The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by schtgr1125, 2020-04-15 00:10:24

สาราสารกถา พระธรรมพุทธิมงคล เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี.

108
สาราสารกถา





จะถูกถอดแล้ว ถอดแล้วเขาให้ไปเกิดท่ไหน? ก็ให้ไปเกิดในท ่ ี


ท่อดๆ อยากๆ หรืออย่างดีก็ให้ไปเกิดเป็นขอทาน น่นพวก


เศรษฐีถูกถอดท้งน้น คือให้มีแล้วไม่ให้ ก็บารมีเขาต้งไว้แล้ว ว่า

มีให้แล้วต้องให้ ถ้าไม่ให้จะถูกถอด


ตัวอย่ำงเรื่องคนไม่รู้จักอดอยำก เพรำะทำนบำรมี



ทานบารมีให้ผลทางทรัพย์สมบัติน จะเล่าเร่องพระอนุรุทธะ


เป็นตัวอย่าง เม่อชาติก่อน ท่านเกิดเป็นคนยากจน เป็นลูกจ้าง

เก่ยวหญ้าให้ช้างของเศรษฐี เขาให้วันละ ๔ บาท ๔ บาทก็ซ้อ


ข้าว พอกินไปวันบ้าง ไม่พอบ้าง แลกข้าวเขากิน วันหน่งกาลัง
















จะกนขาว มพระปจเจกพทธเจาองคหนง ซงเพงออกจากนโรธ
สมาบัติ หลังจากเข้านิโรธสมาบัติมา ๗ วัน ก็นึกว่า วันน้จะไป


โปรดใคร ก็ได้เห็นว่า ลูกจ้างของเศรษฐีคนน้นยากจนแต่ใจด ี



ซ่อสัตย์ สุจริต ก็ออกจากเขาคันธมาทน์ ไปท่บ้านคนเล้ยงช้าง
แล้วก็ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน


ขณะน้น อนุรุทธะซ่งเป็นคนเล้ยงช้าง ก็เอาข้าวใส่จานแล้ว

และก็มีอยู่จานเดียวเท่าน้น เหลือบไปเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า



ยืนอย่หน้าบ้าน ก็มานกถึงตัวเอง แล้วก็มองบ้านเศรษฐี เปรียบ
เทียบกัน เขาอยู่ปราสาท ส่วนตัวเองอยู่กระท่อมซุกหัวแทบจะ


ไม่มิด โน้นก็คน น้ก็คน ทาไมมันต่างกันอย่างน้ ก็มานึกว่า เม่อ



ชาติก่อนๆ เราคงจะไม่ได้สร้างทานบารมีมา ชาติน้เราจึงอดๆ

109
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




อยากๆ มาเป็นลูกจ้างเขา เอาละ ชาติน้แม้จะต้องอดตาย เรา




กจะยอมตาย วันน้เรามของจะให้ทานแล้วและก็เจอบุญเขต
บางวันเรามีของ แต่ไม่มีพระ บางวันมีพระ แต่ไม่มีของ วันนี้
เราเจอพระแล้ว ของเราก็มีข้าวจานหน่ง เราจะเอาข้าวจานน ้ ี

ถวายพระ เราจะยอมอดตาย จึงถือจานข้าวเข้าไปใส่บาตร

พระปัจเจกพุทธเจ้า เอียงจานใส่เลย พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รู้



ว่า นายคนน้จน ข้าวมีจานเดียวเท่าน้น พอได้คร่งจาน ท่านจึง

ปิดบาตร

ชายคนน้นก็ไม่ยอม บอกพระว่า สละชีวิตแล้ว ขอถวาย
หมดเลย ขอพระคุณเจ้าช่วยอนุเคราะห์ด้วยเถิด พระปัจเจก-



พุทธเจ้าก็ใจอ่อน เปิดบาตรรับอาหารหมดเลย และกอนทเขา

จะใส่บาตร เขาก็ยกจานข้าวข้นจบพร้อมกับอธิษฐานเป็นภาษา

บาลีว่า

อิมินา ปน ทาเนน มา เม ทาลิทฺทิย อหุ


นตฺถีติ วจน นาม มา อโหสิ ภวาภเว
แปลเอาความวา ดวยผลทานนี ขอความยากจนอย่าไดม ี






แก่ข้าพเจ้า คาว่า ไม่ม อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าในภพไหนๆ เลย


เพียงแค่น้นแหละ ต้งแต่ชาติน้นมา ชายคนน้ไม่เคยเกิด








เปนคนจนเลย ชาตสดทายมาเกดเปนพระอนรทธะ ลกพลกนอง








กับพระพุทธเจ้า มีบุญจริงๆ

110
สาราสารกถา




ประวัติพระอนุรุทธะบอกไว้ว่า คาว่า ไม่มี ไม่มีใครพูด


ให้ท่านได้ยินเลย จะไปออกปากใครมีหมด วันหน่งไปเล่นขลุบ

หรือไม่ก็เล่นทอยกองกับกษัตริย์พ่ๆ น้องๆ กัน โดยเล่นพนัน


เอาขนม อนุรุทธะแพ้เขาทุกที พอแพ้ก็ส่งคนไปเอาขนมท่วัง

จนขนมหมด เท่ยวสุดท้าย คนใช้ก็ไปบอกว่า เจ้าอนุรุทธะให้



มาเอาขนม แมกบอกว่า ไม่ม อนรทธะแปลกใจวา เกดมาเปน





ลูกแม่เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ขนมไม่มี แม่ไม่เคยทาให้กินสักที ขนม

อ่นกินหมดแล้ว ขนมไม่มี ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง ก็เลยบอกให้

คนใช้ไปเอา คนใช้ก็ไปบอกมารดาเจ้าอนุรุทธะ นางจึงคิดว่า


ลูกเราน้ เกิดมาไม่เคยได้ยินคาว่าไม่มีเลย คราวน้จะต้องให้รู้เสีย





บ้างว่า ขนมไม่มมนเป็นอย่างน กเลยหยบถาดทองคาสองใบ



ถาดเปล่าๆ น่นแหละ มาวางเข้า เอาถาดทองอีกใบหน่งคว�่าไป






คอต้องการสอนลกให้รู้ว่า ไม่มี คอไม่มีอะไรเลย แต่ลูกไม่เคย
ได้ยิน เพราะอธิษฐานไว้ตั้งแต่ชาติโน้น

ส่วนคนใช้ก็แบกถาดเปล่าๆ ไป ร้อนถึงเทวดาท่เฝ้าเมือง


เห็นเหตุการณ์ ก็วิตกว่า เจ้าเบ้องบนส่งไว้ว่า คาว่า ไม่มี จะให้


เจ้าอนุรุทธะได้ยินไม่ได้ ถ้าได้ยิน เทวดาท่เฝ้าเมืองจะต้องหัวแตก
เจ็ดเส่ยงกันหมด เทวดาจึงต้องเนรมิตขนมทิพย์ใส่ถาดเต็มแปร้




ู้
ไปเลย คนแบกกไมร แบกไปพอไปถงวงกเปดออก กลนขนมหอม




ไปท่วเมืองอบอวลหมด เจ้าอนุรุทธะเห็นขนมก็ร้องไห้เสียใจว่า




ต้งแต่เกิดมาเป็นลูกแม่ ขนมชนิดน้แม่ไม่เคยทาให้กินเลย ก็ไป

111
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





ต่อว่าแม่ แม่ก็ไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร แท้ๆ เทวดาเขาทาให้
เรื่องเป็นอย่างนั้น นี่ทานบารมีเป็นอย่างนี้



ศีลบำรมีให้ผลด้ำนรูปสมบัติ



ศีลบารมี ให้ผลทางไหน? ให้ผลทางรูปร่าง รูปร่าง

ใครปั้นให้? ใครก�าหนดว่าคนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ มีรูปร่างอย่างนี้



ไม่ใช่พ่อแม่เรา พ่อแม่เราก็ไม่รู้ว่าท่เราเกิดมาน รูปร่างจะเป็น


อย่างไร จะสมบูรณ์หรือวิกลวิการอย่างไร ไม่รู้หรอก ท่เราได้

รูปร่างมาน้ เพราะศีลบารมี ศีลบารมีเราบาเพ็ญกันมาดีเย่ยม





เราจึงได้รูปร่างท่ดี คนท่เข้าประกวดความสวยความงามน้น





พวกน้ศีลบารมีเขาด เราอยากได้รูปร่างท่ด ก็ต้องต้งใจสร้างศีล-


บารมไป ศลบารมนน อย่างน้อยกทาให้เรามรปร่างสมประกอบ









มีสุขภาพด มีอายุม่นขวัญยืน อยู่ครบตามอายุขัยของคนแต่ละ

ยุค น่ศีลบารมีท้งน้น แค่ศีล ๕ ก็เป็นศีลบารม รักษาศีล ๕ ให้ได้



ตามกาลตามโอกาส นี่ศีลบารมี
เนกขัมมบำรมีให้โอกำสทำงกำรศึกษำ








เนกขัมมบารม กอย่างทพวกเราบาเพญเนกขมมปฏบต ิ



รักษาศีล ๘ ไม่เก่ยวข้องกับเร่องกาม เนกขัมมบารมีให้ผลทาง
ไหน? ให้ผลทางโอกาสการศึกษา ก็คนรุ่นราวคราวเดียวกันนี้

112
สาราสารกถา




บางคนจบ ป.๔ บางคนไม่ได้เรียนกับเขาหรอก ท้งๆ ท่มีโรงเรียน



อ่านหนังสือไม่ออก แสดงว่าเม่อชาติก่อนไม่ได้บวช การสร้าง
เนกขัมมบารมี คือ บวชพระบวชเณรบวชชีพราหมณ์ หรือไม่ได้



บวชชีพราหมณ์ ก็มารักษาอุโบสถศีล น่เนกขัมมบารม เรารักษา

กันบ้างหรือเปล่า ถ้ารักษากันแค่ในพรรษา ให้จบ ป.๔ เท่าน้น
ถ้ารักษาตลอดปี อาจจะจบมหาวิทยาลัย ถ้ารักษาตลอดชีพ

อาจจะจบดอกเตอร์ไปเลยก็ได้ มารักษากันน่ะ ชาติหน้าจะได้

มีโอกาสศึกษาสูงๆ กับเขา นี่เนกขัมมบารมี



ปัญญำบำรมีให้ควำมคิดควำมฉลำด


ปัญญาบารมี ให้ผลทางความคิดความฉลาด อย่าง

เด็กสุพรรณฯ อายุ ๕ ขวบ เขียนหนังสืออังกฤษได้ คิดเลขได้



เขียนหนังสือสวย ซ่งมีข่าวออกท้งทางหนังสือพิมพ์และวิทย ุ



ท้งน้ก็เพราะมันตามพ่ไปเท่าน้นแหละ มันจาได้มากกว่าพ่อีก




แสดงว่าความฉลาด หรือท่ภาษาปัจจุบันเรียกว่า ไอคิว สูงกว่า
เด็กในระดับเดียวกัน ความคิดของคนไม่เหมือนกันหรอก
อย่างสมัยโบราณ มีเรื่องเล่าว่า คนแก่หิวหมากจัดๆ แต่

เช่ยนหมากมันวางทเสาด้ง หิวจัดก็เลยเอามือคล่อมเสาด้งหยิบ




เช่ยนหมาก ดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก คิดไม่ออกว่าจะดึงออกได้

อย่างไร ต้องถามเด็กว่า ไอ้หนูเอ๊ย ยายจะเอาเช่ยนหมากออก


จากเสาด้งได้ยังไง เด็กก็คิด มันมีปัญญาบารมีมา มันก็บอก

113
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ให้ยายปล่อยแขนข้างหน่ง ก็เอาออกได้ น่เพียงคิดแค่จะปล่อย






แขนเสียข้างหน่ง เพ่อจะเอาเช่ยนหมากมากินน่ คิดไม่ออก
นี่คนไม่มีปัญญาบารมี น่าจะคิดได้ แต่คิดไม่ออก

และอีกคนหน่งน่งสานพ้อม สานพ้อมเขาทายังไง? สาน


พ้อมเขาต้องน่งข้างในน่งในพ้อมแล้วเขาก็สานเลย พ้อมมันก ็


สูงท่วมหัว สานเสร็จแล้ว ก็คิดว่าจะออกได้ยังไง เดินวนอยู่
ในพ้อมออกไม่ได้ คิดไม่ออกว่าจะออกจากพ้อมได้ยังไง น่คน

ไม่ได้สร้างปัญญาบารมีมา จึงถามเด็กท่เดินผ่านมาว่า ไอ้หน ู

เอ๊ย แกลองทายซิว่าข้าจะออกจากพ้อมน้ได้อย่างไร เด็กมันก ็


บอกว่า ลุงก็เอียงพ้อมออกมาซิ น่นแหละคิดได้ เอียงพ้อมออก
มาได้ มันคิดไม่ออกว่าจะออกได้ยังไง น่ปัญญาบารมี ต้องสร้างไว้


ไม่งนเด๋ยวไปจนความคดเอางายๆ จะแยเลย อายเดกมัน นแหละ








ความคิดมันแตกต่างกัน บางอย่างเราก็คิดได้
เหมือนกับแมว เวลาหน้าหนาว เราเอาผ้าไปปูให้มัน เอา

ผ้าไปวางให้มัน มันทาอย่างไร? มันคิดได้แค่ไหน? มันคิดได้แค่
ไปนอนทับผ้าเท่าน้นแหละ มันคิดห่มผ้าคิดไม่ออก ถ้ามันคิดออก


มันทาได้ไหม? เอาผ้ามาคลุมมันได้ไหม? ถ้ามันคิดออก มันก ็

เอาตีนเข่ยผ้ามาคลุมตัวมันได้ มันก็จะอุ่นท้งตัว มันคิดได้แค่

ว่ามีผ้าแล้ว ต้องทับผ้ามันถึงจะอุ่น มันคิดได้แค่น้น ทาไมมัน







คดได้แค่นนล่ะ กเพราะมนไม่ได้สร้างปัญญาบารมไว้ จงคดได้



แค่ไปนอนทับผ้า

114
สาราสารกถา





ลิงก็เหมือนกัน เวลามันทารัง มันจะเอาใบไม้มาทารังมัน



แล้วมามองจนมองไม่เห็นฟ้า เวลาฝนตกจริงๆ ลิงน่นน่งท่ไหน?




มันข้นไปน่งบนหลังคารัง มันคิดได้แค่น้น มันสร้างรังไว้จะกัน
ฝน เอาใบไม้มา มามุงเสียจนมองไม่เห็นฟ้า กะว่าตกมาคราวน ้ ี
ไม่ร่วล่ะ เวลาฝนตกจริงๆ ดันไปน่งบนหลังคา ทาไมมันเป็น




อย่างน้นล่ะ? ก็ปัญญาบารมีมันยังไม่พอ มันคิดได้แค่น้น น ี ่

ปัญญาบารมี


สวดมนต์ภำวนำเป็นกำรสร้ำงปัญญำบำรมี



ทาอย่างไรจึงเป็นปัญญาบารมี? ต้องสวดมนต์ สวดมนต์


ภาวนาน้สร้างปัญญาบารม ต้องสวดให้ทุกวัน ไปชาติหน้า หลังคา


ร่วฝนตก หลังคาบ้านดีๆ ข้นไปน่งบนหลังคาบ้าน อายเขาแย่เลย


ดังนั้น สวดมนต์ เจริญภาวนา ต้องท�าไว้ นี่สร้างปัญญาบารมี



วิริยบำรมีให้ควำมสะดวกในกำรเดินทำง




วรยบารม ให้ผลในทางให้ความสะดวก จะไปทางไหน


สะดวกไปหมด มีรถหวอนาหน้า หลีกกันเป็นแถว แต่พวกเรา



ไม่มีใครมานา บางทีข้นรถเมล์มันยังไม่รับเลย ทาไมเล่า ชาต ิ
ก่อนไม่ได้สร้างวิริยบารมีมา จะไปทาบุญสักทีก็ข้เกียจ ไกลหน่อย



ก็ไม่ไปแล้ว วิริยบารมีทาไว้ ต้องมีความมานะ มีความพยายาม

115
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





วิริยบารมี ให้ความสะดวกในการท่จะไปไหนมาไหน

อย่างในหลวงของเรา เวลาเสด็จไปไหนมีรถนาไป รถหลีกกัน



เป็นแถว ต้องถึงสถานท่น้นเวลาน้นพอดี วิริยบารมีท่านทาไว้

ท่านไม่ท้อแท้ ส่วนพวกเรา เขาชวนไปทอดกฐินไกลๆ บางทีไปนึก




ว่า ทาไมจะต้องไปทาไกลๆ มันก็ทานเหมือนกัน กฐนเหมอนกน

กทอดมนเสยท่วัดใกล้ๆ ก็ไดน่นา ก็ได้เหมอนกน แต่ได้ตอเดยว










คือได้ทานบารมี แต่ไม่ได้วิริยบารมี

เราไม่รู้บางทีก็บ่นกัน ทาไมต้องไปไกลๆ ต่างประเทศก ็
ไปทอดกัน อาตมาเคยไปทอดกฐินต่างประเทศกับเขามาแล้ว
อินเดียก็เคยไป ออสเตรเลียก็เคยไป มันถึงนึกถามว่า ไปมัน
ทาไม เมืองไทยไม่มีวัดหรือ น่เพ่อสร้างวิริยบารมี ไปท่ไหนเรา









กทอด ทอดทไหน เราไมรงเกยจหรอก แลวไปทอดซะ ไปทอดไกล


มันก็วิริยะมาก

สมัยก่อน เขาบอกว่า ใครไปไหว้พระพุทธบาท ๗ คร้ง ตายไป
ไม่ตกนรก ก็สมัยก่อนรถเรือไม่ค่อยมี จะไปแต่ละทีลาบาก ถ้า








ไม่พยายามจรงๆ ไม่ไดตงใจจรงๆ ไปไม่ถง ไปถงแสดงวาใจถึง

แล้วจึงไปได้ มันเพิ่มวิริยบารมีเข้าไปด้วย
ขันติบำรมีให้ควำมสะดวกในกำรประกอบอำชีพ
ขันติบารมี ตัวน้สาคัญ อย่าไปบ่นล�าบาก อย่าไปด่าใคร เวลา


เราไปดักรอรถเมล์ รถเมล์มันไม่รับ อย่าไปด่ามัน ต้องโทษตัวเอง

116
สาราสารกถา






ว่า เม่อชาติก่อนเราไม่ได้สร้างบารมีมา คันน้มามันจึงไม่รับ




ต้องโทษตัวเอง โทษคนอนไม่ได้หรอก ก็คนอนทาไมเขารับมา

เต็มคัน มาถึงเราคนเดียวมันไม่ยอมรับเสียแล้ว ขันติบารมีให้
ผลเรื่องความสะดวก ในการประกอบอาชีพ
คนท่มีขันติบารมี ไม่ต้องทามาหากินหลังขดหลังแข็ง








อย่างพวกเรา เขานงทางานในหองแอรทงวัน ไมต้องไปไหนหรอก


คอยน่งเซ็นหนังสืออย่างเดียว เงินเดือนเป็นหม่นเป็นแสน อยู่





ในห้องแอร์ท้งวัน น่นเขาบาเพ็ญขันติบารมีมา อย่างพวกเรา


ต้องทานาทาไร่ รับจ้าง อย่าไปท้อใจ มันเลือกไม่ได้แล้ว บารม ี



เราบาเพ็ญมาแค่น้ เม่อชาติก่อนเราคงทากินในห้องแอร์แล้ว


ไม่ได้ทาบุญ ประมาท เขาก็เลยไล่จากห้องแอร์ ให้มาต้งต้นใหม่


เราก็นึกว่าเม่อชาติก่อนเราขาดขันติบารมี ไม่ได้ใช้ขันติบารม ี
ทางานในห้องแอร์ ไม่ได้ขันติบารมี ไม่ต้องทนหนาว ไม่ต้องทน

ร้อน ไม่ต้องทนแดด ไม่ต้องทนฝน ไม่ต้องทนอะไรเลย แล้วไม่


ทาบุญต่อ มันก็ยังไม่ได้ต่อ มันก็ต้องไล่มา ต้งต้นใหม่ มาอดทน

กันใหม่ อย่างพวกเราน้ ถ้าไม่อดทนไปอีก ชาติหน้าย่งกว่าน้อีก


เพราะฉะน้น เวลาเราลาบากยากแค้นอะไร ก็ปลงเถอะ


ว่า เมื่อชาติก่อน เราขาดขันติบารมี เคยสบายมามากแล้ว ไม่

ได้ทาบญต่อเอาไว้ มันก็ต้องมาต้งต้นใหม่ ขันตบารมีให้ความ



สะดวกในการประกอบอาชีพ จ�าเอาไว้

117
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




สัจจบำรมีให้ยศ ให้อ�ำนำจ




สัจจบารมี ตัวน้ก็สาคัญ คือต้งใจจริง ต้งใจแล้วต้องทาให้ได้









อย่างต้งใจ เช่น ต้งใจจะบวชชีพราหมณ์น้ ต้งใจก่วัน? ต้งใจ


สามวัน ก็ต้องสามวัน ผิดไม่ได้ สัจจบารม ให้ผลทางอานาจ

วาสนา คนท่จะมียศ มีอ�านาจวาสนา ต้องมีสัจจบารมี ทาไม




เราไม่มีเล่า? เม่อชาติก่อน เราไม่ได้บาเพ็ญสัจจะ ทาอะไรไม่จริงจัง

อานาจวาสนาเราเลยไม่มี ไม่ได้เป็นนายพล ไม่ได้เป็นนายพัน

ไม่ได้เป็นเจ้าใหญ่นายโตกะเขา
เพราะฉะน้น อย่าไปโทษใคร เราขาดสัจจบารมี ดังน้น











ชาตนตองสรางสจจบารม ทาอะไรตองตงใจกอน แลวทาใหจรง







นี่สัจจบารมี ให้ผลทางยศ ให้ผลทางอ�านาจวาสนา
อธิษฐำนบำรมี ให้ควำมมั่นคง

อธิษฐานบารม ก็คือความม่นคง ทาอะไรก็ตลอดไป ไม่


ต้องมาเปลี่ยนบ่อย ไม่ต้องมาเปลี่ยนนาเป็นนากุ้ง เป็นนาแห้ว
หรือเป็นอะไร จับอะไรมันเจริญไปเลย น่อธิษฐานบารมี การ

รักษาสัจจะ นั่นคืออธิษฐานบารมี

118
สาราสารกถา




เมตตำบำรมีให้สภำพแวดล้อมที่ดี



เมตตาบารมี คือแผ่เมตตาน้แหละ พยายามอย่าไปโกรธ




ใคร ใครมาย่วให้เราโกรธก็ต้องนึกว่า ทาไมมันมาย่วให้เราโกรธ
ทาไมมันด่าเรา มันมาด่าเรา เราโกรธไหม? โกรธใช่ไหม? คน




โกรธนั้นถูกด่าเร่อย แล้วทาไมมันมาด่าเรา? ทาไมไม่ไปด่าคน


โน้นบ้าง? ก็คนต้งเยอะแยะ ทาไมเจาะจงมาด่าเรา? แสดงว่า
เราขาดเมตตาบารมี ถ้าเราโกรธล่ะก็ถูกด่าทุกชาติแหละ ย่ง

โกรธมากยงถูกด่ามาก เขาจึงบอกว่า คนมเมตตาบารมมากๆ นั้น





แม้ใครจะพูดอะไรให้ฟัง ก็เลือกเอาคาพูดดีๆ มาให้ฟัง อย่าง

ในหลวง ใครจะพูดกับท่าน ก็ต้องเลือกเอาคาพูดดีๆ มาให้ฟัง
ใครไปพูดว่าไม่ดี จะถูกจับติดคุกหมด ท่านไม่ได้บอกให้จับ แต่
เจ้าหน้าท่ไปจับ ท้งน้ก็เพราะเมตตาบารมีท่าน ต้องหาคาดีๆ




ไปพูดกับท่าน จึงจะเป็นมงคล พูดไม่ดี ไม่เป็นมงคล ฟ้าดินมัน

ลงโทษ เห็นไหม? อย่าไปโทษคนอ่นน่ะ เขามาพูดไม่ดีให้เราฟัง
อย่าไปโทษคนอ่น โทษตัวเองว่า เม่อชาติก่อน เราคงขาดเมตตา


จึงได้พบได้เห็น ได้ยินแต่เสียงท่มันชวนให้โกรธ ชวนให้อารมณ์



เสียอยู่เร่อย น่เมตตาบารมี ถ้าเรามีล่ะ มันจะอยู่ในสภาพ
แวดล้อมที่ดีหมด สบายใจ

119
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




อุเบกขำบำรมีให้กำรตัดสินใจที่ถูกต้อง



อุเบกขา อุเบกขาบารมีทาอย่างไร? มันต้องเฉยก่อน ไม่เฉย


มันท�าอะไรไม่ถูกคนท่ทาผิดน่ะ ก็เพราะมันไม่เฉยนะซิ ใครมาย ุ


ให้โกรธ ก็ปึงปังสวนไปทันท น่ขาดอุเบกขา ไม่ได้คิดแก้ ไม่ได้คิด



พิจารณา ผลท่สุดก็ตัดสินใจผิด ดังน้น มีอะไรมากระทบต้อง
อุเบกขาก่อน คือนึกว่าจะแก้อย่างไรดี? ถึงแก้ได้ น่อุเบกขาบารม ี



ต้องเฉยก่อน โบราณเขาถึงบอกให้นับ ๑-๑๐ น่นแหละ เพ่อให้
เป็นอุเบกขาบารมี เพราะมีอุเบกขาบารมีแล้ว เราตัดสินอะไรได้

ไม่มีผิด ได้ผลทางบวกท้งนั้น น่อานิสงส์ของอุเบกขาบารมี แล้ว


ก็ไปสร้างกันให้มากๆ




เข้ำใจเรื่องบำรมี ท�ำให้รับสภำพควำมเป็นจริงได้





มันดีอยู่อย่างว่า เม่อเรารู้เร่องบารมีแล้ว เร่องท่เราจะ


ไปโทษคนอ่นไม่มี มีแต่โทษตัวเอง แล้วก็แก้ไขท่ตัวเอง แล้ว

เราก็ดีข้นไปเร่อยๆ บารมี ๑๐ ทัศน้ โยมสร้างไว้ อย่างท่โยม






เข้ามาบวชกันน้ บารมีท่เป็นตัวนาในการบวชชีพราหมณ์น้น ก็


คือเนกขัมมบารมี เพราะเราต้องออกจากบ้านมาอยู่วัดกัน มา
รักษาศีล ๘ นี่เป็นเนกขัมมบารมี แล้วก็มาให้ทาน มาสวดมนต์



มาภาวนา บารมีสิบอย่างมันครบหมดน่นแหละ ท่เราทากันน้ ี
เราไปพิจารณาดูเถอะ

120
สาราสารกถา




ทีน้มีปัญหาว่า เราจะเอาบารมีตัวไหนนา มันเหมือน


อย่างกับว่าพระเจ้าสิบชาติ เกิดมาแต่ละชาติๆ ชาติน้เอาบารมีน ้ ี



นา ชาติน้นเอาบารมีโน้นนา อย่างเราก็เหมือนกัน อย่างไหนเป็น





ตัวนา? บางคร้งเราเอาศีลเป็นตัวนา เอาอย่างอ่นเป็นตัวตาม
บางคร้งเอาเนกขัมมะเป็นตัวนา เอาอย่างอ่นเป็นตัวตาม แต่




มันก็ต้องครบท้งหมด แต่เราจะรู้ว่าครบหรือไม่ครบ เราก็ต้อง
รู้บารมีของเรา บารมีมีอะไรบ้าง? มีทาน เราต้องนึกว่า อันไหน
เป็นทาน ท่เราท�ากันทุกวันน้น อันไหนเป็นทาน อันไหนเป็นศีล


อันไหนเป็นเนกขัมมะ อันไหนเป็นปัญญา อันไหนเป็นวิริยะ
อันไหนเป็นขันติ อันไหนเป็นสัจจะ อันไหนเป็นอธิษฐาน อันไหน


เป็นเมตตา อันไหนเป็นอุเบกขา แล้วเราก็จะปล้มใจ เราสะสม
ไปทีละน้อยๆ ก็คือความดีนั่นเอง


ความดีที่เราสะสมไว้ๆ สะสมไวเรื่อยๆ จนมันมาก พอที่

จะสาเร็จประโยชน์ได้ เราเรียกว่า บารมี เหมือนเราเก็บสตางค์






ไว้วนละบาท ปีหนงกได้ ๓๖๕ บาท กพอจะซ้อเสอซอผ้าได้






ใช่ไหม? น่แหละบารมี เราสะสมไว้มากๆ มันให้สาเร็จประโยชน์


อย่างน้ เหมือนเราสะสมทรพย์สินเงินทองแต่ละอย่างๆ มัน



ก็เหมือนกัน พอมันได้กาลังท่จะให้ผลเต็มท่ มันก็ให้ผลเลย





กหวงว่า ทพดมาเกยวกบเรองสร้างบารมน โยมคงจะเข้าใจ








แล้วก็ไปเลือกสรร ประพฤติ ปฏิบัติกันตามกาล ตามโอกาส

121
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






ก็ขอให้ญาติโยมเช่อว่า หน้าท่ของเราก็คือสร้างบารม ี
ไม่ใช่สร้างอิทธิพล เพราะเราเป็นชาวพุทธ เป็นสาธุชน ก็ขอ

ให้คติไว้ เพราะคนมันมีเหมือนกัน โลกมีดีมีช่วเป็นของคู่กัน ม ี

พระมีมารเป็นของคู่กัน คนของพระเป็นสาธุชน หน้าท่เราต้อง










ทาอะไร? เราตรวจดตวเราเองวา เราเปนสาธชน สาธชนมหนาท ่ ี
สร้างอะไร? สร้างบารมี คนช่วเขาก็มีหน้าท่ของเขา พวกมาร



ก็มีหน้าท่ของเขา เขาสร้างอะไร? เขาสร้างอิทธิพล เขาจึงว่า


คนช่วสร้างอิทธิพล สาธุชนสร้างบารม มันก็ต้องชนะกัน
อย่างน้ ต้องเอาบารมีชนะ ไม่ได้เอาอิทธิพลชนะ แล้วมันชนะ

กันได้ คนช่วสร้างอิทธิพล สาธุชนสร้างบารมี เราเป็นสาธุชน

พยายามสร้างบารมีไว้ อย่าไปสร้างอิทธิพล สร้างอิทธิพลก็คือ

สร้างความช่ว ทาให้คนกลัว ทาให้คนเกลียด คนมันเกลียดและ


กลัวพวกมีอิทธิพล แล้วหนักเข้าๆ อิทธิพลไม่แข็งพอ สู้พวก
บารมีไม่ได้

พวกบารมีน้คนรักและเกรงใจ เราทาให้มากๆ คนท่เรารัก


คนท่เราเกรงใจเขาเพราะเขามีบารมี บางคนอยู่ต่อหน้าเรากลัว


แต่อยู่ข้างหลังเราเกลียด พวกน้มีอิทธิพล พวกนักเลง ใช่ไหม?

มีเยอะแยะไป เราอย่าไปว่าเขา เราเป็นสาธุชน ก็พยายามต้งใจ





มโอกาสทจะสรางบารมอะไรได สรางไป อยางนอยๆ เราสราง





ได้สามอย่างเป็นประจาวันใช่ไหม? เราสร้างทานบารมีได้ สร้าง

ได้ทุกวัน ศีลบารมีก็สร้างได้ทุกวัน ปัญญาบารมีเราสร้างได้

122
สาราสารกถา










ทุกวัน ทาน-ศล-ภาวนา น้เป็นบารมหลกทเราต้องทาเราต้อง

สร้าง อย่างอื่นก็เป็นผลพลอยตาม

ทาน-ศีล-ภาวนา พยายามต้งใจทาให้ได้ทุกวัน เพราะมัน



จะให้ผล เราทาได้สามอย่างน้น่ะ มันจะให้ผลเป็นความสุขแก่
เราทุกภพ ทุกชาติ เพราะอะไร? เพราะเราจะเกิดในชาติไหน
ภพไหนก็ตาม ถ้าเรามีสมบัติท้ง ๓ อย่างน้ เราสบาย มีอะไร


บ้าง? มีทรัพย์สมบัติ มีกินมีใช้ มีรูปสมบัติ มีรูปร่างสมประกอบ

มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย น่มีรูปสมบัติ มีคุณสมบัติ มีสติปัญญา ม ี
ความคด มจตใจทปลอดโปร่งแจ่มใส เรากสบายแล้ว เอาสาม






อย่างนี้ทุกภพทุกชาติ ให้ได้ทรัพย์สมบัติ ให้ได้รูปสมบัติ ให้ได้
คุณสมบัติ
พอมันเต็มเพียบเข้าแล้วไป มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัต ิ

นิพพานสมบัติ ถึงนิพพานสมบัติแล้ว ก็สบายสมบูรณ์ท่สุดแล้ว


ถ้ามันยังไม่สมบูรณ์ท่สุด ให้ได้สมบัติ ๓ อย่างนี้ แล้วเราจะสุข
สบายตามสมควรแก่อัตภาพ ในชาตินั้นๆ แม้จะไม่พ้นเกิด พ้น

แก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย แต่ก็พอมีความสุขในช่วงท่มีชีวิตอยู่ ต้อง

ให้บารมีมันเต็มเปี่ยมเต็มท่ จึงจะพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย บรรล ุ

พระนพพาน อาตมาได้พูดคุยกับญาติโยมเรองการสร้างบารม ี



ก็คิดว่าพอสมควรแก่เวลา



ท้ายท่สุดน ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย อันเป็นหลักชัย


ทางพระพุทธศาสนาและบารมีธรรม ทุกส่งทุกประการท่ญาติโยม

123
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




สาธุชนทุกท่านได้ร่วมกันบาเพ็ญในโอกาสน้ จงมารวมกันเป็น



พลวปัจจัย ให้ญาติโยมสาธุชนทุกท่าน จงประสบแต่สรรพส่ง
อันเป็นมงคล จงทุกสิ่งทุกประการเทอญ.

ความเมตตาท�าให้อ่อนโยน

ความอดทนท�าให้แข็งแกร่ง

ใช้โอกำสให้เป็น









ท่านเจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะพระสังฆาธิการ ท่าน

สหธรรมิกที่เป็นพระนวกะและสามเณรทุกรูป
















วนนเปนวนทเจาคณะอาเภอศรประจนต คอทานพระคร- ู
ศรีประจันตคณารักษ์ ได้กาหนดนัดให้แต่ละวัดพาพระ-เณร





มาร่วมประชุมอบรม ซ่งเป็นกิจกรรมประจาปีท่ทามาโดยตลอด


โดยความมุ่งหมายก็เพ่อท่จะให้พระนวกะและสามเณรทุกรูป

ที่เข้ามาบวชกันได้รู้จักมักคุ้นกับครูบาอาจารย์สานักต่างๆ รู้จัก

มักคุ้นกับเพ่อนสหธรรมิกท่บวชร่วมกันในอาเภอศรีประจันต์ และ






เพ่อช้นาแนวทางการประพฤติปฏิบัติสาหรับพวกเราจะได้นาไปใช้



ให้เกิดประโยชน์ โดยสมควรแก่โอกาส ในการช้นาน้นก็ได้อาราธนา


ครูบาอาจารย์ท่มีความรู้ความชานาญในการปฏิบัติธรรม และ

เชิญท่านผู้ทรงคุณวุฒิด้านอื่นๆ มาชี้น�าพวกเราอีกวาระหนึ่ง

* ปฐมนิเทศ อบรมพระนวกะ ท่วัดดอนบุปผาราม อ.ศรีประจันต์ จังหวัด
สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘

126
สาราสารกถา




ในการประชุมคร้งน้ พวกเราท่เป็นองค์ประชุม ท่จะได้







รับการช้นาในวันน้ ก็จะต้องทาจิตทาใจให้มันกว้างเข้าไว้ เพ่อ



ท่จะได้ซึมซับข้อคิด-ความรู้ต่างๆ จากวิทยากรได้มากๆ เพราะ




ข้อคิดและความรู้ท่จะเข้าไปถึงใจเราน้น มันอยู่ท่ว่า เราเปิดใจ
ให้กว้าง และความรู้ท้งหลายท้งปวงมันจะเข้าไปอยู่ในใจของ







เราได้มาก ขอให้พวกเราคิดว่า ใจกว้างนนเป็นเร่องท่ด เพราะ


โดยสภาพของมัน ทาให้เรามีความปลอดโปร่ง ซ่งตรงกันข้าม
กับใจแคบ ใจแคบท�าให้เราอึดอัด และท�าให้เราไม่สามารถรับ
อะไรดีๆ จากใครได้ เพราะใจมันแคบ เพราะฉะน้น ต้องทาใจกว้าง



เข้าไว้ ให้ถือคติว่า ใจกว้างอยู่ในท่แคบก็ปลอดโปร่ง ตรงกันข้าม

ถ้าใจแคบแม้อยู่ในท่กว้างก็อึดอัด เราชอบความปลอดโปร่ง




มากกว่าความอึดอัด ส่งท่เราจะได้ก็คือทาใจให้กว้าง อันน้เป็น
หลักส�าคัญ


สาหรับข้อช้แนะช้นาท่ผมจะถวายกับทุกท่านในวันน ก็อยาก






จะถวายข้อคิดง่ายๆ เพ่อให้เรานาเอาไปใช้กัน น่นก็คือข้อคิด






เก่ยวกับเร่องใช้โอกาส อันน้ถือว่าเป็นหลักสาคัญท่สุดสาหรับเรา


ทุกคน เพราะชีวิตเราแต่ละคนๆ ท่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตที่




ผ่านมาของเรา ก็มีท้งความสาเร็จ และก็มีท้งความล้มเหลว ชีวิต


เราผ่านมาถึงวันน้ มันก็ผ่านสองอย่างน้มาแล้วท้งน้น คือความ


สาเร็จเราก็เคยผ่านมา ความล้มเหลวเรากเคยผ่านมา ปัญหา





ท่เราต้องช่งใจกันดู ก็คือช่งใจว่า ท่ผ่านมาน้นชีวิตเราได้รับ



127
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





ความสาเร็จมากกว่าความล้มเหลว หรือได้รับความล้มเหลว
มากกว่าได้รับความสาเร็จ ถ้าเราวิเคราะห์ก็จะเห็นได้ว่า ความ












สาเรจและความล้มเหลวทเราได้รบตลอดชวตทผ่านมานน มน







อย่ทการใช้โอกาสของพวกเราแต่ละคน ชวตท่ประสบความ


สาเร็จ มันก็เกิดจากการท่เรารู้จักใช้โอกาส ใช้โอกาสเป็น ใช้
โอกาสถูกต้อง ชีวิตเราก็ประสบความสาเร็จ ใช้โอกาสไม่เป็น-

ไม่ถูกต้อง หรือใช้โอกาสผิด ชีวิตเราก็ประสบความล้มเหลว


เร่องมันมีอยู่แค่น้ มันอยู่ท่การใช้โอกาสเท่าน้นเอง ทีน้จึงม ี





ปัญหาว่า ในความต้องการของเราสาหรับชีวิตน้ เราต้องการ
อะไร? ก็ต้องการความส�าเร็จด้วยกันทั้งนั้น ทีนี้เราก็จะได้รู้กัน



ว่า ส่งท่เราต้องการน้ มันสาเร็จไม่ได้ แม้เราจะปรารถนา เราจะ

ต้องการ ถ้าเราใช้โอกาสไม่เป็น
เร่องน้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบรม-


ศาสดาจารย์ของพวกเรา ก็มีความห่วงใยมาก ไม่อยากให้ชีวิต
ของเราแต่ละคนๆ มีความล้มเหลว ล้มแล้วล้มอีกๆ ตลอดชีวิต
หาความสาเร็จไม่ได้ พระพุทธเจ้าห่วงใยอย่างน้ จึงได้ตรัสเก่ยว





กับเร่องของการรู้จักใช้โอกาสไว้ในท่หลายแห่ง ในคาสอนของ


พระองค์ ท่ผมจะยกมาถวายพวกท่านในวันน้ และให้ท่านท่อง-

ท่านจากันไว้ จะได้เป็นเคร่องเตือนตนเอง เป็นพระดารัสของ



พระพุทธองค์ เกี่ยวกับเรื่องโอกาส

128
สาราสารกถา





ข้อหน่ง พระองค์ตรัสว่า ขโณ โว มา อุปจฺจคา จาได้





จาไม่ได้ก็ต้องจาให้ได้ บวชคร้งหน่งจาพุทธภาษิต จาพระดารัส



ของพระพุทธองค์ท่ตรัสสอน ตรัสเตือนพวกเราเป็นการเฉพาะ

ได้สักบทสองบท ท่จะเป็นคติเอาไปใช้ได้ ก็นับว่าได้ประโยชน์


มหาศาลแล้ว ท่านจาเอาไว้ พระพุทธองค์ตรัสว่า ขโณ โว มา


อุปจฺจคา จาได้ไหม? ขโณ โว มา อุปจฺจคา พยายามจาให้ได้
แปลกันอย่างง่ายๆ ก็ว่า อย่าปล่อยให้โอกาสล่วงไปเปล่าๆ

เพราะโอกาสน้ถ้าเราปล่อย มันจะล่วงไปเปล่าๆ มันล่วงไปทุกวัน
ใช่ไหม? ประโยชน์สุขที่เราจะได้รับ หรือทุกข์โทษที่เราจะได้รับ
มันก็ได้จากการล่วงไปของโอกาส ถ้าเรารู้จักใช้โอกาส เราก็จะ

ได้รับประโยชน์สุข ถ้าเราไม่รู้จักใช้โอกาส เราก็จะไม่ได้อะไรเลย
ย่งถ้าเราใช้โอกาสผิดไป เราก็จะได้รับทุกข์รับโทษ เป็นตัวตอบ

สนองของมันอีก


เพราะฉะน้น พระพุทธองค์จึงทรงห่วงพวกเรามากเก่ยวกับ

เรองการใช้โอกาส "ขโณ โว มา อปจจคา : อย่าปล่อยโอกาสให้







ล่วงไปเปล่าๆ" เพราะเราเกิดมาก็ผ่านวันผ่านคืน อนวนคืน กคือ
โอกาสท่มันจะล่วงผ่านชีวิตเราไป แล้วมันก็จะดึงประโยชน์ต่างๆ

ผ่านไปด้วย ถ้าเราไม่รู้จักใช้โอกาส แล้วก็ตรัสต่อไปอีกว่า ขณาตีตา
หิ โสจนฺติ นิรยมฺห สมปฺปิตา : ผู้ปล่อยให้โอกาสล่วงไปเปล่าๆ

จะจมปลักอยู่ในความเส่อมโทรมสถานเดียว หาความภาคภูมิใจ

อะไรไม่ได้เลย ผ้ปล่อยให้โอกาสล่วงไป ชวตก็จะจมปลักใน




129
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





ความเส่อมสถานเดียว จะหาความภูมิใจในตัวเองไม่ได้เลย
พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างนี้


และโดยเฉพาะในหลักท่พระพุทธองค์สอนให้พวกเรา
ซ่งเป็นนักบวชต้องพิจารณา พิจารณาทุกวินาท เราต้องพิจารณา


ทุกวินาทีด้วย ท่านใช้ศัพท์ว่า อภิณหังๆ ก็คือทุกวินาทีต้องพิจารณา




เก่ยวกับเร่องโอกาส พระพุทธเจ้าทรงให้ความสาคัญเก่ยวกับ
เร่องโอกาสน้มากท่สุด ในหลักอภิณหปัจจเวกขณะ ท่ทรงเตือนให้









พวกเราพจารณาทุกวนาทน้น กบอกว่า กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา
วีติปตนฺติ : วันคืนล่วงไปๆ เราได้อะไรกันบ้าง เราเป็นอะไร
กันบ้าง เราได้เป็นอะไรกันตามท่เราปรารถนาต้องการหรือยัง?




การจะได้อะไร-การจะเป็นอะไร มันก็ข้นกับโอกาสท้งน้น ถ้า
ไม่มีโอกาสก็ไม่มีการได้-การเสีย ไม่มีโอกาสก็ไม่มีการมี-การเป็น
นี้เป็นหลักที่ส�าคัญที่สุดที่ผมอยากจะถวายไว้
ใช้โอกำสผิด ชีวิตจะล้มเหลว


และก็อยากจะถวายให้จ�าไว้เป็นคติเตือนใจไว้เลย เราจ�า



พุทธดารัสหรือพุทธภาษิตไม่ได้ ก็จาเป็นภาษาของเราง่ายๆ เอาไว้



เป็นเคร่องเตือนตัวเราเอง จาไว้ง่ายๆ ว่า ใช้โอกาสผด ชวตจะ


ล้มเหลว แค่นี้จ�าได้ไหม? จ�าพุทธภาษิตตามที่ผมยกมา มันจ�ายาก
จาเพียงแค่ว่า ถ้าใช้โอกาสผิด ชีวิตจะล้มเหลว เพียงแค่น้ แล้ว



ไปท่องไว้ ท่องแล้วก็ดูโอกาสท่มันมาหาเรา ในแต่ละขณะแต่ละ

130
สาราสารกถา




นาทีน้น เรานึกว่าแต่ละขณะแต่ละนาทีท่มีโอกาสมาถึงเรา เรา


จะได้อะไร เราจะเป็นอะไร ให้จ�าไว้เพียงเท่านี้

คราวน้เราต้องนึกถึงชีวิตของเราท่ผ่านมา ผมอยากจะต้ง







ประเด็นถามว่า พวกเราท่มาน่งประชุมอยู่ในท่น สาเร็จการศึกษากัน




ได้ข้นไหน ใครได้ปริญญาตรีกันบ้าง ยกมือข้นซิ? ท่จบปริญญาตร ี



มา ปรญญาโท ปรญญาเอก ปวช. มไหม? ปวส., ม. ๖, ม. ๓,

ป. ๖ ใครจบ ป. ๖ บ้าง เอาล่ะ พอ!
แค่ ป. ๖ ส่วนใหญ่จบ ป. ๔ สมัยก่อนภาคบังคับ ที่ส�าเร็จ

ป. ๔, ป. ๖ ไม่ใช่สาเร็จจากการใช้โอกาสของเรา แต่เป็นการสาเร็จ







เพราะถกบังคบ เพราะ ป. ๔, ป. ๖ เปนการศกษาภาคบงคบ การ

ศึกษาจากช้นประถมไปแล้ว ไม่เป็นภาคบังคับ มันเป็นภาคท่คน



รู้จักใช้โอกาสจึงจะสาเร็จได้ เพราะฉะน้น เราก็เห็นได้แล้วว่า
ท่ผ่านมาชีวิตเราไม่ประสบผลสาเร็จในด้านการศึกษา ก็เพราะ


เราใช้โอกาสมันผิดไป ไม่ใช่ข้นอยู่กับฐานะ แม้ว่าเราจะมีฐานะ

ยากจนข้นแค้นอย่างไร ระดับพวกเราๆ น้ ไม่ใช่อยู่ในลักษณะ

ที่ด้อยภูมิปัญญาที่จะได้รับการศึกษาได้ แม้จะด้อยฐานะก็ตาม
แต่ถ้าเรารู้จักใช้โอกาสให้มันถูก ใช้โอกาสให้มันเป็น


ก็เช่อว่าการศึกษาของเราจะดีกว่าน้ จะมากกว่าน้ เพราะเรา

ใช้โอกาสไม่เป็น ชีวิตมันจึงพลาดมา พลาดมาจนถึงทุกวันน ี ้
ในระบบการศึกษาของเรา เราจะนึกถึงสภาพแวดล้อม ฐานะ
ไม่สามารถจะศึกษาเล่าเรียนต่อได้ ท่านต้องนึกถึงหลักความจริง

131
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




อย่างหน่งว่า แม้ว่าเราจะอยู่ในฐานะยากจน อยู่ในชนบทท ี ่


มีระบบการศึกษาภาคบังคับไปถึงน้ ถ้าเราเรียนดีเรียนเก่ง ก ็


หมายความว่า ใช้โอกาสเพ่อการเรียนจริงๆ น้ เราเรียนดีเรียนเก่ง
ในสังคมเรามีคนพร้อมที่จะสนับสนุนส่งเสริม ใช้ความดี-ความ
เก่งของเราเพ่อการศึกษาสูงๆ ย่งข้นไป เขามีพร้อม หรือเรา




ไม่มีทางอ่น เราออก ป. ๔ มา เราอยากจะใช้โอกาสทางการ
ศึกษา ให้มันเหมาะกับวัยของเรา เราก็มาบวชเณร หาโอกาส


ศึกษาทางน้ มันก็ไปได้ถึงดอกเตอร์ อย่างพระมหาไพเราะ

โอกาสเม่อเป็นฆราวาสมันพลาดไปด้วยสภาพใดก็ตามเถอะ
แต่เม่อเข้ามาบวชเป็นพระแล้ว ก็ยังใช้โอกาสเพ่อการศึกษามา


เร่อยๆ จนขณะน้พระมหาไพเราะ ได้รับการศึกษาจบปริญญาเอก



ได้รับคานาหน้าว่า ดอกเตอร์ ท่เราได้ยินกันน้ น่ก็เป็นอุทาหรณ์










ของการใช้โอกาสท่ถก ใช้โอกาสเป็น น่ว่าถงเรองของการใช้
โอกาส
กรำฟชีวิต


ผมจะว่าถึงหลักสากลโดยท่วๆ ไป ก่อนท่จะมาพูดถึงพวก
เราโดยเฉพาะ โดยหลักสากลท่วๆ ไป ชีวิตเราแต่ละคนท่เกิดมา




ผ่านข้นตอนของชีวิต ข้นตอนของชีวิตแต่ละคนน้น แบ่งเป็น ๓

ขั้นตอน ที่เราเรียกกันว่า วัย

132
สาราสารกถา




ขั้นตอนที่หนึ่ง เรียกว่า ปฐมวัย ตั้งแต่เกิดถึง ๒๕ ปี




ข้นตอนท่สอง เรียกว่า มัชฌิมวัย ต้งแต่ ๒๖ ถึง ๕๐ ปี
ข้นตอนท่สาม เรียกว่า ปัจฉิมวัย ต้งแต่ ๕๐ ปีไปจนตาย




น่คือข้นตอนของชีวิต ชีวิตเราต้องผ่านข้นตอนท่เรียกว่า




วัย น่ อย่างน้อยคนละ ๓ ข้นตอน ถ้าเราอยู่ตามเกณฑ์อายุขัย



ถัวเฉล่ย ในเม่อข้นตอนของชีวิตเรามี ๓ ข้นตอนอย่างน้ เรา



ก็จะต้องมาเขียนกราฟชีวิตของเรา เพราะว่าข้นตอนของชีวิต

ต้องผ่านกาลเวลา การผ่านเวลาน่นก็คือโอกาสท่เราจะใช้ชีวิต


แต่ละขั้นตอนให้มันถูกต้องอย่างไร
ผมจะถวายเป็นหลักสากลว่า ข้นตอนของชีวิตแต่ละ





ข้นตอนๆ ท่เราจะต้องนามาสวมกับโอกาสท่มันผ่านมา ทาให้


ชีวิตเรามีข้นตอน เราก็ต้งหลักของงานทเราจะต้องทาให้มัน




ถูกกับข้นตอนของชีวิตไว้ ๓ ประการ คือให้มันเข้ากับข้นตอน


ท่านต้องจาไว้ และปัจจบนท่านจะได้รู้ว่า ท่านอย่ในขนตอน







ชีวิตตรงไหน และจะใช้โอกาสอย่างไรมันจึงจะเหมาะกับข้นตอน
ชีวิตตรงนั้น
ขั้นตอนของช่วงชีวิตที่เราจะต้องทุ่มเทให้โอกาส ส�าหรับ
เราจะใช้เพื่อความส�าเร็จของชีวิตเรา
ขั้นตอนที่ ๑ แสวงหาวิชาการ
ขั้นตอนที่ ๒ สร้างหลักฐานครอบครัว
ขั้นตอนที่ ๓ เตรียมตัวลาโลก

133
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




แบ่งไว้เลย พวกเราทุกคนแบ่งไว้ได้ น่เป็นหลักสากลท ่ ี


จะเป็นเคร่องวัดว่า ใครใช้โอกาสผิด ใครใช้โอกาสถูก ใครใช้
โอกาสเป็นหรือไม่เป็นอย่างไร ก็หมายถึงว่า การใช้โอกาสให้






มันถูกกับข้นตอนของชีวิต ข้นตอนท ๑ โอกาสท่เราจะต้องใช้
ให้มาก ถ้าเราแบ่งส่วนของชีวิต แบ่งโอกาสออกเป็น ๑๐๐ หรือ
แบ่งงานออกเป็น ๑๐๐ ส่วน ในปฐมวัยเรากจะต้องใช้โอกาส

เพ่อการศึกษาวิชาการ อย่างน้อยๆ ๖๐ % เราจะต้องทุ่ม เพราะ


เร่องท่มันเก่ยวพันเก่ยวกับชีวิตของเรา มันก็มีอยู่ ๓ เร่องน ี ้








เท่าน้น ท่เป็นหลักสาคัญในการท่เราจะนามาทาเป็นกราฟได้


คือ การแสวงหาวิชาการ สร้างหลักฐานครอบครัว เตรียม

ตัวลาโลก ใครใช้โอกาสให้มันถูกอย่างน้ ชีวิตจะประสบความ

สมหวังทุกคน ในปฐมวัยเราใช้เพ่อแสวงหาวิชาการ ๖๐ %



ช่วยครอบครว ๑๕ % ช่วยเหลอสงคม ๑๕ % สบายๆ ปลอย

ให้มันไร้สาระไป ๑๐ % มันก็จะเต็ม ๑๐๐ แสวงหาวิชาการ

สร้างหลักฐานครอบครัว วัยท่สอง เราก็สลับออกไป


อย่างน้ เพราะเข้าวัยท่สอง เราก็ทุ่มให้กับการสร้างครอบครัว

๖๐ % เพ่อการศึกษา ๑๕ % ช่วยเหลือสังคม ๑๕ % สบายๆ
๑๐ %



พอเข้าข้นตอนท ๓ เตรียมตัวลาโลก การเตรียมตัวลาโลก
คือการพยายามใช้ชีวิตท่เหลือน้ให้มันเป็นประโยชน์ต่อสังคม





มากทสด เพราะเรองสวนตวของเราสาเรจแลว เรองครอบครวเรา













สาเร็จแล้ว เมื่อสาเร็จแล้ว เราเข้าข้นตอนท ๓ ของชีวิตน้ เราก็ต้อง




134
สาราสารกถา






พยายามใช้ชีวิตช่วงน้ให้แก่สังคมมากท่สุดในการเตรียมตัวลาโลก

เราทาประโยชน์ให้แก่สังคมมากมายแค่ไหน เวลาเราลาโลก ท้ง


โลกก็จะนึกถึงเรา อาลัยเรา เหมือนอย่างสมเด็จย่าท่สวรรคตไป
พระองค์บ�าเพ็ญพระราชกรณียกิจในช่วงบั้นปลายของชีวิตเต็ม


แผ่นดิน ทาประโยชน์ให้แก่สังคม เม่อพระองค์สวรรคตไปแล้ว



เป็นอย่างไร คนท้งแผ่นดินก็หล่งไหลไปกราบ ไปสักการะพระบรม-
ศพของพระองค์ท่าน แล้วเอาเงินเอาทองไปถวายบูชาพระบรมศพ
ถึงวันนี้ได้ ๑๒ ล้านกว่าบาทแล้ว

พวกเราก็เหมือนกัน พยายามเอาแนวคิดเหมือนท่ผมเรียน


ถวายน้ เอาไปใช้กัน ถ้าเราอยู่ในช่วงปลายของชีวิต ใช้ชีวิตเพ่อ


สังคมให้มันมากท่สุด ๖๐ % ถ้ามีครอบครัว ช่วยเหลือครอบครัวไป


๑๕ % ศกษา ๑๕ % สบายๆ ๑๐ % แลวกจะครบ ๑๐๐ เรยกวา





ชีวิตมันจะถึงจุดท่สมบูรณ์ ถ้าเราต้งกราฟให้มันเป็น ต้งเกณฑ์


ให้มันเป็น ถ้าเราไม่รู้จักต้งกราฟ ไม่รู้จักต้งเกณฑ์ ชีวิตตลอด











ชวตจะหาความสมบรณไมได คอมนไมมอะไรทเตม ๑๐๐ เลย









มันต้องรู้จักแบ่งอย่างน น่ว่าโดยหลักสากลท่วๆ ไป เก่ยวกับเร่อง
การจัดสรรโอกาส
อยู่อย่ำงหนอนหรืออยู่อย่ำงพระ


สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ท่านตรัสไว้ ซ่งเป็นเร่อง


ท่พวกเราผู้เป็นพระทุกระดับควรจะนามาคิด ท่านตรัสไว้ว่า

135
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)














พระทไม่ร้จกคดทางาน มนกไม่ต่างอะไรกบหนอนทอย่ใน


ส้วม เพราะหนอนท่อยู่ในส้วมไม่ต้องคิดทาอะไรเลย ถึงเวลา


เช้าเวลาเย็น ก็มีคนเอาอาจมมาถ่ายให้กิน เป็นอย่างไร เรา
มองตัวอย่างไร เราจะอยู่อย่างหนอนหรืออยู่อย่างพระ ถ้าอยู่

อย่างหนอน ก็แค่บิณฑบาตมากินแล้วก็นอน ไม่ต้องทาวัตร-
สวดมนต์ ไม่ต้องศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องช่วยกันดูแลวัดวาอาราม

พอถึงเวลาเช้าก็มีคนมาถ่ายให้เรากินแปะๆๆๆ ไม่ต้องมาคิดทา

อะไร เรามีสภาพเป็นอย่างไรในปัจจุบันน้ เป็นหนอนหรือเป็น
เทวดา เป็นเทวดามันต้องคิด เราจะอยู่อย่างหนอนหรืออยู่
อย่างเทวดา ปัญหามันอยู่ตรงนี้
ถ้าอยู่อย่างหนอน บาปกรรมท่ท่านส่งสมไว้อย่างน้ เวลา





ตาย จะไปเกิดในกาเนิดหนอน เรียกว่าเป็น สังเสทชะกาเนิด

ไอ้หนอนมันเกิดจากอะไร? เกิดจากพระข้เกียจ บวชแล้วไม่ทา

กิจวัตรของพระ ไม่ศึกษาคาสอนของพระ ไม่ช่วยกันดูแลรักษา




วดวาอาราม บาปกรรมตวนมนจะเข้าไปส่งสมในจตวิญญาณ




มากเข้าๆๆ เวลาดับจิต ตายไปเกิดเป็นหนอนในซากสัตว์ เกิด
เป็นหนอนในส้วม น่ากลัวไหมเล่า? ภูมิใจไหมท่เกิดเป็นหนอน


มันเป็นเร่องน่าคิดน่าพิจารณา เพราะอย่างนั้นก็ขอให้พวกเรา
คิดไว้ จาไว้ว่า ในช่วงเวลาท่เราบวชอยู่น เราได้โอกาสแล้ว โอกาส




มีมากมาย เราไม่ต้องคิดทามาหากิน เพราะเร่องการทามาหากิน






เร่องการอยู่เร่องการทามาหากินทุกอย่างน้ สังคมเขารับผิดชอบ

ทั้งหมด ซึ่งมันแตกต่างกับชีวิตที่เราเป็นฆราวาส

136
สาราสารกถา




ชีวตท่เราเป็นฆราวาส จะต้องนกต้องคิดว่า วันน้เราจะม ี













อะไรกน วนนมกนแล้ว พร่งนมกนไหม? มะรนมีไหม? ปีนม ี






ปีหน้ามีไหม? เราต้องด้นรนขวนขวายไปหางานทา ไปเท่ยวแค่น



ให้เขาจ้างเพ่อจะใช้แรงงาน เพ่อจะได้เอาค่าของแรงงานมากิน





มาใช้ เราต้องว่งเต้นเพ่อไปหางานทา ไม่ง้นมันอยู่ไม่ได้ ชีวิต
ฆราวาส!


ท่ทานาทาไร่แม้จะลาบากยากเข็ญ สายตัวแทบขาด ใน






เม่อไม่มีโอกาสท่จะทาอย่างอ่นท่มันดีกว่าน้ เช้าเราก็ต้องลงนา



ลงไร่ เรียกว่าหน้าด�าคร่าเครียดไปตลอดเวลา นี่ชีวิตฆราวาส!

แต่เม่อเรามาบวชเป็นพระแล้วน่ โอกาสอย่างน้นท่จะต้อง





ทาอย่างน้น ไปเท่ยวหางานทา ถ้าเราไม่คิดทา มันจะเหมือน




ไม่มีงานทาเลย เพราะเร่องกินเร่องอยู่น่ ชีวิตพระมันแทบจะไม่




ต้องคิดอะไรเลย สังคมเขาให้หมด เร่องกินท่านไม่ต้องเดือดร้อน
ถึงเวลาเช้าโยมเอาข้าวมาใส่บาตร วันไหนไม่บิณฑบาต วันพระ

โยมเอาข้าวมาให้ท่วัด และคัดเอาอย่างดีๆ มาให้ เพ่อเราจะได้

มีสมองดี จะได้ปฏิบัติธรรมวินัย จะได้ศึกษาพระธรรมวินัยของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มันแตกฉาน เอาดีๆ มาให้ท้งน้น




และกิริยามรรยาทท่จะแสดงออกต่อเราน่ ก็พยายามจะไม่ให้

เป็นท่กระทบกระเทือน คือรักษาอารมณ์เราด้วย ก็เพ่อจะให้

เราน่ด่งในการท่จะทากิจวัตร ทาหน้าท่ของพระ เพ่อท่จะให้เรา















ได้ใช้โอกาสนศกษาคาสอนของพระ ถ้าเราไม่ทา กเรยกว่าใช้

137
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)






โอกาสผิด ใช้โอกาสผิดชีวิตเราท่มาบวชอยู่ ๓ เดือนน สึกออกไป


มานึกถึงตอนบวช ตรงไหนท่ภูมิใจไม่ได้เลย เราจะเอาอะไรเป็น


เคร่องภูมิใจ นึกว่าวันน้เราบวชอยู่เข้าพรรษาแล้ว สวดมนต์อะไร


ไม่ได้สักบทหน่ง พาหุงก็ยังไม่จบ แล้วจะทาอย่างไง เอาความภูมิใจ





ตรงไหน ธรรมวนยขององค์พระสัมมาสมพุทธเจ้าซงเป็นของด ี



วิเศษศักด์สิทธ์ เราก็ไม่รู้เร่องรู้ราวอะไรเลย น่ล่ะเป็นหลักสาคัญ


ที่ผมอยากจะเรียนถวายไว้

พยายามไปท่องไว้เถด เพราะถ้าใช้โอกาสผิด ชีวิตจะล้ม
ละลาย และจะล้มละลายจริงๆ ชีวิตพระของเราท่บวชกัน ๓

เดือน ออกพรรษาได้กฐินแล้วก็สึก มันจะหาความภูมิใจอะไร

ไม่ได้เลย เกิดมาแล้วชาติหน่งได้บวชคร้งหน่ง บวชแล้วไม่ได้อะไร





เลย อย่างน้อยทาวัตร-สวดมนต์ได้ ได้นักธรรมตรีสักข้นหน่ง

มันก็น่าภูมิใจว่า เวลาเรามีลูกมีหลานว่า เอ้อ เม่อพ่อบวช พ่อ
สอบนักธรรมตรีได้ เอาใบนักธรรมตรีอวดลูก ว่านี่พ่อก็แน่!









บวช ๓ เดอนพอสอบนกธรรมตรได และมนภมใจไหมเลา?

ลูกหลานก็จะภูมิใจ เวลาอ่านประวัติหน้าศพ ใช่ไหม? คุณพ่อน่น
บวช ๓ เดือน สอบนักธรรมตรีได้ ลูกก็หน้าบาน ใช่ไหม? ความ



ภมใจมนเกดขนได้อย่างน อย่างน้อยได้นกธรรมตร กเรยกว่าเรา









ใช้โอกาสเป็น ใช้โอกาสกันถูก



เพราะฉะน้น ผมก็อยากจะถวายเป็นข้อจากัด เพ่อท่เราจะ

ได้เอาไปปรับปรุง ใช้โอกาสให้มันถูก พูดมากไปแล้วไม่มีข้อสรุป

138
สาราสารกถา







ว่า จะใช้โอกาสเพ่ออะไรบ้าง ในช่วงโอกาสท่เราบวชอยู่น่ ใน


แต่ละวันๆ น่ ผมก็อยากจะให้ท่านคิดถึงงานถึงประโยชน์ท่ท่าน


จะต้องทาในแต่ละวันๆ ในชีวิตท่เราเป็นพระอยู่ เอาแค่สาม
อย่างพอ ท่านตั้งอกตั้งใจท�า


สวดมนต์-ศึกษำ-พัฒนำ




อย่างท่หน่ง ก็คือกิจวัตรของเรา สวดมนต์ภาวนา น่เป็น







กจวตร เป็นธรรมเนยมปฏบตทเราต้องทา เพราะเราอย่ด้วย








ศรัทธาความเช่อความเล่อมใสของประชาชน ถ้าพระเณรข้เกียจ

ทาวัตร-สวดมนต์ ถามประชาชนดูเถิดว่าศรัทธาตรงไหน ถาม




ตวเราเองว่า ถ้าเราจะนบถอพระสกองค์หนง แต่ว่าพระองค์น ้ ี





ข้เกียจทาวัตร-สวดมนต์น่ เราจะนับถือไหม? หน่งสวดมนต์

ภาวนา จ�าไว้! ที่เราจะต้องใช้โอกาสในช่วงบวชนี่

สองศึกษาธรรมวินัย ธรรมวินัยน่สาคัญ สาคัญท่สุด เป็น



หน้าท่ของเรา เพราะธรรมวินัยน่เป็นคาส่งสอนของพระพุทธเจ้า




แล้วพวกเราไม่สะดุดใจกันบ้างหรือว่า ท่เรามาเป็นอย่างน้กันได้



ด้วยอะไร พูดถึงฐานะความเป็นของคนในสังคมน้ ท่านทอดตา


ในแผ่นดินไทยท้งหมด ต้งแต่เป็นพระราชามหากษัตริย์ลงมา

เป็นแม่ทัพนายกอง เป็นเจ้าบ้านผ่านเมืองเน่ย เป็นอะไรสู้เป็น

พระได้บ้าง เป็นอะไรท่เหนือกว่าความเป็นพระมีไหม? เรากเห็น


139
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





แล้วว่า จะเป็นอะไรก็ตามในสังคมเราน่ สู้เป็นพระไม่ได้เลย
สักอย่างเดียว และความเป็นพระอันเป็นฐานะอันสูงสุดในสังคมน ่ ี


เป็นด้วยอะไร ก็เป็นด้วยธรรมวินัย แล้วทาไมเราไม่สะดุดใจว่า
ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นส่งที่เราจะต้องศึกษา เพราะ



ศักด์สิทธ์มาก เพียงแค่เราโกนหัวเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ ใช้เวลา

ช่วโมงเดียว หน้ามือกลับเป็นหลังมือแล้วฐานะของเรา เพราะ
พ่อ-แม่-ปู่-ย่า-ตา-ยายท่เราเคยกราบเคยไหว้ ต้องมากราบ






มาไหว้เรา นอะไร? ความศกดสทธของพระธรรมวนยใช่ไหม?







แล้วเราทาไมไม่สะดุดใจท่จะศึกษาเล่าเรียนกัน ส่งดีวิเศษอย่างน







เพราะฉะนน หน้าท่ข้อท่สองของเรา ต้องศึกษาพระธรรมวินัย
จ�าไว้ ชีวิตเราจึงจะได้ประโยชน์
แล้วประการที่สาม ร่วมใจกันพัฒนา ท�าไมจึงต้องมีร่วมใจ
พัฒนาเข้ามาด้วย เพราะปัจจุบันการบวชเป็นพระเป็นเณรของ
เรา ไม่ใช่อยู่ป่าอยู่เขาอยู่ถ้า เรามีวัดวาอารามเป็นหลักเป็นแหล่ง


เป็นสถาบันท่สังคมเขาสร้างให้อย่างดี เมื่อเรามีวัดวาอาราม






สังกัดอยู่กันอย่างดอย่างน้ วัดวาเป็นสถานทร่มร่น น่าศรทธา
น่าเล่อมใสของประชาชนท่ผ่านมา ถ้าเราไม่ร่วมใจกัน ช่วยกัน




ดูแลรักษาความสะอาด-ความร่มร่น-ความเรียบร้อยภายในวด
และเราจะชื่อว่าเป็นคนวิเศษวิโสได้อย่างไร

140
สาราสารกถา




คนสำมระดับ


เพราะเราอยู่ในฐานะท่เรียกในปัจจุบันว่า เป็นคนเหนือคน

เข้าใจไหม?


คนมันมีสามระดับ ระดับเราน่เรียกว่า เป็นคนเหนือคน

สามระดับมีอะไร? คนแค่สัตว์, คนแค่คน, และคนเหนือคน



เป็นแค่สัตว์ เป็นอย่างไร สัตว์มันทาสกปรกได้ แต่มันทา


ให้สะอาดไม่ได้ พวกเรามีพฤติกรรมอย่างน้นหรือเปล่า ทาวัด

ให้สกปรก แต่ท�าวัดให้สะอาดไม่ได้ มันต่างอะไรกับสัตว์
คนแค่คน เป็นอย่างไร ความสกปรกมันติดมากับเรา เรา




ทาสกปรก เราก็ทาให้สะอาดได้ น่คนแค่คน เราไปส้วมแล้ว
อาจมของเรามันสกปรก เราก็ล้างให้มันสะอาด ใช่ไหม? ใช้ส้วม
แล้วไม่ล้าง มันต่างอะไรกับสุนัข



และ คนหนือคน เป็นอย่างไร เราไม่ได้ทาสกปรก แต่เจอ




ส่งสกปรก ทาให้สะอาดข้นมา น่คนเหนือคน เราต้องมีฐานะ
เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะน้น หลักอันท่สามของเราท่ว่า ร่วมใจกันพัฒนา


ก็หมายถึงว่า เราดารงฐานะความเป็นคนเหนือคนของเราไว้ให้


ได้ เพราะฉะน้น ก็ขอเรียนถวายให้กาหนดจดจาไว้ว่า การท่เรา











จะใช้โอกาสใหเหมาะ-ใหควร-ใหเปน เพ่อใหชวตการเปนพระ-


การเป็นเณรของเราน้ไม่ผิดหวัง เราจะได้มีความภาคภูมิใจว่า

141
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





เราเกิดมาชาติหน่งได้บวชเป็นพระเป็นเณร ได้อยู่วัดโน้นวัดน ี ้
เราได้ทาหน้าท่ของเราถกต้อง เราได้ใช้โอกาสในแต่ละวนเพอ







ปฏิบัติภารกิจในฐานะท่เราเป็นพระเป็นคนเหนือคนได้อย่าง
เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วเราก็จะมีความภูมิใจ
ขอให้จ�าไว้ เขียนติดไว้เลยหน้าห้อง งานของเรา
๑. สวดมนต์ภาวนา

๒. ศึกษาธรรมวินัย

๓. ร่วมใจกันพัฒนา





น่เป็นงานท่เราจะต้องทาในแต่ละวัน ๒๔ ช่วโมง ไปซอย










เอาเลยวาในแตละชวโมง เราจะทาอะไร ใชชวโมงไหนเพอการ
สวดมนต์ภาวนา ใช้ช่วโมงไหนศึกษาพระธรรมวินัย ใช้ช่วโมง


ไหนในการร่วมใจกันพัฒนา
ถ้าเรารู้จักใช้โอกาสให้มันเหมาะ ให้มันเป็นแล้ว ก็ทาการ



ต่างๆ ตามท่ผมได้เรียนถวายมาน ก็สามารถจะพูดได้เต็มปากว่า

ชีวิตการบวชของเราไม่เป็นโมฆะ ชีวิตการบวชของเราไม่เป็นหมัน
ก็เป็นอันว่าผมได้ใช้เวลา ในการให้ข้อคิด-การเสนอแนะ-



การช้นา สาหรับทุกท่าน ในการเปิดประชุมอบรมคร้งน ก็คิดว่า




พอเหมาะพอควรแกเวลาแลว จงขอใหการประชมอบรมในวันน ้ ี








ดาเนินไปด้วยด บรรลวัตถุประสงคท่ตองการทุกประการ ผมขอ


เปิดการประชุมอบรม ณ บัดนี้.

คนเย่อหยิ่ง เกียรติยศย่อมลดลง

จะเป็นหนอนหรือเป็นเทวดำ









ท่านผู้เข้าสอบความรู้พระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์

และรองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสใหม่

ผมได้รับมอบหมายจากท่านเจ้าคณะจังหวัดให้บรรยาย






พิเศษในภาคคาน้แก่ท่านท้งหลาย ในฐานะท่จะได้เป็นครูบา-







อาจารยเต็มตว เราต้องร้ภาระหน้าทของพวกเราแตละรปแต่ละ





องค์ เราต้องมองเหนความสาคญของตวเองกนบ้าง ถ้ามอง


ไม่เห็นความสาคัญของตัวเองแล้วมันก็จะทาตัวของเราให้มัน
ไร้ค่า ทาให้สถาบันของพวกเราไร้ค่า ก็เพราะพวกเราไม่ได้มอง



เห็นความสาคัญของตัวเองว่าแต่ละรูปแต่ละองค์น้น จริงๆ แล้ว


มีความสาคัญมาก ความสาคัญมากตรงไหน สถาบันบ้านเมือง


ของเราท่พูดกันอยู่โดยท่วไป มีสถาบันท่เป็นหลักอยู่ ๓ สถาบัน

* การบรรยายพิเศษ ผู้เข้าสอบความรู้พระอุปัชฌาย์, พระกรรมวาจาจารย์,
พระสังฆาธิการรองเจ้าอาวาส, ผู้ช่วยเจ้าอาวาสใหม่ โดย พระสิรินันทเมธ ี
รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๓๙ เวลา ๑๙.๐๐ น.

144
สาราสารกถา




สถาบันที่ ๑ ชาติ

สถาบันที่ ๒ ศาสนา

สถาบันที่ ๓ พระมหากษัตริย์

ในรูปสถาบันต้องมีองค์กร องค์กรของสถาบัน เป็นสัญ-

ลักษณ์ของสถาบันนั้นๆ


สถาบันชาต หมายถึงประชาชนท้งแผ่นดินน้รวมกันเป็น



ชาติ
คาว่า ชาต หมายถึงประชาชนท้งหมด ท่เกิดอยู่ในประเทศน ี ้






ประชาชนท้งหมดน้นจะมาบริหารประเทศไม่ได้ จาต้องมีองค์กร


ข้นมาบริหาร คือสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรก็คือองค์กร
ที่เป็นตัวแทนของสถาบันชาตินั่นเอง
สถาบันศาสนา โดยเฉพาะประเทศไทยเรา ก็หมายถึงศาสนา-














พทธ สงทเปนองคกรของศาสนาพทธจรงๆ กคอพระสงฆองคเณร
แต่ละรูปๆ นั่นเอง


ฉะน้น การบวชพระของพวกเรา ตามท่ปรากฏในอานสงส์


การบวช ท่านจึงบอกว่า เราจะทาบุญสุนทาน สักมากมายแค่ไหน
ก็ตาม ก็จะไม่เท่ากับการบวชลูกบวชหลานให้เป็นพระ พอบวช
พระก็ถือว่าเป็นศาสนทายาท เป็นผู้รับมรดกของพระพุทธเจ้า

145
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




สถำบันต้องมีพระ-เณร




เพราะฉะน้น ศาสนาของพระพุทธเจ้าจะยืนยงม่นคง หรือ


จะไม่ยืนยงไม่ม่นคง เส่อมสลายไปก็อยู่ท่ว่าสถาบันน้มีพระหรือ


ไม่มีพระ ถ้าไม่มีพระ-เณร พระพุทธศาสนามี ก็ช่อว่าไม่ม ี







เหมอนอย่างปัจจบนถ้าเรามองเทยบกน เราศกษาเล่าเรยนว่า



พระพุทธศาสนาจริงๆ ท่เป็นถ่นกาเนิดน้นไม่ได้เกิดในเมืองไทย



พระพุทธเจ้าก็เป็นชาวอินเดีย ตรัสรู้ท่อินเดีย พระพุทธองค์
ทรงประกาศศาสนาท่อินเดียท้งน้น ไม่ได้มาประกาศศาสนาใน





ประเทศไทยเลย ฉะน้นประเทศอินเดียจึงได้ช่อว่า "เป็นแดน
เกิดพระพุทธศาสนาแต่เริ่มแรก"

สมัยพระเจ้าอโศกข้นมาครองราชย์ ตอนหลังยอมรับนับถือ
พระพุทธศาสนา มีการบวชกันมากในประเทศอินเดีย สมัยพุทธกาล






พระพทธเจาประกาศศาสนาแผไปทงแผนดน พระเจาอโศกทรง


อุปถัมภ์บารุงพระพุทธศาสนาพระสงฆ์สามเณรมากมาย ประเทศ

อินเดียก็ยังคงเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา แต่ต่อมาๆ สถาบันสงฆ์
หายไปจากประเทศอินเดีย ลัทธิอ่นเข้ามากลืนไปหมดจนในประเทศ


อินเดียไม่มีพระไม่มีเณร เม่อไม่มีพระไม่มีเณร พระศาสนาก ็









เลยสญสนจากประเทศอนเดย ในปัจจบนอนเดยไม่ได้ชอว่าเป็น



ประเทศพระพุทธศาสนาแล้ว เพราะไม่มีพระสงฆ์อยู่น่นเอง เป็น


แตเพยงประเทศท่เป็นแดนเกิดของพระพทธศาสนา แต่ไม่ใช่


เป็นแดนศาสนา

146
สาราสารกถา




ประเทศไทยไม่ใช่เป็นแดนเกิดของพระพุทธศาสนา แต่

พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยของเรา สมัย

พระเจ้าอโศกได้ส่งพระโสณะและพระอุตตระเข้ามาเผยแผ่พระ













พทธศาสนา แลวกสบทอดกนมาเรอยๆ ปจจบนนนพระพทธศาสนา
ในประเทศไทยก็แผ่ขยายไปจนเต็มอาณาจักร ประเทศไทยจึง
ได้ชื่อว่าเป็นประเทศหรือดินแดนของพระพุทธศาสนา เราจะเห็น
ได้ว่า ท่ประเทศไทยเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาน้น กาหนดกัน



ด้วยประเทศไทยมีสถาบันสงฆ์




ู่


ตราบใดทประเทศไทยยงมพระมเณรอย ประเทศไทยกจก


ช่อว่าเป็นประเทศพระพุทธศาสนา เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา
อยู่ตราบน้น ถ้าหมดพระหมดเณรก็จะไม่เป็นแดนพระพุทธ-

ศาสนา การเป็นพระของพวกเราต้องถือว่ามีความสาคัญมาก




สาหรับสถาบันศาสนาซ่งเป็นสถาบันท่ ๒ ของบ้านเมือง จึง
สามารถพูดได้ว่า พวกเราแต่ละรูปเป็นชีวิตของพระพุทธศาสนา


พระพุทธศาสนาจะเป็นหรือตาย ก็อยู่ท่พวกเราซ่งเป็นพระเป็น
เณร ความส�าคัญของเราต่อสถาบันอยู่ที่ตรงนี้
โลโก้ของพระพุทธศำสนำ


ในการท่จะทาให้พระพุทธศาสนายืนยงม่นคงต่อไป อยู่ท ี ่



พวกเราแต่ละรูปท่เป็นพระเป็นเณรได้ทาหน้าท่ถูกต้องหรือไม่


147
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




เพราะเราแต่ละรูปต้องนึกว่าเป็นเหมือนกับโลโก้ของพระพุทธ-







ศาสนา โลโก้ คอสญลกษณ์ หรือพูดอีกนัยหนงก็คอเป็นป้าย
โฆษณา ป้ายประชาสัมพันธ์ โฆษณาประชาสัมพันธ์พระพุทธ-
ศาสนาของเรา ถ้าพวกเราอยู่ในร่องในรอย ประพฤติปฏิบัต ิ
กันดีก็เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถึงความดีความงามของ
พระพุทธศาสนา

ตัวเราจึงเป็นความดีความงามของพระพุทธศาสนา


โดยตรงจากการประพฤติปฏิบัติหน้าท่ของพวกเรา แต่ในทาง






ตรงกนข้าม ถ้าเราทอย่ในสมณเพศอย่างน ไม่ประพฤต ไม่


ปฏิบัติให้มันอยู่ในร่องรอยหรือในหน้าท่ของพระ-เณร เราก ็
จะเป็นเหมือนแผ่นป้ายประจานพระพุทธศาสนา คือจริงๆแล้ว
พระพุทธศาสนาของเราไม่ได้มีความเลวร้ายอะไรเลยแม้แต่น้อย




แต่ถ้าหากว่าเราซ่งอยู่ในสมณเพศไปทาส่งท่เลวร้าย จะกระทบ
กระเทือนสถาบันทันทีเลย เหมือนว่าสถาบันเลวใช้ไม่ได้
เห็นได้ว่าเราองค์เดียวทาให้คนมองว่าสถาบันดีหรือเลว


ร้ายได้ เราทาให้คนมองสถาบันเป็นส่งทดีงามได้ ยกตัวอย่าง




กรณีคนท่ก่ออาชญากรรมข่มขืนแล้วฆ่ามีกันอยู่ท่วไป เป็น


อาชญากรรมธรรมดาๆ แต่ว่าความรู้สึกว่า มันเลวร้ายมัน






ไม่เท่ากับคนท่ทาน้นอยู่ในสมณเพศอย่างเรา แต่ว่าส่งท่เขาทา



น้นอยู่นอกเหนือจากท่พระพุทธเจ้าทรงส่งสอนให้ทา พอคน

อย่างเราไปทาอย่างน้นเข้า ความเสียหายกระทบกระเทือนกัน



148
สาราสารกถา




หมดเลย ทาให้คนท่ไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเราอยู่แล้ว


ก็ยิ่งไม่อยากนับถือใหญ่เลย คนที่มีศรัทธาอยู่แล้ว แต่ไม่มั่นคง




ก็เร่มเส่อมศรัทธา จะมองเห็นพระท่วไปว่า พระสมัยน้พระ




ยุคน้ ในภาพต่างๆ เหล่าน้ของคนในสถาบันเม่อไปทาเข้า มัน

ทาให้ภาพรวมๆ ของเราเสียได้ ท้งๆ ท่เราไม่ได้ทา แต่ว่าคนใน



สถาบันของเราไปท�าเข้า เราอย่านึกว่าไม่กระทบไม่ได้
ชีวิตเดียวกัน

เราแต่ละรูปๆ เป็นเหมือนกับเป็นชีวิตเดียวกัน สงฆ์ทุกรูป
ถ้ามองในแง่สถาบันเหมือนกับเป็นชีวิตเดียวกัน ชีวิตเดียวกัน


ซ่งประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ มีมือ มีเท้า มีตา มีหู มีจมูก











มลน มร่างกาย มจตใจ ทงหมดนรวมกนเป็นชวตหนง ไม่ว่า






จะเป็นพวกเราท่มาประชุมอบรมกัน เป็นพระท้งจังหวัด เป็น

พระท้งประเทศ รวมกันแล้วก็เท่ากับว่าเป็นชีวิตชีวิตหน่ง ซ่ง




ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ เม่ออวัยวะบางส่วนเป็นบาดแผล


ข้น แค่น้วสิบน้วมีดบาดน้วเดียว อีกเก้าน้วทาไมไม่มาช่วย





ปัดเป่า ธรรมชาติตรงน้เราอย่าเห็นว่าเป็นเร่องแปลก เม่อไม่


เจ็บก็เป็นเพียงเร่องธรรมดาเท่าน้นเอง เจ็บนิดเดียวจะเจ็บ





ทนท ถ้าดีเป็นความรู้สึกธรรมดา ไม่มีอะไรเพ่มข้น มีอะไรมา






กระทบกระท่งในส่วนท่ดีทาให้เกิดความช่นอกช่นใจได้สัมผัส
สิ่งดีๆ ก็ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่เจ็บนานเหมือนกับสิ่งที่ไม่ดี

149
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




เมื่อพระของเรำดี เรำดีด้วยหรือ?




ในสถาบันของเราผู้ท่เป็นพระสงฆ์สร้างคุณงามความด ี
จนเป็นท่ยอมรับของโลกปัจจุบันคือท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก

(ประยุทธ์ อารยางกูร ปยุตฺโต) มีความดีงามจนองค์การยูเนสโก

เห็นความดีงามมอบถวายรางวัลการศกษาเพอสนตภาพให้






ก็เป็นเพียงความดี แต่ไม่รู้สึก และก็พูดกันประเด๋ยวเดียว
แทนท่สังคมจะมองว่า พวกเราจะดีเหมือนเจ้าคุณประยุทธ์บ้าง



เขาไม่มอง เขาไม่ระแวงว่าเราจะดเหมอนท่าน แต่ถ้ามนเกด





กรณีช่วร้ายข้นแก่คนในสถาบัน เขาจะนึกทันทีว่ารูปน้เหมือน


รูปน้น ดูท่าทางชอบกล โดยธรรมชาติแล้วไม่ใช่ความลาเอียง
เป็นอย่างน้นเหมือนกรณีมีดบาดน้วเราเจ็บ แต่ถ้าไม่บาดก็เป็น


ธรรมดา




ท่สาคัญท่สุดเราต้องสารวม ต้องระวังอย่าให้มีดบาดมือ
ู่
แต่ละรูปตองมสติ มการควบคุมตนเองอยตลอดเวลา อย่าให้ม ี



อะไรมากระทบให้เจ็บปวดเพราะเป็นความเจ็บปวดของสถาบัน

ถ้าเป็นกรณีท่สาคัญๆ บางทีอาจทาให้สถาบันของเราล้มตายได้


เหมือนบาดแผลมีดบาดน้วแค่เจ็บ มีดตัดแขนขาดเจ็บแต่ไม่




ถึงตาย แต่แผลเล็กๆ แต่ไปถูกตรงจุดสาคัญบางจุดท่ข้วหัวใจ




ทาให้ตายได้ นคอความล่อแหลมทอนตราย ทจะต้องช่วยกน






ระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับสถาบันของเรา

150
สาราสารกถา




เราได้บวชกันคนละ ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา เราอธิษฐาน

จิตเป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา ช่วยกันรักษาสถานภาพ
ของพระพุทธศาสนาให้เป็นมรดกของชาติบ้านเมืองสืบไป เรา

แต่ละรูปจึงเป็นชีวิตของพระพุทธศาสนา รวมกันเป็นชีวิตอวัยวะ

แต่ละส่วน เมื่อมีอะไรมากระทบส่วนใดก็จะเจ็บกันไปทั้งตัว



ช่วยกันท�ำงำนเถิด - อยู่เพื่องำน





เราต้องคิดทาอะไรกันบ้าง งานการต่างๆ ท่เราต้องทาใน

ฐานะท่เป็นสถาบัน จะไม่คิดไม่ได้ ท่านลองตรวจดูตัวเองบ้างว่า


งานทุกอย่างถ้าเราไม่คิดทา เราก็จะรู้สึกว่าไม่มีงานทาเลย


ในวันๆ หนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรบีบบังคับเพราะเม่อเราบวชแล้ว


ไม่ต้องประกอบอาชีพก็มีกินมีอยู่ และคนจาพวกน้ก็มีพวกเดียว


ในเมืองไทยก็คือพระเราเท่าน้น เม่อความเป็นอยู่ไม่บีบ ความ

คิดท่ว่าจะทาอะไร ถ้าเราไม่คิดก็จะไม่ได้ทาอะไรเลย แต่ถ้าเป็น


ชาวบ้านไม่คิดไม่ได้ เช่นไปดูในครัวมันมีข้าวสารอยู่ ๒ ลิตร




แต่ ๒ ลิตรน้นเพียงวันน้ก็หมดแล้ว พรุ่งน้จะกินอะไร ก็เท่ยวไป



ตามกองขยะเกบเอาของทพอจะขายได้รวมๆ กนเอาไปขาย





จาเป็นต้องทา เพราะภาระการครองชพบบบงคบอย่ ชวตของ





ฆราวาสเป็นอย่างนี้







ถงเราเปนฆราวาสบางกเหมอนกน คดเปนคนดไมไดกตอง






เท่ยวลักเล็กขโมยน้อยเร่อยไป แล้วแต่ว่าจะได้อย่างไร จึงจะมีกินมีใช้



151
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)











แตพวกเราเปนพระไมเคยคดเรองนเลย เพราะบางพนท บาตร





ก็ไม่ต้องบิณฑ์ เป็นธรรมเนียมเขา เช่นอย่างพระแถวบางปลาม้า




บางตาบล บางพ้นท่ท่อยู่ในชุมชนของไทยพวน ชาวไทยพวนจะ
คอยดูแลปรนนิบัติพระเป็นอย่างด เช้าก็เอาปิ่นโตไปส่ง พอถึง

เวลาเพลก็ไปส่ง ทาให้คิดว่าไม่ต้องคิดทาอะไร ไม่มีอะไรมาบีบค้น




สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระดารัส
ู่


กับพระสงฆ์ตอนหน่งว่า “ เราท่บวชเป็นพระอย หากไม่คิดทา

อะไร ฐานะของเรามันก็ไม่ต่างกับหนอนในส้วม พอถึงเวลาก ็
มีคนมาถ่ายให้กิน ”
หนอนกับเทวดำ

จนมีเร่องเล่าว่ามีคน ๒ คนเป็นเพ่อนกัน คนหน่งทาทุกอย่าง



ท่คิดว่าดี ส่วนอีกคนหน่งไม่คิดทาอะไรเลย เอาแค่มีกินไปวันๆ














ไมมกเทยวขอทาน พอตายไปคนททาดกเกดเปนเทวดา สวนคน



ท่ไม่คิดทาอะไรเลย เกิดเป็นหนอนในส้วม ด้วยความรัก คิดถึง



เพ่อนคนท่เกิดเป็นเทวดา ก็คิดว่าเพ่อนไปเกิดท่ไหน ก็ไปเห็นว่า



เกิดเป็นพญาหนอนอยู่ในส้วม ด้วยความสงสารจึงมาหาเพ่อน

แล้วชวนไปอยู่บนสวรรค์ เพ่อนท่เป็นหนอนก็ถามว่า สวรรค์ม ี


อะไรกิน พอรู้ว่าอยากกินอะไรก็นึกเอาซ เพราะเป็นของทิพย์
ก็บอกว่า อยู่ในส้วมดีกว่าเพราะไม่ต้องนึก หิวก็กินได้เลย จึงขอ
เป็นหนอนดีกว่า

152
สาราสารกถา




เรามาลองพิจารณาดูว่าอยู่กันทุกวันน้เราอยู่แบบไหน เรา

อย่าคิดนะว่า ผ้ากาสาวะจะกันเราไม่ให้เกิดเป็นหนอนได้ ถ้าเราอย ู่

โดยไม่นึกคิดทาอะไร เพราะถือว่ามีกิน มันเหมือนกับหนอน ที่



พอเช้าก็มีคนมาถ่ายให้กิน ไม่จาเป็นต้องคิดทาอะไรก็มีกินอยู่
แล้ว หากนึกอย่างน้อนาคตต่อไปก็คือหนอนท้งน้น แล้วจะม ี



ใครอยากเกิดเป็นหนอนคงไม่มี ผมถึงได้มาพูดแสดงอานิสงส์อีก

ก็เพ่อให้เป็นข้อพิจารณาว่าท่เราอยู่ทุกวัน มันเหมือนกับการอย ู่

ของหนอนในส้วม หรือว่าอยู่ในฐานะเทวดา ถ้าหากเราพิจารณา



ตัวเรา ต้งแต่อดีตมาว่าท่อยู่กันนานๆ มาน้นเหมือนหนอนในส้วม
แต่การอยู่อย่างเทวดาน้นต้องคิด เพราะเทวดาจะกินอะไรก็ต้อง

คิด เพราะคิดถึงจึงได้



ฉะน้น เราจะต้องอยู่อย่างเทวดา คือ อยู่อย่างเนรมิตของ
ข้นมาเร่อยๆ เนรมิตของดีให้เรา เรากลับไปวัดก็ต้องนึกว่าวันน ี ้


เราจะเนรมิตส่งดีๆ อะไรให้กับเราบ้าง จะเนรมิตของดีอะไรใน


วัดบ้าง น่คืออยู่อย่างเทวดา เมื่อเนรมิตหรือคิดแล้วก็ต้องทาด้วย



เม่อทาแล้วก็มีผล เพราะฉะน้น ผมจึงให้คานิยามสมัยก่อนๆ


นานมาแล้วหลายสิบปี มีลูกศิษย์ลูกหาก็เตือนให้ภาวนาไว้เสมอ


เลย ให้มีความรู้สึกสานึกว่าเราจะต้องทางาน ให้นึกอยู่เสมอ

ว่าวันน้จะทาอะไร ก็หมายความว่าวันน้เราจะเนรมิตอะไรให้


มันดีขึ้นบ้าง เพราะเรามีแก้วสารพัดนึก คือจิตใจนั่นเอง

153
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




ควำมรู้สึกว่ำไม่มีงำนท�ำ...




ขอถวายไว้ด้วยว่า ส่งท่เลวท่สุดในตัวของเรา ก็คือความ




รู้สึกว่าไม่มีงานทา พวกเราเคยมีความรู้สึกอย่างน้เกิดข้นบ้างไหม
ทอย่กนมาแต่ละวันๆ แล้วกให้จากนไว้ว่า ความรู้สึกว่าไม่ม ี








งานทาเป็นความรู้สึกท่เลวท่สุดในจิตใจของเรา เราอย่าไปคิด



รู้สึกอย่างน้ เพราะการท่เราคิดอย่างน้น น่นจะกลายเป็นวิบาก



ส่งให้เราไปเกิดเป็นหนอนในส้วม ในสัมปรายภพ เพราะว่า



เป็นความรู้สกท่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซีงเป็นหลักธรรมต้องห้ามใน

พระพุทธศาสนาของเรา
ทาไมจึงว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็เพราะว่าความรู้สึกหรือคิดว่า

ไม่มีงานทาน้น มันเป็นความคิดท่ปราศจากความจริงโดยส้นเชิง









เป็นความคดทปราศจากความถกต้อง ไม่เป็นความจรงเลยทว่า


ไม่มีงานทา เห็นหรือยังว่าท่บอกว่าผิดก็เพราะผิดจริงๆ ไม่มีใคร




ท่ไหนหรอกท่เกิดมาเป็นชีวิตปกติเหมือนพวกเราจะไม่มีงานทา


ตามสถานะ เรารู้สึกอย่างน้นด้วยความเห็นผิดไป ซ่งความจริง

งานมีมาก
งำนของพระ
และโดยเฉพาะงานท่เขากาหนด อย่างน้อยๆ งานสาหรับ



สถาบันของเรา มีอยู่ถึง ๖ สาขาด้วยกัน คือ

154
สาราสารกถา




๑. งานปกครอง

๒. งานศึกษา

๓. งานเผยแผ่

๔. งานสาธารณูปการ

๕. งานศึกษาสงเคราะห์
๖. งานสาธารณสงเคราะห์


งานสาขาแรกก็คืองานปกครอง เราจะปกครองลูกศิษย์

ของเราให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ให้มีความเจริญก้าวหน้า ให้มีความ

ปรองดองรักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นเร่องท่เราจะต้องคิดแล้ว


เพราะเม่อเราจะเป็นอาจารย์ เราก็ต้องมีลูกศิษย์ เราก็ต้องรับ

ผิดชอบว่าเราจะทาอย่างไรให้เขาเจริญก้าวหน้า จะส่งเสริมอย่างไร





ให้เขามีความสุข น่คองานปกครอง จะทาอย่างไรให้เขา มความ

รู้สึกปลอดภัย เหมือนกับเรามีลูก ถ้าเราไม่คิดเล้ยงดูให้ดี ลูกก ็
ไม่โต พอเวลาแก่เฒ่าไปก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้ เพราะเราปกครอง
ลูกไม่เป็น ปกครองลูกให้ดี จึงเป็นงานอีกสาขาหน่งท่เราจะต้อง



สาเหนียกเรียนรู้ การท่สาเหนียกเรียนรู้อย่างน้มันจะต้องปลูก





ฝังคุณธรรมในจิตใจข้น เราจะเอาคุณธรรมมาเป็นเคร่องประพฤต ิ
ปฏิบัติ ให้คนที่มาบวชอยู่กับเราเพียง ๗ วัน ๑๕ วัน หรือพรรษา
หน่งแล้วสึกไป ทาให้เขามีความผูกพันนึกถึงเราด้วยความรู้สึก


ที่ดี

155
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)




หลักธรรมท่พระพุทธเจ้าวางไว้เป็นแนวทางการอยู่ร่วมกัน

ก็จะต้องมี “สาราณียธรรม” ประพฤติสาราณียธรรมต่อกัน จะ

สร้างความรัก สร้างความระลึกนึกถึงกัน มีอยู่ ๖ อย่าง คือ

๑. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาให้กันและกัน

๒. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในกันและกัน

๓. เข้าไปตั้งนโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในกันและกัน




๔. แบ่งปันลาภผลท่เกิดข้น แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ช่วย
เหลือสงเคราะห์กันด้วยปัจจัยสี่

๕. อยู่ในกฎในแบบแผน เคารพกฎแบบแผนอย่างเดียวกัน
มีกติกา ขนบธรรมเนียม-แบบแผนอย่างเดียวกัน มีกติกา-ขนบ




ธรรมเนียมอย่างไรกร่วมกนทา เช่น ทาวตรเช้า-ทาวตรเยน เวลาไหน





ได้เวลาแล้วก็ไปท�าพร้อมกัน-เลิกพร้อมกัน


๖. พยายามปรับความคด-ความเหนให้สอดคล้องต้องกน

มีอะไรกระทบกระท่ง ก็พยายามปรับความเข้าใจกัน หมายความว่า

มีความเข้าใจซ่งกันและกันเป็นอย่างดี เข้าใจอัธยาศัยของกัน







และกนอย่างด เมอเรานาหลกธรรมนไปใช้กจะเกดประโยชน์




เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเราทั้งแก่สถาบัน
ตัวอย่างเช่น การต้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาน้น ความ



เมตตาเป็นความรู้สึกของใจ เราจะทาอะไรกับลูกศิษย์ ก็ต้อง
แทรกความรู้สึกเมตตาเข้าไปในการกระท�านั้น ต้องสร้างเมตตา

156
สาราสารกถา







ถ้าหากว่าเราไม่รู้หลักอันน้ ทาโดยท่ไม่แทรกเมตตา ไม่แทรก
ความรักลงไปในการกระทา มันกระทบความรู้สึกในทางลบของ



ลูกศิษย์ได้ ท่เรียกว่าทาแบบประชด เช่น อย่างลูกศิษย์ลูกหาปล่อย

หน้ากุฏิให้เลอะ เราดูแล้วมันราคาญเหลือเกิน เราก็ไปถูเสียเอง



แต่เป็นการถูท่ทาให้กระทบกระเทือนจิตใจลูกศิษย์ การทาด้วย
ความรู้สึกน้เรียกว่าไม่ได้ประกอบด้วยเมตตา กายกรรมท่ไม่


ประกอบด้วยเมตตา ก็คือการประชดนั่นเอง...
ต่อไปก็เร่องการแบ่งปันลาภ มีบางรูปเป็นสมภารเจ้าวัดม ี

ลาภผลมากๆ ไม่ได้คิดจะให้ใคร การแบ่งปันลาภน้นต้องปลูก



ความคิดว่าเราต้องให้ มีอะไรท่เกินความจาเป็น คิดให้เขาบ้าง
ดงท่เขาถวายสังฆทาน บางแห่งเตมจนเข้ากฏกเข้าไม่ได้ ไม่มีท ี ่






ท่เท้าจะแหย่ มันเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ ไม่คิดให้ ผลจะเกิด

อย่างไร ผลก็ไม่ได้รับความรัก-ความนับถือ พอดีพอร้ายลูกศิษย์
จะเอาไปนินทาอีก ต้องคิดแบ่งปันลาภ คิดว่าส่วนน้เราเก็บไว้ แต่

ถ้ามันมากเกิน เก็บไว้มันมีแต่เสียอย่างเดียว อย่างไตรจีวรบางท่าน
เก็บไว้ตั้งแต่สมัย ๒๔๘๕ พอจะเอาไปบังสุกุลสักหน่อย ใช้ไม่ได้




เลย ตรงท่พับมันขาดหมด เพราะท่เก่าไม่ได้ใช้หมดอาย ทาอย่างน้ ี

ขาดหลักสาราณียธรรมข้อน้ไปแล้ว เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็น

พระกรรมวาจา มีลูกศิษย์ลูกหา จะปกครองให้เขารัก ตรงน้สาคัญ



อย่าไปตระหน่ ทาให้ใจคอมันคับแคบ ถ้าเราใจคอคับแคบจะ
อยู่คนเดียว

157
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)





กิจกรรมอะไร ท่จะต้องทาร่วมกัน เช่น ทาวัตรเช้า-ทาวัตร







เย็น-ลงอุโบสถ มันมีความจาเป็นท่จะต้องร่วมกันทา พร้อมกันทา

เป็นสลสามัญญตา : เสมอกนด้วยศล เสมอกันด้วยการทา



กิจกรรมร่วมกัน มีความกินแหนงแคลงใจอะไรกัน อย่าเอาไป

นินทา ปรับความเข้าใจกัน น่ทิฏฐิสามัญญตา เอาไปนินทาไม่ได้
เป็นครูบาอาจารย์เอาลูกศิษย์ไปนินทาไม่ได้ ถ้าเขารู้ก็จะหมด

ความนับถือทันท เราเป็นครูบาอาจารย์ ก็ต้องทาความรู้สึก

เหมือนพ่อเหมือนแม่ เป็นลูกศิษย์ก็ต้องท�าความรู้สึกเหมือน
ลูก พ่อ-แม่-ลูกจะเลวยังไงก็ไม่เอาลูกไปนินทา ลูกก็เหมือนกัน
พ่อแม่จะดีจะเลวยังไง ก็ไม่เอาพ่อแม่ไปนินทา มีอะไรปรับความ


เข้าใจกันได้ก็ปรับ ต้องทาใจให้กว้างพร้อมท่จะปรับความเข้าใจกัน



อย่างน้อยู่ด้วยกันสบาย ไม่มีกระทบกระท่ง ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง
ไม่ขัดแย้งแตกแยก



บางวัดมีลูกวัดหน่งองค์ สมภารหนึ่งองค์ แต่ไม่ถูกกัน ท่เป็น

อย่างน้เพราะไม่ได้คิดทาอะไรให้ดีข้น ขาดสาราณียธรรมก็ทะเลาะ





กันท้งวัด น่ก็เป็นงานท่เราจะต้องคิดทาและก็เป็นงานหนักด้วย

อย่าไปกลัวว่า จะเป็นงานหนัก อย่าไปกลัวว่าจะเป็นความลาบาก





งานปกครองไม่ใช่งานเบา เป็นงานท่หนักท่เหน่อยในความรู้สึกท่สุด




เราจะมาเปนผชวย-เปนกรรมวาจากตองมลกศษย เราตองถอวา















เปนภาระของเรา การมาขอเปนครบาอาจารย มาขอใหเปนลกศษย ์






กัน ปวารณาตวกนแล้วมพธถออาจารย์ แต่ตอนนีเราไม่ได้ทา





Click to View FlipBook Version