188 คูมือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
จะได n( X ) = n( A+ ) + n( A− ) + n( AB+ ) + n( AB− ) = 29
n(Y ) = n(B+ ) + n(B− ) + n( AB+ ) + n( AB− ) = 39
n( X ∩Y ) = n( AB+ ) + n( AB− ) = 9
n(( X ∩ Z ) − Y ) = n( A+ ) = 18
n((Y ∩ Z ) − X ) = n(B+ ) = 29
n( X ∩ Y ∩ Z ) = n( AB+ ) = 8
n(Z − ( X ∪Y )) = n(O+ ) = 40
นาํ ขอ มูลทง้ั หมดไปเขยี นแผนภาพแสดงจํานวนสมาชกิ ของเซตไดดงั นี้
U
A B
1
21
8
18 29
40 C 1
จากแผนภาพ จะไดว า มคี นกลุม น้ี 1% ทม่ี ีเลอื ดหมู O−
22. เขยี น A, B และ C แบบแจกแจงสมาชกิ ไดด งั นี้
U = {0, 2, 4, ... , 100} นั่นคือ n(U ) = 51
A = {0, 6, 12, ... , 96} นัน่ คอื n( A) = 17
B = {0, 4, 8, ... , 100} นนั่ คอื n(B) = 26
C = {0, 10, 20, 30, ... , 100} นน่ั คือ n(C ) = 11
จะได A ∩ B แทนเซตของจาํ นวนคตู ั้งแต 0 ถงึ 100 ท่หี ารดวย 3 และ 4 ลงตัว
A ∩ C แทนเซตของจาํ นวนคตู ั้งแต 0 ถงึ 100 ท่หี ารดวย 3 และ 5 ลงตัว
B ∩ C แทนเซตของจาํ นวนคูตง้ั แต 0 ถึง 100 ท่ีหารดวย 4 และ 5 ลงตวั
A ∩ B ∩ C แทนเซตของจาํ นวนคูต ั้งแต 0 ถึง 100 ทห่ี ารดว ย 3, 4 และ 5 ลงตวั
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 189
เขียน A ∩ B, A ∩ C , B ∩ C , A ∩ B ∩ C แบบแจกแจงสมาชกิ ไดดงั นี้
A ∩ B = {0, 12, 24, 36, 48, 60, 72, 84, 96} นน่ั คอื n( A ∩ B) = 9
A ∩ C = {0, 30, 60, 90} น่นั คอื n( A ∩ C) = 4
B ∩ C = {0, 20, 40, 60, 80, 100} นน่ั คอื n(B ∩ C) = 6
A ∩ B ∩ C = {0, 60} นน่ั คือ n( A ∩ B ∩ C ) = 2
นาํ ขอมลู ทั้งหมดไปเขยี นแผนภาพแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดด งั นี้
U
AB
7
6 13
2
24
3 C 14
จากแผนภาพ จะไดวา
1) n( B ∪ C′ ) = 7 +13 + 2 + 4 + 6 +14 = 46
2) n( A ∩ B ∩ C′) =7
3) n( A ∪ B ∪ C ) = 6 + 7 +13 + 2 + 2 + 4 + 3 = 37
4) n( A ∪ B ∪ C )′ =14
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
190 คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
บทท่ี 2 ตรรกศาสตรเ บือ้ งตน
แบบฝก หัด 2.1
1. 1) เปน ประพจน ทม่ี คี าความจรงิ เปน เทจ็ 2) เปน ประพจน ท่มี ีคา ความจรงิ เปน จริง
3) เปนประพจน ทม่ี ีคา ความจรงิ เปน เท็จ 4) ไมเปนประพจน
5) ไมเ ปน ประพจน 6) เปนประพจน ทีม่ ีคาความจรงิ เปน จรงิ
7) เปนประพจน ที่มีคา ความจรงิ เปน เท็จ 8) เปนประพจน ทม่ี ีคา ความจรงิ เปน เทจ็
9) ไมเ ปน ประพจน 10) เปนประพจน ทม่ี ีคาความจรงิ เปน จรงิ
11) เปนประพจน ทมี่ คี า ความจรงิ เปนเทจ็ 12) เปนประพจน ท่มี คี า ความจรงิ เปนจรงิ
13) ไมเ ปน ประพจน 14) ไมเปนประพจน
15) เปนประพจน ที่มคี า ความจรงิ เปน เท็จ 16) ไมเ ปนประพจน
17) ไมเ ปนประพจน 18) เปน ประพจน ทีม่ ีคา ความจรงิ เปน จริง
2. ตวั อยางคําตอบ
2 > 3 เปน ประพจน ท่มี ีคาความจรงิ เปนเทจ็
∅ ∈ {1, 2, 3} เปนประพจน ที่มีคาความจรงิ เปนเทจ็
หนง่ึ ปมีสบิ สองเดือน เปน ประพจน ที่มคี า ความจรงิ เปนจรงิ
4 เปน จาํ นวนอตรรกยะ เปน ประพจน ทีม่ ีคา ความจรงิ เปน เท็จ
เดือนมกราคม มี 31 วัน เปนประพจน ที่มคี า ความจริงเปนจริง
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 191
แบบฝกหดั 2.2
1. 1) 0 เปนจาํ นวนนับ และ 6 เปน จาํ นวนเต็ม มีคาความจริงเปนเท็จ
เพราะ 0 เปนจํานวนนับ มคี าความจริงเปนเทจ็
2) 9 ไมเทากับ 10 หรือ 10 ไมนอ ยกวา 9 มคี า ความจริงเปนจริง
เพราะ 9 ไมเทากับ 10 มคี าความจริงเปน จริง
3) 2 และ −1 เปนจาํ นวนจรงิ มคี าความจรงิ เปน จรงิ
เพราะ 2 เปนจาํ นวนจรงิ มีคา ความจรงิ เปนจรงิ และ −1 เปน จํานวนจรงิ
มคี าความจริงเปน จรงิ
4) ถา 1∉{1, 2} แลว 1⊂ {1, 2} มีคา ความจริงเปน จรงิ
เพราะ 1∉{1, 2} มคี าความจริงเปนเทจ็
5) 3 เปนจํานวนตรรกยะ และไมใ ชจ าํ นวนจริง มีคา ความจริงเปนเทจ็
เพราะ 3 เปน จํานวนตรรกยะ มคี าความจรงิ เปนเท็จ
6) 2 เปน ห.ร.ม. ของ 4 และ 6 ก็ตอเม่ือ 2 หาร 4 + 6 ไมล งตวั มีคา ความจริงเปน เทจ็
เพราะ 2 เปน ห.ร.ม. ของ 4 และ 6 มีคาความจริงเปน จริง แต 2 หาร 4 + 6
ไมลงตวั มคี า ความจริงเปนเทจ็
7) ถา 3 เปนจํานวนคี่ แลว 32 เปน จํานวนค่ี มคี า ความจรงิ เปน จริง
เพราะ 3 เปน จาํ นวนคี่ มคี าความจริงเปน จรงิ และ 32 เปน จาํ นวนค่ี
มีคาความจรงิ เปนจรงิ
8) 2 เปน จํานวนจริงหรอื จํานวนอตรรกยะ มคี า ความจรงิ เปน จริง
เพราะ 2 เปน จาํ นวนจรงิ มคี าความจรงิ เปน จรงิ
9) 13 เปนจํานวนเฉพาะ กต็ อ เมือ่ 13 มตี วั ประกอบคอื 1 กับ 13 มคี าความจรงิ เปน จริง
เพราะ 13 เปนจาํ นวนเฉพาะ มคี าความจริงเปน จริง และ 13 มตี วั ประกอบคอื 1 กับ 13
มคี าความจริงเปนจรงิ
10) ถา { 3} ⊂ { 3, 4} แลว 3∉{ 3, 4} มคี าความจรงิ เปนเท็จ
เพราะ { 3} ⊂ { 3, 4} มคี า ความจรงิ เปนจริง แต 3∉{ 3, 4} มคี า ความจริงเปน เท็จ
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
192 คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
11) (2 + 6) + 4 =12 หรอื =12 2(5) + 2 มคี า ความจรงิ เปน จริง
เพราะ (2 + 6) + 4 =12 มคี าความจรงิ เปนจรงิ
12) ถาแมงมมุ เปนแมลง แลวแมงมุมตองมี 6 ขา มีคา ความจรงิ เปน จรงิ
เพราะ แมงมมุ เปนแมลง มคี า ความจรงิ เปนเท็จ
13) งเู หา และงจู งอางเปน สตั วมพี ิษ มคี าความจรงิ เปนจริง
เพราะ งเู หา เปนสัตวม ีพิษ มคี า ความจรงิ เปน จริง และ งูจงอางเปน สตั วมีพษิ
มีคา ความจรงิ เปนจรงิ
14) โลมาหรอื คนเปน สตั วเลีย้ งลูกดวยนํา้ นม มีคาความจริงเปนจรงิ
เพราะ โลมาเปนสัตวเลีย้ งลูกดวยนํ้านม มคี าความจริงเปน จริง
2. 1) นิเสธของประพจน 4 + 9 = 10 + 3 คอื 4 + 9 ≠ 10 + 3 มคี าความจริงเปน เทจ็
2) นิเสธของประพจน − 7 >/ 6 คือ − 7 > 6 มคี าความจรงิ เปน จรงิ
3) นิเสธของประพจน เซตของจํานวนนบั ทเี่ ปน คําตอบของสมการ x2 +1 =0
เปนเซตวาง คือ เซตของจาํ นวนนบั ที่เปน คําตอบของสมการ x2 +1 =0 ไมเ ปน
เซตวาง มคี าความจรงิ เปน เทจ็
4) นเิ สธของประพจน { 3, 4} ∪{1, 3, 5} ={1, 3, 4, 5} คือ
{ 3, 4} ∪{1, 3, 5} ≠ {1, 3, 4, 5} มคี า ความจรงิ เปนเท็จ
5) นิเสธของประพจน {{ 2}} ⊄ { 2} คอื {{ 2}} ⊂ { 2} มคี า ความจริงเปน เทจ็
6) นเิ สธของประพจน − 3 + 6 ≤ − 3 + 6 คอื − 3 + 6 > − 3 + 6
มคี า ความจรงิ เปน เท็จ
7) นิเสธของประพจน 15 ไมใ ชจ ํานวนจริง คอื 15 เปนจาํ นวนจรงิ มคี าความจริง
เปนจริง
8) นิเสธของประพจน วาฬเปนสตั วเลี้ยงลกู ดว ยนํา้ นม คอื วาฬไมเปนสัตวเ ลยี้ งลกู
ดวยนาํ้ นม มคี า ความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 193
3. ให p แทนประพจน “ฉันตนื่ นอนแตเ ชา”
และ q แทนประพจน “ฉันมาเรียนทนั เวลา”
1) p แทนประพจน “ฉนั ไมตื่นนอนแตเชา”
2) p → q แทนประพจน “ถา ฉนั ตนื่ นอนแตเ ชา แลว ฉันมาเรยี นไมท นั เวลา”
3) p ∧ q แทนประพจน “ฉันตน่ื นอนแตเชาและฉันมาเรยี นทันเวลา”
4) p ↔ q แทนประพจน “ฉันต่นื นอนแตเชา กต็ อเม่ือฉันมาเรียนทนั เวลา”
5) p∨ q แทนประพจน “ฉนั ไมตืน่ นอนแตเชาหรอื ฉนั มาเรียนไมท นั เวลา”
6) p ∨ ( p → q) แทนประพจน “ฉันไมต น่ื นอนแตเ ชา หรอื ถา ฉนั ต่ืนนอนแตเชา แลว
ฉนั มาเรียนทันเวลา”
4. ให p แทนประพจน “12 หารดวย 3 ลงตัว”
และ q แทนประพจน “ 4 − 3 < 2 ”
1) p ∧q มีคาความจรงิ เปนเทจ็ 2) p ∨ q มคี าความจริงเปนจริง
3) q → p มีคา ความจรงิ เปน จริง 4) p ↔ q มคี าความจริงเปน เทจ็
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
194 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
แบบฝก หดั 2.3
1. กาํ หนดให p, q, r, s และ t เปนประพจนมคี า ความจริงเปน จริง เทจ็ จรงิ เทจ็ และเทจ็
ตามลาํ ดับ
1) วธิ ีท่ี 1 จาก p เปน จรงิ จะได p ∨ q เปนจริง
จาก p ∨ q เปนจรงิ และ r เปนจรงิ
ดงั นั้น ( p ∨ q) ∧ r มีคาความจริงเปน จรงิ
วิธีท่ี 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ
2) วิธีที่ 1 ดงั นน้ั ( p ∨ q) ∧ r มคี า ความจริงเปนจรงิ
วธิ ีท่ี 2 จาก p เปนจรงิ และ r เปน จรงิ จะได p ∧ r เปนจริง
ดังนน้ั ( p ∧ r) ∨ (t ∧ s) มคี า ความจรงิ เปน จริง
กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็
ดงั นนั้ ( p ∧ r) ∨ (t ∧ s) มีคาความจริงเปน จริง
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 195
3) วิธที ่ี 1 จาก p เปนจริง จะได p∨ s เปนจริง
จาก r เปนจริง จะได q ∨ r เปนจริง
จาก p∨ s เปน จริง และ q ∨ r เปน จรงิ
ดังนั้น ( p∨ s) ∧ (q ∨ r) มีคา ความจริงเปน จรงิ
วธิ ีที่ 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็
ดงั นนั้ ( p∨ s) ∧ (q ∨ r) มคี า ความจรงิ เปนจรงิ
4) วธิ ที ่ี 1 จาก p เปนจริง และ q เปน เทจ็ จะได p∧ q เปนจริง
จาก p∧ q เปน จรงิ และ t เปน เท็จ
ดังนนั้ ( p∧ q) ∧ t มีคาความจริงเปนเท็จ
วิธีท่ี 2 กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ
ดังนน้ั ( p∧ q) ∧ t มีคาความจรงิ เปนเท็จ
5) วิธที ี่ 1 จาก r เปน จรงิ จะได r∨ s เปนจรงิ
จาก r∨ s เปนจริง และ p เปนจรงิ จะได (r∨ s) ∧ p เปน เท็จ
ดังน้ัน (r∨ s) ∧ p มคี า ความจรงิ เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
196 คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
วธิ ีที่ 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ
ดงั น้ัน (r∨ s) ∧ p มีคาความจรงิ เปน จริง
6) วิธที ี่ 1 จาก p เปนจรงิ จะได p∨ q เปน จรงิ
จาก r เปน จรงิ จะได r ∨ t เปน จริง
จาก p∨ q เปนจรงิ และ r ∨ t เปน จริง
ดงั นนั้ ( p∨ q) → (r ∨ t) มีคา ความจริงเปนจรงิ
วธิ ีท่ี 2 กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็
ดังนัน้ ( p∨ q) → (r ∨ t) มคี า ความจรงิ เปนจริง
7) วธิ ที ี่ 1 จาก q เปน เทจ็ จะได r ∧ q เปนเท็จ
จาก s เปน เท็จ จะได s∧ t เปนเทจ็
จาก r ∧ q เปน เท็จ และ s∧ t เปน เท็จ
ดังนนั้ ( r ∧ q) ↔ (s∧ t) มีคาความจรงิ เปนเทจ็
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 197
วธิ ที ่ี 2 กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็
ดังนน้ั ( r ∧ q) ↔ (s∧ t) มีคา ความจรงิ เปนเท็จ
8) วิธีท่ี 1 จาก p เปนจริง และ q เปน เทจ็ จะได p → q เปน เทจ็
จาก r เปนจริง และ s เปนเทจ็ จะได r → s เปนเท็จ
จาก p → q เปนเทจ็ และ r → s เปนเท็จ
ดงั น้นั ( p → q) ↔ (r → s) มคี า ความจรงิ เปน จริง
วิธที ่ี 2 กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็
ดงั นั้น ( p → q) ↔ (r → s) มีคา ความจริงเปนจริง
9) วธิ ีท่ี 1 จาก s เปนเทจ็ จะได s∧ p เปนเทจ็
จาก q เปน เทจ็ จะได q → r เปน จริง
จาก s∧ p เปนเท็จ และ q → r เปนจรงิ
ดงั นั้น (s∧ p) ↔ (q → r) มคี าความจริงเปนเท็จ
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
198 คมู ือครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
วธิ ที ี่ 2 กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ
10) วิธที ่ี 1 ดงั นน้ั (s∧ p) ↔ (q → r) มีคา ความจรงิ เปนเทจ็
วธิ ีที่ 2 จาก r เปน จรงิ จะได q ∨ r เปน จรงิ
จาก q เปน เทจ็ และ s เปน เทจ็ จะได q ↔ s เปน เทจ็
จาก q ∨ r เปนจริง และ q ↔ s เปนเท็จ
ดงั น้ัน (q ∨ r) → (q ↔ s) มคี าความจรงิ เปน เทจ็
กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ
11) วธิ ที ี่ 1 ดงั นั้น (q ∨ r) → (q ↔ s) มคี าความจริงเปนเท็จ
จาก p เปนจริง และ q เปนเทจ็ จะได p → q เปน เท็จ
จะได ( p → q) ∧ (t → r) เปน เท็จ
ดังน้นั ( p → q) ∧ (t → r) → s มีคา ความจรงิ เปน จรงิ
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 199
วธิ ีท่ี 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
12) วธิ ที ่ี 1 ดังนน้ั ( p → q) ∧ (t → r) → s มคี า ความจริงเปนจรงิ
วิธที ี่ 2 จาก p เปนจรงิ จะได p ∨ q เปนจริง
จาก t เปน เทจ็ และ s เปนเท็จ จะได t ∨ s เปน เทจ็
จาก p ∨ q เปน จรงิ และ t ∨ s เปนเทจ็ จะได ( p ∨ q) ∧ (t ∨ s) เปน เทจ็
จาก q เปน เทจ็ จะได q → r เปน จริง
จาก q → r เปนจรงิ และ s เปนเท็จ จะได (q → r) → s เปน จริง
จาก ( p ∨ q) ∧ (t ∨ s) เปนเทจ็ และ (q → r) → s เปนจริง
ดงั นนั้ ( p ∨ q) ∧ (t ∨ s) ∨ (q → r) → s มคี า ความจริงเปน จริง
กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็
ดังนั้น ( p ∨ q) ∧ (t ∨ s) ∨ (q → r) → s มีคาความจรงิ เปน จริง
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
200 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
2. กําหนดให p, q, r และ s เปน ประพจน
1) จาก p ∧ q เปนจรงิ ดงั นัน้ p เปนจรงิ และ q เปน จรงิ
2) จาก p → q เปนเทจ็ ดังน้นั p เปนจรงิ และ q เปน เท็จ
3) จาก p ∨ q เปนเทจ็ จะได p เปน เทจ็ และ q เปนเทจ็
จะได p ∧ q เปนเท็จ
ดังนัน้ ( p ∧ q) → r มคี าความจริงเปนจริง
4) จาก p → r เปน เท็จ จะได p เปน จรงิ และ r เปน เท็จ
จาก r เปน เทจ็ ดงั น้ัน ( p ∨ q) ∧ r มีคาความจรงิ เปนเทจ็
5) จาก ( p ∧ q) → ( r ∨ s) เปน เทจ็
จะได p ∧ q เปนจริง และ r ∨ s เปนเทจ็
จาก p ∧ q เปนจริง จะได p เปน จรงิ และ q เปนจรงิ
จาก r ∨ s เปนเท็จ จะได r เปนจรงิ และ s เปน เทจ็
จาก p เปน จรงิ จะได p ∧ r เปน เท็จ
จาก s เปน เทจ็ จะได q ∧ s เปน เทจ็
ดงั น้ัน ( p ∧ r) ↔ (q ∧ s) มคี าความจริงเปน จริง
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 201
แบบฝก หดั 2.4
1. ประพจน p ∨ (q → p) ประกอบดว ยประพจนย อยสองประพจน คอื p และ q
จงึ มีกรณเี กย่ี วกับคาความจรงิ ท่อี าจเกิดขน้ึ ไดท ั้งหมด 4 กรณี
จะไดต ารางคา ความจริงของ p ∨ (q → p) ดงั นี้
p q q→ p p∨(q → p)
TT T T
TF T T
FT F F
FF T T
2. ประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p∨ q) ประกอบดว ยประพจนยอยสองประพจน คอื p และ q
จงึ มกี รณีเกยี่ วกับคาความจริงท่ีอาจเกิดขนึ้ ไดท งั้ หมด 4 กรณี
จะไดตารางคา ความจรงิ ของ ( p ∨ q) ∧ ( p∨ q) ดังน้ี
p q q p∨q p∨ q ( p ∨ q) ∧ ( p∨ q)
T TF T T T
T FT T T T
F TF T F F
F FT F T F
3. ประพจน p → ( p → q) ประกอบดว ยประพจนย อยสองประพจน คือ p และ q
จงึ มกี รณีเกีย่ วกับคา ความจรงิ ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ ไดท ง้ั หมด 4 กรณี
จะไดต ารางคา ความจริงของ p → ( p → q) ดังน้ี
p q p p→q p →( p → q)
T TF T T
T FF T T
F TT T T
F FT F T
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
202 คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
4. ประพจน (q∨ q) ↔ r ประกอบดว ยประพจนยอ ยสองประพจน คือ q และ r
จึงมกี รณเี ก่ยี วกบั คา ความจริงทอ่ี าจเกดิ ขึน้ ไดทงั้ หมด 4 กรณี
จะไดตารางคาความจรงิ ของ (q∨ q) ↔ r ดงั นี้
q r q q∨ q (q∨ q) ↔ r
T TF T T
T FF T F
F TT T T
F FT T F
5. ประพจน q ↔ p ∧ (q → p) ประกอบดว ยประพจนยอ ยสองประพจน
คอื p และ q จงึ มีกรณเี กยี่ วกับคาความจรงิ ทอี่ าจเกิดข้ึนไดท ั้งหมด 4 กรณี
จะไดตารางคา ความจริงของ q ↔ p ∧ (q → p) ดังน้ี
p q p q q → p p ∧ (q → p) q ↔ p ∧ (q → p)
T TF F F F T
T FF T T T T
F TT F T F T
F FT T T F F
6. ประพจน (q ∧ r) → (r ∨ p) ประกอบดวยประพจนยอยสามประพจน คือ p, q และ r
จึงมีกรณีเกย่ี วกบั คาความจริงทีอ่ าจเกดิ ข้นึ ไดท้ังหมด 8 กรณี
จะไดต ารางคาความจรงิ ของ (q ∧ r) → (r ∨ p) ดงั นี้
pq r q∧r r∨ p (q ∧ r) →(r ∨ p)
TT T T T T
TTF F T T
TF T F T T
TFF F T T
FT T T T T
FT F F F T
FF T F T T
FF F F F T
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 203
แบบฝกหัด 2.5
1. 1) ตัวอยางคําตอบ
ให p แทน “ 2 เปน จํานวนตรรกยะ”
q แทน “ 2 เปน จาํ นวนจรงิ ”
จะได p ↔ q แทน “ 2 เปน จาํ นวนตรรกยะ ก็ตอเมอ่ื 2 เปน จาํ นวนจริง”
แนวการตอบท่ี 1
เน่ืองจาก p ↔ q สมมูลกับ q ↔ p
ดงั น้นั “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ ก็ตอ เม่ือ 2 เปน จํานวนจริง” สมมูลกบั
“ 2 เปน จํานวนจรงิ กต็ อ เม่ือ 2 เปน จาํ นวนตรรกยะ”
แนวการตอบที่ 2
เนื่องจาก p ↔ q สมมลู กับ ( p → q) ∧ (q → p)
ดงั นนั้ “ 2 เปน จาํ นวนตรรกยะ กต็ อ เมื่อ 2 เปนจํานวนจริง” สมมูลกบั
“ถา 2 เปน จํานวนตรรกยะ แลว 2 เปน จาํ นวนจริง และ ถา 2 เปน
จาํ นวนจริง แลว 2 เปน จํานวนตรรกยะ”
2) ตัวอยางคําตอบ
ให p แทน “ภพเปน นักเรยี น”
q แทน “ภูมิเปน นักเรยี น”
r แทน “ภทั รเปนนกั เรยี น”
จะได ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r) แทน “ภพหรือภมู ิเปนนักเรียน และ ภพหรอื ภัทร
เปนนกั เรยี น”
แนวการตอบที่ 1
เน่ืองจาก ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r) สมมูลกบั ( p ∨ r) ∧ ( p ∨ q)
ดังนนั้ “ภพหรอื ภูมิเปน นักเรียน และ ภพหรอื ภทั รเปนนักเรยี น” สมมลู กับ
“ภพหรือภัทรเปน นกั เรียน และ ภพหรือภมู เิ ปน นกั เรียน”
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
204 คมู อื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
แนวการตอบที่ 2
เนอื่ งจาก ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r) สมมูลกบั p ∨ (q ∧ r)
ดงั น้ัน “ภพหรอื ภูมเิ ปนนกั เรียน และ ภพหรือภทั รเปนนกั เรยี น” สมมลู กบั
“ภพเปนนกั เรียน หรอื ภูมแิ ละภัทรเปน นกั เรียน”
2. 1) p ↔ q ≡ ( p → q)∧(q → p)
≡ ( q → p) ∧ ( q ∨ p)
ดังนน้ั ประพจนที่กาํ หนดใหส มมลู กับประพจนในขอ (ข)
2) ( p → q) → r ≡ ( p → q) ∨ r
≡ ( p∨ q)∨ r
≡ ( p∧ q) ∨ r
≡ ( p∨ r)∧( q∨ r)
≡ ( p → r)∧(q → r)
ดังน้นั ประพจนทก่ี ําหนดใหส มมูลกับประพจนใ นขอ (ก)
3) ( p → r ) ∧ (q → r ) ≡ ( p ∨ r ) ∧ ( q ∨ r )
≡ ( p∧ q) ∨ r
≡ ( p ∨ q)∨ r
ดงั นนั้ ประพจนทีก่ าํ หนดใหส มมูลกบั ประพจนในขอ (ข)
4) p → (q → p) ≡ p → ( q ∨ p)
≡ p∨ ( q ∨ p)
≡ p ∨ (q∧ p)
≡ p ∨( p ∧ q)
ดงั นน้ั ประพจนที่กําหนดใหส มมูลกับประพจนในขอ (ก)
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 205
5) p → q → (r ∨ p) ≡ p → q ∨ (r ∨ p)
≡ p ∨( q ∨ r ∨ p)
≡ ( p∨ p)∨( q∨ r)
≡ p∨( q∨ r)
≡ ( p∨ q) ∨ r
ดงั นัน้ ประพจนทกี่ าํ หนดใหส มมลู กับประพจนใ นขอ (ข)
6) ( p ∧ q) → ( q ∨ r ) ≡ ( p ∧ q) ∨ ( q ∨ r )
≡ ( p∨ q) ∨ ( q ∨ r )
≡ p ∨ ( q ∨ q) ∨ r
≡ ( p∨ q ∨ r)
≡ p ∨ (q → r )
≡ p∧ (q → r)
ดังนั้น ประพจนท่กี ําหนดใหส มมลู กับประพจนใ นขอ (ข)
3. 1) สรา งตารางคา ความจรงิ ของ p ∧ q กบั p∧ q ไดดงั นี้
p q p q p ∧ q p∧ q
T TF F T F
T FF T F F
F TT F F F
F FT T F T
จะเหน็ วา มีคาความจรงิ ของ p ∧ q บางกรณที ี่ตรงกับคาความจริงของ p∧ q
ดังน้นั p ∧ q กบั p∧ q ไมเ ปนนเิ สธกนั
2) วิธีท่ี 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ p ∨ q กับ p∧ q ไดด งั นี้
p q p q p ∨ q p∧ q
T TF F T F
T FF T T F
F TT F T F
F FT T F T
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
206 คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
จะเห็นวาคาความจรงิ ของ p ∨ q ตรงขา มกบั คาความจรงิ ของ p∧ q ทุกกรณี
ดงั น้ัน p ∨ q กับ p∧ q เปนนเิ สธกัน
วิธที ่ี 2 เนอ่ื งจาก ( p ∨ q) เปนนเิ สธของ p ∨ q
และ ( p ∨ q) สมมลู กบั p∧ q
จะได p∧ q เปนนิเสธของ p ∨ q
ดงั น้ัน p ∨ q กับ p∧ q เปน นิเสธกัน
3) วธิ ที ่ี 1 สรางตารางคา ความจรงิ ของ p → q กบั p∧ q ไดดังนี้
p q q p → q p∧ q
T TF T F
T FT F T
F TF T F
F FT T F
จะเหน็ วา คา ความจริงของ p → q ตรงขา มกับคาความจริงของ p∧ q ทกุ กรณี
ดังนั้น p → q กับ p∧ q เปนนเิ สธกนั
วิธีท่ี 2 เนือ่ งจาก ( p → q) เปนนเิ สธของ p → q
และ ( p → q) ≡ ( p ∨ q)
≡ p∧ q
จะได p∧ q เปนนิเสธของ p → q
ดงั นั้น p → q กับ p∧ q เปน นเิ สธกนั
4) สรางตารางคา ความจรงิ ของ p → q กบั p → q ไดดังน้ี
p q p q p→q p→q
T TF F T T
T FF T F T
F TT F T F
F FT T T T
จะเหน็ วามคี า ความจริงของ p → q บางกรณที ่ีตรงกับคาความจรงิ ของ p → q
ดังน้นั p → q กบั p → q ไมเ ปนนเิ สธกัน
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 207
5) วิธที ี่ 1 สรา งตารางคาความจริงของ p ↔ q กบั ( p∧ q) ∨ (q∧ p) ไดด ังน้ี
p q p q p ↔ q p∧ q q∧ p ( p∧ q) ∨ (q∧ p)
T TF F TF F F
T FF T FT F T
F TT F FF T T
F FT T TF F F
วธิ ที ่ี 2 จะเหน็ วา คา ความจรงิ ของ p ↔ q ตรงขา มกับคา ความจรงิ ของ
( p∧ q) ∨ (q∧ p) ทุกกรณี
ดังน้ัน p ↔ q กบั ( p∧ q) ∨ (q∧ p) เปน นเิ สธกนั
เนอ่ื งจาก ( p ↔ q) เปน นิเสธของ p ↔ q
และ ( p ↔ q) ≡ ( p → q) ∧ (q → p)
≡ ( p ∨ q) ∧ ( q ∨ p)
≡ ( p∨ q)∨ ( q∨ p)
≡ ( p∧ q)∨ (q∧ p)
จะได ( p∧ q) ∨ (q∧ p) เปนนิเสธของ p ↔ q
ดังนน้ั p ↔ q กบั ( p∧ q) ∨ (q∧ p) เปนนเิ สธกนั
6) ให p แทน “ 2 เปน จาํ นวนตรรกยะ”
และ q แทน “ 3 เปนจํานวนตรรกยะ”
จะได p ∨ q แทน “ 2 หรอื 3 เปนจํานวนตรรกยะ”
และ p∨ q แทน “ 2 หรอื 3 เปนจํานวนอตรรกยะ”
สรา งตารางคาความจริงของ p ∨ q กับ p∨ q ไดดังนี้
p q p q p ∨ q p∨ q
T TF F T F
T FF T T T
F TT F T T
F FT T F T
จะเห็นวามคี าความจรงิ ของ p ∨ q บางกรณที ่ตี รงกบั คา ความจริงของ p∨ q
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
208 คูม อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
ดังนัน้ p ∨ q กับ p∨ q ไมเ ปนนิเสธกัน
นั่นคอื “ 2 หรือ 3 เปน จาํ นวนตรรกยะ” กบั “ 2 หรือ 3 เปน จาํ นวนอตรรกยะ”
ไมเปนนิเสธกนั
7) ให p แทน “ 2 +1 =3 ”
และ q แทน “3 เปนจาํ นวนนบั ”
จะได p → q แทน “ถา 2 +1 =3 แลว 3 เปน จํานวนนับ”
และ q ∧ p แทน “3 ไมใชจํานวนนบั แต 2 +1 =3 ”
วธิ ที ่ี 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ p → q กับ q ∧ p ไดด งั น้ี
p q q p→q q∧ p
T TF T F
T FT F T
F TF T F
F FT T F
จะเห็นวาคาความจรงิ ของ p → q ตรงขามกับคา ความจรงิ ของ q ∧ p ทกุ กรณี
ดงั นน้ั p → q กบั q ∧ p เปนนเิ สธกัน
น่ันคือ “ถา 2 +1 =3 แลว 3 เปนจาํ นวนนบั ” กบั “3 ไมใชจ าํ นวนนับ
แต 2 +1 =3 ” เปนนิเสธกัน
วธิ ีที่ 2 เน่ืองจาก ( p → q) เปนนิเสธของ p → q
และ ( p → q) ≡ ( p ∨ q)
≡ p∧ q
≡ q∧ p
จะได q ∧ p เปนนเิ สธของ p → q
ดังน้นั p → q กบั q ∧ p เปนนิเสธกนั
นน่ั คอื “ถา 2 +1 =3 แลว 3 เปนจาํ นวนนบั ” กับ “3 ไมใ ชจาํ นวนนับ
แต 2 +1 =3 ” เปนนิเสธกนั
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 209
8) ให p แทน “4 เปน จํานวนคู”
และ q แทน “4 เปน จาํ นวนเต็ม”
จะได p ∧ q แทน “4 เปนจํานวนคแู ละเปน จาํ นวนเตม็ ”
และ p∨ q แทน “4 เปนจาํ นวนคหี่ รอื ไมใชจ ํานวนเต็ม”
วธิ ที ่ี 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ p ∧ q กบั p∨ q ไดดังนี้
p q p q p ∧ q p∨ q
T TF F T F
T FF T F T
F TT F F T
F FT T F T
จะเห็นวา คาความจรงิ ของ p ∧ q ตรงขา มกบั คาความจรงิ ของ p∨ q ทกุ กรณี
ดังน้นั p ∧ q กบั p∨ q เปนนิเสธกนั
นัน่ คอื “4 เปน จํานวนคแู ละเปนจํานวนเตม็ ” กบั “4 เปน จํานวนคี่หรอื ไมใช
จํานวนเตม็ ” เปนนิเสธกัน
วธิ ที ี่ 2 เนอื่ งจาก ( p ∧ q) เปนนิเสธของ p ∧ q
และ ( p ∧ q) สมมูลกบั p∨ q
จะได p∨ q เปน นิเสธของ p ∧ q
ดังนน้ั p ∧ q กับ p∨ q เปนนเิ สธกนั
น่นั คือ “4 เปน จาํ นวนคแู ละเปน จํานวนเต็ม” กบั “4 เปน จาํ นวนคีห่ รือไมใช
จาํ นวนเต็ม” เปนนิเสธกนั
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
210 คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
แบบฝก หดั 2.6
1. วธิ ที ี่ 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ ( p → q) → p → p ไดด ังนี้
p q p → q ( p → q) → p ( p → q) → p → p
TT T T T
TF F T T
FT T F T
FF T F T
จะเหน็ วารปู แบบของประพจน ( p → q) → p → p เปนจรงิ ทุกกรณี
ดงั น้ัน รปู แบบของประพจน ( p → q) → p → p เปน สัจนริ นั ดร
วธิ ีที่ 2 สมมติให ( p → q) → p → p มีคาความจริงเปน เทจ็
ขัดแยง กัน
จากแผนภาพ จะเหน็ วาคา ความจรงิ ของ p เปน ไดท ้งั จริงและเทจ็
เกิดการขดั แยงกับทส่ี มมติไววา ( p → q) → p → p เปน เท็จ
ดงั นนั้ รูปแบบของประพจน ( p → q) → p → p เปน สัจนิรันดร
2. วิธีท่ี 1 สรา งตารางคา ความจรงิ ของ ( p → q) → q ไดดงั นี้
p q p → q ( p → q) q ( p → q) → q
TT TF F T
TF FT T T
FT TF F T
FF TF T T
จะเห็นวา รปู แบบของประพจน ( p → q) → q เปน จริงทุกกรณี
ดงั นน้ั รูปแบบของประพจน ( p → q) → q เปนสัจนิรนั ดร
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 211
วธิ ีที่ 2 สมมตใิ ห ( p → q) → q มีคา ความจริงเปน เทจ็
ขัดแยง กัน
จากแผนภาพ จะเหน็ วาคาความจรงิ ของ q เปน ไดทั้งจรงิ และเทจ็
เกิดการขัดแยง กับทส่ี มมติไวว า ( p → q) → q เปนเท็จ
ดังน้ัน รปู แบบของประพจน ( p → q) → q เปนสจั นิรนั ดร
3. วธิ ที ่ี 1 สรางตารางคา ความจริงของ ( p → q) → ( p ↔ q) ไดดงั นี้
p q p p → q ( p → q) p ↔ q ( p → q) → ( p ↔ q)
T TF TF F T
T FF FT T T
F TT TF T T
F FT TF F T
จะเห็นวารปู แบบของประพจน ( p → q) → ( p ↔ q) เปน จริงทกุ กรณี
น่นั คือ รูปแบบของประพจน ( p → q) → ( p ↔ q) เปนสัจนิรนั ดร
วิธีที่ 2 สมมติให ( p → q) → ( p ↔ q) มคี า ความจรงิ เปน เทจ็
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
212 คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
จากแผนภาพ จะได p เปนจรงิ และ q เปน เท็จ
ดังนน้ั p ↔ q เปนจรงิ แตจากแผนภาพ p ↔ q เปน เท็จ
เกดิ การขดั แยงกับที่สมมตไิ วว า ( p → q) → ( p ↔ q) เปนเทจ็
ดังนน้ั รปู แบบของประพจน ( p → q) → ( p ↔ q) เปน สัจนิรนั ดร
4. วธิ ีที่ 1 สรางตารางคา ความจริงของ ( p ∧ q) → ( p ↔ q) ไดดังน้ี
p q p ∧ q ( p ∧ q) p ↔ q ( p ↔ q) ( p ∧ q) → ( p ↔ q)
TT T F TF T
TF F T FT T
FT F T FT T
FF F T TF F
จะเห็นวากรณที ่ี p เปนเทจ็ q เปน เท็จ
จะไดว ารูปแบบของประพจน ( p ∧ q) → ( p ↔ q) เปนเทจ็
ดงั นั้น รูปแบบของประพจน ( p ∧ q) → ( p ↔ q) ไมเ ปน สัจนริ นั ดร
วิธที ่ี 2 สมมติให ( p ∧ q) → ( p ↔ q) มคี า ความจริงเปน เท็จ
จากแผนภาพ การหาคา ความจรงิ ของ p และ q จะพจิ ารณาจาก p ↔ q
ซึง่ มีคา ความจรงิ เปน จรงิ ทาํ ใหคา ความจริงของ p และ q มีได 2 กรณคี อื
เปนจรงิ ทงั้ คู หรือเปนเทจ็ ทั้งคู
แตเ นือ่ งจาก p ∧ q เปนเทจ็ แสดงวา p และ q ตอ งเปน เทจ็ ทง้ั คู
จะเห็นวา มกี รณีท่ี p เปนเทจ็ และ q เปนเทจ็
ท่ที าํ ให ( p ∧ q) → ( p ↔ q) เปนเท็จ
ดงั น้ัน รูปแบบของประพจน ( p ∧ q) → ( p ↔ q) ไมเปน สจั นริ นั ดร
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 213
5. วิธีท่ี 1 สรา งตารางคาความจรงิ ของ ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) ไดด ังนี้
p q r p → q q → r p → r ( p → q) ∧ (q → r ) ( p → q) ∧ (q → r ) → ( p → r )
TTT T T T T T
T TF T F F F T
TFT F T T F T
T FF F T F F T
FTT T T T T T
FTF T F T F T
FFT T T T T T
FFF T T T T T
จะเห็นวา รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปนจริงทุกกรณี
ดงั นัน้ รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน สัจนริ ันดร
วิธีท่ี 2 สมมตใิ ห ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) มคี า ความจรงิ เปนเท็จ
ขดั แยงกัน
จากแผนภาพ จะเหน็ วา คา ความจริงของ r เปนไดท ้งั จริงและเท็จ
เกิดการขดั แยง กบั ทีส่ มมติไววา ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน เทจ็
ดงั นนั้ รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปนสัจนริ ันดร
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
214 คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 2.7
1. กําหนดให p, q, r และ s เปนประพจน
ตรวจสอบรปู แบบของประพจนท ี่ไดในแตล ะขอ วา เปน สัจนิรนั ดรหรือไม
1) สมมติให ( p ∧ q) ∧ ( p → (q → r)) → r เปนเท็จ
ขัดแยง กนั
จากแผนภาพ จะเห็นวา คา ความจรงิ ของ r เปนไดท้งั จรงิ และเท็จ
เกิดการขัดแยง กบั ท่ีสมมติไววา ( p ∧ q) ∧ ( p → (q → r)) → r เปนเท็จ
น่ันคือ รปู แบบของประพจน ( p ∧ q) ∧ ( p → (q → r)) → r เปน สัจนิรนั ดร
ดังนัน้ การอางเหตผุ ลนี้สมเหตสุ มผล
2) สมมติให ( p → (q ∨ r)) ∧ ( q∨ r) → p เปนเท็จ
จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณีที่ p เปนจริง q เปน จริง และ r เปนเท็จ
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 215
ท่ีทาํ ให ( p → (q ∨ r)) ∧ ( q∨ r) → p เปน เทจ็
น่นั คือ รูปแบบของประพจน ( p → (q ∨ r)) ∧ ( q∨ r) → p ไมเ ปน สจั นริ นั ดร
ดงั นัน้ การอางเหตุผลน้ไี มส มเหตุสมผล
3) สมมตใิ ห ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r)∧ r → p เปนเทจ็
จากแผนภาพ จะเหน็ วามกี รณีที่ p เปน เทจ็ q เปนจริง และ r เปนเท็จ
ทท่ี ําให ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r)∧ r → p เปนเท็จ
นนั่ คือ รูปแบบของประพจน ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r)∧ r → p ไมเ ปน สจั นริ นั ดร
ดงั นน้ั การอา งเหตุผลนไ้ี มสมเหตสุ มผล
4) สมมตใิ ห ( p → q) ∧ p ∧ r → q เปน เท็จ
จากแผนภาพ จะเห็นวา มีกรณที ่ี p เปน จริง q เปนจรงิ และ r เปนจรงิ
ที่ทําให ( p → q) ∧ p ∧ r → q เปนเทจ็
น่นั คอื รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ p ∧ r → q ไมเปนสจั นริ ันดร
ดงั นัน้ การอา งเหตผุ ลนไ้ี มส มเหตุสมผล
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
216 คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
5) สมมตใิ ห ( p → q) ∧ (r ∨ p) ∧ q ∧ (r → s) → s เปน เทจ็
ขัดแยงกนั
จากแผนภาพ จะเหน็ วาคา ความจริงของ q และ q เปน จรงิ ทั้งคู
เกิดการขัดแยง กบั ทสี่ มมตไิ วว า ( p → q) ∧ (r ∨ p) ∧ q ∧ (r → s) → s เปน เท็จ
นน่ั คือ รูปแบบของประพจน ( p → q) ∧ (r ∨ p) ∧ q ∧ (r → s) → s เปนสัจนริ นั ดร
ดังนั้น การอางเหตุผลน้สี มเหตุสมผล
2. 1) ให p แทนประพจน “พฒั นาชอบสีฟา ”
q แทนประพจน “พฒั นีชอบสชี มพ”ู
เขียนแทนขอ ความในรูปสญั ลกั ษณไดด ังนี้
เหตุ 1. p ∨ q
2. p
ผล q
ดังนั้น รูปแบบของประพจนในการอางเหตุผลน้ี คอื ( p ∨ q)∧ p → q
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนทไ่ี ดว า เปนสัจนริ ันดรห รือไม
สมมติให ( p ∨ q)∧ p → q เปน เท็จ
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 217
จากแผนภาพ จะเหน็ วามีกรณที ่ี p เปนเทจ็ และ q เปน จรงิ
ที่ทาํ ให ( p ∨ q)∧ p → q เปนเท็จ
นนั่ คอื รูปแบบของประพจน ( p ∨ q)∧ p → q ไมเ ปน สัจนิรนั ดร
ดงั นน้ั การอา งเหตุผลน้ีไมส มเหตสุ มผล
2) ให p แทนประพจน “โชคสรา งบา นหลังใหมเ สรจ็ ”
q แทนประพจน “ครอบครัวของโชคยา ยมาอยดู วย”
r แทนประพจน “โชคไดดแู ลพอ แมท ี่ชราแลว”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลกั ษณไดดังนี้
เหตุ 1. p → q
2. q → r
ผล p → r
ดงั นัน้ รูปแบบของประพจนในการอา งเหตุผลน้ี คือ
( p → q) ∧ (q → r ) → ( p → r )
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนท ีไ่ ดวา เปนสัจนิรันดรห รือไม
สมมติให ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน เทจ็
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจรงิ ของ r เปน ไดท ้งั จรงิ และเทจ็
เกิดการขดั แยง กบั ท่สี มมตไิ ววา ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน เท็จ
นั่นคอื รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ (q → r) → ( p → r) เปน สจั นริ ันดร
ดังนัน้ การอา งเหตผุ ลน้ีสมเหตุสมผล
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
218 คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
3) ให p แทนประพจน “ชัยทาํ ยอดขายตามเปา หมายที่ผจู ดั การตั้งไว”
q แทนประพจน “ชยั ไดร บั โบนัส”
เขียนแทนขอ ความในรปู สญั ลกั ษณไดดังนี้
เหตุ 1. p → q
2. p
ผล q
ดงั น้นั รูปแบบของประพจนในการอา งเหตุผลนี้ คือ ( p → q) ∧ p → q
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนท ี่ไดว า เปนสจั นิรันดรห รือไม
สมมติให ( p → q) ∧ p → q เปน เทจ็
ขดั แยง กัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คา ความจริงของ q เปน ไดท ั้งจรงิ และเท็จ
เกิดการขดั แยงกับที่สมมตไิ ววา ( p → q) ∧ p → q เปนเท็จ
นั่นคอื รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ p → q เปนสจั นริ นั ดร
ดงั นั้น การอางเหตุผลน้สี มเหตุสมผล
4) ให p แทนประพจน “องิ ฟา ซือ้ กระเปาถือสีดํา”
q แทนประพจน “อิงฟา ซอ้ื รองเทา สดี าํ ”
เขียนแทนขอ ความในรปู สัญลกั ษณไดด งั น้ี
เหตุ 1. p → q
2. q
ผล p
ดงั น้นั รปู แบบของประพจนในการอา งเหตุผลนี้ คือ ( p → q) ∧ q → p
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 219
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนท ่ไี ดวาเปนสัจนิรนั ดรห รือไม
สมมตใิ ห ( p → q) ∧ q → p เปน เทจ็
จากแผนภาพ จะเห็นวามีกรณที ่ี p เปนเทจ็ และ q เปน จรงิ
ที่ทําให ( p → q) ∧ q → p เปนเท็จ
นน่ั คอื รปู แบบของประพจน ( p → q) ∧ q → p ไมเ ปนสัจนริ นั ดร
ดังน้นั การอา งเหตุผลนไี้ มส มเหตุสมผล
5) ให p แทนประพจน “มะนาวพบคนพิการที่ขายสลากกนิ แบง รฐั บาล”
q แทนประพจน “มะนาวซ้ือสลากกินแบง รัฐบาล”
เขียนแทนขอความในรปู สญั ลกั ษณไ ดด งั น้ี
เหตุ 1. p → q
2. q
ผล p
ดงั น้นั รปู แบบของประพจนในการอางเหตุผลนี้ คอื ( p → q)∧ q → p
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนท ่ีไดวาเปน สจั นิรนั ดรหรอื ไม
สมมติให ( p → q)∧ q → p เปนเทจ็
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
220 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
ขดั แยง กนั
จากแผนภาพ จะเหน็ วาคาความจรงิ ของ p เปน ไดท้งั จริงและเทจ็
เกดิ การขดั แยงกบั ที่สมมติไวว า ( p → q)∧ q → p เปน เทจ็
น่ันคือ รูปแบบของประพจน ( p → q)∧ q → p เปนสัจนริ นั ดร
ดังนั้น การอา งเหตผุ ลนส้ี มเหตสุ มผล
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 221
แบบฝกหดั 2.8
1. ไมใชท ั้งประพจนและประโยคเปด
2. เปน ประพจน
3. เปน ประโยคเปด
4. เปนประโยคเปด
5. ไมเปนท้งั ประพจนแ ละประโยคเปด
6. ไมเปน ทั้งประพจนแ ละประโยคเปด
7. เปน ประโยคเปด
8. เปนประพจน
9. เปนประพจน
10. เปนประโยคเปด
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
222 คมู อื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 2.9
1. ให U =
1) ∀x[x ∈ → x ⋅1 =x] 2) ∃x x2 =2
3) ∃x[| x | +1 ≤ 1] 4) ∀x[x ∈ → x ∈ ]
2. 1) สําหรบั จาํ นวนจรงิ x ทกุ จํานวน ถา x < 2 แลว x2 < 4
2) สาํ หรับจาํ นวนจรงิ y ทุกจํานวน y2 − 4 = ( y − 2)( y + 2)
3) มจี ํานวนจรงิ y ซ่งึ 2y +1 =0
4) สําหรบั จาํ นวนจรงิ x บางจํานวน ถา x เปน จาํ นวนตรรกยะ แลว x2 = 2
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 223
แบบฝกหดั 2.10
1. ∀x x2 > 8 เปนเท็จ เม่ือ U= { −1, 0, 2}
เพราะวา เม่อื แทน x ดว ย 0 ใน x2 > 8 จะไดประพจนทเ่ี ปนเทจ็
2. ∃x[x < 0] เปนเทจ็ เม่อื U = { 0, 4, 7 }
เพราะวา เม่อื แทน x ดวย 0, 4 หรือ 7 ใน x < 0 จะไดประพจนที่เปน เทจ็ เสมอ
3. ∃x x2 ≥ 0 เปนจรงิ เมอื่ U =
เพราะวา เม่อื แทน x ดวย 1 ใน x2 ≥ 0 จะไดประพจนทีเ่ ปนจรงิ
4. ∀x[x +1 =4] เปน เท็จ เมื่อ U = {1, 2, 3, 4}
เพราะวา เมอื่ แทน x ดวย 1 ใน x +1=4 จะไดประพจนท เี่ ปน เทจ็
5. ∃x[5 + x ≠ 5] เปน จริง เมอ่ื U =
เพราะวา เมอื่ แทน x ดว ย 1 ใน 5 + x ≠ 5 จะไดประพจนท ี่เปน จรงิ
6. ∀x [ x เปนจาํ นวนอตรรกยะ] เปนเทจ็ เมือ่ U =
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 1 ใน x เปนจาํ นวนอตรรกยะ จะไดประพจนท ่เี ปนเท็จ
7. ∀x [ถา x เปนจํานวนคี่ แลว x เปนจาํ นวนเฉพาะ] เปนเท็จ เมื่อ U = { 0, 1, 2, 3,4,5}
เพราะวา เมือ่ แทน x ดว ย 1 ใน ถา x เปนจํานวนคี่ แลว x เปนจํานวนเฉพาะ
จะไดประพจนทีเ่ ปน เทจ็
8. ∃x [ x เปน จาํ นวนนบั หรอื เปน จาํ นวนเฉพาะ] เปนจริง เมือ่ U = { 0, 2, 4, 6}
เพราะวา เม่อื แทน x ดวย 2 ใน x เปนจํานวนนบั หรอื เปน จํานวนเฉพาะ
จะไดป ระพจนที่เปนจรงิ
9. ∀x [ x เปนจํานวนตรรกยะ] ∨ ∃x [ x เปน ตัวประกอบของ 2] เปนจริง เมอื่ U = { 0, 1, 2}
เพราะวา ∀x [ x เปน จาํ นวนตรรกยะ] เปน จรงิ เมือ่ U = { 0, 1, 2}
เนื่องจาก เมือ่ แทน x ดว ย 0, 1 หรือ 2 ใน x เปนจํานวนตรรกยะ
จะไดป ระพจนทีเ่ ปน จรงิ เสมอ
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
224 คูมอื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
10. ∃x [ x2 เปนจาํ นวนคู] ∧∀x [ถา x เปนจํานวนนบั แลว 2x เปน จํานวนคู] เปนจรงิ
เมอ่ื U = { 0, 1, 2}
เพราะวา ∃x [ x2 เปนจํานวนคู] เปนจริง เมอ่ื U = { 0, 1, 2}
เนอ่ื งจาก เมื่อแทน x ดวย 2 ใน x2 เปนจาํ นวนคู จะไดป ระพจนท ี่เปนจรงิ
และ ∀x [ถา x เปนจํานวนนบั แลว 2x เปนจาํ นวนคู] เปน จริง เมือ่ U = { 0, 1, 2}
เนอื่ งจาก เม่อื แทน x ดวย 0, 1 หรือ 2 ใน ถา x เปน จํานวนนับ แลว 2x เปน จาํ นวนคู
จะไดป ระพจนท่เี ปนจรงิ เสมอ
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 225
แบบฝก หดั 2.11
1. 1) ให P( x) แทน x > 0 และ Q( x) แทน x2 > 0
เนอ่ื งจาก P( x) → Q( x) สมมลู กบั P( x) ∨ Q( x)
จะได ∀x x > 0 → x2 > 0 สมมลู กบั ∀x x ≤ 0 ∨ x2 > 0
ดงั นัน้ ขอความทก่ี าํ หนดใหส มมลู กับขอความในขอ (ข)
2) ให P( x) แทน x + 2 =5 และ Q( x) แทน x ∈
เนือ่ งจาก P( x) ∧ Q( x) สมมลู กับ Q( x) ∧ P( x)
จะได ∃x[x + 2 = 5 ∧ x ∈] สมมลู กบั ∃x[x ∈ ∧ x + 2 =5]
ดังนน้ั ขอ ความที่กาํ หนดใหสมมูลกับขอ ความในขอ (ก)
3) ให P( x) แทน x ≥ 0
เนอื่ งจาก ∀x P( x) สมมลู กบั ∃x P( x)
จะได ∀x[x ≥ 0] สมมลู กบั ∃x[x < 0]
ดังนัน้ ขอความท่ีกําหนดใหส มมูลกบั ขอความในขอ (ก)
4) ให P( x) แทน x = 4 และ Q( x) แทน x ≠ 16
เนอื่ งจาก ∃x[P(x) ∧ Q(x)] สมมูลกบั ∀x (P( x) ∧ Q( x))
สมมูลกบั ∀x P( x)∨ Q( x)
สมมูลกบั ∀x P( x) → Q( x)
จะได ∃x x = 4 ∧ x ≠ 16 สมมลู กับ ∀x x = 4 → x =16
ดังน้นั ขอ ความทีก่ ําหนดใหสมมูลกับขอความในขอ (ข)
5) ให P( x) แทน x ∈ และ Q( x) แทน x ∈
เน่อื งจาก ∀x[P(x)] → ∃x[Q(x)] สมมลู กับ ∃x[Q(x)] → ∀x[P(x)]
สมมูลกบั ∀x[ Q(x)] → ∃x[ P(x)]
จะได ∀x[x ∈] → ∃x[x ∈] สมมลู กับ ∀x[x ∉] → ∃x[x ∉]
ดงั นั้น ขอ ความทก่ี ําหนดใหส มมลู กบั ขอความในขอ (ข)
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
226 คมู ือครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
6) ให P( x) แทน x + 2 > 5 และ Q( x) แทน x2 ≤ 0
เนือ่ งจาก (∃x[P(x)] ∧ ∃x[Q(x)]) สมมลู กบั ∃x[P(x)]∨ ∃x[Q(x)]
สมมลู กับ ∀x[ P(x)] ∨ ∀x[ Q(x)]
( )จะได ∃x[x + 2 > 5] ∧ ∃x x2 ≤ 0 สมมลู กบั ∀x[x + 2 ≤ 5] ∨ ∀x x2 > 0
ดงั น้นั ขอ ความที่กําหนดใหส มมูลกบั ขอความในขอ (ก)
7) ให P(x) แทน “x เปนจาํ นวนเฉพาะ”
ขอความที่กาํ หนดเขยี นแทนดว ยสัญลักษณ ∃x P(x) เมอ่ื U เปนเซตของจาํ นวนคี่
เนอื่ งจาก ∃x P( x) เม่ือ U เปนเซตของจาํ นวนค่ี สมมลู กับ ∀x P( x)
เม่อื U เปน เซตของจํานวนค่ี
จะไดว า ขอ ความ “มีจํานวนค่ีบางจาํ นวนไมใชจาํ นวนเฉพาะ” สมมูลกบั ขอ ความ
“ไมจรงิ ทวี่ า จํานวนคท่ี กุ จาํ นวนเปนจาํ นวนเฉพาะ”
ดงั นนั้ ขอความท่ีกําหนดใหส มมูลกบั ขอ ความในขอ (ก)
8) ให P(x) แทน “x เปน เซตจํากดั ”
ขอความทีก่ าํ หนดเขยี นแทนดว ยสัญลกั ษณ ∃x P(x) เมอ่ื U เปนเซตของสบั เซต
ของเซตอนันต
เนอ่ื งจาก ∃x P(x) เมื่อ U เปน เซตของสับเซตของเซตอนันต
สมมูลกบั ∀x P(x) เม่ือ U เปน เซตของสบั เซตของเซตอนนั ต
จะไดวา ขอความ “ไมจริงทีว่ า มีสับเซตของเซตอนันตเปน เซตจาํ กัด” สมมลู กบั ขอความ
“สับเซตของเซตอนันตเ ปนเซตอนนั ต”
ดงั นน้ั ขอความท่ีกําหนดใหสมมลู กบั ขอความในขอ (ข)
2. 1) นเิ สธของ ∃x[x + 2 ≤ 0] เขยี นแทนดวย ∃x[x + 2 ≤ 0] ซึง่ สมมูลกับ ∀x[x + 2 > 0]
ดงั นั้น นิเสธของ ∃x[x + 2 ≤ 0] คือ ∀x[x + 2 > 0]
2) นิเสธของ ∀x[x ≠ 0] → ∃x[x > 0] เขยี นแทนดว ย (∀x[x ≠ 0] → ∃x[x > 0])
ซ่งึ สมมลู กับ ( ∀x[x ≠ 0] ∨ ∃x[x > 0]) และสมมลู กับ ∀x[x ≠ 0] ∧ ∀x[x ≤ 0]
ดังนนั้ นิเสธของ ∀x[x ≠ 0] → ∃x[x > 0] คือ ∀x[x ≠ 0] ∧ ∀x[x ≤ 0]
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 227
3) นิเสธของ ∀x x2 < 0 → x < 0 เขยี นแทนดว ย ∀x x2 < 0 → x < 0
ซ่งึ สมมลู กับ ( ∀x x2 < 0) ∨ x < 0 และสมมูลกบั ∃x x2 < 0 ∧ x ≥ 0
ดงั นนั้ นเิ สธของ ∀x x2 < 0 → x < 0 คอื ∃x x2 < 0 ∧ x ≥ 0
4) นเิ สธของ ∃x x > 2 ∨ ( x +1≥1) เขยี นแทนดวย ∃x x > 2 ∨ ( x +1≥1)
ซ่ึงสมมลู กบั ∀x[x ≤ 2 ∧ x +1≥1]
ดงั นน้ั นิเสธของ ∃x x > 2 ∨ ( x +1≥1) คือ ∀x[x ≤ 2 ∧ x +1≥1]
5) นเิ สธของ ∃x P( x) ∧ Q( x) เขียนแทนดว ย ∃x P( x) ∧ Q( x)
ซง่ึ สมมลู กบั ∀x P( x) ∨Q( x)
ดงั นัน้ นิเสธของ ∃x P( x) ∧ Q( x) คอื ∀x P( x) ∨Q( x)
6) ให P(x) แทน “ x เปน จํานวนจรงิ ”
ขอ ความทีก่ าํ หนดแทนดวยสญั ลักษณ ∀x P(x), U =
โดยทน่ี เิ สธของ ∀x P( x), U = เขียนแทนดวย ∀x P( x), U =
ซงึ่ สมมลู กับ ∃x P( x), U =
ดังน้ัน นิเสธของขอ ความ “จาํ นวนตรรกยะทุกจํานวนเปนจํานวนจรงิ ” คอื
“มีจาํ นวนตรรกยะบางจํานวนทไ่ี มเปน จํานวนจริง”
7) ให P(x) แทน x เปนจํานวนจรงิ
ขอ ความที่กําหนดแทนดว ยสญั ลกั ษณ ∃x P(x), U =
โดยท่นี ิเสธของ ∃x P( x), U = เขียนแทนดวย ∃x P( x), U =
ซง่ึ สมมลู กับ ∀x P( x), U =
ดังนั้น นเิ สธของขอความ “จาํ นวนเตม็ บางจาํ นวนเปน จํานวนจริง” คอื
“จํานวนเต็มทุกจํานวนไมเ ปนจาํ นวนจรงิ ”
8) ให P( x) แทน x ≤ 0
Q( x) แทน x2 ≠ 0
ขอ ความทก่ี ําหนดแทนดว ยสญั ลกั ษณ ∃x P( x) ∧ ∃x Q( x)
โดยทน่ี ิเสธของ ∃x P( x) ∧ ∃x Q( x) เขยี นแทนดวย (∃x P( x) ∧ ∃x Q( x))
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
228 คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
ซงึ่ สมมลู กับ ∃x P( x) ∨ ∃x Q( x)
แสะสมมูลกับ ∀x P( x) ∨ ∀x Q( x)
ดังน้นั นิเสธของขอ ความ “จาํ นวนจริงบางจาํ นวนนอ ยกวาหรอื เทา กบั ศูนย และ
มีจาํ นวนจริงบางจาํ นวน เมือ่ ยกกําลังสองแลว ไมเ ทา กับศูนย” คอื “จํานวนจรงิ
ทกุ จํานวนมากกวา ศนู ย หรอื จาํ นวนจริงทุกจาํ นวนเม่อื ยกกาํ ลังสองแลวเทา กับศูนย”
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 229
แบบฝก หดั ทา ยบท
1. 1) ไมเปนประพจน
2) เปนประพจน ทีม่ คี า ความจรงิ เปน จริง
3) เปน ประพจน ทมี่ คี า ความจรงิ เปนจรงิ
4) เปน ประพจน ท่ีมคี า ความจริงเปน เท็จ
5) ไมเปน ประพจน
6) เปน ประพจน ท่มี ีคา ความจรงิ เปนเท็จ
7) ไมเ ปน ประพจน
8) ไมเปนประพจน
9) เปนประพจน ทม่ี คี า ความจรงิ เปน จริง
10) เปน ประพจน ทมี่ ีคา ความจรงิ เปน จรงิ
2. 1) นิเสธของประพจน −20 + 5 > −17 คือ −20 + 5 ≤ −17 มีคา ความจรงิ เปนเท็จ
2) นิเสธของประพจน 37 ไมเปน จํานวนเฉพาะ คือ 37 เปน จาํ นวนเฉพาะ
มคี า ความจรงิ เปนจรงิ
3) นเิ สธของประพจน 2 ∈ คือ 2 ∉ มีคา ความจริงเปนจริง
4) นิเสธของประพจน ⊂ คอื ⊄ มีคา ความจรงิ เปน เทจ็
3. ตัวอยา งคําตอบ
• π ไมเปน จาํ นวนตรรกยะ
• นิดาและนัดดาเปน นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4
• รูปสเ่ี หล่ยี มอาจเปน รูปส่ีเหลย่ี มมุมฉากหรือรปู สเ่ี หลย่ี มดานขนานกไ็ ด
• ถา น้ํามนั ดิบในตลาดโลกมีราคาสูงขึน้ แลวรฐั บาลไทยจะตรึงราคาขายปลีกน้าํ มนั ไว
กอนเพอ่ื ไมใ หป ระชาชนตองเดอื ดรอน
• รูปสามเหลีย่ ม ABC เปน รปู สามเหล่ยี มดา นเทาก็ตอ เมือ่ รูปสามเหลี่ยม ABC
มดี า นยาวเทา กนั ทกุ ดาน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
230 คมู อื ครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
4. จากประพจนท ีก่ ําหนดให จะไดว าประพจน p, q และ r มคี าความจริงเปน จริง จริง
และเท็จ ตามลาํ ดบั
1) วิธีที่ 1 จาก p เปน จริง และ q เปนจรงิ จะได p ∧ q เปนจรงิ
จาก p ∧ q เปน จริง และ r เปนเท็จ จะได ( p ∧ q) ∨ r เปน จรงิ
ดังนั้น ( p ∧ q) ∨ r มีคาความจรงิ เปน จริง
วธิ ีที่ 2 กาํ หนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ
ดังน้นั ( p ∧ q) ∨ r มคี า ความจรงิ เปน จริง
2) วิธีที่ 1 จาก q เปน จริง จะได q เปนเทจ็
จาก q เปน เท็จ และ r เปนเท็จ จะได q ∨ r เปนเทจ็
จาก q ∨ r เปนเท็จ และ p เปนจริง จะได ( q ∨ r) ∧ p เปนเทจ็
ดังนั้น ( q ∨ r) ∧ p มีคา ความจริงเปน เทจ็
วธิ ที ่ี 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็
T
FF
FT
F
ดงั นนั้ ( q ∨ r) ∧ p มีคาความจรงิ เปน เท็จ
3) วธิ ีที่ 1 จาก p เปน จริง จะได p เปนเทจ็
และจาก r เปน เท็จ จะได r ↔ p เปน จริง
ดงั น้นั r ↔ p มีคา ความจรงิ เปน จริง
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 231
วิธที ่ี 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็
T
FF
T
ดังนัน้ r ↔ p มคี า ความจรงิ เปนจรงิ
4) วิธที ี่ 1 จาก p เปนจรงิ จะได p เปน เทจ็
จาก r เปนเท็จ จะได r เปนจรงิ
จะได p∨ r เปน จรงิ
ดังนัน้ p∨ r มคี า ความจรงิ เปนจริง
วธิ ที ี่ 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็
TF
ดงั น้นั p∨ r มคี าความจริงเปน จริง
5) วิธที ี่ 1 จาก p เปนจรงิ และ q เปน จริง จะได p ∧ q เปน จรงิ
จาก q เปน จรงิ และ r เปนเทจ็ จะได q ∧ r เปนเทจ็
จาก p ∧ q เปนจรงิ และ q ∧ r เปน เท็จ
จะได ( p ∧ q) → (q ∧ r) เปน เทจ็
ดงั น้ัน ( p ∧ q) → (q ∧ r) มีคาความจรงิ เปนเทจ็
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
232 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
วธิ ีที่ 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเท็จ
ดังนน้ั ( p ∧ q) → (q ∧ r) มคี าความจรงิ เปนเทจ็
5. 1) ให p แทนประพจน “4 เปนจาํ นวนเฉพาะ”
และ q แทนประพจน “4 เปนจาํ นวนคี่”
ดังนั้น ขอความ “ถา 4 เปนจํานวนเฉพาะ แลว 4 เปนจํานวนคี่” แทนดวย p → q
จาก p เปน เทจ็ จะได p → q เปน จรงิ
ดังนน้ั ขอ ความ “ถา 4 เปนจาํ นวนเฉพาะ แลว 4 เปน จาํ นวนคี่” มคี า ความจริงเปน จรงิ
2) ให p แทนประพจน “ 3 ≥ 2 ”
และ q แทนประพจน “ −2 ≥ −3 ”
ดังน้นั ขอ ความ “ 3 ≥ 2 และ −2 ≥ −3 ” แทนดว ย p ∧ q
จาก p เปน จรงิ และ q เปนจริง จะได p ∧ q เปน จรงิ
ดังน้ัน ขอความ “3 ≥ 2 และ −2 ≥ −3” มีคาความจรงิ เปน จรงิ
3) ให p แทนประพจน “100 กิโลกรมั เทากับ 1 ตัน”
และ q แทนประพจน “10 ขีด เทา กับ 1 กโิ ลกรมั ”
ดังน้ัน ขอ ความ “100 กโิ ลกรมั เทา กบั 1 ตัน หรอื 10 ขีด เทากับ 1 กิโลกรมั ”
แทนดวย p ∨ q
จาก q เปนจรงิ จะได p ∨ q เปน จรงิ
ดงั นั้น ขอความ “100 กโิ ลกรมั เทา กับ 1 ตัน หรอื 10 ขีด เทา กบั 1 กโิ ลกรมั ”
มีคาความจรงิ เปน จรงิ
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 233
4) ให p แทนประพจน “{x∈ | 3 < x < 4} เปน เซตวา ง”
และ q แทนประพจน “{x∈ | x2 =1} ไมเ ปนเซตวา ง”
ดงั น้ัน ขอความ “{x∈ | 3 < x < 4} เปนเซตวา ง หรือ {x∈ | x2 =1} ไมเปน
เซตวา ง” แทนดว ย p ∨ q
จาก p เปนจรงิ จะได p ∨ q เปน จรงิ
ดังน้นั ขอความ “{x∈ | 3 < x < 4} เปนเซตวา ง หรือ {x∈ | x2 =1} ไมเ ปน
เซตวา ง” มคี าความจรงิ เปนจรงิ
5) ให p แทนประพจน “ A ∪ A =A ”
และ q แทนประพจน “ A − ∅ =U ”
ดังนนั้ ขอความ “ A ∪ A =A และ A − ∅ =U ” แทนดวย p ∧ q
จาก q เปนเท็จ จะได p ∧ q เปน เท็จ
ดังนน้ั ขอ ความ “ A ∪ A =A และ A − ∅ =U ” มีคา ความจริงเปนเทจ็
6) ให p แทนประพจน “เตาเปน สตั วเลือ้ ยคลาน”
และ q แทนประพจน “จระเขเปน สตั วเล้ือยคลาน”
ดังนน้ั ขอความ “เตาและจระเขเ ปนสตั วเลอ้ื ยคลาน” แทนดวย p ∧ q
จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p ∧ q เปน จรงิ
ดงั นน้ั ขอ ความ “เตา และจระเขเ ปนสตั วเลอ้ื ยคลาน” มีคา ความจริงเปนจรงิ
7) ให p แทนประพจน “ −1 เปน จาํ นวนนบั ”
และ q แทนประพจน 1 เปนจาํ นวนเตม็ ”
“
3
ดงั นั้น ขอความ “ −1 เปนจาํ นวนนับ และ 1 เปน จํานวนเตม็ ” แทนดวย p ∧ q
3
จาก p เปน เท็จ จะได p ∧ q เปน เทจ็
ดงั นน้ั ขอความ “ −1 เปน จํานวนนบั และ 1 เปน จํานวนเตม็ ” มีคา ความจริงเปน เทจ็
3
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
234 คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
8) ให p แทนประพจน “ผลคณู ของ 4 กบั −4 นอ ยกวา −12 ”
และ q แทนประพจน “ −12 ไมเ ทา กับ 4 ลบดว ย 16 ”
ดงั นน้ั ขอ ความ “ผลคณู ของ 4 กบั −4 นอ ยกวา −12 หรือ −12 ไมเ ทา กบั
4 ลบดว ย 16 ” แทนดว ย p ∨ q
จาก p เปน จริง จะได p ∨ q เปน จรงิ
ดังนน้ั ขอความ “ผลคณู ของ 4 กบั −4 นอยกวา −12 หรอื −12 ไมเทา กบั 4 ลบดวย 16”
มีคาความจรงิ เปน จริง
9) ให p แทนประพจน “จงั หวดั อุบลราชธานอี ยใู นภาคใตข องประเทศไทย”
และ q แทนประพจน “จังหวัดอุดรธานอี ยใู นภาคเหนอื ของประเทศไทย”
ดังน้นั ขอ ความ “ถา จังหวัดอุบลราชธานไี มอยใู นภาคใตข องประเทศไทย แลว
จังหวดั อุดรธานอี ยูในภาคเหนอื ของประเทศไทย” แทนดว ย p → q
จาก p เปน เทจ็ จะได p เปนจรงิ และจาก q เปน เทจ็ จะได p → q เปนเท็จ
ดังนั้น ขอ ความ “ถา จังหวัดอุบลราชธานีไมอ ยใู นภาคใตข องประเทศไทย แลวจังหวดั
อดุ รธานีอยูในภาคเหนือของประเทศไทย” มคี าความจรงิ เปนเท็จ
10) ให p แทนประพจน “ 5 เปนจาํ นวนตรรกยะ”
q แทนประพจน “ 5 เปน จาํ นวนตรรกยะ”
และ r แทนประพจน “ 25 ไมเปนจํานวนอตรรกยะ”
ดังนน้ั ขอความ “ถา 5 และ 5 เปน จาํ นวนตรรกยะ แลว 25 ไมเปน จํานวน
อตรรกยะ” แทนดวย ( p ∧ q) → r
จาก q เปน เทจ็ จะได p ∧ q เปนเทจ็
จะได ( p ∧ q) → r เปน จริง
ดังนั้น ขอความ “ถา 5 และ 5 เปนจาํ นวนตรรกยะ แลว 25 ไมเปน
จาํ นวนอตรรกยะ” มีคาความจริงเปน จรงิ
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 235
11) ให p แทนประพจน “ขนาดของมมุ ภายในทงั้ สามมมุ ของรูปสามเหล่ียม
รวมกันเทากบั 180 องศา”
และ q แทนประพจน “มุมฉากคอื มมุ ที่มขี นาดเทา กบั 180 องศา”
ดงั น้ัน ขอความ “ขนาดของมุมภายในทั้งสามมุมของรูปสามเหลย่ี มรวมกัน
เทา กับ 180 องศา กต็ อเมอ่ื มมุ ฉากคือมุมที่มีขนาดเทากบั 180 องศา”
แทนดว ย p ↔ q
จาก p เปน จรงิ และ q เปนเท็จ จะได p ↔ q เปนเทจ็
ดงั น้นั ขอ ความ “ขนาดของมมุ ภายในทั้งสามมมุ ของรปู สามเหลยี่ มรวมกนั
เทา กบั 180 องศา ก็ตอเมอื่ มมุ ฉากคือมมุ ท่มี ีขนาดเทากบั 180 องศา”
มีคาความจริงเปน เท็จ
12) ให p แทนประพจน “ 6 เปนจํานวนคู”
q แทนประพจน “3 เปน จาํ นวนเฉพาะ”
และ r แทนประพจน “9 เปน จาํ นวนเฉพาะ”
ดังนั้น ขอ ความ “6 เปนจาํ นวนคู ก็ตอเมือ่ 3 หรือ 9 เปน จํานวนเฉพาะ”
แทนดว ย p ↔ (q ∨ r)
จาก q เปนจริง จะได q ∨ r เปน จรงิ
และจาก p เปน จริง จะได p ↔ (q ∨ r) เปน จรงิ
ดงั นนั้ ขอความ “6 เปนจาํ นวนคู ก็ตอ เมอื่ 3 หรอื 9 เปน จาํ นวนเฉพาะ”
มคี าความจรงิ เปน จรงิ
6. 1) จาก p → q มีคา ความจรงิ เปนเท็จ จะได p เปนจริง และ q เปนเทจ็
หาคาความจรงิ ของ ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q)
วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ q เปนเทจ็
จะได p ∨ q เปน เทจ็ และ p ∨ q เปนจรงิ
จาก p ∨ q เปน เท็จ และ p ∨ q เปน จรงิ
จะได ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q) เปน เท็จ
ดังนั้น ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q) มีคาความจริงเปน เท็จ
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
236 คูมือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
วธิ ีท่ี 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
T
ดังนนั้ ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q) มคี า ความจรงิ เปน เทจ็
2) วธิ ที ่ี 1 จาก p ∨ ( q) ∨ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ q) ∨ ( p ∧ q) มคี า ความจรงิ
เปน จรงิ จะได p ∨ ( q) ∨ ( p ∨ q) มคี าความจรงิ เปนจริง
และ ( p ∨ q) ∨ ( p ∧ q) มคี า ความจริงเปนจริง
จาก ( p ∧ q) มีคาความจรงิ เปนเทจ็ และ ( p ∨ q) ∨ ( p ∧ q)
มีคา ความจริงเปน จริง จะได ( p ∨ q) มีคาความจรงิ เปนจริง
น่ันคือ ( p ∨ q) มคี าความจรงิ เปน เทจ็
จะได p เปน เท็จ และ q เปน เทจ็ ซึง่ ทําให p ∨ ( q) ∨ ( p ∨ q)
มีคาความจรงิ เปน จริงตามทีก่ าํ หนดไว
ดังนัน้ p เปน เทจ็ และ q เปน เทจ็
วธิ ีที่ 2 กาํ หนดให T แทนจริง และ F แทนเทจ็
ดังนน้ั p เปน เทจ็ และ q เปน เท็จ
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 237
3) วธิ ที ่ี 1 จาก p ∧ ( q → r) → ( s ∨ r) มีคาความจริงเปนเท็จ
จะได p ∧ ( q → r) มคี าความจรงิ เปนจริง
และ s ∨ r มคี าความจรงิ เปน เท็จ
จาก s ∨ r มคี า ความจรงิ เปน เท็จ จะได s เปนจรงิ และ r เปน เท็จ
จาก p ∧ ( q → r) มคี าความจรงิ เปนจริง
จะได p เปน จริง และ q → r เปน จรงิ
จาก q → r เปนจรงิ และ r เปนเทจ็ จะได q เปนจริง
ดังนนั้ p เปนจรงิ q เปนจรงิ r เปนเทจ็ และ s เปน จริง
วธิ ีท่ี 2 กําหนดให T แทนจรงิ และ F แทนเทจ็
ดงั นนั้ p เปน จริง q เปน จริง r เปนเท็จ และ s เปน จริง
7. 1) วิธที ่ี 1 สรางตารางคาความจริงของ p → ( q ∧ r) กบั ( p → q) ∨ ( p → r)
ไดดังนี้
p q r q q ∧ r p → q p →r p →( q ∧ r) ( p → q)∨ ( p → r)
TTT F FF TF T
TTF F FF FF F
TFT T TT TT T
TFF T FT FF T
FTT F FT TT T
FTF F FT TT T
FFT T TT TT T
FFF T FT TT T
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี