The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by schtgr1125, 2020-04-15 00:10:24

สาราสารกถา พระธรรมพุทธิมงคล เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี.

158
สาราสารกถา





เราทาแต่ตอนถืออุปััชฌาย์ว่า อชฺชตคฺเคทานิ เถโร มยฺห ภาโร



: ต้งแต่วันน้เป็นต้นไป ท่านเป็นภาระของเรา ก็หมายความว่า

เราจะดูแลท่าน จะปรนนิบัติท่าน เราจะเช่อฟังท่าน อะหมปิ

เถรสฺส ภาโร : ข้าพเจ้าก็ขอกราบเป็นภาระของท่าน ขอ
ให้ท่านช่วยเป็นภาระปกครองดูแลแนะนาส่งสอน ก็ปวารณา


กันแล้ว วิธีถืออุปัชฌาย์ อุปชฺฌาโย เม ภนฺเต โหหิ วิธีถือ




อาจารย์ฺก็เช่นเดียวกัน โบราณเขามีเสร็จแล้ว ก็ไปทาหน้าท่ครบา-
อาจารย์ อาจาริโย เม ภนฺเต โหหิ : ขอท่านจงเป็นอาจารย์
ข้าพเจ้า นิสฺสาย น วจฺฉาม : ข้าพเจ้าขออาศัยอยู่ในปกครอง




ของท่าน เราเป็นอาจารย์ ถ้าเราไม่ได้ทารูปแบบประเพณอย่างน ี ้

แต่ว่าความสานึกความรู้สึกต้องมีว่า เราเป็นครูบาอาจารย์ แล้วก ็

ต้องปลุกความสานึกให้แก่ลูกศิษย์หรืออันเตวาสิกด้วยว่า แต่ละรูป
เม่อมาเป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์ของกันและกัน ต้องเป็นภาระ


ของกัน น่นก็หมายความว่าจะต้องทาหน้าท่ในกันและกันให้มัน




ถูกต้อง ครูบาอาจารย์ต้องทาหน้าท่อย่างไรกับลูกศิษย์ หรือลูกศิษย์


ต้องทาหน้าท่อย่างไรกับอาจารย์ เราต้องไปศึกษาอาจริยวัตร


อันเตวาสิกวัตร ซ่งก็มีในวินัยท่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ น่มันม ี



ภาระหน้าท่กันแล้ว ภาระหน้าท่ของลูกศิษย์คือปฏิบัติอาจริยวัตร

หน้าท่ของอาจารย์ก็อันเตวาสิกวัตร ปฏิบัติหน้าท่กับลูกศิษย์

ทาไม? เราไปคิดว่าไม่ใช่เร่องของเรา ทาไมไปคิดว่าไม่ใช่งานของ



เรา นี่แหละคืองานปกครอง

159
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






สาขาท ๒ งานศึกษาด้วยตัวของเราเอง เราศึกษาพอยัง?


เราไปคิดว่าไม่มีงานทา วันๆ เคยได้อ่านหนังสือกันสักแถวหน่งไหม?

ด้านการศึกษาเน่ยด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงสอนคนอ่น วันๆ ได้

อ่านหนังสือบ้างหรือเปล่า? ตู้พระไตรปิฎกก็มีญาติโยมเขาศรัทธา

สร้างไว้มีกุศลมหาศาล บ้างก็เอามาถวายวัด มาทาพิธีฉลองสมโภช


กันเสร็จ แต่ตู้น้นไม่เคยเปิดเลยจนกระท่งตายจากกัน ตู้พระ
ไตรปิฎกกับเราไม่เคยกระทบกันเลยต้งแต่เข้ามาอยู่ในวัด ไม่

เคยเปิดอ่านพระไตรปิฎกกันสักบรรทัดเดียว พูดให้เห็นว่า ความ











ร้สกว่าไม่มงานทาเป็นมจฉาทฏฐ เป็นตรงน กพระไตรปิฎกซง



เป็นคาส่งสอนของพระพุทธเจ้า ๓ ปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
บวชกันมา ๕-๑๐ ปี ไม่เคยอ่านกันเลยสักบรรทัดเดียว แล้วทาไม




เรามารูสึกวาไม่มีอะไรจะท�ากันในดานการศึกษา การคิดวาไม่มี


อะไรจะทาเป็นมิจฉาทิฏฐ จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? ไปนรกอย่างเดียว



อย่างดก็ไปเกดเป็นหนอนอย่างทว่าแหละ และงานให้การศกษา



กับคนอ่นคืองานสอน เราได้สอนอะไรกับใครบ้าง ลูกศิษย์เรา

สอนอะไรไปบ้าง เคยสอนอะไรเขาไปบ้าง น่คืองานสอน เคย

เตือนอะไรบ้าง น่คืองานสอน งานศึกษาต้องพยายามขวนขวาย



เรียนรู้ไปเร่อยๆ ความรู้เทคโนโลยีอะไรท่แผ่ขยายมา เรามีสต ิ






ปญญาไมพอทจะไปเรยนรไดหมด แตเรายนหยดวาเราจะศกษา







พระพุทธพจน์ให้แตกฉานอย่างเดียวเท่าน้นแหละสู้โลกได้ อ่าน

พระไตรปิฎกให้มันแตก อย่างน้อยๆ สักเล่มหนึ่ง พระไตรปิฎก

160
สาราสารกถา





มี ๔๕ เล่ม เท่ากับอายุพระพุทธเจ้าส่งสอนพุทธบริษัทหลังจาก
ตรัสรู้แล้ว ก็ใช้เวลาว่างอ่านวันละช่วโมงหรือจะอ่านหนังสืออะไร




อย่างอ่นท่เก่ยวกับธรรมะ ตารับตาราเรียนอะไรก็ได้ อ่านหลาย



เท่ยว มันก็เป็นการเพ่มความรู้ เพ่มความเฉลียวฉลาดให้กับ





ตนเอง มันมีทางท่จะทาให้เราดีได้ท้งน้น ถ้าเราไม่อยู่อย่างหนอน


แต่อยู่อย่างเทวดา แสวงหาความรู้ความฉลาดเพ่มความรู้ความ
ฉลาดให้แก่ตัวเอง ถ้าเราได้อ่านหนังสือจะรู้สึกว่ายังโง่อีกเยอะ




มันมีเร่องราวท่เราไม่รู้อีกมากมาย ย่งอ่านไปก็จะพบว่าเร่องน ี ้


เรายังไม่เคยพบมาก่อนเลย อย่างท่โบราณเขาบอกว่า “ย่งเรียน

ย่งโง่” รู้สึกว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ เอาแค่ธรรมะของ


พระพุทธเจ้าท่เราบวชเรียนกันมา ๕ ปี ๑๐ ปี ธรรมะท่เรารู้น่ะ

มีอะไรบ้าง? กับธรรมะท่เรายังไม่รู้มันมีเท่าไร? เทียบกันไปแล้ว
ก็หน่งในร้อยท่รู้กันอยู่ ท่ไม่รู้มีถึงเก้าสิบเก้า แล้วเราจะไปคิด



ว่าไม่มีงานทา มันไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วจะว่าเป็นอะร? ก็ต้อง


เป็นมิจฉาทิฏฐิ เม่อเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วอนาคตจะเป็นอะไรได้

อนาคตก็ต้องไปอบายภูมิ อบายภูมิคืออนาคตทมีความเส่อม


ไม่มีดีขึ้น


สาขาท่ ๓ งานเผยแผ่ งานเผยแผ่เป็นงานสาคัญท่สุด

ท่เราจะต้องแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ต่อบุรพาจารย์

พระพุทธศาสนาเข้ามาถึงประเทศไทยและได้รับการสืบทอดมา


จนถึงพวกเรา พวกเราได้มีวันนี้ ท่เราได้มาเป็นพระ ความท่เรา

161
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)







ไม่คิดทามาหากินก็ยังมีกินอย่างวันน้ พวกเรามีวันน้เป็นผลพวง
ของการเผยแผ่ของบุรพาจารย์รุ่นก่อน ถ้าบุรพาจารย์รุ่นก่อนไม่
เรียนรู้ธรรม ไม่ศึกษาธรรมแล้ว ไม่คิดเผยแผ่ คิดไหมว่าพระพุทธ-


พุทธศาสนาจะมาเมืองไทยได้ การท่พระพุทธศาสนาข้ามนาข้าม










ทะเลจากประเทศอนเดย มาประดษฐานตงมนอยในประเทศไทย
น้เป็นผลพวงของการเผยแผ่เอาศาสนาในอินเดียมาเผยแผ่ใน

ประเทศไทย จนคนยอมรับนับถือและก็มีประเพณีบวชสืบทอด
กันมาจนถึงปัจจุบันน้ ถ้าเราไม่คิดจะเผยแผ่ เราต้องเป็นคน

อกตัญญู ต้องคิดว่าเราจะเอาธรรมอะไรเผยแผ่ จะเอาธรรม


อะไรเปิดเผยกับญาติโยม จะทาอย่างไรให้คนท่เขามีศรัทธาอยู่





แล้วก็ให้เขามีศรัทธาต้งม่นอยู่อย่างน้น ไม่เปล่ยนไปเปล่ยนมา













ทเขาไม่ศรทธา ทาอยางไรจะใหเขาศรัทธา ตองคดทกวทกวนเลย

น่คือเผยแผ่ จะไปคิดว่า เขาไม่มีศรัทธานิมนต์ เราก็มีกิน เขาไม่
เล่อมใสคนอ่นก็มีเล่อมใส เป็นคนท่จะอยู่ในระดับครูบาอาจารย์





ต้องคิด! เราต้องไม่มีใครเป็นศัตรู คนท่ไม่ศรัทธาเราก็ต้องคิดว่า

จะทาอย่างไรให้เขามีศรัทธา เม่อมีศรัทธาแล้วเขาก็เลิกเป็นศัตร ู

ถึงแม้ว่าเป็นงานหนัก แต่เราก็ต้องสู้อย่าไปถอย พวกเราเข้ามา

อยู่ตรงน้แล้ว หากใจคิดสู้อย่างเดียวไม่มีอะไรลาบาก น่คืองาน


เผยแผ่

สาขาท่ ๔ งานสาธารณูปการ ก็คืองานก่อสร้าง ซ่อมแซม

ดูแลรักษาความสะอาด ความร่มร่น สร้างความสะอาด สร้างความ

162
สาราสารกถา




ร่มร่นให้แก่วัด ถ้าเราคิดว่าไม่มีงานทาเราลองไปดูซิว่าวัดเรา



สกปรกรกรุงรังหรือว่าสะอาดเรียบร้อยดี ถ้าเห็นว่าสกปรกจะทา


อย่างไรให้มันสะะอาด เม่อมาคิดถึงสาขาตรงน้ จะเห็นได้ว่ามีงาน

ให้ทาทุกวันเลย หากเราคิดว่าไม่มีงานทา บิณฑบาตเสร็จกลับมา


กินแล้วก็นอน วัดก็รกรุงรังเต็มไปด้วยส่งสกปรกโสโครก แค่ดูแล

รักษาความสะอาดเสนาสนะ อะไรท่มันผุมันพังพอจะซ่อมแซมได้



เราก็ซ่อมแซมกัน สถานท่ดูแลให้มันสะอาดสะอ้าน น่คืองานท้งน้น

แล้วเราจะไปคิดว่าไม่มีงานท�าได้อย่างไร



สาขาท ๕ ศึกษาสงเคราะห์ ในวัดเราไม่มีพระไม่มีเณรท่จะ


ส่งสอน เพราะรู้ดกันหมดเสียแล้ว เราก็ไปช่วยเหลือสอนโรงเรียน
ก็ได้ ช่วยอบรมหรือมามีโครงการอาหารเล้ยงเด็กกัน เรามีอะไรจะ

ไปบริจาคให้กับโรงเรียนช่วยเป็นค่าอาหารกลางวัน จาพวกอาหาร

กระป๋อง ข้าวสารท่เขาตักบาตรตอนออกพรรษา ก็ดูว่าโรงเรียน

ขาดอะไร ข้าวสาร เคร่องกระป๋อง ฯลฯ น่งานศึกษาสงเคราะห์



ก็ทาได้ ส่งเสริมด้านการศึกษา คือพยายามช่วยดึงคนเข้ามาใน
พระพุทธศาสนา เพ่อมาศึกษาเล่าเรียนวิชาทางพระพุทธศาสนา


อยากจะให้ปีหน่งๆ แต่ละวัดๆ หาคนมาบวชเณรวัดละองค์
ส่งไปเรียนส�านักเรียนต่างๆ เพราะปัจจุบันนี้จะไม่มีคนบวชเณร

แล้ว เรียกว่า ศาสนทายาทเร่มจะขาดตอนกันไปแล้ว ดูว่าฐานะ




พ่อ-แม่ของเด็กๆ ท่อยู่ในโรงเรียนน้นพอท่จะส่งลูกไปเรียนได้


ตลอดไหม หากส่งไม่ได้เราก็เอามาบวชเณร แล้วกส่งเสรมเอาไปฝาก

163
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)









ตามสานักเรียนต่างๆ หากแต่ละรูปทาได้อย่างน เราก็ม่นใจได้ว่า

อายของพระพุทธศาสนาได้รับการสืบทอดต่อไป เพราะในปัจจุบัน
คนท่เข้ามาบวช ๗ วัน ๑๕ วันก็สึกหมด ต่อไปๆ ก็เหลือแต่หลวงตา

เฝ้าวัดองค์เดียว หากเราไม่ท�างานด้านศึกษาสงเคราะห์โดยการ

หาเอาเด็กเขามาบวชเณร เราจะสบทอดตอศาสนาตอไปอยางไร






ช่วอายุเราไม่เป็นไร เพราะเราก็อายุมากกันแล้ว เด๋ยวก็ตายกันไป
และต่อไปลูกหลานเหลนข้างหน้าเรา ก็ต้องพยายามรักษามรดกน ี ้






สบไป รบมรดกกคอหาคนเขามาเปนทายาท กคอหาเขามาบวช



เณรสร้างคนให้เป็นศาสนทายาท อย่างท่านเจ้าคุณประยุทธ์ (พระ

ธรรมปิฎก) ท่านก็เรียนทางน้ ท่านก็สามารถทางานเป็นท่ยอมรับ


ของโลกได้ ทางก้าวหน้ามันมี แต่ว่าเราไม่ได้คิดจะส่งเสริม ไม่ได้
คิดจะสร้าง นี่เป็นงานสงเคราะห์อย่างหนึ่ง
สาธารณสงเคราะห์ สาธารณประโยชน์เราต้องคิดท�าใน
ชุมชนของเรามีตรงไหนบ้างท่คนยังลาบากอย เราพอจะช่วยได้ไหม?

ู่



เราก็ต้องศึกษาปัญหาชุมชนน้ เขามความเดือดร้อนร่วมกันเร่อง









อะไร? ไมมน้ากนนาใช เราจะชวยอยางไร? หาทางขดสระหรอวงเตน






ขอหน่วยราชการ กานัน ผู้ใหญ่บ้านให้ไปเจาะบ่อบาดาล ช่วยเหลือกัน

ต้องคิดเป็นสาธารณสงเคราะห์
มีอีกอย่างหน่งอยากจะฝากเอาไว้ในด้านสาธารณสงเคราะห์

เราจะต้องดูแลบ้างว่า คนแก่คนเฒ่าคนยากอนาถา อย่างที่ข่าว


หนังสือพิมพ์ท่ลงบางท้องท่ ผัวเมียเป็นอัมพาตขังตัวเองอยู่ใน

164
สาราสารกถา






บ้าน ๓-๔ ปี ไม่มีใครดูแล ลูกหลานก็ท้งไป ประเภทน้ต้องดู ม ี



ปรากฏในหนังสือพิมพ์ คนบ้านน้นบ้านน้ ถ้าจะเลวจะช่วอย่างไร
เอาตัวไม่รอดลูกหลานท้งไป มีอะไรไปหยิบย่นให้ อย่าให้เขาอยู่อย่าง


อดอยาก หรือบอกพวกกัน บอกชาวบ้านท่ฐานะดีช่วยสงเคราะห์













ถาไมงนแลวอบอายขายหนา ไปลงหนงสอพมพ ไปออกทว ถามวา


ตรงน้นมีวัดไหม? และพระในวัดน้นอดอยากหรือเปล่า? ไม่ได้




อดอยากเหลือกินเหลือใช้ ทาไมไม่มีนาใจสงเคราะห์สาธารณชน

ทอดอยากบาง อย่างนอยๆ งานท่เปนหลักซ่งองคกรของเรากาหนด











ข้นมา และยังมีนอกจากน้นอีกเยอะ ถ้าเราคิดทาแล้วงานทาไม่หมด




หรอก ไม่มีใครท่จะทางานได้เสร็จ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมา-


สัมพุทธเจ้า พระองค์ทาเสร็จแต่งานส่วนตัว งานท่จะสงเคราะห์


โลก ทาเสร็จเม่อไรเล่า ทาได้ ๔๕ ปีแล้วก็ปรินิพพาน ก็ต้องมา

สืบสานกันต่ออีก แล้วเราไปคิดว่าไม่มีงานทา หากไม่เรียกว่าเลว

จะเรียกว่าอะไร? อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว




เท่าท่ผมว่ามาน้ก็เป็นข้อความท่วๆ ไป เพ่อให้ข้อคิดปลุก
สานึกให้พวกเราๆ ว่าเราในฐานะท่เป็นครูบาอาจารย์ และต่อๆ ไป


จะปกครองวัดวาอาราม อย่าคิดว่าไม่มีอะไรทา ขอให้คิดว่าวันน ้ ี



เราได้บกพร่องในเร่องอะไรบ้าง เพราะมันต้องทาทุกวัน งาน
ปกครอง ต้องทาทุกวัน งานศึกษางานเผยแผ่-งานสาธารณูปการ


ต้องทาทุกวัน งานสงเคราะห์ งานสาธารณสงเคราะห์ ต้องทาทุกวัน


ทุกลมหายใจ น่ก็ฝากให้เอาไปคิด ก็คิดว่าข้อคิดอะไรต่างๆ มากมาย

165
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




น้นพยายามเอาไปคิดไปไตร่ตรอง เห็นดีเห็นงาม เห็นว่าท่ผ่านมา


ผิดพลาด เราก็ปรับความคิดเสียใหม่ ท�าตัวเสียใหม่



ให้อยู่อย่ำงเทวดำ คือต้องเนรมิต (ท�ำงำน)



ก็ขอให้คิดว่าต้องอยู่อย่างเทวดา อย่าอยู่อย่างหนอน อย ู่

อย่างหนอนก็คือ อยู่อย่างไม่ต้องคิดทาอะไรเลย อยู่อย่างเทวดา




ต้องคิด ต้องเนรมิตส่งท่ดีงามให้มันเกิดข้นทุกวัน ปกครองให้ด ี


ศึกษาให้ด เผยแผ่ให้ด สร้างสรรค์ให้ด ช่วยเหลือสงเคราะห์ ด้าน


การศึกษา ช่วยเหลือสงเคราะห์สาธารณภัย น่งานท้งน้น และจาไว้



ว่า ความคิดว่าไม่มีงานทา เป็นความคิดท่เลวท่สุดในจิตของ




มนษย์ มนุษย์คนใดมีความคิดอย่างน้อยู่ในจิต มนุษย์คนนั้นก ็

ได้ช่อว่าเป็นมนุษย์ท่เลวท่สุด ในโอกาสน้ขอฝากไว้เท่าน้ จะได้





ท�าวัตรสวดมนต์กันต่อไป.

รักเรียนรักค้นคิด รักลิขิตรักไต่ถาม

แน่แท้จักเรืองนาม ปรากฏว่า “ปัญญาชน”

โอวำท

พระสิรินันทเมธี


รองเจ้ำคณะจังหวัดสุพรรณบุรี








ขอเจริญพร ท่านผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัด เจ้าหน้าท ี ่

ครูบาอาจารย์ ทุกท่าน

ขอความดีงามท้งหลายท้งปวง จงบังเกิดมีแก่นักเรียนทุกคน




ก่อนอนต้องขอแสดงความยินดีกบครบาอาจารย์ ทได้ช่วยกน






ฝึกสอนซ้อมสวดมนต์ทานองสรภัญญะ จนนักเรียนมีความ
กล้าความสามารถมาแสดงตัวกันในท่น้ และก็ขอช่นชมยินด ี





เป็นพิเศษแก่นักเรียนทุกคน ท้งท่ได้รับการตัดสินเป็นผชนะเลิศ
ู้
รองลงไป และผู้ท่ไม่ได้รับการตัดสินในระดับใดระดับหน่ง ทุกคน


ก็ถือว่ามาร่วมกันประกอบคุณงามความดีตามหลักพระพุทธ-

ศาสนาของเรา แล้วความดีท่เราได้ประกอบในวันน้เป็นบุญกุศล


* พิธีมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดสวดมนต์หมู่ทานองสรภัญญะ ระดับ
จังหวัด ณ บ้านขุนช้าง วัดป่าเลไลยก์ วรวิหาร ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ เวลา
๑๕.๔๕ น.

168
สาราสารกถา





ทนักเรยนได้รบแล้วทุกคน เป็นโล่รางวัล ทได้ไปเฉพาะสามอันดับ





เท่านั้น ที่ไม่ได้ก็ขอให้ติดไว้ก่อนก็แล้วกัน
เป็นอันว่าท่ได้แล้วก็หมดเง่อนไขไป ท่ยังไม่ได้ ก็อยู่ในฐานะ








เป็นเจ้าหน ดีไหม? เราไม่ได้โล่แต่เราได้ฐานะท่ดีเพ่มข้นเป็น

เจ้าหน้ ผู้ช่วยศึกษาฯ ปีหน้า ผู้ช่วยฯ ก็เตรียมไว้จะมาทวง ดีไหม?
เป็นเจ้าหนี้ เรื่องการแข่งขันก็ต้องมีแพ้มีชนะ
ชัยชนะของผู้แพ้




เราคิดไม่เป็น ท่ว่าสาหรับผู้แพ้น่าจะมีความเสียอกเสียใจ
ถ้าเราคิดเป็น เราก็สามารถจะมความดใจกบเขาได้ อย่างน้อย






ก็คิดว่าเรายังไม่หมดสิทธ์ท่จะเป็นเจ้าของโล่ ท้งอันดับเลิศ
อันดับสอง และอันดับสาม อีกอย่างหน่ง เรายังมีสิทธ์ด้วยกัน


ทั้งนั้น ถ้าเราจะคิดให้ภูมิใจในฐานะผู้แพ้ เราอย่าไปนึกว่า เราแพ้
ตอนท่เราแพ้ ถ้าไม่นึกว่าเราแพ้ เราจะนึกอย่างไร เราจึงจะใหญ่




ข้นมาได้ เราจึงจะสาคัญข้นมาได้ ผู้แพ้นึกเป็นไหม? เร่องแพ้


เร่องชนะ ถ้านึกไม่เป็น ผู้แพ้จะเสียใจ แต่ถ้านึกเป็นแล้วกลับจะ
ภูมิใจมาก เราอย่านึกว่าเราเป็นผู้แพ้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราก ็


นึกว่าชัยชนะคร้งน้เราให้เขา ดีไหม? เราให้แล้ว ใช่ไหม? ท่เขา


ได้ไปน่ ใช่เปล่า? ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราก็นึกว่าชัยชนะ ท่เขา



ได้คร้งน้เพราะเราให้เขา ถ้าไม่มีเรา เข้าเป็นคู่แข่ง เขาไม่ได้แน่

169
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





จริงไหม? ผู้แพ้ท้งหลาย ถ้าเราภูมิใจว่ามีชัยชนะให้เขานะ ยังม ี
อีกไหมชัยชนะ อันนี้เรียกว่าเป็นชัยชนะของผู้แพ้



ฝึกตนได้แหละดี


เรามีชัยชนะให้เขา เราอาจจะท้าเขาอีกก็ได้ ปีหน้ามาเอา

อีกนะ ปีหน้าฉันจะเอามาให้อีก ถ้าใครต้องการจะเอาชนะ มัน


ก็อยู่ตรงน้แหละ คิดกันให้ดี คิดกันให้เป็น ทาให้เราสบายใจได้



ท้งน้น หนูเข้าใจไหม? แพ้แล้วสบายใจ ไม่ต้องให้ครูมาปลอบ




ครูก็ต้งอกต้งใจอยากให้เราได้ชัยชนะคร้งน้ จึงพยายามฝึกสอน
กันมาอย่างดีท่สุด ถือว่าบังเอิญของท่เราจะได้น้ มันก็ต้องม ี



ฝ่ายเสีย ฝ่ายเสียอย่านึกว่าเสียอะไร ต้องนึกว่าเป็นความเสียสละ
ของเรา แล้วเราก็มีความภูมิใจ ปีหน้าแล้วค่อยมาดวลกันใหม่
ไม่แน่หรอก ใช่ไหม? โคลงโลกนิติ เขาบอกว่า
เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี

อักขระห้าวันหนี เนิ่นช้า

สามวันจากนารี เป็นอื่น
วันหนึ่งเว้นล้างหน้า อับเศร้าหมองศรี


แล้วเรองท่เราจะเอาชนะในปีต่อไป ก็อยู่ท่การฝึกซ้อม






ต้องอดทน ฝึกฝนบทตามสรภัญญะ ท่เรามาสอบคัดเลือกกันเน่ย





ไมใชงายๆ ยากมากๆ เราไดผานการชนะเลศระดับอาเภอมาแลว





โดยเฉพาะโรงเรียนระดับประถม ท้งจังหวัดมีไม่รู้ก่ร้อยโรงเรียน

170
สาราสารกถา





ส่งเข้ามาประกวดเพียงไม่ก่โรงเรียน ก็แสดงว่า มีแน่ๆ ท่สวดมนต์

เป็นเพียงไม่ก่โรงเรียน ระดับมัธยมก็เช่นกัน จุดประสงค์สาคัญ




ท่ให้เรามาสวดมนต์ประกวดประชันสวดมนต์ทานองสรภัญญะ



กนน กเพอใหเราในฐานะทเปนประเทศนบถอพระพทธศาสนา










ได้เข้าใจถึงข้อวัตรปฏิบัติส�าหรับผู้นับถือศาสนาพุทธ
อำนิสงส์ของกำรสวดมนต์










ทสาคญอยางหนง นนก็คอการสวดมนต์ไหว้พระ เรียกได้ว่า
เป็นกิจวัตรประจาตัวผู้นับถือศาสนาพุทธ จะต้องถือส่งน้เป็น



หลักปฏิบัติประจาวัน เพราะทุกศาสนาเขามีหลักปฏิบัติกิจวัตร



ประจาวันด้วยกันทุกศาสนา ท้งสวดมนต์ไหว้พระโดยเฉพาะคน
ท่นามาสวดเป็นทานองสรภัญญะ ถือว่าเป็นยอด เป็นยอดของ




คนท้งหลายท้งปวง บทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เราเคยฟัง



พระท่านสวดมากมาย ทาบุญบ้าน ทาอะไรต่อมิอะไร แล้วท ี ่
เป็นยอดของมนต์จริงก็มีอยู่สามบทท่เราเอามาสวดกันอยู่นี้

เราได้มนต์สามบทน้สวดกันได้แล้ว เราก็ถือว่ามียอดมนต์อยู่ใน

ตัวของเรา ฉะน้น หลังจากประกวดไปแล้วได้รางวัลชนะเลิศ

หรือไม่ได้ก็ตาม เราก็ต้องเอาบทสวดมนต์น้ไปสวดกันทุกวันๆ



ก่อนจะนอนทาการบ้านเสร็จแล้ว ทาอะไร เสร็จเรยบร้อย ก่อน


นอนต้องสวด สวดอย่างท่เรามาแข่งขันกันว่า นะโมฯ เสร็จ
แล้วก็ว่า อิติปิ โสๆ เสร็จแล้วก็ว่า

171
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




"องค์ใดพระสัมพุทธ์ สุวิสุทธสันดาน

............................ ........................"

ว่าเรื่อยไปจนจบ สวดมนต์ทุกวันๆ




สวดมนต์ชวยอะไรเราได ช่วยได้แน่นอนเลย ถ้าหากนักเรยน


ต้งใจเอาไว้ เพราะมันเป็นยอดของมนต์ ถ้าเราเอาไปสวดทุกวัน







กเทากบวา เราไปเสกตวเอง เสกตวของเราเองน กนคอยอดมนต ์






เสกให้เป็นอะไร? จะเสกให้ตัวเราเองเป็นอะไร? เราก็ต้งใจไว้ว่า

เราจะเป็นอะไรต่อไปในวันข้างหน้า แต่เด๋ยวนี้เราต้องการอะไร
เราพยายามเอามนต์น้ไปเสกทุกวันๆ แล้วจะได้ตามท่เราต้องการ


ปรารถนาจะเป็นคนมีสติปัญญาดี เป็นคนเรียนเก่ง ต้องเอามนต์

ไปเสกทุกวัน และต่อไปก็ทาให้เราเรียนเก่งข้น ลองเอาไปใช้กัน

ดูนะ สวดกันทุกวันแหละ ปีหน้ามีประกวดมาประกวดอีก จะ
ซ้อมให้ทุกวันเลย สวดมนต์ภาวนาช่วยได้จริงๆ ช่วยให้เรามีสต ิ
ปัญญาเจริญได้ เวลาเราสวด เราก็ปรารถนา ขอให้มีสติปัญญา
เป็นเลิศ ต่อไปเราก็เรียนเก่ง ใครสู้เราไม่ได้หรอก
เงื่อนไขทำงธรรมชำติ-สังคม


เราต้องนึกว่าชีวิตท่เกิดมาในโลก อยู่ในเง่อนไขทางธรรม-


ชาติ อยู่ในเง่อนไขทางสังคม เราต้องแข่งขัน ต้องแข่งขันให้สู้

กับคนอื่นได้ เราก็ต้องเป็นคนเก่ง เราจึงจะแข่งขันได้ สู้คนอื่น



เขาได้โดยเง่อนไขทางธรรมชาติ บางทีนักเรียนอาจไม่รู้ ท่เรา

172
สาราสารกถา







เกิดมาจนกระท่งโตเด๋ยวน้ เราผ่านการแข่งขันมาแล้วทุกคน

เพราะตามท่เราเรียนมาทางชีววิทยา พ่น้องเราท่เกิดมาพร้อมๆ



กับเรา เกิดมาคร้งแรก ไม่ใช่มีเราตัวเดียวนะในช่วงแรกเขาเรียก


เป็นตัวๆ นะ พวกเราเน่ย-สเปิร์ม (Sperm) ออกมาคร้งละ


๓๐๐-๕๐๐ ล้านตัว พ่น้องท่เกิดมาพร้อมกับเรา เราเป็นหน่ง


ในสามถึงห้าร้อยล้าน ท่สามารถว่งเข้าหลักชัยได้ ชนะมาแล้ว


ใช่ไหมเล่า อีก ๒๐๐-๓๐๐ ล้านสู้เราไม่ได้ นี่เง่อนไขทาง

ธรรมชาติ ชนะมาแล้ว ถ้าไม่อย่างน้นเราเกิดมาไม่ได้ ต้องชนะ
ไม่ใช่ชนะคนสองคน ชนะมาเป็นร้อยล้านแล้ว

เง่อนไขทางสังคมก็เช่นเดียวกัน ล้วนแต่เป็นเง่อนไขท ี ่

ทาให้เราต้องต่อสู้ท้งน้น การประกวดสวดมนต์น้นก็เป็นเง่อนไข







อันหน่ง ท่เราจะต้องมาต่อสู้กัน และต่อไปเราเรียนต่อและ







สมมตว่า ชนประถมเรยนจบชน ป. ๖ แล้วจะไปเข้าเรียนช้น
ม. ๑ มีเราคนเดียวใช่ไหม? ไปเรียน ม. ๑ เราก็ต้องไปแข่งขัน
กับเขาอีก ก็ต้องไปสอบใช่ไหม? เรียน ม. ๑ จบ ม. ๓ ก็ต้อง
ไปแข่งขันกับเขาอีก เข้า ม. ๔-๕-๖ ก็ต้องไปแข่งขันกับเขาอีก

เอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลย เราต้องมองให้เห็นว่าค่แข่งของเรา

ในวันข้างหน้าน้นมิใช่มีเพียงเท่าน้ สมมติว่าเราจบ ม. ๖ จะไป


เอ็นทรานซ์ เราจะต้องไปแข่งกับคนอ่นๆ อีกเป็นแสนคน แล้ว

จะสู้เขาไหวไหม? จะเอาอะไรเป็นกาลังภายในไปสู้กับเขา นอกจาก

วิชาความรู้ แล้ววิชาความรู้เราจะได้อย่างไร มันต้องมีฐานในใจ







ของเราท่ม่น เรียกว่าท่ต้งกาลังรบ-ต้งกองทัพท่เราจะไปสู้เขา

173
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)








เอาอะไรไปส้?เอาสวดมนต์นแหละเป็นฐานกาลงภายใน แล้ว





ก็หาส่งอ่นภายนอกก็หาไป แต่ว่าสวดมนต์น่ไม่ท้ง พยายามสวด

ไปเร่อยๆ ทุกวัน สติปัญญาอะไรต่างๆ ของเราก็จะเพิ่มขึ้น-ดี


ข้นเอง ทุกอย่างมันจะเร่มดีข้นไป สภาพแวดล้อม-พ่อแม่เคย

ดุเคยด่าอะไรต่างๆ ก็จะลดและหมดไป
ู้
ชีวิตคือการต่อส ก็จะต้องต่อสู้กันในหลายรูปแบบ เราเป็น
นักเรียนก็ต่อสู้กัน เผชิญการเรียนการสอน เราก็จะต้องพยายาม




เพราะส่งน้แหละ เป็นเคร่องเพ่มกาลังใจให้เรา เพ่มความเช่อม่น






ในตัวเราให้มากข้น จึงหวังว่า พวกเรานักเรียนทุกคนท่ได้มาต่อส ู้



แข่งขันกันในคราวน้ จงนึกว่าส่งท่เราได้เหมือนๆ กัน ก็คือ ความด ี


ความงาม เพราะเรามาทาความดีเหมือนกัน อันน้เราได้เหมือนกัน
แล้ว ได้หลักท่เราจะนาออกไปปฏิบัติ ก็คือเอาบทสวดมนต์ตาม







ท่เราสวดกันได้น้ เราสวดเป็นประจาทุกวัน ก็จะเป็นฐานท่ม่น


ให้เรามีกาลังสามารถท่จะต่อสู้บทเรียนต่างๆ ในวันข้างหน้าเป็น
อย่างดี
เพราะฉะนั้น ก็ขออนุโมทนาถึงนักเรียนทุกคน ให้ได้บุญ


ได้กุศล ความด ความงามตามหลักพระพุทธศาสนาท่วทุกคน

และก็ขออานวยพรแก่นักเรียนทุกคน ให้มีกาลังกาย กาลังใจ




กาลังสติปัญญา กาลังทรัพย์เจริญม่นคง ทาให้เรามีความแข็งแรง



ทุกด้าน สามารถนาพาชีวิตไปสู่เกมการต่อส เพ่อชัยชนะในโอกาส

ู้
ต่อไป จงทุกคน ทุกประการเทอญ.

เข้าใจความทุกข์ สนุกกับการแก้ปัญหา
คือ ปฏิปทามหาบุรุษ

เจ้ำโลก









ผมอยากจะทบทวนคาปฏิญาณท่เราได้กล่าวไว้ เม่อเราบูชา






พระกันเสร็จน้น ว่าเรากาหนดจดจากันได้หรือไม่ ก็อยากจะขอร้อง


ท่ประชุมน้ทุกองค์ให้สงบจิตสงบใจกันอีกวาระหน่ง ก่อนท่จะ





เข้าหวเรองดังกล่าว มากล่าวคาปฏญาณพร้อมกันอีกครงหน่ง








คาปฏิญาณตนเม่อก้น้ต้องจาให้ได้ จาได้แล้วเอาไปปฏิญาณตน



ทุกวันทุกคืน ทุกวันทุกคืนท่เรายังไม่สึก เจอญาติเจอโยมก่อน

ที่จะคุยเรื่องอะไรกัน ก็ชวนญาติโยมปฏิญาณตนก่อน

ก่อนท่จะคุยกัน เวลาเราสึกหาพาทีออกไป ไปอยู่บ้าน
อยู่เรือน ไปมีครอบครัว ก็ต้องชวนคู่ครองของเราปฏิญาณตน


ทุกวันเหมือนกัน เราจะต้องพยายามปลกระดมเร่องน้กนให้


จริงๆ จังๆ ให้ถือเป็นคุณธรรมประจาชาติไทยทีเดียว ก็ต้อง




เอากันขนาดน้น เอา! คอยต้งใจ ไม่ต้องประนมมือล่ะ ต้งใจ
กาหนดแล้วคอยว่าตามด้วย ว่าให้ชัดถ้อยชัดคาเชียว ญาติโยม


* บรรยายพิเศษ เรื่องคุณธรรม ๔ ประการ เมื่อปี ๒๕๒๕

176
สาราสารกถา






ด้วยก็ได้ เพราะคุณธรรมมันเป็นเร่องสาคัญ ขาดไม่ได้ ต้องให้
จ�าต้องให้ว่ากัน พร้อมกันแล้วนะ ว่าตาม

ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่า


ข้อ ๑ ข้าพเจ้าจะรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเอง
ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม


ขอ ๒ ขาพเจาจะฝกใจตนเอง ขมใจตนเอง ใหประพฤต ิ





ปฏิบัติในความสัจความดีนั้น


ข้อ ๓ ข้าพเจ้าจะอดทน อดกล้น และอดออม ท่จะไม่
ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด

ข้อ ๔ ข้าพเจ้าจะละวางความช่ว ความทุจริต และสละ

ประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพ่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง



จ�ำแล้วน�ำไปใช้





จาไว้ ถ้าจาไม่ได้ เม่อกลับไปวัดแล้ว ไปทบทวนนะ วิธีการจา

เรามากนวดละไม่ตากว่า ๔ รูป จารปละข้อๆ แล้วไปต่อกนได้








ใครจะจาข้อ ๑ ข้อ ๒ ใครร้ตัวว่ามีอาวุโสสูงสุดในแต่ละวัดนนก ็





จาไป รูปท่มีอาวุโสมากจาข้อแรก รองลงไปก็จาข้อ ๒ รองลงไป




จาข้อ ๓ รองลงไปจาข้อ ๔ ถ้ามีต้งแต่ ๑๐ รูปข้นไปก็เวียนกัน


อย่างน้จารูปละข้อๆ พอไปถึงวัดก็เอาไปปะติดปะต่อกัน ว่าไป


ทีเดียว ๔ ข้อได้เลย

177
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




เวลาก่อนทาวัตร จุดธูปเทียนบูชาพระเสร็จแล้ว ก่อนท ่ ี

จะทาวัตรกันก็กล่าวคาปฏิญาณก่อน ก่อนท่จะเรียนนักธรรมกัน








ไหว้พระเสรจแล้วกกล่าวคาปฏญาณกน เราทาอย่างนทกๆ วัน




ให้จ�ากันได้ คือให้เราตั้งเป้าหมายกันว่า เราจะปลูกฝังคุณธรรม

๔ ประการน้ ให้ซึมซับอยู่ในจิตใจของเราทุกคน และก็ให้ซึมซับ
เข้าไปในจิตใจของประชาชนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยน้ โดย




เฉพาะใน ๔ ตาบลน้ท่เรามาประชุมกัน เราต้องต้งใจว่ากลับจาก




อบรมน้แล้ว เราจะต้องนาคุณธรรมท้ง ๔ ประการน้แหละไป


ปลูกฝังแก่ญาติโยมและลูกเด็กเล็กแดงทุกคน ท่ข้นกับบริเวณ

วัดเรา และกว่าจะออกพรรษา ให้ทุกคนจาคุณธรรม ๔ ประการน ้ ี



ให้ได้ ต้งใจกันไว้อย่างน้น เอาล่ะ ผมจะเข้าเร่องราวท่จะถวาย


เรื่องของความเป็นเจ้าโลก
ใครคือเจ้ำโลก

ความจริงการต้งช่อเร่องน้ รู้สึกว่าออกจะใหญ่โตมโหฬาร



เกินไป แต่ว่าก็ไม่เป็นเร่องที่สุดวิสัยนักท่เราจะช่วยกันสร้างคน



ให้เป็นเจ้าโลกข้นมาให้ได้ แต่ว่าเราจะสร้างคนให้เป็นเจ้าโลกขน



มาได้จริงๆ โดยพลกาลังของเรา มันอาจจะไม่ได้จริงๆ แต่เรา

ก็ต้องเช่อกันอยู่อย่างหนึ่งว่า มีคนคิดแล้วท่จะเป็นเจ้าโลก เรา


ลองหลับตานึกดูซิว่า คนท่คิดจะเป็นเจ้าโลกท่ผ่านมาในความร ู้

ของเรานั้นน่ะมีใครบ้าง ลองหลับตานึกซิ มีแน่นอน

178
สาราสารกถา




คนท่คิดเป็นเจ้าโลกน้ พวกเราอาจจะคิดไม่ออกว่ามีใคร






บ้าง คดไม่ออกไม่เป็นไร เดยวผมจะบอกให้ ความจริงคนทคด




จะเป็นเจ้าโลกหรือคิดท่จะครองโลกกันจริงๆ น้น มีอยู่ ๔ คน
เท่านั้นเอง แล้ว ๔ คนนี้ตายหมดแล้ว!
เหลืออยู่ก็พวกเราเท่าน้นแหละท่จะครองโลกกันต่อไป



อันน้เพ่อต้องการจะให้เรารู้ว่าเราจะสนับสนุนใครให้เป็นผู้ครอง



โลกให้ได้ คอยกาหนดแล้วก็จาไว้ คนอื่นน่ะไม่ต้องมาคิดแล้ว



ซารอยเขาหมดแล้ว คนท่คิดจะครองโลกกันจริงๆ น้นมีอยู่ ๔

คนด้วยกัน คนแรกคือใคร? คนแรกก็คือพระพุทธเจ้าของเรา
น้เป็นคนแรกเลย ท่คิดจะครองโลก และคนท่สองคือใคร? คน



ท่สองก็คือพระเยซูคริสต์ หรือศาสดาของศาสนาคริสต์ คนท ี ่

สามก็คือพระนะบี มะหะหมัด ศาสดาของพวกศาสนาอิสลาม
และคนท่ส่ก็คือคาร์ล มาร์กซ์ ศาสดาหรือเจ้าลัทธิคอมมิวนิสม์


จ�าได้ไหม?
เจ้ำโลกคนแรก



เม่อคนท่คิดจะครองโลกจริงๆ มีอยู่ ๔ คนเท่าน้น แล้ว




ปัจจุบันน้คนท้งโลกยอมรับนับถือใคร พูดอย่างน้เราอาจจะ

ซีเรียสกันนิดหน่อยนะ เพราะว่ามันเป็นข้อเท็จจริงท่เราเอง

จะต้องทาความรู้สึกกนบ้างพอสมควร ว่าเราปัจจบันน้นอยู่ใต้





อิทธิพลของศาสดาองค์ไหน? ท้ง ๔ องค์น้มีความคิดมีเจตนา

ท่จะช่วยเหลือโลก เราพูดกันอย่างง่ายๆ ว่าง้นเถอะ เรามา


179
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





พูดว่าคิดเป็นเจ้าโลก หรือคิดครองโลกเน่ย เพราะแต่ละองค์น ี ้


คิดพยายามสร้างทฤษฎีหรือหลักคาสอนของตนๆ มา เพ่อท ่ ี


จะทาให้คนท้งโลก ยึดถือหลักคาสอนของตัวเองเข้ามาไว้ใน



การดารงชีวิต เข้ามาไว้ใช้ในสังคม เพ่อช่วยเหลือให้สังคมน้น

มีความสงบมีความสุข เพราะศาสดาแต่ละองค์ๆ น้น ก็มอง


ปัญหาสังคมกันไปในคนละรูปคนละแบบ ท่ว่าพระพุทธองค์เรา


คิดจะครองโลก หรือเป็นเจ้าโลกน้น มิใช่เป็นเร่องของความมัก
ใหญ่ใฝ่สูงแต่ประการใดทั้งสิ้น
พระองค์ก็พยายามคิดค้นว่า โลกมนุษย์ของเราน้นทุกคน

ท่เกิดแล้วปรารถนาอะไรกัน อย่างเราทุกคนน้ จะเป็นพระเป็น


เณรหรือเป็นฆราวาสก็ตาม เราก็ต้องนึกถึงตัวเราเองว่า เรา


เกิดมาในโลกทุกวันน้ เราปรารถนาอะไรๆ กัน ถามตัวเอง ถาม
ญาติโยม หรือญาติโยมต่างถามตัวเองกัน ไม่มีใครปฏิเสธเลย

ว่า เราปรารถนาความสุขกัน ความยาก-ความลาบาก-ความ
เดือดร้อน ไม่มีใครปรารถนา ทุกคนท่เกิดมาในโลกน้ต่างก ็


ปรารถนาความสุข-ความสบายด้วยกันทั้งนั้น นี่แหละเป็นสาเหตุ



ท่ทาให้เกิดศาสนาข้นมา ก็พยายามใช้หลักศาสนาของพระองค์


เข้ามารองรับวิถีชีวิตของเรา เพ่อให้เราปฏิบัติชีวิตของเราไป


ในแนวทางท่พระองค์ตรัสไว้ และทรงยืนยันว่า เม่อปฏิบัติตาม


แนวทางทพระองค์ตรสไว้แล้วนน จะเป็นการพาชวตของเราน ี ้






ไปสู่ความสุข-ความสบาย และทรงยืนยันว่าเม่อปฏิบัติตามแนว

180
สาราสารกถา







ทางท่พระองค์ตรัสไว้แล้วน้น จะเป็นการพาชีวิตของเราน้ไปสู่
ความสุข-ความสบาย สมความปรารถนาของเราได้ ก็วางทฤษฎ ี
ต่างๆ มากมายทีเดียว ทฤษฎีท่จะพาชีวิตของเราไปสู่ความสุข

ความสบาย คริสต์ก็วางทฤษฎีของพระองค์มา อย่างพระนะบ ี

มะหะหมัดก็วางทฤษฎีของพระองค์มา อย่างคาร์ล มาร์กซ์ ศาสดา


ของลัทธิคอมมิวนิสม์ก็วางทฤษฎีของตนมา เม่อเราแต่ละรูป แต่
ละคน แต่ละท่าน ในสังคมโลกท้ง ๔,๐๐๐ ล้านกว่าในปัจจุบันน ้ ี

ถ้าเราหลับตานึกถึงพลโลกท้งหมดท่วท้งโลกประมาณ ๔,๐๐๐





กว่าล้านคน เรามองเห็นชัดทีเดียวว่า ท้ง ๔,๐๐๐ ล้านคนน้ ตก
อยู่ใต้อิทธิพลของศาสดา ๔ องค์นี้เท่านั้น
- บางคนก็ชอบใจทฤษฎีชอบใจคาสอนของพระพุทธ-

องค์ ก็มานับถือศาสนาพุทธ

- คนท่ชอบใจทฤษฎีของพระเยซูคริสต์ ก็สมัครใจเป็น

ศาสนิกของศาสนาคริสต์


- คนท่ชอบใจทฤษฎีหรือคาสอนของพระนะบี มะหะหมัด

ก็ยอมตนไปนับถือศาสนาอิสลาม


- คนท่ชอบใจทฤษฎีคาสอนของคาร์ล มาร์กซ์ ก็ไปปฏิญาณ

ตัวเองเป็นคอมมิวนิสม์



ก็มีคน ๔ คนหรือศาสดา ๔ องค์น้แหละท่พยายามผลิต
หรือสร้างทฤษฎีข้นมา เพ่อท่จะให้โลกท้งโลกน้เอาทฤษฎีของ






ตัวมาเป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ น้เราก็จะต้องพิจารณา

181
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ทฤษฎีต่างๆ ของศาสดา ๔ องค์ เราอาจจะมีเวลาไม่พอ


เพราะเวลาท่เราจะมาพูดกันในวันน้ มันมีเวลาจากัดเพียง ๒





-๓ ช่วโมงเท่าน้น อยากจะให้เราในฐานะท่เป็นคนไทยนับถือ
ศาสนาพุทธ เราก็ต้องพยายามคิดกันว่า ทฤษฎีหรือหลักคาสอน




ของพระพทธเจ้าน้น สามารถท่จะนาวถีชวิตของคนไทยหรือ



ของคนท้งโลกน้ ไปสู่จุดหมายปลายทางคือความสุขสบายได้



จริงหรือไม เราจะต้องต้งเป้าหมายเข้าไปศึกษาอย่างน เราทกองค ์





ท่ยอมตนเข้ามาบวช ก็แสดงว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของ
เรายอมรับทฤษฎีของพระพุทธองค์ ว่าทฤษฎีของพระพุทธองค์





น้นสามารถท่จะนาพาโลกท้งโลกน้ไปสู่ความสุขได้ แล้วเราก ็
ยอมรับทฤษฎีของพระพุทธองค์มาเป็นเวลาหลายร้อยปีท่เข้ามา

อยู่ในประเทศไทยน้ ถ้าหากว่าเราไม่พยายามทาใจของเราให้ม ี


ความรู้สึกอย่างน้แล้ว ไม่แน่นักว่าเราจะรักษาศาสนาของพุทธองค์

ไว้ได้
เจ้ำโลกคนล่ำสุด
เพราะในขณะน้ปัจจุบันน้ลัทธิคอมมิวนิสม์ คาร์ล มาร์กซ์






เขยนท้งไว้แล้วตัวเองตายไป เมอตายไปแล้ว เลนน ผู้นาของ



รัสเซียก็พยายามไปพลิกเอาทฤษฎของคอมมิวนิสม์หรือทฤษฎ ี
ของคาร์ล มาร์กซ์ เอามาศึกษาแนวทางแล้วเกิดความพอใจ เกิด

ความเล่อมใส ก็เอาทฤษฎีของคาร์ล มาร์กซ์มาปฏิวัติรัสเซีย

182
สาราสารกถา




เป็นประเทศแรก และนาเอาระบอบการปกครองแบบลัทธิคอม-

มิวนิสม์เข้ามาใช้ในประเทศรัสเซีย แล้วก็พยายามปลุกระดม





ให้โลกท้งโลกน้ไปเล่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสม์ด้วย ซ่งเลนินเอา
ลัทธิคอมมิวนิสม์ข้นมาใช้เม่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๐ เอามา


ปฏิวัติรัสเซียเป็นประเทศแรก แล้วเราก็คิดดูว่าจาก พ.ศ. ๒๔๖๐
มาถึง พ.ศ. ๒๕๒๕ ปีน้ ก็อายท่ลัทธิคอมมิวนิสม์ได้เกิดเป็น





รูปเป็นร่างข้นจริงๆ น้นเพียงแค่ ๖๕ ปี แต่เพียงแค่ ๖๕ ปี ลัทธิ
คอมมิวนิสม์ก็สามารถตีเข้ามาแทบจะคร่งโลกแล้ว จากประเทศ

รัสเซียก็เข้ามาในประเทศจีนใหญ่หรือจีนคอมมิวนิสม์ จาก
จีนใหญ่ก็มาประเทศเขมร ประเทศเวียตนาม ประเทศลาว ซึ่ง

จ่อประตูบ้านเราเข้ามาแล้ว แล้วยังแถมไปทางกลุ่มประเทศยุโรป
หรือพูดอย่างง่ายๆ ว่าปัจจุบันน้ลัทธิคอมมิวนิสม์ได้คืบคลาน

เข้ามาในโลกปัจจุบัน เรียกว่าได้มากันอย่างแรง และลัทธ ิ

คอมนิวนิสต์นี้จะตีศาสนาทุกศาสนา ถือว่าศาสนาน้นไม่เป็น


ประโยชน์ต่อสังคม ไม่ได้ช่วยสังคมอะไรได้เลย ย่งโจมตีร้อยแปด
พันประการ จนขนาดประเทศไทยเราน้กลัวลัทธิคอมมิวนิสม์

รัฐบาลก็พยายามปราบปรามพวกมีความนิยมเล่อมใสทฤษฎ ี


คอมมิวนิสม์ ไม่ให้ผุด-ไม่ให้เกิดข้นในประเทศไทย แม้กระน้น

ก็ยังอดผุด-อดเกิดขึ้นไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องพยายาม

อย่างน้อยๆ เราไม่มีโอกาสท่จะศึกษารู้ลัทธิหรือทฤษฎีคอม-

มิวนิสม์ได้

183
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ศึกษำพำศำสนำพุทธอยู่รอด



พวกเราในฐานะท่นับถือพุทธศาสนา ในปัจจุบันเม่อมีลัทธ ิ



คู่แข่งอย่างน ก่อนทเราจะยอมรับลัทธิใดๆ ก็ตาม จะเป็นลัทธ ิ


ของพระเยซู ลัทธิของพระนะบี มะหะหมัด ลัทธิของคาร์ล มาร์กซ์

ก็ตาม ผมก็อยากจะขอร้องพวกเราทุกรูปทุกองค์ ก่อนท่เราจะ
ยอมรับลัทธิอ่นใดก็ตามไม่ว่ากันล่ะ ท่านจะเล่อมใสคอมมิวนิสม์




ท่านจะเลอมใสพระเยซ ท่านจะเลอมใสพระนะบ มะหะหมด





ก็ตามแต่เถอะ อยากจะให้พวกเรามาต้งอกต้งใจศึกษาลัทธิของ


พระพุทธเจ้าก่อน

ท่เรานับถือพระพุทธเจ้าน่ เราชอบใจธรรมะคาสอนของ






พระองค์ หรือคาสอนของพระองค์น้นจะช่วยโลกได้จรงหรอไม ่
เราพยายามต้งอกต้งใจศึกษาเล่าเรียนก่อน พยายามตีทฤษฎีของ











พระพทธเจาใหแตกใหเขาใจกนกอน เมอเราพยายามต้งอกต้งใจ


ศึกษากันแล้ว เห็นว่าทฤษฎีของพระพุทธเจ้าใช้ไม่ได้-ไม่เป็น
ประโยชน์ต่อโลก เราจะเลิกนับถือไปนับถือลัทธิศาสนาใด อันน ้ ี


ก็ตามใจ คือปัจจุบันน้โดยมากในบ้านในเมืองของเรา แม้กระท่ง



ผู้บริหารบ้านเมืองประเทศชาต ก็รู้สึกว่าจะให้ความสาคัญเก่ยว
กับการศึกษาเร่องพระพุทธศาสนาน้อยมาก เม่อเราพยายาม


ให้การศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนาน้อยมากเท่าไร โอกาสท่ลัทธ ิ


อ่นจะเข้ามาครอบครองประเทศไทย ก็เป็นไปได้มากเพียงน้น


โดยเฉพาะเก่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสม์ ถ้ากลัวคอมมิวนิสม์แล้ว

184
สาราสารกถา




เราพยายามไม่ศึกษาลัทธิพระพุทธศาสนาน้แล้ว เราจะป้องกัน




คอมมวนิสม์ไม่ได้เลย พูดเร่องน้แล้วก็บอกตรงๆ ว่ามันออกจะ

เป็นเร่องเครียดไปสักหน่อย เพราะมันเป็นเร่องเก่ยวกับตวเป็น



ตัวตายของสถาบัน ก็เพราะเรารู้แล้วว่าลัทธิคอมมิวนิสม์น้น




จะเป็นตัวท่ลาลายล้างสถาบันหลักต่างๆ ของเราท่เรายกย่อง




เชดชกนเขามีเป้าหมายท่จะทาลายล้างท้งน้น สถาบันหลักของ



เรามีอะไร?
สำมสดมภ์หลัก

ก็มีชาติ ศาสนา มีพระมหากษัตริย์ อันน้ก็เป็นสถาบันหลัก

ของเรา และก็เป็นสถาบันหลักท่เรายอมรับนับถือกันมาเป็นเวลา
ร้อยๆ ปีแล้ว ถ้าหากว่าเราไม่ต้งใจศึกษาให้รู้ว่า ศาสนาของเรา

มีประโยชน์อย่างไร ธรรมะมีประโยชน์อย่างไร จะช่วยสังคมได้

จริงหรือไม่ ผมรับรองว่าป้องกันปัญหาคอมมิวนิสม์ไม่ได้ และ


เม่อคอมมิวนิสม์เข้ามาได้ สภาวะของสังคมต่างๆ จะเปล่ยน


รูปเปล่ยนร่างไปอย่างไร ก็เหลือท่เราจะเดาได้ เพราะว่าลัทธ ิ



คอมมิวนิสม์กับลัทธิพระพุทธศาสนาน้น มีแนวนโยบายเบ้องต้น


ที่แตกต่างตรงกันข้าม อันน้เป็นเร่องท่เราจะต้องศึกษาก่อน ความ

ตรงกันข้ามระหว่างลัทธิคอมมิวนิสม์กับลัทธิพระพุทธศาสนา


น้อยู่ตรงไหน ถ้าหากว่าเราเคยได้ยินได้ฟังเก่ยวกับพวกท่นิยม

ลัทธิคอมมิวนิสม์มาพูดบ้าง ในสมัยเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน หรือ

185
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






เม่อประมาณ ๑๐ ปีท่แล้วมา เขาปลุกระดมเร่องอะไรต่างๆ

กันมากพอสมควร พวกสาวกของคอมมิวนิสม์น้นมีหลักการพูด


อย่างหน่งว่า จะพยายามสร้างอะไรๆ สร้างความแตกแยกใน
สถาบันต่างๆ ให้เกิดข้น หรือพูดอย่างง่ายๆ ว่า เป้าหมายก็คือ

การสร้างความเกลียดกันของบุคคลในสังคม นี่คือเป้าหมาย




“เกลียด” ท�ำลำยโลก



เป้าหมายสร้างให้เกิดการเกลียดกันน้ มันสามารถท่จะ

ทาลายกันได้ สร้างความเกลียดกันได้ยังไง เช่นอย่างให้ประชาชน


ชาวบ้านกับพระเกดความเกลียดชงกนข้น มนกเกดช่องว่าง นี่






อันหนึ่ง


สร้างให้ประชาชนกับข้าราชการเกิดความเกลียดชงกน

พอเกลียดชังกันข้นก็เกิดช่องว่าง เกิดช่องว่างเข้ามาแทรกระหว่าง
กลาง ขยายช่องว่างให้มากเข้า เรียกว่าระหว่างกลุ่มชนต่างๆ แม ้

กระท่งในสถาบันครอบครัว ก็จะพยายามพูดสร้างความเกลียดชัง
ในระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างพ่อแม่กับลูกก็สามารถสร้างความ




เกลียดชังให้เกดข้นแก่กนได้ โดยลทธิโดยทฤษฎ โดยเหตุผล



ต่างๆ น่ลัทธิคอมมิวนิสม์จะตั้งเป้าหมายจะจับจุดอ่อนของแต่ละ
สถาบันมาพูดข้น แล้วก็พยายามแหวกช่องว่างให้คนแต่ละกลุ่ม


เกิดความเกลียดชังกัน แล้วก็อาศัยความเกลียดชังกันน้นแหละ

186
สาราสารกถา






ให้บุคคลสองกลุ่มน้นเกิดการต่อสู้กัน เม่อเกิดการต่อสู้กันแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้น!


ก็เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย แล้วผลท่สุดโลกท้งโลก สังคม



ท้งสังคมน้ มันจะเกิดความวุ่นวายตลอดไป พอวุ่นวายตลอด
ไปแล้ว เป็นอย่างไร? สมมติว่าระหว่างชาวบ้านกับพระ พูดให้

พระเกลียดชาวบ้าน พูดให้ชาวบ้านเกลียดพระ ก็เกิดทะเลาะ

ไม่ลงรอยกัน แล้วผลท่สุดเป็นยังไง มันก็เกิดการอ่อนกาลังกัน





ท้งสองฝ่าย พระก็อ่อนกาลัง ชาวบ้านก็อ่อนกาลัง เม่ออ่อน

กาลังแล้วก็เป็นยังไง คอมมิวนิสม์ก็สามารถเข้ามายึดเอาไป

แบบสบายๆ มันเหมือนกับพูดอย่างง่ายๆ ว่า พยายามไปยุแหย่






เปรยบเทยบว่าอย่างนน พยายามไปยแหย่ให้เสอกบสงห์กดกน




นะ พยายามยุแหย่ให้เสือกับสิงห์กัดกัน เสือกับสิงห์กัดกันตาย
ไปสองข้างทายังไง สุนัขจ้งจอกมันก็กินท้งเน้อสิงห์ท้งเน้อเสือ






สบายหมาจิ้งจอกไป
“รัก” สร้ำงโลก
เร่องของเร่องมันเป็นอย่างน้ เพราะฉะน้น เราก็มาสรุป




อย่างง่ายๆ ว่า สังคมเราจะอยู่กันได้อย่างมีความสุขอย่างไร?



ผมก็อยากจะต้งปัญหาถามทุกท่านและทุกคนในท่น้ว่า ระหว่าง
ความเกลียด-ความชังกับความรักนี่ อันไหนจะช่วยให้สังคม มี

187
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






ความสงบสุขได้ เราลองต้งปัญหาถามตัวเองอย่างน้ว่า ระหว่าง
ความเกลียด-ความชังกับความรัก-ความชอบ อันไหนจะช่วยให้
เราสบาย อันไหนจะช่วยให้เรามีความสงบสุขหรืออันไหนจะเป็น




เคร่องท�าลายล้างความสุขสบายของเรา เรากจะได้คาตอบเป็น







อนหนึงอนเดยวกนว่า ความเกลยดความชงนนไม่สามารถช่วย



โลกให้สุขสบายได้ สังคมใดก็ตามลัทธิใดก็ตามท่สอนให้คนใน
สังคมเกลียดชังกัน ลัทธิน้นไม่เป็นประโยชน์ต่อโลกแน่นอน


เพราะอะไร? เพราะเร่องของความเกลียด-ความชังน้นมันเป็น



เร่องของทฤษฎีท่ตัน หรือพูดอย่างง่ายๆ ว่า มันเป็นทฤษฎีท ี ่


คับแคบและเป็นทฤษฎีท่ไปสู่ทางตัน เพราะอะไร? ผมจะต้ง
ปัญหาถามทุกท่านเลยว่า ในระหว่างความเกลียด-ความชังกับ
ความรัก อันไหนมันจะขยายจิตใจให้กว้าง อันไหนมันจะบีบ
จิตใจของเราให้แคบ เรานึกถึงจิตใจเราเอง เรานึกถึงจิตใจของ

เราเองว่า จิตใจของเรามันจะแคบจะหร่ เพราะอะไร? และ
จิตใจของเรามันจะกว้าง มันจะเบิกบาน เพราะอะไร? เพราะ


เราแต่ละรูปแต่ละคนน้ ต่างก็มีจิตใจเหมือนกันท้งน้น ถ้าจะพูด

ถึงกาเนิดของชีวิตเราแต่ละคนๆ แล้ว มันจะมีลักษณะเหมือน

กันทุกคน จะเป็นชีวิตท่เป็นส่วนประกอบทางร่างกายหรือเป็น

ส่วนประกอบทางจิตใจ มันก็เหมือนกัน เพราะพระพุทธองค์ท่าน


ทรงเห็นว่า ชีวิตของแต่ละคนๆ ท่เกิดมาในโลกน้ มันเกิดมา






จากสงเดยวกนเหมอนกันทกรปทุกนาม ทงทเป็นส่วนของรป






กายและนามกาย

188
สาราสารกถา




เรำเกิดมำจำกท้องพ่อ-ท้องแม่



เอาล่ะ เรามานึกถึงตัวเรากันก่อน มานึกถึงตัวเรา ก็ต้อง



นกย้อนหลงไปว่า ตวเราจรงๆ เกดมาจากอะไร ทมนมาเป็น






สภาพร่างกายของเราทุกวันน้ เราเกิดมาจากอะไร หลับตานึกด ู


นึกย้อนหลังไปเร่อยๆ ต้งแต่ปีน้เม่อปีกลายปีก่อนโน้นและต้งแต่



เราอายุหน่งขวบ หรือต้งแต่แรกเกิดทีเดียว ถ้าเรานึกย้อนหลังไป











เรากจะไปเหนจดเรมแรกตงแตเราเกดมา เราเกิดมาจากท้องใคร?


เรานึกเห็นไหม? เราก็จะเห็นจุดเร่มแรกทีเดียวน้น เราเกิดมา

จากท้องพ่อ เราลองหลับตา นึกท่เรารู้กันว่า-เราเห็นว่าเรามา


จากท้องแม่ แต่ท่เราไม่เห็นจริงๆ น้น เราเกิดมาจากท้องพ่อ

ชีวิตของคนทุกคนเป็นอย่างน้นท้งน้น ทาไมผมจึงว่าเกิดจาก



ท้องพ่อ ก็เพราะเดิมชีวิตเราในแต่ละคนรวมกันอยู่ในตัวพ่อ


เม่อออกจากท้องพ่อแล้วจะรอดตายไปได้ ต้องผ่านข้นตอน


ต่อสู้อีกมากมาย เราต้องรู้หลกความจริงอย่างหนงว่า ในช่วง


จังหวะท่เราออกจากท้องพ่อเราเรียกตามภาษาชีววิทยา หรือ
ตามภาษาแพทย์ว่าตัวสเปิร์ม (Sperm) ซ่งการออกจากท้อง






พ่อน้ คร้งหน่งไม่ใช่ออกมาเพียงตัวเดียว ออกมาคร้งหน่งไม่
น้อยกว่า ๓๐๐ ล้านตัว ถึง ๕๐๐ ล้านตัว เมื่อเข้าไปในท้องแม่
ก็ต้องไปแข่งกันในท้องแม่ ตัวไหนท่แข็งแรงท่สุดก็สามารถว่งไป



สู่รังไข่ของแม่ได้ ท่เราเกิดมาได้ก็แสดงว่าเราเก่งท่สุดแล้ว หรือ


พูดอย่างง่ายๆ ว่าเป็น ๑ ใน ๕๐๐ ล้านก็ได้ และต้องไปอยู่ใน

189
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ท้องแม่นานถึง ๒๓๘ วัน หรือประมาณ ๑๐ เดือนกว่าจะได้



เกิดมา ซ่งในบางคร้งแม่จะทาลายเสียด้วยการกินยาก็ได้ เรา

ก็จะมองเห็นว่าชีวิตเราเกิดมาได้เพราะความรัก ที่เราอยู่กันได้
อย่างสุขสบายทุกวันนี้ก็เพราะความรัก




ควำมรักไม่มีขอบเขตจ�ำกัด



ถ้าเรามีแต่ความเกลียดชังกัน เราก็ไม่สามารถท่จะอยู่อย่าง







มความสขสบายได้ ธรรมชาติทสร้างมนุษย์และสตว์ข้นมา ได้
ให้ความรักมาด้วย ต้องการให้อยู่กันอย่างมีความสุข เพราะทุก
คนเกิดมาต้องการความสุข ต้องการความสบาย เม่อมีการโกรธ


เกลียดกันข้น ก็ย่อมได้รับความไม่สบาย ไม่ได้รับความสุข ชีวิต





ของเรา-สงคมเราจะมีความสขได้ กต้องอาศยความรก ไม่ใช่
อาศัยความเกลียด-ความชัง เพราะมันไม่สามารถทาให้เกิดความ

สงบ-ความร่มเย็น พระพุทธองค์จึงสร้างทฤษฎีต่างๆ เพ่อให้


คนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข คือให้เกิดความรักกันน่นเอง

ความรักกันทาให้จิตใจของเรามีความเบิกบาน ให้มีความกว้าง

ขวาง ซ่งตรงกันข้ามกับความเกลียด-ความชัง ถ้าเรามีแต่ความ
เกลียดชัง เราจะอยู่ในสังคมไม่ได้ เพราะความเกลียด-ความชัง

มีขอบเขตจากัด เราต้งปัญหาถามตัวเองดูว่า เราเกลียดคนทุกคน

ได้ไหม?

190
สาราสารกถา





เราก็ตอบได้ว่า "ไม่ได้" ก็เพราะความเกลียดมีขอบเขตจากัด


ในทางตรงกันข้าม เราสามารถทาใจให้รักคนท้งโลกได้ไหม? "ได้"

เพราะความรักไม่มีขอบเขตจากัดเหมือนความเกลียดชัง ถ้า

เราขยายความรักได้มากข้นเท่าไร เราก็มีความสุข-ความสบายใน

โลกน้มากเท่าน้น เราต้องช่วยกันน�าหลักทฤษฎีของพระพุทธองค์

ไปใช้ เพื่อที่จะให้โลกมีความสุขโดยอาศัยหลักของความรัก


เราวกมาดูปัญหาบ้านเมืองของเรา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม
ปัญหาเศรษฐกิจ หรือปัญหาการเมือง ท่ทาให้เกิดความเดือดร้อน


ปัญหาท่เกิดเพราะความเอารัดเอาเปรียบกัน ความเดือดร้อน

ก็ค่อยๆ แผ่ขยายไป เช่นปัญหาเร่องราคาอ้อยและราคาน้าตาล


ปีกลายราคาอ้อยตันละ ๖๐๐ บาท ราคาน้าตาลกิโลกรัมละ ๑๒

บาท ปีน้ราคาอ้อยตันละ ๓๐๐ บาท แต่ราคาน�้าตาลก็ยังคงเป็น


กโลกรัมละ ๑๒ บาทเท่าเดม จะเห็นได้ว่า ราคาอ้อยหายไป



ส่วนท่หายไปย่อมต้องเกิดจากการเอารัดเอาเปรียบ ซ่งก็มาจาก
ความชังน่นเอง หรืออาจจะบอกว่า เกิดจากความรักก็ได้ แต่

เป็นความรักที่คับแคบ เช่นความรักของนักการเมือง ความรัก

ของรัฐบาล หรือความรักของพวกเจ้าของโรงงานต่างๆ ท่ชอบ

ความร่าความรวย มันไปคับแคบอยู่เฉพาะในวงศ์ตระกูล ไม่

สามารถแผ่ขยายไปถึงชาวไร่ได้ ประโยชน์ท่เขาได้ เขาก็ให้แต่


เฉพาะคนท่เขารักเท่าน้น ชาวไร่ชาวนาก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร

เลย น่ก็เป็นโทษของความเกลียด-ความชังท่ก่อให้เกิดปัญหา



191
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





เศรษฐกิจ ก่อปัญหาการเมือง และก่อปัญหาสังคมด้วย ทาให้

ระบบสังคมเกิดการเอารัดเอาเปรียบ อย่างเรากับคนท่เรารัก
เราก็ไม่คิดท่จะเอารัดเอาเปรียบ มีแต่จะคิดท่จะเสียสละ ใน



ตัวของเราถ้าปลูกฝังความรักให้เกิดข้น แม้แต่ชีวิตของเรา เรา
ก็สละให้แก่กันได้



พระพุทธศำสนำกับขั้วอ�ำนำจกำรเมืองไทย



ปัจจุบันน้เราจะเอาระบบต่างๆ เช่น ระบบเศรษฐกิจ ระบบ


การเมือง ระบบสังคมท่เอามาใช้ในบ้านเมืองของเรา เพราะ
พวกผู้มอานาจหน้าทในบ้านเมืองของเรามองไม่เห็นคุณค่า




ทางพระพุทธศาสนา เมื่อมองไม่เห็นคุณค่าก็พยายามไปศึกษา
ระบบต่างๆ เหล่าน้มาจากต่างประเทศแล้วก็พยายามนามาใช้ใน



บ้านเมืองของเราก็มาลบล้างคุณธรรมต่างๆ ท่มีอยู่ในจิตใจของ

คนตามหลกพระพทธศาสนาให้หมดไป เลยกลายเป็นว่าสงคม


ของเรากลายเป็นสังคมแห่งผลประโยชน์ ไม่ใช่สังคมแห่งการ



เอ้อเฟื้อเผ่อแผ่สมัยโบราณ เม่อเป็นดังน้เราก็จึงต้องอยู่อย่าง


ตัวใครตัวมัน ความเอ้อเฟื้อเผ่อแผ่ท่เคยมีต่อกันก็จะหมดไป


เพราะเราไม่สนใจการศึกษาธรรมะในทางพระพุทธศาสนาท ี ่
จะเอาไปจดระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมอง และระบบสงคมม ี




บ้างไหม ท่เราพูดถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในหมู่ผู้บริหาร

บ้านเมือง หรือในหมู่นักการเมืองในปัจจุบันน้ บางทีเราจะไม่ได้ยิน

192
สาราสารกถา




เลย เราจะเห็นว่า นักการเมืองต่างๆ ที่มาเคารพกราบไหว้บูชา

พระอยู่ทุกวันน้ ถ้าเปิดเผยความรู้สึกจริงๆ เหมือนกับว่าไม่ได้

เล่อมใสคุณธรรมทางพระพุทธศาสนาโดยตรง เป็นแต่เพียง




ทางผ่านไปสู่ญาติโยม เพ่อเป็นคะแนนเลือกต้งเท่าน้นเอง น ี ่



เป็นหลักความจริง เพราะว่ามีหลักสาคัญอันหนึ่งท่ต้องจาไว้ว่า


ต้องเช่อบุญเช่อบาป จึงจะเอาสังคมไปรอด เราตองนาทฤษฎ ี



ต่างๆ ของพระพุทธองค์ไปใช้ เพราะถ้าเราทุกองค์ต้งใจศึกษา
กันจริงๆ เราจะมองเห็นว่าทฤษฎีของพระพุทธองค์สามารถท ่ ี
จะครองโลกได้ และสามารถช่วยให้โลกมีความสงบมีความสุข
ได้อย่างแน่นอน ยกตัวอย่างง่ายๆ แม้แต่ในสถาบันการศึกษา
ของบ้านเมืองทุกสถาบัน พวกนักการศึกษาในบ้านเมืองของเรา


พยายามเอาทฤษฎีการศึกษาแบบฝร่งมาใช้ แล้วมาตระบบการ



ศึกษา หรือหลักการศึกษาต่างๆ ท่มีคุณค่า ท่จะสร้างคุณธรรม

ให้เกิดข้นแก่จิตใจของคนไทย ตีออกจากสถาบันการศึกษาหมด


ค�ำสอนที่ท้ำทำยยุคโลกำภิวัตน์



เราเคยมีการเรียนกันเร่องนิทานอีสป เร่องพระเวสสันดร

เร่องศาสนาพระศรีอาริย์ เร่องบุญเร่องบาปต่างๆ เราเคยม ี



เรียนกันทุกสถาบัน เด๋ยวน้มีอยู่เพียงนิดหน่อยเท่าน้น ผลท่สุด




เม่อนาหลักพระพทธศาสนาออกจากระบบการศึกษา ปัญหา



บ้านเมืองจะแก้ไขไม่ได้เลย

193
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




พระพุทธองค์ท่านร้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสมัยไหน คนทุกคน





ยอมมความอยากรารวย และความรารวยนกต้องมาจากการเอา






รัดเอาเปรียบคนอ่น และต้องไปเบียดเบียนเอามาจากทรัพยากร

ธรรมชาติ ถ้าคิดร่ารวยกันมากๆ ทรัพยากรธรรมชาติก็ต้องถูก


ทาลายมาก ต่อไปถ้าไม่มีการยับย้ง โลกต้องแหลกอย่างแน่นอน



ปัจจุบันท่เกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติข้น เช่น ฝนแล้ง น้าท่วม
ที่ท�าให้เกิดความเดือดร้อนก็เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้
ความสุขอยู่ในโลกน้เราก็ต้องคิดถึงข้อเท็จจริง เพราะใน


โลกมนุษย์ของเราน้จะอยู่ระดับไหนก็ตาม พระพุทธองค์ท่าน

ตรัสรู้ไว้นานแล้วว่า ความสุขท่จะอิงอาศัยทรัพย์สินต่างๆ จะม ี

มากน้อยแค่ไหน ความสุขก็จะมีขอบเขตจากัด ความสุขในโลก
น้ถึงเราจะด้นรนแสวงหาอย่างไร ส่วนท่เราจะได้รับความสุข



ความสบาย จะมีอยู่เพียงนิดเดียว ถ้าหากว่าเรารวยเกินความ

จาเป็น ก็จะถูกธรรมชาติบีบบังคับให้วุ่นวายเดือดร้อนใจมาก
และความสุขท่จะได้รับก็มีขอบเขตจากัด พวกเราก็ท้งสามารถ






และไม่สามารถท่จะแสวงหาความสุขน้นได้จากส่งต่างๆ บน










โลกน้ในลกษณะทเท่าเทียมกนได้ ไม่ใช่ว่าคนทมความรารวย
มากจะมีความสุขเพ่มข้น เปล่าเลย! ความสุขทางด้านจิตใจ




ท่เราจะมองเห็นชัดเลย ก็เพราะมันมีจากัด ความสุขในโลก
มนุษย์มีอะไรบ้าง ก็มีเหมือนกับความสุขท่เราเคยได้รับมา จะ

ยากดีมีจนก็มีโอกาสเหมือนๆ กัน สุขเกิดจากกาม สุขเกิดจากกิน


สุขเกิดจากเกียรติ วนเวียนอยู่อย่างน้เท่าน้นเอง ถ้าเราไปเพ่ม


194
สาราสารกถา







อะไรท่มากข้น แทนท่เราจะได้รับความสุข เรากลับจะได้รับความ
ทุกข์แทน
เท่าท่ยกตัวอย่างมา ท่านคงจะเห็นแล้วว่า ระบบต่างๆ

ท่เกิดข้น และเป็นอยู่เป็นปัญหาท่ทาให้เกิดความเดือดร้อนไป





ท่วทุกหนทุกแห่ง จะแก้ไขไม่ได้ ถ้าไม่เอาหลักพระพุทธองค์
เข้ามาแก้ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ปัญหาต่างๆ ความสุขต่างๆ

ความสบายต่างๆ ในโลกของเรามีจากัดอย่างน้นจริงๆ พวกเรา



ก็อยู่ในฐานะทแตกต่างกัน ถ้าหากเราคอยสารวจเก่ยวกับการ




เสพสุขต่างๆ ท่เราเคยผ่านมา กับความสุขท่เราจะได้ต่อไป มัน
มีแปลกไปไหม? เราก็จะเห็นได้ว่า มันก็ไม่มีแปลกออกไปคือไม่ม ี



อะไรท่จะมาเติมจิตใจของเรา ให้รู้สึกอ่มรู้สึกช่นได้ตลอดกาล

เพราะมันมีค่าหรือมีประสิทธิภาพเพียงเท่าน้นเอง เหมือนกับ

ว่าโลกของเรา เม่อเราปลุกระดมความอยากได้ใคร่ดีกันมาก


จนขนสมอง มนเหมือนกับการท่ทาให้เราเกิดความกระหาย



เหมือนกับกระหายน้ามากๆ น้าเพียงอึกเดียวไม่สามารถท่จะ




ดับความกระหายได้ ฉันใดก็ดี ส่งต่างๆ ท่เป็นวัตถุในโลกน ้ ี

ก็เช่นเดียวกัน จะมากมายแค่ไหนก็ดับความอยากของคน

ไม่ได้ มีมากก็ต้องการมาก มันเหมือนกับไฟเหมือนเช้อไฟ วัตถ ุ
เหมือนเช้อไฟ ความอยากความต้องการของคนเหมือนกับ


ไฟ เราจะเอาฟืนมาใส่ให้ไฟดับไม่ได้ มีแต่จะทาให้ไฟลุกมาก

ยิ่งขึ้น แต่ลักษณะเป็นอย่างน้ คนเราก็เช่นกัน ถ้าปลุกระดม

195
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






ให้มีแต่ความโลภให้มากข้น แทนท่จะหยุดจะท�าให้มีความ


โลภมากย่งข้นอีก สมมติว่า เราไม่มีเงินไม่มีทอง เราคิดว่าเราม ี
สักล้าน คงพอ! แต่พอมีจริงๆ ก็คงไม่พออยู่อีก เหมือนกับเช้อ

เพิ่มขึ้นอีก ก็ยิ่งจะต้องการให้มากขึ้น ไม่มีที่สิ้นสุด



โลภท�ำลำยโลก [ระบบเศรษฐกิจ]



ฉะน้น หลักของพระพุทธองค์ ท่านจึงพยายามสอนว่า ถ้า


เรายังมีความโลภมาก ความโลภของเราจะเป็นตัวการทาลาย

โลกของเราให้ไม่มีท่อยู่อาศัย ซ่งเราก็เคยได้ยินนิทานเร่องไฟ



ไหม้โลกหรือเร่องอาทิตย์ ๗ ดวง ว่าต่อไปมนุษย์ยุคต่อไปใน
ช่วงข้างหน้าจะมีความโลภมากเข้า ธรรมชาติจะลงโทษโดยส่ง



ดวงอาทิตย์ดวงท ๒ มา พอมีดวงท ๒ ก็ยังคงโลภมากหนักเข้า



เขากจะส่งดวงอาทตย์มายงโลกของเราถง ๗ ดวง พอครบ ๗


ดวงก็จะเกิดไฟไหม้โลก พอภาวะบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

ถ้าเปรียบกับนิยายโบราณก็เหมือนกับว่า ขณะน้ดวงอาทิตย์ดวง
ท่ ๒ กาลังจะเกิดข้น ถ้าเราไม่แก้ไขสถานะเศรษฐกิจการเมือง



ของโลกให้อยู่ในระดับท่พอเหมาะ กจะเกิดความเดือดร้อนไป






กันท้งโลก เหมือนกับท่โลกกาลังร้อนข้นด้วยอุณหภูมิท่สูงข้น


ของอากาศ เน่องจากการทาลายล้างทรัพยากรธรรมชาติให้หมดไป



พระพุทธองค์จึงทรงสร้างทฤษฎีของพระพุทธองค์ข้นมา เพื่อ

196
สาราสารกถา







ท่จะยับย้งความโลภของมนุษย์ ถ้าเราย่งปลุกระดมให้คนมีแต่
ความโลภ เชื่อได้เลยว่า โลกของเราจะอยู่ไม่ได้

ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ท่บ้านเมืองของเราประสบอยู่ หรือ


ท่โลกประสบอยู่ ไม่มีทางแก้ไขท้งน้น พรรคการเมืองท่อาสาจะ


เข้าไปแก้ไข ถ้าไม่ใช้วิธีของพระพุทธองค์ไปแก้ไข แก้ไขไม่ได้แน่
อย่างกับประเทศไทยของเรา ถ้าเราใช้ทรัพยากรท่มีอยู่ให้หมดไป

เราก็จะอยู่กันไม่ได้



พระพุทธศำสนำแก้ไขปัญหำโลกได้อย่ำงไร




เพราะฉะน้น เราต้องเช่อโลกน้โลกหน้า เช่อในเร่องบุญ





เร่องบาป หากว่าเราโลภมาก เรากสรางบาปมาก กต้องเอาเปรียบ





มาก เอาเปรียบคน เอาเปรียบธรรมชาต เอาเปรียบโลก ผลท่สุด


ก็จะไปทาลายโลกทีหลัง ผลท่สุดก็สร้างความร�่ารวยให้แก่โลก
ไม่ได้ สร้างได้ก็เฉพาะบางคนบางกลุ่มท่มีเพียงจานวนน้อย





เท่าน้น พระพุทธองค์จึงให้เช่อในเร่องสวรรค์ ใครอยากจะรวย


ก็ให้ทาทาน รักษาศีล ถ้าเมืองไทยเราเช่อในพระพุทธองค์แล้ว


อยู่กันด้วยความเอ้อเฟื้อเผ่อแผ่ แล้วเราก็สามารถหวังได้ใน

ความร�่ารวยคือเราหวังในสวรรค์ ชาติน้อย่าไปหวังมาก พอมีกิน

มีอย อยากร่ารวยก็พยายามให้ทานไว้ มีอะไรท่เป็นส่วนเกินมาก




คนไหนขาดแคลน คนไหนอ่อนแอ ก็เอามาช่วยเหลือกัน เรากมา

197
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





ให้ทานรักษาศีลกัน แล้วเรากจะรารวยในชาตหน้า เพราะระบบ




อย่างน้เท่าน้น ท่จะทาให้เรามีความเอ้อเฟื้อเผ่อแผ่กัน มีความ






ช่วยเหลือเกอกูลกัน เพราะร้จกให้กัน ถ้าเราเชอในพระพทธเจ้า






สังคหวัตถุก็จะเกิดข้นเจริญงอกงาม ในสมัยปู่ย่าตายายเรามีเทศน์

เร่องหน่งท่ทุกวัดต้องจัดข้น เร่องน้นคือ เร่องพระเวสสนดรชาดก








ซ่งพรรณนาถึงมนุษย์ในศาสนาพระศรีอาริย์ ศาสนาพระศรีอาริย์










นั้นมตนกลพฤกษขนทง ๔ มมเมอง คนอยากจะไดอะไรกนกเอา






แต่ในชาติน้ต้องทาบุญ-ทาทาน-รักษาศีล จึงจะเกิดในศาสนา

พระศรีอาริย์ได้ คนในโบราณของเรามีความเช่อ พอมีความเช่อ





ก็ทาตัวให้เป็นคนใจบุญ มีอะไรก็เอ้อเฟื้อเผ่อแผ่กัน มีมากก็มา

เจือจานกับคนท่มีน้อย เม่อสมัยก่อนเราเดินผ่านทุกหมู่บ้าน ก ็

จะเจอแต่โรงทาน ไปไหนก็มีแต่คนให้ทาน เพราะอยากไปเกิด


ในศาสนาพระศรีอาริย์ อยากจะไปสวรรค์ ตรงน้เท่านนทจะ



แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาโลกได้ แก้ปัญหาสังคมได้
หากว่ามาสอนให้ตัวใครตัวมัน เอารัดเอาเปรียบกัน ก็จะ
ได้ความเดือดร้อนเป็นมรดกของโลกไปจนกว่าโลกจะแตกสลาย





ไปนนเอง แล้วผลทสดลกหลานทเรารก อยากให้มความสข






ท่เราพยายามสะสมทรัพย์สินสมบัติต่างๆ ไว้ให้ เม่อธรรมชาต ิ




มันวิปริตทากินไม่ได้ แล้วเราจะกินอะไร เพราะความร่ารวยเรา
กินไม่ได้

198
สาราสารกถา




เจ้ำโลกที่แท้จริง





ที่ตองพูดถึงเรื่องนี้ ก็เพื่อจะปรารภใหเขากับเหตุเบื้องตน





ท่ได้พูดไว้ว่า ทฤษฎีต่างๆ ท่ผู้ครองโลกอ้างข้นมาน้น ไม่สามารถ

แก้ไขได้นอกจากพระพุทธเจ้าเท่าน้น ทสอนทฤษฎีให้เอ้อเฟื้อ










เผอแผ่กน ให้คนมความรกกน จงอยากให้ทกรปและโยมทกคน








ต้งสัจจะไว้ท่จะทาให้ความรักท่อยู่ในจิตใจเจริญงอกงามข้น
พระพุทธองค์สอนเพ่อให้ทุกคนรู้จักแผ่เมตตา ขยายความรัก

ท่มีอยู่ในจิตใจให้กว้างออกไป ถ้าทุกคนรักกันสังคมก็จะมีแต่

ความสงบสุข เพราะความรักเราย่งแผ่ออกไปมากเท่าไร เราก ็



จะมีความสุขมากเท่าน้น เน่องจากเราจะไปไหน ก็จะเจอแต่



คนท่เรารัก ก็จะมีแต่ความสบายใจ น้เป็นเร่องจริงท่เราสามารถ

พิสูจน์ได้ด้วยจิตใจของเราแต่ละคน หมายความว่า เราเอาเรื่อง
จริงท่มีอยู่ในจิตใจของเรามาพูดกัน ว่าเราจะสามารถรักษา


ความจริงใจได้อย่างไร เราจะทานุบารุงความจริงใจน้ให้เจริญ




ให้แผ่ปกคลุมออกไปได้อย่างไร เราต้องเช่อกันอย่างหน่งว่า

ในโลกของเราน้ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนจะสร้างโลกให้น่าอยู่
น่าอาศัยได้ดีเท่ากับความรัก
หลักมนุษยสัมพันธ์







ขอให้ท่านนาเร่องน้ ท่ได้ฟังในวันน้ นาไปพิจารณา ต้งสัจจะ
ว่า เราแต่ละรูปต้องทาใจให้กว้าง โดยเฉพาะเราเป็นพระ จิตใจ


199
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ของเราจะกว้างได้ก็เพราะความรัก เราต้องแผ่ความรักของเรา


ออกไปจากตัวเราไปสู่หมู่บ้าน สู่ตาบล สู่อาเภอ และสู่จังหวัด


ของเรา ในท่สุดเราก็แผ่ความรักแก่คนไทยทุกคน ตลอดจนกระท่ง

คนทุกคนที่อยู่ในโลก และเมื่อนั้นเราก็จะเป็น “เจ้าโลก”ได้

หลักการท่ควรระลึกถึง คือการมีมนุษยสัมพันธ์กับคน



ทุกคน พยายามทาความรู้จัก ด้วยความรักเพ่อท่จะเป็นเจ้าหัวใจ


ของคนทุกคน และต้องทาใจให้กว้างพอท่จะรับนาใจของคน




ทุกคนให้ได้ ในฐานะท่เราเป็นพุทธบุตร หน้าท่ของเราก็คือเผยแผ่



ธรรมะของพระพุทธองค์เพ่อจะยึดนาใจของคนท้งโลกให้ได้




แต่ละวัดก็ยึดนาใจของประชาชนด้วยหลักธรรมอันเดียวกัน เรา

ก็สามารถนาคุณธรรมของพระพุทธองค์ไปครองโลกได้ แล้วโลก


ท้งโลกก็จะมีแต่ความสงบร่มเย็นเป็นสุข เพ่อเป็นการสืบทอด



ปณิธานของพระพุทธองค์ท่ว่าธรรมะน้เก้อกูลแก่คนท้งโลก เรา

ก็ต้องเอาธรรมะมาเก้อกูลแก่โลกให้ได้ เร่มต้นด้วยการแทรก



ความรักในแนวของสาราณียธรรม ๖ ประการ น่นคือหลักการ
อยู่ร่วมกันส�าหรับผู้ที่จะครองโลก เพราะว่าการอยู่ร่วมกันต้อง

มีการกระทา ต้องมีการพูดกัน ต้องมีการคิดถึงกันและกัน ให้
เราแทรกความรักเข้าไปด้วย เราจะพูดกับใคร ก็แทรกความ
รักเข้าไป ฟังแล้วก็มีแต่ความสบายใจ ตามหลักของสาราณีย-
ธรรมมีดังต่อไปนี้

200
สาราสารกถา





ข้อท่ ๑ ให้ต้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา จะทาอะไร


กับใคร ก็แทรกความรักเข้าไปด้วย
ข้อที่ ๒ ให้ตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา

ข้อที่ ๓ ตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา

ข้อที่ ๔ การแบ่งปันผลประโยชน์กัน

ข้อที่ ๕ เคารพระเบียบแบบแผนอันเดียวกัน
ข้อที่ ๖ ปรับความคิดเห็นให้ลงรูปแบบเดียวกัน













เมอใชหลกนแลว ปญหาสงคมตางๆ เราสามารถแกไขได ้



เพราะว่าเราอยู่กันด้วยความรัก เม่อรักกันก็เอ้อเฟื้อเผ่อแผ่กัน

ช่วยเหลือเก้อกูลกัน ก็เหมือนกับเราได้ยกสวรรค์มาไว้ในเมือง

มนุษย์ เช่น ในสมัยก่อน การเก่ยวข้าวก็มีการร้องเพลงกันและ

ยังมีเล่นตรุษสงกรานต์กัน เป็นท่สนุกสนาน ความสนุกสนาน

น่แหละ ท่เราเรียกว่าเป็นเมืองสวรรค์ท่มีบนโลกมนุษย์ มีเวลา






ร่นเริง มีเวลาท่เบิกบานใจ แต่เด๋ยวน้ไว้ใจกันไม่ได้เลย ระบบ

เศรษฐกิจ-ระบบการเมืองท่เราไปเอาของเขามาใช้ ไว้ใจกันไม่ได้

แม้กระท่งพ่น้องในบ้านเดียวกัน แล้วเราก็จะสุขสบายกันได้

อย่างไร? ในเมื่อต้องอยู่กันด้วยความหวาดระแวง
คุณธรรมประจ�ำชำติไทย


เพ่อความพร้อมเพรียงกัน ความเป็นอันหน่งอันเดียวใน
ด้านจิตใจในด้านความคิดเห็น เราต้องยึดถือคุณธรรมแม่บท

201
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




เหมือนๆ กัน แล้วเราพยายามเอาคุณธรรมท่เป็นแม่บทไปแผ่




ขยาย กับคนท่เป็นคนไทยท้งหมด ให้มีคุณธรรมแม่บทน้เป็น
คุณธรรมประจาใจกัน แล้วไปแตกสาขาทีละน้อยๆ คุณธรรม

แม่บทท่จะถวายน้คือคุณธรรม ๔ ประการตามท่กล่าวไว้แล้ว







เพราะคณธรรม ๔ ประการนแก้ปัญหาได้ ช่วยเหลอโลกได้
อย่างแน่นอน



ฉะน้น ก่อนท่เราจะเข้าใจเน้อหากันจริงๆ ในคุณธรรม ๔



ประการน้ อยากขอร้องให้ทุกองค์กล่าวคาปฏิญาณอีกคร้งหน่ง

"ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่า
ข้อ ๑ ข้าพเจ้าจะรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเอง
ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม






ขอ ๒ ขาพเจาจะฝกใจตนเอง ขมใจตนเอง ใหประพฤต ิ

ปฏิบัติในความสัจความดีนั้น


ข้อ ๓ ข้าพเจ้าจะอดทน อดกล้น และอดออม ท่จะ
ไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด

ข้อ ๔ ข้าพเจ้าจะละวางความช่ว ความทุจริต และสละ

ประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพ่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง"

202
สาราสารกถา




กำรน�ำไปประยุกต์ใช้




ให้ทุกคนต้งใจรักษาความสัตย์ อย่างน้อยก็ขอให้ซ่อสัตย์
ต่อตนเองและรักษาไว้ ความซื่อสัตย์นั้นคือให้ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เรา

ชอบ เช่นคนทุกคนชอบความรัก ชอบความไม่เอารัดเอาเปรียบ











ชอบการ ไม่คดโกง เรากไมทาสงเหล่านต่อคนอน เพราะวาเราเอง
ก็ไม่ชอบที่จะให้คนอื่นท�าอย่างนี้กับเรา


หลักสาคัญอีกอันหน่ง คือประพฤติปฏิบัติแต่ส่งท่เป็น


ประโยชน์และเป็นธรรม ส่งน้จะช่วยให้แก้ปัญหาบ้านเมืองได้






ถ้าทุกคนม่งแต่ประโยชน์โดยมิได้คานงถงความเป็นธรรม ย่อม


ทาให้เกิดความเดือดร้อน เพราะเป็นไปไม่ได้ท่เราจะได้ประโยชน์

โดยท่คนอ่นไม่ได้เสียผลประโยชน์ให้เรา เม่อเป็นเช่นน้เราก็ไม่





ควรเอาเปรยบ ควรจะให้ความเป็นธรรมแก่เขาบ้าง คอทาให้


เขาเกิดความพอใจ เกิดความสบายใจ ฉะน้นเราต้องฝึกส่งนี ้

ให้เกิดแก่ใจของเราเอง เพราะถ้าเราได้ฝึกแล้วก็จะเกิดประโยชน์
ต่อสังคม ต่อประเทศ และต่อโลกแน่นอน เม่อเราทุกคนยึดถือ



คุณธรรม ๔ ประการน้เป็นหลักปฏิบัติร่วมกันแล้ว ก็จะเป็นเคร่อง

ทาให้เกิดความรักความสามัคคี และความดีต่างๆ แก่กันและ




กันได้ จะทาให้เราทุกองค์ทอยู่ในน้ให้เป็นเหมอนคนๆ เดียวกัน

ได้ วิธีการก็คือเอาธรรมะเป็นเคร่องรองรับใจของตนเอง คือ

เราทุกคนมีสัจจะ มีความอดทน มีการฝึกตน มีการเสียสละ ม ี
อย่างเดียวกัน เราก็จะไม่แปลกกันเลย ย่งถ้าเราเอาคุณธรรมน ้ ี


203
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)







รองรับจิตใจของคนไทยท้งชาติ คนไทยท้งชาติก็จะเป็นน�้าหน่ง
ใจเดียวกันได้ โดยคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้เอง

ฉะน้น จึงอยากจะขอร้องว่า หลังจากการอบรมไปแล้ว
เก่ยวกับเร่องความสาคัญต่างๆ ของคุณธรรมน้ เราก็พยายาม





ไปต้งสัจจะ ปฏิญาณและพยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติกัน
อย่างจริงจังและจริงใจ เพ่อให้สมเจตนารมณ์ของพระบาทสมเด็จ



พระเจ้าอยู่หัวท่พระองค์นาพระราชดารัสน้มา ก็เพ่อให้คนไทย




ทุกคนมีความประพฤติ มีความเป็นอันหน่งอันเดียวกัน เพ่อผล



คอความเจริญม่นคงของประเทศชาติ ซ่งก็หมายความถึงความ

เจริญของพวกเราทุกรูปทุกคนนั่นเอง

ผมขอจบเร่องราวท่จะถวายท่านในวันน้ ถ้าเร่องราวอันใด




ขาดตกบกพร่องไม่สมบูรณ์ ขอให้ท่านไปนึกคิดเพ่มเติมเอาเอง

ให้เกิดความสมบูรณ์ข้นมา ถ้าเร่องใดเกินเลยไป ท่านก็พยายาม


ตัดทอนเสีย แล้วทาใจให้ปลอดโปร่งแจ่มใส ให้เป็นท่ต้งเป็นท ี ่






เจริญแห่งคุณธรรมท้ง ๔ ประการน้ เม่อทุกท่านทุกคนทาได้


ดังนี้ ก็จะเปนหลักประกันถึงความเจริญแหงชาติ-ศาสนา-พระ
มหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของบ้านเมืองของเราได้อย่าง
แน่นอน

ท้ายท่สุดน้ ผมขออ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือพระพุทธ-

พระธรรม-และพระสงฆ์ และอานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช

204
สาราสารกถา




อานุภาพแห่งบุรพาจารย์ท้งหลายท่นาพระพุทธศาสนาสืบต่อ



กันมาแต่อดีตจนถึงพวกเราในปัจจุบัน จงมาเป็นพลวปัจจัยให้

ทุกรูป-ทุกท่านและทุกคนในสถานท่นี้ มีความเกษมสวัสด ประพฤต ิ


คุณธรรมท้ง ๔ ประการให้สาเร็จ สมความมุ่งมาดปรารถนาทุก

ประการ ทุกท่าน เทอญ.





ลูกแก้ว



และค�ำพระที่ควรจ�ำ























เป็นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพ

นำยเงี๊ยบ ทวิพัฒน์

(อดีตนำยกเทศมนตรี อ�ำเภอสองพี่น้อง)


ณ เมรุวัดสองพี่น้อง อ�าเภอสองพี่น้อง

จังหวัดสุพรรณบุรี

วันที่ ๒๐-๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๑


Click to View FlipBook Version