๘.๒ แหลง่ การเรยี นรู้
๑. หอ้ งสมดุ โรงเรยี น
๒. ห้องสมดุ ภาษาไทย
๓. หอ้ งสมดุ ประชาชน
๔. หอสมุดแห่งชาติ
๕. www.obec.go.th/news/
๙. การวดั และการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๙.๑ ผลงานจากใบงาน “การสรปุ ผลการอา่ นการวเิ คราะหเ์ รียงความ”
๙.๒ ผลงานจากภาระงาน “รวบรวมเวบ็ ไซต์ทใ่ี ห้ความรูเ้ ก่ียวกบั การเขียนเรยี งความ”
๙.๓ ผลงานจากภาระงาน “เขยี นเรยี งความภาษาองั กฤษ”
๙.๔ การทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น
๙.๕ การตอบคาถามกิจกรรมเสนอแนะ
๑๐. านั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้
๑๐.๑ ความสาเร็จในการจัดการเรียนรู้
ด้านผู้เรยี น................................................................................................................. ........
..............................................................................................................................................
ดา้ นวิธีสอนการวัดผล.......................................................................................................... ..
................................................................................................................................................
ดา้ นส่อื การเรียนร.ู้ ................................................................................ ...................................
................................................................................................................................................
๑๐.๒ ปญั หา/อปุ สรรคในการจัดการเรยี นร.ู้ ........................................................................................
.........................................................................................................................................................
๑๐.๓ สิ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผน…..…………………………………………………….………………………………………
.........................................................................................................................................................
เหตุผล……..……………………………………………………………………………………………………………………………
........................................................................................................................................................
๑๐.๔ แนวทางการปรับปรุงครง้ั ต่อไป ..............................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
ลงชอื่ ................................................................... ผสู้ อน
๑๑. แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรียน
เกณฑค์ ุณภาพการสังเกตพฤติกรรมนกั เรยี นดา้ น.........................................
ระดาั คุณภาพ
ท่ี รายการประเมิน
๑๒๓
๑ การทางานร่วมกัน ยอมรบั มติการทางาน ยอมรับมติของกลุ่ม - ยอมรับมติของกลมุ่
ของกลมุ่ แต่ปฏิบัติ
ตามน้อยครั้ง - รับผิดชอบงานที่รบั
มอบหมายจากกลุ่ม
๒ ความกระตอื รือร้น ช่วยเหลืองานภายใน - ช่วยเหลอื งานในกลุ่ม - ช่วยเหลืองานภายใน
กลุ่มเม่ือมีการร้องขอ
- รว่ มแสดงความ กลุ่ม
คิดเหน็ - รว่ มแสดงความคดิ เห็น
- ใฝร่ ูใ้ ฝเ่ รียน
- ศกึ ษาค้นควา้
๓ การตอบคาถาม มสี ว่ นร่วมในการตอบ มสี ว่ นร่วมในการตอบ ให้ความรว่ มมือในการ
คาถามน้อยมาก คาถามบางคร้ัง ตอบคาถามเปน็ อย่างดี
๔ ความคดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ รว่ มกิจกรรมตามที่ รบั ฟงั แตแ่ สดงความ รว่ มรับฟังและแสดง
กลุ่มขอรอ้ ง คดิ เห็นทค่ี ล้อยตาม ความคดิ เหน็ ท่ีแตกต่าง
เพื่อนๆ แตม่ ีประโยชน์
แาาการประเมนิ การสงั เกตพฤตกิ รรมนักเรียนด้านการทางานเป็นกลุ่ม
รายการประเมนิ สรปุ ผล
ท่ี ชอื่ -สกลุ การทางาน ความ การตอา ความคิดริเร่ิม รวม
รว่ มกัน กระตอื รือรน้ คาถาม สร้างสรรค์ (๑๒) ผา่ น ไมผ่ า่ น
(๓) (๓) (๓) (๓)
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
เกณฑ์การประเมิน
๙ - ๑๒ คะแนน ระดบั ๓ = ดี
๕ – ๘ คะแนน ระดับ ๒ = พอใช้
ต่ากวา่ ๕ คะแนน ระดบั ๑ = ควรปรบั ปรุง
สรปุ ผลการประเมนิ
ดี พอใช้ ปรบั ปรุง
เกณฑ์การตดั สินใจ
ผา่ น ไมผ่ ่าน
หมายเหตุ : เกณฑเ์ ปน็ ไปตามทีโ่ รงเรยี นกาหนด
ลงชอ่ื ............................................................................ผ้ปู ระเมิน
๑๒. กจิ กรรมเสนอแนะ
๑๒.๑ กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่านเชงิ วิเคราะห์ ประกอบด้วยขน้ั ตอน ดงั น้ี
ข้นั รวบรวมข้อมูล
นกั เรียนรวบรวมเรยี งความประเภทต่างๆ
ขนั้ วิเคราะห์
นักเรียนฝึกวิเคราะห์และจาแนกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น ข้อแสดงอารมณ์ ความรู้สึก จาก
เรยี งความท่ีเตรยี มไวแ้ ล้วจากขัน้ รวบรวมขอ้ มูล
ขนั้ สรปุ
นกั เรยี นสรุปสาระสาคัญและข้อคิดของเรยี งความประเภทต่างๆ ทไ่ี ด้เตรียมไวแ้ ล้ว
ข้ันประยกุ ต์ใช้
นกั เรียนนาข้อคดิ จากเรียงความประเภทตา่ งๆ ที่ได้รวบรวมมานน้ั มาประยุกต์ใช้ในชวี ติ จริง
๑๒.๒ กจิ กรรมบูรณาการ
กจิ กรรมที่ ๑
ครูสามารถบรู ณาการการเรียนรกู้ ับกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาต่างประเทศ สาระท่ี ๓ : ภาษากบั
ความสมั พนั ธก์ ับกลมุ่ สาระการเรยี นรู้อ่นื โดยให้นักเรียนเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ
ภาระงาน “ การเขยี นเรยี งความภาษาอังกฤษ ”
การบูรณาการ มฐ. ท ๒.๑ และ ต ๓.๑
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ การเขยี นเรยี งความ ประยุกต์ใช้ในการเขียนเรยี งความภาษาอังกฤษ
ผลงานที่ต้องการ เรียงความภาษาอังกฤษ
ขัน้ ตอนการทางาน
๑. กาหนดให้นกั เรียนฝึกเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ
๒. เขียนเรียงความภาษาอังกฤษ
๓. พดู เสนอผลงานหนา้ ชน้ั เรยี นหรือจัดนิทรรศการแสดงผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมิน
๑. ความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์
๒. ความประณีต เรียบร้อย ถูกต้องตามรูปแบบและหลกั เกณฑ์
๓. ความนา่ สนใจในการนาเสนอ
กิจกรรมที่ ๒
ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี สาระท่ี๔ :
เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใหน้ ักเรียนสื่ออิเลก็ ทรอนกิ ส์จากของจรงิ และให้นกั เรยี นปฏบิ ตั ิกิจกรรมดังน้ี
ภาระงาน “ รวบรวมเวบ็ ไซต์ท่ีให้ความรูเ้ กีย่ วกับการเขยี นเรยี งความ”
การบรู ณาการ มฐ. ท ๒.๑ และ ง ๔.๑
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ใช้ส่ืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ เพอื่ การศึกษาความรูเ้ รื่องการย่อความ
ผลงานทต่ี ้องการ เวบ็ ไซตท์ ี่ให้ความร้เู กีย่ วกับการเขยี นเรียงความ
ขัน้ ตอนการทางาน
๑. กาหนดให้นกั เรียนเลือกสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เนต็
๒. นกั เรียนนาผลงานการสืบค้นมาจัดทาเปน็ สมุดคู่มอื การสืบคน้ แหล่งเรยี นรู้เพื่อพัฒนาประสิทธภิ าพ
ในการย่อความประเภทต่างๆ
๓. นาผลงานการศึกษาคน้ คว้าดังกลา่ วนาเสนอหนา้ ชน้ั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ
๑. ความถกู ต้องครบถว้ นสมบูรณ์ของข้อมลู ทค่ี ้นคว้ามานาเสนอ
๒. ความประณตี เรียบรอ้ ย
๓. ความน่าสนใจในการนาเสนอ
๑๓. ใบความรู้ ใบงาน และเครอ่ื งมือวัดผล
๑๓.๑ ใบความรู้
๑. ตวั อยา่ งเรียงความเร่อื ง “ปทู ะเลท่ีข้าพเจ้ารู้จกั ”
ปทู ะเลท่ีข้าพเจา้ ร้จู กั
ข้าพเจ้าเกิดและเติบโตมาที่หมูบ่ ้านชายทะเล จึงคุ้นกบั ชีวิตทะเลและสัตว์ทะเลหลายชนิด สัตว์ทะเลที่เป็น
อาหารสาคัญของมนุษย์คือ ปลา กุ้ง หอย และปู ชีวิตของมันล้วนแล้วแต่น่าสนใจ น่าศึกษาและน่าเรียนรู้ท้ังส้ิน
แต่ในทนี่ ีจ้ ะขอเลา่ เกีย่ วกับปูทะเลเทา่ น้นั
ปทู ะเลอาศยั อยู่บริเวณป่าชายเลนและแมน่ ้า ลาคลองใกล้เคยี ง ช่วงเวลาทนี่ า้ ทะเลขน้ึ สูง ปูทะเลจะออกหา
กินตามน้าทะเลเข้าไปในแม่น้าลาคลอง ซึ่งมีแหล่งอาหารสมบูรณ์ เม่ือปูทะเลเจริญเติบโตมาสักระยะหนึ่งก็จะลอก
คราบ โดยสลัดกระดองเก่าทิ้งไป กระดองใหม่ที่มาแทนที่จะเจริญเติบโตแข็งแรงและมีขนาดใหญ่ข้ึน ระหว่างการ
ลอกคราบ สุขภาพร่างกายของปูทะเลยังอ่อนแอ ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ จึงต้องเสาะหารู หรือซอกโพรงเพ่ือหลบ
ซอ่ นตัวให้ปลอดภัยจากศัตรู ปูทะเลตัวเมียตอนลอกคราบมีสิทธิตามธรรมชาติที่จะได้รับ ความคุ้มครองเป็นพิเศษ
โดยจะมีปูทะเลตัวผู้ที่แข็งแรงคอยเฝ้าดูแลระมัดระวังมิให้ศัตรูทาร้ายได้ แต่ปูทะเลตัวผู้หาได้มีสิทธิที่จะได้รับความ
ค้มุ ครอง เช่นนั้นไม่ ระหว่างการลอกคราบจึงต้องเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในรู มิหนาซ้ายังต้องขุดดินในรูมาปิด ปากรู
ไว้ด้วย เพ่ือป้องกันศัตรูไม่ให้กล้ากรายได้ บรรดาศัตรูของปูทะเลตัวผู้ที่ลอกคราบอยู่น้ัน ก็มีปูทะเลตัวเมีย ที่
ถือวา่ ปูทะเลเพศตรงข้ามของมนั คืออาหารอันโอชะ
คนเป็นศัตรูหมายเลข ๑ ของปูทะเลตอนทจี่ ะเตรยี มตัวลอกคราบ เพราะการจับปูทะเลวิธีหน่ึง คือ ขุดจาก
รูที่ปูอาศัยอยู่ ซ่ึงจะได้ปูท่ีมีเนื้อแน่น ช่วงเวลาท่ีปูเข้าอาศัยอยู่ในรูเพื่อเตรียมลอกคราบนั้น ปูได้กินอาหารสะสมไว้
มาก ผู้ขุดหาปูท่ีชานาญ มีวิธีสังเกตว่า รูใดมีปูทะเลอาศัยอยู่หรือไม่โดยดูจากบริเวณปากรู ถ้ามีดินก้นรูที่ถูกขุด
ออกมาปดิ ปากรูใหม่ๆ น่าจะเช่ือไดว้ ่าในรูนั้นมีปูทะเลตัวผู้ที่เตรยี มลอกคราบ แต่ถ้าบรเิ วณปากรูมีดินใหม่ๆ จากก้น
รู และมีรอยเท้าปูเข้าออก อาจพบวา่ ในรนู น้ั มีปูทะเลตัวเมยี และปทู ะเลตวั ผู้อยดู่ ้วยกันก็เป็นได้
ปูทะเลท่ีอาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลน นอกจาก ถูกคนจับกินเป็นอาหารแล้ว ยังอาจถูกลิงแสมจับกินด้วย
ลิงแสมมวี ิธีจับปูทะเลโดยใช้หางของมันแหย่ลงไปในรูหรือซอกโพรง ถ้ามีปูหลบซ่อนอยู่ ปูจะต่อสู้และหนบี หางลิง
ไว้แน่น ลิงจะค่อยๆ ดึงหาง ของมันข้ึนมา ปูมักไม่ยอมปล่อยซ่ึงจะถูกลิงจับกินในท่ีสุด แต่หากเป็นลิงเล็กๆ แหย่
หางลงไปถูกปูทะเล ตัวโตๆ หนีบไว้ ลิงตัวน้ันอาจดึงหางของตนข้ึนมาไม่ได้ และประจวบกับถึงคราวเคราะห์ร้าย
น้าทะเล ข้ึนสูงท่วมถึงลิง นอกจากลิงจะไม่ได้กินปูแล้ว ลิงเองนั่นแหละท่ีจะกลายเป็นอาหารของปูทะเล ในที่สุด
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปูทะเลกบั ลงิ เชน่ น้ี เปน็ เครื่องช่วยให้ระบบนิเวศป่าชายเลนมีลักษณะสมดุล กล่าวคอื ลงิ เป็น
ผ้รู กั ษาประชากรปไู มใ่ ห้มจี านวนมากเกนิ ไป และในขณะเดยี วกันลงิ กอ็ าจกลายเป็นอาหารเลี้ยงปไู ด้ด้วย
ทุกวันนี้ ปูทะเลที่เจริญเติบโตอยู่ตามธรรมชาติ นับวันจะลดจานวนลง นอกจากถูกมนุษย์และสัตว์อ่ืนๆ
จับกินแล้ว สภาพป่าชายเลนท่ีค่อยๆ สูญเสียไปเพราะมนุษย์ทาลาย หรือนาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นเป็นอันมาก
รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่ ไม่อานวย อันได้แก่ อากาศท่ีเปล่ยี นไปเปล่ียนมา อย่างรวดเร็ว นา้ ท่วมเพราะวาตภัยและ
ภัยธรรมชาติ อื่นๆ กลายเป็นอุปสรรคต่อการดารงชีวิตของปูทะเล รัฐจึงน่าจะเห็นความจาเป็น ส่งเสริมการเล้ียง
ปูทะเลกันอย่างจริงจัง เพราะต่อไปนอกจากจะไม่มีปูทะเลให้รับประทานแล้ว คนไทยอาจรู้จักปูทะเลแต่เพียง
ในภาพเทา่ นัน้
๒. แผน่ ใสแนวคาตอบเรอื่ ง “การวิเคราะห์และอภิปรายสว่ นประกอบของเรยี งความ”
แนวคาตอบ
คานา - เป็นการข้ึนต้นด้วยการกล่าวถึงสิ่งท่ีจะเขียนถึงทันที โดยนา
ประสบการณ์ท่ีตนเองเป็นชาวทะเลมากล่าวอ้าง ทาให้ผู้อ่านมีความม่ันใจในส่ิงที่จะอ่านว่าเป็น
ขอ้ เทจ็ จริง
เนื้อเรอื่ ง- กล่าวถึงลกั ษณะความเปน็ อยู่ นสิ ยั ของปูทะเล
- ศัตรขู องปทู ะเล คอื คนและลงิ แสม
สรปุ - แสดงความคดิ เหน็ ใหม้ ีการอนุรักษ์ปทู ะเล
๓. ใบความรู้เรอ่ื ง “การเขยี นคานาและบทสรปุ ในการเขยี นเรยี งความ”
ใบความรู้ การเขยี นคานาและบทสรปุ ในการเขยี นเรียงความ
การเขียนคานาในการเขียนเรยี งความ
คานา เป็นส่วนสาคัญที่เร้าความสนใจและความพึงพอใจแก่ผอู้ าน มผี ู้เปรยี บเทียบว่าคานาที่ดเี หมือน
ภาพปกสวยๆ บนหนา้ หนังสือ ยอ่ มเปน็ ทีส่ ะดดุ ตาของผู้พบเหน็ ทาให้เกิดความสนใจใคร่จบั ต้องหรอื เปดิ ดูหน้า
ในของหนังสือ การเขยี นคานาจะทาเมอ่ื ได้วางโครงเรื่องไว้เรยี บร้อยแล้ว
วิธีการเขยี นคานามหี ลายวิธีทง้ั นยี้ อ่ มแลว้ แตส่ าระสาคัญของเร่ืองและจดุ มุ่งหมายของผเู้ ขียน ดงั นี้
๑. คานาทเ่ี ป็นข่าว มกั ใชก้ บั เร่อื งทีม่ ขี ่าวเป็นตน้ เหตใุ หเ้ กดิ ความคดิ ในเร่ืองท่ีจะเขยี น ตัวอยา่ ง
นงั่ ที่ไหน ก็ไม่ยากเท่าเข้าไปนั่งอยู่ใน “หัวใจ” คน เพราะนั่นหมายถึงบุคคลผู้นั้นต้องมีคุณงามความดี
หรือไม่กม็ ี ฝไี ม้ลายมอื ให้คนท่วั ไปต้องจดจาชนิดลมื ไม่ลง
สาหรับคนองั กฤษ เม่อื ถูกสถานโี ทรทศั น์บบี ีซีขอให้เลือกคนชาติเดยี วกนั ท่เี ขาคิดว่าสมควรได้ทีน่ ั่งอันมี
ค่าดังกล่าวออกมา ๑๐๐ คน ชาวอังกฤษ ราว ๓๐,๐๐๐ คน ที่ตอบโพลสารวจของบีบีซีขอเลือกได้บุคคลที่
ประกอบคุณงามความดี หรอื มผี ลงานอันนา่ ยกยอ่ งจดจาออกมาจนครบ ซึ่งมีบุคคลหลากหลายสาขา ท้ังบุคคล
ในราชวงศ์ นักประดษิ ฐ์ กวี นักการเมือง ศิลปนิ นักรอ้ ง นกั แสดง...
(“๑๐๐ คนเกง่ – คนดงั ทีน่ ่ังอยใู่ จคนอังกฤษตลอดกำล” คอลมั น์ “ร่อนตำมลม”
หนังสือพิมพม์ ติชน ประจำวนั อำทติ ย์ท่ี ๒๕ สิงหำคม ๒๕๔๕)
๒. คานาทีบ่ อกที่มาของเรอ่ื ง คือคานาทบ่ี อกจุดมุ่งหมายของการเขยี นเรื่อง ตัวอยา่ ง
ผมเพ่ิงมานึกได้ว่าผมเคยได้สัญญากับท่านผู้อ่านไว้ว่า เมื่อมีโอกาสผมจะเขียนเรื่องพม่าตอนเสียเมือง
แกอ่ ังกฤษใหฟ้ ัง บดั น้ีโอกาสนั้นก็มาถึงแล้ว จึงจะขอระงบั เรือ่ งอื่นๆ ไว้สักพักหนึง่ ยกเอาเร่ืองเกา่ ๆ มาเลา่ สู่กัน
ฟังพอเพลินๆ จะมีคติอะไรซ่อนอยู่ในเร่ืองเก่าๆ น้ันบ้างหรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะผมเองเป็นคนเขียนหนังสือไม่
ค่อยมีคติ
(“พม่ำเสียเมือง” คึกฤทธิ์ ปรำโมช)
๓. คานาท่เี ป็นการพรรณนา คอื การเขียนนาให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการนึกเหน็ ภาพ เพ่ือใหเ้ กดิ อารมณ์
สะเทือนใจ
ตวั อยา่ ง
ตะวันลับทิวเขาไปแล้ว ทิ้งสีสันแห่งการร่าลาไว้บนขอบฟ้า รัตติกาลกาลังย่างกรายเข้ามาเยือนผืนป่า
และขุนเขา หากเป็นเช่นทุกเมื่อเชื่อวัน ผืนป่ายามพลบค่าเริ่มมืดดา คีตกวีคงเร่ิมสานเสียงแว่วมากับสายลมท่ี
แผ่วพร้ิว ผืนป่าคงคลายจากกระไอร้อน ความสงบเยือกเย็นคงคืบคลานเคล่ือนเข้ามาพร้อมเวลาแห่งรัตติกาล
ใบไม้ได้พักผอ่ นหลงั จากสร้างสรรค์งานในหน้าทมี่ าท้ังวัน ฝูงนกคงจบั คอน หรอื พักผ่อนในรวงรงั โอ้ออ้ มปีกเอ้ือ
ไออ่นุ กับลกู นอ้ ย ส่าสตั ว์คงสุขสงบในสมุ ทมุ พุม่ คบ รตั ติกาลจงึ นบั เป็นโมงยามแห่งความสุขของผืนป่า
(“ไฟปำ่ ...” รพพิ รรณ คอลัมน์เอ “บนั ทึกคนแรมทำง” อนสุ ำร อสท. มนี ำคม ๓๖)
๔. คานาท่ีเปน็ คาถาม คอื ตั้งเปน็ คาถามใหผ้ ู้อา่ น และเขยี นคาชแี้ จงเปน็ เชิงตอบคาถาม
ตวั อย่าง
...พวกเราทุกวันนี้ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่กันหรอื อยา่ งไร เจา้ หน้าทขี่ องบ้านเมืองเอาหัวไปซุกไวท้ ่ีไหน
ทาไมจึงไมส่ านึกในหน้าที่ของตนทวี่ ่า บ้านเมืองมีข่ือมีแปน้ันจริงหรอื ยกตัวอย่างเช่น การปล่อยให้ชาวประมง
จับปลาในฤดุกาลวางไข่เขาก็รู้ท่ัวโลกแล้วว่ามีแต่ผลร้าย เพราะเป็นเหตุให้ปลาสูญพันธุ์ในเวลาอันรวดเร็วมัน
เป็นการบ่อนทาลายชาตแิ ค่ไหน อกี หน่อยกอ็ ดตายกนั หมดทง้ั เมอื ง ดีเหมือนกนั จะได้ถึงยคุ มิคสัญญีเร็วข้ึน
(“กำรจับปลำในฤดวู ำงไข่” บทบรรณำธกิ ำรหนงั สือพิมพม์ ตชิ น)
๕. คานาท่ใี ชค้ วามขัดความ คอื ใชค้ วามรสู้ กึ ว่าเป็นตรงกันขา้ ม หรือนาเหตุการณ์ท่ีเปน็ ตรงกันขา้ ม
มากลา่ วนา
ตวั อยา่ ง
แม้ว่าโลกเราได้ก้าวข้ามสู่ยุคท่ีวิทยาศาสตร์รุดหน้าในอัตราเร่งท่ีรวดเร็วแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า
คนเราบางคนยังมองหาส่ิงปาฏิหาริย์ต่างๆ อยู่ตลอด ขูดหาตัวเลขจากวัตถุบูชาเพื่อหาเลขเด็ด ผูกตะกรุดเพ่ือ
ความอยยู่ งคงกระพัน เลย้ี งสง่ิ ปาฏิหาริย์เพื่อให้ช่วยเหลอื ยามคับขนั
(“ปำฏิหำรยิ ์แห่งชีวิต” จำกชวี ิตธรุ กิจ ของ ประสำร มฤคพิทกั ษ์)
๖. คานาที่ยกเอาเหตุการณ์ท่ีเป็นภมู หิ ลงั มากล่าว คือเอาเหตกุ ารณท์ ่ปี รากฏอยู่มากล่าวนา
ตวั อยา่ ง
ฉันยืนอยู่บนสะพาน น้าในคลองผดุงฯ แห้งขอดและขุ่นเป็นสีเปลือกตาลแก่ ในแอ่งเล็กๆ ริมตล่ิงขัง
น้าสีดาแต่ใส คร้ังหนึ่งคงถูกลูกปลาในก้นแอ่งกวน เพราะมีฟองน้าเดือดพรายแล้วขุ่นคลั่ก ดูๆ ก็เหมือนหัวใจ
คนเราท่ีซับเอาเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีตไว้หลากหลาย แต่ไม่เคยผุดพรายให้ใครรู้ แต่แล้วจู่ๆ มันก็ผุด
พร่ังข้ึนมาอยา่ งกะทันหัน แต่ละภาพแต่ละเสยี งที่ยังไมล่ บเลือนไปจากความทรงจา...รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และ
หยดน้าตา มนั หวนกลบั มาหาในขณะนั้นและฉันกย็ นื ต้อนรบั มนั อยตู่ รงนั้นเอง
(“พรุ่งนี้” ของ ณรงค์ จันทร์เรอื ง)
๗. คานาที่เป็นบทกวีหรือภาษิต คือนาเอาบทกวี บทเพลง หรือภาษิตทีรู้จักกันแพร่หลายซ่ึง
สอดคล้องกับเน้ือเรื่องมากล่าวนา อาจเป็นวาทะของคนสาคัญๆ ที่ได้รับการยกย่องจากคนทั่วไปที่เกี่ยวกับ
หัวข้อเรื่องที่จะเขียนมากลา่ วนากไ็ ด้
ตัวอย่าง
นับเปน็ คากล่าวทเี่ ราไดย้ นิ ได้ฟังกนั จนค้นุ หู และรบั รลู้ กึ ซึง้ ในความหมายของมันเปน็ อย่างดี และอาจ
คนุ้ เคยจนรูส้ กึ ชาชนิ กับความหมายเหมือนกบั ค้นุ เคยการใช้น้า ใช้เวลา ในทุกเมื่อเช่อื วนั ของชวี ติ จนอาจลมื นกึ
ถึงคุณคา่ ของสายนา้ และเวลา จนบางคร้งั กป็ ล่อยใหม้ ันรินไหลหกหลน่ และเลื่อนลอยผ่านผันไปอย่างเปล่า
เปลือง ในขณะทีส่ ายนา้ และกาลเวลาต่างทาหน้าทีข่ องตนอย่างแข็งขัน มัน่ คง ดารงตนสม่าเสมอตลอดกาล
(“ลอยลอ่ งท่องลำโขง” วินิจ รงั ผ้ึง จำกอนุสำร อสท.)
๘. คานาท่ีย่อใจความมา คือ บอกจดุ มุ่งหมายอยา่ งย่อท่ีสุดของเรื่อง
ตวั อย่าง
เขาเป็นนักการพนันท่ีเล่ืองชื่อ เขาเกิดมาสาหรับการเส่ียงโชคแท้ๆ เขามีชีวิตอยู่อย่าง “ลูกผีลูกคน”
วันน้ีเงินเข้ามาอัดอยู่ในกระเป๋าของเขา พรุ่งน้ีมันอาจไม่มีเหลืออยู่อีกกี่บาทในกระเป๋า ถึงกระน้ัน เปรื่องก็ยัง
เอาตวั รอดอยูเ่ สมอมา
(“ซำเกำ๊ ะ” ของ มนสั จรรยงค)์
๙. คานาแบบให้นิยาม คืออธิบายความหมายของช่ือเรื่องให้ชัดเจนเสียก่อน เพ่ือให้ผู้อ่านรู้ขอบเขต
ของการเขยี นเรื่องนน้ั ๆ
ตวั อยา่ ง
ความสัตย์ เป็นธรรมอันประเสริฐท่ีสุดท่ีมนุษย์จะต้องมี ก่อนท่ีจะถางทางไปสู่ธรรมอ่ืนๆ อันพึงสงวน
ทา่ น นักปราชญ์เก่าช่ือว่า เปลโต ผู้มีนามอุโฆษอยู่ในทวีปยุโรป กล่าวถ้อยคาไว้ว่าดังนี้ “ผู้ท่ีแสวงหาความสุข
จงปฏิบัติแต่ความสัตย์ให้เป็นสันดานของตน ถา้ ปฏิบัติได้ดังนีแ้ ล้ว จึงจะพ้นหวงทุกข์ ถ้าปฏิบัติยังไม่ได้ กย็ ังจะ
คงลอยคว้างอยู่” นี่เป็นความจรงิ เพราะความสัตย์เป็นของแทใ้ นตนเอง ปราศจากราคี ในพระธรรมบท ท่านก็
กลา่ วไวว้ ่า “คาจริงเปน็ วาจาตาย”
(“ควำมสัตย์สจุ รติ ” ของ เจ้ำพระยำธรรมศักดิ์มนตรี
๑๐. คานาท่ีบอกถึงแรงบันดาลใจ คือบอกให้รู้ว่ามีสาเหตุอันใดมาลดใจให้ฉุกคิดและเขียนเรื่องน้ัน
ขึ้นมา
ตัวอย่าง
เพราะเผลอใจไปแว้บเดียวจริงๆ จึงเกิดสารคดีเรื่องน้ีขึ้นมา เสน่ห์เมืองอุดรฯ น้ีเย้ายวนใจฉันมานาน
แล้ว นบั แตร่ ู้จกั คร้ังแรกๆ ในบทเรยี นวชิ าภูมศิ าสตร์ แล้วมาเพ่ิมเติมขน้ึ อีกเรือ่ ยๆ เวลาตามญาติผู้ใหญท่ บี่ า้ นมา
ทาบุญกับเกจิอาจารย์ช่ือดังที่นี่ หรือเมื่อเขาขุดพบโครงกระดูกที่บ้านเชียง เร่ิมรู้จักผ้าไหมสามกษัตริย์เนื้อดีที่
นาข่า จนถงึ อดุ รซนั ไฌน์ น้าหอมกล่ินถกู ใจที่สกัดจากกลว้ ยไมพ้ นั ธใุ์ หม่ฝีมือคนไทย เมืองอดุ รฯ นี้มเี สน่หบ์ าดใจ
อยู่ลึกๆ ไม่ใช่เล่น
(“ฟำ้ ฉำ่ ฝน บนหลงั เสือฯ ท่ภี ูพระบำท” เสอื ใบ (เล่ำ) จำกอนุสำร อสท.)
การเขียนบทสรปุ ในการเขียนเรียงความ
บทสรุป มักอยู่ในย่อหน้าสุดท้ายของเร่ือง การสรปุ น้นั ไม่ใช่การย่อเร่ืองที่เขียนมาแล้ว แต่เป็นการท้ิง
ทา้ ยเรอ่ื งหรือปดิ เรืองเพ่ือประโยชน์ดังนี้
๑. เพอ่ื คลคี ลายปมต่างๆ ในเน้อื เร่ือง บางเร่ืองผเู้ ขยี นอาจใชศ้ ลิ ปะการพรรณนาทาใหเ้ กิดความ
ซบั ซอ้ น บทสรปุ จะช่วยให้ผอู้ ่านเขา้ ใจเรื่องไดช้ ดั เจนตรงตามเจตนาของผเู้ ขยี น
๒. เพื่อแสดงความคดิ เห็นหรือข้อคดิ ของผู้เขียน ทาให้ผูอ้ ่านติดใจนาไปคิดต่อ เพื่อเกดิ ผลในทาง
ปฏิบัติ
การเขยี นบทสรุปต้องเลือกให้เหมาะสมกับเน้อื เรื่อง อาจเขียนบทสรุปดังนี้
๑. สรปุ ด้วยภาษิต คาคม หรือบทกวี
๒. กลา่ วถงึ ความเปลีย่ นแปลงของเร่ืองนั้น หรือแนวโนม้ ในอนาคตทผ่ี เู้ ขียนคาดว่าจะบงั เกดิ ขน้ึ
๓. แสดงความคดิ เหน็ ความหวัง หรอื ความรสู้ ึกสว่ นตัวต่อเรื่องนั้นอยา่ งคมคาย
๔. เสนอประเด็นทข่ี ัดแขง้ กันอยา่ งเด่นชดั เพอื่ ให้ผูอ้ ่านให้วจิ ารณญาณ
๕. กลา่ วสดดุ เี กียรติและคุณลักษณะที่เด่นโดยสรุป สาหรับเร่อื งท่ีเกี่ยวกับบุคคลสาคัญ
๖. ฝากขอ้ คิดหรือขอ้ คาถามแกผ่ ู้อ่าน เพ่ือนไปคิดต่อไป เพ่อื นาไปปฏิบตั ิเมื่อมีโอกาส
๗. ถ้าเป็นการพรรณนาความรู้สกึ อาจเน้นเร่อื งความงดงาม ความเจริญ หรอื ในแงข่ องปรชั ญา
๘. ถ้าเป็นการวจิ ารณห์ นังสือ สรุปใหเ้ หน็ วา่ ชอบหรอื ไมช่ อบตรงไหน เพราะเหตใุ ดรสู้ ึกเชน่ นนั้
ตัวอยา่ งบทสรปุ จากเรอื่ ง “ ขอ้ คดิ เรือ่ งการบวช ” ของ ก่ิงแกว้ อตั ถากร
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะบวชในพระศาสนาน่าจะมีการปรับปรุงทัศนคติและความพร้อมให้ดีท่ีสุด หนังสือ
นวโกวาท ซึ่งเป็นคู่มือสาหรับพระบวชใหม่นั้น ควรศึกษาตั้งแต่ก่อนบวชด้วยซ้า จะได้รู้ชดั ว่าจะต้องประพฤติ
ปฏบิ ัตติ ัวอยา่ งไรในทันทีทีเ่ ข้าสคู่ วามเป็นพระภิกษุ บางคนรอไวไ้ ปเรียนหลังจากห่มผ้าเหลืองแลว้ บางคนไม่ได้
เรียนเลยกระทาผิดพลาดอาบัติไปแล้วอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องนี่นับว่ าเป็นท่ีน่าเสียดายอย่างย่ิงเสียเงินเสียเวลา
เสียศรัทธา และเสียสถาบันหมดทีเดียว ฆราวาสผู้จะบวชหรือผู้แวดล้อมผู้บวช อยู่จึงสมควรช่วยกันหัน
ความสนใจส่แู นวทางและความเขา้ ใจอนั ถูกต้องเกี่ยวกับ การบวช อย่างเห็นแกก่ ินและแก่เล่นอยู่เลย ระเบียบ
วินัยและธรรมปฏิบัตเิ ปน็ ความจาเป็นรีบด่วนทีจ่ ะสรา้ งความเป็นหลกั ฐานม่ันคงและความสงบใหเ้ กดิ กับตนเอง
และผู้อ่ืน แม้เราจะยังไม่บวชกายก็อาจบวชใจ เพ่ือให้กาลเวลาปัจจุบันและอนาคตมีคุณค่าน่าภูมิใจไม่เส่ือม
คลาย
บทสรุปน้ี ผู้เขียนไดแ้ สดงความคดิ เห็นอย่างคมคายเก่ียวกบั การบวชซงึ่ หลายคนอาจหลงลมื
จากเร่อื ง “ ตะรเุ ตา ในวนั ที่ยังมหี วงั ” ของ วราภรณ์ พลอยบรสิ ทุ ธ์ิ
ตะรุเตาในวันน้ีกาลังฟื้นฟูตัวเองอย่างช้า ๆ มั่นคง เวลาข้างหน้า ถ้าการทาลายล้างไม่มาพราก
ทรัพยากรธรรมชาตินี้ไปเสียก่อน ตะรุเตาในวันเวลาของรุน่ ลูกเราหรอื อาจจะหลาน เหลน โหลน ก็คงจะยังอยู่
ให้ความสมดุลแก่บรรยากาศโลก ให้ความอุดมสมบรูณ์แก่ทรัพย์สินทั้งในป่าและในทะเลน่ีถ้าเรารู้จักใช้
ทรัพยากรอย่างรู้จักพอ พร้อมกับให้อาจชีวิตในธรรมชาติได้เป็นไปตามวัฏฏะอันควรบ้าง เช่น ไม่จับปลาฤดู
วางไข่ ไม่เกบ็ ไขเ่ ตา่ ทะเลไปจนหมด ไมใ่ ช้อวนตาถม่ี าก ไมร่ ะเบิดปลา ฯลฯ เมอ่ื นนั้ ตะรเุ ตาก็ยังมีความหวงั
และในวันน้ี พ.ศ. น้ี จากสภาพธรรมชาติที่เห็นอยู่ ฉันของหวังว่าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จะมี
โอกาสฟ้นื ตัวสสู่ ภาพสมบูรณย์ ง่ิ เช่นในอดตี อกี ครงั้ หนึ่งเถดิ
บทสรุปนี้ ผู้เขียนคาดหวังว่าอุทยานแห่งชาติตะรุเตาจะฟื้นตัว หากทุกคนให้ความร่วมมือในการ
อนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตทิ งั้ ในป่าและในทะเล
จากเรอื่ ง “ทน่ี ี่ไมม่ ีปัญหา” ของ อมรเทพ ดีโรจนวงศ์
ส่ิงที่ผมภูมิใจก็คือ เพ่ือนร่วมงานของผมทุกคน สามารถใช้โอกาสที่ว่ิงเข้ามานี้สร้างสรรค์ผลงานท่ีดี
ทส่ี ดุ มากมายนับไมถ่ ้วน
อย่าปล่อยให้ปัญหาหยุดย้ังความก้าวหน้าของเรา แต่จงมองให้เป็นดัง “จังหวะทอง” ของชีวิตที่จะ
พลกิ ผนั ให้เราไดใ้ นส่ิงที่ต้องการ
น่ีแหละครับ วิถีของการทางานของผม ของมิสทิน ท่ีทาให้ “เราเป็นที่หน่ึง” ในวงการเครื่องสาอาง
ขายตรง
บทสรุปข้างต้นนี้ ผู้เขยี นกล่าวในแง่ของปรัชญาการขายที่ประสบความสาเร็จของตน เปน็ การให้ขอ้ คิดแก่
ผอู้ า่ น
เรอื่ ง “ปลอบใจ บกิ๊ โจ” บา้ น คอลมั น์ “เรารัก กทม.”
โถ...ทางานมาเกนิ ครึง่ ทางแล้วจะมานอ้ ยใจ ทอ้ ใจ ทาไมกันครบั
ลืมไปแล้วหรอื วา่ “คนรกั เท่าผนื หนัง คนชงั เท่าผ่นื เสอื่ ”
ผืนหนงั ทนกว่าผนื เส่ือนะครบั “บก๊ิ โจ”
บทสรุปในข้อเขียนน้ี ผเู้ ขยี นสรปุ แสดงความรู้สึกสว่ นตวั โดยการปลอบใจด้วยภาษติ
๔. “การเลอื กช่อื เรื่อง การตั้งชอื่ เรอ่ื ง และการกาหนดขอบข่ายของหัวข้อเรื่อง”
การเลือกชื่อเรอ่ื ง การต้งั ชื่อเร่ือง และการกาหนดขอบขา่ ยของหวั ข้อเร่ือง
การเลือกชื่อเรอื่ ง/การต้ังชื่อเรอื่ ง ขอบข่ายหัวข้อเร่ือง
- ผู้เขยี นมคี วามรเู้ รื่องน้นั ดี - กระชบั รดั กุม ลมุ่ ลึก
- ผู้เขียนมีประสบการณ์เรื่อง - ผู้อ่านจับประเด็นของเรื่อง
น้นั มาก ไมย่ าก
- อ า จ เ ป็ น เ ร่ื อ ง ใ ก ล้ ตั ว - มีจุดหมายในการเขยี น
- คานึงถึงเพศ วัย และความ
เ ห ตุ ก า ร ณ์ ท่ี เ พ่ิ ง เ กิ ด ขึ้ น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สนใจของผูอ้ า่ น
สภาพแวดลอ้ ม
- ชื่ อ เ รื่ อ ง ค ว ร ค ร อ บ ค ลุ ม
เน้อื หาทง้ั หมด
๕. ตัวอย่างแผนภาพความคดิ
๑๓.๒ ใบงาน
ใบงานเร่ือง “การสรุปผลการอ่าน การวเิ คราะห์เรียงความ”
คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนวิเคราะห์การอา่ นเรียงความตามหวั ข้อที่กาหนดให้
เร่ืองที่ ๑ เรื่องที่ ๒
๑.การตั้งช่อื เร่อื ง ๑.การตงั้ ช่อื เรอื่ ง
................................................................ ................................................................
............................................................... ...............................................................
............................................................... ...............................................................
................................................................ ................................................................
.............................................................. ..............................................................
๒. องค์ประกอบของเรียงความ ๒. องคป์ ระกอบของเรยี งความ
............................................................... ...............................................................
.............................................................. ..............................................................
............................................................... ...............................................................
.............................................................. ..............................................................
............................................................... ...............................................................
๓. การใช้ภาษา ๓. การใช้ภาษา
............................................................... ...............................................................
............................................................... ...............................................................
................................................................ ................................................................
............................................................... ...............................................................
.............................................................. ..............................................................
๔. อนื่ ๆ ๔. อืน่ ๆ
............................................................... ...............................................................
............................................................... ...............................................................
............................................................... ...............................................................
.............................................................. ..............................................................
................................................................ ................................................................
เครอ่ื งมือวัดผล
๑. แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ( ดูทา้ ยหน่วย )
๒. แบบประเมินผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม ( ดูท้ายหนว่ ย )
๓. แบบประเมินผลการเขียนยอ่ ความ ( ดูทา้ ยหนว่ ย )
๔. แบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรยี น
๑๔. เฉลยกิจกรรมและแบบทดสอบ
กิจกรรมเสนอแนะ
แลว้ แตด่ ุลยพนิ ิจของอาจารย์ผ้สู อน
แบบทดสอบก่อนเรยี นผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนประจาหน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๕
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๕ การเขยี นเรยี งความ
เลอื กคาตอบทีถ่ ูกต้องท่ีสุดเพยี งคาตอบเดยี ว
๑. ปจั จยั สาคัญในการเขยี นเรยี งความคืออะไร
๑. จนิ ตนาการของผู้เขียน
๒. ข้อเทจ็ จริงของเรื่องที่จะเขียน
๓. รายละเอียดทีส่ นับสนนุ ความคิดเหน็ ของผูเ้ ขียน
๔. บทประพนั ธ์ทใี่ ช้ประกอบการเขียน
๒ การวางโครงเร่ือง เรื่อง”ภาวะแวดล้อมเป็นพิษ” ข้อใดสามารถตัดออกได้โดยไม่เสียเนื้อความเนื่องจาก
ซ้าซอ้ นกนั
๑. ที่มาของสง่ิ แวดลอ้ มเป็นพิษ
๒. สาเหตขุ องภาวะแวดล้อมเป็นพิษ
๓. การปอ้ งกันและแกไ้ ขภาวะแวดลอ้ มเป็นพิษ
๔. ความเจรญิ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
๓. - ลักษณะและชนิดของกล้วยไม้ทีเ่ ล้ียงง่าย
- วธิ ปี ลูกและการดแู ล
- ประโยชน์ที่ได้รบั
จากโครงเรอ่ื งขา้ งต้น ควรตงั้ ชอื่ เรื่องเรยี งความว่าอย่างไรจงึ จะเหมาะสม
๑. กลว้ ยไม้ไทยในอนาคต
๒. งานอดเิ รกของฉนั
๓. กล้วยไม้ : พชื เศรษฐกิจ
๔. มาปลูกกลว้ ยไม้กันเถอะ
๔. การวางโครงเรือ่ งในการเขยี นเรียงความมปี ระโยชนอ์ ย่างไร
๑. ชว่ ยจัดกลุ่มความคดิ ทมี่ ลี ักษณะเดยี วกนั ไว้ดว้ ยกนั
๒. ช่วยใหค้ ้นควา้ หาขอ้ มลู ตา่ งๆ ได้ครอบคลุมเนื้อหาเร่อื งราว
๓. ชว่ ยจดั ลาดับเรอื่ งว่าเรือ่ งใดควรเขียนก่อนเรื่องใดควรเขียนหลัง
๔. ถูกต้องทุกขอ้
๕. “โรคปริทนต์ หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นกับส่วนใดส่วนหน่ึงหรือส่วนต่างๆ หลายส่วนท่ีอยู่รอบซี่ฟัน ซ่ึงได้แก่
ซีเมนตมั อนั เป็นสว่ นปกคลมุ อยทู่ ่ีตอนรากฟนั ............”
วธิ ีเขยี นคานาตามตวั อย่างขา้ งบนน้ี เป็นการเขียนคานาวธิ ีใด
๑. ใช้การยกตวั อยา่ ง
๒. ใช้ประสบการณ์
๓. การใหค้ านิยาม
๔. นาวาทะของบุคคลอื่นมากลา่ ว
๖. ข้อใดควรใชเ้ ป็นคานา
๑. โรคเอดส์นนั้ เป็นโรคทีน่ าความทรมานใหแ้ กผ่ ้ทู ีเ่ ป็นทง้ั ทางร่างกายและจิตใจ เราจึงควรใหก้ าลงั ใจ ไม่
ซา้ เติมเขา ไม่รังเกียจเขาพร้อมท้ังสนับสนุนช่วยเหลือให้เขาอยู่ในสังคมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่ัวไป เพื่อเขาจะ
ได้ดารงชีวิตต่อไปในวันข้างหน้าได้อย่างมัน่ ใจและมกี าลังใจที่จะต่อสกู้ บั ชีวติ
๒. การปลกู ไม้ดอกไมป้ ระดบั ให้งามสมดงั ใจปรารถนา ผูป้ ลกู ตอ้ งศึกษาลักษณะธรรมชาตกิ ารเจริญเติบโต
ของตน้ ไมแ้ ตล่ ะชนดิ ใหถ้ ่องแทก้ ่อนแล้วจงึ ปลกู และบารงุ รักษาใหต้ รงกบั ลกั ษณะธรรมชาตินั้น ๆ ตวั อย่างเช่น
๓. สง่ิ หนง่ึ ท่ที าใหต้ อ้ งครุ่นคดิ กค็ อื การข่มขืนเดก็ เป็นปัญหาทางจิตหรอื เกิดจากการมอบเมาทางเพศที่มอี ยู่
อย่างดาษด่ืนท่ัวไป ท้ังจากสื่อมวลชน หนังสือลามก วิดีโอโป๊ ภาพถ่ายลามกเร้าอารมณ์กันอยู่ทุกขณะบวกกับ
สุรา ยาเสพตดิ ทท่ี าใหส้ ติสมั ปชญั ญะหายไป จนกอ่ นการขม่ ขืนเดก็ ๆ ไดล้ ง
๔. ทุกคนมไิ ด้เกิดจากโพรงไม้ แตเ่ กดิ มาในโพรงเล็กๆ ในครรโภทรของมารดา ครัน้ เกิดมาแล้วมชี ีวิตอยู่ได้
และเจริญเตบิ โตต่อไปบนความเสยี สละของบดิ ามารดา และของเพ่อื นมนุษย์ทกุ คนทเี่ ขา้ มามสี ่วนเก่ยี วข้องอนั มี
จานวนมากเหลือทจ่ี ะนบั
๗. “รา่ งกายของคนเราเป็นเสมอเพยี งกระดาษซบั ทีซ่ ึมซาบรบั คาสั่งจากดวงจติ ถ้าความคดิ บอกว่าทกุ ข์
สังขารภายนอกก็ร่วงโรยไป นัยน์ตาที่แจ่มใสจะหม่นหมอง ผิวพรรณท่ีผ่องใสจะซูบซีด ผมท่ีดาสนิทเร่ิมหงอก
กริ ิยาอาการที่เคยกระปรี้กระเปร่าจะเงียบหงอย ถา้ ความคดิ บอกว่าสุข สรรพสิง่ ต่างๆ เหล่านีก้ ็จะเปล่ยี นไปใน
ลักษณะตรงข้าม”
ข้อความน้ีใจความสาคัญอยูส่ ่วนใด
๑. สว่ นตน้ ของย่อหนา้
๒. สว่ นกลางของย่อหน้า
๓. สว่ นทา้ ยของยอ่ หน้า
๔. ส่วนตน้ และส่วนทา้ ยของย่อหน้า
๘. ขอ้ ใดเรยี งลาดับข้อความได้ถูกต้อง
๑. ในเมืองหลวงเกิดความแออัดยัดเยียด
๒. ทาให้ชนบทขาดแรงงานในการผลิต
๓. ในปจั จุบันประเทศตา่ งๆ ท่ัวโลกกาลังประสบปญั หาเหมอื นกัน
๔. เพราะพ้นื ทีม่ ีอยจู่ ากัด
๕. ทาให้เกดิ ปัญหาอกี หลายประการตามมา
๖. ประชาชนในชนบทหลง่ั ไหลเข้าไปหางานทาในเมอื งหลวง
๑. ๑-๔-๖-๕-๒-๓ ๒. ๓-๖-๒-๑-๔-๕
๓. ๖-๒-๑-๕-๔-๓ ๔. ๓-๑-๔-๖-๒-๕
๙. “ถงึ เวลาแลว้ กระมังท่ีการกวดขนั จริงจัง และตอ่ เน่ืองในการขจดั ส่อื ลามกเร้าอารมณ์และความตอ้ งการ
ทางเพศจะต้องเร่ิมข้นึ พรอ้ มๆ กับการเสรมิ ใหเ้ ดก็ ผู้ชายและเพศชายท้ังหลายในวนั นไี้ ด้เรยี นรูแ้ ลเคารพในสิทธิ
ของเพศหญงิ ว่า ผหู้ ญิงไมใ่ ช่สิ่งที่เกดิ ขึ้นมาเพื่อบาเรอทางเพศแก่มนษุ ยผ์ ูช้ ายเท่านั้น”
จากข้อความข้างตน้ ข้อใดกลา่ วถูกตอ้ ง
๑. เป็นคานา โดยนาประสบการณม์ ากลา่ ว
๒. เป็นคานา เพ่ือปลุกใจในการกาจัดปัญหาของสังคม
๓. เปน็ สรุป เพือ่ ฝากข้อคิดและเรยี กร้องให้ช่วยกันแกป้ ัญหา
๔. เปน็ สรุป โดยนาปัญหาทมี่ อี ยู่มาอธิบายให้ชัดเจน
๑๐.ข้อใดกลา่ วไม่ถูกต้อง
๑. การเขยี นเรียงความตอ้ งมีสว่ นของคานา เนอื้ เรอื่ ง สรปุ
๒. เนอื้ หาของเรียงความสามารถนามาจากแหล่งต่างๆ มาประสมประสานด้วยภาษาทไ่ี พเราะงดงาม
๓. ขั้นตอนการเขียนเรียงความมีการตั้งช่ือเร่ืองกาหนดขอบข่ายของหัวข้อเรื่อง วางโครงเร่ือง เขียนเรื่อง
และตรวจทานการเขยี นกอ่ นส่ง
๔. ลายมือในการเขียนมีความสาคัญน้อยที่สุดเพราะส่วนสาคัญอยู่ที่เน้ือเรื่อง จึงไม่ต้องระวังในการเขียน
มากนัก
เฉลย
๑. ตอบข้อ ๒
๒. ตอบข้อ ๔ เพราะความเจริญทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เป็นสว่ นหนึ่งของท่ีมาของส่ิงแวดล้อม
เปน็ พษิ
๓. ตอบข้อ ๔ เพราะ โครงเร่ืองท่ีได้กาหนดมาช่อื เรื่องควรเปน็ การจงู ใจให้อยากปลูกกล้วยไม้
๔. ตอบข้อ ๔
๕. ตอบข้อ ๓ เพราะนยิ าม คือ การให้ความหมายของคาหรือข้อความ
๖. ตอบข้อ ๔
๗. ตอบข้อ ๑
๘. ตอบข้อ ๒
๙. ตอบข้อ ๓
๑๐.ตอบข้อ ๔
แบบทดสอบหลังเรียนผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นประจาหน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๕
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๕ การเขยี นเรยี งความ
๑. ข้อใดไม่ควรใช้เปน็ เนอื้ เรื่องของเรียงความ วันภาษาไทยแหง่ ชาติ
๑. รัฐบาลไทยประกาศให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ ตามที่จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัยได้เสนอไว้
๒. วันสาคัญของคนเราอาจมีได้หลายวัน แต่วันหนึ่งท่ีคนใช้ภาษาไทยทุกคนมิควรลืมก็คือวันภาษาไทย
แห่งชาติ
๓. วันท่ี ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ เป็นวันสาคัญท่ีเป็นจุดเริ่มต้นของการกาหนดให้วันน้ีเป็นวันภาษาไทย
แห่งชาติในอีก ๓๗ ปตี ่อมา
๔. วันภาษาไทยแห่งชาติ จะทาให้คนไทย ตระหนักในความสาคัญของภาษาไทยและร่วมมือกันอนุรักษ์
การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
๒. ถงึ แม้ว่า สภาวะแวดล้อมในปจั จบุ ัน จะกดดันหรอื กอ่ ใหเ้ กดิ ความเครียดมากเพียงใดกต็ าม หากเรามีรอยยิ้ม
หัวใจของเราก็จะเปิดกว้าง มีมุมมองใหม่ ๆ พร้อมท่ีจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามา ยิ้มให้กันและกัน ย้ิมอย่าง
สดใส ย้ิมอย่างจริงใจ ความสุขเล็ก ๆน้อย ๆ ก็จะมารายล้อมอยู่รอบตัว ดังน้ัน มาทาให้ใบหน้าของพวกเรา
เลอะไปด้วยรอยย้มิ กันเถอะ”
ข้อความข้างต้น ควรจัดอยูใ่ นส่วนใดของเรียงความเรอ่ื ง “อยากให้ทุกคนหนา้ เลอะ”
๑. คานา ๒. เนอื้ เรื่อง
๓. สรปุ ๔. คานาหรือสรุป
๓. ข้อใดไมใ่ ช่องคป์ ระกอบของการเขยี นเรยี งความ
๑. มเี อกภาพ ๒. มสี มั พนั ธภาพ
๓. มีสารตั ถภาพ ๔. มจี นิ ตภาพ
๔. ข้อใดไม่ใช่สว่ นสรปุ ทดี่ ีของเรียงความ
๑. เน้นยา้ ประเดน็ ท่ตี ้องการนาเสนอ ๒. แฝงข้อคดิ คาสอนตา่ งๆ
๓. ยกวาทะคาพดู ที่กินใจผู้ฟัง ๔. ขยายเนอื้ ความออกมากขึ้นกว่าเดิม
๕. ข้อใดเป็นการเรยี งลาดบั ประเดน็ ความคิดที่เหมาะสมสาหรับเรียงความเรอื่ ง “การแต่งกายของง้วิ ”
ก. ลวดลายที่ปักบนเสอ้ื ผ้าส่ือความหมายถึงความเปน็ มงคลและความถูกต้องดงี าม เชน่ นกกระสา
หมายถงึ การมอี ายุมั่นขวญั ยืน
ข. สิ่งสาคัญมากอย่างหนง่ึ ของการแสดงงิ้วก็คือ เสอ้ื ผา้ เครอื่ งแต่งกาย ทม่ี ีรายละเอยี ดบ่งบอกสถานะ
ของตวั ละคร
ค. เส้อื ผ้าสเี หลืองอ่อนเปน็ สญั ลักษณ์ของกษตั รยิ ์ สแี ดงเปน็ ของเสนาบดหี รือจอมทัพ ส่วนสเี ขียวเปน็
ชดุ สาหรบั ขุนนางฝา่ ยบุ๋น
ง. เครอ่ื งประดับทีจ่ าเป็นอกี อยา่ งหนึ่งกค็ ือศิราภรณ์ซ่ึงประดับดว้ ยหมวกประเภทต่าง ๆ มงกฎุ และ
เครื่องตกแต่งอ่นื ๆ
๑. ข - ค - ก – ง ๒. ค - ก - ข - ง
๓. ง - ข - ก – ค ๔. ก - ข - ค – ง
๖. ขอ้ ความต่อไปนเี้ หมาะจะเป็นส่วนใดของเรยี งความเรื่อง “อุดมการณ์ของชาวจีนในเมืองไทย”
ในบรรดากลมุ่ ชาวจนี ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองไทยดังกล่าว ชาวจนี แตจ้ ๋ิวนบั เป็นกลมุ่ ที่มจี านวน
มากที่สดุ รองลงมาเปน็ ชาวจีนฮกเก้ยี น รองลงมาอีกคือชาวจีนไหหลาและชาวจีนกวางตุง้ ส่วนชาวจีนแคะน้นั มี
จานวนนอ้ ยทส่ี ดุ
๑. สว่ นนาเร่อื ง ๒. ประเดน็ สาคัญของเรอ่ื ง
๓. ส่วนขยายความ ๔. สว่ นสรปุ เรือ่ ง
๗. ขอ้ ความต่อไปน้ีไม่ควรเป็นส่วนใดของเรยี งความ
ประเพณวี งิ่ ควายซ่งึ เปน็ ประเพณีดั้งเดิมของชาวชลบุรกี ็จะอยู่คจู่ งั หวัดชลบรุ ีไปอกี นานเทา่ นาน
๑. สว่ นนาเรื่อง ๒. ส่วนเน้อื เร่อื ง
๓. ส่วนขยายเนอื้ เร่อื ง ๔. สว่ นปิดเรอื่ ง
๘. ข้อใดเหมาะจะเป็นสว่ นขนึ้ ตน้ ของเรียงความเร่ือง “นกั ศกึ ษาจีนในประเทศไทย”
๑. การคัดเลือกนักศึกษาจีนนั้น มหาวิทยาลัยแห่งชนชาติกวางสีเป็นผู้ประสานงานกับมหาวิทยาลัย
ไทย
๒. การพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองก็เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาจีนได้ฝึกภาษาไทยกับคนไทยที่เป็นนัก
ธุรกจิ
๓. ระยะนี้ความเคล่ือนไหวของจีนท้ังในและนอกประเทศต่างส่งผลกระทบต่อคนท่ัวโลกอย่างน่า
จบั ตามอง
๔. เมื่อจานวนนักศึกษาจีนท่ีเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมีมากขึ้น ก็ทาให้จับกลุ่มกันเองแทนที่จะออกไป
พบปะผูอ้ ่ืน
๙. ขอ้ ความต่อไปน้ีไม่อาจใช้เป็นส่วนใดของเรียงความ
ตลาดโรงเกลือท่ีนี่จึงเปรียบได้ด่ัง “สวรรค์ของนักช็อปเดินดิน” ท่ีแต่ละวันต้ังแต่เช้าจรดเย็นจะมี
นักท่องเที่ยวจานวนนับพันนับหมื่นทยอยเดินทางมาจับจ่ายซื้อหาสินค้าแบรนด์เนมราคาถูกคุณภาพดีจากท่ัว
ทกุ มมุ โลก ใครทีเ่ คยบอกว่าของถกู มกั ไม่ดี ของดีมกั ไม่ถูก เหน็ ทจี ะใช้กบั ท่นี ไ่ี มไ่ ดแ้ น่
๑. สว่ นนาเรื่อง ๒. ส่วนเน้ือเรอื่ ง
๓. ส่วนขยายความ ๔. สว่ นสรุป
๑๐. ขอ้ ใดเปน็ ขน้ั ตอนแรกในการเขยี นเรยี งความ
๑. กาหนดความมุ่งหมายของเร่ืองทีจ่ ะเขียน
๒. กาหนดโครงเรือ่ งภาคคานา ภาคเนื้อเร่ือง และภาคสรปุ
๓. หารายละเอยี ดประกอบและขยายความประเดน็ ต่าง ๆ ของโครงเร่ือง
๔. เลอื กแบบการเขียน หรอื โวหารการเขยี นให้สอดคล้องกับความมุง่ หมายสาคญั
เฉลย ๒. ๓ ๓. ๔ ๔. ๔ ๕. ๑
๑. ๒ ๗. ๑ ๘. ๓ ๙. ๑ ๑๐. ๑
๖. ๑
การประเมนิ และสะท้อนตนเองหลังเสร็จสิ้นการเรยี นในหน่วยการเรียนรู้ที่ ๕
(Self Reflection)
๑. การประเมินตนเองของผ้เู รียน ใหด้ าเนนิ การดงั น้ี
๑.๑ ผสู้ อนทบทวนผลการเรยี นรูป้ ระจาหนว่ ยทุกข้อใหผ้ เู้ รียนได้ทราบ โดยอาจเขียนไวบ้ นกระดาน
พรอ้ มท้ังทบทวนถงึ หวั ข้อกิจกรรมการเรียนวา่ ไดเ้ รยี นอะไรบา้ ง
๑.๒ ใหผ้ ้เู รยี นเขยี นบนั ทึกการประเมนิ ตนเองไว้ในสมุดงานด้านหลังตามหัวขอ้ ดงั น้ี
บนั ทึกการประเมินและสะท้อนตนเองประจาหนว่ ยการเรยี นรูท้ ่.ี .............
วนั /เดือน/ปี ทีบ่ ันทกึ ................./................../...................
รายการบนั ทึก
๑. จากการเรียนที่ผ่านมาได้มคี วามรู้อะไรบ้าง
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
๒. ปจั จบุ ันนม้ี คี วามสามารถปฏบิ ตั ิสงิ่ ใดไดแ้ ลว้ บ้าง
................................................................................................ .......................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
๓. สง่ิ ที่ยงั ไมร่ ู้ ไม่กระจ่าง ไมเ่ ข้าใจ มอี ะไรบ้าง
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
๔. ผลงานหรือชิ้นงานทีเ่ นน้ ความภาคภมู ิใจจากการเรยี นในหน่วยนี้คืออะไร ทาไมจึงภาคภูมิใจ
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
๒. การพัฒนาการเรยี นการสอนโดยใชก้ ระบวนการวจิ ยั ในช้ันเรียนของผสู้ อน
ชอื่ เรอื่ งทีว่ จิ ัย......................................................................................................
๒.๑ ความเป็นมาของปัญหา
สิง่ ทคี่ าดหวงั
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
สงิ่ ทเี่ ป็นจริง
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
ปัญหาทพี่ บคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
สาเหตุของปญั หาคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
แนวทางการแกไ้ ขปัญหาคอื
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒.๒ วัตถปุ ระสงคใ์ นการแก้ปญั หา
๑. เพอ่ื แก้ปญั หาเร่อื ง...............................................................................................
ของผู้เรยี นช้นั ............................... หอ้ ง................ จำนวน.................คน โดยใช้............................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒. เพอ่ื ศึกษาผลการแก้ไขปัญหาเกีย่ วกับ............................................................................... .......
หลังจากท่ไี ดท้ ดลองใชว้ ิธีแก้ปญั หาโดย......................................................................................... .
......................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
๒.๓ ขอบเขตของการแก้ปัญหา
๑. กลุ่มเปา้ หมายในการแกป้ ัญหาคือ ผเู้ รยี นชั้น................................ หอ้ ง.......................................
จานวน......................คน ในภาคเรยี นท่.ี ................ ปกี ารศึกษา................... ทีม่ ีปัญหาเกี่ยวกบั .......................
๒. เนอื้ หาทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาคอื เรอื่ ง........................................................... หนว่ ยการเรยี นร้.ู .............
วชิ า.................................................................................................
๓. ระยะเวลาในการศกึ ษา ประมาณ....... สปั ดาห/์ เดอื น ตั้งแตว่ ันที่ ......... เดอื น............. พ.ศ. .......
ถงึ วันท่ี ............. เดอื น ................................ พ.ศ. ...................
๒.๔ วธิ ดี าเนนิ การในการแกไ้ ขปัญหา
๑. เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการแก้ปญั หาคอื
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
ซึ่งมขี ัน้ ตอนในกำรสรำ้ งและพัฒนำดังน้ี
............................................................................................................................. ..........................................
............................................................................................................................. ..........................................
๒. เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลคือ
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
ซึ่งมขี น้ั ตอนในการสรา้ งและตรวจสอบคณุ ภาพดังน้ี
............................................................................................................................................ ...........................
.......................................................................................................................................................................
๓. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดด้ าเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลตามวิธีการดงั นี้
๑. นาเครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการแก้ปัญหาไปทดลองใชก้ บั ผเู้ รียนในเวลา ...............................................
โดย.................................................................................................................... ..........
.....................................................................................................................................................
๒. นาเครือ่ งมือเก็บรวบรวมข้อมลู ไปเกบ็ ข้อมูลเกี่ยวกับ................................................................
โดย................................................................................................................. ..........................
.....................................................................................................................................................
๔. การวิเคราะห์ข้อมลู และการสรุปผล ได้ดาเนินการวเิ คราะห์ข้อมูลและสรปุ ผลดังนี้
............................................................................................................................. ..........................................
....................................................................................... ................................................................................
๒.๕ ผลการแกป้ ัญหา
ผลการแก้ปัญหาเก่ียวกับ ............................................................................................................
ของผเู้ รียนกลุ่มเป้าหมาย ปรากฏผลดงั น้ี
.......................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
เคร่ืองมือวัดผล
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียน
เลขท่ี ชื่อ-สกุล ความ ความ ความ ความ ระเบียบ คะแนน
สนใจ ตัง้ ใจ ร่วมมอื รบั ผดิ ชอบ วินยั รวม
เกณฑก์ ารให้คะแนน ดมี าก ใหค้ ะแนน ๔
ดี ใหค้ ะแนน ๓
พอใช้ ใหค้ ะแนน ๒
ควรปรับปรุง ใหค้ ะแนน ๑
เกณฑ์การประเมิน
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๑๖ - ๒๐ อย่ใู นเกณฑ์ดีมาก
นกั เรยี นได้คะแนนรวม ๑๑ - ๑๕ อยใู่ นเกณฑ์ดี
นักเรียนได้คะแนนรวม ๖ - ๑๐ อยใู่ นเกณฑ์พอใช้
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๑ - ๕ อยใู่ นเกณฑ์ควรปรบั ปรงุ
ลงช่อื .................................................................................................(ผูป้ ระเมนิ )
แบบประเมนิ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมกลมุ่
กล่มุ ท่.ี .............
ข้อท่ี รายการประเมนิ ดีมาก ดี พอใช้ ควร
(๔) (๓) (๒) ปรบั ปรงุ
(๑)
๑ ความร่วมมอื และการจดั การภายในกลุม่
๒ ความสามารถปฏบิ ัติกจิ กรรมทไ่ี ดร้ ับมอบหมายอย่างถกู ต้อง
๓ การรกั ษาระเบียบวินัยในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
๔ ความเรียบร้อยในการปฏบิ ตั ิงาน
๕ ความสนใจและความกระตือรือรน้ ของสมาชิกในกลุ่ม
ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ ............................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
สรปุ ผลการประเมนิ .............................................................................................................................
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๒๑ - ๒๕ แสดงวา่ ผลงานนักเรียนอยู่ในเกณฑ์ ดมี าก
นักเรียนได้คะแนนรวม ๑๖ - ๒๐ แสดงวา่ ผลงานนักเรยี นอยูใ่ นเกณฑ์ ดี
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๖ - ๑๐ แสดงวา่ ผลงานนักเรียนอยูใ่ นเกณฑ์ พอใช้
นักเรยี นได้คะแนนรวม ๐ - ๕ แสดงว่าผลงานนักเรียนอยใู่ นเกณฑ์ ควรปรับปรงุ
ลงชือ่ .................................................................................................(ผู้ประเมิน)
แบบประเมนิ ผลการปฏิบัติกิจกรรม
คาชแี้ จง เขยี นเติมคะแนนและระดบั คณุ ภาพตามความเป็นจริง
กจิ กรรม คะแนน ได้ระดบั คุณภาพ
เตม็ ได้ .........................................
กจิ กรรม ๑ ขอ้ ๑ ๑๐ .........................................
ข้อ ๒ ๕ .........................................
.........................................
ขอ้ ๓ ๕
ตนเอง
ขอ้ ๔ ๔
ขอ้ ๕ ๑๐
รวมคะแนน ๓๔
กิจกรรม ๒ ขอ้ ๑ ๑๐
ขอ้ ๒ ๓
ขอ้ ๓ ๑๐
ข้อ ๔ ๑๒
รวมคะแนน ๓๕
กจิ กรรม ๓ ขอ้ ๑ ๑๐
ข้อ ๒ ๑๐
ข้อ ๓ ๑๐
ข้อ ๔ ๘
รวมคะแนน ๓๘
กิจกรรม ๔ ขอ้ ๑ ๕
ข้อ ๒ ๑๐
รวมคะแนน ๑๕
ผปู้ ระเมิน ครู เพ่ือน
เกณฑก์ ารประเมิน คาตอบถูกต้อง ชดั เจน มเี หตุมผี ล
เกณฑ์การจัดอนั ดับคณุ ภาพ
คะแนนรวมในแต่ละกจิ กรรมไดร้ ้อยละ ๘๐ ขนึ้ ไป ให้ ๓ (ด)ี
คะแนนรวมในแตล่ ะกิจกรรมไดร้ ้อยละ ๕๐-๗๙ ให้ ๒ (พอใช้)
คะแนนรวมในแต่ละกจิ กรรมได้ร้อยละ ๕๐ ให้ ๑ (ควรปรบั ปรงุ )
เกณฑค์ ุณภาพการผ่าน
ได้ระดบั “พอใช้” ข้นึ ไป
;k, หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๖ จดหมายธุรกิจ
รายวชิ าภาษาไทย เวลา ๓ ชว่ั โมง
๑. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชว้ี ัด
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราวใน
รูปแบบตา่ งๆ เขียนรายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงานการศกึ ษาคน้ คว้าอย่างมปี ระสิทธิภาพ
ตวั ช้ีวัดที่ ๑ เขียนส่ือสารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียงที่
ถกู ต้อง มขี ้อมลู และสาระสาคัญชดั เจน
ตวั ชีว้ ดั ที่ ๘ มมี ารยาทในการเขียน
๒. ทักษะท่ีจาเป็นแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
๒.๑ ทกั ษะพนื้ ฐานการเรียนรู้
- การอ่าน
- การเขยี น
๒.๒ ทักษะการเรยี นร้แู ละนวัตกรรม
- การคดิ เชงิ วพิ ากษ์และการแก้ปัญหา
- การสงั เกต การคิดวิเคราะห์ และการสงั เคราะห์
- การจัดการความรู้
- การสอ่ื สาร
- การทางานรว่ มกันเป็นทีม
๒.๓ ทกั ษะการรดู้ ิจิตอล
- การใช้ขอ้ มูลสารสนเทศ
- การใชส้ ่ือ
- การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
๒.๔ ทกั ษะชวี ิตและการทางาน
- การยดื หยุ่นและความสามารถในการปรับตัว
- ทักษะทางสังคมและวุฒภิ าวะ
- ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและสังคม
- เช่ือมัน่ ในตนเอง
- ความเปน็ ผนู้ า
๓. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
๓.๑ มวี นิ ัย
๓.๒ ใฝ่เรยี นรู้
๓.๓ มุง่ ม่ันในการทางาน
๓.๔ รักการเป็นไทย
๔. สาระการเรียนรู้
๔.๑ ความหมายของจดหมายธุรกจิ
๔.๒ ความสาคัญของจดหมายธุรกจิ
๔.๓ ประเภทของจดหมายธุรกจิ
การออกแบบการจดั การเรยี นรูแ้ บบย้อนกลบั (Backward Design)
สาระสาคัญ การวดั และประเมินผล
๑. ความหมายของจดหมายธุรกจิ ๑. การทาแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
๒. ความสาคัญของจดหมายธุรกจิ ๒. กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
๓. ประเภทของจดหมายธุรกิจ ๓. การทากิจกรรมเสนอแนะ
๔. การทากจิ กรรมในใบความรแู้ ละใบงาน
๕. แบบประเมินพฤติกรรมการเรียน
๖. แบบประเมินผลการปฏิบัติกจิ กรรม
๗. แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
กจิ กรรมการเรียนรู้ คาถามสาคัญ
๑. ศึกษาเร่ือง ความหมายของจดหมายธุรกิจ ความสาคัญของ ๑. จดหมายธรุ กจิ คืออะไร
จดหมายธุรกจิ และประเภทของจดหมายธุรกิจ จากหนงั สือเรยี น ๒. จดหมายธุรกิจมีความสาคัญอยา่ งไรบา้ ง
แมค็ หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๖ ๓. จดหมายธรุ กิจมีกป่ี ระเภท อะไรบา้ ง
๒. ทากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กจิ กรรม ๑ ข้อ ก และ ข
๓. ทากิจกรรมเสนอแนะ
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๖ จดหมายกจิ ธรุ ะ
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๖ จดหมายกิจธุระ
เวลา ๓ ชว่ั โมง
๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วดั
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน
รปู แบบตา่ งๆ เขียนรายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธภิ าพ
ตวั ชวี้ ัดท่ี ๑ เขียนส่ือสารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียงท่ี
ถกู ตอ้ ง มีข้อมลู และสาระสาคัญชัดเจน
ตวั ชว้ี ัดท่ี ๘ มีมารยาทในการเขยี น
๒. สาระสาคญั
๒.๑ ความหมายของจดหมายธุรกจิ
๒.๒ ความสาคัญของจดหมายธุรกจิ
๒.๓ ประเภทของจดหมายธรุ กจิ
๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
๓.๑ อธิบายรปู แบบและประเภทของจดหมายธรุ กจิ ได้
๓.๒ ยกตวั อยา่ งจดหมายธุรกิจได้
๓.๓ อธบิ ายลักษณะภาษาทใ่ี ชใ้ นการเขยี นจดหมายธรุ กจิ ได้
๓.๔ ศึกษาเรยี นรู้รูปแบบการใช้ภาษาจากตัวอยา่ งจดหมาย
๔. สาระการเรียนรู้
๔.๑ ความหมายของจดหมายธุรกจิ
๔.๒ ความสาคญั ของจดหมายธรุ กิจ
๔.๓ ประเภทของจดหมายธุรกจิ
๕. ช้ินงาน/ ภาระงาน
๕.๑ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
๕.๒ ภาระงาน “ศึกษาความเป็นมาของการเขียนจดหมาย”
๕.๓ ภาระงาน “รวบรวมเวบ็ ไซต์ท่ใี ห้ความรเู้ กี่ยวกบั การเขยี นจดหมาย”
๕.๔ แบบทดสอบ
๕.๕ กจิ กรรมเสนอแนะ
๖. คาถามสาคญั
๖.๑ จดหมายธรุ กิจคืออะไร
๖.๒ จดหมายธุรกิจมคี วามสาคญั อย่างไร
๖.๓ จดหมายธุรกจิ มีกี่ประเภท อะไรบา้ ง
๗. กจิ กรรมการเรียนการสอนเพือ่ การเรยี นรู้
๗.๑ ข้ันนา
ครูนาจดหมายมาให้นักเรียนดู สนทนากับนักเรียนเก่ียวกับการเขียนจดหมายและลักษณะของ
จดหมาย การส่ือสารกนั ด้วยจดหมาย
๗.๒ ข้ันสอน
ตอนท่ี ๑ อธิบายรูปแบบและประเภทของจดหมายธุรกจิ และสามารถยก ตัวอยา่ งจดหมายธุรกจิ ได้
๑. นักเรียนระดมความคดิ เกี่ยวกบั ความสาคญั และความจาเป็นท่คี นเราต้องเขียนจดหมายตดิ ต่อกนั
๒. นักเรียนศึกษาใบความรู้เร่ือง “แบบและการวางรูปแบบจดหมายธุรกิจ” (ท้ายแผนการจัดการเรียนรู้
ท่ี ๖)
๓. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกยี่ วกับรูปแบบและประเภทของจดหมายธรุ กจิ
๔. นักเรียนศึกษา เรอื่ ง “จดหมายธุรกจิ ” จากหนงั สือเรยี นแม็คหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี ๖
๕. ครแู ละนกั เรียนชว่ ยกนั เขียนตวั อย่างการวางรปู จดหมายธรุ กิจบนกระดานดา
๖. นักเรยี นชว่ ยกนั สรุปข้อควรปฏิบัตใิ นการเขียนจดหมายธุรกจิ
แนวการสรปุ
ข้อควรปฏบิ ตั ใิ นการเขียนจดหมายธรุ กจิ มีดงั น้ี
๑. ต้องพยายามรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเขียนหรือ
พิมพ์ต้องมีระเบยี บ ไม่มีรอยขดู ขดี ฆา่
๒. การเรียบเรียงข้อความอาจจะเรียบเรียงเป็นยอ่ หน้าเดยี ว ๒ ย่อหนา้ หรอื ๓ ย่อหน้า หรือ มากกว่า
น้ัน ซึ่งขน้ึ อยกู่ บั เน้อื ความ แตล่ ะย่อหนา้ ไม่ควรมีขอ้ ความยาวเกินไป โดยปกตินยิ มใช้ ๒-๓ ยอ่ หนา้
๓. การเขียนจดหมาย ถา้ มเี นอื้ หาตงั้ แตส่ องหนา้ ข้ึนไป หน้าท่สี องและหนา้ ถัดๆ ไปให้ใช้กระดาษทไ่ี ม่มี
หวั จดหมาย และตอ้ งมขี ้อความอย่างนอ้ ย ๓ บรรทดั
๔. จดหมายธรุ กิจควรมสี าเนาทุกฉบับเพ่ือเก็บไวเ้ ป็นหลักฐาน
๗. นักเรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ จากหนังสือเรียนแม็ค หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๖ กิจกรรมนี้
ต้องการตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจเรอื่ ง จดหมายธรุ กจิ สามารถบอกความแตกต่างระหวา่ งจดหมายธุรกิจ
และเขยี น จดหมายสมัครงานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
๘. ครูตรวจผลงาน แกไ้ ขข้อบกพรอ่ ง นาผลงานทด่ี เี ด่นติดป้ายนิเทศหน้าห้องเพ่อื เป็นตัวอยา่ งให้เพื่อนใน
ชั้นเรยี นไดศ้ ึกษาแลกเปล่ยี นเรียนรู้
ตอนท่ี ๒ อธิบายลกั ษณะภาษาทใี่ ช้ในการเขยี นจดหมายธรุ กจิ ได้
๑. นกั เรยี นศึกษาใบความรู้เร่ือง “ลกั ษณะจดหมายธรุ กิจทีด่ ี” แลว้ สรุปสาระสาคญั ลงในสมดุ
๒. ครูและนักเรียนแสดงความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับลักษณะภาษาที่ใช้ในการเขียนจดหมายธุรกิจ
ครูทบทวนเรอ่ื ง “จดหมายธุรกจิ ประเภทต่างๆ และรูปแบบการเขียนจดหมายธรุ กิจ” อีกครัง้ หนง่ึ
๓. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น ๙ กลุ่ม แต่ละกลุ่มเลือกเขียนจดหมายธุรกิจ กลุ่มละ ๑ ประเภท พร้อมทั้ง
สรปุ หลักการเขียนจดหมายแต่ละประเภทไวด้ ้วย
๔. ครตู รวจผลงานตามแบบประเมินผล อธบิ ายแก้ไขข้อบกพร่อง นาผลงานทีไ่ ด้คะแนนสูงสดุ ติดป้ายนเิ ทศ
เพอื่ เผยแพร่แบบอยา่ งทถี่ กู ตอ้ งต่อไป
๗.๓ ขนั้ สรุป
๑. ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันสรปุ ตามประเด็นดงั นี้
๑. รปู แบบและประเภทของจดหมายธุรกิจ
๒. ลกั ษณะภาษาท่ใี ช้ในการเขียนจดหมายธุรกิจ
๓. รปู แบบการใชภ้ าษาจากตวั อย่างจดหมาย
๒. นกั เรียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจทุกกจิ กรรม
๓. ครูแจง้ ผลการปฏบิ ตั ิงานของนักเรยี นทุกข้อ และให้ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เติม
๘. ส่อื การเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้
๘.๑ สื่อการเรยี นรู้
๑. หนังสือเรยี นแม็ค สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ ภาคเรยี นที่ ๑
๒. ใบความรู้เรอ่ื ง “แบบและการวางรปู แบบจดหมายธรุ กจิ ”
๓. ใบความรเู้ ร่ือง “ลกั ษณะจดหมายธรุ กจิ ทีด่ ี”
๔. ตัวอย่างจดหมายธรุ กิจประเภทตา่ งๆ
๘.๒ แหลง่ การเรียนรู้
๑. ห้องสมดุ โรงเรียน
๒. ห้องสมดุ ภาษาไทย
๓. ห้องสมุดประชาชน
๔. หอสมดุ แห่งชาติ
๕. www.obec.go.th/news/
๙. การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้
๙.๑ การทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ กจิ กรรม ๑
๙.๒ ผลงานจากภาระงาน “ประวตั ิความเป็นมาของการเขยี นจดหมายของไทย”
๙.๓ ผลงานจากภาระงาน “รวบรวมเวบ็ ไซตท์ ใ่ี หค้ วามรู้เกีย่ วกับการเขียนจดหมาย”
๙.๔ การทาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น
๙.๕ การตอบคาถามกจิ กรรมเสนอแนะ
๑๐. านั ทึกหลงั การจดั การเรยี นรู้
๑๐.๑ ความสาเรจ็ ในการจัดการเรียนรู้
ด้านผู้เรียน................................................................................................................. ........
..............................................................................................................................................
ดา้ นวิธีสอนการวดั ผล.......................................................................................................... ..
................................................................................................................................................
ดา้ นสือ่ การเรียนร้.ู ......................................................................................................... ..........
................................................................................................................................................
๑๐.๒ ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้.................................................................. .......................
.........................................................................................................................................................
๑๐.๓ สิ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผน…..…………………………………………………….………………………………………
.........................................................................................................................................................
เหตุผล……..……………………………………………………………………………………………………………………………
........................................................................................................................................................
๑๐.๔ แนวทางการปรบั ปรงุ คร้งั ตอ่ ไป ..............................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
ลงช่อื ................................................................... ผสู้ อน
๑๑. แาาการประเมนิ การสังเกตพฤติกรรมนักเรียน
เกณฑค์ ณุ ภาพการสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นดา้ น.........................................
ระดัาคุณภาพ
ที่ รายการประเมิน
๑๒๓
๑ การทางานร่วมกนั ยอมรับมติการทางาน ยอมรับมติของกล่มุ - ยอมรับมตขิ องกล่มุ
ของกลมุ่ แตป่ ฏิบตั ิ
ตามน้อยครง้ั - รับผิดชอบงานท่รี ับ
มอบหมายจากกลุ่ม
๒ ความกระตอื รือรน้ ชว่ ยเหลอื งานภายใน - ชว่ ยเหลืองานในกล่มุ - ช่วยเหลอื งานภายใน
กล่มุ เม่ือมกี ารรอ้ งขอ
- รว่ มแสดงความ กลุ่ม
คดิ เหน็ - รว่ มแสดงความคดิ เหน็
- ใฝร่ ้ใู ฝ่เรยี น
- ศึกษาค้นคว้า
๓ การตอบคาถาม มีส่วนร่วมในการตอบ มสี ว่ นร่วมในการตอบ ให้ความร่วมมือในการ
คาถามน้อยมาก คาถามบางครง้ั ตอบคาถามเป็นอยา่ งดี
๔ ความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ รว่ มกจิ กรรมตามท่ี รบั ฟงั แตแ่ สดงความ รว่ มรบั ฟังและแสดง
กลมุ่ ขอร้อง คดิ เห็นทคี่ ล้อยตาม ความคิดเห็นที่แตกต่าง
เพอื่ นๆ แตม่ ปี ระโยชน์
แาาการประเมินการสังเกตพฤตกิ รรมนกั เรยี นด้านการทางานเปน็ กล่มุ
รายการประเมิน สรปุ ผล
ที่ ชื่อ-สกลุ การทางาน ความ การตอา ความคดิ ริเริม่ รวม
รว่ มกนั กระตอื รือร้น คาถาม สร้างสรรค์ (๑๒) ผ่าน ไม่ผา่ น
(๓) (๓) (๓) (๓)
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
เกณฑก์ ารประเมิน
๙ - ๑๒ คะแนน ระดับ ๓ = ดี
๕ – ๘ คะแนน ระดบั ๒ = พอใช้
ตา่ กวา่ ๕ คะแนน ระดบั ๑ = ควรปรบั ปรุง
สรปุ ผลการประเมนิ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ
เกณฑ์การตดั สนิ ใจ
ผา่ น ไม่ผ่าน
หมายเหตุ : เกณฑเ์ ปน็ ไปตามที่โรงเรยี นกาหนด
ลงช่ือ............................................................................ผปู้ ระเมิน
๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ
๑๒.๑ กิจกรรมสง่ เสริมการอ่านเชงิ วิเคราะห์ ประกอบดว้ ยขั้นตอน ดังนี้
ขน้ั รวบรวมข้อมูล
นกั เรียนแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ ๕ คน ศึกษาค้นควา้ รวบรวมตัวอย่างจดหมายประเภทต่าง ๆ
ขั้นวเิ คราะห์
๑. นกั เรยี นฝกึ วเิ คราะห์และจาแนกประเภทของตวั อย่างจดหมายทร่ี วบรวมมาจากข้อ ๑
๒. นกั เรยี นฝกึ วิเคราะห์ข้อแตกตา่ งของจดหมายแตล่ ะประเภท
ขนั้ สรุป
นักเรียนสรุปสาระสาคญั ของจดหมายแตล่ ะประเภท
ขั้นประยกุ ต์ใช้
นักเรียนฝกึ เขียนจดหมายแต่ละประเภทและส่งจดหมายทางไปรษณีย์
๑๒.๒ กจิ กรรมบูรณาการ
กิจกรรมท่ี ๑
ครูสามารถบูรณาการการเรียนรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สาระท่ี ๔ : ประวัติศาสตร์ โดยให้นักเรียนเขียนรายงานและพูดเสนอผลการศึกษาเร่ืองประวัติความเป็นมา
ของการเขยี นจดหมายของไทย
ภาระงาน “ศึกษาคน้ ควา้ ในหวั ข้อ “ประวตั คิ วามเป็นมาของการเขียนจดหมายของไทย”
การบูรณาการ มฐ. ท ๒.๑ และ ส ๔.๓
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ใช้กระบวนการเขียนรายงานเร่ือง “ประวัติความเปน็ มาของการเขยี นจดหมาย”
ผลงานทตี่ ้องการ รายงานศึกษาค้นควา้ หัวขอ้ “ประวัตคิ วามเปน็ มาของการเขียนจดหมายของไทย”
ขน้ั ตอนการทางาน
๑. กาหนดใหน้ ักเรียนศึกษาค้นควา้ ในหวั ขอ้ “ประวัตคิ วามเป็นมาของการเขยี น
จดหมายของไทย”
๒. เขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้าในหัวข้อ “ประวัตคิ วามเปน็ มาของการเขยี น
จดหมายของไทย”
๓. พูดเสนอผลงานหน้าชน้ั เรียนหรือจดั นิทรรศการแสดงผลงานนักเรียน
เกณฑ์การประเมิน
๑. ความถูกตอ้ งครบถว้ นสมบูรณ์ของข้อมลู ทีค่ ้นคว้ามานาเสนอ
๒. ความประณีต เรียบร้อย ถูกต้องตามรปู แบบและหลกั เกณฑ์
๓. ความนา่ สนใจในการนาเสนอ
กจิ กรรมท่ี ๒
ครูสามารถบรู ณาการการเรียนร้กู บั กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระที่ ๔ :
เทคโนโลยสี ารสนเทศ โดยให้นกั เรยี นศึกษาสือ่ อิเล็กทรอนิกสจ์ ากของจรงิ และใหน้ กั เรยี นปฏบิ ัติกิจกรรม ดังนี้
ภาระงาน “รวบรวมเวบ็ ไซตท์ ใ่ี ห้ความรู้เกีย่ วกับการเขยี นจดหมายประเภทต่างๆ”
การบรู ณาการ มฐ. ท ๒.๑ และ ง ๔.๑
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ มีทักษะในการใช้ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อศึกษารวบรวมเว็บไซต์ท่ีให้ความรู้
เร่อื งการเขียนจดหมาย
ผลงานท่ีตอ้ งการ เวบ็ ไซตท์ ่ีให้ความรเู้ กี่ยวกับ “การเขียนจดหมายประเภทตา่ งๆ”
ข้นั ตอนการทางาน
๑. กาหนดให้นกั เรยี นเลือกสืบคน้ ข้อมลู จากอินเทอร์เน็ต
๒. นักเรียนนาผลงานการสืบค้นมาจัดทาเป็นสมุดคู่มือการสืบค้นแหล่งเรียนรู้เพื่อ
พฒั นาประสิทธิภาพในการเขียนจดหมายประเภทต่างๆ
๓. นาผลงานการศึกษาคน้ ควา้ ดังกลา่ วนาเสนอหนา้ ชนั้ เรียน
เกณฑ์การประเมิน
๑. ความถูกตอ้ งครบถ้วนสมบูรณข์ องข้อมลู ทค่ี ้นคว้ามานาเสนอ
๒. ความประณตี เรียบรอ้ ย
๓. ความน่าสนใจในการนาเสนอ
๑๓. ใบความรู้ ใบงาน และเคร่อื งมือวดั ผล
๑๓.๑ ใบความรู้
๑. ใบความรู้เรือ่ ง แบบและการวางรปู แบบจดหมายธรุ กิจ
แบบและการวางรูปแบบจดหมายธรุ กจิ
ในการเขียนจดหมายธุรกิจ ซองจดหมายกระดาษเป็นสิ่งสาคัญอันดับแรก เพราะเม่ือผู้รับได้รับ
จดหมายแล้ว ผู้รบั ยังไมท่ ราบวา่ ขอ้ ความในจดหมายเปน็ เช่นไร แตส่ ง่ิ ที่จะทาใหผ้ ้รู บั ประทบั ใจกค็ ือ ซอง
จดหมาย ถดั ไปกค็ ือกระดาษเขียนจดหมาย
ซองจดหมาย ควรใช้ซองสีขาว ขนาด ๘ x ๔ น้ิว สงิ่ สาคัญที่สุดเกี่ยวกบั ซองคอื การจ่าหน้าซองต้อง
สมบรู ณ์และชัดเจน มฉิ ะนัน้ จดหมายจะไม่ถงึ ผรู้ ับ
กระดาษ ควรใช้กระดาษปอนด์อย่างดีสีขาวขนาด ๘ x ๑๑ น้ิว การพับจดหมายใส่ซอง ให้พับจาก
ส่วนล่างขึ้นมา โดยแบ่งกระดาษ ๓ ส่วน คือ ส่วนล่าง ส่วนกลาง และส่วนบน ให้ส่วนบนมีเน้ือท่ีมากกว่า
สว่ นกลางและส่วนล่าง ทง้ั นเ้ี พอ่ื ความสะดวกในการเปิดอา่ นจดหมาย
การวางรูปแบบจดหมายธุรกิจ แบ่งเป็น ๔ ส่วนคือ ส่วนหัวจดหมาย ส่วนประกอบตอนต้น ส่วนตัว
จดหมาย และสว่ นประกอบตอนทา้ ย
สว่ นหัวจดหมาย
หวั จดหมายควรพมิ พด์ ว้ ยบลอ็ คแบบเรยี บๆ แตง่ ามตาและมีคุณคา่ ทางโฆษณา แบ่งเปน็ ๒ ชนิด คือ
๑. หัวจดหมายท่ัวไป จะพิมพ์ไว้กลางหน้ากระดาษ บรรทัดแรกเป็นช่ือบริษัทหรือห้างร้านบรรทัด
ทส่ี อง เป็นท่ีอยู่หรือท่ีตั้ง บรรทัดที่ ๓ เป็นหมายเลขโทรศัพท์ ทั้ง ๓ บรรทัดต้องวางศูนย์กันเพื่อความสวยงาม
ด้วย ตวั อยา่ ง
บริษทั ไทยการค้า จากัด
๕๑๘/๖ ถนนเพลนิ จิต เขตปทมุ วนั กรุงเทพฯ
๑๐๓๓๐
โทร. ๐-๒๒๕๔-๕๙๐๓-๗
๒. หัวจดหมายแบบพเิ ศษ ในกรณีท่เี ปน็ เร่ืองสาคัญ บรษิ ัทจะไม่ใช้กระดาษท่มี หี ัวจดหมายแบบ
ชนิดแรก แต่จะใช้กระดาษปอนดอ์ ย่างดีสขี าวมาพิมพห์ ัวจดหมายเอง บรรทัดแรกชดิ เสน้ ก้นั หน้าเปน็ เลขท่ีออก
หนังสือทบั ปี พ.ศ. ท่ีออกหนงั สอื บรรทดั เดียวกันทางดา้ นขวามอื เปน็ ชื่อบริษัทพร้อมท่ีอยู่ ตัวอย่าง
ท่ี ๑๓๕/๒๕๓๗ บริษัทไทยกำรคำ้ จำกัด
๕๑๘/๖ ถนนเพลินจติ
แขวงลมุ พนิ ี เขตปทมุ วนั
กรงุ เทพฯ ๑๐๓๓๐
สว่ นประกอบตอนต้น ประกอบดว้ ย
๑. วนั เดือน ปี ระบุวัน เดือน ปี ที่เขียนจดหมาย โดยไม่มคี าวา่ วนั ท่ี และ พ.ศ. และไม่นยิ มใชต้ วั
ย่อ พมิ พจ์ ากกึ่งกลางหน้ากระดาษไปทางขวามือ ตัวอย่าง
๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๙
๒. เรอ่ื ง ควรใชช้ ือ่ เร่อื งท่สี น้ั และได้ใจความทาให้ผู้รับทราบว่าจดหมายนนั้ มีสาระสาคัญอะไร ส่วน
ใหญม่ กั จะเอาวตั ถุประสงค์ของจดหมายมาตง้ั เปน็ เรอ่ื ง ถ้ามีวัตถปุ ระสงค์หลายประการให้เลอื กเอาข้อที่สาคัญ
ที่สดุ พมิ พช์ ดิ เส้นกั้นหนา้ ตวั อย่าง
เรียน คุณนิคม จันทราทิพย์
เรียน ผจู้ ดั กำรบรษิ ัท ซนี ิธ เทรดดิ้ง จำกัด
สว่ นตัวจดหมาย
เน้ือหาจดหมายเปน็ ส่วนที่สาคัญที่สดุ ผู้เขียนต้องพยายามถ่ายทอดความคดิ ไปยงั ผู้รับใหถ้ กู ต้อง
และสมบรู ณ์ เพ่ือช่วยใหเ้ นื้อหาเข้าใจงา่ ย หลักเกณฑ์ในการเรียงลาดับใจความ มดี ังนี้
๑. การเขียนจดหมายถึงผู้อนื่ ควรประกอบดว้ ยเนือ้ ความ ๓ สว่ น ดงั นี้
๑) กล่าวถึงเหตุท่ีต้องเขยี นจดหมายมา ถ้าเป็นการติดต่อครั้งแรกหรือผู้รบั ไม่ทราบเรื่องนั้นมาก่อน
มักขึ้นตอนด้วยคาว่า “ด้วย” แล้วต่อด้วย ใจความท่ีกล่าวถึงเหตุ แต่ถ้าผู้รับทราบเร่ืองน้ันอยู่ก่อนแล้ว มักข้น
ต้นด้วย คาว่า “ตามท่ี” แล้วต่อด้วยใจความที่กล่าวถึงเหตุ และลงท้ายด้วยคาว่า “นั้น” สาหรับจดหมายบาง
ฉบับ หากพิจารณาแลว้ เห็นวา่ ไมจ่ าเป็นต้องใชค้ าว่า “ด้วย” หรือ “ตามท”ี่ กใ็ หต้ ัดทง้ิ ไป
ตัวอยา่ ง
“ด้วยผมทราบว่าบริษัทของทา่ นเป็นผ้แู ทนจาหนา่ ยรถยนต์... แต่เพยี งผู้เดียวในประเทศไทย ผมมีความ
สนใจเปน็ อย่างย่ิง
“ตามท่ีท่านให้ความอนุเคราะห์แก่นักศึกษาแผนกวิชาเอกการตลาด โดยอนุญาตให้นาสินค้าของ
นกั ศึกษาไปแสดงและจาหน่ายในงานนิทรรศการการขาย ซง่ึ จัดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ – ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๙ ณ
หอประชุมอาภากรนัน้ ”
ดิฉันได้ทราบจากหนังสือพิมพ์... ฉบับวันท่ี ... ศกนี้ว่า บริษัท...ต้องการรับสมัครประชาสัมพันธ์ ๑
ตาแหนง่ ดิฉนั ขอสมัครเข้าทางานตาแหน่งน้ีเพราะคดิ ว่าตนเองมีคณุ สมบัติตรงกบั ทีบ่ ริษัทต้องการ”
๒) กล่ำวถึงวัตถุประสงค์ มักข้ึนต้นด้วยคาว่า “จึง” แล้วต่อด้วยใจความที่เป็นวัตถุประสงค์เน้ือความ
ตอนน้คี วรใชค้ าสนั ธานเชื่อมจะทาใหเ้ นอ้ื หาตอ่ เนือ่ งและภาษาสละสลวยยิ่งขึ้น
ตวั อยา่ ง
“ดงั น้นั จงึ ใคร่ขอเปน็ ผู้แทนจาหนา่ ยในจังหวัดนครสวรรคแ์ ละกาแพงเพชร”
“กระผมในนามของนักศึกษาแผนกวิชาเอกการตลาด จึงเรียนมาเพ่ือขอบพระคุณในความกรุณาของ
ท่านมา ณ โอกาสน้ี”
“ด้วยเหตุนี้ เราจึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่านในการประชาสัมพันธ์งานดังกล่าวให้พนักงานของ
ท่าน ไดท้ ราบโดยทวั่ กัน”
๓) สรุป ซึ่งเป็นเน้ือความตอนสุดท้ายที่จะทาให้ผู้อ่านจดหมายประทับใจได้มากข้ึน และจะช่วยให้
จดหมายไม่ห้วนจนเกินไป หากเป็นจดหมายเชิงขอร้องท่ีเป็นหน้าท่ีของผู้รับทาให้เรามักจะลงท้ายดังน้ี “หวัง
อยา่ งยิง่ วา่ คงจะ ไดร้ บั ความอนุเคราะห์จากท่าน ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้”
๒. การเขียนจดหมายตอบผ้อู น่ื ควรประกอบดว้ ยเนอื้ ความ ๒ สว่ น ดังนี้
๑) เท้าความถึงจดหมายที่ตอ้ งการตอบ โดยอ้างถึงใจความสาคญั ในจดหมายทม่ี มี าถึง โดยท่ัวไปมัก
นาเอาวัตถุประสงค์ของจดหมายที่มมี าถึงมาเท้าความ การเท้าความมักข้ึนต้นประโยคดว้ ยคาว่า “ตามที่” แล้ว
จบข้อความในสว่ นนี้ด้วยคาวา่ “นนั้ ” หรอื อาจขน้ึ ตน้ ด้วยการขอบคณุ แล้วตอ่ ด้วยการเท้าความก็ได้
ตัวอย่าง
“ขอเรียนว่า บริษัทยินดีให้ท่านเป็นผู้แทนจาหน่ายได้ตามความประสงค์ แต่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง
ตา่ งๆ ดังน้ี”
“บรษิ ัทตอ้ งขออภัยทา่ นเปน็ อย่างยง่ิ ที่พดั ลมเครื่องท่ีสง่ ไปให้ท่านเกิดความผิดปกติดงั กล่าว”
๒) สรุป ควรใช้ข้อความที่ก่อให้เกิดความประทับใจและเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง หากเป็นจดหมายตอบ
รบั หรอื ตอบปฏเิ สธ ควรสรปุ ด้วยสานวนวา่ “จึงเรยี นมาเพ่อื ทราบ” หรอื “จงึ เรียนมาเพ่อื โปรดทราบ”
ตัวอยา่ ง
“บริษัทใคร่ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนห้ี ากมีสงิ่ ใดท่ีสามารถรับใชท้ า่ นได้แล้ว เรายินดเี ปน็ อยา่ งยง่ิ ”
“หวังว่าท่านคงจะให้อภยั บริษัทและให้โอกาสบริษัทได้รับใชท้ ่านต่อไป และโปรดแจ้งข้อบกพร่องท่ีท่าน
พบเกย่ี วกับสนิ ค้าของบริษทั ให้เราทราบอีก”
สว่ นประกอบตอนทา้ ย ประกอบดว้ ย
๑. คาลงท้าย ใช้วา่ “ขอแสดงความนบั ถอื ” พมิ พไ์ วก้ ่ึงกลางหนา้ กระดาษตรงกับวนั ที่
๒. ลายเซ็น ให้ผู้เขียนจดหมายเซ็นชื่อด้วยลายมือของตนเอง ในจดหมายธุรกิจ ลายมือช่ือ มิใช่เพียงแต่
แสดงว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมายน้ันเท่าน้ัน แต่ยังแสดงว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในข้ันต้นต่อข้อความท่ีปรากฏใน
จดหมายน้นั
๓. ชื่อเต็มและตาแหน่ง พิมพไ์ ว้ใต้ลายมือช่ือของผู้เขียน โดยมีคานาหน้าว่า นาย นาง หรือ นางสาว แล้ว
จึงตามด้วยตาแหน่ง
๔. สิ่งที่ส่งมาด้วย เม่ือมีบางส่ิงบางอย่างแนบไปกับจดหมายในซองเดียวกัน ควรระบุไว้ด้วยโดยพิมพ์ต่อ
จากตาแหน่งแตช่ ดิ เส้นก้ันหน้า
การวางรูปแบบจดหมายธรุ กิจ
ชื่อบริษทั ...................
ท่ตี ั้ง...........................
โทร. ...........................
..............................
เร่ือง ........................................... (วันที่/เดอื น/พ.ศ.)
เรยี น...........................................
ขอ้ ความ (เหตุ)......................................................................................................................................
............................................................................................................ ............................................................
วตั ถปุ ระสงค์ ........................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
สรุป ............................................................................................................................. ........................
...................................................
...............(.ค...า..ล..ง..ท..า้..ย...)...................
...................................................
...................................................
(ลายเซน็ )
(ช่อื เตม็ )
(ตาแหน่ง)
๒. ใบความรเู้ ร่ือง “ลักษณะจดหมายธรุ กิจทด่ี ี”
ลักษณะจดหมายธรุ กจิ ทดี่ ี
จดหมายธุรกิจท่ีดีต้องทาให้ผู้รับรู้สึกประทับใจและมีปฏิกิริยาโต้ตอบในทางท่ีดี รวมท้ังทาให้ผู้เขียนบรรลุ
วัตถปุ ระสงคต์ ามทต่ี อ้ งการ
จดหมายธุรกจิ ท่ดี จี งึ ตอ้ งประกอบด้วย คุณสมบตั ิ ๖ ประการ ดงั น้ี
๑. ชัดเจน คือ ผู้รับสามารถอ่านเข้าใจเร่ืองราวได้โดยตลอด จดหมายท่ีมีข้อความไม่ชัดเจน จะทาให้
ผู้เขียนผู้รับเข้าใจไม่ตรงกัน ความชัดเจนในการเขียนจดหมายทาได้โดยเลือกใช้ถ้อยคาที่สามารถอ่านแล้วเข้าใจได้
ตรงกนั ไม่มคี วามหมายคลุมเครอื และลกั ษณะของประโยคต้องงา่ ย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องมกี ลุ่มคาขยายความ และ
ควรวางคาขยายใหถ้ กู ที่
ตวั อยา่ ง
การใช้คากากวมสอื่ ความหมายไมช่ ดั เจน
“บริษัทขายรถคุณสมชายไปแล้ว”
อาจหมายถึง “ผู้เขียนขายรถของคุณสมชายไปแล้ว” หรือผู้เขียนขายรถให้คุณสมชายแล้ว” ควรใช้คาว่า
“บรษิ ทั ขายรถของคณุ สมชายไปแลว้ ” หรอื “บริษัทขายรถให้คุณสมชายไปแล้ว”
การวางคาขยายผดิ ท่ีสือ่ ความหมายไมช่ ัดเจน
“เขาถูกฟ้องฐานหมิ่นประมาทศาล”
อาจหมายถึง “เขาถูกฟ้องฐานหม่ินประมาทผู้อื่นในศาลเพิ่มอีกกระทงหนึ่ง” ควรใชว้ ่า “เขาถูกฟ้องในศาล
ฐานหมนิ่ ประมาท” จะทาใหค้ วามชัดเจนวา่ “สาเหตทุ ่เี ขาถูกฟอ้ งศาล เน่ืองจากข้อหาหม่ินประมาท”
๒. สมบูรณ์ความ คือ มีข้อความที่ครอบคลุมเรื่องราวทั้งหมดท่ีผู้เขียนต้องการสื่อสารไปยังผู้รับจดหมาย
ดังน้ันในการเขียนจดหมายเพื่อให้สมบูรณ์ความ ผู้เขียนจะต้องรู้ว่าเรื่องใดสาคัญเร่ืองใดไม่สาคัญ และควรเขียน
รายละเอียดของส่วนสาคัญอย่างไร ควรคิดไว้ล่วงหน้าและจดบันทึกไวก้ ่อนที่จะเขียนจดหมายจนแน่ใจว่าจะไม่มีส่ิง
ใดบกพร่อง หลังจากการร่างเสร็จ ควรอ่านเพ่ือตรวจทานดูว่าข้อความสมบูรณ์ตามท่ีต้องการหรือไม่ ถ้ามีส่ิงใด
บกพร่อง เขียนเพ่ิมเติมแก้ไขใหม่