The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ ม.4 ภาคเรียนที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by krunuch0324, 2022-09-01 05:43:16

แผนการจัดการเรียนรู้ ม.4 ภาคเรียนที่ 1

แผนการจัดการเรียนรู้ ม.4 ภาคเรียนที่ 1

๑๐. าันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้

๑๐.๑ ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้
ด้านผ้เู รียน................................................................................................................. ........

..............................................................................................................................................
ด้านวิธสี อนการวดั ผล.......................................................................................................... ..

................................................................................................................................................
ด้านสอ่ื การเรียนรู.้ ......................................................................................................... ..........

................................................................................................................................................
๑๐.๒ ปญั หา/อุปสรรคในการจัดการเรยี นรู้..................................................................................... ....
.........................................................................................................................................................
๑๐.๓ ส่ิงท่ีไม่ได้ปฏิบัติตามแผน…..…………………………………………………….………………………………………
.........................................................................................................................................................

เหตุผล……..……………………………………………………………………………………………………………………………
........................................................................................................................................................
๑๐.๔ แนวทางการปรบั ปรุงคร้ังต่อไป ..............................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ................................................................... ผสู้ อน

๑๑. แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรียน

เกณฑค์ ุณภาพการสังเกตพฤติกรรมนกั เรยี นดา้ น.........................................

ระดาั คุณภาพ
ท่ี รายการประเมิน

๑๒๓

๑ การทางานร่วมกัน ยอมรบั มติการทางาน ยอมรับมติของกลุ่ม - ยอมรับมติของกลมุ่
ของกลมุ่ แต่ปฏิบัติ
ตามน้อยครั้ง - รับผิดชอบงานที่รบั
มอบหมายจากกลุ่ม

๒ ความกระตอื รือร้น ช่วยเหลืองานภายใน - ช่วยเหลอื งานในกลุ่ม - ช่วยเหลืองานภายใน
กลุ่มเม่ือมีการร้องขอ
- รว่ มแสดงความ กลุ่ม

คิดเหน็ - รว่ มแสดงความคดิ เห็น

- ใฝร่ ูใ้ ฝเ่ รียน

- ศกึ ษาค้นควา้

๓ การตอบคาถาม มสี ว่ นร่วมในการตอบ มสี ว่ นร่วมในการตอบ ให้ความรว่ มมือในการ

คาถามน้อยมาก คาถามบางคร้ัง ตอบคาถามเปน็ อย่างดี

๔ ความคดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ รว่ มกิจกรรมตามที่ รบั ฟงั แตแ่ สดงความ รว่ มรับฟังและแสดง
กลุ่มขอรอ้ ง คดิ เห็นทค่ี ล้อยตาม ความคดิ เหน็ ท่ีแตกต่าง
เพื่อนๆ แตม่ ีประโยชน์

แาาการประเมินการสังเกตพฤติกรรมนักเรยี นด้านการทางานเป็นกล่มุ

รายการประเมนิ สรปุ ผล

ท่ี ชื่อ-สกลุ การทางาน ความ การตอา ความคิดริเรม่ิ รวม
ร่วมกัน กระตอื รือรน้ คาถาม สร้างสรรค์ (๑๒) ผ่าน ไมผ่ ่าน

(๓) (๓) (๓) (๓)



















๑๐

เกณฑก์ ารประเมิน
๙ - ๑๒ คะแนน ระดบั ๓ = ดี
๕ – ๘ คะแนน ระดบั ๒ = พอใช้
ต่ากวา่ ๕ คะแนน ระดับ ๑ = ควรปรบั ปรงุ

สรุปผลการประเมนิ
 ดี  พอใช้  ปรับปรงุ

เกณฑก์ ารตดั สนิ ใจ
 ผา่ น  ไมผ่ ่าน

หมายเหตุ : เกณฑเ์ ป็นไปตามทีโ่ รงเรยี นกาหนด
ลงช่อื ............................................................................ผูป้ ระเมิน

๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ

๑๒.๑ กิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่านเชงิ วิเคราะห์ ประกอบดว้ ยขน้ั ตอน ดงั นี้

ขัน้ รวบรวมข้อมูล

นักเรยี นหาความรเู้ กี่ยวกับคาประพนั ธป์ ระเภทฉนั ท์

ขั้นวิเคราะห์

นักเรียนอธิบายลักษณะของฉันท์ประเภทต่างๆ เช่น อินทรวิเชียรฉันท์ อุเปนทรวิเชียรฉันท์ วิชชุม

มาลาฉนั ท์ วสนั ตดลิ กฉันท์ ภชุ งคประยาตฉนั ท์ ฯลฯ

ขั้นสรุป

นกั เรียนสรุปลกั ษณะของฉันทใ์ นประเภทตา่ งๆ

ขั้นประยกุ ต์ใช้

นักเรยี นเขยี นลกั ษณะของฉนั ท์ประเภทตา่ งๆ แล้วนาไปตดิ ปา้ ยนิเทศ

๑๒.๒ กิจกรรมบูรณาการ

กจิ กรรมที่ ๑

ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่ ๑ ทัศนศิลป์ โดยให้นักเรียน

วาดภาพคุณครูในดวงใจ อาจเป็นครูสมัยอนุบาล ประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษาก็ได้ และให้นักเรียนเขียน

ความรสู้ กึ ที่มีตอ่ ครูผนู้ ั้น

ภาระงาน “วาดภาพคณุ ครใู นดวงใจ”

การบรู ณาการ มฐ. ท ๒.๑ และ มฐ. ศ ๑.๑

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ให้นักเรยี นฝกึ เขียนถ่ายทอดอารมณค์ วามร้สู ึกเชอ่ื มโยงกบั การวาดภาพ

ผลงานที่ต้องการ ภาพครูในดวงใจและการเขียนแสดงความรู้สึกท่มี ตี ่อครูทา่ นนน้ั

ข้ันตอนการทางาน

๑. นักเรียนวาดภาพครใู นดวงใจของนักเรียน อาจเปน็ ครูสมัยอนุบาล

ประถมศึกษา หรือมธั ยมศกึ ษาก็ได้

๒. นกั เรยี นเขียนความรู้สกึ ท่ีมตี ่อคุณครูผู้น้ัน

๓. ครูให้คะแนนตามความเหมาะสม

เกณฑ์การประเมนิ

๑. ความสวยงามของภาพ

๒. การใช้ภาษาและอักขรวิธี

๓. ความน่าสนใจของการนาเสนอ

กิจกรรมที่ ๒

ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี สาระที่ ๔ :

เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใหน้ ักเรยี นศกึ ษาสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกสจ์ ากของจริงและให้นกั เรยี นปฏิบตั ิกิจกรรม ดังน้ี

ภาระงาน “สบื ค้นข้อมูลเกยี่ วกับสัญลกั ษณ์ของวนั พ่อแห่งชาติ วันแม่แหง่ ชาติ และวันครู”

การบูรณาการ มฐ. ท ๕.๑ และ ง ๔.๑
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ มีทักษะในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อศึกษารวบรวมเว็บไซต์ที่ให้ความรู้
ผลงานทีต่ อ้ งการ เก่ยี วกบั สญั ลกั ษณว์ ันพ่อแหง่ ชาติ วันแมแ่ หง่ ชาติ และวันครู
ข้นั ตอนการทางาน ขอ้ มลู เก่ียวกับสญั ลักษณข์ องวันพ่อแหง่ ชาติ วนั แม่แห่งชาติ และวนั ครู

เกณฑ์การประเมนิ ๑. กาหนดให้นกั เรียนเลือกสืบคน้ ขอ้ มลู จากอินเทอรเ์ นต็
๒. นักเรียนนาผลงานการสืบค้นมาจัดทาเป็นสมุดคู่มือการสืบค้นแหล่งเรียนรู้เพื่อ
วจิ ารณ์วรรณกรรมใหม้ ีคุณค่ามากย่งิ ข้ึน
๓. นาผลงานการศกึ ษาค้นควา้ ดงั กล่าวนาเสนอหน้าชัน้ เรียน

๑. ความถูกตอ้ งครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลทีค่ ้นคว้ามานาเสนอ
๒. ความประณีต เรียบรอ้ ย
๓. ความนา่ สนใจในการนาเสนอ

๑๓. ใบความรู้ ใบงาน และเครอ่ื งมือวัดผล

๑๓.๑ ใบความรู้
๑. อนิ ทรวเิ ชยี รฉนั ท์
อนิ ทรวิเชยี รฉันท์ หมายถึง ฉันท์ทม่ี ีลีลาอนั งดงามประดุจฟา้ อาวุธของพระอินทร์ นยิ มใช้ในการแตง่ คา
ประพันธบ์ ทชมความงาม บทครา่ ครวญ บทสวด และบทพากย์
อินทรวิเชียรฉันท์จะมีแบบแผนคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่มีลักษณะต่างกันคือ มีการเพ่ิมคาครุและ
ลหุเข้าไป อีกทัง้ ยงั ใช้เป็นบทสวดและพากย์โขนอีกด้วย
คาท่ใี ชใ้ นการแต่งอนิ ทรวเิ ชยี รฉนั ท์ คือ คาครุ และลหุ
คาครุ
คาครุ หมายถึง คาที่ประสมด้วยเสียงตัวสะกดทุกมาตรา (กก กด กบ กม เกย เกอว กน กง กม)
รวมทัง้ สระเสยี งยาวในแม่ ก กา และสระ อา ไอ ใอ และเอาด้วย
ตวั อย่างคาครุ
พอ่ กิน ขา้ ว น้อง ร้อง เพลง ไก่ ขัน ยาม เช้า
คาลหุ
คาลหุ หมายถึง คาทีป่ ระสมดว้ ยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เท่านน้ั
ตัวอย่างคาลหุ
มะลิ กระทะ กะปิ พละ ตะกละ ปะทะ
สัญลกั ษณ์ของคาครุ คือ รปู ไมห้ ันอากาศ สว่ นคาลหุ คือ รูปสระอุ
แผนผังอนิ ทรวเิ ชียรฉันท์

ั ัุั ั ุ ุ ั ุ ั ั

ตัวอย่างคาประพนั ธ์ ั ัุั ั ุุ ัุัั

โอ้โอก๋ ระไรเลย บ่ มิเคย ณ ก่อนกาล
พอเห็นกซ็ าบซ่าน ฤดริ กั บ หกั หาย
ละกย็ ง่ิ จะร้อนคลาย
ย่ิงยลวนิดา ณ อรุ า บ่ ลาลด
เพลงิ รมุ ประชมุ ภาย
(พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั , มทั นะพาธา)

๒. ประวัติและผลงานของพระยาศรสี นุ ทรโวหาร (น้อย อาจรยิ างกรู )
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เกิดเม่ือวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๖ ที่จังหวัด

ฉะเชงิ เทรา ได้ร่าเรียนวชิ าภาษาไทยและภาษาขอมจนเชี่ยวชาญ และได้ศึกษาบวชเรียนคัมภรี ์พระพุทธศาสนา
กบั พระครูในสานกั ตา่ งๆ เชน่ สานกั พระสังฆราช (ดอ่ น) สานกั พระอปุ ทยาจารยิ ศุข สานกั สมเดจ็ พระพทุ ธาจรยิ
(สน) จนสอบแปลพระปริยัติธรรมได้เป็นเปรียญ ๕ ประโยค เมื่ออายุ ๒๑ ปี ต่อมาได้เพียรเล่าเรียนในสานัก
พระอาจารยอ์ ่นื ๆ อีก ได้เข้าสอบแปลพพระปรยิ ัตธิ รรมเลือ่ นชน้ั เป็นเปรยี ญเอก ๗ ประโยค

ท่านดารงในสมณเพศอยู่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ๙ พรรษา และในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีก ๒ พรรษา จากนั้นได้ลาสิกขาเข้ารับราชการในกรมมหาดเล็ก ได้
เลื่อนเป็นขุนประสิทธิอักษรสาตร ดารงตาแหน่งผู้ช่วยกรมพระอาลักษณ์ และเป็นเจ้ากรมอักษรพิมพการ
ตามลาดับ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เลื่อนตาแหน่งยศเป็นท่ีขุนสาร
ประเสริฐ พระศรสี ุนทรโวหาร และพระยาศรีสุนทรโวหาร ในทสี่ ดุ ไดร้ ับพระมหากรุณาธคิ ุณโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ต้ัง
ให้เป็นองคมนตรีทป่ี รกึ ษาราชการ และเป็นพระอาจารยถ์ วายพระอกั ษรแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้า
มหาวชิรณุ หิศ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้ามหาวชิราวธุ สยามมกฎุ ราชกุมารอกี ด้วย

พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาภาษาไทย ท่านได้แต่ง
แบบเรียนภาษาไทย คือ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน พิศาลการันต์ ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แบบเรียนชุดนี้ใช้สอนท้ังพระบรมวงศานุวงศ์ และบุตรหลาน
ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยในสมัยน้ัน ต่อมาท่านยังได้แต่งแบบเรียนเพิ่มเติมอีก ได้แก่ อนันตวิภาค เขมรากษร-
มาลา ปกีรณาพจนาตถ์ พรรณพฤกษา สัตวาภิธาน และแบบโคลงฉนั ทอ์ ีกหลายเร่อื ง

พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) นับเป็นปราชญ์คนสาคัญของไทย พระราชวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ทรงยกย่องว่าท่าน “เป็นศาลฎีกาในเร่ืองหนังสือไทย เมื่อตัดสินว่ากระไร ก็เป็นคา
พพิ ากษาสดุ ท้าย ใครจะเถยี งวา่ กระไรอกี กฟ็ ังไม่ข้ึนในสมยั นั้น” แสดงว่าท่านเปน็ ผู้รอบรู้ในวชิ าภาษาไทยท่ยี าก
จะหาผใู้ ดเสมอเหมอื นได้ ท่านถงึ แกอ่ นจิ กรรมเม่อื วนั ที่ ๑๖ ตุลาตม พ.ศ. ๒๔๓๕ สริ ิอายุ ๖๙ ปี

(สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสอื เรียน รายวิชาพ้นื ฐาน ภาษาไทย
วรรณคดีวิจกั ษ์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔.)

เครอ่ื งมอื วดั ผล
๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบตั กิ ิจกรรม ( ดทู า้ ยหนว่ ย )
๒. แบบประเมินผลการปฏิบตั ิกจิ กรรม ( ดทู ้ายหนว่ ย )
๓. แบบประเมนิ ผลการเขียนยอ่ ความ ( ดทู ้ายหนว่ ย )
๔. แบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นหลงั เรยี น

๑๔. เฉลยกิจกรรมและแบบทดสอบ

กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ
กจิ กรรม ๑

ก และ ข
แล้วแต่ดุลยพนิ ิจของอาจารย์ผ้สู อน

แบบทดสอบก่อนเรยี นผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นประจาหน่วยการเรียนรู้ท่ี ๙

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๙ บทนมัสการมาตาปิตคุ ุณและบทนมัสการอาจริยคณุ

เลอื กคาตอบทีถ่ กู ตอ้ งท่ีสดุ เพยี งคาตอบเดยี ว

๑. นกั เรียนคิดว่าบทนมัสการมาตาปิตุคุณและบทนมัสการอาจรยิ คุณแต่งในสมัยใด

๑. สโุ ขทยั ๒. อยุธยา

๓. ธนบรุ ี ๔. รัตนโกสนิ ทร์

๒. ผ้แู ตง่ บทนมสั การมาตาปติ ุคุณและบทนมัสการอาจรยิ คุณคอื ผใู้ ด

๑. ศรีปราชญ์

๒. พระศรีสนุ ทรโวหาร (ภู)่

๓. พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)

๔. สมเดจ็ พระสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส

๓. รปู แบบคาประพันธ์ของบทนมสั การมาตาปิตุคุณและบทนมัสการอาจริยคุณคอื อะไร

๑. วชิ ชุมมาลาฉนั ท์ ๒. อนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท์

๓. อุเปนทรวเิ ชยี รฉนั ท์ ๔. ภชุ งคประยาตฉันท์

๔. คาประพันธ์ประเภทฉนั ท์ใชค้ าชนิดใด

๑. คาครุ ลหุ ๒. คาเป็น คาตาย

๓. คาประสมและคาซ้อน ๔. คาสรรพนามและวิเศษณ์

๕. บาทแรกของข้อใดไม่ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ของบทนมัสการมาตาปิตคุ ุณและบทนมสั การอาจรยิ คณุ

๑. ราชาพระมิง่ ขวญั สนุ ิรนั ดร์ประเสริฐศรี

๒. บงเนื้อกเ็ น้ือเตน้ พิศเส้นสรีรัว

๓. น้าตาคือเพ่ือนแท้ จิตหอ่ นแก้หยาดคลอเคลีย

๔. เพญ็ แสงพสิ ุทธ์ศิ รี สวลพี สิ ุทธล์ิ ้า

๖. สญั ลกั ษณว์ ันพอ่ แหง่ ชาตคิ ือส่ิงใด

๑. ดอกมะลิ ๒. ดอกกลว้ ยไม้

๓. ดอกบานไม่รโู้ รย ๔. ดอกพุทธรกั ษา

๗. สญั ลักษณว์ ันแม่แหง่ ชาตคิ ือสงิ่ ใด

๑. ดอกมะลิ ๒. ดอกกล้วยไม้

๓. ดอกบานไมร่ ู้โรย ๔. ดอกพทุ ธรักษา

๘. สญั ลักษณว์ นั ครูแหง่ ชาตคิ ือส่งิ ใด ๒. ดอกกล้วยไม้
๑. ดอกมะลิ ๔. ดอกพุทธรักษา
๓. ดอกบานไมร่ โู้ รย
๒. ๑๒ สงิ หาคม
๙. วนั ครูแหง่ ชาติตรงกับวนั ใด ๔. วันพฤหัสบดีทส่ี องของเดือนมถิ นุ ายน
๑. ๕ ธนั วาคม
๓. ๑๖ มกราคม ๒. เรอื จา้ ง
๔. โคมไฟและเชิงเทียน
๑๐. ข้อใดไมใ่ ช่คาเปรยี บของครู
๑. แมพ่ ิมพ์
๓. พ่อแมค่ นท่สี อง

เฉลย

๑. ๔ ๒. ๓ ๓. ๒ ๔. ๑ ๕. ๓

๖. ๔ ๗. ๑ ๘. ๒ ๙. ๓ ๑๐. ๔



แบบทดสอบหลังเรียนผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นประจาหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๙

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๙ บทนมสั การมาตาปติ คุ ุณและบทนมัสการอาจรยิ คุณ

เลือกคาตอบท่ถี ูกตอ้ งทส่ี ุดเพียงคาตอบเดยี ว

๑. บทนมัสการมาตาปติ คุ ณุ เปรยี บเทียบพระคณุ ของพ่อแม่ว่าอย่างไร

๑. พระคุณของพอ่ แม่ใหญ่กว่าเขาหนิ และแผน่ ดิน

๒. พระคุณของพ่อแมน่ ั้นใหญ่กว่าผืนฟา้

๓. พระคณุ ของพอ่ แม่ยิง่ ใหญ่กวา่ สามโลกรวมกัน

๔. พระคณุ ของพอ่ แมน่ ้ันย่ิงใหญ่กวา่ พนื้ น้า

๒. ขอ้ คดิ จาก “นมสั การมาตาปติ ุคณุ ” ขอ้ ใดไม่ถกู ตอ้ ง

๑. บิดามารดาคือเจา้ ชวี ติ ผู้มีบุญคณุ อนั ใหญ่หลวง

๒. ผเู้ ปน็ อภิชาตบุตรย่อมราลึกถึงพระคุณของพอ่ และแมเ่ สมอ

๓. เราควรระลึกถงึ พระคณุ ของพ่อแม่และตอบแทนพระคณุ ท่าน

๔. ผู้เปน็ บตุ รเปรียบแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพอ่ และแมอ่ ยเู่ สมอ

๓. ข้อใดไมใ่ ช่ลกั ษณะของครูในบทนมัสการอาจารยิ คุณ

๑. ไมห่ วงวชิ าการสอน

๒. มจี ติ เปน็ ธรรมไม่ลาเอียง

๓. ถอื ครบทงั้ เบญจศลี และเบญจธรรม

๔. มจี ติ ใจอารแี ละมีเมตตากรุณาตอ่ นักเรยี น

๔. “คณุ สว่ นน้คี วรนบั ถอื ว่าเลิศ ณ แดนไตร” คาวา่ แดนไตร หมายถึงข้อใด

๑. พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์

๒. นักเรียน ครู ผู้ปกครอง

๓. บา้ น วดั และโรงเรียน

๔. แดนนรก แดนมนษุ ย์ และแดนสวรรค์

๕. ข้อใดมกี ารใชภ้ าพพจน์

๑. เปรียบหนกั ชนกคณุ ชนนีคือภูผา

๒. ฟูมฟักทะนถุ นอม บ บาราศนิราไกล

๓. เหลือที่จะแทนทด จะสนองคุณานนั ต์

๔. ตรากทนระคนทกุ ข์ ถนอมเลย้ี ง ฤ ร้วู าย

๖. คาประพนั ธ์ในข้อใดแสดงความยากลาบากของพอ่ แม่ไดช้ ัดเจนทีส่ ดุ

๑. เปรยี บหนกั ชนกคุณ ชนนคี อื ภผู า

๒. ฟมู ฟกั ทะนถุ นอม บ บาราศนริ าไกล

๓. เหลือที่จะแทนทด จะสนองคุณานันต์

๔. ตรากทนระคนทุกข์ ถนอมเล้ียง ฤ ร้วู าย

๗. แทบ้ ูชไนยอนั อุดมเลิศประเสริฐคณุ คาว่า บชู ไนย หมายถงึ อะไร

๑. พระคณุ ของพ่อแม่ ๒. จากไปแสนไกล

๓. ส่ิงที่พึงบูชา ๔. มีคุณมากหนักหนา

๘. ข้อใดมกี ารเลน่ เสยี งพยญั ชนะชัดเจนท่ีสุด

๑. อนึง่ ข้าคานับน้อม ต่อพระครูผ้กู ารุญ

๒. โอบเอ้ือและเจือจุน อนุสาสนท์ ุกสิ่งสรรพ์

๓. ยัง บ ทราบก็ไดท้ ราบ ทง้ั บญุ บาปทกุ สงิ่ อนั

๔. ช้แี จงและแบง่ ปนั ขยายอัตถใ์ หช้ ัดเจน

๙. โอบเอื้อและเจือจนุ อนสุ าสน์ทุกสิ่งสรรพ์ คาวา่ อนสุ าส์น หมายถงึ อะไร

๑. เน้ือความ ๒. คาส่ังสอน

๓. พระคณุ ครู ๔. การคารวะ

๑๐. กังขา ณ อารมณ์ ก็สว่างกระจ่างใจ คาวา่ กงั ขา หมายถึงอะไร

๑. หลงเชื่อ ๒. นกึ คดิ

๓. สงสัย ๔. รู้แจง้

เฉลย ๒. ๔ ๓. ๓ ๔. ๔ ๕. ๑
๑. ๑ ๗. ๓ ๘. ๒ ๙. ๒ ๑๐. ๓
๖. ๔

การประเมนิ และสะทอ้ นตนเองหลงั เสรจ็ ส้ินการเรยี นในหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๙
(Self Reflection)

๑. การประเมนิ ตนเองของผูเ้ รยี น ให้ดาเนนิ การดังนี้
๑.๑ ผู้สอนทบทวนผลการเรยี นร้ปู ระจาหนว่ ยทกุ ข้อใหผ้ เู้ รียนได้ทราบ โดยอาจเขียนไว้บนกระดาน
พร้อมท้งั ทบทวนถึงหัวข้อกจิ กรรมการเรยี นว่าได้เรียนอะไรบา้ ง
๑.๒ ให้ผู้เรียนเขยี นบันทึกการประเมนิ ตนเองไว้ในสมดุ งานด้านหลงั ตามหัวขอ้ ดังน้ี

บนั ทกึ การประเมินและสะท้อนตนเองประจาหนว่ ยการเรียนรู้ที่..............
วนั /เดอื น/ปี ทบ่ี นั ทกึ ................./................../...................

รายการบนั ทกึ
๑. จากการเรียนทผี่ ่านมาไดม้ คี วามรู้อะไรบ้าง

............................................................................................................................. ..........................................
....................................................................................... ................................................................................
๒. ปัจจบุ นั นีม้ ีความสามารถปฏิบัตสิ ง่ิ ใดไดแ้ ล้วบา้ ง
........................................................................................................................... ............................................
............................................................................................................................. ..........................................
๓. ส่ิงทยี่ ังไม่รู้ ไมก่ ระจ่าง ไมเ่ ข้าใจ มีอะไรบ้าง
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
๔. ผลงานหรือช้ินงานที่เนน้ ความภาคภูมใิ จจากการเรยี นในหน่วยน้คี อื อะไร ทาไมจงึ ภาคภูมิใจ
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................................

๒. การพฒั นาการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการวิจยั ในชั้นเรียนของผู้สอน

ชอ่ื เร่ืองทีว่ ิจัย......................................................................................................
๒.๑ ความเป็นมาของปัญหา

สง่ิ ท่ีคาดหวงั
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

ส่ิงทเ่ี ปน็ จริง
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

ปญั หาท่พี บคือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

สาเหตขุ องปัญหาคือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

แนวทางการแก้ไขปญั หาคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒.๒ วตั ถปุ ระสงค์ในการแกป้ ญั หา

๑. เพ่อื แก้ปญั หาเร่ือง...............................................................................................
ของผ้เู รยี นชัน้ ............................... ห้อง................ จำนวน.................คน โดยใช้............................

.......................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................... ................

๒. เพ่อื ศึกษาผลการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับ............................................................................... .......
หลังจากทีไ่ ด้ทดลองใชว้ ธิ ีแก้ปญั หาโดย......................................................................................... .

......................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

๒.๓ ขอบเขตของการแกป้ ัญหา
๑. กลุ่มเปา้ หมายในการแก้ปญั หาคือ ผเู้ รียนชัน้ ................................ หอ้ ง.......................................

จานวน......................คน ในภาคเรยี นท่.ี ................ ปกี ารศึกษา................... ท่มี ปี ัญหาเกย่ี วกบั .......................
๒. เนือ้ หาทใี่ ช้ในการศกึ ษาคือ เรอ่ื ง........................................................... หนว่ ยการเรยี นร้.ู .............
วิชา.................................................................................................
๓. ระยะเวลาในการศกึ ษา ประมาณ....... สัปดาห์/เดือน ต้ังแตว่ นั ท่ี ......... เดือน............. พ.ศ. .......
ถงึ วันท่ี ............. เดอื น ................................ พ.ศ. ...................

๒.๔ วธิ ีดาเนินการในการแก้ไขปญั หา
๑. เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการแก้ปญั หาคอื

............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................

ซึง่ มขี นั้ ตอนในกำรสร้ำงและพัฒนำดงั น้ี
............................................................................................................................. ..........................................
....................................................................................... ................................................................................

๒. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู คือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

ซึ่งมขี ้ันตอนในการสร้างและตรวจสอบคุณภาพดังนี้
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

๓. การเก็บรวบรวมข้อมลู ไดด้ าเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลตามวธิ ีการดงั น้ี

๑. นาเครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการแก้ปัญหาไปทดลองใชก้ บั ผู้เรยี นในเวลา ...............................................
โดย.................................................................................................................... ..........

.....................................................................................................................................................
๒. นาเครอ่ื งมือเก็บรวบรวมขอ้ มูลไปเกบ็ ข้อมูลเกี่ยวกบั ................................................................

โดย................................................................................................................. ..........................
.....................................................................................................................................................

๔. การวิเคราะห์ข้อมูลและการสรุปผล ไดด้ าเนนิ การวเิ คราะห์ข้อมูลและสรปุ ผลดงั น้ี
............................................................................................................................. ..........................................
............................................................................................................................. ..........................................

๒.๕ ผลการแกป้ ญั หา
ผลการแกป้ ญั หาเกย่ี วกับ ............................................................................................................
ของผู้เรยี นกลุ่มเป้าหมาย ปรากฏผลดังนี้

.......................................................................................................................................................................

................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................

.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

เคร่อื งมอื วัดผล
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียน

เลขที่ ช่อื -สกุล ความ ความ ความ ความ ระเบียบ คะแนน
สนใจ ต้งั ใจ รว่ มมือ รับผดิ ชอบ วนิ ัย รวม

เกณฑ์การให้คะแนน ดมี าก ให้คะแนน ๔

ดี ให้คะแนน ๓

พอใช้ ให้คะแนน ๒

ควรปรับปรุง ใหค้ ะแนน ๑

เกณฑก์ ารประเมิน

นกั เรียนได้คะแนนรวม ๑๖ - ๒๐ อยูใ่ นเกณฑ์ดมี าก

นักเรียนได้คะแนนรวม ๑๑ - ๑๕ อยู่ในเกณฑ์ดี

นักเรียนได้คะแนนรวม ๖ - ๑๐ อยใู่ นเกณฑ์พอใช้

นกั เรยี นได้คะแนนรวม ๑ - ๕ อยใู่ นเกณฑ์ควรปรับปรงุ

ลงช่อื .................................................................................................(ผู้ประเมิน)

แบบประเมนิ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมกลมุ่

กล่มุ ท่.ี .............
ข้อท่ี รายการประเมนิ ดีมาก ดี พอใช้ ควร

(๔) (๓) (๒) ปรับปรุง
(๑)

๑ ความร่วมมอื และการจดั การภายในกลุม่
๒ ความสามารถปฏบิ ัติกจิ กรรมทไ่ี ดร้ ับมอบหมายอย่างถกู ต้อง
๓ การรกั ษาระเบียบวินัยในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
๔ ความเรียบร้อยในการปฏบิ ตั ิงาน
๕ ความสนใจและความกระตือรือรน้ ของสมาชิกในกลุ่ม

ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ ............................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
สรปุ ผลการประเมนิ ......................................................................................................................... ....
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๒๑ - ๒๕ แสดงวา่ ผลงานนักเรียนอยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
นักเรียนได้คะแนนรวม ๑๖ - ๒๐ แสดงวา่ ผลงานนักเรยี นอยูใ่ นเกณฑ์ ดี
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๖ - ๑๐ แสดงวา่ ผลงานนักเรียนอยูใ่ นเกณฑ์ พอใช้
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๐ - ๕ แสดงว่าผลงานนักเรียนอยใู่ นเกณฑ์ ควรปรับปรุง

ลงชือ่ .................................................................................................(ผปู้ ระเมิน)

แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม

คาช้แี จง เขียนเติมคะแนนและระดับคณุ ภาพตามความเป็นจริง

กิจกรรม คะแนน ไดร้ ะดบั คุณภาพ

เต็ม ได้ .........................................

กิจกรรม ๑ ขอ้ ๑ ๑๐ .........................................

ขอ้ ๒ ๕ .........................................
.........................................
ขอ้ ๓ ๕
ตนเอง
ขอ้ ๔ ๔

ขอ้ ๕ ๑๐

รวมคะแนน ๓๔

กิจกรรม ๒ ข้อ ๑ ๑๐

ขอ้ ๒ ๓

ขอ้ ๓ ๑๐

ขอ้ ๔ ๑๒

รวมคะแนน ๓๕

กจิ กรรม ๓ ขอ้ ๑ ๑๐

ขอ้ ๒ ๑๐

ข้อ ๓ ๑๐

ขอ้ ๔ ๘

รวมคะแนน ๓๘

กจิ กรรม ๔ ขอ้ ๑ ๕

ขอ้ ๒ ๑๐

รวมคะแนน ๑๕

ผปู้ ระเมิน ครู เพอื่ น

เกณฑก์ ารประเมิน คาตอบถกู ต้อง ชดั เจน มเี หตุมผี ล

เกณฑ์การจดั อนั ดบั คณุ ภาพ

คะแนนรวมในแต่ละกจิ กรรมไดร้ ้อยละ ๘๐ ขน้ึ ไป ให้ ๓ (ดี)
คะแนนรวมในแต่ละกิจกรรมได้รอ้ ยละ ๕๐-๗๙ ให้ ๒ (พอใช้)
คะแนนรวมในแต่ละกจิ กรรมไดร้ ้อยละ ๕๐ ให้ ๑ (ควรปรบั ปรุง)
เกณฑค์ ุณภาพการผ่าน
ได้ระดบั “พอใช้” ขน้ึ ไป

;k, หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๑๐ าทละครเร่ือง อิเหนา ตอน ศกึ กะหมังกหุ นงิ

รายวชิ าภาษาไทย เวลา ๖ ชวั่ โมง

๑. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ดั

มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนาไปตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ
ดาเนนิ ชวี ิต และมนี สิ ัยรกั การอา่ น

ตัวชี้วัดท่ี ๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสม
กับเรอ่ื งท่ีอ่าน

ตวั ชว้ี ัดท่ี ๒ อ่านตีความ แปลความ และขยายความเร่ืองที่อ่าน
ตวั ช้วี ดั ที่ ๓ วเิ คราะห์และวจิ ารณ์เร่ืองท่อี า่ นในทกุ ๆ ดา้ นอย่างมเี หตผุ ล
ตัวชี้วดั ท่ี ๔ คาดคะเนเหตุการณ์จากเร่ืองท่ีอ่าน และประเมินค่าเพื่อนาความรู้ ความคิดไปใช้

ตัดสนิ ใจแกป้ ญั หาในการดาเนินชีวติ
ตัวชี้วดั ท่ี ๕ วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับเร่ืองท่ีอ่าน และเสนอความคิดใหม่

อยา่ งมเี หตผุ ล
ตวั ชว้ี ัดที่ ๖ ตอบคาถามจากการอ่านประเภทตา่ งๆ ภายในเวลาท่กี าหนด
ตัวชว้ี ดั ที่ ๗ อ่านเรอ่ื งต่างๆ แลว้ เขยี นกรอบแนวคดิ ผังความคิด บนั ทึก ยอ่ ความ และรายงาน
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๙ มมี ารยาทในการอา่ น
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า
และนามาประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตจริง
ตัวชี้วัดที่ ๑ วเิ คราะห์และวิจารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการวิจารณเ์ บ้ืองต้น
ตัวชี้วัดท่ี ๒ วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเช่ือมโยงกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต

ของสังคมในอดตี
ตัวชี้วัดท่ี ๓ วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะที่

เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
ตวั ชว้ี ดั ท่ี ๔ สงั เคราะหข์ อ้ คิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือนาไปประยุกตใ์ ช้ในชีวติ จรงิ
ตัวชว้ี ัดที่ ๕ รวบรวมวรรณกรรมพ้ืนบ้านและอธบิ ายภมู ิปัญญาทางภาษา
ตวั ชี้วดั ที่ ๖ ทอ่ งจาและบอกคุณคา่ บทอาขยานตามท่ีกาหนดและบทรอ้ ยกรองท่ีมคี ุณคา่ ตามความ

สนใจ และนาไปใช้อ้างองิ

๒. ทักษะทีจ่ าเป็นแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑

๒.๑ ทกั ษะพน้ื ฐานการเรยี นรู้
- การอา่ น
- การเขียน

๒.๒ ทักษะการเรียนรแู้ ละนวตั กรรม
- การคิดเชงิ วิพากษ์และการแกป้ ญั หา
- การสังเกต การคดิ วเิ คราะห์ และการสงั เคราะห์
- การจัดการความรู้
- การส่ือสาร
- การทางานร่วมกนั เปน็ ทีม

๒.๓ ทกั ษะการร้ดู จิ ิตอล
- การใช้ขอ้ มลู สารสนเทศ
- การใช้ส่อื
- การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ

๒.๔ ทักษะชวี ิตและการทางาน
- การยืดหยนุ่ และความสามารถในการปรับตวั
- ทกั ษะทางสงั คมและวฒุ ิภาวะ
- ความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองและสังคม
- เชอื่ ม่นั ในตนเอง
- ความเป็นผู้นา

๓. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์

๓.๑ มวี นิ ยั
๓.๒ ใฝเ่ รยี นรู้
๓.๓ มุ่งม่นั ในการทางาน
๓.๔ รกั การเปน็ ไทย

๔. สาระการเรียนรู้

๔.๑ ทม่ี าของเรอื่ ง
๔.๒ ประวัตผิ ู้แต่ง
๔.๓ ลักษณะคาประพันธ์
๔.๔ ความรู้เกี่ยวกับละคร
๔.๕ เร่ืองย่อบทละครเรอ่ื ง อิเหนา
๔.๖ บทประพนั ธ์

การออกแบบการจดั การเรยี นรู้แบบย้อนกลบั (Backward Design)

สาระสาคัญ การวดั และประเมนิ ผล

๑. ท่ีมาของเร่ือง ๑. การทาแบบทดสอบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน

๒. ประวัตผิ ูแ้ ตง่ ๒. กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ

๓. ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ๓. การทากจิ กรรมในใบความรแู้ ละใบงาน

๔.ความรเู้ ก่ียวกับละคร ๔. แบบประเมินพฤตกิ รรมการเรยี น

๕. เรื่องยอ่ บทละครเรอื่ ง อเิ หนา ๕. แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม

๖. บทประพันธ์ ๖. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม

กจิ กรรมการเรยี นรู้ คาถามสาคัญ

๑. ศึกษาที่มาของเรื่อง ประวัติผู้แต่ง จากหนังสือเรียนแม็ค ๑. กลอนบทละครมลี ักษณะอย่างไร

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๑๐ ๒. บทละครเรื่อง อิเหนา ตอน ศกึ กะหมังกุหนิง

๒. แบ่งกลุ่ม ให้นักเรียนหาผลงานพระราช นิพนธ์ของ มีคณุ คา่ ดา้ นเนอ้ื หาอย่างไร

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเร่ืองอื่นๆ หรืออาจให้ ๓. บทละครเรือ่ ง อเิ หนา ตอน ศึกกะหมงั กุหนิง

นักเรยี นทาเป็นรายงาน มคี ุณคา่ ด้านวรรณศิลปอ์ ย่างไร

๓. ให้นักเรียนศึกษาลักษณะคาประพันธ์เกี่ยวกับกลอนบทละคร

จากหนงั สือเรียนแมค็ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๑๐

๔. ให้นักเรียนศึกษาเร่ือง ความรู้เกี่ยวกับละคร โดยให้นักเรียน

เขยี นสรปุ เปน็ ภาษาของตนเองตามความเขา้ ใจ

๕. ให้นักเรียนอ่านเร่ืองย่อบทละครเรื่อง อิเหนา และอ่านคา

ประพันธ์ โดยครูและนักเรียนอาจช่วยกันถอดคาประพันธ์และหา

คุณคา่ ดา้ นเน้อื หาและคุณคา่ ทางวรรณศิลป์

๖. ให้นักเรียนเขียนคุณค่าด้านเน้ือหาและคุณค่าด้านวรรณศิลป์

โดยให้ยกตัวบทมาประกอบเพอื่ ใหเ้ ห็นชัดเจน

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๑๐ บทละครเรอ่ื ง อเิ หนา ตอน ศกึ กะหมงั กหุ นงิ

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑๐ บทละครเร่ือง อเิ หนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง

เวลา ๖ ชวั่ โมง

๑. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตวั ชวี้ ัด

มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนาไปตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ
ดาเนนิ ชวี ิต และมนี สิ ัยรักการอา่ น

ตวั ชว้ี ัดท่ี ๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสม
กบั เรอ่ื งทอี่ า่ น

ตวั ช้วี ัดที่ ๒ อา่ นตีความ แปลความ และขยายความเรื่องที่อา่ น
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๓ วเิ คราะห์และวิจารณเ์ รอ่ื งทอ่ี ่านในทุกๆ ด้านอยา่ งมีเหตผุ ล
ตัวชว้ี ัดที่ ๔ คาดคะเนเหตุการณ์จากเร่ืองที่อ่าน และประเมินค่าเพ่ือนาความรู้ ความคิดไปใช้

ตัดสนิ ใจแกป้ ญั หาในการดาเนนิ ชีวิต
ตวั ชว้ี ดั ท่ี ๕ วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับเรื่องท่ีอ่าน และเสนอความคิดใหม่

อย่างมเี หตุผล
ตวั ชี้วดั ท่ี ๖ ตอบคาถามจากการอา่ นประเภทต่างๆ ภายในเวลาทก่ี าหนด
ตวั ช้วี ัดที่ ๗ อา่ นเรื่องต่างๆ แลว้ เขยี นกรอบแนวคิด ผงั ความคิด บนั ทึก ยอ่ ความ และรายงาน
ตวั ชว้ี ดั ที่ ๙ มมี ารยาทในการอ่าน
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า
และนามาประยกุ ต์ใช้ในชีวิตจรงิ
ตัวชี้วดั ท่ี ๑ วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์เบ้อื งตน้
ตัวชว้ี ัดที่ ๒ วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเชื่อมโยงกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต

ของสงั คมในอดีต
ตัวชีว้ ดั ที่ ๓ วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะที่

เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
ตัวช้ีวัดท่ี ๔ สงั เคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือนาไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ จรงิ
ตัวชี้วัดที่ ๕ รวบรวมวรรณกรรมพื้นบา้ นและอธิบายภูมิปญั ญาทางภาษา
ตัวชว้ี ดั ท่ี ๖ ทอ่ งจาและบอกคุณคา่ บทอาขยานตามที่กาหนดและบทรอ้ ยกรองท่ีมคี ณุ ค่าตามความ

สนใจ และนาไปใช้อ้างอิง

๒. สาระสาคัญ

๒.๑ ท่มี าของเร่ือง
๒.๒ ประวัตผิ แู้ ตง่
๒.๓ ลกั ษณะคาประพันธ์
๒.๔ ความรู้เกยี่ วกบั ละคร
๒.๕ เรอ่ื งย่อบทละครเร่อื งอเิ หนา
๒.๖ บทประพนั ธ์

๓. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

๓.๑ วิเคราะห์คุณค่าทางวรรณศลิ ป์ของวรรณกรรมได้
๓.๒ วเิ คราะห์คุณค่าด้านเน้อื หาของวรรณกรรมได้
๓.๓ เข้าใจรปู แบบคาประพันธ์

๔. สาระการเรียนรู้

๔.๑ ทีม่ าของเร่ือง
๔.๒ ประวตั ผิ ู้แตง่
๔.๓ ลักษณะคาประพันธ์
๔.๔ ความรู้เกย่ี วกับละคร
๔.๕ เรอื่ งย่อบทละครเรอื่ งอเิ หนา
๔.๖ บทประพนั ธ์

๕. ชิน้ งาน/ ภาระงาน

๕.๑ กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ

๕.๒ ภาระงาน “วาดภาพเหตกุ ารณ์ในบทละครเร่ือง อิเหนา ตอน ศึกท้าวกะหมังกหุ นิง”

๕.๓ ภาระงาน “สบื ค้นขอ้ มลู เกย่ี วกับบทละครเรื่อง อิเหนา ตอน ศกึ ท้าวกะหมังกุหนิง”

๕.๔ แบบทดสอบ

๕.๕ กิจกรรมเสนอแนะ

๖. คาถามสาคัญ

๖.๑ กลอนบทละครมีลักษณะอยา่ งไร

๖.๒ บทละครเร่ือง อิเหนา ตอน ศกึ ท้าวกะหมังกุหนงิ มคี ณุ คา่ ดา้ นเนือ้ หาอยา่ งไร

๖.๓ บทละครเรือ่ ง อเิ หนา ตอน ศกึ ทา้ วกะหมังกหุ นิง มคี ณุ ค่าดา้ นวรรณศิลปอ์ ย่างไร

๗. กจิ กรรมการเรียนการสอนเพื่อการเรียนรู้

๗.๑ ขัน้ นา

ครูให้นักเรียนศึกษาเก่ียวกับวรรณคดีเรื่อง อิเหนา ในตอนที่นักเรียนได้เคยศึกษามาว่าเป็น
ตอนใด และมตี วั ละครใดบ้าง

๗.๒ ขน้ั สอน
ตอนท่ี ๑ ทม่ี าของเรอ่ื งและประวัติผแู้ ตง่

๑. ครูให้นักเรยี นศึกษาที่มาของเรอ่ื ง อิเหนา ตอน ศึกกะหมงั กหุ นงิ และศึกษาประวัติของผู้แต่ง จาก
หนงั สือเรียนแม็ค หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๑๐

๒. นกั เรียน โดยแบง่ กลุ่มนักเรียน และให้แต่ละกลุ่มคน้ คว้า ดังน้ี
กลมุ่ ที่ ๑ พระราชประวัตขิ องพระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลยั
กลมุ่ ที่ ๒ ความสมั พนั ธ์ระหว่างชวากบั สยามประเทศ
กลมุ่ ท่ี ๓ ประวัตขิ องเร่อื ง อเิ หนา
กลุ่มท่ี ๔ ผลงานทางวรรณคดีของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั

ตอนที่ ๒ ลกั ษณะคาประพนั ธ์
๑. ใหน้ ักเรียนศึกษาลักษณะคาประพนั ธ์ จากหนังสือเรยี นแมค็ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๑๐
๒. ครูให้นักเรยี นหาบทประพันธ์ในเรือ่ ง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนงิ ตามรสของวรรณคดีไทยต่างๆ

ท่ีได้ศึกษา และวิเคราะห์ความงดงามทางวรรณศิลป์
๓. ให้นักเรียนเขียนสรุปความรูเ้ รื่อง “กลอนบทละคร” ตามทไี่ ด้ศึกษา
ตอนที่ ๓ ความรเู้ กย่ี วกับละคร
๑. ให้นกั เรียนศกึ ษาเรอื่ ง “ความร้เู กยี่ วกบั ละคร” จากหนังสอื เรียนแมค็ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๑๐
๒. ใหน้ กั เรยี นอา่ นใบความรู้ ละครไทย
๓. ใหน้ กั เรียนเขียนสรปุ เรื่องละครไทย ตามท่ีได้ศกึ ษา
ตอนท่ี ๔ เร่อื งย่อบทละครเรอ่ื ง อิเหนา และคาประพันธ์
๑. ครใู ห้นกั เรียนอา่ นเรือ่ งย่อบทละครเร่ือง อเิ หนา ตอน ศึกกะหมังกุหนงิ
๒. ครใู หน้ ักเรียนชว่ ยกันถอดคาประพันธ์ และหาคาศัพทท์ ปี่ รากฏ
๓. ครูและนักเรยี นชว่ ยกนั วิเคราะหเ์ นื้อหาและความงามด้านวรรณศิลป์ที่ปรากฏในเร่อื ง
๔. ครูให้นักเรียนทาใบงานเร่ือง “วิเคราะห์ลักษณะนิสัยของตัวละครในบทละครเร่ือง อิเหนา ตอน

ศึกท้าวกะหมังกุหนิง

๗.๓ ข้นั สรุป
๑. ผเู้ รียนและผ้สู อนรว่ มกนั สรปุ ตามประเด็นดังน้ี

๑. ทีม่ าและประวตั ิผู้แต่ง
๒. ลกั ษณะคาประพันธ์
๓. ความร้เู กีย่ วกับละคร
๔. เรื่องยอ่ บทละครเรอื่ ง อเิ หนา และคาประพันธ์
๒. นักเรียนทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจทุกกิจกรรม
๓. ครแู จ้งผลการปฏิบตั ิงานของนกั เรียนทกุ ข้อ และให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

๘. สื่อการเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้

๘.๑ สือ่ การเรียนรู้
๑. หนังสือเรยี นแม็ค สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ ภาคเรยี นท่ี ๑
๒. ใบความรู้ “ละครไทย”
๘.๒ แหลง่ การเรยี นรู้
๑. ห้องสมดุ โรงเรยี น
๒. ห้องสมุดภาษาไทย
๓. หอ้ งสมดุ ประชาชน
๔. หอสมดุ แหง่ ชาติ
๕. www.obec.go.th/news/

๙. การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้

๙.๑ การทากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กิจกรรม ๑ – ๔
๙.๒ ผลงานจากภาระงาน “วาดภาพเหตุการณ์ในบทละครเร่อื ง อิเหนา ตอน ศกึ ท้าวกะหมังกุหนิง”
๙.๓ ผลงานจากภาระงาน “สืบคน้ ข้อมลู เก่ยี วกับบทละครเรอื่ ง อเิ หนา ตอน ศกึ ท้าวกะหมังกุหนงิ ”
๙.๔ การทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
๙.๕ การตอบคาถามกิจกรรมเสนอแนะ

๑๐. าันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้

๑๐.๑ ความสาเร็จในการจัดการเรยี นรู้
ดา้ นผู้เรยี น................................................................................................................. ........

..............................................................................................................................................
ดา้ นวิธีสอนการวัดผล.......................................................................................................... ..

................................................................................................................................................
ดา้ นส่ือการเรยี นร้.ู ......................................................................................................... ..........

................................................................................................................................................
๑๐.๒ ปญั หา/อุปสรรคในการจดั การเรยี นร้.ู ........................................................................................
.........................................................................................................................................................
๑๐.๓ สิ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผน…..…………………………………………………….………………………………………
.........................................................................................................................................................

เหตุผล……..……………………………………………………………………………………………………………………………
........................................................................................................................................................
๑๐.๔ แนวทางการปรบั ปรุงครงั้ ตอ่ ไป ..............................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................

ลงชื่อ ................................................................... ผสู้ อน

๑๑. แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤติกรรมนักเรียน

เกณฑค์ ุณภาพการสังเกตพฤตกิ รรมนักเรยี นดา้ น.........................................

ระดัาคุณภาพ
ท่ี รายการประเมนิ

๑๒๓

๑ การทางานร่วมกนั ยอมรับมติการทางาน ยอมรบั มติของกลมุ่ - ยอมรบั มติของกลมุ่
ของกลุ่ม แต่ปฏิบัติ
ตามน้อยครัง้ - รับผดิ ชอบงานที่รบั
มอบหมายจากกลุ่ม

๒ ความกระตือรือรน้ ชว่ ยเหลืองานภายใน - ช่วยเหลืองานในกลุม่ - ช่วยเหลอื งานภายใน
กลุม่ เม่ือมกี ารร้องขอ - ร่ ว ม แ ส ด ง ค ว า ม กลมุ่
คิดเห็น - ร่วมแสดงความคดิ เห็น

- ใฝ่รู้ใฝ่เรียน

- ศึกษาคน้ คว้า

๓ การตอบคาถาม มีสว่ นร่วมในการตอบ มสี ่วนรว่ มในการตอบ ให้ความรว่ มมือในการ

คาถามน้อยมาก คาถามบางครัง้ ตอบคาถามเปน็ อย่างดี

๔ ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ ร่วมกิจกรรมตามที่ รับฟังแต่แสดงความ รว่ มรบั ฟังและแสดง
กลุม่ ขอร้อง คดิ เห็นท่ีคล้อยตาม ความคดิ เหน็ ท่ีแตกต่าง
เพอื่ นๆ แตม่ ีประโยชน์

แาาการประเมินการสังเกตพฤตกิ รรมนกั เรยี นดา้ นการทางานเปน็ กลุ่ม

รายการประเมิน สรุปผล

ที่ ช่อื -สกลุ การทางาน ความ การตอา ความคิดริเรม่ิ รวม
ร่วมกัน กระตอื รอื ร้น คาถาม สร้างสรรค์ (๑๒) ผ่าน ไมผ่ า่ น

(๓) (๓) (๓) (๓)



















๑๐

เกณฑ์การประเมนิ
๙ - ๑๒ คะแนน ระดบั ๓ = ดี
๕ - ๘ คะแนน ระดับ ๒ = พอใช้
ต่ากวา่ ๕ คะแนน ระดับ ๑ = ควรปรบั ปรุง

สรปุ ผลการประเมนิ
 ดี  พอใช้  ปรับปรุง

เกณฑ์การตัดสินใจ
 ผา่ น  ไม่ผ่าน

หมายเหตุ : เกณฑเ์ ปน็ ไปตามทีโ่ รงเรียนกาหนด
ลงชอื่ ............................................................................ผปู้ ระเมนิ
(.............................................................................)

๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ

๑๒.๑ กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านเชงิ วิเคราะห์ ประกอบดว้ ยขน้ั ตอน ดงั นี้

ขนั้ รวบรวมข้อมูล

นักเรียนหาความรู้เกี่ยวกบั กลอนบทละคร

ขน้ั วิเคราะห์

นกั เรยี นอธบิ ายลักษณะของกลอนบทละคร

ขั้นสรปุ

นักเรยี นสรุปลักษณะของกลอนบทละคร

ขัน้ ประยกุ ตใ์ ช้

นักเรยี นเขียนลกั ษณะของกลอนบทละคร แลว้ นาไปตดิ ป้ายนเิ ทศ

๑๒.๒ กิจกรรมบูรณาการ

กิจกรรมที่ ๑

ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระท่ี ๑ ทัศนศิลป์ โดยให้นักเรียน

วาดภาพเหตุการณ์ท่ปี รากฏในบทละครเรอื่ ง อเิ หนา ตอน ศึกท้าวกะหมังกุหนิง

ภาระงาน “วาดภาพเหตกุ ารณท์ ่ีปรากฏในบทละครเรื่อง อเิ หนา ตอน ศกึ ท้าวกะหมงั กุหนงิ ”

การบรู ณาการ มฐ. ท ๕.๑ และ มฐ. ศ ๑.๑

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ใหน้ กั เรยี นวาดภาพเหตุการณ์ท่ีปรากฏในบทละครเร่ือง อเิ หนา ตอน ศกึ

ทา้ วกะหมังกุหนงิ

ผลงานทต่ี ้องการ ภาพเหตกุ ารณ์ที่ปรากฏในบทละครเร่ือง อเิ หนา ตอน ศกึ ท้าวกะหมังกุหนิง

ข้ันตอนการทางาน

๑. แบ่งนกั เรยี นเปน็ กลุม่ ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มวาดภาพเหตุการณท์ ป่ี รากฏ

ในบทละครเร่ือง อเิ หนา ตอน ศึกทา้ วกะหมงั กหุ นิง ดังนี้

กลุ่มท่ี ๑ ท้าวกเุ รปันสั่งให้อิเหนายกทพั ไปช่วยเมอื งดาหา

กลุ่มที่ ๒ อิเหนาลานางจินตะหราไปทาศึกดาหา

กล่มุ ที่ ๓ อเิ หนาราพึงถึงนางจนิ ตะหรา สการะวาตี และมาหยารัศมี

กลุ่มที่ ๔ สงั คามาระตารบกับวิหยาสะกา

กล่มุ ที่ ๕ อิเหนารบกับทา้ วกะหมงั กหุ นิง

กลุม่ ที่ ๖ อิเหนาเข้าเฝ้าทา้ วดาหา

๒. ครใู หค้ ะแนนตามความสวยงามและความครอบคลมุ เนอ้ื หา

๓. อาจมีการประกวดและมอบรางวลั ตามความเหมาะสม

เกณฑ์การประเมนิ

๑. ความสวยงามของภาพ

๒. ความคิดสร้างสรรค์

๓. ความถูกตอ้ งและเหมาะสมของเน้อื หา

กิจกรรมที่ ๒

ครสู ามารถบรู ณาการการเรยี นรูก้ บั กล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี สาระที่ ๔ :

เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใหน้ ักเรยี นศึกษาสอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์จากของจรงิ และใหน้ ักเรียนปฏิบตั ิกิจกรรม ดงั นี้

ภาระงาน “สืบคน้ ขอ้ มูลเกี่ยวกับบทละครเรื่อง อิเหนา ตอน ศึกทา้ วกะหมงั กุหนิง”

การบรู ณาการ มฐ. ท ๕.๑ และ ง ๔.๑

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ มีทักษะในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อศึกษาเก่ียวกับคาประพันธ์นิราศนรินทร์

คาโคลง

ผลงานท่ีต้องการ ขอ้ มูลเกีย่ วกบั บทละครเรื่อง อเิ หนา ตอน ศึกท้าวกะหมังกุหนงิ

ขั้นตอนการทางาน

๑. กาหนดให้นักเรยี นเลอื กสบื คน้ ข้อมลู จากอินเทอร์เนต็

๒. นักเรียนนาผลงานการสืบค้นมาจัดทาเป็นสมุดคู่มือการสืบค้นแหล่งเรียนรู้

เกี่ยวกบั บทละครเรอื่ ง อิเหนา ตอน ศึกท้าวกะหมงั กุหนงิ ใหม้ คี ุณค่ามากยิ่งขึ้น

๓. นาผลงานการศึกษาค้นคว้าดงั กลา่ วนาเสนอหน้าชัน้ เรียน

เกณฑก์ ารประเมนิ

๑. ความถกู ต้องครบถว้ นสมบูรณ์ของข้อมูลท่ีค้นคว้ามานาเสนอ

๒. ความประณีต เรยี บรอ้ ย

๓. ความนา่ สนใจในการนาเสนอ

๑๓. ใบความรู้ ใบงาน และเครือ่ งมอื วดั ผล

๑๓.๑ ใบความรู้
๑. ละครไทย
ละคร หมายถึง การแสดงประเภทหน่ึงซึ่งแสดงเรอื่ งราวความเป็นไปของชีวติ ที่ปรากฏในวรรณกรรม
มีศลิ ปะการแสดงและดนตรเี ปน็ ส่ือสาคญั
ละคร ตามความหมายนี้หมายถึงละครรา เพราะว่าเป็นการแสดงออกทางความคิดโดยมุ่งเน้นถึง
ลกั ษณะท่าทางอริ ิยาบถในขณะเคลือ่ นไหวตัวในระหว่างการรา
ละครไทยสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 4 ประเภท ดังนี้
1. ละครรา คือละครทใี่ ชศ้ ิลปะการร่ายราในการดาเนินเรื่อง แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท

1.1 ละครราแบบมาตรฐานดัง้ เดมิ มี 3 ชนิด คอื
- ละครชาตรี
- ละครนอก
- ละครใน

1.2 ละครที่ปรับปรุงข้ึนใหม่ มี 3 ชนดิ คือ
- ละครดึกดาบรรพ์
- ละครพันทาง
- ละครเสภา

2. ละครร้อง คือละครท่ีใชศ้ ิลปะการร้องดาเนินเร่อื ง เปน็ ละครแบบใหม่ทไี่ ด้รับอทิ ธพิ ลมาจากตะวนั ตก แบ่ง
ได้เป็น 2 ประเภท คือ

2.1 ละครร้องล้วน ๆ
2.2 ละครร้องสลับพูด
3. ละครพูด คือละครท่ีใช้ศิลปะการพูดในการดาเนินเร่ือง เป็นละครแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
แบง่ ได้เป็น 2 ประเภท คอื
3.1 ละครพดู ล้วน ๆ
3.2 ละครพดู สลับรา
4. ละครสงั คตี เป็นละครทีใ่ ช้ศิลปะการพูดและการรอ้ งดาเนินเร่ืองเสมอกัน
นอกจากน้นั ยังมกี ารแสดงทเี่ กิดขึ้นใหม่ในสมยั รัชกาลที่ 5 อกี 2 อยา่ งคอื ลเิ ก และหุ่น ( หุ่นเลก็ , หุ่น
กระบอก , หุ่นละครเล็ก)

ละครชาตรี
ละครชาตรี เป็นรูปแบบละครราทเ่ี ก่าแกข่ องไทยทีไ่ ดร้ บั การฟ้ืนฟจู นถงึ ทุกวันนี้ เรอื่ งของละครชาตรี
มกี าเนิดมาจากเรอ่ื งมโนราห์

การแสดงโนราเป็นท่ีนยิ มอยทู่ างภาคใต้ ส่วนละครชาตรีมีความนิยมทางภาคกลาง ซงึ่ มักหาดไู ด้
ในงานแก้บน แบบแผนการแสดงโนราชาตรคี ล้ายคลึงกับละครของทางมลายูท่ีเรยี กกันวา่ “มะโย่ง” แต่ต่างกัน
ทีภ่ าษาและทานองดนตรี

ละครโนราชาตรอี าจจะมีผูน้ ามาแสดงในภาคกลางต้ังแต่สมัยกรงุ ศรอี ยุธยา แตท่ ี่มีหลักฐานแนช่ ัด คือ
ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปปราบก๊กเจ้านครครั้งหนึ่ง และต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อีก
๒ ครั้ง ในคร้ังหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั โปรดให้ชาวภาคใต้ท่ีอพยพเข้ามาในกรุงเทพ ต้ังถ่ินฐานอยู่ที่
ตาบลสนามกระบอื ไดจ้ ัดตั้งคณะละครแสดงกนั แพรห่ ลาย

ละครชาตรี แต่เดิมผู้แสดงเปน็ ชายล้วนมีเพยี ง 3 คนเทา่ นั้น ได้แก่ นายโรง ซ่ึงแสดงเป็นตวั พระ อีก
2 คน คือ ตัวนาง และตัวจาอวด ซ่ึงแสดงตลก และเป็นตัวเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เช่น ฤาษี พราน สัตว์ แต่เดิม
นิยมแสดงเพียงไม่ก่ีเรื่อง เช่น เรื่องมโนราห์ นายโรงจะแสดงเป็นตัวพระสุธน ตัวนางเป็นมโนราห์ และตัว
จาอวดเป็นพรานบุญ และอีกเร่ืองหนง่ึ ท่ีนิยมแสดงไม่แพ้กัน คือ เร่ืองพระรถเสน นายโรงเป็นตัวพระรถ ตัว
นางเปน็ เมรี และตัวจาอวดเปน็ มา้ พระรถเสน ในสมยั หลังละครชาตรี เพิ่มผู้แสดงให้มากขึน้ และใช้ผูห้ ญงิ รว่ ม
แสดงดว้ ย

ละครนอก
ละครนอก มีการดาเนินท้องเร่ืองท่ีรวดเร็ว กระชับ สนุก การแสดงมีชีวิตชีวา ส่วนมากใช้
ผชู้ ายแสดง และมีมาตั้งแตส่ มัยกรงุ ศรีอยุธยา เข้าใจวา่ ละครนอกมวี ิวฒั นาการมาจากละครชาตรี เพราะมุ่งที่
จะให้คนดูเกดิ ความขบขนั ผแู้ สดงละครนอกแต่เดิมมผี แู้ สดงอยู่เพียง 2-3 คน เชน่ เดียวกับละครชาตรี ละคร
นอกไม่คานึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับยศศักดิ์และฐานะของตัวละครแต่อย่างใด ตัวละครท่ีเป็น
ท้าวพระยามหากษัตริย์ก็สามารถโต้ตอบตลกกับเสนากานัลหรือไพร่พลได้ ละครนอกที่นิยมเล่นได้แก่เร่ือง
สังข์ทอง ไกรทอง สวุ รรณหงส์ พระอภยั มณี เป็นตน้
ละครใน
จากรูปแบบของละครนอกที่ได้รับการพัฒนาข้ึนมาเป็นตัวละครในวัง ผู้แสดงหญิงล้วน
แบบอย่างละครในนี้ได้สงวนไว้เฉพาะในวังหลวงเท่าน้ัน เพราะว่าผู้ชายนั้นจะถูกห้ามให้เข้าไปในพระราชฐาน
ช้นั ใน บริเวณตาหนกั ของพระมหากษตั รยิ ์ ซ่งึ จะประกอบไปด้วยดนตรที ่ีมีเสียงไพเราะอ่อนหวาน ใช้ บท

รอ้ ยกรองได้อย่างวิจิตรบรรจง ทั้งดนตรีที่นามาผสมผสานอย่างไพเราะ รวมทั้งจะมีท่าทางสง่างาม ไม่มีการ
สอดแทรกหยาบโลนหรือตลก และอนุรักษ์วฒั นธรรมและคณุ ลักษณะทเ่ี ปน็ ประเพณีสบื ทอดกนั มา

เรื่องที่ใช้แสดงละครในนั้นมีอยู่ 4 เรื่อง ได้แก่ รามเกียรติ์ อุณรุท อิเหนา และดาหลัง เข้าใจ
กนั ว่าละครในสมยั เริม่ แรกเล่นกนั แต่เรื่องรามเกียรต์ิ และอณุ รุทเท่านั้น เพราะถือวา่ เปน็ เรือ่ งเกียวกับนารายณ์
อวตาร ใช้สาหรับเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ ผู้อื่นจึงไม่สามารถนาไปเล่นได้ ต่อมาละครในไม่ค่อยได้
เล่น ๒ เร่ืองน้ี เหลือแต่โขนและหนังใหญ่ที่เล่นเร่ืองรามเกียรต์ิ ส่วนเร่ืองดาหลังไม่ค่อยนิยมแสดงนัก เพราะ
ชื่อตวั ละครเรียกยาก จายาก เน้ือเรื่องก็สับสนไม่สนุกสนานเท่าเรื่องอเิ หนา ต่อมาพวกละครนอกและลิเกจึง
นาไปแสดงบ้าง ดังนั้นในสมัยรัตนโกสินทร์ นับต้ังแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราช
นิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนาข้ึนใหม่ ละครในจึงนิยมแสดงอยู่เพียงเร่ืองเดียวนาน ๆ จึงจะมีผู้จัดแสดงเร่ือง
รามเกยี รต์ิและอุณรทุ สกั ครง้ั หน่ึง

บทละครในเป็นกลอนบทละครท่ีผู้แต่งใช้ความประณีตบรรจงในการเลือกเฟ้นถ้อยคามาร้อย
กรองอย่างไพเราะและมีความหมายดี เพื่ออวดฝีมือในการแต่งแต่งดว้ ย ทง้ั นี้เนื่องจากละครในเล่นกันอยู่ไม่กี่
ตอน คนดูมักรู้เร่ืองดีอยู่แล้ว ผู้แต่งจึงมุ่งพรรณนาเน้ือความในรายละเอียดอย่างถ่ีถ้วน ดังจะเห็นได้จากบท
ชมธรรมชาติ ชมพาหนะ ชมเครื่องแต่งตัว บทพรรณนาความรู้สึก ซ่ึงปรากฏอยู่ตลอดเรื่อง บทละครในท่ี
แต่งได้ดีเย่ียมได้แก่เร่ืองนามเกียรต์ิและอิเหนา ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย

การแสดงละครในมุ่งท่ีความประณีตสวยงามเป็นหลัก ทั้งศิลปะการราที่มีลีลาท่าทางงดงาม
นุ่มนวล เครื่องแต่งกายสวยประณีต ดนตรีและเพลงที่ไพเราะ ผู้ชมละครในไม่มุ่งความสนุกสนานตื่นเต้น
เหมอื นดูละครนอก แต่จะมุ่งดูศิลปะการร่ายรา ลีลาท่าทางท่ีประณีตงดงามและเพลงท่ีไพเราะมากกว่าละคร
ในทีน่ ยิ มกนั มากท่สี ดุ คอื อิเหนา

ละครดกึ ดาบรรพ์
ละครดึกดาบรรพ์ เป็นการแสดงละครแบบหน่ึงในประเภทละครราเกิดข้ึนในสมัยรัชกาลท่ี ๕
เน่ืองมาจากในสมัยรัชกาลท่ี ๕ มีเจ้านายชาวต่างชาติเข้าเข้าเฝ้าอยู่หลายคร้ัง จึงโปรดให้มีการละเล่นให้แขก
บ้านแขกเมืองได้รับชม โดยเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) ได้คิดการแสดงในรูปแบบ
คอนเสิร์ตโดยเนื้อเร่ืองตัดตอนมาจากวรรณคดีไทย โดยมีสมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา
นุวัดติวงศ์ ทรงเลือกเพลงและอานวยการซ้อม จึงถือว่าการแสดงในครั้งนั้นนับว่าเป็นจุดเร่ิมต้นของละครดึก
ดาบรรพ์ ต่อมาภายหลังเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ได้มีโอกาสชมละครโอเปร่า จึงเกิดความชอบใจและนา
ปรบั ปรุงใหเ้ ข้ากับละครดกึ ดาบรรพ์ของไทย ละครดึกดาบรรพท์ ี่นยิ มเลน่ ไดแ้ กเ่ ร่ือง สงั ขท์ อง คาวี ฯลฯ

การแสดงละครดึกดาบรรพ์แสดงในโรงปิดขนาดเล็ก ดนตรี ประกอบการแสดง ใช้วงป่ีพาทย์ดึกดา
บรรพ์ ดัดแปลงมาจากวงปี่พาทยไ์ มน้ วมเครื่องใหญ่ ประกอบด้วย ระนาดเอกไม้นวม ระนาดทมุ้ (ไม)้ ระนาด
เหล็กทมุ้ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องหยุ่ ขลยุ่ เพยี งออ ขลุ่ยอู้ ซออู้ ตะโพน กลองตะโพน กลองแขก และฉง่ิ

ละครพันทาง
ละครพันทาง หมายถึงละครแบบผสม คือ การนาเอาลีลาท่าทีของชนต่างชาติเข้ามาปรับปรุง

กับท่าราแบบไทย ๆ การแสดงละครชนิดน้ีแต่เดิมเป็นการริเรมิ่ ของเจา้ พระยามหินทรศักดิ์ธารง เปน็ ผู้คิดค้น
นาเอาเรอ่ื งของพงศาวดารของชาตติ ่าง ๆ มาแตง่ เปน็ บทละครสาหรับแสดง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้กาหนดชื่อน้ีและทรงปรับปรุงให้มีฉาก
ประกอบการแสดงเพ่ือให้แลเห็นสมจริงสมเนื้อร้องซ่ึงยังปรับปรุงลีลาท่าราของชนชาติกับท่าทางอิริยาบถของ
สามัญชนเข้ามาผสมกัน เพลงร้องประกอบการแสดงน้ันส่วนมากต้นเสียงกับลูกคู่เป็นผู้ร้อง แต่ก็มีบ้างท่ี
กาหนดให้ตัวละครเป็นผู้ร้อง ปี่พาทย์ประกอบการแสดงใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม บทท่ีใช้มักเป็นบทท่ีกล่าวถึงตัว
ละครท่ีมเี ชือ้ ชาติตา่ ง ๆ เชน่ พมา่ มอญ จนี ลาว บททน่ี ิยมนามาเลน่ ในปจั จุบันมเี ร่ืองพระลอและราชาธิราช
ตอนสมงิ พระรามอาสา

ลักษณะการแต่งตัวของละครพันทาง จะแต่งกายตามเช้ือชาติและความเป็นจริงของตัวละคร
ในบทนั้น ๆ

ละครเสภา
ละครเสภา คือละครที่มีลักษณะการแสดงคล้ายละครนอก รวมท้ังเพลงร้องนา ทานองดนตรี
และการแต่งกายของตวั ละคร แต่มขี อ้ บังคับอยู่อย่างหน่งึ คือต้องมขี ับเสภาแทรกอยู่ด้วยจึงจะเป็นละครเสภา
ก่อนท่ีจะเกิดละครเสภาข้ึนนั้น เข้าใจว่าจะมีการขับเสภาเป็นเรื่องราวก่อน เรื่องที่นาขับเสภา
และนิยมกันอย่างแพร่หลายคือ เรื่องขุนช้างขุนแผน การขับเสภาต้ังแต่โบราณน้ันไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใด
ประกอบ นอกจากกรับท่ีผู้ขับขยับประกอบแทรกในทานองขับของตนเท่าน้ัน คร้ันเวลาต่อมาในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซ่ึงทรงโปรดสดับการขับเสภาได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดวงป่ีพาทย์เข้า
ประกอบเป็นอุปกรณ์ขับเสภา โดยให้แทรกเพลงรอ้ งส่งใหป้ ่ีพาทยร์ ับและบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เหมอื นอย่าง
การแสดงละครนอก ตอนใดดาเนินเร่ืองก็ขับเสภา ตอนใดเปน็ ถ้อยคาราพันหรือข้อความอื่นท่ีควรแกก่ ารร้อง
ส่งก็ร้อง จะเป็นเพลงช้าป่ีหรือโอ้ป่ีอย่างละครนอกก็ได้ ตอนใดเป็นบทไปมาหรือรบกัน ปี่พาทย์ก็บรรเลง
เพลงเชิดประกอบ ต่อมาได้วิวัฒนาการให้มีผู้แสดงออกมาแสดงตามบทเสภาและบทร้อง คร้ังแรกก็อาจจะ
เป็นเพยี งตอนใดตอนหน่ึง ครนั้ ตอ่ มากเ็ ลยปรบั ปรงุ ใหเ้ ป็นการแสดงท้ังหมด และเรียกการแสดงนี้ว่า “เสภา”

ละครเสภาท่ีนิยมเล่นกันมาก คือ ขุนช้างขุนแผน ตอนพลายเพชรพลายบัวออกศึก ,พระวัย
แตกทพั ,ขนุ แผนเขา้ หอ้ งนางแกว้ กิรยิ า เป็นตน้

(ท่ีมา : https://sites.google.com/site/ajanthus/lakhr-thiy)

๒. ใบงาน วิเคราะหต์ วั ละครในบทละครเร่ือง อเิ หนา ตอน ศึกทา้ วกะหมังกุหนงิ

วเิ คราะหต์ วั ละครในบทละครเรอื่ ง อิเหนา ตอน ศึกท้าวกะหมังกหุ นิง
ใหน้ กั เรียนวิเคราะห์ลกั ษณะนิสยั ของตวั ละครดังต่อไปน้ี โดยให้เหตุผลประกอบ

๑. ทา้ วกะหมังกหุ นงิ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

๒. ท้าวกุเรปัน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

๓. ท้าวดาหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

๔. อเิ หนา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

๕. นางจนิ ตะหรา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

๖. วิหยาสะกา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

แนวคาตอบ
๑. ท้าวกะหมังกุหนิง เป็นผู้ที่รักลูกมาก จากคาประพันธ์ท่ีว่า พี่ดังพฤกษาพนาวัน จะอาสัญเพราะลูก
เหมือนกล่าวมา แสดงให้เห็นว่ารักลูกมากจนสามารถตายแทนลูกได้ ท้ังนี้ยังคาดการณ์ผิดและประมาท เพราะ
คิดวา่ ตนนัน้ มกี าลงั มากพอทีจ่ ะสู้กับเมืองดาหาได้
๒. ท้าวกุเรปัน เป็นผู้ท่ีมีความเด็ดขาดและรักความยุติธรรม เพราะท้าวกุเรปันเห็นว่า อิเหนาเป็น
ตน้ เหตใุ ห้เกิดสงคราม จึงมสี าสน์ ให้อเิ หนามาช่วยรบศกึ ดาหา มิเชน่ นน้ั จะตดั พอ่ ตัดลูก
๓. ท้าวดาหา เป็นผู้ที่รักศักดิ์ศรี แม้ว่าจะต้องยกนางบุษบาให้กับจรกาที่มีรูปช่ัวตัวดาก็ต้องยกให้
เพราะได้เอ่ยคาสัตย์ไปแล้วว่าจะยกให้คนที่มาสู่ขอ เม่ือวิหยาสะกามาสู่ขอตอนหลัง จึงไม่ยกให้และยอมทาศึก
ทั้งน้ี ท้าวดาหายงั เปน็ ผู้ทใ่ี ห้อภยั แก่อเิ หนาที่ไดล้ ่วงเกินและทาใหไ้ ด้รับความอับอาย
๔. อิเหนา เป็นผู้ท่ีมอี ารมณ์รุนแรงในความรัก ตามนิสยั วัยรุ่น เมื่อจากนางอันเป็นท่รี ักกพ็ ร่าพรรณนา
คิดถงึ เสมอ เมื่อมาพบนางจนิ ตะหราก็หลงรกั ถึงกับไม่ยอมแต่งงานกับบุษบา จึงทาให้เกิดสงคราม แตท่ ้ายท่ีสุด
กเ็ ช่ือฟังบิดา ยอมยกทัพมาช่วยกรุงดาหา และยอมรับผดิ ท่ีตนทา คือการเข้าเฝ้าท้าวดาหา แม้จะถกู ท้าวดาหา
และประไหมสุหรขี องท้าวดาหาคอ่ นขอดกต็ าม
๕. นางจนิ ตะหรา เป็นผู้ท่ีมอี ารมณ์เอาแตใ่ จตามประสาสตรี ตามท่ีนางนอ้ ยใจท่ีอเิ หนานัน้ ต้องจากนาง
ไปกรุงดาหา และคิดว่าอิเหนานั้นจะไม่กลบั มาหาตนอีก แต่เม่ืออิเหนาได้ให้เหตุผลก็รับฟังและเข้าใจ อีกท้ังยัง
เปน็ ผูใ้ จกวา้ ง รบั ปากกับอิเหนาวา่ จะดูแลภรรยาทง้ั สอง คือ สการะวาตี และมาหยารศั มใี ห้เปน็ อยา่ งดี
๖. วิหยาสะกา เป็นผู้ที่มีอารมณ์รุนแรง ไม่สามารถหักหา้ มอารมณ์และใจของตนเองได้ ดงั เหตกุ ารณ์ที่
วิหยาสะกาตามกวางมาพบรปู ของนางบษุ บา ก็คลงั่ ใคลอ้ ยากจะไดน้ างเป็นชายา ทง้ั ทนี่ างบษุ บามคี ู่หมน้ั แลว้ ก็
ไมย่ อม จนทาให้ทา้ วกะหมังกุหนิงตอ้ งยกทัพมารบเพือ่ ชิงนาง ท้ายทสี่ ดุ ถูกสงั คามาระตา อนชุ าบุญธรรมของ
อิเหนาสังหารจนส้ินชีวิต

เครอ่ื งมอื วดั ผล
๑. แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ( ดทู า้ ยหน่วย )
๒. แบบประเมินผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม ( ดูท้ายหนว่ ย )
๓. แบบประเมินผลการเขียนยอ่ ความ ( ดูท้ายหน่วย )
๔. แบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรยี น

๑๔. เฉลยกิจกรรมและแบบทดสอบ

กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
กิจกรรม ๑
แนวคาตอบ ขอ้ ก.

๑. อิเหนาเป็นต้นเหตุให้เกิดสงคราม เพราะอิเหนาหลงรักนางจินตะหรา ปฏิเสธการวิวาห์กับบุษบา
จนทาใหท้ ้าวดาหากริ้วและประกาศวา่ จะยกนางบษุ บาให้ใครทมี่ าขอ ตอ่ มาจรกาส่งทูตมาขอ เช่นเดยี วกบั วิ
หยาสะกาที่ส่งทูตมาขอเช่นกัน แต่ท้าวดาหาปฏิเสธทูตของวหิ ยาสะกาเน่ืองจากยกบุษบาให้แก่จรกาแล้ว ท้าว
กะหมงั กุหนงิ บดิ าของวิหยาสะกาจงึ ยกทัพมาตีกรงุ ดาหา

๒. ท้าวดาหาไม่ไดย้ กนางบษุ บาให้วหิ ยาสะกา เพราะได้ยกนางบุษบาให้แกร่ ะตจู รกาไปแล้ว
๓. กองทพั ของอเิ หนา กองทัพจากกรงุ กุเรปนั กาหลัง สงิ หดั สา่ หรี หมันหยา ปกั มาหงัน ปญั จรากัน และ
กองทพั ของจรกา
๔. สะท้อนสภาพสังคมการระดมพลในยามศึกสงคราม กล่าวคือ ให้หาไพร่พลไปทาศึกสงคราม โดยไม่
ฟังเหตผุ ลว่าจะปว่ ยไขห้ รือไม่ ใหใ้ ส่เสบียงอาหารให้พรอ้ มสรรพ และเตรียมสรรพาวุธตา่ งๆ
๕. ค่านิยมเก่ียวกับผู้หญิง ท้าวกุเรปันกล่าวต่อว่านางจินตะหรา ธิดาท้าวหมันหยาซ่ึงแย่งชิงอิเหนาไป
จากนางบษุ บา สะทอ้ นให้เห็นค่านยิ มวา่ ผู้หญิงที่แยง่ สามีของคนอน่ื นัน้ เปน็ ผู้หญิงท่ีนา่ รังเกยี จ นา่ อับอาย
๖. ท่ีใดมรี ัก ท่นี ่นั มีทกุ ข์ เพราะจนิ ตะหรารักอิเหนามากจึงทาให้นางต้องเป็นทกุ ขม์ าก
๗. สะท้อนสภาพสังคมคือ การเห็นคุณค่าและความสาคัญของพี่น้อง และการรักษาศักด์ิศรีของวงศ์
ตระกลู เพราะท้าวกเุ รปนั เห็นว่าเปน็ หน้าที่ของตนที่จะตอ้ งชว่ ยเหลือท้าวดาหาผู้เป็นอนุชา
๘. ในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยาตอนปลาย เชลยหญงิ ชาวมลายู ได้เล่าเรื่องอเิ หนาถวายเจ้าฟา้ กณุ ฑลและเจา้ ฟ้า
มงกุฎ พระราชธิดาในสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ เจ้าฟ้ากุณฑลได้นพิ นธ์เร่ือง ดาหลัง หรือ อิเหนาใหญ่ ส่วน
เจ้าฟ้ามงกฎุ ได้นิพนธ์ อิเหนา หรือ อิเหนาเล็ก ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงรวบรวม
วรรณคดีสาคัญคร้ังกรุงเกา่ รวมท้ังบทพระนพิ นธ์ ดาหลัง ของเจา้ ฟา้ กณุ ฑล และในสมยั รัชกาลท่ี ๒ ได้พระราช
นพิ นธ์ อเิ หนา ตอนศกึ กะหมังกุหนงิ โดยดาเนนิ เรอ่ื งตามเรอื่ ง อเิ หนาเลก็ ของเจา้ ฟ้ามงกุฎ

แนวคาตอบข้อ ข
๑. สะท้อนให้เหน็ ว่าผู้พูดน้ันรกั ลูกมาก จนกระทั่งไม่กลวั อะไรแม้แตค่ วามตาย หรือสามารถตายแทนได้

เพราะกลา่ วให้เหน็ ว่า หากลกู ตายน้ัน ตนเองคงตายดว้ ย จะตายชา้ หรือเรว็ กต็ ้องตายเหมอื นกนั
๒. แสดงให้เห็นถึงความประมาท ไม่คาดการณ์ให้รอบคอบ คิดว่าตนนั้นจะสามารถเอาชนะได้ ท้ังที่อีก

ฝา่ ยหนงึ่ มีกาลังมากกว่า
๓. ยังมีพ่อที่รักลูกเช่นเดียวกับท้าวกะหมังกุหนิง ตามข่าวในปัจจุบัน (มีนาคม ๒๕๕๙) นายเจนภพ

วีรพร ได้ขับรถชนนิสิตปริญญาโทจนเกิดเหตุเพลิงไหม้รถและนิสิตนั้นเสียชีวิต แต่บิดาของนาย
เจนภพไดป้ กปอ้ งลูก กลา่ วว่าลกู ของตนน้นั จาเหตกุ ารณ์ไมไ่ ด้ ทั้งทีล่ กู เปน็ ฝ่ายผิด
กจิ กรรมที่ ๒ – ๔

แล้วแตด่ ลุ ยพนิ ิจของอาจารย์ผสู้ อน

แบบทดสอบกอ่ นเรยี นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนประจาหน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๑๐

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑๐ บทละครเร่ือง อิเหนา ตอน ศึกกะหมงั กหุ นิง

เลอื กคาตอบท่ถี กู ตอ้ งทส่ี ดุ เพียงคาตอบเดยี ว

๑. บทละครเรอ่ื ง อิเหนา ตอน ศกึ ทา้ วกะหมงั กหุ นงิ เปน็ พระราชนพิ นธข์ องผ้ใู ด

๑. เจ้าฟา้ กณุ ฑล

๒. เจา้ ฟ้ามงกฎุ

๓. พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั

๔. พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

๒. บทละครเรอ่ื ง อเิ หนา ตอน ศกึ ทา้ วกะหมงั กุหนงิ แตง่ ดว้ ยคาประพันธ์ใด

๑. กลอนสภุ าพ ๒. โคลงส่สี ุภาพ

๓. กลอนบทละคร ๔. รา่ ยสุภาพและโคลงสีส่ ภุ าพ

๓. วรรณคดีเรื่องอิเหนามีท่ีมาจากทีใ่ ด

๑. ชวา ๒.ขอม ๓. มอญ ๔. ลาว

๔. ต้นวงศอ์ สัญแดหวาคอื ใคร

๑. องค์สหมั บดีพรหม ๒. องค์อมราธิบดี

๓. องคเ์ วสสุวัณญาณ ๔. องค์ปะตาระกาหลา

๕. ผู้ใดไมไ่ ด้อย่ใู นวงศอ์ สญั แดหวา

๑. บษุ บา ๒. จินตะหรา

๓. กะหรัดตะปาตี ๔. สุหรานากง

๖. ข้อใดไม่ใช่ตาแหนง่ มเหสีในกษตั รยิ ว์ งศ์อสญั แดหวา

๑. มะโต ๒. มะเดหวี

๓. ประเสหรัน ๔. เหมาหลาหงี

๗. อิเหนาไปเผาศพพระอัยกที ีเ่ มืองใด

๑. เมอื งดาหา ๒. เมืองกเุ รปนั

๓. เมอื งกาหลัง ๔. เมืองหมันหยา

๘. กองทพั ใดไมไ่ ด้ส่งพลมาชว่ ยท้าวดาหารบ

๑. กรงุ จรกา ๒. กรุงกาหลัง

๓. กรุงปกั มาหงัน ๔. กรุงประหมัน

๙. นอกจากนางบษุ บาแล้ว ช่างวาดภาพของจรกาไดล้ อบวาดรปู ของผู้ใดอีก

๑. นางยุบล ๒. นางวยิ ะดา

๓. นางจนิ ดาสา่ หรี ๔. นางสการะหน่ึงหรดั

๑๐. ทา้ วกุเรปนั สง่ ผใู้ ดนาทัพกรุงกเุ รปนั ไปช่วยทา้ วดาหา

๑. สยี ะตรา ๒. สหุ รานากง

๓. ตามะหงงเสนา ๔. กะหรัดตะปาตี

เฉลย

๑. ๓ ๒. ๓ ๓. ๑ ๔. ๔ ๕. ๒

๖. ๓ ๗. ๔ ๘. ๔ ๙. ๓ ๑๐. ๔



แบบทดสอบหลังเรียนผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นประจาหน่วยการเรียนร้ทู ี่ ๑๐

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๐ บทละครเรื่อง อิเหนา ตอน ศึกทา้ วกะหมงั กหุ นิง

เลือกคาตอบทีถ่ ูกตอ้ งทส่ี ุดเพียงคาตอบเดยี ว

๑. ขอ้ ใดแสดงความคดิ เก่ียวกับความรักตา่ งจากข้ออืน่

๑. ตา่ ศกั ดิห์ รือมารักวงศเ์ ทเวศร์ ใหผ้ ิดเพศตนุ าหงนั อสญั หยา

เหมือนอเิ หนาเสาวภาคย์กับบุษบา เออสาสิทีใ่ จไม่เจียมใจ

๒. เหมอื นกระต่ายหมายชมจนั ทรา อันสงู สดุ สายตาอยเู่ ต็มไกล

คงมิได้เชยชมสมคดิ ตอ้ งทนพิษความรกั จนตักษัย

๓. สตรีใดในพิภพจบแดน ไมม่ ีใครได้แคน้ เหมือนอกข้า

ด้วยใฝร่ ักใหเ้ กินพักตรา จะมีแตเ่ วทนาเป็นเนืองนิตย์

๔. ซา้ เป็นขัตติยชาตผิ ู้อาจหาญ ควรหกั ราญรกั ให้ประลยั หาย

อยา่ เหยยี ดตนตา่ ช้าอยา่ งนา่ อาย ลงมุง่ หมายทาสีไม่ดีเลย

๒. ข้อใดสะท้อนทรรศนะของผพู้ ูดข้อความตอ่ ไปน้ี

"แม้นว่าระตูจรกา งามเหมอื นวหิ ยาสะกาน้ี

จะมไิ ดร้ อ้ นรนดว้ ยปนศักด์ิ นา่ รักรูปทรงส่งศรี"

๑. ไม่ถือเร่ืองชน้ั วรรณะ

๒. ไม่ถอื เร่ืองยศศกั ดิ์

๓. รปู สมบัตสิ าคญั กวา่ ฐานะ

๔. รูปสมบตั ิแสดงให้เห็นคุณความดีของคน

๓. ข้อใดไมม่ นี า้ เสียงเชิงสบประมาท

๑. จงมาเล่นทวนดว้ ยกันก่อน ให้เหน็ ฤทธิรอนแกล้วกลา้

๒. ตัวสอิ ย่ปู กั มาหงนั ใช่วงศ์อสญั แดหวา

๓. ไมค่ วรคูส่ ูร้ บกบั เรา ครน้ั จะฆ่าเสียเล่าก็อายใจ

๔. หรือรักตวั กลัวจะมว้ ยชวี นั บงั คมคลั จะให้คืนไปพารา

๔. ขอ้ ใดเป็นทรรศนะเก่ยี วกบั ผู้หญิงที่ไมไ่ ด้สะท้อนจากเร่อื งอิเหนา ตอนศึกกะหมงั กหุ นิง

๑. ผหู้ ญงิ งามเปน็ ชนวนของสงคราม

๒. ผหู้ ญิงทแ่ี ย่งสามีผ้อู นื่ เป็นผทู้ ี่น่ารังเกยี จ

๓. ผหู้ ญงิ ท่ีแตง่ งานแลว้ เป็นสมบตั ิของสามี

๔. ผหู้ ญิงท่เี ป็นหม้ายขนั หมากยอ่ มไดร้ บั ความอับอาย

๕. ข้อใดไม่ใช่คาพูดทีแ่ สดงความรักศกั ด์ิศรี

๑. จะสงครามตามตตี ิดพัน ไปกวา่ ชวี นั จะบรรลัย

๒. ผิดกท็ าสงครามดตู ามที เคราะห์ดกี ็จะได้ดังใฝ่ฝนั

๓. จาจะไปต้านตอ่ รอฤทธิ์ ถึงม้วยมดิ มใิ ห้ใครดูหมิ่น

๔. แตผ่ เู้ ดียวจะเคีย่ วสงครามไป จะยากเยน็ เป็นกระไรก็ตามที

๖. มาตรแม้นเสยี เมืองดาหา จะพลอยอายขายหนา้ หรือหาไม่

ซ่ึงเกดิ ศึกสาเหตเุ ภทภัย กเ็ พราะใครทาความไวง้ ามพักตร์

คาประพนั ธข์ า้ งตน้ น้ใี ช้กลวิธีทางวรรณศิลป์ใด

๑. การใช้คาเปรยี บเชิงอปุ ลักษณ์ ๒. การใชอ้ ปุ มานทิ ัศน์

๓. การใชค้ าถามเชงิ วาทศลิ ป์ ๔. การใช้บคุ คลสมมุติ

๗. เสรจ็ ศึกจะเข้าไปอญั ชลี จะด่าตีกต็ ามอัชฌาสยั

เมอื่ ได้เกินแล้วกจ็ นใจ ตามแต่ภวู ไนยจะปรานี

ความท่ขี ีดเสน้ ใต้มีความหมายตรงกับขอ้ ใด

๑. ได้ทาการล่วงเกนิ เอาไว้มาก

๒. ได้ชยั ชนะในศึกสงครามเกินความคาดหมาย

๓. ไดส้ รา้ งความโกรธแค้นไวม้ ากเกินจะให้อภัย

๔. ไดก้ ล่าวคาโออ้ วดไวเ้ กินความจรงิ

๘. คาประพนั ธ์ตอ่ ไปนแ้ี สดงวา่ ผู้พูดไมม่ ลี กั ษณะตามข้อใด

"ฝ่ายเราเลา่ กส็ ามพารา เป็นใหญใ่ นชวาแว่นแควน้

ถงึ ทัพจรกาลา่ สานัน้ พีไ่ ม่พรั่นใหม้ าสกั สบิ แสน

จะหักโหมโจมตใี ห้แตกแตน พกั เดียวก็จะแลน่ เข้าปา่ ไป"

๑. มุ่งมัน่ จะเผดจ็ ศกึ ใหไ้ ด้โดยเร็ว

๒. วางแผนการรบอยา่ งรอบคอบ

๓. หย่งิ ทะนงในความย่ิงใหญข่ องตน

๔. เชือ่ มั่นในกาลังความสามารถของตน

๙. ขอ้ ใดไม่แสดงความเป็นเหตเุ ปน็ ผล

๑. อันชิงนางอย่างนไ้ี ม่ผดิ ธรรม์ ธรรมเนียมน้ันมแี ต่บรุ าณมา

๒. แม้นไม่รูแ้ หง่ เมอื งจรกา จะช่วยชีม้ รรคาบอกให้

๓. จรกาไมม่ าก็ย่ิงดี ไม่มผี ู้หวงแหนกดี กนั

๔. คร้ันขอนางมิไดด้ ังใจจง จงึ เกดิ การรณรงคใ์ นดาหา

๑๐. จากคาประพันธ์ตอ่ ไปนี้ข้อใดผู้พดู ไมไ่ ด้ถาม

วงศว์ านวา่ นเครือเนื้อหนอ่ พงศ์เผา่ เหล่ากอเปน็ ไฉน

อยปู่ ระเทศธานีบุรใี ด ทาไมจึงแกลง้ แปลงปลอมมา

๑. บ้านเดมิ อยทู่ ่ีไหน ๒. พ่อแมส่ บายดีหรอื

๓. เป็นลูกเตา้ เหลา่ ใคร ๔. มาทนี่ ่ที าไม

เฉลย ๒. ๓ ๓. ๑ ๔. ๓ ๕. ๒
๑. ๔ ๗. ๑ ๘. ๓ ๙. ๒ ๑๐. ๒
๖. ๓

การประเมินและสะทอ้ นตนเองหลงั เสร็จสน้ิ การเรยี นในหน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๑๐
(Self Reflection)

๑. การประเมินตนเองของผเู้ รียน ใหด้ าเนนิ การดังนี้
๑.๑ ผูส้ อนทบทวนผลการเรียนรปู้ ระจาหนว่ ยทกุ ข้อให้ผเู้ รียนได้ทราบ โดยอาจเขียนไวบ้ นกระดาน
พรอ้ มทง้ั ทบทวนถึงหวั ข้อกิจกรรมการเรียนวา่ ได้เรยี นอะไรบา้ ง
๑.๒ ให้ผู้เรยี นเขียนบันทกึ การประเมนิ ตนเองไว้ในสมุดงานดา้ นหลังตามหัวขอ้ ดงั น้ี

บันทึกการประเมนิ และสะท้อนตนเองประจาหนว่ ยการเรยี นรู้ท.ี่ .............
วนั /เดอื น/ปี ท่บี นั ทึก ................./................../...................

รายการบนั ทึก
๑. จากการเรียนทผ่ี า่ นมาไดม้ คี วามรอู้ ะไรบ้าง

............................................................................................................................. ..........................................
....................................................................................... ................................................................................
๒. ปจั จุบันน้ีมคี วามสามารถปฏบิ ตั ิสิง่ ใดไดแ้ ลว้ บา้ ง
........................................................................................................................... ............................................
............................................................................................................................. ..........................................
๓. ส่ิงท่ียงั ไมร่ ู้ ไม่กระจ่าง ไมเ่ ข้าใจ มีอะไรบา้ ง
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
๔. ผลงานหรือชิ้นงานที่เนน้ ความภาคภมู ิใจจากการเรยี นในหน่วยน้คี ืออะไร ทาไมจึงภาคภมู ิใจ
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................

๒. การพฒั นาการเรยี นการสอนโดยใชก้ ระบวนการวิจยั ในช้ันเรียนของผูส้ อน

ชอื่ เรื่องท่วี ิจัย......................................................................................................
๒.๑ ความเป็นมาของปัญหา

ส่งิ ที่คาดหวงั
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

สง่ิ ทีเ่ ปน็ จริง
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

ปัญหาท่พี บคือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

สาเหตขุ องปัญหาคือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

แนวทางการแก้ไขปัญหาคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒.๒ วัตถปุ ระสงคใ์ นการแกป้ ัญหา

๑. เพือ่ แก้ปญั หาเรอื่ ง...............................................................................................
ของผู้เรยี นชนั้ ............................... หอ้ ง................ จำนวน.................คน โดยใช้............................

.......................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................. .....................................

๒. เพอ่ื ศกึ ษาผลการแก้ไขปญั หาเกี่ยวกับ......................................................................................
หลังจากทไี่ ด้ทดลองใชว้ ิธีแก้ปญั หาโดย......................................................................................... .

......................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

๒.๓ ขอบเขตของการแกป้ ัญหา
๑. กลุม่ เป้าหมายในการแก้ปัญหาคือ ผูเ้ รยี นช้ัน................................ ห้อง.......................................

จานวน......................คน ในภาคเรยี นท่ี................. ปกี ารศกึ ษา................... ท่ีมีปัญหาเก่ยี วกับ.......................
๒. เนอ้ื หาทใี่ ช้ในการศึกษาคอื เร่อื ง........................................................... หนว่ ยการเรยี นร้.ู .............
วชิ า.................................................................................................
๓. ระยะเวลาในการศึกษา ประมาณ....... สปั ดาห/์ เดอื น ตัง้ แต่วันที่ ......... เดอื น............. พ.ศ. .......
ถึงวันที่ ............. เดอื น ................................ พ.ศ. ...................

๒.๔ วธิ ีดาเนินการในการแก้ไขปญั หา
๑. เครื่องมอื ท่ีใช้ในการแก้ปญั หาคือ

............................................................................................................................. ..........................................
....................................................................................... ................................................................................

ซ่ึงมีขั้นตอนในกำรสร้ำงและพัฒนำดังนี้

............................................................................................................................. ..........................................
............................................................................................................................. ..........................................

๒. เครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลคอื
................................................................................................................................ .......................................
.......................................................................................................................................................................

ซึง่ มีขน้ั ตอนในการสร้างและตรวจสอบคุณภาพดังนี้
................................................................................................................................................................ .......
.......................................................................................................................................................................

๓. การเก็บรวบรวมข้อมูล ไดด้ าเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ตามวิธกี ารดังนี้

๑. นาเคร่อื งมอื ทใี่ ชใ้ นการแกป้ ัญหาไปทดลองใชก้ ับผูเ้ รียนในเวลา ...............................................
โดย..............................................................................................................................

.....................................................................................................................................................
๒. นาเครอ่ื งมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลไปเก็บข้อมูลเกยี่ วกบั ................................................................

โดย................................................................................................................. ..........................
.....................................................................................................................................................


Click to View FlipBook Version