บทที่ 3 | จํานวนจรงิ
138 คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
3.7 ตวั อยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยา งแบบทดสอบประจําบท
ในสวนน้ีจะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทท่ี 3 จํานวนจริง สําหรับรายวิชาเพิ่มเติม
คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 ซึ่งครูสามารถเลอื กนําไปใชไดตามจดุ ประสงคการเรยี นรูที่
ตอ งการวัดผลประเมินผล
ตัวอยา งแบบทดสอบประจาํ บท
1. จงพจิ ารณาวา จาํ นวนท่ีกาํ หนดให จาํ นวนใดบางเปนจํานวนนับ จํานวนเตม็ จํานวนตรรกยะ
หรือจาํ นวนอตรรกยะ
3 1.01001000100001… −3 28 ( −25) ⋅ ( 1
4 2
−5)
( )π 2
5 1− 7 2.334444444…
49
2. จงยกตัวอยางจํานวนตรรกยะ a และ b ท่แี ตกตา งกัน ซง่ึ ทําให
1) a − b เปนจาํ นวนตรรกยะ 2) a − b เปน จาํ นวนอตรรกยะ
3) ab เปนจํานวนตรรกยะ 4) ab เปน จาํ นวนอตรรกยะ
5) a เปนจาํ นวนตรรกยะ 6) a เปน จาํ นวนอตรรกยะ
b b
3. ให x และ y เปน จํานวนจริงใด ๆ และ x ∗ y =xy
x− y
จงพจิ ารณาวา การดําเนนิ การ ∗ มีสมบัตกิ ารสลบั ทีห่ รือไม
4. จงหาเศษเหลือจากการหาร 4x3 + 3x2 + 2x +1 ดว ย x −1
5. ถาเศษเหลือท่ไี ดจากการหาร x2 + 3kx ดว ย x −1 และ x − 2 เทากันแลว จงหา k
6. ให a และ b เปน จาํ นวนจริงใด ๆ จงหา
1) a ที่ทําใหเ ม่ือหารพหนุ าม x4 − ax +1 ดวย x − 2 แลวไดเ ศษเหลือเทากับ 3
2) a และ b ท่ีทาํ ใหเมอ่ื หารพหุนาม x3 + ax2 + bx −1 ดวย x2 + x +1 แลวได
เศษเหลอื เทากบั x + 2
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 139
คูมอื ครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
7. จงแยกตัวประกอบของพหุนามตอ ไปน้ี
1) x3 − 4x2 − 3x +18 2) 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3
8. จงหาจาํ นวนเตม็ k ทั้งหมด ที่ทาํ ใหส มการ x3 − kx + 2 =0 มคี ําตอบทีเ่ ปน จาํ นวนตรรกยะ
9. จงหาเซตคาํ ตอบของสมการตอ ไปนี้
1) x3 − 5x2 +12 =8x 2) x4 + x2 = 2x3 + 4
3) 2x3 + 5x2 − 4x − 3 =0
10. จงหาผลลพั ธในรปู ผลสําเร็จ
1) 3x − 6 ÷ x2 − 2x 2) x − 2 ⋅ x
−
x2 −1 x3 − 2x2 + 2x −1 ( x −1)( x − 2) ( x − 1)( x − 3) x 4
11. จงหาจํานวนจริง a, b และ c ที่ทาํ ให ( )x2 + bx +=c a + 2x − 3
2x −1 x2 + 2
x2 + 2 (2x +1)
12. จงหาเซตคําตอบของสมการ 3 + 1 =4
x −1 x2 − 3x + 2 x2 −1
13. จงหาเซตคําตอบของอสมการ x( x +1)2 ( x − 3)3
( x −1)( x − 5)4 ≤ 0
14. จงหาเซตคําตอบของสมการตอไปน้ี
1) x + 2 =5 2) x2 − 4 =4 − x2
15. จงหาเซตคาํ ตอบของอสมการตอไปนี้
1) x2 − 5 ≥ 4 2) 2x + 7 < 9
3 x −1 −1
3) ≤ 1
x −1 +1
16. กระดาษแขง็ รปู ส่เี หลยี่ มมมุ ฉากแผนหน่งึ กวา ง 3 ฟุต และยาว 4 ฟตุ เมอ่ื ตัดมุมกระดาษทั้งส่ี
ออกเปน รปู สเี่ หลี่ยมจัตุรสั ทยี่ าวดานละ x ฟุต จะสามารถประกอบเปน กลองทรงสี่เหลยี่ ม
มมุ ฉากซง่ึ ไมม ฝี าปด ได ถากลอ งดังกลา วมีปริมาตร 2 ลูกบาศกฟตุ จงหาคาของ x
17. จงหาจาํ นวนจรงิ a ทงั้ หมดทที่ าํ ใหส มการ x2 − ax − a + 3 =0 มีคาํ ตอบเปนจาํ นวนจริง
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ
140 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
เฉลยตัวอยา งแบบทดสอบประจาํ บท
1. พจิ ารณาวา จาํ นวนที่กําหนดให จาํ นวนใดบา งเปน จาํ นวนนบั จํานวนเต็ม จาํ นวนตรรกยะ
หรือจํานวนอตรรกยะ ไดด ังน้ี
จาํ นวนทีก่ าํ หนดให จํานวนนบั จํานวนเตม็ จาํ นวนตรรกยะ จาํ นวนอตรรกยะ
3 –
1.01001000100001… – –
−3 –
–– –
–
4
28
2
( −25) ⋅ ( 1
−5)
π –– –
5 –– –
1− 7
2.334444444… – – –
( )4 9 2 –
2. ตวั อยางคําตอบ
1) a= 1+ 2 และ b = 2
2) a = 2 2 และ b = 2
3) a = 2 2 และ b = 2
4) a = 2 และ b = 3
5) a = 2 2 และ b = 2
6) a = 6 และ b = 2
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 141
คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
3. ให x และ y เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ และ x ∗ y =xy
x− y
จะได y ∗ x = yx =− xy
y−x x−y
เนอ่ื งจาก xy ≠ − xy สําหรบั ทุกจาํ นวนจริง x และ y
x−y x−y
จะไดว า x ∗ y ≠ y ∗ x สําหรับทุกจาํ นวนจรงิ x และ y
ดงั นนั้ การดาํ เนินการ ∗ ไมม สี มบตั ิการสลบั ท่ี
4. ให p ( x) = 4x3 + 3x2 + 2x +1
จากทฤษฎีบทเศษเหลอื เมื่อหาร p(x) ดว ย x −1 จะไดเ ศษเหลอื คอื p(1) โดยท่ี
p(1) = 4(1)3 + 3(1)2 + 2(1) +1
= 10
ดงั นนั้ เศษเหลือ คือ 10
5. ให p( x=) x2 + 3kx
จากทฤษฎบี ทเศษเหลอื เมอื่ หาร p(x) ดวย x −1 จะไดเ ศษเหลอื คอื p(1)
และเมือ่ หาร p(x) ดว ย x − 2 จะไดเศษเหลือ คอื p(2) โดยที่
p(1) = (1)2 + 3k (1) = 1+ 3k
และ p(2) = (2)2 + 3k (2) = 4 + 6k
เนื่องจาก เศษเหลอื ท่ไี ดจากการหาร x2 + 3kx ดวย x −1 และ x − 2 เทา กนั
นนั่ คือ p(1) = p(2)
จะได 1+ 3k =4 + 6k
ดงั นน้ั k = −1
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
142 คมู อื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
6. ให a และ b เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ
1) ให p( x) = x4 − ax +1
จากทฤษฎบี ทเศษเหลือ เมอ่ื หาร p(x) ดวย x − 2 จะไดเ ศษเหลือ คอื p(2)
เนอื่ งจาก เม่อื หารพหุนาม x4 − ax +1 ดว ย x − 2 แลวไดเ ศษเหลือเทากบั 3
น่นั คือ p(2) = 24 − a(2) +1= 3
ดงั นนั้ a = 7
2) พิจารณาการหารยาวดงั น้ี
x + (a −1)
x2 + x +1 x3 + ax2 + bx − 1
x3 + x2 + x
(a −1)x2 + (b −1)x − 1
(a −1)x2 + (a −1)x + (a −1)
(b − a)x − a
จากการหารยาว จะไดว า เศษเหลอื จากการหารพหุนาม x3 + ax2 + bx −1 ดวย
x2 + x +1 เทากับ (b − a) x − a
เน่ืองจากโจทยก าํ หนดวา เศษเหลอื จากการหารพหนุ าม x3 + ax2 + bx −1 ดว ย
x2 + x +1 เทา กบั x + 2
จะไดวา (b − a) x − a = x + 2
ดงั น้ัน a = −2 และ b = −1
7. 1) ให p ( x) = x3 − 4x2 − 3x +18
เน่ืองจากจาํ นวนเต็มทีห่ าร 18 ลงตวั คอื ±1, ± 2, ± 3, ± 6, ± 9, ±18
พิจารณา p(−2)
p (−2) =(−2)3 − 4(−2)2 − 3(−2) +18 =0
จะเห็นวา p(−2) =0 ดังนนั้ x + 2 เปนตัวประกอบของ x3 − 4x2 − 3x +18
นํา x + 2 ไปหาร x3 − 4x2 − 3x +18 ไดผลหารเปน x2 − 6x + 9
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 143
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
นั่นคือ ( )x3 − 4x2 − 3x +18 = ( x + 2) x2 − 6x + 9
= ( x + 2)( x − 3)2
ดังน้ัน x3 − 4x2 − 3x +18 = ( x + 2)( x − 3)2
2) ให p ( x) = 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3
เน่ืองจากจาํ นวนเต็มที่หาร 3 ลงตัว คอื ±1, ± 3
และจาํ นวนเต็มทห่ี าร 2 ลงตัว คือ ±1, ± 2
พิจารณา p(−3)
p (−3) = 2(−3)4 + 5(−3)3 − 2(−3)2 + 4(−3) + 3 = 0
จะเหน็ วา p(−3) =0 ดงั นั้น x + 3 เปน ตวั ประกอบของ 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3
นํา x + 3 ไปหาร 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 ไดผลหารเปน 2x3 − x2 + x +1
ดงั นน้ั 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 = ( x + 3)(2x3 − x2 + x +1)
ให q ( x)= 2x3 − x2 + x +1
เนอ่ื งจากจาํ นวนเตม็ ท่หี าร 1 ลงตวั คอื ±1
และจํานวนเตม็ ที่หาร 2 ลงตวั คือ ±1, ± 2
พจิ ารณา q − 1
2
q − 1 = 2 − 1 3 − − 1 2 + − 1 + 1= 0
2 2 2 2
จะเห็นวา q − 1 =0 ดงั น้นั x + 1 เปน ตวั ประกอบของ 2x3 − x2 + x +1
2
2
นํา x + 1 ไปหาร 2x3 − x2 + x +1 ไดผลหารเปน 2x2 − 2x + 2
2
นั่นคือ ( )2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 = ( 3) 1
x + x + 2 2x2 − 2x + 2
= ( x + 3) x + 1 ⋅ 2( x2 − x + 1)
2
= ( x + 3)(2x +1)( x2 − x +1)
ดังน้นั 2x4 + 5x3 − 2x2 + 4x + 3 = ( x + 3)(2x +1)( x2 − x +1)
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง
144 คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
8. ให p( x) = x3 − kx + 2
เนื่องจากจํานวนเต็มทีห่ าร 2 ลงตวั คือ ±1, ± 2
ถา x +1 เปน ตัวประกอบของ x3 − kx + 2 นน่ั คอื p(−1) =0
จะได (−1)3 − k (−1) + 2 = 0
ดังน้นั k = −1
ถา x −1 เปนตัวประกอบของ x3 − kx + 2 นน่ั คอื p(1) = 0
จะได 13 − k (1) + 2 = 0
ดงั น้ัน k = 3
ถา x + 2 เปนตวั ประกอบของ x3 − kx + 2 น่ันคอื p(−2) =0
จะได (−2)3 − k (−2) + 2 = 0
ดงั น้ัน k = 3
ถา x − 2 เปนตัวประกอบของ x3 − kx + 2 นน่ั คอื p(2) = 0
จะได 23 − k (2) + 2 = 0
ดงั นัน้ k = 5
จะได จํานวนเต็ม k ที่เปนไปไดท ัง้ หมด คอื −1, 3 หรือ 5
9. 1) จาก x3 − 5x2 +12 =8x
จัดรูปสมการใหมไดเปน x3 − 5x2 − 8x +12 =0
เนื่องจาก (x3 − 5x2 − 8x +12 = ( x −1) x2 − 4x −12) = ( x −1)( x + 2)( x − 6)
จะได ( x −1)( x + 2)( x − 6) =0
ดังน้นั x −1 =0 หรอื x + 2 =0 หรอื x − 6 =0
จะได x = 1 หรือ x = − 2 หรือ x = 6
ดังนัน้ เซตคาํ ตอบของสมการ คือ { − 2, 1, 6}
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 145
คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
2) จาก x4 + x2 = 2x3 + 4
3) จัดรูปสมการใหมไ ดเปน x4 − 2x3 + x2 − 4 =0
10. 1)
เน่อื งจาก x4 − 2x3 + x2 − 4 = ( x − 2)( x +1)( x2 − x + 2)
จะได ( x − 2)( x +1)( x2 − x + 2) =0
ดังนัน้ x − 2 =0 หรอื x +1 =0 หรอื x2 − x + 2 =0
ถา x − 2 =0 จะได x = 2
ถา x +1 =0 จะได x = −1
ถา x2 − x + 2 =0 และเนอ่ื งจาก (−1)2 − 4(1)(2) =− 7
จะไดวา ไมม จี ํานวนจริงท่ีเปนคาํ ตอบของสมการนี้
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ {−1, 2}
จาก 2x3 + 5x2 − 4x − 3 =0
เนื่องจาก 2x3 + 5x2 − 4x − 3 = ( x −1)( x + 3)(2x +1)
จะได ( x −1)( x + 3)(2x +1) =0
ดังนน้ั x −1 =0 หรอื x + 3 =0 หรอื 2x +1 =0
จะได x =1 หรอื x = −3 หรอื x= −1
2
ดงั น้ัน เซตคาํ ตอบของสมการ คือ −3, − 1 , 1
2
−6 x2 − 2x 3(x − 2) x(x − 2)
−1 2x2 + 2x
3x
( )x2
÷ x3 − −1 = ( x −1)( x +1) ÷ ( x −1) x2 − x +1
( )3( x − 2) ( x −1) x2 + 3x +1
= ( x −1)( x +1) ⋅ x( x − 2)
( )3 x2 + 3x +1 เมือ่ x ≠ 1 และ x ≠ 2
= x( x +1)
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ
146 คูมอื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2) ( x x x − 2) − ( x − 2 x − 3) ⋅ x x 4 = x( x − 3) − 2(x − 2) ⋅ x x 4
− ( x −1)( x − 2)( x − 3) −
−1)( 1)(
= ( x x2 − 3x − 2x + 4 ⋅ x x 4
x −
−1)( x − 2)( − 3)
= ( x x2 − 5x + 4 − 3) ⋅ x x 4
x −
−1)( − 2)(x
= ( x ( x −1)( x− 4) 3) ⋅ x x 4
−1)( x − −
2)( x−
= x เม่ือ x ≠ 1 และ x ≠ 4
( x − 2)( x − 3)
x2 + bx +=c a + 2x − 3
x2 + 2 (2x +1) 2x −1 x2 + 2
( )11. จาก
เนื่องจาก a + 2x −3 ( )a x2 + 2 + (2x − 3)(2x +1)
2x −1 x2 + 2 = (2x −1)( x2 + 2)
(a + 4) x2 − 8x + (2a + 3)
= (2x −1)( x2 + 2)
x2 + bx + c (a + 4) x2 − 8x + (2a + 3)
=
( ) ( )จะได
x2 + 2 (2x +1) (2x −1) x2 + 2
นั่นคอื a + 4 =1, b =−8 และ =c 2a + 3
ดังน้นั a =−3, b =−8 และ c = −3
12. จาก 3 + 1 =4
x −1 x2 − 3x + 2 x2 −1
จัดรปู สมการใหมไ ดเ ปน 3 + x2 − 1 + 2 − 4 =0
x −1 3x x2 −1
จะได 3+ 1 − 4 =0
x −1 x2 − 3x + 2 x2 −1
x 3 + ( x − 1 x − 2) − ( x − 4 x + 1) =0
−1
1)( 1)(
3( x − 2)( x +1) +1( x +1) − 4( x − 2) =0
( x −1)( x − 2)( x +1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 147
คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
3x2 − 6x + 3
( x −1)( x − 2)( x +1) = 0
3( x −1)2
( x −1)( x − 2)( x +1) = 0
3( x −1) เมอื่ x ≠ −1
( x − 2)( x +1) = 0
จะได x −1 =0 และ ( x − 2)( x +1) ≠ 0 และ x ≠ −1
นนั่ คือ x =1 โดยที่ x ≠ 2 และ x ≠ −1 และ x ≠ −1
ดงั นน้ั เซตคาํ ตอบของสมการน้ี คือ ∅
13. จาก x( x +1)2 ( x − 3)3 ≤ 0
( x −1)( x − 5)4
เน่อื งจาก ( x +1)2 ≥ 0, ( x − 3)2 ≥ 0 และ ( x − 5)4 ≥ 0 เสมอ
นนั่ คือ ตอ งหาคาํ ตอบของอสมการ x( x − 3) ≤ 0 เมือ่ x≠5
( x −1)
พิจารณาเสนจํานวน
–3 –2 –1 0 1 2 3 4 5 6
ดงั นั้น เซตคําตอบของสมการ คือ (−∞, 0]∪[1, 3]
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ
148 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
14. 1) วิธที ่ี 1 จาก x + 2 =5
2) วิธีท่ี 2 กรณีที่ 1 x + 2 ≥ 0 นน่ั คือ x ≥ −2
วธิ ที ่ี 1
จะได x + 2 = 5
x = 3 ซ่ึง 3 ≥ −2
นั่นคือ 3 เปน คําตอบของสมการ
กรณีท่ี 2 x + 2 < 0 นั่นคอื x < −2
จะได −( x + 2) = 5
x = −7 ซ่ึง −7 < −2
นั่นคอื −7 เปน คําตอบของสมการ
ดังน้นั เซตคําตอบของสมการ คอื {−7, 3}
จาก x + 2 = 5
ยกกําลังสองทั้งสองขาง จะได
x + 2 2 = 52
( x + 2)2 = 52
( x + 2)2 − 52 = 0
((x + 2) − 5)((x + 2) + 5) = 0
( x − 3)( x + 7) = 0
จะได x = −7 หรอื x = 3
ดงั นน้ั เซตคําตอบของสมการ คอื {−7, 3}
จาก x2 − 4 =4 − x2
กรณีที่ 1 x2 − 4 ≥ 0 นน่ั คอื x2 ≥ 4 ( x ≤ −2 หรอื x ≥ 2 )
จะได x2 − 4 = 4 − x2
2x2 = 8
x2 = 4
x = −2 หรือ x = 2 ซ่ึง −2 ≤ −2 และ 2 ≥ 2
ดังนน้ั x ท่สี อดคลองกับสมการ คอื x = −2 หรือ x = 2
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 149
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
กรณที ่ี 2 x2 − 4 < 0 น่นั คอื x2 < 4 ( 2 < x < −2 )
จะได ( )− x2 − 4 = 4 − x2
−x2 + 4 = 4 − x2
0 = 0 ซงึ่ เปน จริงทกุ จํานวนจริง x
ดังนน้ั x ท่สี อดคลองกับสมการ คือ x∈(−2, 2)
ดังน้ัน เซตคาํ ตอบของสมการ คือ [−2, 2]
วธิ ีท่ี 2 จาก x2 − 4 = 4 − x2
ยกกําลงั สองทง้ั สองขา ง จะได
( )x2 − 4 2 = 4 − x2 2
( ) ( )x2 − 4 2 = 4 − x2 2
( ) ( )x2 − 4 2 − 4 − x2 2 = 0
( )( )( x2 − 4) − (4 − x2 ) ( x2 − 4) + (4 − x2 ) = 0
0 = 0 ซงึ่ เปนจรงิ ทกุ จํานวนจริง x
แตเนื่องจาก x2 − 4 ≥ 0 เสมอ และ x2 − 4 =4 − x2
จะไดวา 4 − x2 ≥ 0 เสมอ
นั่นคือ x2 ≤ 4
จะไดว า 2 < x < −2
ดงั นั้น เซตคําตอบของสมการ คือ [−2, 2]
15. 1) จากอสมการ x2 − 5 ≥ 4
จะได x2 − 5 ≤ − 4 หรอื x2 − 5 ≥ 4
x2 ≤ 1 หรือ x2 ≥ 9
x2 −1 ≤ 0 หรือ x2 − 9 ≥ 0
( x −1)( x +1) ≤ 0 หรือ ( x − 3)( x + 3) ≥ 0
−1 ≤ x ≤1 หรอื x ≤ −3 หรือ x ≥ 3
ดังนั้น เซตคาํ ตอบของอสมการ คอื (−∞, − 3]∪[−1, 1]∪[3, ∞)
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ
150 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
2) จาก 2x + 7 < 9
จะได −9 < 2x + 7 < 9
−9 − 7 < 2x < 9 − 7
−16 < x <2
2 2
−8 < x < 1
ดงั นัน้ เซตคําตอบของอสมการ คือ (−8, 1)
3) จาก 3 x −1 −1
≤1
x −1 +1
เนือ่ งจาก x −1 ≥ 0 เสมอ จะได x −1 +1 > 0 เสมอ
นน่ั คือ 3 x −1 −1 ≤ x −1 +1
3 x −1 − x −1 ≤ 1+1
2 x −1 ≤ 2
x −1 ≤ 1 1
2
จะได −1 ≤ x −1 ≤
0≤ x ≤
ดงั นั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [0, 2]
16. แสดงสิง่ ทโ่ี จทยกําหนดไดดงั รูปตอไปนี้
จากรปู จะไดปริมาตรของกลอง คือ x(3 − 2x)(4 − 2x) ลูกบาศกฟ ตุ
เน่อื งจาก โจทยกาํ หนดใหกลองใบนี้มปี ริมาตร 2 ลูกบาศกฟ ุต
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง 151
คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
จะได x(3 − 2x)(4 − 2x) = 2
x(3− 2x)(2 − x) = 1
2x3 − 7x2 + 6x −1 = 0
( )( x −1) 2x2 − 5x +1 = 0
นั่นคอื x −1 =0 หรอื 2x2 − 5x +1 =0
เมื่อ x −1 =0 จะได x =1
เมอื่ =2x2 − 5x +1 =0 จะได x −(−5) ± (−5)2 − 4(2)(1) 5 ± 17
=2 ( 2 ) 4
แตเนื่องจากความกวาง ความยาว และความสูงของกลองตองมากกวา 0
นัน่ คือ x > 0, 3 − 2x > 0 และ 4 − 2x > 0
จะไดวา x ∈ 0, 3
2
ดงั น้นั คา ของ x ท่เี ปน ไปได คอื 1 หรือ 5 − 17
4
17. จาก x2 − ax − a + 3 =0
จัดรปู สมการใหมไดเปน x2 − ax + (3 − a) =0
=จะได x −(−a) ± (−a)2 − 4(1)(3 − a) a± a2 + 4a −12
=2(1) 2
จะไดวา x เปนจาํ นวนจริง กต็ อเมอ่ื a2 + 4a −12 ≥ 0
นั่นคอื x เปน จํานวนจริง กต็ อเม่ือ (a − 2)(a + 6) ≥ 0
ดงั น้นั a ∈(−∞, − 6] ∪[2, ∞)
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
152 คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
เฉลยแบบฝกหดั และวิธที ําโดยละเอยี ด
บทท่ี 1 เซต
แบบฝก หัด 1.1ก
1. 1) { a, e, i, o, u } 2) { 2, 4, 6, 8}
3) {10, 11, 12, , 99 } 4) {101, 102, 103, }
5) { − 99, − 98, − 97, , −1} 6) { 4, 5, 6, 7, 8, 9 }
7) ∅ 8) ∅
9) { −14, 14 } 10) {ชลบรุ ,ี ชยั นาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชยี งราย, เชยี งใหม}
2. ตัวอยางคําตอบ
1) {x | x เปน จํานวนค่บี วกทนี่ อยกวา 10} หรือ {x∈ | x เปน จํานวนคต่ี ัง้ แต 1 ถงึ 9}
2) {x | x เปนจาํ นวนเต็ม}
3) {x∈ | x มีรากท่ีสองเปน จํานวนเตม็ } หรือ {x | x = n2 และ n เปนจาํ นวนนบั }
4) {x∈ | x หารดวยสบิ ลงตวั } หรือ {x | x = 10n และ n เปนจาํ นวนนบั }
3. 1) A มีสมาชกิ 1 ตวั 2) B มสี มาชกิ 5 ตวั
3) C มสี มาชกิ 7 ตวั 4) D มีสมาชกิ 9 ตวั
5) E มีสมาชกิ 0 ตวั
4. 1) เปน เท็จ 2) เปน จรงิ
3) เปนเทจ็
5. 1) เปน เซตวา ง
2) ไมเ ปนเซตวาง (มี 5 และ 7 เปน สมาชกิ ของเซต)
3) ไมเปนเซตวาง (มี 1 เปน สมาชิกของเซต)
4) เปนเซตวาง
5) ไมเปน เซตวาง (มี −2 และ −1 เปนสมาชกิ ของเซต)
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 153
6. 1) เซตอนันต 2) เซตจาํ กดั
3) เซตอนันต 4) เซตจาํ กดั
5) เซตอนนั ต 6) เซตอนันต
7. 1) จากโจทย A = { 0, 1, 3, 7 }
และเขียน B แบบแจกแจงสมาชิกไดเ ปน B= { , − 2, −1, 0, 1, 2, , 9}
ดังน้นั A ≠ B เพราะมสี มาชกิ ของ B ท่ีไมเปน สมาชกิ ของ A เชน −1∈ B
แต −1∉ A
2) จากโจทย เขยี น A แบบแจกแจงสมาชกิ ไดเป=น A { , − 2, 0, 2, 4, 6, 8 }
และ B = { 2, 4, 6, 8 }
ดังนั้น A ≠ B เพราะมสี มาชกิ ของ A ทีไ่ มเปนสมาชิกของ B เชน 0∈ A
แต 0∉ B
3) จากโจทย A = { 7, 14, 21, , 343}
และเขยี น B แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน B = { 7, 14, 21, , 343}
ดงั นน้ั A = B เพราะสมาชกิ ทุกตัวของ A เปนสมาชกิ ของ B และสมาชกิ ทุกตวั
ของ B เปนสมาชกิ ของ A
4) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจงสมาชกิ ไดเปน A = 0, 1, 2, 3, 4 ,
2 3 4 5
และ B = 0 , 1, 2, 3, 4,
2 3 4 5
ดงั นน้ั A = B เพราะสมาชกิ ทุกตัวของ A เปนสมาชกิ ของ B และสมาชกิ ทุกตวั
ของ B เปนสมาชกิ ของ A
5) จากโจทย เขยี น A แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน A= {−6, 6}
และ B = { 6}
ดังนน้ั A ≠ B เพราะมสี มาชิกของ A ท่ีไมเปนสมาชกิ ของ B คอื −6∈ A
แต −6∉ B
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
154 คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
8. จากโจทย เขยี น A, B, C และ D แบบแจกแจงสมาชกิ ไดด ังน้ี
A = {ก, ร, ม}
B = {ม, ร, ค}
C = {ม, ก, ร, ค}
D = {ร, ก, ม}
ดังน้ัน A ≠ B เพราะมสี มาชกิ ของ A ท่ีไมเ ปน สมาชกิ ของ B คือ ก∈ A แต ก ∉ B
A ≠ C เพราะมีสมาชิกของ C ที่ไมเปน สมาชิกของ A คอื ค∈C แต ค ∉ A
A = D เพราะสมาชิกทุกตวั ของ A เปนสมาชิกของ D และสมาชิกทุกตัวของ D
เปนสมาชกิ ของ A
B ≠ C เพราะมีสมาชิกของ C ท่ไี มเปน สมาชิกของ B คือ ก∈C แต ก ∉ B
B ≠ D เพราะมีสมาชกิ ของ D ที่ไมเปน สมาชิกของ B คือ ก∈ D แต ก ∉ B
C ≠ D เพราะมสี มาชิกของ C ที่ไมเปน สมาชิกของ D คือ ค∈C แต ค ∉ D
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 155
แบบฝกหดั 1.1ข
1. 1) ถกู 2) ผดิ
3) ผิด 4) ถูก
5) ถกู 6) ผดิ
2. เขยี น A และ B แบบแจกแจงสมาชกิ ไดเปน
A = {2, 4, 6}
B = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 }
และจากโจทย C = { 2, 4}
ดงั นั้น A ⊂ B เพราะสมาชิกทุกตวั ของ A เปน สมาชกิ ของ B
C ⊂ A เพราะสมาชิกทกุ ตวั ของ C เปนสมาชกิ ของ A
C ⊂ B เพราะสมาชิกทกุ ตวั ของ C เปน สมาชกิ ของ B
3. เขียน Y แบบแจกแจงสมาชกิ ไดเ ปน Y = {1, 3, 5, 7, 9, 11}
1) เปน จริง เพราะสมาชกิ ทกุ ตวั ของ X เปน สมาชิกของ Y
2) เปน จริง เพราะสมาชิกทกุ ตัวของ Y เปน สมาชิกของ X
3) เปนจริง เพราะ X ⊂ Y และ Y ⊂ X
4. 1) ∅ และ {1}
2) ∅, {1}, { 2} และ {1, 2 }
3) ∅, { −1}, { 0 }, {1}, {−1, 0 }, {−1, 1}, { 0, 1} และ {−1, 0, 1}
4) ∅, { x }, { y } และ { x, y }
5) ∅, { a }, { b }, { c }, { a, b }, { a, c }, { b, c } และ { a, b, c }
6) ∅
5. 1) เนื่องจากสับเซตทัง้ หมดของ {5} ไดแก ∅ และ {5}
ดงั นัน้ เพาเวอรเ ซตของ {5} คอื {∅, {5}}
2) เนือ่ งจากสบั เซตทง้ั หมดของ {0, 1} ไดแ ก ∅, {0}, {1} และ {0, 1}
ดังนั้น เพาเวอรเ ซตของ {0, 1} คอื {∅, {0}, {1}, {0, 1}}
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
156 คูมอื ครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
3) เนอื่ งจากสับเซตทั้งหมดของ {2, 3, 4} ไดแ ก ∅, {2}, {3}, {4}, {2, 3}, {2, 4}, {3, 4}
และ {2, 3, 4}
ดังนน้ั เพาเวอรเซตของ {2, 3, 4} คอื {∅, {2}, {3}, {4}, {2, 3}, {2, 4}, {3, 4}, {2, 3, 4}}
4) เน่อื งจากสับเซตท้ังหมดของ ∅ คือ ∅
ดงั นน้ั เพาเวอรเซตของ ∅ คอื {∅}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 157
แบบฝกหัด 1.1ค
1. จากส่ิงทกี่ าํ หนดให A และ B ไมม ีสมาชิกรวมกนั
เขยี นแผนภาพเวนนแสดง A และ B ไดด งั น้ี
AB U
U
2 13
4
6 59
7 8 10
2. กาํ หนดให U เปน เซตของจาํ นวนนับ
1) จากสง่ิ ทกี่ าํ หนดให จะได B ⊂ A
เขียนแผนภาพเวนนแสดง A และ B ไดด ังน้ี
A
2B 4
61 10
8 35
79
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
158 คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 U
2) จากสิ่งทก่ี ําหนดให จะได C ⊂ B และ B ⊂ A
เขยี นแผนภาพเวนนแสดง A, B และ C ไดดงั นี้
A
46
2 B8
C 10
7 19
3
5
3) จากส่งิ ทีก่ าํ หนดให จะได B ⊂ A และ C ⊂ A โดยท่ี B และ C มสี มาชกิ รว มกนั คอื 5
เขียนแผนภาพเวนนแสดง A, B และ C ไดด ังน้ี
A7 U
4
89
B1 10
3 2 C
5
6
3. 1) สมาชิกท่อี ยใู น A แตไมอ ยใู น B มี 1 ตวั (คอื a )
2) สมาชกิ ที่ไมอยใู น A และไมอยใู น B มี 2 ตวั (คือ d และ e )
3) สมาชิกทอ่ี ยทู ง้ั ใน A และ B มี 3 ตัว (คอื x, y และ z )
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 159
แบบฝกหัด 1.2
1. วิธที ี่ 1 1) A มีสมาชิก คอื 0, 1, 2 และ 8
B มสี มาชิก คือ 0, 2, 4, 7 และ 9
ดังน้ัน A ∪ B ={ 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9}
2) A และ B มสี มาชิกรว มกนั คอื 0 และ 2
ดงั น้ัน A ∩ B ={ 0, 2}
3) สมาชกิ ทอี่ ยูใน A แตไ มอยใู น B คือ 1 และ 8
ดงั นน้ั A − B ={1, 8}
4) สมาชกิ ทอ่ี ยูใ น B แตไ มอ ยใู น A คือ 4, 7 และ 9
ดงั น้ัน B − A ={ 4, 7, 9}
5) สมาชิกทอี่ ยใู น U แตไ มอยใู น A คอื 3, 4, 5, 6, 7 และ 9
ดังนน้ั A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9}
6) สมาชิกทอี่ ยใู น U แตไมอยใู น B คือ 1, 3, 5, 6 และ 8
ดังนั้น B′ = {1, 3, 5, 6, 8}
7) A มสี มาชกิ คอื 0, 1, 2 และ 8
B′ มีสมาชิก คอื 1, 3, 5, 6 และ 8
ดังน้ัน A ∪ B′ ={ 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8}
8) A′ มีสมาชกิ คอื 3, 4, 5, 6, 7 และ 9
B มสี มาชกิ คือ 0, 2, 4, 7 และ 9
จะได A′ และ B มสี มาชิกรวมกนั คอื 4, 7 และ 9
ดงั นน้ั A′∩ B ={ 4, 7, 9}
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
160 คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
วธิ ที ่ี 2 A และ B มีสมาชิกรว มกัน คอื 0 และ 2 U
เขียนแผนภาพเวนนแสดง A และ B ไดด ังน้ี
AB
1 04
9
8 27
35 6
จากแผนภาพ จะได
1) A ∪ B ={ 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 }
2) A ∩ B ={ 0, 2 }
3) A − B ={1, 8}
4) B − A ={ 4, 7, 9 }
5) A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 }
6) B′ = {1, 3, 5, 6, 8}
7) A ∪ B′ ={ 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8}
8) A′∩ B ={ 4, 7, 9 }
=2. ให U { 0, 1, 2, 3, =4, 5, 6, 7, 8 } , A {=0, 2, 4, 6, 8} , B {1, 3, 5, 7 } และ
C ={3, 4, 5, 6}
วิธที ี่ 1 1) A และ B ไมม สี มาชิกรว มกัน
ดงั นน้ั A ∩ B =∅
2) B มีสมาชิก คือ 1, 3, 5 และ 7
C มสี มาชิก คือ 3, 4, 5 และ 6
ดังนน้ั B ∪ C ={1, 3, 4, 5, 6, 7 }
3) B และ C มีสมาชกิ รวมกนั คือ 3 และ 5
ดังนนั้ B ∩ C ={ 3, 5}
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 161
4) A และ C มีสมาชกิ รว มกนั คอื 4 และ 6
ดังนั้น A ∩ C ={ 4, 6}
5) สมาชกิ ทอี่ ยูใ น U แตไมอ ยใู น C คือ 0, 1, 2, 7 และ 8
ดงั นน้ั C′ = { 0, 1, 2, 7, 8}
6) C′ และ A มีสมาชิกรว มกนั คือ 0, 2 และ 8
ดงั น้ัน C′∩ A ={ 0, 2, 8}
7) C′ และ B มสี มาชกิ รวมกนั คอื 1 และ 7
ดังน้ัน C′∩ B ={1, 7 }
8) A ∩ B เปนเซตวาง
B มีสมาชิก คือ 1, 3, 5 และ 7
ดงั นนั้ ( A ∩ B) ∪ B ={1, 3, 5, 7 }
วิธที ี่ 2 A และ B ไมม สี มาชกิ รว มกัน
A และ C มสี มาชกิ รวมกนั คือ 4 และ 6
B และ C มสี มาชิกรว มกนั คอื 3 และ 5
เขียนแผนภาพเวนนแสดง A, B และ C ไดด ังน้ี
U
A CB
04 31
2 57
86
จากแผนภาพ จะได 2) B ∪ C ={1, 3, 4, 5, 6, 7 }
4) A ∩ C ={ 4, 6 }
1) A ∩ B =∅
6) C′∩ A ={ 0, 2, 8}
3) B ∩ C ={ 3, 5} 8) ( A ∩ B) ∪ B ={1, 3, 5, 7 }
5) C′ = { 0, 1, 2, 7, 8}
7) C′∩ B ={1, 7 }
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
162 คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
3. 1) A′ 2) B′ d
A U A BU
B
3) A′∩ B′ U 4) ( A ∪ B)′ s
A B
U
AB
5) A′∪ B′ BU 6) ( A ∩ B)′ s BU
A
A
7) A − B U 8) A ∩ B′ d U
A
B A B
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1 163
4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A ∪ (B ∪ C ) d U
B
A U
BA
3) ( A ∩ B) ∩ C C 4) A ∩ (B ∩ C ) s C
A U A U
B B
5) ( A ∪ B) ∩ C C C U
B
A U 6) ( A ∩ C ) ∪ ( B ∩ C ) s
B
A
C C
5. 1) A ∩ C ก 2) C ∪ B′
3) B − A ก
2) A
6. 1) ∅ ก 4) U
3) ∅ ก 6) ∅
5) U ก 8) ∅
7) A′ ก
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
164 คูมอื ครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหดั 1.3
1. เขยี นแผนภาพเพอื่ แสดงจาํ นวนสมาชกิ ของเซตไดด งั น้ี
U
AB
34 6 19
41
จากแผนภาพ จะไดจ าํ นวนสมาชกิ ของเซตตา ง ๆ ดงั ตอไปน้ี
เซต A − B B − A A ∪ B A′ B′ ( A ∪ B)′
จาํ นวนสมาชกิ 34 19 59 60
75 41
2. เขียนแผนภาพเพอ่ื แสดงจาํ นวนสมาชกิ ของเซตไดดังนี้
U
AB
12 13 17
8
จากแผนภาพ จะได
1) n( A ∪ B) = 12 +13 +17 = 42
2) n( A − B) =12 ก
3) n( A′∩ B′) =8 ป
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 165
3. เขียนแผนภาพเพอื่ แสดงจาํ นวนสมาชกิ ของเซตไดด ังน้ี
U
A B
7
33
5
10 5
10 C 7
จากแผนภาพ จะได
1) n( A ∪ C ) =3 + 7 +10 + 5 +10 + 5 =40
2) n( A ∪ B ∪ C ) = 3 + 7 +10 + 5 +10 + 5 + 3 = 43 ก
3) n( A ∪ B ∪ C )′ =7 ก
4) n(B − ( A ∪ C )) =3 ก
5) n(( A ∩ B) − C) =7 ก
4. ให A และ B เปนเซตจํากัด โดย=ท่ี n( A) 1=8, n(B) 25 และ n( A ∪ B) =37
จาก n( A ∪ B) = n( A) + n(B) − n( A ∩ B)
จะได 37 = 18 + 25 − n( A ∩ B)
n( A ∩ B) = 18 + 25 − 37
n(A∩ B) = 6
ดังนั้น n( A ∩ B) =6
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
166 คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
5. จาก n( A − B) =20 และ n( A ∪ B) =80 U
เขยี นแผนภาพเพื่อแสดงจาํ นวนสมาชกิ ของเซตไดดงั น้ี
AB
20
จากแผนภาพ จะได n(B) = n( A ∪ B) − n( A − B) = 80 − 20 = 60
6. ให U แทนเซตของพนักงานบรษิ ัทแหง หนงึ่ ท่ไี ดร บั การสอบถาม
A แทนเซตของพนกั งานท่ีชอบด่มื ชา
B แทนเซตของพนักงานท่ีชอบดื่มกาแฟ
A∪ B แทนเซตของพนักงานทช่ี อบด่ืมชาหรือกาแฟ
A∩ B แทนเซตของพนักงานท่ชี อบดมื่ ทั้งชาและกาแฟ
จะได n( A ∪ B) = 120
n( A) = 60
n( B) = 70
จาก n( A ∪ B) = n( A) + n( B) − n( A ∩ B)
จะได 120 = 60 + 70 − n( A ∩ B)
n( A ∩ B) = 60 + 70 – 120
น่นั คือ n( A ∩ B) = 10
ดังนัน้ มีพนักงานท่ชี อบด่ืมทัง้ ชาและกาแฟ 10 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 167
7. ให U แทนเซตของผปู วยทีเ่ ขา รว มการสาํ รวจ
A แทนเซตของผปู ว ยที่สูบบุหร่ี
B แทนเซตของผปู วยทเี่ ปน มะเรง็ ปอด
A′∩ B′ แทนเซตของผปู วยท่ไี มสบู บหุ รแ่ี ละไมเ ปนมะเร็งปอด
A∩ B แทนเซตของผปู ว ยทีส่ บู บหุ รแี่ ละเปน มะเรง็ ปอด
จะได n(U ) = 1,000
วิธีท่ี 1 เนอ่ื งจาก n( A) = 312
n( B) = 180
n( A′∩ B′) = 660
A′∩ B′ = ( A ∪ B)′
ดังนั้น n( A′∩ B′) = n( A ∪ B)′
จะได n( A ∪ B) = n(U ) − n( A ∪ B)′
= n(U ) − n( A′∩ B′)
= 1,000 – 660
= 340
จาก n( A ∪ B) = n( A) + n( B) − n( A ∩ B)
จะได 340 = 312 +180 − n( A ∩ B)
n( A ∩ B) = 312 + 180 – 340
น่นั คอื n( A ∩ B) = 152
ดังนั้น มีผปู ว ยท่สี บู บหุ ร่ีและเปนมะเรง็ ปอด 152 คน
คดิ เปนรอ ยละ 152 ×100 ≈ 48.72 ของจาํ นวนผสู ูบบุหรีท่ ง้ั หมด
312
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
168 คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
วิธที ่ี 2 ให x แทนจํานวนผปู วยที่สบู บุหรี่และเปน มะเร็งปอด น่ันคอื =x n( A ∩ B)
เขียนแผนภาพเพอ่ื แสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดด ังนี้
U
AB
312 – x x 180 – x
660
เน่ืองจาก โรงพยาบาลแหง น้ที ําการสํารวจขอ มลู จากผปู วยท้ังหมด 1,000 คน
จะได 1,000 = (312 − x) + x + (180 − x) + 660
1,000 = (492 − x) + 660
x = 492 + 660 −1,000
นั่นคือ x = 152
ดังนัน้ มีผปู ว ยท่สี บู บหุ รแ่ี ละเปนมะเร็งปอด 152 คน
8. ให คดิ เปน รอ ยละ 152 ×100 ≈ 48.72 ของจาํ นวนผสู บู บุหร่ที ง้ั หมด
312
U แทนเซตของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาตอนปลายหองหน่งึ
A แทนเซตของนกั เรยี นทส่ี อบผา นวิชาคณิตศาสตร
B แทนเซตของนกั เรยี นท่ีสอบผา นวิชาสังคมศึกษา
C แทนเซตของนกั เรยี นทส่ี อบผา นวชิ าภาษาไทย
A∩ B แทนเซตของนกั เรียนท่สี อบผา นวชิ าคณติ ศาสตรและสังคมศึกษา
B ∩ C แทนเซตของนกั เรียนทสี่ อบผา นวชิ าสังคมศกึ ษาและภาษาไทย
A∩ C แทนเซตของนกั เรียนที่สอบผา นวชิ าคณิตศาสตรแ ละภาษาไทย
A ∩ B ∩ C แทนเซตของนกั เรียนทีส่ อบผา นท้ังสามวชิ า
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1 169
จะได n( A) = 37
n( B) = 48
n(C ) = 45
n( A ∩ B) = 15
n( B ∩ C ) = 13
n(A∩C) = 7
n(A∩ B∩C) = 5
วธิ ีท่ี 1 เขียนแผนภาพเพอ่ื แสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
U
A B
20
2 10
25
5
8
30 C
จากแผนภาพ จะไดวามีนักเรียนทส่ี อบผานอยางนอ ยหน่ึงวชิ า เทา กบั
20 +10 + 25 + 2 + 5 + 8 + 30 =100 คน
วิธีท่ี 2 เน่ืองจากนักเรียนท่ีสอบผา นอยา งนอยหน่ึงวชิ า คือ นกั เรยี นท่สี อบผาน
วชิ าคณิตศาสตร หรือสอบผา นวิชาสังคมศกึ ษา หรือสอบผานวชิ าภาษาไทย
ซ่ึงคอื A ∪ B ∪ C
จาก n( A ∪ B ∪ C ) = n( A) + n(B) + n(C ) − n( A ∩ B)
−n( A∩ C) − n(B ∩ C) + n( A ∩ B ∩ C)
= 37 + 48 + 45 −15 − 7 −13 + 5
= 100
ดังนนั้ มีนักเรยี นที่สอบผา นอยางนอยหนง่ึ วิชา 100 คน
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
170 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
9. ให U แทนเซตของผถู ือหนุ ในตลาดหลักทรัพยแหง ประเทศไทยทรี่ วมการสํารวจ
A แทนเซตของผถู ือหุนบรษิ ทั ก
B แทนเซตของผถู อื หนุ บริษทั ข
C แทนเซตของผถู ือหุน บรษิ ทั ค
A ∩ B แทนเซตของผถู อื หุนบรษิ ัท ก และ ข
B ∩ C แทนเซตของผถู อื หนุ บรษิ ัท ข และ ค
A ∩ C แทนเซตของผถู อื หุนบริษทั ก และ ค
A ∩ B ∩ C แทนเซตของผถู อื หนุ ท้งั สามบรษิ ัท
จะได n(U ) = 3,000
n( A) = 200
n( B) = 250
n(C ) = 300
n( A ∩ B) = 50
n( B ∩ C ) = 40
n( A ∩ C ) = 30
n(A∩ B∩C) = 0
วธิ ที ่ี 1 เขียนแผนภาพเพอื่ แสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดงั นี้
U
A B
50
120 160
0
30 40
230 C 2,370
จากแผนภาพ จะไดวา มผี ทู ถ่ี ือหุน บริษัทอืน่ ๆ ท่ีไมใ ชห นุ ของสามบรษิ ัทนี้
2,370 คน
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 171
วิธีท่ี 2 ให A ∪ B ∪ C แทนเซตของผถู ือหนุ บรษิ ทั ก หรอื ข หรอื ค
( A ∪ B ∪ C)′ แทนเซตของผถู อื หนุ บรษิ ทั อ่ืน ๆ ทีไ่ มใ ชหนุ ของสามบรษิ ัทน้ี
จาก n( A ∪ B ∪ C ) = n( A) + n(B) + n(C ) − n( A ∩ B)
−n( A∩ C) − n(B ∩ C) + n( A ∩ B ∩ C)
= 200 + 250 + 300 − 50 − 30 − 40 + 0
= 630
จะได n( A ∪ B ∪ C )′ = n(U ) − n( A ∪ B ∪ C )
= 3,000 – 630
น่นั คือ n( A ∪ B ∪ C )′ = 2,370
ดงั น้นั มีผทู ีถ่ อื หุน บริษทั อน่ื ๆ ที่ไมใ ชหุน ของสามบริษทั น้ี 2,370 คน
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
172 คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
แบบฝก หัดทา ยบท
1. 1) { 48} ด 2) ∅
3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2}
5) {1, 2, 3, , 10 } ด
2. ตัวอยางคําตอบ
1) { x | =x 3n − 2 เม่อื n∈ และ 1 ≤ n≤ 5}
2) { x∈ | − 20 ≤ x ≤ −10 }
3) { x |=x 4n +1 เมื่อ n∈ }
4) { x | x = n3 เมอ่ื n∈ }
3. 1) เซตจํากดั 2) เซตอนันต
3) เซตจาํ กดั 4) เซตจาํ กัด
5) เซตอนันต
4. 1) เปนจรงิ 2) เปนจรงิ
3) เปนเท็จ 4) เปนจริง
5) เปนจริง 6) เปนเท็จ
7) เปน จริง 8) เปน จรงิ
9) เปนเท็จ
5. จาก U = {5, 6, 7, 8, 9}
A= {x x > 7}= {8, 9}
และ B = {5, 6}
จะได P( A) = {∅, {8}, {9}, {8, 9}}
และ P(B) = {∅, {5}, {6}, {5, 6}}
1) จาก P( A) = {∅, {8}, {9}, {8, 9}} และ P(B) = {∅, {5}, {6}, {5, 6}}
จะได P( A) ∩ P(B) ={∅}
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 173
2) จาก A = {8, 9} และ B = {5, 6}
จะได
ดังนัน้ A ∩ B =∅
P( A ∩ B) ={∅}
3) จาก P( A) = {∅, {8}, {9}, {8, 9}} และ P(B) = {∅, {5}, {6}, {5, 6}}
จะได P( A) ∪ P(B) ={∅, {5}, {6}, {8}, {9}, {5, 6}, {8, 9}}
4) จาก A = {8, 9}
จะได A′ = {5, 6, 7}
ดังน้ัน P( A′) = {∅, {5}, {6}, {7}, {5, 6}, {5, 7}, {6, 7}, {5, 6, 7}}
6. 1) A จ 2) ∅
3) U จ 4) A
5) A จ 6) U
7. 1) เนอื่ งจาก A ∪ ( B − A) = A ∪ (B ∩ A′ )
= ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ A′ )
= (A∪ B)∩U
= A∪B
ดังนั้น A ∪ B = A ∪ (B − A)
2) เนอ่ื งจาก A − ( A ∩ B) = A ∩ ( A ∩ B)′
= A ∩ ( A′ ∪ B′ )
= ( A ∩ A′ ) ∪ ( A ∩ B′ )
= ∅ ∪ ( A ∩ B′ )
= A ∩ B′
ดงั นั้น A ∩ B′ = A − ( A ∩ B)
3) เน่อื งจาก U − ( A ∪ B) = U ∩ ( A ∪ B)′
= U ∩ ( A′∩ B′ )
= A′∩ B′
ดงั น้ัน A′∩ B′ = U − ( A ∪ B)
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
174 คูม อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
8. 1) A′∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′
A U A BU
B
3) ( A ∪ B′ )′ ก BU
A
9. 1) A ∪ ( A − B) ก U 2) ( A′∩ B) ∩ C U
B B
A A
C 4) A ∪ (C′− B) C
3) ( A − B)′ ∩ C ก A U
B
U
A C
B
C
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1 175
5) ( A∩ B′) ∪ C ก U 6) A′∩ (C′∩ B) U
B B
A A
C C
7) A ∪ (C′∩ B)′ ก U
B
A
C
10. 1) { 0, 2, 4, 7, 9, 12, 14 } จ 2) {1, 4, 6, 9, 12, 15}
{ 4, 9, 12 }
3) {1, 4, 5, 7, 11, 12 } จ 4) { 4, 7, 12 }
{1, 5, 6, 11, 15}
5) {1, 4, 12} จ 6)
7) { 0, 2, 7, 14 } จ 8)
11. จาก A ∩ B =∅
1) เขยี นแผนภาพแสดง A และ B′ ไดด งั น้ี
A BU A BU
จากแผนภาพ จะเหน็ วา A ⊂ B′
ดังนน้ั ขอ ความ “ A ⊂ B′ ” เปน จรงิ
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
176 คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
2) เขยี นแผนภาพแสดง B และ A′ ไดดังน้ี A BU
A BU
จากแผนภาพ จะเหน็ วา B ⊂ A′
ดังนั้น ขอความ “ B ⊂ A′ ” เปน จรงิ
3) เขยี นแผนภาพแสดง A′, B′ และ A′ ∪ B′ ไดด งั นี้
A BU A BU A BU
จากแผนภาพ จะเห็นวา A′∪ B′ =U U
ดังนนั้ ขอ ความ “ A′∪ B′ =U ” เปนจริง
12. จาก A ⊂ B
1) เขียนแผนภาพแสดง A ∪ B ไดด ังน้ี
B
A
จากแผนภาพ จะเหน็ วา A ∪ B =B
ดังนั้น ขอความ “ A ∪ B =B ” เปน จริง
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 177
2) เขียนแผนภาพแสดง A ∩ B ไดด ังนี้ BU
A
จากแผนภาพ จะเหน็ วา A ∩ B =A BU
ดงั น้นั ขอ ความ “ A ∩ B =A ” เปนจริง A
3) เขยี นแผนภาพแสดง B′ และ A′ ไดด งั น้ี
BU
A
B′ A′
จากแผนภาพ จะเหน็ วา B′ ⊂ A′
ดังนน้ั ขอ ความ “ B′ ⊂ A′ ” เปนจริง
4) เขียนแผนภาพแสดง A ∩ B′ ไดดังนี้
BU
A
จากแผนภาพ จะเห็นวา A ∩ B′=∅
ดงั นั้น ขอความ “ A ∩ B′=∅ ” เปน จรงิ
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
178 คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
5) เขยี นแผนภาพแสดง A′ ∪ B BU
A
จากแผนภาพ จะเหน็ วา A′∪ B =U
ดงั นั้น ขอความ “ A′∪ B =U ” เปน จรงิ
13. ให A และ B เปนเซตที่มีจาํ นวนสมาชิกเทากนั คือ x ตัว
นั่นคอื n=( A) n=(B) x
จากโจทย n( A ∩ B) =101 และ n( A ∪ B) =233
จาก n( A ∪ B) = n( A) + n(B) − n( A ∩ B)
จะได 233 = x + x −101
นน่ั คอื 2x = 233 + 101
x = 167
ดังน้นั n( A) = 167
14.ดให U แทนเซตของผปู วยท่เี ขารวมการสาํ รวจ
A แทนเซตของผปู วยทเ่ี ปน โรคตา
B แทนเซตของผปู ว ยทีเ่ ปน โรคฟน
A∩ B แทนเซตของผปู ว ยท่ีเปนทัง้ สองโรค
A′ ∩ B′ แทนเซตของผปู ว ยที่ไมเปน โรคตาและไมเ ปน โรคฟน
จะได n(U ) = 100
n( A) = 40
n( B) = 20
n(A∩ B) = 5
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1 179
วธิ ีท่ี 1 นําขอมูลท้ังหมดไปเขยี นแผนภาพไดดังนี้ U
AB
35 5 15
45
จากแผนภาพ จะไดว ามีผูปว ยทไ่ี มเปนโรคตาและไมเปน โรคฟน 45%
วิธีท่ี 2 เนื่องจาก A′∩ B′ = ( A ∪ B)′
นนั่ คือ เซตของผูปว ยท่ไี มเปน โรคตาและไมเ ปน โรคฟน คอื ( A ∪ B)′
จาก n( A ∪ B) = n( A) + n(B) − n( A ∩ B)
จะได n( A ∪ B) = 40 + 20 − 5
= 55
จาก n( A ∪ B)′ = n(U ) − n( A ∪ B)
จะได = 100 − 55
15. ให = 45
จะได
ดังนัน้ มผี ูปว ยทไี่ มเปนโรคตาและไมเ ปนโรคฟน 45%
U แทนเซตของลกู คา ท่ีเขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของลกู คา ท่ีใชพัดลมชนดิ ต้งั โตะ
B แทนเซตของลกู คาที่ใชพัดลมชนดิ แขวนเพดาน
A ∩ B แทนเซตของลกู คาทใี่ ชพ ัดลมทั้งสองชนิด
n(U ) = 100
n( A) = 60
n( B) = 45
n( A ∩ B) = 15
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
180 คูมือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
วิธีท่ี 1 นําขอ มูลทง้ั หมดไปเขยี นแผนภาพไดด ังน้ี U
AB
45 15 30
10
จากแผนภาพ จะไดวา
1) มีลูกคาท่ีไมใ ชพ ดั ลมทั้งสองชนิดน้ี 10%
2) มีลกู คาทใ่ี ชพดั ลมเพยี งชนิดเดยี วเทากบั 45% + 30% = 75%
วิธีที่ 2 จาก n( A∪ B) = n( A) + n(B) − n( A∩ B)
จะได n( A ∪ B) = 60 + 45 −15
16. ให = 90
1) มลี ูกคาทไี่ มใ ชพ ดั ลมทง้ั สองชนดิ นเ้ี ทา กับ 100% – 90% = 10%
2) มลี ูกคา ทใี่ ชพ ดั ลมชนิดเดยี วเทา กบั 90% – 15% = 75%
U แทนเซตของรถท่ีเขามาซอ มทอี่ ูของแดน
A แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรก
B แทนเซตของรถทตี่ องซอมระบบทอ ไอเสีย
A ∪ B แทนเซตของรถทตี่ อ งซอ มเบรกหรือระบบทอ ไอเสีย
( A ∪ B)′ แทนเซตของรถที่มสี ภาพปกติ
แทนเซตของรถทตี่ อ งซอ มทั้งเบรกและระบบทอไอเสีย
A∩B
n(U ) = 50
จะได
n( A) = 23
n( B) = 34
n( A ∪ B)′ = 6
นน่ั คือ n( A ∪ B) = 50 − 6 = 44
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 181
วิธีที่ 1 ให x แทนจํานวนรถท่ตี อ งซอมทง้ั เบรกและระบบทอไอเสยี
นน่ั คอื n( A ∩ B) =x
นาํ ขอ มลู ทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
U
AB
23 – x x 34 – x
6
1) จากแผนภาพ จะไดวา 44 = (23 − x) + x + (34 − x)
44 = 57 − x
จะได x = 13
ดังนนั้ มีรถทตี่ อ งซอมทงั้ เบรกและระบบทอ ไอเสีย 13 คนั
2) จากแผนภาพ จะไดว ามีรถทต่ี องซอมเบรกแตไมตองซอมระบบทอไอเสีย
เทา กับ 23 – 13 = 10 คนั
วิธีท่ี 2 1) จาก n( A∪ B) = n( A) + n(B) − n( A∩ B)
17. ให
จะได 44 = 23 + 34 − n( A ∩ B)
n( A ∩ B) = 23 + 34 − 44
น่ันคือ n( A ∩ B) = 13
ดงั นนั้ มรี ถท่ีตอ งซอมทงั้ เบรกและระบบทอ ไอเสยี 13 คนั
2) มรี ถทตี่ อ งซอ มเบรกแตไ มตอ งซอมระบบทอ ไอเสยี เทากับ 23 – 13 = 10 คนั
U แทนเซตของผใู ชบ ริการขนสง ทีเ่ ขารวมการสาํ รวจ
A แทนเซตของผใู ชบ รกิ ารขนสง ทางรถไฟ
B แทนเซตของผใู ชบ รกิ ารขนสง ทางรถยนต
C แทนเซตของผใู ชบรกิ ารขนสง ทางเรอื
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
182 คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
A∩B แทนเซตของผใู ชบ ริการขนสง ทางรถไฟและรถยนต
B∩C แทนเซตของผใู ชบ รกิ ารขนสง ทางรถยนตแ ละเรือ
A∩C แทนเซตของผใู ชบ ริการขนสง ทางรถไฟและเรอื
A∩B∩C แทนเซตของผใู ชบรกิ ารขนสง ทง้ั ทางรถไฟ รถยนต และเรอื
( A ∪ B ∪ C)′ แทนเซตของผใู ชบรกิ ารขนสง อืน่ ๆ ทไี่ มใ ชท างรถไฟ รถยนต หรอื เรอื
A ∪ B ∪ C แทนเซตของผใู ชบรกิ ารขนสง ทางรถไฟ รถยนต หรอื เรือ
จะได n( A) = 100
n( B) = 150
n(C ) = 200
n( A ∩ B) = 50
n( B ∩ C ) = 25
n(A∩C) = 0
n(A∩B∩C) = 0
n( A ∪ B ∪ C )′ = 30
วิธที ี่ 1 นาํ ขอมูลทง้ั หมดไปเขยี นแผนภาพไดด ังน้ี
U
AB
50
50 75
0
0 25
175 C 30
จากแผนภาพ จะไดว า มีผูใชบรกิ ารขนสงทเ่ี ขา รว มการสาํ รวจทั้งหมด เทา กับ
50 + 50 + 75 + 25 + 175 + 30 = 405 คน
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1 183
วิธีที่ 2 จาก n( A∪ B ∪C) = n( A) + n(B) + n(C) − n( A∩ B)
−n( A∩ C) − n(B ∩ C) + n( A∩ B ∩C)
จะได n( A ∪ B ∪ C ) = 100 + 150 + 200 – 50 – 0 – 25 + 0
= 375
จาก n( A ∪ B ∪ C )′ = 30
จะได n(U ) = n( A ∪ B ∪ C ) + n( A ∪ B ∪ C )′
= 375 + 30
= 405
ดงั น้นั มผี ใู ชบรกิ ารขนสง ทเี่ ขา รวมการสาํ รวจทง้ั หมด 405 คน
18. ให U แทนเซตของคนทํางานทเี่ ขา รว มการสํารวจ
A แทนเซตของคนทํางานท่ีชอบการเดนิ ปา
B แทนเซตของคนทํางานท่ีชอบการไปทะเล
C แทนเซตของคนทาํ งานทช่ี อบการเลน สวนนาํ้
A∩ B แทนเซตของคนทาํ งานทช่ี อบการเดินปา และการไปทะเล
A∩C แทนเซตของคนทาํ งานทีช่ อบการเดนิ ปาและการเลน สวนนาํ้
B ∩C แทนเซตของคนทํางานทช่ี อบการไปทะเลและการเลน สวนน้ํา
A ∩ B ∩ C แทนเซตของคนทาํ งานทีช่ อบทง้ั การเดินปา การไปทะเล และการเลนสวนนํ้า
จะได n( A) = 35
n( B) = 57
n(C ) = 20
n(A∩ B) = 8
n( A ∩ C ) = 15
n(B∩C) = 5
n(A∩B∩C) = 3
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
184 คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
นําขอมลู ทงั้ หมดไปเขยี นแผนภาพไดด ังนี้ U
AB
5
15 47
3
12 2
3C 13
จากแผนภาพ จะไดวา
1) มคี นที่ชอบการไปทะเลหรือชอบการเลน สวนน้าํ เทา กับ
5% + 47% +12% + 3% + 2% + 3% =72%
2) มคี นที่ชอบการเดินปาหรอื ชอบการไปทะเล เทา กบั
15% + 5% + 47% +12% + 3% + 2% =84%
3) มีคนท่ชี อบทาํ กิจกรรมเพยี งอยา งเดยี ว เทากับ 15% + 47% + 3% =65%
4) มคี นที่ไมชอบการเดนิ ปา หรอื ไปทะเล หรือเลนสวนนํ้า 13%
19. ให U แทนเซตของประชาชนทีเ่ ขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของคนท่ีชอบทเุ รยี น
B แทนเซตของคนทช่ี อบมงั คดุ
C แทนเซตของคนที่ชอบมะมวง
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบทเุ รียนและมงั คดุ
B ∩ C แทนเซตของคนท่ชี อบมังคุดและมะมว ง
A∩ C แทนเซตของคนที่ชอบทุเรยี นและมะมว ง
A ∩ B ∩ C แทนเซตของคนทีช่ อบผลไมท ั้งสามชนิดน้ี
จะได n( A) = 720
n( B) = 605
n(C ) = 586
n( A ∩ B) = 483
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1 185
n( B ∩ C ) = 470
n( A ∩ C ) = 494
n( A ∩ B ∩ C ) = 400
นําขอ มลู ทงั้ หมดไปเขยี นแผนภาพไดดังนี้
U
A B
83 52
143
400
94 70
22 C 136
จากแผนภาพ จะไดวา
1) มีคนท่ีชอบมังคดุ อยางเดียว 52 คน
2) มีคนท่ีชอบผลไมอยางนอ ยหนง่ึ ชนิดในสามชนิดนี้ เทากบั
143 + 83 + 52 + 94 + 400 + 70 + 22 =864 คน
3) มคี นทไี่ มช อบผลไมช นิดใดเลยในสามชนดิ น้ี 136 คน
20. ให U แทนเซตของนกั เรยี นทเ่ี ขารว มการสาํ รวจ
A แทนเซตของนกั เรียนท่ชี อบวิชาคณติ ศาสตร
B แทนเซตของนกั เรยี นทีช่ อบวิชาฟสิกส
C แทนเซตของนกั เรียนทช่ี อบวิชาภาษาไทย
( A ∪ B ∪ C)′ แทนเซตของนกั เรยี นทไี่ มช อบวิชาใดเลยในสามวชิ านี้
จะได n( A) = 56
n( B) = 47
n(C ) = 82
น่ันคอื n( A ∪ B ∪ C )′ = 4
n( A ∪ B ∪ C ) = 100 − 4 = 96
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
186 คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
ให x แทนจาํ นวนนกั เรยี นทช่ี อบวิชาคณติ ศาสตรและฟสกิ ส แตไ มช อบวชิ าภาษาไทย
y แทนจํานวนนกั เรียนท่ชี อบวิชาคณิตศาสตรแ ละภาษาไทย แตไมชอบวชิ าฟสกิ ส
z แทนจาํ นวนนกั เรียนที่ชอบวิชาฟสกิ สแ ละภาษาไทย แตไ มช อบวิชาคณิตศาสตร
k แทนจํานวนนกั เรียนทช่ี อบทงั้ สามวชิ า
วิธีที่ 1 นาํ ขอ มลู ทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังน้ี
A BU
56 – x – y – k x 47 – x – z – k
y kz
82 – y – z – k
C4
จากแผนภาพ จะไดวา
96 = (56 − x − y − k ) + (47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k ) + x + y + z + k
96 = 185 − x − y − z − 2k
89 = ( x + y + z) + 2k
เน่ืองจาก มีนักเรียนท่ีชอบเพียง 2 วชิ าเทา นัน้ จํานวน 71%
นั่นคอื x + y + z =71 89 = 71+ 2k
จะได
2k = 18
ดงั น้ัน k = 9
จะไดว า (56 − x − y − k ) + (47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k )
= 185 − 2x − 2 y − 2z − 3k
= 185 − 2( x + y + z) − 3k
= 185 − 2(71) − 3(9)
= 185 −142 − 27
= 16
ดงั นน้ั มีนักเรยี นที่ชอบเพยี งวิชาเดียวเทา นั้น จาํ นวน 16 %
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 187
วิธีที่ 2 นําขอ มลู ทั้งหมดไปเขยี นแผนภาพไดดังน้ี U
AB
x
y kz
C4
เนอ่ื งจาก มนี กั เรียนทช่ี อบเพียง 2 วิชาเทาน้นั จาํ นวน 71%
น่ันคือ x + y + z =71
จาก n( A ∪ B ∪ C ) = n( A) + n(B) + n(C ) − n( A ∩ B)
−n( A∩ C) − n(B ∩ C) + n( A∩ B ∩ C)
จะได 96 = 56 + 47 + 82 − ( x + k ) − ( y + k ) − ( z + k ) + k
x + y + z + 2k = 89
71+ 2k = 89
2k = 18
k =9
ดงั นนั้ มีนักเรียนทีช่ อบเพยี งวชิ าเดยี วเทานั้น เทา กบั 96% – 9% – 71% = 16 %
21. ให U แทนเซตของคนกลุมน้ี
X แทนเซตของคนที่มแี อนติเจน A
Y แทนเซตของคนทีม่ แี อนติเจน B
Z แทนเซตของคนทม่ี แี อนติเจน Rh
X ∩Y แทนเซตของคนทมี่ หี มูเลือด AB
X −Y แทนเซตของคนท่มี หี มูเลอื ด A
Y − X แทนเซตของคนทม่ี หี มเู ลอื ด B
( X ∩ Z ) −Y แทนเซตของคนทม่ี หี มูเ ลอื ด A+
(Y ∩ Z ) − X แทนเซตของคนท่ีมีหมเู ลือด B+
X ∩Y ∩ Z แทนเซตของคนที่มหี มเู ลือด AB+
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี