออกไปอีก กล่าวคือ จะต้องมีการฝึกเพื่อให้เกิดทักษะ และมีระเบียบวินัย รู้กฎข้อบังคับ และวิธีการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันอัคคีภัย โจรกรรม และการเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ประกอบกับเอกสารการจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) ของกรมการจัดหางาน ก็ได้จัดประเภทอาชีพยามไว้คนละประเภทกับอาชีพกรรมกรซึ่งจัดอยู่ใน หน่วยอาชีพกรรมกรหรือคนงานซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น ดังนั้น จึงถือได้ว่าการท างาน ในต าแหน่งยามมีลักษณะที่แตกต่างกับงานกรรมกร จากเหตุผลดังกล่าว เมื่อพิจารณาข้อหารือ ของกรมการจัดหางานแล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) จึงเห็นว่า ลักษณะการท างานในต าแหน่งยามไม่ถือว่าเป็นงานกรรมกรซึ่งเป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวท าตาม พระราชกฤษฎีกาก าหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท า พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไข


หน้า ๑๐๔ สรุปความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาก าหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวท า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖ ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๔๐ //////////////////////////////


สรุปความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๒


Click to View FlipBook Version