๗. ขุดด้วยปาก ถากด้วยตา
๘. ฟังไมไ่ ดศ้ พั ท์ จับไปกระเดยี ด
แนวคาตอา
๑. ควรระวงั คาพูด คานนิ ทาว่าร้ายของคนเพราะแพรก่ ระจายไปได้ไกลกวา่ เสียงนกเสยี งกา
๒. แมจ้ ะไม่พอใจกค็ วรรกั ษามารยาท แสดงอาการยม้ิ แยม้ ดว้ ย
๓. ไม่สามารถพดู ได้ เพราะเกรงจะมีภัยตอ่ ตนและผ้อู ่นื
๔. ไมค่ วรพูดส่งิ ไรส้ าระ คอื พูดมากแต่ไดเ้ น้ือหาสาระนอ้ ย
๕. ควรระมดั ระวังในการพดู จา แมจ้ ะเป็นความลับเพียงไรกอ็ าจมีคนลว่ งรู้ได้
๖. ควรงดเว้นไมพ่ ูดกนั ไปพดู กันมาให้มากเรื่องเกนิ สมควร
๗. ควรงดเว้นการแสดงอาการดถู ูกเหยยี ดหยามผ้อู ืน่ ท้งั ดว้ ยวาจาแลสายตา
๘. พึงงดเว้นการนาความที่ฟังไม่ได้ความแจ่มชัดไปพูดต่อ เพราะอาจเกิดความเสียหายข้ึนได้ (ตามท่ี
นกั เรยี นเคยไดย้ ินและพบเหน็ )
๙. ครูให้นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างสุภาษิตและสานวนโวหารท่ีเกี่ยวข้องกับอุปสรรคของการสื่อสาร
เพ่ิมเติม
๙. นักเรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ กิจกรรม ๒ เก่ียวกับเร่ือง “อุปสรรคของการสื่อสาร
และวิธีแก้ไขอุปสรรคของการส่ือสาร”กิจกรรมน้ีต้องการให้ นักเรียนรู้จักวิเคราะห์อุปสรรคการสื่อสารจาก
สถานการณ์ที่กาหนดให้ และวิธีแก้ไข ตลอดจนแลกเปล่ียนประสบการณ์เก่ียวกบั อุปสรรคของการสอื่ สารและ
เสนอแนวทางการแก้ไข
๑o. ครตู รวจผลงาน ให้คาแนะนา และอธบิ ายเพิ่มเตมิ
๗.๓ ขัน้ สรปุ
๑. ผู้เรยี นและผสู้ อนรว่ มกนั สรปุ ตามประเดน็ ดังนี้
๑. ความหมายและความสาคัญของการสอื่ สารได้
๒. องคป์ ระกอบของการสื่อสารจากสถานการณ์ที่กาหนดใหไ้ ด้
๓. ความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับการส่ือสารได้
๔. อุปสรรคและแนวทางแกไ้ ขอุปสรรคของการสื่อสารอยา่ งสมเหตสุ มผลได้
๒. นกั เรียนทากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจทกุ กจิ กรรม
๓. ครูแจ้งผลการปฏบิ ัตงิ านของนักเรียนทุกขอ้ และให้ข้อเสนอแนะเพ่มิ เติม
๘. สอ่ื การเรียนร/ู้ แหลง่ เรยี นรู้
๘.๑ สอ่ื การเรยี นรู้
๑. หนังสือเรียนแม็ค สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๔ ภาคเรียนที่ ๑
๒. เรือ่ งสัน้ ๆ สาหรับเล่นเกมกระซบิ
๓. ภาพแสดงการส่อื สารทางภาษา
๔. ใบความรเู้ รื่อง “ภาษากบั การสือ่ สาร”
๕. ภาพหรือสญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ
๖. ตวั อย่างบทสนทนาท่ีให้นกั เรียนพิจารณาองคป์ ระกอบและความสมั พันธ์ระหว่างภาษากับ
การสอื่ สาร
๗. ใบความรเู้ รอื่ ง “สมาธิในการฟัง”
๘.๒ แหล่งการเรยี นรู้
๑. ห้องสมุดโรงเรียน
๒. หอ้ งสมดุ ภาษาไทย
๓. ห้องสมดุ ประชาชน
๔. หอสมดุ แหง่ ชาติ
๕. WWW.obec.go.th/news/
๙. การวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้
๙.๑ การตอบคาถามจากกิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ
๙.๒ ผลงานจากภาระงาน “สืบคน้ ข้อมูลจากอนิ เทอรเ์ น็ต”
๙.๓ ผลงานจากภาระงาน “เปรียบเทียบการใชภ้ าษาในการส่ือสารระหวา่ งภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ”
๙.๔ การทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
๙.๕ การตอบคาถามกิจกรรมเสนอแนะ
๑๐. านั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้
๑๐.๑ ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้
ด้านผูเ้ รยี น................................................................................................................. ........
..............................................................................................................................................
ดา้ นวธิ สี อนการวดั ผล............................................................................................ ................
................................................................................................................................................
ดา้ นสอ่ื การเรียนรู้....................................................................................................................
................................................................................................................................................
๑๐.๒ ปญั หา/อปุ สรรคในการจัดการเรียนรู้.........................................................................................
.........................................................................................................................................................
๑๐.๓ สิ่งท่ีไม่ได้ปฏิบัติตามแผน…..…………………………………………………….………………………………………
.........................................................................................................................................................
เหตผุ ล……..……………………………………………………………………………………………………………………………
........................................................................................................................................................
๑๐.๔ แนวทางการปรบั ปรงุ ครั้งต่อไป ..............................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
ลงช่อื ................................................................... ผสู้ อน
๑๑. แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรียน
เกณฑค์ ุณภาพการสังเกตพฤติกรรมนกั เรยี นดา้ น.........................................
ระดาั คุณภาพ
ท่ี รายการประเมิน
๑๒๓
๑ การทางานร่วมกัน ยอมรบั มติการทางาน ยอมรับมติของกลุ่ม - ยอมรับมติของกลมุ่
ของกลมุ่ แต่ปฏิบัติ
ตามน้อยครั้ง - รับผิดชอบงานที่รบั
มอบหมายจากกลุ่ม
๒ ความกระตอื รือร้น ช่วยเหลืองานภายใน - ช่วยเหลอื งานในกลุ่ม - ช่วยเหลืองานภายใน
กลุ่มเม่ือมีการร้องขอ
- รว่ มแสดงความ กลุ่ม
คิดเหน็ - รว่ มแสดงความคดิ เห็น
- ใฝร่ ูใ้ ฝเ่ รียน
- ศกึ ษาค้นควา้
๓ การตอบคาถาม มสี ว่ นร่วมในการตอบ มสี ว่ นร่วมในการตอบ ให้ความรว่ มมือในการ
คาถามน้อยมาก คาถามบางคร้ัง ตอบคาถามเปน็ อย่างดี
๔ ความคดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ รว่ มกิจกรรมตามที่ รบั ฟงั แตแ่ สดงความ รว่ มรับฟังและแสดง
กลุ่มขอรอ้ ง คดิ เห็นทค่ี ล้อยตาม ความคดิ เหน็ ท่ีแตกต่าง
เพื่อนๆ แตม่ ีประโยชน์
แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤตกิ รรมนักเรียนด้านการทางานเป็นกลุ่ม
รายการประเมนิ สรปุ ผล
ท่ี ชอื่ -สกลุ การทางาน ความ การตอา ความคิดริเร่ิม รวม
รว่ มกัน กระตอื รือรน้ คาถาม สร้างสรรค์ (๑๒) ผา่ น ไมผ่ า่ น
(๓) (๓) (๓) (๓)
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
เกณฑ์การประเมิน
๙ - ๑๒ คะแนน ระดบั ๓ = ดี
๕ – ๘ คะแนน ระดับ ๒ = พอใช้
ต่ากวา่ ๕ คะแนน ระดบั ๑ = ควรปรบั ปรุง
สรปุ ผลการประเมนิ
ดี พอใช้ ปรบั ปรุง
เกณฑ์การตดั สินใจ
ผา่ น ไมผ่ ่าน
หมายเหตุ : เกณฑเ์ ปน็ ไปตามทีโ่ รงเรยี นกาหนด
ลงชอ่ื ............................................................................ผ้ปู ระเมิน
๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ
๑๒.๑ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านเชงิ วิเคราะห์ ประกอบดว้ ยข้ันตอน ดงั นี้
ขั้นรวารวมขอ้ มูล
นักเรียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน รวบรวมเร่ือง “ภาษากบั การส่อื สาร” จากแหล่งเรยี นร้ตู า่ งๆ
ขนั้ วเิ คราะห์
นักเรียนอ่านเรื่อง “ภาษากบั การสื่อสาร” ที่เตรียมไว้แล้วจากขน้ั รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์
เรื่องราวทีอ่ า่ น แลว้ จาแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ดงั นี้
๑. ความหมายและความสาคญั ของการสอื่ สารได้
๒. องคป์ ระกอบของการส่อื สารจากสถานการณท์ ่ีกาหนดให้ได้
๓. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งภาษากับการส่ือสารได้
๔. อปุ สรรคและแนวทางแกไ้ ขอุปสรรคของการสื่อสารอยา่ งสมเหตสุ มผลได้
ข้นั สรุป
นักเรยี นสรปุ เร่ือง “แนวทางแกไ้ ขอปุ สรรคของการสือ่ สารอย่างสมเหตสุ มผล”
ขัน้ ประยุกต์ใช้
นกั เรียนเขียนรายงานเร่ือง “ภาษากบั การส่ือสาร”
๑๒.๒ กิจกรรมการบูรณาการ
กิจกรรมท่ี ๑
ครูสามารถบูรณาการการเรียนกับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระ
ที่ ๔ : เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยให้นักเรียนศึกษาส่ืออิเล็กทรอนิกส์จากของจริง และให้นักเรียนปฏิบัติ
กิจกรรมดังน้ี
ภาระงาน สืบค้นขอ้ มลู จากอินเทอร์เน็ต
การารู ณาการ มฐ. ง ๔.๑
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ มีทักษะในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพ่ือศึกษาเร่ือง “การวิเคราะห์การใช้ภาษากับ
การส่อื สาร” ทางอนิ เทอร์เน็ต
ผลงานท่ีต้องการ สืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเรื่อง “ภาษากับการสื่อสาร” โดยศึกษาในหัวข้อ “วิเคราะห์
การใช้ภาษากบั การสื่อสารทางอินเทอรเ์ น็ต”
ขนั้ ตอนการทางาน
๑. กาหนดให้นักเรียนเลือกสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและวิเคราะห์การใช้ภาษากับการ
สอ่ื สารทางอินเทอร์เนต็
๒. นกั เรียนนาผลงานการสบื ค้นและการวิเคราะหม์ าจดั ทาเป็นรายงานการศกึ ษาค้นควา้
๓. นาผลงานรายงานการศึกษาคน้ ควา้ ดงั กล่าวนาเสนอหน้าชั้นเรยี น
เกณฑก์ ารประเมิน
๑. ความถกู ต้องครบถ้วนสมบูรณข์ องข้อมูลท่ีคน้ คว้ามานาเสนอ
๒. ความประณีต เรียบรอ้ ย ถูกต้องตามรูปแบบของการเขยี นรายงานการศึกษาคน้ ควา้
๓. ความนา่ สนใจในการนาเสนอ
กจิ กรรมท่ี ๒
ครูสามารถบูรณาการการเรยี นกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาตา่ งประเทศ สาระท่ี ๑ : ภาษาเพ่ือการ
สอ่ื สาร โดยใหน้ ักเรียนเปรยี บเทยี บการใชภ้ าษาในการส่ือสารระหวา่ งภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ดังนี้
ภาระงาน “เปรยี บเทียบการใชภ้ าษาในการสอ่ื สารระหวา่ งภาษาไทยกับภาษาองั กฤษ”
การาูรณาการ มฐ. ท ๔.๑ และ มฐ. ต ๒.๒
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ คิดวิเคราะห์เปรียบเทียบการใช้ภาษาในการสื่อสารระหว่างภาษาไทยกับ
ภาษาองั กฤษ
ผลงานทีต่ อ้ งการ เปรยี บเทียบการใช้ภาษาในการสือ่ สารระหว่างภาษาไทยกับภาษาองั กฤษ
ขั้นตอนการทางาน
๑. ศกึ ษาภาษาทใ่ี ช้ในการส่อื สารในวชิ าภาษาองั กฤษ
๒. เปรียบเทยี บการใชภ้ าษาในการสื่อสารระหว่างภาษาไทยกับภาษาองั กฤษ
๓. สรปุ สงิ่ ที่เหมือนกนั
๔. สรุปสิ่งทแ่ี ตกตา่ งกนั
เกณฑก์ ารประเมิน
๑. ความถกู ต้องของข้อมูลท่ีนาเสนอ
๒. ความตั้งใจในการปฏิบัตงิ าน
๑๓. ใบความรู้ ใบงาน และเครอื่ งมือวดั ผล
๑๓.๑ ใบความรู้
๑. ภาพแสดงการสือ่ สารทางภาษา
๒. ใบความร้เู รื่อง “ภาษากับการสื่อสาร”
ใบความรู้เร่ือง “ภาษากับการส่ือสาร”
ภาษาโดยท่ัวไปหมายถึง เครื่องส่ือความคิด ความรู้สึก ความต้องการ และข้อเท็จจริง เพ่ือให้เข้าใจซึ่งกัน
และกนั โดยวธิ กี ารใดวิธกี ารหนงึ่ ก็ได้
ภาษาแบง่ ได้เป็น ๒ ประเภท คอื
๑.อวัจนภาษา หมายถึง เครื่องสื่อความคิด ความรู้สึก ความต้องการ และข้อเท็จจริง ให้เข้าใจกัน
โดยไม่ต้องใช้เสยี ง ทย่ี ังมีใชอ้ ยู่ในปัจจุบนั ได้แก่
- ภาษาท่าทาง การใชท้ า่ ทางสอ่ื ความคิด ความรสู้ ึก ความตอ้ งการ ทา่ ทางท่ีใชต้ ้องทาให้เข้าใจซงึ่ กนั และกนั
เช่น
ยิ้ม หมายถงึ พอใจ สั่นศีรษะ หมายถึง ปฏเิ สธ
ผงกศรี ษะ หมายถึง ยอมรับ ตอบรบั ใช้มอื ผลกั หมายถงึ ไม่ต้องการ
- ภาษามอื เปน็ ภาษาทีค่ ิดข้ึนมาใชส้ ่ือความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ขอ้ เท็จจรงิ กับคน ท่ี
มปี ญั หาทางการออกเสยี งหรือการฟัง เชน่
- ภาษาสัญลกั ษณ์ คอื การใชภ้ าพ หรอื เคร่อื งหมายต่างๆ ในการสือ่ แทนความคดิ ความร้สู ึก ความตอ้ งการ
ภาษาสัญลักษณ์ทพ่ี บใช้ เชน่ เคร่ืองหมายจราจร ภาพทใี่ ชเ้ กี่ยวกบั การขนสง่ ฯลฯ
เรารบั รู้อวัจนภาษาดว้ ยการดู
๒.วัจนภาษา หมายถึง เคร่ืองสื่อความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ข้อเท็จจริงให้เข้าใจกันโดยใช้เสียง
หรอื ตัวอักษร เรยี กว่า ภาษาพดู และภาษาเขียน
เรารับรดู้ ้วยวัจนภาษาดว้ ยการฟงั และการอา่ น
ความหมายของการส่อื สาร
การสื่อสาร หมายถึง วธิ ีการติดตอ่ ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นผนู้ าเสนอ (ผู้ส่งสาร) อกี ฝ่ายหน่ึง
เปน็ ผ้รู ับรู้ (ผ้รู ับสาร) โดยมจี ุดประสงค์เพอื่ กาหนดรคู้ วามหมายและมปี ฏกิ ิรยิ าตอบสนอง
จากความหมายข้างต้น การส่ือสารจะเกิดข้นึ ตอ้ งประกอบดว้ ยองค์ประกอบสาคญั ๓ ประการ ดังน้ี
๑. ผู้ส่งสารและผรู้ บั สาร
๒. สอื่
๓. สาร หรือเน้ือหาเร่ืองราวท่ีต้องการให้รับรู้ความหมายร่วมกัน ส่วนน้ีเป็นส่วนท่ีสัมพันธ์กับ
ภาษา เพราะสารทีจ่ ะส่งต้องอาศยั ภาษาในการถ่ายทอด สารทต่ี ้องการถา่ ยทอดมจี ุดประสงค์ ๔ ประการ คอื
๑. แจ้งให้ทราบ
๒. ถามใหต้ อบ
๓. บอกให้ทา
๔. นาให้คิด
นอกจากองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการแล้ว ในการสื่อสารยังมีเร่ืองของกาลเทศะ และสภาพแวดล้อม
ทางสังคมเขา้ มาเกยี่ วขอ้ ง เพื่อให้สอื่ สารไดเ้ หมาะสม ชดั เจน
๓. ภาพหรอื สัญลกั ษณ์ตา่ งๆ
๔. ตวั อย่างบทสนทนา
นายทหารสหรัฐฯ สองนายที่รอดตายจากสงครามอิรักได้นัดเจอกันหลังจากที่ทั้งคู่ได้กลับสู่บ้านเกิด
เมอื งนอนแล้ว
นายทหาร ๑ : ผมดีใจมากที่มีวันนี้ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะรอดตายจากสงคราม ลูกเมียของผมร้องไห้
ดีใจกนั ยกใหญท่ ีเ่ หน็ หนา้ ผมอีกคร้ัง แลว้ คณุ ล่ะ เป็นอยา่ งไรบา้ ง
นายทหาร ๒ : ผมก็ดใี จทผ่ี มรอดตายคร้งั นี้ ภรรยาของผมพอเหน็ หน้าผม เธอก็ร้องไห้เป็นวรรคเปน็ เวร
เช่นเดียวกับภรรยาคณุ
นายทหาร ๑ : เขาคงดใี จที่เหน็ คุณไมเ่ ป็นอะไรเหมือนผมใช่ไหม
นายทหาร ๒ : เปล่าหรอก เขาร้องไห้ผิดหวังที่ผมไม่ตายในสงคราม เพราะก่อนผมจะไป ภรรยาผมได้ทา
ประกนั ชีวิตไวใ้ หผ้ มล้านดอลลาร์
แนวคาตอบ
ช่วงต้ังแต่ “ผมดีใจมากที่มีวันนี้...แล้วคุณล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้ส่งสาร คือ นายทหาร ๑
จดุ ประสงคเ์ พ่ือแจ้งให้ทราบ ผู้รับสาร คอื นายทหาร ๒
ช่วงตงั้ แต่ “ผมก็ดใี จท่ีผมรอดตายครง้ั นี้...เธอกร็ ้องไหเ้ ปน็ วรรคเป็นเวรเชน่ เดยี วกับภรรยาคุณ”
ผู้ส่งสารคือ นายทหาร ๒ มีจดุ ประสงคเ์ พอ่ื แจ้ง ใหท้ ราบ ผู้รับสาร คอื นายทหาร ๑
ช่วงต้ังแต่ “เขาคงดีใจ...ใชไ่ หม?” ผสู้ ง่ สาร คอื นายทหาร ๑ มจี ดุ ประสงคเ์ พือ่ ถามใหต้ อบ ผูร้ ับสาร
คอื นายทหาร ๒
ช่วงต้ังแต่ “เปล่าหรอก...ภรรยาผมได้ทาประกันชีวิตไว้ให้ผมล้านดอลลาร์” ผู้ส่งสาร คือ
นายทหาร ๒ มจี ดุ ประสงค์เพื่อ นาใหค้ ดิ ผู้รับสาร คอื นายทหาร ๑
๕.ใบความรู้เรื่อง “สมาธิในการฟัง”
ใบความรเู้ ร่อื ง “สมาธิในการฟัง”
ในการฟัง สมาธิเป็นเร่ืองท่ีจาเป็นมาก เพราะผู้ฟังไม่สามารถขอให้ผู้พูดย้อนคาพูดใหม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดในท่ีชุมชน การสร้างสมาธิในการฟังเป็นเร่ืองท่ีสามารถฝึกฝนให้เกิดขึ้นได้ ซ่ึงมี
วิธกี าร ดงั น้ี
๑.บังคับใจให้นึกถึงแต่เฉพาะสิ่งท่ีกาลังฟัง ลาดับเหตุการณ์ที่ฟังให้ต่อเน่ืองต้ังแต่ต้นจนจบ การฝึก
ข้อนี้เป็นเรื่องที่ทาได้ยากพอสมควร จึงควรฝึกบังคับใจฟังเรื่องส้ัน วิทยุหรือโทรทัศน์ ฯลฯ เป็นอันดับแรก
เม่ือไดผ้ ลจึงค่อยๆขยายความยาวของเรอื่ งท่ฟี ังออกไปตามลาดับ
๒.สร้างศรัทธาที่มีต่อตัวผู้พูด เพราะการมศี รัทธาจะทาใหเ้ กดิ ความสนใจและทาให้เกิดสมาธใิ นการ
ฟงั
๓. ขณะที่หูฟังเรอ่ื ง ให้ใช้ตาดูที่ผพู้ ูด เพื่อติดตามอากัปกริ ิยา สีหน้า เพราะสงิ่ เหล่าน้จี ะชว่ ยเสริมให้
การฟงั ออกรส นา่ ติดตาม และนา่ เชื่อถือ กจ็ ะตัง้ ใจฟังและเกดิ สมาธใิ นทส่ี ดุ
๔. ขณะฟังอาจจดบันทึกตามไปด้วย โดยจะบันทึกเฉพาะใจความสาคัญหรือบันทึกอย่างละเอียดก็
แลว้ แต่ตัวผฟู้ ังเอง เพราะการบนั ทกึ จะช่วยให้ใจจดจ่ออยู่กบั การฟงั ทาใหเ้ กดิ สมาธทิ ี่จะฟงั
๑๓.๒ เคร่ืองมอื วดั ผล
๑. แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบตั ิกจิ กรรม (ดูท้ายหนว่ ย )
๒. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ ( ดทู า้ ยหนว่ ย )
๓. แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม ( ดทู า้ ยหนว่ ย )
๔. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลงั เรยี น
๑๔. เฉลยกจิ กรรมและแบบทดสอบ
กิจกรรม ๑
ก. แนวคาตอบ
๑. การส่ือสารเป็นวิธีการติดต่อระหว่างมนุษย์ด้วยกัน โดยมีฝ่ายหน่ึงเป็นผู้นาเสนอให้อีก
ฝ่ายหน่งึ เปน็ ผรู้ บั รู้
๒. การสื่อสารมีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตมาก เพราะหากไม่มีการส่ือสาร มนุษย์ก็จะ
ไมเ่ ขา้ ใจว่ามีความ รสู้ กึ ความคิด หรอื ความต้องการอย่างไร หรืออาจจะเข้าใจแตเ่ ข้าใจกันคนละเรือ่ ง อาจทา
ให้เกิดความขัดแย้ง อีกทั้งไม่เกิดการพัฒนา เพราะความรู้ท้ังหลายไม่มีการถ่ายทอด จึงเห็นด้วยว่า การ
ส่ือสารมีความสาคญั ดังที่กลา่ วข้างตน้
คาตอบในข้อน้ไี ดจ้ ากการอภิปรายรว่ มกันของนกั เรยี น คาตอบที่ให้มาเป็นเพยี งแนวทาง คาตอบจริง
ของนักเรียนเป็นไปตามความคิดและเหตผุ ลที่นา่ เชอ่ื ถือ
๓. การสอ่ื สารประกอบดว้ ยองค์ประกอบสาคญั ๓ ประการ คอื
ผ้สู ่งสารและผู้รัาสาร คอื บุคคลสองคนทต่ี ิดต่อสื่อสารกนั ฝ่ายหนงึ่ เป็นผูน้ าเสนออกี ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้
รับรู้ โดยอาจเป็นผู้พูดหรือผู้ฟัง คนถามกับคนตอบ ผู้ซื้อกับผู้ขาย ฯลฯ โดยผู้นาเสนอต้องการถ่ายทอด
ความร้สู ึกนกึ คดิ ความตอ้ งการ หรอื ข้อมูลขา่ วสาร อันจะนามาใช้ให้เกิดประโยชนแ์ ก่ตนเองและสังคมได้
ส่ือ คือ วิธีการติดต่อของผู้รับสารและผู้ส่งสารอาจเป็นการพูด (ใช้คาพูดเป็นสื่อถ่ายทอด) การเขียน
(ใช้ตัวอักษรเป็นส่ือถ่ายทอด) หรือส่ือธรรมชาติรวมท้ังเทคโนโลยีช้ันสูง ทาให้ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจาย
เป็นท่ีรับรขู้ องคนทว่ั ไป ซ่งึ สามารถเรียนรู้สบื ทอดและพัฒนาให้สังคมเจรญิ ก้าวหน้าต่อไป
สาร คอื สาระเรื่องราวทผี่ ู้สง่ สารต้องการใหผ้ ู้รับสารไดร้ ับรู้หรอื ปฏบิ ัตติ าม สารนี้จะส่งผ่านสอื่ ชนิดใด
กไ็ ด้ไปยังผู้รบั สาร ผ้รู บั สารกจ็ ะเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ดังนัน้ การส่อื สารจะสมั ฤทธผิ์ ลหรือไม่ สารจึงมีส่วน
สาคัญอย่างมาก ผสู้ ง่ สารตอ้ งสอื่ สารดว้ ยการท่ีชัดเจน ถกู ต้อง
ในการสื่อสารนอกจากจะใช้องค์ประกอบท้ังสามแล้ว ยังมีเรื่องของกาลเทศะและสภาพแวดล้อมทาง
สงั คมเข้ามาเก่ียวข้องดว้ ย
๔) ๔.๑ ผสู้ ง่ สาร คอื เพ่อื นของวภิ า
ผรู้ ับสาร คอื วภิ า
สื่อ คือ อากาศ
สาร คือ คาเชิญชวนใหไ้ ปเปน็ เพ่ือนเจ้าสาว
ปฏกิ ิรยิ าตอบสนอง คือ เกิดการตอบปฏิเสธคาเชิญชวน เพราะเงื่อนไขเรอื่ งเวลา
ผล คอื การสื่อสารสมั ฤทธผิ ลเพราะผ้รู ับสารได้รับสารและตดั สินใจกล่าวปฏเิ สธ
๔.๒ ผู้ส่งสาร คอื นนั ท์
ผรู้ บั สาร คอื หัวหนา้
ส่ือ คอื โทรศพั ท์
สาร คือ การนัดหมาย
ปฏิกริ ยิ าตอบสนอง คือ ไม่เกิดข้ึนเพราะผ้สู ่งสารผดิ นัด
ผล คือการสอื่ สารไม่สมั ฤทธิผล
๔.๓ ผสู้ ง่ สาร คอื หนว่ ยอากาศโยธินหรอื หน่วยนาวกิ โยธนิ
ผรู้ ับสาร คือ หน่วยนาวิกโยธินหรือหนว่ ยอากาศโยธิน
ส่อื คือ เครอ่ื งมอื การสอ่ื สารของหนว่ ยทหาร
สาร คือ ขอ้ ความนัดหมายในการยกพลข้นึ บก
ปฏิกริ ยิ าตอบสนอง คอื บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ผล คือ เกดิ ผลสมั ฤทธ์ิในภารกิจท่ีคาดหวังไว้
๔.๔ ผสู้ ่งสาร คือ นกั มวยทก่ี าลังชกกนั
ผ้รู ับสาร คือ ชาวบา้ นทีม่ าดูการชกมวยทีร่ ้านเจก๊ โก
สื่อ คือ โทรทศั น์
สาร คือ ความสามารถในการชกของนักมวย
ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง คอื ชาวบา้ นสนใจดกู ารชกมวย
ผล คอื นา่ จะสมั ฤทธ์ิผลเพราะชาวบา้ นทมี่ าดูมวยดูดว้ ยความตั้งใจ
๔.๕ ผสู้ ่งสาร คอื พระ
ผรู้ บั สาร คอื จ้อน
สื่อ คือ เสียงระฆงั
สาร คอื สัญญาณบอกเวลา
ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง คือ จ้อนลุกจากเตยี ง
ผล คือการสอื่ สารสมั ฤทธผิ์ ล
ข. แนวคาตอบกจิ กรรมนม้ี ุ่งให้นักเรยี นใชค้ วามคดิ ในการเขียนแผนภูมิอยา่ งอิสระ แต่ต้องเปน็ ไปตาม
ข้นั ตอนของกระบวนการส่ือสาร
ค. ๑.
ผู้สง่ สาร คื อ
หนังสือพิมพม์ ตชิ นรายวนั วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕
ผู้รับสาร คือ ผูอ้ า่ นหนงั สอื พิมพ์
สอ่ื คอื ภาพและขอ้ ความ
สาร คอื ความห่วงใยเก่ียวกบั ทางเดินของผพู้ กิ าร
วัจนภาษา คอื ข้อความบรรยายเพอื่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจภาพมากข้นึ
อวัจนภาษา คอื สีหน้าของผู้พิการท่ีแสดงความพอใจ และท่ายืนของพนักงาน
รกั ษาความปลอดภยั ทพ่ี รอ้ มจะใหค้ วามชว่ ยเหลอื อันแสดงถึงความห่วงใยผพู้ ิการ
๒. ตัวอยา่ งสารประเภทตา่ ง ๆ
ขอ้ สนบั สนนุ
สถำนกำรณ์ : ดาและแดงยืนอา่ นป้ายประกาศของโรงเรียนซึ่งมีขอ้ ความดงั น้ี
ขา่ วด่วน
เชญิ รว่ มเดินรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดให้โทษในวนั เสารท์ ่ี ๒๐ มกราคม พบกันทีส่ นามหนา้ โรงเรียน
เวลา ๐๖.๐๐น. โดยพรอ้ มเพรียงกัน
หลงั จากแดงและดาอ่านปา้ ยประกาศแล้ว
แดง “นด่ี า เสาร์นไี้ ปรว่ มเดนิ รณรงค์ต่อตา้ นยาเสพตดิ กบั ทางโรงเรยี นกันไหม”
ดา “ตกลง เรากอ็ ยากไปรว่ มเดินด้วย เพือ่ แสดงเจตนาตอ่ ตา้ นยาเสพตดิ ”
● คาขอรอ้ ง
สถำนกำรณ์ : นงนุช นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๔ นาโปสเตอรไ์ ปติดที่หน้าห้องน้าของ
โรงเรยี น มีข้อความวา่
ห้องน้าจะสะอาด ปราศจากโรคา ต้องพง่ึ พาพวกเรา
● ข้อเสนอแนะ
สถำนกำรณ์ : กุง้ คุยอยู่กบั หมเู พื่อนนกั เรียนท่ีเรียนอยู่ชั้นเดยี วกัน
กุ้ง “ก่อนปิดเทอมน้ี โรงเรียนเรามีกิจกรรมต้ังหลายอย่าง ทั้งจัดการแสดงดนตรี การ
แสดงต่าง ๆ ฉายหนงั และยงั มกี ารออกรา้ นตา่ ง ๆ ด้วยนะ”
หมู “ออื น่าสนใจ แต่เราตอ้ งดหู นงั สอื เตรียมสอบเอ็นทรานซ์ คงไปไม่ไดห้ รอก”
ข้อ ๓ - ๕ ข้ึนอยกู่ บั ดลุ ยพินิจของครู
กิจกรรม ๒
๑. แนวคาตอบ
สถานการณท์ ่ี ๑
อปุ สรรคในการสอื่ สารเกิดจาก ผู้ส่งสาร เปน็ คนทอ้ งถ่นิ ท่ีพดู ภาษาถ่นิ ของตนเอง ซง่ึ ภาษาถิ่น
จะมีเสียงหรอื สาเนยี งแตกต่างจากภาษากลาง ทาให้ส่ือสารไมเ่ ข้าใจกนั
แนวทางแก้ไขปัญหานี้คือ การใช้เวลาเพื่อเรยี นรู้การออกเสียงของผู้คนในท้องถน่ิ นนั้ หรือผ้สู ่ง
สารผู้ภาษากลางแทน
สถานการณ์ที่ ๒
อปุ สรรคในการสือ่ สารเกิดจาก สาร ท่ีมกี ารละคา หากบอกวา่ น้องของสุนทรที ากระถางเซรา
มิกทจ่ี ะตอ้ งสง่ ครขู องมาลีแตก มาลเี ลยไมม่ ีงานสง่ ครู เรื่องกจ็ บโดยไม่ต้องถามตอบกนั อยา่ งยดื ยาวกวา่ จะ
เข้าใจตรงกนั
สถานการณท์ ี่ ๓
อุปสรรคในการสอ่ื สารเกิดจาก ผู้รับสาร ทเี่ ช่อื และปฏิบตั ิตามอาจารย์บอกด้วยความศรัทธาวา่
เป็นอาจารยข์ องตน จงึ ไมใ่ ช้ความคิดและปัญญาไตร่ตรองใหด้ ี ขณะเดยี วกันก็ขาดการสังเกตจนกลายเปน็
ความเผอเรอ ทาให้ไมเ่ หน็ สิง่ ที่ควรเห็น
แนวทางในการแก้ไข การเชื่อฟังอาจารยน์ น้ั เป็นส่งิ ท่ดี ี หากแตต่ ้องเชอื่ อยา่ งมสี ติและปัญญา
ดว้ ย อาจารย์ ท่ดี จี ะไม่สบายใจหากเห็นศษิ ย์เชื่อตนเองมากเกินไป ทา่ นต้องหาวธิ กี ระตุ้นให้ศษิ ย์เห็นโทษของ
การเช่ือเชน่ นน้ั เพ่ือจะได้ใช้ความคดิ และมีสตติ ื่นตัวในการใฝ่สังเกตอยู่เสมอ
๒. แนวคาตอบ
แตล่ ะกลมุ่ ส่งตัวแทนออกมาเล่าประสบการณเ์ ก่ยี วกับการสื่อสารท่ีไม่ประสบผลสาเร็จ แลว้
บอกว่าอะไรเป็นอุปสรรคท่ที าให้การสื่อสารคร้ังนนั้ ไม่ประสบความสาเร็จ และจะแก้ไขได้อย่างไรเพ่ือใหก้ าร
สอื่ สารน้ันสมั ฤทธิผล ต่อไปน้ีเปน็ ตัวอยา่ ง
พนกั งานบริษทั แห่งหนึ่งนดั หมายกบั ลูกค้าชาวใต้ ตอ่ ไปนี้เป็นบทสนทนาของท้ังสองฝา่ ย
พนกั งานบริษทั “บริษทั จะสง่ คนไปรับทส่ี นามบินนะคะ”
ลกู คา้ ชาวใต้ “ผมจะมาสายการบินไทย จะถงึ สนามบนิ เวลาตี ๕ วนั พรุง่ นี้”
พนักงานบริษทั “คณุ ชาตรจี ะมาถึงสนามบินเวลาตี ๕ วันพร่งุ นน้ี ะคะ สวสั ดีคะ่ ”
เมอื่ ถึงวนั นดั หมาย พนักงานที่บรษิ ัทส่งไปก็ไปรบั ลูกค้า เวลาตี ๕ (๐๕.๐๐ นาฬิกา) รอ
จนถึง ๖ โมงเชา้ กไ็ ม่พบลูกค้าดังกลา่ ว จึงกลับไปทบ่ี ริษัท ฝา่ ยลูกค้า เครอื่ งบินมาถึงสนามบนิ ตอน ๕ โมง
เย็น ก็มองหาคนของบริษัทจนเวลา ๑๗.๓๐ นาฬกิ า ก็ไม่พบจงึ เรียกแท็กซไ่ี ปยงั บริษัทดังกลา่ ว พรอ้ มกบั ต่อ
ว่าพนกั งานของบริษัทท่ไี ม่ไปรับตาม นัดหมายเมื่อ พดู คยุ กัน ในที่สุดจึงทราบว่าเวลาตี ๕ ของลกู คา้
คือเวลา ๑๗ นาฬกิ า เพราะภาษาใต้จะเรียกเวลาเปน็ ตหี มด และดวู ่าเช้าหรือเยน็ จากพระอาทติ ย์
อุปสรรคในการสอ่ื สารครั้งนี้ คือ ผู้ส่งสาร ทใ่ี ช้ภาษาถิ่นในการสื่อสาร ทาให้เกดิ ความผิดพลาด
การแก้ไขคือ ลกู ค้าชาวใต้ทีก่ าหนดนัดหมายควรใชภ้ าษาไทยมาตรฐานในการสือ่ สารท่เี ปน็
ทางการเพราะภาษาต่างถ่ินต่างความหมาย
๓. เจ้าถ้อยหมอความ หมายถึง ผู้ทีใ่ ช้โวหารพดู พลกิ แพลงไปในทางกฎหมาย เปน็ การพูดแบบ
หมอความหรือทนาย
สานวนนเ้ี ก่ยี วขอ้ งกับอปุ สรรคการสอื่ สาร ซงึ่ เกิดจากผู้ส่งสารและสาร เพราะผู้รบั สารมักจะ
ราคาญไม่อยากคุยด้วย
แกไ้ ขได้โดย ผู้สง่ สารจะต้องเปลย่ี นวิธีการพูดเสยี ใหม่ ไมใ่ ช้สาบดั สานวนใหม้ ากนัก
แฉโพย หมายถึง เอาเร่ืองที่ไม่ดีหรือความลบั ของผู้อื่นออกมาเปดิ เผยให้ได้รู้กันทว่ั ไป
สานวนนีเ้ กีย่ วขอ้ งกับอุปสรรคการสอื่ สารซ่ึงเกดิ จากผู้สง่ สารท่ขี าดจรยิ ธรรม ทาให้ผูอ้ ่นื เสยี หาย
และหากเร่ืองทีน่ ามาพดู ไมเ่ ป็นความจริงหรือไม่มหี ลักฐานแนช่ ดั อาจถกู ฟ้องรอ้ งได้
แกไ้ ขได้โดย ผู้สง่ สารฝึกตนให้เป็นคนมีมารยาทในการพดู ไม่ทาให้ตนเองและผูอ้ ื่นเดอื ดรอ้ น
ตตี นกอ่ นไข้ หมายถงึ ได้ขา่ วหรือรูว้ า่ จะมีเรือ่ งไมด่ เี กิดขนึ้ เร่ืองหรือข่าวน้ันอาจจะเป็นจริง
หรือไม่กย็ ังไมร่ ู้ แตก่ ลับกระวนกระวายทุกขร์ ้อนหวาดกลัวไปกอ่ นแล้ว
สานวนน้ีเกยี่ วขอ้ งกับอปุ สรรคการสื่อสาร ซงึ่ เกิดจากผู้รบั สารท่ีขาดวจิ ารณญาณ
แก้ไขไดโ้ ดย ผรู้ บั สารไม่ควรเช่ือขา่ วง่าย ๆ ควรทาจิตใจใหส้ งบ เพอ่ื ใหเ้ กิดปญั ญา พิจารณา
ปัญหาอย่าง รอบคอบ
เถยี งคาไม่ตกฟาก หมายถงึ เถยี งไมห่ ยดุ ปากเมื่อฝ่ายหนึ่งพูดอีกฝา่ ยหน่งึ กโ็ ต้ตอบกันไปมา
สานวนน้เี กย่ี วขอ้ งกบั อปุ สรรคการส่อื สาร ซึ่งเกิดจากผสู้ ง่ สารและผ้รู ับสาร ทั้งสองฝ่ายทาให้
คนอ่ืนได้รับความราคาญและมีความรูส้ ึกไมด่ ตี ่อทง้ั สองฝา่ ย
แกไ้ ขไดโ้ ดย การโต้เถียงกันไปมาไม่ก่อให้เกิดประโยชนอ์ ันใด ทั้งนีเ้ พราะท้งั สองฝ่ายต่างใช้
อารมณ์มากกว่าเหตผุ ลมาเถยี งกนั ท้งั สองฝ่ายควรระงบั การโต้เถียงไว้แล้วมาปรับความเข้าใจกันภายหลงั
ปั้นน้าเปน็ ตัว หมายถงึ โกหกเสกสรรปั้นเรื่องทไี่ ม่มีมูลให้เปน็ เร่ืองเป็นราวขน้ึ
สานวนนเ้ี กย่ี วขอ้ งกบั อุปสรรคการส่ือสาร ซงึ่ เกดิ จากผู้ส่งสาร
แกไ้ ขไดโ้ ดย เลิกคบหาสมาคมกับคนประเภทนี้ เพราะมีแตจ่ ะทาใหเ้ ราเดือดรอ้ น
ปั้นปึ่ง หมายถึง ทาท่าเย่อหยิ่งไม่พูดจากับใคร
สานวนน้ีเกี่ยวขอ้ งกับอุปสรรคการส่อื สาร คือ ท่าทางอย่างน้เี ป็นอปุ สรรคต่อการส่ือสาร
เพราะไม่มใี ครนิยมชมชอบคนทแ่ี สดงกิรยิ าท่าทางเชน่ น้ี
แกไ้ ขได้โดย พดู จาปราศรัยกับผู้อน่ื ดว้ ยทา่ ทางที่เป็นมติ ร ยิ้มแย้มแจ่มใส
ฟื้นฝอยหาตะเขบ็ หมายถึง รอื้ เอาเรื่องเก่า ๆ ทผ่ี ่านพ้นไปแล้วข้นึ มาพดู ให้เปน็ เร่อื ง
สะเทือนใจหรอื บาดหมางใจ
สานวนนี้เกี่ยวขอ้ งกบั อุปสรรคการสอ่ื สาร ซึ่งเกิดจากผ้สู ่งสาร ทาให้ผู้รับสารเกดิ ความ
สะเทือนใจหรือโกรธโดยไม่สมควรแกเ่ หตุ
แกไ้ ขไดโ้ ดย ผูส้ ง่ สารควรคิดก่อนพูด เลือกพูดในเรื่องทที่ าให้เกดิ การสร้างสรรค์
ยใุ หร้ าตาใหร้ ว่ั หมายถึง ยใุ ห้สองฝา่ ยผิดใจกัน ถึงข้นั ทะเลาะววิ าท หรอื ถ้าเปน็ คู่สามี
ภรรยากย็ ใุ ห้เขาแตกแยกกัน
สานวนน้ีเกยี่ วข้องกบั อุปสรรคการสอ่ื สาร ซ่ึงเกิดจากผูส้ ง่ สาร เป็นคนไม่น่าคบคา้ สมาคม
เพราะประพฤตติ วั ยุแหย่ให้คนอื่นแตกแยกกัน
แก้ไขได้โดย ผรู้ ับสารตอ้ งมีใจหนักแนน่ มเี หตุมผี ล สว่ นผสู้ ง่ สารควรเลกิ นสิ ยั นี้เสยี
ลับลมคมใน หมายถงึ ควรทาอะไรที่ไม่มคี วามซื่อตรงตอ่ กนั มเี ล่ห์อยภู่ ายใน
สานวนนีเ้ กย่ี วขอ้ งกับอปุ สรรคการสือ่ สาร ซงึ่ เกิดจากผ้สู ่งสารทไี่ มซ่ อื่ ตรง ไว้วางใจไม่ได้
แก้ไขไดโ้ ดย หลีกเล่ยี งการคบคา้ สมาคมกับคนประเภทนี้
แาาทดสอาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรยี น ประจาแผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ ๒
จงเลอื กคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงคาตอบเดียว
๑. “ขณะท่ีอ้วนน่ังคุยอยู่กบั แม่ หญิงคนหนึ่งมากดกร่งิ หน้าบ้าน อว้ นจึงลุกเดินไปที่ประตูบ้าน หญงิ ผู้นน้ั บอก
ว่า สนุ ขั ของอว้ นไปกัดชาวบา้ น” ข้อความน้มี กี ารสอื่ สารก่ีตอน
๑. ๒ ตอน ๒. ๓ ตอน
๓. ๔ ตอน ๔. ๕ ตอน
๒. “เมื่อคุณแม่มาถึงบ้าน นกขุนทองร้องว่า ‘คุณแม่ขา คุณแม่ขา’ แล้วคุณแม่เดินมาลูบหัวสุนัขตัวโปรด
จากนน้ั กเ็ ข้ามาถามลูกชายว่า เพิ่งกลบั มาหรอื ”
ข้อความนีม้ กี ารส่ือสารก่ตี อน
๑. ๑ ตอน ๒. ๒ ตอน
๓. ๓ ตอน ๔. ๔ ตอน
๓. “คณะนักเรียนมาชมนิทรรศการเนื่องในโอกาสครบ ๑๐ ปี ของการก่อต้ังชมรมอนุรักษ์ป่าไม้” ข้อความนี้
แสดงถงึ องคป์ ระกอบของการสอ่ื สารอย่างไร
๑. ผสู้ ่งสาร – ส่อื – สาร ๒. ผู้รับสาร – ส่ือ
๓. สาร – สื่อ –ผู้รบั สาร ๔. ผสู้ ง่ สาร – สาร – ผู้รบั สาร
๔. ขอ้ ใดเป็นการส่ือสารทีค่ รบองคป์ ระกอบ
๑. แมส่ ัง่ โอหม์ ให้ทาความสะอาดเตาแกส๊
๒. น้องเล่นปงิ ปอง
๓. พอ่ ตะโกนโหวกเหวก
๔. แตงกวากาลงั เขยี นจดหมาย
๕. สกลมคี วามรดู้ ี แตเ่ ขยี นหนังสือหวัดมาก เขาเขยี นรายงานสง่ ครไู ด้คะแนนไม่ถงึ ครง่ึ การสอ่ื สารข้างต้นไม่
สัมฤทธิผ์ ลเพราะอปุ สรรคในการสื่อสารข้อใด
๑. ผู้รับสาร ๒. ผู้สง่ สาร
๓. สาร ๔. สอ่ื
๖. “ระหวา่ งครูกับศษิ ย์ มิตรกบั มิตร ญาตกิ ับญาติ ผู้บงั คับบัญชากบั ผู้ใตบ้ งั คบั บญั ชา หรอื ระหว่างนายจ้าง
กบั ลูกจา้ ง ถ้าตา่ งฝา่ ยตา่ งปวารณากันไวเ้ พ่ือให้ตักเตอื นกันได้ในเม่ือเหน็ ว่าฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงกระทาผดิ พลาด”
ข้อใดเป็นลักษณะของสารขา้ งต้นน้ี
๑. คาตกั เตือน ๒. ขอ้ สนบั สนุน
๓. คาขอรอ้ ง ๔. ขอ้ เสนอแนะ
๗. เหตกุ ารณใ์ ดไม่เปน็ การส่ือสาร
๑. พนติ ฟังครูบรรยายเน้ือหาวิชา
๒. ปกรณเ์ ดินชมทิวทัศนส์ องขา้ งทาง
๓. พชิ านรับโทรศัพท์
๔. ภูมกิ ม้ คานับทกั ทายอาจารย์
๘. การสือ่ สารสอดคลอ้ งกับข้อใดมากทสี่ ดุ
๑. ศีล สมาธิ ปํญญา
๒. สุ จิ ปุ ลิ
๓. เมตตา กรณุ า มทุ ิตา
๔. วริ ยิ ะ จติ ตะ วิมงั สา
๙. สานวนในขอ้ ใดเกี่ยวข้องกับการสื่อสารในเร่ืองการพูด
๑. ปากปราศรยั น้าใจเชือดคอ
๒. มะนาวไม่มนี ้า
๓. หมาเหา่ ใบตองแห้ง
๔. กาแพงมีหู ประตูมีช่อง
๑๐. ขอ้ ใดแสดงให้เหน็ วา่ ภาษาไทยมรี ะดบั
๑. สาเนียงส่อภาษา กิรยิ าสอ่ ตระกลู
๒. ผ้ดู ีเดินตรอก ข้คี รอกเดนิ ถนน
๓. เชื้อไม่ท้ิงแถว แนวไม่ทงิ้ ตระกลู
๔. คนยากวา่ ผี คนมวี า่ ศพ
เฉลย
๑. ตอบขอ้ ๒ เพราะมีการส่ือสาร ๓ ตอน คือ อ้วนน่ังคุยอยู่กับแม่ หญิงคนหน่ึงมากดกร่ิงหน้าบ้าน และ
หญิงผู้นนั้ บอกวา่ สุนขั ของอว้ นไปกัดชาวบ้าน
๒. ตอบข้อ ๑ เพราะมีการสื่อสาร ๑ ตอนเท่าน้ัน คือ คุณแม่ถามลูกชายว่า เพิ่งกลับมาหรือ ส่วน
นกขุนทองร้องหรอื การที่คุณแมล่ ูบหัวสุนัขตวั โปรด ไม่จดั เป็นการสื่อสารเพราะไมม่ กี ารโต้ตอบ แสดงปฏิกริ ิยา
ตอบสนอง อีกทง้ั การสอ่ื สารเป็นเรอื่ งมนษุ ย์กับมนุษย์
๓. ตอบขอ้ ๓ เพราะสาร คือ ความคิดหรอื ความรู้สึกทต่ี ้องการสือ่ เน่ืองในโอกาสครบ ๑๐ ปี ของการ
กอ่ ตัง้ ชมรมอนุรักษป์ ่าไม้ สื่อ คอื นิทรรศการ ผ้รู บั สาร คอื คณะนักเรียน
๔. ตอบขอ้ ๑ แม่ เปน็ ผสู้ ่งสาร โอหม์ เป็นผูร้ บั สาร สาร คอื ใหท้ าความสะอาดเตาแก๊ส โดยเสยี งผ่านส่อื
คอื อากาศ
ส่วนตวั เลือกข้ออ่นื ไมค่ รบองค์ประกอบในการสอื่ สารดังน้ี
ข้อ ๒ ไม่มกี ารสื่อสารเกดิ ข้นึ
ขอ้ ๓ พ่อ เป็นผู้สง่ สาร ไม่มีผูร้ บั สารและสารเพราะไม่รูว้ ่าตะโกนอะไร ตะโกนให้ใครฟัง โดยผ่านสือ่
คืออากาศ
ข้อ ๔ แตงกวา เปน็ ผสู้ ง่ สาร ไมม่ ผี ้รู ับสารเชน่ เดียวกบั ตัวเลือกขอ้ ๓ โดยผา่ นส่ือคือ ตัวอกั ษร
๕. ตอบขอ้ ๔ เพราะอุปสรรคในการสอ่ื สาร คือ ส่ือ ตัวหนงั สอื ทเี่ ขยี นหวัดมาก ทาให้อ่านไม่รูเ้ ร่ือง การ
สื่อสารจงึ ไมส่ ัมฤทธิผล ทาใหไ้ ด้คะแนนไมถ่ ึงคร่ึง
๖. ตอบขอ้ ๔
๗. ตอบขอ้ ๒
๘. ตอบขอ้ ๒ สุ – สตุ คือ การฟงั จิ – จนิ ตนาการ คือ การคดิ ปุ – ปุจฉา คอื การถาม
ลิ – ลิขติ คอื การเขียน
๙. ตอบขอ้ ๒
๑๐. ตอบขอ้ ๔
แาาทดสอาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรยี น ประจาแผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๒
จงเลอื กคาตอบทถี่ กู ต้องที่สดุ เพยี งคาตอบเดียว
๑. ข้อใดไมม่ วี จั นภาษา
๑. ถึงบางพดู พดู ดีเปน็ ศรีศกั ดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจติ
๒. แลว้ ชกั เชอื นชวนเพ่ือนให้กลบั หลงั ที่อืน่ ยังมีอยหู่ ลายคหู า
๓. แต่วอนเวียนเจียนวายชวี ิตพี่ จงึ ไดศ้ รีเสาวภาคย์มาแนบข้าง
๔. แต่หนมุ่ สาวคราวเรานีน้ บั ร้อย ลงเลน่ ลอยกลางธารประสานเสียง
๒. ขอ้ ใดไม่เป็นสถานการณข์ องการสื่อสาร
๑. ผู้คนกรกู นั เข้าห้อมลอ้ มและให้กาลงั ใจเขาทันทที ่ีมาถงึ
๒. ประชาชนนิยมไปเดินออกกาลงั กายท่สี วนจตุจกั รทกุ วันอาทติ ย์
๓. เจา้ ของสวนยางอ่านจดหมายเรียกคา่ คุม้ ครองใหเ้ จ้าหนา้ ท่ีฟัง
๔. เจ้าหนา้ ทส่ี วนสัตวเ์ ชิญชวนให้ผูเ้ ขา้ ชมบริจาคเงนิ เป็นค่าอาหารสตั ว์
๓. ขอ้ ใดไมใ่ ช่อปุ สรรคของการส่ือสาร
๑. วิรยิ าสอนหนังสอื ขณะท่ีคนสวนกาลังใชเ้ ครอื่ งตัดหญ้าอยู่ขา้ งหน้าตา่ ง
๒. วบิ ูลยเ์ ป็นหวัดในวันทีต่ ้องเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องเศรษฐกจิ ไทย
๓. วริ ัชกาลังอธิบายพุทธปรชั ญาใหน้ ักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ฟัง
๔. วภิ าวีใช้ภาษาองั กฤษส่ือสารเมื่อไปเท่ียวประเทศสหรัฐอเมรกิ า
๔. ขอ้ ใดปรากฏองคป์ ระกอบของการส่ือสารครบถว้ น
๑. เดือนเดน่ เรียนร้องเพลง
๒. วชิ ัยเขยี นคาตอบลงในสมุด
๓. โสภากลา่ วขอบคณุ เพื่อน
๔. สดุ าอา่ นประกาศรบั สมคั รงาน
๕. ขอ้ ใดคือความหมายของ "ภาษา" ตามท่ีผู้เขียนกลา่ วถงึ ในข้อความต่อไปนี้
"เมื่อข้ำพเจำ้ พูดก็หมำยควำมวำ่ ข้ำพเจ้ำเลือกคำท่ีจะกล่ำวออกไปตำมทีน่ ึกไว้ ถ้ำผู้ฟงั เข้ำใจตรงกับที่
ข้ำพเจำ้ ต้องกำรคำพดู นัน้ กเ็ ป็นภำษำระหว่ำงข้ำพเจำ้ กบั ผู้ฟังเมอ่ื ขำ้ พเจ้ำเขยี นหนังสือ ก็หมำยควำมว่ำ
ข้ำพเจำ้ ถำ่ ยทอดเอำคำพูดซ่ึงนกึ ไวอ้ อกมำเปน็ ตวั หนงั สือ ถ้ำผู้อำ่ นเขำ้ ใจตรงกบั ทข่ี ้ำพเจ้ำต้องกำร ตัวหนังสือ
นนั้ กเ็ ปน็ ภำษำระหว่ำงข้ำพเจ้ำกับผู้อ่ำน ครำวนต้ี ่ำงว่ำขำ้ พเจ้ำพูดออกไปหรือขีดเขียนเป็นตัวหนังสอื ขน้ึ ผฟู้ งั
หรอื ผู้อ่ำนไม่เข้ำใจ คำพูดหรือตัวหนังสือทปี่ รำกฏอยนู่ น้ั ก็ไมเ่ ป็นภำษำ"
๑. เครอ่ื งมือสื่อสารระหว่างผู้ส่งสารและผู้รบั สาร
๒. คาพูดและตัวหนงั สือท่ีใชใ้ นการตดิ ต่อสอื่ สาร
๓. คาพูดหรอื ตวั หนงั สือที่ผู้สง่ สารและผู้รับสารรบั รรู้ ว่ มกัน
๔. ขอ้ ความที่ผู้สง่ สารกาหนดใหผ้ รู้ บั สารรบั รู้
๖. ขอ้ ใดเป็นอปุ สรรคในการส่งสารมากทส่ี ุด
๑. ขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้านคนหนึ่งกาลังอภิปรายอย่างเข้มข้นก็มีเสียงระเบิด
ดังข้นึ
๒. ขณะผู้ฟังกาลงั ฟงั การบรรเลงดนตรีไทยอย่างเพลิดเพลิน เครอื่ งขยายเสยี งก็ขดั ข้อง
๓. นายแพทย์ผู้เช่ียวชาญบรรยายเรอื่ งการปฏิบตั ิตวั ในวัยทองใหส้ มาชกิ ชมรมผู้สูงอายุฟัง แต่ผู้สงู อายุ
บางคนนั่งคยุ กัน
๔. ประธานนักศึกษาเตรียมสุนทรพจน์กล่าวต้อนรับนักศึกษารุ่นน้องจนดึก แต่เมื่อถึงเวลาจริงก็ไม่ได้
พดู ตามที่เตรยี มไว้เพราะตื่นเต้น
๗. ข้อใดใชว้ จั นภาษา
๑. เขายมิ้ ดว้ ยความพอใจเม่ือได้รับชยั ชนะ
๒. เธออา่ นนิยายแลว้ ชอบเล่าใหเ้ พ่อื นฟัง
๓. นกั เรยี นในช้นั เงียบทันทเี มื่อครจู อ้ งหนา้
๔. ทุกครง้ั ที่ฟังเพลงตลกพวกเราจะหัวเราะทนั ที
๘. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องตามสถานการณ์ต่อไปน้ี
“ครูเดินเข้ามาในหอ้ งเรียน นักเรียนยมิ้ ใหค้ รูและยืนขึ้นไหว้เพอื่ แสดงความเคารพ ครยู ้มิ ตอบแล้วผงก
ศรษี ะรับความเคารพจากนกั เรยี น”
๑. สาร คือ การยิ้มและการยืนข้ึนไหว้ของนกั เรียน
๒. การสนองตอบต่อสารคือครูยิม้ และผงกศรีษะรับ
๓. การสอ่ื สารครั้งน้คี รูเปน็ ท้ังผ้รู ับสารและผู้ส่งสาร
๔. การสอ่ื สารคร้ังนี้ไมส่ มบรู ณ์เพราะขาดการส่งสารดว้ ยวจั นภาษา
๙. ขอ้ ใดเป็นอวจั นภาษา (O-NET ๔๙)
๑. กบลิ พรหมต้ังปญั หาท้าธรรมบาล ใหก้ ล่าวขานแก้ไขในปญั หา
๒. อภวิ นั ทอ์ ัญชลสี ่นี กั เขียน ผู้ส่องเทียนนาทางสร้างวรรณศลิ ป์
๓. คาสญั ญาทใ่ี ห้ไว้แต่ก่อน เหมือนสายลมออ่ นอ่อนผา่ นไปมา
๔. วันครอบครวั พรอ้ มกันวันได้พบ วันประสบสังสรรค์ญาตผิ ใู้ หญ่
๑๐. ข้อใดใช้อวจั นภาษา
๑. นาวาเอียงเสยี งกกุ ลกุ ขึ้นร้อง มนั ดาลอ่ งน้าไปช่างไวเหลือ
๒. ตลิ่งเบอื้ งบรู พาศาลาลาน เรือขนานจอดโจษกันจอแจ
๓. ถึงวดั แจ้งแสงจนั ทร์จารัสเรอื ง แลชาเลอื งเหลียวหลงั หลัง่ นา้ ตา
๔. พเี่ รง่ เตอื นเพอ่ื นชายพายกระโชก ถงึ สามโคกต้องแดดย่งิ แผดแสง
เฉลย
๑. ๔ ๒. ๒ ๓. ๔ ๔. ๓ ๕. ๓
๖. ๑ ๗. ๒ ๘. ๔ ๙. ๒ ๑๐. ๓
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๓ การใชค้ าและกลุ่มคา
รายวิชาภาษาไทย เวลา ๒ ชั่วโมง
๑. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้วี ัด
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบตั ขิ องชาติ
ตวั ชว้ี ัดที่ ๑ อธิบายธรรมชาตขิ องภาษา พลงั ของภาษา และลกั ษณะของภาษา
ตวั ชีว้ ัดที่ ๒ ใชค้ าและกลมุ่ คาสร้างประโยคตรงตามวตั ถุประสงค์
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๓ ใช้ภาษาไทยได้เหมาะสมแก่โอกาส กาลเทศะ และบุคคล รวมท้ังคาราชาศัพท์อย่าง
เหมาะสม
๒. ทกั ษะท่ีจาเป็นแห่งศตวรรษที่ ๒๑
๒.๑ ทกั ษะพ้ืนฐานการเรียนรู้
- การอ่าน
- การเขียน
๒.๒ ทักษะการเรียนรแู้ ละนวตั กรรม
- การคิดเชิงวิพากษ์และการแกป้ ัญหา
- การสงั เกต การคิดวิเคราะห์ และการสังเคราะห์
- การจัดการความรู้
- การสอื่ สาร
- การทางานร่วมกนั เปน็ ทมี
๒.๓ ทักษะการร้ดู จิ ิตอล
- การใชข้ อ้ มูลสารสนเทศ
- การใชส้ อ่ื
- การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
๒.๔ ทกั ษะชีวติ และการทางาน
- การยดื หยนุ่ และความสามารถในการปรบั ตวั
- ทักษะทางสงั คมและวุฒภิ าวะ
- ความรบั ผิดชอบต่อตนเองและสังคม
- เช่ือม่นั ในตนเอง
- ความเป็นผู้นา
๓. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
๓.๑ มีวนิ ัย
๓.๒ ใฝเ่ รียนรู้
๓.๓ ม่งุ มัน่ ในการทางาน
๓.๔ รกั การเปน็ ไทย
๔. สาระการเรียนรู้
๔.๑ การใชค้ าใหต้ รงตามความหมาย
๔.๒ การใช้คาใหถ้ กู ต้องตามลักษณะภาษาไทย
๔.๓ การใชค้ าใหก้ ะทดั รดั ชดั เจน และสละสลวย
การออกแบบการจดั การเรียนรู้แบบยอ้ นกลับ (Backward Design)
สาระสาคญั การวัดและประเมนิ ผล
๑. การใช้คาให้ตรงตามความหมาย ๑. การทาแบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
๒. การใช้คาให้ถูกต้องตามลกั ษณะภาษาไทย ๒. การทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ
๓. การใช้คาให้กะทดั รดั ชัดเจน และสละสลวย กจิ กรรม ๑ – ๓
๓. การทากิจกรรมในใบความร้แู ละใบงาน
๔. แบบประเมินพฤตกิ รรมการเรยี น
๕. แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม
๖. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
กจิ กรรมการเรียนรู้ คาถามสาคญั
๑. ศึกษาเรื่อง การใช้คาให้ตรงตามความหมาย จากหนังสือเรียน ๑ . ก า ร ใ ช้ ค า ใ ห้ ต ร ง ต า ม ค ว า ม ห ม า ย มี
แม็ค หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ๓ ความสาคญั อยา่ งไรบ้าง
๒. ทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ กิจกรรม ๑ ๒. ข้อบกพร่องในการสื่อสารมีอะไรบ้าง
๓. ศึกษาเร่ือง การใช้คาให้ถูกต้องตามลักษณะภาษาไทย จาก ยกตัวอย่างมาสัก ๓ ตวั อย่าง พรอ้ มอธบิ าย
หนงั สือเรยี นแมค็ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๓ ๓. การใช้ระดับภาษาไม่ถูกต้องตามระดับของ
๔. ทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ กจิ กรรม ๒ บุคคลกอ่ ให้เกิดผลเสียอย่างไรบ้าง
๕. ศกึ ษาเรื่อง “การใช้คาใหก้ ะทดั รดั ชัดเจน และสละสลวย” จาก
หนงั สือเรียนแมค็ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๓
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๓ การใช้คาและกลุ่มคา
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๓ การใช้คาและกลมุ่ คา
เวลา ๒ ชวั่ โมง
๑. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชีว้ ดั
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภูมิปญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบตั ิของชาติ
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๑ อธบิ ายธรรมชาตขิ องภาษา พลังของภาษา และลกั ษณะของภาษา
ตัวช้วี ดั ที่ ๒ ใชค้ าและกลมุ่ คาสร้างประโยคตรงตามวตั ถปุ ระสงค์
ตัวชี้วดั ท่ี ๓ ใช้ภาษาไทยได้เหมาะสมแก่โอกาส กาลเทศะ และบุคคล รวมทั้งคาราชาศัพท์อย่าง
เหมาะสม
๒. สาระสาคญั
๒.๑ การใชค้ าให้ตรงตามความหมาย
๒.๒ การใชค้ าให้ถกู ต้องตามลักษณะภาษาไทย
๒.๓ การใช้คาใหก้ ะทัดรัด ชัดเจน และสละสลวย
๓. วตั ถปุ ระสงค์
๓.๑ ใช้คาได้ตรงตามความหมาย
๓.๒ ใชค้ าไดถ้ ูกต้องตามลักษณะของภาษาไทย
๓.๓ ใช้คาได้กะทัดรดั ชดั เจน และสละสลวย
๓.๔ วจิ ารณก์ ารใช้คาในประโยคไดอ้ ย่างมีเหตุมีผล
๔. สาระการเรียนรู้
๔.๑ การใช้คาใหต้ รงตามความหมาย
๔.๒ การใช้คาให้ถกู ต้องตามลักษณะภาษาไทย
๔.๓ การใชค้ าให้กะทัดรดั ชดั เจน และสละสลวย
๕. ช้ินงาน/ ภาระงาน
๕.๑ กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
๕.๒ ภาระงาน “การใช้คาและกลมุ่ คาสรา้ งประโยคในการตดิ ต่อทางอนิ เทอร์เนต็ ”
๕.๓ ภาระงาน “เปรยี บเทียบการใชค้ าและกลุ่มคาสร้างประโยคระหว่างภาษาไทยกบั ภาษาอังกฤษ”
๕.๔ ใบงาน “การใช้คาใหต้ รงตามความหมาย”
๕.๕ ใบงาน “การใชค้ าให้ถูกตอ้ งตามลักษณะภาษาไทย”
๕.๖ แบบทดสอบ
๕.๗ กจิ กรรมเสนอแนะ
๖. คาถามสาคัญ
๖.๑ การใชค้ าให้ตรงตามความหมายมคี วามสาคญั อย่างไรบา้ ง
๖.๒ ขอ้ บกพร่องในการส่อื สารมอี ะไรบ้าง ยกตวั อย่างมาสกั ๓ ตวั อย่าง พร้อมอธบิ าย
๖.๓ การใช้ระดับภาษาไมถ่ กู ต้องตามระดบั ของบุคคลก่อให้เกดิ ผลเสียอย่างไรบา้ ง
๗. กจิ กรรมการเรยี นการสอนเพื่อการเรยี นรู้
๗.๑ ขัน้ นา
ครูนาบัตรคาตดิ บนกระดานดา ประมาณ ๑๕ – ๒๐ คา แล้วให้นักเรียนเลือกคาเหล่าน้ันมาแต่งเป็น
ประโยคเขยี นลงบนกระดานดา
ตัวอย่าง
ต่อรอง เอกเขนก เกรงใจ
เสียใจ พรัง่ พรู เร่งรีบ
ประโยคท่แี ตง่
การต่อรองเปน็ เรอ่ื งธรรมดาในวงการพนัน
หลอ่ นนอนเอกเขนกอยูท่ ี่ระเบยี งบ้าน
นอ้ งมักทาอะไรโดยไม่มีความเกรงใจพ่ๆี เลย
ฉันเสยี ใจมากทเ่ี ข้าใจคุณผิดไป
สายนา้ ไหลพร่งั พรูไมข่ าดสาย
พอ่ เรง่ รีบไปโดยเรว็
๗.๒ ขนั้ สอน
ตอนท่ี ๑ การใชค้ าได้ตรงความหมาย
๑. นกั เรียนชว่ ยกันพจิ ารณาประโยคบนกระดานวา่ เลอื กใช้คาได้ถกู ต้องเหมาะสมเพยี งใด ตรงกบั ความหมาย
หรือไม่ ถ้าไมถ่ กู ต้อง ครูและนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายแก้ไขใหม่ใหถ้ ูกต้อง
๒. นักเรยี นศึกษาเรื่อง “การใชค้ าใหต้ รงตามความหมาย” หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ จากหนังสอื เรยี นแม็ค
๓. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั แสดงความคิดเหน็ ถึงผลเสยี ทจ่ี ะเกิดข้นึ จากการใช้คาผดิ ความหมาย
แนวสรปุ
ผลเสยี ของการใชค้ าผดิ ความหมาย
๑. ทาให้เกิดการเขา้ ใจผดิ ส่ือความหมายไม่ตรงตามทตี่ ้องการ
๒. การใชค้ าท่ไี ม่เหมาะสมแสดงถงึ มาตรฐานการใชภ้ าษาที่ต่าลง
๔. นักเรียนพิจารณาการใช้คาในข้อความจากใบงานที่ ๑ เรื่อง “การใช้คาให้ตรงความหมาย” ที่ครูแจกให้
จากนน้ั ครูแจกเฉลยให้นกั เรยี นตรวจคาตอบด้วยตนเอง ครูอธิบาย สรุป และให้ขอ้ เสนอแนะเพ่ิมเตมิ
๕. นักเรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ กิจกรรม ๑ เรื่อง
“การใช้คาและกล่มุ คาให้ถูกความหมาย” โดยกิจกรรมนี้ม่งุ ให้นักเรียนฝกึ การใช้คาใหต้ รงความหมาย การใช้
คาใหถ้ ูกต้องตามลักษณะภาษาไทย การใช้คาให้เหมาะสม และใช้คาให้กะทัดรดั ชดั เจน สามารถแสดงความ
คดิ เห็นวิพากษว์ จิ ารณไ์ ดอ้ ยา่ งสมเหตุสมผล
๖. ครูตรวจผลงาน แกไ้ ขข้อบกพรอ่ ง และอธบิ ายเพมิ่ เติมให้ชัดเจนยงิ่ ขนึ้
ตอนที่ ๒ การใช้คาได้ถกู ตอ้ งตามลักษณะของภาษาไทย
๑. นกั เรียนชว่ ยกันพิจารณาการใช้คาและกลมุ่ คาในประโยคจากแผ่นปา้ ยนิเทศ
๒. ครแู ละนักเรียนอภิปรายร่วมกันถึงความผิดพลาดในการใช้คาและกลุ่มคาในประโยคตามลักษณะภาษาไทย
และชว่ ยกันแก้ไขใหถ้ กู ตอ้ ง
๓. นักเรียนศึกษาเรื่อง “การใช้คาให้ถูกต้องตามลักษณะภาษาไทย” หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๓ จากหนังสือเรียน
แมค็
๔. ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกย่ี วกับการเลอื กใชค้ าใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม
๕. นกั เรียนทาใบงานท่ี ๒ เร่อื ง “การใช้คาใหถ้ กู ตอ้ งตามลกั ษณะภาษาไทย” ซ่ึงกาหนดใหน้ ักเรยี นเลือกคา ท่ี
เหมาะสมเติมลงในช่องว่างให้ถูกต้อง การจัดการ ครูแจกเฉลยให้นักเรียนตรวจคาตอบด้วยตนเอง ครูอธิบาย
และให้ข้อเสนอแนะเพิม่ เติม
๖. นักเรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ที่๓ กิจกรรม ๒ เร่ือง
“การใชค้ าให้ถกู ตอ้ งตามลักษณะภาษาไทย”
๗. ครูตรวจผลงาน ติชม ใหก้ าลังใจ และอธิบายเพม่ิ เติมให้ชัดเจนย่งิ ขึน้
ตอนท่ี ๓ การใชค้ าไดก้ ะทัดรดั ชัดเจน และสละสลวย
๑. ครเู ขียนประโยคบนกระดานดาให้นักเรยี นพิจารณาการใชค้ าและกลุ่มคาในประโยคเหล่านน้ั
๒. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการใช้คาและกลุ่มคาในประโยคนั้นว่ามีข้อบกพร่องอย่างไรและ
แก้ไขใหถ้ กู ต้อง โดยดูแผน่ ใสประกอบ
๓. ศกึ ษาเรอื่ ง “การใช้คาให้กะทดั รดั ชัดเจน และสละสลวย” หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี ๓ จากหนังสือเรยี นแมค็
๔. ครูและนกั เรยี นชว่ ยกนั สรุปขอ้ ควรระวังในการเลือกใชค้ า
๕. นักเรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ กิจกรรม ๓ เรื่อง
“การใช้คาให้กะทัดรัด ชัดเจน สละสลวย” กิจกรรมน้ี นักเรียนอาจตอบไม่ตรงแนวคาตอบท่ีให้ไว้ก็ได้ ผู้สอน
ควรพิจารณาตามความเหมาะสมซ่ึงแสดงวา่ นกั เรียนเข้าใจในเน้อื หาบทเรียน
๖. ครูตรวจผลงานและอธิบายเพิม่ เตมิ
๗.๓ ข้ันสรปุ
๑. ผเู้ รียนและผสู้ อนรว่ มกนั สรปุ ตามประเดน็ ดังนี้
๑. การใชค้ าไดต้ รงความหมาย
๒. การใช้คาไดถ้ กู ต้องตามลกั ษณะของภาษาไทย
๓. การใช้คาได้กะทดั รดั ชดั เจน และสละสลวย
๒. นักเรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจทุกกจิ กรรม
๓. ครูแจง้ ผลการปฏิบัตงิ านของนกั เรียนทกุ ขอ้ และใหข้ อ้ เสนอแนะเพมิ่ เติม
๘. สอื่ การเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้
๘.๑ สอื่ การเรียนรู้
๑. หนังสือเรยี นแมค็ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ ภาคเรยี นที่ ๑
๒. บัตรคาท่ีกาหนดใหน้ ักเรียนนาไปแตง่ ประโยค
๓. ใบงานที่ ๑ เรื่อง “การใชค้ าให้ตรงความหมาย”
๔. ใบงานท่ี ๒ เร่อื ง “การใชค้ าให้ถูกตอ้ งคามลักษณะภาษาไทย”
๕. ปา้ ยนเิ ทศการใช้คาและกลุ่มคาในประโยค
๖. แผ่นใสเร่ือง “การใช้คาและกลมุ่ คาใหก้ ะทดั รัด ชัดเจน และสละสลวย”
๘.๒ แหลง่ การเรยี นรู้
๑. หอ้ งสมดุ โรงเรียน
๒. ห้องสมดุ ภาษาไทย
๓. หอ้ งสมดุ ประชาชน
๔. หอสมดุ แห่งชาติ
๕. WWW.obec.go.th/news/
๙. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
๙.๑ การตอบคาถามจากกิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ
๙.๒ ผลงานจากภาระงาน “การใช้คาและกล่มุ คาสรา้ งประโยคในการตดิ ต่อทางอินเทอรเ์ นต็ ”
๙.๓ ผลงานจากภาระงาน “เปรียบเทียบการใช้คาและกลุ่มคาสร้างประโยคระหว่างภาษาไทยกับ
ภาษาอังกฤษ”
๙.๔ ใบงาน “การใชค้ าให้ตรงตามความหมาย”
๙.๕ ใบงาน “การใช้คาใหถ้ กู ต้องตามลักษณะภาษาไทย”
๙.๖ การทาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน
๙.๗ การตอบคาถามกจิ กรรมเสนอแนะ
๑๐. านั ทกึ หลงั การจดั การเรยี นรู้
๑๐.๑ ความสาเรจ็ ในการจัดการเรียนรู้
ดา้ นผูเ้ รยี น................................................................................................................. ........
..............................................................................................................................................
ดา้ นวธิ สี อนการวดั ผล............................................................................................ ................
................................................................................................................................................
ด้านส่ือการเรียนร.ู้ ...................................................................................................................
................................................................................................................................................
๑๐.๒ ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรยี นร.ู้ ........................................................................................
.........................................................................................................................................................
๑๐.๓ สิ่งท่ีไม่ได้ปฏิบัติตามแผน…..…………………………………………………….………………………………………
.........................................................................................................................................................
เหตผุ ล……..……………………………………………………………………………………………………………………………
........................................................................................................................................................
๑๐.๔ แนวทางการปรบั ปรุงครง้ั ตอ่ ไป ..............................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
ลงช่อื ................................................................... ผสู้ อน
๑๑. แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤติกรรมนักเรียน
เกณฑค์ ุณภาพการสังเกตพฤตกิ รรมนักเรยี นดา้ น.........................................
ระดัาคุณภาพ
ท่ี รายการประเมนิ
๑๒๓
๑ การทางานร่วมกนั ยอมรับมติการทางาน ยอมรบั มติของกลมุ่ - ยอมรบั มติของกลมุ่
ของกลุ่ม แต่ปฏิบัติ
ตามน้อยครัง้ - รับผดิ ชอบงานที่รบั
มอบหมายจากกลุ่ม
๒ ความกระตือรือรน้ ชว่ ยเหลืองานภายใน - ช่วยเหลืองานในกลุม่ - ช่วยเหลอื งานภายใน
กลุม่ เม่ือมกี ารร้องขอ - ร่ ว ม แ ส ด ง ค ว า ม กลมุ่
คิดเห็น - ร่วมแสดงความคดิ เห็น
- ใฝ่รู้ใฝ่เรียน
- ศึกษาคน้ คว้า
๓ การตอบคาถาม มีสว่ นร่วมในการตอบ มสี ่วนรว่ มในการตอบ ให้ความรว่ มมือในการ
คาถามน้อยมาก คาถามบางครัง้ ตอบคาถามเปน็ อย่างดี
๔ ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ ร่วมกิจกรรมตามที่ รับฟังแต่แสดงความ รว่ มรบั ฟังและแสดง
กลุม่ ขอร้อง คดิ เห็นท่ีคล้อยตาม ความคดิ เหน็ ท่ีแตกต่าง
เพอื่ นๆ แตม่ ีประโยชน์
แาาการประเมินการสังเกตพฤตกิ รรมนกั เรียนดา้ นการทางานเปน็ กลุ่ม
รายการประเมิน สรุปผล
ที่ ช่อื -สกลุ การทางาน ความ การตอา ความคิดรเิ ร่มิ รวม
ร่วมกัน กระตอื รอื ร้น คาถาม สร้างสรรค์ (๑๒) ผา่ น ไมผ่ า่ น
(๓) (๓) (๓) (๓)
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
เกณฑ์การประเมนิ
๙ - ๑๒ คะแนน ระดบั ๓ = ดี
๕ - ๘ คะแนน ระดับ ๒ = พอใช้
ต่ากวา่ ๕ คะแนน ระดับ ๑ = ควรปรบั ปรุง
สรปุ ผลการประเมนิ
ดี พอใช้ ปรับปรุง
เกณฑ์การตัดสินใจ
ผา่ น ไม่ผ่าน
หมายเหตุ : เกณฑเ์ ปน็ ไปตามทีโ่ รงเรียนกาหนด
ลงชอื่ ............................................................................ผ้ปู ระเมิน
(.............................................................................)
๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ
๑๒.๑ กจิ กรรมส่งเสริมการอา่ นเชงิ วเิ คราะห์ ประกอบด้วยขนั้ ตอน ดังน้ี
ขั้นรวบรวมข้อมูล
นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน รวบรวมเรื่อง “ใช้คาและกลุ่มคาสร้างประโยคได้ตรงตาม
วัตถุประสงค์” จากแหล่งเรยี นรตู้ า่ ง ๆ
ขน้ั วิเคราะห์
นักเรียนอ่านเรื่อง “การใช้คาและกลุ่มคาสร้างประโยคได้ตรงตามวัตถุประสงค์” ที่เตรียมไว้จากขั้น
รวบรวมขอ้ มูล และวเิ คราะหเ์ ร่ืองราวทอี่ า่ น แล้วจาแนกเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ดังนี้
๑. การใชค้ าไดต้ รงตามความหมาย
๒. การใชค้ าได้ถูกตอ้ งตามลกั ษณะของภาษาไทย
๓. การใชค้ าไดก้ ะทัดรดั ชัดเจน และสละสลวย
๔. การวจิ ารณก์ ารใช้คาในประโยคได้อยา่ งมีเหตผุ ล
ขั้นสรุป
นักเรยี นสรุปเรอื่ ง “การใชค้ าและกลมุ่ คาสร้างประโยคได้ตรงตามวัตถปุ ระสงค์”
ขน้ั ประยกุ ต์ใช้
นกั เรยี นเขียนรายงาน เร่ือง “ใชค้ าและกลุ่มคาสรา้ งประโยคได้ตรงตามวัตถุประสงค์”
๑๒.๒ กจิ กรรมบรู ณาการ
กจิ กรรมท่ี ๑
ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระท่ี ๔ :
เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยให้นักเรยี นศึกษาการใช้คาและกลุ่มคาในการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต ตามขั้นตอน
ดงั นี้
ภาระงาน “การใชค้ าและกลุม่ คาสรา้ งประโยคในการติดต่อทางอนิ เทอรเ์ นต็ ”
การบรู ณาการ มฐ. ง ๔.๑
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ มที ักษะในการใชค้ าและกลุ่มคาสอ่ื สารทางอนิ เทอร์เนต็ ได้อยา่ งถูกต้องเหมาะสม
ผลงานที่ตอ้ งการ สืบค้นข้อมูลจากอนิ เทอรเ์ นต็ เรือ่ ง “การใชค้ าและกลุ่มคาสรา้ งประโยคในการตดิ ตอ่
ทางอนิ เทอรเ์ น็ต”
ขน้ั ตอนการทางาน
๑. กาหนดให้นักเรียนเลือกสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและวิเคราะห์การใช้คาและ
กลมุ่ คาสร้างประโยคทางในอนิ เทอรเ์ นต็
๒. นักเรียนนาผลงานการสบื คน้ และการวิเคราะหม์ าจัดทาเปน็ รายงานการศึกษาค้นคว้า
๓. นาผลงานรายงานการศึกษาค้นควา้ ดงั กลา่ วนาเสนอหน้าชัน้ เรยี น
เกณฑก์ ารประเมิน
๑. ความถกู ตอ้ งครบถว้ นสมบูรณ์ของขอ้ มูลท่ีคน้ คว้ามานาเสนอ
๒. ความประณตี เรยี บรอ้ ย ถูกตอ้ งตามรปู แบบของการเขียนรายงานการศึกษาคน้ ควา้
๓. ความนา่ สนใจในการนาเสนอ
กจิ กรรมท่ี ๒
ครสู ามารถบูรณาการการเรยี นกับกลุม่ สาระการเรียนร้ภู าษาตา่ งประเทศ ใหน้ กั เรียนเปรียบเทียบการ
ใช้คาและกลุม่ คาสรา้ งประโยคระหว่างภาษาไทยกบั ภาษาอังกฤษ ตามขั้นตอนดงั นี้
ภาระงาน “ เปรยี บเทียบการใชค้ าและกลุม่ คาสรา้ งประโยคระหว่างภาษาไทยกับภาษาองั กฤษ ”
การบูรณาการ มฐ. ต ๒.๒
จุดประสงค์การเรียนรู้ มีทักษะในการใช้คาและกลมุ่ คาสรา้ งประโยคระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
ผลงานท่ตี อ้ งการ เปรยี บเทยี บการใช้คาและกลุ่มคาสรา้ งประโยคระหวา่ งภาษาไทยกับภาษาองั กฤษ
ขั้นตอนการทางาน
๑. ศึกษาการใช้คาและกลมุ่ คาสรา้ งประโยคในวิชาภาษาอังกฤษ
๒. เปรียบเทยี บการใช้คาและกลมุ่ คาสรา้ งประโยคระหวา่ งภาษาไทยกับภาษาองั กฤษ
๓. สรุปสิ่งที่เหมือนกัน
๔. สรปุ สิ่งทแ่ี ตกต่างกัน
เกณฑ์การประเมนิ
๑. ความถกู ต้องของข้อมลู ที่นาเสนอ
๒. ความตั้งใจในการปฏบิ ตั ิงาน
๑๓. ใบความรู้ ใบงาน และเคร่อื งมอื วัดผล
๑๓.๑ ใบงาน
ใบงานท่ี ๑ เร่อื ง “การใชค้ าให้ตรงความหมาย”
ใบงานเรอ่ื ง “การใชค้ าให้ตรงความหมาย”
คาช้ีแจง ให้นักเรียนพิจารณาข้อความต่อไปน้ี ว่าใช้คาได้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเห็นว่าถูกต้อง
เขยี นเครอื่ งหมาย หนา้ ขอ้ ความ ถ้าไม่ถกู ต้องใหเ้ ขยี นเครอื่ งหมาย หน้าขอ้ ความ
......... ๑. การสอบแกต้ วั คร้ังน้ี ฉันหวาดๆ วา่ จะสอบตกอีก เพราะยงั ไม่ได้ดูหนงั สือเลย
.......... ๒. ผอู้ าวโุ สทางานแชม่ ช้า
.......... ๓. นักเรียนท่ีผมยาวถูกกักตัวไว้ทีห่ นา้ ประตูโรงเรยี น
.......... ๔. ตารวจลอ้ มอยูร่ อบบ้าน พวกโจรคงจนแตม้ แน่ๆ
.......... ๕. กิ๊กไมค่ วรคร่าเครง่ กบั การเลน่ เกมคอมพวิ เตอร์มากนัก
.......... ๖. หล่อนอว้ นเพราะชอบกนิ ของจกุ จิก
.......... ๗. คนทม่ี ีพรรคพวกมากมักจะอวดดีเทีย่ วข่มเหงผู้อืน่
.......... ๘. บา้ นหลังนี้ดูเกา่ คร่าครา่
........... ๙. โรงเรยี นสง่ กาหนดการงานโรงเรียนให้ผปู้ กครอง
........... ๑๐.ตารวจสืบสวนผตู้ อ้ งหาจนได้ข้อมูล
เฉลย
๑. หวาด เป็นความรู้สึกคร้ามเกรง สะดงุ้ กลัว หรอื พรั่นพรึงในส่ิงท่ีเคยเกิดกับตน หรือสิ่งท่ีเคยรู้
เคยเหน็ มาแลว้ กลัววา่ จะเกิดขึ้นอกี
๒. แช่มช้า เป็นคาซ้อนระหว่างคาว่า “แช่ม” กับ “ช้า” มีความหมายว่า แจ่มใส งามน่ารัก
ประโยคนตี้ อ้ งใชค้ าว่า “เช่อื งชา้ ” หมายถึง อืดอาดยดื ยาด ไมว่ อ่ งไว
๓. กักตวั หมายถึง นาตัวไว้
๔. จนแต้ม หมายถึง ไม่มีทางเดิน เป็นสานวนที่ ใช้กับการทางาน การแก้ปัญหาและอุปสรรค
ต่างๆ ประโยคนี้ต้องใช้คาว่า “จนมุม” หมายถึง ไม่มีทางหนี เป็นสานวนที่ใช้ในกรณีที่มีคนหนีและมี
คนไลต่ าม
๕. คร่าเคร่ง หมายถึง ใส่ใจทางานอย่างหามรุ่ง หามค่า ประโยคนี้ต้องใช้คาว่า “หมกมุ่น”
หมายถึง ใฝใ่ จมุ่งไปทางเดยี ว
๖. จุกจิก หมายถงึ รบกวน จจู้ ้ี ประโยคนีต้ ้องใช้คาว่า “จุบจิบ” หมายถึง อาการท่กี ินพร่าเพรื่อ
ทีละเลก็ ทลี ะน้อย
๗. อวดดี หมายถึง ทะนงตัว เขา้ ใจว่าตนดที ั้งท่ีไม่ดีจรงิ ประโยคนต้ี ้องใช้คาวา่ “ถอื ดี” เพราะคา
นี้จะใช้ในความหมายเชิงก้าวร้าวคนอ่นื
๘. ครา่ คร่า หมายถึง เก่าแก่จนชารดุ ทรุดโทรม
๙. กาหนดการ หมายถงึ ตารางเวลาและกจิ กรรมท่ีได้กาหนดไว้
๑๐. สืบสวน หมายถึง การสืบหาเบาะแสจากหลักฐานหรือสถานที่เกิดเหตุ ประโยคน้ีต้องใช้ว่า
สอบสวน เพราะหมายถงึ การสอบปากคาจากผตู้ ้องหาหรือพยานเพื่อให้ไดซ้ ึ่งขอ้ มูล
ใบงานท่ี ๒ เรื่อง “การใชค้ าให้ถกู ต้องตามลกั ษณะภาษาไทย”
ใบงานเรอื่ ง “การใช้คาใหถ้ ูกต้องตามลกั ษณะภาษาไทย”
คาชี้แจง นักเรยี นเลือกคาท่ีเหมาะสมเตมิ ลงในช่องว่าง
๑. ภาษาไทยไดม้ า ...แต่..... บรรพบรุ ษุ (แต/่ จาก)
๒. ภาษาไทยพสิ ทุ ธิ์ ....และ..... สูงสง่ (อกี /และ)
๓. พอคุณครูถาม ฉันก็ตอบไป ......ตาม..... จรงิ (ตาม/โดย)
๔. พ่อแม่ทางานทุกอยา่ ง.......เพ่ือ.......ลูก (สาหรบั /เพื่อ)
๕. ไม่มีใครหนีพ้น .......ความ........ ตาย (เรือ่ ง/ความ)
๖. ทกุ อย่าง .....ใน...... โลกนีไ้ ม่จีรัง (บน/ใน)
๗. โบราณวา่ .....ความ....... ดนี านเหน็ แตท่ าดีต้องได้ดไี ม่ต้องสงสัย (การ/ความ)
๘. การถือ ......ความ...... สจุ ริตเป็นท่ตี งั้ จงึ เปน็ สิ่งสาคัญใน ......การ....... ดาเนินชวี ิต เพราะ
ไม่ว่าใครย่อมไม่พอใจทจี่ ะถกู โกง (การ/ความ)
๙. จงระวงั ......ความ...... โกรธของคนใจเยน็ (การ/ความ)
๑๐. ครูมอบของขวัญ .....แก่.....นกั เรียนทีส่ อบได้คะแนนสูงสุด (แก่/แด่)
๑๓.๒ เคร่ืองมอื วัดผล
๑. แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม (ดูทา้ ยหนว่ ย )
๒. แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานกล่มุ ( ดูทา้ ยหน่วย )
๓. แบบประเมินผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ( ดูทา้ ยหนว่ ย )
๔. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรียน
๑๔. เฉลยกิจกรรมและแบบทดสอบ
กจิ กรรม ๑
ก. แนวคาตอบ
๑. กก เป็นคานาม หมายถงึ ตน้ ไม้ชนดิ หนึ่ง ลาต้นกลมใชท้ อหรอื สานเสอื่
๒. กก เป็นคากรยิ า หมายถึง เอาแนบไวก้ ับอก
๓. กก เปน็ คานาม หมายถึง โคนของใบหู
๔. ผูก เป็นคาลักษณนามของหนังสอื ใบลาน
๕. ผกู เปน็ คากริยา หมายถงึ การมัดหรือรัดใหแ้ นน่
๖. จืด เป็นคากรยิ า หมายถึงไมส่ นกุ สนาน
๗. จืดๆ เปน็ คาวเิ ศษณ์ หมายถึงทาหน้าเจ่ือนๆ
๘. จืด เปน็ คากรยิ า หมายถงึ ไม่คอ่ ยใส่ใจหรือขอ้ งเกี่ยวด้วย
๙. กัน เปน็ คาสรรพนาม (วภิ าคสรรพนาม) แสดงความเกย่ี วเนื่องกนั เป็นพวกเดียวกัน
๑๐. กัน เป็นคากรยิ า หมายถงึ ปอ้ งกนั
ข. ๑. กะเง้ากะงอด ๒. น่ิงเฉย ๓. เจอื จาน ๔. คาดหวงั
๕. ฮัมเพลง ๖. คว้านา้ เหลว ๗. ปรบั ปรงุ ตวั ๘. เมยี ง
๙. ลดั เลาะ ๑๐. ตะเกยี กตะกาย
ค. ๑. คาว่า หน่วงเหนยี่ ว แก้ไขเป็น ยดึ เหนีย่ ว
๒. คาวา่ พลุ่งพล่าน แกไ้ ขเปน็ พลกุ พล่าน
๓. คาวา่ แข็งแกรง่ แก้ไขเป็น เขม้ แขง็
๔. คาว่า สอดส่าย แกไ้ ขเป็น สอดสอ่ ง
๕. คาวา่ เฉดิ ฉาย แก้ไขเปน็ ฉูดฉาด
๖. คาวา่ เลยธง แก้ไขเปน็ เลยเถดิ
๗. คาว่า ขายหนา้ แกไ้ ขเป็น เสียหนา้
๘. คาว่า เลื่อนลอย แกไ้ ขเป็น ลอยลม
๙. คาว่า ไถโ่ ทษ แกไ้ ขเป็น ลบล้าง
๑๐. คาว่า กดี ขวาง แก้ไขเปน็ กีดกนั
ง. แนวคาตอบ
๑. ประโยคนีไ้ ม่ควรใชค้ าวา่ พลุกพล่าน เพราะหมายถึง อาการเกะกะขวกั ไขวข่ องผคู้ น แต่อาการ
ที่เลือดฉดี แรงจนหวั ใจเต้นรวั อนั เกิดจากความหวงั อาการเช่นนคี้ วรใชค้ าว่า พลุง่ พล่าน
๒. คาว่า ล้างแค้น หมายถึงการกระทาตอบโต้ให้สาสมกับความแค้น เช่น ฆ่าล้างแค้น เมื่อเป็น
เพียงการเลน่ เกมท่ีมีโอกาสแพ้ – ชนะของผู้เลน่ เท่าเทียมกัน และไมไ่ ด้คิดจริงจังมากนัก พูดเพ่ือหยอกล้อกัน
เล่นระหวา่ งคนรูจ้ ักทเ่ี คยเล่นด้วยกนั จึงน่าจะใชค้ าวา่ แกแ้ ค้น
๓ ประโยคน้ีไม่ควรใช้คาว่า ขัดเกลา แม้จะมีความหมายว่าค่อย ๆ ปรับเปล่ียนให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ตามที่ตนต้องการ ทั้งนี้เพราะพ่อแม่จะต้องคอยอบรมให้ลกู มีนิสยั ไปในทางท่ีดีมาแต่ต้น ไม่ใช่มาคอยขัดเกลา
เอาภายหลงั จึงควรใชค้ าว่า กล่อมเกลา
๔. ประโยคน้ีไม่ควรใช้คาว่า กอ่ ร่างสร้างตัว ซ่งึ หมายถึงคอ่ ย ๆ สร้างฐานะซ่ึงน่าจะนานกว่า ๒ ปี
ประโยคนค้ี วรใช้คาว่า สร้างตัว
๕. คาว่า ตกอับ หมายถึง ถึงที่อับจน หมดหนทางท่ีจะก้าวหน้า หรือถึงคราวชะตาตกทาให้หมด
อานาจวาสนา แตก่ ารที่ตอ้ งขายสมบัตเิ กา่ ควรใช้คาวา่ ตกยาก คอื ลาบากยากจนลง
๖. ประโยคนี้ผู้เขียนบรรยายผิดกาละ เพราะ “แดดผีตากผ้าอ้อม” คือแดดเวลาเย็น ไม่ใช่เหมือน
แดดสาย บ่าย หรือเที่ยง ข้อความนี้เป็นการเตือนให้ลูกผู้หญงิ รู้ว่าเวลาเย็นใกล้ค่าแล้วควรรีบเข้าครัวเตรียม
อาหารม้อื คา่ ไวใ้ ห้ลกู ผัวทจ่ี ะกลับมาจากงานไร่นา
๗. ผเู้ ขียนพรรณนาสภาพทเี่ ป็นไปตามธรรมชาติเพื่อเรยี กรอ้ งความสนใจโดยไมค่ านงึ ถึงความเป็นจริง
ทีว่ ่า ลาธารสายใด ๆ เมอ่ื แดดยามบา่ ยสาดส่องลงมายอ่ มเกดิ ประกายบนผิวน้าทงั้ ส้นิ
๘. ความเช่ือท่ีว่า การตีระฆังให้ดังไปไกลจะได้บุญ เป็นความเช่ือของชาวพุทธท่ัวไป ด้วยเห็นได้ว่า
ตามวัดวาอารามหรือพุทธสถานตา่ ง ๆ นิยมสร้างระฆังแขวนไว้จานวนมาก ผทู้ ่ีศรัทธาเล่ือมใสก็จะตีระฆังให้มี
เสียงดังไมข่ าดระยะ ความเชื่อนจ้ี ึงมิใช่ความเชอ่ื ของชาวบา้ นแถบนี้เท่าน้นั
๙. ข้อความนี้ใช้คาที่ผิดความจริง เพราะสิ่งท่ีทาให้ดอกไม้ป่าสะดุดตาคนน่าจะเป็นสีสันที่ฉูดฉาด
มากกวา่ รปู ร่างของดอกไม้
๑๐. ประโยคนีเ้ ป็นการใช้คาท่ขี ดั กบั สภาพความเป็นจริง เม่ือพรรณนาถึงกระแสคลื่นแหง่ ลาโขงก็ควร
จะใช้คาวา่ กาลงั เช่ยี วกราก มใิ ช่ไหลเอือ่ ย ๆ
กิจกรรม ๒
ก. ๑) หลงั ๒) ขอน (ของทเี่ ป็นคู)่ ๓) เลา
๔) แถบ/สี ๕) มดั ๖) กลุ ี/ผนื
๗) ใจ (ไหมปกั ) ๘) ปาก ๙) จบี
๑๐) ศาล ๑๑) กับ ๑๒) ต่อ
๑๓) กับ ๑๔) ความกา้ วหน้า ๑๕) เกยี่ วกบั
๑๖) แต่ ๑๗) ของ (ใช้กับสิง่ ของ,สตั ว)์ ๑๘) ใน (ใช้กับบคุ คล)
๑๙) แต่ (หรือจาก) ๒๐) แหง่
ข. แนวคาตอบ
๑) “ศาลากลาง” เป็นอาคาร ต้องใช้ลักษณนามว่า “หลัง” ประโยคน้ีแก้ไขเป็น ศาลากลาง
หลงั นีม้ ีอายไุ ด้ ๗๐ ปแี ลว้
๒) เราจะใช้คา “การ” นาเม่ือต้องการบ่งช้ีถึงการกระทา เช่น การสงบศึก แต่ในข้อความน้ี
หมายถึงความเป็นอยู่ จึงต้องใช้ว่า “ความสลบ” ประโยคนี้แก้ไขเป็น ความสงบคือปุ๋ยวิเศษที่เราเติมให้กับ
ชีวิต
๓) “สวนสาธารณะ” เปน็ สถานที่ ต้องใชล้ ักษณนามวา่ “แห่ง” ประโยคน้แี ก้ไขเปน็ บนเกาะ
มสี วนสาธารณะแห่งหนง่ึ ซ่ึงจาลองสวนญ่ปี ุ่นมาไว้
๔) ประโยคนี้ต้องใช้คาว่า “แห่ง” แทน “ของ” เพราะคาว่า “แห่ง” ใช้นาหน้าคานามท่ีเป็น
นามธรรม เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ประโยคน้ีแก้ไขเป็น สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพเป็นบิดา
แหง่ ประวตั ิศาสตร์ไทย
๕) ประโยคนี้ต้องใช้คาว่า “การ” แทน “ความ” เพราะเพ็งเล็งการกระทา ประโยคน้ีแก้ไข
เป็น การรว่ มทุกขร์ ่วมสุขของคนในชาตเิ ปน็ เร่อื งสาคญั
๖) ประโยคน้ีต้องใช้ “การ” แทน “ความ” เพราะเป็นกรณีท่ีต้องการหมายถึงการกระทา
ประโยคนีแ้ กไ้ ขเป็น ถ้ามกี ารแตกสามคั คีกันแล้ว ขอให้ถอื วา่ เปน็ ส่ิงที่น่าอับอายอย่างยิ่ง
๗) ประโยคนี้ต้องใช้คาบุพบทว่า “ต่อ” แทน “แก่” เพราะเป็นการแสดงความเกี่ยวข้องกัน
ความติดต่อกนั ประโยคน้ีแกไ้ ขเป็น จงปรานีต่อผู้เยาว์เบาปัญญา จงเมตตาผชู้ ราให้ผาสุก
๘) ประโยคน้ีต้องใช้คาบุพบท “กับ” แทน “แต่” เพราะใช้เป็นการแสดงความเก่ียวข้องกนั ใช้
นาหนา้ คานามเพื่อให้รวู้ ่านามนั้นเป็นเครื่องอาศยั ทากริยา ประโยคนแ้ี ก้ไขเป็น เราดูอะไรได้ทง้ั วนั แตใ่ จจดจ่อ
อย่กู บั สิง่ ใดส่งิ หนง่ึ สักครหู่ นึ่งดชู ่างยากเย็นเหลือเกนิ
๙. ประโยคนี้ต้องใช้คาบุพบท “ด้วย” แทน “โดย“ เพราะ “โดย” มักใช้นาหน้าคาที่เป็น
เคร่ืองมือเครื่องใช้ เช่น ไปโดยเคร่ืองบิน ส่วนคาว่า “ด้วย” มักใช้บอกความสัมพันธ์ ประโยคนี้แก้ไขเป็น
รปู โฉมของโลกจะเปล่ียนไปมากทีเดยี ว หากเราทุกคนอยู่รว่ มกันดว้ ยความรักความเมตตา
๑๐. “เบ็ด” ต้องใชล้ ักษณนามวา่ “คนั ” เพราะมีไมผ้ กู ด้วยสายเบ็ด ประโยคนแี้ กไ้ ขเปน็ เบ็ด
คนั นเ้ี คยตกปลาชนะเลศิ มาหลายครงั้ แล้ว
๑๑. คาอาการนามในข้อความน้ีต้องใช้ “การ” แทน “ความ” เพราะเป็นการบ่งช้ีการกระทา
โดยเฉพาะ ประโยคน้ีแก้ไขเป็น การอดทน อดกล้ัน และอดออมที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัตย์สุจริตไม่ว่า
ประการใด เปน็ คณุ ธรรมท่คี วรปฏิบัติ
๑๒. ประโยคน้ีต้องใช้คาบุพบทวา่ “แด่” แทน “แก”่ เพราะเราจะใช้คาว่า “แด่” สาหรับผู้ท่ี
เรานับถือ ประโยคนีแ้ ก้ไขเปน็ ประชาชนถวายเทียนพรรษาแดพ่ ระสงฆ์
กิจกรรม ๓
ก. แนวคาตอบ
๑) เมื่อขา้ พเจา้ กา้ วเขา้ ไปในห้องก็พบว่าคนรื้อข้าวของกระจุยกระจาย
๒) อาหารจดั ไว้อยา่ งเรยี บรอ้ ยงดงามใตแ้ สงจนั ทร์
๓) เขาข้นึ รถไฟไปภาคใตเ้ มอ่ื เช้านี้
๔) บรรยากาศในท่ปี ระชุมวันน้ี ผ้เู ขา้ รว่ มประชุมเถยี งกนั เสียงดงั ไม่มีใครยอมใคร
๕) มที นุ ให้นักศึกษาทค่ี รอบครัวมรี ายไดไ้ มเ่ กินเดือนละ ๘,๐๐๐ บาท และมีบตุ รเกนิ กว่า ๒ คน
ข. แนวคาตอบ
๑) เขาจัดรายการเพอ่ื ใหผ้ ฟู้ ังบันเทิงใจ
๒) แกเกดิ บ้าดีเดอื ดอะไรถงึ ขบั รถเร็วอย่างน้ี
๓) เธอใจกวา้ งเกินตัว เชิญคนทั้งบริษัทไปเล้ยี ง
๔) พ่อถอนใจด้วยความกลดั กลุ้ม
๕) คนเจบ็ ด้นิ ทรุ นทุราย
๖) เขาใช้เงินสรุ ่ยุ สุรา่ ย
๗) เขากวาดต้อนเชลย
๘) การขุดบ่อหากย้ายไปขุดท่ีล่มุ จะได้น้ากรอ่ ย
๙) เขาปร่ีเขา้ มาหาฉนั
๑๐)หนา้ ตาของเขาถอดแบบมาจากพ่อ
ค. แนวคาตอบ
๑) คาว่า “มีช่ือ” หมายถึง เป็นท่ีรู้จักกันแพร่หลายก็ได้หรือหมายถึงมีคาใช้เรียกก็ได้ ในท่ีนี้ควร
แกไ้ ขให้ชดั เจนวา่ “มีแสดงต้นไม้ชนดิ ตา่ งๆ ท่ีกล่าวถงึ ในวรรณคดี” หรอื “มกี ารแสดงต้นไมช้ นดิ ตา่ งๆ ท่ี
ปรากฏชอ่ื ในวรรณคดี”
๒) คาว่า “ทุกคน” ทาให้สับสนคืออาจตีความว่า ทารกต้องการความอบอุ่นจากอกมารดา
มากกว่าหนงึ่ คนซ่งึ ไมน่ ่าจะเปน็ เชน่ น้นั จึงควรเขียนวา่ “ทารกทกุ คนตอ้ งการความอบอนุ่ จากอกมารดา”
๓) ประโยคนี้ว่า “อากาศหนาวอย่างรวดเร็ว” หรือ “พ่อค้าข้ึนราคาเส้ือกันหนาวอย่างรวดเร็ว”
หากต้องการบอกว่าอากาศหนาวรวดเร็ว ก็ต้องเขียนเสียใหม่ว่า “เม่ืออากาศหนาวอย่างรวดเร็ว พ่อค้าพากัน
ขึน้ ราคาเส้ือกนั หนาว”
๔) ประโยคนอ้ี าจส่ือความหมาย “ผู้อื่นใช้คนดี” หรอื “คนดีใช้ผู้อ่ืน” ควรเพมิ่ คาว่า “ใคร” เป็น
“คนดใี ครใช้ให้ทาอะไรมักไม่ค่อยขดั ” หรอื “คนดีใชใ้ ครให้ทาอะไรมกั ไมค่ ่อยขัด”
๕) คาวา่ “ตก” มคี วามหมายได้หลายความหมาย ในท่ีน้ีอาจหมายถึง “เขา้ มา” หรือ “ซีดไป” ก็
ได้ จึงควรเพิ่มคาขยายเพ่ือให้ชัดเจนข้ึน เช่น “ผ้าตกมาใหม่คราวน้ี ไมม่ ีคนซ้ือ” หรือ ”ผ้าสีตกคราวนี้ ไม่มีคน
ซ้อื ”
๖) คาว่า “อื้อฉาว” บอกความไม่ชัดเจน บอกไม่ได้ว่ามากน้อยแค่ไหน ควรใช้คาขยายให้ชัดเจน
เชน่ หนงั สอื พิมพล์ งพาดหวั ข่าววา่ เขาคอรร์ ปั ชน่ั
๗) ประโยคนี้ควรเขียนให้ชดั เจนโดยเพ่ิมเตมิ คาว่า “ท่ี” หลังคาว่า “นักเรียนไทย” เป็น “ปล่อย
นักเรยี นไทยทต่ี หี ัวฝรั่ง”
๘) คาว่า “ท่ีดี” เป็นคาขยายของ “มีการระบายถ่ายเท” ไม่ใช่คาว่า “สิ่งโสโครก” จึงควรเขียน
ว่า “สง่ิ โสโครกมีการระบายถ่ายเททีด่ ี”
แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน ประจาแผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๓
จงเลือกคาตอบทถี่ ูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งคาตอบเดียว
๑. ขอ้ ใดใชค้ าไดถ้ ูกตอ้ ง
๑. เขาเรยี นหนงั สือไมเ่ ก่งเพราะภมู ิฐานไมด่ ี
๒. เขาไดน้ าปัญหาต่างๆ มาเผยแผ่ให้สังคมรู้
๓. ลทั ธินี้เป็นภยั ต่อชาวไทยท้ังมวล
๔. หลอ่ นไมช่ อบพอเดก็ คนนีน้ กั
๒. คาในข้อใดมีความหมายเหมอื นกนั
๑. กระปร้กี ระเปรา่ - เซอื่ งซมึ
๒. อยากได้ - กระหาย
๓. เห็นรางเลือน - เหน็ ถนดั
๔. ยุ่งเหยิง - เรยี บร้อย
๓. ข้อใดใช้คาสื่อความหมายไดถ้ กู ตอ้ งและชดั เจนทส่ี ดุ
๑. ถา้ คุณแม่เผอเรอเมือ่ ไหร่ ฉนั จะหนไี ปเท่ยี ว
๒. หมายกาหนดการเรอ่ื งท่ีพักของพวกเราออกมาแลว้
๓. เรอื เอียงวบู เพราะผู้โดยสารลกุ ข้นึ พรอ้ มกัน
๔. น้องเดินไปโรงเรยี นดว้ ยเท้า
๔. ข้อใดใชค้ าเชอ่ื มไดเ้ หมาะสม
๑. กว่าขา้ วจะสุกฉนั ก็หิวแย่สิ
๒. เพราะเธอกฉ็ นั ชวนกนั เตน้ รา
๓. ยาขนานนี้ใช้กินและทากบั ดมก็ดี
๔. แม้เขาจน เขาจึงไมล่ กั ขโมยของใคร
๕. ข้อใดใช้คาไม่ถูกต้อง
๑. ยายผัดผา้ โจงกระเบน
๒. รากฐานของตกึ หลงั นี้มน่ั คง แขง็ แรง
๓. ประชาชนแหไ่ ปวัดอยา่ งล้นหลาม
๔. ชมุ ชนนีแ้ ออัดมาก
๖. ประโยคใดไม่มีข้อบกพร่องในการใช้คา
๑. ระยะนี้กาลังมีการสับทข่ี า้ ราชการระดับสงู
๒. ยามเช้าเกลด็ น้าค้างยังคงจับอยบู่ นยอดหญา้
๓. นกั เรียนไม่ควรคลกุ คลีอยูก่ ับตารามากเกินไป
๔. ตารวจไม่พบวี่แววคนรา้ ย
๗. ขอ้ ใดละบุพบทแลว้ ความหมายอาจเปล่ยี นแปลง
๑. เพื่อนๆ รอเขาอย่รู าว ๓ ช่วั โมง
๒. ฉันคน้ หากระเป๋าทว่ั ไปหมด กระท่งั ห้องน้า
๓. นกั ศกึ ษาเดินทางไปสู่ชนบท
๔. เขากินข้าวหมดท้งั สองจาน
๘. ประโยคใดมลี ักษณนาม
๑. นอ้ งแอมปช์ อบนั่งดฝู ูงนกบินไปมา
๒. ถาวรคว่ากระดานหมากรกุ
๓. ตมิ๋ ชอบกินอาหารจานเดียวประเภทฟาสต์ฟู้ด
๔. ประธานเรียกประชมุ คณะกรรมการบรหิ าร
๙. ขอ้ ใดใช้คาได้ถกู ต้องตรงตามความหมาย
๑. ถนนทกุ สายมีรถชุกชมุ ทาให้การจราจรไม่คลคี่ ลาย
๒. เขาเป็นคนเผอเรอและยังชอบพดู จาก้าวร้าวอีกดว้ ย
๓. วัยรนุ่ สมยั นเ้ี หลาะแหละ ทาอะไรไมเ่ ป็นชน้ิ เป็นอัน ทั้งมีใจรวนเรอกี ด้วย
๔. ทนั ทที ่ตี ุ๊กตาไดร้ ับมอบหมาย เธอก็กลุ ีกจุ อทางานที่ไดร้ บั คาสั่งอยา่ งรีบเรง่
๑๐. ข้อความใดใชภ้ าษาระดับทางการ
๑. เครือ่ งบินลานัน้ หายเขา้ กลีบเมฆไปแล้ว
๒. คณะครูและนักเรียนจะไปทัศนศกึ ษาทจี่ ังหวัดกาญจนบรุ ี
๓. คณะฯ จะตวิ คณิตศาสตร์ให้ฟรี ใครสนใจเชญิ ได้
๔. สมยั นข้ี ้าวของแพงมาก คนส่วนใหญ่จงึ ชกั หน้าไมถ่ ึงหลัง
เฉลย
๑. ตอบข้อ ๓ ตัวเลอื กข้ออนื่ ใช้คาไมถ่ ูกตอ้ ง แกไ้ ขไดด้ ังนี้
ขอ้ ๑ ภมู ิฐาน แกไ้ ขเป็น พื้นฐาน
ข้อ ๒ เผยแผ่ แก้ไขเป็น ตีแผ่
ข้อ ๔ ชอบพอ แกไ้ ขเปน็ ชอบ
๒. ตอบข้อ ๒
๓. ตอบข้อ ๓ ตวั เลือกข้ออนื่ ใช้คาไมถ่ ูกต้อง แกไ้ ขได้ดงั น้ี
ข้อ ๑ ใช้คาว่า เผลอ แทนคาว่า เผอเรอ
ข้อ ๒ ใช้คาวา่ กาหนดการ แทนคาว่า หมายกาหนดการ
ข้อ ๔ ตดั คาวา่ “ด้วยเท้า” ออก เพราะเป็นลักษณะธรรมชาติที่ทุกคนต้องเดินดว้ ยเท้าอยู่แล้ว
๔. ตอบข้อ ๑ ตัวเลือกข้ออนื่ ใชค้ าเชื่อมไม่ถูกตอ้ ง แก้ไขได้ดงั น้ี
ขอ้ ๒ ใช้ ทั้ง...และ แทน เพราะ ... ก็
ขอ้ ๓ ใช้ กไ็ ด้ แทน และ กับ ก็ดี
ขอ้ ๔ ใช้ ถึง...ก็ แทน แม.้ ..จงึ
๕. ตอบข้อ ๑ ใชค้ าวา่ ผลดั (เปลย่ี น) แทนคาวา่ ผัด (เลอ่ื น)
๖. ตอบข้อ ๒ ตัวเลอื กข้ออน่ื ๆ มีข้อบกพรอ่ งในการใช้คา แก้ไขไดด้ ังนี้
ข้อ ๑ ใช้คาว่า โยกย้าย แทนคาวา่ สับท่ี
ข้อ ๓ ใช้คาว่า คร่าเคร่ง แทนคาว่า คลกุ คลี
ข้อ ๔ ใชค้ าวา่ ร่องรอย แทนคาวา่ วีแ่ วว
๗. ตอบข้อ ๒ ถ้าไม่เขียนบุพบท “กระท่ัง” ความหมายจะเปล่ยี นไปเปน็ หากระเป๋าทวั่ ทงั้ หอ้ งนา้
๘. ตอบข้อ ๓ ข้อ ๑ ฝงู นก เป็น สมุหนาม
ข้อ ๒ กระดาน เป็น คานาม
ข้อ ๔ คณะกรรมการ เป็น สมุหนาม
๙. ตอบข้อ ๒ ตวั เลือกข้ออนื่ ๆ ใชค้ าไม่ถูกต้อง แก้ไขได้ดังน้ี
ขอ้ ๑ ถนนทุกสายมีรถหนาแน่นทาใหก้ ารจราจรตดิ ขดั
ขอ้ ๓ วยั รุ่นสมยั นจี้ ับจด ทาอะไรไม่เปน็ ช้นิ เปน็ อัน ท้งั มใี จโลเลอกี ดว้ ย
ขอ้ ๔ ทนั ทที ี่ต๊กุ ตาไดร้ บั มอบหมาย เธอก็ขมขี มันทางานท่ไี ดร้ ับคาสงั่ อย่างขะมักเขม้น
๑๐.ตอบข้อ ๒ ตัวเลอื กข้ออ่นื ๆ มกี ารใช้คาทีเ่ ปน็ ภาษาไม่เปน็ ทางการ ดงั น้ี
ขอ้ ๑ หายเขา้ กลีบเมฆ
ข้อ ๓ คณะฯ ติว ฟรี เชญิ ได้
ข้อ ๔ สมยั นีข้ ้าวของแพงมาก ชักหนา้ ไมถ่ ึงหลัง