58
สาราสารกถา
ี
ื
ท่พระเจ้าอโศกส่งมายังสุวรรณภูมิของเรา ก็มีผลต่อเน่องมา
กระทั่งถึงพวกเราในปัจจุบัน
ั
เพราะฉะน้น พวกเราท่ได้รับฐานะเป็นพระธรรมทูตน ้ ี
ี
ื
ี
ก็ได้ช่อว่าเป็นฐานะท่จะเผยแผ่พระศาสนาโดยตรง เพราะเม่อ
ื
ั
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ประกาศพระศาสนาคร้งแรก ก็ได้ส่ง
พระธรรมทูต ๖๐ รูป ไปเผยแผ่พระศาสนาอย่างพวกเราน ้ ี
เหมือนกัน
�
�
ในจุดหมายสาคัญท่พวกเราจะทางานในหน้าท่พระธรรมทูต
ี
ี
ได้ด้วยความจริงจัง ด้วยความเสยสละมากน้อยแค่ไหนน้น ผม
ั
ี
ึ
มีข้อเสนอแนะอยู่อย่างหน่ง ถ้าเรารู้สึกย่อท้อ รู้สึกเหน็ดเหน่อย
ื
ในการที่จะท�างานชิ้นนี้ ผมมีวิธีที่จะปลุกก�าลังใจของพวกเรา
ถ้ำท้อแท้ใจ ให้นึกถึงพระกรุณำธิคุณของพระพุทธเจ้ำ
ั
�
ี
วิธีคิดท่จะทาให้เรามีกาลังใจในงานเผยแผ่น้น ก็คือ นึกถึง
�
พระมหากรณาธคณของพระพุทธองค์ อันน้เป็นหลักสาคัญ
�
ี
ิ
ุ
ุ
ี
ท่สุดเลย ให้จิตใจของเราได้สัมผัสกับพระมหากรุณาธิคุณของ
�
พระพุทธองค์สักน้อยนิด ก็จะมีกาลังใจข้นอย่างประหลาดมาก
ึ
คือขอให้เราคิดว่า เม่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ถ้าพระองค์ไม่คิด
ื
จะประกาศพระศาสนา พวกเรากคงไม่มีฐานะอย่างทเป็นอย่ ู
็
่
ี
ทุกวันนี้
59
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์แท้ หลังจาก
ตรัสรู้แล้ว ต้องทรมานทรกรรม ๔๕ ปีเต็ม ใน ๔๕ ปีเต็มท ี ่
พระองค์ทรงประกาศศาสนาน้น เราจะเห็นได้ว่า การทางาน
�
ั
ของพระพุทธเจ้า ทาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เราไปดูพุทธกิจ
�
�
ี
๕ อย่าง ท่พระพุทธเจ้าทา ๔๕ ปีเต็มๆ ไม่เคยว่าง ไม่เคยเว้น
ั
ี
�
สักวันเดียว ท่ทรงทาได้อย่างน้น ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ถ้า
ไม่มีพระมหากรุณาธิคุณ ท�าไม่ได้หรอก
เมื่อเทียบการท�างานของพระพุทธองค์กับพวกเรา เราจะ
ี
�
ื
เห็นความแตกต่างท่เรานึกว่า เราต้องทางาน ต้องเหน็ดเหน่อย
เราต้องลาบาก เทียบกับความเหน็ดเหน่อยท่พระองค์ได้รับ
ี
�
ื
๔๕ ปีแล้ว ความเหน็ดเหน่อยของพวกเราไม่ได้หน่งในล้านของ
ื
ึ
ี
�
้
พระองค์ด้วยซาไป เรานึกถึงจุดน้ นึกให้เห็นความกรุณาของ
พระพุทธเจ้า แล้วเราจะท�างานด้วยความเต็มอกเต็มใจ
แล้ววิธีนึกท่จะกระตุ้นให้เรามีมานะมีความพยายาม
ี
�
ก็ต้องคิดว่า เม่อพระพุทธองค์ของเราประสูติข้นมา ตามตานาน
ึ
ื
�
ท่เราอ่านกันมา เม่อทรงประสูติคร้งแรก เสด็จดาเนินได้ ๗ ก้าว
ี
ื
ั
ั
ี
ึ
แล้วก็ทรงชูมือข้น เราดูในภาพขณะท่ทรงชูมือน้นก็ทรงแสดง
ั
พระปณิธานไว้อย่างม่นคงว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส : ข้าจะ
เป็นหนึ่งในโลก นี่คือพระปณิธานของพระองค์
60
สาราสารกถา
อันดับของพระพุทธเจ้ำลดลง
จากวันน้นตลอดมา พระองค์ก็พยายาม พยายามจนฐานะ
ั
ของพระองค์ในยุคน้นเป็นหน่งในโลกจริงๆ คือไม่มีพระศาสดา
ึ
ั
องค์ใดจะมีฐานะเทียบเท่าพระพุทธองค์ได้ในชมพูทวีป ลัทธิเก่า
ลัทธิเดิม หรือแม้แต่พระศาสดาร่วมยุคร่วมสมัยของพระองค์
็
ุ
์
ี
ิ
็
่
้
ึ
็
้
ึ
กยอมศิโรราบ พระพทธองคกเปนหน่งขนมาในโลกไดจรงๆ นเปน
็
ความพยายามของพระองค์
แล้วเรามาคิดถึงยุคปัจจุบัน ความเป็นหน่งของพระพุทธองค์
ึ
ในปัจจุบันได้สูญเสียไปแล้ว สูญเสียให้แก่ใคร? สูญเสียให้แก่
พระเยซูคริสต์ ในด้านประชากรที่นับถือศาสนา
ี
ปัจจุบันน้ มีศาสนาใหญ่ๆ อยู่ ๓ ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ
ื
ศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม เม่อมาเทียบการยอมรับ
ของประชากรโลกตามสถิติเด๋ยวน้ พระเยซูเป็นอันดับหน่ง ม ี
ี
ี
ึ
ประชากรยอมรับมากท่สุดในโลก อันดับสองคือ นะบีมะหะหมัด
ี
ี
ี
พระพุทธเจ้าของเรา เด๋ยวน้ตกมาเป็นอันดับสาม
ี
การท่ฐานะของพระพุทธเจ้าตกลงมาน้ เราจะโทษใคร?
ี
ก็ต้องโทษพวกเรา เพราะไม่สามารถจะรักษาฐานะของพระ
ึ
ุ
ั
พทธองค์ให้คงความเป็นหน่งไว้ได้ สมัยน้นพระสาวกรักษากัน
ไว้ได้
61
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
แม้กระท่งในบทพุทธคุณ ท่เราใช้สวดสรรเสริญพระพุทธองค์
ั
�
ฺ
กันอยู่ในปัจจุบันนก็มีบทหน่งท่ว่า สตฺถา เทวมนุสสาน พระผ้ม ี
ู
้
ึ
ี
ี
ุ
ั
้
พระภาค เป็นศาสดาของเทวดาและมนษย์ทงหลาย เดี๋ยวนี้
เราก็ยังสวดบทนี้กันอยู่
พวกเรำเท่ำนั้น จึงจะสำมำรถกอบกู้ฐำนะ
ของพระพุทธองค์กลับคืนมำได้
เราสวดไป เราไม่สะดุดใจบ้างหรือว่า จริงหรือไม่? ท่พระ
ี
ผู้มีพระภาคเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ก็เฉพาะมนุษย์
ี
ในโลกปัจจุบันน้ ท่ยอมรับว่าพระผู้มีพระภาคเป็นศาสดา มีเท่าไร
ี
ที่ไม่ยอมรับมีเท่าไร เราไม่ต้องไปนับถึงเทวดา
�
เม่อเราคิดถึงจุดน้ ก็จะทาให้เรามีความมานะ มีความ
ี
ื
ี
ั
พยายามมากข้น เพราะพวกเราเท่าน้นท่จะช่วยกันยกย่อง
ึ
ั
ู
่
ึ
ิ
ู
ั
ช่วยกนเชดช ช่วยกนกอบก้ฐานะความเป็นหนงของพระ
พุทธองค์ให้คงคืนมาให้ได้ เพราะถ้าเราขาดกาลังใจ ขาด
�
มานะ ฐานะของพระพุทธองค์ก็จะด้อยลง
เดยวน เราก็เหนทวไปแล้ว สาวกของศาสดาอนเขาทางาน
่
ื
่
ี
็
ั
๋
�
้
ี
ั
ื
กัน มีระบบต่อเน่องประสานกันท่วโลก พยายามแทรกซึมไป
ทุกกลุ่ม ทุกหมู่ ทุกเหล่า โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ เขาพยายาม
ี
ท่จะบุกเบิก ท่จะแทรกซึม หาช่องทางท่จะแทรกตัวเองเข้ามา
ี
ี
62
สาราสารกถา
ี
ี
ตลอดเวลาเลย เด๋ยวน้ ในชนบทบางแห่ง เขาก็แทรกซึมเข้าไป
ี
ึ
เยอะแล้ว เราจะไปพบบ้านพระเยซูในชนบท ท่ไม่เคยมี ก็มีข้น
แม้ฐานะของพระพุทธองค์ในประเทศไทย ยังเป็นหน่ง
ึ
็
ู
�
็
ิ
อย่กจรง แต่กลดจานวนประชากรทยอมรบลงไปๆ จากการ
ี
่
ั
ึ
ั
่
ื
้
่
ื
ี
แทรกซมของศาสนาอน อันนก็ฝากให้พวกเราเอาไปคิดกน เพอ
เราจะได้มีกาลังใจ เขามีนักสอนศาสนาของเขาทุ่มเททางาน ถ้า
�
�
ิ
เปรียบกับเราแล้ว บางทีอาจจะแตกต่างกันหลายส่งหลายอย่าง
ต้งแต่สมัยโบราณมา เขาทางานบุกเบิกไปที่ไหนต่อท่ไหน อย่าง
�
ี
ั
หมอบรดเลย สมัยก่อนนี้ ชาวป่าชาวเขาไม่รู้จัก พวกเราไปไม่ถึง
์
ั
หมอสอนศาสนาคริสต์เขาไปถึงหมด พวกเราไปกันไม่ถึงเลยนี่
เขาท�างานกันอย่างนี้ มันแตกต่างกับพวกเรามาก
ี
ี
อันน้ก็เป็นแนวคิดท่ผมถวายไว้ เราต้องสัมผัสนึกถึงมหา-
กรุณาธิคุณ ให้ใจเราสัมผัสกับพระมหากรุณาธิคุณของพระ
้
พทธองคบาง แลวเราจะไดทางานกนดวยความชนอกชนใจ เมอ
ื
ื
่
ื
่
่
ั
�
้
ุ
์
้
้
่
ี
้
่
่
ิ
ึ
ึ
็
เกดความยอทอ ความล�าบากอะไร กใหนกถงวา เทาทเราประสบ
้
่
เท่าที่เราพบ ไม่เท่าหนึ่งในล้านของพระพุทธองค์
�
แล้วโดยเฉพาะงานพระธรรมทูต ท่พวกเราทากันใน
ี
ปัจจุบันน้ มันเป็นงานท่ไม่ได้ฝ่าอุปสรรคขวากหนามอะไรเลย
ี
ี
เราลองมาเทียบกับพระธรรมทูตในยุคบุกเบิก ท่พระโสณะและ
ี
พระอุตตระนาเอาพระศาสนามาประดิษฐาน ณ ประเทศไทย
�
เทียบกับพระธรรมทูตอย่างพวกเราน้ เทียบกันไม่ได้ สมัยท ่ ี
ี
63
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ั
ี
พระโสณะและพระอุตตระมาในคร้งน้น ผืนแผ่นดินน้ยังไม่ม ี
ั
้
ู
ั
้
ั
็
่
ี
ู
ุ
ิ
่
ใครรจกพระพทธศาสนา ไมมใครรจกเลย ตามประวัตกบอกวา
ต้องมาต่อสู้กับพ่อมดหมอผ ซ่งเป็นลัทธิด้งเดิม ต่อสู้กันอยู่นาน
ั
ึ
ี
จนกว่าจะยอมรับ
อย่างพวกเราท่เป็นพระธรรมทูตน้ ไม่ได้ไปต่อสู้กับอะไรเลย
ี
ี
ิ
ถ่นท่เราจะไปเผยแผ่เอาคาสอนของพระพุทธเจ้าไปประกาศ ก ็
�
ี
ั
เป็นถ่นของเราท้งน้น แล้วเราลองมานึกซิว่า ความลาบากของ
ั
�
ิ
เรา มันเกิดจากอะไร มันเกิดจากความเคยสะดวกสบาย ก ็
ั
เท่าน้นเอง เราไม่ต้องไปต่อสู้กับอะไรเลย ถ้าเราเทียบฐานะกับ
พระโสณะและพระอุตตระแล้ว เทียบกันไม่ได้หรอก
เพราะจริงๆ แล้ว ลักษณะของพระธรรมทูต ตามความ
ี
ิ
หมายโบราณจริงๆ จะต้องเอาพระศาสนาไปเผยแผ่ในถ่นท่เขา
้
ิ
่
่
ี
ยงไมมพระพทธศาสนา พวกเราไปไดไหม? สมมตวา จะสงพวกเรา
ั
ุ
่
ไปเผยแผ่ศาสนา ในถ่นท่เขายังไม่นับถือพระพุทธศาสนา ไป
ี
ิ
ได้ไหม? นึกว่าไปได้ไหม? ความรู้ความสามารถอย่างพวกเราน
้
ี
ไปได้ไหม? ผมคิดว่าไปยากมาก ไม่ต้องอะไรหรอก เพียงแค่ภาคใต้
�
๔ จังหวัดน่ะเราเจาะเข้าไหม? ทาไมเขาเข้มแข็งขนาดน้น ศาสนา
ั
่
้
้
อิสลามในจังหวัดภาคใต แมแตรัฐบาลยังไมสามารถจะเจาะได ้
่
ประสิทธิภาพของพระธรรมทูตทแน่จริงๆ ผมคดว่าต้อง
ิ
ี
่
ั
ไปเจาะจุดอย่างน้น แล้วเราก็ไม่สามารถจะเจาะได้ แล้วก็ไม่ม ี
นโยบายจะไปเจาะเขา เรยกว่าเจาะตลาดของพุทธบรษท อนน ้ ี
ั
ิ
ั
ี
64
สาราสารกถา
ี
ั
ี
ึ
้
เราไม่มีเลย นโยบายเราไม่มี ท่เราต้งพระธรรมทูตขนมาน้ ก ็
เพ่อจะรักษาฐานะด้งเดิมของเราไว้ จะเป็นแผนรุกแผนรับอะไร
ั
ื
ในแง่ยุทธศาสตร์จริงๆ แล้ว ผมก็ยังมองไม่เห็นว่า มันเป็นแง่รุก
แง่รับอะไร ว่าในเชิงยุทธศาสตร์ หน่วยงานพระธรรมทูตของเราน ้ ี
ไปรุกใคร ไปรับใคร ไม่ใช่แง่รุก แง่รับในหลักยุทธศาสตร์อันน ี ้
ั
เราก็พูดเป็นแง่คิดไว้ เพราะจริงๆ แล้ว มันจะต้องมีท้งแง่รุก
มีทั้งแง่รับ
เพราะพระธรรมทูต โดยฐานะถือว่าเป็นกองรบของกองทัพ
ื
ั
ธรรมน่นเอง แต่เม่อเราดูนโยบาย ดูแผนงาน เราไม่ได้ไปรบกับ
ั
ื
ใครเลย คือการไปแย่งชิงศาสนิกไม่มี เพราะฉะน้นจึงเป็นเร่อง
พ้นๆ เร่องธรรมดา มีเยอะแยะหมดสาหรับหน่วยงานท่เก่ยว
�
ี
ี
ื
ื
กับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็เผยแผ่กันอยู่แค่น้ เผยแผ่กัน
ี
แต่ที่มันมีอยู่แล้ว
หลักกำรรักษำพระศำสนำ
ิ
้
ิ
หลกจรงๆ ทเราจะรกษาพระศาสนาได้นัน ผมคดว่า
ั
ี
ั
่
ิ
นกการศาสนา หรอนกเผยแผ่อย่างพวกเรา จะต้องมความคด
ั
ั
ี
ื
ติดสมองอย่างน้อยๆ ๔ ตัว เกาะอยู่ในสมองเลย ความคิด ๔
ตัวนี้ เราลองวิเคราะห์ดูว่า ปัจจุบันเรามีกันบ้างไหม ความคิด
ติดตัวที่เราจะต้องติดสมอง ๔ ตัวนั้น คือ
65
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
หลักท่ ๑ ต้องคิดป้องกัน คือ รักษาอาณาจักรของเราไว้
คือ พุทธจักรท่เราครองอยู่น้ เราต้องคิดป้องกันว่า เราจะทายังไง
ี
�
ี
ี
ิ
ถึงจะป้องกันพุทธอาณาจักรท่เรามีอย่แล้ว ไม่ให้ถูกลทธอื่น
ู
ั
ึ
้
ั
ั
ั
้
ู
เข้ามาแทรกซมได เราตองร้จกคิดป้องกน เราจะป้องกนอย่างไร?
ี
หลักท่ ๒ ต้องรู้จักแก้ไข ต้องรู้จักแก้ไขว่า มันมีหน่วย
แทรกซึมอะไรเข้ามาในอาณาจักรของเราน้ เราจะแก้ไขอย่างไร?
ี
นี่เป็นความคิดอันดับสอง
อันดับ ๓ ต้องคิดสร้างสรรค์ คือ เราจะต้องพยายาม
สร้างระบบการทางาน ระบบการเผยแผ่ ระบบรายการต่างๆ
�
้
ึ
ต้องสร้างระบบขนมา ไม่ใช่ว่ายงไงก็ยงงนๆ อย่างทเป็นอย่
ั
ั
ั
้
ู
ี
่
่
ุ
ั
ั
็
ี
ในปจจบนน คอ ระบบตางๆ นมนเปนเหมอนไมมระบบ เพราะ
่
ั
่
ื
ี
ื
ี
้
ึ
้
ั
้
ู
้
้
ู
้
้
ึ
้
้
ระบบนไมไดถกสรางขนมาเลย ตองรจกสรางระบบขนมา และ
่
ี
หลักประการท่ ๔ ก็คือ หลักอนุรักษ์ ป้องกัน แก้ไข
ี
�
สร้างสรรค์ และอนุรักษ์ ๔ อย่างน้ท่เราทากันทุกวันๆ มันก ็
ี
ี
ต้องให้เข้าใจในหลัก ๔ หลัก เราสามารถท่จะป้องกันศาสนา
ี
ื
ของเราได้ สามารถแก้ไขความเส่อมทางศาสนาของเราได้
สามารถสร้างสรรค์ความเจริญของศาสนาเราได้ และสามารถ
จะอนุรักษ์สิ่งดีสิ่งที่งามของศาสนาเราไว้ได้
้
ั
่
ในความคด ๔ ตว หรอ ๔ อยางทผมเรยนถวายไวน มน
้
ี
ิ
ี
ื
ั
ี
่
ั
ี
ไม่ใช่อะไรเลย มันก็เป็นหลักท่พระพุทธองค์ให้ไว้ก็เท่าน้นเอง
ั
ึ
แต่ว่าเราไม่ได้หยบยกเอาขนมาใช้กน หลักป้องกัน แก้ไข
ิ
้
66
สาราสารกถา
้
ี
สร้างสรรค์ และอนุรักษ์น มันก็คือ ตัวสัมมาวายามะ ใน
อริยมรรคน่นเอง ก็เท่าน้น น่เราไม่ได้เอามาใช้ เอามาใช้ให้ครบ
ั
ั
ี
กระบวนความของมัน ไม่งั้นเราจึงต้องเสียอาณาจักรไปเรื่อยๆ
เพราะมันเป็นอย่างนี้
ปัจจุบันน้ เราทากันได้อยู่อย่างเดียว ใช้ระบบเดียว คือ
ี
�
ระบบอนุรักษ์ คือใช้เพียงตัวเดียว เพราะหลักสัมมาวายามะมัน
ี
มีถึง ๔ ตัวท่เราจะเอามาใช้ แต่เราใช้เพียงแค่อนุรักษ์ เพียงแค่
ั
ี
อนุรักษ์มันเอาไม่อยู่ อนุรักษ์น้บางคร้งมันเหมือนกับอยู่เฉยๆ
ื
ื
ื
ในเม่อเราอยู่เฉยๆ เน่ย คนอ่นเขาเดินไปเร่อยๆ สักวันหน่งเขา
ึ
ี
ึ
ก็ข้นหน้าเราไป ไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหนก็ตาม ถ้าเรายืนอยู่ใน
จุดน้ ผมว่ายืนไม่ได้ น่ก็เป็นแนวคิดเล็กๆ น้อยๆ ท่ผมถวายไว้
ี
ี
ี
ู
็
ื
ั
ุ
เพราะพวกเราทกคนเป็นนกเผยแผ่ เป็นพระธรรมทต กคอ
นักสอนศาสนานั่นเอง
ประยุกต์เอำพุทธคุณ ๙
มำเป็นคุณสมบัติของพระธรรมทูต
ี
ั
ี
ทีน นกสอนศาสนา หรือนกเผยแผ่ เราจะท�างานด้านน้ได้
้
ั
คุณสมบัติท่จาต้องมี เราจะเอาอะไรมาเป็นคุณสมบัติ ท่ผม
ี
ี
�
ื
ื
จะเรียนถวายไม่ใช่อย่างอ่นเลย มันก็เป็นเร่องธรรมดาๆ แต่
ว่าเราไม่ได้คิด ไม่ได้เอามาประยุกต์และใช้กัน เราต้องนึกว่า
พระพุทธองค์ของเราได้รับการยอมรับว่า เป็นพระศาสดา คือ
67
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
เป็นยอดของผู้สอน ไม่มีใครจะยอดเย่ยมเท่าจริงๆ เป็นยอด
ี
ของผู้สอน แล้วเราก็มานึกว่า ท่ทรงเป็นยอดของผู้สอนได้น้น
ั
เพราะพระองค์มีคุณสมบัติอย่างไร?
คุณสมบัติของพระพุทธองค์ท่ทาให้พระองค์เป็นยอด
�
ี
ของผู้สอน เป็นพระบรมศาสดา พวกเราก็เอามาสวด เอามา
ั
ภาวนากันทุกวัน น่นก็คือ พระพุทธคุณ ๙ ประการ พระพุทธคุณ
่
่
ุ
ั
ั
็
๙ ประการนนแหละ เปนคณสมบตของนกเผยแผ ถาไมเอา
ั
้
่
ิ
คุณสมบัติ ๙ ประการน้ไปใช้แล้ว เราจะเป็นนักเผยแผ่ให้คน
ี
ยอมรับได้ยาก หรือไม่ยอมรับเลยก็ได้
คุณสมบัติ ๙ ประการมีอะไรบ้าง? อิติปิ โส ภควา อรห �
สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร
ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน� พุทฺโธ ภควา ก่อนจะ
ี
ี
ไปเผยแผ่ท่ไหนก็ภาวนาไว้ แล้วคุณสมบัติเหล่าน้เราสามารถ
เอามาประยุกต์ใช้ได้ไหม? พระพุทธองค์หวงหรือเปล่าว่า เป็น
ี
พระพุทธเจ้าเท่าน้น จึงจะมีคุณสมบัติ ๙ ประการน้ได้ พระ
ั
สาวกอย่างพวกเราเอาคุณสมบัติของพระองค์มาใช้บ้างได้ไหม?
ี
�
่
ิ
ุ
ั
ถ้าเอาคณสมบตของพระพทธองค์มาใช้ไม่ได้ คาทเรากล่าว
ุ
ปฏิญาณตนกันว่า พุทฺธ� สรณ� คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถึง
ุ
ี
�
่
พระพทธเจ้าเป็นสรณะ ทพงทระลก เราจะกล่าวทาไม? ทีน ี ้
ี
่
ึ
่
ึ
ี
ปัญหามันก็มีอยู่อย่างน้ ก็หมายความว่า ข้าพเจ้าพร้อมจะเอา
คุณสมบัติของพระพุทธองค์มาใส่ตัวข้าพเจ้า
68
สาราสารกถา
ต้องบริสุทธิ์ใจในกำรสอน (อรห)
�
คุณสมบัติข้อท่ ๑ อรห� พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้น
ี
ั
ทรงเป็นพระอรหันต์ เราเป็นกันได้ไหมพระอรหันต์น่ะ? ถาม
ี
ตัวเองว่า เราจะเอาคุณสมบัติข้อน้มาใช้ เราไม่ต้องเป็นพระ
อรหันต์ด้วยหรือ? ต้องเป็นไหม? พระอรหันต์มี ๒ จ�าพวก
๑. พระอรหันต์โดยคุณสมบัติ หมายความว่า หมดกิเลส
ิ
์
์
ี
ี
้
ั
ั
้
๒. พระอรหันตโดยแต่งตง เด๋ยวนพวกหนงสือพมพ พวก
โลกทิพย์ พวกอะไรต่างๆ เนี่ยตั้งกันเยอะเลย จนพระบ้านเรา
เป็นอรหันต์กันหลายรูป
ผมบอกว่า เราจะต้องเอาคุณสมบัติของพระองค์มาประยุกต์ใช้
ิ
ี
เช่น อย่างคุณสมบัติน้ ไม่ต้องหมดกิเลส แต่ให้บริสุทธ์ได้ไหม?
ผมตอบว่าได้ ไม่ต้องหมดกิเลสหรอก เราเอามาประยุกต์ใช้ได้
ก็พวกท่านน้ ถ้าไม่บริสุทธ์จะมาบวชพระกันได้หรือ เพราะท่าน
ิ
ี
จะมาเป็นพระเนี่ย อย่างน้อยท่านต้องบริสุทธิ์ เป็นผู้บริสุทธิ์
�
เพราะคาว่า บริสุทธิ์ น้น ไม่ได้หมายถึงหมดกิเลสเพียง
ั
ิ
ื
อย่างเดียว อย่างน้อยๆ เราก็บริสุทธ์ในเร่องใดเร่องหน่ง อย่าง
ึ
ื
ี
พวกเรามาบวชพระกันได้เน่ย ก็ตรวจสอบกันแล้ว แม้จะไม่ต้อง
แก้ผ้าตรวจ ก็เป็นท่รับรองของพระอุปัชฌาย์ ของคู่สวด ของ
ี
ิ
พระอันดับ พวกเราบริสุทธ์กันมาต้งแต่บวชกันแล้ว ถ้าเราจะ
ั
ี
เอาคุณสมบัติของพระพุทธองค์ข้อน้มาใช้ เราก็จะต้องมีความ
บริสุทธิ์ใจ
69
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ิ
ความบริสุทธ์ใจท่เราจะไปทางานพระธรรมทูตน้ เราจะ
ี
�
ี
ิ
บริสุทธ์ใจในเรื่องอะไร? เราจะไปเผยแผ่ธรรมะ เราไปเผยแผ่
ี
ิ
ี
ี
ื
เพ่ออะไร เอาความบริสุทธ์ใจตรงน้ เพราะตรงนแหละท่จะ
้
ิ
�
ิ
ทาให้เราบริสุทธ์หรือไม่บริสุทธ์ การไปทางานเผยแผ่ของเรา
�
เราถามตัวเองว่า เราไปเน่ย เราบริสุทธ์ใจไหม เราอยากได้อะไร
ี
ิ
ท่เราไปเผยแผ่เน่ย เราอยากได้หรืออยากให้ ต้งคาถาม ถาม
ี
ั
�
ี
ึ
ี
ี
ตัวเอง คือท่เราจะไปเผยแผ่ธรรมะเน่ย มันก็มี ๒ ตัว ตัวหน่ง
ื
เราอยากได้ หรืออยากให้ ถามตัวเองว่า เราอยากได้ หรอ อยาก
ื
่
้
ื
ให อยากเอาหรออยากให้ เราจะไปเอาอะไร ไปเอาเครองกณฑ์
ั
ไปเอาช่อเสียง หรือเราจะไปให้อะไรเขา ตรงน้แหละสาคัญท่สุด
ี
�
ื
ี
�
ท่ผมบอกว่า จะต้องทาตัวของเรา ทาใจของเราให้บริสุทธ ์ ิ
�
ี
คือ ท่เราไปเผยแผ่เน่ยเราจะไปให้ ไม่ใช่ไปเอา ถ้าเราคิดไปเอา
ี
ี
ถ้าไม่ได้ มันท้อแท้ แล้วใจเรามันไม่บริสุทธ์ ถ้าคิดจะให้ มัน
ิ
ี
ิ
ื
บริสุทธ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เม่อถึงวาระท่เราจะต้องไปเผยแผ่
ี
ั
แล้ว เราต้งใจไปเลยว่า วันน้เราจะเอาดีไปให้เขา ดีอะไร? ท่เรา
ี
เตรียมจะไปให้เขา ให้เรามีความบริสุทธิ์ใจอย่างนี้ คือ ไปด้วย
ความสงสาร ไปด้วยความเมตตา แล้วคนท่เราจะเอาธรรมะไปให้
ี
เอาดีไปให้เนี่ย เป็นคนที่น่ารัก น่าสงสาร
ี
้
ถ้าเราทาใจได้อย่างน ผมก็คิดว่า พระคุณสมบัติข้อว่า อรห� นี้
�
ี
ั
เอามาใช้ได้ แล้วเราจะทางานช้นน้ได้ ถ้าเราต้งใจอย่างน้ ผม
ี
�
ิ
ก็นึกว่ามันเป็นโอกาสหน่งท่ใจของเราจะได้สัมผัสพระคุณของ
ึ
ี
ั
พระพุทธเจ้า ในข้อพระกรุณาธิคุณน่นเอง คือให้เรามีความรัก
70
สาราสารกถา
ี
ี
มีความสงสารคนท่เราจะเอาธรรมะไปให้ จุดท่เราจะเอาธรรมะ
ไปเผยแผ่ นี่ก็ความบริสุทธิ์ใจ
เอามาประยุกต์ใช้ได้ไหม? ใช้ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้อง
ิ
เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องหมดกิเลสส้นเชิงหรอก เป็นแต่เพียงให้
ิ
มีความบริสุทธ์ใจในการทางานช้นน้ ทางานช้นน้ เพ่อจะช่วยเขา
ี
ิ
�
ิ
ี
�
ื
ื
ื
ื
้
เพ่อจะให้เขา ไม่ใช่เพ่อจะไปซา ไม่ใช่เพ่อจะไปเอา น่คุณสมบัต ิ
�
ี
ข้อที่ ๑
เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทางานประกาศศาสนา
�
๔๕ ปี พระองค์ไม่ได้อะไรเพ่มข้นเลย เพราะพระองค์ไม่ได้คิด
ิ
ึ
เอาอะไร ไม่ได้คิดเลยสักนิดเดียว ๔๕ ปีพระพุทธองค์ได้อะไร
ี
เพราะส่งท่จะพึงได้ พระพุทธองค์ได้หมดแล้วในวันท่ตรัสรู้ ถ้า
ิ
ี
ไม่เผยแผ่ศาสนา พระองค์ก็ไม่เสียอะไร เพราะฉะน้น ท่เผยแผ่
ั
ี
ิ
ศาสนา ๔๕ ปีน้น ก็ด้วยความบริสุทธ์ใจแห่งมหากรุณาธิคุณ
ั
ตัวนี้ตัวเดียวนี่เอง
ต้องเข้ำใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่จะสอน (สมฺมำสมฺพุทฺโธ)
ี
ข้อท่ ๒ สมฺมาสมฺพุทฺโธ จะเอาพระคุณข้อน้มาใช้ เรา
ี
ไม่ต้องตรัสรู้กันด้วยหรือ ต้องตรัสรู้ไหม? จึงจะเป็นสัมมา-
สัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบได้ด้วยตัวเอง อันนี้เราไม่ต้องเป็น
สัมมาสัมพุทธะ แต่เอามาประยุกต์ใช้ได้ ประยุกต์ใช้อย่างไร?
71
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
ื
ี
คือเราจะต้องพยายามทาความเข้าใจเร่องท่เราจะไปพูดด้วย
�
�
�
ั
ตวของเราเอง ไม่ใช่เราจะจาเอาตาราไปพูด จาเอาแบบไปพูด
�
ถ้าจาเอาไปพูด มันไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะ คือ เราจะพูดเร่องอะไร
ื
ื
เราจะต้องเข้าใจแจ่มแจ้งในเร่องน้นด้วยตัวเองก่อน เพราะนักสอน
ั
ที่ดีจะต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องไปท�าความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง
สมมติว่า เราจะไปพูดเร่องทาน เราก็จะต้องทําความ
ื
ื
ี
เข้าใจให้แจ่มแจ้งในเร่องทาน มันดีจริงๆ หรือท่พระพุทธเจ้า
สอนให้ให้ทาน เราต้องไปวิเคราะห์ไปวิจัย เราทําอย่างไรเราจึงจะ
ื
เข้าใจ เม่อมีข้อโต้แย้งกลับมา เราจะได้ตอบได้ แก้ได้ สมมติว่า
ั
เราไปสอนเร่องทาน สังคหวัตถุมีทานเป็นตัวแรกน้น มีคน
ื
ึ
เกดค้านข้นมาว่า พวกท่านก็สอนได้สอนให้ให้ทาน เพราะไม่
ิ
ั
สอนเร่องน้ท่านอยู่กันไม่ได้ ต้งแต่หัวโจกพระพุทธองค์มาเลย
ื
ี
พระพุทธองค์ก็สอนแต่เรื่องให้ทาน เพราะพระพุทธองค์ก็ด ี
สาวกของพระพุทธองค์ก็ดี อยู่ได้ด้วยการให้ทาน ถ้าไม่มีการ
ื
่
็
ี
็
ี
ให้ทาน ศาสนาอยู่ไม่ได้ ท่ท่านสอนเรองน้ กเพราะเหนแก่ตัว
ทั้งนั้น เราจะตอบเขาอย่างไร ถ้าเขาโต้แย้งมาอย่างนี้
ี
ถ้าเราไม่มีความเข้าใจเก่ยวกับเร่องน้ ไม่สามารถจะหยิบ
ี
ื
จะยกเอามาอธิบายได้ว่า การให้ทานน่ะมันดีจริง หรือว่ามันด ี
ี
ี
เฉพาะเรา อันน้แหละผมคิดว่าเราจะต้องใช้พระคุณข้อน้ (สัมมา-
สัมพุทธะ) คือจะต้องหยิบยกเอาเร่องทานน้มาวิเคราะห์มาวิจัย
ื
ี
ี
ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ให้ทานน้ มันดีจริงๆ หรือเปล่า หรือม ี
72
สาราสารกถา
ี
�
ุ
่
ความจาเป็นทพระพทธองค์ต้องสอน เพราะพระองค์ต้องฝาก
ั
ศาสนาไว้แก่การให้ เพราะพระสาวกของพระองค์ท้งหมดน้น
ั
�
ี
ไม่ได้ประกอบอาชีพทามาหากินอะไรเลย น่ผมยกประเด็นให้
เห็นง่ายๆ
เมื่อเรามีความจ�าเป็นต้องใช้พระคุณข้อ สัมมาสัมพุทธะ
ี
ิ
ิ
เอามาวิเคราะห์ เอามาวิจารณ์ส่งท่เราจะนาไปเผยแผ่ ส่งท่เรา
�
ี
ั
ั
จะนาไปสอนให้เราเข้าใจเน้อหาสาระน้นได้ด้วยตวเอง แล้วสง
ื
ิ
่
�
ั
ี
�
ื
ี
ท่จะทาให้เราเข้าใจเร่องท่เราจะนาไปสอนน้น บางทีเราพูดด้าน
�
เดียวคนไม่เข้าใจหรอก พอถูกโต้มาเราก็จน เพราะเราไม่เข้าใจ
ื
ื
เม่อเราไม่เข้าใจเหตุผล มันจะไม่มาทุกเร่องแหละ ถ้าเราไม่เอา
ไปขบไปคิดให้เกิดความเข้าใจด้วยตัวเองแล้ว เหตุผลมันจะ
ไม่มา อุปมาอุปไมยมันก็จะไม่มา แต่ถ้าเราคิดให้แน่ให้เกิดความ
เข้าใจ จะมีเหตุผลร้อยนัยพันนัยเลย
ื
ี
เหมือนอย่างกับเร่องทาน ถ้าเราเข้าใจวิธีท่จะทาให้เรา
�
เข้าใจ เราก็หยิบเอาสองอย่างมาวางคู่กัน วิธีคิดท่จะให้เข้าใจ
ี
ิ
คือทุกส่งในโลกจะมีอะไรส่งเดียวไม่ได้ จะต้องมีส่งตรงกัน
ิ
ิ
ข้ามมาให้เปรียบเทียบ เราจะรู้ว่า อะไรดี อะไรไม่ดี มันก็ต้องมี
ั
ิ
ั
ิ
ส่งเปรียบเทียบ มันต้องมีส่งตรงกันข้ามเปรียบเทียบกันท้งน้น
พระพุทธเจ้าสอนให้ให้ทาน การให้ทานตรงกันข้ามกับอะไร
ิ
ี
ิ
่
ี
ิ
จดตรงจรงๆ ทมนตรงกนข้าม ก็คือการลกขโมย นวธวเคราะห ์
ุ
่
ี
ั
ั
ั
บางส่งเราต้องหาจุดตรงกันข้ามมาเปรียบเทียบ เราจึงจะเข้าใจ
ิ
73
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ุ
ั
็
ื
่
ื
่
้
แจมแจง จดตรงกนขามกบการให กคอการลกขโมย เมอเราได ้
ั
้
้
ั
ี
จุดตรงกันข้ามแล้ว เราก็เอามาวางคู่กันว่า สองอย่างน้ อันไหนด
ี
อันไหนเป็นประโยชน์แก่สังคม อันไหนให้ความสุขแก่สังคม เรา
เอามาวางเทียบกันอย่างนี้ เราก็สามารถจะเห็นได้
น่ยกตัวอย่างเพียงให้เห็นง่ายๆ ว่า คุณสมบัติข้อสัมมา-
ี
สัมพุทธะ ก็เป็นคุณสมบัติจาเป็นของนักเผยแผ่ ถ้านักเผยแผ่
�
ไม่มีคุณสมบัติข้อน้ไว้ในใจ เราจะทางานไม่ได้ผล เพียงแค่
ี
�
�
�
เราจาเอาไปพูด อย่างมากเขาก็จาต่อไป ไม่เกิดความเข้าใจ
ไม่เกิดความแจ่มแจ้ง ตัวนี้ตัวส�าคัญ
ี
ั
เม่อเราไปนึกถึงอาการท่พระพุทธเจ้าทรงส่งสอน ๓ อย่าง
ื
ข้อท่ ๑ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพ่อความรู้ย่งในส่งท่ควรร ู้
ื
ิ
ิ
ี
ี
ี
ิ
ควรเห็น เราจะสอนให้เขารู้ย่งเห็นจริงในส่งท่เราไปสอน หลัก
ิ
ั
ื
ั
ื
ก็คือ ต้องเข้าใจเร่องน้นด้วยตัวเอง การเข้าใจเร่องน้นด้วยตัวเอง
็
ั
ื
้
กคอ สมมาสมพทธะ นเอาคณของพระพทธเจ้าข้อนไปใช้ได้
ี
่
ั
ุ
ี
ุ
ุ
ไม่ต้องถึงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ตามแบบพระพุทธองค์ มันยังไม่ถึงข้น
ั
แต่เราก็เอามาประยุกต์ใช้ได้ แล้วใช้ได้ดีด้วย
ี
น่สองข้อแล้ว คุณสมบัติของพวกเราต้องเอามาใช้ ถ้าไม่เอา
คุณสมบัติของพระพุทธเจ้ามาใช้ จะเผยแผ่พระศาสนาอย่างไร
จะรักษาพระศาสนาได้อย่างไร และการเผยแผ่ศาสนานั้น โดย
ึ
ั
ความอันหน่ง ก็คือการเชิดชูบูชาคุณของพระพุทธองค์น่นเอง
จะยกคุณของพระพุทธองค์ให้เด่นขึ้นมา เราจะท�าอย่างไร
74
สาราสารกถา
ต้องดี ทั้งวิชำควำมรู้ ทั้งกิริยำมรรยำท
(วิชฺชำจรณสมฺปนฺโน)
ข้อท่ ๓ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน พระผู้มีพระภาคเจ้า
ี
ั
พระองค์น้น เป็นผู้ดีพร้อม เรานักเผยแผ่ ส่งสาคัญท่สุด ก็คือ
�
ี
ิ
ี
ความดีพร้อม ดีพร้อมของคนมีอะไรบ้าง? ท่เราจะเรียกว่าด ี
ื
ั
ั
พร้อมกนได้ คอ ดีครบน่นเอง ดีครบคืออะไร? คือ วิชาความรด ี
้
ู
การประพฤติปฏิบัติดี หากพวกเราขาดล่ะ ขาดตัวใดตัวหน่ง
ึ
เราจะไปเผยแผ่ได้อย่างไร?
เพราะฉะน้น เราก็สามารถจะเอาพระคุณข้อน้มาไว้ในตัว
ั
ี
้
ิ
ั
ฺ
ิ
็
ู
ี
้
ื
ี
เราได้ ดครบ คอดทงวชาความร้ ดทังมรรยาท ก วชชาจรณ-
ี
ื
ื
สมฺปนฺโน ใช่ไหม? ช่อมันบอกอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเอาเร่องอ่น ไม่ต้อง
ื
ื
ไปศึกษาเร่องอ่น ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ศึกษาอยู่
ื
ี
ในพุทธคุณน่แหละ พยายามเอาพุทธคุณมาเป็นสมบัติของเรา
เพียงแค่โดยปริยาย ไม่ต้องนิปปริยายหรอก ก็จะสามารถทา
�
คุณประโยชน์ให้แก่ตัว ท�าคุณประโยชน์ให้แก่สังคมได้
ต้องเป็นคนคล่องตัว (สุคโต)
่
ี
ข้อท ๔ สุคโต ท่เราจะต้องเอามาประยุกต์ใช้ หมายความว่า
ี
ื
เป็นคนคล่องตัว เม่อเรามีความรู้ดี มีความประพฤติดี มันก็ต้อง
เป็นคนคล่องตัว คือพร้อมตลอดเวลา สุคโต ตรงกันข้ามกับ ทุคฺคโต
75
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ทุคฺคโต ในภาษา ในความหมายท่ถ่ายออกมาเป็นภาษาไทย
ี
็
เราก็แปลกันว่า เข็ญใจ เขญใจ ก็หมายความว่า จะทาอะไร
�
ี
�
จะต้องพยายามดันตัวเอง ต้องจ้ต้องบังคับฝืนใจทา ท่เราจะ
ี
ิ
ิ
ี
้
�
ไปปฏบัตงานพระธรรมทูตกันน เราต้องฝืนใจทาไหม? สุคโต ก ็
หมายความว่า คล่องตัว เวลานึกจะทา มันพร้อมตลอดเวลา
�
ี
่
ี
่
็
่
เปนคนทพร้อม อยตลอดเวลา และเรยกวาเปนคนงาย ไมอืดอาด
่
ู
่
็
ยืดยาด พบยาก พูดยาก ติดต่อยาก อะไรทานองน้น เราคล่องตัว
ั
�
ี
ไหม ท่จะเป็นพระธรรมทูตกัน ถามตัวเอง ถ้าไม่คล่องตัว ภาวนาไว ้
สุคโต สุคโต สุคโต เราจะได้ไม่ต้องเข็ญใจในเวลาท�างานนี้
ต้องรู้สภำพสังคมของแต่ละท้องถิ่น (โลกวิทู)
ิ
ี
ข้อท่ ๕ โลกวิทู รู้แจ้งโลก ข้อน้ก็เป็นส่งสาคัญ สาคัญ
ี
�
�
ู
ท่สุด เราจะเอามาประยุกต์ใช้ในแง่ไหน? ตัว โลกวิท อย่าง
ี
ความหมายท่เป็นคุณสมบัติของพระพุทธองค์ตรงๆ ก็คือ รู้แจ้ง
ี
โลก ทกโลกรู้หมด ในความหมายทต้องประยกต์ เราจะไป
ุ
่
ี
ุ
ประกาศธรรม ทางานพระธรรมทูตจุดไหน ไปท่โรงเรียนโน้น
�
ี
ี
ไปท่หมู่บ้านโน้น หมู่บ้านน้ โลกวิทูของเรา ก็คือรู้สภาพสังคม
ี
ี
ของแต่ละท่ท่เราจะไปเผยแผ่ เราจะต้องศึกษาสภาพแวดล้อม
ี
ของสังคมนั้นให้มันแตก ให้มันออก ให้มันเข้าใจ
ถ้าเราไม่เข้าใจสังคม อย่างท่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ
ี
ื
ี
ทรงนิพนธ์เก่ยวกับการเทศน์ การเผยแผ่ไว้ เม่อเราจะไปโปรด
76
สาราสารกถา
ไปเทศน์ให้พวกชาวประมงฟัง สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรง
�
ตาหนิว่า ช่างไม่รู้อะไรเลย อาชีพชาวประมง ก็คือจับปลาขาย
ั
ิ
่
ื
ี
เราจะไปเทศน์เรองปาณาตบาต เขาจะยอมรบหรอ นแสดงว่า
่
ื
ขาดโลกวิทู ก็ธรรมะดีๆ อย่างอ่นเยอะแยะไป เราเลือกซิว่า
ื
สภาพสังคมเขาเป็นอย่างไร เราจะเอาธรรมะอะไรไปให้เขา
ค่อยๆ เลือก นี่คือ โลกวิทู
ู
ู
ถ้าไม่ร้โลก ไม่ร้สภาพแวดล้อมสังคม เอาธรรมะอะไร
ไปเผยแผ่ แทนท่จะดีกลายเป็นเสีย แทนท่จะเป็นคุณกลาย
ี
ี
เป็นโทษ นี่คือโทษของผู้ไม่มีโลกวิทูนั่นเอง
ต้องท�ำได้ในสิ่งที่สอน (อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสำรถิ)
ี
ข้อท่ ๖ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ พระพุทธองค์ เป็น
สารถีท่ฝึกบุรุษท่สมควรฝึกได้อย่างยอดเย่ยม เราเป็นพระ
ี
ี
ี
ธรรมทูต เราเป็นนักเผยแผ่ เราก็ได้ช่อว่าเป็นสารถี คือเป็นนักฝึก
ื
ไม่ใช่นักสอนอย่างเดียวใช่ไหม? ฝึกกับสอนไม่เหมือนกัน ฝึก ก ็
ี
ี
ื
�
คือทาให้เป็น จะทาอย่างไรให้เขาทาเป็น น่มันเป็นเร่องเก่ยว
�
�
กับการฝึก และเราต้องนึกว่าส่วนใหญ่พระธรรมทูตในปัจจุบันน ี ้
ั
ั
เราก็จะไปเผยแผ่โดยเกณฑ์กันอย่างน้นเถอะ ก็ต้งเป้าไว้เลย ไป
โรงเรียนนั้น ไปโรงเรียนนี้
ปุริสทัมมะ คนท่ควรฝึก โดยวัย ก็คือ เด็กๆ เพราะ
ี
ี
เด็กๆ ยังไม่เป็นอะไร หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ ท่ไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อย
77
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
สนใจ เราจะฝึกให้เขาเป็นอะไร เราก็จะต้องพยายามฝึกตัวเอง
ื
ี
ั
ให้เป็นไปในเร่องน้นก่อน น่เราเป็นนักฝึก ต้องไปสอนเขาด้วย
ต้องไปฝึกเขาด้วย ฝึกอะไร? อย่างกราบพระจะกราบอย่างไร
ไหว้พระจะไหว้อย่างไร จะให้ทาน จะรักษาศีล จะเจริญภาวนา
เรื่องอย่างนี้ เขาจะท�าเป็นกันได้ ก็ต้องฝึก
ี
เพราะเหตุท่เราไม่มีนโยบาย หรือขาดคุณสมบัติพระพุทธองค์
ข้อน้ เราจึงได้เห็นความแตกต่างของการปฏิบัติในด้านศาสนพิธ ี
ี
ึ
ึ
ไปบ้านหน่งเมืองหน่งเอาอย่างน้ บ้านโน้นเมืองโน้นเอาอย่างโน้น
ี
่
ื
ท้งท่เป็นพิธีเดียวกัน เพราะเราไม่มีแบบมีแผนทจะฝึกว่า เร่องน ี ้
ี
ั
ี
ุ
็
ุ
ิ
ั
ฺ
็
เปนอย่างน เปนแนวเดียวกัน เราขาดคณสมบติข้อ ปรสทมมสารถ ิ
้
ี
คือการฝึก แล้วเร่องการฝึก มันมีอะไรสาคัญเท่ากับการฝึก จะเป็น
ื
�
อะไร หรือไม่เป็นอะไร มันอยู่ที่การฝึกทั้งนั้น
ื
�
แม้พระพุทธองค์ ก็ทรงให้ความสาคัญในเร่องน้ อย่างท ่ ี
ี
ตรัสไว้ว่า ทนฺโต เสฏฺโ มนุสฺเสสุ ผู้ฝึกตนได้ย่อมเป็นคน
ี
เหนือคน พระผู้มีพระภาคทรงรับรองอย่างน้คนท่ทาอะไรได้ด ี
ี
�
ี
ได้เย่ยม เป็นท่ยอมรับ ไม่ว่าจะศิลปินแขนงใด กีฬาแขนงใด
ี
ี
ี
เห็นไหมว่า ท่จะไปถึงจุดท่ยอมรับกันได้ ถ้าไม่ฝึก เป็นได้ไหม?
ี
เอากันแค่นักมวย จะเป็นแชมป์เปี้ยนโลกได้ ต้องฝึกซ้อมก่ยก
กว่าจะถึงตอนชกจริงๆ ฝึกกันตั้งไม่รู้เท่าไร เรื่องฝึกจึงส�าคัญ
ฉะน้น คุณสมบัติของพระองค์ ข้อท่ว่า อนุตฺตโร ปุริส-
ั
ี
ทมฺมสารถิ เราก็น้อมมาเป็นคุณสมบัติของเราได้ โดยการฝึก
78
สาราสารกถา
�
ื
ี
ื
ั
ตนเองในเร่องท่เราจะไปสอน คือ ให้ทาเป็นในเร่องน้น เราจะ
สอนเร่องการให้ เราก็ต้องให้เป็น แล้วเราก็ต้องเห็นจริงๆ ว่าการ
ื
ให้นี้ดีจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น
ต้องท�ำตัวให้เป็นที่ยอมรับของคนทุกชั้น
(สตฺถำ เทวมนุสฺสำน)
�
ข้อท่ ๗ สตฺถา เทวมนุสฺสาน� เป็นครูของเทวดาและ
ี
ื
ี
มนุษย์ ข้อน้เราเอามาประยุกต์ใช้อย่างไร? คอเราจะต้อง
�
ี
ั
ั
พยายามทาตัวของเราให้เป็นท่ยอมรับของคนท้งสองช้น คือ
ั
ั
ช้นล่าง และช้นบน เทวดาก็หมายถึงช้นบน มนุษย์ก็หมายถึง
ั
ช้นล่าง คนเขายอมรับเราไหม? สมมุติว่าเราจะไปเผยแผ่ธรรมะ
ั
ั
ึ
ในโรงเรียน ในโรงเรียนมีคนสองช้น ช้นหน่งคือครูบาอาจารย์
ั
ช้นหน่งคือเด็ก เราจะเข้าไปในโรงเรียน ไปเผยแผ่ธรรมะในโรงเรียน
ั
ึ
ั
น้นได้ มันก็ต้องให้คนสองช้นน้ยอมรับ คือ ช้นครูบาอาจารย์
ี
ั
ั
ั
ี
ั
ก็ยอมรับว่า เราน้แน่ ชนช้นครูบาอาจารย์ยอมรับชนช้นล่าง มัน
ก็ง่ายเข้า
สาคัญท่สุด คือคนช้นครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์
�
ี
ั
ฺ
่
ื
่
่
่
็
ั
ื
ไมยอมรบ ไม่ได้ เพราะเดกจะเชอครมากกวาเชอพวกเรา นี่ สตถา
ู
�
�
เทวมนุสฺสาน ธรรมดาท่วไป บ้านท่วไปเราก็จะต้องทาตัวของ
ั
ั
เราให้เป็นท่ยอมรับของผู้ใหญ่และเด็ก สตฺถา เทวมนุสฺสาน�
ี
เด็กก็ยอมรับ ให้ความรัก ให้ความเคารพ ผู้ใหญ่ก็ยอมรับ ให้
79
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ความรัก ให้ความนับถือ มันก็ใช้ได้ และฐานะของเราน้เป็นพระ
ี
เราจะต้องทรงฐานะของเราไว้ให้ได้ ถึงเป็นพระธรรมทูตก็อยู่
ั
ี
ในลักษณะน้ ก็ต้องให้ยอมรับกันท้งสองฝ่าย คือเราจะไปเข้า
ั
บ้านใคร เป็นกุลุปกะ เป็นโยมอุปัฏฐากอุปถัมภ์ เข้าไปน่นไม่ใช่
จะให้ยอมรับแต่โยม ลูกของโยม ก็ต้องยอมรับ เกิดยอมรับ แต่
ลูกของโยมไม่ยอมรับ มันก็เข้าไปกินแหนงแทงใจในระหว่าง
ั
ครอบครัวเขา มันไม่มีประโยชน์ ฉะน้น หลัก สตฺถา เทวมนุสฺสาน �
ก็เป็นคุณสมบัติจ�าเป็นส�าคัญ ขาดไม่ได้
ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลำ (พุทฺโธ)
ข้อท่ ๘ พุทฺโธ หมายความว่า เราจะต้องต่นตัวอยู่
ี
ื
้
ึ
ี
ุ
ตลอดเวลา คือ ต้องรบร้เร่องราวทกอย่างท่มนเกิดขนในสังคม
ั
ู
ั
ื
ุ
ี
ุ
ุ
ิ
่
็
ยงปัจจบันน้ เป็นยคข้อมูลข่าวสาร เป็นยคไฮเทค เดกร่นใหม่
ุ
ื
ั
เด๋ยวนหัวไวกว่าเรา เร่องข้อมูลข่าวสารอะไรท่มนเกิดในโลก
ี
้
ี
ี
เกิดในสังคม เด๋ยวน้มันแพร่ขยายไปหมดแล้ว เพราะมันม ี
ี
ี
สื่อสารต่างๆ ที่จะสามารถรับรู้กันได้รวดเร็วและทั่วถึง
ี
ึ
ข่าวท่เกิดข้นในโลก บางทีเรายังไม่รู้ เด็กรู้แล้ว ถ้าเราไม่ม ี
็
ู
ั
ี
�
ิ
คณสมบัตข้อน้ประจาตวอย่ด้วย บางทีจะไปพดไปคุยกบเดก
ุ
ู
ั
�
เด็กรู้ลาหน้าเราไปแล้ว เร่องใดก็ตามถ้าเด็กรู้ลาหน้าเราไปแล้ว
้
�
ื
้
เราจะไปสอนได้อย่างไร คือ ต้องไวต่อเหตุการณ์ มันมีอะไร
80
สาราสารกถา
เกิดข้น เป็นปัจจุบันทันด่วน ท่เขาฮือฮากัน ศัพท์แสงอะไร
ึ
ี
ต่างๆ ท่เขาพูดกัน ในยุคปัจจุบัน ความหมายในยุคปัจจุบัน
ี
�
อะไรต่างๆ บางทีก็ต้องจด ต้องจา ต้องรู้ไว้ น่พุทโธ เอาไปใช้ได้
ี
ทั้งนั้น ไม่มีข้อไหนเลยที่เอาไปใช้ไม่ได้
ต้องมีดีที่จะแจก (ภควำ)
คุณสมบัติของพระพุทธเจ้าข้อสุดท้าย ภควาๆ เราแปล
ี
�
ว่า มีโชค มีโชคมีลาภ ก็คือมีสมบัติน่นเอง ทีน้สาหรับเรา
ั
จะเอาอะไรมาเป็นคุณสมบัติ สมบัติท่จะไปแจก คือแจกแล้ว
ี
ี
มันไม่หมด ท่พระพุทธเจ้าแจก ใช้อะไรแจก? ก็ใช้ธรรมะแจก
ี
ี
ื
ู
พวกเรามธรรมะ เราร้ธรรมะ แต่ว่าพวกเรามธรรมะหรอเปล่า
ี
ี
ถ้าไม่มีจะเอาอะไรแจก น่ในความหมายท่ใช้เป็นคุณสมบัติของ
พระพุทธองค์ ก็คือ มีมนุษย์สมบัติ มีสวรรค์สมบัติ มีนิพพาน
สมบัต เอามนุษย์สมบัตไปแจก เอาสวรรค์สมบัตไปแจก เอา
ิ
ิ
ิ
ี
นิพพานสมบัติไปแจก เรามีอะไรดีๆ ท่จะแจกให้เขาบ้าง คือเรา
ั
ต้องมีดีน่นเอง พูดง่ายๆ ภควา มีโชค ก็คือ มีดีในตัว มีดีท่จะ
ี
แจกท่จะให้ เพราะดน้ เราเอาไปแจก เอาไปให้ใคร มันชอบกน
ี
ี
ั
ี
ั
ี
�
ท้งน้นแหละ ท่สาคัญว่าเรามีให้หรือเปล่า พอสงเคราะห์ได้ไหม?
ั
ี
ี
ท่ผมเรียนถวายมาน้ คุณสมบัติของนักเผยแผ่ คุณสมบัต ิ
ของนักสอน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นนักเผยแผ่ เป็นพระธรรมทูต
81
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ถ้าสามารถเอาคุณสมบัติของพระพุทธองค์ทั้ง ๙ ประการน้ ไป
ี
ประยุกต์ใช้ให้เป็นคุณสมบัติของตัวเองได้ ผมคิดว่า การปฏิบัต ิ
ู
้
ี
่
ั
่
้
่
่
ี
งานของเราในหน้าทพระธรรมทตไดผลแนนอน ทมนไมไดผล ก ็
เนื่องจากว่าคุณสมบัติต่างๆ มันอ่อน
เพราะคุณสมบัติต่างๆ ตามท่ได้กล่าวมาแล้วน้ อย่างน้อยๆ
ี
ี
มันก็เป็นสมบัติอันหน่ง ท่เราจะเอาไปแจกได้ ในบทสุดท้าย
ี
ึ
ี
คอ ภควา นนเอง เพราะฉะน้น ผมกเรยนถวายไว้ แล้วเราก ็
็
ั
่
ื
ั
พยายามไปตรวจตราดูตัวของเราเอง ไม่ต้องไปตรวจคนอ่นเลย
ื
ั
ี
ว่า คุณสมบตพระพุทธเจ้า ๙ ประการน้ เราสามารถเอามา
ิ
ประยุกต์ใช้ให้เป็น คุณสมบัติของตัวเราได้มากน้อยแค่ไหน ถ้า
มันไม่ได้ เราก็พยายามคิด พยายามตรึก พยายามภาวนาไว้
เวลาท่านอยู่ว่างๆ อย่าไปปล่อยใจให้อยู่เฉย ต้องภาวนาพุทธ-
คุณเรื่อยไป แล้วคุณสมบัติมันจะค่อยๆ เกิด ภาวนาไว้เถอะ
ี
ก็เป็นอันว่าผมได้เรียนถวายเก่ยวกับคุณสมบัติของนัก
เผยแผ่ คุณสมบัติของพระธรรมทูตโดยตรง ท่ผมเอาคุณของ
ี
้
้
ื
พระพทธเจาทง ๙ ประการมาเรยนถวาย เหมอนเอามะพราวหาว
้
ั
ี
ุ
้
มาขายสวน เพราะพระคุณท้ง ๙ ประการน้ ก็เป็นพระคุณท ี ่
ั
ี
พวกเราแต่ละรูปๆ ใช้สวด ใช้ภาวนากันอยู่เป็นประจา มันม ี
�
ความละเอียด มีความพิสดารอะไร อย่างไร ที่ท่านจะเอาไปใช้
เอาไปประยุกต์ ท่านก็สามารถจะไปศึกษา ค้นคว้าให้มันแพร่
ขยายได้มากกว่าที่ผมพูดนี้แล้ว
82
สาราสารกถา
�
ี
คุณสมบัติท่สาคัญอีกประการหน่ง ก็คือความกล้า ตัวนี้
ึ
�
ื
ก็เป็นตัวสาคัญ ความกล้าตัวน้ เม่อเรามีคุณสมบัติ หรือประยุกต์
ี
เอาคุณสมบัติพระพุทธองค์ท้ง ๙ ประการมาใช้ได้เแล้ว ความ
ั
ื
ึ
กล้ามันจะเกิดข้นเอง เพราะเม่อมีคุณสมบัติพระพุทธเจ้า มันก ็
ี
ั
จะมีคุณสมบัติของความกล้า น่นคือ มศรัทธา-เช่อในพระพุทธเจ้า
ื
มีศีล-มีความประพฤติเรียบร้อยดีงาม มพาหุสัจจะ-การได้เรียน
ี
รู้ได้ยินได้ฟังมาก แล้วก็มวิริยารัมภะ-ความไม่เกียจคร้าน ความ
ี
ขยัน ปรารภความเพียร แล้วก็มปัญญา-ความรู้แท้จริงในเร่อง
ี
ื
ที่เราจะเอาไปสอน
ตัวน้เป็นเวสารัชชกรณธรรมโดยตรงเลย ท่พระพุทธองค์
ี
ี
ตรัสไว้ว่า เราจะมีความกล้าจริงๆ ได้ ต้องมีศรัทธา มีศีล ม ี
พาหุสัจจะ มีวิริยารัมภะ แล้วก็มีปัญญา ท่านจะเอาตัวไหนไปใช้
ั
้
ุ
ั
จะเอาตวเวสารัชชกรณธรรมทง ๕ ไปใช้ หรือจะเอาพระคณ
ของพระพุทธเจ้าไปประยุกต์ใช้ มันก็รวมเข้ากันได้ทั้งนั้น
ถ้าหากว่า ท่านเห็นดีเห็นงามอย่างไร ในเร่องท่ผมเรียน
ี
ื
ถวาย หรือผมช้แนะไป ก็เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ผมได้ใช้
ี
เวลากว่าช่วโมงพูดจากับท่านมา ก็เป็นสาระบ้าง ไม่เป็นสาระ
ั
ี
ี
บ้าง อันใดไม่ถูกอกถูกใจ ก็ขออภัยกับทุกท่าน อันใดท่ดีท่งาม
ก็ขอถวายทุกท่านไป
ท้ายท่สุดน้ กระผมก็ขออาราธนาคุณพระพุทธเจ้า คุณ
ี
ี
พระธรรม คุณพระสงฆ์ และบารมีธรรมของพระเดชพระคุณ
83
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
้
หลวงพ่อวัดปากนา จงปกป้องคุ้มครองพระธรรมทูตทุกท่าน จง
�
ี
มีความเกษมสวัสดี สามารถท่จะปฏิบัติภารกิจให้บรรลุความ
่
ุ
ุ
�
สาเรจ สมความมงมาดปรารถนา ทกประการ ทกทาน เทอญ.
็
่
ุ
ให้ดีเขา เราย่อมได้ดี
ธรรมทำยำท
ขอโอกาสหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดไทรงาม เจ้าคุณพระเมธี-
วราภรณ์ พระเจ้าหน้าท่ พระธรรมทายาท และอุบาสกอุบาสิกา
ี
ั
ี
้
ิ
ั
วนน เป็นวนปัจฉมนเทศท่จะปิดโครงการธรรมทายาท
ิ
ี
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพสุวรรณโมลี ให้ผมมา
่
ี
�
้
ี
ิ
ิ
ิ
ปฏบตหน้าทแทนในกจกรรมช่วงน ตามตารางกาหนดว่าเป็น
ั
ึ
ื
การให้โอวาท ซ่งก็คงจะให้ไม่มาก เพราะเร่องของการให้โอวาทน ้ ี
พระธรรมทายาทเราได้รับกันมาตลอดเวลา ท่เข้าไปรับการอบรมท ่ ี
ี
วัดชลประทานฯ เพราะฉะน้น ท่ผมจะทาหน้าท่ในช่วงน้ ก็จะเป็น
ี
ั
�
ี
ี
เพียงข้อเสนอแนะบางส่งบางประการ และโดยเฉพาะประเด็น
ิ
ี
�
สาคัญ ก็จะเสริมต่อท่ท่านเจ้าคุณพระเมธีวราภรณ์ได้พูดไว้
ึ
ื
สักเร่องด้วย แต่จะเอาไว้พูดช่วงสุดท้าย นั่นก็คือ การศกษา
ี
ภาษาบาลี อันน้เป็นส่วนท่ผมจะเสนอแนะและช่วยส่งเสริม
ี
ให้ก�าลังใจพวกท่านด้วย
* โอวาท ในงานปัจฉิมนิเทศโครงการธรรมทายาท รุ่นท่ ๑๒ ณ วัดไทรงาม
ี
จ.สุพรรณบุรี ๙ มกราคม ๒๕๓๖
86
สาราสารกถา
ื
ในเบ้องต้นน้ ผมอยากจะเสนอแนะเก่ยวกับการทางานของ
ี
ี
�
พระธรรมทายาท เพราะในแง่ของความเป็นจริง ธรรมทายาท
ผู้รับมรดกคาสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรงน้น ก็ต้องถือว่าพระ
�
ั
ทุกรูปท่มีอยู่ในสังฆมณฑลเป็นธรรมทายาทท้งน้น โดยฐานะ
ี
ั
ั
ึ
ี
โดยตาแหน่ง แต่ท่เราต้องมีโครงการธรรมทายาทข้นมา ก็เน่อง
ื
�
จากว่าส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะได้ทาหน้าท่ธรรมทายาทกัน เท่าท ่ ี
�
ี
ื
ี
ไปรู้ไปเห็นมาหลายท่หลายวัด ก็ไม่ค่อยจะถนัดนักในเร่องการท ่ ี
จะเอามรดกของพระพุทธเจ้าไปแจกประชาชน ท้งๆ ท่ตัวเองม ี
ี
ั
ฐานะเป็นธรรมทายาท แต่ว่าไม่ได้สะสมมรดกของพระพุทธเจ้า
ี
ไว้ในตัว ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปแจก ส่วนท่แจกๆ กันไป ส่วนใหญ่
ั
ก็เป็นมรดกของประเพณีเก่า ส่วนใหญ่เป็นอย่างน้น มรดกของ
พระพุทธเจ้าจริงๆ ไม่ค่อยได้แจกกัน
จะเป็นเพราะข้อเท็จจริงอันน้หรืออย่างไร จึงทาให้หลวงพ่อ
�
ี
ปัญญานันทะ สร้างโครงการธรรมทายาทข้นมา แล้วก็เอาไปฝึก
ึ
เอาไปอบรม อย่างรุ่นน้ก็เป็นรุ่นท่ ๑๒ ก็เรียกว่าอบรมไปแล้ว
ี
ี
เป็นพันๆ รูป ก็เพ่อท่จะให้พวกเราได้ตระหนักถึงฐานะของตัวเอง
ื
ี
ในฐานะเป็นพระก็จะต้องเป็นผู้รับมรดกธรรมของพระพุทธเจ้า
เมื่อรับไปแล้วก็จะต้องเอามรดกนี้ออกเผยแผ่
87
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
มรดกของพระพุทธองค์ล�้ำค่ำที่สุด
ี
อย่างท่ผมเคยพูดไว้แต่แรกว่า มรดกของพระพุทธเจ้า
ี
้
้
�
�
ี
เป็นมรดกท่ลาค่าท่สุด ไม่มีอะไรจะมาลาค่าเท่ากับมรดกของ
ั
พระพุทธเจ้า เพราะมรดกของพระพุทธเจ้าน้น ก็คือ ค�าสั่ง
�
คาสอนของพระพุทธเจ้า เราพูดกันตรงๆ ก็คือวิชาของ
พระพุทธเจ้าน่นเอง และวิชาของพระพุทธเจ้าก็เป็นเย่ยมจริงๆ
ั
ี
ี
ี
อย่างท่ผมได้ให้ข้อคิดไว้ว่า ไม่มีวิชาใดในโลก ท่จะใช้เป็น
เคร่องมือดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงและส้นเชิง นอกจากวิชาของ
ื
ิ
พระพุทธเจ้า ท่านไปค้นคว้าดูเถอะ ไม่มีเลย ไม่ว่าวิชาของศาสนา
ี
ไหน ไม่ว่าวิชาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ท่เราฮือฮา เรา
้
้
็
์
ตื่นตาตื่นใจ จริงๆ แลวเราน�ามาเปนเครื่องมือดับทุกขไม่ได ที่
จะใช้เป็นเครื่องมือดับทุกข์ได้จริงๆ ก็คือวิชาของพระพุทธเจ้า
้
�
ี
ี
วิชาของพระพุทธเจ้า เป็นมรดกลาค่าดังท่ว่ามาน้ พวกเรา
ได้ศึกษาได้รับการอบรม ก็หมายความว่า ได้รับการมอบหมาย
ื
มรดกของพระพุทธเจ้ามา ก็เพ่อท่จะเอาไปเผยแผ่ ก็คือเอา
ี
ี
ไปแจก ในการท่จะเอาไปเผยแผ่ เอาไปแจก จะให้มันเกิดผล
ี
ให้มันเกิดประโยชน์จริงๆ น้น หลักสาคัญท่สุด มันก็อยู่ท่เรา
ั
ี
�
ต้องเป็น และการที่เราจะเป็นนั้น หลักส�าคัญก็อยู่ที่การฝึก ไม่ว่า
�
ั
อะไรท้งหมด ถ้าเราไม่ฝึก เราจะทาอะไรไม่เป็นเลย การฝึกน ้ ี
ส�าคัญที่สุด
88
สาราสารกถา
เราจะเห็นได้ว่า ในหมวดคาสอนของพระพุทธศาสนา ของ
�
ื
ี
เราน้ หลายหมวดหลายตอน พระพุทธองค์จะเน้นเร่องการฝึกน ี ้
ี
มาก ก็คือว่าการเป็นอะไรต่อมิอะไร มันสาคัญอยู่ท่การฝึก มีพุทธ-
�
ื
ึ
ี
ี
ภาษิตบทหน่งท่กินใจพวกเราเก่ยวกับเร่องการฝึก พระพุทธองค์
ุ
ตรัสไว้ว่า ทนฺโต เสฏฺโ มนุสฺเสส แปลว่า ผู้ฝึกตนได้ ย่อม
ี
เป็นคนเหนือคน พระพุทธองค์ตรัสไว้เพียงแค่น้ เราลองมา
พิจารณาดูว่า มันจริงไหม? แล้วเราก็จะเห็นได้ว่ามันจริง
เก่งได้ เพรำะกำรฝึก
ี
ี
คนท่จะเป็นคนเด่นคนดัง เป็นท่ยอมรับของสังคมในด้านใด
ด้านหน่งก็ตาม ถ้าเราไปดูเบ้องหลังการเป็นของเขา เราจะเห็นว่า
ื
ึ
เขาต้องผ่านการฝึกมาอย่างโชกโชน ไม่ว่าเร่องอะไรก็ตาม จะ
ื
เป็นศิลปิน เป็นนักกีฬา เป็นนักแสดง ถ้าไม่ฝึก จะเป็นได้ไหม?
ั
ี
จะเป็นให้ด ให้เด่นให้ดังน้น มันต้องฝึกเข้ม ถ้าไม่ฝึกจะสู้เขาไม่ได้
ั
ั
ุ
จะเหนือเขาไม่ได้ ไม่ว่าอะไรต้องฝึกท้งน้น พระพทธองค์ของ
ี
ี
ั
่
เรากไดรบการยกยองวา เป็นนักฝึกท่ยอดเย่ยม เราเปนธรรม-
่
็
็
้
ทายาท ก็ต้องได้รับการฝึก
ี
ี
พระพุทธองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักฝึกท่ยอดเย่ยม
่
อย่างในบทพระพุทธคุณวา อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นนักฝึก
ท่ยอดเย่ยม ฝึกตัวเองได้แล้ว ก็ไปฝึกคนอ่นอีกอย่างพวกเราน ี ้
ี
ื
ี
ี
ยอดเย่ยมจริงๆ พระพุทธเจ้าฝึกพวกเรามา พระองค์บอกว่า
89
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
จะบวชต้องโกนหัว โกนหัวน้นดีอย่างไร เราก็ไม่ได้คิดหรอก
ั
ิ
่
�
ถูกฝึกมาแต่โบราโบราณว่า ใครจะบวชต้องโกนหัวโกนค้ว ต้อง
ี
ี
นุ่งอย่างน้ ห่มอย่างน้ ไม่เหมือนชาวบ้านเขาเลย แต่เราก็ยอมรับ
นี่คือการฝึกของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่งยวด อย่างยอดเยี่ยม
�
การท่พวกเราจะไปฝึกประชาชน ฝึกญาติโยม หลักสาคัญ
ี
ก็คือ ต้องฝึกตัวเองก่อน ฝึกตัวเองอย่างท่เรามาปฏิบัติงานกัน
ี
ี
ื
๒๐ วันน้ ช่อของโครงการก็บอกแล้วว่า เป็นการฝึกปฏิบัติงาน
ภาคสนาม ฝึกเพื่อให้เกิดความช�านาญ อะไรที่มันไม่เกิดความ
�
ชานาญ มันเอาไปใช้ไม่ได้ทันท่วงที โบราณเขาบอกว่า สิบรู้
ึ
ไม่เท่าหน่งช�านาญ เราไปท่องไปเรียนหนังสือ จบพระไตรปิฎก
แต่ไม่เคยพูด ไม่เคยเทศน์ ก็เอาไปสอนใครไม่ได้ มันต้องฝึก
มาทั้งนั้น
ในการฝึกภาคสนามอย่างพวกเราน้ มันมีประโยชน์มาก
ี
ี
ทาให้ได้รู้ได้เห็น ได้ประสบการณ์มากๆ เท่าท่เราจะหยิบยก
�
ี
้
ื
เอาสุภาษิตบู๊ล้มก็มีบอกว่า เดนทางร้อยล ดกว่าอ่านหนงสอ
ิ
ี
ิ
ั
ี
ร้อยเล่ม เรามาฝึกภาคสนามน้ เดินทางไปด้วย ได้พบได้เห็น
คนฐานะต่างๆ กัน ท้งคนเมือง คนชนบท คนป่า คนดง ชาวนา
ั
�
ิ
่
็
ั
้
ุ
ชาวไร่ เราได้พบคนทกชนเลย นกทาให้เราเพมประสบการณ์
่
ี
ขึ้นมา นี่คือประโยชน์ของการฝึกภาคสนาม
ี
ผมอยากจะเรียนเสนอแนะเก่ยวกับเร่องฝึกอีกอย่างหน่ง
ึ
ื
นั่นก็คือ การฝึกใจ น้สาคญท่สุดเลย ฝึกใจเราด้วย เราต้องฝึกใจ
ั
ี
ี
�
90
สาราสารกถา
เราให้ได้เสียก่อน เพราะถ้าเราฝึกใจเราไม่ได้ เราก็จะไปฝึกใคร
่
้
ไมไดเลย เพราะอะไร? เพราะใจเขาใจเรามันก็ใจเดียวกัน ใจ
ี
ื
คนอ่นกับใจเราน้ ท่านเช่อไหมว่า มันใจเดียวกัน เพราะมันสร้าง
ื
ั
้
ึ
่
ิ
้
มาจากสงๆ เดียวกันท้งนน แลวเราจะฝึกใจใครได้บาง ตองฝก
้
ั
้
ใจเราก่อน พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ : ฝึกใจ
ี
ั
น่นแหละ ดีท่สุด เพราะมันจะทาให้อะไรๆ ทุกอย่างดีไปหมด
�
ี
ั
ี
ี
ั
ี
ู
่
ี
้
ั
เพราะโลกทงโลกนมนมอย่ทหวใจดวงเดยว ถ้าไม่มใจ โลกน ้ ี
้
้
ี
ไม่มอะไรเลย ถ้าฝึกใจได้ เราจะฝึกอะไรๆ ในโลกน้ได้ทงหมด
ั
ี
เพราะโลกมันขึ้นอยู่กับใจ
ี
ในการฝึกใจเรา มีอยู่อย่างไรบ้าง อันน้ผมอยากจะเสนอแนะ
มันมีอยู่หลายวิธีร้อยแปดพันประการ การฝึกใจน้นก็คือการฝึก
ั
ั
กรรมฐานน่นเอง การฝึกใจในทางภาษาพระ เราเรียกว่ากรรมฐาน
ั
็
กรรมฐาน ถ้าแปลตรงๆ กแปลว่า งานหลก กรรมคอการงาน
ื
ี
ฐานะก็คือหลัก คืองานหลักของพวกเรา มันอยู่ท่การฝึกกรรมฐาน
ท�าพระกรรมฐาน
ควำมคิดว่ำ ไม่มีงำนท�ำ เป็นควำมคิดที่เลวที่สุด
ี
อย่างท่ท่านเจ้าคุณพระเมธีวราภรณ์ ท่านบอกกับเราว่า
�
ี
เสร็จไปแล้วต้องไปทางาน คราวน้เราจะทางานได้ มันก็ต้องสร้าง
�
งาน เพราะงานจริงๆ ส�าหรับพวกเราน้ ถ้าเราไม่คิดทา มันจะ
�
ี
ื
�
ไม่มีเลย มันจะมีงานให้เราทาได้ก็ต่อเม่อเราคิดว่า เราจะทา
�
91
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
่
้
ิ
่
้
ั
ั
้
่
่
ั
่
็
ถาพอคดวา เราจะทา เทานน ทานจะมองเหนเลยวา ตงแตวนน ้ ี
�
ไปจนตาย ก็ไม่สามารถจะทางานให้เสร็จได้ ถ้าเราคิดทา เราด ู
�
อย่างพระพุทธเจ้า พระองค์ทางานเสร็จไหม? หลังจากตรัสรู้แล้ว
�
�
ทา ๔๕ ปีเต็มๆ เสร็จไหม? งานส่วนตัวของพระองค์ทาเสร็จ
�
�
แต่งานช่วยโลก ช่วยพุทธบริษัท ยังทาไม่เสร็จ ถ้าเสร็จ พวก
เราก็คงไม่ต้องท�ากันต่อล่ะซิ
ั
ั
เพราะฉะน้น งานน้นมันมีอยู่เต็มโลก อย่าไปคิดว่าไม่มีงาน
ทา ขอให้ท่านคิดว่า ความคิดว่าไมมีงานทา เปนความคิดทเลว
�
่
็
�
่
ี
ท่สุดในจิตใจของมนุษย์ มีท่ไหนท่เราจะมาคิดว่าไม่มีงานทา
ี
�
ี
ี
�
อันน้ท่านจะต้องจาเอาไว้เลย ความรู้สึกว่าไม่มีงานทาเป็นความ
ี
�
ู
รสึกทเลวทสดในจตใจของมนษย์ ถ้าเรามีความรสึกอย่างนในตว
ุ
้
ี
้
่
ุ
ี
ี
ั
ู
้
่
ิ
ี
ก็เท่ากับว่าเรามีส่งเลวท่สุดอยู่ในตัว จริงหรือไม่จริง ก็ลองเอา
ิ
�
ไปคิดดู ก็เรายังไม่พ้นทุกข์ ชาวโลกยังไม่พ้นทุกข์ ทาไมเรามา
�
�
ั
คิดว่าไม่มีงานทา มันเยอะแยะ น่นแหละงาน ถ้าเราคิดจะทา
ั
ถ้าอย่างน้น อย่าให้ความรู้สึกอันน้เข้ามาเกาะกินใจเราเป็นด ี
ี
ที่สุด
ั
ื
ี
สมัยเม่อผมหนุ่มๆ ในตอนท่เป็นเจ้าคณะอาเภอ ผมต้ง
�
�
์
เปนอดมการณไวเลย ลกคณะผมตองทางาน ลกวดตองทางาน
ู
ู
้
�
้
ั
็
ุ
้
ี
แต่เด๋ยวน้เลิกไปแล้ว ผมต้งเป็นอุดมการณ์ไว้ ให้ทุกวัดท่อง
ั
ี
ไว้เลย เขียนป้ายติดไว้ตามศาลา ให้ถืออุดมการณ์อันนี้ คือ
92
สาราสารกถา
"กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่องาน
งานเพื่อความไม่เป็นหมันของชีวิต"
ื
�
แล้วเราก็ต้งไว้ กินอะไรก็นึกว่า กินเพ่ออยู่ เราจะอยู่ไปทาไม
ั
�
ั
้
ั
ี
ถ้าไม่ทางาน ชีวิตมนจะไม่มประโยชน์อะไรเลย งนเราก็ต้องกิน
เพ่ออย อยู่ก็ต้องอยู่เพ่องาน เราจะทางานไปทาไม ก็ทางานเพ่อ
�
�
ู่
ื
ื
�
ื
ให้ชีวิตของเราไม่เป็นหมัน ชีวิตมันจะมีผลหรือไม่มีผล มันก็อย ู่
ที่งานนั่นเอง นี่ก็ตั้งประเด็นไว้
�
ู
�
แล้วจาเอาไว้เลย ความรู้สึกว่าไม่มีงานทา เป็นความร้สึก
ท่เลวท่สุดในใจของมนุษย์ หัวใจมนุษย์ดวงใดมีความรู้สึกอย่างน ้ ี
ี
ี
�
อยู่ ก็ช่อว่ามีส่งท่เลวท่สุด ผมบอกให้เด็กๆ จาไว้ เพราะมันเป็น
ี
ี
ื
ิ
ี
ความคิดท่เป็นเสนียดแก่ตนเอง เป็นเสนียดแก่สังคม ผมให้
ี
เด็กๆ ท่องกันมาหลายสิบปีแล้วว่า ไม้เช็ดก้นดีกว่าคนข้เกียจ
ี
�
ี
คนข้เกยจ เป็นเสนียดสงคม คนทร้สกว่าไม่มงานทานนมอย่ ู
ี
ั
้
ี
ี
่
ั
ึ
ู
ี
ี
ประเภทเดียว คือคนข้เกียจ คนข้เกียจ อยู่ท่ไหนก็เป็นเสนียด
ี
อยู่วัดก็เป็นเสนียดวัด อยู่บ้านก็เป็นเสนียดบ้าน อยู่ในประเทศชาต ิ
ี
ก็เป็นเสนียดแก่ประเทศชาติ ไม่มีท่ใดเลยท่ตัวเสนียดเข้าไปอย ู่
ี
แล้ว จะมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าวัด ไม่ว่าบ้าน ไม่ว่าสังคมไหน
ก็ตาม ตัวเสนียดที่ยิ่งใหญ่ ที่ส�าคัญที่สุดก็คือตัวขี้เกียจ
93
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
วิธีเจริญกรรมฐำนเบื้องต้น
ื
ี
้
คราวน ผมจะเสนอแนะเร่อง กรรมฐาน อันน้เป็นหัวใจหลัก
ี
ี
เพราะกรรมฐานในปัจจุบันน้ รู้สึกว่าเป็นท่สนใจของประชาชน
ี
ี
ึ
เป็นท่สนใจของญาติโยมมาก แล้วก็มีส�านักกรรมฐานเกิดข้น
มากมายหลายแห่ง สอนกันไปต่างๆ แล้วก็ไม่มีใครรับผิดชอบ
หรือรับรองโดยตรง ในทางคณะสงฆ์ของเราไม่มีองค์กรโดยตรง
�
ท่จะรับผิดชอบการปฏิบัติทางด้านพระกรรมฐาน ไม่ว่าสานักไหน
ี
ก็ตาม เพราะเราไม่มีองค์กรโดยตรงจากทางคณะสงฆ์ ใครม ี
ิ
ประสบการณ์อย่างไร ฝึกมาอย่างไร ปฏิบัตมาอย่างไร ก็เผยแผ่
สอนไปอย่างนั้น จึงตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง
ท่ผมจะเสนอแนะ ไม่ใช่ว่าผมอาจผมหาญ เพราะหลักปฏิบัต ิ
ี
กรรมฐานมีอยู่ ๒ หลัก คือ หลักการทาสมาธิ เราเรียกกันว่า
�
สมถกรรมฐาน หรือ สมถภาวนา กับหลักการอบรมปัญญา ความ
ี
ิ
รู้แจ้งเห็นจริงให้มันเกิด ท่เราเรียกกันว่า วปัสสนากรรมฐาน
�
ั
หรือ วปัสสนาภาวนา สาหรับในส่วนของวิปัสสนาภาวนาน้น
ิ
ผมจะไม่พูดเลย จะพูดเฉพาะในแนวของสมถะ ในแนวของสมถ-
ื
ู
ภาวนา คือพดเปนแนวเพอพวกเราจะได้นาเอาไปฝึกปฏิบต แลว
่
�
ั
ิ
้
็
จะได้น�าเอาไปเป็นแนวเผยแผ่ต่อไป
สาหรับสมถภาวนาน เน่องด้วยสมาธิโดยตรง คือ การฝึกจิต
ื
้
ี
�
ให้เป็นสมาธิ ให้สงบ จิตท่จะเป็นสมาธ จิตท่จะสงบ ตามแนวทาง
ี
ิ
ี
ี
ของสมถภาวนาน้ มันต้องฝึกในแนวทางของสัมมาสมาธิ เพราะ
94
สาราสารกถา
ั
ี
ิ
สมาธิน้นมี ๒ แบบ คือ มิจฉาสมาธิ กับสัมมาสมาธ แบบท่ผม
จะเสนอแนะนี้ ผมจะเสนอแนะตามแนวทางสัมมาสมาธิ
ึ
สาหรับสัมมาสมาธิ ก็จัดเป็นองค์หน่งในมรรคมีองค์ ๘
�
แต่ว่าจะอยู่ในหลักของสมถภาวนาน้ ในหลักของสมถภาวนาท ี ่
ี
ั
เราจะต้องใช้อารมณ์ อารมณ์ของสมถภาวนาน้นก็มี ๔๐ อย่าง
ตามท่เรารู้จากแบบจากแผนกัน น่ผมอยากจะเรียนเสนอแนะ
ี
ี
�
สาหรับพวกเราในฐานะท่พวกเราเป็นธรรมทายาท และได้รับ
ี
ิ
การฝกในเรองภาวนา ในบทบรกรรมวา พุทโธ คอ หายใจเขา
ึ
ื
้
ื
่
่
พุท หายใจออก โธ หรืออะไรก็ตาม บางทีเราเอาพุทธานุสต ิ
เป็นอารมณ์ของสมถะ หรือ เอาพุทธานุสติเป็นอารมณ์ของการ
เจริญสมาธิ การที่จิตเราจะเป็นสัมมาสมาธินั้น มันต้องเกี่ยวกับ
ั
ั
หลักปฏิบัติ ๓ ข้นตอน คือมันเก่ยวกับหลักภาวนา ๓ ข้นตอน
ี
มันจึงจะถึงสัมมาสมาธิ
ิ
ี
ข้นตอนท่ ๑ บริกรรมภาวนา ในการเจรญสมถกรรมฐาน
ั
ขั้นที่ ๑ บริกรรมภาวนา บริกรรมภาวนาคืออย่างไร? เราเอาอะไร
เป็นอารมณ์? เอา พุทโธ เป็นอารมณ์ เราก็บริกรรมเอาส่วนว่า
ื
พุทโธ น้นมาบริกรรมคือเอามาภาวนาไว้ ในเบ้องแรกก็บริกรรม
ั
พุท หายใจเข้า โธ หายใจออก อะไรก็ตามเถอะ พอทุกส่งทุกอย่าง
ิ
มนเงยบเปนปกตแลว เรากภาวนาบท พทโธ โดยปล่อยลมหายใจ
ิ
็
้
็
ี
ั
ุ
ให้มันเข้า-ออกตามปกติของมัน ใจเราก็บริกรรมว่า พุทโธๆ ไว้
บริกรรมเรื่อยไป บริกรรมจนความรู้สึกต่างๆ ของเราปกติ
95
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ั
เพราะปกติความรู้สึกของเรามันอยู่ท่วความรู้สึกต่างๆ
่
ู
่
ี
ิ
ี
้
้
ิ
ี
ของเรา มันอยท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใชวธบรกรรมอย่างนก็
ื
ี
ั
เพ่อจะเรียกความรู้สึกท่มันอยู่ท่วสรรพางค์กาย ไปรวมไว้ท่บท
ี
บริกรรม เขาเรียกว่า ทาจิตให้เป็นหน่ง เอาไปรวมไว้ท่บทบริกรรม
�
ี
ึ
ก็บริกรรมไปเร่อยๆ พอลมหายใจเข้า-หายใจออก ก็บริกรรมไป
ื
เพราะจิตมันจะเข้าไปรวมเป็นหนึ่ง
เร่องบริกรรมภาวนาน้ มันจะทาจิตของเราให้เป็นสมาธิได้
ี
�
ื
ั
ั
เพียงช่วครู่ ช่วขณะ มันได้ไม่มากหรอก ท่านจะบริกรรมไป
๑๐๐ ปี ๑๐๐๐ ปี จิตของท่านก็จะเป็นสมาธิได้เพียงช่วครู่ ช่ว
ั
ั
ิ
ี
ขณะ เรียกว่า ขณิกสมาธ มันก็ได้แค่น้ เม่อจิตเราเป็นขณิก-
ื
สมาธิแล้ว เราบริกรรมว่า พุทโธ จิตมันจะหน่วงถึงพระ มัน
จะทาให้เกิดนิมิต อย่างแบบของหลวงพ่อวัดปากน�้าว่า สัมมา-
�
อะระหัง มันจะเกิดนิมิตเป็นองค์พระ หรือดวงแก้ว สังเกตด ู
ั
เวลาเราน่งหลับตา พอจิตมันสงบ มันจะเกิดเป็นแสงแวบๆ
เหมือนฟ้าแลบผ่านตาเรา น่นก็คือนิมิต ในช่วงบริกรรมภาวนาท ่ ี
ั
ี
จิตเป็นขณิกสมาธิน้ มันจะส่งผลให้เกิดนิมิตครั้งแรก เราเรียกว่า
บริกรรมนิมิต
ั
น่คือคร้งแรก เราก็ฝึกไปเถอะ คร้งแรกก็ฝึกให้มันชิน พุทโธๆ
ี
ั
ึ
ี
ก็ภาวนาไป จิตมันจะเป็นขณิกสมาธิถ่เข้าๆ นิมิตมันจะเกิดชัดข้นๆ
ี
เกิดดับๆ ตามความเปล่ยนแปลงของบทบริกรรม ความเปล่ยนแปลง
ี
ิ
ั
ี
้
ิ
ของอารมณ์ท่เราบริกรรม ชินเขาๆ นิมตมนก็จะเกด จตมันจะ
ิ
96
สาราสารกถา
เป็นสมาธิ นานเข้าจะเป็นภาพเป็นแสง มันก็จะเห็น นานเข้าๆ
ั
เราบริกรรมไว้ไม่ต้องหยุด ไม่ต้องตกอกตกใจ ให้รู้ว่าน่นคือนิมิต
ื
ี
บางเร่องท่มันจะต้องเกิดในสมถภาวนา แต่ว่ามันเกิดเพียงแค่
ี
ิ
ั
ี
่
ิ
บริกรรมนิมิต น่คือข้นท ๑ เราเรียกว่า บรกรรมภาวนา ขณก-
สมาธิ บริกรรมนิมิต พอบริกรรมนิมิตมันเกิดชัดเข้าๆ ถ้าเรา
ื
เป็นนักปฏิบัติ จิตมันจะไปเกาะนิมิตเอง เม่อจิตไปเกาะนิมิต
อารมณ์ท่เราเอามาบริกรรมว่า พุทโธ มันจะหลุด มันจะหายไป
ี
ี
่
ี
ั
ง้นในช่วงท ๒ ท่เราเรียกกันว่า อุปจารภาวนา น้ เราต้องท้ง
ี
ิ
บริกรรม ถ้าจิตมันไม่หลุดเอง เราต้องเลิกทันที บริกรรมไม่ได้
ถ้าเราบริกรรมอยู่ มันจะได้แค่น้น เราต้องหยุดบริกรรมทันท ี
ั
หยุดบริกรรมทาไม? อุปจารภาวนา ก็คือพยายามจับนิมิตให้มัน
�
ิ
ี
ิ
ิ
เกิด ให้มันน่ง นิมิตท่เราจะจับให้มันน่งได้แล้ว มันจะเร่มเป็น
�
ั
ี
ี
สมาธินานเข้า ช่วงน้แหละท่มันจะทาให้จิตของเราได้สมาธิข้น
ี
ท่ ๒ เรียกว่า อุปจารสมาธ คือมันใกล้จะเป็นสมาธิเต็มท่แล้ว
ี
ิ
ุ
ิ
อุปจารสมาธ ลักษณะของอปจารสมาธิ กหมายความว่า
็
จิตของเราน้มันเข้าไปจับอารมณ์น้นน่งแล้ว อารมณ์น้นจะน่งเฉย
ี
ั
ั
ิ
ิ
ี
ิ
ั
พออารมณ์น้นน่งเฉย จิตของเรายังไม่เป็นสมาธิเต็มท่หรอก
ั
เพียงแค่อุปจารสมาธิ เราจะจับนิมิตน่นเป็นเหมือนภาพน่ง ติดตา
ิ
เราอยู่อย่างนั้น สิ่งที่เราจับได้นี่ เราเรียกกันว่า อุคคหนิมิต
ื
ั
เพราะฉะน้น อุปจารภาวนาจึงไม่เน่องด้วยบริกรรม เรา
พยายามจับนิมิตๆ อยู่ เป็นอุปจารสมาธิ นิมิตนั้นก็จะนิ่ง แล้ว
97
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ื
ิ
ั
ี
ก็จะฝึกเร่อยไป พอหลับตาน่งเข้าท่ เกิดนิมิตติดตาน่งเฉยอยู่
�
ิ
ั
อย่างน้น ฝึกให้ชานาญ พอหลับตาเห็นนิมิตๆ น่งเฉย ฝึกไว้ให้
ี
�
ั
ั
ิ
ี
ี
ชานาญ น่ข้นท่ ๒ ได้แค่น้ ได้แค่จับนิมิตให้น่งอยู่เท่าน้น ลักษณะ
การจับนิมิตให้น่ง เรียกกันว่า อุคคหนิมิต ในข้นท่ ๒ อปจาร-
ุ
ี
ิ
ั
ั
ี
ภาวนา อุปจารสมาธิ อุคคหนิมิต พอได้ข้นท่ ๒ ชานาญแล้ว
�
เราก็เริ่มขั้นที่ ๓
ขั้นที่ ๓ เรียกว่า อัปปนาภาวนา อัปปนาภาวนา คือ การท ี ่
จิตเป็นหน่ง เม่อมันไม่เป็นหน่ง มันเป็นอัปปนาไม่ได้ เพราะฉะน้น
ึ
ั
ื
ึ
เราจะต้องพยายามเช่อม หรือพยายามหลอมจตเรากบนมตท ี ่
ิ
ื
ั
ิ
ิ
ี
ิ
ื
เราจับน่งไว้ ให้เป็นหน่งเดียวกัน เม่อใดท่จิตเรากับนิมิตท่เกิดข้น
ี
ึ
ึ
ึ
ั
เป็นหน่งเดียวกัน ขณะน้น จิตเราจะเป็นอัปปนาสมาธิ คือมัน
ึ
ั
ิ
ิ
ึ
ื
ี
แนบแน่นกับนิมตท่เกิดข้น เมอจตกับนิมตเป็นหน่งเดียวกนแล้ว
ิ
่
ั
ิ
ิ
ก็สามารถจะบังคับนิมิตน้นได้ เราเรียกกันว่า ปฏภาคนมต บังคับ
ิ
ิ
นิมตได้อย่างไร? คือจิตกับนมิตเป็นหนงน้ เราจะนึกอย่างไร?
ึ
ี
ิ
่
ึ
ั
นึกให้นิมิตน้นมันขยายใหญ่ข้น นิมิตมันก็จะใหญ่ เพราะนิมิต
กับใจมันเป็นหน่ง เราจะนึกให้นิมิตมันลอยไป มันก็จะลอยไป
ึ
จะนึกให้มาใกล้ มันก็จะมาใกล้ จะนึกให้มันหมุนไปรอบตัว มัน
ก็จะหมุนไปรอบตัว หมุนไปได้ เราจะนึกให้นิมิตมันเล็กลง มัน
ก็เล็กลงไปตามจิต จะนึกให้มันเข้าไปศูนย์กลางกาย มันก็เข้าไป
ี
ั
ในศูนย์กลางกาย พอมาถึงข้นน้ เราเรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ตรงน ้ ี
แหละที่เราเรียกกันว่า จิตเราเป็นสมาธิเบื้องต้น
98
สาราสารกถา
ื
ี
ี
น่แค่สัมมาสมาธิเบ้องต้น มิใช่สัมมาสมาธิข้นสูงสุด น่เป็น
ั
่
ึ
่
ึ
แนวๆ หนงของหลักสมถกรรมฐาน ซงผมอยากจะเสนอแนะไว้
ว่า เวลาเราจะไปทาสมาธ ถ้าหากว่าเราเล่นทางสมถะ ก็จะต้อง
ิ
�
มีล�าดับ มีแผนอย่างนี้ คือ
่
�
ี
ิ
ลาดับท ๑ บริกรรมภาวนา ขณิกสมาธ และบริกรรมนิมิต
ล�าดับที่ ๒ อปจารภาวนา อปจารสมาธ และอคคหนมิต
ุ
ิ
ุ
ุ
ิ
ี
่
�
ิ
ั
ลาดบท ๓ อัปปนาภาวนา อัปปนาสมาธ และปฏิภาคนิมิต
ี
มันจะมีข้อพลิกแพลงแตกต่างกันไป อันน้ก็เป็นเพียง
ั
ี
ข้อเสนอแนะว่า หลักการทาสัมมาสมาธิน้ จะต้องมีข้นตอน
�
�
ี
ี
อย่างน้ๆ ก็เสนอแนะไว้สาหรับพวกเราท่จะฝึกสัมมาสมาธิ หรือ
จะฝึกสมาธิในทางสมถะโดยตรง เม่อเราได้สมาธิในทางสมถะ
ื
แล้ว จะไปวิปัสสนาก็ว่าอีกเร่องหน่ง จะผ่านไปทางน้ก็ว่ากันไป
ี
ึ
ื
อีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ก็เป็นข้อเสนอแนะไว้เป็นส่วนหนึ่ง
พระไม่รู้บำลี เป็นจุดอ่อนของสถำบันสงฆ์
ื
่
ี
่
ื
็
้
ู
ึ
่
่
อกสวนหนงทผมอยากจะเรยนถวายไว กคอเรองทไดพดไว ้
ี
่
ี
้
ี
ี
ื
แต่ต้นว่า ผมจะเสริมต่อเร่องท่เจ้าคุณพระเมธีวราภรณ์ได้พูดไว้
คือ โครงการท่ท่านจะเปิดการสอนบาลีปี ๒๕๓๖ น้ ผมฟังแล้ว
ี
ี
ก็ดีใจ แล้วผมก็อยากจะเรียนถวายพวกท่านท่เป็นธรรมทายาทน ี ้
ี
อย่าไปนึกว่าแก่ อย่าไปนึกว่าอายุมาก ตัดสินใจไปเรียนเถอะ ผม
ิ
อยากจะให้เรียนกันทุกองค์ ย่งอย่างพวกเราได้นักธรรมเอกกัน
99
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ั
ี
ี
ั
มาแล้ว ได้นักธรรมโทกนมาแล้ว ตัดสินใจเรียนบาลกันอกสก
๒-๓ ปี มันดีมาก
ี
ั
�
การท่เราจะมีกาลังใจเรียนบาลีกันได้น้น เราต้องนึกว่า
ภาษาบาลีเป็นภาษาของพระพุทธเจ้า เป็นภาษาพ่อของเรา
เราเป็นลูก ไม่รู้ภาษาพ่อ เราลองคิดดู ไม่รู้ภาษาพ่อแล้ว จะ
่
ื
ื
่
ู
ี
ี
่
พดกับพ่อร้เรองหรอ ภาษาบาลจดว่าเป็นภาษาทสาคญทสุด
ี
�
ู
ั
ั
ในพระพุทธศาสนาของเรา เพราะกิจกรรมทุกอย่างที่เราจะท�า
เน่องในกิจพระพุทธศาสนานี้ เราใช้ภาษาบาลีท้งน้น ไม่รู้เร่อง
ื
ั
ั
ื
รู้ราวเลย อยู่กันมาได้อย่างไร?
ี
ี
ตรงน้แหละเป็นจุดอ่อนของสถาบันสงฆ์ของเราท่สุด
เรามีวัด ๓๐,๐๐๐ กว่าวัด มีพระเป็นแสนๆ รูป แต่มีพระ
ี
ท่รู้ภาษาบาลี หรือพอรู้บ้างเพียงไม่ก่พันรูป เราลองคิดด ู
ี
มันเหมือนกับว่าพวกเราไม่รักพระพุทธองค์จริง มันเหมือน
ไม่รัก จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เราต้องนึกว่า ภาษา
ศาสนาน้น จะรักษาศาสนาไว้ได้ แล้วใครจะเป็นคนรักษา
ั
ถ้าไม่ใช่พวกเรา จะไปเกณฑ์ให้ญาติโยมมาเรียน เขาก็ไม่มา
ี
ี
เรียนหรอก พวกเราน้แหละท่จะเรียนกัน มันก็เหมือนภาษา
ไทย ถ้าเมืองไทยไม่ใช้ภาษาไทยกัน จะเป็นประเทศไทยอยู่
ได้ไหม? แล้วถ้าศาสนาพุทธของเราไม่ใช้ภาษาบาลี แล้วจะ
เป็นพุทธอยู่ได้ไหม มันเป็นไม่ได้
100
สาราสารกถา
ี
ี
อันน้แหละท่ผมอยากจะสนับสนุนส่งเสริมท่านว่า ยังไงๆ
ี
ในฐานะท่เราเป็นธรรมทายาท เราก็ต้องนึกว่าภาษาบาลีน้เป็น
ี
มรดกของพระพุทธเจ้า เราเป็นธรรมทายาท ถ้าไม่รู้เลยจะทา
�
อย่างไรกัน เพราะภาษาบาลีเป็นภาษาของพระพุทธเจ้า เราไม่
็
กระดิกหูเลย แล้วจะเป็นธรรมทายาทกันได้อย่างไร? น่ผมกขอ
ี
เสนอแนะไว้ เอาไปคิดแล้วก็ไปตั้งใจเรียนกันเถอะ
�
�
ท้ายท่สุดน้ ก็ขออานวยอวยพรให้ทุกท่านมีกาลังกาย
ี
ี
ี
มีกาลังใจ มีสติปัญญา สามารถท่จะปฏิบัติหน้าท่ในฐานะธรรม-
�
ี
ทายาท ให้สาเร็จลุล่วงไปทุกท ทุกโอกาส ทุกประการ ทุกท่าน
�
่
ี
เทอญ.
กำรบ�ำเพ็ญบำรมี
ขอให้คุณงามความดีจงบังเกิดมีแก่บรรดาญาติโยม
ทุกท่าน
ก่อนอ่น อาตมภาพขออนุโมทนาสาธุการกับการบาเพ็ญ
�
ื
ิ
กุศลเนกขัมมปฏิบัตของญาติโยมในโอกาสน้ และรู้สึกดีใจมาก
ี
ี
ท่ญาติโยม โดยเฉพาะชาววัดเสาธงทองนเป็นผู้สนใจใคร่ในการ
้
ี
ปฏิบัติธรรม และท่านเจ้าอาวาสคือพระครูเกษมธรรมกิจ และ
ี
พระสุวรรณ (พระครูอดุลกิจจาทร) ก็เป็นพระท่ห่วงใยความด ี
ความงามของญาติโยม อยากจะให้ญาติโยมได้สร้างบารมีกันให้
ื
�
เตมท่ เท่าท่จะทากันได้ และได้อาราธนาอาตมาให้มาพูดเรอง
่
ี
ี
็
การบ�าเพ็ญบารมี ก็ยิ่งดีกันใหญ่เลย
เพราะจริงๆ แล้ว ท่วๆ ไปเราไม่ค่อยจะได้พูดถึงกันใน
ั
เร่องการสร้างบารมี เร่องการบาเพ็ญบารมี เราจะเทศน์จะสอน
ื
ื
�
ี
ี
ื
กันแต่เร่องอะไรร้อยแปดพันประการ แต่เร่องสาคัญท่สุด ท่เป็น
�
ื
* บรรยายพิเศษในงานบวชเนกขัมมบารมี ณ วัดเสาธงทอง อ.ศรีประจันต์
จ.สุพรรณบุรี กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖
102
สาราสารกถา
ื
หน้าท่ของพวกเราท่เป็นชาวพุทธ คือ เร่องการสร้างบารมี เรา
ี
ี
ไม่ค่อยได้พูดกัน
ี
อาตมาเคยคิดว่า จริงๆ แล้ว ในฐานะท่พวกเรานับถือ
ื
ี
�
พระพุทธศาสนา เร่องท่เราจะต้องรู้ ต้องทาความเข้าใจ และต้อง
ปฏิบัติกันจริงจัง ก็คือเร่องบารมี แต่เราก็ไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยได้
ื
ปฏิบัติ หรือปฏิบัติแต่ไม่รู้ จริงๆ แล้วเราก็ปฏิบัติกัน แต่ส่วนใหญ่
ิ
�
ี
ั
แล้วเราไม่รู้ว่า ส่งท่เราทาน้เป็นบารมีอะไร เพราะฉะน้น จึงได้
ี
ื
ี
่
ี
ชอว่าเป็นโอกาสทเหมาะและดมากทเราจะได้พดถงเรองบารม ี
ี
ึ
่
ู
่
ื
่
กันบ้าง
พระพุทธองค์และพระสำวก
บรรลุมรรคผลได้ด้วยบำรมี
ถ้าเราได้รู้จักประวัติของพระพุทธเจ้าก็ด ของพระอรหันต-
ี
ั
�
ี
�
สาวกก็ดี ท่ท่านได้สาเร็จมรรคผล ก็สาเร็จได้ด้วยบารมีท้งนั้น
เราก็รู้กันมาว่า ท่พระพุทธเจ้าสาเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
�
ี
�
ี
ี
ก็สาเร็จด้วยบารมีท่ทรงชนะพญามาร ก็ชนะด้วยบารม ไม่ได้ชนะ
ื
ด้วยอย่างอ่นเลย เราดูพุทธประวติแล้ว ในตอนท่พระพุทธเจ้า
ั
ี
�
ื
ี
�
บาเพ็ญธรรมเพ่อจะตรัสรู้ หรือตอนท่บาเพ็ญทุกกรกิริยา หรือ
�
ื
ื
ทาอะไรเร่อยมา คงจะทราบว่า เทวดาในหม่นจักรวาลมาเฝ้า
พระพุทธเจ้ากันเป็นล้านๆ โกฏิๆ องค์ ตอนสาเร็จจริง พญามาร
�
ี
มันเห็น มันรู้ว่า พระพุทธเจ้าน้จะพ้นไปจากอานาจของมันแล้ว
�
103
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ก็คิดจะควบคุมพระพุทธเจ้าไว้ในอานาจของมันต่อไป จึงยก
�
พลมา บางท่านคงจะเคยเห็นภาพเขียนพุทธประวัติ มีภาพ
ี
นางพระธรณีบีบมวยผม ท่เราเห็นพญามารยกพลเสนาเป็นหม่น
ื
เป็นแสน จะมาเอาชนะพระพุทธเจ้า พอพญามารยกทัพมา
ั
เท่าน้นแหละ เทวดาท่อยู่ในแสนโกฏิจักรวาลหนีไปหมด เพราะ
ี
ึ
กลัวพญามาร เม่อทัพมารมาถึงก็เกิดเสียงเอะอะข้น พระพุทธเจ้า
ื
เหลียวไปมอง ก็ทรงทราบว่าเทวดาที่มาเฝ้าหายไปหมดแล้ว!
ี
ั
พญามารก็มาตู่ว่า บัลลังก์ท่พระพุทธเจ้าน่งน้นเป็นของมัน
ั
มันก็อ้างลูกน้องเป็นพยาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เป็นของเรา
ั
เป็นของท่านมีพยานไหม? ก็เหมือนการพิพากษาตัดสินน่นแหละ
ี
พระพุทธเจ้าก็เหลียวมองหาเทวดาในแสนโกฏิจักรวาฬท่มา
�
เฝ้า ปรากฏว่า ไม่เหลือเลยสักตนเดียว หนีไปหมด แล้วจะทา
ึ
ึ
่
้
ี
็
อยางไร ไมมพยาน กจะตองแพมาร กเลยนกถงบารม จงบอกวา
ึ
่
็
้
่
ี
ึ
บัลลังก์น้บังเกิดข้นด้วยบารมีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีบุคคลใด
ี
ี
ท่จะเป็นพยานได้ นอกจากแม่พระธรณี เพราะท่ข้าพเจ้าสร้าง
ี
ั
�
บารมีมาแต่ละอย่างๆ น้น ข้าพเจ้าได้กรวดน้าให้แม่พระธรณ ี
ี
ได้รับทราบว่า ข้าพเจ้าได้สร้างบารมีไว้จริง ก็ช้ไปท่แม่พระธรณ ี
ี
ึ
แม่พระธรณีก็โผล่ข้นมาจากดินมาเป็นพยานว่า รัตนบัลลังก์น ้ ี
�
สาเร็จด้วยบารมีของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้สร้างบารมีมา
ี
ี
ถ้าจะนับเท่าท่จะนับได้ ก็ถึงส่อสงไขย แสนมหากัปป์ สร้างบารม ี
แต่ละคร้งๆ พระองค์ก็กรวดนา นาท่พระองค์กรวด ข้าพเจ้าซับไว้
ี
�
้
�
้
ั
ิ
ในมวยผมท้งส้น แล้วแม่พระธรณีก็บีบเอานาท่พระพุทธเจ้ากรวด
ี
้
ั
�
104
สาราสารกถา
ี
ท่ซับไว้ในมวยผม ออกมาเป็นทะเลท่วมพญามารจนพ่ายแพ้หมด
นี่เรื่องบารมีมันเป็นอย่างนี้
ใช้บำรมีเป็นอำวุธสู้กับมำร
โลกน้มีคนสองจาพวก คือ พวกมาร กับพวกพระ พวก
�
ี
พระกับพวกมารมันต้องสู้กัน เราเป็นฝ่ายพระ แล้วจะเอาอะไร
ไปสู้กับมารล่ะ ก็ต้องเอาบารมีซิ พระพุทธองค์ท่านเอาบารมีส ู้
ี
ชนะมารมาแล้ว เราก็ต้องสู้กับมาร มารมีอะไรบ้างท่เราจะต้อง
สู้ ความยากจนก็เป็นมาร มันมาผจญเรามันก็ทุกข์เหลือเกิน
ี
แล้วจะเอาอะไรมาชนะมาร คือความยากจน น่เราก็ต้องมีบารม ี
จึงจะชนะได้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นมาร จะเอาอะไรไปสู้มันล่ะ
�
ทาไมเราจะต้องยากจน เกิดมาแล้วจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้อง
ั
�
ี
ั
อายุส้น เป็นมารท้งน้น พวกน้เป็นมาร เกิดมาแล้วทาไมเรา
ั
�
ถึงต้องโง่ โง่มันก็เป็นมาร ทาไมเราไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษาให้
�
มันสูงๆ เหมือนเขาบ้าง ก็เพราะมันมีมาร ทาไมเราจึงคิดอ่าน
�
อะไรไม่ออก จะคิดอะไรต่อมิอะไร คิดไม่ออก จะคิดทาอะไร
ั
�
สักอย่างมันตันไปหมด อะไรมันทาให้ตัน ก็มารท้งนั้น ท�าไม
ื
�
�
คนอ่นเขาคิดได้ คิดจะทามาหากิน ทาอะไรต่ออะไรมันคล่อง
�
ไปหมด ส่วนเราคิดมันไม่คล่อง บางทีคิดไม่ออกเลย ทาไมเป็น
อย่างนั้น ก็เพราะมารนั่นเอง
105
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
เพราะฉะนั้น เราต้องสร้างบารมี จึงจะเอาชนะมาร
ี
พวกน้ได้ เพราะถ้าเรามบารมีแล้วเราจะไม่พบเร่องเลวๆ
ื
ี
�
�
�
�
ร้ายๆ ซ่งทาให้ทุกข์ ทาให้ลาบาก ทาให้ยุ่งยากใจ ไม่ต้องด ู
ึ
อ่นไกล คนท่สร้างบารมีมามากๆ เวลาจะไปไหนมาไหน หรือ
ื
ี
ทาอะไรต่างๆ มันสะดวกไปหมด อย่าไปอิจฉาริษยาเขาเลย
�
ี
ิ
สมมติอย่างกับในหลวงของเราเวลาจะเสด็จไปไหน ส่งท่ไม่
ดีน่ะ เขาจะกันออกไปหมด ไม่ให้เห็นเลย ท่านไม่ได้บอกไม่ได้
ิ
ี
ี
่
ี
่
ั
่
ั
สงหรอก แต่พวกเรานแหละกนไว้ให้ พยายามหาแต่สงท่ดๆ
ึ
ให้ท่านเห็น หรือแม้แต่จะเอาของถวายในหลวงสักช้นหน่ง เรา
ิ
ี
ี
ี
จะต้องนึกว่าในบ้านเราน้ มีอะไรท่ดีท่สุด เราจะไปถวายท่าน
ั
ั
ั
ท่านไม่ได้ออกปาก ท่านไม่ได้บงคับเรา บารมีท่านบงคบเรา
เราต้องเอาของดีๆ ไปให้ท่าน นี้เรื่องบารมี มันส�าคัญอย่างนี้
ั
ื
เพราะฉะน้น ญาติโยมต้องฟังเร่องบารมีไว้ให้ดี เวลา
�
�
�
เราไปประสบพบอะไรท่มันไม่น่าพอใจ ทาให้ตกระกาลาบาก
ี
เราจะได้มาตรวจสอบตัวเองว่าเราขาดบารมีอะไร มันถึงได้
เจออย่างนี้
�
ิ
ี
บารมีคืออะไร? บารมี ก็คือส่งท่จะทาให้ชีวิตเราประสบ
�
ความสาเร็จในทุกด้าน เราบกพร่องอะไร ก็แสดงว่าขาดบารม ี
ิ
ี
ี
ี
�
ส่งท่จะทาให้เราสมบูรณ์ท่สุดในทุกด้าน น่นเรียกว่า บารม มีอย ู่
ี
ั
๑๐ อย่าง ใน ๑๐ อย่างน้น ถ้าเราบาเพ็ญได้เต็มเปี่ยม ชีวิตจะ
�
ั
สมบูรณ์ที่สุดในทุกด้าน ๑๐ อย่างมีอะไรบ้าง? คือ
106
สาราสารกถา
๑) ทาน ๒) ศีล ๓) เนกขัมมะ
๔) ปัญญา ๕) วิริยะ ๖) ขันติ
๗) สัจจะ ๘) อธิฏฐาน ๙) เมตตา
๑๐) อุเบกขา
ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันต สัจจะ อธิฏฐาน
ิ
ี
�
เมตตา อุเบกขา น้เรียกว่าบารมี บารมีน้ ถ้าเราบาเพ็ญแต่ละ
ี
อย่างๆ นั้น เราต้องรู้ผล ผลแต่ละอย่างๆ มันไม่เหมือนกัน
ทำนบำรมีให้ผลในด้ำนทรัพย์สมบัติ
ทานบารมี ถ้าเราบาเพ็ญแล้ว จะให้ผลในด้านทรัพย์
�
ิ
สมบัต คนจะมีทรัพย์สมบัติ ต้องมีทานบารมีเป็นพ้นฐานอยู่
ื
เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าทรงบาเพ็ญทานบารมีมามาก ผลแห่ง
�
ี
ี
�
ทานบารมีของพระองค์ ทาให้พระองค์เป็นคนท่รวยท่สุดในโลก
ี
รับรองว่า คนท่รวยท่สุด เป็นเศรษฐีอันดับ ๑ ในโลกตามการ
ี
ึ
จัดอันดับ อย่างเช่น สุลต่านของประเทศบรูไน ซ่งมีทรัพย์สิน
ส่วนพระองค์ประมาณ ๕ แสนกว่าล้าน ก็ยังไม่รวยเท่าพระ
ี
พุทธเจ้า ดูได้จากวัดวาอาราม น้สร้างถวายใคร? ถวายพระพุทธเจ้า
ึ
วัดหน่งๆ ราคาก่ล้าน? น่เป็นผลทานบารมีของพระพุทธองค์
ี
ี
ท้งน้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าสร้างทานบารมีไว้ก็ไม่มีใครสร้าง
ั
ั
ั
วัดถวายเราหรอก รวมเอาทรัพย์สินของพระพุทธเจ้าท้งหมดก ็
107
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
ี
ไม่รู้ว่าก่ล้านล้าน ลองคิดดูซิ น่สมบัติของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น
นั่นแหละทานบารมี และพระองค์ก็ไม่ได้มาใช้มาสอย ไม่ได้มา
�
ี
ขอเรา ทาไมเราไปทาให้พระองค์เล่า? ก็เพราะทานบารมพระองค์
�
�
ั
�
ทามามาก บังคับให้เราทา น่นเกิดจากทานบารมี ทานบารมีให้ผล
ทางทรัพย์สมบัติอย่างนี้ อุตส่าห์สร้างไว้เถอะ
ี
อย่างพวกเราท่เกิดมาในเมืองไทยนี แม้จะยากดีมีจนอย่างไร
้
ก็ไม่อดตาย แสดงว่าทุกคนมีทานบารมีกันมา ถึงไม่มาก แต่ก
็
มีกันมาพอสมควร จึงได้มาเกิดในเมืองไทย ทาให้เราพอม ี
�
โอกาสได้ท�ามาหากิน พอมีกินมีใช้ แล้วก็เหลือกินเหลือใช้ จะ
เหลือมากหรือน้อยก็ตามเถอะ แสดงว่าเรามีทานบารมีแล้ว พอ
เรามีเหลือกินเหลือใช้แล้ว จะต้องคิดให้ ต้องสร้างทานบารมีไว้
ถ้าเรามีเหลือกินเหลือใช้ ไม่คิดให้ แสดงว่าเราไม่คิดสร้าง
่
ี
ี
ทานบารม ทานบารมีเก่าก็จะหมด และเราจะถูกถอด คนทหมด
�
อานาจทานบารมีแล้วจะถูกถอด เราทามาหากิน เหลือกินเหลือใช้
�
มีกินมีใช้ แสดงว่าเขาต้องการให้เราสร้างทานบารมีต่อ คือ
ต้องการให้เราเป็นผู้ให้ ผู้ให้ก็คือผู้สร้างทานบารมีน่นเอง และ
ั
ี
ถ้าเราไม่ให้ ก็ถือว่า ละทิ้งหน้าท่ ถ้าเป็นข้าราชการผิดไหม?
สมมติว่าเขาให้เป็นครู แต่ไม่สอนหนังสือ ผิดไหม? ผิดแล้ว เขา
ไล่ออก เป็นยังไง? ก็ไม่มีเงินเดือนกิน สมมติว่า เราเกิดมาชาติน ี ้
มีกินมีใช้ เหลือกินเหลือใช้ แสดงว่า บารมีเราต้งให้เราเป็นผู้ให้
ั
ต่อไป และถ้าเราไม่ให้ ก็ถือว่าละท้งหน้าท่ ไปอีกชาติหน่ง เรา
ิ
ึ
ี