The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by schtgr1125, 2020-04-15 00:10:24

สาราสารกถา พระธรรมพุทธิมงคล เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี.

8
สาราสารกถา







จรงๆ แล้ว พระพทธศาสนาของเรามความสาคญทสด





แต่ท่ทุกโรงเรียนไม่ได้จัดให้มีการอบรม-การเรียน-การสอน-การ



สอบ-การวัดผลกันอย่างน้ เน่องจากผู้รับผิดชอบในสถานศึกษา


น้นๆ มองไม่เห็นความสาคัญ ท่มองไม่เห็นความสาคัญ เพราะ


ไม่ได้มอง เพราะไม่ได้รับการศึกษามาโดยตรง หรือไม่สนใจเร่องน ี ้

ก็มีแค่นี้
เพราะฉะน้น ต้องขออนุโมทนากับท่านอาจารย์ไชยสิทธ ์ ิ



ไกรคุณาศัย และครอาจารย์ทุกคนของโรงเรียน ท่มองเห็น


ความสาคัญของพระพุทธศาสนา ซ่งมีอยู่จริงๆ แล้วพยายามจะ


สอดแทรกความสาคัญน้ให้แก่เด็กๆ ซ่งเข้ามาเรียนท่โรงเรียนน ี ้


ได้รับทราบและมองเห็น จึงได้ให้โอกาสกับทางคณะสงฆ์


เพอจะได้ส่งพระ ส่งเณร มาช่วยให้การศกษาอบรมวชาทาง


พระพุทธศาสนา ซ่งได้ทาติดต่อกันมาเป็นเวลา ๒ ปีจึงเป็นเร่อง



ที่ต้องขออนุโมทนาด้วยอย่างจริงใจ
บดน้ การอบรมวิชาทางพระพุทธศาสนาของสถาบน




แห่งน้ ได้ดาเนินมาถึงจุดหมายปลายทางของการศึกษาอบรม

แล้ว และได้ประกอบพิธีปัจฉิมนิเทศ คือปิดการอบรมในวันน ้ ี
ขออนุโมทนากับทุกท่าน ทุกฝ่าย และทุกคน ท่ให้ความร่วมมือ

ร่วมใจกันด้วยดีตลอดมา


ท้ายท่สุดน ขออาราธนาคณพระศรีรัตนตรัย อันเป็นหลักชัย


ทางพระพุทธศาสนา และคุณงามความดี บุญบารมีท้งหลายท้งปวง



9
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






จงมารวมกันเป็นพลวปัจจัยสนบสนน ส่งเสรมให้อนุชนผู้เข้ารับ


การอบรมวิชาทางพระพุทธศาสนาในคร้งน้ทุกคนจงเป็นผู้มีจิตใจ




ท่ดีงาม มองเห็นความสาคัญของพระพุทธศาสนา ท่จะนามา


ประพฤติ ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตน และนาวิชาที่ได้รับอบรม

ไปน้ไปใช้ในการสอบธรรมศึกษา ให้บรรลุผลสมความมุ่งมาด
ปรารถนา ทุกประการเทอญ.

นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ


จิตสงบสุขแท้ ทุกคน
จิตวุ่นจิตสับสน สุขลี้

มุ่งสุขหมั่นฝึกฝน จิตอยู่ เสมอนา

ตถาคตเพียงบอกชี้ อยากได้ ท�าเอง

วิชำดับทุกข์









ขอเจริญพรท่านผู้อานวยการ ท่านวิทยากร และครูสอน

วิชาพระพุทธศาสนา

ร้สึกดใจมากท่ได้มีโอกาสมาร่วมในการประชุมสัมมนา




ของครูบาอาจารย์ท่สอนวิชาพระพุทธศาสนาในวันน้ ดีใจเป็น

พิเศษท่ได้รับอาราธนาให้มาเป็นวิทยากรองค์แรก ทางเจ้าหน้าท



ได้จัดให้มาช้แจงกับผู้ร่วมประชุม เก่ยวกับเร่องโครงการส่งพระ



ไปช่วยสอนวิชาพระพุทธศาสนาตามโรงเรียนต่างๆ



ก่อนท่จะได้พูดเร่องน้ อยากจะพูดคุย เป็นข้อคิดเล็กๆ
น้อยๆ เพ่อว่าจะเป็นแนวและเป็นกาลังใจให้ครูอาจารย์ท่สอน



วิชาพระพุทธศาสนา มีความมานะพยายามและความเข้มแข็ง
ท่จะปฏิบัติหน้าท่ให้ดีย่งข้นและก็จะได้มีความภาคภูมิใจว่า เรา




* คาบรรยายในการสัมมนาครูพระสอนวิชาพระพุทธศาสนา ณ อาคาร


กรรณสูต โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จังหวัดสุพรรณบุรี เม่อวันท่ ๑๕

พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๖

12
สาราสารกถา





ได้เป็นครูอาจารย์ในวิชาน้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกตัวเองว่า มีปมด้อย
ในหมู่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย



วิชำพระพุทธศำสนำ ดับทุกข์ได้




เพราะส่วนใหญ่ ครูสอนวิชาพระพุทธศาสนาน้น โดย

ท่วๆ ไป บางทีเราก็มองกันว่า เป็นพวกท่กล้าประพฤติให้ล้าสมัย

คนท่จะสมัครใจเต็มอกเต็มใจท่จะเข้ามาสอนในวิชาพระพุทธ-



ศาสนาน้น อยู่ในระดับพวกครูอาจารย์ท่มีไอคิวตาๆ หรืออะไร



ทานองน้น ท่ต้องมาสอนวิชาน้ เพราะเป็นวิชาท่ล้าสมัย รู้สึก





กันมาอย่างนั้นจริงๆ จนกระทรวงศึกษาธิการต้องพยายามปรับปรุง









อะไรตางๆ นานา ทปรบปรงกไมไดเกดจากความเตมอกเตมใจ



ของกระทรวง แต่เกิดจากการบีบค้นของหลายๆ ด้าน จนกระทรวง

จริงๆ เองก็พยายามจะไม่ให้มีวิชาพระพุทธศาสนาด้วยซาไป

ดังที่เราได้รู้ได้ทราบกันโดยทั่วๆ ไป

สาเหตุท่เป็นอย่างน้ ไม่ใช่เน่องมาจากว่า วิชาพระพุทธ-



ศาสนาน้น เป็นวิชาท่คราครึล้าสมัย ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้



ความจริงที่ท�าให้วิชาพระพุทธศาสนาเราได้รับความสนใจน้อย





น้น ก็เน่องจากว่า เราไม่ค่อยได้สนใจเท่าท่ควรในวิชาน้ ท้งๆ
ท่เราทุกคนรู้กันอยู่ว่า สถาบันท่ประกอบขึ้นเป็นชาติบ้านเมือง



ของเรามีอยู่ ๓ สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษตรย ์


และพระศาสนาน้น ก็เป็นหลักอันหน่งของชาติบ้านเมืองของเรา


13
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






พระศาสนาในท่น้ ก็หมายถึงศาสนาพุทธ เพราะคนไทย
ส่วนใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะพวกเราท่เป็นครูอาจารย์สอนวิชาพระ



พุทธศาสนาเท่าน้น ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธกันท้งน้น และ

คาว่า “ศาสนา” ในองค์ประกอบของสถาบัน หมายถึงศาสนา-












พทธ ศาสนาพทธกคอศาสนาของพระพทธเจา ซงนบถอกนมา


แต่โบราณ จนปัจจุบันได้ตกทอดเป็นมรดกช้นสาคัญช้นหน่ง


ของพวกเรา
ปัญหามีอยู่ว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าท่เรา

นับถือกัน ก็นบถอโดยจารีตประเพณี และธรรมเนยมท่สืบทอด




กันมาเป็นมรดก การนับถือศาสนาโดยจารีตประเพณีอย่างน ้ ี







พวกเราจะมองไม่เหนว่า “ศาสนามคณค่าจรงๆ กบชวตเรา
อย่างไร? มีคุณค่าจริงๆ แก่สังคม อย่างไร?”
เราจะเห็นคุณค่าของศาสนาจริงๆ โดยเฉพาะพระพุทธ-


ศาสนา เราต้องนับถือโดยจิตใจ ถ้าเราได้ศึกษาโดยต้งอกต้งใจ
ยงไม่ต้องมาก แล้วเรากจะมองเหนเลยว่า ไม่มีวิชาใดในโลก






ท่จะใช้เป็นเคร่องมือดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงและส้นเชิง
นอกจากวิชาของพระพุทธเจ้า เอาไปศึกษา เราจะเห็นจุดตรงน ้ ี
ปัจจุบันน้ โลกเรามีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์



ทางวิทยาการ และเทคโนโลยี ๑๐๘ ประการ ท่เราต่นเต้น




ยินดีปล้มอกปล้มใจ เม่อสามารถศึกษาความรู้ต่างๆ เหล่าน้นได้



เรากเอาวชาความรู้ต่างๆ เหล่านนมาเสริมทฐิมานะของเรา



14
สาราสารกถา




ทาให้มีความรู้สึกท่เป็นอหังการกันมากมาย แต่ถ้าหันกลับไป


ศึกษาจริงๆ แล้ว เราจะเห็นได้ว่า วิชาการท้งหมดในโลก จะเป็น


ในอดีตหรือในปัจจุบัน ท่เราก้าวหน้ากันมาจนถึงยุคไฮเทค
ไม่มีวิชาใดที่จะสู้วิชาของพระพุทธเจ้าได้


จรงๆ ท่เป็นอย่างน้ เพราะวิชาทงหลายท้งปวง นามา








ใช้เป็นเคร่องมือดับทุกข์จริงๆ ไม่ได้ อาจได้ความสะดวก
บางส่งบางประการ แล้วพร้อมกันน้น มันก็แผ่ขยายความ


ทุกข์ให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
เราจะเห็นความแตกต่างได้ ถ้าเราต้งประเด็นถามว่า ใน

ยุคท่บ้านเมืองของเรามีความเจริญก้าวหน้าจนถึงขณะน้ ความ


สงบสุข ความสบายของประชาชนในสังคม ได้เพ่มข้นหรือ


ลดลง เราตั้งประเด็นถามตัวเองว่า ในขณะที่บานเมืองของเรา

มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอะไรต่างๆ มากมายท่วโลก

ความรู้สึกสบายของประชาชนในสังคมเพิ่มขึ้น หรือลดลง




ในแง่ของความจริงท่เราสามารถจะกาหนดได้ จากพฤติ-
กรรมความเป็นไปของสังคม ถ้าเทียบกับความเป็นอยู่ของสงคม




ในสมัยก่อน ท่วิชาการทางเทคโนโลยียังไม่เจริญก้าวหน้านน เอา

ความสงบสุขของสังคมท้ง ๒ ยุคมาเปรียบเทียบกัน ถ้าเราเกิดทัน

ท้ง ๒ ยุค เราก็จะมองเห็นความสงบสุข ความสบายใจ ของคน
ในสังคมยุคนี้กับยุคก่อนนั้น แตกต่างกัน

15
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ยุคก่อน เทคโนโลยีเรายังไม่เจริญก้าวหน้า เราสามารถจะ

อยู่กันได้สะดวกสบายทุกที่ ตามท้องไร่ท้องนาก็สามารถนอนได้

อย่างสุขสบาย ชาวนาก็ไม่ลาบากเดือดร้อน แต่ก่อนยังไม่ต้องม ี
อะไรมากเลย เด๋ยวน้มีมากแค่ไหนก็ไม่สามารถจะอยู่ให้สบายได้


บางทีสร้างบ้านเป็นเงินร้อยล้าน พันล้าน คิดว่าจะอยู่ให้สบาย


แล้วในท่สุดก็ไม่สุขสบายอีก น่พูดให้เห็นได้ง่ายๆ เป็นข้อเปรียบ

เทียบว่า ไม่มีวิชาใดในโลก ที่เราจะใช้เป็นเครื่องมือดับทุกข์ได้
อย่างแท้จริงและสิ้นเชิง นอกจากวิชาของพระพุทธเจ้า



ท่านท้งหลายท่เป็นครูบาอาจารย์ จะเอาวิชาของพระ

พุทธเจ้าไปสอน จะต้องนึกว่า เราเป็นคนท่ยอดเย่ยมคนหน่ง




เพราะสามารถศึกษาวิชาท่ยอดเย่ยมท่สุดในโลกได้ แล้ว

สามารถเอาไปถ่ายทอดได้ด้วย เราควรจะภูมิใจ ไม่ควร
จะนึกเป็นปมด้อยในตัวเอง เพราะเป็นวิชาที่ดีจริง



เกณฑ์ตัดสินว่ำ เป็นวิชำของพระพุทธเจ้ำ


วิชาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นวิชาท่ยาก คือ รู้ยาก


ปฏิบัติยาก ทายาก อย่างท่เข้าใจกัน ท่เรารู้สึกว่ายาก เป็นเพราะ


ความเข้าใจผิด เพราะวิชาของพระพุทธเจ้า เป็นวิชาท่ง่ายท่สุด


ในโลก ปฏิบัติง่ายที่สุดในโลก เราไม่ต้องใช้ความคิดความอ่าน
อะไรมากมาย ถ้ายาก ไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า วิชาของพระ

พทธเจาตองง่ายเพราะพระองคตรสเอาไวอยางนนวา สฺวากฺขาโต











16
สาราสารกถา









ภควตา ธมฺโม ธรรมะทพระพุทธเจ้าตรสเอาไว ตองดงาม ตอง


ท�าง่าย ต้องถูกใจคน นี่คือ หลักเกณฑ์


ก่อนท่จะพูดตัวกลาง พูดหลักเกณฑ์ท่สามารถทดสอบ
ได้ว่า เป็นวิชาพระพุทธเจ้าหรือไม่ มีมาตรการที่เราจะก�าหนด
ได้ว่าเป็นวิชาของพระพุทธเจ้า จะประกอบด้วยคุณลักษณะ ๓
ประการ คือ

ประการที่ ๑ ดีงาม

ประการที่ ๒ ท�าง่าย

ประการที่ ๓ ถูกใจคน

อย่างน้จะไม่เรียกว่าเป็นวิชาท่ยอดเย่ยมได้อย่างไร ดีงาม-



ท�าง่าย-ถูกใจคน



พระพุทธเจ้าสอนในเร่องอะไรบ้าง? ยกตัวอย่างเร่องให้ทาน
เพื่อให้ชัดเจน เราจะรู้ได้จากการเปรียบเทียบสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน
การให้ทานตรงกันข้ามกับการลักขโมย เปรียบเทียบกันว่า ให้

ทานเขา กับลักขโมยเขา อย่างไหนดีกว่ากัน? ให้เขาต้องดีกว่า

มาตรการข้อท่ ๑ เราเห็นแล้ว ให้ดีกว่าลักขโมยแน่นอน

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ ให้ทาน ไม่ได้สอนให้ลักขโมยเลย น่ได้

หลักข้อที่ ๑ ดีงาม



หลักข้อท่ ๒ ทาง่าย กมาวางเทียบกันด ให้เขากับลักขโมย



เขา อย่างไหนท�าง่ายกว่ากัน ให้ง่ายกว่าใช่ไหม? ลักขโมยยาก

17
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)







แสนยาก ท่พระพุทธเจ้าสอนให้ทา ล้วนเป็นคาสอนท่ให้ปฏิบัต ิ

ง่ายท้งน้น ปัญหาท่มันยาก มันไม่ได้ยากท่คาสอน แต่ยากท่ว่า








เราเป็นคนเข็ญใจ เข็ญใจแล้วจะมองยาก คือจะทาตามท่พระ


พุทธเจ้าสอนท้งที รู้สึกว่า มันเข็ญใจตัวเอง ลาบากเหลือเกิน
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่ล�าบาก

ในแง่ความเป็นจริง ดีงาม-ทาง่ายและถูกใจคน ให้เขา

กับลักของเขา อันไหนคนชอบ อันไหนคนถูกใจ ให้ไปท่ไหน
สบายทุกที่



เพราะในโลกน้ไม่มีใครเลย ท่ไม่ชอบการให และไม่ใช่เฉพาะ


คน สิงสาราสัตว์ ต้นหมากรากไม้ชอบท้งน้น ส่งมีชีวิตในโลก



ชอบการให้ เรียกว่า ทรงส่งสอนในส่งท่เรียกว่าถูกใจคน สอน


ให้ส่งมีชีวิตทุกอย่างในโลกชอบพอใจ คนก็พอใจ สัตว์ก็พอใจ
ต้นหมากรากไม้ก็พอใจ ถ้าเราให้แล้ว ก็จะสนองตอบกลับมาใน
ทางท่เราพอใจเช่นกัน น่คือหลักเกณฑ์ง่ายๆ ท่พระพุทธเจ้าสอน




ทรงสอนให้รักษาศีล พวกเราก็รู้สึกว่าลาบากลาเค็ญกัน



เหลือเกิน ท่ไปรักษาศีลข้อท่ ๑ ท่านห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ต้อง
คิดให้ปวดหัว ไม่ต้องวางแผนจะฆ่าเขา พระพุทธเจ้าสอนให้

รักษาศีล โดยพิจารณาถึงข้อท่ ๑ เราก็เห็นแล้ว ฆ่าเขากับ
ไม่ฆ่าเขา อันไหนดีกว่ากัน เราควรจะยอมรับตัวไหน ตัวไหน
ทาง่าย ตัวไหนทายาก ฆ่าเขากับไม่ฆ่าเขา ตัวไหนถูกใจคน ตัวไหน


คนชอบ สัตว์ชอบ ต้นไม้ชอบ ดีงาม-ท�าง่าย และถูกใจคน

18
สาราสารกถา




จงภูมิใจว่ำ ได้สอนวิชำที่ดีที่สุดในโลก



เพราะฉะน้น เราอย่ามีความรู้สึกเป็นปมด้อยอะไรเลย



วิชาของพระพุทธเจ้าเป็นวิชาท่ดีท่สุดแล้ว แล้วถ้าหากว่าเรา

ได้ศึกษา ได้เรียนไป เราก็รู้สึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนท่เรียกว่า


ยอดเย่ยมจริงๆ ท่สุดในโลก เพราะว่าคาสอนของพระองค์ เม่อ



เราได้นาไปประพฤติปฏิบัติ ก็จะได้รับผลของการปฏิบัติอย่าง
แน่นอน



คาสอนของพระพุทธเจ้าน้น มีความแตกต่างจากคาสอน




ของศาสนาอ่น อย่างในศาสนาอ่นน้น เราทาดีทาชอบ กว่าพระเจ้า


จะมาเห็น ไม่ใช่ง่าย เราตายแล้วเอาไปฝัง ฝังแล้วรอจนโลกมัน

ทลาย พระเจ้าจึงจะมาพิพากษา ยกวญญาณของเราขนไปอย่ ู

















กบพระเจา นเราไมไดตาหนตตง แตในแงทเรยกวา จะทาใหเรา




ภาคภูมิใจ พระพุทธเจ้าสอนคาสอนทุกอย่างให้พิสูจน์ได้ เรา
ไม่ต้องไปพิสูจน์อะไรเลย พูดเท่าน้เราก็มองเห็นเลยว่า เป็น



คาสอนท่อัศจรรย์ ให้ผลได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ร่างตายแล้ว




เอาไปฝัง แล้วกว่าโลกน้จะสูญสลายอีกก่หม่น ก่แสนปี กว่าจะ
ได้รับผลของความดี กว่าพระเจ้าจะมาพิพากษาอีกว่า ใครบุญ
ใครบาป ต้องโลกน้ถล่มทลายไปแล้ว น่เรียกว่าเป็นตัวอย่าง


น้อยๆ พูดเพ่อว่าให้เรามีกาลังใจในฐานะท่เป็นครูสอนวิชาพระ



พุทธศาสนานี้ นับว่าเป็นโชค เป็นลาภของเรา

19
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





ถ้าได้ศึกษาวิชาพระพุทธศาสนา ทาให้จิตใจของเราได้
สัมผัสกับพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าสักนิดเดียว เรา

จะไม่ท้อใจเลย คือต้องสัมผัสกับพระมหากรุณาธิคุณให้เห็น





ว่า พระพุทธเจ้าซ่งต้งศาสนาข้นมา ไม่ใช่เพ่อประโยชน์ของตัว

พระองค์เอง แต่เพ่อจะช่วยเหลือเรา ช่วยเหลือโลกและสังคม
โดยเฉพาะ ใครได้สัมผัสกับพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า




แล้ว จะมีกาลังใจทางานมากข้น ด้วยสาเหตุท่พระพุทธศาสนา
นั้นมีความส�าคัญ ไม่ใช่เฉพาะแต่สังคมไทย



เม่อพูดถึงเน้อหาสาระท่เป็นหลักวิชาของพระพุทธเจ้า
สังคมส่วนใหญ่ของเราได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้อะไรต่างๆ
มาจากสายอ่น เราไม่ได้รับถ่ายทอดมาทางน้โดยเฉพาะ วิชาอ่น



ได้เข้าไปกลบ เข้าไปคลุมใจ วิชาทางพระพุทธศาสนาจึงถูก
ละเลยทอดท้งไป นี่มันก็เกิดจากระบบของสังคมไทยเราด้วย


ถ้าเราพูดสาหรับพวกเรา ไม่ใช่เฉพาะพระ ไม่ใช่เฉพาะญาติโยม

ไม่ใช่เฉพาะพระสงฆ์-องค์เจ้าของเราท่นับถือศาสนาพุทธก็ต้อง
รู้สึกอับอาย




ดูเขำ แล้วย้อนกลับมำดูเรำ


อย่างในปัจจุบันในโรงเรียนมุสลิม เราจะไปแตะไม่ได้เลย


เด็กในระดับท่จะต้องเข้าอนุบาล เขาไม่เอาไปเข้าอนุบาลของ

20
สาราสารกถา




รัฐบาล แม้จะดีเด่นยังไง เขาก็ไม่เอาไปเข้าเลย เขาจะนาเด็ก

ของเขาไปเข้าโรงเรียนปอเนาะ ในโรงเรียนปอเนาะของเขา


เร่มจาก ๓ ขวบ ๕ ขวบ อย่างอนุบาลของเรา เพราะเขาจะ

เรียนไปทางศาสนาของเขา เช่อไหม? ว่าเด็กมุสลิมเพียงแค่
อายุ ๑๖-๑๗ ปี เขาสามารถอ่านคัมภีร์ได้เอง คัมภีร์อัล

-กุรฺอาน อ่านจบ เพราะของเขาเรียนโดยตรง เขาเห็นว่าวิชา




ของศาสนานน เป็นแก่นของชวต เขาเอาไปไว้ในแก่นดวงใจ

ก่อนท่เด็กจะได้รับการถ่ายทอดวิชาอ่นๆ เขาเอาวิชาของศาสนา

ไปไว้ในใจก่อน
เพราะฉะน้น เราจะเห็นได้ว่าการท่อ่านคัมภีร์อัล-กุรฺอาน



ไม่ได้เอาคนเฒ่าคนแก่ไปอ่าน ก็คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวน่นแหละ

อ่าน คัมภีร์อัล-กุรฺอาน ก็คือคาสอนของศาสนาอิสลาม เพราะ

ฉะนน เด็กเขาจงแน่นในหลักศาสนา ไม่ว่าจะไปเรยนวชาอนๆ






ใดๆ จนจบ มาเป็นดอกเตอร์อะไรต่างๆ ดูอย่าง ดร.สุรินทร์
พิศสุวรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศคน
ปัจจุบัน เขาก็เป็นคนมุสลิม แต่เขาแน่นมาก เขาสามารถจะ


ประกอบกิจกรรมอะไรท่เก่ยวกับศาสนาได้ทุกท่ทุกเวลา บางท ี

เดินทางไปต่างประเทศ ถึงเวลาละหมาด เวลาเท่าไร พวกมุสลิม



เขาจะมาทาละหมาด แม้กระท่งกลางสนามบิน พวกเราทา


ได้ไหม? ทาไม่ได้หรอก จะไหว้พระท้งที ต้องดูคน กลวว่า



คนจะเห็น มันเขิน เวลาจะไหว้พระ แล้วทาไมเป็นอย่างน หรอ



21
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)







จะทากิจวัตร สมมติว่า เช้ามืด หัวคา เราจะสวดมนต์ไหว้พระ

สวดมนต์ไม่ได้หรอก ไม่ได้ทาพิธีอะไรเลย เป็นกิจวัตรของ



ศาสนา ไม่เหมือนคนของศาสนาอ่นๆ เร่องจริงมันเป็นอย่างน้น
โครงกำรนี้ ช่วยหำงำนให้พระท�ำ



โครงการส่งพระไปช่วยสอน ก็มาคานึงเห็นว่า ความสาคัญ


ของวิชาพระพุทธศาสนา หรือวิชาของพระพุทธเจ้าดีจริงอย่างน ้ ี
แต่ว่า ความสนอกสนใจของพวกเราแทบจะทุกโอกาสมันตก


ไปๆ แล้วก็พระปัจจุบันน้ก็ไม่มีใครให้ไปสอน จริงๆ มันเป็น

อย่างน้น วัดไม่มีใครจะมาให้สอนแล้ว แต่ก่อนก็มีเด็กมาให้

สอน มีเณรมาให้สอน เด๋ยวน้เด็กก็ไม่มี เณรก็ไม่มี เพราะการ

ศึกษาของทางโลกเยอะแยะไปหมดเลย






แต่ก่อน เด็กจบ ป. ๔ ไมมีทไปกมาบวช เด๋ยวน้ไม่มแล้ว


ใช่ไหม? ขยายการศึกษาไปถึง ป. ๙ ก็เป็นอันว่าหมดโอกาส

ท่พระจะได้ช่วยสอน วิชาพระพุทธศาสนาก็หมดไปแล้ว จะเอา
คนหนุ่มเข้ามาบวชในยุคนี้ แล้วก็มาเรียนวิชากัน ก็เอาวิชาอื่น
ไปอัดไว้เต็มแล้ว จะเอาวิชาพระพุทธศาสนาเข้าไปยัดเยียดอีก
ก็ไม่ยอมรับอีกแล้ว


การบวชก็บวชกันเป็นประเพณี ๗ วัน ๑๕ วัน ก็สึกหมด



แล้วพระจะทาอะไร? พระไม่ทาอะไร ก็หาว่า “พระเป็นกาฝาก

22
สาราสารกถา






สังคม” กินกับนอน ไม่ได้ทาอะไรเลย เป็นพระลาบากจริงๆ ก ็

พยายามจะทา ใช่ไหม? แล้วทางพระส่วนใหญ่ หลักการศึกษา

ต่างๆ ถูกดึงไปหมดแล้ว พระท่จะเป็นครูบาอาจารย์ก็น้อยลง
น้อยลงไป จนจะไม่มี พระท่ท่านเกิดมามีศรัทธาทางศาสนาอยู่

บวชต้งแต่หนุ่มๆ แล้วก็อยู่มาไม่สึก ท่านก็ต้งใจอุทิศชีวิตให้



ศาสนาแล้ว ท่เอาไปช่วยสอนวิชาพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไปแย่ง

โครงการน้ต้งมา ๒-๓ ปีแล้ว แต่ว่าไม่แพร่หลายเท่าท่ควร


เพราะเราไม่ได้ประสานงานกับผู้หลักผู้ใหญ่ จะเอาไปช่วยสอน
วิชาพระพุทธศาสนา เหมือนว่าเป็นหัวอกอันเดียวกัน



การไปช่วยสอนก็มีข้อบกพร่อง เน่องจากระบบการเรียน
การสอนของพระโดยตรง กับระบบการเรียนการสอนของทาง



โรงเรียนภายนอกแตกต่างกัน ระบบของพระเราใช้ระบบอนรกษ ์


เราไม่ได้เปล่ยนแปลงเลย ไม่ว่าตาราเรียน ไม่ว่าระบบการเรียน

การสอน เม่อสมัย ๗๐-๘๐ ปีก่อน ทากันอย่างไร เด๋ยวน้ก ็



ทากันอย่างน้น เม่อจะเอาครูพระไปช่วยสอนตามโรงเรียนน้น




วิชาเน้อหาต่างๆ ไม่มีปัญหา แต่ว่าเร่องการเรียน-การสอน-




การถ่ายทอด มันมปัญหา เพราะว่าพระไม่ค่อยค้นกับระบบท ่ ี
เขาใช้กันอยู่ ก็เลยต้องเอาพระไปอบรมก่อนท่จะไปสอนตาม

โรงเรียนต่างๆ ไปอบรมให้เข้าใจวิธีการสอน วิธีการประเมินผล

ต่างๆ ท่ไปอบรมก็เป็นเวลาน้อย ให้พอรู้แนว นึกว่าไปพบปะ
กับครูบาอาจารย์ จะเป็นผู้อานวยการ หรือครูบาอาจารย์ใน


23
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





สายวิชาเดียวกัน ก็ให้ถือว่าเป็นกัลยาณมิตร มีอะไรท่ครูบา-



อาจารย์จะช่วยช้ ช่วยแนะเก่ยวกับวิธีการ ก็ช่วยช้ ช่วยแนะไป



โครงการน้ ก็หวังจะให้พระท่มีอยู่ท้งหมดในจังหวัด


สุพรรณบุรี พอจะทางานได้บ้าง ไปช่วยสอนวิชาน้โดยเฉพาะ
ไม่ใช่ไปแย่งสอน เราไปช่วยสอน เพราะปกติถ้าท่านไม่ไปสอน

ท่านก็ไม่ได้ทาอะไร เพราะอยู่วัดไม่มีใครให้ท่านสอน ปัจจุบัน


นอกจากบางสานัก อย่างท่อยู่วัดป่าเลไลยก์ฯ ก็มีเรียน-สอนกัน
ตามปกติ ตามโบราณ ถ้าเราจะไปดูตามวัดนอกๆ โอกาสท่พระ

พวกน้จะทางานตามหน้าที่ คือสอนวิชาพระพุทธศาสนาจริงๆ



มีเฉพาะภายในพรรษา ๓ เดือนเท่าน้น อีก ๙ เดือนไม่ได้สอน

เลย ก็อยู่กันไป นอกจากการเทศน์บ้าง อะไรบ้าง น่นก็เป็นโดย
ปริยาย แต่ว่าหน้าที่สอนจริงๆ นั้นไม่มี


เพราะฉะน้น เราจึงต้งโครงการน้ข้นมา ปัจจุบันก็เรียกว่า



พอจะเป็นกันข้นมาบ้างแล้ว และโครงการนี้ก็ไม่ได้เป็นโครงการ

ของคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ เพราะท่ไหนก็ไม่มีให้ทากัน เป็นโครงการ


ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี โดยเจ้าคณะจังหวัดเป็น



ผู้ดารให้จัดทาข้น แล้วก็ทากันไป ก็หวังว่า จะได้รับความ




เหนอกเหนใจ ความร่วมมอร่วมใจจากสถานศกษาต่างๆ โดย


เฉพาะผู้อานวยการ และครูบาอาจารย์ของสถานท่น้นๆ ให้





ความร่วมมือ ก็เป็นอันโครงการน้จะดาเนินไปได้ เพราะโครงการ

จะอยู่รอดหรือไม่ ก็ฝากไว้กับโรงเรียน ฉะน้น ก็ขอฝากไว้ด้วย

24
สาราสารกถา





สุดท้ายน้ ก็ขออวยพรให้ท่านผู้อานวยการ ในฐานะท่เป็น





เจ้าของสถานท่ท่อานวยความสะดวก ในการจัดประชุมสัมมนา
ในคร้งน้ แล้วก็ขอให้ผู้ร่วมเข้าประชุม ซ่งเป็นครูสอนวิชาพระ



พุทธศาสนา ได้รับประโยชน์จากการประชุม และได้รับสิ่งดีสิ่ง






งามอันจะกอให้เกดกาลงใจในการปฏบัติหน้าท่ ให้บรรลเป้าหมาย

สมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ เทอญ.

ท�ำงำนอย่ำงไร


จึงจะได้ควำมสุข









ก่อนท่จะได้พูดตามหัวข้อเร่อง ซ่งทางผู้จัดได้ไปนิมนต์



และกาหนดให้มาพูดในวันน้ ในหัวข้อเร่องว่า “ทางานอย่างไร?



จึงจะได้ความสุข” นั้น ก็จะได้พูดเรื่องอื่นๆ ก่อน
วันพระก�ำลังลดควำมส�ำคัญลง







ปัจจุบันน้ วันต่างๆ ท่เรากาหนดข้นมาเพ่อกระทากิจกรรม


น้นมีมาก แต่ด้งเดิมทีเดียว วันที่เรารู้จักกันท่วๆ ไปสมัยโบราณ



สมัยปู่ ย่า ตา ยาย มีอยู่วันเดียว วันน้นก็คือ “วันพระ” เดิม
มีอยู่วันเดียว พวกเรารู้จักกัน โบร�่าโบราณรู้จักกัน
วันพระ เดือนหนึ่งก็มีอยู่ ๔ วัน ถึงวันพระชาวบ้านก็จะ





ไปทาบุญสุนทานกันท่วัดเป็นประจา และเด๋ยวน้วันพระก็ยังมีอยู่
* บรรยายพิเศษในงานวันครู (๑๖ มกราคม ๒๕๓๖) ณ หอประชุม
อ�าเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

26
สาราสารกถา






แต่ว่าความสาคัญของวันพระลดน้อยลงไปๆ โดยเฉพาะเก่ยว

กับวันพระในจิตใจของคนท่เป็นครูบาอาจารย์ บางท่านอาจจะ
ไม่รู้เลย




ยังเหลืออยู่บ้างไหม? สาหรับความรู้สึกเก่ยวกับวันพระ
ของคนท่เป็นครูบาอาจารย์ ยังเหลืออยู่บ้างไหม? จาได้ไหม?




วันไหนวันพระ ถ้ายังจาได้ ก็แสดงว่าใช้ได้ บางท่พูดถึงวันพระ
ไม่รู้เลย มันชักจะเลอะเลือน ก็ไม่ว่ากันนะ มีวันพระมีวันเด็ก
มีวันพ่อ มีวันแม่ แล้วก็มีวันที่เราไม่ต้องแบกภาระหนักๆ เป็น



วันพิเศษอีกวันหน่ง คือวันอะไร? คือ "วันเบาๆ" ไง ท่เขาเรียกว่า
วันเบาๆ ก็เพราะเขาเรียก วันท่ไม่ต้องไปแบกภาระอะไร ส่วน


วันนอกน้นเราอาจจะต้องแบกภาระหนัก ถ้าวันไหนไม่ต้องแบก
อะไร เขาเรียกว่าวันเบาๆ ใช่หรือเปล่า?




วนเดก เราก็พาเดกไปเท่ยว หรือไม่งนกเอาอาหารอะไรๆ







มาเล้ยงเด็กกัน พอถึงวันคร วันน้ก็มากาหนดเง่อนไขกันว่า คร ู





ท้งหมดจะต้องมารวมตัวกันทากิจกรรมท่ใดท่หน่ง ตามท่ทาง



ผู้กาหนดโปรแกรมจัดไว้ ก็เหมือนกับว่า วันครูน้ อาจจะต้อง






เป็นวันท่ต้องจับเอาพวกครมาน่งทรมานกันวันหน่ง เพราะวัน



อนๆ สวนใหญ มนจะเปนเร่องของวนอสระ ไม่เหมอนกบวนเดก










อย่างวันเด็กน้น เราจะให้อิสระเด็ก สถานท่ราชการทุกแห่ง


ทุกหน แม้แต่ในท่บางแห่ง ทีตามปกติธรรมดาไม่เปิดให้คนนอก


เข้าไปเก่ยวข้อง พอถึงวันเด็กก็จะเปิดให้เด็กเข้าไปดู เข้าไปชม

เข้าไปเล่นกันได้ทุกที่ทุกแห่ง นั่นถือว่าเป็นวันที่ให้อิสระเด็ก

27
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






แต่สาหรับวันครูก็มีอย่างน้ เม่อมีอย่างน้ เราก็ต้อง



ยอมรับกันไปอย่างน้ เพราะวันครูเราต้องทาอย่างน้ เราก็มา






ทาอย่างน้กัน ก็ถือว่าท่เรามาทากัน มันก็เป็นการทางานชนิด



หน่ง ท่เรามาร่วมชุมนุมกัน กล่าวคาสรรเสริญเยินยอคุณคร ู

บูชาคุณครู กล่าวปฏิญาณตน แล้วก็มาฟังพระพูด น่ก็ถือว่า

เป็นการท�างานอย่างหนึ่ง
ท�ำงำนด้วยใจรัก จึงจะได้ควำมสุข





เมอเราถอว่าอนนเป็นกจกรรมการทางานอย่างหนง






เราก็จะต้งประเด็นเข้าไป เพราะในหัวข้อเร่องท่กาหนดไว้ว่า



จะทํางานอย่างไร? ให้มีความสุข เรามาทากิจกรรมในวันน ี ้



ก็ถอว่าเป็นการทางานของเรา และอยากจะถามพวกเราว่า





ท่เรามาทางานกันอย่างน้ ได้ความสุขกันบ้างไหม? ท่เราน่งกัน


อยู่น้น่ะทางานกันท้งน้น น่งอยู่ก็ถือว่าทางาน เพราะเรามาร่วม





กิจกรรมก็คือการทางาน แล้วท่เรามาทางาน อย่างน้ มาน่งฟัง




อย่างนี้ ได้ความสุขไหม? ได้หรือไม่ได้?

มันก็เข้าประเด็นกันพอดีกับหัวข้อ เร่องว่า จะทางาน

อย่างไร? ให้ได้รับความสุข เพราะอะไรเราจึงอยากได้ความสุข


เพราะหลักการท�างานท่จะได้ความสุขน้น จริงๆ แล้วมันก็ไม่ม ี



อะไรมากหรอก มนมอยตวเดยวเท่านนเองทจะทาใหเราทางาน











28
สาราสารกถา








แล้วได้ความสุข น่นก็คือ ทางานด้วยความรัก มีเท่าน้ ทางาน
ด้วยใจรัก

เราลองไปคิดดูเถอะ อะไรๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทา
ด้วยหัวใจรัก ก็ทาไปเถอะ ไม่ได้รับความสุขหรอก แล้วความเต็มอก

เต็มใจที่จะท�า มันก็ไม่มี





เราลองคิดมาต้งแต่เราเร่มทางานกันมา เราจะรู้สึกได้ทันท ี
เลย เพราะถ้าเราท�างานด้วยใจรัก มันจะมีพลังตัวหนึ่งออกมา
เขาเรียกว่า ความเสียสละ เพราะส่งท่เราเรียกว่า งาน ก็หมายถึงว่า


สิ่งที่เราท�านั้น มันมีผลประโยชน์ มันจะมีผลประโยชน์แก่ตัวเรา






ดวย มนจะมผลประโยชน์แก่คนทเราเกยวของดวย ถาเราทางาน







ด้วยใจรัก มันจะมีพลังตัวหน่งท่เราเรียกว่า ความเสียสละ
แทรกเข้ามาด้วย
ควำมเสียสละ
เป็นรำกฐำนของควำมสุข และควำมเข้ำใจกัน
ความเสียสละคืออะไร? ความเสียสละ ก็คือ ความคิดท ่ ี





จะให้ มนไม่มอะไรสาคญเท่าตวน เพราะโดยธรรมชาต ปกต ิ




วิสัยของพวกเราน้ ความคิดตัวน้ไม่ค่อยจะเกิด ท่เราลาบาก





เดือดร้อนกัน ก็เพราะเราทาด้วยความคิดจะเอา ส่วนใหญ่ไม่ว่า
เราจะท�าอะไร เราคิดแต่จะเอาอย่างเดียว ไม่ได้คิดจะให้ ลอง



เปล่ยนความคิดใหม่ ลองทาอะไรด้วยความคิดท่จะให้ ลองไป

29
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




เปล่ยนกันน่ะ ถ้าใครยังไม่เปล่ยน ลองเปล่ยนเถอะ ได้ผลทันท ี



แล้วได้ความสุขความสบายด้วย


ถ้าเราทางานด้วยความคิดท่จะให้ จะไม่มีอะไรมาทาให้









ลาบาก ไม่ต้องดอนไกล นจะยกตวอย่างให้เหนง่ายๆ แล้วก ็



ตัวอย่างท่มันเป็นสามัญท่วไป ว่าการทางานด้วยความคิดท่จะ

ให้นี้ มันจะเป็นส่วนช่วยให้เราได้รับความสุขจริงๆ
สามีภรรยาท่ต้องระหองระแหงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน

นอกใจกัน ถ้าเราคิดไปลึกๆ เราจะเห็นได้ว่า แต่ละคนมุ่งแต่
จะเอา ไม่ได้มุ่งจะให้กัน สามีก็มุ่งความสุขจากภรรยา ภรรยาก ็
มุ่งความสุขจากสามี จริงหรือไม่? ถ้าลองมุ่งจะเอากันอยู่อย่างน ้ ี


ก็ไม่ได้หรอก ถ้ามุ่งอย่างน้จะไม่ได้ส่งท่เราอยากได้ ต้องมุ่งว่า

จะให้ สามีก็ต้องนึกว่าจะให้ความสุขแก่ภรรยา ภรรยาก็ต้องนึกว่า

จะให้ความสุขแก่สามี จะทาอะไรกันก็ตามเถอะ ถ้าเราคิดจะให้
กันละก็มันจะไม่มีปัญหาเลย

ถ้าคิดว่าจะให้กันละก็ มันจะต่างคนต่างได้ ถ้าคิดเอา
บางคนได้ บางคนไม่ได้




เร่องความสุขน้ ลองไปนึกไปตรอง ไปปรับความคิดกันใหม่







มนชอบกลน่ะ นมนเปนเรองจรง เพราะความสุขทเราจะไดรบกน






ในโลก ในสังคมปัจจุบันน้ ต้องเป็นส่งท่เราจะได้รับจากคนอ่น







แล้ว ความสุขท่เราจะได้รับจากคนอ่นน้น ถ้าเราไปคิดเอามันจะ
ไม่ได้ เราต้องคิดให้

30
สาราสารกถา




เพราะฉะน้น ความคิดตัวน้สาคัญท่สุดเลย ก็ขอให้พวกเรา




ท่เป็นครูบาอาจารย์ต้องพยายามเสาะค้นดูว่า ในตัวของพวกเรา

มันมีอะไรบ้างท่พวกเราพอจะให้เขาได้ ถ้ามีแล้ว เราคิดจะทา




อะไรก็ตาม เราคิดว่าจะให้เขา แล้วเราจึงจะได้ อันนมันเป็น



ทฤษฎีเล็กๆ น้อยๆ ท่จะว่ามันล้ลับ มันก็ล้ลับ จะว่ามันง่าย

มันก็ง่าย เพราะบางทีเรามองไม่เห็นว่าในตัวเราน้ มันมีสารพัด


ท่เป็นส่งดีส่งงามท่จะให้แก่คนอ่น แต่เราไม่ค่อยได้เอาออกมา



ให้กัน ในตัวเรานี่แหละ มันมีสิ่งดี สิ่งงาม เยอะแยะที่เราจะให้



ระดบแรก เกียรต พวกเราทกคนมเกยรติกันทงน้น ไม่ว่า





จะเป็นครูบาอาจารย์ หรือว่าเป็นคนธรรมดา ถือว่าเป็นคนมีเกียรต ิ


กันท้งน้น ถ้าเรามองเห็นตัวน้ เราจะไปไหนมาไหนก็ตาม ถ้าเรา

คิดจะให้เกียรติกันบ้าง ดีไหม? แล้วลองคิดดู จะไปไหนมาไหน
เรามีเกียรติทุกคน เราก็เอาเกียรติของเราน่แหละไปให้เขา พอ

เราให้เกียรติเขาแล้ว เราได้อะไร? เราก็ได้เกียรติกลับมา



เพราะฉะน้น เกียรติยศศักด์ศรีอะไรต่างๆ น่ พวกเรามีกัน


ทุกคนแล้ว ส่วนใหญ่เราไปเข้าใจผิดเร่องของเกียรติยศ เร่อง

ของศักด์ศรี น่มันเป็นของประหลาด ถ้าเราเอามาแบกไว้เอง













ไม่ร้จกแบง ไม่รจักให้ใคร มนจะทาให้เรามส่งทไมดีตามเขามา

แล้วเราไม่ได้ความสุขหรอก เช่น อย่างเรานึกว่า เราเป็นครูบา

อาจารย์ เป็นผู้มีเกยรต มีศกด์ศรี ไปไหนก็ต้องผง แล้วมน







31
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





เป็นอย่างไร คนเขาก็อาจจะมองอย่างเกรงใจ แต่ท่เขาจะรู้สึก
รัก รู้สึกเคารพ ไม่มีหรอก เพราะเจ้าศักด์ศรีน้ ถ้าเราเอามา


แบกไว้ เอามาถือไว้เอง มันจะท�าให้รู้สึกหยิ่ง แล้วคนที่หยิ่งน่ะ


มีใครชอบบ้างในสังคมน้? ไม่มีใครชอบหรอก ก็แบกไปซิ เขา












ไมวาบ้าก็บญถมไปแลว คนทนกวาตัวเองมีเกียรต ตวเองมศกดศร ี


แล้วก็พยายามแบกเอาเกียรติเอาศักด์ศรีไว้เองน่ มันก็จะได้แต่


ความรู้สึกที่ไม่ดีกลับมา

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรารู้จักให้เกียรติและศักด์ศรีของ
เรา มันก็จะเพ่มพูนขึ้น ตรงน้สาคัญ ถ้าเรารู้จักให้ ทีน้เกียรต ิ




และศักด์ศรี จริงๆ น้นต้องให้คนอ่นเขารู้สึก ไม่ใช่เรามารู้สึก



เอาเอง ต้องให้คนอื่นเขาเอาไปถือไว้ เกียรติและศักดิ์ศรีของเรา





ให้คนอ่นเขาเอาไปถอ คนท่เขาจะเคารพ คนทเขาจะรัก ไม่ใช ่
เพราะว่า เราเอาเกียรติของเรา เอาศักดิ์ศรีของเรามาถือไว้เอง



ถ้าเราเอาเกยรต เอาศกดศรมาถอไว้เองจะไม่มใครเคารพ จะ





ไม่มีคนเช่อถือ เราสังเกตดูเถอะ คนท่เขาจะรักเรา คนท่จะ




เคารพเราน้น เพราะเขาเอาเกียรติ เอาศักด์ศรีของเราไปถือไว้

ให้ดีเขำ เรำจึงได้ดี


คราวน้ปัญหามันจึงมีอยู่ว่า เราจะทาตัวอย่างไร จะทา


อย่างไร จึงจะให้คนอ่น ยอมรับเอาเกียรติเอาศักด์ศรีของเราไป


32
สาราสารกถา




ถอไว เราไปทไหนเราสบาย ถาเรามความด มเกยรต มศกดศร ี















ท่คนแถวๆ น้นเขาเอาไปถือไว้ เราไปไหนก็สบาย เราจะไม่เป็น



ท่รังเกียจของใครเลย ทีน้เขาจะถือเอาความดีของเรา ถือเอา


เกียรติ ถือเอาศักด์ศรของเราไว้ได้น้น ปัญหามันจึงมีอยู่ว่า เรา


จะต้องเอาดี เอาเกียรติ เอาศักด์ศรี ของเราให้เขาไว้ ไม่ใช่เอา
มาแบกไว้เอง ไม่ใช่เอามาถือไว้เอง




เพราะฉะน้น เก่ยวกับเร่องน ก็อยากสรุปให้เป็นข้อคิด แล้ว


เราก็ลองเอาไปคิดดู ว่ามันจริงหรือไม่จริง ข้อคิดน้นก็มีอยู่ว่า











ให้ดีเขา เราจึงได้ด มนกมีอยแค่นเทาน้นเอง ให้ดเขา เราจึงไดด ี

ถ้าเราไปคิดเอาดี บางทีมันไม่ได้ จะเอาดีให้ได้จริงๆ น้น เราต้อง

รู้จักให้ เรามีดีอะไรท่พอจะให้เขาบ้าง เราก็ให้เขาไป ความดีนี้มัน
ไม่มีเสีย ยิ่งให้ยิ่งมาก
หลักการทางานหรือทาอะไรก็ตาม เราจะทาให้ได้รับความสุข






เพราะทาด้วยความรักอย่างท่ว่ามาแล้ว เม่อทาด้วยใจรักแล้ว


มันก็จะมีความคิดตัวหน่ง ก็คือความเสียสละ เรารักใคร เราจะ
ทาอะไรแก่คนน้น เราต้องมีความคดอย่างเดียวว่า เราจะให้เขา



มันก็แค่นี้
เราเป็นครูบาอาจารย์ งานในหน้าท่ของเรา ก็คือ งานฝึก


งานสอน งานฝึกงานสอนน้ ถือว่าเป็นงานท่สาคัญท่สุด เพราะ






คนท่ควรฝึกในยุคปัจจุบันน้ ก็คือเด็กๆ ซ่งเป็นผู้ท่ควรแก่การฝึก


33
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ควรแก่การสอน ถ้าเราจะทางานด้านน้ให้ได้รับความสุข เรา



ก็ต้องถามตัวเองว่า เรารักงานน้หรือเปล่า เดิมทีเดียวเราก็รัก




เม่อเรารัก ก็เร่มเข้ามาทา เราก็ได้ความสุข แต่เม่อเราเบ่อ แต่เรา

ก็จาเป็นต้องทา เพราะเห็นแก่เงินดาวเงินเดือน เม่อน้นทาไป





ก็ไม่ได้ความสุข เพราะใจเราไม่ได้คิดจะให้อะไรๆ แก่เด็กเลย




แต่ถ้าหากว่าเราทาด้วยใจรก แล้วกคดจะให้ เดกๆ ของเราได้

อะไรจากเรา ถ้าเราท�าไปอย่างนี้ ก็เชื่อว่าต้องได้แน่นอน
จะทางานอย่างไร? จึงจะได้ความสุข เราก็ตอบส้นๆ พูด




ง่ายๆ ว่า ก็ขอให้เรามีใจรักอย่างเดียว เราไม่ต้องพดอนไกล

เราพูดโดยสรุปง่ายๆ ก็คือ รักงาน นั่นเอง ก็ขอให้เรามีใจรัก
ไม่ว่างานอะไรก็ตามท่เราจะทา ถ้าทาด้วยใจรัก ก็จะทาอย่าง




มีความสุข
จะรักงำน เพรำะรู้สึกว่ำท�ำงำนด้วยควำมคิดของตัวเอง



คราวน้ ใจท่จะรักงานน้น เราจะทาอย่างไร? จะบังคับ




จตใจกนไดไหม โดยเฉพาะเราเปนครบาอาจารยน บางครงเรา









ต้องฝืนทา ทาไมเราต้องฝืนทา? กเพราะเราเป็นครูบาอาจารย์


บางคร้งเราไม่สามารถจะทางานด้วยความคิดของเราได้ เพราะ


เรามีผู้บังคับบัญชา มีครูใหญ่ มีอาจารย์ใหญ่ มีหัวหน้าการ มี



ผู้อานวยการ ส่งเหล่าน้แหละ บางทีมันก็ทาให้ระบบงานของ


เราเสียเหมือนกัน ผู้บริหาร หรือผู้เป็นหัวหน้าหน่วยงานน้น

34
สาราสารกถา




สาคัญท่สุด โดยเฉพาะเร่องการจ่ายงานให้ลูกน้องทา เราจะ







ต้องคานงถงจตใจของลูกน้องด้วย นสาคญ ไม่ใช่ออกคาสงให้












ลูกน้องไปทาอย่างน้นอย่างน้ โดยไม่คานึงถึงจิตใจลูกน้อง แล้ว




ลูกน้องท่รับคาส่งไปมันสบายไหม? ถ้าต้องทางานตามคาส่ง


อย่างเดียว และงานนั้นก็จะไม่ดีด้วย

จึงมีหลักอยู่อย่างหน่งว่า ผู้บริหารหรือผู้เป็นหัวหน้างาน

เม่อจะให้ลูกน้องท่จะรับคาส่งของเราไปทางาน ทางานด้วยใจรัก













ทางานด้วยความเสยสละ กตองมวิธีการวา จะทาอยางไรใหเขา


ทางานให้เรา ด้วยความคิดของเขา ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ จะ

ต้องคิดว่า จะทาอย่างไรจึงจะทาให้ลูกน้องของเราทางานให้เรา


ด้วยความคิดของเขา ไม่ใช่ความคิดของเรา
เพราะเราจะเห็นได้ว่า คนท่จะรักงาน คนท่จะมีความ



รบผดชอบต่อการงานจรงๆ มอย่ประเภทเดยว คอ งานทเขา








คิดจะท�าเอง หรืองานที่เขาท�าด้วยความคิดของเขา ใครก็ตาม


ถ้าทางานอะไรด้วยความคิดของตัวเอง งานน้นจะถูกทาด้วย


ความรัก และงานน้นจะได้รับความรับผิดชอบ จากการกระทา



อย่างดีท่สุด ตรงน้สาคัญ เฉพาะผู้บริหารจาไว้ ไม่มีใครหรอก




ท่จะทางานตามคาส่งด้วยใจรัก ด้วยความเต็มอกเต็มใจ งานท ี ่



เราจะทาด้วยความเต็มอกเต็มใจ มีอยู่อย่างเดียว คืองานท่เรา




คิดจะท�า เราตองการจะใหเขาท�าตามค�าสั่งของเรา เราตองหา
วิธีการว่า จะท�าอย่างไรให้เขาคิด มันมีอยู่ตรงนี้เท่านั้นเอง

35
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)







ฉะนน ขอให้จาไว้ได้เลยว่า จะทาอย่างไรให้เขาทางานให้เรา


ด้วยความคิดของเขา เด็กๆ ก็เหมือนกัน เราเป็นครูบาอาจารย์



เม่อจะให้เด็กๆ ทางานตามคาส่งของเรา จะเป็นกิจกรรมหรือ


งานอะไรก็ตาม วิธีการก็คือว่า จะทาอย่างไรให้เด็กๆ ทางาน



ช้นน้นด้วยความคิดของแกเอง อย่างความมุ่งหมายของวงการ


ศึกษาของเราท่ว่า สอนเด็ก ให้คิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็น
เพราะอะไร? ก็เพราะตัวคิดตัวเดียวเท่าน้น ถ้าตัวคิด มันไม่คิด

จะท�าอะไร ก็ท�าแบบแกนๆ ไป


อย่างท่โบราณเขาบอก หรือในปัจจุบันน้ เราก็ยังพูดกัน
ประเภทท่เรียกว่า เช้าชาม เย็นชาม ภาวะอย่างนี้มันเกิดข้นมา




ได้อย่างไร? แบบระบบราชการของเราน้ ทางานกันทุกหน่วยงาน

เราจะได้ยินคาว่า ทาพอให้หมดไปวันหน่งๆ ภาวะเช้าชาม เย็น


ชามนน เกิดจากความร้สึกไม่สบายในการทางาน และท่รู้สก








ไม่สบาย ก็เพราะงานช้นน้น ตัวเองไม่ได้คิดว่าจะทา แต่ทาด้วย


เสียไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถปลุกความคิดขึ้นมาได้ว่า งานชิ้นนี้


ต้องให้เขาคิดทาด้วย ถ้าเขาคิดทาด้วย ไม่ว่างานอะไรร้อย
แปดพันอย่าง จะยากขนาดไหน จะไม่มีความล�าบากอะไรเลย
ส�าหรับคนที่คิดท�า



เพราะฉะน้น ก็สรุปกันแค่น้ว่า การทางานอย่างไร ให้ม ี
ความสุข ให้มีความสบาย ก็หมายความว่า จะต้องทางานด้วย


ใจรัก การทางานด้วยใจรัก ก็คือทาด้วยความคิดของตัวเอง


36
สาราสารกถา











งานอะไรกตาม ถาหากเราไมไดคดของเราเอง จะไปทาอยางไร
ก็ไม่มีความสบาย
คราวน้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ในแต่ละวันๆ น้น เราคิดจะ


ทางานกนบ้างหรือเปล่า หรือว่าเราทาไปตามแกนตามความร้สึก





ท่เสียไม่ได้แบบเช้าชามเย็นชาม ถ้าทาอย่างน้ ชาติท้งชาติก็ไม่มี







ความสบาย แต่ถ้าเราคิดว่า วันน้เราจะทางานช้นน้ให้สาเร็จ




ให้บรรลุเป้า เราทาไปเถอะ ย่งทาย่งสบาย เพราะฉะน้น จะต้อง


ทางาน ด้วยความรัก ด้วยความคิดของตัวเอง แล้วงานทุกชนิด

จะส�าเร็จ และเราก็จะมีความสุขในการท�างาน


ท้ายท่สุดน้ ก็ขออานวยอวยพรให้ครูบาอาจารย์ทุกท่าน

ตลอดท้งเจ้าหน้าท่ทุกคนท่มาร่วมในงานวันครูวันน้ ขอให้




ทุกท่านมีความสุข มีความเกษมสวัสดี พบแต่สรรพส่งอันเป็น

มิ่งมงคล จงทุกสิ่ง ทุกประการเทอญ.

ธรรมะ


กับกำรครองเรือน









ขอศุภมงคลความดีความงามท้งหลายท้งปวง จงบังเกิดม ี

แด่ท่านผู้ชมและผู้ฟังทุกท่าน


ก่อนอ่น อาตมภาพขออนุโมทนากับกองทัพบก ท่ได้ให้


โอกาสแก่พระมาเผยแพร่ธรรมะคาส่งสอนขององค์สมเด็จ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับว่าเป็นการกุศลอย่างย่ง ด้วยประเทศไทย


ของเรา มีสถาบันหลัก ๓ สถาบันด้วยกัน คือ ชาต ศาสนา





พระมหากษัตรย์ สถาบนหลกทง ๓ ประการน ศาสนาเป็น


สถาบันหน่ง การท่กองทัพบกได้ให้โอกาสมาเผยแพร่ธรรม



ในรายการพุทธประทีป จึงถือได้ว่าเป็นการช่วยทานุบ�ารุงพระ

พุทธศาสนา เผยแพร่พระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจาชาต ิ
ของเรา
* บรรยายในรายการพุทธประทีป ณ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง ๕
เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๖ เวลา ๐๘.๐๐ น.

38
สาราสารกถา







สาหรับธรรมะซ่งจะได้นามาพูดคุยให้ฟังในวันน้ ตามหัวข้อ



ท่กาหนดก็คือ ธรรมะกับการครองเรือน ธรรมะก็หมายถึง

หลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เม่อเราจะพูดถึงธรรมะ

กับการครองเรือนแล้ว ธรรมะในท่น้ ก็จะต้องหมายถึงธรรม ๒


ประการ น้นก็คือ ธรรมในจิตใจของแต่ละบุคคล และธรรม



ท่เป็นจริยธรรม ก็คือในรูปธรรม หรือท่เป็นพฤติกรรมในการ
กระท�าของแต่ละบุคคล ซึ่งออกมาจากคุณธรรมทางด้านจิตใจ


จะเห็นได้ว่า ธรรมะน้นมีส่วนสาคัญเก่ยวข้องกับทุกส่งทุกอย่าง


ในฐานะที่จะช่วยให้บังเกิดสิ่งที่ต้องการแก่ทุกคน


วันน้ จะพูดถึงธรรมะกับครอบครัว เม่อพูดถึงครอบครัว
แล้ว ก็หมายถึงคนท่ได้แต่งงานแล้ว เราเรียกกันว่า คนมีครอบครัว

ถ้าไม่ได้แต่งงานอย่างอาตมา ก็ถือว่า ไม่มีครอบครัว แต่ความ









หมายท่เป็นหวข้อเร่องในวันน หมายถงสมาชกในครอบครว
ธรรมะกับครอบครัว หมายถึง ธรรมะท่สมาชิกในครอบครัวจะ

พึงประพฤติปฏิบัติต่อกันนั่นเอง
ู่
ครอบครัวมีอย ๒ ระดับ คือ ระดับท ๑ ได้แก่ ครอบครัวใหญ่


หมายถึงประเทศชาติท้งหมดท่เราอยู่รวมกัน เรียกว่าครอบครัว



ใหญ่ เป็นหน่วยหน่งของประชาคมโลก แต่ครอบครัวใหญ่น้น อาจ

จะไม่ต้องพูดถึง เพราะในรายการท่กาหนดในวันน้ ต้องการให้















พดถงครอบครวเลก คอครอบครวทอาศยอยแตละบาน แตละ


ครัวเรือนนั่นเอง

39
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ธรรมะกับครอบครัว มีหลายรูปแบบหลายฐานะ ธรรมะ

ในฐานะท่เป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล จะพึงนาไปประพฤติปฏิบัต ิ










กมสวนหนง ธรรมะทแตละบคคลจะนาไปประพฤตปฏบตแกกน








เช่น ในครอบครัวมีพ่อ มีแม่ จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อลูก ลูก
ก็ประพฤติปฏิบัติต่อพ่อ ต่อแม่



แต่ธรรมะในฐานะท่จะพึงนาไปเป็นหลักธรรมประจาตัว



ของแต่ละบุคคลน้น ในวันน้จะอัญเชิญธรรมะสาหรับครอบครัว
โดยตรง ซ่งมาจากพระราชดารัสขององค์พระบาทสมเด็จ



พระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขแห่งชาติของเรา ซ่งได้ทรง
พระราชทานไว้เมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว ในพระราชด�ารัสนั้นมีว่า


(๑) การรู้จกรักษาความสัตย์ ความจรงใจต่อตนเอง ท่จะ

ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
(๒) การรู้จักฝึกใจตนเอง ข่มใจตนเองให้ประพฤติปฏิบัต ิ
อยู่ในความสัตย์ ความดีนั้น
(๓) การรู้จักอดทน อดกล้น และอดออม ท่จะไม่


ประพฤติล่วงความสัตย์สุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด
(๔) การรู้จักละวางความช่ว ความทุจริต และสละประโยชน์


ส่วนน้อยของตน เพ่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง
น่เป็นธรรมะ ซ่งในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ฆราวาสธรรม


คือธรรมะกับการครองเรือน องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ได้ทรงนามาพระราชทานให้แก่พวกเราทุกคน ท่อยู่ในผืนแผ่นดินน ้ ี


40
สาราสารกถา






โดยพระองค์มีความเช่อม่นว่า ถ้าทุกคนในแผนดนน ประพฤต ิ








ปฏิบัติตามหลักธรรมท้ง ๔ ประการน้ จะทาให้ครอบครวม ี








ความเจรญ มความมันคง และทาใหประเทศชาตมความเจรญ
มีความมั่นคงด้วย


เพราะฉะน้น ธรรมะท่เรียกว่า ฆราวาสธรรม ซ่งเป็น




พระราชดารัสตามท่ได้กล่าวมาแล้วน้ จึงเป็นเร่องทพวกเรา



ทุกคนต้องนาไปประพฤติปฏิบัติกันตลอดไป เราจะเห็นได้ว่า

เป็นธรรมะที่ส�าคัญจริงๆ

ประการแรกท่ทรงตรัสไว้ว่า ให้ทุกคนมีสัจจะ คาว่า สัจจะ

ความหมายก็คือมีความตั้งใจ เมื่อพูดถึงความตั้งใจก็เป็นที่รู้จักกัน




โดยท่วไปว่า เป็นจุดเร่มต้นท่ทาให้ชีวิตของเราไปสู่จุดหมาย



ปลายทางตามท่ต้องการได้ นับว่าเป็นส่งท่สาคัญท่สุดเพราะว่า










ทกสงทกอย่างทมขนในโลกน เกดจากความตงใจของคน ถา













ไม่มีความต้งใจ จะเห็นได้ว่า ส่งต่างๆ ในโลกน้ มกเหมอนไม่ม ี


ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ วันน้เราเดินออกจากบ้านโดยไม่ต้งใจว่า
จะไปท่ไหน ลองคิดดูเถอะ ต่อให้เราเดินไปตลอดปีตลอดชาต ิ







กจะไม่ถงไหนเลย แต่ท่มสถานทให้เราไป มกิจกรรมให้เราทา


ก็เกิดจากความตั้งใจของเรา


เพราะฉะน้น ความต้งใจจึงเป็นส่งสาคัญท่สุด เป็นธรรมะ




ประการแรก อย่างน้อยให้พวกเราทุกคนมีความต้งใจท่ดี ต้งใจ



41
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)














ทางาน ประกอบอาชพดวยความขยนขนแขง ลวนอยในสจจะ
ข้อนี้ทั้งนั้น


แต่ท่เป็นพระราชดารัส พระองค์ทรงตรัสเน้นตรัสยาให้


เห็นความสาคัญ คือ ให้เห็นความหมาย โดยเฉพาะว่า การรู้จัก

รักษาความสัตย์ คือการรู้จักรักษาความต้งใจท่ดี ในอันท่จะ




ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งท่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม ทรงเน้น
๒ อย่าง คือ ประโยชน์ และความเป็นธรรม
เม่อทุกคนเกิดมาต่างก็มีความต้งใจ มีความอยากได้ด้วยกัน


ท้งน้น ถ้าเราต้งใจคิดแต่เพียงว่าจะเอาประโยชน์ตามท่เรา





ต้องการ โดยไม่คานึงถึงความเป็นธรรม ก็จะไม่เกิดความด ี


ความงาม เพราะประโยชน์ท่เราจะพึงได้ ไม่ว่าจะเป็นส่งใดๆ
ต้องได้มาจากการเสียของผู้อื่น คือมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย
เพราะฉะน้น เราจะได้ประโยชน์อะไร เราต้องคานึงถึงผู้ท ่ ี



จะเสียประโยชน์ให้แก่เรา ไม่มีอะไรเลยท่ทุกคนได้มา โดยไม่ม ี
ฝ่ายหน่งฝ่ายใดต้องเสีย เช่น อยากมีบ้านมีเรือนใหญ่ๆ โตๆ อย

ู่
กว่าจะสร้างข้นมาได้ ธรรมชาติต้องเสยทรัพยากรให้แก่เรา เพอ




มาสร้างบ้านสร้างเรือนอยู่

เพราะฉะน้น เราอยากอะไร ต้องคานึงถึงความเป็นธรรม




อยากได้ของธรรมชาตกต้องคานงถงความสมดลของธรรมชาต ิ





ด้วย ถ้าไม่คานึงถึงก็ไปทาให้ธรรมชาติเสียความสมดุล แล้วจะ
เกิดผลกระทบในทางที่ไม่ดีไม่งามแก่เรา

42
สาราสารกถา





น่เป็นธรรมะข้อแรก การรักษาความสัตย์ ความจรงใจ




ต่อสังคม ต่อตนเอง ท่จะประพฤติปฏิบัติแต่ส่งท่เป็นประโยชน์

และเป็นธรรม ประโยชน์อะไรเราอยากได้ ต้องคานึงถึงความเป็น
ธรรม เพราะประโยชน์น้นๆ เราต้องได้มาจากการเสียของคนอ่น


และของส่งอ่นๆ ต้องพยายามให้เกิดความพอใจท้ง ๒ ฝ่าย คือ



ฝ่ายผู้ได้และฝ่ายผู้เสีย อย่างน้จึงเรียกว่า เป็นประโยชน์และ

เป็นธรรม

การท่เราจะรักษาความสัตย์ให้เป็นไปตามน้นได้ ต้องอาศัย


หลักธรรมข้อท่ ๒ คือ ต้องรู้จักฝึกใจตนเอง ข่มใจตนเอง
ถ้าเราไม่ฝึกใจตนเอง ไม่ข่มใจตนเอง เพราะใจเราแต่ละคนๆ



บางทีอยากได้ข้นมาก็ไม่ได้ นึกว่าส่งท่อยากได้น้นจะมีผลกระทบ


ให้เกิดความเสียอะไร แก่ใครบ้าง ก็ต้องพยายามฝึกใจตนเอง


ให้อยากได้ในส่งท่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม ต้องพยายาม
ข่มใจตนเองให้อยู่ในกรอบนี้



การฝึกใจ การข่มใจ บางทีก็รู้สึกว่าลาบาก เพราะเร่องของ

การฝึกใจ ไม่ใช่เร่องสบาย จะทาอะไรให้เกิดผลท่ดีงาม หลัก


ส�าคัญที่สุดอยู่ที่การฝึกใจ เราจะสังเกตเห็นได้ว่า ในขณะนี้เรา




ยังสนอกสนใจเร่องกีฬาซีเกมส์ ท่กาลังแข่งขันกันอยู่ท่ประเทศ

สิงคโปร์ นักกีฬาแต่ละคนท่จะไปแข่งขันได้ต้องผ่านการฝึกซ้อม
กันทั้งนั้น ถ้าไม่ฝึกไม่ซ้อมก็ไปแข่งขันไม่ได้

43
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





เพราะฉะน้น การท่เราฝึกใจตนเอง ข่มใจตนเอง จึงเป็น





เร่องสาคัญ แม้จะลาบาก ถ้าหากเราต้องการเป้าหมายท่ดีให้แก่
ชีวิตของเราแล้ว เราต้องพยายามฝึกใจให้ได้ เพราะการฝึกตนน ้ ี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ความสาคัญมาก จึงตรัสเป็นสุภาษิต


บทหน่งว่า ทนโต เสฏฺโ มนุสฺเสส แปลเป็นความง่ายๆ ว่า ผ ู้


ฝึกตนได้ย่อมเป็นคนเหนือคน















เราจะพาชวตไปสจดหมายตามท่ตงใจไว้ สงท่สาคญท่สด


ประการหน่งคือ การฝึกตนอันเป็นคุณธรรมข้อท่ ๒ การฝึกตน


ทายาก ทาลาบาก ถ้าหากว่าไม่มีความอดทน ไม่มีความอดกล้น






กลัวความลาบาก เราก็ไม่สามารถท่จะฝึกตนให้ดีตามท่ปรารถนาได้



เพราะฉะน้น ส่งท่จะเป็นพ่เล้ยงให้การฝึกตนของเราเป็นไป





ไปในทางท่ดีน้น คือ ขันต คือ ต้องมีความอดทน การอดทน
ก็หมายถึงว่า เราอดทุกส่งทุกอย่างท่เป็นอุปสรรคแก่การฝึกตน


อดไปๆ เกิดความรู้สึกอึดอัด-ขัดข้องข้นมา ก็ต้องพยายามอดกล้น




ไว้ ไม่แสดงออก ถ้ากล้นไม่ไหวกล้นไม่อยู่ ก็ต้องพยายามให้ออก

ทีละน้อยๆ ผ่อนทีละน้อย อย่างน้เป็นต้น เพราะฉะน้น ความ


อดทน อดกล้น อดออม จึงเป็นหลักธรรมสาคัญท่สุด ท่ประคอง



ให้การฝึกตนประสบผลส�าเร็จได้ นี่เป็นคุณธรรมประการที่ ๓


ประการท่ ๔ คือ การรู้จักละวางความช่ว ความทุจริต
และสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนให้กับประโยชน์ส่วนใหญ่

44
สาราสารกถา













ของบานเมอง เปนสงสาคญ เพราะหากไมมความเสียสละ กไม ่






สามารถทาอะไรตามทตองการได ไม่สามารถฝึกตนได ไม่สามารถ



อดทนได้ ต้องอาศัยความรู้จักเสียสละ เสียสละอย่างหน่งเพ่อได้
อีกอย่างหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น





ทง ๔ ประการน เรยกว่า ฆราวาสธรรม เป็นธรรม
สาหรับผู้ครองเรือนทุกๆ คน พึงนาไปประพฤติปฏิบัติให้เกิด




ความม่นคง ในครอบครัวและประเทศชาติ น้เป็นเร่องย่อๆ ท ่ ี

พูดให้แก่สาธุชนได้ฟัง ก็ขอพูดไว้เพียงเท่านี้.

อะไรคือควำมถูกต้อง













ศภมสด ขอความดความงาม จงบงเกดมแก่ทกท่าน





ธมฺมสฺสวนกาโล อยมฺภทนฺตา ท่านผู้เจริญท้งหลาย โอกาสน้เป็น








โอกาสฟงธรรมของทานทงหลาย ตามรายการของสถานไทยทวส ี

ช่อง ๓ และธรรมะท่จะพูดให้ฟังในวันน้ ทางเจ้าของรายการ

ได้ก�าหนดหัวเรื่องให้ว่า อะไร? คือความถูกต้อง









อะไร? คือความถูกต้อง เปนหวเรองธรรมะทจะพดใหฟง
และก่อนท่จะได้ฟังรายละเอียดของเร่องนี้ ก็ใคร่จะขอช้แจง




ทาความเข้าใจเก่ยวกับเร่องความถูกต้องสักเล็กน้อย เพราะว่า




เราจะรู้ทุกอย่างในโลกนได้ เราจะต้องรู้จากส่งเปรยบเทยบ ซ่ง




ตรงกันข้าม


เมอเรากาหนดหัวเรองว่า อะไร? คอความถูกต้อง การ






จะกาหนดว่าเป็น ความถูกต้อง ได้น้น เราจะต้องเอาความ
ถูกต้องมาวางคู่กันไว้กับส่งตรงกันข้าม ส่งอันตรงกันข้ามกับ


* แสดง ณ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓ รายการธรรมสวนะ พ.ศ.
๒๕๒๗

46
สาราสารกถา






ความถูกต้อง คืออะไร? ก็คือ ความผิดพลาด น่นเอง น่พูด
อย่างง่ายๆ ตอบอย่างง่ายๆ ว่า ความผิดพลาด ตรงกันข้าม









กบความถกต้อง ความถกต้องคือสงทไม่ผด ไม่พลาด พูด


เพียงแค่น้เร่องก็คงจะจบ แต่มันยังไม่จบ เพราะเราจะต้องรู้
ถึงรายละเอียดต่อไปอีกว่า เร่องของความสับสนวุ่นวายต่างๆ


ท่เกิดข้นในสังคมยุคน้และยุคไหนก็ตาม มันเกิดจากความ










ไม่ถกต้องทงนน ถ้าทกหน่วยของสงคม หรอแต่ละบคคลใน




สังคม ดาเนินชีวิต ดาเนินธุรกิจไปในทางท่ถูกต้อง สังคมก็จะ
ไม่มีความสับสน สังคมก็จะไม่มีความวุ่นวาย
ลักษณะควำมถูกต้อง

เม่อเร่องของความถูกต้องเป็นเร่องจาเป็นท่เราจะต้องรู้










ฉะน้น เร่องท่เราจะต้องรู้จักความถูกต้องน้น ก็มีส่งท่เราจะต้อง


คิดเป็นเบ้องแรกก่อน เพราะความถูกต้องน้นถ้าจะแยกประเภท
ก็ควรแยกประเภทออกได้ ๒ ลักษณะ คือ
๑. ความถกต้องเฉพาะเร่อง เฉพาะกรณี เฉพาะ


กาลเทศะ
๒. ความถูกต้องที่เป็นสากล คือยอมรับกันทั้งโลก

พูดถึงความถูกต้อง ๒ ลักษณะน้ ถ้าจะแยกแยะประเด็น


รายละเอียดแล้ว ท่เป็นความถูกต้องเฉพาะเร่อง เฉพาะกรณแล้ว


47
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




มีประเด็นท่จะต้องพูดมากมาย เราจะพูดกันเป็นวันเป็นคืนก ็



พูดกันไม่จบ เพราะความถูกต้องเฉพาะเร่องเฉพาะกรณีน้น ไม่ใช่

เป็นความถูกต้องเสมอไป บางคร้งบางเวลาเป็นความถูกต้องใน


ยุคน้ แต่ไปอีกยุคหน่งก็อาจเป็นความผิดพลาดได้ หรือความ




ถูกต้องในบ้านน้เมืองน แต่เป็นความผิดพลาดในบ้านอ่นเมืองอ่นได้

ตัวอย่างง่ายๆ ความถูกต้องในบ้านเราเมืองเรา บางทีเป็น



ความผิดของบ้านอ่นเมืองอ่น คือมันอยู่ตรงกันข้ามน่นเอง อย่างเช่น










ความถกตองในเรองกฎจราจร บานเราเวลาขบรถกตองหลกซาย



แซงขวา อันน้เป็นความถูกต้องของบ้านเรา แต่ในบ้านอ่นเมืองอ่น
อย่างอเมริกา เขาขับรถตามกฎจราจรของเขา ต้องหลีกขวาแซง
ซ้าย จะเห็นได้ว่ามันตรงกันข้าม ทั้ง ๒ อย่างน้ก็เป็นความถูกต้อง



เหมือนกัน แต่ว่าเป็นความถูกต้องเฉพาะท่ เฉพาะกาลเทศะ ท่น ่ ี


ถูกต้อง แต่ไปท่โน่นกลายเป็นความผิด อันน้ถือได้ว่า เป็นความ
ถูกต้อง เฉพาะเรื่อง เฉพาะกรณี
ผิด-ถูก ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละเรื่อง


คราวน้จะว่าถึงรายละเอียดของความถูกต้อง เพ่อจะให้



เข้าประเด็นท่เราทุกคนจะพึงเข้าใจ ข้อน้จะให้คานิยามอย่าง

ง่ายๆ ว่า ความผิดหรือความถูกต้องน้น ข้นอยู่กับเง่อนไข





ของแต่ละเร่อง เม่อเรากาหนดคานิยามว่า ผิดถูกข้นอยู่กับ



48
สาราสารกถา






เง่อนไขของแต่ละเร่อง อย่างนี้แล้ว เราก็สามารถจะกาหนดความ

ถูกต้องต่อไปได้อีกว่า ความถูกต้องนั้นก็มีหลายระดับ คือ
๑. ความถูกต้องตามเงื่อนไขของศาสนา

๒. ความถูกต้องตามเงื่อนไขของจารีตประเพณี

๓. ความถูกต้องตามเงื่อนไขของกฎหมาย


ถ้าหากว่าเราเข้าใจเง่อนไขต่างๆ เหล่าน้แล้ว เราก็สามารถ


จะหาข้อยุติคาว่า ถูกต้อง ได้โดยไม่ผิดผลาด เพราะเร่องท ี ่



สับสนวุ่นวายกันทุกวันน บางทีเราจะเห็นสาเหตุได้ว่า เราไมเขาใจ













เงอนไขของเร่องทเกิดข้นนน เราเอาความถูกต้องของเงอนไข


อย่างหน่ง ไปจับความถูกต้องของเง่อนไขอีกอย่างหน่ง บางท ี



มนเข้ากันไม่ได้ กทาให้เกิดถกเถยง เกิดความวนวายหาข้อยต ิ
ุ่



อะไรต่างๆ ไม่ได้


แต่ถ้าเราเข้าใจเง่อนไขตามท่กล่าวนี้ เราสามารถแยก

ประเดนได้ว่า เรองนเกดขนตามเงือนไขของกฎหมาย เราก ็









สามารถเอาความถูกต้องทางกฎหมายมากาหนดได้ ถ้าเป็น

เร่องท่เกิดข้นตามเง่อนไขทางจารีตประเพณี เราก็สามารถ



เอาความถูกต้องทางจารีตประเพณีมากาหนดได้ ถ้าเป็น

เร่องทางศาสนา เราก็สามารถเอาความถูกต้องทางศาสนา



มากาหนดได้ น้เป็นเร่องท่เราต้องทาความเข้าใจว่า ความ



ถูกต้อง มีประเภท มีขั้นตอน มีลักษณะอย่างนี้

49
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




สาหรับวันน้ก็จะไม่พูดถึงความถูกต้องเฉพาะกรณี มัน



ต้องแยกประเด็นมากมายตามท่ได้กล่าวไปแล้ว และจะไม่พูดถึง







ความถกตองตามเงอนไขตางๆ ทไดกลาวมาแลว จะพดเฉพาะ




ความถูกต้องที่เป็นความถูกต้องสากล



เม่อจะพูดถึงความถูกต้องท่เป็นสากลน้น ท่านผู้ฟังอาจ



จะคดว่า ผ้พดจะมาสถาปนาตนเป็นผ้กาหนดความถกต้องให้



กับสังคม โปรดอย่าเข้าใจอย่างนั้นเป็นความคิดที่จะเสนอแนะ
มีเหตุมีผลอย่างไร ก็ขอให้ใช้สติใช้วิจารณญาณไตร่ตรองไป
ดีงำม-ท�ำง่ำย-ถูกใจคน
เป็นเกณฑ์วัดควำมถูกต้องสำกล

การที่จะก�าหนดกันว่า เป็นความถกต้องสากล นั้น เรา



กน่าจะเอาหลักทางศาสนามาเป็นเคร่องวัด เป็นมาตรฐาน เม่อ

จะเอาหลักทางศาสนามาเป็นเคร่องวัด เป็นมาตรฐานแล้ว ก ็
พอจะสรุปได้ว่า ความถูกต้องสากลน้น ต้องเป็นความถูกต้อง


ท่เม่อช้แจงออกไปแล้ว เป็นท่ยอมรับกันท้งโลก จึงจะเรียกว่า




เป็นความถูกต้องสากล ไม่ใช่ยอมรับกันเฉพาะพวกเรา ไม่ใช่
ยอมรับกันในบ้านในเมืองเรา ต้องมีเหตุผลท่สามารถยอมรับ

กันได้ทั้งโลก จึงจะเรียกว่า เป็นความถูกต้องสากล

การท่จะเอาหลักทางศาสนามาเป็นเคร่องวัด เป็นมาตรฐาน




ความถูกต้องสากลนน โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา ก็มหลก


50
สาราสารกถา




คาสอนท่เราจะพึงพิจารณาให้เห็นเหตุเห็นผล และยอมรับกัน


โดยทั่วไปว่า เป็นความถูกต้องได้


อะไร? คือความถูกต้อง เม่อจะเข้าประเด็นน้ ก็ต้อง


พูดว่า ส่งใดก็ตาม ท่ดีงาม ทาง่าย และถูกใจคน ส่งน้นเป็น








ความถูกต้อง ดังน้น ส่งท่จะกาหนดได้ว่า เป็นความถูกต้อง
สากลนั้น จะต้องประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการนี้ คือ
ดีงาม
ท�าง่าย
ถูกใจคน

เราต้งประเด็นอย่างน้ และค่อยพิจารณาไปทีละน้อยๆ





เราก็จะเห็นได้ว่า ส่งท่เราจะกระทาลงไป ส่งท่เราจะแสดงออกไป




ต่อผู้อน ตามหลักทางศาสนา โดยเฉพาะท่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ได้ทรงสอนไว้น้น ถ้าต้องด้วยลักษณะ ๓ ประการน้แล้ว ก็จะ


ถือได้ว่า เป็นความถูกต้องสากลจริงๆ
ดีงาม-ทาง่าย-ถูกใจคน คืออะไร? เราต้องหาข้อเปรียบเทียบ



เอามา อย่างท่พระพุทธเจ้าทรงส่งสอนธรรมะ บัญญัติธรรมะ


ให้ประพฤติปฏิบัติกันท่วไปน้น ก็เพ่อความถูกต้องสากลท้งน้น




เพราะธรรมะท่พระองค์ทรงสอนให้ประพฤติปฏิบัติจะมีลักษณะ
๓ ประการนี้ทั้งนั้น

ลองยกตัวอย่างง่ายๆ เอามาเปรียบเทียบดู อย่างท่ทาง
ศาสนาสอนให้เรามีเมตตาต่อกัน น้ยกตัวอย่างสอนให้เราม ี


51
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




เมตตา สอนให้มีความรักต่อกัน มีความสมัครสมานสามัคคีกัน


เราก็ต้องต้งประเด็นถามตัวเองว่า ความรัก-ความเมตตาต่อกัน
เป็นส่งท่ดีงามหรือไม่ เราลองพิจารณาดูด้วยใจของเราเอง เรา



ก็จะเห็นได้ว่าความรักน้นเป็นส่งท่ดีงาม ความเมตตาเอ้ออาร ี





ต่อกัน เป็นส่งท่ดีงาม ไม่มีใครปฏิเสธเลย ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหน
ยอมรับว่า ความเมตตา ความเอื้ออารีต่อกันนั้น เป็นสิ่งที่ดีงาม
จริงๆ
แต่ถ้าเรามองเห็นความข้อนี้แล้ว เราก็สามารถจะหาสิ่งที่


ตรงกันข้ามมาวางคู่กันให้พิจารณาได้ เราไปนึกถึงส่งตรงกันข้าม
กับความรัก-ความเมตตา-ความเอ้ออารีต่อกันน้น ก็คือ ความโกรธ


-ความเกลียด-ความเห้ยมโหด เอาความโกรธกัน-ความเห้ยมโหด


ต่อกัน มาวางคู่กับความรัก-ความเมตตาต่อกัน แล้วให้เราพิจารณา

ดูด้วยใจของเรา เราก็สามารถจะตัดสินได้ว่า ระหว่างความรักกับ
ความโกรธ-ความเกลียด อันไหนดีงาม? เราก็จะตัดสินด้วยตัวเอง


ว่า ความรัก-ความเมตตาน้น เป็นส่งท่ดีงามเราก็จะรักกัน เมตตา


ต่อกัน ดีกว่าจะเหี้ยมโหดต่อกัน และประทุษร้ายกัน

เม่อเทียบกันแล้ว เราเห็นว่าดีงาม ก็จะเอาลักษณะข้อท



๒ มาปรับอีกว่า การท่จะแสดงความเมตตาต่อกัน การทจะ



แสดงความโหดร้าย-ประทุษร้ายชีวิตของกันและกันน้น ส่งไหน

ทาง่าย ส่งไหนทายาก เม่อวางคู่กันเข้าอย่างน้ เราก็จะเห็นได้ว่า






เมตตาเขาน้นทาง่าย ง่ายกว่าประทุษร้ายต่อเขา เพราะฉะน้น



52
สาราสารกถา




เมตตาเขา จึงเป็นสิ่งที่ท�าง่าย โกรธเขา เกลียดเขา ประทุษร้าย

เขา เป็นสิ่งที่ท�ายาก นี่เป็นลักษณะที่ ๒

ลักษณะท่ ๓ ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อเขา ความ

ช่วยเหลือเขา เป็นส่งท่ถูกใจเขาหรือไม่? กับความโหดร้าย ความ


โกรธ เกลียดเขา ถูกใจเขาหรือไม่? เรามาวางให้เลือกกันอย่างน ี ้

ก็สามารถจะตัดสินได้ด้วยตัวของเราเองว่า ความเมตตา ความ

ปรารถนาดีน้น เข้าถึงท่ไหน ก็ถูกใจท่นน เราเมตตาต่อใคร คนน้น






ก็ชอบเรา เราเมตตาต่อสิงสาราสัตว์ สิงสาราสัตว์ก็ไม่เกลียดเรา
เมตตาต่อต้นไม้ ต้นไม้ก็ไม่เกลียดเรา
เพราะฉะน้น ก็กล่าวสรุปเอาง่ายๆ ในช่วงโอกาสอันน้อยน ี ้



ว่า ความถูกต้องท่เป็นสากลน้น เป็นส่งท่ดีงาม ส่งท่ทาง่าย






ส่งท่ถูกใจคน อันใดก็ตาม เม่อเราทาไปแล้ว เป็นส่งดีงาม-






ทาง่าย-ถูกใจคน อันน้นคือความถูกต้อง พยายามเลอกสรร


พิจารณาดูคาสอนของพุทธองค์ ท่สอนให้ประพฤติปฏิบัต ิ

ทั้งหมดจะอยู่ในลักษณะ ๓ ประการนี้ทั้งนั้น

เพราะฉะน้น การทาก็ตาม การพูดก็ตาม การคิดก็ตาม


ท่จะส่งผลให้กับผู้อ่น ถ้าประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการน ี ้

แล้วก็สามารถจะตัดสินได้ว่า ส่งน้นเป็นธรรม ส่งน้นเป็น





ความถูกต้อง และเป็นความถูกต้องสากลท่สามารถยอมรับกันได้
ทั้งโลกจริงๆ ก็หวังว่าทุกท่าน คงพอจะเข้าใจ

53
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




สาหรับรายการท่พูดในวันน้ ถ้าหากจะพูดถึงความถูกต้อง



ในแง่รายละเอียดพิสดาร ท้งเป็นความถูกต้องเฉพาะส่วน และ













เปนความถกตองสากลนน จะตองใชเวลาอกมาก เปนวนเปนคน

ไม่รู้จบ วันน้มีเวลาจากัดขอพูดเพียงเท่าน ขอความสุขสวัสด จงม ี




แก่ทุกท่าน เจริญพร ฯ

วิชาเป็นอ�านาจ มารยาทเป็นเสน่ห์

มำไหว้ครูกันเถอะ









เม่อแรกเกิด เราทุกคนนับเป็นแขกแปลกหน้า ไม่มีใคร

รู้จักเราเลย และเราเองก็ไม่รู้จักใครหรืออะไรเลยเหมือนกัน



เท่ากับว่า เราเป็นตัวโง่ตวหน่งทปรากฏข้นมาในโลก อนห่อห้ม





ไว้ด้วยความโง่ ถ้าพ่อ-แม่ไม่ต้งช่อให้ เราก็คงเป็นตัวโง่ท่ไม่มีใคร





รู้จักอยู่น่นเอง เขารู้จักเราก็เพราะเรามีช่อ เรารู้จักเขาก็เพราะ


เขามีช่อเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีการต้งช่อกัน ก็คงไม่รู้ว่า ใครเป็น


ใคร หรืออะไรเป็นอะไร คงยุ่งยากมาก ท้งท่มีช่อกันแล้วยังอดยุ่ง


ไม่ได้ เพราะไม่ค่อยระวังรักษาช่อกัน ใครเป็นคนคิดระบบการ


ตั้งชื่อข้นมาใช้กัน คงสุดวิสัยท่จะคิดค้นกันได้ ยกให้เป็นบรม


ครูคนแรกก็แล้วกัน เม่อได้ช่อมาแล้วก็ระวังรักษากันไว้ให้ด


มิฉะนั้น จะเสียชื่อ

* ลงพิมพ์ในหนังสือท่ระลึก พิธีครอบ-ไหว้ครูดนตรี นาฏศิลป์ และ

ศิลปะการช่าง โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จังหวัดสุพรรณบุรี เม่อวันท ่ ี
๓ กันยายน ๒๕๓๕

56
สาราสารกถา




เราได้ช่อเป็นอะไรกันบ้าง สารวจตัวเองดู เป็นพ่อแม่-


เป็นลก เป็นครูบาอาจารย์-เป็นศิษย์-เป็นศลปิน-เป็นนักการ


เมือง-เป็นนักบวช-เป็นศาสนิกฯลฯ ถ้าประพฤติตนไม่สมศักด์ศร ี

กับช่อท่เป็น ก็มีช่อเสียงเป็นท่ดูหม่นเหยียดหยาม ของกันและกัน






ประเพณการไหว้คร ไม่วาจะในสายวชาใด นอกจากจะเปน




การแสดงความเคารพ ความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์แล้ว
ยังเป็นการประกาศตนยืนยันต่อฟ้าดิน ครูบาอาจารย์ และคน
ท้งหลายว่า จะเป็นศิษย์ท่ดีตลอดไป และจะประพฤติตนให้


สมศักด์ศรีกับช่อท่ได้เป็น จึงเป็นประเพณีอันดี ซงควรอนุรักษ์





และส่งเสริมให้กระท�ากันในทุกสถาบันและทุกสาขาวิชาการ
ชื่อเสียงของคน ก็เหมือนดนตรี
ถูกเขย่าเป่าตี ดีดสีจึงดัง

คุณสมบัตินักเผยแผ่









ท่านพระธรรมทูตทุกรูป


ผมมีความยินดีท่ได้มีโอกาสมาให้ข้อคิดเห็นกับพระธรรมทูต



ทุกท่าน ในวันน้ช่วโมงน ทางผู้จัดได้กาหนดให้มาพูดเร่อง คุณสมบัต ิ



ของนักเผยแผ่



ก่อนท่ผมจะพูดเก่ยวกับคุณสมบัต ก็อยากจะเรียนถวายว่า


นักเผยแผ่ ก็คือนักสอนศาสนาน่นเอง เพราะส่งท่เราจะนาไปเผยแผ่


ก็คือ พระศาสนาของพระพุทธเจ้า และนักเผยแผ่พระศาสนา
จริงๆ ท่มีผลต่อเน่องให้เราได้รับประโยชน์กันอยู่ทุกวันน้ ก็เกิด



จากพระธรรมทูตทั้งนั้น

ถ้าเราดูประวัติพระศาสนาท่พวกเรานับถือ และเข้ามา
บวชกันอยู่นี้ ก็เกิดจากนักเผยแผ่ คือพระธรรมทูต อย่างน้อย





กเกดจากพระโสณะและพระอตตระ สองพระธรรมทตร่นแรก


* บรรยายในการอบรมพระธรรมทูต ณ วัดปากนา ภาษีเจริญ กรุงเทพ
มหานคร เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๖


Click to View FlipBook Version