108
สาราสารกถา
ี
จะถูกถอดแล้ว ถอดแล้วเขาให้ไปเกิดท่ไหน? ก็ให้ไปเกิดในท ่ ี
ั
ี
ท่อดๆ อยากๆ หรืออย่างดีก็ให้ไปเกิดเป็นขอทาน น่นพวก
ั
ั
เศรษฐีถูกถอดท้งน้น คือให้มีแล้วไม่ให้ ก็บารมีเขาต้งไว้แล้ว ว่า
ั
มีให้แล้วต้องให้ ถ้าไม่ให้จะถูกถอด
ตัวอย่ำงเรื่องคนไม่รู้จักอดอยำก เพรำะทำนบำรมี
ื
ทานบารมีให้ผลทางทรัพย์สมบัติน จะเล่าเร่องพระอนุรุทธะ
้
ี
เป็นตัวอย่าง เม่อชาติก่อน ท่านเกิดเป็นคนยากจน เป็นลูกจ้าง
ื
เก่ยวหญ้าให้ช้างของเศรษฐี เขาให้วันละ ๔ บาท ๔ บาทก็ซ้อ
ื
ี
ข้าว พอกินไปวันบ้าง ไม่พอบ้าง แลกข้าวเขากิน วันหน่งกาลัง
ึ
�
ุ
ิ
้
่
่
ิ
ึ
์
่
ึ
ิ
ั
้
ี
จะกนขาว มพระปจเจกพทธเจาองคหนง ซงเพงออกจากนโรธ
สมาบัติ หลังจากเข้านิโรธสมาบัติมา ๗ วัน ก็นึกว่า วันน้จะไป
ี
ั
โปรดใคร ก็ได้เห็นว่า ลูกจ้างของเศรษฐีคนน้นยากจนแต่ใจด ี
ื
ี
ี
ซ่อสัตย์ สุจริต ก็ออกจากเขาคันธมาทน์ ไปท่บ้านคนเล้ยงช้าง
แล้วก็ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน
ั
ี
ขณะน้น อนุรุทธะซ่งเป็นคนเล้ยงช้าง ก็เอาข้าวใส่จานแล้ว
ึ
และก็มีอยู่จานเดียวเท่าน้น เหลือบไปเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ั
ึ
ู
ยืนอย่หน้าบ้าน ก็มานกถึงตัวเอง แล้วก็มองบ้านเศรษฐี เปรียบ
เทียบกัน เขาอยู่ปราสาท ส่วนตัวเองอยู่กระท่อมซุกหัวแทบจะ
ื
�
ไม่มิด โน้นก็คน น้ก็คน ทาไมมันต่างกันอย่างน้ ก็มานึกว่า เม่อ
ี
ี
ี
ชาติก่อนๆ เราคงจะไม่ได้สร้างทานบารมีมา ชาติน้เราจึงอดๆ
109
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
อยากๆ มาเป็นลูกจ้างเขา เอาละ ชาติน้แม้จะต้องอดตาย เรา
ี
ี
ี
็
กจะยอมตาย วันน้เรามของจะให้ทานแล้วและก็เจอบุญเขต
บางวันเรามีของ แต่ไม่มีพระ บางวันมีพระ แต่ไม่มีของ วันนี้
เราเจอพระแล้ว ของเราก็มีข้าวจานหน่ง เราจะเอาข้าวจานน ้ ี
ึ
ถวายพระ เราจะยอมอดตาย จึงถือจานข้าวเข้าไปใส่บาตร
พระปัจเจกพุทธเจ้า เอียงจานใส่เลย พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รู้
ี
ึ
ว่า นายคนน้จน ข้าวมีจานเดียวเท่าน้น พอได้คร่งจาน ท่านจึง
ั
ปิดบาตร
ั
ชายคนน้นก็ไม่ยอม บอกพระว่า สละชีวิตแล้ว ขอถวาย
หมดเลย ขอพระคุณเจ้าช่วยอนุเคราะห์ด้วยเถิด พระปัจเจก-
่
ี
พุทธเจ้าก็ใจอ่อน เปิดบาตรรับอาหารหมดเลย และกอนทเขา
่
จะใส่บาตร เขาก็ยกจานข้าวข้นจบพร้อมกับอธิษฐานเป็นภาษา
ึ
บาลีว่า
อิมินา ปน ทาเนน มา เม ทาลิทฺทิย อหุ
�
�
นตฺถีติ วจน นาม มา อโหสิ ภวาภเว
แปลเอาความวา ดวยผลทานนี ขอความยากจนอย่าไดม ี
้
่
้
้
ี
ี
แก่ข้าพเจ้า คาว่า ไม่ม อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าในภพไหนๆ เลย
�
ี
เพียงแค่น้นแหละ ต้งแต่ชาติน้นมา ชายคนน้ไม่เคยเกิด
ั
ั
ั
ู
ี
่
้
้
เปนคนจนเลย ชาตสดทายมาเกดเปนพระอนรทธะ ลกพลกนอง
ุ
ุ
ุ
ิ
็
ู
็
ิ
กับพระพุทธเจ้า มีบุญจริงๆ
110
สาราสารกถา
ประวัติพระอนุรุทธะบอกไว้ว่า คาว่า ไม่มี ไม่มีใครพูด
�
ี
ให้ท่านได้ยินเลย จะไปออกปากใครมีหมด วันหน่งไปเล่นขลุบ
ึ
หรือไม่ก็เล่นทอยกองกับกษัตริย์พ่ๆ น้องๆ กัน โดยเล่นพนัน
ี
ี
เอาขนม อนุรุทธะแพ้เขาทุกที พอแพ้ก็ส่งคนไปเอาขนมท่วัง
ี
จนขนมหมด เท่ยวสุดท้าย คนใช้ก็ไปบอกว่า เจ้าอนุรุทธะให้
็
่
่
มาเอาขนม แมกบอกว่า ไม่ม อนรทธะแปลกใจวา เกดมาเปน
ิ
ุ
ี
ุ
็
ลูกแม่เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ขนมไม่มี แม่ไม่เคยทาให้กินสักที ขนม
�
อ่นกินหมดแล้ว ขนมไม่มี ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง ก็เลยบอกให้
ื
คนใช้ไปเอา คนใช้ก็ไปบอกมารดาเจ้าอนุรุทธะ นางจึงคิดว่า
�
ี
ลูกเราน้ เกิดมาไม่เคยได้ยินคาว่าไม่มีเลย คราวน้จะต้องให้รู้เสีย
ี
ี
ิ
็
ั
บ้างว่า ขนมไม่มมนเป็นอย่างน กเลยหยบถาดทองคาสองใบ
�
้
ี
ถาดเปล่าๆ น่นแหละ มาวางเข้า เอาถาดทองอีกใบหน่งคว�่าไป
ึ
ั
ื
ื
ู
ี
คอต้องการสอนลกให้รู้ว่า ไม่มี คอไม่มีอะไรเลย แต่ลูกไม่เคย
ได้ยิน เพราะอธิษฐานไว้ตั้งแต่ชาติโน้น
ี
ส่วนคนใช้ก็แบกถาดเปล่าๆ ไป ร้อนถึงเทวดาท่เฝ้าเมือง
ั
ื
เห็นเหตุการณ์ ก็วิตกว่า เจ้าเบ้องบนส่งไว้ว่า คาว่า ไม่มี จะให้
�
ี
เจ้าอนุรุทธะได้ยินไม่ได้ ถ้าได้ยิน เทวดาท่เฝ้าเมืองจะต้องหัวแตก
เจ็ดเส่ยงกันหมด เทวดาจึงต้องเนรมิตขนมทิพย์ใส่ถาดเต็มแปร้
ี
่
ิ
่
ู้
ไปเลย คนแบกกไมร แบกไปพอไปถงวงกเปดออก กลนขนมหอม
็
ึ
ิ
็
ไปท่วเมืองอบอวลหมด เจ้าอนุรุทธะเห็นขนมก็ร้องไห้เสียใจว่า
ั
ี
�
ั
ต้งแต่เกิดมาเป็นลูกแม่ ขนมชนิดน้แม่ไม่เคยทาให้กินเลย ก็ไป
111
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
ต่อว่าแม่ แม่ก็ไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร แท้ๆ เทวดาเขาทาให้
เรื่องเป็นอย่างนั้น นี่ทานบารมีเป็นอย่างนี้
ศีลบำรมีให้ผลด้ำนรูปสมบัติ
ศีลบารมี ให้ผลทางไหน? ให้ผลทางรูปร่าง รูปร่าง
ใครปั้นให้? ใครก�าหนดว่าคนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ มีรูปร่างอย่างนี้
ี
้
ไม่ใช่พ่อแม่เรา พ่อแม่เราก็ไม่รู้ว่าท่เราเกิดมาน รูปร่างจะเป็น
ี
ี
อย่างไร จะสมบูรณ์หรือวิกลวิการอย่างไร ไม่รู้หรอก ท่เราได้
ี
รูปร่างมาน้ เพราะศีลบารมี ศีลบารมีเราบาเพ็ญกันมาดีเย่ยม
�
ี
ี
ั
ี
เราจึงได้รูปร่างท่ดี คนท่เข้าประกวดความสวยความงามน้น
ี
ี
ี
ั
ี
พวกน้ศีลบารมีเขาด เราอยากได้รูปร่างท่ด ก็ต้องต้งใจสร้างศีล-
ี
้
บารมไป ศลบารมนน อย่างน้อยกทาให้เรามรปร่างสมประกอบ
็
ู
ี
ี
ั
�
ี
ั
ี
มีสุขภาพด มีอายุม่นขวัญยืน อยู่ครบตามอายุขัยของคนแต่ละ
ั
ยุค น่ศีลบารมีท้งน้น แค่ศีล ๕ ก็เป็นศีลบารม รักษาศีล ๕ ให้ได้
ี
ี
ั
ตามกาลตามโอกาส นี่ศีลบารมี
เนกขัมมบำรมีให้โอกำสทำงกำรศึกษำ
ั
่
ั
ี
ิ
็
ี
�
เนกขัมมบารม กอย่างทพวกเราบาเพญเนกขมมปฏบต ิ
็
ื
ี
รักษาศีล ๘ ไม่เก่ยวข้องกับเร่องกาม เนกขัมมบารมีให้ผลทาง
ไหน? ให้ผลทางโอกาสการศึกษา ก็คนรุ่นราวคราวเดียวกันนี้
112
สาราสารกถา
บางคนจบ ป.๔ บางคนไม่ได้เรียนกับเขาหรอก ท้งๆ ท่มีโรงเรียน
ี
ั
ื
อ่านหนังสือไม่ออก แสดงว่าเม่อชาติก่อนไม่ได้บวช การสร้าง
เนกขัมมบารมี คือ บวชพระบวชเณรบวชชีพราหมณ์ หรือไม่ได้
ี
ี
บวชชีพราหมณ์ ก็มารักษาอุโบสถศีล น่เนกขัมมบารม เรารักษา
ั
กันบ้างหรือเปล่า ถ้ารักษากันแค่ในพรรษา ให้จบ ป.๔ เท่าน้น
ถ้ารักษาตลอดปี อาจจะจบมหาวิทยาลัย ถ้ารักษาตลอดชีพ
อาจจะจบดอกเตอร์ไปเลยก็ได้ มารักษากันน่ะ ชาติหน้าจะได้
มีโอกาสศึกษาสูงๆ กับเขา นี่เนกขัมมบารมี
ปัญญำบำรมีให้ควำมคิดควำมฉลำด
ปัญญาบารมี ให้ผลทางความคิดความฉลาด อย่าง
เด็กสุพรรณฯ อายุ ๕ ขวบ เขียนหนังสืออังกฤษได้ คิดเลขได้
ึ
ั
เขียนหนังสือสวย ซ่งมีข่าวออกท้งทางหนังสือพิมพ์และวิทย ุ
ั
ี
ี
ท้งน้ก็เพราะมันตามพ่ไปเท่าน้นแหละ มันจาได้มากกว่าพ่อีก
ั
ี
�
ี
แสดงว่าความฉลาด หรือท่ภาษาปัจจุบันเรียกว่า ไอคิว สูงกว่า
เด็กในระดับเดียวกัน ความคิดของคนไม่เหมือนกันหรอก
อย่างสมัยโบราณ มีเรื่องเล่าว่า คนแก่หิวหมากจัดๆ แต่
ี
เช่ยนหมากมันวางทเสาด้ง หิวจัดก็เลยเอามือคล่อมเสาด้งหยิบ
ั
ี
่
ั
เช่ยนหมาก ดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก คิดไม่ออกว่าจะดึงออกได้
ี
อย่างไร ต้องถามเด็กว่า ไอ้หนูเอ๊ย ยายจะเอาเช่ยนหมากออก
ี
ั
จากเสาด้งได้ยังไง เด็กก็คิด มันมีปัญญาบารมีมา มันก็บอก
113
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ให้ยายปล่อยแขนข้างหน่ง ก็เอาออกได้ น่เพียงคิดแค่จะปล่อย
ึ
ี
ึ
ี
ี
ื
แขนเสียข้างหน่ง เพ่อจะเอาเช่ยนหมากมากินน่ คิดไม่ออก
นี่คนไม่มีปัญญาบารมี น่าจะคิดได้ แต่คิดไม่ออก
�
และอีกคนหน่งน่งสานพ้อม สานพ้อมเขาทายังไง? สาน
ั
ึ
พ้อมเขาต้องน่งข้างในน่งในพ้อมแล้วเขาก็สานเลย พ้อมมันก ็
ั
ั
สูงท่วมหัว สานเสร็จแล้ว ก็คิดว่าจะออกได้ยังไง เดินวนอยู่
ในพ้อมออกไม่ได้ คิดไม่ออกว่าจะออกจากพ้อมได้ยังไง น่คน
ี
ไม่ได้สร้างปัญญาบารมีมา จึงถามเด็กท่เดินผ่านมาว่า ไอ้หน ู
ี
เอ๊ย แกลองทายซิว่าข้าจะออกจากพ้อมน้ได้อย่างไร เด็กมันก ็
ี
ั
บอกว่า ลุงก็เอียงพ้อมออกมาซิ น่นแหละคิดได้ เอียงพ้อมออก
มาได้ มันคิดไม่ออกว่าจะออกได้ยังไง น่ปัญญาบารมี ต้องสร้างไว้
ี
ิ
ไม่งนเด๋ยวไปจนความคดเอางายๆ จะแยเลย อายเดกมัน นแหละ
่
่
็
ั
้
ี
ี
่
ความคิดมันแตกต่างกัน บางอย่างเราก็คิดได้
เหมือนกับแมว เวลาหน้าหนาว เราเอาผ้าไปปูให้มัน เอา
�
ผ้าไปวางให้มัน มันทาอย่างไร? มันคิดได้แค่ไหน? มันคิดได้แค่
ไปนอนทับผ้าเท่าน้นแหละ มันคิดห่มผ้าคิดไม่ออก ถ้ามันคิดออก
ั
�
มันทาได้ไหม? เอาผ้ามาคลุมมันได้ไหม? ถ้ามันคิดออก มันก ็
ั
เอาตีนเข่ยผ้ามาคลุมตัวมันได้ มันก็จะอุ่นท้งตัว มันคิดได้แค่
ี
ว่ามีผ้าแล้ว ต้องทับผ้ามันถึงจะอุ่น มันคิดได้แค่น้น ทาไมมัน
�
ั
้
ึ
็
ั
ิ
คดได้แค่นนล่ะ กเพราะมนไม่ได้สร้างปัญญาบารมไว้ จงคดได้
ั
ิ
ี
แค่ไปนอนทับผ้า
114
สาราสารกถา
�
ลิงก็เหมือนกัน เวลามันทารัง มันจะเอาใบไม้มาทารังมัน
�
ั
ี
แล้วมามองจนมองไม่เห็นฟ้า เวลาฝนตกจริงๆ ลิงน่นน่งท่ไหน?
ั
ั
ึ
ั
มันข้นไปน่งบนหลังคารัง มันคิดได้แค่น้น มันสร้างรังไว้จะกัน
ฝน เอาใบไม้มา มามุงเสียจนมองไม่เห็นฟ้า กะว่าตกมาคราวน ้ ี
ไม่ร่วล่ะ เวลาฝนตกจริงๆ ดันไปน่งบนหลังคา ทาไมมันเป็น
�
ั
ั
ั
อย่างน้นล่ะ? ก็ปัญญาบารมีมันยังไม่พอ มันคิดได้แค่น้น น ี ่
ั
ปัญญาบารมี
สวดมนต์ภำวนำเป็นกำรสร้ำงปัญญำบำรมี
ทาอย่างไรจึงเป็นปัญญาบารมี? ต้องสวดมนต์ สวดมนต์
�
ี
ภาวนาน้สร้างปัญญาบารม ต้องสวดให้ทุกวัน ไปชาติหน้า หลังคา
ี
ึ
ร่วฝนตก หลังคาบ้านดีๆ ข้นไปน่งบนหลังคาบ้าน อายเขาแย่เลย
ั
ั
ดังนั้น สวดมนต์ เจริญภาวนา ต้องท�าไว้ นี่สร้างปัญญาบารมี
วิริยบำรมีให้ควำมสะดวกในกำรเดินทำง
ิ
ิ
วรยบารม ให้ผลในทางให้ความสะดวก จะไปทางไหน
ี
�
สะดวกไปหมด มีรถหวอนาหน้า หลีกกันเป็นแถว แต่พวกเรา
ึ
�
�
ไม่มีใครมานา บางทีข้นรถเมล์มันยังไม่รับเลย ทาไมเล่า ชาต ิ
ก่อนไม่ได้สร้างวิริยบารมีมา จะไปทาบุญสักทีก็ข้เกียจ ไกลหน่อย
�
ี
�
ก็ไม่ไปแล้ว วิริยบารมีทาไว้ ต้องมีความมานะ มีความพยายาม
115
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
วิริยบารมี ให้ความสะดวกในการท่จะไปไหนมาไหน
�
อย่างในหลวงของเรา เวลาเสด็จไปไหนมีรถนาไป รถหลีกกัน
ั
�
ี
เป็นแถว ต้องถึงสถานท่น้นเวลาน้นพอดี วิริยบารมีท่านทาไว้
ั
ท่านไม่ท้อแท้ ส่วนพวกเรา เขาชวนไปทอดกฐินไกลๆ บางทีไปนึก
�
ิ
ื
�
ว่า ทาไมจะต้องไปทาไกลๆ มันก็ทานเหมือนกัน กฐนเหมอนกน
ั
กทอดมนเสยท่วัดใกล้ๆ ก็ไดน่นา ก็ได้เหมอนกน แต่ได้ตอเดยว
ี
ี
ั
้
ื
ี
ี
่
ั
็
คือได้ทานบารมี แต่ไม่ได้วิริยบารมี
�
เราไม่รู้บางทีก็บ่นกัน ทาไมต้องไปไกลๆ ต่างประเทศก ็
ไปทอดกัน อาตมาเคยไปทอดกฐินต่างประเทศกับเขามาแล้ว
อินเดียก็เคยไป ออสเตรเลียก็เคยไป มันถึงนึกถามว่า ไปมัน
ทาไม เมืองไทยไม่มีวัดหรือ น่เพ่อสร้างวิริยบารมี ไปท่ไหนเรา
�
ี
ี
ื
ี
็
่
่
ี
กทอด ทอดทไหน เราไมรงเกยจหรอก แลวไปทอดซะ ไปทอดไกล
้
ั
มันก็วิริยะมาก
ั
สมัยก่อน เขาบอกว่า ใครไปไหว้พระพุทธบาท ๗ คร้ง ตายไป
ไม่ตกนรก ก็สมัยก่อนรถเรือไม่ค่อยมี จะไปแต่ละทีลาบาก ถ้า
�
ั
ิ
ิ
้
ึ
่
้
ไม่พยายามจรงๆ ไม่ไดตงใจจรงๆ ไปไม่ถง ไปถงแสดงวาใจถึง
ึ
แล้วจึงไปได้ มันเพิ่มวิริยบารมีเข้าไปด้วย
ขันติบำรมีให้ควำมสะดวกในกำรประกอบอำชีพ
ขันติบารมี ตัวน้สาคัญ อย่าไปบ่นล�าบาก อย่าไปด่าใคร เวลา
ี
�
เราไปดักรอรถเมล์ รถเมล์มันไม่รับ อย่าไปด่ามัน ต้องโทษตัวเอง
116
สาราสารกถา
ื
ี
ว่า เม่อชาติก่อนเราไม่ได้สร้างบารมีมา คันน้มามันจึงไม่รับ
่
�
่
ื
ต้องโทษตัวเอง โทษคนอนไม่ได้หรอก ก็คนอนทาไมเขารับมา
ื
เต็มคัน มาถึงเราคนเดียวมันไม่ยอมรับเสียแล้ว ขันติบารมีให้
ผลเรื่องความสะดวก ในการประกอบอาชีพ
คนท่มีขันติบารมี ไม่ต้องทามาหากินหลังขดหลังแข็ง
�
ี
�
์
่
้
ั
่
อย่างพวกเรา เขานงทางานในหองแอรทงวัน ไมต้องไปไหนหรอก
ั
้
คอยน่งเซ็นหนังสืออย่างเดียว เงินเดือนเป็นหม่นเป็นแสน อยู่
ื
ั
ั
�
ั
ในห้องแอร์ท้งวัน น่นเขาบาเพ็ญขันติบารมีมา อย่างพวกเรา
�
�
ต้องทานาทาไร่ รับจ้าง อย่าไปท้อใจ มันเลือกไม่ได้แล้ว บารม ี
ื
ี
�
เราบาเพ็ญมาแค่น้ เม่อชาติก่อนเราคงทากินในห้องแอร์แล้ว
�
�
ไม่ได้ทาบุญ ประมาท เขาก็เลยไล่จากห้องแอร์ ให้มาต้งต้นใหม่
ั
ื
เราก็นึกว่าเม่อชาติก่อนเราขาดขันติบารมี ไม่ได้ใช้ขันติบารม ี
ทางานในห้องแอร์ ไม่ได้ขันติบารมี ไม่ต้องทนหนาว ไม่ต้องทน
�
ร้อน ไม่ต้องทนแดด ไม่ต้องทนฝน ไม่ต้องทนอะไรเลย แล้วไม่
ั
�
ทาบุญต่อ มันก็ยังไม่ได้ต่อ มันก็ต้องไล่มา ต้งต้นใหม่ มาอดทน
ิ
กันใหม่ อย่างพวกเราน้ ถ้าไม่อดทนไปอีก ชาติหน้าย่งกว่าน้อีก
ี
ี
เพราะฉะน้น เวลาเราลาบากยากแค้นอะไร ก็ปลงเถอะ
�
ั
ว่า เมื่อชาติก่อน เราขาดขันติบารมี เคยสบายมามากแล้ว ไม่
ิ
ได้ทาบญต่อเอาไว้ มันก็ต้องมาต้งต้นใหม่ ขันตบารมีให้ความ
�
ุ
ั
สะดวกในการประกอบอาชีพ จ�าเอาไว้
117
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
สัจจบำรมีให้ยศ ให้อ�ำนำจ
�
สัจจบารมี ตัวน้ก็สาคัญ คือต้งใจจริง ต้งใจแล้วต้องทาให้ได้
ั
ั
ี
�
ี
ั
ี
ั
ั
อย่างต้งใจ เช่น ต้งใจจะบวชชีพราหมณ์น้ ต้งใจก่วัน? ต้งใจ
ั
ี
สามวัน ก็ต้องสามวัน ผิดไม่ได้ สัจจบารม ให้ผลทางอานาจ
�
วาสนา คนท่จะมียศ มีอ�านาจวาสนา ต้องมีสัจจบารมี ทาไม
ี
�
�
�
เราไม่มีเล่า? เม่อชาติก่อน เราไม่ได้บาเพ็ญสัจจะ ทาอะไรไม่จริงจัง
ื
อานาจวาสนาเราเลยไม่มี ไม่ได้เป็นนายพล ไม่ได้เป็นนายพัน
�
ไม่ได้เป็นเจ้าใหญ่นายโตกะเขา
เพราะฉะน้น อย่าไปโทษใคร เราขาดสัจจบารมี ดังน้น
ั
ั
้
่
้
�
ั
้
ิ
้
ี
ชาตนตองสรางสจจบารม ทาอะไรตองตงใจกอน แลวทาใหจรง
ิ
้
ั
ี
�
้
้
นี่สัจจบารมี ให้ผลทางยศ ให้ผลทางอ�านาจวาสนา
อธิษฐำนบำรมี ให้ควำมมั่นคง
ี
อธิษฐานบารม ก็คือความม่นคง ทาอะไรก็ตลอดไป ไม่
ั
�
ต้องมาเปลี่ยนบ่อย ไม่ต้องมาเปลี่ยนนาเป็นนากุ้ง เป็นนาแห้ว
หรือเป็นอะไร จับอะไรมันเจริญไปเลย น่อธิษฐานบารมี การ
ี
รักษาสัจจะ นั่นคืออธิษฐานบารมี
118
สาราสารกถา
เมตตำบำรมีให้สภำพแวดล้อมที่ดี
เมตตาบารมี คือแผ่เมตตาน้แหละ พยายามอย่าไปโกรธ
ี
ั
ั
�
ใคร ใครมาย่วให้เราโกรธก็ต้องนึกว่า ทาไมมันมาย่วให้เราโกรธ
ทาไมมันด่าเรา มันมาด่าเรา เราโกรธไหม? โกรธใช่ไหม? คน
�
�
ื
�
โกรธนั้นถูกด่าเร่อย แล้วทาไมมันมาด่าเรา? ทาไมไม่ไปด่าคน
ั
�
โน้นบ้าง? ก็คนต้งเยอะแยะ ทาไมเจาะจงมาด่าเรา? แสดงว่า
เราขาดเมตตาบารมี ถ้าเราโกรธล่ะก็ถูกด่าทุกชาติแหละ ย่ง
ิ
โกรธมากยงถูกด่ามาก เขาจึงบอกว่า คนมเมตตาบารมมากๆ นั้น
ี
ี
่
ิ
�
แม้ใครจะพูดอะไรให้ฟัง ก็เลือกเอาคาพูดดีๆ มาให้ฟัง อย่าง
�
ในหลวง ใครจะพูดกับท่าน ก็ต้องเลือกเอาคาพูดดีๆ มาให้ฟัง
ใครไปพูดว่าไม่ดี จะถูกจับติดคุกหมด ท่านไม่ได้บอกให้จับ แต่
เจ้าหน้าท่ไปจับ ท้งน้ก็เพราะเมตตาบารมีท่าน ต้องหาคาดีๆ
ี
�
ี
ั
ไปพูดกับท่าน จึงจะเป็นมงคล พูดไม่ดี ไม่เป็นมงคล ฟ้าดินมัน
ื
ลงโทษ เห็นไหม? อย่าไปโทษคนอ่นน่ะ เขามาพูดไม่ดีให้เราฟัง
อย่าไปโทษคนอ่น โทษตัวเองว่า เม่อชาติก่อน เราคงขาดเมตตา
ื
ื
จึงได้พบได้เห็น ได้ยินแต่เสียงท่มันชวนให้โกรธ ชวนให้อารมณ์
ี
ี
ื
เสียอยู่เร่อย น่เมตตาบารมี ถ้าเรามีล่ะ มันจะอยู่ในสภาพ
แวดล้อมที่ดีหมด สบายใจ
119
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
อุเบกขำบำรมีให้กำรตัดสินใจที่ถูกต้อง
อุเบกขา อุเบกขาบารมีทาอย่างไร? มันต้องเฉยก่อน ไม่เฉย
�
ี
มันท�าอะไรไม่ถูกคนท่ทาผิดน่ะ ก็เพราะมันไม่เฉยนะซิ ใครมาย ุ
�
ี
ให้โกรธ ก็ปึงปังสวนไปทันท น่ขาดอุเบกขา ไม่ได้คิดแก้ ไม่ได้คิด
ี
ั
ี
พิจารณา ผลท่สุดก็ตัดสินใจผิด ดังน้น มีอะไรมากระทบต้อง
อุเบกขาก่อน คือนึกว่าจะแก้อย่างไรดี? ถึงแก้ได้ น่อุเบกขาบารม ี
ี
ื
ั
ต้องเฉยก่อน โบราณเขาถึงบอกให้นับ ๑-๑๐ น่นแหละ เพ่อให้
เป็นอุเบกขาบารมี เพราะมีอุเบกขาบารมีแล้ว เราตัดสินอะไรได้
ไม่มีผิด ได้ผลทางบวกท้งนั้น น่อานิสงส์ของอุเบกขาบารมี แล้ว
ี
ั
ก็ไปสร้างกันให้มากๆ
เข้ำใจเรื่องบำรมี ท�ำให้รับสภำพควำมเป็นจริงได้
ื
ี
ื
มันดีอยู่อย่างว่า เม่อเรารู้เร่องบารมีแล้ว เร่องท่เราจะ
ื
ื
ไปโทษคนอ่นไม่มี มีแต่โทษตัวเอง แล้วก็แก้ไขท่ตัวเอง แล้ว
ี
เราก็ดีข้นไปเร่อยๆ บารมี ๑๐ ทัศน้ โยมสร้างไว้ อย่างท่โยม
ี
ี
ื
ึ
ั
ี
เข้ามาบวชกันน้ บารมีท่เป็นตัวนาในการบวชชีพราหมณ์น้น ก็
ี
�
คือเนกขัมมบารมี เพราะเราต้องออกจากบ้านมาอยู่วัดกัน มา
รักษาศีล ๘ นี่เป็นเนกขัมมบารมี แล้วก็มาให้ทาน มาสวดมนต์
�
ั
ี
มาภาวนา บารมีสิบอย่างมันครบหมดน่นแหละ ท่เราทากันน้ ี
เราไปพิจารณาดูเถอะ
120
สาราสารกถา
ทีน้มีปัญหาว่า เราจะเอาบารมีตัวไหนนา มันเหมือน
ี
�
อย่างกับว่าพระเจ้าสิบชาติ เกิดมาแต่ละชาติๆ ชาติน้เอาบารมีน ้ ี
ี
ั
�
นา ชาติน้นเอาบารมีโน้นนา อย่างเราก็เหมือนกัน อย่างไหนเป็น
�
�
ื
ั
�
ตัวนา? บางคร้งเราเอาศีลเป็นตัวนา เอาอย่างอ่นเป็นตัวตาม
บางคร้งเอาเนกขัมมะเป็นตัวนา เอาอย่างอ่นเป็นตัวตาม แต่
ั
ื
�
ั
มันก็ต้องครบท้งหมด แต่เราจะรู้ว่าครบหรือไม่ครบ เราก็ต้อง
รู้บารมีของเรา บารมีมีอะไรบ้าง? มีทาน เราต้องนึกว่า อันไหน
เป็นทาน ท่เราท�ากันทุกวันน้น อันไหนเป็นทาน อันไหนเป็นศีล
ั
ี
อันไหนเป็นเนกขัมมะ อันไหนเป็นปัญญา อันไหนเป็นวิริยะ
อันไหนเป็นขันติ อันไหนเป็นสัจจะ อันไหนเป็นอธิษฐาน อันไหน
ื
เป็นเมตตา อันไหนเป็นอุเบกขา แล้วเราก็จะปล้มใจ เราสะสม
ไปทีละน้อยๆ ก็คือความดีนั่นเอง
้
ความดีที่เราสะสมไว้ๆ สะสมไวเรื่อยๆ จนมันมาก พอที่
�
จะสาเร็จประโยชน์ได้ เราเรียกว่า บารมี เหมือนเราเก็บสตางค์
็
ื
้
็
ั
้
ไว้วนละบาท ปีหนงกได้ ๓๖๕ บาท กพอจะซ้อเสอซอผ้าได้
ื
ื
ึ
่
ี
�
ใช่ไหม? น่แหละบารมี เราสะสมไว้มากๆ มันให้สาเร็จประโยชน์
ี
ั
อย่างน้ เหมือนเราสะสมทรพย์สินเงินทองแต่ละอย่างๆ มัน
ี
�
ี
ก็เหมือนกัน พอมันได้กาลังท่จะให้ผลเต็มท่ มันก็ให้ผลเลย
้
ี
ี
่
ู
กหวงว่า ทพดมาเกยวกบเรองสร้างบารมน โยมคงจะเข้าใจ
็
ั
่
ื
ี
่
ี
ั
แล้วก็ไปเลือกสรร ประพฤติ ปฏิบัติกันตามกาล ตามโอกาส
121
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
ื
ก็ขอให้ญาติโยมเช่อว่า หน้าท่ของเราก็คือสร้างบารม ี
ไม่ใช่สร้างอิทธิพล เพราะเราเป็นชาวพุทธ เป็นสาธุชน ก็ขอ
ให้คติไว้ เพราะคนมันมีเหมือนกัน โลกมีดีมีช่วเป็นของคู่กัน ม ี
ั
พระมีมารเป็นของคู่กัน คนของพระเป็นสาธุชน หน้าท่เราต้อง
ี
ุ
ู
�
้
ี
ุ
็
่
ั
ทาอะไร? เราตรวจดตวเราเองวา เราเปนสาธชน สาธชนมหนาท ่ ี
สร้างอะไร? สร้างบารมี คนช่วเขาก็มีหน้าท่ของเขา พวกมาร
ั
ี
ี
ก็มีหน้าท่ของเขา เขาสร้างอะไร? เขาสร้างอิทธิพล เขาจึงว่า
ั
ี
คนช่วสร้างอิทธิพล สาธุชนสร้างบารม มันก็ต้องชนะกัน
อย่างน้ ต้องเอาบารมีชนะ ไม่ได้เอาอิทธิพลชนะ แล้วมันชนะ
ี
กันได้ คนช่วสร้างอิทธิพล สาธุชนสร้างบารมี เราเป็นสาธุชน
ั
พยายามสร้างบารมีไว้ อย่าไปสร้างอิทธิพล สร้างอิทธิพลก็คือ
�
สร้างความช่ว ทาให้คนกลัว ทาให้คนเกลียด คนมันเกลียดและ
ั
�
กลัวพวกมีอิทธิพล แล้วหนักเข้าๆ อิทธิพลไม่แข็งพอ สู้พวก
บารมีไม่ได้
ี
พวกบารมีน้คนรักและเกรงใจ เราทาให้มากๆ คนท่เรารัก
ี
�
คนท่เราเกรงใจเขาเพราะเขามีบารมี บางคนอยู่ต่อหน้าเรากลัว
ี
ี
แต่อยู่ข้างหลังเราเกลียด พวกน้มีอิทธิพล พวกนักเลง ใช่ไหม?
ั
มีเยอะแยะไป เราอย่าไปว่าเขา เราเป็นสาธุชน ก็พยายามต้งใจ
้
้
่
ี
่
มโอกาสทจะสรางบารมอะไรได สรางไป อยางนอยๆ เราสราง
ี
้
้
้
ี
ได้สามอย่างเป็นประจาวันใช่ไหม? เราสร้างทานบารมีได้ สร้าง
�
ได้ทุกวัน ศีลบารมีก็สร้างได้ทุกวัน ปัญญาบารมีเราสร้างได้
122
สาราสารกถา
ี
ี
ี
ั
่
�
ทุกวัน ทาน-ศล-ภาวนา น้เป็นบารมหลกทเราต้องทาเราต้อง
ี
สร้าง อย่างอื่นก็เป็นผลพลอยตาม
�
ทาน-ศีล-ภาวนา พยายามต้งใจทาให้ได้ทุกวัน เพราะมัน
ั
ี
�
จะให้ผล เราทาได้สามอย่างน้น่ะ มันจะให้ผลเป็นความสุขแก่
เราทุกภพ ทุกชาติ เพราะอะไร? เพราะเราจะเกิดในชาติไหน
ภพไหนก็ตาม ถ้าเรามีสมบัติท้ง ๓ อย่างน้ เราสบาย มีอะไร
ี
ั
บ้าง? มีทรัพย์สมบัติ มีกินมีใช้ มีรูปสมบัติ มีรูปร่างสมประกอบ
ี
มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย น่มีรูปสมบัติ มีคุณสมบัติ มีสติปัญญา ม ี
ความคด มจตใจทปลอดโปร่งแจ่มใส เรากสบายแล้ว เอาสาม
ี
่
ิ
็
ิ
ี
อย่างนี้ทุกภพทุกชาติ ให้ได้ทรัพย์สมบัติ ให้ได้รูปสมบัติ ให้ได้
คุณสมบัติ
พอมันเต็มเพียบเข้าแล้วไป มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัต ิ
นิพพานสมบัติ ถึงนิพพานสมบัติแล้ว ก็สบายสมบูรณ์ท่สุดแล้ว
ี
ี
ถ้ามันยังไม่สมบูรณ์ท่สุด ให้ได้สมบัติ ๓ อย่างนี้ แล้วเราจะสุข
สบายตามสมควรแก่อัตภาพ ในชาตินั้นๆ แม้จะไม่พ้นเกิด พ้น
แก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย แต่ก็พอมีความสุขในช่วงท่มีชีวิตอยู่ ต้อง
ี
ให้บารมีมันเต็มเปี่ยมเต็มท่ จึงจะพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย บรรล ุ
ี
พระนพพาน อาตมาได้พูดคุยกับญาติโยมเรองการสร้างบารม ี
ื
่
ิ
ก็คิดว่าพอสมควรแก่เวลา
ี
้
ี
ท้ายท่สุดน ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย อันเป็นหลักชัย
ี
ิ
ทางพระพุทธศาสนาและบารมีธรรม ทุกส่งทุกประการท่ญาติโยม
123
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
สาธุชนทุกท่านได้ร่วมกันบาเพ็ญในโอกาสน้ จงมารวมกันเป็น
ี
�
ิ
พลวปัจจัย ให้ญาติโยมสาธุชนทุกท่าน จงประสบแต่สรรพส่ง
อันเป็นมงคล จงทุกสิ่งทุกประการเทอญ.
ความเมตตาท�าให้อ่อนโยน
ความอดทนท�าให้แข็งแกร่ง
ใช้โอกำสให้เป็น
ท่านเจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะพระสังฆาธิการ ท่าน
�
สหธรรมิกที่เป็นพระนวกะและสามเณรทุกรูป
ี
ั
ี
้
็
่
์
ื
่
ั
้
�
ี
ั
วนนเปนวนทเจาคณะอาเภอศรประจนต คอทานพระคร- ู
ศรีประจันตคณารักษ์ ได้กาหนดนัดให้แต่ละวัดพาพระ-เณร
�
ี
ึ
�
�
มาร่วมประชุมอบรม ซ่งเป็นกิจกรรมประจาปีท่ทามาโดยตลอด
ี
ื
โดยความมุ่งหมายก็เพ่อท่จะให้พระนวกะและสามเณรทุกรูป
�
ที่เข้ามาบวชกันได้รู้จักมักคุ้นกับครูบาอาจารย์สานักต่างๆ รู้จัก
�
มักคุ้นกับเพ่อนสหธรรมิกท่บวชร่วมกันในอาเภอศรีประจันต์ และ
ี
ื
�
�
ื
ี
เพ่อช้นาแนวทางการประพฤติปฏิบัติสาหรับพวกเราจะได้นาไปใช้
�
�
ั
ให้เกิดประโยชน์ โดยสมควรแก่โอกาส ในการช้นาน้นก็ได้อาราธนา
ี
�
ครูบาอาจารย์ท่มีความรู้ความชานาญในการปฏิบัติธรรม และ
ี
เชิญท่านผู้ทรงคุณวุฒิด้านอื่นๆ มาชี้น�าพวกเราอีกวาระหนึ่ง
ี
* ปฐมนิเทศ อบรมพระนวกะ ท่วัดดอนบุปผาราม อ.ศรีประจันต์ จังหวัด
สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘
126
สาราสารกถา
ในการประชุมคร้งน้ พวกเราท่เป็นองค์ประชุม ท่จะได้
ี
ี
ี
ั
ี
�
ี
รับการช้นาในวันน้ ก็จะต้องทาจิตทาใจให้มันกว้างเข้าไว้ เพ่อ
�
�
ื
ท่จะได้ซึมซับข้อคิด-ความรู้ต่างๆ จากวิทยากรได้มากๆ เพราะ
ี
ี
ี
ั
ข้อคิดและความรู้ท่จะเข้าไปถึงใจเราน้น มันอยู่ท่ว่า เราเปิดใจ
ให้กว้าง และความรู้ท้งหลายท้งปวงมันจะเข้าไปอยู่ในใจของ
ั
ั
ี
้
ั
ื
ี
เราได้มาก ขอให้พวกเราคิดว่า ใจกว้างนนเป็นเร่องท่ด เพราะ
ึ
�
โดยสภาพของมัน ทาให้เรามีความปลอดโปร่ง ซ่งตรงกันข้าม
กับใจแคบ ใจแคบท�าให้เราอึดอัด และท�าให้เราไม่สามารถรับ
อะไรดีๆ จากใครได้ เพราะใจมันแคบ เพราะฉะน้น ต้องทาใจกว้าง
ั
�
ี
เข้าไว้ ให้ถือคติว่า ใจกว้างอยู่ในท่แคบก็ปลอดโปร่ง ตรงกันข้าม
ี
ถ้าใจแคบแม้อยู่ในท่กว้างก็อึดอัด เราชอบความปลอดโปร่ง
ี
�
ี
ิ
มากกว่าความอึดอัด ส่งท่เราจะได้ก็คือทาใจให้กว้าง อันน้เป็น
หลักส�าคัญ
้
ี
สาหรับข้อช้แนะช้นาท่ผมจะถวายกับทุกท่านในวันน ก็อยาก
ี
�
ี
�
ี
ื
จะถวายข้อคิดง่ายๆ เพ่อให้เรานาเอาไปใช้กัน น่นก็คือข้อคิด
�
ั
�
�
ื
ี
เก่ยวกับเร่องใช้โอกาส อันน้ถือว่าเป็นหลักสาคัญท่สุดสาหรับเรา
ี
ี
ทุกคน เพราะชีวิตเราแต่ละคนๆ ท่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตที่
ี
ั
�
ั
ผ่านมาของเรา ก็มีท้งความสาเร็จ และก็มีท้งความล้มเหลว ชีวิต
ั
ั
เราผ่านมาถึงวันน้ มันก็ผ่านสองอย่างน้มาแล้วท้งน้น คือความ
ี
ี
สาเร็จเราก็เคยผ่านมา ความล้มเหลวเรากเคยผ่านมา ปัญหา
็
�
ั
ั
ี
ท่เราต้องช่งใจกันดู ก็คือช่งใจว่า ท่ผ่านมาน้นชีวิตเราได้รับ
ี
ั
127
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
ความสาเร็จมากกว่าความล้มเหลว หรือได้รับความล้มเหลว
มากกว่าได้รับความสาเร็จ ถ้าเราวิเคราะห์ก็จะเห็นได้ว่า ความ
�
่
ั
ี
็
�
ิ
ี
้
่
ี
ั
สาเรจและความล้มเหลวทเราได้รบตลอดชวตทผ่านมานน มน
ั
ี
่
ี
ู
ิ
ี
อย่ทการใช้โอกาสของพวกเราแต่ละคน ชวตท่ประสบความ
ี
�
สาเร็จ มันก็เกิดจากการท่เรารู้จักใช้โอกาส ใช้โอกาสเป็น ใช้
โอกาสถูกต้อง ชีวิตเราก็ประสบความสาเร็จ ใช้โอกาสไม่เป็น-
�
ไม่ถูกต้อง หรือใช้โอกาสผิด ชีวิตเราก็ประสบความล้มเหลว
ี
ี
เร่องมันมีอยู่แค่น้ มันอยู่ท่การใช้โอกาสเท่าน้นเอง ทีน้จึงม ี
ี
ั
ื
ี
�
ปัญหาว่า ในความต้องการของเราสาหรับชีวิตน้ เราต้องการ
อะไร? ก็ต้องการความส�าเร็จด้วยกันทั้งนั้น ทีนี้เราก็จะได้รู้กัน
�
ี
ิ
ว่า ส่งท่เราต้องการน้ มันสาเร็จไม่ได้ แม้เราจะปรารถนา เราจะ
ี
ต้องการ ถ้าเราใช้โอกาสไม่เป็น
เร่องน้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบรม-
ี
ื
ศาสดาจารย์ของพวกเรา ก็มีความห่วงใยมาก ไม่อยากให้ชีวิต
ของเราแต่ละคนๆ มีความล้มเหลว ล้มแล้วล้มอีกๆ ตลอดชีวิต
หาความสาเร็จไม่ได้ พระพุทธเจ้าห่วงใยอย่างน้ จึงได้ตรัสเก่ยว
ี
�
ี
ี
�
กับเร่องของการรู้จักใช้โอกาสไว้ในท่หลายแห่ง ในคาสอนของ
ื
ี
พระองค์ ท่ผมจะยกมาถวายพวกท่านในวันน้ และให้ท่านท่อง-
ี
ท่านจากันไว้ จะได้เป็นเคร่องเตือนตนเอง เป็นพระดารัสของ
�
�
ื
พระพุทธองค์ เกี่ยวกับเรื่องโอกาส
128
สาราสารกถา
�
ข้อหน่ง พระองค์ตรัสว่า ขโณ โว มา อุปจฺจคา จาได้
ึ
ึ
ั
�
�
จาไม่ได้ก็ต้องจาให้ได้ บวชคร้งหน่งจาพุทธภาษิต จาพระดารัส
�
�
�
ของพระพุทธองค์ท่ตรัสสอน ตรัสเตือนพวกเราเป็นการเฉพาะ
ี
ได้สักบทสองบท ท่จะเป็นคติเอาไปใช้ได้ ก็นับว่าได้ประโยชน์
ี
�
มหาศาลแล้ว ท่านจาเอาไว้ พระพุทธองค์ตรัสว่า ขโณ โว มา
�
�
อุปจฺจคา จาได้ไหม? ขโณ โว มา อุปจฺจคา พยายามจาให้ได้
แปลกันอย่างง่ายๆ ก็ว่า อย่าปล่อยให้โอกาสล่วงไปเปล่าๆ
ี
เพราะโอกาสน้ถ้าเราปล่อย มันจะล่วงไปเปล่าๆ มันล่วงไปทุกวัน
ใช่ไหม? ประโยชน์สุขที่เราจะได้รับ หรือทุกข์โทษที่เราจะได้รับ
มันก็ได้จากการล่วงไปของโอกาส ถ้าเรารู้จักใช้โอกาส เราก็จะ
ได้รับประโยชน์สุข ถ้าเราไม่รู้จักใช้โอกาส เราก็จะไม่ได้อะไรเลย
ย่งถ้าเราใช้โอกาสผิดไป เราก็จะได้รับทุกข์รับโทษ เป็นตัวตอบ
ิ
สนองของมันอีก
ี
เพราะฉะน้น พระพุทธองค์จึงทรงห่วงพวกเรามากเก่ยวกับ
ั
เรองการใช้โอกาส "ขโณ โว มา อปจจคา : อย่าปล่อยโอกาสให้
ื
่
ุ
ฺ
ั
็
ั
ล่วงไปเปล่าๆ" เพราะเราเกิดมาก็ผ่านวันผ่านคืน อนวนคืน กคือ
โอกาสท่มันจะล่วงผ่านชีวิตเราไป แล้วมันก็จะดึงประโยชน์ต่างๆ
ี
ผ่านไปด้วย ถ้าเราไม่รู้จักใช้โอกาส แล้วก็ตรัสต่อไปอีกว่า ขณาตีตา
หิ โสจนฺติ นิรยมฺห สมปฺปิตา : ผู้ปล่อยให้โอกาสล่วงไปเปล่าๆ
ิ
จะจมปลักอยู่ในความเส่อมโทรมสถานเดียว หาความภาคภูมิใจ
ื
อะไรไม่ได้เลย ผ้ปล่อยให้โอกาสล่วงไป ชวตก็จะจมปลักใน
ี
ิ
ู
129
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ื
ความเส่อมสถานเดียว จะหาความภูมิใจในตัวเองไม่ได้เลย
พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างนี้
ี
และโดยเฉพาะในหลักท่พระพุทธองค์สอนให้พวกเรา
ซ่งเป็นนักบวชต้องพิจารณา พิจารณาทุกวินาท เราต้องพิจารณา
ึ
ี
ทุกวินาทีด้วย ท่านใช้ศัพท์ว่า อภิณหังๆ ก็คือทุกวินาทีต้องพิจารณา
ื
ี
ี
�
เก่ยวกับเร่องโอกาส พระพุทธเจ้าทรงให้ความสาคัญเก่ยวกับ
เร่องโอกาสน้มากท่สุด ในหลักอภิณหปัจจเวกขณะ ท่ทรงเตือนให้
ื
ี
ี
ี
ิ
ั
็
ิ
ี
พวกเราพจารณาทุกวนาทน้น กบอกว่า กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา
วีติปตนฺติ : วันคืนล่วงไปๆ เราได้อะไรกันบ้าง เราเป็นอะไร
กันบ้าง เราได้เป็นอะไรกันตามท่เราปรารถนาต้องการหรือยัง?
ี
ึ
ั
ั
การจะได้อะไร-การจะเป็นอะไร มันก็ข้นกับโอกาสท้งน้น ถ้า
ไม่มีโอกาสก็ไม่มีการได้-การเสีย ไม่มีโอกาสก็ไม่มีการมี-การเป็น
นี้เป็นหลักที่ส�าคัญที่สุดที่ผมอยากจะถวายไว้
ใช้โอกำสผิด ชีวิตจะล้มเหลว
และก็อยากจะถวายให้จ�าไว้เป็นคติเตือนใจไว้เลย เราจ�า
�
�
พุทธดารัสหรือพุทธภาษิตไม่ได้ ก็จาเป็นภาษาของเราง่ายๆ เอาไว้
ิ
�
ิ
เป็นเคร่องเตือนตัวเราเอง จาไว้ง่ายๆ ว่า ใช้โอกาสผด ชวตจะ
ื
ี
ล้มเหลว แค่นี้จ�าได้ไหม? จ�าพุทธภาษิตตามที่ผมยกมา มันจ�ายาก
จาเพียงแค่ว่า ถ้าใช้โอกาสผิด ชีวิตจะล้มเหลว เพียงแค่น้ แล้ว
ี
�
ี
ไปท่องไว้ ท่องแล้วก็ดูโอกาสท่มันมาหาเรา ในแต่ละขณะแต่ละ
130
สาราสารกถา
นาทีน้น เรานึกว่าแต่ละขณะแต่ละนาทีท่มีโอกาสมาถึงเรา เรา
ี
ั
จะได้อะไร เราจะเป็นอะไร ให้จ�าไว้เพียงเท่านี้
คราวน้เราต้องนึกถึงชีวิตของเราท่ผ่านมา ผมอยากจะต้ง
ี
ั
ี
้
ี
ั
ี
ประเด็นถามว่า พวกเราท่มาน่งประชุมอยู่ในท่น สาเร็จการศึกษากัน
ี
�
ั
ี
ได้ข้นไหน ใครได้ปริญญาตรีกันบ้าง ยกมือข้นซิ? ท่จบปริญญาตร ี
ึ
ิ
ิ
มา ปรญญาโท ปรญญาเอก ปวช. มไหม? ปวส., ม. ๖, ม. ๓,
ี
ป. ๖ ใครจบ ป. ๖ บ้าง เอาล่ะ พอ!
แค่ ป. ๖ ส่วนใหญ่จบ ป. ๔ สมัยก่อนภาคบังคับ ที่ส�าเร็จ
�
ป. ๔, ป. ๖ ไม่ใช่สาเร็จจากการใช้โอกาสของเรา แต่เป็นการสาเร็จ
�
ั
ึ
็
ั
ู
ั
เพราะถกบังคบ เพราะ ป. ๔, ป. ๖ เปนการศกษาภาคบงคบ การ
ี
ศึกษาจากช้นประถมไปแล้ว ไม่เป็นภาคบังคับ มันเป็นภาคท่คน
ั
ั
�
รู้จักใช้โอกาสจึงจะสาเร็จได้ เพราะฉะน้น เราก็เห็นได้แล้วว่า
ท่ผ่านมาชีวิตเราไม่ประสบผลสาเร็จในด้านการศึกษา ก็เพราะ
�
ี
เราใช้โอกาสมันผิดไป ไม่ใช่ข้นอยู่กับฐานะ แม้ว่าเราจะมีฐานะ
ึ
ยากจนข้นแค้นอย่างไร ระดับพวกเราๆ น้ ไม่ใช่อยู่ในลักษณะ
ี
ที่ด้อยภูมิปัญญาที่จะได้รับการศึกษาได้ แม้จะด้อยฐานะก็ตาม
แต่ถ้าเรารู้จักใช้โอกาสให้มันถูก ใช้โอกาสให้มันเป็น
ื
ี
ก็เช่อว่าการศึกษาของเราจะดีกว่าน้ จะมากกว่าน้ เพราะเรา
ี
ใช้โอกาสไม่เป็น ชีวิตมันจึงพลาดมา พลาดมาจนถึงทุกวันน ี ้
ในระบบการศึกษาของเรา เราจะนึกถึงสภาพแวดล้อม ฐานะ
ไม่สามารถจะศึกษาเล่าเรียนต่อได้ ท่านต้องนึกถึงหลักความจริง
131
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
อย่างหน่งว่า แม้ว่าเราจะอยู่ในฐานะยากจน อยู่ในชนบทท ี ่
ึ
ี
มีระบบการศึกษาภาคบังคับไปถึงน้ ถ้าเราเรียนดีเรียนเก่ง ก ็
ื
ี
หมายความว่า ใช้โอกาสเพ่อการเรียนจริงๆ น้ เราเรียนดีเรียนเก่ง
ในสังคมเรามีคนพร้อมที่จะสนับสนุนส่งเสริม ใช้ความดี-ความ
เก่งของเราเพ่อการศึกษาสูงๆ ย่งข้นไป เขามีพร้อม หรือเรา
ื
ิ
ึ
ื
ไม่มีทางอ่น เราออก ป. ๔ มา เราอยากจะใช้โอกาสทางการ
ศึกษา ให้มันเหมาะกับวัยของเรา เราก็มาบวชเณร หาโอกาส
ี
ศึกษาทางน้ มันก็ไปได้ถึงดอกเตอร์ อย่างพระมหาไพเราะ
ื
โอกาสเม่อเป็นฆราวาสมันพลาดไปด้วยสภาพใดก็ตามเถอะ
แต่เม่อเข้ามาบวชเป็นพระแล้ว ก็ยังใช้โอกาสเพ่อการศึกษามา
ื
ื
เร่อยๆ จนขณะน้พระมหาไพเราะ ได้รับการศึกษาจบปริญญาเอก
ี
ื
ี
ได้รับคานาหน้าว่า ดอกเตอร์ ท่เราได้ยินกันน้ น่ก็เป็นอุทาหรณ์
ี
ี
�
�
่
ึ
ี
ื
ู
ี
ของการใช้โอกาสท่ถก ใช้โอกาสเป็น น่ว่าถงเรองของการใช้
โอกาส
กรำฟชีวิต
ั
ี
ผมจะว่าถึงหลักสากลโดยท่วๆ ไป ก่อนท่จะมาพูดถึงพวก
เราโดยเฉพาะ โดยหลักสากลท่วๆ ไป ชีวิตเราแต่ละคนท่เกิดมา
ั
ี
ั
ั
ผ่านข้นตอนของชีวิต ข้นตอนของชีวิตแต่ละคนน้น แบ่งเป็น ๓
ั
ขั้นตอน ที่เราเรียกกันว่า วัย
132
สาราสารกถา
ขั้นตอนที่หนึ่ง เรียกว่า ปฐมวัย ตั้งแต่เกิดถึง ๒๕ ปี
ั
ั
ี
ข้นตอนท่สอง เรียกว่า มัชฌิมวัย ต้งแต่ ๒๖ ถึง ๕๐ ปี
ข้นตอนท่สาม เรียกว่า ปัจฉิมวัย ต้งแต่ ๕๐ ปีไปจนตาย
ั
ี
ั
ั
น่คือข้นตอนของชีวิต ชีวิตเราต้องผ่านข้นตอนท่เรียกว่า
ี
ั
ี
ั
วัย น่ อย่างน้อยคนละ ๓ ข้นตอน ถ้าเราอยู่ตามเกณฑ์อายุขัย
ี
ี
ั
ถัวเฉล่ย ในเม่อข้นตอนของชีวิตเรามี ๓ ข้นตอนอย่างน้ เรา
ื
ี
ั
ก็จะต้องมาเขียนกราฟชีวิตของเรา เพราะว่าข้นตอนของชีวิต
ั
ต้องผ่านกาลเวลา การผ่านเวลาน่นก็คือโอกาสท่เราจะใช้ชีวิต
ี
ั
แต่ละขั้นตอนให้มันถูกต้องอย่างไร
ผมจะถวายเป็นหลักสากลว่า ข้นตอนของชีวิตแต่ละ
ั
ี
�
�
ั
ข้นตอนๆ ท่เราจะต้องนามาสวมกับโอกาสท่มันผ่านมา ทาให้
ี
่
ชีวิตเรามีข้นตอน เราก็ต้งหลักของงานทเราจะต้องทาให้มัน
�
ี
ั
ั
ถูกกับข้นตอนของชีวิตไว้ ๓ ประการ คือให้มันเข้ากับข้นตอน
ั
ั
ท่านต้องจาไว้ และปัจจบนท่านจะได้รู้ว่า ท่านอย่ในขนตอน
ู
้
ั
�
ุ
ั
ั
ชีวิตตรงไหน และจะใช้โอกาสอย่างไรมันจึงจะเหมาะกับข้นตอน
ชีวิตตรงนั้น
ขั้นตอนของช่วงชีวิตที่เราจะต้องทุ่มเทให้โอกาส ส�าหรับ
เราจะใช้เพื่อความส�าเร็จของชีวิตเรา
ขั้นตอนที่ ๑ แสวงหาวิชาการ
ขั้นตอนที่ ๒ สร้างหลักฐานครอบครัว
ขั้นตอนที่ ๓ เตรียมตัวลาโลก
133
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
แบ่งไว้เลย พวกเราทุกคนแบ่งไว้ได้ น่เป็นหลักสากลท ่ ี
ี
ื
จะเป็นเคร่องวัดว่า ใครใช้โอกาสผิด ใครใช้โอกาสถูก ใครใช้
โอกาสเป็นหรือไม่เป็นอย่างไร ก็หมายถึงว่า การใช้โอกาสให้
ี
่
ั
ั
ี
มันถูกกับข้นตอนของชีวิต ข้นตอนท ๑ โอกาสท่เราจะต้องใช้
ให้มาก ถ้าเราแบ่งส่วนของชีวิต แบ่งโอกาสออกเป็น ๑๐๐ หรือ
แบ่งงานออกเป็น ๑๐๐ ส่วน ในปฐมวัยเรากจะต้องใช้โอกาส
็
เพ่อการศึกษาวิชาการ อย่างน้อยๆ ๖๐ % เราจะต้องทุ่ม เพราะ
ื
ี
เร่องท่มันเก่ยวพันเก่ยวกับชีวิตของเรา มันก็มีอยู่ ๓ เร่องน ี ้
ื
ี
ี
ื
�
ี
�
�
เท่าน้น ท่เป็นหลักสาคัญในการท่เราจะนามาทาเป็นกราฟได้
ี
ั
คือ การแสวงหาวิชาการ สร้างหลักฐานครอบครัว เตรียม
ี
ตัวลาโลก ใครใช้โอกาสให้มันถูกอย่างน้ ชีวิตจะประสบความ
ื
สมหวังทุกคน ในปฐมวัยเราใช้เพ่อแสวงหาวิชาการ ๖๐ %
ื
ั
่
ช่วยครอบครว ๑๕ % ช่วยเหลอสงคม ๑๕ % สบายๆ ปลอย
ั
ให้มันไร้สาระไป ๑๐ % มันก็จะเต็ม ๑๐๐ แสวงหาวิชาการ
ี
สร้างหลักฐานครอบครัว วัยท่สอง เราก็สลับออกไป
ี
ี
อย่างน้ เพราะเข้าวัยท่สอง เราก็ทุ่มให้กับการสร้างครอบครัว
ื
๖๐ % เพ่อการศึกษา ๑๕ % ช่วยเหลือสังคม ๑๕ % สบายๆ
๑๐ %
ั
ี
่
พอเข้าข้นตอนท ๓ เตรียมตัวลาโลก การเตรียมตัวลาโลก
คือการพยายามใช้ชีวิตท่เหลือน้ให้มันเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ี
ี
ื
้
็
มากทสด เพราะเรองสวนตวของเราสาเรจแลว เรองครอบครวเรา
่
ั
ุ
ื
่
ั
�
่
่
ี
ี
�
�
สาเร็จแล้ว เมื่อสาเร็จแล้ว เราเข้าข้นตอนท ๓ ของชีวิตน้ เราก็ต้อง
ี
่
ั
134
สาราสารกถา
ี
ี
พยายามใช้ชีวิตช่วงน้ให้แก่สังคมมากท่สุดในการเตรียมตัวลาโลก
�
เราทาประโยชน์ให้แก่สังคมมากมายแค่ไหน เวลาเราลาโลก ท้ง
ั
ี
โลกก็จะนึกถึงเรา อาลัยเรา เหมือนอย่างสมเด็จย่าท่สวรรคตไป
พระองค์บ�าเพ็ญพระราชกรณียกิจในช่วงบั้นปลายของชีวิตเต็ม
�
แผ่นดิน ทาประโยชน์ให้แก่สังคม เม่อพระองค์สวรรคตไปแล้ว
ื
ั
ั
เป็นอย่างไร คนท้งแผ่นดินก็หล่งไหลไปกราบ ไปสักการะพระบรม-
ศพของพระองค์ท่าน แล้วเอาเงินเอาทองไปถวายบูชาพระบรมศพ
ถึงวันนี้ได้ ๑๒ ล้านกว่าบาทแล้ว
พวกเราก็เหมือนกัน พยายามเอาแนวคิดเหมือนท่ผมเรียน
ี
ี
ถวายน้ เอาไปใช้กัน ถ้าเราอยู่ในช่วงปลายของชีวิต ใช้ชีวิตเพ่อ
ื
ี
สังคมให้มันมากท่สุด ๖๐ % ถ้ามีครอบครัว ช่วยเหลือครอบครัวไป
็
้
๑๕ % ศกษา ๑๕ % สบายๆ ๑๐ % แลวกจะครบ ๑๐๐ เรยกวา
ึ
ี
่
ั
ั
ชีวิตมันจะถึงจุดท่สมบูรณ์ ถ้าเราต้งกราฟให้มันเป็น ต้งเกณฑ์
ี
ั
ให้มันเป็น ถ้าเราไม่รู้จักต้งกราฟ ไม่รู้จักต้งเกณฑ์ ชีวิตตลอด
ั
่
ิ
ี
่
ี
็
ี
่
้
์
ชวตจะหาความสมบรณไมได คอมนไมมอะไรทเตม ๑๐๐ เลย
ั
ื
ู
ี
ื
ี
้
ี
ั
มันต้องรู้จักแบ่งอย่างน น่ว่าโดยหลักสากลท่วๆ ไป เก่ยวกับเร่อง
การจัดสรรโอกาส
อยู่อย่ำงหนอนหรืออยู่อย่ำงพระ
ื
ึ
สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ท่านตรัสไว้ ซ่งเป็นเร่อง
�
ี
ท่พวกเราผู้เป็นพระทุกระดับควรจะนามาคิด ท่านตรัสไว้ว่า
135
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
่
ู
ั
ั
็
ี
ี
่
ิ
�
พระทไม่ร้จกคดทางาน มนกไม่ต่างอะไรกบหนอนทอย่ใน
ู
ั
ส้วม เพราะหนอนท่อยู่ในส้วมไม่ต้องคิดทาอะไรเลย ถึงเวลา
�
ี
เช้าเวลาเย็น ก็มีคนเอาอาจมมาถ่ายให้กิน เป็นอย่างไร เรา
มองตัวอย่างไร เราจะอยู่อย่างหนอนหรืออยู่อย่างพระ ถ้าอยู่
�
อย่างหนอน ก็แค่บิณฑบาตมากินแล้วก็นอน ไม่ต้องทาวัตร-
สวดมนต์ ไม่ต้องศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องช่วยกันดูแลวัดวาอาราม
�
พอถึงเวลาเช้าก็มีคนมาถ่ายให้เรากินแปะๆๆๆ ไม่ต้องมาคิดทา
ี
อะไร เรามีสภาพเป็นอย่างไรในปัจจุบันน้ เป็นหนอนหรือเป็น
เทวดา เป็นเทวดามันต้องคิด เราจะอยู่อย่างหนอนหรืออยู่
อย่างเทวดา ปัญหามันอยู่ตรงนี้
ถ้าอยู่อย่างหนอน บาปกรรมท่ท่านส่งสมไว้อย่างน้ เวลา
ั
ี
ี
�
�
ตาย จะไปเกิดในกาเนิดหนอน เรียกว่าเป็น สังเสทชะกาเนิด
ี
ไอ้หนอนมันเกิดจากอะไร? เกิดจากพระข้เกียจ บวชแล้วไม่ทา
�
กิจวัตรของพระ ไม่ศึกษาคาสอนของพระ ไม่ช่วยกันดูแลรักษา
�
ั
ั
ั
วดวาอาราม บาปกรรมตวนมนจะเข้าไปส่งสมในจตวิญญาณ
ิ
ั
ี
้
มากเข้าๆๆ เวลาดับจิต ตายไปเกิดเป็นหนอนในซากสัตว์ เกิด
เป็นหนอนในส้วม น่ากลัวไหมเล่า? ภูมิใจไหมท่เกิดเป็นหนอน
ี
ื
มันเป็นเร่องน่าคิดน่าพิจารณา เพราะอย่างนั้นก็ขอให้พวกเรา
คิดไว้ จาไว้ว่า ในช่วงเวลาท่เราบวชอยู่น เราได้โอกาสแล้ว โอกาส
้
�
ี
ี
มีมากมาย เราไม่ต้องคิดทามาหากิน เพราะเร่องการทามาหากิน
�
ื
�
ื
�
ื
เร่องการอยู่เร่องการทามาหากินทุกอย่างน้ สังคมเขารับผิดชอบ
ี
ทั้งหมด ซึ่งมันแตกต่างกับชีวิตที่เราเป็นฆราวาส
136
สาราสารกถา
ชีวตท่เราเป็นฆราวาส จะต้องนกต้องคิดว่า วันน้เราจะม ี
ี
ิ
ึ
ี
ิ
ิ
ุ
ื
ั
้
ี
ิ
ี
อะไรกน วนนมกนแล้ว พร่งนมกนไหม? มะรนมีไหม? ปีนม ี
ี
้
้
ี
ี
ี
ปีหน้ามีไหม? เราต้องด้นรนขวนขวายไปหางานทา ไปเท่ยวแค่น
�
ิ
ื
ให้เขาจ้างเพ่อจะใช้แรงงาน เพ่อจะได้เอาค่าของแรงงานมากิน
ื
�
ิ
ื
ั
มาใช้ เราต้องว่งเต้นเพ่อไปหางานทา ไม่ง้นมันอยู่ไม่ได้ ชีวิต
ฆราวาส!
�
�
ท่ทานาทาไร่แม้จะลาบากยากเข็ญ สายตัวแทบขาด ใน
�
ี
ี
ื
�
ี
เม่อไม่มีโอกาสท่จะทาอย่างอ่นท่มันดีกว่าน้ เช้าเราก็ต้องลงนา
ื
ี
�
ลงไร่ เรียกว่าหน้าด�าคร่าเครียดไปตลอดเวลา นี่ชีวิตฆราวาส!
ี
แต่เม่อเรามาบวชเป็นพระแล้วน่ โอกาสอย่างน้นท่จะต้อง
ื
ี
ั
�
�
ทาอย่างน้น ไปเท่ยวหางานทา ถ้าเราไม่คิดทา มันจะเหมือน
ี
�
ั
ื
ไม่มีงานทาเลย เพราะเร่องกินเร่องอยู่น่ ชีวิตพระมันแทบจะไม่
�
ื
ี
ื
ต้องคิดอะไรเลย สังคมเขาให้หมด เร่องกินท่านไม่ต้องเดือดร้อน
ถึงเวลาเช้าโยมเอาข้าวมาใส่บาตร วันไหนไม่บิณฑบาต วันพระ
ื
โยมเอาข้าวมาให้ท่วัด และคัดเอาอย่างดีๆ มาให้ เพ่อเราจะได้
ี
มีสมองดี จะได้ปฏิบัติธรรมวินัย จะได้ศึกษาพระธรรมวินัยของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มันแตกฉาน เอาดีๆ มาให้ท้งน้น
ั
ั
ี
ี
และกิริยามรรยาทท่จะแสดงออกต่อเราน่ ก็พยายามจะไม่ให้
ี
เป็นท่กระทบกระเทือน คือรักษาอารมณ์เราด้วย ก็เพ่อจะให้
ื
เราน่ด่งในการท่จะทากิจวัตร ทาหน้าท่ของพระ เพ่อท่จะให้เรา
ี
ี
ี
�
ี
ิ
ื
�
้
ี
�
ึ
็
ี
�
ได้ใช้โอกาสนศกษาคาสอนของพระ ถ้าเราไม่ทา กเรยกว่าใช้
137
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
ี
โอกาสผิด ใช้โอกาสผิดชีวิตเราท่มาบวชอยู่ ๓ เดือนน สึกออกไป
่
ี
มานึกถึงตอนบวช ตรงไหนท่ภูมิใจไม่ได้เลย เราจะเอาอะไรเป็น
ื
ี
เคร่องภูมิใจ นึกว่าวันน้เราบวชอยู่เข้าพรรษาแล้ว สวดมนต์อะไร
ึ
�
ไม่ได้สักบทหน่ง พาหุงก็ยังไม่จบ แล้วจะทาอย่างไง เอาความภูมิใจ
ึ
ิ
ั
่
ั
ตรงไหน ธรรมวนยขององค์พระสัมมาสมพุทธเจ้าซงเป็นของด ี
ิ
ิ
ี
วิเศษศักด์สิทธ์ เราก็ไม่รู้เร่องรู้ราวอะไรเลย น่ล่ะเป็นหลักสาคัญ
ื
�
ที่ผมอยากจะเรียนถวายไว้
ิ
พยายามไปท่องไว้เถด เพราะถ้าใช้โอกาสผิด ชีวิตจะล้ม
ละลาย และจะล้มละลายจริงๆ ชีวิตพระของเราท่บวชกัน ๓
ี
เดือน ออกพรรษาได้กฐินแล้วก็สึก มันจะหาความภูมิใจอะไร
ึ
ไม่ได้เลย เกิดมาแล้วชาติหน่งได้บวชคร้งหน่ง บวชแล้วไม่ได้อะไร
ั
ึ
ั
�
ึ
เลย อย่างน้อยทาวัตร-สวดมนต์ได้ ได้นักธรรมตรีสักข้นหน่ง
ื
มันก็น่าภูมิใจว่า เวลาเรามีลูกมีหลานว่า เอ้อ เม่อพ่อบวช พ่อ
สอบนักธรรมตรีได้ เอาใบนักธรรมตรีอวดลูก ว่านี่พ่อก็แน่!
ู
่
ิ
้
ั
ี
่
ื
ั
บวช ๓ เดอนพอสอบนกธรรมตรได และมนภมใจไหมเลา?
ั
ลูกหลานก็จะภูมิใจ เวลาอ่านประวัติหน้าศพ ใช่ไหม? คุณพ่อน่น
บวช ๓ เดือน สอบนักธรรมตรีได้ ลูกก็หน้าบาน ใช่ไหม? ความ
็
ี
ู
ภมใจมนเกดขนได้อย่างน อย่างน้อยได้นกธรรมตร กเรยกว่าเรา
ิ
ั
้
ั
ี
้
ิ
ี
ึ
ใช้โอกาสเป็น ใช้โอกาสกันถูก
ี
�
ั
เพราะฉะน้น ผมก็อยากจะถวายเป็นข้อจากัด เพ่อท่เราจะ
ื
ได้เอาไปปรับปรุง ใช้โอกาสให้มันถูก พูดมากไปแล้วไม่มีข้อสรุป
138
สาราสารกถา
ี
ื
ี
ว่า จะใช้โอกาสเพ่ออะไรบ้าง ในช่วงโอกาสท่เราบวชอยู่น่ ใน
ี
ี
แต่ละวันๆ น่ ผมก็อยากจะให้ท่านคิดถึงงานถึงประโยชน์ท่ท่าน
ี
�
จะต้องทาในแต่ละวันๆ ในชีวิตท่เราเป็นพระอยู่ เอาแค่สาม
อย่างพอ ท่านตั้งอกตั้งใจท�า
สวดมนต์-ศึกษำ-พัฒนำ
ี
อย่างท่หน่ง ก็คือกิจวัตรของเรา สวดมนต์ภาวนา น่เป็น
ี
ึ
ั
ี
่
ี
�
กจวตร เป็นธรรมเนยมปฏบตทเราต้องทา เพราะเราอย่ด้วย
ู
ิ
ิ
ั
ิ
ื
ี
ื
ศรัทธาความเช่อความเล่อมใสของประชาชน ถ้าพระเณรข้เกียจ
�
ทาวัตร-สวดมนต์ ถามประชาชนดูเถิดว่าศรัทธาตรงไหน ถาม
ื
ั
ั
ึ
ตวเราเองว่า ถ้าเราจะนบถอพระสกองค์หนง แต่ว่าพระองค์น ้ ี
ั
่
ึ
ี
ี
ข้เกียจทาวัตร-สวดมนต์น่ เราจะนับถือไหม? หน่งสวดมนต์
�
ภาวนา จ�าไว้! ที่เราจะต้องใช้โอกาสในช่วงบวชนี่
ี
สองศึกษาธรรมวินัย ธรรมวินัยน่สาคัญ สาคัญท่สุด เป็น
�
ี
�
หน้าท่ของเรา เพราะธรรมวินัยน่เป็นคาส่งสอนของพระพุทธเจ้า
�
ี
ี
ั
แล้วพวกเราไม่สะดุดใจกันบ้างหรือว่า ท่เรามาเป็นอย่างน้กันได้
ี
ี
ี
ด้วยอะไร พูดถึงฐานะความเป็นของคนในสังคมน้ ท่านทอดตา
ั
ั
ในแผ่นดินไทยท้งหมด ต้งแต่เป็นพระราชามหากษัตริย์ลงมา
ี
เป็นแม่ทัพนายกอง เป็นเจ้าบ้านผ่านเมืองเน่ย เป็นอะไรสู้เป็น
็
พระได้บ้าง เป็นอะไรท่เหนือกว่าความเป็นพระมีไหม? เรากเห็น
ี
139
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
แล้วว่า จะเป็นอะไรก็ตามในสังคมเราน่ สู้เป็นพระไม่ได้เลย
สักอย่างเดียว และความเป็นพระอันเป็นฐานะอันสูงสุดในสังคมน ่ ี
�
เป็นด้วยอะไร ก็เป็นด้วยธรรมวินัย แล้วทาไมเราไม่สะดุดใจว่า
ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นส่งที่เราจะต้องศึกษา เพราะ
ิ
ิ
ิ
ศักด์สิทธ์มาก เพียงแค่เราโกนหัวเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ ใช้เวลา
ั
ช่วโมงเดียว หน้ามือกลับเป็นหลังมือแล้วฐานะของเรา เพราะ
พ่อ-แม่-ปู่-ย่า-ตา-ยายท่เราเคยกราบเคยไหว้ ต้องมากราบ
ี
ิ
่
ั
์
ี
มาไหว้เรา นอะไร? ความศกดสทธของพระธรรมวนยใช่ไหม?
ิ
์
ิ
ั
ิ
ี
ิ
แล้วเราทาไมไม่สะดุดใจท่จะศึกษาเล่าเรียนกัน ส่งดีวิเศษอย่างน
�
้
ี
ี
ั
้
ี
เพราะฉะนน หน้าท่ข้อท่สองของเรา ต้องศึกษาพระธรรมวินัย
จ�าไว้ ชีวิตเราจึงจะได้ประโยชน์
แล้วประการที่สาม ร่วมใจกันพัฒนา ท�าไมจึงต้องมีร่วมใจ
พัฒนาเข้ามาด้วย เพราะปัจจุบันการบวชเป็นพระเป็นเณรของ
เรา ไม่ใช่อยู่ป่าอยู่เขาอยู่ถ้า เรามีวัดวาอารามเป็นหลักเป็นแหล่ง
�
ี
เป็นสถาบันท่สังคมเขาสร้างให้อย่างดี เมื่อเรามีวัดวาอาราม
ื
ี
ั
่
ี
ี
สังกัดอยู่กันอย่างดอย่างน้ วัดวาเป็นสถานทร่มร่น น่าศรทธา
น่าเล่อมใสของประชาชนท่ผ่านมา ถ้าเราไม่ร่วมใจกัน ช่วยกัน
ื
ี
ื
ั
ดูแลรักษาความสะอาด-ความร่มร่น-ความเรียบร้อยภายในวด
และเราจะชื่อว่าเป็นคนวิเศษวิโสได้อย่างไร
140
สาราสารกถา
คนสำมระดับ
เพราะเราอยู่ในฐานะท่เรียกในปัจจุบันว่า เป็นคนเหนือคน
ี
เข้าใจไหม?
คนมันมีสามระดับ ระดับเราน่เรียกว่า เป็นคนเหนือคน
ี
สามระดับมีอะไร? คนแค่สัตว์, คนแค่คน, และคนเหนือคน
�
เป็นแค่สัตว์ เป็นอย่างไร สัตว์มันทาสกปรกได้ แต่มันทา
�
�
ให้สะอาดไม่ได้ พวกเรามีพฤติกรรมอย่างน้นหรือเปล่า ทาวัด
ั
ให้สกปรก แต่ท�าวัดให้สะอาดไม่ได้ มันต่างอะไรกับสัตว์
คนแค่คน เป็นอย่างไร ความสกปรกมันติดมากับเรา เรา
�
�
ี
ทาสกปรก เราก็ทาให้สะอาดได้ น่คนแค่คน เราไปส้วมแล้ว
อาจมของเรามันสกปรก เราก็ล้างให้มันสะอาด ใช่ไหม? ใช้ส้วม
แล้วไม่ล้าง มันต่างอะไรกับสุนัข
�
และ คนหนือคน เป็นอย่างไร เราไม่ได้ทาสกปรก แต่เจอ
ึ
ี
�
ิ
ส่งสกปรก ทาให้สะอาดข้นมา น่คนเหนือคน เราต้องมีฐานะ
เป็นอย่างนั้น
ี
เพราะฉะน้น หลักอันท่สามของเราท่ว่า ร่วมใจกันพัฒนา
ี
ั
ก็หมายถึงว่า เราดารงฐานะความเป็นคนเหนือคนของเราไว้ให้
�
ั
ได้ เพราะฉะน้น ก็ขอเรียนถวายให้กาหนดจดจาไว้ว่า การท่เรา
�
ี
�
้
ี
ิ
็
้
้
ื
็
จะใช้โอกาสใหเหมาะ-ใหควร-ใหเปน เพ่อใหชวตการเปนพระ-
้
ี
การเป็นเณรของเราน้ไม่ผิดหวัง เราจะได้มีความภาคภูมิใจว่า
141
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ึ
เราเกิดมาชาติหน่งได้บวชเป็นพระเป็นเณร ได้อยู่วัดโน้นวัดน ี ้
เราได้ทาหน้าท่ของเราถกต้อง เราได้ใช้โอกาสในแต่ละวนเพอ
ั
ู
�
่
ื
ี
ี
ปฏิบัติภารกิจในฐานะท่เราเป็นพระเป็นคนเหนือคนได้อย่าง
เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วเราก็จะมีความภูมิใจ
ขอให้จ�าไว้ เขียนติดไว้เลยหน้าห้อง งานของเรา
๑. สวดมนต์ภาวนา
๒. ศึกษาธรรมวินัย
๓. ร่วมใจกันพัฒนา
ี
ี
ั
�
น่เป็นงานท่เราจะต้องทาในแต่ละวัน ๒๔ ช่วโมง ไปซอย
ั
ื
่
้
�
ั
่
่
่
่
เอาเลยวาในแตละชวโมง เราจะทาอะไร ใชชวโมงไหนเพอการ
สวดมนต์ภาวนา ใช้ช่วโมงไหนศึกษาพระธรรมวินัย ใช้ช่วโมง
ั
ั
ไหนในการร่วมใจกันพัฒนา
ถ้าเรารู้จักใช้โอกาสให้มันเหมาะ ให้มันเป็นแล้ว ก็ทาการ
�
ี
่
ต่างๆ ตามท่ผมได้เรียนถวายมาน ก็สามารถจะพูดได้เต็มปากว่า
ี
ชีวิตการบวชของเราไม่เป็นโมฆะ ชีวิตการบวชของเราไม่เป็นหมัน
ก็เป็นอันว่าผมได้ใช้เวลา ในการให้ข้อคิด-การเสนอแนะ-
ั
้
�
การช้นา สาหรับทุกท่าน ในการเปิดประชุมอบรมคร้งน ก็คิดว่า
ี
ี
�
ุ
พอเหมาะพอควรแกเวลาแลว จงขอใหการประชมอบรมในวันน ้ ี
้
่
้
ึ
�
์
ี
ุ
ดาเนินไปด้วยด บรรลวัตถุประสงคท่ตองการทุกประการ ผมขอ
้
ี
เปิดการประชุมอบรม ณ บัดนี้.
คนเย่อหยิ่ง เกียรติยศย่อมลดลง
จะเป็นหนอนหรือเป็นเทวดำ
ท่านผู้เข้าสอบความรู้พระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์
และรองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสใหม่
ผมได้รับมอบหมายจากท่านเจ้าคณะจังหวัดให้บรรยาย
ี
่
�
ั
ี
พิเศษในภาคคาน้แก่ท่านท้งหลาย ในฐานะท่จะได้เป็นครูบา-
ู
ั
ู
ี
่
่
์
อาจารยเต็มตว เราต้องร้ภาระหน้าทของพวกเราแตละรปแต่ละ
็
ั
ั
ั
�
องค์ เราต้องมองเหนความสาคญของตวเองกนบ้าง ถ้ามอง
�
�
ไม่เห็นความสาคัญของตัวเองแล้วมันก็จะทาตัวของเราให้มัน
ไร้ค่า ทาให้สถาบันของพวกเราไร้ค่า ก็เพราะพวกเราไม่ได้มอง
�
ั
�
เห็นความสาคัญของตัวเองว่าแต่ละรูปแต่ละองค์น้น จริงๆ แล้ว
�
�
มีความสาคัญมาก ความสาคัญมากตรงไหน สถาบันบ้านเมือง
ี
ั
ของเราท่พูดกันอยู่โดยท่วไป มีสถาบันท่เป็นหลักอยู่ ๓ สถาบัน
ี
* การบรรยายพิเศษ ผู้เข้าสอบความรู้พระอุปัชฌาย์, พระกรรมวาจาจารย์,
พระสังฆาธิการรองเจ้าอาวาส, ผู้ช่วยเจ้าอาวาสใหม่ โดย พระสิรินันทเมธ ี
รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๓๙ เวลา ๑๙.๐๐ น.
144
สาราสารกถา
สถาบันที่ ๑ ชาติ
สถาบันที่ ๒ ศาสนา
สถาบันที่ ๓ พระมหากษัตริย์
ในรูปสถาบันต้องมีองค์กร องค์กรของสถาบัน เป็นสัญ-
ลักษณ์ของสถาบันนั้นๆ
สถาบันชาต หมายถึงประชาชนท้งแผ่นดินน้รวมกันเป็น
ั
ิ
ี
ชาติ
คาว่า ชาต หมายถึงประชาชนท้งหมด ท่เกิดอยู่ในประเทศน ี ้
ิ
ั
�
ี
ั
�
ประชาชนท้งหมดน้นจะมาบริหารประเทศไม่ได้ จาต้องมีองค์กร
ั
ึ
ข้นมาบริหาร คือสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรก็คือองค์กร
ที่เป็นตัวแทนของสถาบันชาตินั่นเอง
สถาบันศาสนา โดยเฉพาะประเทศไทยเรา ก็หมายถึงศาสนา-
์
์
ิ
็
ุ
ื
ิ
ี
ุ
่
่
็
์
พทธ สงทเปนองคกรของศาสนาพทธจรงๆ กคอพระสงฆองคเณร
แต่ละรูปๆ นั่นเอง
ิ
ี
ฉะน้น การบวชพระของพวกเรา ตามท่ปรากฏในอานสงส์
ั
�
การบวช ท่านจึงบอกว่า เราจะทาบุญสุนทาน สักมากมายแค่ไหน
ก็ตาม ก็จะไม่เท่ากับการบวชลูกบวชหลานให้เป็นพระ พอบวช
พระก็ถือว่าเป็นศาสนทายาท เป็นผู้รับมรดกของพระพุทธเจ้า
145
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
สถำบันต้องมีพระ-เณร
ั
ั
เพราะฉะน้น ศาสนาของพระพุทธเจ้าจะยืนยงม่นคง หรือ
ี
ื
จะไม่ยืนยงไม่ม่นคง เส่อมสลายไปก็อยู่ท่ว่าสถาบันน้มีพระหรือ
ั
ี
ไม่มีพระ ถ้าไม่มีพระ-เณร พระพุทธศาสนามี ก็ช่อว่าไม่ม ี
ื
ื
ั
ุ
ี
ึ
ี
เหมอนอย่างปัจจบนถ้าเรามองเทยบกน เราศกษาเล่าเรยนว่า
ั
ี
�
พระพุทธศาสนาจริงๆ ท่เป็นถ่นกาเนิดน้นไม่ได้เกิดในเมืองไทย
ิ
ั
ี
พระพุทธเจ้าก็เป็นชาวอินเดีย ตรัสรู้ท่อินเดีย พระพุทธองค์
ทรงประกาศศาสนาท่อินเดียท้งน้น ไม่ได้มาประกาศศาสนาใน
ั
ั
ี
ั
ื
ประเทศไทยเลย ฉะน้นประเทศอินเดียจึงได้ช่อว่า "เป็นแดน
เกิดพระพุทธศาสนาแต่เริ่มแรก"
ึ
สมัยพระเจ้าอโศกข้นมาครองราชย์ ตอนหลังยอมรับนับถือ
พระพุทธศาสนา มีการบวชกันมากในประเทศอินเดีย สมัยพุทธกาล
้
ิ
่
ั
่
้
พระพทธเจาประกาศศาสนาแผไปทงแผนดน พระเจาอโศกทรง
ุ
้
อุปถัมภ์บารุงพระพุทธศาสนาพระสงฆ์สามเณรมากมาย ประเทศ
�
อินเดียก็ยังคงเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา แต่ต่อมาๆ สถาบันสงฆ์
หายไปจากประเทศอินเดีย ลัทธิอ่นเข้ามากลืนไปหมดจนในประเทศ
ื
ื
อินเดียไม่มีพระไม่มีเณร เม่อไม่มีพระไม่มีเณร พระศาสนาก ็
ื
ี
ิ
่
้
ิ
ิ
ี
ู
เลยสญสนจากประเทศอนเดย ในปัจจบนอนเดยไม่ได้ชอว่าเป็น
ั
ุ
ั
ประเทศพระพุทธศาสนาแล้ว เพราะไม่มีพระสงฆ์อยู่น่นเอง เป็น
ี
ุ
แตเพยงประเทศท่เป็นแดนเกิดของพระพทธศาสนา แต่ไม่ใช่
ี
่
เป็นแดนศาสนา
146
สาราสารกถา
ประเทศไทยไม่ใช่เป็นแดนเกิดของพระพุทธศาสนา แต่
พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยของเรา สมัย
พระเจ้าอโศกได้ส่งพระโสณะและพระอุตตระเข้ามาเผยแผ่พระ
ั
้
็
ื
ื
ั
้
ุ
ั
่
ั
ุ
ุ
พทธศาสนา แลวกสบทอดกนมาเรอยๆ ปจจบนนนพระพทธศาสนา
ในประเทศไทยก็แผ่ขยายไปจนเต็มอาณาจักร ประเทศไทยจึง
ได้ชื่อว่าเป็นประเทศหรือดินแดนของพระพุทธศาสนา เราจะเห็น
ได้ว่า ท่ประเทศไทยเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาน้น กาหนดกัน
ั
ี
�
ด้วยประเทศไทยมีสถาบันสงฆ์
ั
ั
ี
ี
ู่
่
ี
ตราบใดทประเทศไทยยงมพระมเณรอย ประเทศไทยกจก
็
ื
ช่อว่าเป็นประเทศพระพุทธศาสนา เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา
อยู่ตราบน้น ถ้าหมดพระหมดเณรก็จะไม่เป็นแดนพระพุทธ-
ั
ศาสนา การเป็นพระของพวกเราต้องถือว่ามีความสาคัญมาก
�
�
ึ
ี
สาหรับสถาบันศาสนาซ่งเป็นสถาบันท่ ๒ ของบ้านเมือง จึง
สามารถพูดได้ว่า พวกเราแต่ละรูปเป็นชีวิตของพระพุทธศาสนา
ึ
ี
พระพุทธศาสนาจะเป็นหรือตาย ก็อยู่ท่พวกเราซ่งเป็นพระเป็น
เณร ความส�าคัญของเราต่อสถาบันอยู่ที่ตรงนี้
โลโก้ของพระพุทธศำสนำ
ี
�
ในการท่จะทาให้พระพุทธศาสนายืนยงม่นคงต่อไป อยู่ท ี ่
ั
ี
�
พวกเราแต่ละรูปท่เป็นพระเป็นเณรได้ทาหน้าท่ถูกต้องหรือไม่
ี
147
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
เพราะเราแต่ละรูปต้องนึกว่าเป็นเหมือนกับโลโก้ของพระพุทธ-
ื
ื
ั
่
ึ
ั
ศาสนา โลโก้ คอสญลกษณ์ หรือพูดอีกนัยหนงก็คอเป็นป้าย
โฆษณา ป้ายประชาสัมพันธ์ โฆษณาประชาสัมพันธ์พระพุทธ-
ศาสนาของเรา ถ้าพวกเราอยู่ในร่องในรอย ประพฤติปฏิบัต ิ
กันดีก็เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถึงความดีความงามของ
พระพุทธศาสนา
ตัวเราจึงเป็นความดีความงามของพระพุทธศาสนา
ี
โดยตรงจากการประพฤติปฏิบัติหน้าท่ของพวกเรา แต่ในทาง
่
ี
ู
ั
ี
้
ตรงกนข้าม ถ้าเราทอย่ในสมณเพศอย่างน ไม่ประพฤต ไม่
ิ
ี
ปฏิบัติให้มันอยู่ในร่องรอยหรือในหน้าท่ของพระ-เณร เราก ็
จะเป็นเหมือนแผ่นป้ายประจานพระพุทธศาสนา คือจริงๆแล้ว
พระพุทธศาสนาของเราไม่ได้มีความเลวร้ายอะไรเลยแม้แต่น้อย
ิ
ี
�
ึ
แต่ถ้าหากว่าเราซ่งอยู่ในสมณเพศไปทาส่งท่เลวร้าย จะกระทบ
กระเทือนสถาบันทันทีเลย เหมือนว่าสถาบันเลวใช้ไม่ได้
เห็นได้ว่าเราองค์เดียวทาให้คนมองว่าสถาบันดีหรือเลว
�
ิ
ร้ายได้ เราทาให้คนมองสถาบันเป็นส่งทดีงามได้ ยกตัวอย่าง
่
ี
�
ั
กรณีคนท่ก่ออาชญากรรมข่มขืนแล้วฆ่ามีกันอยู่ท่วไป เป็น
ั
ี
อาชญากรรมธรรมดาๆ แต่ว่าความรู้สึกว่า มันเลวร้ายมัน
ี
ี
ั
�
�
ิ
ไม่เท่ากับคนท่ทาน้นอยู่ในสมณเพศอย่างเรา แต่ว่าส่งท่เขาทา
�
ั
ั
น้นอยู่นอกเหนือจากท่พระพุทธเจ้าทรงส่งสอนให้ทา พอคน
ี
อย่างเราไปทาอย่างน้นเข้า ความเสียหายกระทบกระเทือนกัน
ั
�
148
สาราสารกถา
หมดเลย ทาให้คนท่ไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเราอยู่แล้ว
�
ี
ก็ยิ่งไม่อยากนับถือใหญ่เลย คนที่มีศรัทธาอยู่แล้ว แต่ไม่มั่นคง
ั
ื
ิ
ี
ก็เร่มเส่อมศรัทธา จะมองเห็นพระท่วไปว่า พระสมัยน้พระ
ี
ื
ี
�
ยุคน้ ในภาพต่างๆ เหล่าน้ของคนในสถาบันเม่อไปทาเข้า มัน
�
ทาให้ภาพรวมๆ ของเราเสียได้ ท้งๆ ท่เราไม่ได้ทา แต่ว่าคนใน
ั
�
ี
สถาบันของเราไปท�าเข้า เราอย่านึกว่าไม่กระทบไม่ได้
ชีวิตเดียวกัน
เราแต่ละรูปๆ เป็นเหมือนกับเป็นชีวิตเดียวกัน สงฆ์ทุกรูป
ถ้ามองในแง่สถาบันเหมือนกับเป็นชีวิตเดียวกัน ชีวิตเดียวกัน
ึ
ซ่งประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ มีมือ มีเท้า มีตา มีหู มีจมูก
ึ
ิ
ี
ิ
่
ั
ั
ี
ี
้
้
มลน มร่างกาย มจตใจ ทงหมดนรวมกนเป็นชวตหนง ไม่ว่า
ี
้
ี
ิ
ั
ี
จะเป็นพวกเราท่มาประชุมอบรมกัน เป็นพระท้งจังหวัด เป็น
ั
พระท้งประเทศ รวมกันแล้วก็เท่ากับว่าเป็นชีวิตชีวิตหน่ง ซ่ง
ึ
ึ
ั
ื
ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ เม่ออวัยวะบางส่วนเป็นบาดแผล
ิ
�
ข้น แค่น้วสิบน้วมีดบาดน้วเดียว อีกเก้าน้วทาไมไม่มาช่วย
ิ
ิ
ึ
ิ
ี
ปัดเป่า ธรรมชาติตรงน้เราอย่าเห็นว่าเป็นเร่องแปลก เม่อไม่
ื
ื
เจ็บก็เป็นเพียงเร่องธรรมดาเท่าน้นเอง เจ็บนิดเดียวจะเจ็บ
ั
ื
ึ
ี
ั
ทนท ถ้าดีเป็นความรู้สึกธรรมดา ไม่มีอะไรเพ่มข้น มีอะไรมา
ิ
ั
�
ี
ื
ื
กระทบกระท่งในส่วนท่ดีทาให้เกิดความช่นอกช่นใจได้สัมผัส
สิ่งดีๆ ก็ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่เจ็บนานเหมือนกับสิ่งที่ไม่ดี
149
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
เมื่อพระของเรำดี เรำดีด้วยหรือ?
ี
ในสถาบันของเราผู้ท่เป็นพระสงฆ์สร้างคุณงามความด ี
จนเป็นท่ยอมรับของโลกปัจจุบันคือท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก
ี
(ประยุทธ์ อารยางกูร ปยุตฺโต) มีความดีงามจนองค์การยูเนสโก
เห็นความดีงามมอบถวายรางวัลการศกษาเพอสนตภาพให้
ิ
ื
่
ั
ึ
ี
ก็เป็นเพียงความดี แต่ไม่รู้สึก และก็พูดกันประเด๋ยวเดียว
แทนท่สังคมจะมองว่า พวกเราจะดีเหมือนเจ้าคุณประยุทธ์บ้าง
ี
ี
ื
เขาไม่มอง เขาไม่ระแวงว่าเราจะดเหมอนท่าน แต่ถ้ามนเกด
ั
ิ
ี
ึ
ั
กรณีช่วร้ายข้นแก่คนในสถาบัน เขาจะนึกทันทีว่ารูปน้เหมือน
ั
�
รูปน้น ดูท่าทางชอบกล โดยธรรมชาติแล้วไม่ใช่ความลาเอียง
เป็นอย่างน้นเหมือนกรณีมีดบาดน้วเราเจ็บ แต่ถ้าไม่บาดก็เป็น
ั
ิ
ธรรมดา
�
ี
�
ี
ท่สาคัญท่สุดเราต้องสารวม ต้องระวังอย่าให้มีดบาดมือ
ู่
แต่ละรูปตองมสติ มการควบคุมตนเองอยตลอดเวลา อย่าให้ม ี
้
ี
ี
อะไรมากระทบให้เจ็บปวดเพราะเป็นความเจ็บปวดของสถาบัน
�
ถ้าเป็นกรณีท่สาคัญๆ บางทีอาจทาให้สถาบันของเราล้มตายได้
�
ี
เหมือนบาดแผลมีดบาดน้วแค่เจ็บ มีดตัดแขนขาดเจ็บแต่ไม่
ิ
ี
ั
�
ถึงตาย แต่แผลเล็กๆ แต่ไปถูกตรงจุดสาคัญบางจุดท่ข้วหัวใจ
ั
่
ื
ี
ทาให้ตายได้ นคอความล่อแหลมทอนตราย ทจะต้องช่วยกน
�
่
ี
ั
ี
่
ระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับสถาบันของเรา
150
สาราสารกถา
เราได้บวชกันคนละ ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา เราอธิษฐาน
จิตเป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา ช่วยกันรักษาสถานภาพ
ของพระพุทธศาสนาให้เป็นมรดกของชาติบ้านเมืองสืบไป เรา
แต่ละรูปจึงเป็นชีวิตของพระพุทธศาสนา รวมกันเป็นชีวิตอวัยวะ
แต่ละส่วน เมื่อมีอะไรมากระทบส่วนใดก็จะเจ็บกันไปทั้งตัว
ช่วยกันท�ำงำนเถิด - อยู่เพื่องำน
ี
�
เราต้องคิดทาอะไรกันบ้าง งานการต่างๆ ท่เราต้องทาใน
�
ฐานะท่เป็นสถาบัน จะไม่คิดไม่ได้ ท่านลองตรวจดูตัวเองบ้างว่า
ี
�
งานทุกอย่างถ้าเราไม่คิดทา เราก็จะรู้สึกว่าไม่มีงานทาเลย
�
ื
ในวันๆ หนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรบีบบังคับเพราะเม่อเราบวชแล้ว
ี
�
ไม่ต้องประกอบอาชีพก็มีกินมีอยู่ และคนจาพวกน้ก็มีพวกเดียว
ั
ื
ในเมืองไทยก็คือพระเราเท่าน้น เม่อความเป็นอยู่ไม่บีบ ความ
�
คิดท่ว่าจะทาอะไร ถ้าเราไม่คิดก็จะไม่ได้ทาอะไรเลย แต่ถ้าเป็น
ี
�
ชาวบ้านไม่คิดไม่ได้ เช่นไปดูในครัวมันมีข้าวสารอยู่ ๒ ลิตร
ี
ี
ี
ั
แต่ ๒ ลิตรน้นเพียงวันน้ก็หมดแล้ว พรุ่งน้จะกินอะไร ก็เท่ยวไป
ั
ี
็
ตามกองขยะเกบเอาของทพอจะขายได้รวมๆ กนเอาไปขาย
่
�
ี
ั
ั
จาเป็นต้องทา เพราะภาระการครองชพบบบงคบอย่ ชวตของ
ิ
�
ี
ี
ู
ฆราวาสเป็นอย่างนี้
้
ี
้
่
็
็
้
ถงเราเปนฆราวาสบางกเหมอนกน คดเปนคนดไมไดกตอง
ึ
็
ิ
็
ั
ื
เท่ยวลักเล็กขโมยน้อยเร่อยไป แล้วแต่ว่าจะได้อย่างไร จึงจะมีกินมีใช้
ี
ื
151
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ื
่
ิ
่
็
่
่
แตพวกเราเปนพระไมเคยคดเรองนเลย เพราะบางพนท บาตร
ี
ื
้
ี
้
ก็ไม่ต้องบิณฑ์ เป็นธรรมเนียมเขา เช่นอย่างพระแถวบางปลาม้า
�
ี
ี
ื
บางตาบล บางพ้นท่ท่อยู่ในชุมชนของไทยพวน ชาวไทยพวนจะ
คอยดูแลปรนนิบัติพระเป็นอย่างด เช้าก็เอาปิ่นโตไปส่ง พอถึง
ี
เวลาเพลก็ไปส่ง ทาให้คิดว่าไม่ต้องคิดทาอะไร ไม่มีอะไรมาบีบค้น
�
�
ั
�
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระดารัส
ู่
ึ
ี
กับพระสงฆ์ตอนหน่งว่า “ เราท่บวชเป็นพระอย หากไม่คิดทา
�
อะไร ฐานะของเรามันก็ไม่ต่างกับหนอนในส้วม พอถึงเวลาก ็
มีคนมาถ่ายให้กิน ”
หนอนกับเทวดำ
�
จนมีเร่องเล่าว่ามีคน ๒ คนเป็นเพ่อนกัน คนหน่งทาทุกอย่าง
ึ
ื
ื
ท่คิดว่าดี ส่วนอีกคนหน่งไม่คิดทาอะไรเลย เอาแค่มีกินไปวันๆ
�
ึ
ี
็
ี
็
ิ
ี
ี
่
่
่
็
�
ไมมกเทยวขอทาน พอตายไปคนททาดกเกดเปนเทวดา สวนคน
่
ี
�
ท่ไม่คิดทาอะไรเลย เกิดเป็นหนอนในส้วม ด้วยความรัก คิดถึง
ี
ี
ื
เพ่อนคนท่เกิดเป็นเทวดา ก็คิดว่าเพ่อนไปเกิดท่ไหน ก็ไปเห็นว่า
ื
ี
ื
เกิดเป็นพญาหนอนอยู่ในส้วม ด้วยความสงสารจึงมาหาเพ่อน
ื
แล้วชวนไปอยู่บนสวรรค์ เพ่อนท่เป็นหนอนก็ถามว่า สวรรค์ม ี
ี
ิ
อะไรกิน พอรู้ว่าอยากกินอะไรก็นึกเอาซ เพราะเป็นของทิพย์
ก็บอกว่า อยู่ในส้วมดีกว่าเพราะไม่ต้องนึก หิวก็กินได้เลย จึงขอ
เป็นหนอนดีกว่า
152
สาราสารกถา
เรามาลองพิจารณาดูว่าอยู่กันทุกวันน้เราอยู่แบบไหน เรา
ี
อย่าคิดนะว่า ผ้ากาสาวะจะกันเราไม่ให้เกิดเป็นหนอนได้ ถ้าเราอย ู่
โดยไม่นึกคิดทาอะไร เพราะถือว่ามีกิน มันเหมือนกับหนอน ที่
�
�
�
พอเช้าก็มีคนมาถ่ายให้กิน ไม่จาเป็นต้องคิดทาอะไรก็มีกินอยู่
แล้ว หากนึกอย่างน้อนาคตต่อไปก็คือหนอนท้งน้น แล้วจะม ี
ั
ี
ั
ใครอยากเกิดเป็นหนอนคงไม่มี ผมถึงได้มาพูดแสดงอานิสงส์อีก
ี
ก็เพ่อให้เป็นข้อพิจารณาว่าท่เราอยู่ทุกวัน มันเหมือนกับการอย ู่
ื
ของหนอนในส้วม หรือว่าอยู่ในฐานะเทวดา ถ้าหากเราพิจารณา
ั
ี
ั
ตัวเรา ต้งแต่อดีตมาว่าท่อยู่กันนานๆ มาน้นเหมือนหนอนในส้วม
แต่การอยู่อย่างเทวดาน้นต้องคิด เพราะเทวดาจะกินอะไรก็ต้อง
ั
คิด เพราะคิดถึงจึงได้
ั
ฉะน้น เราจะต้องอยู่อย่างเทวดา คือ อยู่อย่างเนรมิตของ
ข้นมาเร่อยๆ เนรมิตของดีให้เรา เรากลับไปวัดก็ต้องนึกว่าวันน ี ้
ื
ึ
เราจะเนรมิตส่งดีๆ อะไรให้กับเราบ้าง จะเนรมิตของดีอะไรใน
ิ
�
วัดบ้าง น่คืออยู่อย่างเทวดา เมื่อเนรมิตหรือคิดแล้วก็ต้องทาด้วย
ี
ั
�
เม่อทาแล้วก็มีผล เพราะฉะน้น ผมจึงให้คานิยามสมัยก่อนๆ
�
ื
นานมาแล้วหลายสิบปี มีลูกศิษย์ลูกหาก็เตือนให้ภาวนาไว้เสมอ
�
�
เลย ให้มีความรู้สึกสานึกว่าเราจะต้องทางาน ให้นึกอยู่เสมอ
ี
ว่าวันน้จะทาอะไร ก็หมายความว่าวันน้เราจะเนรมิตอะไรให้
ี
�
มันดีขึ้นบ้าง เพราะเรามีแก้วสารพัดนึก คือจิตใจนั่นเอง
153
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ควำมรู้สึกว่ำไม่มีงำนท�ำ...
ี
ิ
ขอถวายไว้ด้วยว่า ส่งท่เลวท่สุดในตัวของเรา ก็คือความ
ี
�
ึ
ี
รู้สึกว่าไม่มีงานทา พวกเราเคยมีความรู้สึกอย่างน้เกิดข้นบ้างไหม
ทอย่กนมาแต่ละวันๆ แล้วกให้จากนไว้ว่า ความรู้สึกว่าไม่ม ี
ั
ู
็
�
ั
ี
่
ี
งานทาเป็นความรู้สึกท่เลวท่สุดในจิตใจของเรา เราอย่าไปคิด
�
ี
ี
รู้สึกอย่างน้ เพราะการท่เราคิดอย่างน้น น่นจะกลายเป็นวิบาก
ั
ี
ั
ส่งให้เราไปเกิดเป็นหนอนในส้วม ในสัมปรายภพ เพราะว่า
ี
ึ
่
เป็นความรู้สกท่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซีงเป็นหลักธรรมต้องห้ามใน
ึ
พระพุทธศาสนาของเรา
ทาไมจึงว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็เพราะว่าความรู้สึกหรือคิดว่า
�
ไม่มีงานทาน้น มันเป็นความคิดท่ปราศจากความจริงโดยส้นเชิง
ั
ิ
�
ี
่
ิ
ู
ิ
ี
เป็นความคดทปราศจากความถกต้อง ไม่เป็นความจรงเลยทว่า
ี
่
ไม่มีงานทา เห็นหรือยังว่าท่บอกว่าผิดก็เพราะผิดจริงๆ ไม่มีใคร
�
ี
ี
�
ท่ไหนหรอกท่เกิดมาเป็นชีวิตปกติเหมือนพวกเราจะไม่มีงานทา
ี
ึ
ตามสถานะ เรารู้สึกอย่างน้นด้วยความเห็นผิดไป ซ่งความจริง
ั
งานมีมาก
งำนของพระ
และโดยเฉพาะงานท่เขากาหนด อย่างน้อยๆ งานสาหรับ
ี
�
�
สถาบันของเรา มีอยู่ถึง ๖ สาขาด้วยกัน คือ
154
สาราสารกถา
๑. งานปกครอง
๒. งานศึกษา
๓. งานเผยแผ่
๔. งานสาธารณูปการ
๕. งานศึกษาสงเคราะห์
๖. งานสาธารณสงเคราะห์
งานสาขาแรกก็คืองานปกครอง เราจะปกครองลูกศิษย์
ของเราให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ให้มีความเจริญก้าวหน้า ให้มีความ
ปรองดองรักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นเร่องท่เราจะต้องคิดแล้ว
ี
ื
เพราะเม่อเราจะเป็นอาจารย์ เราก็ต้องมีลูกศิษย์ เราก็ต้องรับ
ื
ผิดชอบว่าเราจะทาอย่างไรให้เขาเจริญก้าวหน้า จะส่งเสริมอย่างไร
�
ี
�
ี
ื
ให้เขามีความสุข น่คองานปกครอง จะทาอย่างไรให้เขา มความ
ี
รู้สึกปลอดภัย เหมือนกับเรามีลูก ถ้าเราไม่คิดเล้ยงดูให้ดี ลูกก ็
ไม่โต พอเวลาแก่เฒ่าไปก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้ เพราะเราปกครอง
ลูกไม่เป็น ปกครองลูกให้ดี จึงเป็นงานอีกสาขาหน่งท่เราจะต้อง
ี
ึ
ี
สาเหนียกเรียนรู้ การท่สาเหนียกเรียนรู้อย่างน้มันจะต้องปลูก
ี
�
�
ื
ึ
ฝังคุณธรรมในจิตใจข้น เราจะเอาคุณธรรมมาเป็นเคร่องประพฤต ิ
ปฏิบัติ ให้คนที่มาบวชอยู่กับเราเพียง ๗ วัน ๑๕ วัน หรือพรรษา
หน่งแล้วสึกไป ทาให้เขามีความผูกพันนึกถึงเราด้วยความรู้สึก
ึ
�
ที่ดี
155
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
หลักธรรมท่พระพุทธเจ้าวางไว้เป็นแนวทางการอยู่ร่วมกัน
ี
ก็จะต้องมี “สาราณียธรรม” ประพฤติสาราณียธรรมต่อกัน จะ
สร้างความรัก สร้างความระลึกนึกถึงกัน มีอยู่ ๖ อย่าง คือ
๑. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาให้กันและกัน
๒. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในกันและกัน
๓. เข้าไปตั้งนโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในกันและกัน
ึ
ี
๔. แบ่งปันลาภผลท่เกิดข้น แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ช่วย
เหลือสงเคราะห์กันด้วยปัจจัยสี่
๕. อยู่ในกฎในแบบแผน เคารพกฎแบบแผนอย่างเดียวกัน
มีกติกา ขนบธรรมเนียม-แบบแผนอย่างเดียวกัน มีกติกา-ขนบ
�
ั
็
ธรรมเนียมอย่างไรกร่วมกนทา เช่น ทาวตรเช้า-ทาวตรเยน เวลาไหน
ั
็
�
�
ั
ได้เวลาแล้วก็ไปท�าพร้อมกัน-เลิกพร้อมกัน
ิ
ั
๖. พยายามปรับความคด-ความเหนให้สอดคล้องต้องกน
็
มีอะไรกระทบกระท่ง ก็พยายามปรับความเข้าใจกัน หมายความว่า
ั
มีความเข้าใจซ่งกันและกันเป็นอย่างดี เข้าใจอัธยาศัยของกัน
ึ
ิ
้
ี
็
ี
ื
และกนอย่างด เมอเรานาหลกธรรมนไปใช้กจะเกดประโยชน์
ั
่
�
ั
เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเราทั้งแก่สถาบัน
ตัวอย่างเช่น การต้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาน้น ความ
ั
ั
�
เมตตาเป็นความรู้สึกของใจ เราจะทาอะไรกับลูกศิษย์ ก็ต้อง
แทรกความรู้สึกเมตตาเข้าไปในการกระท�านั้น ต้องสร้างเมตตา
156
สาราสารกถา
ี
�
ี
ถ้าหากว่าเราไม่รู้หลักอันน้ ทาโดยท่ไม่แทรกเมตตา ไม่แทรก
ความรักลงไปในการกระทา มันกระทบความรู้สึกในทางลบของ
�
ี
�
ลูกศิษย์ได้ ท่เรียกว่าทาแบบประชด เช่น อย่างลูกศิษย์ลูกหาปล่อย
�
หน้ากุฏิให้เลอะ เราดูแล้วมันราคาญเหลือเกิน เราก็ไปถูเสียเอง
ี
�
�
แต่เป็นการถูท่ทาให้กระทบกระเทือนจิตใจลูกศิษย์ การทาด้วย
ความรู้สึกน้เรียกว่าไม่ได้ประกอบด้วยเมตตา กายกรรมท่ไม่
ี
ี
ประกอบด้วยเมตตา ก็คือการประชดนั่นเอง...
ต่อไปก็เร่องการแบ่งปันลาภ มีบางรูปเป็นสมภารเจ้าวัดม ี
ื
ลาภผลมากๆ ไม่ได้คิดจะให้ใคร การแบ่งปันลาภน้นต้องปลูก
ั
ี
�
ความคิดว่าเราต้องให้ มีอะไรท่เกินความจาเป็น คิดให้เขาบ้าง
ดงท่เขาถวายสังฆทาน บางแห่งเตมจนเข้ากฏกเข้าไม่ได้ ไม่มีท ี ่
ิ
็
็
ุ
ี
ั
ท่เท้าจะแหย่ มันเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ ไม่คิดให้ ผลจะเกิด
ี
อย่างไร ผลก็ไม่ได้รับความรัก-ความนับถือ พอดีพอร้ายลูกศิษย์
จะเอาไปนินทาอีก ต้องคิดแบ่งปันลาภ คิดว่าส่วนน้เราเก็บไว้ แต่
ี
ถ้ามันมากเกิน เก็บไว้มันมีแต่เสียอย่างเดียว อย่างไตรจีวรบางท่าน
เก็บไว้ตั้งแต่สมัย ๒๔๘๕ พอจะเอาไปบังสุกุลสักหน่อย ใช้ไม่ได้
ุ
ี
�
ี
เลย ตรงท่พับมันขาดหมด เพราะท่เก่าไม่ได้ใช้หมดอาย ทาอย่างน้ ี
ี
ขาดหลักสาราณียธรรมข้อน้ไปแล้ว เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็น
ี
พระกรรมวาจา มีลูกศิษย์ลูกหา จะปกครองให้เขารัก ตรงน้สาคัญ
�
�
ี
อย่าไปตระหน่ ทาให้ใจคอมันคับแคบ ถ้าเราใจคอคับแคบจะ
อยู่คนเดียว
157
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
กิจกรรมอะไร ท่จะต้องทาร่วมกัน เช่น ทาวัตรเช้า-ทาวัตร
ี
�
�
�
�
ี
�
เย็น-ลงอุโบสถ มันมีความจาเป็นท่จะต้องร่วมกันทา พร้อมกันทา
ี
เป็นสลสามัญญตา : เสมอกนด้วยศล เสมอกันด้วยการทา
ี
�
ั
กิจกรรมร่วมกัน มีความกินแหนงแคลงใจอะไรกัน อย่าเอาไป
ี
นินทา ปรับความเข้าใจกัน น่ทิฏฐิสามัญญตา เอาไปนินทาไม่ได้
เป็นครูบาอาจารย์เอาลูกศิษย์ไปนินทาไม่ได้ ถ้าเขารู้ก็จะหมด
ี
ความนับถือทันท เราเป็นครูบาอาจารย์ ก็ต้องทาความรู้สึก
�
เหมือนพ่อเหมือนแม่ เป็นลูกศิษย์ก็ต้องท�าความรู้สึกเหมือน
ลูก พ่อ-แม่-ลูกจะเลวยังไงก็ไม่เอาลูกไปนินทา ลูกก็เหมือนกัน
พ่อแม่จะดีจะเลวยังไง ก็ไม่เอาพ่อแม่ไปนินทา มีอะไรปรับความ
�
เข้าใจกันได้ก็ปรับ ต้องทาใจให้กว้างพร้อมท่จะปรับความเข้าใจกัน
ี
ี
ั
อย่างน้อยู่ด้วยกันสบาย ไม่มีกระทบกระท่ง ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง
ไม่ขัดแย้งแตกแยก
ี
ึ
บางวัดมีลูกวัดหน่งองค์ สมภารหนึ่งองค์ แต่ไม่ถูกกัน ท่เป็น
ี
อย่างน้เพราะไม่ได้คิดทาอะไรให้ดีข้น ขาดสาราณียธรรมก็ทะเลาะ
ึ
�
ี
ั
ี
กันท้งวัด น่ก็เป็นงานท่เราจะต้องคิดทาและก็เป็นงานหนักด้วย
�
อย่าไปกลัวว่า จะเป็นงานหนัก อย่าไปกลัวว่าจะเป็นความลาบาก
�
ี
ี
ี
ื
งานปกครองไม่ใช่งานเบา เป็นงานท่หนักท่เหน่อยในความรู้สึกท่สุด
ี
์
็
ิ
เราจะมาเปนผชวย-เปนกรรมวาจากตองมลกศษย เราตองถอวา
ู
้
็
ู
่
้
ื
็
้
่
ู
็
้
ิ
็
เปนภาระของเรา การมาขอเปนครบาอาจารย มาขอใหเปนลกศษย ์
์
ู
็
�
ั
ี
กัน ปวารณาตวกนแล้วมพธถออาจารย์ แต่ตอนนีเราไม่ได้ทา
ั
ื
้
ิ
ี