บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ
88 คูมือครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
15. ทฤษฎีบท 9
ให a, b, c และ d เปน จํานวนจรงิ จะไดวา
a a เมื่อ b ≠ 0 และ c ≠ 0
1) b =
c bc
a ac เม่ือ b ≠ 0 และ c ≠ 0
2) =
b bc
3) a + c ad + bc เมื่อ b ≠ 0 และ d ≠ 0
bd =
bd
4) a c = ac เม่ือ b ≠ 0 และ d ≠ 0
b d bd
5) b −1 c เมื่อ b ≠ 0 และ c ≠ 0
c =
b
a ad เมื่อ b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠ 0
6) b =
c bc
d
16. ทฤษฎบี ท 10 ขนั้ ตอนวธิ ีการหารสาํ หรบั พหนุ าม
ถา a(x) และ b(x) เปนพหุนาม โดยที่ b(x) ≠ 0 แลวจะมีพหุนาม q(x) และ r (x)
เพยี งชดุ เดียวเทาน้ัน ซ่ึง
=a( x) b( x)q( x) + r ( x)
เมื่อ r ( x) = 0 หรอื deg(r ( x)) < deg(b( x))
เรียก q(x) วา “ผลหาร” และเรียก r(x) วา “เศษเหลือจากการหารพหุนาม a(x)
ดวยพหนุ าม b(x)”
17. ทฤษฎีบท 11 ทฤษฎีบทเศษเหลอื
ให เปนพหนุ ามp(x) an xn + a xn−1 + a xn−2 + + a1x + a0
n −1 n−2
โดยที่ n เปนจาํ นวนเตม็ บวก และ an, an−1 , an−2 , , a1 , a0 เปนจํานวนจรงิ ซึ่ง an ≠ 0
ถา หารพหุนาม p(x) ดวยพหุนาม x − c เมื่อ c เปนจํานวนจริง แลว เศษเหลอื จะเทา กับ p(c)
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 89
คมู อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
18. ทฤษฎีบท 12 ทฤษฎีบทตัวประกอบ
ให เปนพหุนามp(x) an xn + a xn−1 + a xn−2 + + a1x + a0
n −1 n−2
โดยท่ี n เปน จาํ นวนเตม็ บวก และ an, an−1 , an−2 , , a1 , a0 เปน จํานวนจรงิ ซง่ึ an ≠ 0
พหุนาม p(x) มี x − c เปน ตวั ประกอบ กต็ อ เมือ่ p(c) = 0
19. ทฤษฎบี ท 13 ทฤษฎีบทตวั ประกอบตรรกยะ
ให เปนพหุนามp(x) an xn + a xn−1 + a xn−2 + + a1x + a0
n −1 n−2
โดยที่ n เปนจาํ นวนเต็มบวก และ an, an−1 , an−2 , , a1 , a0 เปนจาํ นวนเตม็ ซง่ึ an ≠ 0
ถา x − k เปนตวั ประกอบของพหุนาม p(x) โดยที่ m และ k เปน จาํ นวนเต็ม ซง่ึ m ≠ 0
m
และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทา กับ 1 แลว m หาร an ลงตวั และ k หาร a0 ลงตัว
20. สมการพหนุ ามตวั แปรเดยี ว คอื สมการท่เี ขียนไดในรปู
an xn + a xn−1 + a xn−2 + + a1x + a0 =0
n −1 n−2
เม่ือ n เปนจํานวนเต็มท่ีไมเปนจํานวนลบ และ an, an−1 , an−2 , , a1 , a0 เปนจํานวนจริง
ทีเ่ ปนสมั ประสิทธ์ิของพหนุ าม
21. สมการกําลังสอง คือ สมการท่ีเขียนไดในรูป ax2 + bx + c =0 เม่ือ a, b และ c
เปนจํานวนจรงิ โดยที่ a ≠ 0
ถา b2 − 4ac ≥ 0 แลวจะมจี าํ นวนจริงทเี่ ปน คาํ ตอบของสมการกาํ ลงั สองน้ี
โดยคาํ ตอบของสมการ คอื −b ± b2 − 4ac
2a
ถา b2 − 4ac < 0 แลว จะไมมีจํานวนจรงิ ทเี่ ปนคาํ ตอบของสมการกาํ ลงั สองนี้
22. ให p(x) และ q(x) เปน พหนุ าม โดยท่ี q(x) ≠ 0 จะเรยี ก p(x) วา
q(x)
“เศษสว นของพหนุ าม” ท่มี ี p(x) เปนตวั เศษ และ q(x) เปนตัวสว น
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง
90 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
23. การคูณและการหารเศษสว นของพหนุ าม
1) เม่อื p( x), q(x), r (x) และ s(x) เปนพหนุ าม โดยที่ q( x) ≠ 0 และ s( x) ≠ 0
จะไดวา
p(x) ⋅ r ( x) =qp((xx))sr((xx))
q(x) s ( x)
2) เมือ่ p( x), q( x), r ( x) และ s(x) เปนพหุนาม โดยท่ี q( x) ≠ 0, r ( x) ≠ 0
และ s(x) ≠ 0 จะไดวา
p(x) r(x) p(x) s(x)
q(x) ÷ s(x) = q(x) ⋅ r(x)
24. การบวกและการลบเศษสวนของพหนุ าม
เมือ่ p(x), q(x) และ r (x) เปน พหนุ าม โดยที่ q(x) ≠ 0 จะไดวา
p(x) r(x) p(x)+ r(x)
q( x) + q( x) =q( x)
p(x) − r(x) =p( xq)(−xr) ( x)
q(x) q(x)
25. สมการเศษสวนของพหุนาม คือ สมการท่ีสามารถจดั ใหอ ยูใ นรปู p(x) =0
q(x)
เม่ือ p(x) และ q(x) เปนพหุนาม โดยท่ี q(x) ≠ 0
26. บทนยิ าม 3
ให a และ b เปน จํานวนจริง
a > b หมายถึง a − b > 0
a < b หมายถึง a − b < 0 (หรอื b − a > 0 )
a ≥ b หมายถงึ a − b > 0 หรือ a = b
a ≤ b หมายถึง a − b < 0 หรอื a = b
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง 91
คมู อื ครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
27. ทฤษฎบี ท 14
ให a, b และ c เปน จาํ นวนจรงิ
1) สมบัติการถายทอด
ถา a > b และ b > c แลว a > c
2) สมบตั ิการบวกดว ยจํานวนทเ่ี ทากัน
ถา a > b แลว a + c > b + c
3) สมบตั กิ ารคูณดวยจํานวนที่เทากนั ทไ่ี มเ ปน ศูนย
กรณที ี่ 1 ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc
กรณที ี่ 2 ถา a > b และ c < 0 แลว ac < bc
4) สมบัตกิ ารตดั ออกสําหรบั การบวก
ถา a + c > b + c แลว a > b
5) สมบัติการตดั ออกสาํ หรบั การคณู
กรณที ี่ 1 ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b
กรณีที่ 2 ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b
28. ทฤษฎบี ท 15
ให a, b, c และ d เปน จํานวนจรงิ
ถา a > b และ c > d แลว a + c > b + d
29. บทนยิ าม 4
ให a, b และ c เปน จาํ นวนจรงิ
a < b < c หมายถงึ a < b และ b < c
a ≤ b ≤ c หมายถงึ a ≤ b และ b ≤ c
a < b ≤ c หมายถึง a < b และ b ≤ c
a ≤ b < c หมายถงึ a ≤ b และ b < c
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
92 คมู ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
30. บทนยิ าม 5
ให a และ b เปน จํานวนจรงิ ซ่ึง a < b
ชว งเปด (a, b) หมายถงึ {x a < x < b}
ชว งปด [a, b] หมายถึง {x a ≤ x ≤ b }
ชวงครึ่งเปดหรอื ชวงคร่งึ ปด (a, b] หมายถึง {x a < x ≤ b}
ชวงคร่งึ เปด หรือชวงคร่งึ ปด [a, b) หมายถงึ {x a ≤ x < b}
ชวงเปดอนนั ต (a, ∞) หมายถงึ {x x > a }
ชว งเปดอนนั ต (−∞, a) หมายถงึ {x x < a }
ชวงปดอนนั ต [a, ∞) หมายถงึ {x x ≥ a }
ชวงปดอนนั ต (−∞, a] หมายถึง {x x ≤ a }
31. บทนิยาม 6
ให a เปนจาํ นวนจรงิ คา สัมบูรณของจํานวนจรงิ a เขียนแทนดวย สัญลกั ษณ a โดยท่ี
เม่ือ
เมอื่
32. ทฤษฎบี ท 16
ให x และ y เปน จํานวนจริง จะไดวา
1) x = − x
2) xy = x y
3) x = x เม่ือ y ≠ 0
yy
4) x − y = y − x
5) x 2 = x2
6) x + y ≤ x + y
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 93
คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
33. ทฤษฎีบท 17
ให a เปน จาํ นวนจริงบวก
เซตคาํ ตอบของสมการ x = a คือ {−a, a}
34. ทฤษฎีบท 18
ให a เปนจํานวนจริงบวก
1) x < a ก็ตอ เม่อื −a < x < a
2) x ≤ a กต็ อ เมื่อ −a ≤ x ≤ a
3) x > a ก็ตอ เมอ่ื x < −a หรือ x > a
4) x ≥ a ก็ตอเมื่อ x ≤ −a หรอื x ≥ a
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง
94 คูมอื ครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
3.2 ขอ เสนอแนะเก่ยี วกบั การสอน
จาํ นวนจริง
กจิ กรรม : การจาํ แนกประเภทของจํานวน
จุดมุงหมายของกจิ กรรม
กิจกรรมนี้ใชเพ่ือทบทวนเกี่ยวกับประเภทของจํานวนซ่ึงนักเรียนไดศึกษามาแลวใน
ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน
แนวทางการดําเนนิ กิจกรรม
1. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ จากนั้นครูเขียนจํานวน
ตอไปน้ีบนกระดาน
7π −7 + 8 −(−5) − 6 5− 5
8 ⋅ 18 − 225 8 3
49 + 144 2
( −7 )3 1
22 2
27 2.3 −0.57871234… 85.71
363
4.5 073 − 10 22 7.321321321...
3 7
10−3 0.123456 −32
2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมพิจารณาวาจําแนกจํานวนที่กําหนดใหไดเปนกี่ประเภท และมี
จาํ นวนใดอยูในประเภทนั้นบาง
แนวคําตอบ
คําตอบของนักเรียนมีไดหลายแบบ เชน
• ไดเปน 2 ประเภท คือ จํานวนตรรกยะและจํานวนอตรรกยะ โดยมีจํานวนท่ีอยูใน
แตละประเภทดงั นี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง 95
คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
1) จํานวนตรรกยะ ไดแก
−7 + 8 −(−5) − 6 5− 5 8 ⋅ 18
− 225 8 ( −7 )3 27
2.3 2 363
4.5 073 − 10
85.71 10−3
3
22 7.321321321...
7 0.123456
−32
2) จํานวนอตรรกยะ ไดแก
7π 3 49 + 144 22
1 −0.57871234…
2
• ไดเ ปน 3 ประเภท คือ จํานวนจรงิ ลบ จํานวนจรงิ บวก และศนู ย โดยมีจาํ นวนท่ีอยู
ในแตล ะประเภทดังน้ี
1) จํานวนจริงลบ ไดแก
−(−5) − 6 − 225 (−7)3 −0.57871234…
− 10 −32
3
2) จาํ นวนจรงิ บวก ไดแก
7π −7 + 8 8 ⋅ 18 8
2
3 49 + 144 22 1
2
27 2.3 85.71 4.5 073
10−3
363 7.321321321... 0.123456
22
7
3) ศนู ย ไดแ ก
5− 5
สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ
96 คมู ือครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
• ไดเปน 2 ประเภท คอื จํานวนที่ตดิ อยใู นรูปเครอื่ งหมายกรณฑ และจํานวนท่ไี มติด
อยใู นรูปเครือ่ งหมายกรณฑ โดยมจี าํ นวนที่อยูใ นแตละประเภทดังน้ี
1) จาํ นวนที่ติดอยใู นรปู เคร่อื งหมายกรณฑ ไดแก
3 49 + 144 22 1
2
2) จาํ นวนที่ไมต ดิ อยูในรปู เครื่องหมายกรณฑ ไดแ ก
5− 5
7π −7 + 8 −(−5) − 6
8 ⋅ 18 − 225 8 ( −7 )3
2
27 2.3 −0.57871234… 22
363 7
85.71 4.5 073 −10 7.321321321...
10−3 3
0.123456
−32
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเก่ียวกับการจัดประเภทจํานวนท่ีแตละกลุมได โดยครู
บันทึกประเภทของจํานวนที่นักเรียนไดบนกระดาน โดยครูอาจเพิ่มเติมประเภทของ
จาํ นวนทน่ี ักเรียนยังไมไดก ลา วถึงไดต ามความเหมาะสม
4. ครูใหนักเรียนแตละกลุมเขียนแผนผังแสดงความสัมพันธของจํานวนประเภทตาง ๆ
จากน้ันครูสุมกลุมนักเรียนกลุมหน่ึงมานําเสนอการจัดประเภทของจํานวน พรอมทั้งให
นกั เรยี นกลุม อืน่ ๆ รว มกนั เพ่ิมเตมิ ประเภทของจํานวนจากทเ่ี พ่ือนนําเสนอใหส มบรู ณ
หมายเหตุ
• ครอู าจเปลี่ยนเปน จาํ นวนอ่นื ๆ ซงึ่ จาํ นวนเหลานัน้ ควรจาํ แนกประเภทไดหลายแบบ
• นอกจากการใชกิจกรรมนี้เพ่ือทบทวนเกี่ยวกับประเภทของจํานวนแลว ครูอาจใช
กิจกรรมนเ้ี พอื่ ตรวจสอบความเขาใจเกี่ยวกับประเภทของจํานวนไดด วย
• ในกรณีท่ีครูพบวานักเรยี นมีความเขาใจเก่ียวกับประเภทของจํานวนเปนอยางดีแลว ครู
สามารถสอนเน้ือหาเกี่ยวกับระบบจํานวนจริงซึ่งอยูในหัวขอถัดไปไดโดยไมตองสอน
เรื่องนี้อีก
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ 97
คูม ือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
ประเด็นสาํ คญั เก่ียวกับแบบฝก หดั
การพจิ ารณาวา ขอความ “มจี ํานวนตรรกยะมากที่สุดทีน่ อ ยกวา 9” ซ่ึงอยูในแบบฝก หดั 3.1
ขอ 2 น้ัน ครูควรกระตุนและเปด โอกาสใหนักเรียนใหเหตุผลประกอบคําตอบ โดยนักเรียน
อาจใหเหตุผลวาไมสามารถหาจํานวนตรรกยะท่ีมากท่ีสุดที่นอยกวา 9 ได เน่ืองจากจะมี
จํานวนตรรกยะท่ีอยูระหวางจํานวนจริง 2 จํานวนเสมอ เชน เมื่อสมมติวาจํานวนตรรกยะ
ที่มากท่ีสุดที่นอยกวา 9 คือ 8.9 ก็จะไดวามี 8.99 ซึ่งเปนจํานวนตรรกยะท่ีอยูระหวาง 8.9
และ 9 โดยท่ี 8.99 > 8.9 และ 8.99 < 9 และเม่ือสมมติวาจํานวนตรรกยะท่ีมากที่สุดท่ีนอย
กวา 9 คือ 8.99 ก็จะไดวามี 8.999 ซ่ึงเปนจํานวนตรรกยะท่ีอยูระหวาง 8.99 และ 9 โดยที่
8.999 > 8.99 และ 8.999 < 9
ระบบจาํ นวนจริง
ประเด็นสําคญั เกี่ยวกับเน้ือหาและสิง่ ที่ควรตระหนักเกีย่ วกับการสอน
• เนื้อหาในหัวขอนี้โดยสวนใหญเปนเรื่องท่ีนักเรียนไดศึกษามาแลวในระดับมัธยมศึกษา
ตอนตน แตในระดับน้ีเปนการนําเนื้อหามาจัดตามโครงสรางของระบบคณิตศาสตร
โดยจะกลาวถึงสัจพจนการเทากันของระบบจํานวนจริงและสัจพจนเชิงพีชคณิต
แตจ ะไมไ ดกลาวถงึ สัจพจนค วามบริบูรณ
• บทเรยี นนไี้ มไดเ นน การพิสูจนทฤษฎบี ท แตค รูอาจใหค วามรูเพม่ิ เติมเกีย่ วกบั การพิสูจน
ทฤษฎีบทสาํ หรับนักเรยี นที่สนใจได
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง
98 คมู อื ครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
ทฤษฎีบทเศษเหลอื
ประเด็นสําคญั เกยี่ วกบั เน้อื หาและสิง่ ที่ควรตระหนกั เก่ียวกับการสอน
จากตวั อยางท่ี 10 และคําถามทา ยตวั อยางท่ี 10 เกีย่ วกับการพิจารณาเศษเหลือท่ไี ดจ ากการหาร
9x3 + 4x −1 ดวย x−1 และ 2x −1 โดยวธิ ีหารยาว วาเทา กับ p 1 หรือไม นั้น นกั เรยี น
2 2
ควรสังเกตเห็นวาเศษเหลือท่ีไดจากการหาร 9x3 + 4x −1 ดวย x − 1 และเศษเหลือที่ได
2
จากการหาร 9x3 + 4x −1 ดวย 2x −1 โดยวิธีหารยาว ตางก็เทากับ 17 ซึ่งคือ p 1
2
8
น่ันเอง เนื่องจาก เมื่อเขียนแสดง 2x −1 ใหอยูในรูป x − c จะไดเปน x − 1 ทั้งน้ีสามารถ
2
อธบิ ายในกรณที ว่ั ไปไดด งั นี้
ให p(x) เปนพหุนาม และ a, b เปนจํานวนจรงิ โดยที่ a ≠ 0
จากขั้นตอนวิธีการหาร เม่อื หาร p(x) ดว ย ax + b
จะมีผลหาร q(x) และเศษเหลือเปนคาคงตวั d ซง่ึ p( x) =(ax + b)q(x) + d
สามารถจดั รปู สมการใหมไดเปน p ( x) = x + b ( a ⋅ q ( x )) + d
a
นนั่ คอื เมื่อหาร p(x) ดวย x + b จะไดผ ลหารเปน a ⋅ q(x) และเศษเหลอื เปน
a
คาคงตวั d
ดังนั้น เศษเหลือท่ีไดจากการหาร p(x) ดวย ax + b เทากบั เศษเหลือที่ไดจากการหาร
p(x) ดว ย x+ b ซึง่ เทา กับ p − b
a a
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 99
คมู อื ครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
ทฤษฎบี ทตัวประกอบ
ประเด็นสําคัญเกยี่ วกบั เนือ้ หาและส่ิงทค่ี วรตระหนกั เก่ียวกบั การสอน
ในบทเรียนน้ีนําเสนอการแยกตัวประกอบโดยใชทฤษฎีบทตัวประกอบและทฤษฎีบท
ตัวประกอบตรรกยะ แตการแยกตัวประกอบของพหุนามทําไดหลายวิธี นักเรียนสามารถ
ใชวิธีอ่ืน ๆ ได ดังน้ันครูควรใหนักเรียนมีอิสระในการเลือกวิธีท่ีตนเองถนัดในการแยก
ตัวประกอบของพหุนามโดยไมจําเปนตองตรงกับวิธีท่ีครูคิดไว แตครูควรฝกฝนใหนักเรียน
แยกตัวประกอบของพหุนามโดยใชทฤษฎีบทตัวประกอบและทฤษฎีบทตัวประกอบตรรกยะ
ดว ย ซึ่งจะเปน ประโยชนในการศกึ ษาหัวขอ ตอ ไป
สมการพหุนามตัวแปรเดยี ว
ประเด็นสาํ คัญเก่ียวกับเน้ือหาและสงิ่ ทีค่ วรตระหนักเกีย่ วกับการสอน
ในหัวขอนี้นักเรียนตองใชความรูเก่ียวกับการแยกตัวประกอบของพหุนามในการแกสมการ
พหุนามตัวแปรเดียว ซ่ึงการแยกตัวประกอบของพหุนามทําไดหลายวิธี ดังน้ัน ครูควรให
นักเรียนมีอิสระในการเลือกวิธีท่ีตนเองถนัดในการแยกตัวประกอบของพหุนามโดย
ไมจ ําเปน ตอ งตรงกบั วธิ ีที่ครูคดิ ไว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
100 คูม อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
เศษสว นของพหนุ าม
ประเดน็ สําคญั เก่ยี วกบั เน้ือหาและสงิ่ ทค่ี วรตระหนกั เกีย่ วกบั การสอน
• หนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 ถือวาพหุนามที่
เปนตัวสว นน้ันไมเทา กับ 0 ถึงแมว าจะไมไ ดระบุไวก็ตาม แตจ ะระบไุ วในกรณที พี่ หนุ ามที่
เปนตัวสวนนั้นมีการตัดทอนกับพหุนามตัวเศษไปแลว เชน ในตัวอยางท่ี 22 ขอ 1) ซ่ึง
เขียนเศษสว นของพหุนาม x −1 ในรูปผลสาํ เรจ็ ไดเปน 1 เมอ่ื x ≠1 นน้ั จะเห็นวา
x2 −1 x +1
x +1 ปรากฏเปนตัวสวนของเศษสวนของพหุนามในรูปผลสําเร็จ ซ่ึงทราบไดชัดเจนวา
x +1 ตองไมเทากับ 0 จึงไมไดมีการเขียน x ≠ −1 กํากับไววา แตในข้ันตอนการเขียน
เศษสวนของพหุนาม x −1 ใหอยูในรูปผลสําเร็จ มีการตัดทอน x −1 ไป ทําใหไมมี
x2 −1
x −1 ปรากฏอยใู นพหุนามในรูปผลสาํ เรจ็ ท่ีได จงึ จําเปนตองเขียน x ≠1 กํากบั ไว
• ในการเขียนเศษสวนของพหุนามในรูปผลสําเร็จน้ัน นักเรียนควรระมัดระวังวาพหุนาม
ทเ่ี ปนตัวสวนจะตองไมเ ทา กับศนู ย
• ครอู าจเปด โอกาสใหนกั เรียนอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปนี้ ซึง่ จะเปนประโยชนในการแกส มการ
เศษสว นของพหนุ าม
1) ถา a = a เม่ือ b ≠ 0, c ≠ 0 และ b ≠ c แลว a = 0
bc
2) ถา a = a เมือ่ a ≠ 0, b ≠ 0 และ c ≠ 0 แลว b = c
bc
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง 101
คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
สมการเศษสว นของพหุนาม
ประเดน็ สําคัญเก่ียวกบั เนอ้ื หาและสง่ิ ท่คี วรตระหนักเกยี่ วกบั การสอน
เนื่องจากการเขียนเศษสวนของพหุนามในรูปผลสําเร็จ พหุนามที่เปนตัวสวนจะตอง
ไมเทากับศูนย ดังนั้นนักเรียนจึงตองระวังในการสรุปเซตคําตอบของสมการเศษสวนของ
พหุนาม เชน ตัวอยา งที่ 25 จะเห็นวาจดั รูปสมการ x( x +1) = ( x − 2 x − 3) ไดเปน
( x −1)( x − 3)
1)(
( x −1)( x + 2) =0 ซ่ึงสมการน้ีจะเปนจริงเม่ือ x −1 =0 หรือ x + 2 =0 นั่นคือ x =1 หรือ
( x −1)( x − 3)
x= −2 แตเนื่องจาก ( x −1)( x − 3) เปนตัวสวนของเศษสวนของพหุนาม ( x −1)( x + 2)
( x −1)( x − 3)
จึงไดวา x −1 ≠ 0 และ x − 3 ≠ 0 นั่นคือ x ≠1 และ x ≠ 3 ดังน้ัน x =1 จึงไมใชคําตอบ
ของสมการ ทาํ ใหคําตอบของสมการท่ีกําหนดใหมคี าํ ตอบเดยี ว คือ x = −2
การไมเ ทา กนั ของจาํ นวนจรงิ
ประเดน็ สําคญั เก่ยี วกับแบบฝกหดั
ประเด็นสาํ คัญเกีย่ วกบั แบบฝกหัด 3.8 มดี ังนี้
• สําหรับขอ 1 และ 2 ซึ่งไดวาขอความท่ีกําหนดใหเปนเท็จน้ัน ครูควรสนับสนุนให
นักเรียนยกตัวอยางคา นประกอบการอธิบาย เชน
o จากขอ 1 เม่อื a = 0 และ b = −1 จะเห็นวา a > b
แต a=2 0=2 0 และ b2 =(−1)2 =1 จะเหน็ วา a2 < b2
ดงั นน้ั ขอความ “ถา a > b แลว a2 > b2 ” ไมจ รงิ
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจรงิ
102 คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
o จากขอ 2 เมอ่ื a =1 และ b = −1 จะเห็นวา a ≠ 0, b ≠ 0 และ a > b
แต 1= 1= 1 และ 1 = 1 = −1 จะเห็นวา 1 > 1
a1 b −1 ab
ดังนน้ั ขอความ “ถา a ≠ 0, b ≠ 0 และ a > b แลว 1 < 1 ” ไมจ รงิ
ab
• สําหรับขอ 3 – 6 ซงึ่ ขอความทก่ี าํ หนดใหเปนจริงน้ัน สามารถแสดงการพสิ จู นไ ดด งั นี้
o จากขอ 3 จะพสิ จู นว า “ถา a > b แลว −a < −b ”
พิสจู น ให a และ b เปน จาํ นวนจริงใด ๆ ซึ่ง a > b
จะได (−1)a < (−1)b
นนั่ คือ −a < −b
ดังน้ัน ถา a > b แลว −a < −b
o จากขอ 4 จะพิสูจนว า “ถา a < 0 และ b < 0 แลว ab > 0 ”
พิสจู น ให a และ b เปน จํานวนจริงใด ๆ ซง่ึ a < 0 และ b < 0
จาก a < 0
จะได ab > 0b
นัน่ คือ ab > 0
ดังนัน้ ถา a < 0 และ b < 0 แลว ab > 0
o จากขอ 5 จะพสิ ูจนวา “ถา a > 0 และ b < 0 แลว ab < 0 ”
พิสูจน ให a และ b เปน จาํ นวนจริงใด ๆ ซง่ึ a > 0 และ b < 0
จาก a > 0
จะได ab < 0b
นั่นคอื ab < 0
ดังนัน้ ถา a > 0 และ b < 0 แลว ab < 0
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง 103
คมู ือครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
o จากขอ 6 จะพิสจู นวา “ถา a > 0 แลว 1 > 0 ”
a
พสิ จู น ให a และ b เปน จาํ นวนจริงใด ๆ ซงึ่ a > 0
จะได a2 > 0
และ a > 0
a2 a2
น่นั คือ 1 > 0
a
ดังนนั้ ถา a > 0 แลว 1 > 0
a
• สําหรับขอ 7 และ 8 สามารถแสดงการพิสูจนประกอบคาํ ตอบท่ีไดดังน้ี
ให a และ b เปน จํานวนจริงใด ๆ ซึ่ง a > b และ a ≠ 0 และ b ≠ 0
พิจารณา กรณีที่ ab > 0 จะได 1 > 0
ab
และจาก a > b จะไดว า a 1 > b 1
ab ab
นั่นคือ 1 > 1 หรอื 1 < 1
ba ab
พจิ ารณา กรณีท่ี ab < 0 จะได 1 < 0
ab
และจาก a > b จะไดว า a 1 < b 1 นัน่ คือ 1 < 1
ab ab
ba
จากทั้งสองกรณี จะเห็นวาขอความ “ถา a > b แลว 1 < 1 เมื่อ a ≠ 0 และ
ab
b ≠ 0” จะเปนจริง เมื่อ a และ b เปนจํานวนจริงบวกท้ังคู หรือ a และ b
เปน จํานวนจรงิ ลบท้ังคู
และขอความ “ถา a > b แลว 1 > 1 เมื่อ a ≠ 0 และ b ≠ 0” จะเปนจริง เมื่อ
ab
a เปนจํานวนจรงิ บวก แต b เปนจํานวนจรงิ ลบ
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง
104 คมู อื ครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
อสมการพหนุ ามตัวแปรเดียว
ประเด็นสําคญั เกย่ี วกบั เน้อื หาและสง่ิ ทค่ี วรตระหนกั เกี่ยวกับการสอน
• จากบทนยิ าม 5 จะไดว า ชวงเปน สบั เซตของเซตของจาํ นวนจริง
• ครูควรฝกฝนนักเรียนใหใชแนวทางการแกอสมการพหุนามตัวแปรเดียวโดยพิจารณา
เสน จํานวนตามทน่ี ําเสนอในหนังสือเรียนรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 4
เลม 1 เน่ืองจากสามารถนําไปใชในการแกอสมการกรณีท่ีแยกตัวประกอบของพหุนาม
แลว ไดตัวประกอบซาํ้ รวมถงึ การแกอ สมการเศษสว นของพหุนาม
ประเดน็ สาํ คัญเกย่ี วกบั แบบฝกหดั
ประเด็นสาํ คัญเก่ียวกับแบบฝก หดั 3.9ข มีดงั น้ี
• การหาคําตอบของอสมการ x3 − x2 − x +1 ≥ 0 ในขอ 12 อาจใชก ารพิจารณาจากเสน จํานวน
หรืออาจใชสมบัติของจํานวนจริง ซึ่งจากการแยกตัวประกอบจะสามารถจัดรูปอสมการนี้
ไดเ ปน ( x −1)2 ( x +1) ≥ 0 และเนือ่ งจาก ( x −1)2 ≥ 0 เสมอ จงึ ไดวา x +1≥ 0
• การหาคําตอบของอสมการ (x −1)(x + 3) ≤ 0 ในขอ 15 ตองระมัดระวังวาพหุนามท่ี
x−2
เปนตัวสว นตองไมเทากับศูนย น่นั คือ x − 2 ≠ 0 จึงไดว า x ≠ 2
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 105
คมู อื ครูรายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
คา สมั บูรณ
ประเด็นสาํ คัญเกย่ี วกบั เน้ือหาและสิง่ ท่คี วรตระหนักเกีย่ วกบั การสอน
ครูควรเนน ย้ําบทนิยามของคาสัมบรู ณ (บทนยิ าม 6) ซึ่งจะเปน พ้ืนฐานสําคัญในการแกสมการ
และอสมการคา สมั บูรณของพหุนามตวั แปรเดยี ว
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกบั แบบฝกหัด
การหาเง่ือนไขของจํานวนจริง x และ y ที่ทาํ ให x + y < x + y หรือ x + y = x+ y
ในแบบฝก หัด 3.10 ขอ 3 สามารถแสดงการพสิ จู นโ ดยแยกเปน กรณี ดังนี้
กรณี x ≥ 0 และ y ≥ 0
จะได x + y ≥ 0 และ= x x=, y y
ดงั นนั้ x + y =x + y
และ x + y =x + y
ดงั นนั้ x + y = x + y
กรณี x < 0 และ y < 0
จะได x + y < 0 และ x =−x, y =− y
ดงั นัน้ x + y =−( x + y) =(−x) + (− y)
และ x + y = (−x) + (− y)
ดงั นน้ั x + y = x + y
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง
106 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
กรณี x < 0 และ y > 0 แยกพจิ ารณาเปน 2 กรณียอ ย ดงั น้ี
• กรณียอยท่ี 1 เมื่อ x > y
จะได x + y < 0 และ x =−x, y =y
ดังนัน้ x + y =−( x + y) =(−x) + (− y)
และ x + y =(−x) + y
ดงั นน้ั x + y < x + y
• กรณยี อยที่ 2 เมื่อ x < y
จะได x + y > 0 และ x =−x, y =y
ดงั น้นั x + y =x + y
และ x + y =(−x) + y
ดังน้ัน x + y < x + y
กรณี x > 0 และ y < 0 แยกพิจารณาเปน 2 กรณยี อย ดงั น้ี
• กรณียอยที่ 1 เมื่อ x > y
จะได x + y > 0 และ x = x, y = − y
ดงั นน้ั x + y =x + y
และ x + y = x + (− y)
ดังนัน้ x + y < x + y
• กรณียอยที่ 2 เมื่อ x < y
จะได x + y < 0 และ x = x, y = − y
ดังน้นั x + y =−( x + y) =(−x) + (− y)
และ x + y = x + (− y)
ดงั นน้ั x + y < x + y
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 107
คมู ือครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
จากกรณีทีแ่ สดงขา งตน จะเห็นวา
กรณีท่ี x > 0 และ y < 0 และกรณที ่ี x < 0 และ y > 0 จะทําให x + y < x + y
ดังนัน้ จงึ สรปุ ไดวา เมื่อ xy < 0 จะทําให x + y < x + y
และกรณที ี่ x ≥ 0 และ y ≥ 0 และกรณที ่ี x < 0 และ y < 0 จะทําให x + y = x + y
ดงั น้นั จงึ สรปุ ไดวา เม่ือ xy ≥ 0 จะทําให x + y = x + y
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ
108 คูมือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
3.3 แนวทางการจัดกจิ กรรมในหนังสือเรยี น
กิจกรรม : การหาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra
Willebrord Snell และ Christiaan Huygens ไดพัฒนาวิธีของ Archimedes ในการหาคา
ประมาณของ π กลาวคือ
เมือ่ un แทนความยาวรอบรปู ของรูป n เหลีย่ มดา นเทามุมเทา แนบในวงกลมหน่ึงหนวย
และ Un แทนความยาวรอบรูปของรูป n เหล่ียมดานเทา มุมเทาแนบนอกวงกลมหนึ่งหนวย
Archimedes หาคาประมาณของ π โดยคํานวณจาก 1 un +Un
2 2
สว น Snell-Huygens หาคาประมาณของ π โดยคาํ นวณจาก 1 2 un + 1U n
2 3 3
หากใชรูปหลายเหล่ียมดานเทามุมเทาที่มีจํานวนดานเทากนั คา ประมาณของ π ทค่ี ํานวณ
ไดจากวิธีของ Snell-Huygens จะใกลเคียงกวาวิธีของ Archimedes ดังแสดงไดดวยโปรแกรม
GeoGebra
หมายเหตุ คา ประมาณของ π ทศนิยม 20 ตาํ แหนง คือ 3.14159 26535 89793 23846
ขนั้ ตอนการปฏบิ ัติ
1. เปดเว็บไซต goo.gl/6xnUw4
2. พิมพ 6 ลงในชอง “จํานวนดาน =” ที่อยูใน Graphics View แลวสังเกตสิ่งที่เกิดข้ึนใน
Graphics View และ Spreadsheet View
3. เปล่ียนจํานวนดานจาก 6 เปน 12, 24, 48 และ 96 ตามลําดับ แลวเปรียบเทียบคาประมาณ
ของ π ทีไ่ ดจ ากวิธีของ Archimedes และ Snell-Huygens ใน Spreadsheet Viewก
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง 109
คูม ือครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
เฉลยกจิ กรรม : การหาคา ประมาณของ π ดว ย GeoGebra
1. -
2. จะเห็นวาในหนา Graphics View แสดงรูปหกเหลี่ยมดานเทาแนบในวงกลม (สีแดง)
และรูปหกเหล่ียมดานเทาแนบนอกวงกลม (สีนํ้าเงิน) และในหนา Spreadsheet View
แสดงคา ประมาณของ π ดวยวิธีของ Archimedes และวิธีของ Snell-Huygens
3. จะเห็นวาเม่ือจํานวนดานมากข้ึน คาประมาณของ π โดยวิธีของ Archimedes และ
Snell-Huygens จะใกลเคียงกับคา π มากข้ึน แตวิธีของ Snell-Huygens ให
คาประมาณท่ีใกลเคียงมากกวาวิธีของ Archimedes เชน เมื่อจํานวนดานเปน 96 ดาน
วธิ ีของ Archimedes ใหคาประมาณของ π ถูกตองถึงทศนิยมตําแหนงท่ี 3 ในขณะท่ี
วิธีของ Snell-Huygens ใหค า ประมาณของ π ถูกตองถึงทศนิยมตาํ แหนงท่ี 6
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
110 คมู ือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
แนวทางการจัดกจิ กรรม : การหาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra
เวลาในการจดั กิจกรรม 20 นาที
กจิ กรรมนเ้ี สนอไวใหน ักเรยี นเปรยี บเทียบคาประมาณของ π ทไ่ี ดจ ากวิธขี อง Archimedes
และ Snell-Huygens ในการทํากิจกรรมน้ีนักเรียนแตละกลุมควรมีเครื่องคอมพิวเตอร
อยางนอย 1 เคร่ือง โดยครูอาจเลือกจัดกิจกรรมน้ีในหองคอมพิวเตอร กิจกรรมนี้มีส่ือ/
แหลง การเรยี นรู และขั้นตอนการดําเนินกจิ กรรม ดังน้ี
ส่อื /แหลง การเรยี นรู
1. ใบกจิ กรรม “หาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra”
2. ไฟลก ิจกรรม “หาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra” จากเวบ็ ไซต goo.gl/6xnUw4
ขน้ั ตอนการดําเนนิ กจิ กรรม
1. ครแู บงกลุม นกั เรียนแบบคละความสามารถ กลมุ ละ 3 – 4 คน
2. ครูแจกใบกิจกรรม “หาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra” ใหกับนักเรียนทุกคนแลวให
นักเรียนศึกษาการประมาณคา π โดยวธิ ขี อง Archimedes และ Snell-Huygens ก
3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมเปดไฟลกิจกรรม “หาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra”
จากเวบ็ ไซต goo.gl/6xnUw4
4. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมและตอบคําถามท่ีปรากฏในแนวทางการปฏิบัติขอ 2 ใน
ใบกิจกรรม โดยใหนักเรยี นพิจารณาส่ิงทีเ่ กิดขึ้นในหนา จอ
5. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมและตอบคําถามที่ปรากฏในแนวทางการปฏิบัติขอ 3 ใน
ใบกิจกรรม จากนัน้ ครูนํานักเรียนอภปิ รายเก่ยี วกบั ประเดน็ ของคาํ ตอบ ดังนี้
• พิจารณาวาเม่ือเพิ่มจํานวนดานของรูปหลายเหล่ียมจะทําใหคาประมาณของ π
ทไ่ี ดจ ากแตละวิธเี ปน อยา งไร
• พิจารณาวาเม่ือจํานวนดานเทากัน คาประมาณที่ไดจากแตละวิธีเปนอยางไร
เมอื่ เทียบกับคา ประมาณของ π ท่กี าํ หนดใหใ นใบกิจกรรม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 111
คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
ความรเู พม่ิ เติมสาํ หรับกจิ กรรม : การหาคา ประมาณของ π ดว ย GeoGebra
π คือ จํานวนทีไ่ ดจากการหารความยาวรอบรูปวงกลมดวยความยาวของเสนผานศนู ยกลาง
ของรปู วงกลม ซึง่ เปน คา คงตัว
Archimedes ไดหาคาประมาณของ π โดยประมาณความยาวของเสนรอบรูปวงกลม
จากคาเฉล่ียของความยาวรอบรูปของรูปหลายเหล่ียมดานเทามุมเทาแนบในวงกลมและ
ความยาวรอบรปู ของรปู หลายเหลีย่ มดา นเทา มมุ เทาแนบนอกวงกลม
นั่นคอื Archimedes ประมาณคา π โดยคาํ นวณจาก 1 un +Un
2 2
เมื่อ un แทนความยาวรอบรูปของรูป n เหลี่ยมดานเทามุมเทาแนบในวงกลมท่ีมีรัศมียาว
หนึ่งหนว ย
และ Un แทนความยาวรอบรูปของรูป n เหลี่ยมดานเทามุมเทาแนบนอกวงกลมที่มีรัศมี
ยาวหนงึ่ หนว ย
ตอมา Willebrord Snell และ Christiaan Huygens ไดพัฒนาวิธีการของ Archimedes ในการ
หาคาประมาณของ π โดยใช 2 un + 1 U แทน un +Un
3 3 2
n
( )น่นั คอื Snell-Huygens ประมาณคา 1 2 1
π โดยคาํ นวณจาก 2 3 un + 3 U n
จากกิจกรรม “หาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra” นักเรียนจะเห็นไดวาเม่ือใช
รูปหลายเหลี่ยมดา นเทา มุมเทา ท่ีมีจํานวนดา นเทากัน คา ประมาณของ π ท่ีคาํ นวณไดจาก
วิธขี อง Snell-Huygens จะใกลเ คยี งมากกวาวิธขี อง Archimedes ดงั แสดงในตารางตอไปน้ี
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง
112 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
รูปหลายเหลี่ยม จํานวนดาน วิธขี อง วธิ ีของ
ดา นเทามุมเทา
Archimedes Snell-Huygens
คา ประมาณของ π ถูกตองถึง
6 หลกั หนวย ทศนยิ มตําแหนงท่ี 1
12 ทศนยิ มตาํ แหนงท่ี 1 ทศนยิ มตาํ แหนงท่ี 2
24 ทศนิยมตาํ แหนงที่ 2 ทศนยิ มตาํ แหนง ท่ี 3
48 ทศนิยมตาํ แหนงที่ 2 ทศนิยมตําแหนง ที่ 5
96 ทศนิยมตาํ แหนงท่ี 3 ทศนิยมตําแหนง ที่ 6
s
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ 113
คูมอื ครูรายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 เลม 1
3.4 การวดั ผลประเมินผลระหวา งเรยี น
การวัดผลระหวางเรียนมีจุดมุงหมายเพ่ือปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การให
นักเรียนทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งท่ีครูอาจใชเพ่ือประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ
นักเรียน ซ่ึงหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอ
แบบฝกหัดที่ครอบคลุมเน้ือหาท่ีสําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทที่ 3 จํานวนจริง ครูอาจใช
แบบฝก หดั เพือ่ วัดผลประเมินผลความรใู นแตล ะเนอื้ หาไดด ังน้ี
เน้อื หา แบบฝก หดั
จาํ นวนนบั จํานวนเตม็ จาํ นวนตรรกยะ และจํานวนอตรรกยะ 3.1 ขอ 1 – 2
สัจพจนเชงิ พีชคณติ ทฤษฎบี ท และสมบัตติ าง ๆ ทเ่ี กี่ยวขอ ง 3.2 ขอ 1 – 3
พหุนามตวั แปรเดยี ว 3.3 ขอ 1 – 5
ขนั้ ตอนวธิ ีการหารสําหรับพหุนามและการหารยาว 3.3 ขอ 6 – 7
ทฤษฎีบทเศษเหลือ 3.4 ขอ 1 – 4
ทฤษฎบี ทตัวประกอบและทฤษฎบี ทตัวประกอบตรรกยะ 3.4 ขอ 5 – 6
สมการพหนุ ามตวั แปรเดยี ว 3.5 ขอ 1 – 3
เศษสว นของพหุนามในรูปผลสาํ เร็จ 3.6 ขอ 1
การคณู และการหารเศษสวนของพหุนาม 3.6 ขอ 2
การบวกและการลบเศษสว นของพหนุ าม 3.6 ขอ 3
สมการเศษสวนของพหุนาม 3.7 ขอ 1 – 2
การไมเ ทากันของจาํ นวนจรงิ 3.8 ขอ 1 – 8
การเขียนเซตในรูปชว งและการเขยี นกราฟของชว งบนเสนจํานวน 3.9 ก ขอ 1 – 3
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง แบบฝกหดั
114 คูมือครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
3.9ข ขอ 1 – 14
เน้ือหา ขอ 30 – 32
อสมการพหนุ ามตวั แปรเดยี ว 3.9ข ขอ 15 – 29
ขอ 1 – 3
อสมการเศษสวนของพหนุ าม 3.10 ขอ 1 – 8
คาสมั บรู ณและทฤษฎบี ททีเ่ กี่ยวกบั คา สัมบูรณ ขอ 1 – 3
สมการคาสมั บูรณข องพหนุ ามตวั แปรเดยี ว 3.11ก
อสมการคาสมั บรู ณของพหนุ ามตัวแปรเดียว 3.11ข
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 115
คมู ือครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
3.5 การวิเคราะหแ บบฝกหดั ทา ยบท
หนงั สือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 มจี ุดมงุ หมายวาเม่ือนักเรียน
ไดเรยี นจบบทที่ 3 จํานวนจริง แลวนกั เรยี นสามารถ
1. ใชค วามรูเกย่ี วกับจาํ นวนจริงในการแกปญ หา
2. หาผลหารของพหุนามและเศษเหลือ
3. หาเศษเหลอื โดยใชท ฤษฎบี ทเศษเหลอื
4. แยกตัวประกอบของพหนุ าม
5. แกส มการและอสมการพหุนามตัวแปรเดียว
6. แกสมการและอสมการเศษสว นพหนุ ามตัวแปรเดียว
7. แกสมการและอสมการคาสัมบรู ณข องพหุนามตัวแปรเดียว
8. ใชค วามรูเ กี่ยวกบั พหุนามในการแกป ญหา
ซ่ึงหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัด
ทา ยบทที่ประกอบดวยโจทยเพ่ือตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเพ่ือวัดความรูความ
เขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซ่ึงประกอบดวยโจทยฝกทักษะท่ีมีความนาสนใจและโจทย
ทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย
ของบทเพอื่ ตรวจสอบวานกั เรยี นมคี วามสามารถตามจุดมุงหมายเมอื่ เรยี นจบบทเรียนหรือไม
ท้ังน้ี แบบฝก หดั ทายบทแตล ะขอในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
เลม 1 บทที่ 3 จาํ นวนจริง สอดคลอ งกับจดุ มงุ หมายของบทเรยี น ดงั นี้
จดุ มงุ หมาย แบบฝก หดั ทา ยบทขอที่
1. ใชค วามรเู กย่ี วกบั จํานวนจริงในการแกป ญหา
1 1) – 3)
2. หาผลหารของพหุนามและเศษเหลอื 2
3 1) – 9)
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ
116 คูมอื ครูรายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
จดุ มงุ หมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
3. หาเศษเหลอื โดยใชทฤษฎบี ทเศษเหลือ
4 1) – 6)
4. แยกตัวประกอบของพหนุ าม 5
5. แกส มการและอสมการพหนุ ามตัวแปรเดยี ว 6
6. แกสมการและอสมการเศษสว นพหนุ ามตวั แปรเดียว 7 1) – 2)
7. แกส มการและอสมการคา สมั บูรณของพหุนามตวั แปรเดยี ว 8
8. ใชความรเู กี่ยวกับพหุนามในการแกปญ หา 9 1) – 10)
10 1) – 12)
โจทยทา ทาย 13 1) – 4), 6) – 12
11 1) – 4)
12 1) – 10)
14 1) – 15)
20 1) – 8)
21 1) – 8)
15
16
17
18
19
22
13 5)
20 9) – 10)
21 9)
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 117
คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
3.6 ความรูเพม่ิ เตมิ สาํ หรบั ครู
ความรูเพ่มิ เติมสําหรับครูท่ีจะกลา วถึงในคูมือครูรายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4
เลม 1 บทที่ 3 จาํ นวนจริง มี 2 หัวขอ ไดแ ก
1. สจั พจนในระบบจํานวนจริง
2. การพสิ ูจนท ฤษฎบี ทเกย่ี วกบั จํานวนจริงทก่ี ลา วถึงแตไมไดแสดงการพิสจู นไวใน
หนังสือเรยี นรายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
โดยมีรายละเอยี ดในแตละหัวขอ เปน ดงั น้ี
สัจพจนใ นระบบจํานวนจรงิ
ระบบจํานวนจริง คือ ระบบเชิงคณิตศาสตรท่ปี ระกอบดวยเอกภพสัมพทั ธ ซง่ึ สอดคลอง
กับสัจพจน 3 กลุม ไดแก สัจพจนเชิงพีชคณิต (algebraic axioms) สัจพจนเชิงอันดับ (order
axioms) และสัจพจนความบริบูรณ (completeness axiom) เรียก วา “เซตของจํานวนจรงิ ”
และเรียกสมาชกิ ใน วา “จาํ นวนจรงิ ”
สัจพจนเ ชิงพชี คณิต
ให + และ ⋅ เปนสัญลักษณแทนการบวกและการคูณ ตามลําดับ สัจพจนเชิงพีชคณิตของ
ระบบจาํ นวนจรงิ ไดแ ก
(A1) a + b∈ สําหรบั ทุกจาํ นวนจริง a, b
(A2) a + (b + c) = (a + b) + c สําหรับทกุ จํานวนจริง a, b, c
(A3) a + b = b + a สําหรบั ทกุ จาํ นวนจริง a, b
(A4) มจี ํานวนจรงิ 0 ซ่ึง a + 0 = 0 + a = a สาํ หรบั ทกุ จาํ นวนจรงิ a
(A5) สําหรับแตล ะจํานวนจรงิ a มจี ํานวนจริง b ซง่ึ a + b = b + a = 0
(M1) a ⋅b∈ สําหรบั ทุกจาํ นวนจริง a, b
(M2) a ⋅(b ⋅ c) = (a ⋅b) ⋅ c สาํ หรบั ทุกจํานวนจรงิ a, b, c
(M3) a ⋅b = b ⋅ a สาํ หรบั ทกุ จํานวนจริง a, b
(M4) มีจํานวนจริง 1 ซง่ึ a ⋅1 =1⋅ a = a สําหรบั ทกุ จาํ นวนจรงิ a
สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ
118 คูมอื ครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
(M5) สาํ หรับแตละจาํ นวนจริง a ซึ่ง a ≠ 0 มจี าํ นวนจรงิ b ซงึ่ a ⋅b = b ⋅ a =1
(D) a ⋅(b + c) = a ⋅b + a ⋅ c และ (b + c) ⋅ a = b ⋅ a + c ⋅ a สําหรับทุกจํานวนจริง a, b, c
หมายเหต
ในที่น้ี อกั ษร A, M และ D ใชบง ถึงสัจพจนเกีย่ วกับการบวก (addition) การคูณ (multiplication)
และการแจกแจง (distribution) ตามลําดบั
สัจพจนเ ชงิ อันดบั
มสี ับเซต + ของ ซึ่งสอดคลองกบั เงือ่ นไขทุกขอ ตอไปน้ี
1. ถา a, b ∈ + แลว a + b ∈ +
2. ถา a, b ∈ + แลว a ⋅ b ∈ +
3. สาํ หรบั จํานวนจรงิ a ใด ๆ a ∈ + หรือ a = 0 หรือ −a∈ + เพียงอยางใดอยางหน่ึง
สัจพจนความบริบูรณ
ถา A เปนสบั เซตที่ไมใชเซตวางของ ซง่ึ มขี อบเขตบนใน แลว A มีขอบเขตบนนอยสดุ ใน
การพิสจู นท ฤษฎีบทเกี่ยวกับจํานวนจรงิ ท่กี ลา วถึงในหนงั สือเรียน
• ทฤษฎบี ท 1 กฎการตัดออกสําหรบั การบวก
ให a, b และ c เปน จํานวนจรงิ
1) ถา a + c = b + c แลว a = b
2) ถา a +b = a + c แลว b = c
พสิ ูจน
ให a, b และ c เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ
1) ให a + c = b + c
เน่ืองจาก a = a+0 (สมบตั ิการมเี อกลักษณข องการบวก)
= a + (c + (−c)) (สมบตั ิการมีตัวผกผนั ของการบวก)
= (a + c) + (−c) (สมบัตกิ ารเปลย่ี นหมขู องการบวก)
= (b + c) + (−c) (จากทกี่ ําหนดให)
= b + (c + (−c)) (สมบัตกิ ารเปลยี่ นหมูของการบวก)
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 119
คมู อื ครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
= b+0 (สมบัติการมตี ัวผกผนั ของการบวก)
(สมบัตกิ ารมีเอกลักษณข องการบวก)
ดังนั้น a = b =b
2) ให a +b = a + c (สมบัตกิ ารมเี อกลักษณของการบวก)
b = 0+b (สมบตั กิ ารมีตัวผกผนั ของการบวก)
เนื่องจาก (สมบตั กิ ารเปล่ียนหมูของการบวก)
= ((−a) + a) + b (จากทกี่ ําหนดให)
(สมบัติการเปลยี่ นหมขู องการบวก)
= (−a) + (a + b) (สมบัตกิ ารมีตวั ผกผันของการบวก)
(สมบตั ิการมีเอกลกั ษณของการบวก)
= (−a) + (a + c)
(สมบตั กิ ารมีเอกลกั ษณข องการคูณ)
= ((−a) + a) + c (สมบตั ิการมีตัวผกผันของการคูณ)
(สมบตั ิการเปลย่ี นหมูของการคณู )
= 0+c (จากทก่ี ําหนดให)
(สมบตั กิ ารเปลีย่ นหมูข องการคูณ)
=c (สมบตั กิ ารมตี ัวผกผนั ของการคณู )
(สมบัติการมีเอกลกั ษณของการคณู )
ดังน้นั b = c
• ทฤษฎบี ท 2 กฎการตัดออกสาํ หรบั การคูณ
ให a, b และ c เปน จํานวนจรงิ
1) ถา ac = bc และ c ≠ 0 แลว a = b
2) ถา ab = ac และ a ≠ 0 แลว b = c
พสิ จู น ให a, b และ c เปน จํานวนจรงิ ใด ๆ
1) ให ac = bc และ c ≠ 0
เนอ่ื งจาก a = a ⋅1
( )= a c ⋅ c−1
= (ac)c−1
= (bc)c−1
( )= b c ⋅ c−1
= b ⋅1
=b
ดังนั้น a = b
สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ
120 คมู อื ครูรายวิชาเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
2) ให ab = ac และ a ≠ 0
เนื่องจาก b = 1⋅b (สมบัติการมเี อกลักษณของการคณู )
( )= a−1 ⋅ a b (สมบัตกิ ารมตี วั ผกผันของการคณู )
= a−1 (ab) (สมบัตกิ ารเปลี่ยนหมขู องการคูณ)
= a−1 (ac) (จากทีก่ ําหนดให)
( )= a−1 ⋅ a c (สมบตั กิ ารเปลี่ยนหมขู องการคูณ)
= 1⋅c (สมบตั กิ ารมตี ัวผกผันของการคูณ)
= c (สมบตั ิการมเี อกลักษณของการคูณ)
ดังนั้น b = c
• ทฤษฎบี ท 3
ให a เปนจํานวนจริง จะได a ⋅0 =0
พสิ ูจน
ให a เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ
เนอื่ งจาก a + a ⋅0 = a ⋅1+ a ⋅0 (สมบตั ิการมเี อกลักษณข องการบวก)
= a(1+ 0) (สมบตั กิ ารแจกแจง)
= a ⋅1 (สมบัติการมีเอกลกั ษณข องการบวก)
= a (สมบตั กิ ารมีเอกลักษณของการคูณ)
จะไดว า a ⋅0 เปนเอกลกั ษณการบวก
แตเ น่ืองจากเอกลกั ษณการบวก คือ 0
ดังน้ัน a ⋅ 0 =0
• ทฤษฎบี ท 4
ให a เปนจํานวนจรงิ จะได (−1)a =− a
พสิ ูจน
ให a เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ
เน่ืองจาก a + (−1)a = (1)a + (−1)a (สมบัตกิ ารมเี อกลักษณของการคณู )
= (1+ (−1))a (สมบัติการแจกแจง)
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง 121
คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
= 0⋅ a (สมบตั ิการมีตัวผกผันของการบวก)
= 0 (ทฤษฎีบท 3)
จะไดว า (−1)a เปน ตวั ผกผันการบวกของ a
แตเนื่องจากตวั ผกผันการบวกของ a คอื −a
ดงั น้ัน (−1)a =− a
• ทฤษฎบี ท 5
ให a และ b เปนจํานวนจรงิ จะได ab = 0 กต็ อ เมอ่ื a = 0 หรือ b = 0
พิสูจน
ให a และ b เปน จํานวนจรงิ ใด ๆ
1) จะแสดงวา ถา ab = 0 แลว a = 0 หรอื b = 0
ให ab = 0 และ a ≠ 0
เนือ่ งจาก b = 1⋅b (สมบัตกิ ารมีเอกลักษณของการคณู )
( )= a−1a b (สมบัติการมตี ัวผกผนั ของการคณู )
= a−1 (ab) (สมบตั ิการเปลีย่ นหมขู องการคณู )
= a−1 ⋅ 0 (จากท่ีกาํ หนดให)
= 0 (ทฤษฎีบท 3)
ดงั นั้น b = 0 ----- (1)
ให ab = 0 และ b ≠ 0
เน่อื งจาก a = a ⋅1 (สมบตั ิการมีเอกลักษณข องการคูณ)
( )= a bb−1 (สมบตั กิ ารมตี ัวผกผนั ของการคูณ)
= (ab)b−1 (สมบตั กิ ารเปล่ียนหมขู องการคณู )
= 0 ⋅ b−1 (จากท่กี ําหนดให)
= 0 (ทฤษฎีบท 3)
ดงั นั้น a = 0 ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะไดวา ถา ab = 0 แลว a = 0 หรอื b = 0
สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ
122 คมู ือครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
2) จะแสดงวา ถา a = 0 หรอื b = 0 แลว ab = 0
กรณที ี่ 1 ให a = 0 แต b ≠ 0
โดยทฤษฎีบท 3 จะไดวา ab = 0
กรณีท่ี 2 ให b = 0 แต a ≠ 0
โดยทฤษฎบี ท 3 จะไดว า ab = 0
กรณีที่ 3 ให a = 0 และ b = 0
โดยทฤษฎบี ท 3 จะไดวา ab = 0
จากท้ังสามกรณี จะไดว า ถา a = 0 หรือ b = 0 แลว ab = 0
ดงั นน้ั ให a และ b เปน จาํ นวนจริง จะได ab = 0 กต็ อเม่ือ a = 0 หรอื b = 0
• ทฤษฎบี ท 6
ให a และ b เปนจาํ นวนจริง จะไดว า
1) a(−b) =−ab
2) (−a)b =−ab
3) (−a)(−b) =ab
พสิ ูจน
ให a และ b เปน จํานวนจรงิ ใด ๆ
1) จาก ab + a(−b) = a(b + (−b)) (สมบัตกิ ารแจกแจง)
= a ⋅0 (สมบตั ิการมีตัวผกผันของการบวก)
= 0 (ทฤษฎีบท 3)
จะไดวา a(−b) เปน ตัวผกผันการบวกของ ab
แตเ น่อื งจากตวั ผกผนั การบวกของ ab คอื −ab
ดงั นัน้ a(−b) =−ab
2) จาก ab + (−a)b = (a + (−a))b (สมบตั ิการแจกแจง)
= 0⋅b (สมบัติการมตี ัวผกผนั ของการบวก)
= b ⋅0 (สมบตั ิการสลับที่ของการบวก)
= 0 (ทฤษฎีบท 3)
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ 123
คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
จะไดว า (−a)b เปน ตวั ผกผันการบวกของ ab
แตเนื่องจากตวั ผกผนั การบวกของ ab คือ −ab
ดงั นนั้ (−a)b =−ab
3) จาก (−a)(−b) + (−ab) = (−a)(−b) + (−a)b (ทฤษฎีบท 6 ขอ 2)
= (−a)(−b + b) (สมบตั ิการแจกแจง)
= (−a)⋅0 (สมบัติการมตี วั ผกผันของการบวก)
= 0 (ทฤษฎีบท 3)
จะไดว า (−a)(−b) เปน ตัวผกผนั การบวกของ −ab
แตเ น่ืองจากตัวผกผนั การบวกของ −ab คือ ab
ดังน้นั (−a)(−b) =ab
• ทฤษฎีบท 7
ให a, b และ c เปนจาํ นวนจรงิ จะไดวา
1) a (b − c) = ab − ac
2) (a − b)c =ac − bc
พสิ จู น
ให a, b และ c เปน จํานวนจรงิ ใด ๆ
1) จาก a(b − c) = a(b + (−c)) (บทนยิ าม 1)
= ab + a(−c) (สมบตั ิการแจกแจง)
= ab + (−ac) (ทฤษฎบี ท 6 ขอ 1)
= ab − ac (บทนิยาม 1)
ดงั นัน้ a(b − c) = ab − ac
2) จาก (a − b)c = (a + (−b))c (บทนิยาม 1)
= ac +(−b)c (สมบตั ิการแจกแจง)
= ac + (−bc) (ทฤษฎีบท 6 ขอ 2)
= ac −bc (บทนิยาม 1)
ดังน้นั (a − b)c = ac − bc
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจรงิ
124 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
• ทฤษฎบี ท 8
ให a เปนจาํ นวนจรงิ ถา a ≠ 0 แลว a−1 ≠ 0
พิสจู น โดยวธิ หี าขอ ขัดแยง
สมมติให a ≠ 0 แต a−1 = 0
เนื่องจาก a ≠ 0 จะมี a−1 ∈ ซง่ึ a=a−1 a=−1a 1
จะไดว า 1 = aa−1 = a ⋅ 0 = 0 ซ่งึ ไมเปนจรงิ
ดังนัน้ ถา a ≠ 0 แลว a−1 ≠ 0
• ทฤษฎีบท 9
ให a, b, c และ d เปน จํานวนจริง จะไดว า
a เม่อื b ≠ 0 และ c ≠ 0
1) b = a
c bc
2) a = ac เม่ือ b ≠ 0 และ c ≠ 0
b bc
3) a + c = ad + bc เมือ่ b ≠ 0 และ d ≠ 0
bd bd
4) a c = ac เมื่อ b ≠ 0 และ d ≠ 0
b d bd
5) b −1 = c เมอ่ื b ≠ 0 และ c ≠ 0
c b
a เมอ่ื b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠ 0
6) b = ad
c bc
d
พิสจู น
ให a, b, c และ d เปนจํานวนจริงใด ๆ
1) ให b ≠ 0 และ c ≠ 0
จาก ( ) ( )(bc) b−1c−1 = (bc) c−1b−1 (สมบตั ิการสลับท่ขี องการคูณ)
( )= b cc−1 b−1 (สมบตั กิ ารเปลีย่ นหมูของการคณู )
= b ⋅1⋅ b−1 (สมบตั กิ ารมีตัวผกผันของการคูณ)
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 125
คูม อื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
= b ⋅ b−1 ⋅1 (สมบัติการสลบั ที่ของการคณู )
( )= bb−1 ⋅1 (สมบตั กิ ารเปลีย่ นหมูของการคณู )
= 1⋅1 (สมบตั ิการมตี วั ผกผนั ของการคูณ)
= 1 (สมบตั ิการมีเอกลกั ษณของการคณู )
โดยสมบัติการมตี ัวผกผนั ของการคูณ จะไดว า b−1c−1 เปนตัวผกผนั ของการคูณของ bc
แตเ น่ืองจากตวั ผกผันของการคูณของ bc คอื (bc)−1
จึงไดวา (bc)−1 = b−1c−1 ----- (1)
a
( ) b = ab−1 c−1
จาก c (บทนิยาม 2)
( )= a b−1c−1 (สมบัตกิ ารเปลยี่ นหมูข องการคูณ)
= a (bc)−1 (จาก (1))
=a (บทนิยาม 2)
bc
a
ดังนน้ั b = a
c bc
2) ให b ≠ 0 และ c ≠ 0
จาก ac (ทฤษฎีบท 9 ขอ 1)
ดังนน้ั a = ac ac = c (บทนยิ าม 2)
bc b
b bc (สมบัตกิ ารเปลี่ยนกลมุ ของการคณู )
( ac ) c −1 (สมบตั ิการมีตัวผกผันของการคูณ)
(สมบตั กิ ารมเี อกลกั ษณข องการคณู )
=
b
( )a cc−1
=
b
= a ⋅1
b
=a
b
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง
126 คูมือครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
3) ให b ≠ 0 และ d ≠ 0
จาก a + c = ad + cb (ทฤษฎบี ท 9 ขอ 2)
b d bd db
= ad + bc (สมบตั กิ ารสลบั ทข่ี องการคณู )
bd bd
= (ad )(bd )−1 + (bc)(bd )−1 (บทนิยาม 2)
= (ad + bc)(bd )−1 (สมบัตกิ ารแจกแจง)
= ad + bc (บทนยิ าม 2)
bd
ดงั นั้น a + c =ad + bc
b d bd
4) ให b ≠ 0 และ d ≠ 0
จาก ( )( ) a c = ab−1 cd −1 (บทนยิ าม 2)
b d
( )( )= ab−1 d −1c (สมบัติการสลบั ทขี่ องการคณู )
( )= a b−1d −1 c (สมบตั กิ ารเปล่ยี นหมขู องการคณู )
( )= ac b−1d −1 (สมบตั ิการสลบั ที่ของการคณู )
= (ac)(bd )−1 (จาก (1) ในขอ 1)
= ac (บทนยิ าม 2)
bd
ดงั น้ัน a c = ac
b d bd
5) ให b ≠ 0 และ c ≠ 0
b −1 bc−1 −1
( )จาก c = (บทนยิ าม 2)
= 1 (บทนิยาม 2)
bc−1
( )= 1⋅ c (ทฤษฎบี ท 9 ขอ 2)
bc−1 c
( )= 1⋅ c (สมบัติการเปล่ยี นหมขู องการคณู )
b c−1c
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง 127
คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
= 1⋅c (สมบตั กิ ารมีตัวผกผนั ของการคณู )
b ⋅1 (สมบัติการมเี อกลักษณข องการคณู )
=c
b
ดงั นัน้ b −1 = c
c b
6) ให b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠ 0
a
b
จาก c = a c −1 (บทนิยาม 2)
d b d
= a d (ทฤษฎีบท 9 ขอ 5)
b c
= ad (ทฤษฎบี ท 9 ขอ 4)
bc
a
b = ad
ดงั นั้น c bc
d
• ทฤษฎีบท 10 ข้ันตอนวิธกี ารหารสําหรับพหุนาม
ถา a(x) และ b(x) เปนพหุนาม โดยที่ b(x) ≠ 0 แลว จะมีพหุนาม q( x)
และ r(x) เพยี งชุดเดียวเทา นนั้ ซึ่ง
=a( x) b( x)q( x) + r ( x)
เมื่อ r ( x) = 0 หรอื deg(r ( x)) < deg(b( x))
พิสจู น
ให a(x) และ b(x) เปน พหุนาม โดยท่ี b(x) ≠ 0
1) จะแสดงวามีพหนุ าม q( x) และ r (x) =ซงึ่ a( x) b( x)q( x) + r ( x) โดยท่ี r ( x) = 0
หรอื deg(r ( x)) < deg(b( x))
กรณีที่ 1 ถา a( x) = 0
ให q( x) = 0 และ r ( x) = 0
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง
128 คมู ือครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 เลม 1
จะไดว า q( x) = 0 = b( x) ⋅ 0 + 0 = b( x)q( x) + r ( x)
ดังน=ัน้ a( x) b( x)q( x) + r ( x)
กรณที ่ี 2 ถา a( x) ≠ 0
กรณที ี่ 2.1 ถา deg(a( x)) < deg(b( x))
ให q( x) = 0 และ r ( x) = a( x)
จะได a( x=) b( x) ⋅ 0 + a( x=) b( x)q( x) + r ( x)
กรณที ่ี 2.2 ถา deg(a( x)) ≥ deg(b( x))
ให ( )a=x a xd+s + a x(d +s)−1 + + a1 x + a0
d+s
(d +s)−1
และ ( )b x = bd xd + bd−1xd−1 + + b1x + b0
เม่อื d และ s เปนจาํ นวนเตม็ บวกหรอื ศูนย
ให a′=( x) a ( x) − ad+s xsb( x) ----- (1)
bd
จะไดว า deg(a′( x)) < deg(a( x))
โดยอปุ นยั เชงิ คณติ ศาสตร จะไดว า มีพหนุ าม q′(x) และ r(x)
ทท่ี ําใ=ห a′( x) q′( x)b( x) + r ( x) ----- (2)
โดยที่ r ( x) = 0 หรอื deg(r ( x)) < deg(b( x))
ให q=( x) q′( x) + ad+s xs ----- (3)
bd
จาก (1), (2) และ (3) จะได=วา a( x) b( x)q( x) + r ( x) โดยที่
r ( x) = 0 หรอื deg(r ( x)) < deg(b( x))
จากกรณีท่ี 1 และ 2 สรุปไดวา มีพหนุ าม q( x) และ r (x) =ซ่งึ a(x) b(x)q(x) + r (x)
2) จะแสดงวามีพหุนาม q( x) และ r (x) เพียงชุดเดียวเทาน้นั =ซง่ึ a(x) b(x)q(x) + r (x)
โดยที่ r ( x) = 0 หรือ deg(r ( x)) < deg(b( x))
สมมติวา q1 ( x) เปน พหนุ าม ซ่งึ q1 ( x) ≠ q( x)
และ r1 ( x) เปน พหุนาม ซ่ึง r1 ( x) ≠ r ( x) โดยท่ี r1 ( x) = 0 หรอื deg(r1 ( x)) < deg(b( x))
ทที่ าํ =ให a( x) b( x)q1 ( x) + r1 ( x)
ดังนั้น a(=x) b( x)q( x) + r (=x) b( x)q1 ( x) + r1 ( x)
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ 129
คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 เลม 1
น่นั คอื b( x)(q( x) − q1 ( x)) =r1 ( x) − r ( x)
จะไดวา deg(b( x)(q( x) − q1 ( x)))= deg(r1 ( x) − r ( x))
จาก q1 ( x) ≠ q( x) นน่ั คอื q( x) − q1 ( x) ≠ 0
จะไดว า deg(b( x)(q( x) − q1 ( x))) ≥ deg(b( x))
น่นั คอื deg(r1 ( x) − r ( x)) ≥ deg(b( x))
จาก deg(r ( x)) < deg(b( x)) และ deg(r1 ( x)) < deg(b( x))
ดงั น้นั deg(r1 ( x) − r ( x)) < deg(b( x))
เกิดขอขดั แยง ทาํ ให q1 ( x) = q( x) และ r1 ( x) = r ( x)
จากขอ 1) และ 2) สรปุ ไดว า ถา a(x) และ b(x) เปนพหุนาม โดยท่ี b(x) ≠ 0 แลว
จะมพี หนุ าม q( x) และ r (x) เพียงชดุ เดยี วเทานนั้ =ซึ่ง a(x) b(x)q(x) + r (x)
เม่ือ r ( x) = 0 หรอื deg(r ( x)) < deg(b( x))
• ทฤษฎบี ท 13
ให p( x) เปน พหุนาม anxn + an−1xn−1 + + a1x + a0 โดยที่ n เปน จาํ นวนเต็มบวก
และ an , an−1 , , a1 , a0 เปน จํานวนเตม็ ซ่งึ an ≠ 0
ถา x − k เปนตัวประกอบของพหุนาม p(x) โดยท่ี m และ k เปนจํานวนเต็ม ซึง่ m ≠ 0
m
และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทากับ 1 แลว m หาร an ลงตัว และ k หาร a0 ลงตวั
พิสูจน
ให m และ k เปน จาํ นวนเต็ม ซ่ึง m ≠ 0 และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทา กับ 1
ซ่งึ ทําให x − k เปนตัวประกอบของพหนุ าม p( x)= an xn + a xn−1 ++ a1 x + a0
n −1
m
โดยที่ n เปน จาํ นวนเตม็ บวก และ an , an−1 , , a1 , a0 เปน จาํ นวนเต็มซง่ึ an ≠ 0
( )โดยทฤษฎบี ทตวั ประกอบ จะไดว าpk =0
m
n−1
+ + a1
( ) ( ) ( )น่ันคอื an
k n k k + a0 =0
m m m
+ an−1
คูณท้งั สองขางของสมการดวย mn
จะได ank n + an−1k mn−1 + + a1kmn−1 + a0mn = 0 ------ (1)
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจริง
130 คมู อื ครูรายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เลม 1
1) จะแสดงวา m หาร an ลงตัว
จาก (1) จะไดว า
an−1k mn−1 + + a1kmn−1 + a0mn = −ank n
( )−
a k n−1 ++ a1kmn−2 + a0 m n −1 m = ank n
n −1
จะเห็นวา m หาร ankn ลงตวั
แตเน่ืองจาก ห.ร.ม. ของ m และ k เทากับ 1 จะไดว า m หาร an ลงตัว
2) จะแสดงวา k หาร a0 ลงตวั
จาก (1) จะไดวา
ank n + an−1k mn−1 + + a1kmn−1 = −a0mn
( )− ank n−1 + an−1k n−2m + + a1mn−1 k = a0mn
จะเห็นวา k หาร a0mn ลงตัว
แตเนอ่ื งจาก ห.ร.ม. ของ m และ k เทา กับ 1 จะไดว า k หาร a0 ลงตัว
ดังนัน้ m หาร an ลงตัว และ k หาร a0 ลงตัว
• ทฤษฎบี ท 14
ให a, b และ c เปน จํานวนจริง
1) สมบตั ิการถา ยทอด
ถา a > b และ b > c แลว a > c
2) สมบตั ิการบวกดวยจํานวนทเ่ี ทากนั
ถา a > b แลว a + c > b + c
3) สมบัติการคูณดว ยจํานวนทเี่ ทากันท่ีไมเ ปน ศูนย
กรณที ี่ 1 ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc
กรณที ี่ 2 ถา a > b และ c < 0 แลว ac < bc
4) สมบตั กิ ารตดั ออกสําหรับการบวก
ถา a + c > b + c แลว a > b
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 131
คูมือครูรายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
5) สมบตั ิการตดั ออกสาํ หรบั การคณู
กรณีที่ 1 ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b
กรณีที่ 2 ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b
พสิ ูจน
ให a, b และ c เปนจาํ นวนจริงใด ๆ
1) ให a > b และ b > c
โดยบทนยิ าม 3 จะไดว า a − b > 0 และ b − c > 0
โดยสมบตั ิปด ของการบวก จะไดว า (a − b) + (b − c) > 0
จาก a − c = a + (−c) (บทนยิ าม 1)
= (a + (−c)) + 0 (สมบตั ิการมเี อกลักษณข องการบวก)
= (a + (−c)) + (b + (−b)) (สมบตั ิการมีตวั ผกผันของการบวก)
= a + ((−c) + b) + (−b) (สมบตั กิ ารเปลีย่ นหมขู องการบวก)
= a + (−b) + (b + (−c)) (สมบตั กิ ารสลับทีข่ องการบวก)
= (a + (−b)) + (b + (−c)) (สมบตั กิ ารเปล่ยี นหมูของการบวก)
= (a −b) + (b − c) (บทนยิ าม 1)
เนอ่ื งจาก (a − b) + (b − c) > 0
จะไดวา a − c > 0
ดงั น้ัน a > c
2) ให a > b
โดยบทนยิ าม 3 จะไดว า a − b > 0
จาก (a + c) − (b + c) = (a + c) + (−(b + c)) (บทนยิ าม 1)
= (a + c) + (−1(b + c)) (ทฤษฎีบท 4)
= (a + c) + ((−1)b + (−1)c) (สมบัติการแจกแจง)
= (a + c) + ((−b) + (−c)) (ทฤษฎีบท 4)
= (a + c) + ((−c) + (−b)) (สมบัติการสลับที่ของการบวก)
= a + (c + (−c)) + (−b) (สมบตั ิการเปลี่ยนหมูของการบวก)
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
132 คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
= a + 0 + (−b) (สมบตั ิการมีตัวผกผันของการบวก)
= a + (−b) (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
= a−b (บทนยิ าม 1)
เนื่องจาก a − b > 0
จะไดว า (a + c) − (b + c) > 0
น่นั คอื a + c > b + c
3) ให a > b
โดยบทนิยาม 3 จะไดว า a − b > 0
กรณีท่ี 1 c > 0
จาก a − b > 0 และ c > 0
โดยสมบัติปด ของการคูณ จะไดว า (a − b)c > 0
และเนือ่ งจาก (a − b)c =ac − bc (โดยสมบัติการแจกแจง)
จะได ac − bc > 0
นัน่ คือ ac > bc
กรณที ่ี 2 c < 0
เน่ืองจาก c < 0 ดังนน้ั −c > 0
จาก a − b > 0 และ −c > 0
โดยสมบตั ิปด ของการคูณ จะไดว า (a − b)(−c) > 0
และเนื่องจาก (a − b)(−c) =a(−c) − b(−c) =−ac + bc (โดยสมบตั ิการแจกแจง)
จะได −ac + bc > 0
น่ันคือ ac < bc
4) ให a + c > b + c
เนือ่ งจาก a + c > b + c โดยบทนยิ าม 3 จะไดวา (a + c) − (b + c) > 0
เนือ่ งจาก (a + c) − (b + c) =a − b
จะไดวา a − b > 0
นั่นคอื a > b
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจรงิ 133
คูมือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
5) ให ac > bc
โดยบทนยิ าม 3 จะไดว า ac − bc > 0
กรณีท่ี 1 c > 0 จะแสดงวา a > b
โดยวิธหี าขอขดั แยง สมมติให a >/ b น่ันคือ a = b หรอื a < b
- เมอ่ื a = b จะได ac = bc
ซ่งึ ขดั แยง กบั ท่ีกาํ หนดให ac > bc
- เมื่อ a < b จะได ac < bc
ซ่งึ ขัดแยง กับที่กาํ หนดให ac > bc
ดังน้นั ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b
กรณีที่ 2 c < 0 จะแสดงวา a < b
โดยวิธหี าขอขัดแยง สมมติให a </ b นนั่ คือ a = b หรือ a > b
- เมือ่ a = b จะได ac = bc
ซงึ่ ขดั แยงกบั ท่ีกาํ หนดให ac > bc
- เม่อื a > b จะได a − b > 0
เนอ่ื งจาก ac − bc = (a − b)c และ ac > bc จะได (a − b)c > 0
เนื่องจาก a − b > 0 จะได c > 0
ซึ่งขดั แยงกับท่ีกําหนดให c < 0
ดงั นน้ั ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b
• ทฤษฎบี ท 15
ให a, b, c และ d เปน จํานวนจรงิ
ถา a > b และ c > d แลว a + c > b + d
พสิ ูจน
ให a, b, c และ d เปนจาํ นวนจริงใด ๆ ซ่ึง a > b และ c > d
โดยทฤษฎีบท 14 ขอ 2 (สมบัตกิ ารบวกดว ยจํานวนท่ีเทา กัน)
จะได a + c > b + c และ b + c > b + d
โดยทฤษฎีบท 14 ขอ 1 (สมบัตกิ ารถายทอด) จะได a + c > b + d
สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง
134 คูมือครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เลม 1
• ทฤษฎบี ท 16
ให x และ y เปน จํานวนจริง จะไดวา
1) x = − x
2) xy = x y
3) x=x เมอื่ y ≠ 0
yy
4) x − y = y − x
5) x 2 = x2
6) x + y ≤ x + y
พสิ จู น
1) แสดงการพสิ ูจนดังตัวอยา งท่ี 36
2) ให x และ y เปน จาํ นวนจริงใด ๆ
กรณีท่ี 1 x = 0 หรือ y = 0
จะได xy= 0= x y
กรณที ี่ 2 x > 0 และ y > 0 จะได xy > 0
จากบทนิยามของคา สัมบรู ณ จะได= x x=, y y และ xy = xy
จะเห็นวา xy= x=y x y
กรณีท่ี 3 x > 0 และ y < 0 จะได xy < 0
จากบทนยิ ามของคาสัมบรู ณ จะได x = x, y = − y และ xy = −xy
จะเห็นวา xy =− xy =x y
กรณที ี่ 4 x < 0 และ y > 0 จะได xy < 0
จากบทนยิ ามของคา สัมบูรณ จะได x =− x, y =y และ xy = −xy
จะเหน็ วา xy =− xy =x y
กรณีที่ 5 x < 0 และ y < 0 จะได xy > 0
จากบทนิยามของคา สมั บูรณ จะได x =− x, y =− y และ xy = xy
จะเห็นวา xy= x=y x y
จากทัง้ 5 กรณี จะไดว า xy = x y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จํานวนจรงิ 135
คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
3) ให x และ y เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ ซง่ึ y ≠ 0
กรณีท่ี 1 x = 0 หรือ y = 0
จะได x = 0= x
yy
กรณที ่ี 2 x > 0 และ y > 0 จะได x > 0
y
จากบทนยิ ามของคาสัมบูรณ จะได= x x=, y y และ x = x
yy
จะเห็นวา x= x= x
yy y
กรณีที่ 3 x > 0 และ y < 0 จะได x < 0
y
จากบทนยิ ามของคาสมั บูรณ จะได x = x, y = − y และ x = − x
yy
จะเหน็ วา x =− x x
=
y yy
กรณีที่ 4 x < 0 และ y > 0 จะได x < 0
y
จากบทนิยามของคา สมั บูรณ จะได x =− x, y =y และ x = −x
y y
จะเห็นวา x =− x =x
y yy
กรณีท่ี 5 x < 0 และ y < 0 จะได x > 0
y
จากบทนิยามของคา สัมบูรณ จะได x =− x, y =− y และ x =x
y y
จะเหน็ วา x= x= x
yy y
จากทง้ั 5 กรณี จะไดวา x = x
y y
4) แสดงการพิสจู นด ังตวั อยางท่ี 37
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จาํ นวนจริง
136 คูม ือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม 1
5) ให x เปน จาํ นวนจรงิ ใด ๆ
กรณีท่ี 1 x ≥ 0
จากบทนิยามของคา สัมบูรณ จะได x = x
ทําใหไ ดว า x 2 = x ⋅ x = x2
กรณีท่ี 2 x < 0
จากบทนิยามของคา สมั บูรณ จะได x = − x
ทาํ ใหไ ดวา x 2 =(−x)(−x) =x2
จากท้งั 2 กรณี จะไดว า x 2 = x2
6) ให x และ y เปนจํานวนจริงใด ๆ
กรณีที่ 1 x = 0 หรอื y = 0
จะได x + y =0 = x + y
กรณีท่ี 2 x > 0 และ y > 0 จะได x + y > 0
จากบทนิยามของคา สมั บรู ณ
จะได x = x, y = y และ x + y =x + y
จะเหน็ วา x + y = x + y = x + y
กรณที ่ี 3 x > 0 และ y < 0 จะได x + y < 0 หรอื x + y ≥ 0
- เมื่อ x + y < 0
จากบทนยิ ามของคา สมั บูรณ
จะได x = x, y = − y และ x + y =−( x + y) =−x − y
จะเห็นวา x + y =−x − y และ x + y =x − y
เนือ่ งจาก x ≥ 0, y < 0 จะไดว า −x − y < x − y
นน่ั คือ x + y < x + y
- เมื่อ x + y ≥ 0
จากบทนยิ ามของคา สัมบรู ณ
จะได x = x, y = − y และ x + y =x + y
จะเหน็ วา x + y =x + y แต x + y =x − y
สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | จาํ นวนจริง 137
คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 เลม 1
เนื่องจาก x ≥ 0 และ y < 0 จะไดว า x + y < x − y
นน่ั คอื x + y < x + y
กรณีท่ี 4 x < 0 และ y > 0 จะได x + y < 0 หรอื x + y ≥ 0
- เมอ่ื x + y < 0
จากบทนิยามของคา สัมบูรณ
จะได x = − x, y = y และ x + y =−( x + y) =−x − y
จะเห็นวา x + y =−x − y และ x + y =−x + y
เนื่องจาก x < 0 และ y ≥ 0 จะไดว า −x − y < −x + y
นัน่ คือ x + y < x + y
- เมอ่ื x + y ≥ 0
จากบทนิยามของคาสัมบรู ณ
จะได x = − x, y = y และ x + y =x + y
จะเห็นวา x + y =x + y แต x + y =−x + y
เน่อื งจาก x < 0 และ y ≥ 0 จะไดว า x + y < −x + y
นั่นคือ x + y < x + y
กรณีที่ 5 x < 0 และ y < 0 จะได x + y < 0
จากบทนิยามของคาสมั บูรณ
จะได x = − x, y = − y และ x + y =−( x + y) =−x − y
จะเหน็ วา x + y =−x − y =x + y
จากทงั้ 5 กรณี จะไดวา x + y ≤ x + y
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี