238 คูมือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
วธิ ที ี่ 2 จะเหน็ วา คา ความจริงของ p → ( q ∧ r) กับ ( p → q) ∨ ( p → r)
มบี างกรณที ต่ี า งกัน
ดงั นั้น p → ( q ∧ r) ไมส มมูลกับ ( p → q) ∨ ( p → r)
( p → q)∨( p → r) ≡ ( p∨ q)∨( p∨ r)
≡ ( p∨ p) ∨ ( q ∨ r)
≡ p ∨ ( q ∨ r)
≡ p →( q∨ r)
ซ่งึ p → ( q ∨ r) ≡/ p → ( q ∧ r)
ดังน้ัน p → ( q ∧ r) ไมสมมลู กบั ( p → q) ∨ ( p → r)
2) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p ∨ q) ∧ r กบั ( p ∨ r) ∧ (q ∨ r) ไดดงั น้ี
p q r p ∨ q p ∨ r q∨ r ( p ∨ q)∧ r ( p ∨ r)∧(q ∨ r)
TTT T TT T T
TTF T TT F T
TFT T TT T T
TFF T TF F F
FTT T TT T T
FTF T FT F F
FFT F TT F T
FFF F F F F F
วธิ ที ่ี 2 จะเห็นวา คา ความจริงของ ( p ∨ q) ∧ r กับ ( p ∨ r) ∧ (q ∨ r)
มบี างกรณที ีต่ า งกนั
ดงั นน้ั ( p ∨ q) ∧ r ไมสมมูลกบั ( p ∨ r) ∧ (q ∨ r)
จาก ( p ∨ r ) ∧ (q ∨ r ) ≡ ( p ∧ q) ∨ r
ซ่ึง ( p ∧ q) ∨ r ≡ ( p ∨ q) ∧ r
ดงั น้นั ( p ∨ q) ∧ r ไมส มมลู กับ ( p ∨ r) ∧ (q ∨ r)
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 239
3) วิธีที่ 1 สรางตารางคา ความจริงของ ( p → q) → r กบั ( p ∧ q ∧ r) ไดดังน้ี
p q r p → q ( p → q) p ∧ q ∧ r ( p → q) → r ( p ∧ q ∧ r)
TTT T F T TF
TTF T F F TT
TFT F T F TT
TFF F T F FT
FTT T F F TT
FTF T F F TT
FFT T F F TT
FFF T F F TT
จะเห็นวา คาความจรงิ ของ ( p → q) → r กบั ( p ∧ q ∧ r)
มีบางกรณีท่ตี างกนั
ดังนน้ั ( p → q) → r ไมสมมลู กบั ( p ∧ q ∧ r)
วธิ ีท่ี 2 จาก ( p → q) → r ≡ ( p → q) ∨ r
≡ ( p∨ q)∨ r
≡ p∨q∨r
≡ ( p∧ q∧ r)
ซ่งึ ( p∧ q∧ r ) ≡/ ( p ∧ q ∧ r )
ดังนน้ั ( p → q) → r ไมสมมลู กับ ( p ∧ q ∧ r)
4) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจรงิ ของ p ↔ q และ ( p → q) ∧ (q → p) ไดด งั นี้
p q p p → q q → p ( p → q) ∧ (q → p) p ↔ q ( p → q) ∧ (q → p)
T TF T T T FF
T FF F T F TT
F TT T F F TT
F FT T T T FF
จะเหน็ วา คาความจริงของ p ↔ q กับ ( p → q) ∧ (q → p)
เหมือนกันทกุ กรณี
ดงั น้ัน p ↔ q สมมูลกบั ( p → q) ∧ (q → p)
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
240 คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
วิธที ี่ 2 จาก p ↔ q ≡ ( p → q) ∧ (q → p)
≡ ( p∨ q)∧( q ∨ p)
≡ ( p ∨ q) ∧ q ∨ ( p ∨ q) ∧ p
≡ ( p∧ q) ∨ (q∧ q) ∨ ( p∧ p) ∨ (q∧ p)
≡ ( p∧ q) ∨ (q∧ p)
≡ ( p∨ q)∨ ( q∨ p)
≡ ( p → q)∨ (q → p)
≡ ( p → q) ∧ (q → p)
ดังนั้น p ↔ q สมมลู กบั ( p → q) ∧ (q → p)
8. 1) ให p แทน “8 ไมนอยกวา 7 ”
q แทน “8 เปน จาํ นวนคู”
จะได p → q แทน “ถา 8 ไมนอ ยกวา 7 แลว 8 เปน จาํ นวนคู”
แนวทางการตอบ
เน่อื งจาก p → q สมมลู กบั p ∨ q
ดังนั้น “ถา 8 ไมนอยกวา 7 แลว 8 เปน จํานวนคู” สมมลู กับ “8 นอยกวา 7
หรือ 8 เปน จาํ นวนคู”
2) ให p แทน “ 12 ∉ ”
5
q แทน “ 5 ไมเ ปนตัวประกอบของ 12 ”
จะได p ↔ q แทน “ 12 ∉ ก็ตอ เม่อื 5 ไมเ ปน ตัวประกอบของ 12 ”
5
แนวทางการตอบท่ี 1
เนอื่ งจาก p ↔ q สมมลู กบั ( p → q) ∧ (q → p)
ดังนน้ั “12 ∉ ก็ตอเมือ่ 5 ไมเ ปนตัวประกอบของ 12 ” สมมลู กบั
5
“ถา 12 ∉ แลว 5 ไมเปนตวั ประกอบของ 12 และ ถา 5 ไมเ ปนตวั ประกอบ
5
ของ 12 แลว 12 ∉ ”
5
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 241
แนวทางการตอบที่ 2
เนือ่ งจาก p ↔ q สมมูลกบั q ↔ p
ดงั นน้ั “12 ∉ กต็ อ เม่ือ 5 ไมเ ปน ตวั ประกอบของ 12 ” สมมลู กับ
5
“ 5 ไมเ ปนตัวประกอบของ 12 ก็ตอเมอ่ื 12 ∉ ”
5
3) ให p แทน “ไกเ ปนสัตวป ก ”
q แทน “เปด เปนสัตวป ก ”
r แทน “นกเปนสัตวปก”
จะได ( p ∧ q) ∨ (r ∧ p) แทน “ไกและเปดเปน สัตวปก หรือ นกและไกเปนสัตวปก ”
แนวทางการตอบ
เนือ่ งจาก ( p ∧ q) ∨ (r ∧ p) สมมูลกบั p ∧ (q ∨ r)
ดังนนั้ “ไกแ ละเปดเปน สตั วปก หรือ นกและไกเ ปน สัตวปก” สมมลู กับ
“ไกเ ปน สตั วป ก และ เปดหรือนกเปน สัตวปก”
4) ให p แทน “พอ ของแหนมมีเลอื ดหมู O ”
q แทน “แมของแหนมมีเลือดหมู O ”
r แทน “แหนมมเี ลือดหมู O ”
จะได ( p ∧ q) → r แทน “ถา พอและแมข องแหนมมีเลอื ดหมู O แลวแหนมมเี ลอื ดหมู O ”
แนวทางการตอบ
เนอื่ งจาก ( p ∧ q) → r สมมูลกบั p∨ q ∨ r
ดังนนั้ “ถาพอและแมข องแหนมมเี ลือดหมู O แลวแหนมมีเลือดหมู O ”
สมมลู กบั “พอหรือแมของแหนมไมมเี ลือดหมู O หรอื แหนมมเี ลอื ดหมู O ”
9. 1) สรา งตารางคา ความจริงของ p → q กบั q → p ไดดงั นี้
p q p→q q→ p
TT T T
TF F T
FT T F
FF T T
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
242 คูม ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเหน็ วามีคาความจรงิ ของ p → q บางกรณีทต่ี รงกบั คาความจรงิ ของ q → p
ดังนัน้ p → q กบั q → p ไมเปน นิเสธกัน
2) สรางตารางคา ความจริงของ p ↔ q กับ p ↔ q ไดด ังนี้
p q p q p↔q p↔q
T TF F T T
T FF T F F
F TT F F F
F FT T T T
จะเหน็ วา คาความจริงของ p ↔ q ตรงกบั คา ความจรงิ ของ p ↔ q ทกุ กรณี
นัน่ คือ p ↔ q สมมูลกบั p ↔ q
ดงั น้ัน p ↔ q กับ p ↔ q ไมเปน นิเสธกนั
3) วิธีที่ 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ p → (q → r) กบั p ∧ q∧ r ไดดังนี้
p q r q → r r p → (q → r) p ∧ q∧ r
TTT T F T F
T TF F T F T
TFT T F T F
TFF T T T F
FTT T F T F
FTF F T T F
FFT T F T F
FFF T T T F
จะเหน็ วา คา ความจริงของ p → (q → r) ตรงขา มกบั คาความจริง
ของ p ∧ q∧ r ทุกกรณี
ดังนนั้ p → (q → r) กับ p ∧ q∧ r เปนนิเสธกนั
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 243
วิธีท่ี 2 เนอ่ื งจาก p → (q → r) เปนนเิ สธของ p → (q → r)
และ p → (q → r ) ≡ p ∨ (q → r )
≡ p ∨ ( q ∨ r )
≡ p∧ ( q ∨ r)
≡ p ∧ q∧ r
จะได p → (q → r) เปนนเิ สธของ p ∧ q∧ r
ดังนั้น p → (q → r) กับ p ∧ q∧ r เปน นิเสธกนั
4) วธิ ีท่ี 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p → q) → r กบั ( p∧ r) ∨ (q∧ r)
ไดด งั นี้
p q r p r p → q p∧ r q∧ r ( p → q) → r ( p∧ r) ∨ (q∧ r)
T TTF F T FF T F
T
T TFF T T FT F F
T FTF F F FF T F
T FFF T F FF T F
F TTT F T FF T T
F TFT T T TT F F
F FTT F T FF T T
F FFT T T TF F
วธิ ที ี่ 2 จะเห็นวา คา ความจรงิ ของ ( p → q) → r ตรงขา มกบั คา ความจรงิ
ของ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) ทกุ กรณี
ดังนัน้ p → (q → r) กับ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) เปน นิเสธกัน
เนอ่ื งจาก ( p → q) → r เปน นิเสธของ ( p → q) → r
และ ( p → q) → r ≡ ( p → q) ∨ r
≡ ( p → q)∧ r
≡ ( p∨ q)∧ r
≡ ( p∧ r) ∨ (q∧ r)
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
244 คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
จะได ( p → q) → r เปนนเิ สธของ ( p∧ r) ∨ (q∧ r)
ดังน้นั p → (q → r) กับ ( p∧ r) ∨ (q∧ r) เปนนเิ สธกัน
5) สรางตารางคา ความจรงิ ของ p → (q ∨ r) กับ (q ∨ r) → p ไดด งั นี้
p q r p q ∨ r p → (q ∨ r) (q ∨ r) → p
T T TF T T F
T T FF T T F
T F TF T T F
T F FF F F T
F T TT T T T
F T FT T T T
F F TT T T T
F F FT F T T
จะเหน็ วา มคี า ความจรงิ ของ p → (q ∨ r) บางกรณที ่ีตรงกบั คา ความจรงิ ของ (q ∨ r) → p
ดังนนั้ p → (q ∨ r) กบั (q ∨ r) → p ไมเ ปน นเิ สธกัน
6) วิธที ่ี 1 สรางตารางคาความจรงิ ของ q ∧ (r∧ s) กบั q → (r → s) ไดด งั นี้
q r s s r∧ s r → s q ∧ (r∧ s) q → (r → s)
TT T F F TF T
TT F T T FT F
TF T F F TF T
TF F T F TF T
FT T F F TF T
FT F T T FF T
FF T F F TF T
FF F T F TF T
จะเหน็ วา คาความจรงิ ของ q ∧ (r∧ s) ตรงขา มกบั คาความจรงิ
ของ q → (r → s) ทุกกรณี
ดงั น้ัน q ∧ (r∧ s) กบั q → (r → s) เปน นเิ สธกัน
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 245
วธิ ที ี่ 2 เน่อื งจาก [q ∧ (r∧ s)] เปน นเิ สธของ q ∧ (r∧ s)
และ [q ∧ (r∧ s)] ≡ q∨ (r∧ s)
≡ q∨( r ∨ s)
≡ q →( r ∨ s)
≡ q →(r → s)
จะได q ∧ (r∧ ~ s) เปน นิเสธของ q → (r → s)
ดังนน้ั q ∧ (r∧ s) กับ q → (r → s) เปนนิเสธกนั
7) วธิ ีท่ี 1 สรา งตารางคา ความจริงของ ( p → q) ∨ r กบั p∧ q∧ r ไดดังนี้
p q r p → q q r ( p → q) ∨ r p∧ q∧ r
TTT T F F TF
TTF T F T TF
TFT F T F TF
TFF F T T FT
FTT T F F TF
FTF T F T TF
FFT T T F TF
FFF T T T TF
วธิ ที ี่ 2 จะเหน็ วาคา ความจริงของ ( p → q) ∨ r ตรงขา มกบั คาความจริงของ
p∧ q∧ r ทุกกรณี
ดังนั้น ( p → q) ∨ r กบั p∧ q∧ r เปนนิเสธกัน
เนอ่ื งจาก ( p → q) ∨ r เปน นเิ สธของ ( p → q) ∨ r
และ ( p → q) ∨ r ≡ ( p ∨ q) ∨ r
≡ ( p ∨ q)∧ r
≡ p∧ q∧ r
จะได ( p → q) ∨ r เปนนิเสธของ p ∧ q∧ r
ดังน้นั ( p → q) ∨ r กับ p∧ q∧ r เปนนิเสธกัน
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
246 คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
8) วิธที ี่ 1 สรา งตารางคา ความจริงของ ( p ∨q) → r กบั r ∧ ( p ∨ q) ไดดงั นี้
p q r p ∨ q r ( p ∨q) → r r ∧( p ∨ q)
TTT T F T F
T
TTF T T F F
T
TFT T F T F
T
TFF T T F F
F
FTT T F T
FTF T T F
FFT F F T
FFF F T T
จะเห็นวาคาความจริงของ ( p ∨q) → r ตรงขามกับคา ความจรงิ ของ
r ∧ ( p ∨ q) ทกุ กรณี
ดงั นั้น ( p ∨q) → r กบั r ∧ ( p ∨ q) เปน นิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนอื่ งจาก [ ( p ∨q) → r ] เปนนเิ สธของ ( p ∨q) → r
และ [ ( p ∨q) → r ] ≡ [ ( p ∨q) ∨ r]
≡ ( p ∨ q)∧ r
≡ r ∧( p ∨ q)
จะได ( p ∨q) → r เปน นเิ สธของ r ∧ ( p ∨ q)
ดงั นน้ั ( p ∨q) → r กับ r ∧ ( p ∨ q) เปนนิเสธกนั
9) ให p แทน “12 เปน ตัวประกอบของ 24 ”
q แทน “ 4 เปนตวั ประกอบของ 24 ”
จะได p → q แทน “ถา 12 เปน ตวั ประกอบของ 24 แลว 4 เปนตวั ประกอบของ 24 ”
และ q ∧ p แทน “ 4 ไมเปนตวั ประกอบของ 24 แต 12 เปน ตวั ประกอบของ 24 ”
วิธที ่ี 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ p → q กับ q ∧ p ไดด งั นี้
p q q p→q q∧ p
T TF T F
T FT F T
F TF T F
F FT T F
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 247
จะเหน็ วาคาความจรงิ ของ p → q ตรงขามกับคาความจริงของ q ∧ p ทุกกรณี
ดงั นนั้ p → q กบั q ∧ p เปน นิเสธกนั
นั่นคือ “12 เปนตัวประกอบของ 24 แลว 4 เปนตวั ประกอบของ 24 ” กบั
“ 4 ไมเ ปน ตวั ประกอบของ 24 แต 12 เปนตวั ประกอบของ 24 ” เปน นเิ สธกัน
วิธีท่ี 2 เนอื่ งจาก ( p → q) เปน นเิ สธของ p → q
และ ( p → q) ≡ ( p ∨ q)
≡ p∧ q
≡ q∧ p
จะได q ∧ p เปน นิเสธของ p → q
ดังน้ัน p → q กับ q ∧ p เปนนิเสธกนั
นัน่ คอื “12 เปน ตวั ประกอบของ 24 แลว 4 เปนตวั ประกอบของ 24 ” กับ
“ 4 ไมเ ปนตวั ประกอบของ 24 แต 12 เปนตวั ประกอบของ 24 ” เปน นิเสธกนั
10) ให p แทน “ a เปนสระในภาษาองั กฤษ”
q แทน “b เปน สระในภาษาองั กฤษ”
r แทน “ e เปนสระในภาษาองั กฤษ”
จะได ( p∧ q) ∨ r แทน “ a และ b ไมเ ปนสระในภาษาอังกฤษ หรอื
e เปนสระในภาษาอังกฤษ”
และ r ∧ ( p → q) แทน “ e เปนสระในภาษาอังกฤษ แต ถา a ไมเ ปน สระ
ในภาษาอังกฤษ แลว a เปนสระในภาษาอังกฤษ”
สรา งตารางคาความจรงิ ของ ( p∧ q) ∨ r กบั r ∧ ( p → q) ไดดงั นี้
p q r p q p∧ q p → q ( p∧ q) ∨ r r ∧ ( p → q)
T T TF F F T TT
T T FF F F T FF
T F TF T F T TT
T F FF T F T FF
F T TT F F T TT
F T FT F F T FF
F F TT T T F TF
F F FT T T F TF
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
248 คูม ือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
จะเห็นวามีคาความจริงของ ( p∧ q) ∨ r บางกรณีท่ีตรงกบั คา ความจรงิ
ของ r ∧ ( p → q)
ดังน้ัน ( p∧ q) ∨ r กบั r ∧ ( p → q) ไมเปนนเิ สธกนั
นั่นคือ “ a และ b ไมเปน สระในภาษาองั กฤษ หรอื e เปนสระในภาษาอังกฤษ”
กบั “ e เปน สระในภาษาอังกฤษ แต ถา a ไมเปน สระในภาษาองั กฤษ แลว
b เปนสระในภาษาอังกฤษ” ไมเ ปนนิเสธกัน
10. 1) วิธที ี่ 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ p → (q → r) → ( p → q) → r ไดดงั น้ี
p q r p → q q → r p → (q → r ) ( p → q) → r p → (q → r ) → ( p → q) → r
TTT T T T T T
TTF T F F F T
TFT F T T T T
TFF F T T T T
FTT T T T T T
FTF T F T F F
FFT T T T T T
FFF T T T F F
จะเหน็ วา มีกรณีที่ p เปนเท็จ q เปนจรงิ และ r เปน เทจ็
และกรณีท่ี p, q และ r เปนเทจ็ ท่ีทาํ ใหร ปู แบบของประพจน
วธิ ที ่ี 2 p → (q → r ) → ( p → q) → r เปนเท็จ
ดงั นน้ั รปู แบบของประพจน p → (q → r) → ( p → q) → r ไมเ ปนสจั นิรันดร
สมมตใิ ห p → (q → r) → ( p → q) → r มคี าความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 249
จากแผนภาพ จะเห็นวา มกี รณีท่ี p เปน เท็จ q เปนเท็จ และ r เปนเทจ็
ทที่ าํ ให p → (q → r) → ( p → q) → r เปน เท็จ
ดงั น้นั รปู แบบของประพจน p → (q → r) → ( p → q) → r
ไมเปนสัจนิรนั ดร
2) วธิ ีท่ี 1 สรางตารางคาความจรงิ ของ ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) ไดดังน้ี
p q p q p ∧ q p ∨ ( p ∧ q) p∧ q ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q)
T TF F FT FT
T FF T FT FT
F TT F TT FT
F FT T FF TF
จะเห็นวากรณที ี่ p และ q เปนเท็จ รูปแบบของประพจน
( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) เปน เท็จ
ดงั นัน้ รปู แบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q)
ไมเปนสัจนริ ันดร
วิธีที่ 2 สมมตใิ ห ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q) มีคาความจรงิ เปน เท็จ
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
250 คมู อื ครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
วธิ ีที่ 3 จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณที ี่ p เปน เทจ็ และ q เปน เท็จ
ที่ทําใหรปู แบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q)
มคี าความจรงิ เปนเทจ็
ดงั น้นั รปู แบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q)
ไมเปน สจั นิรันดร
เนอื่ งจาก ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q)
≡ (( p∨ p) ∧ ( p ∨ q)) → ( p∧ q)
≡ ( p ∨ q) → ( p∧ q)
≡ ( p ∨ q) ∨ ( p∧ q)
≡ ( p ∨ q) ∧ ( ( p∧ q))
≡ ( p∨ q)∧( p∨ q)
≡ ( p∨ q)
ซงึ่ เมอื่ p และ q เปนเทจ็ จะได p ∨ q เปนเทจ็
นั่นคอื p ∨ q ไมเปน สจั นริ ันดร
ดังน้ัน รูปแบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q)) → ( p∧ q)
ไมเ ปน สจั นริ ันดร
3) วิธีที่ 1 สรา งตารางคา ความจริงของ p ∧ ( p ∨ q) → q ไดด งั นี้
p q p p ∨ q p ∧ ( p ∨ q) p ∧ ( p ∨ q) → q
T TF T F T
T FF T F T
F TT T T T
F FT F F T
จะเหน็ วา รูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปน จรงิ ทกุ กรณี
ดงั นน้ั รูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปนสจั นริ ันดร
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 251
วิธีท่ี 2 สมมติให p ∧ ( p ∨ q) → q มคี า ความจริงเปนเทจ็
ขดั แยงกัน
วธิ ีที่ 3 จากแผนภาพ จะเหน็ วาคาความจรงิ ของ q เปน ไดทงั้ จรงิ และเทจ็
เกดิ การขดั แยงกบั ที่สมมติไวว า p ∧ ( p ∨ q) → q เปนเทจ็
ดงั นั้น รูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปนสจั นริ ันดร
จาก p ∧ ( p ∨ q) → q ≡ p ∧ ( p ∨ q) ∨ q
≡ p ∨ ( p ∨ q) ∨ q
≡ p ∨ ( p∧ q) ∨ q
≡ ( p∨ p) ∧ ( p∨ q) ∨ q
≡ ( p∨ q) ∨ q
≡ p ∨( q ∨ q)
เนอ่ื งจาก q ∨ q เปน จริงเสมอ
จะไดว า p ∨ ( q ∨ q) เปนจรงิ เสมอ
ดงั นั้น รปู แบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปนสจั นริ นั ดร
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
252 คูมอื ครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4) วิธีท่ี 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r ไดด งั นี้
p q r ( p ∨ q) ∧ ( p → r ) ∧ (q → r ) ( p ∨ q) ∧ ( p → r ) ∧ (q → r ) → r
TTT T T
T TF F T
TFT T T
T FF F T
FTT T T
FTF F T
FFT F T
FFF F T
จะเหน็ วารปู แบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r
เปนจรงิ ทุกกรณี
ดงั นั้น รูปแบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r
เปนสจั นริ ันดร
วิธีที่ 2 สมมตใิ ห ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r มคี า ความจรงิ เปน เทจ็
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเหน็ วา คาความจริงของ p เปน ไดท ้ังจริงและเทจ็
เกดิ การขัดแยง กบั ที่สมมตไิ ววา ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r เปนเทจ็
ดังนั้น รปู แบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p → r) ∧ (q → r) → r
เปนสจั นริ นั ดร
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 253
5) วิธีที่ 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r)
ไดดังน้ี
p q r ( p → q) ∧ ( p → r ) p → (q ∧ r ) ( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r )
TT T T T T
TTF F F T
TF T F F T
TFF F F T
FT T T T T
FT F T T T
FF T T T T
FF F T T T
วิธที ่ี 2 จะเหน็ วารปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r)
เปนจรงิ ทกุ กรณี
ดงั นั้น รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r)
เปนสัจนิรันดร
สมมติให ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r) มคี า ความจรงิ เปนเท็จ
กรณที ี่ 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเหน็ วา คา ความจริงของ r เปนไดท้ังจรงิ และเทจ็
เกิดการขัดแยง กบั ท่สี มมติไวว า
( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r ) เปน เทจ็
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
254 คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
กรณที ี่ 2
ขดั แยง กนั
จากแผนภาพ จะเหน็ วาคา ความจรงิ ของ q เปนไดทั้งจรงิ และเทจ็
เกดิ การขัดแยง กับทส่ี มมติไววา
( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r ) เปน เทจ็
จากท้งั สองกรณี จะไดว า รูปแบบของประพจน
( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r) เปน สัจนิรันดร
วธิ ที ี่ 3 จาก ( p → q) ∧ ( p → r) ≡ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r)
≡ p∨(q ∧ r)
≡ p →(q ∧ r)
น่นั คือ ( p → q) ∧ ( p → r) สมมลู กบั p → (q ∧ r)
ดังนน้ั รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ↔ p → (q ∧ r)
เปน สจั นิรันดร
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 255
6) วธิ ที ่ี 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r ไดด งั นี้
p q r ( p → r ) ∧ (q → r ) ( p ∨ q) → r ( p → r ) ∧ (q → r ) ↔ ( p ∨ q) → r
TT T T T T
TT F F F T
TF T T T T
TF F F F T
FT T T T T
FT F F F T
FF T T T T
FF F T T T
จะเห็นวา รูปแบบของประพจน ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r
เปนจริงทุกกรณี
ดงั นัน้ รูปแบบของประพจน ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r
เปนสจั นริ นั ดร
วิธที ่ี 2 สมมตใิ ห ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r มคี าความจริงเปนเทจ็
กรณที ี่ 1
ขัดแยง กัน
จากแผนภาพ จะเหน็ วา คา ความจรงิ ของ p เปนไดท ้งั จริงและเทจ็
เกดิ การขดั แยงกับที่สมมตไิ ววา ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r
เปน เทจ็
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
256 คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
กรณที ่ี 2
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคา ความจรงิ ของ r เปน ไดท้ังจรงิ และเท็จ
เกิดการขดั แยงกบั ทส่ี มมติไววา ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r
เปนเท็จ
จากท้ังสองกรณี จะไดวา รปู แบบของประพจน
( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r เปนสัจนิรนั ดร
วธิ ีที่ 3 จาก ( p → r) ∧ (q → r) ≡ ( p ∨ r) ∧ ( q ∨ r)
≡ ( p∧ q) ∨ r
≡ ( p∨ q)∨ r
≡ ( p∨ q) → r
นน่ั คือ ( p → r) ∧ (q → r) สมมลู กับ ( p ∨ q) → r
ดังน้นั รปู แบบของประพจน ( p → r) ∧ (q → r) ↔ ( p ∨ q) → r
เปนสัจนิรนั ดร
7) วิธีที่ 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
ไดดงั น้ี
p q p ↔ q p ∧ q p∧ q ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
TT T T F T T
TF F F F F T
FT F F F F T
FF T F T T T
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 257
จะเหน็ วา รูปแบบของประพจน ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
เปน จรงิ ทุกกรณี
ดงั น้ัน รูปแบบของประพจน ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมตใิ ห ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) มคี าความจรงิ เปน เท็จ
กรณที ่ี 1
ขัดแยง กัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคา ความจรงิ ของ q เปนไดท ัง้ จรงิ และเท็จ
เกิดการขดั แยง กบั ทส่ี มมติไวว า ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
เปน เท็จ
กรณีท่ี 2
ขัดแยงกัน
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
258 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
11. 1) จากแผนภาพ จะเหน็ วาคา ความจรงิ ของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขดั แยง กับที่สมมติไวว า ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปนเทจ็
จากทง้ั สองกรณี จะไดว ารูปแบบของประพจน ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
เปนสจั นริ นั ดร
วิธที ี่ 3 จาก ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
≡ ( p ∧ q)∨ p ∧ ( p ∧ q)∨ q
≡ ( p∨ p) ∧ (q∨ p) ∧ ( p∨ q) ∧ (q∨ q)
≡ (q∨ p) ∧ ( p∨ q)
≡ ( p∨ q)∧( q∨ p)
≡ ( p → q)∧(q → p)
≡ p↔q
นน่ั คอื p ↔ q สมมลู กับ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
ดังนนั้ รูปแบบของประพจน ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปนสจั นริ ันดร
สมมติให (( p ∧ q) → (r ∨ s))∧ (r ∨ s) → q เปนเท็จ
จากแผนภาพ จะเห็นวา มกี รณที ี่ p เปนเท็จ q เปน จริง r เปน เท็จ
และ s เปนเทจ็ ทท่ี ําให (( p ∧ q) → (r ∨ s))∧ (r ∨ s) → q เปน เท็จ
นน่ั คอื รูปแบบของประพจน (( p ∧ q) → (r ∨ s))∧ (r ∨ s) → q ไมเปน สจั นริ ันดร
ดังนัน้ การอางเหตผุ ลน้ีไมส มเหตุสมผล
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 259
2) สมมติให ( p ∨ q)∧ q → ( p ∨ q) เปน เท็จ
จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณที ่ี p เปนเท็จ และ q เปนเทจ็
ทท่ี ําให ( p ∨ q)∧ q → ( p ∨ q) เปนเทจ็
นั่นคอื รปู แบบของประพจน ( p ∨ q)∧ q → ( p ∨ q) ไมเ ปนสัจนิรนั ดร
ดงั น้นั การอางเหตผุ ลน้ีไมส มเหตสุ มผล
3) สมมตใิ ห ( p ∨ r) ∧ (( p → q) ∨ ( q → r)) →( r → p) เปนเท็จ
จากแผนภาพ จะเห็นวา มกี รณที ี่ p เปนเทจ็ q เปนเทจ็ และ r เปน จรงิ
ท่ีทาํ ให ( p ∨ r) ∧ (( p → q) ∨ ( q → r)) →( r → p) เปน เทจ็
นัน่ คือ รูปแบบของประพจน ( p ∨ r) ∧ (( p → q) ∨ ( q → r)) →( r → p)
ไมเ ปน สัจนริ ันดร
ดงั นั้น การอา งเหตผุ ลนไ้ี มสมเหตสุ มผล
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
260 คูมือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
4) สมมตใิ ห ( p → q) ∧ ( p → r) ∧ ( p ∧ s) →(r → s) เปน เท็จ
ขัดแยงกนั
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ s เปน ไดท้งั จริงและเท็จ เกดิ การขดั แยง
กบั ท่ีสมมติไวว า ( p → q) ∧ ( p → r) ∧ ( p ∧ s) →(r → s) เปน เท็จ
น่นั คอื รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ ( p → r) ∧ ( p ∧ s) →(r → s)
เปนสัจนริ นั ดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนสี้ มเหตสุ มผล
5) สมมติให ( p → q) ∧ p ∧ (q → r) ∧ (r ↔ p) →(q ∨ r) เปนเทจ็
ขดั แยง กนั FF
จากแผนภาพ จะเห็นวา คา ความจริงของ p เปนไดท ง้ั จริงและเท็จ เกิดการขดั แยง
กบั ทส่ี มมติไววา ( p → q) ∧ p ∧ (q → r) ∧ (r ↔ p) →(q ∨ r) เปนเท็จ
น่ันคอื รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ p ∧ (q → r) ∧ (r ↔ p) →(q ∨ r)
เปน สัจนิรันดร
ดังนัน้ การอางเหตผุ ลนส้ี มเหตสุ มผล
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 261
12. 1) ให p แทนประพจน “ชะอมไปเลน ฟุตบอล”
q แทนประพจน “ไขเ จยี วไปเลน บาสเกตบอล”
r แทนประพจน “แกงสม ไปเลน ปงปอง”
เขียนแทนขอ ความในรปู สัญลกั ษณไดดังนี้
เหตุ 1. p → q
2. q → r
ผล p ∧ r
ดังน้ัน รูปแบบของประพจนในการอางเหตุผลน้ี คือ ( p → q) ∧ ( q → r) →( p ∧ r)
ตรวจสอบรปู แบบของประพจนทีไ่ ดว า เปนสัจนิรนั ดรหรือไม
สมมติให ( p → q) ∧ ( q → r) →( p ∧ r) เปน เท็จ
จากแผนภาพ จะเหน็ วา มกี รณที ่ี p เปน เทจ็ q เปน เท็จ และ r เปน จรงิ
ที่ทําให ( p → q) ∧ ( q → r) →( p ∧ r) เปน เทจ็
นน่ั คือ รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ ( q → r) →( p ∧ r) ไมเ ปนสัจนิรันดร
ดงั น้ัน การอางเหตุผลนี้ไมส มเหตสุ มผล
2) ให p แทนประพจน “ขาวสวยทํางานหนกั ”
q แทนประพจน “ขาวหอมทาํ งานหนัก”
r แทนประพจน “ขาวปนทํางานหนัก”
เขียนแทนขอความในรปู สญั ลกั ษณไดดังน้ี
เหตุ 1. p ∨ q
2. q
ผล p ∨ r
ดังนัน้ รูปแบบของประพจนในการอางเหตุผลน้ี คือ ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r)
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
262 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนท่ีไดว า เปน สัจนริ ันดรหรอื ไม
สมมติให ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) เปนเท็จ
ขดั แยง กนั
จากแผนภาพ จะเห็นวา คา ความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยง กับที่สมมติไววา ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) เปนเท็จ
นน่ั คอื รปู แบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ q →( p∨ r) เปนสจั นริ นั ดร
ดังน้นั การอางเหตุผลน้สี มเหตสุ มผล
3) ให p แทนประพจน “ชะเอมซอื้ สินคาโดยใชบตั รเครดิต”
q แทนประพจน “ชะเอมซอ้ื สนิ คาโดยใชเ งนิ สด”
เขยี นแทนขอ ความในรูปสัญลกั ษณไดดังนี้
เหตุ 1. p ∨ q
2. p
ผล q
ดงั นนั้ รปู แบบของประพจนในการอางเหตุผลนี้ คือ ( p ∨ q) ∧ p → q
ตรวจสอบรปู แบบของประพจนท่ไี ดวา เปน สัจนิรนั ดรห รอื ไม
สมมติให ( p ∨ q) ∧ p → q เปน เท็จ
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 263
ขัดแยงกนั
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ q เปนไดท ั้งจรงิ และเทจ็
เกิดการขดั แยงกับทส่ี มมตไิ ววา ( p ∨ q) ∧ p → q เปน เทจ็
น่นั คอื รปู แบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ p → q เปน สจั นิรนั ดร
ดงั นน้ั การอางเหตผุ ลนี้สมเหตุสมผล
4) ให p แทนประพจน “หนดู หู นงั ”
q แทนประพจน “แนนดหู นัง”
r แทนประพจน “หนึ่งดูหนงั ”
เขยี นแทนขอความในรูปสญั ลกั ษณไ ดดงั น้ี
เหตุ 1. p
2. q → p
3. p → r
ผล q ∨ r
ดังนนั้ รูปแบบของประพจนในการอางเหตุผลนี้ คือ
p ∧ (q → p) ∧ ( p → r ) →(q ∨ r )
ตรวจสอบรปู แบบของประพจนที่ไดวา เปน สจั นิรันดรหรือไม
สมมติให p ∧ (q → p) ∧ ( p → r) →(q ∨ r) เปน เท็จ
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
264 คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
จากแผนภาพ จะเหน็ วา มีกรณที ี่ p เปนจริง q เปนเท็จ และ r เปนเทจ็
ท่ีทาํ ให p ∧ (q → p) ∧ ( p → r) →(q ∨ r) เปน เทจ็
น่นั คือ รปู แบบของประพจน p ∧ (q → p) ∧ ( p → r) →(q ∨ r) ไมเปน สจั นิรนั ดร
ดงั นน้ั การอา งเหตุผลนไ้ี มสมเหตสุ มผล
5) ให p แทนประพจน “วจิ ิตไปกินขาวนอกบา น”
q แทนประพจน “วรี ชัยอยูบา น”
r แทนประพจน “นิธไิ ปออกกาํ ลังกาย”
s แทนประพจน “พชรไปเดนิ เลน ”
เขยี นแทนขอความในรูปสญั ลกั ษณไดด ังน้ี
เหตุ 1. p ↔ q
2. q → r
3. s ∧ p
ผล s → r
ดังนัน้ รปู แบบของประพจนในการอา งเหตุผลนี้ คอื
( p ↔ q) ∧ ( q → r ) ∧ (s ∧ p) →(s → r )
ตรวจสอบรปู แบบของประพจนท ไ่ี ดว า เปน สัจนิรันดรหรอื ไม
สมมติให ( p ↔ q) ∧ ( q → r) ∧ (s ∧ p) →(s → r) เปน เท็จ
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 265
จากแผนภาพ จะเหน็ วา มกี รณีที่ p เปนจริง q เปนจริง r เปน เท็จ และ s เปน จริง
ท่ีทําให ( p ↔ q) ∧ ( q → r) ∧ (s ∧ p) →(s → r) เปน เท็จ
นั่นคอื รูปแบบของประพจน ( p ↔ q) ∧ ( q → r) ∧ (s ∧ p) →(s → r)
ไมเปน สัจนิรันดร
ดังนัน้ การอา งเหตผุ ลน้ไี มสมเหตุสมผล
13. 1) ∀x[x > 0] เปน จริง เมือ่ U =
เพราะวา เมอ่ื แทน x ดว ยจาํ นวนนับ ใน “ x > 0 ” จะไดประพจนท ่ีเปนจรงิ
2) ∀x[x + x = x ⋅ x] เปน จริง เมอ่ื U = {0, 2}
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 0 และ 2 ใน “ x + x = x ⋅ x ” จะไดป ระพจนทีเ่ ปน จริง
3) ∃x x =x2 เปน จริง เมอ่ื U = { 0, 1}
เพราะวา เม่อื แทน x ดวย 0 ใน “ x = x2 ” จะไดป ระพจนทีเ่ ปนจรงิ
4) ∀x x < 2 ↔ x2 ≥ 4 เปนเท็จ เมอ่ื U =
เพราะวา เมือ่ แทน x ดว ย 0 ใน “ x < 2 ↔ x2 ≥ 4 ” จะไดประพจนท ่เี ปนเทจ็
5) ∃y[ y + 2 = y − 2] เปนเท็จ เม่ือ U =
เพราะวา ไมสามารถหาจาํ นวนจรงิ y แทนใน “ y + 2 = y − 2 ” แลว ไดประพจน
ทเี่ ปนจรงิ
6) ∀x[x ∈ → x ∈] เปนจรงิ เมอ่ื U =
เน่อื งจาก ∀x[x ∈ → x ∈] สมมลู กบั ∃x[x ∈ ∧ x ∉]
และเม่ือแทน x ดวย 1 ใน “ ∃x[x∈ ∧ x∉] ” จะไดประพจนท ่ีเปนจรงิ
2
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
266 คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
7) ∃x [ x เปนจาํ นวนคู] เปนจริง เมือ่ U =
เพราะวา เมอื่ แทน x ดวย 2 ใน “ x เปนจาํ นวนคู” จะไดป ระพจนท่เี ปนจริง
8) มจี าํ นวนตรรกยะ x ซง่ึ x > 0 เปน จรงิ
เพราะวา เมอ่ื แทน x ดวย 2 ใน “ x > 0 ” จะไดประพจนท เ่ี ปนจริง
9) มีจาํ นวนอตรรกยะ x ซง่ึ x2 = 4 เปน เทจ็
เพราะวา ไมส ามารถหาจํานวนอตรรกยะ x แทนใน “ x2 = 4 ” แลว ไดประพจน
ทเ่ี ปน จรงิ
10) สําหรับจํานวนจรงิ x ทกุ ตวั x2 +1 > 4 เปนเท็จ
เพราะวา เม่ือแทน x ดวย 0 ใน “ x2 +1 > 4 ” จะไดป ระพจนท ่เี ปนเทจ็
11) ∃x x2 −1 < 0 ∧ ∃x[x ≠ 0] เปนเท็จ เมอ่ื U =
เนอ่ื งจาก ∃x[x ≠ 0] สมมูลกบั ∀x[x =0]
และเม่อื แทน x ดวย 1 ใน “ x =0 ” จะไดป ระพจนท่ีเปนเท็จ
12) ∀x [ ถา x เปน จาํ นวนเฉพาะแลว x เปนจํานวนค่ี ] ∨∃x[ x2 ≠1] เปนจรงิ
เม่ือแทน x ดว ย 2 ใน “ x2 ≠1 ” จะไดป ระพจนทเี่ ปน จรงิ
13) ∀x[x −1= 7] → ∀x x2= 2x เปนเท็จ เม่อื U =
เนือ่ งจาก ∀x[x −1 =7] สมมูลกับ ∃x[x −1 ≠ 7]
เมือ่ แทน x ดว ย 0 ใน “ x −1 ≠ 7 ” จะไดประพจนท ่ีเปนจริง
แตเมื่อแทน x ดว ย 1 ใน “ x2 = 2x ” จะไดป ระพจนท ่เี ปน เทจ็
14) ∃x[ x ∈′ → x2 เปน จํานวนคู ] ↔ ∀x[ x ∈ → x −1≥ 0] เปนจรงิ
เมือ่ แทน x ดวย 2 ใน “ x∈′ → x2 เปน จํานวนคู” จะไดป ระพจนท่ีเปนจริง
และเมอ่ื แทน x ดว ยจํานวนจรงิ ใน “ x∈ → x −1≥ 0 ” จะไดป ระพจนท ี่เปนจรงิ
15) มจี าํ นวนอตรรกยะบางจาํ นวนท่ยี กกาํ ลังสองแลวเทา กับศูนยหรอื จาํ นวนเต็ม
ทุกจํานวนเปน จาํ นวนตรรกยะ เปนจรงิ
โดยเขียนขอ ความดงั กลาวใหอยูใ นรปู สญั ลกั ษณไ ดด งั นี้
( )∃x x2= 0 ,U= ′ ∨ (∀x[x ∈], U= )
เมอ่ื แทน x ดวยจํานวนเตม็ ใน x∈ จะไดป ระพจนที่เปน จรงิ
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 267
14. 1) นิเสธของ ∀x ( x ≠ 5) เขียนแทนดวย ( ∀x ( x ≠ 5) )
2)
3) ซง่ึ สมมลู กับ ∀x[x ≠ 5]
4) ดงั นั้น นเิ สธของ ∀x ( x ≠ 5) คอื ∀x[ x ≠ 5 ]
5) นเิ สธของ ∃x[ x∈ ∧ x ≥ 5 ] เขยี นแทนดว ย (∃x[ x∈∧ x ≥ 5 ])
ซงึ่ สมมลู กบั ∀x[ x∉ ∨ x < 5 ]
6) ดังน้ัน นิเสธของ ∃x[ x∈ ∧ x ≥ 5 ] คอื ∀x[ x∉ ∨ x < 5 ]
นิเสธของ ∀x x2 − 5 < 4→ x − 2 ≠ 0
เขยี นแทนดว ย ( ∀x x2 − 5 < 4→ )x − 2 ≠ 0
ซง่ึ สมมลู กับ ∀x x2 − 5 ≥ 4∨ x − 2 ≠ 0 และสมมลู กบั ∃x x2 − 5 < 4∧ x − 2 =0
ดังนั้น นเิ สธของ ∀x x2 − 5 < 4→ x − 2 ≠ 0 คือ ∃x x2 − 5 < 4∧ x − 2 =0
นิเสธของ ∃x[ x − 7 < 5 ] → ∀x[ x ≥ 2 ]
เขียนแทนดว ย ( ∃x[ x − 7 < 5 ] → ∀x[ x ≥ 2 ])
ซึง่ สมมลู กบั (∃x[ x − 7 < 5 ] ∨ ∀x[ x ≥ 2 ]) และสมมลู กบั ∀x[ x − 7 ≥ 5 ] ∧ ∃x[ x < 2 ]
ดังนน้ั นิเสธของ ∃x[ x − 7 < 5 ] → ∀x[ x ≥ 2 ] คือ ∀x[ x − 7 ≥ 5 ] ∧ ∃x[ x < 2 ]
นิเสธของ ∀x[ x ∈∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6)
เขียนแทนดวย ( ∀x[ x ∈∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6) )
ซงึ่ สมมลู กบั ∀x[ x ∈∧ x − 2 > 8 ]∧ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6)
และสมมูลกบั ∃x[ x ∉ ∨ x − 2 ≤ 8 ] ∧ ∀x[ x ≠ 5 ∧ x ≠ 6 ]
ดังนั้น นเิ สธของ ∀x[ x ∈∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6) คือ
∃x[ x ∉ ∨ x − 2 ≤ 8 ] ∧ ∀x[ x ≠ 5 ∧ x ≠ 6 ]
นิเสธของ ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] → ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ]
เขยี นแทนดว ย (∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] → ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ])
ซึ่งสมมลู กับ ( ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∨ ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ])
และสมมลู กับ ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ]∧ ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ]
และสมมลู กับ ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∧ ∃x[ x= 2 ∨ x < 6 ]
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
268 คูมือครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
7) ดงั น้ัน นเิ สธของ ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] → ∀x[ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ]
8) คอื ∃x[ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∧ ∃x[ x= 2 ∨ x < 6 ]
15. 1) นเิ สธของขอ ความ “มจี าํ นวนตรรกยะบางจํานวนเปนจํานวนคี่และจํานวนคี่
2) ทกุ จํานวนไมเปน จาํ นวนอตรรกยะ” คอื “จาํ นวนตรรกยะทุกจํานวนไมเปน
3) จํานวนค่หี รอื มจี าํ นวนค่ีบางจํานวนเปน จํานวนอตรรกยะ”
4) นเิ สธของขอความ “จาํ นวนนับทกุ จาํ นวนมากกวาศนู ยแ ตจาํ นวนเตม็ บางจาํ นวน
ยกกาํ ลงั สองไมมากกวา ศนู ย” คือ “มีจํานวนนับบางจํานวนนอ ยกวาหรอื เทากบั
5) ศนู ยห รอื กําลงั สองของจํานวนเต็มใด ๆ มคี า มากกวา ศนู ย”
∀x[ x ∈ ∧ x ∉ ] สมมลู กบั ∀x ( x ∈∨ x ∉)
เนื่องจาก ( x∈∨ x∉) ไมสมมลู กบั x∈ ∨ x∉
ดงั นน้ั ∀x[ x∈ ∧ x∉ ] ไมส มมูลกับ ∀x[ x∈ ∨ x∉ ]
∀x x > 0 → x3 > 0 สมมลู กบั ∀x x ≤ 0 ∨ x3 > 0
เนอ่ื งจาก x ≤ 0 ∨ x3 > 0 ไมส มมูลกับ x > 0 ∨ x3 > 0
ดังนั้น ∀x x > 0 → x3 > 0 ไมสมมูลกบั ∀x x > 0 ∨ x3 > 0
( )∃x x2 > 0 สมมลู กับ ∃x x2 > 0
ซึง่ สมมลู กบั ( ∀x x2 ≤ 0 )
ดังนัน้ ( )∃x x2 > 0 สมมลู กับ ∀x x2 ≤ 0
∀x x =9 ∧ x ≠ 3 สมมลู กบั ∃x x ≠ 9 ∨ x =3
ซง่ึ สมมลู กับ ∃x x =9 → x =3
เนอื่ งจาก x =9 → x =3 ไมส มมูลกบั x =3 → x =9
ดังนั้น ∀x x =9 ∧ x ≠ 3 ไมส มมลู กบั ∃x x =3 → x =9
∃x[ x ∈]∧ ∃x[ x + 3 < 7 ] สมมลู กบั ∃x[ x + 3 < 7 ] ∧ ∃x[ x ∈]
ซ่ึงสมมลู กบั ∀x[ x + 3 ≥ 7 ] ∧ ∃x[ x∈ ]
เนื่องจาก ∀x[ x + 3 ≥ 7 ] ไมส มมูลกบั ∀x[ x + 3 < 7 ]
ดงั น้ัน ∃x[ x ∈]∧ ∃x[ x + 3 < 7 ] ไมสมมูลกับ ∀x[ x + 3 < 7 ] ∧ ∃x[x ∈ ]
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 269
( ) ( )6) ∀x[ x > 0 ] → ∀x x2 −1 ≥ 0 สมมลู กับ ∀x[ x > 0 ] ∨ ∀x x2 −1 ≥ 0
ซง่ึ สมมลู กับ ∀x[ x > 0 ] ∧ ∃x x2 −1< 0
ดังนัน้ ( )∀x[ x > 0 ] ∧ ∃x x2 −1 < 0 สมมลู กับ ∀x[ x > 0 ] → ∀x x2 −1 ≥ 0
7) ∃x x2 − 7 ≠ 0 ∨ ∀x[ x > −5 ] สมมลู กบั ∀x[ x > −5 ] ∨ ∃x x2 − 7 ≠ 0
ซ่งึ สมมลู กับ ∀x[ x > −5 ] ∨ ∀x x2 − 7 =0
และสมมลู กับ ∃x[ x ≤ −5 ] ∨ ∀x x2 − 7 =0
เน่อื งจาก ∃x[ x ≤ −5 ] ไมส มมูลกบั ∃x[ x ≤ −5 ]
ดังน้ัน ∃x x2 − 7 ≠ 0 ∨ ∀x[ x > −5 ] ไมส มมูลกบั ∃x[ x ≤ −5 ] ∨ ∀x x2 − 7 =0
8) (∀x[ x ∈]∧ ∀x[ x ≠ 7 ]) สมมลู กับ ∀x[ x ∈] ∨ ∀x[ x ≠ 7 ]
ซ่งึ สมมลู กับ ∀x[ x ≠ 7 ] ∨ ∀x[ x∈]
และสมมลู กับ ∃x[ x = 7 ] ∨ ∀x[ x∈]
และสมมูลกับ ∃x[ x = 7 ] → ∀x[ x ∈]
ดังน้นั (∀x[ x ∈]∧ ∀x[ x ≠ 7 ]) สมมลู กบั ∃x[ x = 7 ] → ∀x[ x ∈]
9) “จํานวนคท่ี ุกจาํ นวนมากกวาศูนย” เขยี นใหอ ยูใ นรปู สัญลกั ษณไ ดเ ปน
∀x[x > 0], U เปน เซตของจาํ นวนค่ี
“ไมจ รงิ ที่วา จาํ นวนคบ่ี างจํานวนนอ ยกวาหรือเทากับศนู ย” เขยี นใหอยูในรปู
สญั ลักษณไดเ ปน ∃x[x ≤ 0], U เปนเซตของจาํ นวนคี่
เนือ่ งจาก ∀x[x > 0] สมมูลกับ ∃x[x ≤ 0]
ดังนน้ั จาํ นวนค่ที กุ จํานวนมากกวา ศนู ย สมมลู กับ ไมจ ริงทว่ี าจาํ นวนค่บี างจาํ นวน
นอยกวาหรือเทา กบั ศนู ย
10) “มจี าํ นวนตรรกยะ x ที่ x2 = 0 หรอื x ≠ 0 ” เขียนใหอ ยูใ นรูปสญั ลกั ษณไ ด
เปน ∃x ∈ [x2 = 0 ∨ x ≠ 0]
“ไมจ ริงทว่ี า จํานวนตรรกยะ x ทุกจํานวน ท่ี x2 ≠ 0 หรอื x = 0 ” เขยี นใหอยู
ในรปู สญั ลักษณไ ดเ ปน ∀x∈ [x2 ≠ 0 ∨ x =0]
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
270 คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
เนอ่ื งจาก ∀x ∈ [x2 ≠ 0 ∨ x =0] สมมลู กับ ∃x ∈ [x2 = 0 ∧ x ≠ 0]
และ x2 =0 ∧ x ≠ 0 ไมส มมูลกบั x2 =0 ∨ x ≠ 0
ดงั น้นั มจี าํ นวนตรรกยะ x ท่ี x2 = 0 หรือ x ≠ 0 ไมส มมลู กับ ไมจ ริงที่วา
จํานวนตรรกยะ x ทกุ จาํ นวน ท่ี x2 ≠ 0 หรือ x = 0
16. แสดงคณุ สมบตั ิของพนกั งานกบั เงื่อนไขของการเลอ่ื นตําแหนง ดงั ตารางตอไปนี้
เงื่อนไข อายุไมต ํ่ากวา จบปรญิ ญาโท ทาํ งานบริษัทนีอ้ ยางนอ ย 3 ป
ชอ่ื พนกั งาน 30 ป ข้ึนไป หรือทาํ งานดา นคอมพิวเตอร
อยา งนอย 5 ป
ฟา ใส
รงุ นภา
ธนา
จากตารางจะเหน็ วา ฟา ใส เปน พนักงานคนเดียวที่มคี ุณสมบตั สิ อดคลอ งกับเง่ือนไขของการ
เลือ่ นตาํ แหนงท้งั 3 ขอ
ดังนน้ั ฟาใสมสี ทิ ธ์ิไดเ ล่ือนตําแหนง
17. แสดงคุณสมบตั ขิ องพนกั งานกบั เงื่อนไขของการไดร ับเงินรางวลั ดังตารางตอ ไปน้ี
เง่ือนไข ทํายอดขายใน 1 ป ได ทํายอดขายใน 1 ป ได ทาํ ยอดขายใน 1 ป ได
ชอื่ พนกั งาน เกนิ 3,000,000 บาท เกิน 5,000,000 บาท เกิน 10,000,000 บาท
และไมล ากิจ ไมล าพกั ผอน
และไมลากิจ
สุรยิ า
เมฆา
กมล
ทวิ า
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 271
เนอื่ งจากพนกั งานแตล ะคนจะสามารถรบั เงินรางวลั ทดี่ ีทส่ี ุดไดเ พยี งรางวัลเดยี ว
ดงั นน้ั สรุ ยิ าจะไดรบั เงนิ รางวลั 30,000 × 1.5 =45,000 บาท
เมฆาจะไมไ ดร ับเงินรางวลั
กมลจะไดร บั เงินรางวลั 70,000 × 2 =140,000 บาท
และทิวาจะไดรบั เงนิ รางวลั 200,000 × 4 =800,000 บาท
18. แสดงคณุ สมบตั ขิ องผกู ูกบั เงื่อนไขของการกเู งนิ ดงั ตารางตอไปน้ี
เงือ่ นไข ผูกตู อ งมีเงินเดือน ถาผูกูมคี สู มรส ผูกูตองมเี งนิ เหลือ
ไมนอ ยกวา แลว ผกู แู ละคสู มรส หลังหักคาใชจา ยใน
ตองมีเงนิ เดือนรวมกนั
ชอ่ื ผกู ู 30,000 บาท ไมน อ ยกวา 70,000 บาท แตละเดอื น
มากกวา 5,000 บาท
สัญญา
กวนิ
มา นแกว
ไมม คี สู มรส
จากตารางจะเห็นวา มานแกว เปนผกู ูค นเดียวท่มี ีคุณสมบตั สิ อดคลองกับเง่ือนไขของ
การกเู งนิ ทั้ง 3 ขอ
ดงั นัน้ มานแกว จะสามารถกูเงนิ กับบริษทั น้ีได
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
272 คมู อื ครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
บทที่ 3 จํานวนจริง
แบบฝก หัด 3.1
1. พิจารณาการเปน จํานวนนบั จาํ นวนเต็ม จาํ นวนตรรกยะ หรอื จํานวนอตรรกยะ ของจาํ นวน
ที่กาํ หนดให ไดดังน้ี
จํานวนที่ จาํ นวนนับ จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ จํานวนอตรรกยะ
กําหนดให
- -
0
2 - - -
3
−22 - - -
7 - - -
-
3.1416 -
4 +1
-
1− (−8) - - -
- -
6 −1 - - -
- -
7π -
-
22 -
0.09 -
-
− 12
3
( )2
2
–3.999
( −1)2
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 273
2. 1) เปน จรงิ 2) เปน จริง
3) เปนเทจ็ 4) เปน เทจ็
5) เปนจริง 6) เปน จริง
7) เปน เทจ็ 8) เปนจริง
9) เปนเท็จ
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
274 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.2
1. 1) สมบัตกิ ารสลับท่ีการคณู
2) สมบตั ิการมีเอกลกั ษณการบวก
3) สมบัติการมเี อกลกั ษณก ารคณู
4) สมบตั ปิ ด การคณู
5) สมบตั กิ ารเปลี่ยนหมกู ารบวก
6) สมบตั ิการแจกแจง
7) สมบตั ิการมีตวั ผกผนั การคูณ
8) สมบัติการเปล่ียนหมูการคณู
9) สมบัตกิ ารมีตวั ผกผนั การบวก
10) สมบตั ิการสลับทีก่ ารบวก
2. ตัวผกผันการบวกและตวั ผกผนั การคณู ของจํานวนที่กาํ หนดใหเ ปน ดงั นี้
จาํ นวนทก่ี ําหนดให ตัวผกผันการบวก ตัวผกผนั การคูณ
−4 4 −1
4
5 −5 1
5
2 −2 7
7 7 2
−5 5
11 11 − 11
1− 7 5
−(1− 7 ) หรอื
1
−1+ 7 1− 7
1
3 2 −3 2 3 2
−8 − −8 หรือ − 2+ 3
2+ 3 2+ 3 8
8
2+ 3
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 275
3. พจิ ารณาสมบตั ิของเซตที่กาํ หนดใหไ ดด งั นี้
เซตทก่ี าํ หนดให สมบัติปด สมบตั ปิ ด สมบตั ปิ ด สมบตั ปิ ด
ของการ ของการ ของการ ของการหาร
1) เซตของจาํ นวนนับ บวก ลบ (ตัวหารไม
2) เซตของจาํ นวนเตม็ คณู เปนศูนย)
3) เซตของจาํ นวนคลี่ บ -
4) เซตของจํานวนคู -
5) เซตของจํานวนเต็มทหี่ ารดว ย 3 ลงตวั
6) เซตของจาํ นวนตรรกยะ -- -
--
-
--
- -
--
7) { ..., − 5, 0, 5, 10 } --
-- --
8) { −1, − 2, − 3, ...}
9) { −1, 0, 1}
10) , 1, 1, 1, 1 , 1, 2, 4, 8, 16 ,
16 8 4 2
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
276 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.3
1. จากพหนุ าม p( x) = 3x4 + 2x2 − ax + 3
เขียนใหมไดเปน p( x) = 3x4 + 0x3 + 2x2 − ax + 3
จาก p( x) = q( x) จะได= a 5=, b 3 และ c = 0
2. ให p( x=) x2 −1 และ q( x) = x2 − 2x + 3
1) p ( x) + q ( x) = ( x2 −1) + ( x2 − 2x + 3)
= 2x2 − 2x + 2
2) q( x) − p( x) = ( x2 − 2x + 3) − ( x2 −1)
3) p( x)q( x) = −2x + 4
= ( x2 −1)( x2 − 2x + 3)
= x2 ( x2 − 2x + 3) −1( x2 − 2x + 3)
( ) ( )= x4 − 2x3 + 3x2 − x2 − 2x + 3
= x4 − 2x3 + 2x2 + 2x − 3
3. ให p ( x) = 3x2 + 5x −1 และ q( x) =x4 − 5x2 + 7
จะได p( x)q( x) = ( 3x2 + 5x −1)( x4 − 5x2 + 7)
( ) ( ) ( )= 3x2 x4 − 5x2 + 7 + 5x x4 − 5x2 + 7 −1 x4 − 5x2 + 7
( ) ( ) ( )= 3x6 −15x4 + 21x2 + 5x5 − 25x3 + 35x − x4 − 5x2 + 7
= 3x6 + 5x5 −16x4 − 25x3 + 26x2 + 35x − 7
4. ให x2 −12x − 28 = ( x − a)( x − b)
นั่นคอื x2 −12x − 28 = x( x − b) − a( x − b)
= ( x2 − bx) − (ax − ab)
= x2 − (a + b) x + ab
จะได a + b =12 และ ab = − 28
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 277
5. ให x2 − 2x + 5 = ( x − a)2 + b2 โดยท่ี b > 0
น่นั คอื ( )x2 − 2x + 5 = x2 − 2ax + a2 + b2
= x2 − 2ax + (a2 + b2 )
จะได −2a = −2 นัน่ คือ a = 1
และ a2 + b2 = 5 นัน่ คือ b = 2
ดงั นั้น a = 1 และ b = 2
6. ให p(x) =x2 + 3x , q( x) =x2 −1 และ r ( x)= x −1
จะได p( x)q( x) + r ( x) = ( x2 + 3x)( x2 −1) + ( x −1)
= x2 ( x2 −1) + 3x( x2 −1) + ( x −1)
= ( x4 − x2 ) + (3x3 − 3x) + ( x −1)
= x4 + 3x3 − x2 − 2x −1
7. 1) วิธีท่ี 1 พิจารณา ( )4x4 − 3x3 + 2x2 − 5 = 4x4 − 3x3 + 2x2 − 5
วธิ ที ่ี 2 ( )= x2 4x2 − 3x + 2 − 5
ดังน้นั ผลหาร คอื 4x2 − 3x + 2 และเศษเหลอื คือ −5
จาก a ( x) = 4x4 − 3x3 + 2x2 − 5
เขียนใหมไดเ ปน a( x) = 4x4 − 3x3 + 2x2 + 0x − 5
ใชก ารหารยาวดังนี้
4x2 −3x + 2
x2 4x4 − 3x3 + 2x2 + 0x − 5
4x4
− 3x3 + 2x2 + 0x − 5
−3x3
2x2 + 0x − 5
2x2
−5
จะได 4x4 − 3x3 + 2x2=− 5 ( )x2 4x2 − 3x + 2 − 5
ดงั นน้ั ผลหาร คือ 4x2 − 3x + 2 และเศษเหลือ คอื −5
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
278 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
2) จาก a( x=) x3 − 2 เขียนใหมไดเ ปน a( x) = x3 + 0x2 + 0x − 2
และ b( x=) x2 + 2
ใชการหารยาวดงั น้ี
x
x2 + 2 x3 + 0x2 + 0x − 2
x3 + 2x
−2x − 2
จะได x3 − 2= ( x2 + 2)( x) + (−2x − 2)
ดงั นนั้ ผลหาร คอื x และเศษเหลอื คอื −2x − 2
3) ใชการหารยาวดงั นี้
x4 − 3x3 + 5x2 −11x + 21
x + 2 x5 − x4 − x3 − x2 − x − 2
x5 + 2x4
− 3x4 − x3 − x2 − x − 2
− 3x4 − 6x3
5x3 − x2 − x − 2
5x3 + 10x2
−11x2 − x − 2
−11x2 − 22x
21x − 2
21x + 42
−44
( )จะได x5 − x4 − x3 − x2 − x − 2 = ( x + 2) x4 − 3x3 + 5x2 −11x + 21 − 44
ดังนั้น ผลหาร คอื x4 − 3x3 + 5x2 −11x + 21 และเศษเหลอื คือ −44
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 279
4) จาก a( x=) x5 +1 เขียนใหมไ ดเ ปน a( x) =x5 + 0x4 + 0x3 + 0x2 + 0x +1
และ b( x=) x2 +1
ใชการหารยาวดังนี้
x3 − x
x2 +1 x5 + 0x4 + 0x3 + 0x2 + 0x +1
x5 + x3
− x3 + 0x2 + 0x +1
− x3 −x
x +1
จะได x5 +1= ( x2 +1)( x3 − x) + ( x +1)
ดงั นั้น ผลหาร คอื x3 − x และเศษเหลอื คือ x +1
5) จาก a ( x) = x6 + x3 +1
เขยี นใหมไดเ ปน a( x) =x6 + 0x5 + 0x4 + x3 + 0x2 + 0x +1 และ b( x=) x3 −1
ใชก ารหารยาวดังนี้
x3 + 2
x3 −1 x6 + 0x5 + 0x4 + x3 + 0x2 + 0x +1
x6 − x3
2x3 + 0x2 + 0x +1
2x3 − 2
3
จะได x6 + x3 +1= ( x3 −1)( x3 + 2) + 3
ดงั นน้ั ผลหาร คอื x3 + 2 และเศษเหลือ คอื 3
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
280 คูม ือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
แบบฝก หดั 3.4
1. 1) ให p( x) = x4 − 3x + 5
จากทฤษฎบี ทเศษเหลือ เมื่อหาร p(x) ดวย x − 2 จะไดเศษเหลอื คือ p(2)
โดยที่ p(2) = (2)4 − 3(2) + 5
= 16 − 6 + 5
= 15
ดังนน้ั เศษเหลอื คือ 15
2) ให p ( x) = 2x3 + 7x2 − 5x − 4
จากทฤษฎีบทเศษเหลอื เมอ่ื หาร p(x) ดว ย x + 3 จะไดเศษเหลือ คอื p(−3)
โดยท่ี p(−3) = 2(−3)3 + 7(−3)2 − 5(−3) − 4
= 2(−27) + 7(9) − 5(−3) − 4
= −54 + 63 +15 − 4
= 20
ดงั นน้ั เศษเหลือ คือ 20
3) ให p ( x) = 6x3 +13x2 − 4
จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมอื่ หาร p(x) ดว ย x + 2 จะไดเศษเหลอื คือ p(−2)
โดยที่ p(−2) = 6(−2)3 +13(−2)2 − 4
= 6(−8) +13(4) − 4
= −48 + 52 − 4
=0
ดังนั้น เศษเหลอื คอื 0 (แสดงวา x + 2 หาร 6x3 +13x2 − 4 ลงตวั )
4) ให p ( x) = x4 − 3x3 + 4x2 − x + 6
จากทฤษฎบี ทเศษเหลือ เมอื่ หาร p(x) ดว ย x −1 จะไดเศษเหลือ คือ p(1)
โดยท่ี p(1) = (1)4 − 3(1)3 + 4(1)2 −1+ 6
= 1−3+ 4−1+ 6
=7
ดังน้นั เศษเหลือ คือ 7
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 281
5) ให p ( x) = 2x4 − 5x3 − x2 + 3x +1
จากทฤษฎบี ทเศษเหลอื เม่อื หาร p(x) ดวย x + 1 จะไดเ ศษเหลือ คือ p − 1
2
2
โดยที่ p − 1 = 2 − 1 4 − 5 − 1 3 − − 1 2 + 3 − 1 + 1
2 2 2 2 2
= 2 1 − 5 − 1 − 1 + 3 − 1 + 1
16 8 4 2
= 1 + 5 − 1 − 3 +1
8842
=0
ดงั นน้ั เศษเหลอื คือ 0 (แสดงวา x + 1 หาร 2x4 − 5x3 − x2 + 3x +1 ลงตวั )
2
2. ให p ( x) = x3 − 2x2 − 5x + 6
จะได p(1) = (1)3 − 2(1)2 − 5(1) + 6
= 1−2−5+6
=0
ดงั น้นั x −1 เปน ตัวประกอบของ x3 − 2x2 − 5x + 6
3. ให p ( x) = x3 + x2 + x +1
จะได p(−1) = (−1)3 + (−1)2 + (−1) +1
= −1 +1 −1 +1
=0
ดงั น้ัน x +1 เปนตวั ประกอบของ x3 + x2 + x +1
4. 1) ให p ( x) = x3 − 2x2 + 8x − m
จากทฤษฎีบทเศษเหลอื เมอื่ หาร p(x) ดว ย x − 5 จะไดเศษเหลือ คือ p(5)
โดยที่ p(5) = (5)3 − 2(5)2 + 8(5) − m
= 125 − 50 + 40 − m
= 115 − m
เนื่องจาก x − 5 หาร x3 − 2x2 + 8x − m ลงตัว น่นั คอื p(5) = 0
จะได 115 − m =0 นั่นคอื m =115
ดงั นนั้ x − 5 หาร x3 − 2x2 + 8x − m ลงตัว เมือ่ m =115
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
282 คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
2) ให p ( x) = 3x4 − 2x3 + mx −1
จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เม่ือหาร p(x) ดว ย x + 2 จะไดเ ศษเหลอื คือ p − 2
3
3
โดยท่ี p − 2 = 3 − 2 4 − 2 − 2 3 + m − 2 −1
3 3 3 3
= 3 16 − 2 − 8 + m − 2 −1
81 27 3
= 16 + 16 − 2 m − 1
27 27 3
= 5 − 2m
27 3
เนื่องจาก x + 2 หาร 3x4 − 2x3 + mx −1 เหลอื เศษ −1 นัน่ คอื p − 2 =−1
3
3
จะได 5 − 2 m =−1 นั่นคอื m = 16 9
27 3
ดงั น้นั x + 2 หาร 3x4 − 2x3 + mx −1 เหลอื เศษ −1 เมอื่ m = 16
39
3) ให p( x) = x2 − 5x − 2
จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมอื่ หาร p(x) ดวย x + m จะไดเ ศษเหลอื คอื p(−m)
โดยท่ี p(−m) = (−m)2 − 5(−m) − 2
= m2 + 5m − 2
เนื่องจาก x + m หาร x2 − 5x − 2 เหลอื เศษ −8 น่ันคือ p(−m) =− 8
จะได m2 + 5m − 2 = −8
m2 + 5m + 6 = 0
(m + 2)(m + 3) = 0
จะได m = − 2 หรือ m = − 3
ดังนัน้ x + m หาร x2 − 5x − 2 เหลอื เศษ −8 เม่ือ m = − 2 หรือ m = − 3
5. 1) วิธีที่ 1 ให p( x) = x3 − x2 − 4x + 4
เน่อื งจากจํานวนเตม็ ที่หาร 4 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 4
พิจารณา p(1)
p(1)= (1)3 − (1)2 − 4(1) + 4= 0
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 283
วธิ ีที่ 2 จะเหน็ วา p(1) = 0
ดังนน้ั x −1 เปน ตัวประกอบของ x3 − x2 − 4x + 4
นํา x −1 ไปหาร x3 − x2 − 4x + 4 ไดผ ลหารเปน x2 − 4
ดงั นั้น ( )x3 − x2 − 4x + 4 = ( x −1) x2 − 4
= ( x −1)( x − 2)( x + 2)
( )x3 − x2 − 4x + 4 = x3 − x2 − (4x − 4)
= x2 ( x −1) − 4( x −1)
= ( x2 − 4)( x −1)
= ( x − 2)( x + 2)( x −1)
2) ให p ( x) = x3 + x2 − 8x −12
เนอ่ื งจากจาํ นวนเตม็ ทหี่ าร −12 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 4, ± 6, ±12
พิจารณา p(−2)
p (−2) = (−2)3 + (−2)2 − 8(−2) −12 = 0
จะเหน็ วา p(−2) =0 ดงั นนั้ x + 2 เปน ตวั ประกอบของ x3 + x2 − 8x −12
นํา x + 2 ไปหาร x3 + x2 − 8x −12 ไดผลหารเปน x2 − x − 6
ดังนน้ั ( )x3 + x2 − 8x −12 = ( x + 2) x2 − x − 6
= ( x + 2)( x + 2)( x − 3)
= ( x + 2)2 ( x − 3) d
3) ให p ( x) = x4 − 2x3 − x2 − 4x − 6
เนอ่ื งจากจํานวนเต็มที่หาร −6 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6
พจิ ารณา p(−1)
p (−1) =(−1)4 − 2(−1)3 − (−1)2 − 4(−1) − 6 =0
จะเห็นวา p(−1) =0 ดงั น้นั x +1 เปนตัวประกอบของ x4 − 2x3 − x2 − 4x − 6
นาํ x +1 ไปหาร x4 − 2x3 − x2 − 4x − 6 ไดผ ลหารเปน x3 − 3x2 + 2x − 6
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
284 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( )x4 − 2x3 − x2 − 4x − 6 = ( x +1) x3 − 3x2 + 2x − 6
= ( x +1) ( x3 − 3x2 ) + (2x − 6)
= ( x +1) x2 ( x − 3) + 2( x − 3)
= ( x +1)( x − 3)( x2 + 2)
4) ให p( x=) x3 −1
เนอื่ งจากจาํ นวนเต็มทีห่ าร −1 ลงตัว คอื ±1
พิจารณา p(1)
p (1)= (1)3 −1= 0
จะเห็นวา p(1) = 0 ดงั นน้ั x −1 เปน ตัวประกอบของ x3 −1
นํา x −1 ไปหาร x3 −1 ไดผลหารเปน x2 + x +1
ดังนน้ั x3 −1 = ( x −1)( x2 + x +1) s
5) วธิ ที ี่ 1 ให p( x=) x4 −1
เนื่องจากจาํ นวนเตม็ ท่ีหาร −1 ลงตวั คือ ±1
พิจารณา p(1)
p (1=) (1)4 −1= 0
จะเห็นวา p(1) = 0 ดงั นนั้ x −1 เปน ตัวประกอบของ x4 −1
นํา x −1 ไปหาร x4 −1 ไดผลหารเปน x3 + x2 + x +1
ดังน้นั ( )x4 −1 = ( x −1) x3 + x2 + x +1
วธิ ีที่ 2 = ( x −1) ( x3 + x2 ) + ( x +1)
= ( x −1) x2 ( x +1) + ( x +1)
= ( x −1)( x +1)( x2 +1)
( )x4 −1 = x2 2 −1
= ( x2 −1)( x2 +1)
= ( x −1)( x +1)( x2 +1)
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 285
6) วธิ ที ี่ 1 ให p( x) =x4 − 5x2 + 4
เนือ่ งจากจาํ นวนเตม็ ทหี่ าร 4 ลงตวั คอื ±1, ± 2, ± 4
พิจารณา p(1)
p (1)= (1)4 − 5(1)2 + 4= 0
จะเห็นวา p(1) = 0 ดงั น้นั x −1 เปน ตัวประกอบของ x4 − 5x2 + 4
นาํ x −1 ไปหาร x4 − 5x2 + 4 ไดผ ลหารเปน x3 + x2 − 4x − 4
ดังนนั้ ( )x4 − 5x2 + 4 = ( x −1) x3 + x2 − 4x − 4
= ( x −1) ( x3 + x2 ) − (4x + 4)
= ( x −1) x2 ( x +1) − 4( x +1)
= ( x −1)( x +1)( x2 − 4)
= ( x −1)( x +1)( x − 2)( x + 2)
วิธีที่ 2 ( )( )x4 − 5x2 + 4 = x2 −1 x2 − 4
= ( x −1)( x +1)( x − 2)( x + 2) s
7) ให p ( x) = x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4
เนอ่ื งจากจาํ นวนเตม็ ท่ีหาร 4 ลงตวั คือ ±1, ± 2, ± 4
พิจารณา p(1)
p (1)= (1)4 − 2(1)3 + (1)2 − 4(1) + 4= 0
จะเหน็ วา p(1) = 0 ดงั น้นั x −1 เปนตัวประกอบของ x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4
นาํ x −1 ไปหาร x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4 ไดผลหารเปน x3 − x2 − 4
ดังนั้น x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4 = ( x −1)( x3 − x2 − 4)
ให q ( x) = x3 − x2 − 4
เนอื่ งจากจํานวนเต็มที่หาร −4 ลงตวั คือ ±1, ± 2, ± 4
พจิ ารณา q(2)
q (2)= (2)3 − (2)2 − 4= 0
จะเหน็ วา q(2) = 0 ดงั นน้ั x − 2 เปน ตัวประกอบของ x3 − x2 − 4
นํา x − 2 ไปหาร x3 − x2 − 4 ไดผ ลหารเปน x2 + x + 2
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
286 คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
ดงั น้ัน ( )x3 − x2 − 4 = ( x − 2) x2 + x + 2
จะได ( )x4 − 2x3 + x2 − 4x + 4 = ( x −1)( x − 2) x2 + x + 2
8) ให p ( x) =x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24
เนอื่ งจากจาํ นวนเตม็ ที่หาร 24 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 4, ± 6, ± 8, ±12, ± 24
พิจารณา p(−1)
p (−1) =(−1)4 − 2(−1)3 −13(−1)2 +14(−1) + 24 =0
จะเหน็ วา p(−1) =0 ดงั นั้น x +1 เปน ตัวประกอบของ x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24
นาํ x +1 ไปหาร x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 ไดผ ลหารเปน x3 − 3x2 −10x + 24
ดังนัน้ x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 = ( x +1)( x3 − 3x2 −10x + 24)
ให q ( x) =x3 − 3x2 −10x + 24
เนอื่ งจากจาํ นวนเต็มท่หี าร 24 ลงตวั คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 4, ± 6, ± 8, ±12, ± 24
พจิ ารณา q(2)
q (2) = (2)3 − 3(2)2 −10(2) + 24 = 0
จะเหน็ วา q(2) = 0 ดงั น้นั x − 2 เปนตวั ประกอบของ x3 − 3x2 −10x + 24
นาํ x − 2 ไปหาร x3 − 3x2 −10x + 24 ไดผลหารเปน x2 − x −12
ดังนั้น ( )x3 − 3x2 −10x + 24 = ( x − 2) x2 − x −12
จะได ( )x4 − 2x3 −13x2 +14x + 24 = ( x +1)( x − 2) x2 − x −12
= ( x +1)( x − 2)( x + 3)( x − 4)
6. 1) ให p ( x) = 6x3 −11x2 + 6x −1
เนื่องจากจาํ นวนเต็มทห่ี าร −1 ลงตัว คอื ±1
และจํานวนเต็มทห่ี าร 6 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6
พจิ ารณา p(1)
p (=1) 6(1)3 −11(1)2 + 6(1) −=1 0
จะเหน็ วา p(1) = 0 ดงั นั้น x −1 เปนตัวประกอบของ 6x3 −11x2 + 6x −1
นํา x −1 ไปหาร 6x3 −11x2 + 6x −1 ไดผลหารเปน 6x2 − 5x +1
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 287
ดังนน้ั 6x3 −11x2 + 6x −1 = ( x −1)(6x2 − 5x +1)
= ( x −1)(3x −1)(2x −1) ก
2) ให p ( x) = 6x3 + x2 −11x − 6
เนอ่ื งจากจํานวนเต็มทีห่ าร −6 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6
และจาํ นวนเต็มทีห่ าร 6 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6
พจิ ารณา p(−1)
p (−1) = 6(−1)3 + (−1)2 −11(−1) − 6 = 0
จะเหน็ วา p(−1) =0 ดงั นน้ั x +1 เปน ตัวประกอบของ 6x3 + x2 −11x − 6
นํา x +1 ไปหาร 6x3 + x2 −11x − 6 ไดผ ลหารเปน 6x2 − 5x − 6
ดงั นัน้ 6x3 + x2 −11x − 6 = ( x +1)(6x2 − 5x − 6)
= ( x +1)(3x + 2)(2x − 3)
3) ให p ( x) = 8x4 + 8x3 + 6x2 + 4x +1
เน่อื งจากจํานวนเต็มที่หาร 1 ลงตวั คอื ±1
และจํานวนเตม็ ที่หาร 8 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 4, ± 8
พิจารณา p − 1
2
p − 1 =8 − 1 4 + 8 − 1 3 + 6 − 1 2 + 4 − 1 + 1 =0
2 2 2 2 2
จะเห็นวา p − 1 =0 ดงั นั้น x+1 เปน ตวั ประกอบของ 8x4 + 8x3 + 6x2 + 4x +1
2 2
นาํ x + 1 ไปหาร 8x4 + 8x3 + 6x2 + 4x +1 ไดผ ลหารเปน 8x3 + 4x2 + 4x + 2
2
ดงั น้นั 8x4 + 8x3 + 6x2 + 4x +1 = ( ) 1 8x3
2
x + + 4x2 + 4x + 2
= x + 1 ( 8x3 + 4x2 ) + ( 4 x + 2)
2
= x + 1 4 x 2 ( 2x + 1) + 2 ( 2x + 1)
2
= x + 1 (2x + 1) ( 4 x 2 + 2)
2
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี