๔. “ฉนั อยเู่ พอื่ ค้นหาสัจจะ กลางโมหะอาเกียรณเ์ บียฬประหาร
เพ่อื สอื่ แสงแจ้งสว่างพรา่ งตระการ กลางวญิ ญาณมดื มิดอวิชชา”
คาประพนั ธน์ ใ้ี ช้คาใดเปน็ สัญลักษณ์แทนสจั ธรรม
๑. ตระการ ๒. อาเกยี รณ์
๓. ประหาร ๔. สว่าง
๕. “กลางโมหะอาเกียรณเ์ บยี ฬประหาร” โมหะเป็นผลมาจากอะไร
๑. อวชิ ชา ๒. สจั จะ
๓. วญิ ญาณ ๔. อาเกียรณ์
อำ่ นคำประพนั ธ์ข้ำงล่ำงน้ี แลว้ ตอบคำถำมขอ้ ๖ - ๗
ไมข่ อรบั ทรัพยใ์ ดจากใครหมด ท้งั ศักดิย์ ศสดใสลาภไพศาล
ไม่หวงั ให้ใครหนุนบญุ บนั ดาล ชอบผลงานทุกอยา่ งสร้างดว้ ยตัว
๖. เน้อื หาในคาประพนั ธค์ วรจะตรงกบั คากลา่ วใด
๑. ไม่คบคนชัว่ เป็นมิตร
๒. ตนนัน่ แหละเปน็ ทพ่ี ่งึ แห่งตน
๓. ฝนทงั่ ให้เปน็ เข็ม
๔. จงตงั้ อยู่ในความไมป่ ระมาท
๗. กวีผู้แต่งน่าจะไม่ตอ้ งการสงิ่ ใด
๑. ความทระนง ๒. ความผยอง
๓. ความสงสาร ๔. ความจองหอง
๘. “โลกยี สุขสุขเหมือน สุขโลกอุดรหรอื ” ความหมายของคาประพันธ์ข้างต้นตรงกบั ขอ้ ใด
๑. ความสขุ ทางโลกคล้ายๆ กบั ความสขุ ทางธรรม
๒. โลกียสุขเสมอื นโลกอุดร
๓. ความสุขทางโลกไมย่ ั่งยนื เหมือนความสุขทางธรรม
๔. ความสุขของมนุษยก์ ็คอื โลกยี สขุ
๙. “กลับเข้าบา้ นเถดิ มอม ข้าไม่มีปัญญาจะเลี้ยงเอ็งได้เสียแลว้ ...ไป...ไอ้มอมเขา้ บา้ น” แทนคาตอบมอมมัน
กระดกิ หางแรงกวา่ เกา่ และวง่ิ รอบๆ ตวั นาย นายไล่มนั อยู่หลายครั้ง แตม่ อมมันกไ็ มฟ่ งั นายกลบั มาแล้ว
มอมจะไม่ใหน้ ายพ้นสายตาอกี ต่อไป
ข้อความนี้สรุปความได้วา่ อยา่ งไร
๑. มอมดีใจทน่ี ายกลบั มา
๒. มอมผซู้ ่อื สัตย์
๓. มอมไม่เขา้ ใจความหมายที่นายสัง่
๔. มอมจานายได้
๑๐. “ถ้าประพฤติความชั่วเสียแต่ในเวลามีพ่ออยู่แล้ว โดยจะปิดบังซ่อนเร้นอยู่ได้ด้วยอย่างหน่ึงอย่างใด เวลา
ไม่มพี อ่ ความช่ัวนน้ั คงจะปรากฏเป็นโทษติดตวั เหมอื นเงาตามหลังอยู่ไม่ขาด”
ขอ้ ความนี้เก่ยี วขอ้ งกับสานวนใดมากทส่ี ุด
๑. ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
๒. น้ามาปลากินมด น้าลดมดกินปลา
๓. น้าลดตอผุด
๔. น้านิง่ ไหลลึก
เฉลย
๑. ๓ ๒. ๔ ๓. ๑ ๔. ๔ ๕. ๑
๖. ๒ ๗. ๓ ๘. ๓ ๙. ๑ ๑๐. ๓
แบบทดสอบหลังเรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นประจาหน่วยการเรียนรู้ท่ี ๗
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๗ การอา่ นอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
เลือกคาตอบทถี่ ูกต้องทส่ี ดุ เพียงคาตอบเดยี ว
๑. ขอ้ ใดเปน็ จุดประสงค์ของผเู้ ขียนข้อความต่อไปน้ี
ทับทิมจัดเป็นอาหารบารุงผิวตามธรรมชาติเนื่องจากมีสารช่วยป้องกันผิวไม่ให้ไหม้เกรียมเพราะ
แสงแดด เชน่ เดียวกับแตงโมและผลไม้ตระกูลเบอร์รีสีเข้มหลายชนิด นอกจากนั้นยังช่วยฟนื้ ฟูผิวพรรณให้สวย
เต่งตึงอีกด้วย เน่ืองจากสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมมีส่วนช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายทนแดดได้ดีขึ้น ทาให้
ร่างกายได้รับวติ ามนิ ดีท่จี าเปน็ ในปรมิ าณทพ่ี อเพียง
๑. แนะนาให้บรโิ ภคทับทิมเป็นประจา
๒. อธบิ ายคณุ สมบัติและประโยชนข์ องทับทิม
๓. สง่ เสรมิ การผลิตทบั ทมิ เป็นอาหารบารุงผวิ
๔. สนบั สนุนใหป้ ลูกทับทิมเปน็ พืชเศรษฐกิจ
๒. ขอ้ ใดเปน็ จุดประสงคข์ องผู้เขียนข้อความต่อไปนี้
ลาเวนเดอร์เปน็ ดอกไม้ท่ีไม่ไดม้ เี พียงความสวยงามเท่านัน้ เพราะทกุ สว่ นของลาเวนเดอร์นาไปใชไ้ ด้ ใน
สมัยโบราณช่วงท่ีมีการเกิดโรคระบาด ชาวเปอร์เซีย กรีก โรมัน จะนาก่ิงลาเวนเดอร์มาเผาเพื่อป้องกันการ
ระบาดของโรคติดตอ่ ในประเทศฝรั่งเศสหญิงรบั จ้างซักผ้าจะใช้ดอกลาเวนเดอร์วางไวใ้ นตะกรา้ ผ้าและต้เู ส้อื ผ้า
เพอื่ ใหผ้ า้ มกี ลิ่นหอม ป้องกันแมลง
๑. ให้ข้อมลู เร่อื งดอกลาเวนเดอร์
๒. อธิบายประโยชนข์ องลาเวนเดอร์
๓. ชแ้ี จงวิธีการป้องกนั โรคของคนโบราณ
๔. แนะใหค้ นนาลาเวนเดอร์มาใชใ้ นชีวิตประจาวนั
๓. ข้อใดแสดงเจตนาในการสง่ สารของผเู้ ขียนต่างกบั ข้ออืน่
๑. องค์การอวกาศสหรฐั อเมรกิ าเชิญชวนนักเรียนอายไุ มเ่ กนิ ๑๘ ปี ทว่ั โลกตั้งช่อื ดาวเคราะหน์ อ้ ย เข้า
รว่ มประกวดในโครงการใหม่ขององค์การฯ
๒. ปจั จบุ ันมชี าวอเมรกิ ันเป็นโรคสมองเสอ่ื มเกือบ ๖ ลา้ นคน และคาดวา่ จะเพม่ิ ขึ้นถงึ ๑๑ – ๑๖
ลา้ นคนในพ.ศ. ๒๕๙๓ หากยังไมพ่ บวิธีรักษาหรือปอ้ งกันทีไ่ ด้ผล
๓. กเู กลิ ผลิตแท็บเลต็ “กเู กลิ เนกวสั ใหม่” ออกจาหน่ายทก่ี รงุ โตเกยี วเมือ่ ไมก่ ี่วันมานี้ และยนื ยันจะ
ผลติ ออกขายแข่งกนั กบั ไอแพดของแอปเปิลซึ่งกาลังขายดีทสี่ ดุ ในโลก
๔. หากรสู้ กึ เครียดเพราะการงานควรจะหาโอกาสฝึกโยคะช่วงพักกลางวันดูบ้างเพราะมี
การศกึ ษาทอ่ี งั กฤษพบวา่ การเลน่ โยคะในที่ทางานช่วยคลายเครยี ดและทุเลาอาการปวดหลังได้
๔. จากข้อความตอ่ ไปนขี้ ้อใดกลา่ วไม่ถูกต้อง
การค้นพบฟอสซิลของไพรเมตหรือสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมซึ่งมีสภาพท่ีสมบูรณ์ในคร้ังล่าสุด ทาให้
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการจับกลุ่มของฟอสซิลไพรเมตท่ีค้นพบก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้อง และไพรเมตพวกแอนโทร
โพอิดซึ่งถือว่าเปน็ บรรพบรุ ษุ ของมนษุ ย์ น่าจะมถี น่ิ กาเนิดทเ่ี กา่ แก่ทส่ี ดุ อยู่ในทวปี เอเชียมากกวา่ ทวปี แอฟริกา
๑. มนุษยจ์ ัดเปน็ ไพรเมตประเภทหนึ่ง
๒. เดิมเชือ่ วา่ บรรพบรุ ุษของมนุษย์อาศัยอยู่ในแอฟริกา
๓. มคี วามเช่อื ใหมว่ า่ เคยจัดกล่มุ จดั กลมุ่ ฟอสซิลไพรเมตผดิ ไป
๔. นักวิทยาศาสตร์ใชส้ ตั วเ์ ล้ียงลกู ด้วยนมเปน็ หลกั ฐานพิสูจนฟ์ อสซลิ
๕. ขอ้ ความต่อไปนี้แสดงเจตนาตามข้อใด
ทกุ คนมีศักด์ิศรีแห่งความเป็นคนของเขาอยู่ เป็นคนไม่ควรดูหมิ่นคน ไม่ว่าจะด้วยกรณีใด ๆ ก็แล้วแต่
เพราะคนที่เราวา่ แยท่ ่ีสุด อย่างน้อยเขาก็ยังคงเป็นคนเช่นเดียวกันกับเรานัน่ เอง ศกั ดศ์ิ รีของเรา ศกั ดศ์ิ รขี องเขา
เสมอกันตรงทต่ี ่างกเ็ ป็น “คน” เหมือน ๆ กนั
๑. ตาหนิ ๒. เตอื น ๓. อธบิ าย ๔. บอกกลา่ ว
๖. ขอ้ ใดมเี จตนาตา่ งจากขอ้ อื่น
๑. ตวั เลขผปู้ ว่ ยเบาหวานทงั้ ประเทศคือ ๔.๕ ล้านคน
๒. ผปู้ ่วยเบาหวานน่าจะได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละ ๑ ครงั้
๓. สาเหตอุ ันดับหนงึ่ ที่ทาใหค้ นตาบอดคือเบาหวานเข้าจอประสาทตา
๔. กรมการแพทยจ์ ดั ตั้งหนว่ ยคดั กรองเบาหวานเขา้ จอประสาทตาใหป้ ระชาชนในอาเภอต่าง ๆ
๗. ตามสาระของข้อความต่อไปนี้ ขอ้ ใดกลา่ วผดิ
การเรียบเรียงลาดบั ข้อความผิดทใ่ี นประโยคเป็นอีกเรือ่ งหน่ึงท่ีทาให้อ่านยากและกากวม จะเหน็ กัน
อยู่เสมอถา้ ผเู้ ขียนหรือผพู้ ิสจู นอ์ กั ษรอ่านทบทวนและจัดลาดบั เสยี ใหม่ก่อนปล่อยผ่านออกไปกจ็ ะช่วยใหก้ าร
อา่ นราบรืน่ ไม่สะดุด
๑. ความกากวมของขอ้ ความเกดิ จากการเรยี งลาดับความผิดตาแหนง่
๒. ผ้เู ขยี นสามารถขจัดความกากวมของข้อเขยี นได้ด้วยตนเอง
๓. การตรวจทานเปน็ วิธหี นง่ึ ท่ชี ่วยให้มกี ารเรียงลาดับความได้
๔. ความบกพรอ่ งด้านการเรยี งลาดับข้อความเกิดขน้ึ เป็นประจาจนแก้ไขไม่ได้
๘. ข้อใดเปน็ ประโยคใจความสาคัญของข้อความต่อไปนี้
(๑) ภาวะโภชนาการเป็นเรื่องจาเป็นอย่างมากในวัย ๕๐ ปี (๒) เพราะการได้รับสารอาหารที่เป็น
ประโยชน์ต่างๆ อย่างครบถว้ นสมดุล (๓) โดยเฉพาะวิตามนิ และเกลอื แร่จะมีส่วนช่วยใหร้ ่างกาย มภี ูมิตา้ นทาน
ไมต่ ิดเช้ือและเจบ็ ปว่ ยได้งา่ ย (๔) ร่างกายจะสามารถต้านโรคภัยตา่ ง ๆ รวมถึงปอ้ งกันและชะลอความเส่ือมของ
รา่ งกายและจิตใจได้
๑. ขอ้ (๑) ๒. ข้อ (๒)
๓. ข้อ (๓) ๔. ขอ้ (๔)
๙. ข้อความต่อไปน้ีมสี าระสาคญั เก่ียวกับเรื่องใด
ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวกับทุกท่านว่า การทานุบารุงประเทศชาติน้ันมิใช่เป็นหน้าที่ของผู้หน่ึงผู้ใด
โดยเฉพาะ หากเป็นภาระความรับผิดชอบของคนไทยทุกคนท่ีจะต้องขวนขวายกระทาหน้าท่ีของตนให้ดีท่ีสุด
เพือ่ ธารงรักษาชาตบิ า้ นเมอื งให้เจรญิ มั่นคงและผาสุกร่มเยน็
๑. ความรับผิดชอบของผู้นา ๒. ความสามัคคขี องคนในสังคม
๓. ความเจรญิ มัน่ คงของประเทศ ๔. ความสานึกร้หู นา้ ทข่ี องคนไทย
๑๐. ข้อความตอ่ ไปนผี้ เู้ ขียนมีจดุ ม่งุ หมายอย่างไร
วยั รุน่ จะรกั เพ่ือนมาก เพราะมองเหน็ วา่ เพ่อื นมปี ญั หาคล้ายตนเอง จงึ มักเห็นอกเห็นใจกันและมกั คิด
ว่าผู้ใหญไ่ ม่เข้าใจ จึงได้พยายามเกาะกลุม่ กันเอง พุดคุยกันเอง ปรกึ ษากนั เอง พ่อแม่หลายคนไม่เขา้ ใจ ไป
ตาหนิว่าเห็นเพ่อื นดีกวา่ พ่อแม่ จึงทาใหน้ ้อยใจและโต้ตอบกลับมา เกดิ เปน็ ความขัดแย้งในครอบครัว
๑. ให้ผใู้ หญเ่ ข้าใจวยั รุน่ ๒. แสดงความเหน็ ใจวัยรนุ่
๓. แสดงพฤติกรรมของวยั รุ่นในแง่ลบ ๔. แกป้ ญั หาการคบเพ่ือนของวยั รุ่น
เฉลย ๒. ๒ ๓. ๔ ๔. ๔ ๕. ๓
๑. ๒ ๗. ๔ ๘. ๑ ๙. ๓ ๑๐. ๑
๖. ๒
การประเมนิ และสะท้อนตนเองหลงั เสรจ็ สนิ้ การเรยี นในหน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๗
(Self Reflection)
๑. การประเมนิ ตนเองของผู้เรยี น ใหด้ าเนินการดงั นี้
๑.๑ ผ้สู อนทบทวนผลการเรียนรู้ประจาหนว่ ยทุกข้อให้ผเู้ รียนได้ทราบ โดยอาจเขียนไว้บนกระดาน
พร้อมท้ังทบทวนถงึ หวั ข้อกจิ กรรมการเรียนวา่ ไดเ้ รยี นอะไรบ้าง
๑.๒ ให้ผเู้ รียนเขยี นบันทึกการประเมนิ ตนเองไว้ในสมดุ งานด้านหลังตามหวั ข้อ ดงั น้ี
บันทกึ การประเมนิ และสะท้อนตนเองประจาหน่วยการเรียนรู้ท.ี่ .............
วัน/เดือน/ปี ท่ีบันทึก ................./................../...................
รายการบนั ทึก
๑. จากการเรยี นทผ่ี า่ นมาไดม้ ีความรอู้ ะไรบ้าง
............................................................................................................................. ..........................................
....................................................................................... ................................................................................
๒. ปจั จบุ ันนีม้ ีความสามารถปฏบิ ัติสงิ่ ใดไดแ้ ลว้ บ้าง
........................................................................................................................... ............................................
............................................................................................................................. ..........................................
๓. สิ่งทย่ี งั ไมร่ ู้ ไม่กระจ่าง ไม่เข้าใจ มีอะไรบ้าง
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
๔. ผลงานหรือชิ้นงานทเ่ี นน้ ความภาคภมู ิใจจากการเรยี นในหน่วยน้คี ืออะไร ทาไมจึงภาคภูมิใจ
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
๒. การพัฒนาการเรยี นการสอนโดยใช้กระบวนการวจิ ัยในช้ันเรียนของผูส้ อน
ชอื่ เร่ืองทวี่ ิจัย......................................................................................................
๒.๑ ความเปน็ มาของปัญหา
สงิ่ ที่คาดหวงั
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
สง่ิ ที่เปน็ จรงิ
........................................................................................................................................ ...............................
.......................................................................................................................................................................
ปัญหาท่ีพบคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
สาเหตุของปัญหาคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
แนวทางการแก้ไขปญั หาคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒.๒ วัตถุประสงคใ์ นการแกป้ ญั หา
๑. เพอ่ื แกป้ ญั หาเรอื่ ง...............................................................................................
ของผเู้ รยี นช้นั ............................... ห้อง................ จำนวน.................คน โดยใช้............................
................................................................................................................................... ....................................
.......................................................................................................................................................................
๒. เพอื่ ศกึ ษาผลการแก้ไขปญั หาเกย่ี วกับ................................................................................. .....
หลังจากทไี่ ดท้ ดลองใชว้ ิธแี ก้ปัญหาโดย......................................................................................... .
......................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
๒.๓ ขอบเขตของการแกป้ ญั หา
๑. กลุ่มเปา้ หมายในการแก้ปญั หาคอื ผู้เรียนชน้ั ................................ หอ้ ง.......................................
จานวน......................คน ในภาคเรยี นที.่ ................ ปกี ารศกึ ษา................... ท่มี ีปญั หาเกีย่ วกับ.......................
๒. เนอ้ื หาทีใ่ ช้ในการศึกษาคือ เรอ่ื ง........................................................... หนว่ ยการเรยี นร้.ู .............
วชิ า.................................................................................................
๓. ระยะเวลาในการศกึ ษา ประมาณ....... สปั ดาห/์ เดือน ตง้ั แต่วันท่ี ......... เดือน............. พ.ศ. .......
ถึงวันท่ี ............. เดอื น ................................ พ.ศ. ...................
๒.๔ วธิ ีดาเนนิ การในการแก้ไขปัญหา
๑. เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการแกป้ ญั หาคอื
................................................................................................ .......................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
ซ่ึงมขี ัน้ ตอนในกำรสร้ำงและพัฒนำดงั น้ี
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
๒. เครื่องมือทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลคือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
ซ่งึ มีข้นั ตอนในการสร้างและตรวจสอบคุณภาพดังน้ี
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๓. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ไดด้ าเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตามวธิ กี ารดงั นี้
๑. นาเครื่องมือท่ีใชใ้ นการแกป้ ัญหาไปทดลองใช้กับผู้เรียนในเวลา ...............................................
โดย.................................................................................................................... ..........
.....................................................................................................................................................
๒. นาเคร่อื งมอื เก็บรวบรวมข้อมลู ไปเก็บข้อมูลเกย่ี วกับ................................................................
โดย................................................................................................................. ..........................
.....................................................................................................................................................
๔. การวเิ คราะห์ข้อมูลและการสรปุ ผล ได้ดาเนนิ การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสรปุ ผลดังน้ี
.................................................................................................................... ...................................................
............................................................................................................................. ..........................................
๒.๕ ผลการแก้ปัญหา
ผลการแก้ปัญหาเก่ียวกับ ............................................................................................................
ของผเู้ รียนกลุ่มเปา้ หมาย ปรากฏผลดงั น้ี
.......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
เคร่ืองมอื วัดผล
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียน
เลขที่ ชื่อ-สกุล ความ ความ ความ ความ ระเบียบ คะแนน
สนใจ ตง้ั ใจ ร่วมมอื รบั ผดิ ชอบ วินัย รวม
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ดมี าก ให้คะแนน ๔
ดี ใหค้ ะแนน ๓
พอใช้ ใหค้ ะแนน ๒
ควรปรับปรุง ใหค้ ะแนน ๑
เกณฑ์การประเมิน
นกั เรยี นได้คะแนนรวม ๑๖ - ๒๐ อยูใ่ นเกณฑ์ดมี าก
นกั เรยี นได้คะแนนรวม ๑๑ - ๑๕ อยใู่ นเกณฑ์ดี
นกั เรยี นได้คะแนนรวม ๖ - ๑๐ อยู่ในเกณฑ์พอใช้
นักเรียนได้คะแนนรวม ๑ - ๕ อยใู่ นเกณฑค์ วรปรบั ปรุง
ลงช่อื .................................................................................................(ผปู้ ระเมิน)
แบบประเมนิ การปฏิบตั กิ ิจกรรมกลมุ่
กลุม่ ที่..............
ขอ้ ที่ รายการประเมิน ดมี าก ดี พอใช้ ควร
(๔) (๓) (๒) ปรับปรุง
(๑)
๑ ความรว่ มมือและการจดั การภายในกลุ่ม
๒ ความสามารถปฏบิ ัติกิจกรรมท่ไี ดร้ บั มอบหมายอยา่ งถกู ต้อง
๓ การรกั ษาระเบยี บวินยั ในการปฏบิ ัติกจิ กรรม
๔ ความเรียบร้อยในการปฏิบตั ิงาน
๕ ความสนใจและความกระตือรือรน้ ของสมาชิกในกลมุ่
ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม............................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
สรปุ ผลการประเมนิ .............................................................................................................................
นกั เรียนได้คะแนนรวม ๒๑ - ๒๕ แสดงวา่ ผลงานนักเรียนอยใู่ นเกณฑ์ ดีมาก
นกั เรยี นได้คะแนนรวม ๑๖ - ๒๐ แสดงว่าผลงานนักเรียนอย่ใู นเกณฑ์ ดี
นกั เรยี นได้คะแนนรวม ๖ - ๑๐ แสดงว่าผลงานนักเรยี นอยใู่ นเกณฑ์ พอใช้
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๐ - ๕ แสดงว่าผลงานนักเรียนอยูใ่ นเกณฑ์ ควรปรบั ปรุง
ลงชอื่ .................................................................................................(ผู้ประเมนิ )
แบบประเมนิ ผลการปฏิบัติกิจกรรม
คาชแี้ จง เขยี นเติมคะแนนและระดบั คณุ ภาพตามความเป็นจริง
กจิ กรรม คะแนน ได้ระดบั คุณภาพ
เตม็ ได้ .........................................
กจิ กรรม ๑ ขอ้ ๑ ๑๐ .........................................
ข้อ ๒ ๕ .........................................
.........................................
ขอ้ ๓ ๕
ตนเอง
ขอ้ ๔ ๔
ขอ้ ๕ ๑๐
รวมคะแนน ๓๔
กิจกรรม ๒ ขอ้ ๑ ๑๐
ขอ้ ๒ ๓
ขอ้ ๓ ๑๐
ข้อ ๔ ๑๒
รวมคะแนน ๓๕
กจิ กรรม ๓ ขอ้ ๑ ๑๐
ข้อ ๒ ๑๐
ข้อ ๓ ๑๐
ข้อ ๔ ๘
รวมคะแนน ๓๘
กิจกรรม ๔ ขอ้ ๑ ๕
ข้อ ๒ ๑๐
รวมคะแนน ๑๕
ผปู้ ระเมิน ครู เพ่ือน
เกณฑก์ ารประเมิน คาตอบถูกต้อง ชดั เจน มเี หตุมผี ล
เกณฑ์การจัดอนั ดับคณุ ภาพ
คะแนนรวมในแต่ละกจิ กรรมไดร้ ้อยละ ๘๐ ขนึ้ ไป ให้ ๓ (ด)ี
คะแนนรวมในแตล่ ะกิจกรรมไดร้ ้อยละ ๕๐-๗๙ ให้ ๒ (พอใช้)
คะแนนรวมในแต่ละกจิ กรรมได้ร้อยละ ๕๐ ให้ ๑ (ควรปรบั ปรงุ )
เกณฑค์ ุณภาพการผ่าน
ได้ระดบั “พอใช้” ข้นึ ไป
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ ๘ คุณคา่ งานประพนั ธ์ เวลา ๔ ชวั่ โมง
;k,
รายวิชาภาษาไทย
๑. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ดั
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า
และนามาประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตจริง
ตัวชวี้ ดั ท่ี ๑ วเิ คราะห์และวจิ ารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการวจิ ารณเ์ บือ้ งตน้
ตวั ชี้วัดที่ ๒ วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเช่ือมโยงกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต
ของสังคมในอดตี
ตวั ชีว้ ัดท่ี ๓ วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะท่ี
เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
ตัวชว้ี ัดท่ี ๔ สังเคราะหข์ ้อคิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพ่ือนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตจริง
ตวั ชี้วดั ท่ี ๕ รวบรวมวรรณกรรมพื้นบา้ นและอธบิ ายภมู ปิ ัญญาทางภาษา
ตัวชี้วดั ที่ ๖ ทอ่ งจาและบอกคุณคา่ บทอาขยานตามท่ีกาหนดและบทร้อยกรองที่มีคณุ ค่าตามความ
สนใจ และนาไปใชอ้ า้ งอิง
๒. ทกั ษะที่จาเปน็ แหง่ ศตวรรษที่ ๒๑
๒.๑ ทักษะพน้ื ฐานการเรยี นรู้
- การอา่ น
- การเขยี น
๒.๒ ทักษะการเรียนรูแ้ ละนวัตกรรม
- การคดิ เชิงวิพากษแ์ ละการแกป้ ัญหา
- การสังเกต การคิดวิเคราะห์ และการสงั เคราะห์
- การจดั การความรู้
- การสือ่ สาร
- การทางานร่วมกนั เปน็ ทมี
๒.๓ ทกั ษะการรดู้ จิ ิตอล
- การใชข้ อ้ มูลสารสนเทศ
- การใชส้ ่อื
- การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
๒.๔ ทักษะชวี ติ และการทางาน
- การยืดหยนุ่ และความสามารถในการปรบั ตัว
- ทกั ษะทางสังคมและวุฒิภาวะ
- ความรับผิดชอบตอ่ ตนเองและสงั คม
- เชื่อม่ันในตนเอง
- ความเปน็ ผนู้ า
๓. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
๓.๑ มวี ินัย
๓.๒ ใฝ่เรียนรู้
๓.๓ มุง่ ม่นั ในการทางาน
๓.๔ รักการเปน็ ไทย
๔. สาระการเรียนรู้
๔.๑ ความหมายของงานประพันธ์
๔.๒ ความหมายของวรรณคดแี ละวรรณกรรม
๔.๓ องคป์ ระกอบของงานประพนั ธ์
๔.๔ การพจิ ารณางานประพันธ์
๔.๕ การวิจารณ์วรรณกรรม
การออกแบบการจัดการเรยี นรูแ้ บบยอ้ นกลับ (Backward Design)
สาระสาคัญ การวดั และประเมินผล
๑. ความหมายของงานประพันธ์ ๑. การทาแบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
๒. ความหมายของวรรณคดแี ละวรรณกรรม ๒. กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ
๓. องค์ประกอบของงานประพันธ์ ๓. การทากจิ กรรมเสนอแนะ
๔. การพจิ ารณางานประพันธ์ ๔. การทากิจกรรมในใบความรูแ้ ละใบงาน
๕. การวจิ ารณ์วรรณกรรม ๕. แบบประเมินพฤตกิ รรมการเรียน
๖. แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม
๗. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
กิจกรรมการเรยี นรู้ คาถามสาคัญ
๑. ศึกษาเร่ือง ความหมายของงานประพันธ์ ความหมายของ ๑. งานประพันธ์คืออะไร
วรรณคดีและวรรณกรรม องค์ประกอบของงานประพันธ์ การ ๒. วรรณคดีและวรรณกรรมต่างกันอย่างไร
พิจารณางานประพันธ์ และการวิจารณ์วรรณกรรม จากหนังสือ ๓. องค์ประกอบของงานประพันธ์มอี ะไรบ้าง
เรยี นแมค็ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๘ ๔. การพจิ ารณางานประพันธ์มหี ลกั อยา่ งไรบา้ ง
๒. ทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ กจิ กรรม ๑ – ๒ ๕. การวิจารณว์ รรณกรรมมขี ั้นตอนอยา่ งไร
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๘ คุณคา่ งานประพนั ธ์
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๘ คณุ คา่ งานประพันธ์
เวลา ๔ ชวั่ โมง
๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้วี ัด
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า
และนามาประยุกตใ์ ช้ในชีวิตจริง
ตัวชว้ี ดั ที่ ๑ วเิ คราะห์และวจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณเ์ บ้อื งต้น
ตัวช้วี ดั ที่ ๒ วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเช่ือมโยงกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต
ของสังคมในอดตี
ตัวชีว้ ดั ท่ี ๓ วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะท่ี
เปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
ตัวชี้วัดท่ี ๔ สังเคราะหข์ ้อคดิ จากวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพื่อนาไปประยุกตใ์ ช้ในชีวติ จรงิ
ตัวชวี้ ัดที่ ๕ รวบรวมวรรณกรรมพื้นบ้านและอธิบายภูมิปัญญาทางภาษา
ตวั ชวี้ ัดท่ี ๖ ทอ่ งจาและบอกคุณคา่ บทอาขยานตามที่กาหนดและบทรอ้ ยกรองที่มีคณุ คา่ ตามความ
สนใจ และนาไปใชอ้ า้ งองิ
๒. สาระสาคญั
๒.๑ ความหมายของงานประพันธ์
๒.๒ ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม
๒.๓ องค์ประกอบของงานประพนั ธ์
๒.๔ การพิจารณางานประพนั ธ์
๒.๕ การวจิ ารณ์วรรณกรรม
๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
๓.๑ เขา้ ใจความหมายของงานประพนั ธ์
๓.๒ สามารถแยกแยะงานประพนั ธท์ ี่เปน็ วรรณกรรมและวรรณคดีได้อย่างถูกต้อง
๓.๓ สามารถพจิ ารณางานประพนั ธไ์ ดถ้ กู ต้องและมเี หตผุ ล
๓.๔ สามารถวจิ ารณ์วรรณกรรมได้ถูกต้องตามหลักการวจิ ารณว์ รรณกรรม
๔. สาระการเรยี นรู้
๔.๑ ความหมายของงานประพันธ์
๔.๒ ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม
๔.๓ องค์ประกอบของงานประพันธ์
๔.๔ การพจิ ารณางานประพันธ์
๔.๕ การวิจารณว์ รรณกรรม
๕. ชนิ้ งาน/ ภาระงาน
๕.๑ กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
๕.๒ ภาระงาน “วจิ ารณ์วรรณกรรมแนวอิงประวตั ศิ าสตร์”
๕.๓ ภาระงาน “รวบรวมเว็บไซตท์ ่ีใหค้ วามรู้เกย่ี วกับคณุ ค่าของงานประพนั ธ์”
๕.๔ แบบทดสอบ
๕.๕ กิจกรรมเสนอแนะ
๖. คาถามสาคัญ
๖.๑ งานประพันธ์คอื อะไร
๖.๒ วรรณคดแี ละวรรณกรรมต่างกันอย่างไร
๖.๓ องคป์ ระกอบของงานประพันธ์มีอะไรบา้ ง
๖.๔ การพจิ ารณางานประพนั ธม์ หี ลกั อยา่ งไรบ้าง
๖.๕ การวิจารณ์วรรณกรรมมีขนั้ ตอนอยา่ งไร
๗. กิจกรรมการเรยี นการสอนเพือ่ การเรยี นรู้
๗.๑ ขนั้ นา
ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกยี่ วกับวรรณคดเี รอื่ งตา่ งๆ พรอ้ มทั้งยกตวั อย่างวรรณกรรมและวรรณคดีเร่อื ง
ตา่ งๆ
๗.๒ ข้ันสอน
ตอนท่ี ๑ ความหมายของงานประพนั ธ์
๑. ครูให้นักเรียนบอกความหมายของ “งานประพันธ์” ตามความเข้าใจของนักเรียน อาจถามรายคน
หรอื สุม่ เลขทถ่ี าม
๒. ให้นกั เรยี นศกึ ษาเร่ือง “ความหมายของงานประพนั ธ์” จากหนงั สือเรียนแม็ค หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๘
๓. ให้นักเรียนค้นควา้ หางานประพนั ธต์ ามประเภทตา่ งๆ ตามท่ีได้ศึกษาในหัวข้อข้างตน้
ตอนที่ ๒ ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม
๑. ครูยกตัวอย่างงานประพันธ์ และให้นักเรียนแยกแยะว่า งานประพันธ์ใดเป็นวรรณกรรม และงาน
ประพนั ธ์ใดเป็นวรรณคดี
ตัวอยา่ งงานประพนั ธ์
๑. มอม ๒. ลิลิตพระลอ ๓. หัวใจนกั รบ
๔. กำพยเ์ หช่ มเครอ่ื งคำวหวำน ๕. สุภำษิตพระร่วง ๖. เมอ่ื คุณตำคณุ ยำยยังเดก็
๗. ผชู้ นะสิบทิศ ๘. รำมเกยี รต์ิ ๙. บทเสภำขนุ ช้ำงขุนแผน
๑๐. ระเด่นลนั ได ๑๑. อยกู่ บั ก๋ง ๑๒. เรำหลงลืมอะไรบำงอยำ่ ง
๒. ให้นักเรียนศึกษาเรื่อง ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการ
เรยี นรู้ท่ี ๘
๓. ให้นักเรยี นอภปิ รายผลว่า วรรณกรรมและวรรณคดนี ัน้ แตกตา่ งกนั อย่างไร ครูสรุปผลตอนทา้ ย
ตอนท่ี ๓ องคป์ ระกอบและการพิจารณางานประพนั ธ์
๑. แบง่ กล่มุ นกั เรียนตามความเหมาะสม แล้วให้นกั เรยี นหาเรอ่ื งส้นั ท่สี นใจมากลุม่ ละ ๑ เร่อื ง
๒. ศึกษาองคป์ ระกอบและการพจิ ารณางานประพนั ธ์ จากหนงั สอื เรียนแม็ค หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ๘
๓. ให้นกั เรยี นวเิ คราะห์องค์ประกอบของเร่อื งส้นั ทีเ่ ตรยี มมา ตามทีไ่ ดศ้ กึ ษา
๔. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมารายงานหน้าช้ันเรียน เกี่ยวกับองค์ประกอบและการพิจารณา
เรือ่ งสั้นท่ีไดว้ เิ คราะห์
๕. ครใู ห้ขอ้ เสนอแนะ หรือเพิ่มเตมิ ความร้เู พอื่ เปน็ ประโยชนแ์ กน่ กั เรยี น
ตอนท่ี ๔ การวิจารณ์วรรณกรรม
๑. ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องสั้น “มรดกแม่” จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๘ แล้วตอบ
คาถามตอ่ ไปน้ี
๑.๑ ถ้านักเรียนเป็นสุดใจ นักเรียนจะตัดสินใจออกจากบ้านเพ่ือไปทาตามความฝันของตนเอง
หรือไม่ ใหเ้ หตผุ ลประกอบ
๑.๒ นักเรยี นคิดว่าสาเหตุหลกั ทีส่ ดุ ใจยอมทงิ้ แม่เพือ่ ไปทางานท่กี รุงเทพคืออะไร
๑.๓ มรดกของแมใ่ นเรอ่ื งน้หี มายถึงอะไร เพราะเหตใุ ดนักเรียนจึงคดิ เชน่ นัน้
๒. ครูอาจให้นักเรียนแต่งเรื่องสั้น กลุ่มละ ๑ เร่ือง แล้วสลับกันแต่ละกลุ่มให้วิจารณ์ โดยทาตาม
ขน้ั ตอนท่ไี ด้ศกึ ษามา และอาจเลือกเรอื่ งส้นั ที่ดที ่ีสุดมาประกาศผลหนา้ ชั้นเรยี น
๗.๓ ข้นั สรปุ
๑. ผเู้ รียนและผู้สอนร่วมกนั สรุปตามประเดน็ ดงั น้ี
๑. ความหมายของงานประพนั ธ์
๒. ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม
๓. องค์ประกอบและการพิจารณางานประพันธ์
๔. การวิจารณว์ รรณกรรม
๒. นักเรยี นทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจทุกกจิ กรรม
๓. ครูแจง้ ผลการปฏบิ ตั ิงานของนักเรยี นทุกข้อ และให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
๘. สือ่ การเรียนร้/ู แหล่งเรยี นรู้
๘.๑ ส่ือการเรียนรู้
๑. หนังสอื เรียนแม็ค สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๔ ภาคเรียนท่ี ๑
๒. ตวั อยา่ งวรรณกรรม “มรดกแม่”
๓. ใบความรู้ “ความแตกตา่ งของวรรณกรรมและวรรณคดี”
๔. ใบความรู้ “การวเิ คราะห์คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์ในวรรณกรรม”
๘.๒ แหล่งการเรยี นรู้
๑. ห้องสมดุ โรงเรียน
๒. ห้องสมดุ ภาษาไทย
๓. หอ้ งสมดุ ประชาชน
๔. หอสมดุ แห่งชาติ
๕. www.obec.go.th/news/
๙. การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้
๙.๑ การทากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กจิ กรรม ๑ – ๒
๙.๒ ผลงานจากภาระงาน “วิจารณ์วรรณกรรมแนวอิงประวัตศิ าสตร์”
๙.๓ ผลงานจากภาระงาน “รวบรวมเว็บไซตท์ ี่ให้ความรู้เก่ยี วกับคุณค่างานประพันธ์”
๙.๔ การทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น
๙.๕ การตอบคาถามกจิ กรรมเสนอแนะ
๑๐. าันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้
๑๐.๑ ความสาเรจ็ ในการจัดการเรียนรู้
ด้านผูเ้ รยี น................................................................................... ......................................
..............................................................................................................................................
ดา้ นวธิ สี อนการวดั ผล.......................................................................................................... ..
................................................................................................................................................
ดา้ นสอ่ื การเรยี นรู.้ ......................................................................................................... ..........
................................................................................................................................................
๑๐.๒ ปญั หา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู.้ .................................................................................... ....
.........................................................................................................................................................
๑๐.๓ สิ่งท่ีไม่ได้ปฏิบัติตามแผน…..…………………………………………………….………………………………………
.........................................................................................................................................................
เหตุผล……..……………………………………………………………………………………………………………………………
........................................................................................................................................................
๑๐.๔ แนวทางการปรบั ปรงุ ครั้งต่อไป ..............................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
ลงช่อื ................................................................... ผสู้ อน
๑๑. แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤติกรรมนักเรียน
เกณฑค์ ุณภาพการสังเกตพฤตกิ รรมนักเรยี นดา้ น.........................................
ระดัาคุณภาพ
ท่ี รายการประเมนิ
๑๒๓
๑ การทางานร่วมกนั ยอมรับมติการทางาน ยอมรบั มติของกลมุ่ - ยอมรบั มติของกลมุ่
ของกลุ่ม แต่ปฏิบัติ
ตามน้อยครัง้ - รับผดิ ชอบงานที่รบั
มอบหมายจากกลุ่ม
๒ ความกระตือรือรน้ ชว่ ยเหลืองานภายใน - ช่วยเหลืองานในกลุม่ - ช่วยเหลอื งานภายใน
กลุม่ เม่ือมกี ารร้องขอ - ร่ ว ม แ ส ด ง ค ว า ม กลมุ่
คิดเห็น - ร่วมแสดงความคดิ เห็น
- ใฝ่รู้ใฝ่เรียน
- ศึกษาคน้ คว้า
๓ การตอบคาถาม มีสว่ นร่วมในการตอบ มสี ่วนรว่ มในการตอบ ให้ความรว่ มมือในการ
คาถามน้อยมาก คาถามบางครัง้ ตอบคาถามเปน็ อย่างดี
๔ ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ ร่วมกิจกรรมตามที่ รับฟังแต่แสดงความ รว่ มรบั ฟังและแสดง
กลุม่ ขอร้อง คดิ เห็นท่ีคล้อยตาม ความคดิ เหน็ ท่ีแตกต่าง
เพอื่ นๆ แตม่ ีประโยชน์
แาาการประเมินการสังเกตพฤตกิ รรมนกั เรียนดา้ นการทางานเปน็ กลุ่ม
รายการประเมิน สรุปผล
ที่ ช่อื -สกลุ การทางาน ความ การตอา ความคิดรเิ ร่มิ รวม
ร่วมกัน กระตอื รอื ร้น คาถาม สร้างสรรค์ (๑๒) ผา่ น ไมผ่ า่ น
(๓) (๓) (๓) (๓)
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
เกณฑ์การประเมนิ
๙ - ๑๒ คะแนน ระดบั ๓ = ดี
๕ - ๘ คะแนน ระดับ ๒ = พอใช้
ต่ากวา่ ๕ คะแนน ระดับ ๑ = ควรปรบั ปรุง
สรปุ ผลการประเมนิ
ดี พอใช้ ปรับปรุง
เกณฑ์การตัดสินใจ
ผา่ น ไม่ผ่าน
หมายเหตุ : เกณฑเ์ ปน็ ไปตามทีโ่ รงเรียนกาหนด
ลงชอื่ ............................................................................ผ้ปู ระเมิน
(.............................................................................)
๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ
๑๒.๑ กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านเชิงวิเคราะห์ ประกอบด้วยข้ันตอน ดงั นี้
ขน้ั รวบรวมข้อมูล
นักเรยี นรวบรวมวรรณกรรมและวรรณคดี
ขั้นวเิ คราะห์
นักเรียนแยกประเภทของวรรณกรรมให้ถูกต้อง ตามประเภทท่ีได้ศึกษาในเร่ืองความหมายของ
วรรณกรรมและวรรณคดี พร้อมทั้งพิจารณาองค์ประกอบของงานประพันธ์ในเร่ืองต่างๆ ตามข้อมูลทีได้ศึกษา
มา
ขั้นสรุป
นกั เรียนสรปุ สาระสาคญั ของวรรณกรรม วรรณคดี อาจเขียนเปน็ เรื่องย่อ ตามความเขา้ ใจของนักเรยี น
กไ็ ด้
ขน้ั ประยกุ ตใ์ ช้
๑. นกั เรียนนาสาระสาคัญของเรอ่ื งที่อ่าน ประโยชน์ท่ไี ดร้ ับ คุณค่าดา้ นภาษา คุณคา่ ด้านสงั คม และ
คุณคา่ ด้านการนาไปใช้ในชวี ติ ไปจดั แสดงที่ปา้ ยนิเทศหนา้ ชัน้ เรียน
๒. นักเรยี นนาสาระสาคัญของเรอ่ื งที่อ่าน ประโยชนท์ ่ไี ด้รับ คุณคา่ ด้านภาษา คณุ ค่าด้านสงั คม และ
คุณค่าด้านการนาไปใช้ในชีวิต ไปประยุกต์ใช้โดยแต่งเรื่องข้ึนใหม่ให้มีสาระสาคัญที่เป็นประโยชน์ต่อ การ
นาไปใช้ในชีวติ คนละ ๑ เรอื่ ง แลว้ นาเสนอหนา้ ชน้ั เรยี นเพือ่ แลกเปลีย่ นประสบการณ์
๑๒.๒ กิจกรรมบรู ณาการ
กิจกรรมที่ ๑
ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
สาระที่ ๔ : ประวัติศาสตร์ โดยให้นักเรียนเขียนวิจารณ์วรรณกรรมแนวอิงประวัติศาสตร์ และวิเคราะห์
ข้อมูลทางประวตั ศิ าสตร์ทปี่ รากฏในเร่ือง
ภาระงาน “วิจารณว์ รรณกรรมแนวอิงประวตั ิศาสตร์”
การบรู ณาการ มฐ. ท ๕.๑ และ มฐ. ส ๔.๑
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ มีความรใู้ นการวจิ ารณ์วรรณกรรม และสามารถนาความรนู้ ั้นวจิ ารณ์
วรรณกรรมแนวอิงประวัตศิ าสตร์ได้
ผลงานทต่ี อ้ งการ การเขียนวจิ ารณว์ รรณกรรมอิงประวตั ิศาสตร์
ข้ันตอนการทางาน
๑. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุม่ และเลอื กวรรณกรรมอิงประวตั ศิ าสตร์ต่อไปนี้
กลุ่มละ ๑ เร่อื ง ได้แก่
กลุ่มท่ี ๑ ผู้ชนะสิบทศิ
กลมุ่ ท่ี ๒ ส่แี ผ่นดนิ
กล่มุ ที่ ๓ ทวภิ พ
กลุม่ ที่ ๔ แผลเก่า
(หรืออาจใหน้ กั เรียนเลือกวรรณกรรมอิงประวตั ิสาสตร์เองตามความสนใจ)
๒. ใหน้ กั เรยี นเขยี นวจิ ารณ์วรรณกรรม โดยเช่ือมโยงเร่ืองราวทาง
ประวัติศาสตรจ์ ากเรื่องกับข้อมลู ทางประวัติศาสตร์
๓. สง่ ตวั แทนรายงานหนา้ ชนั้ เรยี น ครใู ห้ขอ้ เสนอแนะตามความเหมาะสม
เกณฑก์ ารประเมิน
๑. ความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลทีค่ ้นควา้ มานาเสนอ
๒. ขนั้ ตอนการวจิ ารณว์ รรณกรรมถูกต้องตามที่ไดศ้ ึกษา
๓. การทางานกลมุ่
๔. ความนา่ สนใจในการนาเสนอ
กจิ กรรมที่ ๒
ครูสามารถบูรณาการการเรยี นรูก้ ับกล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระท่ี ๔ :
เทคโนโลยสี ารสนเทศ โดยใหน้ กั เรยี นศกึ ษาสอื่ อิเลก็ ทรอนิกสจ์ ากของจริงและให้นักเรียนปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ดังน้ี
ภาระงาน “รวบรวมขอ้ มลู จากเว็บไซต์ทีใ่ หค้ วามรู้เก่ยี วกับคุณค่างานประพนั ธ์”
การบูรณาการ มฐ. ท ๕.๑ และ ง ๔.๑
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ มีทักษะในการใช้ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ เพ่ือศึกษารวบรวมเว็บไซต์ท่ีให้ความรู้
เรอ่ื งคุณคา่ ของงานประพนั ธ์
ผลงานที่ตอ้ งการ ข้อมูลที่ให้ความรเู้ ก่ียวกบั “คุณคา่ งานประพันธ์”
ขั้นตอนการทางาน
๑. กาหนดใหน้ ักเรยี นเลอื กสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
๒. นักเรียนนาผลงานการสืบค้นมาจัดทาเป็นสมุดคู่มือการสืบค้นแหล่งเรียนรู้เพื่อ
วจิ ารณ์วรรณกรรมให้มีคณุ คา่ มากยิง่ ข้ึน
๓. นาผลงานการศึกษาค้นควา้ ดังกล่าวนาเสนอหน้าชนั้ เรยี น
เกณฑก์ ารประเมนิ
๑. ความถูกตอ้ งครบถ้วนสมบูรณข์ องข้อมลู ท่ีค้นควา้ มานาเสนอ
๒. ความประณีต เรียบรอ้ ย
๓. ความน่าสนใจในการนาเสนอ
๑๓. ใบความรู้ ใบงาน และเคร่อื งมอื วดั ผล
๑๓.๑ ใบความรู้
๑. ข้อแตกต่างระหว่างวรรณคดแี ละวรรณกรรม
วรรณกรรม วรรณคดี
๑. งานเขียนทุกชนิด ๑. งานเขยี นทีไ่ ดร้ บั การยกย่องวา่ แตง่ ดี
๒. เป็นงานเขียนท่ดี หี รือไม่กไ็ ด้ ๒. เปน็ หนังสือที่ดี ใหค้ ุณคา่ แก่ผู้อ่าน
๓. รปู แบบและการนาเสนอดี
๔. ใชส้ านวนโวหารดี คมคาย
๕. เรียบเรยี งถ้อยคาประณีต น่าสนใจ
๒. การวเิ คราะห์คณุ คา่ วรรณศลิ ปใ์ นวรรณกรรม
แล้ววำ่ อนจิ จำควำมรัก พึง่ ประจักษด์ ่ังสำยนำ้ ไหล
มแี ต่จะเช่ียวเปน็ เกลียวไป ทไ่ี หนเลยจะไหลคืนมำ
สตรีใดในพิภพจบแดน ไมม่ ีใครได้แค้นเหมอื นอกขำ้
ด้วยใฝร่ ักให้เกนิ พักตรำ จะมแี ต่เวทนำเป็นเนอื งนติ ย์
(พระบำทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลำ้ นภำลัย, อเิ หนา)
จากบทประพันธข์ ้างต้น ดีเด่นในด้านการใช้อปุ มาให้เห็นภาพ โดยกวไี ดใ้ ช้การเปรยี บเทียบความรกั กับ
สายน้าที่เหมือนกันคือ เม่ือไหลไปแล้วย่อมไม่ไหลย้อนมา เพ่ือสร้างความคมคายและกินใจผู้อ่าน โดยตาม
เน้ือเร่ือง จินตะหราได้กล่าวตัดพ้ออิเหนาที่กาลังจากตนไปทาศึกกับทัพของท้าวกะหมังกุหนิง ว่าอิเหนานั้นคง
ไมก่ ลบั มาหาตนอกี เช่นเดยี วกบั สายนา้ เมอื่ ไหลผ่านไปแลว้ ก็ไมไ่ หลย้อนมา
แลว้ สอนวำ่ อยำ่ ไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลอื กำหนด
อนั เถำวลั ย์พนั เกีย่ วทเี่ ลีย้ วลด ก็ไม่คดเหมือนหนง่ึ ในนำ้ ใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยสู่ องสถำน บดิ ำมำรดำรกั มกั เปน็ ผล
ทีพ่ ่งึ หน่ึงพ่ึงไดแ้ ต่กำยตน เกิดเป็นคนคดิ เห็นจงึ เจรจำ
(พระสุนทรโวหำร (ภ)ู่ , พระอภยั มณี)
จากบทประพันธ์ มีความไพเราะในด้านการใช้ความเปรียบ (อุปมา) โดยเปรียบเทยี บจติ ใจคนนั้นเคียว
คดยิ่งกว่าเถาวัลย์ เพราะฉะน้ันจึงไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆ และคนคิดให้รอบคอบ ไม่วู่วาม เป็นเหตุการณ์ตอนที่
พระฤๅษีมาช่วยสุดสาครข้ึนจากเหว เพราะสุดสาครถูกชีเปลือยผลักตกเหวและแย่งไม้เท้าศักด์ิสิทธิ์กับม้านิล
มังกรไป
นำงนวลจบั นำงนวลนอน เหมอื นพแี่ นบนวลสมรจนิ ตะหรำ
จำกพรำกจับจำกจำนรรจำ เหมือนจำกนำงสกำระวำตี
แขกเตำ้ จับเตำ่ ร้ำงร้อง เหมอื นรำ้ งห้องมำหยำรศั มี
นกแก้วจับแกว้ พำที เหมอื นแก้วพ่ที ั้งสำมสั่งควำมมำ
(พระบำทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้ำนภำลัย, อเิ หนา)
จากบทประพันธ์น้ีเป็นลักษณะ “นิราศ” กล่าวคือ มีการพรรณนาด้วยการเล่นคา เพ่ือโยงอารมณ์
คิดถึงห่วงหาไปยังนางอันเป็นที่รัก โดยกวีใช้คาที่มีเสียงเดียวกัน ได้แก่ นางนวล กับนวลสมร จากพราก กับ
จากนาง ร้างร้อง กับร้างห้อง นกแก้ว กับแก้วพ่ี เพื่อส่งอารมณ์ให้เห็นว่าคิดถึงนางอันเป็นที่รักมาก บทนี้เป็น
ตอนที่อเิ หนานนั้ กาลังเดินปา่ ไปยังเมอื งดาหา เพือ่ รบกับท้าวกะหมังกุหนงิ
ใบงานที่ ๑ เร่ือง “การพิจารณาคณุ ค่างานประพนั ธ์”
คาชแ้ี จง แบง่ นกั เรียนเปน็ ๖ กลมุ่ เพอื่ ใหอ้ ่านและพจิ ารณาคุณคา่ งานประพันธ์ ๓ เรื่อง โดยให้
รับผิดชอบ เรอื่ งละ ๒ กลมุ่ ดังนี้
กลุ่ม ๑ และกลมุ่ ๒
พจิ ารณาคณุ ค่างานประพันธเ์ รื่องนิราศนรนิ ทร์ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๑๒ จาก หนงั สือเรยี น
มาตรฐานแม็ค โดยมีหัวข้อในการนาเสนองานดังน้ี
๑. ประวตั ิความเป็นมาของเรื่อง
๒. ลักษณะโคลงสีส่ ุภาพ (โดยสงั เขป)
๓. การวิจารณ์วรรณกรรม (ใชก้ ารวิจารณเ์ ร่ืองเงาะปา่ เป็นตวั อย่าง)
๑) รปู แบบการแต่งและเนื้อเรื่อง
๒) โครงเร่ือง
๓) กลวิธกี ารประพนั ธแ์ ละวธิ นี าเสนอ
๔) คณุ ค่าของเร่อื ง
(๑) คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์
(๒) คณุ คา่ ด้านสังคม
(๓) คณุ คา่ ดา้ นคติธรรม
กลมุ่ ๓ และกลมุ่ ๔
พิจารณางานประพันธ์เร่ือง “บทนมัสการมาตาปิตุคุณ และบทนมัสการอาจริยคุณ” หน่วยการ
เรียนรู้ท่ี ๙ โดยมหี วั ขอ้ ในการนาเสนองานดงั นี้
๑.ประวตั ผิ แู้ ต่ง (โดยสงั เขป)
๒.ประวตั ิความเป็นมาของเรื่อง
๓.สาระสาคญั
๔.การวิจารณ์วรรณกรรม
๑) รูปแบบการแต่ง
๒) แนวคดิ
๓) คณุ ค่าของเรอื่ ง
(๑) คณุ ค่าด้านวรรณศลิ ป์
(๒) คณุ ค่าดา้ นสังคม (ยกเหตกุ ารณ์ ในเร่อื งประกอบ)
(๓) คณุ ค่าด้านจริยธรรม (ยกตวั อย่างในเร่ืองประกอบ)
(๔) คณุ คา่ ดา้ นคติธรรม (ยกเหตุการณ์ในเรื่องประกอบ)
กลมุ่ ๕ และกลุ่ม ๖
พิจารณาคณุ ค่างานประพันธเ์ รือ่ งนิทานเวตาล เรือ่ งที่ ๑๐ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๑๒ โดยมหี ัวขอ้ ในการนาเสนอ
งานดงั น้ี
๑. ประวตั ิผูแ้ ตง่ (โดยสังเขป)
๒. ประวัติความเปน็ มาของเรื่อง
๓. เน้ือเร่อื งย่อ (เฉพาะตอนท่ีอา่ น)
๔. การวิจารณ์วรรณกรรม (ใชก้ ารวิจารณ์เรอื่ งเงาะปา่ เปน็ ตัวอยา่ ง)
๑) รูปแบบการแต่ง
๒) โครงเร่อื ง
๓) ลกั ษณะตวั ละครสาคัญ (เฉพาะตอนที่อ่าน) โดยยกเหตุการณใ์ นเร่ืองประกอบให้เหน็ ชัดเจน
๔) บทสนทนา
๕) ฉาก (บรรยากาศของเรอ่ื ง)
๖) แนวคดิ
๗) กลวิธกี ารประพนั ธแ์ ละวิธนี าเสนอ
๘) คณุ คา่ ของเรอ่ื ง
(๑) คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์
(๒) คุณค่าด้านสงั คม (ยกเหตกุ ารณ์ ในเร่ืองประกอบ)
(๓) คุณคา่ ดา้ นจรยิ ธรรม (ยก เหตกุ ารณ์ในเร่ืองประกอบ)
(๔) คุณค่าด้านคติธรรม (ยกเหตุการณใ์ นเร่ืองประกอบ)
เครือ่ งมอื วัดผล
๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ( ดทู า้ ยหน่วย )
๒. แบบประเมนิ ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม ( ดทู ้ายหน่วย )
๓. แบบประเมินผลการเขยี นย่อความ ( ดูท้ายหนว่ ย )
๔. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรียน
๑๔. เฉลยกจิ กรรมและแบบทดสอบ
กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
กิจกรรม ๑
๑. วรรณคดี คือ งานประพันธ์ท่ีมีเน้ือเร่ืองดี ไม่ชักจูงผู้อ่านไปในทางเส่ือม เป็นงานท่ีแต่งอย่าง
พิถีพิถัน ประณีตในการใช้คา มีท้ังความไพเราะและความหมายท่ีลึกซ้ึงสะเทือนอารมณ์ผู้อ่าน ส่วน
วรรณกรรม คือ งานประพันธ์ทุกชิ้นท่ีมีผู้เขียนข้ึน อาจจะมีคุณสมบัติเป็นวรรณคดี หรือไม่มี
คณุ สมบตั ิถงึ ขั้นวรรณคดีก็ได้ กลา่ วคือเปน็ งานเขียนธรรมดาๆ ช้ินหน่งึ
๒. องค์ประกอบ คือ ส่วนต่างๆ ท่ีประกอบเข้าเป็นสิ่งนั้นๆ องค์ประกอบของงานประพันธ์
ประกอบด้วย โครงเร่ือง ตัวละคร แก่นหรือแนวคิดของเร่ือง ฉาก มุมมองหรือกลวิธีการนาเสนอ และบท
สนทนาของตัวละคร
๓. งานประพันธ์ คือ งานเขียนที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเป็นเรื่องราวติดต่อกัน โดยใช้ภาษาที่ไพเราะ
สละสลวย และประณตี บรรจง
๔. การพิจารณาคุณค่างานประพันธ์ควรพิจารณาประเด็นหลักคือ องค์ประกอบของวรรณคดีว่าแต่ละ
สว่ นมลี ักษณะอยา่ งไร เหมาะสมงดงามหรือไม่ ดังน้ี
๑) รปู แบบกับเนื้อเร่อื งเหมาะสมหรือไม่
๒) ลักษณะเน้อื หาเปน็ อย่างไร
๒.๑ โครงเร่ืองมีลักษณะแปลกใหมน่ า่ สนใจมากน้อยเพียงไร
๒.๒ เน้ือเร่ืองมีความสมจริง ต่อเนื่องสัมพันธ์กันอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ ผู้แต่งสร้าง
ปัญหาความขัดแย้งเพ่อื ให้เรอื่ งดาเนินไปไดอ้ ย่างกลมกลืนเป็นเหตุเปน็ ผลต่อกนั เพียงไร
๒.๓ ตัวละครมีลักษณะอย่างไร มีชีวิตเหมือนคนจริงๆ คือมีทั้งดีและเลว หรือมีแต่ดีด้าน
เดียวซึ่งผิดธรรมดา มีรูปลักษณ์อย่างไร พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนเหมาะสมกับอุปนิสัยใจคอของตัวละคร
หรอื ไม่
๒.๔ ฉาก (กาลสมัย) สมจรงิ เพียงไร
๒.๕ แนวคดิ ของผูแ้ ต่งคืออะไร
๕. คาตอบอสิ ระ
กจิ กรรมท่ี ๒
แลว้ แตด่ ลุ ยพนิ จิ ของอาจารย์ผู้สอน
แบบทดสอบก่อนเรยี นผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นประจาหน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๘
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๘ คณุ คา่ งานประพันธ์
เลือกคาตอบท่ีถูกต้องทีส่ ดุ เพียงคาตอบเดยี ว
๑. ข้อใดกล่าวถกู ต้อง
๘. วรรณคดี คอื หนังสือทีแ่ ต่งทกุ เร่อื ง ทกุ ชนดิ จะเขียนดหี รอื ไม่ดกี ไ็ ด้
๙. วรรณกรรม คือ หนังสอื ทแ่ี ตง่ ดแี ละมีเนื้อหาเร่อื งราวท่ีเปน็ ประโยชน์ มสี าระคณุ คา่
๑๐.วรรณคดี คือ หนงั สอื ท่ีแตง่ ดี เนอื้ หาจะมปี ระโยชน์ มคี ณุ ค่าหรอื ไม่ก็ได้
๑๑.วรรณคดี คอื หนงั สือหนงั สือทีม่ ีเนอื้ หาเปน็ ประโยชน์ มคี ุณคา่ และแตง่ ดี
ใชค้ ำประพันธ์ตอ่ ไปนตี้ อบคำถำมข้อ ๒-๓
๑. มหาชัยชัยฤกษน์ ้อง นาฏลง โรงฤา
รบั รว่ มพทุ ธมนตส์ งฆ์ เสกซ้อม
เสยี ดเศยี รแม่ทดั มง- คลคู่ เรยี มเอย
ชเยศชมุ ญาติห้อม มอบใหส้ องสม
๒. ตราบขนุ คิริขน้ ขาดสลาย แลแม่
รกั บ่หายตราบหาย หกฟา้
สรุ ิยจันทรขจาย จากโลก ไปฤๅ
ไฟแลน่ ลา้ งสห่ี ล้า หอ่ นล้างอาลยั
๓. รอบบุญเราร่วมพอ้ ง พบกนั
บาปแบ่งสองทาทัน ทา่ สรา้ ง
เพรงพรากสตั ว์จาผนั พลดั คู่ เขาฤา
บุญรว่ มบาปจาร้าง นชุ ร้างเรยี มไกล
๔. แขกเตา้ ตามคเู่ ตา้ แขกสมร มาฤา
ถามข่าวนุชแหนงจร จบั ไม้
สตั วาสวุ าวอน วานหนอ่ ย นกเอย
บอกสมรเรียนไห้ให้ ข่าวนอ้ งมาแถลง
๒ คาประพันธใ์ นข้อใดมีลักษณะการกลา่ วเกินจรงิ
๙. ๑ ๒. ๒
๓. ๓ ๔. ๔
๓. คาประพนั ธ์ในขอ้ ใดสะท้อนเรอ่ื งความเช่ือ
๑. ๑ ๒. ๒
๓. ๓ ๔. ๔
๔. “ขจัดเขลาบรรเทาโม หะจติ มืดท่งี ุนงง
กงั ขา ณ อารมณ์ กส็ ว่างกระจ่างใจ
บทประพันธ์นก้ี ล่าวถึงพระคุณของผูใ้ ด
๑. บิดามารดา
๒. ครูอาจารย์
๓. พระพุทธเจา้
๔. พระสงฆ์
๕. ขอ้ ใดเป็นแนวคิดของคาประพันธต์ ่อไปนี้
แม้ตนโตเตบิ เพีย้ ง เขาเขนิ
สูงเจ็ดลาตาลเกนิ กึ่งฟ้า
ไร้ทรัพยอ์ ับเผอิญ แลเล็ก ลงแฮ
ดั่งปลวกเตย้ี ตา่ ช้า ชวดผ้เู ล็งเห็น
๑. การทาตนให้ตา่ ต้อยจะถูกหมิน่ แคลน
๒. คนทัว่ ไปมกั ตดั สินคณุ คา่ ของคนจนจากภายนอก
๓. ร่างกายใหญโ่ ตใช่ว่าจะได้เปรยี บเสมอไป
๔. คนเราถา้ ไมม่ ีเงินกไ็ ม่มใี ครเหน็ ความสาคญั
อำ่ นคำประพนั ธ์ต่อ ไปนี้แลว้ ตอบคำถำมขอ้ ๖
๑. อย่าโศกนักพักตร์น้องจะหมองศรี เจา้ ผันหนา้ มานี่จะบอกให้
๒. ทรงพระชรานักหนาแล้ว ทลู กระหมอ่ มเมียแกว้ จงหกั ใจ
๓. ลกู เอย๋ มีกรรมกจ็ าไป เงนิ เฟื้องเบี้ยไพกไ็ มม่ ี
๔. ร้ตู วั ช่ัวแลว้ แก้วกลอยใจ โมโหมดื ไปไมท่ ันคิด
๖. ขอ้ ใดสะท้อนความเชื่อ
๑. ข้อ ๑ ๒. ขอ้ ๒
๓. ข้อ ๓ ๔. ขอ้ ๔
๗. ข้อใดแสดงความเชอ่ื ทีย่ งั ปรากฏในปัจจุบัน
๑. เคร่ืองอาวธุ สุดหา้ มอย่าข้ามกราย อย่านอนซา้ ยสตรมี กั มีภยั
๒. อน่งึ เขฬะอยา่ ถม่ เมือ่ ลมพัด ไปถูกสัตว์เสื่อมมนตด์ ลคาถา
๓. วา่ เช้าตรู่สรุ โิ ยอโณทยั ตืน่ นอนให้หา้ มโมโหอย่าโกรธา
๔. ท้ังไมล้ าคา้ เรอื นแลเขือ่ นคอก ใครลอดออกอปั ลกั ษณเ์ สยี ศักดิ์ศรี
๘. ข้อใดไม่สะทอ้ นความเชอ่ื
๑. เวรกรรมนาไปไม่ร้งั รอ มิพอท่ีจะตอ้ งพรากกจ็ ากมา
๒. ใส่ดาลบา้ นชอ่ งกองไฟรอบ พอ่ ช่างลอบเขา้ มากระไรได้
๓. เปา่ ลงดว้ ยพระเวทวทิ ยา มารดาก็ฟืน้ ตืน่ โดยงา่ ย
๔. จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายโดดเรอื นสะเทอื นผาง
๙. ข้อใดสะท้อนคา่ นิยม
๑. ทกุ วันน้ีมที รพั ยเ์ ขานับถอื เหมือนเราหรือเขาจะรักมผิ ลกั ไส
๒. หนง่ึ บิดรมารดาคณาญาติ ใหผ้ ดุ ผาดผาสุกเป็นนจิ ศีล
๓. เหน็ คนทรงปลงจิตอนิจจงั ใหค้ นทั้งปวงหลงลงอบาย
๔. แม้นเนอ้ื เย็นเป็นเทพธิดา พ่ขี ออาศยั เสน่ห์เป็นเทวญั
๑๐. โคลงตอ่ ไปนีช้ ้ใี ห้เหน็ ค่านิยมในเรอื่ งใด
แมน้ มคี วามร้ดู ่งั สัพพญั ญู
ผบิ ่มีคนชู ห่อนข้นึ
หวั แหวนคา่ เมืองตรู ตาโลก
ทองบร่ องรับพ้ืน ห่อนแก้วมศี รี
๑. การมคี วามรู้ ๒. การมีผู้สนับสนุน
๓. การสะสมของมคี ่า ๔. การแสวงหาทรพั ยส์ ิน
เฉลย
๑. ๔ ๒. ๒ ๓. ๓ ๔. ๒ ๕. ๔
๖. ๓ ๗. ๒ ๘. ๒ ๙. ๑ ๑๐. ๒
แบบทดสอบหลังเรียนผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นประจาหน่วยการเรยี นรูท้ ี่ ๘
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๘ คุณคา่ งานประพันธ์
เลอื กคาตอบที่ถูกตอ้ งทส่ี ดุ เพียงคาตอบเดยี ว
ใชค้ าประพนั ธ์ตอ่ ไปน้ีตอบคาถามข้อ ๑ – ๒
๑. นอ้ ยหรอื รักเจา้ สกั เทา่ พ้อม ยังไม่ยอมพร้อมใจไปด้วยพี่
จะเฝ้าวอนงอนง้อไปไยมี คอ่ ยอยู่จงดีพ่ขี อลา
๒. อันทรวดทรงองค์พระกุมารนี้ เหมือนภูมีจรงิ จงั ดังเถือใส่
ทงั้ ทว่ งทกี ริ ยิ าละม่อมละไม จะดไู หนไม่ผดิ สักสิ่งอนั
๓. คร้ังน้ีมชิ ว่ั ก็เหมอื นชัว่ คดิ แค้นใจตวั ไม่รหู้ าย
อดสอู ย่ไู ยให้ได้อาย จะสตู้ ายตามองค์พระทรงธรรม์
๔. นั่นแน่หวั หงอกเปน็ ดอกเลา ไม่เจยี มตวั มัวเมาโมหนั ธ์
ฮดึ ฮัดกัดเหงือกทางกงัน ยงั ไมข่ ันขึ้นหนา้ มาดา่ ทอ
๑. ข้อใดไม่ใช้ภาพพจน์
๑. ขอ้ ๑ ๒. ข้อ ๒
๓. ขอ้ ๓ ๔. ขอ้ ๔
๒. ข้อใดไม่แสดงอารมณค์ วามรู้สกึ ของตัวละคร
๑. ข้อ ๑ ๒. ข้อ ๒
๓. ขอ้ ๓ ๔. ข้อ ๔
๓. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะเด่นของคาประพันธ์ต่อไปนี้
ทง้ั สามคนครงึ่ คาไม่พอเคี้ยว ประเดี๋ยวเดียวชีวังจะสงั ขาร์
ไมพ่ อมอื ครือฤทธิ์อสรุ า เทา่ ข้ตี าก็จะวิ่งมาชิงชยั
๑. เนอ้ื หาใหข้ อ้ คิด
๒. จินตภาพชัดเจน
๓. สมั ผัสใน
๔. การใช้คาเข้าใจง่าย
๔. คากล่าวในขอ้ ใดไม่ต้องการคาตอบจากคู่สนทนา
๑. น่ีลกู เตา้ ของใครได้ไหนมา ดหู นา้ ตายิ้มยอ่ งผอ่ งแผว้
๒. ยังเล็กนักไดส้ ักก่ีเดือนแลว้ ลูกแก้วจงแถลงแจง้ กิจจา
๓. ใครแกงฟักขึ้นมาเวลานี้ ไปหาตัวมาน่ีอยา่ ไดช้ า้
๔. ถ้าหนุ่มแนน่ แมน้ เหมือนแต่ก่อนไซร้ จะเกรงกลัวอะไรกบั ไพรี
๕. คาประพนั ธ์ตอ่ ไปนีใ้ ชภ้ าพพจน์กแี่ หง่
พระนักสทิ ธพิ์ ศิ ดเู ป็นครู่พกั หวั รอ่ หนกั รปู ร่างมันชา่ งขนั
เม่อื ตัวเดียวเจยี วกลายเป็นหลายพันธุ์ กาลงั มันมากนกั เหมอื นยักษ์มาร
กนิ คนผ้ปู ปู ลาหญา้ ใบไม้ มนั ทาไดห้ ลายเล่ห์อ้ายเดรฉาน
เขย้ี วเปน็ เพชรเกล็ดเปน็ นลิ ล้ินเป็นปาน ถงึ เอาขวานฟันฟาดไม่ขาดรอน
๑. ๑ แหง่ ๒. ๒ แหง่ ๓. ๓ แห่ง ๔. ๔ แห่ง
ใช้คำประพนั ธ์ต่อไปนต้ี อบคำถำมข้อ ๖ – ๗
ไปถ่ ามปราชญบ์ พ่ ร้อง พาที
เปรียบด่ังเภรตี ี (ภาพพจน์) จง่ึ ครน้ื
คนพาลพวกอวดดี จักกลา่ ว
ถามบ่ถามมันฟ้นื เฟ่ืองถ้อยเกนิ ถาม
๖. ผแู้ ตง่ ไมใ่ ช้กลวิธีตามข้อใด
๑. ซา้ คา ๒. เลน่ คา ๓. ภาพพจน์ ๔. สัมผสั พยัญชนะ
๗. ข้อใดเป็นจุดประสงค์ของผู้แตง่
๑. สอนไม่ให้เปน็ คนพูดโอ้อวด
๒. แนะให้คบนกั ปราชญ์ทสี่ งวนคาพดู
๓. สอนมิให้เอาอยา่ งคนอวดดี
๔. แนะให้เป็นผฟู้ งั มากกว่าเป็นผ้พู ดู
๘. ข้อใดไม่มจี นิ ตภาพทางการเคล่อื นไหว
๑. มีหมพี ดี าขลับ ข้นึ ไมผ้ บั ฉับไวถงึ
๒. กระจงกระจดิ เตี้ย วิง่ เรยี่ เร่ียน่าเอน็ ดู
๓. กระรอกหางพัวพู่ โพรงไม้อยคู่ ู่ไลต่ าม
๔. เลยี งผาอยู่ภูเขา หนวดพรายเพราเขาแปลป้ ลาย
๙. คาประพันธต์ อ่ ไปน้ีมีวรรณศิลปเ์ ด่นตามข้อใด
แอกงอนอ่อนงามโอฬาร ธงฉานทานชเู ฉลมิ ปลาย
บลั ลังก์บดเหลย่ี มเปน็ เรอื นเก็จ กระจกพื้นกระจังเพชรบัวหงาย
๑. การเล่นคา การเล่นเสียงวรรณยกุ ต์
๒. การสรรคา การใช้ภาพพจน์
๓. สัมผสั พยญั ชนะ การเลน่ จงั หวะ
๔. การใชไ้ วพจน์ การใชค้ าอัพภาส
๑๐. คาประพนั ธ์ต่อไปนี้ไมใ่ ช้กลวธิ ใี ดในการแต่ง
อันชาตใิ ดไร้ช่างชานาญศลิ ป์ เหมือนนารินไรโ้ ฉมบรรโลมสงา่
ใครใครเห็นไม่เป็นที่จาเริญตา เขาจะพากนั เย้ยให้อบั อาย
๑. ความเปรยี บ
๒. สมั ผัสพยัญชนะ
๓. การซา้ คา
๔. การเล่นคา
เฉลย ๒. ๒ ๓. ๑ ๔. ๔ ๕. ๑
๑. ๓ ๗. ๑ ๘. ๔ ๙. ๒ ๑๐. ๔
๖. ๒
การประเมินและสะท้อนตนเองหลงั เสรจ็ ส้ินการเรยี นในหน่วยการเรยี นรู้ที่ ๘
(Self Reflection)
๑. การประเมนิ ตนเองของผเู้ รียน ใหด้ าเนนิ การดงั น้ี
๑.๑ ผูส้ อนทบทวนผลการเรียนร้ปู ระจาหน่วยทกุ ข้อใหผ้ ูเ้ รยี นได้ทราบ โดยอาจเขียนไวบ้ นกระดาน
พรอ้ มทั้งทบทวนถงึ หวั ข้อกิจกรรมการเรยี นว่าได้เรียนอะไรบ้าง
๑.๒ ให้ผ้เู รยี นเขยี นบนั ทกึ การประเมนิ ตนเองไวใ้ นสมดุ งานด้านหลงั ตามหวั ขอ้ ดังนี้
บนั ทกึ การประเมนิ และสะท้อนตนเองประจาหนว่ ยการเรยี นรู้ที่..............
วนั /เดอื น/ปี ทบ่ี ันทกึ ................./................../...................
รายการบันทกึ
๑. จากการเรยี นทีผ่ ่านมาไดม้ ีความร้อู ะไรบา้ ง
.................................................................................. .....................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
๒. ปจั จุบันนม้ี คี วามสามารถปฏิบัติสิ่งใดไดแ้ ลว้ บา้ ง
............................................................................................................................. ..........................................
................................................................................................................................................................. ......
๓. ส่งิ ทย่ี ังไม่รู้ ไม่กระจา่ ง ไม่เข้าใจ มอี ะไรบา้ ง
............................................................................................................................. ..........................................
....................................................................................... ................................................................................
๔. ผลงานหรือชิน้ งานทีเ่ น้นความภาคภูมิใจจากการเรยี นในหน่วยนีค้ ืออะไร ทาไมจงึ ภาคภูมิใจ
......................................................................................... ..............................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
๒. การพฒั นาการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการวิจัยในช้ันเรยี นของผสู้ อน
ชอ่ื เร่ืองทวี่ ิจัย......................................................................................................
๒.๑ ความเป็นมาของปัญหา
สิง่ ทคี่ าดหวงั
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
สง่ิ ที่เปน็ จรงิ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
ปัญหาท่พี บคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
สาเหตุของปญั หาคือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
แนวทางการแก้ไขปัญหาคือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒.๒ วตั ถปุ ระสงค์ในการแกป้ ัญหา
๑. เพือ่ แก้ปัญหาเรือ่ ง...............................................................................................
ของผูเ้ รยี นชัน้ ............................... ห้อง................ จำนวน.................คน โดยใช้............................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒. เพ่อื ศกึ ษาผลการแกไ้ ขปญั หาเก่ียวกับ............................................................................... .......
หลงั จากที่ไดท้ ดลองใชว้ ธิ ีแกป้ ญั หาโดย......................................................................................... .
......................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
๒.๓ ขอบเขตของการแกป้ ัญหา
๑. กลมุ่ เปา้ หมายในการแก้ปญั หาคอื ผู้เรยี นชัน้ ................................ หอ้ ง.......................................
จานวน......................คน ในภาคเรยี นที.่ ................ ปกี ารศึกษา................... ทม่ี ปี ัญหาเกีย่ วกับ.......................
๒. เนอ้ื หาที่ใช้ในการศึกษาคือ เรอ่ื ง........................................................... หนว่ ยการเรยี นร้.ู .............
วชิ า.................................................................................................
๓. ระยะเวลาในการศกึ ษา ประมาณ....... สัปดาห/์ เดอื น ต้ังแต่วนั ที่ ......... เดอื น............. พ.ศ. .......
ถึงวันท่ี ............. เดือน ................................ พ.ศ. ...................
๒.๔ วธิ ีดาเนนิ การในการแก้ไขปัญหา
๑. เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการแกป้ ญั หาคือ
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
ซึ่งมขี ัน้ ตอนในกำรสร้ำงและพัฒนำดงั นี้
............................................................................................................................. ..........................................
............................................................................................................................. ..........................................
๒. เครื่องมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู คอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
ซงึ่ มีข้นั ตอนในการสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพดังนี้
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๓. การเก็บรวบรวมข้อมูล ไดด้ าเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมูลตามวธิ ีการดังนี้
๑. นาเครื่องมือที่ใชใ้ นการแก้ปัญหาไปทดลองใชก้ บั ผู้เรยี นในเวลา ...............................................
โดย..................................................................................... .........................................
.....................................................................................................................................................
๒. นาเคร่อื งมือเก็บรวบรวมข้อมลู ไปเก็บข้อมลู เกี่ยวกับ................................................................
โดย................................................................................................................. ..........................
.....................................................................................................................................................
๔. การวิเคราะห์ข้อมลู และการสรุปผล ได้ดาเนินการวเิ คราะห์ข้อมูลและสรปุ ผลดังนี้
............................................................................................................................. ..........................................
....................................................................................... ................................................................................
๒.๕ ผลการแกป้ ัญหา
ผลการแก้ปัญหาเก่ียวกับ ............................................................................................................
ของผเู้ รียนกลุ่มเป้าหมาย ปรากฏผลดงั น้ี
.......................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
เคร่อื งมอื วัดผล
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียน
เลขท่ี ชอ่ื -สกุล ความ ความ ความ ความ ระเบียบ คะแนน
สนใจ ต้งั ใจ รว่ มมือ รับผดิ ชอบ วนิ ัย รวม
เกณฑ์การให้คะแนน ดมี าก ให้คะแนน ๔
ดี ให้คะแนน ๓
พอใช้ ให้คะแนน ๒
ควรปรบั ปรุง ใหค้ ะแนน ๑
เกณฑก์ ารประเมิน
นักเรียนได้คะแนนรวม ๑๖ - ๒๐ อย่ใู นเกณฑ์ดมี าก
นกั เรยี นได้คะแนนรวม ๑๑ - ๑๕ อย่ใู นเกณฑ์ดี
นักเรียนได้คะแนนรวม ๖ - ๑๐ อยูใ่ นเกณฑ์พอใช้
นักเรียนได้คะแนนรวม ๑ - ๕ อยใู่ นเกณฑ์ควรปรับปรงุ
ลงช่อื .................................................................................................(ผู้ประเมิน)
แบบประเมนิ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมกลมุ่
กล่มุ ท่.ี .............
ข้อท่ี รายการประเมนิ ดีมาก ดี พอใช้ ควร
(๔) (๓) (๒) ปรับปรุง
(๑)
๑ ความร่วมมอื และการจดั การภายในกลุม่
๒ ความสามารถปฏบิ ัติกจิ กรรมทไ่ี ดร้ ับมอบหมายอย่างถกู ต้อง
๓ การรกั ษาระเบียบวินัยในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
๔ ความเรียบร้อยในการปฏบิ ตั ิงาน
๕ ความสนใจและความกระตือรือรน้ ของสมาชิกในกลุ่ม
ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ ............................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
สรปุ ผลการประเมนิ ......................................................................................................................... ....
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๒๑ - ๒๕ แสดงวา่ ผลงานนักเรียนอยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
นักเรียนได้คะแนนรวม ๑๖ - ๒๐ แสดงวา่ ผลงานนักเรยี นอยูใ่ นเกณฑ์ ดี
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๖ - ๑๐ แสดงวา่ ผลงานนักเรียนอยูใ่ นเกณฑ์ พอใช้
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๐ - ๕ แสดงว่าผลงานนักเรียนอยใู่ นเกณฑ์ ควรปรับปรุง
ลงชือ่ .................................................................................................(ผปู้ ระเมิน)
แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม
คาช้แี จง เขียนเติมคะแนนและระดับคณุ ภาพตามความเป็นจริง
กิจกรรม คะแนน ไดร้ ะดบั คุณภาพ
เต็ม ได้ .........................................
กิจกรรม ๑ ขอ้ ๑ ๑๐ .........................................
ขอ้ ๒ ๕ .........................................
.........................................
ขอ้ ๓ ๕
ตนเอง
ขอ้ ๔ ๔
ขอ้ ๕ ๑๐
รวมคะแนน ๓๔
กิจกรรม ๒ ข้อ ๑ ๑๐
ขอ้ ๒ ๓
ขอ้ ๓ ๑๐
ขอ้ ๔ ๑๒
รวมคะแนน ๓๕
กจิ กรรม ๓ ขอ้ ๑ ๑๐
ขอ้ ๒ ๑๐
ข้อ ๓ ๑๐
ขอ้ ๔ ๘
รวมคะแนน ๓๘
กจิ กรรม ๔ ขอ้ ๑ ๕
ขอ้ ๒ ๑๐
รวมคะแนน ๑๕
ผปู้ ระเมิน ครู เพอื่ น
เกณฑก์ ารประเมิน คาตอบถกู ต้อง ชดั เจน มเี หตุมผี ล
เกณฑ์การจดั อนั ดบั คณุ ภาพ
คะแนนรวมในแต่ละกจิ กรรมไดร้ ้อยละ ๘๐ ขน้ึ ไป ให้ ๓ (ดี)
คะแนนรวมในแต่ละกิจกรรมได้รอ้ ยละ ๕๐-๗๙ ให้ ๒ (พอใช้)
คะแนนรวมในแต่ละกจิ กรรมไดร้ ้อยละ ๕๐ ให้ ๑ (ควรปรบั ปรุง)
เกณฑค์ ุณภาพการผ่าน
ได้ระดบั “พอใช้” ขน้ึ ไป
;k, หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๙ าทนมสั การมาตาปิตุคุณ และาทนมสั การอาจริยคณุ
รายวิชาภาษาไทย เวลา ๔ ชว่ั โมง
๑. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวชวี้ ัด
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนาไปตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ
ดาเนินชีวติ และมีนสิ ยั รักการอ่าน
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสม
กับเรือ่ งท่ีอา่ น
ตัวช้วี ดั ท่ี ๒ อา่ นตีความ แปลความ และขยายความเรือ่ งทีอ่ า่ น
ตัวชี้วดั ท่ี ๓ วิเคราะห์และวจิ ารณ์เรอ่ื งทอ่ี า่ นในทกุ ๆ ด้านอยา่ งมเี หตผุ ล
ตวั ชี้วดั ท่ี ๔ คาดคะเนเหตุการณ์จากเร่ืองท่ีอ่าน และประเมินค่าเพ่ือนาความรู้ ความคิดไปใช้
ตดั สินใจแก้ปัญหาในการดาเนินชวี ิต
ตัวชีว้ ัดที่ ๕ วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับเรื่องท่ีอ่าน และเสนอความคิดใหม่
อย่างมเี หตุผล
ตวั ชี้วดั ท่ี ๖ ตอบคาถามจากการอา่ นประเภทตา่ งๆ ภายในเวลาทกี่ าหนด
ตวั ชี้วัดที่ ๗ อ่านเรอื่ งต่างๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคดิ ผังความคิด บนั ทกึ ยอ่ ความ และรายงาน
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๙ มีมารยาทในการอา่ น
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า
และนามาประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตจริง
ตวั ชว้ี ัดที่ ๑ วิเคราะหแ์ ละวจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการวจิ ารณ์เบอื้ งตน้
ตัวชีว้ ัดที่ ๒ วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเชื่อมโยงกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต
ของสงั คมในอดตี
ตัวชี้วดั ท่ี ๓ วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะท่ี
เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
ตวั ชี้วดั ท่ี ๔ สงั เคราะห์ขอ้ คดิ จากวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพ่ือนาไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตจริง
ตวั ชี้วดั ที่ ๕ รวบรวมวรรณกรรมพนื้ บา้ นและอธบิ ายภูมปิ ัญญาทางภาษา
ตวั ช้วี ดั ท่ี ๖ ท่องจาและบอกคุณค่าบทอาขยานตามที่กาหนดและบทร้อยกรองท่ีมคี ณุ คา่ ตามความ
สนใจ และนาไปใชอ้ ้างอิง
๒. ทักษะทจี่ าเป็นแห่งศตวรรษที่ ๒๑
๒.๑ ทกั ษะพ้นื ฐานการเรยี นรู้
- การอ่าน
- การเขยี น
๒.๒ ทักษะการเรยี นรแู้ ละนวตั กรรม
- การคิดเชิงวพิ ากษแ์ ละการแกป้ ญั หา
- การสงั เกต การคิดวเิ คราะห์ และการสังเคราะห์
- การจดั การความรู้
- การสื่อสาร
- การทางานร่วมกันเปน็ ทีม
๒.๓ ทกั ษะการรู้ดจิ ติ อล
- การใช้ข้อมูลสารสนเทศ
- การใชส้ ือ่
- การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
๒.๔ ทักษะชวี ติ และการทางาน
- การยดื หยุ่นและความสามารถในการปรบั ตวั
- ทกั ษะทางสังคมและวุฒภิ าวะ
- ความรับผิดชอบต่อตนเองและสงั คม
- เชือ่ มั่นในตนเอง
- ความเปน็ ผนู้ า
๓. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
๓.๑ มวี นิ ัย
๓.๒ ใฝ่เรยี นรู้
๓.๓ มงุ่ ม่นั ในการทางาน
๓.๔ รกั การเป็นไทย
๔. สาระการเรยี นรู้
๔.๑ ทมี่ าของเร่อื ง
๔.๒ ประวัติผแู้ ต่ง
๔.๓ บทนมสั การมาตาปิตุคุณ
๔.๔ บทนมสั การอาจาริยคุณ
การออกแบบการจดั การเรียนรแู้ บบยอ้ นกลบั (Backward Design)
สาระสาคัญ การวัดและประเมนิ ผล
๑. ทมี่ าของเรื่อง ๑. การทาแบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
๒. ประวัตผิ ้แู ตง่ ๒. กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ
๓. บทนมสั การมาตาปติ ุคณุ ๓. การทากิจกรรมในใบความร้แู ละใบงาน
๔. บทนมัสการอาจรยิ คุณ ๔. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเรียน
๕. แบบประเมนิ ผลการปฏิบัติกจิ กรรม
๖. แบบประเมินพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ
กจิ กรรมการเรียนรู้ คาถามสาคญั
๑. ศึกษาเรื่อง ท่ีมาของเรื่อง ประวัติผู้แต่ง จากหนังสือเรียนแม็ค ๑. บทนมัสการมาตาปิตุคุณ มีความดีเด่นทาง
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๙ วรรณคดอี ย่างไร
๒. ศกึ ษา บทนมัสการมาตาปิตคุ ณุ แล้วถอดคาประพันธต์ ามความ ๒. บทนมัสการอาจริยคุณ มีความดีเด่นทาง
เขา้ ใจ วรรณคดอี ย่างไร
๓. ศึกษา บทนมัสการอาจริยคุณ แล้วถอดคาประพันธ์ตามความ
เข้าใจ
๔. ทากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กิจกรรม ๑
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๙ บทนมัสการมาตาปติ คุ ณุ และบทนมัสการอาจริยคุณ
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๙ บทนมสั การมาตาปติ ุคุณและบทนมัสการอาจริยคุณ
เวลา ๔ ชว่ั โมง
๑. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนาไปตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ
ดาเนินชวี ติ และมนี สิ ยั รักการอ่าน
ตวั ชี้วัดท่ี ๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสม
กบั เร่อื งท่อี า่ น
ตวั ชว้ี ัดที่ ๒ อา่ นตีความ แปลความ และขยายความเรอ่ื งทอ่ี า่ น
ตวั ชีว้ ดั ที่ ๓ วิเคราะห์และวจิ ารณ์เรอื่ งทอ่ี ่านในทกุ ๆ ด้านอยา่ งมเี หตุผล
ตัวชี้วดั ท่ี ๔ คาดคะเนเหตุการณ์จากเร่ืองท่ีอ่าน และประเมินค่าเพ่ือนาความรู้ ความคิดไปใช้
ตัดสนิ ใจแกป้ ญั หาในการดาเนินชีวติ
ตวั ชี้วัดที่ ๕ วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับเรื่องที่อ่าน และเสนอความคิดใหม่
อย่างมเี หตผุ ล
ตวั ชว้ี ัดที่ ๖ ตอบคาถามจากการอ่านประเภทต่างๆ ภายในเวลาท่ีกาหนด
ตัวชี้วดั ท่ี ๗ อ่านเร่อื งตา่ งๆ แลว้ เขยี นกรอบแนวคดิ ผงั ความคดิ บนั ทึก ยอ่ ความ และรายงาน
ตัวชี้วดั ที่ ๙ มมี ารยาทในการอา่ น
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า
และนามาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ จริง
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๑ วิเคราะห์และวจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการวิจารณเ์ บอื้ งต้น
ตวั ช้ีวัดที่ ๒ วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเช่ือมโยงกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต
ของสังคมในอดตี
ตัวชวี้ ัดที่ ๓ วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะท่ี
เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๔ สงั เคราะห์ขอ้ คิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพ่ือนาไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจริง
ตวั ชี้วัดที่ ๕ รวบรวมวรรณกรรมพื้นบ้านและอธบิ ายภูมิปัญญาทางภาษา
ตัวชี้วดั ท่ี ๖ ทอ่ งจาและบอกคุณคา่ บทอาขยานตามท่ีกาหนดและบทรอ้ ยกรองที่มคี ณุ คา่ ตามความ
สนใจ และนาไปใช้อ้างอิง
๒. สาระสาคญั
๒.๑ ท่ีมาของเรื่อง
๒.๒ ประวตั ิผแู้ ตง่
๒.๓ บทนมัสการมาตาปติ ุคุณ
๒.๔ บทนมสั การอาจรยิ คุณ
๓. จุดประสงค์การเรยี นรู้
๓.๑ วิเคราะหค์ ุณค่าทางวรรณศิลป์ของวรรณกรรมได้
๓.๒ วิเคราะหค์ ุณคา่ ด้านเน้ือหาของวรรณกรรมได้
๓.๓ เขา้ ใจรปู แบบคาประพันธ์
๔. สาระการเรยี นรู้
๔.๑ ท่มี าของเร่ือง
๔.๒ ประวตั ผิ แู้ ต่ง
๔.๓ บทนมัสการมาตาปติ ุคุณ
๔.๔ บทนมสั การมาตาปติ ุคุณ
๕. ช้ินงาน/ ภาระงาน
๕.๑ กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ
๕.๒ ภาระงาน “;วาดภาพ “คุณครใู นดวงใจ”
๕.๓ ภาระงาน “สบื คน้ ข้อมูลเก่ยี วกบั สญั ลักษณว์ ันพอ่ แห่งชาติ วันแม่แหง่ ชาติ และวนั ครู”
๕.๔ แบบทดสอบ
๕.๕ กจิ กรรมเสนอแนะ
๖. คาถามสาคญั
๖.๑ บทนมสั การมาตาปติ ุคณุ มคี วามดีเดน่ ทางวรรณคดีอย่างไร
๖.๒ บทนมัสการอาจริยคณุ มคี วามดเี ด่นทางวรรณคดีอย่างไร
๗. กิจกรรมการเรียนการสอนเพือ่ การเรยี นรู้
๗.๑ ขัน้ นา
ครูให้ความรู้เก่ียวกับรูปแบบคาประพันธ์ คือ อินทรวิเชียรฉันท์ ให้นักเรียนทราบเป็นเบ้ืองต้นก่อน
เข้าส่เู นอ้ื หา
๗.๒ ขั้นสอน
ตอนที่ ๑ ท่ีมาและผ้แู ตง่
๑. ครใู หน้ ักเรียนศึกษาที่มาของเรื่อง จากหนังสอื เรียนแม็ค หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๙
๒. แบ่งกลุ่ม และให้นักเรียนแต่ละกลุ่มค้นคว้าหาคาประพันธ์หรือวรรณกรรมเร่ืองอ่ืนๆ ที่มีรูปแบบ
ฉันทลักษณอ์ นิ ทรวเิ ชียรฉนั ท์
๓. ให้แต่ละกลุม่ นาผลงานที่ได้ค้นคว้า นาเสนอหนา้ ช้นั เรียน
๔. ใหน้ ักเรยี นศึกษาเร่ือง ประวัติผู้แตง่ โดยให้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ คน้ คว้าตามหวั ขอ้ ดงั น้ี
กลุ่มท่ี ๑ ประวัติส่วนตวั และผลงานของพระยาศรสี ุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกรู )
กลมุ่ ที่ ๒ แบบเรยี นหลวง มลู บทบรรพกิจและวาหนิต์นิ ิกร
กลมุ่ ที่ ๓ แบบเรยี นหลวง อกั ษรประโยคและสงั โยคพธิ าน
กลุ่มที่ ๔ แบบเรยี นหลวง ไวพจนพ์ ิจารณแ์ ละพศิ าลการนั ต์
กลุ่มท่ี ๕ แบบเรียนหลวง อนันตวภิ าคและเขมรากษรมาลา
กลุ่มท่ี ๖ แบบเรยี นหลวง พรรณพฤกษาและสตั วาภิธาน
กลุม่ ที่ ๗ แบบเรยี นหลวง นิตสิ ารสาธกและปกีรณาพจนาตถ์
๕. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนาผลงานท่ีได้ศึกษาเขียนเป็นรูปเล่มรายงาน และส่งตัวแทนมารายงาน
สรปุ ผลการศกึ ษา ครใู ห้ขอ้ แนะนา
ตอนท่ี ๒ บทนมัสการมาตาปติ คุ ุณ
๑. ใหน้ ักเรยี นอ่านเรอ่ื ง บทนมสั การมาตาปิตุคุณ จากหนังสือเรยี นแม็ค หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๙
๒. ให้นักเรยี นถอดคาประพันธโ์ ดยเรียบเรียงเป็นภาษาของตนเอง
๓. ใหน้ ักเรยี นวิเคราะหค์ ุณค่าทางวรรณศลิ ปแ์ ละคณุ ค่าด้านเนอ้ื หาของบทประพันธ์
๔. ครูหรือนักเรียนอ่านทานองเสนาะให้ไพเราะ หรืออาจจัดแข่งขันการอ่านทานองเสนาะจากคา
ประพันธ์
ตอนที่ ๓ บทนมัสการอาจริยคณุ
๑. ให้นักเรียนอา่ นเรอ่ื ง บทนมสั การอาจริยคณุ จากหนังสอื เรยี นแม็ค หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๙
๒. ใหน้ ักเรียนถอดคาประพันธ์โดยเรียบเรียงเปน็ ภาษาของตนเอง
๓. ใหน้ กั เรียนวเิ คราะห์คุณค่าทางวรรณศิลปแ์ ละคณุ ค่าด้านเนอ้ื หาของบทประพนั ธ์
๔. ครูหรือนักเรียนอ่านทานองเสนาะให้ไพเราะ หรืออาจจัดแข่งขันการอ่านทานองเสนาะจากคา
ประพันธ์
๗.๓ ขัน้ สรปุ
๑. ผเู้ รยี นและผู้สอนร่วมกันสรปุ ตามประเดน็ ดังนี้
๑. ท่มี าและประวัติผู้แตง่
๒. บทนมสั การมาตาปิตุคุณ
๓. บทนมัสการอาจรยิ คุณ
๒. นกั เรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจทุกกจิ กรรม
๓. ครแู จ้งผลการปฏิบตั ิงานของนักเรยี นทกุ ข้อ และให้ข้อเสนอแนะเพมิ่ เติม
๘. สอื่ การเรยี นรู/้ แหล่งเรยี นรู้
๘.๑ ส่อื การเรยี นรู้
๑. หนงั สอื เรียนแม็ค สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ ภาคเรียนท่ี ๑
๒. ใบความรู้ “อนิ ทรวิเชยี รฉันท์”
๓. ใบความรู้ “ประวัตแิ ละผลงานของพระยาศรสี นุ ทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
๘.๒ แหลง่ การเรียนรู้
๑. หอ้ งสมดุ โรงเรียน
๒. ห้องสมุดภาษาไทย
๓. หอ้ งสมดุ ประชาชน
๔. หอสมุดแหง่ ชาติ
๕. www.obec.go.th/news/
๙. การวดั และการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๙.๑ การทากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กิจกรรม ๑ ก และ ข
๙.๒ ผลงานจากภาระงาน “วาดภาพครูในดวงใจ”
๙.๓ ผลงานจากภาระงาน “สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของวันพ่อแห่งชาติ วันแม่แห่งชาติ และ
วนั ครู”
๙.๔ การทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน
๙.๕ การตอบคาถามกจิ กรรมเสนอแนะ