358
สาราสารกถา
ั
ั
สู้ได้ท้งน้น ถ้าเรามีทานมาดี ไม่อดตาย มีศีลมาดี ไม่เจ็บตาย
มีภาวนามาดี ไม่อุบัติเหตุตาย ต้องเชื่อ!
ี
ี
ชีวิตเราท่อยู่ได้ทุกวันน้ ทาน ศีล ภาวนา ตามปกป้อง
คุ้มครองเรา และการดาเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาทในปัจจุบัน
�
เพื่อเข้าไปประสานกับบุญเก่าด้วย
ความประมาทเป็นอุปัจเฉทกกรรม เราจะทาดีมามากมาย
�
ั
ุ
ั
สกแค่ไหน ถ้าประมาท ประมาทจะเป็นกรรมมาตดรอนบญ
ทั้งหมดให้ขาดตอนลงเลย
ั
ิ
ี
ุ
่
ื
ี
ึ
ั
ุ
้
เพราะฉะนน ชวตปจจบน พระพทธเจาจงสอนเรองเดยว
ั
้
ี
คือไม่ให้ประมาท ห่วงเร่องน้ และพวกเราทุกคนก็เหมือนกัน
ื
ี
ไม่รู้ว่าพวกเราน้มีทาน มีศีล มีภาวนากันมามากน้อยแค่ไหน
ื
ดาเนินชีวิตปัจจุบัน จึงต้องไม่ประมาทอย่างเดียวเท่าน้น เพ่อ
ั
�
ให้ทานให้ศีลให้ภาวนาของเรา มันให้ผลเต็มที่ จ�าไว้
พูดได้อีก ยันเพดานไว้ เอาล่ะ! เป็นอันว่า ขอจบแค่น้ ม ี
ี
เวลานอก ขอไว้หน่อย ใช่ไหม?
ี
ท่บอกให้เห็นว่า พวกเราเป็นคนมีบุญ ต้องให้เห็นไง เวลา
�
�
ทาบุญ จะได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ พวกเรามีบุญ มีทานมา ทาให้
�
�
�
ไม่อดอยาก ทานสนับสนุนทาให้เราทามาขายข้น มีศีลมา ทาให้
ึ
เราไม่เจ็บป่วย เจ็บป่วยก็รักษาหาย มีภาวนามัยมา ทาให้เราไม่ม ี
�
อุบัติเหตุอุบัติภัย
359
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
เร่องน้ต้องไปพิจารณาให้เห็นชัด ว่าทุกคนมีบุญ มีทาน
ื
ี
่
มีศีล มีภาวนา ตามปกป้องคุ้มครองอยู่ โดยเฉพาะภาวนานี
อย่าไปนึกว่าสวดมนต์ไม่ได้อะไร? เพราะอุบัติเหตุอุบัติภัยบน
ี
ั
่
ุ
ุ
้
้
ี
่
้
ั
โลกใบนี มนมทกตารางนิว ถาเราไมมบญมาน เราเกดมาอาศย
ี
ิ
ดิน น�้าลม ไฟ
ถ้าเราไม่มีบุญ ดินเขาไม่ให้เราอาศัย นาไม่ให้เราอาศัย ลม
�
้
้
�
ไม่ให้เราอาศัย ไฟไม่ให้เราอาศัย ดินนาลมไฟพร้อมจะเป็นภัย
ให้เราตายได้ท้งน้น ถ้าไม่มีบุญ เห็นไหมเล่า? ที่ประเทศลาว
ั
ั
เข่อนถล่มพังเป็นหมู่บ้านๆ ไม่ใช่อะไรหรอก เรียกว่า บุญตามมา
ื
รักษาไม่ทัน
ุ
ิ
ั
่
อย่างทบอก บุญทจะป้องกันอุบัตเหตุอบัติภัย ตามมารกษา
ี
่
ี
เราคือบุญสวดมนต์ภาวนาจะป้องกันอุบัติเหตุอุบัติภัยอย่างท ี ่
บอกไว้เมื่อกี้นี้
“ทานมัย ไม่รันทด เรื่องอดอยาก
สีลมัย ไม่ทุกข์ยาก เรื่องป่วยไข้
ภาวนา ช่วยป้องปัด อุบัติภัย
บุญคุ้มให้ ไม่ม้วยมรณ์ ก่อนชรา”
ให้เห็นว่าเรามีบุญอยู่ในตัวเรา ทุกคนจึงมีชีวิตอยู่รอด
ปลอดภัยได้ถึงวันนี้
360
สาราสารกถา
ื
ื
เพราะฉะน้น เม่อเราเช่อเร่องบุญแล้ว ต่อไปหัวใจนักบุญ
ื
ั
�
ื
จาไว้น่ะ จะให้แล้วก็จากันไว้เลย จะทาบุญอะไรก็ตาม เราเช่อ
�
�
แล้วว่า เราเกิดมามีบุญตามปกป้องคุ้มครองเรา และก็จากัน
�
ู
�
ไว้ให้แม่น จะทาบุญอะไรก็ตาม ดใจตนเอง อย่าไปเช่อพระ
ื
ื
ื
ั
ั
ไม่ต้องเช่อใครท้งน้น พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สอนให้เช่อท่าน
ใช่ไหมเล่า? ต้องให้พิจารณาเห็นเอง สันทิฏฐิโก ต้องให้เห็น
ื
ื
ด้วยตนเองแล้วค่อยเช่อ ต้องให้เห็นบุญในตัวเอง เม่อเห็นบุญ
�
�
ในตัวเองแล้ว เวลาเราจะทาบุญ ให้ดูใจตัวเอง จาไว้น่ะ ให้ดูใจ
ตัวเอง ทาบุญดูใจตัวเอง ไม่ต้องเช่อพระ หลวงพ่อทองบอก
�
ื
ก็ไม่ต้องเชื่อ เอาอย่างงั้นเลย! หลวงพ่อ
ื
�
ให้เช่อใจตัวเอง เช่ออย่างไง? เช่อว่าทาบุญได้บุญ ใช่ไหม?
ื
ื
เวลาเช่อแล้ว ใจเราต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๓ อย่างตาม
ื
ี
ท่พระพุทธเจ้าท่านบอก บุญเราจึงจะได้ผลเต็มร้อย ได้ผลเต็มท ี ่
ไม่บกพร่อง เจริญงอกงาม
หนึ่งตั้งใจ จ�าไว้ จะท�าบุญอะไรก็ตาม คุณสมบัติของคน
ที่จะท�าบุญ ใจของคนที่จะท�าบุญ ๑.ตั้งใจ ๒.เต็มใจ ๓.ปลื้มใจ
�
ิ
ี
จาได้ไหม? ง่ายๆ แล้วหลวงพ่อหลวงพ่จาไว้ แล้วไปสอนญาตโยม
�
ท�าบุญ
�
ี
ใจต้องประกอบด้วยลักษณะ ๓ อย่างน้ คนท่จะทาบุญ
ี
ต้นบุญมันจึงจะเจริญงอกงามให้ผลดี ให้ผลมาก
361
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ลักษณะใจ ๓ ประกำร
ั
ั
็
ุ
แล้วกไปเทศน์โปรด บญมนเป็นเรองอศจรรย์ มนเป็น
ั
่
ื
กฎธรรมชาติ เป็นหลักวิทยาศาสตร์ “โยมน่ะโยม! ทาบุญบาท
�
�
เดียว ถ้าไม่ได้ผลเป็นร้อยล้านพันล้าน โยมอย่าทา!” เงียบ
หมดเลย
ทดเวลาเรื่อย หมดเวลา เอาอีกหน่อยน่ะ!
่
่
�
็
ี
�
้
ั
ิ
ั
้
ทาบญ ทาบาทเดยว จาไวนะ กฎธรรมชาตมนเปนอยางงน
ุ
�
�
ทาบาทเดียว ถ้าไม่ได้ร้อยล้านพันล้าน โยมอย่าไปทา อย่าไป
�
�
นึกว่าทาบุญบาทเดียว แล้วมันจะไม่ได้อะไร ไปประมาทบุญไม่ได้
ี
กฎธรรมชาติมันมีอย่างไง? มะม่วงเม็ดเดียวท่เราเอาไป
ึ
ี
ปลูกในแผ่นดินน่ เวลามันออกลูก ต้นมันงอกใหญ่โตข้นมา มัน
ออกลูกลูกเดียว แล้วมันตาย ใครจะปลูกมะม่วงบ้าง? ปลูกไหม?
ี
เจ้าคณะจังหวัด ท่ต้องต่อเวลา เร่องจริงมันเป็นอย่างน้ จะได้
ื
ี
เข้าใจกัน ไม่ง้น เจ้าคณะจังหวัดไปด่าชาวบ้านเขา ไปด่าเขา
ั
ึ
เปล่าเล่า? เขาทาบุญบาทหน่ง อยากจะได้สักร้อยล้าน ว่าไอ้น ่ ี
�
ึ
ค้ากาไรเกินควรแท้ๆ เราไม่เข้าใจ ไปด่าเขา ทาบุญบาทหน่ง ถ้า
�
�
ไม่ได้ร้อยล้านพันล้าน อย่าไปท�า
เปรียบอย่างไงล่ะ? มะม่วงเม็ดเดียวไปปลูกข้นต้น ถ้ามัน
ึ
ออกลูกลูกเดียว ต้นตาย ใครปลูกมะม่วงบ้างเล่า? ปลูกไหม?
ไม่มีใครปลูกหรอก มะม่วงเม็ดเดียว เวลามันออกลูก มันออก
362
สาราสารกถา
เป็นร้อยลูกพันลูก เพราะฉะน้น ร้อยลูกพันลูก ไปขยายพันธุ์ได้
ั
เต็มโลก
เพราะฉะน้น ท่โบราณาจารย์ท่านสอนไว้ อย่าไปตะขิด-
ั
ี
๋
้
ี
์
ั
่
ู
ั
ี
้
ตะขวงใจ เดยวน้เทศนกนไม่ได พวกความรสมยใหมอย่างพวก
�
ดอกเตอร์ กระดากปากเทศน์ไม่ได้ - “โยม! ทาบุญบาทเดียวน ี ้
มันจะได้ผลเป็นร้อยล้านพันล้าน น่ะโยม!” - เทศน์ไม่ได้ สมัยใหม่
ไงเล่า
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า บาทเดียวมันต้องได้ผลเป็นร้อย
ล้านพันล้าน ก็ไม่ดูประวัติพระอนุรุทธะเล่า? เรียนมาหรือเปล่า?
ธรรมบท! พวกประโยค ๙ เห็นไหมเล่า?
�
ถามว่า พระอนุรุทธะทาบุญเท่าไร? หลวงพ่อพรหม?
ึ
อนรทธะน่ะ บุพกรรมของท่าน ข้าวคร่งจาน! ทาบุญด้วยข้าว
�
ุ
ุ
์
้
ิ
่
ึ
ุ
็
ิ
่
ุ
้
ั
่
ครงจานเทานนแหละ อานสงสสงใหพระอนรทธะ เกดเปนเศรษฐ ี
ุ
ุ
ิ
้
ุ
็
ิ
ั
ิ
ิ
้
รอยชาตพนชาต จนกระทงชาตสดทายเกดมาเปนพระอนรทธะ
ั
่
�
ึ
ไม่เคยรู้จักคาว่าไม่มีเลย ต้องการอะไร ได้ทุกอย่าง จากข้าวคร่ง
จาน เป็นไปได้อย่างไง?
สรุปได้ว่า มะม่วงเม็ดเดียว ปลูกแล้วให้ผลเป็นร้อยลูก
พันลูกหม่นลูกแสนลูก ให้ผลเป็นกัปป์ๆ กัลป์ๆ ท่โบราณท่าน
ี
ื
ึ
�
บอกว่า “ทาทานหน่งบาท ได้อานิสงส์ห้าร้อยเท่า พันเท่า ร้อย
ี
ั
ื
ั
กัปป์ พันกัปป์...” อะไรน่ จริงท้งน้นเลย ไม่ใช่เร่องหลอกเลย
์
ิ
้
่
เปนไปตามกฎตามธรรมชาต กฎวทยาศาสตร เอาละ! จบแลว
ิ
็
363
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ั
ั
ี
ั
นานๆ ได้พูดที วนน้เจอเจ้าคณะจังหวัด ๗๗ จงหวด
โอ้โฮ..สมใจ ต้องขอขอบพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพศาสนา-
ี
ึ
ั
ภิบาล เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงอีกคร้งหน่ง ท่ให้ผมได้มีโอกาสพบปะ
ั
พูดจากับเจ้าคณะจังหวัดท่วประเทศ พบปะพูดจากับผู้อานวยการ
�
�
สานักงานพระพุทธศาสนาท่วประเทศ ท่เราจะต้องทาหน้าท ่ ี
�
ี
ั
ี
เป็นผู้ท่จะสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้ยืนยงคงอยู่ คู่ฟ้าคู่ดิน
ตลอดไป
ี
ิ
ี
ื
ในวันน้ เร่องท่ผมได้เรียนถวายไป เจริญพรให้ไป ถ้ามีส่งใด
ื
�
เกินเลย ทาให้ขุ่นข้องหมองใจ ผมต้องกราบขอขมาอภัย เร่องใด
ี
ท่ดี ท่มีประโยชน์ เห็นว่าจะนาไปเผยแพร่แล้ว จะเป็นประโยชน์
�
ี
แก่ผู้ปฏิบัติ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ท่รับไปปฏิบัติ จะเป็นประโยชน์
ี
ั
แก่เทวดาและมนุษย์ท้งหลาย ขอให้ช่วยกันไปเผยแพร่ด้วย ผม
ได้ลงทุนพิมพ์หนังสือถวาย
ี
ี
้
ขออภัย หนังสือท่แจกน เป็นพุทธมามกมนต์ ความท่อยาก
ี
ั
ี
ให้คนท้งโลกรู้จักพระพุทธเจ้า ผมลงทุนพิมพ์หนังสือน้ ๑๐ ล้าน
้
กวาบาทแลว ผมทาเผยแพรเปนลานๆ เลมแลว เลมละ ๑๐ บาท
้
่
่
�
่
่
้
็
ั
ึ
๑๐ ล้านข้นว่าง้นเถอะ พิมพ์หนังสือเผยแพร่ ไม่เสียดมเสียดาย
อะไรหรอก ขออย่างเดียวว่า ให้ชาวพุทธรู้จักพระพุทธเจ้ากัน
จริงๆ ให้ไปช่วยกันเผยแพร่
ึ
ื
น่เร่องหน่งคือเร่องพระธรรมท่ผมต้องการให้ย่งยืน โดย
ื
ี
ั
ี
ผ่านพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
364
สาราสารกถา
ึ
อีกเร่องหน่ง อยากจะนิมนต์เจ้าคณะจังหวัด อยากจะเชิญ
ื
ชาวพุทธทุกคน
ี
ปัจจุบันน้ผมไปสลักภูเขา เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หน้าตัก
๒๕ เมตร ความสูง ๓๕ เมตร ใหญ่ขนาดไหน ท่านลองไปคิดด ู
การสลักพระพุทธรูปน้ ตามรูปหลังปกหนังสือพุทธมามก-
ี
มนต์
น่นคือพระพุทธรูป ท่ผมกาลังสลักอยู่ และใกล้จะแล้วเสร็จ
�
ั
ี
ตอนน้เสร็จไป ๙๙.๙ เปอร์เซ็นต์ เหลือแต่งตาอีกหน่อยให้หวาน
ี
อีกนิดหนึ่ง เท่านั้นแหละ
นิมนต์น่ะ ถ้าว่าง ไปเท่ยวก็ได้ ไปกัน นิมนต์ไปฉันเพลสักม้อ
ี
ื
ี
ี
ั
ก็ได้ ไปกันท้งหมดน่ มาแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับไปอีก เด๋ยวผม
ื
จะเล้ยงเพลสักม้อหน่ง ไปดูว่าพระพุทธรูปแกะสลักบนภูเขาน ี ้
ึ
ี
ั
ต้งแต่ต้งประเทศไทยมา ยังไม่มีใครเคยสลักเลย แล้วสถานท่ท ่ ี
ี
ั
ี
ผมไปสลักตรงน้ มันเป็นท่สาคัญด้วย เป็นจุดเร่มต้นของพระ
�
ี
ิ
ี
พุทธศาสนาท่เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ยุค ๒,๐๐๐
ิ
ี
ี
กว่าปี พระพุทธเจ้าท่เรานับถือกันอยู่ทุกวันน้ จุดเร่มต้นมันอย ู่
ที่เมืองอู่ทองโบราณ
เมืองอู่ทองโบราณ เดิมเขาเรียกว่าสุวรรณภูม มันเป็น
ิ
ศูนย์กลางของสุวรรณภูมิ พระเจ้าอโศกส่งพระโสณะ และพระ
อุตระ มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาท่สุวรรณภูมิ คือสถานท่ท่ผม
ี
ี
ี
365
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
แกะสลักพระน้แหละ และบังเอิญว่าตรงน้มันมีหน้าผาท่จะสลัก
ี
ี
ี
พระใหญ่ได้ ผมก็สลักไว้ตามรูปหลังปกหนังสือ
ี
เออ! ถ้ายังไม่กลับ ไปเลย ไปหมดน้เลย ถ้าไปแล้ว บอก
ผมด้วย ผมจะเล้ยงโต๊ะจีน และอาจจะมีปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ
ี
ถวาย ๑๐ บาท ๒๐ บาท
ี
ี
ท้ายท่สุดน้ ขอจบบรรยาย และขออาราธนาคุณพระศรี-
ี
รัตนตรัย บารมีธรรมของหลวงพ่อวัดไร่ขิง ซ่งเป็นท่เคารพสักการะ
ึ
ั
ของเทวดาและมนุษย์ท้งหลาย โดยขออาราธนาพุทธานุภาพ
ของหลวงพ่อไร่ขิง
หลวงพ่อไร่ขิง
โปรดประทานพร สิ่งหวังวอนจงสมหวัง
หวังลาภลาภไหลหลั่ง ได้ลาภดั่งเจตจ�านง
หวังยศเสริมศักดิ์ศรี ยศทวียิ่งยืนยง
หวังคนสรรเสริญจง สมประสงค์ปราชญ์สรรเสริญ
หวังสุขทั้งกายใจ กายสบายใจเพลิดเพลิน
ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ จงเจริญตลอดกาล ฯ
สาธุ ฯ
367
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ฐำนข้อมูล
หลวงพ่อสอิ้ง
ชื่อและนามสกุลเดิม : สอิ้ง อาสน์สถิตย์
ชื่อและฉายาพระ : พระมหาสอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ. ๘
�
ิ
ชาติภูมิ : บ้านท่าไชย ตาบลหัวโพธ์ อาเภอ
�
สองพี่น้อง จังหวัด สุพรรณบุรี
สูติกาล : วันศุกร์ แรม ๑๔ ค�่า เดือนอ้าย ปีจอ
่
ี
ตรงกับวันท ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๗
บิดา : นายทองหล่อ อาสน์สถิตย์
�
มารดา : นางทองคา อาสน์สถิตย์ (แสงหิรัญ)
ุ
ื
บรรพชา : เม่ออาย ๑๗ ปี ตรงกับ พ.ศ.๒๔๙๔
ณ วัดช่องลม (ปัจจุบัน วัดท่าพระยา-
จักร) โดยมีพระครูวินยานุโยค (หลวง-
พ่อบญ) วดยางยแส เจ้าคณะอาเภอ
่
ุ
�
ี
ั
อู่ทอง เป็นพระอุปัชฌาย์
การศึกษาขณะเป็นสามเณร
พ.ศ. ๒๔๙๔ สอบ น.ธ.ตรี ได้ (สานักเรียนวัดเขาพระ)
�
ี
พ.ศ.๒๔๙๕ สอบ น.ธ.โท ได้ (สานักเรียนวัดสองพ่น้อง)
�
368
สาราสารกถา
พ.ศ.๒๔๙๗ สอบ น.ธ.เอก ได้ และสอบได้ ป.ธ. ๓
(ส�านักเรียนวัดสองพี่น้อง)
พ.ศ. ๒๔๙๘ สอบได้ ป.ธ. ๔ (ส�านักเรียนวัดสองพี่น้อง)
อุปสมบท :
ื
ี
เม่ออายุ ๒๒ ปี ตรงกับวันท่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘
ิ
ี
�
�
ณ พัทธสีมาวัดท่าไชย ตาบลหัวโพธ์ อาเภอสองพ่น้อง จังหวัด
สุพรรณบุรี โดยมีพระวิบูลเมธาจารย์ (หลวงพ่อเก็บ ภทฺทิโย
ป.ธ.๗) เป็นพระอุปัชฌาย์
การศึกษาต่อ (ด้วยตนเอง)
พ.ศ. ๒๔๙๙ สอบได้ ป.ธ.๕ (ส�านักเรียนวัดสองพี่น้อง)
พ.ศ. ๒๕๐๑ สอบได้ ป.ธ.๖ (ส�านักเรียนวัดสองพี่น้อง)
พ.ศ. ๒๕๐๒ สอบได้ ป.ธ.๗ (ส�านักเรียนวัดสองพี่น้อง)
พ.ศ. ๒๕๑๒ สอบได้ ป.ธ.๘ (ส�านักเรียนวัดสองพี่น้อง)
หน้าที่และการงาน
พ.ศ. ๒๕๑๑ เจ้าอาวาสวัดสองพี่น้อง
พ.ศ. ๒๕๑๕ เจ้าคณะอ�าเภอสองพี่น้อง
พ.ศ. ๒๕๒๒ รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี
พ.ศ. ๒๕๓๙ เจ้าอาวาสวัดดอนเจดีย์
369
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๗ เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี
พ.ศ. ๒๕๕๔ เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์ วรวิหาร
พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี
�
ิ
้
พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ประธานดาเนนการสรางพระแกะสลก
ั
ใหญ่ ที่พุทธปุษยคีรี อ�าเภออู่ทอง
สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๔๙๗ พระเปรียญธรรม ๓ ประโยค
สอบได้ตามลาดับ ครองสมณศักด ์ ิ
�
ิ
เป็น “พระมหาสอ้ง สิรินนฺโท”
จนถึงปี ๒๕๑๖
๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖ พระสิรินันทเมธี (เข้ารับในวัน
รัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธ.ค.)
๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๙ พระราชปริยัติสุธี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ พระเทพสุวรรณโมลี
๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ พระธรรมพุทธิมงคล
370
สาราสารกถา
Bio-data of
Phra Thammaphutthimongkhon
Name and family name: Sa-ing Atsathit
Name and monk name: Phra Maha Sa-ing Sirinando
Pali grade VIII
Birthplace: Ban Tha Chai, Hua Pho sub-
district, Song Phi Nong dis-
trict, Suphan Buri province
Birthday: Friday 14 wanning moon,
th
1 lunar month, Dog year
st
of 4 of January, 1934
th
Father name: Mr. Thonglo Atsathit
Mother name: Mrs. Thongkham Atsathit
(Saenghiran)
Novice ordination: at age of 17 in 1951 at
Wat Chonglom (Wat Tha
Phraya Chak at present).
371
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
Novice preceptor: Phrakhru Winayanuyok
(Luang Pho Bun) of Wat
Yang Yi Sae, the Ecclesias-
tical governor of U Thong
district.
Novice Education
1951 passed Naktham I (Wat Tha Phra, U Thong
district)
1952 passed Naktham II (Wat Song Phi Nong, Song
Phi Nong district)
1954 passed Naktham III and Pali grade III (Wat Song
Phi Nong, Song Phi Nong district)
1955 passed Pali grade IV (Wat Song Phi Nong,
Song Phi Nong district)
th
Fully monk ordination: at age of 22 dated 4 of
April, 1955 at the Uposatha (ordination hall) of
Wat Thai Chai, Hua Pho sub-district, Song Phi
Nong district, Suphan Buri province.
372
สาราสารกถา
Monk preceptor: Phra Wibunmethachan (Luang
Pho Keb Bhaddiyo Pali grade VII) of Wat Song
Phi Nong
Self-Education
1956 passed Pali grade V (Wat Song Phi Nong, Song
Phi Nong district)
1958 passed Pali grade VI (Wat Song Phi Nong, Song
Phi Nong district)
1959 passed Pali grade VII (Wat Song Phi Nong, Song
Phi Nong district)
1969 passed Pali grade VIII (Wat Song Phi Nong, Song
Phi Nong district)
Duty and position
1968 Chief abbot of Wat Song Phi Nong
1972 The Ecclesiastical governor of Song Phi Nong
district
1979 The Ecclesiastical vice governor of Suphan Buri
province
373
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
1996 Chief abbot of Wat Don Chedi
2007-2014 The Ecclesiastical governor of Suphan Buri
province
2011 Chief abbot of Wat Palelai Worawihan
2014 The advisor to the Ecclesiastical governor of
Suphan Buri province
Phase I completion: 2015-2018 The founding
chairman of the Big Buddha Engraving at
Phutthaputsayakhiri, U Thong district
Honorific royal title
Since 1952 he passed Pali grade III and was fully
ordained in 1955. Traditionally, he was bestowed as
Phra Maha Sa-ing Sirinando until 1973
th
5 of December, 1973 Phra Sirinanthamethi (Re-
ceived the royal fan and title on Constitution Day of
10 of December 1973)
th
th
9 of July, 1996 Phra Rajapariyatthisuthi
5 of December, 2008 Phra Theppasuwanmoli
th
th
12 of August, 2016 Phra Thammaphutthimongkhon
375
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
หลวงพ่อสอิ้ง “เขียน”
ื
ขอเล่าเร่องเบ้องหลัง จากเด็กชายสอ้ง อาสน์สถิตย์ วันน้น
ื
ั
ิ
ี
(๒๔๗๗) ถึงพระเทพสุวรรณโมลีวันน้ (๒๕๕๗) อายุย่างปีท ่ ี
ี
๘๐ ปี ในแต่ละช่วงชีวิตท่ผ่านมาเป็นอย่างไรมาบ้าง ไม่ได้จด
บันทึกไว้ จะเล่าที่ระลึกได้เล่าได้
เกิดเม่อวันท่ ๔ มกราคม ๒๔๗๗ ท่บ้านท่าไชย ตาบล
ี
ี
ื
�
หัวโพธ์ อาเภอสองพ่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นชายคนท่ ๒
ี
ี
�
ิ
ั
ของพ่อทองหล่อ แม่ทองคา อาสน์สถิตย์ ต้งแต่เกิดมาจนถึง
�
ปัจจบัน ชีวตผ่านภพผ่านภมิคือเป็นอะไรมาบ้าง อย่ทไหน
ู
ี
ิ
ู
่
ุ
มาบ้าง ไม่เคยคิด ไม่เคยหวังทุกอย่างเป็นไปตามกรรม
ื
ไม่เคยคิดว่าจะเข้าโรงเรียน เม่ออายุถึงเกณฑ์โยมก็พาไป
ั
เข้าโรงเรียน จบช้นประถมแล้วออกจากโรงเรียนไปอยู่บ้าน ช่วย
โยมทางาน คือได้เล้ยงควาย ไถนา เป็นต้น เพราะเกิดในตระกูล
�
ี
ั
ชาวนา อาชีพชาวนาสมัยน้นมีเวลาว่างมาก ไถหว่านเสร็จ กว่า
ข้าวจะออกรวงให้เก็บเก่ยวได้ต้องรอไปถึง ๔-๕ เดือน วัยรุ่น
ี
ี
ั
ว่างงานก็เท่ยวเตร่ไปตามประสาวัยรุ่น บังเอิญยุคน้นใกล้บ้าน
มีโรงเหล้าโรงฝิ่น บ่อนพนัน ว่างๆ ก็ไปลองดูบ้าง บ่อยเข้าก็ชอบ
ี
ิ
* ชีวประวัติของพระธรรมพุทธิมงคล (สอ้ง สิรินนฺโท) ท่ท่านเขียนบันทึกไว้
ในงานท�าบุญอายุ ๘๐ ปี
376
สาราสารกถา
�
�
โดยเฉพาะการพนันเล่นได้ข้ามวันข้ามคืน ถึงฤดูทานาก็ไปทานา
ี
ี
ื
ว่างก็ไปบ่อน เป็นอยู่อย่างน้จนแตกเน้อหนุ่ม รักเท่ยวรักเล่น
ั
มากกว่ารักงาน หน้าว่างก็เท่ยวไป บางคร้งก็ไม่ยอมกลับบ้าน แม้
ี
ั
โยมจะดุด่าเฆ่ยนตีก็ดีได้ช่วคราว จนพฤติกรรมมีแนวโน้มไป
ี
ื
ึ
ี
�
ในทางท่ไม่พึงประสงค์มากข้น โยมแม่คงจะกลุ้มใจมาก นาเร่อง
ไปปรึกษากับยาย ได้ข้อสรุปว่าต้องเอาไปบวชเณร
�
ื
ื
�
�
การทานาสมัยก่อน ทาเพ่อบริโภค ไม่ได้ทาเพ่อการค้า
�
ึ
ั
ิ
ี
เหมือนสมัยน้ ปีหน่งทาเพียงคร้งเดียวในฤดูฝนเร่มแต่เดือน
๖-๘ จึงไถหว่านเสร็จ ถึงฤดูทานา โยมพ่อก็ปลุกลูกๆ เทียม
�
เกวียนบรรทุกไถ ไล่ควายออกไปไถนาแต่เช้ามืด โยมแม่ก็จะ
ึ
ลุกข้นหุงหาอาหารไปส่งประมาณ ๒ โมงเช้าก็ปลดไถ ปล่อย
ิ
ควายกินหญ้า คนก็มาต้งวงกินข้าว อ่มแล้วก็ไถนาต่ออีกจนถึง
ั
๕ โมงเช้า พระตีกลองเพล ก็ปลดไถปล่อยวัวควายกินหญ้า
็
(ทางานเพยงครงวน) ตกเยนกเทยมเกวยนไล่ควายกลบบ้าน
ี
ั
ี
�
ึ
ี
ั
่
็
เป็นอย่างน้ทุกวัน เว้นวันพระซ่งต้องหยุดงาน เพราะถือกันว่า
ึ
ี
็
้
็
ั
ั
์
้
่
ใชแรงงานสตววนพระเปนบาป การไถหวานจะแลวเสรจประมาณ
่
เดือน ๘ ใกล้ๆ วันเข้าพรรษา
ไม่เคยคิดจะบวช
้
ปี พ.ศ.๒๔๙๔ อายย่าง ๑๘ ป ใกล้วนเข้าพรรษา เชามด
ุ
ื
ั
ี
ออกไปไถนาตามปกติ ตอนสายโยมแม่หาบข้าวไปส่ง ปลดไถ
377
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
�
ึ
กินข้าวกันแล้ว โยมแม่ก็พูดข้นด้วยภาษาพ่อขุนรามคาแหงว่า
ั
“กูจะเอามึงไปบวชเณร” เท่าน้นแหละ ไม่มีใครพูดอะไร ที่สุด
ก็เดินตามโยมกลับบ้านเตรียมตัวไปบวชเณร
ปีนั้น มีคนท่าไชยบวชพระไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดเขาพระ
อ�าเภออู่ทอง มีคนท่าไชยบวชไปอยู่ด้วยหลายรูป ในจ�านวนนั้น
ึ
ื
ี
�
มีรูปหน่งช่อพระสาเภา เป็นญาติกัน มาเย่ยมบ้านก่อนเข้าพรรษา
โยมแม่จึงนาตัวไปฝากให้ท่านพาไปบวชเณร สมัยน้นไม่มีรถ
�
ั
ั
ึ
ิ
้
ึ
โดยสาร จงเดนตามท่านไปวนนันเลย ถงวัดเขาพระตอนเย็น
ึ
�
ท่านก็จัดการปลงผมให้ รุ่งข้นก่อนทาบุญเข้าพรรษา ๑ วัน
ท่านก็พาไปบวชเป็นเณรหางนาคที่วัดช่องลม (ท่าพระยาจักร)
�
ี
มีพระครูวินยานุโยค (หลวงพ่อบุญ) วัดยางย่แส เจ้าคณะอาเภอ
อู่ทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ โยมและญาติทบ้านท่าไชยไม่ได้ไป
ี
่
ร่วมด้วยเลย บวชแล้วก็ไปจาพรรษาอยู่วัดเขาพระ เรียนนักธรรม
�
้
ั
ี
ี
ึ
�
่
ชนตรี ถึงเดือนอ้ายแรม ๒ คา ก็ไปสอบท่วัดยางย่แส ซ่งเป็น
�
ึ
วัดเจ้าคณะอาเภอ สอบเสร็จแล้วก็กลับไปอยู่วัดท่าไชย ซ่งเป็น
วัดบ้านเกิด
ั
สมัยน้นประเพณีบวชพระ ต้องบวชอย่างน้อย ๑ พรรษา
็
ิ
็
ออกพรรษาได้กฐนแล้ว ถ้ายงไม่สก สอบนกธรรมเสรจกนยม
ั
ึ
ิ
ั
ี
ธุดงค์ไปไหว้พระทางภาคเหนือ มาจบลงท่พระพุทธบาท จังหวัด
สระบุรี หรือพระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี
378
สาราสารกถา
ช่วงท่สอบนักธรรมแล้วกลับไปอยู่วัดท่าไชยนั้น พระวัด
ี
ิ
ู
ุ
ั
ิ
�
ุ
ั
ู
ี
ท่าไชย ๒ รป กาลงเตรยมตวเดนธดงค์ ไม่ร้ว่าเดนธดงค์เป็น
อย่างไร อยากรู้จึงขอไปด้วย โดยไปสมทบกับพระและเณรวัด
ไผ่โรงวัวอีก ๒ รูป รวมเป็น ๕ รูป พระ ๓ รูป เณร ๒ รูป
ลงเรือเมล์ท่ตลาดบางสามเวลาเท่ยงคืน ถึงตัวจังหวัดสุพรรณฯ
ี
ี
สว่างพอดี ฉันเช้าเสร็จไปสมาทานธุดงค์ท่วัดประตูสาร แล้ว
ี
ี
ึ
เดินมุ่งหน้าจะไปไหว้พระบาท ๔ รอย ท่จังหวัดเชียงใหม่ ซ่ง
สมัยน้นไปยากมาก เพราะอยู่ในป่าลึก ไม่มีบ้านคนอย ไปปักกลด
ั
ู่
ื
ค้างแรม*** ไม่ได้ เช่อกันในสมัยนั้นว่า ถ้าใครได้ไปไหว้จะได้
ื
บุญมาก**** เม่อไปถึงเชียงใหม่ จึงสอบถามชาวบ้านจนรู้ว่า
อยู่ที่ไหนแล้วก็พากันดั้นด้นไปจนถึง
การเดินธุดงค์ไปไหว้พระบาท ๔ รอยสมัยน้น ต้องไป
ั
ึ
�
ปักกลดท่วัดหนองกาย อาเภอแม่ริม ซ่งเป็นปากทาง รุ่งข้นออก
ี
ึ
ี
บิณฑบาต ฉันเช้าเสร็จ ฝากกลดไว้ท่วัด เดินข้ามเขาข้ามห้วยไป
ั
ประมาณ ๕ ช่วโมง จาได้ว่าต้องเดินข้ามเขาไป ๒๑ ลูก ธารน�้า
�
๑๙ แห่ง ไปถึงแล้ว กราบไหว้เสร็จต้องรีบเดินทางกลับ เพราะ
ี
ไม่มีบ้านคนอยู่ ค้างแรมไม่ได้ กลับมาพักแรมท่วัดหนองกาย
อีก ๑ คืน รุ่งข้นฉันเช้าเสร็จ แบกกลดเดินทางย้อนกลับมาเมือง
ึ
เชียงใหม่ ข้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพแล้วจนเวียนไหว้พระ
ึ
ศักด์สิทธ์ในเมืองเชียงใหม่จนท่วแล้ว เดินทางไปไหว้พระธาต ุ
ิ
ิ
ั
ี
�
จอมทอง ข้ามน้าท่าล่ เข้าเขตจังหวัดลาพูน ไหว้พระบาทตากผ้า
�
379
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ื
�
เดินธุดงค์เร่อยมาจนถึงตัวเมืองลาพูน ไหว้พระธาตุหริภุญไชย
�
ี
ย้อนกลับมาจังหวัดอุตรดิตถ์ ไปไหว้พระแท่นศิลาอาสน์ท่อาเภอ
ลับแล ไปไหว้พระตามวัดร้างในเมืองเก่าสุโขทัย ไหว้พระพุทธ
ชินราช จังหวัดพิษณุโลก ไหว้หลวงพ่อเพชร จังหวัดพิจิตร
ื
ธุดงค์เร่อยมาถึงพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ประมาณข้น ๑๒
ึ
คา เดือน ๔ ซ่งเป็นช่วงงานเทศกาลไหว้พระพุทธบาทหนท่ ๒
่
�
ึ
ี
ั
งานเทศกาลไหว้พระพุทธบาท ปกติจะจัดปีละคร้ง ช่วงกลาง
ึ
ั
เดือน ๓ ซ่งเป็นวันมาฆบูชา ถ้าเป็นปีอธิกมาสก็จะจัดสองคร้ง
คือ กลางเดือน ๓ และกลางเดือน ๔ ปี พ.ศ.๒๔๙๕ จัดช่วง
กลางเดือน ๔ ด้วย และวันกลางเดือน ๔ ปีน้นในหลวงเสด็จฯ
ั
ั
ไปทรงยกฉัตรยอดมณฑปพระพุทธบาท พระธุดงค์ท้งหมดปกต ิ
จะปักกลดอยู่กันเป็นคณะๆ ในบริเวณลานพิกุลด้านล่างมณฑป
ึ
ึ
ถึงเวลา ๓ ทุ่ม ทางการก็จะปิดทางข้นมณฑปไม่ให้คนข้นไป
ึ
เปิดให้พระธุดงค์ข้นไปไหว้กัน พระธุดงค์แต่ละรูป แต่ละคณะ
ั
เม่อไหว้พระพุทธบาทแล้วก็ออกน่งรอบๆ มณฑปเป็นกลุ่มๆ
ื
ทาวัตรสวดมนต์กันตามอัธยาศัย สวดกันเป็นกลุ่มๆ ไม่รวมกัน
�
ั
ี
จึงต้องเปล่งเสียงกันเต็มท่ ใช้เวลาประมาณ ๒ ช่วโมงทุกคืน
กว่าจะลงมาจาวัดก็ประมาณ ๕ ทุ่ม เช้าออกบิณฑบาตตาม
�
ี
บริเวณงานน่นแหละ มีคนใจบุญใส่บาตรกันเยอะมาก กับข้าวท่ใส่
ั
ี
บาตรส่วนมากเป็นไข่เค็ม ปักกลดอยู่ท่พระพุทธบาทประมาณ
๕ วัน จึงเดินธุดงค์กลับมาถึงวัดท่าไชยช่วงเทศกาลตรุษไทย
ื
(แรม ๑๒ คา เดือน ๔) ทาเนียมปฏิบัติของพระธุดงค์ เม่อ
�
่
�
380
สาราสารกถา
กลับมาถึงวัดเดิมแล้ว ต้องปักกลดอยู่ในป่าช้า ๑-๒ คืน ทดสอบ
ุ
้
่
ึ
์
์
้
็
่
ื
ุ
ความกลากอนจงจะออกจากธดงค เมอออกจากธดงคแลวกอย ่ ู
ที่วัดท่าไชยตลอด ไม่ได้กลับไปวัดเขาพระอีกเลย
ไม่เคยคิดจะเรียนบำลี
เม่อทาบุญตรุษสงกรานต์เสร็จ อยู่จนถึงข้างแรมเดือน ๖
�
ื
พระครูหนุน เจ้าอาวาสวัดท่าไชย จะพาพระไปฝากเรียนบาล ี
ี
ี
ท่วัดสองพ่น้อง จึงขอไปด้วย โรงเรียนบาลีวัดสองพ่น้องเปิด
ี
่
เป็นสองรุ่นๆ แรกเปิดแรม ๑ คา เดือน ๖ รุ่น ๒ เปิดแรม
�
ี
๒ คา เดือน ๘ วัดสองพ่น้องสมัยน้นมีหมู่กุฏิอยู่กันเป็นคณะ
ั
่
�
หลายคณะ เรียกช่อตามช่ออาจารย์ผู้ปกครอง คณะหน่งก็มีหม ู่
ึ
ื
ื
กุฏิเท่ากับวัดๆ หน่งในบ้านนอก พระครูหนุนได้พาไปฝากคณะ
ึ
ี
์
อาจารยโกวิท ปรากฏว่ากุฏิทุกหลังท่คณะอาจารย์โกวิทมีพระเณร
ั
อยู่เต็มหมดแล้ว ไม่มีห้องให้อยู่ เดชะบุญขณะน้นอาจารย์
พร้อม ซ่งเป็นพระผู้ใหญ่รูปหน่ง อยู่กุฏิตรงข้ามกับอาจารย์
ึ
ึ
โกวิทบอกให้ไปอยู่กับท่านก่อน กุฏิอาจารย์พร้อมเป็นเรือนไทย
โบราณมี ๓ ห้อง ปกติจะอยู่ได้เพียง ๒ องค์ คือห้องด้านซ้ายกับ
ด้านขวา ห้องกลางเป็นประตูเข้าออก อาจารย์พร้อมอยู่ห้องด้าน
ขวา สามเณรจาลอง เนตรนิยม (ปัจจุบัน พระสมุทรธรรมคณ ี
�
เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม) อยู่ห้องด้านซ้าย ข้าพเจ้าจึงไป
�
ี
อาศัยอยู่กับห้องสามเณรจาลอง พระท่ข้าพเจ้าตามมาอยู่ด้วย
381
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
อยู่ห้องกลาง ระหว่างกุฏิอาจารย์โกวิทกับกุฏิอาจารย์พร้อมเป็น
ั
หอฉันส�าหรับสามเณรนักเรียนท้งหมดมาฉันรวมกัน อาจารย์
ั
โกวิทเป็นอาจารย์ผู้ปกครองและดูแลโรงครัว สมัยน้นไม่มีหม้อ
ุ
ี
ุ
ไฟฟ้า ไม่มเตาแก๊ส ต้องใช้ฟืนหงข้าวปรงอาหาร หงข้าวต้องใช้
ุ
กระทะใบใหญ่ อาหารหลักของพระเณรนักเรียนคือผักบุ้ง ผัก
กระเฉด น้าพริก-ปลาร้า น้าพริกตาคร้งหน่ง ถ้าฉันไม่หมดก็เท
�
ั
ึ
�
�
�
ั
ใส่กะละมังเก็บไว้ฉันวันต่อๆ ไป ฟืนสาหรับหุงหาอาหารน้นทาง
ี
ี
�
สานักจะหาขอให้วัดท่อยู่บนท่ดอนอย่างวัดทุ่งเข็น วัดทุ่งคอก
เป็นต้นตัดรวบรวมไว้พอถึงหน้าน�้าก็เอาเรือไปบรรทุกมาเก็บกัก
ื
่
ุ
ั
ไว้ เพราะต้องหงหาอาหารถวายพระเณรท้งเช้าเพลทุกวน เรอง
ั
ั
�
อาหารขบฉันในสานักเรียนใหญ่ๆ ยุคน้นค่อนข้างอัตคัดมากๆ
ต้องถออดมคต “กนเพออย่” จงจะอย่เรยนได้สาเรจ อย่าง
ู
ื
ึ
�
ู
ี
ุ
ิ
ื
็
ิ
่
สานักเรียนวัดปากน�้า ภาษีเจริญ ก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ มีพระเณร
�
้
�
ี
นกเรยนบาลมากเป็นเรอนร้อย หลวงพ่อตงโรงครวทาอาหาร
ื
ั
ั
ั
ี
ั
เล้ยงท้งเช้า-เพลทุกวัน เคยไปพักแรมลงฉันอาหารในโรงฉัน
ี
็
ั
ั
้
ด้วย อาหารเช้าเป็นข้าวต้ม กบข้าวต้มกมีเต้าหู้ยกระป๋อง กบ
ี
ไส้มะละกอดองเป็นหลัก รสชาติเป็นอย่างไร พระเณรในยุคน้น
ั
ที่อยู่มาถึงยุคนี้คงจะจ�ากันได้ไม่รู้ลืม
ิ
้
ั
สานกเรียนวัดสองพ่น้องยคทข้าพเจ้าไปเรียนนนเจรญ
�
่
ี
ุ
ั
ี
�
รุ่งเรือง มีพระเณรอยู่ประจาเป็นเรือนร้อยเหมือนกัน เร่องอาหาร
ื
ขบฉันสาหรับพระเณรนักเรียนซ่งมาจากต่างถ่นจึงค่อนข้างอัตคัด
�
ึ
ิ
382
สาราสารกถา
ต้องอาศัยโรงครัวเป็นหลัก ในเทศกาลเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะ
�
ทาอาหารอย่างดีมาทาบุญกันทุกวันพระ แต่สามเณรก็ไม่ได้ฉัน
�
�
�
�
ี
อาหารท่ญาติโยมนามาทาบุญเลย เพราะต้องตักใส่สารับพระ
กว่าจะครบก็หมดพอดี
�
ประเพณีการทาบุญวันพระ ในเทศกาลพรรษาของวัด
ิ
ู
ี
ั
ั
�
สองพ่น้อง พระท่านจะให้ลกศษย์ต้งสารบคาว-หวานไว้ให้โยม
ใส่อาหารรูปละ ๒ ชุด คาว ๒ ส�ารับ หวาน ๒ ส�ารับ รวมเป็น
ั
๔ สารับ เพ่อฉันเช้า ๑ ชุด เก็บไว้เพลอีก ๑ ชุด พระสมัยน้น
�
ื
ั
้
้
่
ั
ั
�
ั
�
�
ึ
ู
มีประมาณ ๖๐ รป ตองตงสารบถง ๒๔๐ สารบ ตอจากสารบพระ
ั
ี
จึงจะดึงถ้วย-ชามท่ต้งไว้ให้โยมใส่อาหารถวายเณร คิดเอาเอง
แล้วกันว่า เณรจะฉันอะไร ถ้าไม่มีโรงครัว
กำรเรียนบำลี
ี
ั
ี
์
นกเรียนตองท่องแบบบาลไวยากรณให้ได้ จงจะเรยนรเร่อง
ึ
้
ื
้
ู
ี
ี
ช่วงท่ไปอยู่วัดสองพ่น้องน้น โรงเรียนบาลีรุ่นหน่งเปิดสอนแล้ว
ั
ึ
้
�
ั
่
ั
ตงแตแรม ๑ คา เดอน ๖ เราไปสมครเขาเรยนวนแรม ๙ คา
ี
ั
ื
่
�
่
้
้
ั
้
่
ึ
ี
่
่
ื
้
่
ู
เดอน ๖ ยงทองแบบไมไดเลย จงเรยนไมรเรอง ตองทองแบบ
่
ื
ื
ี
ตามหลังจนทันท่ครูสอน จึงรู้เร่องและเข้าใจ การท่องแบบต้อง
ออกเสียงว่าซาๆ กัน จนจาได้ ได้คล่องตอนเข้าเรียนจะเรียนเร่อง
ื
�
้
�
ี
ึ
อะไร ครูจะช้ให้นักเรียนรูปหน่ง (เฉพาะสามเณร) ลุกข้นว่าแบบ
ึ
383
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ให้ฟังก่อนทุกคร้ง ข้าพเจ้าจึงต้องเร่งท่องแบบท้งวันท้งคืน ช่วงน้น
ั
ั
ั
ั
�
ความจาดีและขยันด้วย จึงท่องแบบได้เร็วและได้มาก ปีแรก
ั
เรียนไวยากรณ์และฝึกแปลบาลีประโยคส้นๆ ตามหนังสืออุภัย-
พากย์ปริวัตร และฝึกสัมพันธ์พร้อมกันไปด้วย
ึ
ึ
ี
ปีท่สองจึงข้นแปลธรรมบท ซ่งเป็นหลักสูตรสาคัญของ
�
การเรียนบาลีประโยค ป.ธ. ๓ มีท้งหมด ๘ ภาค (แปดเล่มหนังสือ)
ั
ต้องแปลและสัมพันธ์ให้ได้ (คล่อง) จึงมีสิทธิสอบได้
ก่อน พ.ศ.๒๕๑๐ ประโยค ๑-๒ ยังไม่มี นักเรียนประโยค
ั
ื
ป.ธ.๓ ต้องแปลและสัมพันธ์ให้ได้ท้งแปดภาคครูจึงจะส่งช่อเข้า
สอบ โดยปกติประโยค ป.ธ.๓ น้ ต้องใช้เวลาเรียนถึง ๓ ปี จึงจะ
ี
ได้สอบคือเรียนไวยากรณ์ ๑ ปี เรียนธรรมบทอีก ๒ ปี การเรียน
ั
ธรรมบทน้นคือแปลและสัมพันธ์หนังสือให้ครูฟัง แล้วแต่คร ู
์
้
ี
ั
ื
้
้
้
ี
ื
ั
จะชใหใครแปลหรอสมพนธเวลาเขาหองเรยน การแปลหนงสอ
ั
มสามแบบคือแปลยกศัพท์ แปลโดยพยัญชนะ และแปลโดยอรรถ
ี
เวลาตอบข้อเขียนหรือสอบใช้สองแบบ คือแปลโดยพยัญชนะ
กับแปลโดยอรรถ
คู่มือการแปลธรรมบทสมัยก่อน มีแต่แปลโดยอรรถ (เผด็จ)
จะแปลยกศัพท์หรือแปลโดยพยัญชนะต้องไปฝึกกับครู การเรียน
ั
ี
�
ั
แปลธรรมบทจะไม่เรยนไปตามลาดบภาค จะเรยนสลบกนไป
ี
ั
คือแปลภาค ๑ จบแล้ว ข้ามไปเรียนแปลภาค ๕ จบแล้วจึงเรียน
ภาค ๒ กับ ภาค ๖, ภาค ๓ กับภาค ๗, ภาค ๔ กับภาค ๘
384
สาราสารกถา
ึ
ื
เม่อข้นแปลธรรมบทภาค ๑ ครูจะให้แปลบทปณามคาถา
�
ึ
ก่อน ถือเป็นบทไหว้ครูซ่งแปลยากมาก ต้องฝึกแปลกันแบบท่องจา
ทีเดียว ข้าพเจ้าฝึกแปลธรรมบทภาค ๑ นี้ตั้งแต่ปณามคาถาไป
่
ั
�
ื
ั
ถึงเรองพระจกขุบาลแบบท่องจากันเลย เวลาเข้าช้นเรียน ครูช ี ้
ให้แปลจึงแปลได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด ข้นแปลธรรมบท
ึ
ภาค ๑ ยังไม่ทันจบเร่องพระจักขุบาล ครูเห็นแปลคล่องมาก
ื
จึงคัดข้นไปเรียนธรรมบทกองสอง คือช้นท่จะส่งช่อเข้าสอบ
ี
ั
ึ
ื
ั
ในปีน้น นักเรียนช้นน้เรียนธรรมบทจบไปแล้ว ๓ ภาค คือ
ี
ั
ภาค ๑ ภาค ๕ ภาค ๒ กาลงเรยนแปลภาค ๖ ข้าพเจ้าข้น
ั
ึ
ี
�
ื
ึ
ั
เรียนช้นธรรมบทภาค ๑ ยังเรียนไม่จบเร่องจักขุบาล ถูกคัดข้น
ี
ั
ไปเรยนประโยค ป.ธ.๓ ร่วมกบรุ่นพ่ ซงเรียนธรรมบทกนมา
ั
่
ี
ึ
ี
๑ ปี เรยนจบไป ๓ ภาคแล้ว จึงเป็นเรองทหนักมากๆ ต้อง
่
่
ื
ี
ี
ี
เพียรพยายามอย่างเต็มท่จึงจะเรียนกับเขาได้ ในท่สุดก็ให้เข้า
ื
ั
สอบและสอบได้ด้วย สมัยน้นเรียน ๒ ปีสอบได้เป็นเร่องฮือฮา
�
ี
ั
กันมาก ปีน้นสานักเรียนวัดสองพ่น้องมีนักเรียนสอบประโยค
ป.ธ. ๓ ได้เพียง ๒ รูป คือข้าพเจ้ากับสามเณรอ�านวย ซึ่งเป็น
่
ี
ุ
ั
นกเรยนรนพเรยนมา ๓ ป รวาสอบไดตนเตนดใจมาก นอนไมหลบ
่
ี
ั
ู
่
้
้
่
ี
ี
่
้
ื
ี
ตลอดทั้งคืน
รู้ว่าสอบได้ประมาณตีสองของคืนวันหน่ง โดยพระวิบูล-
ึ
ึ
เมธาจารย์ (หลวงพ่อเก็บ ป.ธ.๗) อาจารย์ใหญ่ ซ่งเดินทางกลับ
จากการไปตรวจข้อสอบท่กรุงเทพฯ มาถึงวัดตอนตีสอง มีพระ
ี
เณรไปรอรับท่านท่ท่าน�้าแล้วเดินตามท่านมา ส่วนข้าพเจ้ารอ
ี
385
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
รับอยู่ที่กุฏิท่าน พอท่านเดินตามสะพานมาจะเข้ากุฏิ ข้าพเจ้า
�
ก็เดินสวนออกไป เพ่อไปต้มน้าชงชาถวายท่านๆ เหลียวหลังมา
ื
ี
บอกกับพระเณรท่เดินตามท่านมาว่า “ไอ้น่มันสอบได้” เท่าน ้ ี
ี
�
แหละดีใจจนตัวลอย ต้มน้าชงชาถวายท่านแล้วกลับไปนอน
ไม่หลับตลอดคืน เป็นเรื่องที่ดีใจมากที่สุดในชีวิต
ปี พ.ศ.๒๔๙๘ สอบประโยค ป.ธ.๔ ได้ ไปบวชพระ
ี
ท่วัดบ้านเกิด (วัดท่าไชย) ปีน้พระมหาจิต ส�วรจิตฺโต ป.ธ.๖
ี
่
ึ
็
ุ
้
์
ซงเปนรองอาจารยใหญยายไปอยวดชนะสงคราม กรงเทพฯ ม ี
ั
่
่
ู
อาจารย์รุ่นอาวุโสตามท่านไปอยู่วัดต่างๆ ในกรุงเทพฯ หลายรูป
ั
ข้าพเจ้าจึงต้องรับหน้าท่เป็นครูสอนบาลีต้งแต่น้นมา เป็นเร่อง
ั
ี
ื
�
น่ายินดีมาก ต้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๑ สานักเรียนวัดสองพ่น้อง
ั
ี
ึ
เจริญข้นมาก มีนักเรียนสอบประโยค ป.ธ.๓ ได้ปีละหลายรูป
คือ ปี ๒๔๙๘ สอบได้ ๗ รูป, ปี ๒๔๙๙ สอบได้ ๙ รูป สามเณร
วิเชียร เรืองขจร (ปัจจุบัน พระวิสุทธิวงศาจารย์) สอบได้ในปีน ้ ี
ด้วย, ปี ๒๕๐๐ สอบได้ ๗ รูป, ปี ๒๕๐๑ สอบได้ ๘ รูป
ู
ปี พ.ศ.๒๕๐๑ พระวิบลเมธาจารย์ (หลวงพ่อเก็บ) ไปอย ่ ู
ึ
ึ
�
วัดดอนเจดีย์ เปิดสานักเรียนบาลีข้นอีกแห่งหน่ง มีนักเรียน
ี
ประมาณ ๖๐-๗๐ รูป และช่วงใกล้เข้าพรรษาปี ๒๕๐๑ น้เอง
ึ
ฝ่ายการศึกษาสานักวัดสองพ่น้องกับฝ่ายปกครอง ซ่งดูแลโรงครัว
�
ี
ด้วย มีปัญหากัน ข้าพเจ้าจึงประชุมนักเรียนประมาณ ๖๐-๗๐
รูป ประกาศยุบส�านักเรียน
386
สาราสารกถา
ปี พ.ศ.๒๕๐๑ นี้ ครูบาอาจารย์ย้ายเข้ากรุงเทพฯ กันเกือบ
่
ี
ิ
ื
ู
่
ู
ื
็
ั
ู
หมด เหลอครทเปนหลกอย ๒ รป คอ พระมหาชลต ญาโณทโย
ี
ป.ธ.๗ เลขานการเจ้าคณะอาเภอสองพน้อง และทาการแทน
ุ
�
�
่
้
เจาคณะอาเภอดวย กบขาพเจ้า เมอประกาศยบสานกเรยนแลว
้
ั
ุ
้
�
�
่
ื
ั
้
ี
ข้าพเจ้าก็ไปวัดดอนเจดีย์เพียงรูปเดียว ไม่สามารถจะชวนใคร
ั
ไปอยู่ด้วยได้ เพราะขณะน้นวัดดอนเจดีย์มีกุฏิ ๒ ห้องอยู่เพียง
๔ หลัง หอสวดมนต์ ๑ หลัง อุโบสถ ๑ หลัง มีพระเณรอยู่
่
ั
แลวประมาณ ๗๐ รป ทกหลงมพระเณรอยอดกนเตมหมดแลว
ุ
ี
ู
ั
้
้
ู
็
ั
แม้ในโบสถ์ก็มีพระอยู่แล้วประมาณ ๑๕ รูป ข้าพเจ้าต้องไป
อาศัยนอนอยู่ด้านเหนือฐานพระประธานในโบสถ์
้
้
ี
้
้
ั
็
่
�
ุ
ั
ี
ั
่
ชวงทยบสานกเรยนวดสองพนองนน เปนชวงใกลเขาพรรษา
่
ี
่
�
นักเรียนไม่สามารถไปหาสานักเรียนอ่นอยู่ได้ จึงอพยพตามข้าพเจ้า
ื
ไปอยู่วัดดอนเจดีย์เกือบหมด เหลืออยู่กับพระมหาชลิตเพียง ๒-๓
ั
�
ึ
รูป เป็นอันว่าสานักเรียนวัดสองพ่น้อง ซ่งก่อต้งมาแต่ปี พ.ศ.
ี
๒๔๘๓ ต้องยุติลงในปี พ.ศ.๒๕๐๑ รวมเวลาก่อต้งมาได้ ๑๘ ปี
ั
มีนักเรียนสอบประโยค ป.ธ.๓ ได้ รวม ๕๐ รูป ในยุคแรกน ี ้
มีนักเรียนสอบได้ถึง ป.ธ.๙ เพียงรูปเดียวคือ พระมหาวิเชียร
อโนมคุโณ (ปัจจุบัน พระวิสุทธิวงศาจารย์) สอบประโยค ป.ธ.๓
ได้ในสานักวัดสองพ่น้องปี พ.ศ.๒๔๙๙ สอบประโยค ป.ธ.๙ ได้
ี
�
ื
�
�
ในสานักเรียนวัดปากน้า ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เม่อปี พ.ศ.
ี
๒๕๑๖ ปัจจุบันเป็นรองเจ้าอาวาสวัดปากน�้า ท่ปรึกษาแม่กองบาล ี
387
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
สนามหลวง เป็นเจ้าคณะภาค ๗ เป็นเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ
และเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
ปี พ.ศ.๒๕๐๑ น้น จาได้ว่า วัดดอนเจดีย์มีพระเณร
�
ั
�
จาพรรษาอยู่ ๑๓๕ รูปนึกวาดภาพกันเองว่าจะอยู่กันอย่างไร
บ้านดอนเจดีย์สมัยนั้นเป็นชุมชนเล็กๆ ตลาดก็เป็นห้องแถวไม้
ี
ั
ี
ช้นเดียว มีอยู่ไม่ก่ห้อง รอบๆ วัดก็มีบ้านอยู่ไม่ก่หลัง ไม่เพียง
�
ี
พอท่จะอุปถัมภ์บารุงพระเณรจานวนมากได้ พระเณรต้องอยู่กัน
�
ด้วยความทุกข์ยากลาบากมาก เพราะอัตคัดขัดสนไปทุกด้าน
�
่
ที่อยูหลับนอนก็อยู่กันอย่างแออัดยัดเยียดเหมือนปลากระป๋อง
เพราะมีกุฏิเล็กๆ อยู่เพียง ๔ หลัง กับหอสวดมนต์และโบสถ์
ั
ี
เท่าน้นท่อยู่อาศัยได้ ตัวหลวงพ่อ (พระวิบูลเมธาจารย์) ต้องก่ออิฐ
�
อยู่ใต้บันไดหอสวดมนต์ สมัยน้นยังไม่มีคลองชลประทาน นาดื่ม
ั
้
�
�
น้าใช้ต้องอาศัยน้าในสระ ซึ่งขุ่นมัวสีเหมือนน้าข้าว เวลาจะใช้
�
ึ
ิ
�
ื
ั
ต้องตกมาใส่ต่ม แกว่งสารส้มท้งไว้จนน้าใส จงใช้ได้ เม่อแกว่ง
ุ
สารส้มแล้ว จะมีตะกอนน�้าเป็นดินละเอียดสีควันบุหร่นอนอยู่
ี
�
ใต้น้ามาก เม่อแยกน้าใสออกแล้วก็นาตะกอนน้นมาห่อผ้าแขวน
ั
�
�
ื
ื
�
ไว้จนน�้าแห้งกลายเป็นดินเหนียว แล้วนามาพิมพ์เป็นพระเคร่อง
เก็บไว้ที่หอสวดมนต์ส�าหรับแจกญาติโยมที่มาท�าบุญ
ื
เร่องอาหารขบฉันก็แร้นแค้นมาก บิณฑบาตไม่พอฉัน
โรงครัวก็ไม่ม นายผวน นางม่วย สุริยน อยู่บ้านดงข้เหล็ก ห่าง
ี
ี
จากวัดดอนเจดีย์ประมาณ ๗ กิโลเมตร เป็นคนใจบุญมาก มาเห็น
388
สาราสารกถา
�
ื
ความลาบากของพระเณรจึงเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า ร้อบ้าน
ตัวเองซ่งเป็นบ้านทรงไทยสองหลังคู่มาปลูกในท่ดินของหมอถม
ี
ึ
�
เวชวิฐาน ซึ่งติดกับเขตวัดด้านตะวันออก ทาเป็นโรงครัวและหอฉัน
ส�าหรับจัดอาหารถวายพระเณร
�
ั
สมัยน้น ยังไม่มีถนนและกาแพงรอบบริเวณวัดอย่างปัจจุบัน
พ้นท่ส่วนใหญ่ในบริเวณวัดยังเป็นผืนนา พระเณรต้องเดินตาม
ื
ี
ี
คันนาไปฉันอาหารรวมกันท่โรงครัว ส่วนข้าวสารและวัตถุดิบท ี ่
�
�
จะนามาปรุงอาหารถวายพระเณรน้น ก็ได้อาศัยคณะสงฆ์อาเภอ
ั
�
ี
ต่างๆ นาญาติโยมไปทอดผ้าป่าถวายไว้เป็นหลัก สถานท่เรียนของ
ี
�
�
พระเณรและท่ทาบุญประจากับพระในเทศกาลเข้าพรรษา ก็อาศัย
ั
ทากันในองค์พระเจดีย์และการสอบบาลีสนามหลวงต้งแต่ปี พ.ศ.
�
๒๕๐๒-๒๕๐๕ ก็เปิดสอบกันในองค์พระเจดีย์เพราะสมัยน้น
ั
ั
ยังไม่เป็นแหล่งท่องเท่ยวของคนท่วไป เพราะการคมนาคมยัง
ี
ไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน
ึ
ปี พ.ศ.๒๕๐๓ หลวงพ่อได้สร้างศาลาอเนกประสงค์ข้น
หลังหนึ่งภายในวัด เปนอาคารไมมุงสังกะสี ลักษณะคลายโรงสี
็
้
้
ข้าว มขนาดกว้าง-ยาวพอสมควร ใช้เป็นโรงครว-เป็นหอฉน-
ั
ี
ั
เป็นห้องเรียน และเป็นที่ท�าบุญในเทศกาลเข้าพรรษาด้วย
ี
ปี พ.ศ.๒๕๐๕ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช องค์ท่ ๑๗
�
วัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพฯ เห็นความลาบากของพระเณรนักเรียน
389
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ั
จึงโปรดให้นายประยงค์ ต้งตรงจิตร คหบดีเจ้าของห้างขายยา
ี
้
ิ
์
ึ
ตราใบโพธ ซ่งเป็นคนใจบุญมาสรางโรงเรยนพระปรยัติธรรมให ้
ิ
หนึ่งหลัง ใช้เป็นห้องเรียนมาจนถึงปัจจุบัน
ั
เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๕ หลวงพ่อได้ส่งให้ข้าพเจ้ากับ
�
ื
พระมหาสุวรรณกลับไปอยู่วัดสองพ่น้อง เพ่อเปิดสานักเรียน
ี
้
้
ั
่
ี
ึ
บาลใหม ขาพเจากบพระมหาสวรรณ จงออกจากวดดอนเจดย ์
ุ
ั
ี
ไปพร้อมกัน ไปถึงตลาดบางล่ พระมหาสุวรรณขอแยกตัวไปอย ู่
ี
ึ
ิ
วัดหัวโพธ์ ซ่งเป็นวัดบ้านเกิดอยู่ได้ระยะหน่ง ไม่ทันเข้าพรรษา
ึ
ั
ก็ลาสิกขาไปมีครอบครัว ซ่งก็มีหลักฐานม่นคงดี ปัจจุบันได้
ึ
ถึงแก่กรรมไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงไปอยู่วัดสองพี่น้องเพียงรูปเดียว
ปี พ.ศ.๒๕๐๖ ได้ปรึกษากับพระครูโกวิท ปริสุทฺโธ ผู้ปฏิบัต ิ
หน้าท่แทนพระครูอุภัยภาดารักษ์ เจ้าอาวาสซ่งชราภาพ ตกลง
ี
ึ
ี
จะเปิดสานักเรียนบาลี จึงประกาศรับพระเณรท่จะเรียนบาลีได้
�
้
่
ั
ึ
�
ิ
ู
ึ
ประมาณ ๒๐ รป จงเปดทาการสอนตงแตน้นมาจนถงปจจบน
ั
ั
ั
ุ
งำนคณะสงฆ์
ี
่
์
กอนป พ.ศ. ๒๕๐๕ แบงเปน ๔ องคการ คือ องคการ
์
็
่
ปกครอง องค์การศึกษา องค์การเผยแผ่ และองค์การสาธารณู-
ปการ ส่วนกลางมีสังฆนายกและสังฆมนตรีว่าการองค์การท้ง
ั
ั
๔ เป็นผู้บริหาร ผู้บริหารงานคณะสงฆ์ยุคน้นเรียกพระคณาธิการ
390
สาราสารกถา
การบริหารคณะสงฆ์ระดับจังหวัดและอาเภอ ก็มีพระ
�
คณาธิการรับผิดชอบแต่ละองค์การ เรียกคณะกรรมการสงฆ์
จังหวัดและอ�าเภอ
ี
สาหรับอาเภอสองพ่น้อง พระครูสุนทรปริยัติกิจ (หลวงพ่อ
�
�
�
เก็บ) เป็นองค์การปกครอง (เจ้าคณะอาเภอ) พระครูโกวิท ปริสุทฺโธ
วัดสองพ่น้อง เป็นองค์การศึกษา พระครูพิทักษ์สุวรรณเขต (หลวงพ่อ
ี
่
่
ผาด) วัดทาจัด เปนองคการเผยแผ เจาอธิการหน�า ยโสธโร วัด
้
์
็
อัมพวัน เป็นองค์การสาธารณูปการ
ุ
ิ
ิ
ั
ปี พ.ศ.๒๔๙๕ พระครูสนทรปรยัตกิจ ได้รับแต่งตงเป็น
้
ั
ั
ั
�
คณะกรรมการสงฆจงหวด ในตาแหนงองคการศกษาจงหวด จง
่
ึ
ั
์
ึ
์
ั
ย้ายไปอยู่วัดปราสาททอง และได้รับพระราชทานต้งสมณศักด ิ ์
ี
ี
์
็
้
ี
่
็
เปนพระราชาคณะทพระวบลเมธาจารย และในปนเอง สมเดจ
ู
ิ
�
ี
พระสังฆราชองค์ท่ ๑๗ วัดพระเชตุพนฯ ขณะดารงสมณศักด ์ ิ
�
ท่พระธรรมดิลก เป็นเจ้าคณะตรวจการคณะภาค ๗ กากับการ
ี
คณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี-นครปฐม-สมุทรสาคร-สมุทร-
สงคราม-ราชบุรี-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ได้ส่งพระมหาฉลอง
จนฺตาอนฺโท ป.ธ. ๕ วัดพระเชตพนฯ ไปเป็นเลขานุการคณะ
ิ
ิ
ุ
กรรมการสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี อยู่วัดปราสาททองด้วย (ต่อมา
คือพระธรรมมหาวีรานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์
วรวิหาร เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี มรณภาพปี พ.ศ.๒๕๕๓)
391
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
พระมหาฉลองรูปน้เป็นเปรียญธรรมรูปแรกของสานักเรียน
ี
�
วัดสองพี่น้อง สอบ ป.ธ.๓ ได้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๖
ปี พ.ศ.๒๔๙๗ สานักเรียนวัดสองพ่น้องมีปัญหาเน่องจาก
�
ี
ื
ครูบาอาจารย์หลายรูปย้ายไปศึกษาต่อในกรุงเทพฯ พระวิบูล-
เมธาจารย์จึงกลับมาอยู่วัดสองพี่น้องตามเดิม
ปี พ.ศ.๒๕๐๑ คณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรีมีปัญหา พระ
�
วิบูลเมธาจารย์ได้รับคาส่งให้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัด
ั
�
ี
จึงย้ายจากวัดสองพ่น้องไปอยู่วัดดอนเจดีย์ เปิดสานักเรียนบาล ี
ึ
ข้นอีกแห่งหน่ง และสานักเรียนวัดสองพ่น้องก็มีปัญหา ต้องยุบไป
ึ
�
ี
รวมกับวัดดอนเจดีย์ดังกล่าวข้างต้น
392
สาราสารกถา
หลวงพ่อสอิ้ง “พูด”
ั
ปี ๒๕๐๑ ในช่วงน้นหลวงพ่อ (พระวิบูลเมธาจารย์) มาเป็น
เจ้าอาวาสท่วัดดอนเจดีย์ ก็เลยตามท่านมา เพราะว่าช่วงที่หลวงพ่อ
ี
�
มาอยู่วัดดอนเจดีย์ก็มาเปิดสานักเรียน มีพระ-เณรมาเรียนกันมาก
�
จาได้ว่ากว่า ๑๓๐ รูป อาตมาก็มาอยู่ช่วยท่านสอนหนังสือ ช่วยได้
�
๔-๕ ปี จนสานักเรียนวัดดอนเจดีย์เข้มแข็ง มีพระเณรมาก ม ี
ี
เปรียญมาก พอปี ๒๕๐๕ ท่านก็ส่งให้กลับไปเปิดสอนบาลที่วัด
ี
ี
ึ
ี
สองพ่น้องข้นมาอีก เลยต้องกลับไปอยู่ท่สองพ่น้อง และก็ได้รับ
แต่งต้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าคณะอาเภอสองพ่น้องแทนหลวงพ่อ
�
ั
ี
ตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ เรื่อยมา
จนกระท่งปี ๒๕๐๙ หลวงพ่อพระครูอุภัยภาดารักษ์ เจ้าอาวาส
ั
วัดสองพ่น้องมรณภาพ อาตมาก็ได้รับแต่งต้งเป็นเจ้าอาวาส ต้งแต่
ี
ั
ั
นั้นมา.....
ั
ี
ู
ึ
่
ิ
มาปี ๒๕๒๓ หลวงพ่อพระวบูลเมธาจารย ซงอย่วดดอนเจดย์
์
นี้ ปรารภจะสร้างศาลามหาเถรคันฉ่อง ก็สร้างไปได้หน่อยหนึ่ง
ท่านก็ป่วย ป่วยก็เรียกตัวอาตมาให้มาดูแลวัดดอนเจดีย์ให้ด้วย
ี
อาตมาจึงว่าหน้าท่สองทาง คือทางสองพ่น้องเป็นเจ้าอาวาส มา
ี
* เทปออกอากาศทาง ททท.ช่อง ๕ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙
393
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
ี
ท่น่ก็มารักษาการ พอวันท่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๕ หลวงพ่อ
ี
็
็
ิ
่
็
่
ี
ี
กมรณภาพ อาตมากเลยต้องตดค้างอย่ทน และกมาช่วยสร้าง
ู
ศาลามหาเถรคันฉ่องท่ท่านปรารภไว้จนเสร็จและก่อนตาย ท่าน
ี
ระลึกนึกถึงพระคุณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็อยากจะ
สร้างพระต�าหนักถวาย แต่ท่านสิ้นบุญไปเสียก่อน ก็ได้ปรารภ
ให้อาตมาฟัง เม่ออาตมาสร้างศาลามหาเถรคันฉ่องเสร็จ ก็ปรารภ
ื
สร้างพระต�าหนักหลังนี้ ที่อยู่เนี่ย....
่
ึ
่
ึ
ึ
และกอนตายทานระลกนกถงพระคณของสมเดจพระนเรศวร
็
ุ
�
มหาราช ก็อยากจะสร้างพระตาหนักถวายให้ท่าน ได้พักประทับอย ู่
ั
็
ิ
อย่างสบายๆ เพราะว่าช่วงชีวตของสมเดจพระนเรศวรมหาราชน้น
ตามประวัติที่เรารู้ พระองค์ก็ล�าบากมาตลอดชีวิต
ั
ฉะน้น สร้างชาติสร้างแผ่นดินให้เราได้เกิดได้อยู่อาศัยกัน
หลวงพ่อระลึกนึกถึง ก็อยากจะสร้างพระตาหนักถวาย แต่ท่าน
�
ได้สิ้นบุญไปเสียก่อน .....
ก็เดินเร่อยจากสุพรรณฯ ไปถึงเชียงใหม่ ก็ไปไหว้ส่งศักด์สิทธ ์ ิ
ิ
ื
ิ
ต่างๆ ทุกอย่างท่มีในเมืองเชียงใหม่ และในท่สุดก็ไปไหว้พระบาท
ี
ี
ึ
ึ
ั
ี
ส่รอย ซ่งอยู่ในกลางป่าต้งแต่ปี ๒๔๙๕ ข้นไป หลังจากน้นก็กลับ
ั
ิ
ิ
ไหว้ส่งศักด์สิทธ์เร่อยมา ต้งแต่พระธาตุจอมทอง พระบาทตากผ้า
ิ
ื
ั
พระธาตุหริภุญชัย เร่อยมาถึงอุตรดิตถ์ มาไหว้พระแท่นศิลา-
ื
อาสน์ กว่าจะเดินทางกลับมาถึงพระบาทสระบุรี ตามประเพณ ี
ี
ว่าพระธุดงค์ เม่อไปแล้วก็จะต้องมาจบท่ไหว้พระบาทสระบุร.....
ื
ี
394
สาราสารกถา
่
ื
็
กได้ปรารภให้อาตมาฟัง เมออาตมาสร้างศาลามหาเถร-
คันฉ่องเสร็จ ก็ปรารภสร้างพระตาหนักหลังน้ ท่อยู่เน่ย พระ
ี
ี
�
ี
ื
�
ี
ี
ี
้
ตาหนักหลังน ท่สร้างตรงน้ก็ถือเอาเป็นนิมิตมงคล เม่อประมาณ
ปี ๓๑ หรือ ๓๒ จําไม่ได้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จมา
ี
วางพวงมาลาท่พระบรมราชานุสรณ์ มาคอปเตอร์ และก็ได้นํา
ี
ั
คอปเตอร์มาลงตรงท่ต้งของพระตําหนักหลังน้ อาตมาถือว่า
ี
เป็นนิมิตมงคล ก็เลยสร้างพระตําหนักถวายสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช ตรงท่คอปเตอร์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชลงจอด
ี
�
ี
และก็เป็นรูปร่างเป็นตาหนักตามท่ปรากฏในปัจจุบัน เจริญพร...
ี
�
ี
รูปหล่อและพระตาหนักท่สร้างน้ มูลเหตุจริงๆ ก็คือเป็น
ข้อปรารภของพระเดชพระคุณหลวงพ่ออุปัชฌาย์คือพระวิบูล-
เมธาจารย์ ได้ปรารภให้ฟังว่า การสร้างชาติเราสร้างกันได้ทุกคน
คอทาให้คนเกดกสร้างชาตได้ แต่ว่าการทจะสร้างประเทศให้
ิ
�
ิ
็
ื
ี
่
ั
ั
คนท่วท้งประเทศอยู่เน่ย ถ้าหากว่าเราไม่มีพระมหากษัตริย์ท ี ่
ี
ั
เข้มแข็ง เรากไม่สามารถจะสร้างประเทศกนได ฉะนน ประเทศไทย
้
็
ั
้
ี
ท่เราได้อยู่อาศัยกันอย่างอิสระเสรี และกว้างใหญ่ไพศาลพอสมควร
นี่ ก็ได้อาศัยบารมีของบุรพมหากษัตริย์ ได้เป็นผู้นาในการสร้าง
�
ี
โดยเฉพาะสมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถน้ ก ็
ิ
ต้องนับว่า เป็นผู้มีพระคุณย่งใหญ่ในการกู้ชาติและสร้างชาต ิ
บ้านเมืองให้เราได้เกิด-เราได้อยู่ สืบทอดกัน อยู่กันอย่างอิสระ
เสรี....
395
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
ธรรมะท่ใช้เป็นหลักในการดาเนินงานและดาเนินชีวิต
�
�
ก็ได้อาศัยธรรมะซ่งเป็นมรดกของหลวงพ่อพระวิบูลเมธาจารย์
ึ
ได้มอบให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาเป็นธรรมะสั้นๆ ง่ายๆ ท่านบอกว่า
“อยู่แค่ตาย อยู่ได้ทุกคน
อยู่เพื่อปวงชน อยู่ได้เลยตาย”
และท่านแนะนาส่งสอนว่า ประโยชน์ส่วนตัวของเรา ถ้าเรา
ั
�
มความเห็นแก่ตัว จะทาประโยชน์ก็ได้แต่เฉพาะตัวเราคนเดียว
�
ี
ตัวเราคนเดียว มันจะเป็นประโยชน์ท่น้อย ท่านจึงพยายาม
ี
ให้คิดถึงประโยชน์ของสังคม และประโยชน์ของส่วนรวม และ
�
ี
ี
ก็ถือคติน้พยายามดาเนินรอยตามท่านตลอดมา อันน้ก็เป็นหลัก
ที่พวกเราประชาชนโดยทั่วๆ ไป ก็น่าจะถือกันได้ เป็นหลักใน
ี
การดาเนินชีวิต เพราะการท่เราเกิดมาแล้วจะคิดว่าเราเกิดมา
�
ิ
ื
เพ่อจะอยู่กันแค่ตายน้น เราไม่ต้องด้นรนไม่ต้องทาอะไรเลย
�
ั
�
เราก็สามารถจะอยู่กันได้ แต่ท่เราด้นรนขวนขวายทาโน้นทาน ี ่
�
ิ
ี
ี
โดยเจตนาลึกๆ จริงๆ แล้ว ก็เช่อว่าทุกคนน้ไม่ได้ปรารถนาเพ่อ
ื
ื
ี
จะอยู่กันแค่ตาย แต่ปรารถนาท่จะอยู่ให้มันเลยตาย การจะอย ู่
ให้เลยตายน้น ก็คือพยายามใช้ชีวิตท่เป็นอยู่น้ให้เป็นประโยชน์
ี
ั
ี
ต่อประชาชน ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมให้มากที่สุด....
396
สาราสารกถา
ค�ำอวยพรของหลวงพ่อ
ขออ�านาจ พุทธรัตน์ ก�าจัดทุกข์
ให้มีสุข ยิ้มแย้ม จิตแจ่มใส
ขออ�านาจ ธรรมรัตน์ ก�าจัดภัย
ให้ห่างไกล อย่ามี มาบีฑา
ขออ�านาจ สังฆรัตน์ ก�าจัดโรค
ให้วิโยค เว้นขาด ดังปรารถนา
ปลอดทุกข์ภัย ไร้โรค โชคหลั่งมา
ดั่งคงคา ไหลตรง ลงสาคร
ขอพรครั้งนี้จงส�าเร็จแก่ญาติโยมสาธุชนทุกท่าน ตลอดไป
เจริญพร.
ี
* หมายเหตุ : สานุศิษย์ถอดเทปเฉพาะตอนท่หลวงพ่อพระสิรินันทเมธ ี
พูดเท่านั้น
397
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
หลวงพ่อสอิ้ง “ปรำรภ”
พระวิบูลเมธาจารย์ (เก็บ ภทฺทิโย ป.ธ. ๗) อดีตเจ้าคณะ
�
ี
�
อาเภอสองพ่น้อง อาจารย์ใหญ่สานักเรียนวัดสองพ่น้อง องค์การ
ี
ศึกษาจังหวัดสุพรรณบุรี และอดีตเจ้าอาวาสวัดดอนเจดีย์นับเป็น
บุพการีท่สาคัญของสังคมท่านหน่ง เพราะเป็นผู้ก่อต้งสานักเรียน
�
ี
ั
ึ
�
ั
ี
ี
่
ี
บาลวัดสองพน้อง (พ.ศ. ๒๔๘๓) และวดดอนเจดย์ (พ.ศ. ๒๕๐๑)
ี
สร้างบุคลากรท่มีคุณค่าให้แก่ชาติและพระศาสนาจานวนมาก
�
�
�
เฉพาะท่ดารงสมณเพศสนองงานคณะสงฆ์ท่สาคัญอยู่ขณะน ก็มี
ี
ี
้
ี
อยู่หลายรูป อาทิ
๑. พระวสทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ ป.ธ. ๙)
ิ
ุ
รองเจ้าอาวาสวัดปากนา ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ท่ปรึกษา
้
ี
�
แม่กองบาลีสนามหลวง เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ กรรมการมหาเถร-
สมาคม (ศิษย์สองพี่น้อง)
ี
๒. พระพรหมโมล (สุชาติ ธมฺมรตโน ป.ธ.๙) ผู้ช่วย
้
เจ้าอาวาสวัดปากน�า ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร แม่กองบาล ี
สนามหลวง เจ้าคณะภาค ๕ กรรมการมหาเถรสมาคม (ศิษย์
ดอนเจดีย์)
398
สาราสารกถา
๓. พระธรรมมหาวีรานุวัตร (ฉลอง จินฺตาอินฺโท ป.ธ.๕)
ั
ี
(๒๔๗๗-๒๕๕๓) อดีตเจ้าอาวาสวดป่าเลไลยก์วรวิหาร ท่ปรึกษา
เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี (ศิษย์สองพี่น้อง)
ิ
๔. พระธรรมพุทธิมงคล (สอ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘) เจ้าอาวาส
ี
วัดป่าเลไลยก์ วรวิหาร ท่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุร ี
อดีตเจ้าอาวาสวัดสองพ่น้อง (๒๕๐๙-๒๕๓๙) อดีตเจ้าอาวาส
ี
วัดดอนเจดีย์ (๒๕๓๙-๒๕๔๘) (ศิษย์สองพี่น้อง)
๕. พระเทพโสภณ (ปรีชา อภิวณฺโณ ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัด
ราชบุรณะ กรุงเทพมหานคร รองเจ้าคณะภาค ๘ (ศิษย์ดอนเจดีย์)
๖. พระราชรัตนาภรณ์ (บุญช่วย กมฺมสุโภ ป.ธ.๖)
(๒๔๙๑-๒๕๖๐) อดีตเจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้าจุฬามณี เจ้าคณะเขต
ื
�
บางซ่อ อดีตหัวหน้าพระวินยาธิการประจากรุงเทพมหานคร (ศิษย์
สองพี่น้อง)
๗. พระราชวิสุทธิเวท (นิกร มโนกโร ป.ธ.๙) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส
ี
วัดปากนา ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เลขานุการเจ้าคณะใหญ่
�
้
หนเหนือ รองเจ้าคณะภาค ๗ รองเลขานุการแม่กองบาลีสนามหลวง
(ศิษย์สองพี่น้อง)
ิ
ี
๘. พระราชปริยัติมุน (เทียบ สิรญาโณ ป.ธ.๙) ผู้ช่วย
เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน กรุงเทพมหานคร คณบดีคณะพุทธศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (ศิษย์สองพี่น้อง)
399
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ี
�
๙. พระสมุทรธรรมคณ (จาลอง ป.ธ.๕) วัดกลางเหนือ
ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม (ศิษย์สองพี่น้อง)
๑๐. พระสุธีปริยัตยาภรณ์ (พร้อม ป.ธ.๗) เจ้าอาวาส
�
วัดพลับ บางกะจะ เจ้าคณะอาเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุร ี
(ศิษย์สองพี่น้อง)
๑๑. พระศรีธวัชเมธ (ชนะ ธมฺมธโช ป.ธ.๙) ผู้ช่วย
ี
เจ้าอาวาสวัดราชบุรณะ กรุงเทพมหานคร อดีตเลขานุการเจ้าคณะ
จังหวัดสุพรรณบุรี (๒๕๔๕-๒๕๔๗) รองผู้อานวยการศูนย์
�
อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (ศิษย์
สองพี่น้อง)
ี
๑๒. พระปริยัติคุณาภรณ์ (เฉล่ย สิริธโร ป.ธ. ๓) อดีต
�
เจ้าอาวาสวัดธัญญวารี อาเภอดอนเจดีย์ อดีตรองเจ้าคณะจังหวัด
สุพรรณบุรี
๑๓. พระมงคลกิตติวิบูลย์ (ทับทิม กิตฺติเสโน ป.ธ. ๔)
�
เจ้าอาวาสวัดวิมลโภคาราม อาเภอสามชุก รองเจ้าคณะจังหวัด
สุพรรณบุรี (ศิษย์ดอนเจดีย์)
๑๔. พระปริยัติวรคุณ (สมชาย ทตฺตชีโว ป.ธ.๖) เจ้าอาวาส
วัดสองพี่น้อง เจ้าคณะอ�าเภอสองพี่น้อง (ศิษย์สองพี่น้อง)
ิ
�
๑๕. พระครูพิทักษ์ธรรมโชต (สาราญ สุจิตฺโต ป.ธ.๕)
�
อดีตเจ้าอาวาสวัดนางบวช ท่ปรึกษาเจ้าคณะอาเภอเดิมบาง
ี
นางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี (ศิษย์สองพี่น้อง)
400
สาราสารกถา
๑๖. พระครูธรรมสารรักษา (ป่วน ณฏฺโสภโณ น.ธ.เอก)
�
เจ้าอาวาสวัดบรรหารแจ่มใส เจ้าคณะอาเภอด่านช้าง จังหวัด
สุพรรณบุรี (ศิษย์ดอนเจดีย์)
๑๗. พระครสธปญญาวุธ (จานงค์ ถาวโร ป.ธ.๖) ผู้ช่วย
ี
�
ุ
ู
ั
เจ้าอาวาสวัดราชบุรณะ กรุงเทพมหานคร เลขานุการรองเจ้าคณะ
ภาค ๘ (ศิษย์สองพี่น้อง)
๑๘. พระครูศรีปัญญาธร (อดุลย์ อตุลปญฺโญ ป.ธ.๖) ผู้ช่วย
เจ้าอาวาสวัดสังข์กระจาย กรุงเทพมหานคร พระวินยาธิการ
กรุงเทพมหานคร (ศิษย์สองพี่น้อง)
ั
ุ
ิ
์
๑๙. พระครูวบูลเจติยานรกษ (ประไพ ปญญกาโม ป.ธ.๓)
ุ
ฺ
�
เจ้าอาวาสวัดดอนเจดีย์ เจ้าคณะอาเภอดอนเจดีย์ (ศิษย์ดอนเจดีย์)
ิ
ุ
ั
ู
๒๐. พระครสภกจจานรกษ์ (กรุ่น กตปุญฺโญ ป.ธ. ๓)
ุ
เจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้าจุฬามณี กรุงเทพมหานคร อดีตเลขานุการ
เจ้าคณะเขตบางซื่อ (ศิษย์สองพี่น้อง)
ฯลฯ
ั
ื
ี
นอกจากน้ เม่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ พระวิบูลเมธาจารย์ได้ก่อต้ง
ั
ี
โรงเรียนราษฎร์ระดับมัธยมข้นในวัดสองพ่น้อง (สมัยน้น อาเภอ
ึ
�
สองพ่น้องไม่มีโรงเรียนมัธยม) ช่อโรงเรียนอุภัยภาดาวิทยาลัย
ื
ี
ึ
โดยใช้กุฏิท่ท่านอยู่ส่วนหน่งเป็นอาคารเรียน มีนายกมล แสงจินดา
ี
401
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ิ
(ศักด์เป็นน้องของท่าน) เป็นอาจารย์ใหญ่ เปิดโอกาสให้เยาวชน
ในท้องถิ่นได้รับการศึกษาสูงขึ้น
ี
มีศิษย์เก่าของโรงเรียนแห่งน้เป็นข้าราชการระดับสูงหลาย
ี
ท่าน เฉพาะท่เกษียณอายุราชการแล้วกลับมารับใช้ชาติ ด้วย
ั
การสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาและได้รับเลือกต้ง ก็มีถึง ๓ ท่าน
ดังนี้
๑. พลเอกมนัส อร่ามศรี อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัด
สุพรรณบุรี
๒. นายสุนทร จินดาอินทร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัด
ก�าแพงเพชร
๓. นายสหัส พิณฑุเสนีย์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัด
สระแก้ว
ั
ข้าพเจ้าเป็นศิษย์พระวิบูลเมธาจารย์มาต้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕
ได้รับใช้ท่านมาตลอดจนท่านมรณภาพ เม่อ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๕
ื
เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องจากสองพี่น้องไปอยู่ดอนเจดีย์
ั
เร่องท่ท่านอบรมส่งสอนข้าพเจ้าเป็นคติชีวิตท่ดีมาก นับเป็น
ี
ี
ื
�
้
�
มรดกลาค่าสาหรับข้าพเจ้า และอาจเป็นคติชีวิตสาหรับทุกคนได้
�
ข้าพเจ้าจึงรวบรวมพิมพ์ไว้เป็นอนุสรณ์ ให้อนุชนรุ่นหลังได้รู้จัก
ท่านในฐานะเป็นบุพการีของสังคมดังกล่าว
402
สาราสารกถา
�
ภูมิ เว สปฺปุริสาน กตญฺญูกตเวทิตา
รู้จักบุพการี ทําความดีตอบแทนท่าน
ธรรมนี้เป็นพื้นฐาน ของคนดีศรีแผ่นดินฯ
พระธรรมพุทธิมงคล
เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์ วรวิหาร
ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี
๔ มกราคม ๒๕๖๒
403
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ธมฺมพุทฺธิมงฺคลสฺส สิรินนฺทมหำเถรสฺส
กิตฺติคุณำภิถุติคำถำ
โย ธมฺมครุโก เถโร สีลาจารสมายุโต
สงฺฆาธิโป วราราเม ปาริเลยฺยกสวฺหเย
สิรินนฺโทติ นาเมน วิสฺสุโต พุทฺธสาสเน
พหุสฺสุโต สตีมา โส ทนฺโต สนฺโต สมาหิโต
สุทฺธสีโล สมาจาโร ธีรงฺกุโร คเณสุโต
ปิฏกตฺตยธาตา จ ธมฺมตฺถปฏิภาณวา
สทฺธมฺมเทสนายาปิ สมตฺโถ จ สุโกวิโท
�
ธุรวา สุฏฺุ อุฏฺาตา สงฺฆ โสเภติ สพฺพทา
สุพุทฺธี ทีฆทสฺสี ส มุทุจิตฺโต สวีริโย
สทฺธมฺมฏฺิติกาโม จ สิกฺขากาโม หิเตสิโก
�
นิพทฺธมาทเรเนว ภิกฺขุสงฺฆ ปสาสติ
ปุณฺโณ โสฬารเมตฺตาย อุทเกนิว สาคโร
ทานาทีหิ จ สมฺปนฺโน ธมฺมามิเสหิ สพฺพทา
คิหิปพฺพชิเตเนเก สงฺคณฺหาติ ยถารห
�
เอวญฺเจส สทา เตส คารวฏฺานิโย ปิโย
�
วิสารโท ส พฺยตฺโต จ พุทฺธาทีสุ สคารโว
สุวณฺณภูมิยา เอตฺถ โปราณต ปกาสิตุ �
�
404
สาราสารกถา
�
�
พุทฺธคุเณ จ สาเรตุ� ชนต อภิปตฺถย
สุวณฺเณ ว ปุเร เสล อญฺญาสทิสมคฺฆิย
�
�
�
�
ปาสาทิก มหนฺตญฺจ สุภ โลเกติทุกฺกร
�
�
ปุสฺสคฺคิริตเฏ พุทฺธ- ปฏิม สุฏฺุ การยิ
เอวมาทิคุณูเปโต ส ธมฺมพุทฺธิมงฺคโล
�
อิจฺเจว ทินฺนนาโมหุ ธมฺมิกสฺเสว ราชิโน
โสทานิ จ วโยวุฑฺโฒ จตุราสีติวสฺสิโก
เอว สพฺเพ ปเวทาม ตสฺส กิตฺติมนุตฺตร �
�
สพฺพพุทฺธานุภาเวน สพฺพธมฺมวเสน จ
สพฺพสงฺฆสฺส เตเชน สพฺพปุญฺญสฺส สิทฺธิยา
จิรญฺชีวตุ ทีฆายุ เสฺวว เถโร คุณากโร
วณฺณวา สุขวา โหตุ พลวา ปฏิภาณวา
วุฑฺฒึ ปปฺโปตุ เวปุลฺล วิรุฬฺหึ จุตฺตรึ สทาติ ฯ
�
สิสฺสานมภิธาเนน กตาย ราชวิสุทฺธิเวทินา มโนกเรน มยา
�
นทีมุขาราเม วิหรตา ฯ
405
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ค�ำแปลฉันท์สดุดีเกียรติคุณ
พระธรรมพุทธิมงคล
ู
พระเถระรปใด เคารพในธรรม ประกอบดวยศลาจารวตร
ั
้
ี
ี
ท่งดงาม เป็นเจ้าอาวาสผู้ปกครองสงฆ์ในวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร
พระอารามหลวง ปรากฏนามในพระพุทธศาสนาว่า “สิรินนฺโท”
ั
พระเถระรูปน้น เป็นพหูสูต มีสต ฝึกตัวเองได้ สงบเรียบร้อย
ิ
ั
มีจิตใจต้งม่นเป็นสมาธิ มีศีลสะอาดบริสุทธ์ มีอาจาระงดงาม
ิ
ั
ั
เป็นหน่อเนอของนกปราชญ์ มช่อเสียงในหม่ชน ทรงพระไตรปฎก
ิ
ู
ื
ี
ื
้
แตกฉานในอรรถและธรรม ฉลาดและสามารถในการแสดงธรรม
ไม่ทิ้งหน้าที่ ขยันอย่างดี ย่อมยังหมู่สงฆ์ให้งดงามทุกเมื่อ
พระเดชพระคุณมีความรู้ดี มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีจิต
ั
อ่อนโยน มีความเพียร ปรารถนาจะให้พระสัทธรรมต้งม่นเป็น
ั
จิรัฐิติกาล ใฝ่การศึกษา มุ่งประโยชน์ต่อส่วนรวม ย่อมปกครอง
ภิกษุสงฆ์ ด้วยความเอื้อเอาใจใส่ เป็นนิตย์
ี
พระเดชพระคุณมีใจเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาท่กว้างใหญ่
ั
เหมือนแม่น�าเต็มเปี่ยมด้วยนาฉะน้น และพร่งพร้อมด้วยสังคห-
้
้
ั
�
วัตถุธรรมมีทานเป็นต้น จึงสงเคราะห์คฤหัสถ์และบรรพชิตเป็น
จานวนมาก ท้งด้วยธรรมทานและอามิสทาน ตามสมควรแก่ฐานะ
�
ั
406
สาราสารกถา
ี
อย่างสมาเสมอ และด้วยเหตุดังกล่าวน้ พระเดชพระคุณจึง
�
่
ตั้งอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพรักของศิษย์เหล่านั้นทุกเมื่อ
พระเดชพระคุณ กล้าหาญ เฉลียวฉลาด และมีความเคารพ
ั
ั
ี
่
ี
ุ
ในพระรตนตรยมพระพทธเจ้าเป็นต้น ปรารถนาทจะประกาศ
ให้รู้ว่าแคว้นสุวรรณภูมเคยเป็นเมืองโบราณอยู่ในบริเวณน และ
ิ
ี
้
ปรารถนาอย่างย่งยวดท่จะให้ประชาชนระลึกถึงพระพุทธคุณ
ิ
ี
�
เป็นพุทธานุสสติอยู่เสมอ จึงดาริให้สร้างพระพุทธรูป “พระ
ึ
ิ
พุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ” ซ่งงดงาม ย่งใหญ่ น่าเล่อมใส ซ่งใน
ึ
ื
ี
โลกน้ยากนักท่จะทาได้ เป็นศิลาล้วน ไม่มีท่อ่นจะเปรียบปานได้
�
ี
ื
ี
ี
สลักไว้ท่หน้าผาปุษยคีรีบรรพต เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุร ี
ี
พระเดชพระคณ ประกอบด้วยคณงามความดมตวอย่าง
ั
ี
ุ
ุ
ดังน้ จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จบรมบพิตรพระ-
ี
ราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐโปรดพระราชทานนาม
้
อันเป็นมงคลอย่างน้ว่า “พระธรรมพุทธิมงคล” และบัดน พระเดช
ี
ี
ุ
ิ
ู
ี
ุ
ั
ิ
ิ
ุ
พระคณได้เจรญวยวฒ มอายครบ ๘๔ ปีบรบรณ์แล้ว เกล้าฯ
ั
ี
เหล่าศิษย์ท้งมวล จึงพร้อมกันประกาศเกียรติคุณอันยอดเย่ยม
ของพระเดชพระคุณไว้ด้วยประการฉะนี้
ขออานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง ขออ�านาจแห่งพระ
ธรรมท้งปวง ขอเดชานุภาพแห่งพระสงฆ์ท้งปวง และขอความ
ั
ั
ั
์
ั
้
ั
ศกดสทธแห่งบญทงปวง จงรวมกนเป็นพลวปัจจยดลบนดาล
ั
ิ
ั
ิ
์
ิ
ุ
ประทานพรให้พระเดชพระคุณพระธรรมพุทธมงคล พระมหาเถระ
ิ
407
พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘)
ั
ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งคุณงามความดี น้นแล จงมีอายุยืนยาวนาน
ั
ี
ี
มวรรณะผ่องใส มีความสุขกายสบายใจ มพลานามยสมบูรณ์
ิ
่
้
ู
ิ
ึ
ิ
ี
มปฏภาณแจ่มใส ขอจงถงความเจรญงอกงามไพบลย์ยงๆ ขน
ึ
ทุกเมื่อเทอญ ฯ
เกล้าฯ พระราชวิสุทธิเวที (นิกร มโนกโร ป.ธ. ๙)
รองเจ้าคณะภาค ๗, เลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ
วัดปากน�้า ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
ประพันธ์ในนามศิษยานุศิษย์.