8
สาราสารกถา
�
ี
ั
จรงๆ แล้ว พระพทธศาสนาของเรามความสาคญทสด
่
ี
ิ
ุ
ุ
แต่ท่ทุกโรงเรียนไม่ได้จัดให้มีการอบรม-การเรียน-การสอน-การ
ี
ื
ี
สอบ-การวัดผลกันอย่างน้ เน่องจากผู้รับผิดชอบในสถานศึกษา
�
ี
น้นๆ มองไม่เห็นความสาคัญ ท่มองไม่เห็นความสาคัญ เพราะ
�
ั
ไม่ได้มอง เพราะไม่ได้รับการศึกษามาโดยตรง หรือไม่สนใจเร่องน ี ้
ื
ก็มีแค่นี้
เพราะฉะน้น ต้องขออนุโมทนากับท่านอาจารย์ไชยสิทธ ์ ิ
ั
ู
ี
ไกรคุณาศัย และครอาจารย์ทุกคนของโรงเรียน ท่มองเห็น
ึ
�
ความสาคัญของพระพุทธศาสนา ซ่งมีอยู่จริงๆ แล้วพยายามจะ
�
ี
สอดแทรกความสาคัญน้ให้แก่เด็กๆ ซ่งเข้ามาเรียนท่โรงเรียนน ี ้
ี
ึ
ได้รับทราบและมองเห็น จึงได้ให้โอกาสกับทางคณะสงฆ์
ื
ิ
เพอจะได้ส่งพระ ส่งเณร มาช่วยให้การศกษาอบรมวชาทาง
่
ึ
พระพุทธศาสนา ซ่งได้ทาติดต่อกันมาเป็นเวลา ๒ ปีจึงเป็นเร่อง
�
ื
ึ
ที่ต้องขออนุโมทนาด้วยอย่างจริงใจ
บดน้ การอบรมวิชาทางพระพุทธศาสนาของสถาบน
ั
ั
ี
�
แห่งน้ ได้ดาเนินมาถึงจุดหมายปลายทางของการศึกษาอบรม
ี
แล้ว และได้ประกอบพิธีปัจฉิมนิเทศ คือปิดการอบรมในวันน ้ ี
ขออนุโมทนากับทุกท่าน ทุกฝ่าย และทุกคน ท่ให้ความร่วมมือ
ี
ร่วมใจกันด้วยดีตลอดมา
้
ี
ท้ายท่สุดน ขออาราธนาคณพระศรีรัตนตรัย อันเป็นหลักชัย
ี
ุ
ทางพระพุทธศาสนา และคุณงามความดี บุญบารมีท้งหลายท้งปวง
ั
ั
9
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ิ
ุ
จงมารวมกันเป็นพลวปัจจัยสนบสนน ส่งเสรมให้อนุชนผู้เข้ารับ
ั
ั
การอบรมวิชาทางพระพุทธศาสนาในคร้งน้ทุกคนจงเป็นผู้มีจิตใจ
ี
�
ี
ี
ท่ดีงาม มองเห็นความสาคัญของพระพุทธศาสนา ท่จะนามา
�
�
ประพฤติ ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตน และนาวิชาที่ได้รับอบรม
ี
ไปน้ไปใช้ในการสอบธรรมศึกษา ให้บรรลุผลสมความมุ่งมาด
ปรารถนา ทุกประการเทอญ.
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ
จิตสงบสุขแท้ ทุกคน
จิตวุ่นจิตสับสน สุขลี้
มุ่งสุขหมั่นฝึกฝน จิตอยู่ เสมอนา
ตถาคตเพียงบอกชี้ อยากได้ ท�าเอง
วิชำดับทุกข์
ขอเจริญพรท่านผู้อานวยการ ท่านวิทยากร และครูสอน
�
วิชาพระพุทธศาสนา
ร้สึกดใจมากท่ได้มีโอกาสมาร่วมในการประชุมสัมมนา
ู
ี
ี
ี
ของครูบาอาจารย์ท่สอนวิชาพระพุทธศาสนาในวันน้ ดีใจเป็น
ี
พิเศษท่ได้รับอาราธนาให้มาเป็นวิทยากรองค์แรก ทางเจ้าหน้าท
ี
ี
่
ได้จัดให้มาช้แจงกับผู้ร่วมประชุม เก่ยวกับเร่องโครงการส่งพระ
ี
ื
ี
ไปช่วยสอนวิชาพระพุทธศาสนาตามโรงเรียนต่างๆ
ี
ื
ี
ก่อนท่จะได้พูดเร่องน้ อยากจะพูดคุย เป็นข้อคิดเล็กๆ
น้อยๆ เพ่อว่าจะเป็นแนวและเป็นกาลังใจให้ครูอาจารย์ท่สอน
�
ี
ื
วิชาพระพุทธศาสนา มีความมานะพยายามและความเข้มแข็ง
ท่จะปฏิบัติหน้าท่ให้ดีย่งข้นและก็จะได้มีความภาคภูมิใจว่า เรา
ี
ิ
ึ
ี
* คาบรรยายในการสัมมนาครูพระสอนวิชาพระพุทธศาสนา ณ อาคาร
�
ี
กรรณสูต โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จังหวัดสุพรรณบุรี เม่อวันท่ ๑๕
ื
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
12
สาราสารกถา
ี
ได้เป็นครูอาจารย์ในวิชาน้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกตัวเองว่า มีปมด้อย
ในหมู่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
วิชำพระพุทธศำสนำ ดับทุกข์ได้
ั
เพราะส่วนใหญ่ ครูสอนวิชาพระพุทธศาสนาน้น โดย
ั
ท่วๆ ไป บางทีเราก็มองกันว่า เป็นพวกท่กล้าประพฤติให้ล้าสมัย
ี
คนท่จะสมัครใจเต็มอกเต็มใจท่จะเข้ามาสอนในวิชาพระพุทธ-
ี
ี
ั
ศาสนาน้น อยู่ในระดับพวกครูอาจารย์ท่มีไอคิวตาๆ หรืออะไร
�
่
ี
ทานองน้น ท่ต้องมาสอนวิชาน้ เพราะเป็นวิชาท่ล้าสมัย รู้สึก
ั
ี
�
ี
ี
กันมาอย่างนั้นจริงๆ จนกระทรวงศึกษาธิการต้องพยายามปรับปรุง
ั
ุ
ิ
็
็
็
่
้
ี
อะไรตางๆ นานา ทปรบปรงกไมไดเกดจากความเตมอกเตมใจ
่
่
ั
ของกระทรวง แต่เกิดจากการบีบค้นของหลายๆ ด้าน จนกระทรวง
้
จริงๆ เองก็พยายามจะไม่ให้มีวิชาพระพุทธศาสนาด้วยซาไป
�
ดังที่เราได้รู้ได้ทราบกันโดยทั่วๆ ไป
ื
สาเหตุท่เป็นอย่างน้ ไม่ใช่เน่องมาจากว่า วิชาพระพุทธ-
ี
ี
ั
ศาสนาน้น เป็นวิชาท่คราครึล้าสมัย ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
�
ี
่
ความจริงที่ท�าให้วิชาพระพุทธศาสนาเราได้รับความสนใจน้อย
ี
ี
ั
ั
ื
น้น ก็เน่องจากว่า เราไม่ค่อยได้สนใจเท่าท่ควรในวิชาน้ ท้งๆ
ท่เราทุกคนรู้กันอยู่ว่า สถาบันท่ประกอบขึ้นเป็นชาติบ้านเมือง
ี
ี
ั
ของเรามีอยู่ ๓ สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษตรย ์
ิ
ั
และพระศาสนาน้น ก็เป็นหลักอันหน่งของชาติบ้านเมืองของเรา
ึ
13
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
ี
พระศาสนาในท่น้ ก็หมายถึงศาสนาพุทธ เพราะคนไทย
ส่วนใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะพวกเราท่เป็นครูอาจารย์สอนวิชาพระ
ี
ั
ั
พุทธศาสนาเท่าน้น ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธกันท้งน้น และ
ั
คาว่า “ศาสนา” ในองค์ประกอบของสถาบัน หมายถึงศาสนา-
�
ึ
ั
่
ื
ุ
็
ุ
้
ั
ื
ุ
พทธ ศาสนาพทธกคอศาสนาของพระพทธเจา ซงนบถอกนมา
ิ
ิ
แต่โบราณ จนปัจจุบันได้ตกทอดเป็นมรดกช้นสาคัญช้นหน่ง
ึ
�
ของพวกเรา
ปัญหามีอยู่ว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าท่เรา
ี
นับถือกัน ก็นบถอโดยจารีตประเพณี และธรรมเนยมท่สืบทอด
ี
ี
ั
ื
กันมาเป็นมรดก การนับถือศาสนาโดยจารีตประเพณีอย่างน ้ ี
ิ
ิ
ั
ุ
ี
ี
็
พวกเราจะมองไม่เหนว่า “ศาสนามคณค่าจรงๆ กบชวตเรา
อย่างไร? มีคุณค่าจริงๆ แก่สังคม อย่างไร?”
เราจะเห็นคุณค่าของศาสนาจริงๆ โดยเฉพาะพระพุทธ-
ั
ั
ศาสนา เราต้องนับถือโดยจิตใจ ถ้าเราได้ศึกษาโดยต้งอกต้งใจ
ยงไม่ต้องมาก แล้วเรากจะมองเหนเลยว่า ไม่มีวิชาใดในโลก
ั
็
็
ี
ื
ิ
ท่จะใช้เป็นเคร่องมือดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงและส้นเชิง
นอกจากวิชาของพระพุทธเจ้า เอาไปศึกษา เราจะเห็นจุดตรงน ้ ี
ปัจจุบันน้ โลกเรามีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
ี
ื
ี
ทางวิทยาการ และเทคโนโลยี ๑๐๘ ประการ ท่เราต่นเต้น
ื
ื
ื
ั
ยินดีปล้มอกปล้มใจ เม่อสามารถศึกษาความรู้ต่างๆ เหล่าน้นได้
ิ
้
ั
เรากเอาวชาความรู้ต่างๆ เหล่านนมาเสริมทฐิมานะของเรา
็
ิ
14
สาราสารกถา
ทาให้มีความรู้สึกท่เป็นอหังการกันมากมาย แต่ถ้าหันกลับไป
�
ี
ศึกษาจริงๆ แล้ว เราจะเห็นได้ว่า วิชาการท้งหมดในโลก จะเป็น
ั
ี
ในอดีตหรือในปัจจุบัน ท่เราก้าวหน้ากันมาจนถึงยุคไฮเทค
ไม่มีวิชาใดที่จะสู้วิชาของพระพุทธเจ้าได้
จรงๆ ท่เป็นอย่างน้ เพราะวิชาทงหลายท้งปวง นามา
ิ
ี
้
ั
ั
ี
�
ื
ใช้เป็นเคร่องมือดับทุกข์จริงๆ ไม่ได้ อาจได้ความสะดวก
บางส่งบางประการ แล้วพร้อมกันน้น มันก็แผ่ขยายความ
ั
ิ
ทุกข์ให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
เราจะเห็นความแตกต่างได้ ถ้าเราต้งประเด็นถามว่า ใน
ั
ยุคท่บ้านเมืองของเรามีความเจริญก้าวหน้าจนถึงขณะน้ ความ
ี
ี
สงบสุข ความสบายของประชาชนในสังคม ได้เพ่มข้นหรือ
ึ
ิ
ลดลง เราตั้งประเด็นถามตัวเองว่า ในขณะที่บานเมืองของเรา
้
มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอะไรต่างๆ มากมายท่วโลก
ั
ความรู้สึกสบายของประชาชนในสังคมเพิ่มขึ้น หรือลดลง
ี
�
ในแง่ของความจริงท่เราสามารถจะกาหนดได้ จากพฤติ-
กรรมความเป็นไปของสังคม ถ้าเทียบกับความเป็นอยู่ของสงคม
ั
ั
้
ี
ในสมัยก่อน ท่วิชาการทางเทคโนโลยียังไม่เจริญก้าวหน้านน เอา
ั
ความสงบสุขของสังคมท้ง ๒ ยุคมาเปรียบเทียบกัน ถ้าเราเกิดทัน
ั
ท้ง ๒ ยุค เราก็จะมองเห็นความสงบสุข ความสบายใจ ของคน
ในสังคมยุคนี้กับยุคก่อนนั้น แตกต่างกัน
15
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ยุคก่อน เทคโนโลยีเรายังไม่เจริญก้าวหน้า เราสามารถจะ
อยู่กันได้สะดวกสบายทุกที่ ตามท้องไร่ท้องนาก็สามารถนอนได้
�
อย่างสุขสบาย ชาวนาก็ไม่ลาบากเดือดร้อน แต่ก่อนยังไม่ต้องม ี
อะไรมากเลย เด๋ยวน้มีมากแค่ไหนก็ไม่สามารถจะอยู่ให้สบายได้
ี
ี
บางทีสร้างบ้านเป็นเงินร้อยล้าน พันล้าน คิดว่าจะอยู่ให้สบาย
ี
แล้วในท่สุดก็ไม่สุขสบายอีก น่พูดให้เห็นได้ง่ายๆ เป็นข้อเปรียบ
ี
เทียบว่า ไม่มีวิชาใดในโลก ที่เราจะใช้เป็นเครื่องมือดับทุกข์ได้
อย่างแท้จริงและสิ้นเชิง นอกจากวิชาของพระพุทธเจ้า
ี
ั
ท่านท้งหลายท่เป็นครูบาอาจารย์ จะเอาวิชาของพระ
ึ
พุทธเจ้าไปสอน จะต้องนึกว่า เราเป็นคนท่ยอดเย่ยมคนหน่ง
ี
ี
ี
ี
เพราะสามารถศึกษาวิชาท่ยอดเย่ยมท่สุดในโลกได้ แล้ว
ี
สามารถเอาไปถ่ายทอดได้ด้วย เราควรจะภูมิใจ ไม่ควร
จะนึกเป็นปมด้อยในตัวเอง เพราะเป็นวิชาที่ดีจริง
เกณฑ์ตัดสินว่ำ เป็นวิชำของพระพุทธเจ้ำ
วิชาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นวิชาท่ยาก คือ รู้ยาก
ี
ี
ปฏิบัติยาก ทายาก อย่างท่เข้าใจกัน ท่เรารู้สึกว่ายาก เป็นเพราะ
�
ี
ความเข้าใจผิด เพราะวิชาของพระพุทธเจ้า เป็นวิชาท่ง่ายท่สุด
ี
ี
ในโลก ปฏิบัติง่ายที่สุดในโลก เราไม่ต้องใช้ความคิดความอ่าน
อะไรมากมาย ถ้ายาก ไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า วิชาของพระ
พทธเจาตองง่ายเพราะพระองคตรสเอาไวอยางนนวา สฺวากฺขาโต
่
ั
้
ั
์
้
้
่
้
ุ
16
สาราสารกถา
ั
ี
่
้
้
ภควตา ธมฺโม ธรรมะทพระพุทธเจ้าตรสเอาไว ตองดงาม ตอง
ี
้
ท�าง่าย ต้องถูกใจคน นี่คือ หลักเกณฑ์
ี
ี
ก่อนท่จะพูดตัวกลาง พูดหลักเกณฑ์ท่สามารถทดสอบ
ได้ว่า เป็นวิชาพระพุทธเจ้าหรือไม่ มีมาตรการที่เราจะก�าหนด
ได้ว่าเป็นวิชาของพระพุทธเจ้า จะประกอบด้วยคุณลักษณะ ๓
ประการ คือ
ประการที่ ๑ ดีงาม
ประการที่ ๒ ท�าง่าย
ประการที่ ๓ ถูกใจคน
อย่างน้จะไม่เรียกว่าเป็นวิชาท่ยอดเย่ยมได้อย่างไร ดีงาม-
ี
ี
ี
ท�าง่าย-ถูกใจคน
ื
ื
พระพุทธเจ้าสอนในเร่องอะไรบ้าง? ยกตัวอย่างเร่องให้ทาน
เพื่อให้ชัดเจน เราจะรู้ได้จากการเปรียบเทียบสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน
การให้ทานตรงกันข้ามกับการลักขโมย เปรียบเทียบกันว่า ให้
ทานเขา กับลักขโมยเขา อย่างไหนดีกว่ากัน? ให้เขาต้องดีกว่า
มาตรการข้อท่ ๑ เราเห็นแล้ว ให้ดีกว่าลักขโมยแน่นอน
ี
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ ให้ทาน ไม่ได้สอนให้ลักขโมยเลย น่ได้
ี
หลักข้อที่ ๑ ดีงาม
ี
หลักข้อท่ ๒ ทาง่าย กมาวางเทียบกันด ให้เขากับลักขโมย
ู
็
�
เขา อย่างไหนท�าง่ายกว่ากัน ให้ง่ายกว่าใช่ไหม? ลักขโมยยาก
17
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
�
ี
แสนยาก ท่พระพุทธเจ้าสอนให้ทา ล้วนเป็นคาสอนท่ให้ปฏิบัต ิ
ี
ง่ายท้งน้น ปัญหาท่มันยาก มันไม่ได้ยากท่คาสอน แต่ยากท่ว่า
ั
ั
ี
ี
ี
�
�
ี
เราเป็นคนเข็ญใจ เข็ญใจแล้วจะมองยาก คือจะทาตามท่พระ
�
ั
พุทธเจ้าสอนท้งที รู้สึกว่า มันเข็ญใจตัวเอง ลาบากเหลือเกิน
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่ล�าบาก
�
ในแง่ความเป็นจริง ดีงาม-ทาง่ายและถูกใจคน ให้เขา
ี
กับลักของเขา อันไหนคนชอบ อันไหนคนถูกใจ ให้ไปท่ไหน
สบายทุกที่
ี
้
ี
เพราะในโลกน้ไม่มีใครเลย ท่ไม่ชอบการให และไม่ใช่เฉพาะ
ั
ั
คน สิงสาราสัตว์ ต้นหมากรากไม้ชอบท้งน้น ส่งมีชีวิตในโลก
ิ
ิ
ี
ชอบการให้ เรียกว่า ทรงส่งสอนในส่งท่เรียกว่าถูกใจคน สอน
ั
ิ
ให้ส่งมีชีวิตทุกอย่างในโลกชอบพอใจ คนก็พอใจ สัตว์ก็พอใจ
ต้นหมากรากไม้ก็พอใจ ถ้าเราให้แล้ว ก็จะสนองตอบกลับมาใน
ทางท่เราพอใจเช่นกัน น่คือหลักเกณฑ์ง่ายๆ ท่พระพุทธเจ้าสอน
ี
ี
ี
�
ทรงสอนให้รักษาศีล พวกเราก็รู้สึกว่าลาบากลาเค็ญกัน
�
ี
ี
เหลือเกิน ท่ไปรักษาศีลข้อท่ ๑ ท่านห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ต้อง
คิดให้ปวดหัว ไม่ต้องวางแผนจะฆ่าเขา พระพุทธเจ้าสอนให้
ี
รักษาศีล โดยพิจารณาถึงข้อท่ ๑ เราก็เห็นแล้ว ฆ่าเขากับ
ไม่ฆ่าเขา อันไหนดีกว่ากัน เราควรจะยอมรับตัวไหน ตัวไหน
ทาง่าย ตัวไหนทายาก ฆ่าเขากับไม่ฆ่าเขา ตัวไหนถูกใจคน ตัวไหน
�
�
คนชอบ สัตว์ชอบ ต้นไม้ชอบ ดีงาม-ท�าง่าย และถูกใจคน
18
สาราสารกถา
จงภูมิใจว่ำ ได้สอนวิชำที่ดีที่สุดในโลก
เพราะฉะน้น เราอย่ามีความรู้สึกเป็นปมด้อยอะไรเลย
ั
ี
ี
วิชาของพระพุทธเจ้าเป็นวิชาท่ดีท่สุดแล้ว แล้วถ้าหากว่าเรา
ี
ได้ศึกษา ได้เรียนไป เราก็รู้สึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนท่เรียกว่า
ี
�
ยอดเย่ยมจริงๆ ท่สุดในโลก เพราะว่าคาสอนของพระองค์ เม่อ
ื
ี
�
เราได้นาไปประพฤติปฏิบัติ ก็จะได้รับผลของการปฏิบัติอย่าง
แน่นอน
ั
�
คาสอนของพระพุทธเจ้าน้น มีความแตกต่างจากคาสอน
�
ั
ื
�
ของศาสนาอ่น อย่างในศาสนาอ่นน้น เราทาดีทาชอบ กว่าพระเจ้า
ื
�
จะมาเห็น ไม่ใช่ง่าย เราตายแล้วเอาไปฝัง ฝังแล้วรอจนโลกมัน
ึ
ทลาย พระเจ้าจึงจะมาพิพากษา ยกวญญาณของเราขนไปอย่ ู
้
ิ
ิ
่
ี
ี
่
่
�
้
่
ี
่
้
ั
้
่
กบพระเจา นเราไมไดตาหนตตง แตในแงทเรยกวา จะทาใหเรา
ิ
ิ
�
�
ภาคภูมิใจ พระพุทธเจ้าสอนคาสอนทุกอย่างให้พิสูจน์ได้ เรา
ไม่ต้องไปพิสูจน์อะไรเลย พูดเท่าน้เราก็มองเห็นเลยว่า เป็น
ี
ี
�
คาสอนท่อัศจรรย์ ให้ผลได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ร่างตายแล้ว
ี
ื
ี
ี
เอาไปฝัง แล้วกว่าโลกน้จะสูญสลายอีกก่หม่น ก่แสนปี กว่าจะ
ได้รับผลของความดี กว่าพระเจ้าจะมาพิพากษาอีกว่า ใครบุญ
ใครบาป ต้องโลกน้ถล่มทลายไปแล้ว น่เรียกว่าเป็นตัวอย่าง
ี
ี
น้อยๆ พูดเพ่อว่าให้เรามีกาลังใจในฐานะท่เป็นครูสอนวิชาพระ
�
ื
ี
พุทธศาสนานี้ นับว่าเป็นโชค เป็นลาภของเรา
19
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
ถ้าได้ศึกษาวิชาพระพุทธศาสนา ทาให้จิตใจของเราได้
สัมผัสกับพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าสักนิดเดียว เรา
จะไม่ท้อใจเลย คือต้องสัมผัสกับพระมหากรุณาธิคุณให้เห็น
ึ
ั
ึ
ื
ว่า พระพุทธเจ้าซ่งต้งศาสนาข้นมา ไม่ใช่เพ่อประโยชน์ของตัว
ื
พระองค์เอง แต่เพ่อจะช่วยเหลือเรา ช่วยเหลือโลกและสังคม
โดยเฉพาะ ใครได้สัมผัสกับพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า
ึ
�
�
ี
แล้ว จะมีกาลังใจทางานมากข้น ด้วยสาเหตุท่พระพุทธศาสนา
นั้นมีความส�าคัญ ไม่ใช่เฉพาะแต่สังคมไทย
ื
ื
ี
เม่อพูดถึงเน้อหาสาระท่เป็นหลักวิชาของพระพุทธเจ้า
สังคมส่วนใหญ่ของเราได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้อะไรต่างๆ
มาจากสายอ่น เราไม่ได้รับถ่ายทอดมาทางน้โดยเฉพาะ วิชาอ่น
ี
ื
ื
ได้เข้าไปกลบ เข้าไปคลุมใจ วิชาทางพระพุทธศาสนาจึงถูก
ละเลยทอดท้งไป นี่มันก็เกิดจากระบบของสังคมไทยเราด้วย
ิ
�
ถ้าเราพูดสาหรับพวกเรา ไม่ใช่เฉพาะพระ ไม่ใช่เฉพาะญาติโยม
ี
ไม่ใช่เฉพาะพระสงฆ์-องค์เจ้าของเราท่นับถือศาสนาพุทธก็ต้อง
รู้สึกอับอาย
ดูเขำ แล้วย้อนกลับมำดูเรำ
อย่างในปัจจุบันในโรงเรียนมุสลิม เราจะไปแตะไม่ได้เลย
ี
เด็กในระดับท่จะต้องเข้าอนุบาล เขาไม่เอาไปเข้าอนุบาลของ
20
สาราสารกถา
รัฐบาล แม้จะดีเด่นยังไง เขาก็ไม่เอาไปเข้าเลย เขาจะนาเด็ก
�
ของเขาไปเข้าโรงเรียนปอเนาะ ในโรงเรียนปอเนาะของเขา
ิ
เร่มจาก ๓ ขวบ ๕ ขวบ อย่างอนุบาลของเรา เพราะเขาจะ
ื
เรียนไปทางศาสนาของเขา เช่อไหม? ว่าเด็กมุสลิมเพียงแค่
อายุ ๑๖-๑๗ ปี เขาสามารถอ่านคัมภีร์ได้เอง คัมภีร์อัล
-กุรฺอาน อ่านจบ เพราะของเขาเรียนโดยตรง เขาเห็นว่าวิชา
ั
้
ิ
ี
ของศาสนานน เป็นแก่นของชวต เขาเอาไปไว้ในแก่นดวงใจ
ื
ก่อนท่เด็กจะได้รับการถ่ายทอดวิชาอ่นๆ เขาเอาวิชาของศาสนา
ี
ไปไว้ในใจก่อน
เพราะฉะน้น เราจะเห็นได้ว่าการท่อ่านคัมภีร์อัล-กุรฺอาน
ั
ี
ั
ไม่ได้เอาคนเฒ่าคนแก่ไปอ่าน ก็คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวน่นแหละ
�
อ่าน คัมภีร์อัล-กุรฺอาน ก็คือคาสอนของศาสนาอิสลาม เพราะ
ื
ฉะนน เด็กเขาจงแน่นในหลักศาสนา ไม่ว่าจะไปเรยนวชาอนๆ
่
้
ั
ึ
ิ
ี
ใดๆ จนจบ มาเป็นดอกเตอร์อะไรต่างๆ ดูอย่าง ดร.สุรินทร์
พิศสุวรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศคน
ปัจจุบัน เขาก็เป็นคนมุสลิม แต่เขาแน่นมาก เขาสามารถจะ
ี
ี
ประกอบกิจกรรมอะไรท่เก่ยวกับศาสนาได้ทุกท่ทุกเวลา บางท ี
ี
เดินทางไปต่างประเทศ ถึงเวลาละหมาด เวลาเท่าไร พวกมุสลิม
�
ั
�
เขาจะมาทาละหมาด แม้กระท่งกลางสนามบิน พวกเราทา
ั
ั
ได้ไหม? ทาไม่ได้หรอก จะไหว้พระท้งที ต้องดูคน กลวว่า
�
ี
ื
คนจะเห็น มันเขิน เวลาจะไหว้พระ แล้วทาไมเป็นอย่างน หรอ
�
้
21
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
่
�
จะทากิจวัตร สมมติว่า เช้ามืด หัวคา เราจะสวดมนต์ไหว้พระ
�
สวดมนต์ไม่ได้หรอก ไม่ได้ทาพิธีอะไรเลย เป็นกิจวัตรของ
ั
ื
ื
ศาสนา ไม่เหมือนคนของศาสนาอ่นๆ เร่องจริงมันเป็นอย่างน้น
โครงกำรนี้ ช่วยหำงำนให้พระท�ำ
โครงการส่งพระไปช่วยสอน ก็มาคานึงเห็นว่า ความสาคัญ
�
�
ของวิชาพระพุทธศาสนา หรือวิชาของพระพุทธเจ้าดีจริงอย่างน ้ ี
แต่ว่า ความสนอกสนใจของพวกเราแทบจะทุกโอกาสมันตก
ี
ไปๆ แล้วก็พระปัจจุบันน้ก็ไม่มีใครให้ไปสอน จริงๆ มันเป็น
ั
อย่างน้น วัดไม่มีใครจะมาให้สอนแล้ว แต่ก่อนก็มีเด็กมาให้
ี
สอน มีเณรมาให้สอน เด๋ยวน้เด็กก็ไม่มี เณรก็ไม่มี เพราะการ
ี
ศึกษาของทางโลกเยอะแยะไปหมดเลย
่
ี
ี
ี
็
แต่ก่อน เด็กจบ ป. ๔ ไมมีทไปกมาบวช เด๋ยวน้ไม่มแล้ว
ี
่
ใช่ไหม? ขยายการศึกษาไปถึง ป. ๙ ก็เป็นอันว่าหมดโอกาส
ี
ท่พระจะได้ช่วยสอน วิชาพระพุทธศาสนาก็หมดไปแล้ว จะเอา
คนหนุ่มเข้ามาบวชในยุคนี้ แล้วก็มาเรียนวิชากัน ก็เอาวิชาอื่น
ไปอัดไว้เต็มแล้ว จะเอาวิชาพระพุทธศาสนาเข้าไปยัดเยียดอีก
ก็ไม่ยอมรับอีกแล้ว
การบวชก็บวชกันเป็นประเพณี ๗ วัน ๑๕ วัน ก็สึกหมด
�
�
แล้วพระจะทาอะไร? พระไม่ทาอะไร ก็หาว่า “พระเป็นกาฝาก
22
สาราสารกถา
�
�
สังคม” กินกับนอน ไม่ได้ทาอะไรเลย เป็นพระลาบากจริงๆ ก ็
�
พยายามจะทา ใช่ไหม? แล้วทางพระส่วนใหญ่ หลักการศึกษา
ี
ต่างๆ ถูกดึงไปหมดแล้ว พระท่จะเป็นครูบาอาจารย์ก็น้อยลง
น้อยลงไป จนจะไม่มี พระท่ท่านเกิดมามีศรัทธาทางศาสนาอยู่
ี
บวชต้งแต่หนุ่มๆ แล้วก็อยู่มาไม่สึก ท่านก็ต้งใจอุทิศชีวิตให้
ั
ั
ี
ศาสนาแล้ว ท่เอาไปช่วยสอนวิชาพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไปแย่ง
ั
โครงการน้ต้งมา ๒-๓ ปีแล้ว แต่ว่าไม่แพร่หลายเท่าท่ควร
ี
ี
เพราะเราไม่ได้ประสานงานกับผู้หลักผู้ใหญ่ จะเอาไปช่วยสอน
วิชาพระพุทธศาสนา เหมือนว่าเป็นหัวอกอันเดียวกัน
ื
การไปช่วยสอนก็มีข้อบกพร่อง เน่องจากระบบการเรียน
การสอนของพระโดยตรง กับระบบการเรียนการสอนของทาง
ั
ุ
โรงเรียนภายนอกแตกต่างกัน ระบบของพระเราใช้ระบบอนรกษ ์
�
ี
เราไม่ได้เปล่ยนแปลงเลย ไม่ว่าตาราเรียน ไม่ว่าระบบการเรียน
ื
การสอน เม่อสมัย ๗๐-๘๐ ปีก่อน ทากันอย่างไร เด๋ยวน้ก ็
ี
�
ี
ทากันอย่างน้น เม่อจะเอาครูพระไปช่วยสอนตามโรงเรียนน้น
ื
ั
�
ั
วิชาเน้อหาต่างๆ ไม่มีปัญหา แต่ว่าเร่องการเรียน-การสอน-
ื
ื
ุ
ี
การถ่ายทอด มันมปัญหา เพราะว่าพระไม่ค่อยค้นกับระบบท ่ ี
เขาใช้กันอยู่ ก็เลยต้องเอาพระไปอบรมก่อนท่จะไปสอนตาม
ี
โรงเรียนต่างๆ ไปอบรมให้เข้าใจวิธีการสอน วิธีการประเมินผล
ี
ต่างๆ ท่ไปอบรมก็เป็นเวลาน้อย ให้พอรู้แนว นึกว่าไปพบปะ
กับครูบาอาจารย์ จะเป็นผู้อานวยการ หรือครูบาอาจารย์ใน
�
23
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
สายวิชาเดียวกัน ก็ให้ถือว่าเป็นกัลยาณมิตร มีอะไรท่ครูบา-
ี
ี
ี
อาจารย์จะช่วยช้ ช่วยแนะเก่ยวกับวิธีการ ก็ช่วยช้ ช่วยแนะไป
ั
ี
ี
โครงการน้ ก็หวังจะให้พระท่มีอยู่ท้งหมดในจังหวัด
ี
�
สุพรรณบุรี พอจะทางานได้บ้าง ไปช่วยสอนวิชาน้โดยเฉพาะ
ไม่ใช่ไปแย่งสอน เราไปช่วยสอน เพราะปกติถ้าท่านไม่ไปสอน
�
ท่านก็ไม่ได้ทาอะไร เพราะอยู่วัดไม่มีใครให้ท่านสอน ปัจจุบัน
�
ี
นอกจากบางสานัก อย่างท่อยู่วัดป่าเลไลยก์ฯ ก็มีเรียน-สอนกัน
ตามปกติ ตามโบราณ ถ้าเราจะไปดูตามวัดนอกๆ โอกาสท่พระ
ี
พวกน้จะทางานตามหน้าที่ คือสอนวิชาพระพุทธศาสนาจริงๆ
�
ี
ั
มีเฉพาะภายในพรรษา ๓ เดือนเท่าน้น อีก ๙ เดือนไม่ได้สอน
ั
เลย ก็อยู่กันไป นอกจากการเทศน์บ้าง อะไรบ้าง น่นก็เป็นโดย
ปริยาย แต่ว่าหน้าที่สอนจริงๆ นั้นไม่มี
ั
เพราะฉะน้น เราจึงต้งโครงการน้ข้นมา ปัจจุบันก็เรียกว่า
ั
ึ
ี
พอจะเป็นกันข้นมาบ้างแล้ว และโครงการนี้ก็ไม่ได้เป็นโครงการ
ึ
ของคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ เพราะท่ไหนก็ไม่มีให้ทากัน เป็นโครงการ
�
ี
ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี โดยเจ้าคณะจังหวัดเป็น
ิ
�
�
ผู้ดารให้จัดทาข้น แล้วก็ทากันไป ก็หวังว่า จะได้รับความ
ึ
�
็
ึ
เหนอกเหนใจ ความร่วมมอร่วมใจจากสถานศกษาต่างๆ โดย
ื
็
เฉพาะผู้อานวยการ และครูบาอาจารย์ของสถานท่น้นๆ ให้
ั
ี
�
�
ี
ความร่วมมือ ก็เป็นอันโครงการน้จะดาเนินไปได้ เพราะโครงการ
ั
จะอยู่รอดหรือไม่ ก็ฝากไว้กับโรงเรียน ฉะน้น ก็ขอฝากไว้ด้วย
24
สาราสารกถา
ี
สุดท้ายน้ ก็ขออวยพรให้ท่านผู้อานวยการ ในฐานะท่เป็น
�
ี
ี
�
ี
เจ้าของสถานท่ท่อานวยความสะดวก ในการจัดประชุมสัมมนา
ในคร้งน้ แล้วก็ขอให้ผู้ร่วมเข้าประชุม ซ่งเป็นครูสอนวิชาพระ
ึ
ี
ั
พุทธศาสนา ได้รับประโยชน์จากการประชุม และได้รับสิ่งดีสิ่ง
ิ
ุ
ี
ิ
่
�
งามอันจะกอให้เกดกาลงใจในการปฏบัติหน้าท่ ให้บรรลเป้าหมาย
ั
สมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ เทอญ.
ท�ำงำนอย่ำงไร
จึงจะได้ควำมสุข
ื
ก่อนท่จะได้พูดตามหัวข้อเร่อง ซ่งทางผู้จัดได้ไปนิมนต์
ี
ึ
�
และกาหนดให้มาพูดในวันน้ ในหัวข้อเร่องว่า “ทางานอย่างไร?
�
ี
ื
จึงจะได้ความสุข” นั้น ก็จะได้พูดเรื่องอื่นๆ ก่อน
วันพระก�ำลังลดควำมส�ำคัญลง
ึ
�
ื
ี
�
ปัจจุบันน้ วันต่างๆ ท่เรากาหนดข้นมาเพ่อกระทากิจกรรม
ี
ั
น้นมีมาก แต่ด้งเดิมทีเดียว วันที่เรารู้จักกันท่วๆ ไปสมัยโบราณ
ั
ั
ั
สมัยปู่ ย่า ตา ยาย มีอยู่วันเดียว วันน้นก็คือ “วันพระ” เดิม
มีอยู่วันเดียว พวกเรารู้จักกัน โบร�่าโบราณรู้จักกัน
วันพระ เดือนหนึ่งก็มีอยู่ ๔ วัน ถึงวันพระชาวบ้านก็จะ
ี
ี
ี
�
�
ไปทาบุญสุนทานกันท่วัดเป็นประจา และเด๋ยวน้วันพระก็ยังมีอยู่
* บรรยายพิเศษในงานวันครู (๑๖ มกราคม ๒๕๓๖) ณ หอประชุม
อ�าเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
26
สาราสารกถา
ี
�
แต่ว่าความสาคัญของวันพระลดน้อยลงไปๆ โดยเฉพาะเก่ยว
ี
กับวันพระในจิตใจของคนท่เป็นครูบาอาจารย์ บางท่านอาจจะ
ไม่รู้เลย
�
ี
ยังเหลืออยู่บ้างไหม? สาหรับความรู้สึกเก่ยวกับวันพระ
ของคนท่เป็นครูบาอาจารย์ ยังเหลืออยู่บ้างไหม? จาได้ไหม?
�
ี
ี
�
วันไหนวันพระ ถ้ายังจาได้ ก็แสดงว่าใช้ได้ บางท่พูดถึงวันพระ
ไม่รู้เลย มันชักจะเลอะเลือน ก็ไม่ว่ากันนะ มีวันพระมีวันเด็ก
มีวันพ่อ มีวันแม่ แล้วก็มีวันที่เราไม่ต้องแบกภาระหนักๆ เป็น
ึ
ี
วันพิเศษอีกวันหน่ง คือวันอะไร? คือ "วันเบาๆ" ไง ท่เขาเรียกว่า
วันเบาๆ ก็เพราะเขาเรียก วันท่ไม่ต้องไปแบกภาระอะไร ส่วน
ี
ั
วันนอกน้นเราอาจจะต้องแบกภาระหนัก ถ้าวันไหนไม่ต้องแบก
อะไร เขาเรียกว่าวันเบาๆ ใช่หรือเปล่า?
้
็
็
วนเดก เราก็พาเดกไปเท่ยว หรือไม่งนกเอาอาหารอะไรๆ
ี
ั
็
ั
ี
�
ื
มาเล้ยงเด็กกัน พอถึงวันคร วันน้ก็มากาหนดเง่อนไขกันว่า คร ู
ู
ี
�
ี
ั
ท้งหมดจะต้องมารวมตัวกันทากิจกรรมท่ใดท่หน่ง ตามท่ทาง
ึ
ี
ี
ผู้กาหนดโปรแกรมจัดไว้ ก็เหมือนกับว่า วันครูน้ อาจจะต้อง
ี
�
ั
ี
ึ
ู
เป็นวันท่ต้องจับเอาพวกครมาน่งทรมานกันวันหน่ง เพราะวัน
่
ื
็
อนๆ สวนใหญ มนจะเปนเร่องของวนอสระ ไม่เหมอนกบวนเดก
ื
่
ั
ั
็
ื
ั
่
ั
ิ
อย่างวันเด็กน้น เราจะให้อิสระเด็ก สถานท่ราชการทุกแห่ง
ั
ี
ทุกหน แม้แต่ในท่บางแห่ง ทีตามปกติธรรมดาไม่เปิดให้คนนอก
ี
่
เข้าไปเก่ยวข้อง พอถึงวันเด็กก็จะเปิดให้เด็กเข้าไปดู เข้าไปชม
ี
เข้าไปเล่นกันได้ทุกที่ทุกแห่ง นั่นถือว่าเป็นวันที่ให้อิสระเด็ก
27
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ื
ี
แต่สาหรับวันครูก็มีอย่างน้ เม่อมีอย่างน้ เราก็ต้อง
�
ี
ี
ยอมรับกันไปอย่างน้ เพราะวันครูเราต้องทาอย่างน้ เราก็มา
�
ี
�
ี
�
ี
ทาอย่างน้กัน ก็ถือว่าท่เรามาทากัน มันก็เป็นการทางานชนิด
�
�
ี
หน่ง ท่เรามาร่วมชุมนุมกัน กล่าวคาสรรเสริญเยินยอคุณคร ู
ึ
บูชาคุณครู กล่าวปฏิญาณตน แล้วก็มาฟังพระพูด น่ก็ถือว่า
ี
เป็นการท�างานอย่างหนึ่ง
ท�ำงำนด้วยใจรัก จึงจะได้ควำมสุข
ั
้
ื
ี
่
เมอเราถอว่าอนนเป็นกจกรรมการทางานอย่างหนง
�
ึ
ื
ิ
่
ื
เราก็จะต้งประเด็นเข้าไป เพราะในหัวข้อเร่องท่กาหนดไว้ว่า
�
ั
ี
จะทํางานอย่างไร? ให้มีความสุข เรามาทากิจกรรมในวันน ี ้
�
�
ื
ก็ถอว่าเป็นการทางานของเรา และอยากจะถามพวกเราว่า
ี
ี
�
ี
ั
ท่เรามาทางานกันอย่างน้ ได้ความสุขกันบ้างไหม? ท่เราน่งกัน
�
�
อยู่น้น่ะทางานกันท้งน้น น่งอยู่ก็ถือว่าทางาน เพราะเรามาร่วม
ี
ั
ั
ั
�
กิจกรรมก็คือการทางาน แล้วท่เรามาทางาน อย่างน้ มาน่งฟัง
ั
ี
ี
�
อย่างนี้ ได้ความสุขไหม? ได้หรือไม่ได้?
�
มันก็เข้าประเด็นกันพอดีกับหัวข้อ เร่องว่า จะทางาน
ื
อย่างไร? ให้ได้รับความสุข เพราะอะไรเราจึงอยากได้ความสุข
ั
ี
เพราะหลักการท�างานท่จะได้ความสุขน้น จริงๆ แล้วมันก็ไม่ม ี
ู
่
�
อะไรมากหรอก มนมอยตวเดยวเท่านนเองทจะทาใหเราทางาน
ั
ี
่
ั
ี
�
ี
ั
้
้
28
สาราสารกถา
�
ี
�
ั
แล้วได้ความสุข น่นก็คือ ทางานด้วยความรัก มีเท่าน้ ทางาน
ด้วยใจรัก
�
เราลองไปคิดดูเถอะ อะไรๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทา
ด้วยหัวใจรัก ก็ทาไปเถอะ ไม่ได้รับความสุขหรอก แล้วความเต็มอก
�
เต็มใจที่จะท�า มันก็ไม่มี
ั
�
ิ
เราลองคิดมาต้งแต่เราเร่มทางานกันมา เราจะรู้สึกได้ทันท ี
เลย เพราะถ้าเราท�างานด้วยใจรัก มันจะมีพลังตัวหนึ่งออกมา
เขาเรียกว่า ความเสียสละ เพราะส่งท่เราเรียกว่า งาน ก็หมายถึงว่า
ิ
ี
สิ่งที่เราท�านั้น มันมีผลประโยชน์ มันจะมีผลประโยชน์แก่ตัวเรา
่
ี
้
้
้
�
ดวย มนจะมผลประโยชน์แก่คนทเราเกยวของดวย ถาเราทางาน
้
่
ี
ั
ี
ึ
ี
ด้วยใจรัก มันจะมีพลังตัวหน่งท่เราเรียกว่า ความเสียสละ
แทรกเข้ามาด้วย
ควำมเสียสละ
เป็นรำกฐำนของควำมสุข และควำมเข้ำใจกัน
ความเสียสละคืออะไร? ความเสียสละ ก็คือ ความคิดท ่ ี
ี
้
ั
ิ
จะให้ มนไม่มอะไรสาคญเท่าตวน เพราะโดยธรรมชาต ปกต ิ
ี
�
ั
ั
วิสัยของพวกเราน้ ความคิดตัวน้ไม่ค่อยจะเกิด ท่เราลาบาก
ี
�
ี
ี
�
เดือดร้อนกัน ก็เพราะเราทาด้วยความคิดจะเอา ส่วนใหญ่ไม่ว่า
เราจะท�าอะไร เราคิดแต่จะเอาอย่างเดียว ไม่ได้คิดจะให้ ลอง
�
ี
ี
เปล่ยนความคิดใหม่ ลองทาอะไรด้วยความคิดท่จะให้ ลองไป
29
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
เปล่ยนกันน่ะ ถ้าใครยังไม่เปล่ยน ลองเปล่ยนเถอะ ได้ผลทันท ี
ี
ี
ี
แล้วได้ความสุขความสบายด้วย
�
�
ถ้าเราทางานด้วยความคิดท่จะให้ จะไม่มีอะไรมาทาให้
ี
ู
่
ั
็
่
ื
ี
�
ลาบาก ไม่ต้องดอนไกล นจะยกตวอย่างให้เหนง่ายๆ แล้วก ็
ี
�
ั
ตัวอย่างท่มันเป็นสามัญท่วไป ว่าการทางานด้วยความคิดท่จะ
ี
ให้นี้ มันจะเป็นส่วนช่วยให้เราได้รับความสุขจริงๆ
สามีภรรยาท่ต้องระหองระแหงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน
ี
นอกใจกัน ถ้าเราคิดไปลึกๆ เราจะเห็นได้ว่า แต่ละคนมุ่งแต่
จะเอา ไม่ได้มุ่งจะให้กัน สามีก็มุ่งความสุขจากภรรยา ภรรยาก ็
มุ่งความสุขจากสามี จริงหรือไม่? ถ้าลองมุ่งจะเอากันอยู่อย่างน ้ ี
ิ
ี
ก็ไม่ได้หรอก ถ้ามุ่งอย่างน้จะไม่ได้ส่งท่เราอยากได้ ต้องมุ่งว่า
ี
จะให้ สามีก็ต้องนึกว่าจะให้ความสุขแก่ภรรยา ภรรยาก็ต้องนึกว่า
�
จะให้ความสุขแก่สามี จะทาอะไรกันก็ตามเถอะ ถ้าเราคิดจะให้
กันละก็มันจะไม่มีปัญหาเลย
ถ้าคิดว่าจะให้กันละก็ มันจะต่างคนต่างได้ ถ้าคิดเอา
บางคนได้ บางคนไม่ได้
ี
ื
เร่องความสุขน้ ลองไปนึกไปตรอง ไปปรับความคิดกันใหม่
ั
ั
ั
้
ี
่
ั
มนชอบกลน่ะ นมนเปนเรองจรง เพราะความสุขทเราจะไดรบกน
่
็
ื
่
ี
ิ
ในโลก ในสังคมปัจจุบันน้ ต้องเป็นส่งท่เราจะได้รับจากคนอ่น
ื
ี
ิ
ี
ื
ี
ั
แล้ว ความสุขท่เราจะได้รับจากคนอ่นน้น ถ้าเราไปคิดเอามันจะ
ไม่ได้ เราต้องคิดให้
30
สาราสารกถา
เพราะฉะน้น ความคิดตัวน้สาคัญท่สุดเลย ก็ขอให้พวกเรา
ี
�
ั
ี
ท่เป็นครูบาอาจารย์ต้องพยายามเสาะค้นดูว่า ในตัวของพวกเรา
ี
มันมีอะไรบ้างท่พวกเราพอจะให้เขาได้ ถ้ามีแล้ว เราคิดจะทา
ี
�
ี
้
อะไรก็ตาม เราคิดว่าจะให้เขา แล้วเราจึงจะได้ อันนมันเป็น
ี
ี
ี
ทฤษฎีเล็กๆ น้อยๆ ท่จะว่ามันล้ลับ มันก็ล้ลับ จะว่ามันง่าย
ี
มันก็ง่าย เพราะบางทีเรามองไม่เห็นว่าในตัวเราน้ มันมีสารพัด
ี
ิ
ท่เป็นส่งดีส่งงามท่จะให้แก่คนอ่น แต่เราไม่ค่อยได้เอาออกมา
ื
ิ
ี
ให้กัน ในตัวเรานี่แหละ มันมีสิ่งดี สิ่งงาม เยอะแยะที่เราจะให้
ี
ี
ิ
ระดบแรก เกียรต พวกเราทกคนมเกยรติกันทงน้น ไม่ว่า
ุ
ั
ั
ั
้
จะเป็นครูบาอาจารย์ หรือว่าเป็นคนธรรมดา ถือว่าเป็นคนมีเกียรต ิ
ั
ี
กันท้งน้น ถ้าเรามองเห็นตัวน้ เราจะไปไหนมาไหนก็ตาม ถ้าเรา
ั
คิดจะให้เกียรติกันบ้าง ดีไหม? แล้วลองคิดดู จะไปไหนมาไหน
เรามีเกียรติทุกคน เราก็เอาเกียรติของเราน่แหละไปให้เขา พอ
ี
เราให้เกียรติเขาแล้ว เราได้อะไร? เราก็ได้เกียรติกลับมา
ี
ิ
ั
เพราะฉะน้น เกียรติยศศักด์ศรีอะไรต่างๆ น่ พวกเรามีกัน
ื
ื
ทุกคนแล้ว ส่วนใหญ่เราไปเข้าใจผิดเร่องของเกียรติยศ เร่อง
ี
ของศักด์ศรี น่มันเป็นของประหลาด ถ้าเราเอามาแบกไว้เอง
ิ
่
ิ
่
ั
ี
่
ั
�
้
ู
ู
ี
ไม่ร้จกแบง ไม่รจักให้ใคร มนจะทาให้เรามส่งทไมดีตามเขามา
้
แล้วเราไม่ได้ความสุขหรอก เช่น อย่างเรานึกว่า เราเป็นครูบา
ั
อาจารย์ เป็นผู้มีเกยรต มีศกด์ศรี ไปไหนก็ต้องผง แล้วมน
ั
ิ
ึ
่
ิ
ี
31
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
เป็นอย่างไร คนเขาก็อาจจะมองอย่างเกรงใจ แต่ท่เขาจะรู้สึก
รัก รู้สึกเคารพ ไม่มีหรอก เพราะเจ้าศักด์ศรีน้ ถ้าเราเอามา
ิ
ี
แบกไว้ เอามาถือไว้เอง มันจะท�าให้รู้สึกหยิ่ง แล้วคนที่หยิ่งน่ะ
ี
มีใครชอบบ้างในสังคมน้? ไม่มีใครชอบหรอก ก็แบกไปซิ เขา
ั
่
ุ
ี
่
ี
ิ
ึ
้
ั
่
ิ
ไมวาบ้าก็บญถมไปแลว คนทนกวาตัวเองมีเกียรต ตวเองมศกดศร ี
์
่
แล้วก็พยายามแบกเอาเกียรติเอาศักด์ศรีไว้เองน่ มันก็จะได้แต่
ี
ิ
ความรู้สึกที่ไม่ดีกลับมา
ิ
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรารู้จักให้เกียรติและศักด์ศรีของ
เรา มันก็จะเพ่มพูนขึ้น ตรงน้สาคัญ ถ้าเรารู้จักให้ ทีน้เกียรต ิ
ี
ิ
ี
�
และศักด์ศรี จริงๆ น้นต้องให้คนอ่นเขารู้สึก ไม่ใช่เรามารู้สึก
ื
ั
ิ
เอาเอง ต้องให้คนอื่นเขาเอาไปถือไว้ เกียรติและศักดิ์ศรีของเรา
ี
ื
ื
่
ี
ให้คนอ่นเขาเอาไปถอ คนท่เขาจะเคารพ คนทเขาจะรัก ไม่ใช ่
เพราะว่า เราเอาเกียรติของเรา เอาศักดิ์ศรีของเรามาถือไว้เอง
ี
ั
ิ
ถ้าเราเอาเกยรต เอาศกดศรมาถอไว้เองจะไม่มใครเคารพ จะ
ี
ิ
ี
ื
์
ไม่มีคนเช่อถือ เราสังเกตดูเถอะ คนท่เขาจะรักเรา คนท่จะ
ื
ี
ี
ั
เคารพเราน้น เพราะเขาเอาเกียรติ เอาศักด์ศรีของเราไปถือไว้
ิ
ให้ดีเขำ เรำจึงได้ดี
�
ี
คราวน้ปัญหามันจึงมีอยู่ว่า เราจะทาตัวอย่างไร จะทา
�
ื
อย่างไร จึงจะให้คนอ่น ยอมรับเอาเกียรติเอาศักด์ศรีของเราไป
ิ
32
สาราสารกถา
ถอไว เราไปทไหนเราสบาย ถาเรามความด มเกยรต มศกดศร ี
้
ี
่
้
ื
ี
ี
ั
ี
ิ
์
ี
ี
ิ
ั
ท่คนแถวๆ น้นเขาเอาไปถือไว้ เราไปไหนก็สบาย เราจะไม่เป็น
ี
ี
ี
ท่รังเกียจของใครเลย ทีน้เขาจะถือเอาความดีของเรา ถือเอา
ั
ี
เกียรติ ถือเอาศักด์ศรของเราไว้ได้น้น ปัญหามันจึงมีอยู่ว่า เรา
ิ
ิ
จะต้องเอาดี เอาเกียรติ เอาศักด์ศรี ของเราให้เขาไว้ ไม่ใช่เอา
มาแบกไว้เอง ไม่ใช่เอามาถือไว้เอง
ี
ื
้
ี
เพราะฉะน้น เก่ยวกับเร่องน ก็อยากสรุปให้เป็นข้อคิด แล้ว
ั
ั
เราก็ลองเอาไปคิดดู ว่ามันจริงหรือไม่จริง ข้อคิดน้นก็มีอยู่ว่า
ู
่
่
้
ี
ั
ั
็
้
ี
ี
ให้ดีเขา เราจึงได้ด มนกมีอยแค่นเทาน้นเอง ให้ดเขา เราจึงไดด ี
ั
ถ้าเราไปคิดเอาดี บางทีมันไม่ได้ จะเอาดีให้ได้จริงๆ น้น เราต้อง
ี
รู้จักให้ เรามีดีอะไรท่พอจะให้เขาบ้าง เราก็ให้เขาไป ความดีนี้มัน
ไม่มีเสีย ยิ่งให้ยิ่งมาก
หลักการทางานหรือทาอะไรก็ตาม เราจะทาให้ได้รับความสุข
�
�
�
ื
�
ี
เพราะทาด้วยความรักอย่างท่ว่ามาแล้ว เม่อทาด้วยใจรักแล้ว
�
ึ
มันก็จะมีความคิดตัวหน่ง ก็คือความเสียสละ เรารักใคร เราจะ
ทาอะไรแก่คนน้น เราต้องมีความคดอย่างเดียวว่า เราจะให้เขา
ั
�
ิ
มันก็แค่นี้
เราเป็นครูบาอาจารย์ งานในหน้าท่ของเรา ก็คือ งานฝึก
ี
ี
งานสอน งานฝึกงานสอนน้ ถือว่าเป็นงานท่สาคัญท่สุด เพราะ
�
ี
ี
ี
ี
ี
คนท่ควรฝึกในยุคปัจจุบันน้ ก็คือเด็กๆ ซ่งเป็นผู้ท่ควรแก่การฝึก
ึ
33
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ควรแก่การสอน ถ้าเราจะทางานด้านน้ให้ได้รับความสุข เรา
�
ี
ี
ก็ต้องถามตัวเองว่า เรารักงานน้หรือเปล่า เดิมทีเดียวเราก็รัก
ื
ื
ื
�
เม่อเรารัก ก็เร่มเข้ามาทา เราก็ได้ความสุข แต่เม่อเราเบ่อ แต่เรา
ิ
ก็จาเป็นต้องทา เพราะเห็นแก่เงินดาวเงินเดือน เม่อน้นทาไป
�
�
ื
�
ั
ก็ไม่ได้ความสุข เพราะใจเราไม่ได้คิดจะให้อะไรๆ แก่เด็กเลย
ิ
็
�
ั
แต่ถ้าหากว่าเราทาด้วยใจรก แล้วกคดจะให้ เดกๆ ของเราได้
็
อะไรจากเรา ถ้าเราท�าไปอย่างนี้ ก็เชื่อว่าต้องได้แน่นอน
จะทางานอย่างไร? จึงจะได้ความสุข เราก็ตอบส้นๆ พูด
ั
�
ื
่
ง่ายๆ ว่า ก็ขอให้เรามีใจรักอย่างเดียว เราไม่ต้องพดอนไกล
ู
เราพูดโดยสรุปง่ายๆ ก็คือ รักงาน นั่นเอง ก็ขอให้เรามีใจรัก
ไม่ว่างานอะไรก็ตามท่เราจะทา ถ้าทาด้วยใจรัก ก็จะทาอย่าง
�
ี
�
�
มีความสุข
จะรักงำน เพรำะรู้สึกว่ำท�ำงำนด้วยควำมคิดของตัวเอง
�
ั
ี
คราวน้ ใจท่จะรักงานน้น เราจะทาอย่างไร? จะบังคับ
ี
์
่
ั
จตใจกนไดไหม โดยเฉพาะเราเปนครบาอาจารยน บางครงเรา
ิ
ั
ี
้
้
ู
็
�
็
ต้องฝืนทา ทาไมเราต้องฝืนทา? กเพราะเราเป็นครูบาอาจารย์
�
�
บางคร้งเราไม่สามารถจะทางานด้วยความคิดของเราได้ เพราะ
ั
�
เรามีผู้บังคับบัญชา มีครูใหญ่ มีอาจารย์ใหญ่ มีหัวหน้าการ มี
ี
�
ิ
ผู้อานวยการ ส่งเหล่าน้แหละ บางทีมันก็ทาให้ระบบงานของ
�
ั
เราเสียเหมือนกัน ผู้บริหาร หรือผู้เป็นหัวหน้าหน่วยงานน้น
34
สาราสารกถา
สาคัญท่สุด โดยเฉพาะเร่องการจ่ายงานให้ลูกน้องทา เราจะ
ื
ี
�
�
ึ
ั
ิ
ต้องคานงถงจตใจของลูกน้องด้วย นสาคญ ไม่ใช่ออกคาสงให้
�
ึ
่
ี
่
ั
�
�
ั
�
�
ี
ลูกน้องไปทาอย่างน้นอย่างน้ โดยไม่คานึงถึงจิตใจลูกน้อง แล้ว
�
�
�
ี
ลูกน้องท่รับคาส่งไปมันสบายไหม? ถ้าต้องทางานตามคาส่ง
ั
ั
อย่างเดียว และงานนั้นก็จะไม่ดีด้วย
ึ
จึงมีหลักอยู่อย่างหน่งว่า ผู้บริหารหรือผู้เป็นหัวหน้างาน
ี
เม่อจะให้ลูกน้องท่จะรับคาส่งของเราไปทางาน ทางานด้วยใจรัก
�
�
ื
�
ั
�
็
้
ี
่
�
่
้
ทางานด้วยความเสยสละ กตองมวิธีการวา จะทาอยางไรใหเขา
ี
�
ทางานให้เรา ด้วยความคิดของเขา ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ จะ
�
ต้องคิดว่า จะทาอย่างไรจึงจะทาให้ลูกน้องของเราทางานให้เรา
�
�
ด้วยความคิดของเขา ไม่ใช่ความคิดของเรา
เพราะเราจะเห็นได้ว่า คนท่จะรักงาน คนท่จะมีความ
ี
ี
ื
รบผดชอบต่อการงานจรงๆ มอย่ประเภทเดยว คอ งานทเขา
ั
ี
่
ิ
ิ
ี
ู
ี
คิดจะท�าเอง หรืองานที่เขาท�าด้วยความคิดของเขา ใครก็ตาม
ั
�
ถ้าทางานอะไรด้วยความคิดของตัวเอง งานน้นจะถูกทาด้วย
�
ั
ความรัก และงานน้นจะได้รับความรับผิดชอบ จากการกระทา
�
�
ี
อย่างดีท่สุด ตรงน้สาคัญ เฉพาะผู้บริหารจาไว้ ไม่มีใครหรอก
ี
�
�
ี
ท่จะทางานตามคาส่งด้วยใจรัก ด้วยความเต็มอกเต็มใจ งานท ี ่
ั
�
�
เราจะทาด้วยความเต็มอกเต็มใจ มีอยู่อย่างเดียว คืองานท่เรา
ี
้
้
้
คิดจะท�า เราตองการจะใหเขาท�าตามค�าสั่งของเรา เราตองหา
วิธีการว่า จะท�าอย่างไรให้เขาคิด มันมีอยู่ตรงนี้เท่านั้นเอง
35
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
�
�
ฉะนน ขอให้จาไว้ได้เลยว่า จะทาอย่างไรให้เขาทางานให้เรา
้
ั
ด้วยความคิดของเขา เด็กๆ ก็เหมือนกัน เราเป็นครูบาอาจารย์
�
ื
�
เม่อจะให้เด็กๆ ทางานตามคาส่งของเรา จะเป็นกิจกรรมหรือ
ั
�
งานอะไรก็ตาม วิธีการก็คือว่า จะทาอย่างไรให้เด็กๆ ทางาน
�
ั
ิ
ช้นน้นด้วยความคิดของแกเอง อย่างความมุ่งหมายของวงการ
�
ี
ศึกษาของเราท่ว่า สอนเด็ก ให้คิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็น
เพราะอะไร? ก็เพราะตัวคิดตัวเดียวเท่าน้น ถ้าตัวคิด มันไม่คิด
ั
จะท�าอะไร ก็ท�าแบบแกนๆ ไป
ี
ี
อย่างท่โบราณเขาบอก หรือในปัจจุบันน้ เราก็ยังพูดกัน
ประเภทท่เรียกว่า เช้าชาม เย็นชาม ภาวะอย่างนี้มันเกิดข้นมา
ี
ึ
ี
�
ได้อย่างไร? แบบระบบราชการของเราน้ ทางานกันทุกหน่วยงาน
�
เราจะได้ยินคาว่า ทาพอให้หมดไปวันหน่งๆ ภาวะเช้าชาม เย็น
�
ึ
ชามนน เกิดจากความร้สึกไม่สบายในการทางาน และท่รู้สก
ึ
ี
�
ู
้
ั
ิ
�
ไม่สบาย ก็เพราะงานช้นน้น ตัวเองไม่ได้คิดว่าจะทา แต่ทาด้วย
�
ั
เสียไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถปลุกความคิดขึ้นมาได้ว่า งานชิ้นนี้
�
�
ต้องให้เขาคิดทาด้วย ถ้าเขาคิดทาด้วย ไม่ว่างานอะไรร้อย
แปดพันอย่าง จะยากขนาดไหน จะไม่มีความล�าบากอะไรเลย
ส�าหรับคนที่คิดท�า
ั
ี
�
เพราะฉะน้น ก็สรุปกันแค่น้ว่า การทางานอย่างไร ให้ม ี
ความสุข ให้มีความสบาย ก็หมายความว่า จะต้องทางานด้วย
�
�
ใจรัก การทางานด้วยใจรัก ก็คือทาด้วยความคิดของตัวเอง
�
36
สาราสารกถา
็
่
�
ิ
้
่
้
งานอะไรกตาม ถาหากเราไมไดคดของเราเอง จะไปทาอยางไร
ก็ไม่มีความสบาย
คราวน้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ในแต่ละวันๆ น้น เราคิดจะ
ี
ั
ทางานกนบ้างหรือเปล่า หรือว่าเราทาไปตามแกนตามความร้สึก
�
ั
�
ู
ี
ท่เสียไม่ได้แบบเช้าชามเย็นชาม ถ้าทาอย่างน้ ชาติท้งชาติก็ไม่มี
ั
�
ี
�
�
ี
ี
ความสบาย แต่ถ้าเราคิดว่า วันน้เราจะทางานช้นน้ให้สาเร็จ
ิ
�
ิ
ั
ให้บรรลุเป้า เราทาไปเถอะ ย่งทาย่งสบาย เพราะฉะน้น จะต้อง
ิ
�
ทางาน ด้วยความรัก ด้วยความคิดของตัวเอง แล้วงานทุกชนิด
�
จะส�าเร็จ และเราก็จะมีความสุขในการท�างาน
ี
ี
ท้ายท่สุดน้ ก็ขออานวยอวยพรให้ครูบาอาจารย์ทุกท่าน
�
ตลอดท้งเจ้าหน้าท่ทุกคนท่มาร่วมในงานวันครูวันน้ ขอให้
ี
ี
ี
ั
ทุกท่านมีความสุข มีความเกษมสวัสดี พบแต่สรรพส่งอันเป็น
ิ
มิ่งมงคล จงทุกสิ่ง ทุกประการเทอญ.
ธรรมะ
กับกำรครองเรือน
ั
ขอศุภมงคลความดีความงามท้งหลายท้งปวง จงบังเกิดม ี
ั
แด่ท่านผู้ชมและผู้ฟังทุกท่าน
ื
ก่อนอ่น อาตมภาพขออนุโมทนากับกองทัพบก ท่ได้ให้
ี
ั
โอกาสแก่พระมาเผยแพร่ธรรมะคาส่งสอนขององค์สมเด็จ
�
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับว่าเป็นการกุศลอย่างย่ง ด้วยประเทศไทย
ิ
ิ
ของเรา มีสถาบันหลัก ๓ สถาบันด้วยกัน คือ ชาต ศาสนา
ั
้
ั
ี
้
พระมหากษัตรย์ สถาบนหลกทง ๓ ประการน ศาสนาเป็น
ั
ิ
สถาบันหน่ง การท่กองทัพบกได้ให้โอกาสมาเผยแพร่ธรรม
ึ
ี
�
ในรายการพุทธประทีป จึงถือได้ว่าเป็นการช่วยทานุบ�ารุงพระ
�
พุทธศาสนา เผยแพร่พระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจาชาต ิ
ของเรา
* บรรยายในรายการพุทธประทีป ณ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง ๕
เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๖ เวลา ๐๘.๐๐ น.
38
สาราสารกถา
�
ี
�
สาหรับธรรมะซ่งจะได้นามาพูดคุยให้ฟังในวันน้ ตามหัวข้อ
ึ
ี
�
ท่กาหนดก็คือ ธรรมะกับการครองเรือน ธรรมะก็หมายถึง
ื
หลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เม่อเราจะพูดถึงธรรมะ
�
กับการครองเรือนแล้ว ธรรมะในท่น้ ก็จะต้องหมายถึงธรรม ๒
ี
ี
ประการ น้นก็คือ ธรรมในจิตใจของแต่ละบุคคล และธรรม
ั
ี
ี
ท่เป็นจริยธรรม ก็คือในรูปธรรม หรือท่เป็นพฤติกรรมในการ
กระท�าของแต่ละบุคคล ซึ่งออกมาจากคุณธรรมทางด้านจิตใจ
ิ
�
จะเห็นได้ว่า ธรรมะน้นมีส่วนสาคัญเก่ยวข้องกับทุกส่งทุกอย่าง
ั
ี
ในฐานะที่จะช่วยให้บังเกิดสิ่งที่ต้องการแก่ทุกคน
ี
ื
วันน้ จะพูดถึงธรรมะกับครอบครัว เม่อพูดถึงครอบครัว
แล้ว ก็หมายถึงคนท่ได้แต่งงานแล้ว เราเรียกกันว่า คนมีครอบครัว
ี
ถ้าไม่ได้แต่งงานอย่างอาตมา ก็ถือว่า ไม่มีครอบครัว แต่ความ
ึ
ิ
้
ี
ั
ั
ี
ื
หมายท่เป็นหวข้อเร่องในวันน หมายถงสมาชกในครอบครว
ธรรมะกับครอบครัว หมายถึง ธรรมะท่สมาชิกในครอบครัวจะ
ี
พึงประพฤติปฏิบัติต่อกันนั่นเอง
ู่
ครอบครัวมีอย ๒ ระดับ คือ ระดับท ๑ ได้แก่ ครอบครัวใหญ่
ี
่
หมายถึงประเทศชาติท้งหมดท่เราอยู่รวมกัน เรียกว่าครอบครัว
ั
ี
ึ
ใหญ่ เป็นหน่วยหน่งของประชาคมโลก แต่ครอบครัวใหญ่น้น อาจ
ั
จะไม่ต้องพูดถึง เพราะในรายการท่กาหนดในวันน้ ต้องการให้
ี
ี
�
ู
่
่
้
ื
่
ี
่
ั
ึ
ู
ั
พดถงครอบครวเลก คอครอบครวทอาศยอยแตละบาน แตละ
็
ั
ครัวเรือนนั่นเอง
39
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ธรรมะกับครอบครัว มีหลายรูปแบบหลายฐานะ ธรรมะ
ในฐานะท่เป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล จะพึงนาไปประพฤติปฏิบัต ิ
ี
�
ิ
�
ิ
่
ี
่
ุ
ึ
กมสวนหนง ธรรมะทแตละบคคลจะนาไปประพฤตปฏบตแกกน
่
่
ิ
ั
ั
่
ี
็
เช่น ในครอบครัวมีพ่อ มีแม่ จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อลูก ลูก
ก็ประพฤติปฏิบัติต่อพ่อ ต่อแม่
�
ี
�
แต่ธรรมะในฐานะท่จะพึงนาไปเป็นหลักธรรมประจาตัว
ั
�
ี
ของแต่ละบุคคลน้น ในวันน้จะอัญเชิญธรรมะสาหรับครอบครัว
โดยตรง ซ่งมาจากพระราชดารัสขององค์พระบาทสมเด็จ
ึ
�
ึ
พระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขแห่งชาติของเรา ซ่งได้ทรง
พระราชทานไว้เมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว ในพระราชด�ารัสนั้นมีว่า
ิ
ี
(๑) การรู้จกรักษาความสัตย์ ความจรงใจต่อตนเอง ท่จะ
ั
ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
(๒) การรู้จักฝึกใจตนเอง ข่มใจตนเองให้ประพฤติปฏิบัต ิ
อยู่ในความสัตย์ ความดีนั้น
(๓) การรู้จักอดทน อดกล้น และอดออม ท่จะไม่
ั
ี
ประพฤติล่วงความสัตย์สุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด
(๔) การรู้จักละวางความช่ว ความทุจริต และสละประโยชน์
ั
ื
ส่วนน้อยของตน เพ่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง
น่เป็นธรรมะ ซ่งในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ฆราวาสธรรม
ึ
ี
คือธรรมะกับการครองเรือน องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ี
ได้ทรงนามาพระราชทานให้แก่พวกเราทุกคน ท่อยู่ในผืนแผ่นดินน ้ ี
�
40
สาราสารกถา
ี
้
โดยพระองค์มีความเช่อม่นว่า ถ้าทุกคนในแผนดนน ประพฤต ิ
่
ิ
ื
ั
ั
�
ั
ี
ปฏิบัติตามหลักธรรมท้ง ๔ ประการน้ จะทาให้ครอบครวม ี
ี
่
้
ิ
�
ี
ิ
ิ
ความเจรญ มความมันคง และทาใหประเทศชาตมความเจรญ
มีความมั่นคงด้วย
ั
ึ
เพราะฉะน้น ธรรมะท่เรียกว่า ฆราวาสธรรม ซ่งเป็น
ี
�
ื
่
พระราชดารัสตามท่ได้กล่าวมาแล้วน้ จึงเป็นเร่องทพวกเรา
ี
ี
ี
ทุกคนต้องนาไปประพฤติปฏิบัติกันตลอดไป เราจะเห็นได้ว่า
�
เป็นธรรมะที่ส�าคัญจริงๆ
ี
ประการแรกท่ทรงตรัสไว้ว่า ให้ทุกคนมีสัจจะ คาว่า สัจจะ
�
ความหมายก็คือมีความตั้งใจ เมื่อพูดถึงความตั้งใจก็เป็นที่รู้จักกัน
ี
ิ
�
ั
โดยท่วไปว่า เป็นจุดเร่มต้นท่ทาให้ชีวิตของเราไปสู่จุดหมาย
ิ
ี
ี
ปลายทางตามท่ต้องการได้ นับว่าเป็นส่งท่สาคัญท่สุดเพราะว่า
ี
�
่
ี
่
ี
ิ
ุ
ึ
้
ทกสงทกอย่างทมขนในโลกน เกดจากความตงใจของคน ถา
้
ั
้
ุ
ี
้
ิ
ื
ี
ี
็
ิ
ั
ไม่มีความต้งใจ จะเห็นได้ว่า ส่งต่างๆ ในโลกน้ มกเหมอนไม่ม ี
ั
ี
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ วันน้เราเดินออกจากบ้านโดยไม่ต้งใจว่า
จะไปท่ไหน ลองคิดดูเถอะ ต่อให้เราเดินไปตลอดปีตลอดชาต ิ
ี
ึ
ี
ี
็
ี
่
กจะไม่ถงไหนเลย แต่ท่มสถานทให้เราไป มกิจกรรมให้เราทา
�
ี
ก็เกิดจากความตั้งใจของเรา
ั
ิ
เพราะฉะน้น ความต้งใจจึงเป็นส่งสาคัญท่สุด เป็นธรรมะ
ั
ี
�
ั
ประการแรก อย่างน้อยให้พวกเราทุกคนมีความต้งใจท่ดี ต้งใจ
ั
ี
41
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
้
็
ู
่
�
้
ี
ั
ั
ั
ทางาน ประกอบอาชพดวยความขยนขนแขง ลวนอยในสจจะ
ข้อนี้ทั้งนั้น
�
ี
แต่ท่เป็นพระราชดารัส พระองค์ทรงตรัสเน้นตรัสยาให้
้
�
เห็นความสาคัญ คือ ให้เห็นความหมาย โดยเฉพาะว่า การรู้จัก
�
รักษาความสัตย์ คือการรู้จักรักษาความต้งใจท่ดี ในอันท่จะ
ี
ี
ั
ี
ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งท่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม ทรงเน้น
๒ อย่าง คือ ประโยชน์ และความเป็นธรรม
เม่อทุกคนเกิดมาต่างก็มีความต้งใจ มีความอยากได้ด้วยกัน
ื
ั
ท้งน้น ถ้าเราต้งใจคิดแต่เพียงว่าจะเอาประโยชน์ตามท่เรา
ี
ั
ั
ั
�
ต้องการ โดยไม่คานึงถึงความเป็นธรรม ก็จะไม่เกิดความด ี
ี
ิ
ความงาม เพราะประโยชน์ท่เราจะพึงได้ ไม่ว่าจะเป็นส่งใดๆ
ต้องได้มาจากการเสียของผู้อื่น คือมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย
เพราะฉะน้น เราจะได้ประโยชน์อะไร เราต้องคานึงถึงผู้ท ่ ี
�
ั
ี
จะเสียประโยชน์ให้แก่เรา ไม่มีอะไรเลยท่ทุกคนได้มา โดยไม่ม ี
ฝ่ายหน่งฝ่ายใดต้องเสีย เช่น อยากมีบ้านมีเรือนใหญ่ๆ โตๆ อย
ึ
ู่
กว่าจะสร้างข้นมาได้ ธรรมชาติต้องเสยทรัพยากรให้แก่เรา เพอ
ึ
่
ื
ี
มาสร้างบ้านสร้างเรือนอยู่
ั
เพราะฉะน้น เราอยากอะไร ต้องคานึงถึงความเป็นธรรม
�
ิ
็
�
อยากได้ของธรรมชาตกต้องคานงถงความสมดลของธรรมชาต ิ
ุ
ึ
ึ
�
�
ด้วย ถ้าไม่คานึงถึงก็ไปทาให้ธรรมชาติเสียความสมดุล แล้วจะ
เกิดผลกระทบในทางที่ไม่ดีไม่งามแก่เรา
42
สาราสารกถา
ิ
น่เป็นธรรมะข้อแรก การรักษาความสัตย์ ความจรงใจ
ี
ิ
ี
ี
ต่อสังคม ต่อตนเอง ท่จะประพฤติปฏิบัติแต่ส่งท่เป็นประโยชน์
�
และเป็นธรรม ประโยชน์อะไรเราอยากได้ ต้องคานึงถึงความเป็น
ธรรม เพราะประโยชน์น้นๆ เราต้องได้มาจากการเสียของคนอ่น
ั
ื
และของส่งอ่นๆ ต้องพยายามให้เกิดความพอใจท้ง ๒ ฝ่าย คือ
ื
ิ
ั
ฝ่ายผู้ได้และฝ่ายผู้เสีย อย่างน้จึงเรียกว่า เป็นประโยชน์และ
ี
เป็นธรรม
ี
การท่เราจะรักษาความสัตย์ให้เป็นไปตามน้นได้ ต้องอาศัย
ั
ี
หลักธรรมข้อท่ ๒ คือ ต้องรู้จักฝึกใจตนเอง ข่มใจตนเอง
ถ้าเราไม่ฝึกใจตนเอง ไม่ข่มใจตนเอง เพราะใจเราแต่ละคนๆ
ิ
ั
บางทีอยากได้ข้นมาก็ไม่ได้ นึกว่าส่งท่อยากได้น้นจะมีผลกระทบ
ี
ึ
ให้เกิดความเสียอะไร แก่ใครบ้าง ก็ต้องพยายามฝึกใจตนเอง
ิ
ี
ให้อยากได้ในส่งท่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม ต้องพยายาม
ข่มใจตนเองให้อยู่ในกรอบนี้
�
ื
การฝึกใจ การข่มใจ บางทีก็รู้สึกว่าลาบาก เพราะเร่องของ
ี
การฝึกใจ ไม่ใช่เร่องสบาย จะทาอะไรให้เกิดผลท่ดีงาม หลัก
ื
�
ส�าคัญที่สุดอยู่ที่การฝึกใจ เราจะสังเกตเห็นได้ว่า ในขณะนี้เรา
ี
ื
�
ี
ยังสนอกสนใจเร่องกีฬาซีเกมส์ ท่กาลังแข่งขันกันอยู่ท่ประเทศ
ี
สิงคโปร์ นักกีฬาแต่ละคนท่จะไปแข่งขันได้ต้องผ่านการฝึกซ้อม
กันทั้งนั้น ถ้าไม่ฝึกไม่ซ้อมก็ไปแข่งขันไม่ได้
43
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ั
เพราะฉะน้น การท่เราฝึกใจตนเอง ข่มใจตนเอง จึงเป็น
ี
ี
ื
�
�
เร่องสาคัญ แม้จะลาบาก ถ้าหากเราต้องการเป้าหมายท่ดีให้แก่
ชีวิตของเราแล้ว เราต้องพยายามฝึกใจให้ได้ เพราะการฝึกตนน ้ ี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ความสาคัญมาก จึงตรัสเป็นสุภาษิต
�
ฺ
บทหน่งว่า ทนโต เสฏฺโ มนุสฺเสส แปลเป็นความง่ายๆ ว่า ผ ู้
ุ
ึ
ฝึกตนได้ย่อมเป็นคนเหนือคน
ิ
ี
ี
ั
้
�
ี
ุ
ุ
ี
ั
ู
่
ิ
เราจะพาชวตไปสจดหมายตามท่ตงใจไว้ สงท่สาคญท่สด
่
ึ
ประการหน่งคือ การฝึกตนอันเป็นคุณธรรมข้อท่ ๒ การฝึกตน
ี
�
ทายาก ทาลาบาก ถ้าหากว่าไม่มีความอดทน ไม่มีความอดกล้น
�
�
ั
ี
ี
�
กลัวความลาบาก เราก็ไม่สามารถท่จะฝึกตนให้ดีตามท่ปรารถนาได้
ี
ี
ิ
เพราะฉะน้น ส่งท่จะเป็นพ่เล้ยงให้การฝึกตนของเราเป็นไป
ี
ั
ี
ั
ิ
ไปในทางท่ดีน้น คือ ขันต คือ ต้องมีความอดทน การอดทน
ก็หมายถึงว่า เราอดทุกส่งทุกอย่างท่เป็นอุปสรรคแก่การฝึกตน
ี
ิ
อดไปๆ เกิดความรู้สึกอึดอัด-ขัดข้องข้นมา ก็ต้องพยายามอดกล้น
ั
ึ
ั
ั
ไว้ ไม่แสดงออก ถ้ากล้นไม่ไหวกล้นไม่อยู่ ก็ต้องพยายามให้ออก
ั
ทีละน้อยๆ ผ่อนทีละน้อย อย่างน้เป็นต้น เพราะฉะน้น ความ
ี
ี
อดทน อดกล้น อดออม จึงเป็นหลักธรรมสาคัญท่สุด ท่ประคอง
�
ั
ี
ให้การฝึกตนประสบผลส�าเร็จได้ นี่เป็นคุณธรรมประการที่ ๓
ั
ี
ประการท่ ๔ คือ การรู้จักละวางความช่ว ความทุจริต
และสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนให้กับประโยชน์ส่วนใหญ่
44
สาราสารกถา
�
ั
่
ิ
ื
็
้
็
ี
ของบานเมอง เปนสงสาคญ เพราะหากไมมความเสียสละ กไม ่
่
้
้
้
่
ี
สามารถทาอะไรตามทตองการได ไม่สามารถฝึกตนได ไม่สามารถ
�
ึ
ื
อดทนได้ ต้องอาศัยความรู้จักเสียสละ เสียสละอย่างหน่งเพ่อได้
อีกอย่างหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
ี
ั
้
ี
้
ทง ๔ ประการน เรยกว่า ฆราวาสธรรม เป็นธรรม
สาหรับผู้ครองเรือนทุกๆ คน พึงนาไปประพฤติปฏิบัติให้เกิด
�
�
ื
ั
ความม่นคง ในครอบครัวและประเทศชาติ น้เป็นเร่องย่อๆ ท ่ ี
ี
พูดให้แก่สาธุชนได้ฟัง ก็ขอพูดไว้เพียงเท่านี้.
อะไรคือควำมถูกต้อง
ี
ิ
ี
ั
ศภมสด ขอความดความงาม จงบงเกดมแก่ทกท่าน
ุ
ั
ุ
ุ
ี
ธมฺมสฺสวนกาโล อยมฺภทนฺตา ท่านผู้เจริญท้งหลาย โอกาสน้เป็น
ั
ี
ี
้
ั
ี
่
ั
โอกาสฟงธรรมของทานทงหลาย ตามรายการของสถานไทยทวส ี
ี
ช่อง ๓ และธรรมะท่จะพูดให้ฟังในวันน้ ทางเจ้าของรายการ
ี
ได้ก�าหนดหัวเรื่องให้ว่า อะไร? คือความถูกต้อง
่
็
ั
ื
้
ั
ู
่
ี
อะไร? คือความถูกต้อง เปนหวเรองธรรมะทจะพดใหฟง
และก่อนท่จะได้ฟังรายละเอียดของเร่องนี้ ก็ใคร่จะขอช้แจง
ื
ี
ี
ี
ทาความเข้าใจเก่ยวกับเร่องความถูกต้องสักเล็กน้อย เพราะว่า
ื
�
ิ
ี
เราจะรู้ทุกอย่างในโลกนได้ เราจะต้องรู้จากส่งเปรยบเทยบ ซ่ง
ึ
ี
้
ี
ตรงกันข้าม
�
่
เมอเรากาหนดหัวเรองว่า อะไร? คอความถูกต้อง การ
ื
ื
่
ื
�
ั
จะกาหนดว่าเป็น ความถูกต้อง ได้น้น เราจะต้องเอาความ
ถูกต้องมาวางคู่กันไว้กับส่งตรงกันข้าม ส่งอันตรงกันข้ามกับ
ิ
ิ
* แสดง ณ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓ รายการธรรมสวนะ พ.ศ.
๒๕๒๗
46
สาราสารกถา
ี
ั
ความถูกต้อง คืออะไร? ก็คือ ความผิดพลาด น่นเอง น่พูด
อย่างง่ายๆ ตอบอย่างง่ายๆ ว่า ความผิดพลาด ตรงกันข้าม
ิ
ู
ั
ู
่
ี
่
ิ
กบความถกต้อง ความถกต้องคือสงทไม่ผด ไม่พลาด พูด
ี
ื
เพียงแค่น้เร่องก็คงจะจบ แต่มันยังไม่จบ เพราะเราจะต้องรู้
ถึงรายละเอียดต่อไปอีกว่า เร่องของความสับสนวุ่นวายต่างๆ
ื
ี
ท่เกิดข้นในสังคมยุคน้และยุคไหนก็ตาม มันเกิดจากความ
ึ
ี
ั
้
ั
้
ู
ุ
ั
ื
ไม่ถกต้องทงนน ถ้าทกหน่วยของสงคม หรอแต่ละบคคลใน
ุ
�
ี
�
สังคม ดาเนินชีวิต ดาเนินธุรกิจไปในทางท่ถูกต้อง สังคมก็จะ
ไม่มีความสับสน สังคมก็จะไม่มีความวุ่นวาย
ลักษณะควำมถูกต้อง
ี
เม่อเร่องของความถูกต้องเป็นเร่องจาเป็นท่เราจะต้องรู้
ื
ื
�
ื
ั
ิ
ี
ื
ี
ั
ฉะน้น เร่องท่เราจะต้องรู้จักความถูกต้องน้น ก็มีส่งท่เราจะต้อง
ั
ื
คิดเป็นเบ้องแรกก่อน เพราะความถูกต้องน้นถ้าจะแยกประเภท
ก็ควรแยกประเภทออกได้ ๒ ลักษณะ คือ
๑. ความถกต้องเฉพาะเร่อง เฉพาะกรณี เฉพาะ
ื
ู
กาลเทศะ
๒. ความถูกต้องที่เป็นสากล คือยอมรับกันทั้งโลก
ี
พูดถึงความถูกต้อง ๒ ลักษณะน้ ถ้าจะแยกแยะประเด็น
ี
ี
รายละเอียดแล้ว ท่เป็นความถูกต้องเฉพาะเร่อง เฉพาะกรณแล้ว
ื
47
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
มีประเด็นท่จะต้องพูดมากมาย เราจะพูดกันเป็นวันเป็นคืนก ็
ี
ั
ื
พูดกันไม่จบ เพราะความถูกต้องเฉพาะเร่องเฉพาะกรณีน้น ไม่ใช่
ั
เป็นความถูกต้องเสมอไป บางคร้งบางเวลาเป็นความถูกต้องใน
ี
ึ
ยุคน้ แต่ไปอีกยุคหน่งก็อาจเป็นความผิดพลาดได้ หรือความ
ี
้
ี
ื
ถูกต้องในบ้านน้เมืองน แต่เป็นความผิดพลาดในบ้านอ่นเมืองอ่นได้
ื
ตัวอย่างง่ายๆ ความถูกต้องในบ้านเราเมืองเรา บางทีเป็น
ั
ื
ื
ความผิดของบ้านอ่นเมืองอ่น คือมันอยู่ตรงกันข้ามน่นเอง อย่างเช่น
่
ื
้
้
ั
็
ู
้
้
ี
ความถกตองในเรองกฎจราจร บานเราเวลาขบรถกตองหลกซาย
ื
ื
ี
แซงขวา อันน้เป็นความถูกต้องของบ้านเรา แต่ในบ้านอ่นเมืองอ่น
อย่างอเมริกา เขาขับรถตามกฎจราจรของเขา ต้องหลีกขวาแซง
ซ้าย จะเห็นได้ว่ามันตรงกันข้าม ทั้ง ๒ อย่างน้ก็เป็นความถูกต้อง
ี
ี
ี
เหมือนกัน แต่ว่าเป็นความถูกต้องเฉพาะท่ เฉพาะกาลเทศะ ท่น ่ ี
ี
ี
ถูกต้อง แต่ไปท่โน่นกลายเป็นความผิด อันน้ถือได้ว่า เป็นความ
ถูกต้อง เฉพาะเรื่อง เฉพาะกรณี
ผิด-ถูก ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละเรื่อง
ื
ี
คราวน้จะว่าถึงรายละเอียดของความถูกต้อง เพ่อจะให้
�
ี
ี
เข้าประเด็นท่เราทุกคนจะพึงเข้าใจ ข้อน้จะให้คานิยามอย่าง
ื
ง่ายๆ ว่า ความผิดหรือความถูกต้องน้น ข้นอยู่กับเง่อนไข
ึ
ั
ื
ึ
�
ของแต่ละเร่อง เม่อเรากาหนดคานิยามว่า ผิดถูกข้นอยู่กับ
ื
�
48
สาราสารกถา
ื
ื
เง่อนไขของแต่ละเร่อง อย่างนี้แล้ว เราก็สามารถจะกาหนดความ
�
ถูกต้องต่อไปได้อีกว่า ความถูกต้องนั้นก็มีหลายระดับ คือ
๑. ความถูกต้องตามเงื่อนไขของศาสนา
๒. ความถูกต้องตามเงื่อนไขของจารีตประเพณี
๓. ความถูกต้องตามเงื่อนไขของกฎหมาย
ถ้าหากว่าเราเข้าใจเง่อนไขต่างๆ เหล่าน้แล้ว เราก็สามารถ
ื
ี
จะหาข้อยุติคาว่า ถูกต้อง ได้โดยไม่ผิดผลาด เพราะเร่องท ี ่
ื
�
ี
สับสนวุ่นวายกันทุกวันน บางทีเราจะเห็นสาเหตุได้ว่า เราไมเขาใจ
้
่
้
ี
ื
ื
ั
้
่
่
ึ
ื
่
เงอนไขของเร่องทเกิดข้นนน เราเอาความถูกต้องของเงอนไข
ึ
ื
อย่างหน่ง ไปจับความถูกต้องของเง่อนไขอีกอย่างหน่ง บางท ี
ึ
ั
ุ
มนเข้ากันไม่ได้ กทาให้เกิดถกเถยง เกิดความวนวายหาข้อยต ิ
ุ่
ี
�
็
อะไรต่างๆ ไม่ได้
ี
ื
แต่ถ้าเราเข้าใจเง่อนไขตามท่กล่าวนี้ เราสามารถแยก
้
ประเดนได้ว่า เรองนเกดขนตามเงือนไขของกฎหมาย เราก ็
ึ
่
่
ื
็
ี
ิ
้
�
สามารถเอาความถูกต้องทางกฎหมายมากาหนดได้ ถ้าเป็น
ื
เร่องท่เกิดข้นตามเง่อนไขทางจารีตประเพณี เราก็สามารถ
ื
ี
ึ
เอาความถูกต้องทางจารีตประเพณีมากาหนดได้ ถ้าเป็น
�
เร่องทางศาสนา เราก็สามารถเอาความถูกต้องทางศาสนา
ื
�
ื
มากาหนดได้ น้เป็นเร่องท่เราต้องทาความเข้าใจว่า ความ
�
ี
ี
ถูกต้อง มีประเภท มีขั้นตอน มีลักษณะอย่างนี้
49
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
สาหรับวันน้ก็จะไม่พูดถึงความถูกต้องเฉพาะกรณี มัน
ี
�
ี
ต้องแยกประเด็นมากมายตามท่ได้กล่าวไปแล้ว และจะไม่พูดถึง
ี
่
้
ู
่
้
้
ความถกตองตามเงอนไขตางๆ ทไดกลาวมาแลว จะพดเฉพาะ
่
ู
่
ื
ความถูกต้องที่เป็นความถูกต้องสากล
ื
ั
ี
เม่อจะพูดถึงความถูกต้องท่เป็นสากลน้น ท่านผู้ฟังอาจ
ู
ู
ู
จะคดว่า ผ้พดจะมาสถาปนาตนเป็นผ้กาหนดความถกต้องให้
�
ิ
ู
กับสังคม โปรดอย่าเข้าใจอย่างนั้นเป็นความคิดที่จะเสนอแนะ
มีเหตุมีผลอย่างไร ก็ขอให้ใช้สติใช้วิจารณญาณไตร่ตรองไป
ดีงำม-ท�ำง่ำย-ถูกใจคน
เป็นเกณฑ์วัดควำมถูกต้องสำกล
ู
การที่จะก�าหนดกันว่า เป็นความถกต้องสากล นั้น เรา
็
ื
ื
กน่าจะเอาหลักทางศาสนามาเป็นเคร่องวัด เป็นมาตรฐาน เม่อ
ื
จะเอาหลักทางศาสนามาเป็นเคร่องวัด เป็นมาตรฐานแล้ว ก ็
พอจะสรุปได้ว่า ความถูกต้องสากลน้น ต้องเป็นความถูกต้อง
ั
ี
ท่เม่อช้แจงออกไปแล้ว เป็นท่ยอมรับกันท้งโลก จึงจะเรียกว่า
ั
ี
ื
ี
เป็นความถูกต้องสากล ไม่ใช่ยอมรับกันเฉพาะพวกเรา ไม่ใช่
ยอมรับกันในบ้านในเมืองเรา ต้องมีเหตุผลท่สามารถยอมรับ
ี
กันได้ทั้งโลก จึงจะเรียกว่า เป็นความถูกต้องสากล
ี
การท่จะเอาหลักทางศาสนามาเป็นเคร่องวัด เป็นมาตรฐาน
ื
ี
ั
้
ความถูกต้องสากลนน โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา ก็มหลก
ั
50
สาราสารกถา
คาสอนท่เราจะพึงพิจารณาให้เห็นเหตุเห็นผล และยอมรับกัน
ี
�
โดยทั่วไปว่า เป็นความถูกต้องได้
ี
อะไร? คือความถูกต้อง เม่อจะเข้าประเด็นน้ ก็ต้อง
ื
ี
พูดว่า ส่งใดก็ตาม ท่ดีงาม ทาง่าย และถูกใจคน ส่งน้นเป็น
ิ
�
ั
ิ
�
ิ
ี
ั
ความถูกต้อง ดังน้น ส่งท่จะกาหนดได้ว่า เป็นความถูกต้อง
สากลนั้น จะต้องประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการนี้ คือ
ดีงาม
ท�าง่าย
ถูกใจคน
เราต้งประเด็นอย่างน้ และค่อยพิจารณาไปทีละน้อยๆ
ั
ี
ิ
�
ี
เราก็จะเห็นได้ว่า ส่งท่เราจะกระทาลงไป ส่งท่เราจะแสดงออกไป
ิ
ี
ื
ี
ต่อผู้อน ตามหลักทางศาสนา โดยเฉพาะท่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
่
ได้ทรงสอนไว้น้น ถ้าต้องด้วยลักษณะ ๓ ประการน้แล้ว ก็จะ
ั
ี
ถือได้ว่า เป็นความถูกต้องสากลจริงๆ
ดีงาม-ทาง่าย-ถูกใจคน คืออะไร? เราต้องหาข้อเปรียบเทียบ
�
ั
ี
เอามา อย่างท่พระพุทธเจ้าทรงส่งสอนธรรมะ บัญญัติธรรมะ
ั
ั
ให้ประพฤติปฏิบัติกันท่วไปน้น ก็เพ่อความถูกต้องสากลท้งน้น
ั
ั
ื
ี
เพราะธรรมะท่พระองค์ทรงสอนให้ประพฤติปฏิบัติจะมีลักษณะ
๓ ประการนี้ทั้งนั้น
ี
ลองยกตัวอย่างง่ายๆ เอามาเปรียบเทียบดู อย่างท่ทาง
ศาสนาสอนให้เรามีเมตตาต่อกัน น้ยกตัวอย่างสอนให้เราม ี
ี
51
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
เมตตา สอนให้มีความรักต่อกัน มีความสมัครสมานสามัคคีกัน
ั
เราก็ต้องต้งประเด็นถามตัวเองว่า ความรัก-ความเมตตาต่อกัน
เป็นส่งท่ดีงามหรือไม่ เราลองพิจารณาดูด้วยใจของเราเอง เรา
ิ
ี
ี
ก็จะเห็นได้ว่าความรักน้นเป็นส่งท่ดีงาม ความเมตตาเอ้ออาร ี
ื
ั
ิ
ี
ิ
ต่อกัน เป็นส่งท่ดีงาม ไม่มีใครปฏิเสธเลย ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหน
ยอมรับว่า ความเมตตา ความเอื้ออารีต่อกันนั้น เป็นสิ่งที่ดีงาม
จริงๆ
แต่ถ้าเรามองเห็นความข้อนี้แล้ว เราก็สามารถจะหาสิ่งที่
ิ
ตรงกันข้ามมาวางคู่กันให้พิจารณาได้ เราไปนึกถึงส่งตรงกันข้าม
กับความรัก-ความเมตตา-ความเอ้ออารีต่อกันน้น ก็คือ ความโกรธ
ั
ื
-ความเกลียด-ความเห้ยมโหด เอาความโกรธกัน-ความเห้ยมโหด
ี
ี
ต่อกัน มาวางคู่กับความรัก-ความเมตตาต่อกัน แล้วให้เราพิจารณา
ดูด้วยใจของเรา เราก็สามารถจะตัดสินได้ว่า ระหว่างความรักกับ
ความโกรธ-ความเกลียด อันไหนดีงาม? เราก็จะตัดสินด้วยตัวเอง
ิ
ว่า ความรัก-ความเมตตาน้น เป็นส่งท่ดีงามเราก็จะรักกัน เมตตา
ี
ั
ต่อกัน ดีกว่าจะเหี้ยมโหดต่อกัน และประทุษร้ายกัน
ี
เม่อเทียบกันแล้ว เราเห็นว่าดีงาม ก็จะเอาลักษณะข้อท
่
ื
ี
๒ มาปรับอีกว่า การท่จะแสดงความเมตตาต่อกัน การทจะ
ี
่
ั
แสดงความโหดร้าย-ประทุษร้ายชีวิตของกันและกันน้น ส่งไหน
ิ
ทาง่าย ส่งไหนทายาก เม่อวางคู่กันเข้าอย่างน้ เราก็จะเห็นได้ว่า
�
�
ิ
ี
ื
ั
เมตตาเขาน้นทาง่าย ง่ายกว่าประทุษร้ายต่อเขา เพราะฉะน้น
ั
�
52
สาราสารกถา
เมตตาเขา จึงเป็นสิ่งที่ท�าง่าย โกรธเขา เกลียดเขา ประทุษร้าย
เขา เป็นสิ่งที่ท�ายาก นี่เป็นลักษณะที่ ๒
ลักษณะท่ ๓ ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อเขา ความ
ี
ช่วยเหลือเขา เป็นส่งท่ถูกใจเขาหรือไม่? กับความโหดร้าย ความ
ิ
ี
โกรธ เกลียดเขา ถูกใจเขาหรือไม่? เรามาวางให้เลือกกันอย่างน ี ้
ก็สามารถจะตัดสินได้ด้วยตัวของเราเองว่า ความเมตตา ความ
ปรารถนาดีน้น เข้าถึงท่ไหน ก็ถูกใจท่นน เราเมตตาต่อใคร คนน้น
ั
ั
่
ี
ี
ั
ก็ชอบเรา เราเมตตาต่อสิงสาราสัตว์ สิงสาราสัตว์ก็ไม่เกลียดเรา
เมตตาต่อต้นไม้ ต้นไม้ก็ไม่เกลียดเรา
เพราะฉะน้น ก็กล่าวสรุปเอาง่ายๆ ในช่วงโอกาสอันน้อยน ี ้
ั
ี
ี
ว่า ความถูกต้องท่เป็นสากลน้น เป็นส่งท่ดีงาม ส่งท่ทาง่าย
ั
ิ
ิ
ี
�
ื
ส่งท่ถูกใจคน อันใดก็ตาม เม่อเราทาไปแล้ว เป็นส่งดีงาม-
ี
ิ
ิ
�
ื
�
ทาง่าย-ถูกใจคน อันน้นคือความถูกต้อง พยายามเลอกสรร
ั
ี
พิจารณาดูคาสอนของพุทธองค์ ท่สอนให้ประพฤติปฏิบัต ิ
�
ทั้งหมดจะอยู่ในลักษณะ ๓ ประการนี้ทั้งนั้น
ั
เพราะฉะน้น การทาก็ตาม การพูดก็ตาม การคิดก็ตาม
�
ี
ท่จะส่งผลให้กับผู้อ่น ถ้าประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการน ี ้
ื
แล้วก็สามารถจะตัดสินได้ว่า ส่งน้นเป็นธรรม ส่งน้นเป็น
ั
ั
ิ
ิ
ี
ความถูกต้อง และเป็นความถูกต้องสากลท่สามารถยอมรับกันได้
ทั้งโลกจริงๆ ก็หวังว่าทุกท่าน คงพอจะเข้าใจ
53
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
สาหรับรายการท่พูดในวันน้ ถ้าหากจะพูดถึงความถูกต้อง
�
ี
ี
ในแง่รายละเอียดพิสดาร ท้งเป็นความถูกต้องเฉพาะส่วน และ
ั
้
ั
็
ื
้
ี
็
้
็
ู
้
ั
เปนความถกตองสากลนน จะตองใชเวลาอกมาก เปนวนเปนคน
ี
ไม่รู้จบ วันน้มีเวลาจากัดขอพูดเพียงเท่าน ขอความสุขสวัสด จงม ี
ี
�
ี
้
แก่ทุกท่าน เจริญพร ฯ
วิชาเป็นอ�านาจ มารยาทเป็นเสน่ห์
มำไหว้ครูกันเถอะ
เม่อแรกเกิด เราทุกคนนับเป็นแขกแปลกหน้า ไม่มีใคร
ื
รู้จักเราเลย และเราเองก็ไม่รู้จักใครหรืออะไรเลยเหมือนกัน
ั
ุ
เท่ากับว่า เราเป็นตัวโง่ตวหน่งทปรากฏข้นมาในโลก อนห่อห้ม
ั
ี
ึ
่
ึ
ไว้ด้วยความโง่ ถ้าพ่อ-แม่ไม่ต้งช่อให้ เราก็คงเป็นตัวโง่ท่ไม่มีใคร
ี
ั
ื
ื
ั
รู้จักอยู่น่นเอง เขารู้จักเราก็เพราะเรามีช่อ เรารู้จักเขาก็เพราะ
ื
ั
เขามีช่อเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีการต้งช่อกัน ก็คงไม่รู้ว่า ใครเป็น
ื
ี
ใคร หรืออะไรเป็นอะไร คงยุ่งยากมาก ท้งท่มีช่อกันแล้วยังอดยุ่ง
ื
ั
ไม่ได้ เพราะไม่ค่อยระวังรักษาช่อกัน ใครเป็นคนคิดระบบการ
ื
ึ
ตั้งชื่อข้นมาใช้กัน คงสุดวิสัยท่จะคิดค้นกันได้ ยกให้เป็นบรม
ี
ี
ครูคนแรกก็แล้วกัน เม่อได้ช่อมาแล้วก็ระวังรักษากันไว้ให้ด
ื
ื
มิฉะนั้น จะเสียชื่อ
ี
* ลงพิมพ์ในหนังสือท่ระลึก พิธีครอบ-ไหว้ครูดนตรี นาฏศิลป์ และ
ื
ศิลปะการช่าง โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จังหวัดสุพรรณบุรี เม่อวันท ่ ี
๓ กันยายน ๒๕๓๕
56
สาราสารกถา
เราได้ช่อเป็นอะไรกันบ้าง สารวจตัวเองดู เป็นพ่อแม่-
ื
�
เป็นลก เป็นครูบาอาจารย์-เป็นศิษย์-เป็นศลปิน-เป็นนักการ
ิ
ู
เมือง-เป็นนักบวช-เป็นศาสนิกฯลฯ ถ้าประพฤติตนไม่สมศักด์ศร ี
ิ
กับช่อท่เป็น ก็มีช่อเสียงเป็นท่ดูหม่นเหยียดหยาม ของกันและกัน
ื
ิ
ี
ื
ี
่
ประเพณการไหว้คร ไม่วาจะในสายวชาใด นอกจากจะเปน
ู
ิ
็
ี
การแสดงความเคารพ ความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์แล้ว
ยังเป็นการประกาศตนยืนยันต่อฟ้าดิน ครูบาอาจารย์ และคน
ท้งหลายว่า จะเป็นศิษย์ท่ดีตลอดไป และจะประพฤติตนให้
ั
ี
สมศักด์ศรีกับช่อท่ได้เป็น จึงเป็นประเพณีอันดี ซงควรอนุรักษ์
ึ
่
ิ
ี
ื
และส่งเสริมให้กระท�ากันในทุกสถาบันและทุกสาขาวิชาการ
ชื่อเสียงของคน ก็เหมือนดนตรี
ถูกเขย่าเป่าตี ดีดสีจึงดัง
คุณสมบัตินักเผยแผ่
ท่านพระธรรมทูตทุกรูป
ี
ผมมีความยินดีท่ได้มีโอกาสมาให้ข้อคิดเห็นกับพระธรรมทูต
ี
�
ื
ทุกท่าน ในวันน้ช่วโมงน ทางผู้จัดได้กาหนดให้มาพูดเร่อง คุณสมบัต ิ
้
ี
ั
ของนักเผยแผ่
ี
ี
ิ
ก่อนท่ผมจะพูดเก่ยวกับคุณสมบัต ก็อยากจะเรียนถวายว่า
�
ั
นักเผยแผ่ ก็คือนักสอนศาสนาน่นเอง เพราะส่งท่เราจะนาไปเผยแผ่
ี
ิ
ก็คือ พระศาสนาของพระพุทธเจ้า และนักเผยแผ่พระศาสนา
จริงๆ ท่มีผลต่อเน่องให้เราได้รับประโยชน์กันอยู่ทุกวันน้ ก็เกิด
ี
ี
ื
จากพระธรรมทูตทั้งนั้น
ี
ถ้าเราดูประวัติพระศาสนาท่พวกเรานับถือ และเข้ามา
บวชกันอยู่นี้ ก็เกิดจากนักเผยแผ่ คือพระธรรมทูต อย่างน้อย
ิ
ู
ุ
ุ
็
กเกดจากพระโสณะและพระอตตระ สองพระธรรมทตร่นแรก
�
้
* บรรยายในการอบรมพระธรรมทูต ณ วัดปากนา ภาษีเจริญ กรุงเทพ
มหานคร เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๖