The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ ม.4 ภาคเรียนที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by krunuch0324, 2022-09-01 05:43:16

แผนการจัดการเรียนรู้ ม.4 ภาคเรียนที่ 1

แผนการจัดการเรียนรู้ ม.4 ภาคเรียนที่ 1

แผนการจัดการเรียนรู้
รายวชิ าภาษาไทย
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๔

ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๕

นางสาวนงคน์ ชุ ศรดี ามาตย์
ตาแหน่ง ครู ชานาญการ

กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย
โรงเรยี นไชยวานวิทยา

อาเภอไชยวาน จงั หวัดอุดรธานี
สานกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษามัธยมศกึ ษาอดุ รธานี

คาอธิาายรายวิชา

ภาษาไทย ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๔ ภาคเรยี นท่ี ๑ จานวน ๔๐ ชัว่ โมง

การอ่าน อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสมกับเรื่อง
ที่อ่าน ตีความ แปลความ และขยายความเรื่องท่ีอ่าน วิเคราะห์และวิจารณ์เร่ืองที่อ่านในทุกๆ ด้านอย่างมี
เหตุผล คาดคะเนเหตุการณ์จากเร่ืองที่อ่านและประเมินค่าเพ่ือนาความรู้ ความคิดไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา
ในการดาเนินชวี ติ วิเคราะห์ วจิ ารณ์ แสดงความคิดเห็นโตแ้ ยง้ กบั เรอ่ื งท่อี า่ น และเสนอความคิดใหม่อยา่ ง มี
เหตุผล ตอบคาถามจากการอ่านประเภทต่างๆ ภายในเวลาที่กาหนด อ่านเร่ืองต่างๆ แล้วเขียนกรอบแนวคิด
ผังความคิด บันทึก ย่อความ และรายงาน สังเคราะห์ความรู้จากการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์และ
แหลง่ เรียนรตู้ ่างๆ มาพฒั นาตน พฒั นาการเรยี น และพฒั นาความรทู้ างอาชพี และมีมารยาทในการอ่าน

การเขียน เขียนสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียงถูกต้อง มี
ข้อมูลและสาระสาคัญชัด ผลิตงานเขียนของตนเองในรูปแบบต่างๆ ประเมินงานเขียนของผู้อ่ืนแล้วนามา
พฒั นางานเขียนของตนเอง เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าเร่ืองที่สนใจตามหลักการเขียนเชิงวิชาการ และใช้
ข้อมูลสารสนเทศอ้างอิงอย่างถูกต้อง บันทึกการศึกษาค้นคว้าเพ่ือนาไปพัฒนาตนเองอย่างสม่าเสมอ และมี
มารยาทในการเขียน

การฟงั การดู และการพูด สรปุ แนวคิดและแสดงความคิดเห็นจากเร่ืองท่ีฟังและดู วเิ คราะห์แนวคิด
การใช้ภาษา และความน่าเช่ือถือจากเรื่องที่ฟังและดูอย่างมีเหตุผล ประเมินเร่ืองที่ฟังและดู แล้วกาหนด
แนวทางนาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต มีวิจารณญาณในการเลือกเรื่องที่ฟังและดู พูดในโอกาสต่ างๆ
พดู แสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มน้าวใจ และเสนอแนวคิดใหม่ด้วยภาษาถูกต้องเหมาะสม และมีมารยาทในการ
ฟงั การดู และการพูด

หลักการใช้ภาษาไทย ใช้คาและกลุ่มคาสร้างประโยคตรงตามวัตถุประสงค์ ใช้ภาษาเหมาะสมแก่
โอกาส กาลเทศะ และบุคคล รวมทั้งคาราชาศัพท์อย่างเหมาะสม แต่งบทร้อยกรอง วิเคราะห์อิทธิพลของ
ภาษาต่างประเทศและภาษาถ่ิน อธิบายและวิเคราะห์หลักการสร้างคาในภาษาไทย วิเคราะห์และประเมิน
การใช้ภาษาจากสอื่ สิ่งพิมพ์และสอ่ื อิเล็กทรอนิกส์

วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์
เบือ้ งต้น วิเคราะห์ลักษณะเดน่ ของวรรณคดีเชอ่ื มโยงกับการเรียนร้ทู างประวตั ิศาสตรแ์ ละวถิ ีชีวติ ของสงั คม ใน
อดีต วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะท่ีเป็นมรดกทาง

วัฒนธรรมของชาติ สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ท่องจา
และบอกคุณค่าบทอาขยานตามที่กาหนดและบทร้อยกรองท่ีมคี ุณค่าตามความสนใจและนาไปใช้อ้างอิง
รหสั ตวั ช้ีวดั

ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑ ม.๔-๖/๒ ม.๔-๖/๓ ม.๔-๖/๔ ม.๔-๖/๕ ม.๔-๖/๖ ม.๔-๖/๗ ม.๔-๖/๘ ม.๔-๖/๙
ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑ ม.๔-๖/๒ ม.๔-๖/๓ ม.๔-๖/๔ ม.๔-๖/๘
ท ๓.๑ ม.๔-๖/๒ ม.๔-๖/๓ ม.๔-๖/๕ ม.๔-๖/๖
ท ๔.๑ ม.๔-๖/๑ ม.๔-๖/๒ ม.๔-๖/๓
ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑ ม.๔-๖/๒ ม.๔-๖/๓ ม.๔-๖/๔ ม.๔-๖/๕ ม.๔-๖/๖
รวมทง้ั หมด ๒๗ ตัวช้วี ัด

กาหนดการสอนรายวิชาภาษาไทย

ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๔ ภาคเรยี นที่ ๑ เวลา ๔๐ ช่ัวโมง

ลาดบั หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระการเรยี นรู้ จานวน น้าหนกั
ท่ี เรยี นรู้ / ตัวชี้วดั ชัว่ โมง คะแนน

๑ ธรรมชาตขิ อง ท ๔.๑ ม.๔-๖ /๑ ๑. ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด ๒ ๕
๓ ๘
ภาษาไทย และ ๓ ๒. ภาษาไทยมเี สยี งสระ พยญั ชนะ และวรรณยุกต์
๓ ๘
๓. ภาษาไทยมีระดบั ภาษา ๒ ๕

๔. ภาษาไทยมีการเปลย่ี นแปลง ๓ ๘

๒ ภาษากบั การ ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑, ๑. การสอื่ สาร ๓ ๘
สอ่ื สาร
และ๔ ท ๓.๑ ๒. ภาษากับการสื่อสาร

ม.๔-๖/๒, ๓, ๕ ๓. อุปสรรคในการสื่อสาร

และ ๖ ท ๔.๑ ม. ๔. วิธแี กไ้ ขอุปสรรคของการส่ือสาร

๔-๖/๓

๓ การใช้คาและ ท ๔.๑ ม.๔-๖/๑, ๑. การใช้คาใหต้ รงตามความหมาย
กลุม่ คา
๒ และ ๓ ๒. การใชค้ าให้ถกู ต้องตามลกั ษณะภาษาไทย
๔ การยอ่ ความ
๓. การใช้คาใหก้ ะทัดรดั ชัดเจน และสละสลวย

๕ การเขยี น ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑ ๑. ความหมายของย่อความ
เรยี งความ และ ๓ ๒. ความสาคัญของยอ่ ความ

๖ จดหมายธุรกิจ ๓. ส่วนประกอบของย่อความ
๔. รปู แบบการเขยี นคานาย่อความ
๕. หลกั การย่อความ
๖. ตัวอย่างการเขียนย่อความ
ท ๒.๑ ม.๔-๖/๒ ๑. ความหมายของเรียงความ
๒. องคป์ ระกอบของเรียงความ
๓. คุณลักษณะของเรยี งความ
๔. หลกั การเขยี นเรียงความ
๕. ขน้ั ตอนการเขียนเรยี งความ
๖. ตัวอย่างเรยี งความ
ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑, ๑. ความหมายของจดหมายธุรกิจ
และ ๘ ๒. ความสาคญั ของจดหมายธุรกจิ
๓. ประเภทของจดหมายธรุ กิจ

ลาดบั หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระการเรียนรู้ จานวน น้าหนัก
ที่ เรยี นรู้ / ตัวช้ีวัด ช่ัวโมง คะแนน

๗ การอ่านอย่างมี ท ๑.๑ ม.๔-๖/๒, ๑. องคป์ ระกอบของการอา่ น ๒ ๕

ประสิทธิภาพ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ ๒. การอ่านตคี วาม

และ ๙ ๓. การอา่ นแปลความ

๔. การอา่ นขยายความ

๘ คุณคา่ งานประพนั ธ์ ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๑. ความหมายของงานประพันธ์ ๔ ๑๐

๒, ๓, ๔, ๕ และ ๒. ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม

๖ ๓. องคป์ ระกอบของงานประพันธ์

๔. การพจิ ารณางานประพนั ธ์

๕. การวจิ ารณว์ รรณกรรม

๙ บทนมัสการมาตา ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑, ๑. ความเป็นมาของเรือ่ ง ๔ ๑๐

ปติ คุ ุณและบท ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ ๒. ประวัตผิ ้แู ต่ง

นมสั การอาจรยิ คณุ และ ๙ ๓. บทนมัสการมาตาปติ ุคณุ

ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๔. บทนมสั การอาจรยิ คุณ

๒, ๓, ๔, ๕ และ



๑๐ อเิ หนา ตอน ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑, ๑. ความเปน็ มาของเร่อื ง ๖ ๑๓

ศกึ กะหมงั กุหนงิ ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ ๒. ประวัตผิ แู้ ตง่

และ ๙ ๓. ลักษณะคาประพันธ์

ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๔. ความรูเ้ กย่ี วกบั ละคร

๒, ๓, ๔, ๕ และ ๕. เรื่องย่อ



๑๑ นิทานเวตาลเรอื่ ง ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑, ๑. ความรู้เกย่ี วกบั เรอื่ ง ๔ ๑๐

ที่ ๑๐ ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ ๒. ประวัตผิ แู้ ตง่

และ ๙ ๓. เร่ืองยอ่

ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๔. บทประพนั ธ์

๒, ๓, ๔, ๕ และ



ลาดบั หนว่ ยการเรียนรู้ มาตรฐานการ สาระการเรยี นรู้ จานวน น้าหนกั
ท่ี เรยี นรู้ / ตวั ชวี้ ดั ชัว่ โมง คะแนน

๑๒ นิราศนรินทร์ ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑, ๑. ความร้เู ก่ยี วกับเรื่อง ๔ ๑๐

คาโคลง ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ ๒. ประวัตผิ ู้แต่ง

และ ๙ ๓. ลักษณะคาประพันธ์

ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๔. เรอื่ งยอ่

๒, ๓, ๔, ๕ และ



รวม ๔๐ ๑๐๐

รายวิชาภาษาไทย หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ๑ ธรรมชาตขิ องภาษาไทย
เวลา ๒ ช่วั โมง

๑. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตวั ช้ีวดั

มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ิของชาติ

ตัวช้ีวัดที่ ๑ อธบิ ายธรรมชาติของภาษา พลงั ของภาษา และลักษณะของภาษา
ตัวชว้ี ัดท่ี ๓ ใช้ภาษาไทยได้เหมาะสมแก่โอกาส กาลเทศะ และบุคคล รวมท้ังคาราชาศัพท์อย่าง

เหมาะสม

๒. ทกั ษะทจ่ี าเป็นแห่งศตวรรษที่ ๒๑

๒.๑ ทกั ษะพ้ืนฐานการเรยี นรู้
- การอ่าน
- การเขยี น

๒.๒ ทักษะการเรียนร้แู ละนวตั กรรม
- การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปญั หา
- การสังเกต การคิดวเิ คราะห์ และการสงั เคราะห์
- การจัดการความรู้
- การสอ่ื สาร
- การทางานร่วมกันเป็นทีม

๒.๓ ทกั ษะการรู้ดิจิตอล
- การใช้ขอ้ มลู สารสนเทศ
- การใช้สอื่
- การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

๒.๔ ทักษะชวี ติ และการทางาน
- การยืดหยุน่ และความสามารถในการปรับตัว
- ทักษะทางสงั คมและวุฒิภาวะ
- ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและสังคม
- เชื่อม่ันในตนเอง
- ความเป็นผูน้ า

๓. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์

๓.๑ มวี นิ ัย
๓.๒ ใฝเ่ รยี นรู้
๓.๓ มุง่ มั่นในการทางาน
๓.๔ รกั การเป็นไทย

๔. สาระการเรียนรู้

๔.๑ ภาษาไทยเปน็ ภาษาคาโดด
๔.๒ ภาษาไทยมีเสยี งสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์
๔.๓ ภาษาไทยมีระดบั ภาษา
๔.๔ ภาษาไทยมกี ารเปลยี่ นแปลง
การออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบย้อนกลับ (Backward Design)

สาระสาคัญ การวดั และประเมนิ ผล

๑. ภาษาไทยเปน็ ภาษาคาโดด ๑. การทาแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

๒. ภาษาไทยมเี สยี งสระ พยญั ชนะ และวรรณยุกต์ ๒. การทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ
๓. ภาษาไทยมรี ะดับภาษา กจิ กรรม ๑ – ๕
๔. ภาษาไทยมีการเปลีย่ นแปลง ๓. การทากิจกรรมในใบความร้แู ละใบงาน
๔. แบบประเมินพฤติกรรมการเรียน

๕. แบบประเมินผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม

๖. แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

กิจกรรมการเรียนรู้ คาถามสาคญั

๑. ศึกษาเรื่อง ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดดจากหนังสือเรียนแม็ค ๑. คาโดดหมายถึงอะไร

หนว่ ยท่ี ๑ ๒. ระดับภาษาในภาษาไทยคอื อะไร ยกตัวอยา่ ง

๒. ทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ กิจกรรมท่ี ๑ ประกอบการอธบิ าย

๓. ศึกษาเร่ือง ภาษาไทยมีเสียงสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ ๓. ภาษาไทยมกี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งไรบา้ ง
จากหนังสอื เรียนแมค็ หน่วยท่ี ๑
๔. ทากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กจิ กรรมท่ี ๒ และ ๓
๕. ศึกษาเร่ือง ภาษาไทยมีระดับภาษา จากหนังสือเรียนแม็ค
หน่วยที่ ๑
๖. ทากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กจิ กรรม ๔
๗. ศึกษาเรื่อง ภาษาไทยมีการเปลี่ยนแปลง จากหนังสือเรียนแม็ค
หนว่ ยที่ ๑
๘. ทากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กิจกรรม ๕

หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ ธรรมชาติของภาษาไทย
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑ ธรรมชาตขิ องภาษาไทย

เวลา ๒ ชวั่ โมง

๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ัด

มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัตขิ องชาติ

ตวั ชีว้ ดั ท่ี ๑ อธิบายธรรมชาตขิ องภาษา พลงั ของภาษา และลักษณะของภาษา
ตวั ช้วี ดั ท่ี ๓ ใช้ภาษาไทยได้เหมาะสมแก่โอกาส กาลเทศะ และบุคคล รวมทั้งคาราชาศัพท์อย่าง

เหมาะสม

๒. สาระสาคญั

๒.๑ ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด
๒.๒ ภาษาไทยมเี สยี งสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์
๒.๓ ภาษาไทยมีระดบั ภาษา
๒.๔ ภาษาไทยมีการเปลี่ยนแปลง

๓. จุดประสงค์การเรียนรู้

๓.๑ อธิบายลักษณะเฉพาะของภาษาไทยวา่ เปน็ ภาษาคาโดดและภาษาเรยี งคาได้
๓.๒ บ่งชีร้ ะบบเสียงในภาษาไทยทั้งสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์
๓.๓ ใช้ภาษาไทยไดเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคล
๓.๔ ชี้ให้เห็นการเปลีย่ นแปลงของภาษาตามกาลเวลา วัฒนธรรมของกลุ่มชน ความเจริญ สังคม และ
เศรษฐกจิ

๔. สาระการเรียนรู้

๔.๑ ภาษาไทยเปน็ ภาษาคาโดด
๔.๒ ภาษาไทยมีเสยี งสระ พยัญชนะ และวรรณยกุ ต์
๔.๓ ภาษาไทยมีระดับภาษา
๔.๔ ภาษาไทยมีการเปลย่ี นแปลง

๕. ชิน้ งาน/ ภาระงาน

๕.๑ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
๕.๒ ใบงาน “ภาษาชว่ ยให้เกิดความจรรโลงใจ”
๕.๓ ภาระงาน “รวบรวมเวบ็ ไซตท์ ใ่ี หค้ วามร้เู กยี่ วกับธรรมชาติของภาษาไทย”
๕.๔ ภาระงาน “เปรยี บเทยี บธรรมชาติของภาษาไทยกับลักษณะสาคัญของภาษาอังกฤษ”
๕.๕ แบบทดสอบ
๕.๖ กิจกรรมเสนอแนะ

๖. คาถามสาคัญ

๖.๑ คาโดดหมายถึงอะไร
๖.๒ ระดบั ภาษาในภาษาไทยคืออะไร ยกตวั อยา่ งประกอบการอธิบาย
๖.๓ ภาษาไทยมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ งไรบ้าง

๗. กจิ กรรมการเรียนการสอนเพอื่ การเรียนรู้

๗.๑ ขั้นนา
ครูยกตัวอย่างประโยคให้นักเรียนร่วมกันพิจารณา โดยครอู าจให้นักเรียนยกตัวอย่างประโยคคนละ ๑
ประโยค
๗.๒ ขน้ั สอน
สาระที่ ๑ ภาษาไทยเปน็ ภาษาคาโดด
๑. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับลักษณะของคาท่ีปรากฏในประโยค เพื่อนามาสรุปเป็น
ข้อสังเกตเกีย่ วกับลกั ษณะทส่ี าคญั ของภาษาไทย ดงั น้ี

๑.๑ ภาษาไทยเปน็ ภาษาคาโดด กลา่ วคอื มกั เป็นคาพยางคเ์ ดยี ว เช่น กิน พ่ี นอ้ ง เด็ก
๑.๒ คาทกุ คามีอิสระในตัวเอง ไม่ตอ้ งเปลี่ยนแปลงรูปคาไปตามความสัมพันธร์ ะหว่างคา เช่น
คาว่า เขา (สรรพนาม) ในภาษาไทยใช้เรียกแทนได้ท้ังผู้ชายและผู้หญิง ต่างจากภาษาอังกฤษซึ่งมีการ
เปลี่ยนแปลงรูปคา หากเรียกเขา (ผู้ชาย) จะใชว้ า่ he สว่ น เขา (ผูห้ ญงิ ) จะใช้ว่า she
๑.๓ ลาดับคาของประโยคในภาษาไทยจะเรียง นาม กริยา นาม ถ้าต้องการ บอกข้อความ
เพ่ิมเตมิ ก็ใช้คามาขยายคานามหรอื คากริยานัน้ ๆ คาขยายจะอยู่ หลงั คาท่ีถูกขยายเสมอ เช่น

พอ่ ไปชุมพร
พ่อของฉันไปชมุ พร
พอ่ ของฉนั ไปบ้านย่าทีช่ มุ พร

โดยปกติ คาขยายในภาษาไทยจะเรียงไว้ข้างหลังคาท่ีถูกขยาย แต่ก็มีอยู่บ้างที่เรียงลาดับคาขยายไว้
ข้างหน้าคาท่ีถูกขยาย เช่น บางคร้ังเขาก็อารมณ์ดี สุนัขแสนรู้ หล่อนชา่ งพดู

๑.๔ ประโยคในภาษาไทยจะเรียงคาแบบประธาน กริยา กรรม ถ้าเรียงลาดับคาเปล่ียนไป
ความหมายกจ็ ะเปลย่ี นไปด้วย เชน่

พ่อชวนแมไ่ ปซื้ออาหาร
แมช่ วนพอ่ ไปซอ้ื อาหาร
ชวนพอ่ แม่ไปซ้ืออาหาร
อาหารพอ่ แม่ชวนไปซ้อื
๑.๕ คาในภาษาไทยคาคาเดียวอาจจะทาหน้าที่และมีความหมายได้หลายอย่างเรา จะทราบ
แน่นอนว่าคานั้นทาหน้าท่ีอะไร และมีความหมายอย่างใด ก็ต่อเม่ือนาคาน้ันเข้าประโยคแล้ว โดยสังเกตดูท่ี
“บริบท” ซ่ึงหมายถึง ถ้อยคาทป่ี รากฏรว่ มกบั คาหรือสถานการณ์แวดล้อมในขณะท่ีพูดหรอื เขยี นคาคาน้ัน เช่น
เขาเป็นคนดวงดี ทาอะไรก็ข้ึน (หมายถึง เจริญก้าวหน้า) พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก (หมายถึง โผล่พ้น)
พ่อเดินทางข้นึ ๆ ลง ๆ กรงุ เทพฯ กบั ชมุ พรเสมอ ๆ (หมายถึง ไป)
๒. นักเรียนศึกษาเรื่อง “ธรรมชาติของภาษาไทย” จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ แล้ว
เขียนสรปุ สาระสาคญั ลงในสมดุ
๓. นักเรียนทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๑ กิจกรรม
๑ ซ่ึงกิจกรรมน้ีมุ่งให้นักเรียนฝึกสังเกตลักษณะเฉพาะของ ภาษาไทย คือ เป็นภาษาคาโดด โดยเปรียบเทียบ
กับภาษาอังกฤษทน่ี กั เรียนเคยเรยี นมาแลว้ จะไดเ้ ห็นลกั ษณะที่ แตกตา่ งกันอย่างเด่นชัด ครอู าจให้นักเรยี น
ช่วยกันยกตัวอยา่ งเปรียบเทียบกับภาษาอ่ืนท่ีนักเรียนรู้จัก เชน่ ภาษาจนี ภาษาญีป่ ่นุ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเขมร
ฯลฯ ก็ยิ่งดี
๔. ครตู รวจผลงาน แกไ้ ขและอธิบายเพม่ิ เตมิ โดยใหน้ กั เรียนมสี ่วนรว่ ม
สาระท่ี ๒ ภาษาไทยมเี สียงสระ พยญั ชนะ และวรรณยุกต์
๑. ครูเปิดวีดิทัศน์เรื่องที่มีความแตกต่างในการออกเสียงให้นักเรียนดู ให้นักเรียนฟังและสังเกตความ
แตกต่างของเสียงทไ่ี ด้ยินจากเร่ืองราวในวีดทิ ศั น์นั้น ครูสนทนากับนักเรียนเรอ่ื งเสยี งและความหมาย
๒. ครูสรุปให้นักเรียนฟังว่า “ภาษาทั้งหลายใช้เสียงสื่อความหมาย และหลายภาษามีอักษรช่วยถ่าย
เสียง ภาษาไทยก็เช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ คือ ใช้เสียงส่ือความหมาย และมีตัวอักษรช่วยถ่ายเสียง เสียงท่ีคน
ไทยเลอื กนามาใชส้ ือ่ ความหมายแยกประเภทได้เปน็ เสยี งพยัญชนะ เสียงสระ และเสยี งวรรณยกุ ต์”

๓. นักเรียนศึกษาเรื่อง “ภาษาไทยมีเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์” จากหนังสือเรียนแม็ค
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๑ แล้วจดสรปุ สาระสาคัญ

๔. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงระบบเสียงในภาษาไทย ครูให้นักเรียนดูภาพอวัยวะท่ีใช้ในการ
ออกเสียง

๕. นักเรียนทกุ คนปฏิบัตกิ ิจกรรม ดังนี้
๕.๑ นักเรียนวางมือสองข้างไว้บริเวณท้องท่ีต่อจากอก แล้วหายใจเข้าให้เต็มท่ี จากน้ันค่อย ๆ

ผอ่ นลมหายใจออก ใหส้ งั เกตวา่ ลมผา่ นอวยั วะสว่ นใดบ้าง
๕.๒ นกั เรียนใชป้ ลายนวิ้ ๓ น้ิว แตะบรเิ วณคอ ออกเสยี ง อา อี ออ ไอ ยาว ๆ

ติดตอ่ กัน นกั เรียนจะร้สู กึ จากปลายน้ิววา่ มีอาการสั่นสะเทือน
๖. นกั เรยี นทากิจกรรมในใบงานท่ี ๑ เรอ่ื ง “ระบบเสยี งในภาษาไทย” เพ่อื ทดสอบความรู้
๗. นักเรียนทากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ จากหนังสือเรยี นแม็ค หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ กิจกรรม ๒
และกจิ กรรม ๓

กิจกรรม ๒ เร่ือง “เสียงพยัญชนะ” กิจกรรมนี้ต้องการฝึกนักเรียนให้สังเกตการเขียนสะกดคาใน
ภาษาไทย เพื่อจะได้เขียนสะกดคาได้ถูกต้อง โดยอาศัยหลักเกณฑ์ที่ได้เรียนมาและประสบการณ์ในการอ่าน
ของตน

กิจกรรม ๓ มุ่งฝึกให้นักเรยี นสงั เกตและจดจาส่ิงที่ได้อา่ นหรือฟังเพ่ือนาไปใชใ้ นการเขียนและการ
พูดให้ถูกต้องตามธรรมชาติของภาษาไทย ครูควรให้นักเรียนฝึกทากิจกรรมด้วยตนเอง หากนักเรียนมี
ข้อบกพร่องในเร่ืองใดควรหากิจกรรมเสริมให้นักเรียน เพ่ือนักเรียนจะได้อ่าน พูด และเขียนได้ถูกต้อง
คลอ่ งแคล่ว

๘. ครตู รวจผลงาน อธิบายเพ่ิมเติมให้ชดั เจนยิง่ ข้ึน
สาระที่ ๓ ภาษาไทยมรี ะดับภาษา
๑. นักเรียนชมวีดิทัศน์เก่ียวกับภาพข่าวต่าง ๆ เช่น ข่าวด้านการศึกษา การศาสนาการเมือง ข่าวใน
พระราชสานัก นักเรียนสงั เกตการใช้คาพูดเหลา่ นนั้
๒. ครูสนทนากับนักเรียนเก่ียวกับการใช้ถ้อยคาว่า “การใช้ภาษาในสังคมน้ันจะต้องใช้ให้สอดคล้อง
เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล ทั้งต้องใช้ให้ถูกต้องกับสถานการณ์ด้วย เพ่ือสื่อความหมายให้ตรงตาม
จดุ ประสงค์และมปี ระสิทธภิ าพ”
๓. นักเรียนศึกษาเรื่อง “ภาษาไทยมีระดับภาษา” จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ แล้ว
เขียนสรปุ สาระสาคญั ลงในสมุด

๔. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น ๕ กลุ่ม เพ่ือแสดงบทบาทสมมติเก่ียวกับการใช้ระดับของภาษา
๕ ระดบั ดงั น้ี

กลุ่มที่ ๑ ภาษาระดับพธิ กี าร
กลมุ่ ที่ ๒ ภาษาระดับทางการ
กลมุ่ ท่ี ๓ ภาษาระดับกง่ึ ทางการ
กลมุ่ ท่ี ๔ ภาษาระดบั ไม่เปน็ ทางการ
กลุ่มที่ ๕ ภาษาระดับกันเอง
นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดสถานการณ์ และกาหนดบทบาทการแสดงให้ถูกต้องและเหมาะสมตรงตาม
เน้ือหา ครูประเมินผลลงในแบบการประเมินผลการแสดงของกลุ่ม ครูและนักเรียนช่วยกันวิจารณ์การแสดง
ของแตล่ ะกลุม่ เพ่ือสรปุ ข้อผิดพลาดและข้อควรระวงั ในการใช้ถ้อยคาภาษา
๕. นักเรียนช่วยกันพิจารณาข้อความจากใบงานท่ี ๒ เร่ือง “ระดับของภาษา” แล้วทาตามคาส่ังที่
กาหนด หลังจากน้ันครแู ละนกั เรียนชว่ ยกนั เฉลยคาตอบ
๖. นักเรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ จากหนังสือเรียนแมค็ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๑ กิจกรรม ๔
กิจกรรมนี้มุ่งให้นักเรียนฝึกสังเกตการใช้ภาษาแสดงเพศ วัย และความสัมพันธ์ของผู้พูด สามารถใช้ภาษาให้
เหมาะสมกบั กาลเทศะและบคุ คลในแตล่ ะสถานการณ์ ตลอดจนเหมาะสมกบั ความรู้สึกของผ้ฟู งั
๗. ครูตรวจผลงาน แก้ไข ติชม นาผลการรายงานกลมุ่ ที่ดเี ด่นจดั แสดงทีป่ ้ายนิเทศหนา้ ชั้นเรยี น
สาระท่ี ๔ ภาษาไทยมกี ารเปลีย่ นแปลง
๑. ครูให้นักเรียนอ่านคาประพันธ์ที่แจกให้ และสนทนากับนักเรียนถึงถ้อยคาภาษาที่ปรากฏในคา
ประพันธ์ โดยให้นักเรียนศึกษาเรื่อง “หลักสังเกตลักษณะคาไทยแท้กับคาที่มาจากภาษาอื่น” จากใบความรู้ที่
ครแู จกให้
๒. นักเรียนศึกษาเรื่อง “ภาษามีการเปล่ียนแปลง” จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ แล้ว
เขยี นสรปุ สาระสาคญั ลงในสมุด
๓. นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างคาท่ีมาจากภาษาอ่ืน ๆ ที่ปรากฏอยู่ในภาษาไทย โดยอาจหาจาก
หนงั สอื พมิ พ์ นติ ยสาร วารสาร ใบโฆษณา ฯลฯ เมือ่ หาได้แลว้ ให้บอกด้วยวา่ เป็นคาที่มาจากภาษาใด
๔. นกั เรยี นทากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ จากหนังสอื เรียนแมค็ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ ๑ กจิ กรรม ๕
กิจกรรมนี้มุ่งให้นักเรียนได้สังเกตการใช้ถ้อยคาในภาษา วิเคราะห์ วิจารณ์การเปลี่ยนแปลงของภาษาอย่างมี
เหตุผล รู้จักแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืน
อยา่ งมีความสขุ

๕. ครูตรวจผลงาน แกไ้ ข อธบิ ายให้ชัดเจนขึ้น ครูประเมินผลงานกลุ่มและนาผลงานท่ีดเี ดน่ จัดแสดง
ทีป่ า้ ยนิเทศหน้าชน้ั เรยี น

๗.๓ ขั้นสรปุ
๑. ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันสรปุ ตามประเดน็ ดงั นี้

๑.๑ ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด
๑.๒ ภาษาไทยมีเสยี งสระ พยัญชนะ และวรรณยกุ ต์
๑.๓ ภาษาไทยมรี ะดบั ภาษา
๑.๔ ภาษาไทยมีการเปล่ียนแปลง
๒. นักเรียนทากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจทกุ กจิ กรรม
๓. ครแู จ้งผลการปฏบิ ตั ิงานของนกั เรยี นและใหข้ ้อเสนอแนะเพมิ่ เติม

๘. สอื่ การเรียนร/ู้ แหล่งเรียนรู้

๘.๑ สือ่ การเรียนรู้
๑. หนงั สอื เรยี นแม็ค สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๔ ภาคเรียนท่ี ๑
๒. วดี ทิ ศั น์เรอื่ งราวตา่ ง ๆ เช่น ละคร การร้องเพลง หรอื รายการต่าง ๆ และภาพข่าวต่าง ๆ
๓. ภาพอวยั วะทีใ่ ช้ในการออกเสยี ง
๔. ใบงานท่ี ๑ เรื่อง “ระบบเสียงในภาษาไทย”
๕. แถบบนั ทกึ เสียงบทสนทนา
๖. ใบงานที่ ๒ เร่อื ง “ระดับของภาษา”
๗. คาประพันธ์ทีใ่ หน้ กั เรยี นสังเกตถ้อยคาภาษา
๘. ใบความรู้เรอื่ ง “หลักการสงั เกตลักษณะคาไทยแทก้ ับคาท่ีมาจากภาษาอน่ื ”
๙. หนังสอื พมิ พ์ นติ ยสาร วารสาร
๘.๒ แหล่งเรียนรู้
๑. ห้องสมุดของโรงเรียน
๒. หอสมุดแหง่ ชาติ
๓. www.obec.go.th/news/

๙. การวดั และการประเมนิ ผลการเรยี นรู้

๙.๑ การตอบคาถามจากกิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
๙.๒ ผลงานจากใบงาน “ระบบเสยี งในภาษาไทย”
๙.๓ ผลงานจากภาระงาน “รวบรวมเว็บไซตท์ ่ใี หค้ วามรเู้ ก่ียวกับธรรมชาติของภาษาไทย”
๙.๔ ผลงานจากภาระงาน ““การฝึกออกเสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษและเปรียบเทียบกับการออก
เสยี งพยญั ชนะในภาษาไทย”
๙.๕ การทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น
๙.๖ การตอบคาถามกิจกรรมเสนอแนะ

๑๐. านั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้

๑๐.๑ ความสาเร็จในการจัดการเรียนรู้
ดา้ นผเู้ รียน................................................................................................................. ........

..............................................................................................................................................
ด้านวิธีสอนการวัดผล.......................................................................................................... ..

................................................................................................................................................
ด้านสอื่ การเรียนรู.้ ...................................................................................................... .............

................................................................................................................................................
๑๐.๒ ปญั หา/อุปสรรคในการจดั การเรยี นรู้.........................................................................................
.........................................................................................................................................................
๑๐.๓ สิ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผน…..…………………………………………………….………………………………………
.........................................................................................................................................................

เหตผุ ล……..……………………………………………………………………………………………………………………………
........................................................................................................................................................
๑๐.๔ แนวทางการปรบั ปรงุ คร้ังตอ่ ไป ..............................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................

ลงช่ือ ................................................................... ผสู้ อน

๑๑. แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤติกรรมนักเรียน

เกณฑค์ ุณภาพการสังเกตพฤตกิ รรมนักเรยี นดา้ น.........................................

ระดัาคุณภาพ
ท่ี รายการประเมนิ

๑๒๓

๑ การทางานร่วมกนั ยอมรับมติการทางาน ยอมรบั มติของกลมุ่ - ยอมรบั มติของกลมุ่
ของกลุ่ม แต่ปฏิบัติ
ตามน้อยครัง้ - รับผดิ ชอบงานที่รบั
มอบหมายจากกลุ่ม

๒ ความกระตือรือรน้ ชว่ ยเหลืองานภายใน - ช่วยเหลืองานในกลุม่ - ช่วยเหลอื งานภายใน
กลุม่ เม่ือมกี ารร้องขอ - ร่ ว ม แ ส ด ง ค ว า ม กลมุ่
คิดเห็น - ร่วมแสดงความคดิ เห็น

- ใฝ่รู้ใฝ่เรียน

- ศึกษาคน้ คว้า

๓ การตอบคาถาม มีสว่ นร่วมในการตอบ มสี ่วนรว่ มในการตอบ ให้ความรว่ มมือในการ

คาถามน้อยมาก คาถามบางครัง้ ตอบคาถามเปน็ อย่างดี

๔ ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ ร่วมกิจกรรมตามที่ รับฟังแต่แสดงความ รว่ มรบั ฟังและแสดง
กลุม่ ขอร้อง คดิ เห็นท่ีคล้อยตาม ความคดิ เหน็ ท่ีแตกต่าง
เพอื่ นๆ แตม่ ีประโยชน์

แาาการประเมนิ การสังเกตพฤตกิ รรมนักเรยี นดา้ นการทางานเปน็ กลมุ่

รายการประเมนิ สรปุ ผล

ท่ี ชอ่ื -สกลุ การทางาน ความ การตอา ความคดิ รเิ รม่ิ รวม
ร่วมกนั กระตือรอื รน้ คาถาม สรา้ งสรรค์ (๑๒) ผา่ น ไม่ผา่ น

(๓) (๓) (๓) (๓)



















๑๐

เกณฑก์ ารประเมิน
๙ - ๑๒ คะแนน ระดับ ๓ = ดี
๕ - ๘ คะแนน ระดบั ๒ = พอใช้
ต่ากวา่ ๕ คะแนน ระดับ ๑ = ควรปรับปรงุ

สรปุ ผลการประเมิน
 ดี  พอใช้  ปรบั ปรุง

เกณฑ์การตดั สนิ ใจ
 ผ่าน  ไม่ผา่ น

หมายเหตุ : เกณฑเ์ ปน็ ไปตามที่โรงเรียนกาหนด
ลงชอ่ื ............................................................................ผ้ปู ระเมิน
(.............................................................................)

๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ

๑๒.๑ กิจกรรมส่งเสรมิ การอ่านเชงิ วิเคราะห์ ประกอบดว้ ยขนั้ ตอน ดังน้ี

ขัน้ รวบรวมข้อมูล

นักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน รวบรวมเรอ่ื ง “ธรรมชาติของภาษาไทย” จากแหลง่ เรียนรตู้ า่ งๆ

ขนั้ วิเคราะห์
นกั เรยี นอ่านเร่ือง “ธรรมชาติของภาษาไทย” ที่เตรียมไว้แล้วจากขั้นรวบรวมข้อมูล แลว้ วิเคราะห์
เร่ืองราวทอี่ ่านแล้วจาแนกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
๑. ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด
๒. ภาษาไทยมีเสยี งสระ พยญั ชนะ วรรณยุกต์
๓. ภาษาไทยมรี ะดับภาษา
๔. ภาษาไทยมกี ารเปล่ยี นแปลง
ขน้ั สรปุ
นักเรียนเขยี นสรุปผลการวิเคราะห์ธรรมชาติของภาษาไทย
ขน้ั ประยุกต์ใช้
นกั เรยี นเขยี นรายงานเร่ือง “การวิเคราะหธ์ รรมชาติของภาษาไทย”

๑๒.๒ กจิ กรรมการบูรณาการ
กิจกรรมที่ ๑
ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระที่ ๓
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยให้นักเรียนศึกษาส่ืออิเล็กทรอนิกส์จากของจริง และให้นักเรียน
ปฏิบตั ิกจิ กรรมดงั น้ี

ภาระงาน “รวบรวมเว็บไซต์ท่ีใหค้ วามรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของภาษาไทย”

การบูรณาการ มฐ. ง ๓.๑

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ มที กั ษะในการใชส้ ือ่ อเิ ล็กทรอนิกส์ เพือ่ ศึกษาความร้เู ร่ือง “ธรรมชาติของ

ภาษาไทย”

ผลงานท่ตี อ้ งการ เวบ็ ไซตค์ วามร้เู กี่ยวกบั ธรรมชาติของภาษาไทย

ขัน้ ตอนการทางาน

๑. กาหนดให้นักเรียนรวบรวมเว็บไซต์ที่ให้ความรู้เกย่ี วกบั ธรรมชาติของภาษาไทย

๒. นักเรียนนาผลงานการรวบรวมเว็บไซต์ท่ีให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของ

ภาษาไทย จัดทาเปน็ บัญชีรายชอ่ื และนาเสนออยา่ งน่าสนใจสะดวกในการนาไปใช้

เกณฑ์การประเมนิ
๑. ความถูกตอ้ งครบถ้วนสมบรู ณ์ของข้อมูลท่ีคน้ ควา้ มานาเสนอ
๒. ความประณตี เรียบรอ้ ย ถูกต้องตามรปู แบบของการเรียนรายงานการศึกษา

ค้นควา้
๓. ความน่าสนใจของการนาเสนอ

กจิ กรรมที่ ๒
ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ สาระที่ ๒ ภาษากับ
วฒั นธรรม โดยเปรียบเทียบลกั ษณะของภาษาไทยกบั ภาษาองั กฤษ ดงั น้ี

ภาระงาน “การฝึกออกเสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษและเปรยี บเทียบกบั การออกเสียงพยญั ชนะใน
ภาษาไทย”

การบูรณาการ มฐ. ต ๒.๒

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เปรียบเทยี บลักษณะการออกเสียงพยญั ชนะในภาษาไทยและภาษาองั กฤษ

ผลงานที่ต้องการ การฝึกออกเสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษและเปรียบเทียบกับการออกเสียงพยัญชนะ

ในภาษาไทย

ขั้นตอนการทางาน

๑. ฝกึ ออกเสียงพยญั ชนะในภาษาองั กฤษ
๒. ฝึกออกเสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษและเปรียบเทียบกับการออกเสียงพยัญชนะ
ในภาษาไทย

เกณฑก์ ารประเมนิ ๓. สรุปพยัญชนะทีอ่ อกเสียงคลา้ ยหรือเหมอื นกับคาในภาษาไทย
๔. สรุปพยัญชนะที่ออกเสยี งตา่ งกนั กับคาในภาษาไทย

๑. ความถูกตอ้ งของข้อมูลท่ีนาเสนอ
๒. ความต้ังใจในการปฏิบตั ิงาน

๑๓. ใบความรู้ ใบงาน และเครอ่ื งมือวัดผล

๑๓.๑ ใบความรู้

หลักสังเกตลักษณะคาไทยแทก้ บั คาท่มี าจากภาษาอืน่
ลักษณะของคาไทยแท้

๑. คาไทยแท้ส่วนมากนักเปน็ คาพยางค์เดยี ว ซึ่งสังเกตได้จากคาพืน้ ฐานในภาษา คือ
คาเรยี กเครอื ญาติ เชน่ ลุง น้า พ่ี พอ่ แม่ ยาย หลาน เปน็ ตน้
คาเรยี กอวยั วะในร่างกาย เช่น หัว ผม ตา ค้ิว ปาก ตนี เปน็ ตน้
คาเรยี กเครื่องใช้ครัวเรอื น เชน่ มงุ้ หมอน เส่อื ผ้า ไห ถว้ ย เป็นต้น
คาเรยี กช่ือทางภูมิศาสตร์ เช่น ดิน น้า ลมไฟ ดาว ป่า เขา เป็นต้น
คากิรยิ าสาคัญ เช่น กนิ นัง่ ยืน นอน วงิ่ เปน็ ต้น
คาสรรพนาม เช่น ฉนั ข้า เอ็ง กเู ธอ เขา มนั เปน็ ต้น
คาวเิ ศษณ์ เช่น หนึ่ง สอง สาม ดา แดง เป็นตน้

เราอาจเคยเห็นคาไทยแท้หลายคาที่มไิ ด้เป็นคาพยางค์เดียว เช่น มะปราง ตะขบ ตะวัน สะใภ้ สะเอว
ลูกดมุ ผกั สงั นกจิบ กระโดด ประเด๋ยี ว ประหน่งึ เปน็ ต้น คาดงั กลา่ วเหลา่ นี้ โดยแทจ้ รงิ แลว้ เคยเป็นคาพยางค์
เดียวมากอ่ นท้งั สนิ้ แต่มีการเปล่ียงแปลงในลกั ษณะตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี

๑. การกร่อนเสยี ง มีคาหลายคาที่เคยเปน็ คาสองพยางค์มาก่อน แต่เมื่อมกี ารออกเสียงเรว็ ๆ
กจ็ ะทาให้เสียงของคาหนา้ กรอ่ นไป เชน่

มะปราง มาจาก หมากปราง มะพรา้ วมาจาก หมากพร้าว
ตะเขบ็ มาจาก ตัวเขบ็ ตะวนั มาจาก ตาวัน
สะใภ้ มาจาก สาวใภ้ สะเอว มาจาก สายเอว
๒. การแทรกเสียง บางคาแตเ่ ดิมอาจจะมีคาสองคาเรียงกัน แต่ต่อมาการพูดเร็วๆ ทาให้ออก
เสยี ง อะ เชอื่ มระหวา่ งกลาง เช่น
ลกู กระเดือก มาจาก ลกู เดือก ผักกระถนิ มาจาก ผักถนิ
ผักกะเฉด มาจาก ผักเฉด นกกระจาบ มาจาก นกจาบ
๓. การเตมิ เสียง คาบางคาแตเ่ ดิมอาจมีพยางค์เดียว แต่เพราะการออกเสยี งท่รี ัวเร็วอีก
เช่นกัน ทาใหม้ ีการเตมิ เสียงเกิดข้นึ เชน่
กระโดด มาจาก โดด กระทา มาจาก ทา
ประเด๋ียว มาจาก เดยี๋ ว ประท้วงมาจาก ทว้ ง

๒. คาไทยแท้มกั มีตัวสะกดตรงตามมาตรา เช่น หากเป็นคาทีส่ ะกดด้วยแมก่ น กจ็ ะใช้ตัว น เปน็
ตวั สะกด เช่น สาน วนั กัน จอน สิน ถา้ หากเป็นคาในภาษาอืน่ ก็อาจเป็น ศาล วณั กรรณ จร ศลิ ป์ เป็นต้น

๓. คาไทยแทม้ ักไม่คอ่ ยใชพ้ ยัญชนะ ฆ ณ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ธ ศ ษ ฬ ยกเวน้ คาไทยบางคา เชน่ ฆอ้ ง
ศอก ศกึ ใหญ่ หญ้า เป็นต้น

๔. คาไทยแทม้ ีรปู หรือเสยี งวรรณยุกต์ เสยี งวรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทยน้ันจะมีความสาคัญในการ
กาหนดความหมายของคาเป็นอย่างย่งิ เช่น ปา-ป่า-ปา้ เสือ-เส่อื -เส้ือ รอน-ร่อน-รอ้ น เป็นต้น

๕. คาไทยแท้ใชส้ ระใอไม้มว้ นเพียง ๒๐ คา นอกน้นั จะใชส้ ระไอไมม้ ลาย
๖. คาไทยแท้ไมม่ ีตัวการันต์
๗. คาไทยแทม้ กั ทาหน้าท่ีหลายหน้าที่ และมหี ลายความหมายเม่ือเขา้ ประโยค เชน่ กนั บอกแล้ววา่
กนั ไม่ไดก้ นั ท่าใคร กันไปกันผมของกนั ต่างหาก เปน็ ต้น
๘. คาไทยแท้มกี ารใชล้ ักษณนาม ลักษณนามในภาษาไทยจะอยู่หลังตวั เลขบอกจานวนเสมอ เช่น
ปลา ๒ ตวั พระสงฆ์ ๙ รูป ยา ๓ ขนาน ปี่ ๒ เลา เปน็ ตน้
๙. การเรียงคาในภาษาไทย สลบั ทก่ี ันจะทาใหค้ วามหมายเปลยี่ นไป เช่น ใจเสีย - เสยี ใจ ใจเยน็
- เยน็ ใจ เปน็ ต้น
๑๐. คาไทยไมม่ กี ารเปลีย่ นรปู คา เพ่อื บอกเพศ พจน์ กาล มาลา วาจก แต่ใช้คาอน่ื มาขยาย เช่น

คาไทยใช้ นกตวั เมยี เจา้ ชาย นกั เรยี นชาย
คาบาลี สนั สกฤตใช้ ราชา ราชนิ ี ยักษา ยักษี
ลักษณะของคาที่มาจากภาษาเขมร
๑. เปน็ คาที่ไมใ่ ช้รูปวรรณยุกต์ เชน่ กาหนด สาราญ เขลา ฉลาด เป็นต้น
๒. นยิ มคาทีเ่ ปน็ อักษรนา หรือเปน็ คาควบกลา้ เช่น เขนย โปรด สรง ถวาย สนาน กราน เป็นตน้
๓. ถา้ เป็นคาทม่ี สี องพยางค์ มักข้ึนตน้ ด้วย กา คา จา ตา ดา ทา บา เชน่ กานนั คานบั จาหนา่ ย
ดาเนนิ ทานบ บาบวง เปน็ ต้น
๔. คาท่มี าจากภาษาเขมรมักไม่ประวิสรรชนีย์ เชน่ ขจร ผอบ ลออ อญั ขยม เปน็ ตน้
๕. คาทม่ี าจากภาษาเขมรมักสะกดด้วยตวั จ ญ ล ส ร เชน่ เสด็จ เจรญิ จรัล ถวลิ ตรสั ประยรู เป็น
ตน้
ข้อสังเกต คาเขมรทน่ี ามาใชใ้ นภาษาไทย โดยสว่ นใหญ่แล้วไทยนามาเปล่ียนรปู และเสียงใหมต่ าม
ความถนดั จึงอาจทาใหร้ ูปคาผิดไปจากเดิม เชน่
กราล เป็น กราน สาราล เป็น สาราญ เดริ เปน็ เดนิ

ผดาจ เป็น เผดจ็ กรุบื เป็น กระบือ
คาเขมรที่นามาใช้ภาษาไทยส่วนใหญ่จะพบใช้เป็นคาราชาศัพท์
ลกั ษณะของคาท่ีมาจากภาษาชวา
คาภาษาชวาที่นามาใชใ้ นภาษาไทยส่วนใหญ่จะพบในวรรณคดี เพราะคาภาษาชวามีอทิ ธิพลจาก
วรรณคดี โดยเฉพาะวรรณคดีเร่ืองอเิ หนา
ตัวอยา่ งคาภาษาชวา เชน่ บุหงา = ดอกไม้ บุหรง = นกยูง ซาโบะ = ผ้าหม่ โนรี = นกแก้ว
ปัน้ เหนง่ = เขม็ ขดั เป็นตน้
ลกั ษณะของคาท่ีมาจากภาษาจีน
ภาษาไทยและภาษาจีนจัดเป็นภาษาคาโดด คาจนี ทเ่ี ข้ามาปะปนใช้ในภาษาไทยสว่ นใหญจ่ ะเปน็ ชื่อ
อาหารเคร่ืองใช้ ภาษาธรุ กจิ บุคคล บางคาไทยใชจ้ นรสู้ ึกเหมือนคาไทย
ตวั อย่างคาภาษาจีนในภาษาไทย เช่นเกาเหลา (อาหาร) จับกัง (กรรมกร) อั้งโล่ (เตา) ฮวงซยุ้ (ท่ี
เก็บศพ) เจ๊า (เลิกกนั ไป) ซวย (ไมด่ ี) เฮง (ดี) ซ้อ (สะใภ)้ แป๊ะเจย๊ี (เงินให้กนิ เปล่า) เซ้ง (ขาย) เปน็ ตน้
ลกั ษณะของคาที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต
๑. เปน็ คาท่มี ีหลายพยางค์ สว่ นมากใชเ้ ป็นคานาม กรยิ า และวิเศษณ์ เช่น ประเสริฐ กรีฑา กาฬ
อธั ยาศัย เปน็ ตน้
๒. คาภาษาบาลีและสันกฤตในภาษาไทยมกั มตี วั การนั ต์ เช่น กษตั ริย์ กษาปณ์ โจทย์ เป็นต้น
๓. ไมม่ รี ูปวรรณยกุ ต์และไม้ไตค่ ู้ ยกเว้น เสน่ห์ เล่ห์ พา่ ห์
๔. คาทใี่ ช้รูป ไ-ย ในภาษาไทย เช่น เวไนย อธปิ ไตย ไทยทาน เปน็ ต้น เหลา่ น้ีเปน็ คาทีม่ าจากภาษา
บาลอี ยใู่ นรปู เ-ยยฺ
๕. คาทใ่ี ช้พยัญชนะ ฆ ณ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ธ ศ ษ ฬ ฤ ฤา ฦ ฦๅ เช่น มณฑป กฎ ปรากฏ ฤทธ์ิ อุโฆษ
วัฒนา วเิ ศษ จุฬา เป็นตน้
๖. คาทม่ี ตี วั สะกด เปน็ พยัญชนะและสระ เชน่ ธาตุ เมรุ วิบัติ เดิมเป็นคาภาบาลีท่ีออกเสียง ๒
พยางค์
๗. คาที่มีตวั สะกดหรือการันตเ์ ปน็ พยญั ชนะ ๒ ตัว เช่น บพิตร พราหมณ์ พุทธ พรหม มารค ซึ่งเดิม
ในภาบาลสี นั สกฤตอ่านออกเสียงพยญั ชนะเหล่านั้น แต่ไทยนามาใช้ ไม่ออกเสียงพยญั ชนะบางเสียง เพ่ือให้
สะดวกในการออกเสยี งและเป็นการรกั ษารูปศัพท์เดิมไว้
๘. คาทมี่ ีคาวา่ วเิ คราะห์ ประกอบในคา เชน่ สงั เคราะห์ อนุเคราะห์ เปน็ ตน้
๙. คาที่มี ร หัน เช่น ภรรยา กรรม ธรรม ซง่ึ เดมิ ในภาษาบาลี สันสกฤตจะอยใู่ นรปู รฺ (ร เรผะ)

ภาพอวยั วะท่ใี ช้ในการออกเสยี ง

๑๓.๒ ใบงาน

ใางานที่ ๑ เรอ่ื ง “ระาาเสียงในภาษาไทย”

คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนทำเครอื่ งหมำย  หนำ้ ท่ีถกู ตอ้ งและทำเครอ่ื งหมำย  หนำ้ ขอ้ ควำมทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง
......๑. เสยี งพยัญชนะในภาษาไทยมี ๔๔ เสียง
......๒. ......๒. เสียงซึ่งเกิดจากลมท่ีเปล่งออกมาถกู กัก ณ ที่ใดท่ีหน่ึงในชอ่ งปาก แลว้ เปิดชอ่ งน้ันให้ลมพุ่งออกโดย

แรงคือ เสียงสระ
......๓. เสยี งเลื่อนที่เกิดข้นึ ระหว่างเสยี งสระ ๒ เสียง ไดแ้ ก่ เสยี ง /ย/ /ว/
......๔. เสียงท่ีเปล่งออกมาจากปอดผ่านออกมาทางช่องปากโดยไม่กระทบหรือถูกปิดกั้นจากอวัยวะใดๆ

ภายในปาก เรยี กวา่ เสยี งวรรณยุกต์
......๕. สระไทยทกุ เสียงเป็นเสียงกอ้ ง
......๖. สระเลอ่ื นหรอื สระประสมมี ๓ เสียง ได้แก่ /เอยี / /เออื / /อัว/
......๗. เสยี งที่เปล่งออกมาแลว้ มีระดับสงู ต่าและมคี วามหมายต่างกนั คือ เสียงวรรณยุกต์
......๘. รปู วรรณยกุ ต์ ๗ และ + ใชไ้ ด้กับอักษรสูงและตา่

เฉลยแาาทดสอา ๓.  ๔.  ๕. 
๑.  ๒.  ๘. 

๖.  ๗. 

ใบงานเรอื่ ง “ระดบั ภาษา”
คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นบอกระดับของภาษาท่จี ะนามาใช้

๑) ภาษาทใ่ี ชใ้ นหนงั สือพิมพ์
……………………………………………………………………………………………………………………………….
๒) การบรรยายของครูในห้องเรยี น
……………………………………………………………………………………………………………………………….
๓) ข้อความที่ปรากฏตอ่ สาธารณชน
……………………………………………………………………………………………………………………………….
๔) ภาษาทใ่ี ชใ้ นครอบครวั จะพูดเรื่องใดก็ได้ไมม่ ีขอบเขตจากดั
……………………………………………………………………………………………………………………………….
๕) การเตรียมบทวาทนิพนธ์ล่วงหนา้ เพ่ือใช้อา่ นต่อหนา้ ประชมุ ชน
……………………………………………………………………………………………………………………………….

เฉลย
๑. ภาษาระดับกง่ึ ทางการ
๒. ภาษาระดับก่ึงทางการ
๓. ภาษาระดบั ทางการ
๔. ภาษาระดบั กนั เอง
๕. ภาษาระดับพธิ ีการ

แนวคาตอบ
๑) โอกาสและสถานที่ ถ้าเป็นการสอ่ื สารกบั บุคคลกลุม่ ใหญ่หรือในท่ปี ระชมุ จะใชภ้ าษาระดับหน่ึง ถ้า

ส่ือสารกนั ในร้านค้า ตลาด บ้าน จะตอ้ งใช้ภาษาต่างระดบั ไป
๒) สมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล บคุ คลมี สัมพันธภาพต่างกนั เช่น เพือ่ นสนิท ญาตผิ ใู้ หญ่ บุคคลท่ีเพิง่

รจู้ กั เปน็ ตน้ ทาใหร้ ะดบั ภาษาที่ใชใ้ นการส่ือสารแตกตา่ งกันไปด้วย
๓) ลกั ษณะของเนื้อหา ขึ้นกบั โอกาสในการส่ือสาร เช่น เมื่อส่อื สารเก่ียวกบั เรื่องส่วนตวั ธรุ กิจการงาน

เปน็ ต้น ภาษาท่ใี ชก้ ต็ ้องเหมาะสมกบั ลักษณะของเน้ือหาน้ันๆ

๔) ส่อื ทใี่ ช้ ตอ้ งรู้จักเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสื่อที่ใช้ในการสง่ สาร เช่น การพดู ทาง
วทิ ยุกระจายเสยี งย่อมใชภ้ าษาต่างระดับกบั การเขียนจดหมายลงในไปรษณยี บตั ร

๑๓.๓ เครื่องมอื วดั ผล
๑. แบบประเมนิ การปฏบิ ัติกิจกรรม (ดทู ้ายหนว่ ย)
๒. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเรียน (ดทู า้ ยหนว่ ย)
๓. แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุม่ (ดทู า้ ยหนว่ ย)
๔. แบบทดสอบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นประจาหน่วยการเรียนรู้

๑๔. เฉลยกิจกรรมและแบบทดสอบ
กิจกรรม ๑
๑. ๑) วันน้อี ากาศร้อนมากนะครับ
ประธาน เพศชาย (ครับ) เอกพจน์ (ผู้พูด)
กริยา ปจั จบุ ันกาล (วันนี้)
๒) เด็กๆ เก็บไข่ไก่หลายฟอง
ประธาน ไม่ระบุเพศ พหูพจน์ (ใชค้ าซ้า เด็กๆ)
กริยา อดีตกาล (ได้)
๓) แอ๋วซ้อื รองเท้าคู่ใหมม่ าเมื่อวานนี้
ประธาน เพศหญิง (แอว๋ ) เอกพจน์
กรยิ า อดีตกาล (เม่ือวานนี้)
๔) เมอ่ื ตอนเยน็ มีใครมาหาคณุ ล่ะ
ผูพ้ ดู เพศหญิง(พจิ ารณาจากรูปประโยคน่าจะเป็นภรรยา) เอกพจน์ (ผู้พดู )
กรยิ า อดีตกาล (เมื่อตอนเย็น)
ผู้ฟงั เพศชาย (คณุ แสดงการยกยอ่ ง)
๕) เขาไม่ได้อาบน้ามาเดือนหนึ่งแลว้
ประธาน ไม่ระบเุ พศ (แต่อาจเป็นชายหากพจิ ารณาถงึ พฤติกรรม) สรรพนามบรุ ุษท่ี ๓ เอกพจน์
(วิเคราะห์ จากสถานการณ)์
๖) ลูกรัก พ่อจะซื้อรถให้ลกู ปใี หม่
ประธาน เพศชาย (พ่อ) เอกพจน์
กรยิ า อนาคต (ใหป้ ใี หม่)

๗) แหวนของยายแปด๊ สวยดีนะ

ผ้พู ูด เพศหญิง กรยิ า(ชอบเคร่ืองประดบั ) เอกพจน์

แปด๊ เพศหญิง (ยาย มักใช้เรียกผ้หู ญงิ )สรรพนามบรุ ุษท่ี ๓ เอกพจน์

๘) นาฬกิ าตายตัง้ แตต่ ี ๒

ประธาน ไมร่ ะบุเพศ เอกพจน์

กริยา อดีตกาล (ต้งั แต)่

๙) ศรีปราชญ์แตง่ กาสรวลศรปี ราชญจ์ ริงหรอื

ประธาน เพศชาย (ชื่อคน) เอกพจน์

กรยิ า อดีตกาล (จรงิ หรอื )

๑๐) ไปไหนมายะ กลบั เอาดึกดืน่ ป่านน้ี

ประธาน เพศหญิง (นา่ จะสูงอายุ หรอื เปน็ เพื่อนสนิทกนั (ยะ))เอกพจน์

กริยา ปัจจุบนั กาล (ปา่ นนี)้

ผถู้ ูกถาม อาจเป็นเพศชายหรือเพศหญิง มีอายุน้อยกวา่ หรือเป็นเพ่ือนสนทิ กนั (ยะ) เอกพจน์

๒. ชนิดของคา ความหมาย

๑) กก นาม พชื ชนดิ หน่ึง

๒) กก กรยิ า ฟกั ให้ออกเปน็ ตัว

๓) กก (กกหู) นาม บริเวณโคนหสู ่วนหลงั ท่ตี ิดกับศรษี ะ

๔) ผกู ลกั ษณนาม มัด

๕) ผูก กรยิ า ขมวด

๖) จดื กรยิ า ไม่สนกุ

๗) จดื (จืดๆ ) วิเศษณ์ หน้าซีด

๘) จดื กริยา คลายลง ห่างเหิน

กจิ กรรม ๒ ได้แก่ ขาว คู่ ฆ้อง
๑. แนวคาตอบ ไดแ้ ก่ ชา่ ง เฉอื น เฌอ
ไดแ้ ก่ ซาบซ้งึ เสรมิ โศก เษก
เสยี งพยัญชนะตน้ /ค/ ได้แก่ ท่องเทยี่ ว ฐาน ถ่นิ ฑาหะ (ไฟ) ธง เฒ่า
เสียงพยัญชนะตน้ /ช / ไดแ้ ก่ ณรงค์ นิเวศน์
เสียงพยัญชนะต้น /ส/ ไดแ้ ก่ แผลง พิมพ์ ภิกษุ
เสียงพยญั ชนะตน้ /ท/ ได้แก่ ฟาร์ม ฝ้าย
เสยี งพยญั ชนะต้น /น/ ได้แก่ ญัตติ ยาม
เสยี งพยัญชนะต้น /พ/ ไดแ้ ก่ เลหลงั กีฬา
เสียงพยัญชนะตน้ /ฟ/ ได้แก่ หูฉลาม ฮดื ฮาด
เสียงพยญั ชนะต้น /ย/
เสยี งพยัญชนะต้น /ล/
เสยี งพยญั ชนะตน้ /ห/

๒.

แม่ ก กา ได้แก่คาวา่ ขรัว

แม่กง ได้แก่คาวา่ แกว่ง

แม่กน ได้แก่คาวา่ พล่าน หาญ ผลาญ

แมก่ ม ได้แก่คาว่า ปราม

แม่เกย ไดแ้ ก่คาว่า เชย

แมเ่ กอว ไดแ้ ก่คาวา่ เท่ยี ว

แมก่ ก ไดแ้ ก่คาวา่ สมคั ร มุข เมฆ

แมก่ ด ได้แก่คาวา่ ศาสตร์ อาวธุ ขบถ ครฑุ อาจ ประเสรฐิ เลศิ กษตรยิ ์ จติ นิทรา

แม่กบ ได้แก่คาว่า กราบ สาป ปรฟู๊

๓. ๑) เกรด็ / เกร็ด

๒) กรรแสง / กรรแสง

กรรแสง หมายถึง ร้องไห้ หรอื คาโบราณเรียกผา้ สวมคอ

กันแสง หมายถงึ รอ้ งไห้ เป็นราชาศพั ท์ ในท่ีนี้ แมน่ างคงไมใ่ ช่เรยี กนางกษัตริย์

๓) เกษียร

๔) จตสุ ดมภ์

๕) จะเข้

๖) ซาบซง้ึ

๗) เผอเรอ

๘) อะล้มุ อล่วย

๙) อีลยุ่ ฉุยแฉก หรืออีหลุยฉยุ แฉก ใช้ได้ทง้ั สองคา

๑๐) อดุ มการณ์

กจิ กรรม ๓

๑. โป๊ะ ใชส้ ระโอะ คงรูปเดมิ

วัด เปล่ยี นรปู สระอะ เปน็ ไม้ผัด เมอื่ มีตวั สะกด

ธรรม เปลี่ยนรูปสระอะ เป็น ร หัน เมือ่ มตี วั สะกด

นวล ลดรูปไมผ้ ัดในสระอัว เม่ือมตี ัวสะกด

หฤทัย ห ลดรปู สระอะเม่อื ประสมกับพยำงค์อืน่ ฤ คงรูป ฤ เม่ือประสมกับพยำงคอ์ นื่ ทัย เปลี่ยน

รูปสระอะ เป็นไมผ้ ดั เมือ่ มีตัวสะกด

บทจร บท ลดรูปสระโอะเม่อื มีตวั สะกด จร ลดรูปสระออ เมอ่ื มีตวั ร สะกด

ไพร ลดเสยี ง ย ซ่งึ เปน็ เสยี งตวั สะกดในสระไอ เมอ่ื มีตัว ร สะกด

อนุสรณ์ อ ลดรูปสระอะ เมื่อประสมกับพยางค์อื่น นุ คงรูปสระอุ สรณ์ ลดรปู สระ ออ เมื่อมี ร สะกด

เพชร ลดรูปวสิ รรชนยี ์ในสระเอะ เมื่อมตี วั สะกด

เทดิ เปลีย่ นรปู สระเออ เป็นรปู สระอิ แทนรปู อ เม่อื มตี วั สะกด

๒.

ฆ้อง – เสยี งตรี พลบ – เสยี งตรี

ห้าห่นั – เสียงโท – เอก เทยี่ ง – เสยี งโท

เหมอื น – เสยี งจตั วา จิต – เสียงเอก

หลาย – เสียงจตั วา แผลบ็ – เสียงเอก

อสูร – เสียงเอก - จตั วา เสือ่ – เสยี งเอก

สมัคร – เสียงเอก - เอก ห่วง – เสียงเอก

ลาม – เสยี งสามัญ ทาก – เสียงโท

เฝา้ – เสยี งโท เหน็ – เสียงจัตวา

ฝาก – เสยี งเอก ขีด – เสยี งเอก

เสยี ง – เสียงจัตวา เพี้ยง – เสยี งโท

๓. ๑) ตูใ้ บนไี้ มด่ ีนัก

๒) เข่าเขากระแทกเขา้ กบั โต๊ะ

๓) ม้ามากนิ หญ้าขา้ งบา้ น

๔) ผมไปปา่ เอามะม่วงปา่ มาฝากป้า (ป๋า)

๕) ใส่ก็ใส่ ไม่ใส่ก็ไมใ่ ส่

๖) แดงใสเ่ ก๊ยี ะไปซ้ือปอเป๊ยี ะใหแ้ ปะ๊

๗) คุณตยุ๋ (ตยุ้ ) โกรธเลยตุย๊ ท้องนอ้ งตุย้ นุ้ย

๘) ป้อม (ป๋อม) วิ่งเป้ียวเลยี้ วอ้อมต้นไม้

๙) กลอ้ มแกลม้ กลา้ กลนื กล้วย กลดั กลุ้ม คล้มุ คล่งั

๑๐) เตา๋ (เตา่ ) เอากระทะต้ังบนเตาผดั เตา้ หู้

๑๑) จิงโจ้เจอจิ้งจอกตกใจแล้ววงิ่ จดู๊

๑๒) กินก๋วยเตย๋ี วเกย๊ี วก้งุ อยูเ่ ต็มปาก

๔. ๑) เตย๊ี ม ๒) อ้ังโล่

๓) คะ ๔) ค่ะ

๕) ซม้ิ ๖) โนต้

๗) คว้าน / กว๊าน ๘) ขว้าง / ฟ่าง / กว้าง

๙) ฟน่ั / คว่ัน ๑๐) ปงุ้ กี๋

๕. แนวคาตอบ

“ไมเ่ ทา่ ไหรห่ รอกน่า แรกๆ ก็เขม้ งวดยังงี้แหละ ดีซี ได้เสือ้ ผ้าใหมอ่ ีกคนละสองชดุ ”

“ย้ี เบอ่ื จะตายอยู่แลว้ นุ่งแต่ซนิ่ ข้าอยากนงุ่ กางเกงยีนส์บ้างกไ็ มม่ เี วลาไปเทยี่ วไหนเลย ตั้งแต่ซอ้ื มาได้

ใสเ่ มือ่ วนั สงกรานต์แคน่ ้ันเอง

(น้าเพยี งดิน ของ นพดารา จาก สตรีสาร ฉบบั ท่ี ๔๓/๔๖)

คาทเ่ี ขียนตามเสยี งพูดแก้เป็นการเขียนตามพจนานุกรม ดังนี้

เทา่ ไหร่ – เทา่ ไร ย้ี – โธ่ เทย่ี วไหน – เทย่ี วทีไ่ หน

ยงั งี้ – อยา่ งนี้ แคน่ ั้นเอง – เทา่ นน้ั เอง ดซี ี – ดซี ิ

กจิ กรรม ๔
๑.แนวคาตอบ
ใช้ภาษาระดับกันเอง ผู้พูดเป็นเพศหญิงทั้งคู่ วัยต่างกัน เพราะเป็นการพูดกันระหว่างแม่และลูกสาว

สงั เกตจากการที่ลกู สาวใชค้ าขานรับวา่ “ค่ะ”
๒. ๑) การท่ีธิดาอุตส่าห์ไปเย่ียมเพื่อนทีโรงพยาบาลหลังผ่าตัดไส้ติ่ง นับว่าธิดาเป็นคนมีน้าใจ แต่

ถ้อยคาท่ีพูดกับเพื่อนทาให้ผู้ฟังมีความรู้สึกไม่ดีนัก แม้ความจริงจะเป็นเช่นน้ัน แต่ก็ไม่ควรพูดให้เพ่ือนเสีย
กาลังใจ ควรแกเ้ ป็น

ธิดา “ขอโทษที่มาเยี่ยมช้า... ติดสอบนะ่ เธอเป็นไง หายดีแล้วซินะ ดูท่าทางไม่เหมือนป่วย
เลย น่ีจะกลับไปเรียนไดเ้ มอ่ื ไหร.่ .. เพื่อนๆ ฝากความคดิ ถึงและขอให้เธอหายเร็วๆ ...”

๒) คาพูดของนชุ ไมเ่ หมาะกับกาลเทศะอย่างย่ิง เพราะเพ่ือนเพิ่งสูญเสียมารดา นา่ จะแสดงความ
เสียใจกบั เพื่อน กลับมาชมเส้อื ผ้า ควรแกเ้ ป็น

นุช “เสียใจด้วยนะ... ท่ีเธอต้องเสียคุณแม่ไปอย่างกระทันหัน แต่น่ิมเป็นคนเข้มแข็ง ฉันหวัง
ว่าเธอจะทาใจไดใ้ นไม่ชา้ หากมีส่งิ ใดทีฉ่ ันและเพอื่ นจะชว่ ยได้ ขอให้บอก พวกเรายินดแี ละเต็มใจชว่ ยเสมอ”

๓) คาพูดของสุชาติอาจตีความหมายได้ถึง ๒ นัย คือ สุชาติทักทาย เพื่อนที่ทางานอยู่ด้วยกัน
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นการล้อกันเล่นๆ แต่หากคนท้ังสองไม่เคยหยอกล้อกันเลย คาว่า “ขยันจริง” และ
“เจ้านายก็ยังไม่กลับ” น้ัน อาจตีความหมายไปได้ว่า “อยู่เพ่ือเอาหน้ากับเจ้านาย” เป็นการทาดีต่อหน้านาย
ซึง่ คนทีถ่ กู ทกั คงไม่ชอบใจแน่ อาจแกเ้ ปน็

สชุ าติ “ยงั ไม่กลับอกี หรอื มงี านคา้ งทีจ่ ะตอ้ งให้เจ้านายรอเซ็นชอื่ ละ่ ซิ”
๔) คาพูดแดงไม่ได้แสดงว่าโกรธเคืองเพ่ือนอย่างจริงจัง การเรียกชื่อก็แสดงว่าสนิทและออกจะ
เอน็ ดู อ้อยจึงไมน่ า่ จะใชค้ าพูดเชงิ ตาหนวิ อิ ย่างน้นั อาจมีผลทาให้แดงไม่พอใจวิมากข้นึ ก็ได้ ควรแก้เปน็

อ้อย “วิเขาคงมีเรื่องกลุ้มใจอะไรอยู่น่ะสิและคงยังไม่อยากเล่าให้เธอฟัง รอให้เขาอารมณ์ดีก็
คงเลา่ เปน็ ต่อยหอยใหเ้ ธอฟงั เองแหละ”

๕) ถ้อยคาของเมธแม้จะแสดงว่าสนิทกับยศมาก แต่คาเปรียบเทียบเพื่อล้อเล่นอย่างน้ีควรใช้ให้
เหมาะกาลเทศะด้วย ควรแกเ้ ปน็

เมธ “ยศ หมู่นี้เปน็ อะไรไป... ปลีกตวั มาน่ังอยู่คนเดียวบ่อยๆ เพ่ือนๆ เป็นห่วง ถ้ามีเร่อื งกลุ้มใจจะ
เล่าให้ผมฟังเพ่ือช่วยหาทางแก้ไขก็ยินดีช่วยเพ่ือนด้วยความเต็มใจ หรือจะไปขอคาแนะนาจากอาจารย์ท่ี
ปรึกษาก็ได้นะ”

๓. แนวคาตอบ

ในการตรวจผลงานของนักเรียนตามกจิ กรรมข้อ ๑) ให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน ครูอาจนาผลงาน

มาให้นกั เรยี นในช้ันเรียนร่วมกนั พจิ ารณาระดบั ภาษาวา่ ถกู ตอ้ งเหมาะสมหรือไม่

สาหรับกิจกรรมขอ้ ๒) ครอู าจประเมินตามแบบประเมินผลงานกลมุ่ เรื่อง “ระดบั ภาษา”

กจิ กรรม ๕

๑. ๑) มนุษย์ เปน็ ภาษาสันสกฤต

๒) มสั ลนิ เป็นภาษาอังกฤษ

มัศยา เปน็ ภาษาสนั สกฤต

ทศ เปน็ ภาษาสันสกฤต

มาส เปน็ ภาษาบาลี สนั สกฤต

รัศมี เป็นภาษาสันสกฤต

๓) ครสิ ต์มาส เป็นภาษาอังกฤษ

ครสิ เตยี น เป็นภาษาอังกฤษ

โปสเตอร์ เป็นภาษาองั กฤษ

ไปรษณยี ์ เป็นภาษาสนั สกฤต

ศาสนา เปน็ ภาษาสันสกฤต

๔) เดิน เป็นภาษาเขมร

สขุ สันต์ เปน็ ภาษาบาลี สันสกฤต

จนิ ต์ เป็นภาษาบาลี สนั สกฤต

๕) ตนุ๋ เปน็ ภาษาจีน

แปะ๊ ซะ เป็นภาษาจนี

๒. ภาษาไทยมกี ารเปลีย่ นแปลงจากหลายสาเหตุ อาจสรุปเปน็ ประเด็นหลักๆ ได้ ๔ ประการ คอื

ประการแรก ภาษามีการเปลย่ี นแปลงตามกาลเวลาและสภาพในด้านการเมืองและประวตั ศิ าสตร์

การอย่ใู กล้ชดิ กัน การย้ายถน่ิ ตลอดจนการแต่งงานระหว่างคนตา่ งเชอื้ ชาติ ทาใหม้ ีการหยบิ ยืมภาษากันใช้

ประการสอง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของกลุ่มชน การติดต่อกับคนต่างชาติ ทาให้เรา

รับเอาวัฒนธรรมของเขาเข้ามาดว้ ย ภาษาเป็นสว่ นหน่งึ ของวัฒนธรรมจึงเข้ามาปะปนใชใ้ นภาษา

ประการท่สี าม เกิดจากการเปล่ียนแปลงทางการศึกษา วทิ ยาการทเ่ี จริญและมีหลากหลาย ภาษา

ซงึ่ เปน็ เครอ่ื งมือส่อื สารเฉพาะวชิ าการแต่ละสาขาก็ติดเขา้ มาด้วย

ประการสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจก็ทาให้ภาษาเปลี่ยนแปลงไป
เชน่ เดยี วกัน

ถ้าเราไม่รับภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้จะเกิดผลเสียมากกวา่ ผลดี ทั้งน้ีเพราะภาษาเป็นเคร่ืองมือ
ท่มี นุษย์ใชใ้ นการสื่อสารติดต่อกัน ทัง้ ในเรือ่ งส่วนบุคคล การค้าขาย การแลกเปล่ียนความร้วู ทิ ยาการ ตลอดจน
เทคโนโลยีใหม่ๆ การเปล่ียนแปลงของทุกภาษาในโลกน้ีจึงเป็นเรื่องท่ีหลีกเล่ียงไม่ไดต้ ามเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว
นักภาษาศาสตร์สมัยใหม่ถือว่าการเปล่ียนแปลงของภาษาเป็นการแสดงถึงความเจริญงอกงามของภาษา และ
ทาใหภ้ าษาไม่ตาย

ภาษานั้นเป็นวัฒนธรรมที่เก็บความคิด จินตนาการ และวิถีชีวิตท้ังหมดของคนในชาติ อย่างไรก็
ตาม คาในภาษาตอ้ งมีเกิดมดี บั เป็นธรรมดา ดังสาเหตุข้างตน้ ภาษาเปน็ วัฒนธรรมที่จะตอ้ งเปล่ยี นแปลงอยเู่ ป็น
นิจ หากเราตามภาษาที่เปล่ยี นแปลงให้ทันกบั ความเปล่ยี นแปลงทางการศึกษาวทิ ยาการ เศรษฐกจิ และสังคม
และนาสงิ่ เหล่านมี้ าประยกุ ต์ใช้ในการเขียนและการพูดให้ทันกับการเปล่ียนแปลง แล้วนาเสนอผ่านสอื่ มวลชน
เพื่อให้ประจักษ์ว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่าน้ีเป็นสิ่งจาเป็นและเหมาะสมแก่กาลสมัย ก็จะเกิดการผ่อนปรนใน
การเรียนรู้ และเปน็ การพัฒนาวัฒนธรรมทางภาษาของเราให้ดีขึ้น ข้อสาคญั คอื เราจะต้องมคี วามเช่ือมั่นวา่ ถึง
อย่างไรภาษาไทยของเราจะไม่ตายเพราะภาษาของเราเป็นภาษาท่ีไพเราะ สื่อสารได้ อีกทงั้ เราจะต้องปรับการ
เรยี นการสอนภาษาไทยใหเ้ หมาะแก่กาลสมยั อีกดว้ ย

๓. แนวคาตอบ
กลุม่ ที่ ๑ ภาษาเขมร
มดาย หมายถึง แม่
คม หมายถึง ไหว้
บังอวจ หมายถงึ หน้าต่าง
ลออ หมายถึง งาม
เขลา หมายถึง โง่
ผลาญ หมายถงึ ทาใหพ้ นิ าศ
เสนยี ด หมายถึง หวี
แสะ หมายถงึ มา้
ระมาด หมายถงึ แรด
ผกา หมายถึง ดอกไม้
เขนย หมายถึง หมอนหนุน

กลุ่มที่ ๒ ภาษาบาลี สันสกฤต
ไมตรี (ส) หมายถงึ ความเป็นเพื่อน
เกษตร (ส) หมายถงึ ที่ดิน ทุ่ง นา ไร่
เขต (ป) หมายถึง แดนทีก่ าหนดขีดคน่ั ไว้
ศาลา (ส) หมายถงึ อาคารท่ปี ลกู เปน็ ห้องโถง
สุขุม (ป) หมายถึง ละเอียด
ญาติ (ป) หมายถึง คนในวงศ์วานทย่ี งั นับรู้กนั ได้ทางเช้ือสายฝ่ายพ่อหรือฝ่ายแม่
รงั สี (ป) หมายถึง แสงสวา่ ง
รัศมี (ส) หมายถงึ แสงสว่างทพ่ี วยพุ่งออกจากจุดกลาง
สถาน (ส) หมายถึง ที่ตง้ั
นสิ ยั (ป) หมายถงึ ความประพฤติทเ่ี คยชิน
อาศยั (ส) หมายถงึ พัก พักผอ่ น

กลุม่ ท่ี ๓ ภาษาจนี
กงเต๊ก หมายถงึ การทาบุญใหแ้ ก่ผตู้ ายตามพธิ ีของนักบวชนกิ ายจีน
กเุ ฮง หมายถึง เสอื้ แบบจีนชนดิ หนงึ่
จบั ฉ่าย หมายถงึ ชื่อแกงชนิดหน่ึงใส่ผักหลายๆอย่าง
อ้งั ย่ี หมายถงึ สมาคมลับของคนจนี
เต้าเจีย้ ว หมายถงึ ถ่ัวเหลอื งที่หมักเกลือสาหรับปรุงอาหาร
เถา้ แก่ หมายถงึ ชายจีนท่เี ป็นผ้ใู หญ่และฐานะดี
โปย๊ เซียน หมายถึง ชื่อพุ่มไม้ ตน้ เปน็ เหลยี่ ม มหี นามแหลม
โพย หมายถงึ บญั ชที ะเบยี น
เต้าหู้ หมายถงึ ถั่วเหลอื งท่โี ม่เปน็ แป้งแล้วทาเป็นแผ่นๆ

กลุม่ ท่ี ๔ ภาษาโฆษณา
“ไทยเวย์รักษส์ รา้ งสรรคง์ านบริการ”

ไทย เป็นภาษาไทย
เวย์ เปน็ ภาษาอังกฤษ
รักษ์ เปน็ ภาษาสนั สกฤต
สร้าง เป็นภาษาไทย
สรรค์ เป็นภาษาสนั สกฤต

งาน เป็นภาษาไทย
บริการ เป็นภาษาบาลี

กลุ่มที่ ๕ ชอ่ื สถานท่ี ห้างร้าน บริษทั ฯลฯ
“บรษิ ัท บางกอกเซา้ ทอ์ ีสท์ ทราเวลิ จากัด”

บรษิ ัท เป็นภาษาสนั สกฤต
บางกอก เปน็ ภาษาไทย
เซา้ ทอ์ ีสท์ เป็นภาษาอังกฤษ (ตะวันออกเฉียงใต้)
ทราเวลิ เปน็ ภาษาอังกฤษ (การเดินทาง)
จากัด เป็นภาษาไทย

“รา้ นประกายพรกึ แฮร์คตั ”
ร้าน เปน็ ภาษาไทย
ประกาย เปน็ ภาษาเขมร (ผกาย หมายถึง ดาว)
พรึก เปน็ ภาษาเขมร (รุ่ง)
แฮร์ เปน็ ภาษาอังกฤษ (ผม)
คตั เป็นภาษาองั กฤษ (ตดั )

แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน ประจาแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑

จงเลอื กคาตอบทถ่ี กู ต้องทส่ี ดุ เพียงคาตอบเดียว
๑. “ภาษา” ในข้อใดหมายถงึ การพดู จา

๑. ภาษาจีนและภาษาไทยเป็นภาษาในตระกลู เดียวกัน

๒. โตจนป่านน้ยี งั ไมร่ ูจ้ กั ภาษา

๓. สาเนียงสอ่ ภาษา กริ ิยาสอ่ สกุล

๔. การฝึกฝนมีความสาคญั ต่อการเรยี นร้ภู าษาเขียน

๒ “เม่ือชั่วพ่อกู กูบาเรอแก่พ่อกู” ประโยคข้างต้นเป็นประโยคในสมัยสุโขทัย คาที่พิมพ์ตัวหนามีการ

เปลี่ยนแปลงของภาษาในปัจจบุ ัน ซ่ึงเปน็ การเปล่ยี นแปลงในแง่ใด

๑. เปล่ียนเสยี ง ๒. เปล่ียนความหมาย

๓. เปล่ยี นวธิ ีใช้ ๔. เปลยี่ นคาทใี่ ชร้ ่วม

๓. ประโยคใดไมไ่ ด้รับอทิ ธิพลจากภาษาต่างประเทศ

๑. หล่อนบนิ ไปยโุ รปแลว้ เมื่อวานน้ี

๒. เขาจบั รถไฟไปประชมุ ทีป่ ตั ตานี

๓. พระอภัยมณแี ต่งโดยสนุ ทรภู่

๔. เขาถกู รถเฉ่ียวไดร้ ับบาดเจบ็ เล็กน้อย

๔. คา “จะ” ในขอ้ ใดทต่ี ้องเน้นเสยี ง

๑. เธอจะต้องไปด้วยนะ

๒. ไหนพูดใหจ้ ะจะหนอ่ ยสิ

๓. หลอ่ นพดู อยา่ งนน้ั มันจะดีหรือ

๔. งานนี้ฉนั จะตอ้ งไปให้ได้

๕. คาในขอ้ ใดใชส้ ระไอได้ถกู ต้อง

๑. หน้าผ่องเป็นยองไย เรื่องเหลวไหล ไยหนีหน้า

๒. เหลก็ ในผ้ึง หมาไน บันได

๓. ลาไย ไมโครโฟน ไตห้ วัน

๔. ตะใคร้ หลงไหล ไต้ฝุ่น

๖. พยัญชนะในข้อใดใชเ้ ปน็ พยัญชนะตน้ และตัวสะกดไดท้ ุกตัว

๑. อ ว ซ ฉ ๒. ฎ ภ ผ ฬ

๓. ต ฝ ป ง ๔. ซ ฟ ธ ฐ

๗. ขอ้ ใดใชร้ าชาศพั ท์ไดถ้ กู ตอ้ ง

๑. สมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ ีนาถทรงลงพระปรมาภไิ ธยในสมดุ เย่ยี ม

๒. ผวู้ ่าราชการจงั หวัดไดจ้ ดั ให้มกี ารแสดงละครหน้าพระท่นี ง่ั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั

๓. คณะกรรมการมลู นธิ สิ ายใจไทยถวายชอ่ ดอกไม้แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

๔. พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั ทรงเปน็ พระราชอาคนั ตุกะของสมเด็จพระราชินอี ลิซาเบธ

๘. เสยี งพยัญชนะควบกล้าในข้อใดตรงกบั เสยี งพยัญชนะควบกลา้ แตเ่ ดิมของไทย

๑. ฟรงั ซ์ ๒. อิเควเตอร์

๓. บรอดเวย์ ๔. ฟลอรโ์ ชว์

๙. จงเรียงข้อความต่อไปนี้ตามระดับภาษาโดยเร่ิมจากภาษาระดับทางการ กึ่งทางการ ไม่เป็นทางการ จนถึง

ระดับกันเอง

๑. ทบวงฯ ผวาผู้ปกครองนักเรียนฟ้องร้องสั่งยกเลิก GPA-PR “อีดี้” ขู่กลับทาจริงเดือดร้อนกันทั่วหน้า

อ้างพบปลอมแปลงเอกสารกันเพยี บ มีหวังถกู แฉแน่

๒. นายประจวบ ไชยสาส์น รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน กรณี

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอให้ผู้ปกครอง นักเรียนฟ้องร้อง

หน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้องกับการยกเลิกการคิดคะแนนเฉล่ียสะสม (GPA) และค่าเปอร์เซ็นไทล์ แรงก์ (PR)

ของนักเรียนทส่ี อบเข้ามหาวิทยาลยั หรือเอน็ ทรานซร์ ะบบใหม่

๓. หากคนท่ีติดตามข่าวการศึกษา โดยเฉพาะข่าวเอ็นทรานซ์จะเข้าใจดีว่าทาไมทบวงมหาวิทยาลัยถึง

ตัดสินใจยกเลิกการนาผลการเรียนตลอดหลักสูตรระดับ ม.ปลายหรือเทียบเท่า (GPA) ที่ให้ค่าน้าหนักร้อยละ

๑๐ มาเป็นองคป์ ระกอบ ในการสอบเอน็ ทรานซ์ระบบใหม่ ในปีการศกึ ษา ๒๕๔๒ นี้

๔. ณ วนั นดี้ เู หมือนโรงเรียนจะโดนไปเต็มๆ เพราะถูกมองว่าเป็นต้นตอของการยกเลิกการคิดค่า GPAและ

PR ซ่ึงโรงเรียนก็คงแก้ตัวลาบาก ความจริงโรงเรียนรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าทบวงฯ และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไม่

แน่ใจในคุณภาพ แล้วทาไมโรงเรียนถึงไม่ซักซ้อมความเข้าใจให้ตรงกันทาไมน่ิงดูดาย ไม่คิดหาทางให้คาดูหมิ่น

นั้นหมดไป

๑. ๑ ๒ ๓ ๔ ๒. ๒ ๑ ๔ ๓

๓. ๒ ๓ ๑ ๔ ๔. ๓ ๒ ๔ ๑

๑๐. ข้อใดใช้คาต่างระดับ
๑. เลขานุการินีชมรมนัดประชุมคณะกรรมการวนั ที่ ๔ ตลุ าคม ๒๕๔๒
๒. เจา้ เดก็ นอ้ ยทาลับๆ ลอ่ ๆ อยู่ท่ปี ระตู พอทา่ นเรยี กกว็ ิ่งจี๋เข้ามาเชยี ว
๓. ประชาชนพร้อมใจกนั มาชมุ นมุ กนั มากมายเป็นประวตั ิการณ์
๔. ขอขอบคณุ ทุกๆ ทา่ นที่กรุณาตบเท้ามาเชียร์ผมในวันน้ี

เฉลย
๑. ตอบข้อ ๓
๒. ตอบข้อ ๒ เพราะในสมัยสุโขทัยคาว่า บาเรอ หมายถึง การดูแลปรนิบัติรับใช้ แต่ในสมัยปัจจุบันมี

ความหมายไปใน ทางกามารมณ์ เชน่ นางบาเรอ
๓. ตอบขอ้ ๔
๔. ตอบขอ้ ๒
๕. ตอบขอ้ ๓
๖. ตอบขอ้ ๔
๗. ตอบข้อ ๔ ข้อ ๑ ต้องเปล่ยี น ทรงลงพระปรมาภไิ ธย เป็น ทรงลงพระนามาภิไธย
ขอ้ ๒ ตอ้ งเปลย่ี น หนา้ พระท่นี ัง่ เป็น เฉพาะพระพกั ตร์
ขอ้ ๓ ตอ้ งเปลย่ี น ถวาย เป็น ทูลเกลา้ ฯ ถวาย
๘. ตอบขอ้ ๒ เสียงควบกล้าที่เพิ่มเขา้ มาภายหลงั ๕ เสียง คือ ดร บร บล ฟร ฟล
๙. ตอบข้อ ๓ ข้อ ๑ เป็นภาษาระดับไมเ่ ป็นทางการ ใช้คาภาษาพูดคือคาว่า ผวา ขกู่ ลับ และใชค้ าเฉพาะ

เชน่ GPA-PR “อดี ้ี” ซ่ึงเปน็ คาทมี่ ผี ู้รู้เฉพาะกลุ่ม ข้อความนีเ้ ป็นพาดหัวขา่ ว
ข้อ ๒ เป็นภาษาระดับทางการ เป็นการรายงานอย่างเป็นทางการ บอกชื่อ ตาแหน่ง วัน

เดอื นปี อย่างชดั เจนตรงไปตรงมา
ข้อ ๓ เป็นภาษาระดับกึ่งทางการ มีภาษาอังกฤษแทรกโดยไม่จาเป็น ซึ่งเป็นคาอักษรย่อที่

รูจ้ ักกันดี
ข้อ ๔ เป็นภาษาระดับกันเองโดยใช้ภาพูด เช่น โดนไปเต็มๆ เปน็ ต้นตอ รอู้ ยู่แก่ใจ น่งิ ดูดาย

๑๐. ตอบขอ้ ๔ เพราะขนึ้ ต้นประโยคด้วยภาษาระดับทางการ “ขอขอบคณุ ทุกๆ ท่าน” จบด้วยภาษาพูด
“ตบเทา้ มาเชียร์”

แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียน ประจาแผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ ๑
จงเลอื กคาตอบที่ถูกต้องท่สี ุดเพยี งคาตอบเดียว

๑. ตามธรรมชาติของภาษา ข้อใดไมใ่ ชล่ ักษณะทั่วไปของภาษา

๑. ครูประจาชั้นกวกั มือเรียกเด็กนักเรียนไปเขา้ แถวท่สี นาม

๒. คาวา่ “บัตรเตมิ เงิน” เปน็ คาประสมทใี่ ช้ในภาษาไทยไม่นานนกั

๓. คุณวิมลเลา่ วา่ ลกู สาวอายุ ๒ ขวบพูดเก่งขนึ้ ใชป้ ระโยคได้ยาวกว่าเม่ือก่อนมาก

๔. เด็กชายทองไม่สามารถออกเสียงคาภาษาอังกฤษท่มี เี สียงตัว S สะกดได้ เพราะเสียงสะกดน้ีไมม่ ีใน

ภาษาไทย

๒. คาประพันธ์ต่อไปนี้มีคายืมภาษาตา่ งประเทศกค่ี า (ไม่นับ คาซา้ )

พมี่ นษุ ยส์ ดุ สวาทเปน็ ชาติยักษ์ จงคิดหักความสวาทใหข้ าดสูญ

กลบั ไปอย่คู ูหาอย่าอาดรู จงเพมิ่ พนู ภาวนารักษาธรรม์

๑. ๗ คา ๒. ๘ คา ๓. ๙ คา ๔. ๑๐ คา

๓. ตามธรรมชาติของภาษา ข้อใดไมใ่ ช่ลักษณะทัว่ ไปของภาษา

๑. คาเกิดจากการนาเสยี งในภาษามาประกอบกันเขา้

๒. นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ เขียนเรียงความสง่ เขา้ ประกวด

๓. ประโยคนีม้ ี ๒ ประโยครวมกนั โดยใช้คาเช่ือมชว่ ยเชอ่ื มความ

๔. ปัจจุบนั คนไทยหลายคนพูดเสยี งพยัญชนะควบกลา้ ไม่ได้เลย

๔. ข้อใดไม่มีเสยี งวรรณยกุ ต์จัตวา

๑. พระเหลือบลงตรงโตรกชะโงกเงอื้ ม

๒. น้ากระเพื่อมแผน่ ผาศลิ าเผิน

๓. กระจ่างแจ้งแสงจันทรแ์ จ่มเจริญ

๔. พระเพลิดเพลนิ พลางเพรยี กสาเหนยี กใจ

๕. ข้อใดไมม่ ีคายืมจากภาษาตา่ งประเทศ

๑. ฝรั่งเป็นตน้ ตารับอาหารกินเร็ว ยนื กินเดินกนิ ก็ได้

๒. เมอื่ เรารับมาก็ต้องกินตามอยา่ งเขาและร้สู ึกวา่ ง่ายดี

๓. เราไมไ่ ด้กนิ เพื่อประหยัดเวลาเอาไวท้ าการงานอยา่ งอ่ืน

๔. เป็นการกนิ เล่นๆ กันในหมู่คนวัยท่ยี ังทามาหากินไม่ไดม้ ากกว่า

๖. ข้อใดไมม่ คี าทีม่ าจากภาษาบาลีหรอื ภาษาสนั สกฤต

๑. เราตอ้ งใชภ้ าษาไทยให้ถกู ต้อง

๒. อยา่ เลี้ยงลูกใหเ้ ปน็ เทวดา

๓. ช่ือของเขาอยใู่ นทาเนียบรุน่

๔. ภรรยาของเขาทางานอยทู่ น่ี ่ี

๗. ข้อความต่อไปนี้สว่ นใดไมม่ คี าที่มาจากภาษาองั กฤษ

๑) เรตติ้งของรายการโทรทัศน์สัมพันธ์กับเวลาในการออกอากาศ / ๒) รายการที่ออกอากาศในช่วง

ไพรม์ไทม์ หรือช่วงเวลาท่ีมีผู้ชมโทรทศั นม์ าก / ๓) จะมโี อกาสได้รับความนิยมมากกว่ารายการท่ีออกอากาศใน

ช่วงเวลาท่ีคนชมรายการนอ้ ย /๔) ช่วงเวลาที่มีผ้ชู มทวี ีมากกค็ อื ช่วงหัวคา่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงหลังรายการขา่ ว /

๑. ส่วนที่ ๑ ๒. ส่วนท่ี ๒ ๓. สว่ นที่ ๓ ๔. ส่วนท่ี ๔

๘. ข้อใดเป็นการใช้ภาษาที่แสดงให้เห็นการเปล่ยี นแปลงของสังคม

๑. อาหารจานใหญ่ ๒. อาหารจานด่วน

๓. อาหารจานพเิ ศษ ๔. อาหารจานเด็ด

๙. ข้อใดไม่ใช่ลกั ษณะทว่ั ไปของภาษา

๑. มีเสยี งวรรณยกุ ต์

๒. มีจานวนเสียงจากัด

๓. แปรและเปล่ยี นได้

๔. มีคาเกดิ ใหม่ ดารงอยู่ และตายไป

๑๐. ขอ้ ใดไม่ถกู ตอ้ ง

๑. ภาษาเปน็ มรดกทางสังคม

๒. ภาษาเปน็ เคร่ืองจรรโลงวฒั นธรรม

๓. ภาษาเปน็ เอกลกั ษณท์ แ่ี สดงความเป็นชาติ

๔. ทุกชาตยิ อ่ มมีภาษาพดู และภาษาเขียนของตน

เฉลย
๑. ๑ ๒. ๔ ๓. ๒ ๔. ๑ ๕. ๒
๖. ๓ ๗. ๓ ๘. ๒ ๙. ๑ ๑๐. ๔

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ ภาษากาั การส่ือสาร เวลา ๓ ช่วั โมง
รายวิชาภาษาไทย

๑. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้วี ัด

มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราวใน
รปู แบบตา่ งๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นควา้ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

ตัวชี้วัดที่ ๑ เขียนสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียงถูกต้อง
มขี อ้ มูลและสาระสาคัญชัดเจน

ตวั ชว้ี ัดที่ ๔ ผลิตงานเขยี นของตนเองในรปู แบบต่างๆ
มาตรฐาน ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ
ความรู้สกึ ในโอกาสต่างๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์
ตัวชี้วัดท่ี ๒ วิเคราะหแ์ นวคดิ การใชภ้ าษา และความน่าเชอ่ื ถือจากเร่ืองท่ีฟังและดูอย่างมเี หตุผล
ตวั ชีว้ ัดท่ี ๓ ประเมนิ เรอ่ื งที่ฟงั และดู และกาหนดแนวทางนาไปประยุกต์ใชใ้ นการดาเนินชวี ติ
ตัวชี้วดั ที่ ๕ พูดในโอกาสต่างๆ พูดแสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มน้าวใจ และเสนอแนวคิดใหม่ด้วย
ภาษาถูกตอ้ งเหมาะสม
ตัวชีว้ ัดท่ี ๖ มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ขิ องชาติ
ตวั ชว้ี ดั ท่ี ๓ ใช้ภาษาไทยได้เหมาะสมแก่โอกาส กาลเทศะ และบุคคล รวมท้ังคาราชาศัพท์อย่าง
เหมาะสม

๒. ทักษะทีจ่ าเปน็ แหง่ ศตวรรษที่ ๒๑

๒.๑ ทกั ษะพ้ืนฐานการเรียนรู้
- การอา่ น
- การเขยี น

๒.๒ ทักษะการเรียนร้แู ละนวัตกรรม
- การคิดเชงิ วพิ ากษ์และการแก้ปัญหา
- การสงั เกต การคิดวิเคราะห์ และการสงั เคราะห์
- การจดั การความรู้
- การสือ่ สาร
- การทางานร่วมกันเปน็ ทมี

๒.๓ ทกั ษะการรู้ดิจติ อล
- การใชข้ ้อมลู สารสนเทศ

- การใชส้ ื่อ
- การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
๒.๔ ทักษะชวี ติ และการทางาน
- การยืดหยุ่นและความสามารถในการปรบั ตวั
- ทักษะทางสงั คมและวฒุ ิภาวะ
- ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและสังคม
- เช่ือมนั่ ในตนเอง
- ความเปน็ ผนู้ า

๓. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์

๓.๑ มวี ินัย
๓.๒ ใฝ่เรยี นรู้
๓.๓ มงุ่ ม่นั ในการทางาน
๓.๔ รักการเปน็ ไทย

๔. สาระการเรียนรู้

๔.๑ การส่อื สาร
๔.๒ ภาษากับการสือ่ สาร
๔.๓ อปุ สรรคในการส่อื สาร
๔.๔ วธิ แี ก้ไขอุปสรรคของการสอ่ื สาร

การออกแบบการจัดการเรียนรแู้ บบย้อนกลับ (Backward Design)

สาระสาคัญ การวัดและประเมินผล

๑. การสอ่ื สาร ๑. การทาแบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน

๒. ภาษากับการสื่อสาร ๒. การทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ

๓. อุปสรรคในการส่ือสาร กิจกรรม ๑ – ๒

๔. วิธแี ก้ไขอปุ สรรคของการส่ือสาร ๓. การทากิจกรรมในใบความรู้และใบงาน

๔. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเรียน

๕. แบบประเมินผลการปฏิบตั กิ ิจกรรม

๖. แบบประเมินพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่

กจิ กรรมการเรยี นรู้ คาถามสาคัญ

๑. ศกึ ษาเร่ือง การสื่อสาร จากหนังสอื เรยี นแม็ค หน่วยการเรียนรู้ ๑. การสอื่ สารคืออะไร

ที่ ๒ ๒. องค์ประกอบของการสอื่ สารมีอะไรบ้าง

๒. ศึกษาเรื่อง ภาษากับการส่ือสาร จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วย ๓. อุปสรรคในการส่ือสารมีอะไรบ้าง

การเรียนรทู้ ี่ ๒ ๔. วิธแี กไ้ ขอุปสรรคในการสื่อสารมีอะไรบา้ ง

๓. ทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ กจิ กรรม ๑

๔. ศึกษาเร่ือง อุปสรรคของการสื่อสาร จากหนังสือเรียนแม็ค

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒

๕. ศึกษาเรื่อง วิธีแก้ไขอุปสรรคของการสื่อสาร จากหนังสือเรียน

แม็ค หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๒

๖. ทากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กจิ กรรม ๒

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๒ ภาษากับการสอื่ สาร

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๒ ภาษากบั การสื่อสาร

เวลา ๓ ชวั่ โมง

๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด

มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราวใน
รูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นควา้ อย่างมีประสิทธภิ าพ

ตวั ชี้วดั ที่ ๑ เขียนสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียงถูกต้อง
มขี ้อมูลและสาระสาคัญชดั เจน

ตัวชวี้ ดั ที่ ๔ ผลิตงานเขียนของตนเองในรูปแบบตา่ งๆ
มาตรฐาน ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ
ความรู้สกึ ในโอกาสต่างๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์
ตวั ชว้ี ดั ที่ ๒ วเิ คราะห์แนวคดิ การใช้ภาษา และความนา่ เช่ือถือจากเรอื่ งท่ีฟงั และดูอย่างมเี หตุผล
ตัวช้วี ัดท่ี ๓ ประเมินเรอ่ื งท่ฟี ังและดู และกาหนดแนวทางนาไปประยุกต์ใชใ้ นการดาเนินชีวิต
ตัวชี้วัดที่ ๕ พูดในโอกาสต่างๆ พูดแสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มน้าวใจ และเสนอแนวคิดใหม่ด้วย
ภาษาถูกต้องเหมาะสม
ตัวชีว้ ดั ท่ี ๖ มมี ารยาทในการฟงั การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบัติของชาติ
ตวั ช้วี ัดที่ ๓ ใช้ภาษาไทยได้เหมาะสมแก่โอกาส กาลเทศะ และบุคคล รวมท้ังคาราชาศัพท์อย่าง
เหมาะสม

๒. สาระสาคัญ

๒.๑ การสอ่ื สาร
๒.๒ ภาษากบั การสอื่ สาร
๒.๓ อปุ สรรคในการสื่อสาร
๒.๔ วธิ แี ก้ไขอุปสรรคของการสื่อสาร

๓. วัตถุประสงค์

๓.๑ เข้าใจความหมายและความสาคัญของการสอื่ สาร
๓.๒ เข้าใจองคป์ ระกอบของการส่ือสารจากสถานการณ์ที่กาหนดให้ได้
๓.๓ เหน็ ความสมั พนั ธ์ระหว่างภาษากับการส่ือสาร
๓.๔ อุปสรรคและหาแนวทางแกไ้ ขอปุ สรรคของการสื่อสารอย่างสมเหตุสมผลได้

๔. สาระการเรียนรู้

๔.๑ การส่อื สาร
๔.๒ ภาษากบั การสือ่ สาร
๔.๓ อุปสรรคในการส่ือสาร
๔.๔ วธิ แี ก้ไขอปุ สรรคของการสือ่ สาร

๕. ชนิ้ งาน/ ภาระงาน

๕.๑ กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ

๕.๒ ภาระงาน “สบื คน้ ขอ้ มูลทางอินเทอร์เนต็ ”

๕.๓ ภาระงาน “เปรียบเทียบการใชภ้ าษาในการสอื่ สารระหวา่ งภาษาไทยกบั ภาษาองั กฤษ”

๕.๔ แบบทดสอบ

๕.๕ กิจกรรมเสนอแนะ

๖. คาถามสาคญั

๖.๑ การสือ่ สารคอื อะไร

๖.๒ องค์ประกอบของการสอ่ื สารมอี ะไรบ้าง

๖.๓ อปุ สรรคในการสื่อสารมีอะไรบ้าง

๖.๔ วธิ แี กไ้ ขอปุ สรรคในการส่ือสารมีอะไรบา้ ง

๗. กจิ กรรมการเรียนการสอนเพอ่ื การเรยี นรู้

๗.๑ ขน้ั นา

ครูให้นักเรียนเล่นเกมกระซิบ โดยครูเล่าเรื่องสั้น ๆ (เรื่องอะไรก็ได้ อาจเป็นนิทาน เกร็ดความรู้
เร่ืองเล่าต่าง ๆ ) ให้นักเรียนคนหนึ่งฟังด้วยการกระซิบ แล้วให้นักเรียนท่ีฟังเรื่องราวกระซิบเล่าให้เพื่อนฟัง
ต่อ ๆ กันไปจากคนหน่ึงสู่อีกคนหนึ่งจนถึงคนสุดท้าย นักเรียนคนสุดท้ายออกมาเล่าเร่ืองที่ได้ฟังให้ครูและ
เพ่อื น ๆ ฟงั หน้าชน้ั ครูใหน้ กั เรยี นคนแรกท่ฟี งั ออกมาเลา่ เรื่องว่าเรื่องตรงกันกบั คนสุดท้ายหรือไม่

๗.๒ ขนั้ สอน
ตอนท่ี ๑ การสอ่ื สาร
๑. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรุปและวจิ ารณ์ผลท่ีไดร้ บั จากการสอื่ สารในการเลน่ เกมกระซบิ คร้งั นี้
๒. ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่อง “การสื่อสาร” จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ จากนั้นครูให้
นกั เรียนดูรูปภาพแสดงการสอื่ สารทางภาษา (ท้ายแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๒)
๓. ครูให้นักเรยี นศึกษาใบความรู้เรอ่ื ง “ภาษากบั การส่อื สาร” แลว้ เขียนสรุปสาระสาคญั
๔. ครูสนทนากบั นกั เรียนเกย่ี วกบั อวจั นภาษาตา่ ง ๆ ทีน่ ักเรียนเคยพบเหน็ ใหน้ ักเรยี นบอกความหมาย
ของภาพหรอื สญั ลักษณเ์ หลา่ นนั้ ดว้ ย

๕. นักเรียนสงั เกตตัวอย่างสญั ลกั ษณ์ตา่ งๆ ท่พี บเหน็ และบอกความหมายของสัญลกั ษณน์ นั้
๖. นักเรียนอ่านบทสนทนาท่ีครูนามาให้ แล้วระบุว่าในการสนทนาแต่ละช่วงแต่ละตอน คู่สนทนา
มบี ทบาทเปน็ ผูส้ ่งสารหรือผูร้ ับสาร พร้อมท้งั บอกจุดประสงค์ของสารท่สี ง่ มาด้วย
๗. ให้นักเรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ จากหนังสือเรียนแม็ค กจิ กรรม ๑ เร่ือง “การสื่อสาร
และความสัมพันธ์ระหวา่ งภาษากบั การส่อื สาร”
กิจกรรม ๑ ข้อ ๑ เป็นการทบทวนความรู้ความเข้าใจของนักเรียน ฝึกให้นักเรียนรู้จักสังเกต
แลกเปล่ียนความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน และสามารถสรุปและบันทึกข้อความจากการอภิปรายร่วมกับเพ่ือนได้
อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
กิจกรรม ๑ ขอ้ ๒ เปน็ กิจกรรมท่ใี ห้นกั เรียนทางานกลุ่มเกยี่ วกบั เรอ่ื ง “สถานการณ์การสือ่ สาร” โดยมุ่ง
ให้นักเรียนรู้จักการทางานร่วมกัน มีความ รับผิดชอบต่อหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย แสดงความคิดเห็นในการ
อภิปรายรายกลุ่ม รู้จักสังเกตการใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาจากสื่อสารสนเทศ ท้ังประเภทสื่อส่ิงพิมพ์และ
สื่ออิเลก็ ทรอนกิ ส์ ใชภ้ าษาในการสือ่ สารตาม สถานการณไ์ ด้อย่างเหมาะสม
๘. ครตู รวจผลงาน อธิบายเพม่ิ เตมิ นาผลงานกลมุ่ ที่ดีเด่นติดป้ายนิเทศ
ตอนที่ ๒ วเิ คราะห์อปุ สรรคของการสอื่ สารและหาแนวทางแกไ้ ขได้อย่างสมเหตสุ มผล
๑. ครทู บทวนถงึ ผลสรปุ จากการเล่นเกมกระซบิ โดยใหน้ กั เรยี นชว่ ยกันตอบอีกคร้งั หนง่ึ
๒. ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้เรื่อง “สมาธิในการฟัง” แล้วสุ่มตัวอย่างนักเรียน ๑ – ๒ คนพูดสรุป
หน้าชน้ั เรยี น
๓. ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปความสาคัญของการฟังและลักษณะของผู้ฟังท่ีดีจากน้ันให้นักเรียน
เขยี นสรปุ ลงในกระดาษนาสง่ ครู
แนวสรปุ
ความสาคัญของการฟัง
๑. การฟังเป็นทักษะท่ีสาคัญท่ีสุดในการส่ือสาร เพราะเราใช้การฟังมากท่ีสุดในชีวิตประจาวันทั้งจาก
ผคู้ น จากวิทยุ และโทรทัศน์
๒. การฟังเป็นทักษะพื้นฐานของการพูด การอ่าน และการเขียน คนเราจะฟังได้ก่อนแล้วจึงพูด
เลยี นเสยี งท่ีฟงั จากน้ันก็ถา่ ยทอดการพดู ด้วยการเขียน สดุ ทา้ ยจึงเปน็ การอ่านขอ้ เขยี นน้นั
๓. การฟงั เปน็ วธิ เี พ่มิ พนู ความรู้ ยิ่งฟังมากก็ยงิ่ มคี วามร้มู าก
ลกั ษณะผฟู้ งั ท่ดี ี
๑. มีสมาธใิ นการฟัง
๒. มีความสามารถและวจิ ารณญาณในการจับใจความและวิเคราะห์สิง่ ที่ได้ฟัง
๓. มีทศั นคตทิ เี่ ป็นธรรมทั้งตอ่ เรอ่ื งทฟ่ี ังและตัวผู้พดู
๔. มคี วามสนใจและมีความรู้พืน้ ฐานในเรื่องท่จี ะฟงั
๕. มีมารยาทในการฟงั

๔. ครูทบทวนเรื่อง “องค์ประกอบของการสื่อสาร” พยายามชี้ให้นักเรียนเข้าใจและตระหนักว่า
ความลม้ เหลวในการสื่อสารน้ันเกิดจากความบกพรอ่ งขององค์ประกอบในการสอื่ สารนั่นเอง อันไดแ้ ก่

ความบกพร่องของผู้ส่งสารและผู้รับสาร มีสาเหตุมาจากการขาดพ้ืนความรู้และประสบการณ์ ขาด
ความสนใจและความรสู้ ึกทด่ี ีต่อประเด็นท่ีสื่อสาร

ความบกพร่องที่ตัวสาร มีสาเหตุจากตัวสารไม่เหมาะสมกับผู้รับสาร เช่น สลับซับซ้อนเกินไป ขัดต่อ
ระบบความเชอื่ และคา่ นยิ มของผ้รู บั สาร รวมทัง้ ตัวสารนัน้ อาจอยูห่ า่ งไกลประสบการณข์ องผรู้ ับสารเปน็ ตน้

ความบกพรอ่ งของภาษาที่ใช้ ตอ้ งเลือกให้เหมาะกบั ระดบั บุคคล โอกาส กาลเทศะ และสถานที่ การ
ใช้ภาษาทเ่ี ข้าใจไดย้ าก ใชภ้ าษาผดิ ระดับ หรอื ใช้สานวนภาษาท่ไี ม่ตรงตามเนือ้ หาย่อมก่อให้เกดิ อปุ สรรคได้

ความบกพรอ่ งของส่ือ เช่น มเี สียงรบกวน เสียงค่อย ผู้รับสารมปี ระสาทหูและตาบกพร่อง เป็นต้น

๕. ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ือง “อุปสรรคของการสื่อสารและวิธีแก้ไขอุปสรรคของการส่ือสาร” จาก
หนงั สอื เรียนแมค็ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๒

๖. ครูสนทนากับนักเรียนถึงข้อควรปฏิบัติของผู้ส่งสารและผู้รับสารเพ่ือขจัดอุปสรรคของการส่ือสาร
ครูและนักเรยี นช่วยกันสรปุ คณุ สมบัตสิ าคญั ของผู้ ส่งสารและเป็นผรู้ ับสารโดยเขียนสรุปเป็นขอ้ ๆ

แนวสรปุ
คณุ สมาตั สิ าคญั ของผ้สู ง่ สารและผรู้ าั สาร
ผสู้ ง่ สาร
การพูด ผู้พูดต้องพูดให้ผู้ฟังเข้าใจ ลาดับเหตุการณ์เป็นขั้นตอน ใช้คาพูดมีความหมายชัดเจน ไม่
คลุมเครือ ใช้วาจาสุภาพให้ผู้ฟังสบายใจ ไม่เกิดความราคาญหรือโกรธเคือง เพราะความโกรธและไม่สบายใจ
ของผ้ฟู งั เปน็ อปุ สรรคสาคญั อย่างหนง่ึ ของการพดู
การเขียน ผู้เขยี นต้องเขียนให้ชัดเจน อา่ นงา่ ย ใชถ้ ้อยคาให้ตรงตามความต้องการ ถา้ เปน็ เรือ่ งไมส่ บาย
ใจก็ควรหลกี เหล่ยี งการใช้ถอ้ ยคาทรี่ ุนแรง พยายามเลือกใชค้ าทส่ี ภุ าพ นุ่มนวล
ผรู้ บั สาร
การฟัง ผู้ฟังต้องตั้งใจฟัง จับใจความให้ได้ไม่ทาส่ิงอ่ืนใดท่ีเป็นการรบกวนผู้พูดขณะท่ีพูดและทาลาย
สมาธใิ นการฟัง ทาใจเปน็ กลาง ไม่ใชอ้ ารมณ์ตดั สนิ ผ้พู ูดและเร่ืองราว
การอ่าน ผู้อ่านต้องอ่านแบ่งวรรคตอนให้ถูกต้องและทาความเข้าใจความหมายเรื่องราวที่อ่าน เพราะ
ถ้าอา่ นผดิ อาจทาใหก้ ารสอื่ สารลม้ เหลวได้

๗. นกั เรยี นอธิบายความหมายของสานวนโวหารท่เี ก่ยี วข้องกับอุปสรรคการสอ่ื สาร ต่อไปนี้
๑. ปากคนยาวกว่าปากกา
๒. น้าขนุ่ ไวใ้ น น้าใสไว้นอก
๓. นา้ ทว่ มปาก
๔. นา้ ท่วมท่งุ ผักบุ้งโหรงเหรง
๕. กาแพงมหี ู ประตูมีชอ่ ง
๖. ตอ่ ความยาว สาวความยืด


Click to View FlipBook Version