The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สันสกฤตพื้นฐาน 64 ebook

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mcu pali, 2021-04-27 23:11:25

สันสกฤตพื้นฐาน 64 ebook

สันสกฤตพื้นฐาน 64 ebook

Keywords: สันสกฤตพื้นฐาน 64 ebook

เอกสารคำสอนรายวชิ า

สนั สกฤตพน้ื ฐาน

(Introduction to Sanskrit)

พระเทพสวุ รรณเมธี, รศ.ดร. (สชุ าติ กติ ฺติปโฺ )
ป.ธ. 8, พธ.บ. (ปรชั ญา), ศศ.ม. (ภาษาสันสกฤต), พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา)

หลักสตู รพทุ ธศาสตรบัณฑิต สาขาวชิ าบาลพี ุทธศาสตร
ภาควิชาบาลีและสันสกฤต

มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
วทิ ยาเขตบาีศึกษาพทุ ธโฆส นครปฐม

พ.ศ. 2564

เอกสารคาํ สอนรายวิชา

สันสกฤตพนื  ฐาน (Introduction to Sanskrit)

พระเทพสุวรรณเมธี, รศ.ดร. (สชุ าติ กิตฺติปฺโ)

ป.ธ. 8, พธ.บ. (ปรัชญา), ศศ.ม. (ภาษาสันสกฤต), พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา)

หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาบาลีพุทธศาสตร
ภาควิชาบาลีและสันสกฤต

มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตบาีศึกษาพทุ ธโฆส นครปฐม

พ.ศ. 2564

เอกสารค�ำ สอน : สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
รหสั วิชา 105 411 2(2-0-4)

ISBN : 978-616-300-425-3

ภาควิชา : บาลีและสันสกฤต หมวดวิชาเฉพาะวิชาแกนพระพทุ ธศาสนา
สาขาวิชาบาลีพุทธศาสตร์ วิทยาเขตบาฬีศึกษาพทุ ธโฆส นครปฐม

คณะบรรณาธิการ : พระเทพสุวรรณเมธี, รศ.ดร. (สชุ าติ กิตฺติปญโฺ )
พระมหาปราโมทย์ วิริยธมโฺ ม (แก้วนา)

ผู้เชีย่ วชาญ/คณะกรรมการกล่นั กรอง (Peer Review)
พระราชปริยตั ิมุนี, ผศ.ดร. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร.
ผศ.รท.ดร.บรรจบ บรรณรจุ ิ รศ.ดร.สำ�เนียง เลือ่ มใส
ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บญุ หนุน ผศ.ดร.สมบตั ิ มงั่ มีสขุ ศิริ
ผศ.ดร.มนตรี สิระโรจนานันท์ ผศ.รงั ษี สทุ นต์
รศ.ดร.เวทย์ บรรณกรกลุ รศ.ดร.สวุ ิญช์ รกั ษ์สตั ย์

ผเู้ ขียน/เรียบเรียง : พระเทพสุวรรณเมธี, รศ.ดร. (สุชาติ กิตตฺ ิปญฺโ) ป.ธ. 8,
พธ.บ. (ปรัชญา), ศศ.ม. (สันสกฤต), พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา)

คอมพิวเตอร์/ : พระมหาปราโมทย์ วิริยธมฺโม (แก้วนา) ป.ธ.9,

พิสูจนอ์ ักษร ศศ.ม. (จารึกภาษาตะวันออก) ศศ.ด. (สันสกฤต)

ศิลปะ/รูปเลม่ : ดร.สุพิชฌาย์ พรพิชณรงค์, นายเฉลิมชัย มาลีรอด

พิมพ์ครง้ั ที่ 2 : มกราคม 2564

จำ�นวนพิมพ์ : 500 เล่ม

ลิขสิทธิ ์ : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
วิทยาเขตบาฬีศึกษาพทุ ธโฆส นครปฐม

จัดพิมพ์โดย : กองทุนสมเด็จพระพทุ ธชินวงศ์ เพื่อการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตบาฬีศึกษาพทุ ธโฆส นครปฐม

พิมพ์ที ่ : นิติธรรมการพิมพ์
76/251-3 หมู่ 15 ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140
โทร. 0-2403-4567-8, 0-2449-2525, 081-309-5215
E-mail : [email protected], [email protected]

คํานํา

.

การศึกษารายวิชาสนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) เป็นรายวิชาหนึ่ง
ของหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาบาลีพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม รายวิชานี้เป็นหมวดวิชาเฉพาะ วิชาแกน
พระพุทธศาสนา โดยนิสิตต้องเรียน 30 หน่วยกิต ซึ่งรายวิชาสันสกฤตพื้นฐานนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง
ดังกล่าวและมีจาํ นวน 2 หน่วยกิต

การศึกษารายวิชาสันสกฤตพื้นฐาน จะศึกษาหลักไวยากรณ์ของภาษาสันสกฤต
เพื่อให้นิสิตหรือผ้สู นใจได้เหน็ ภาพและเกิดความรู้ความเข้าใจในภาษาสันสกฤตอันเป็นภาษาจารึก
หลักธรรมคําสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้ที่มีความรู้แตกฉานในภาษาสันสกฤตสามารถศึกษา
ค้นคว้าหลักธรรมในคัมภีร์ทางพระพทุ ธศาสนานํามาประยกุ ต์ใช้ในชีวิตจริงต่อไปได้

ผู้รวบรวมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิชาสันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
จักอํานวยประโยชน์ให้เกิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องตามวัตถุประสงค์ของสถาบันพอสมควร จึงขอขอบคุณ
ผู้ให้การสนับสนุน ที่ได้มีส่วนร่วมจัดทําเอกสารให้สําเร็จสมบูรณ์เป็นเล่ม อนึ่ง หากยังมีข้อกรณี
บกพร่องผิดพลาดใด ๆ ในเอกสารต้องขออภัยไว้ ณ ที่น้ี และถ้าหากจะมีความดีใดเกิดข้ึน ขอให้
ความดีน้นั จงอํานวยเป็นอิทธิวิบลู ย์ผลแก่สรรพสัตว์ท่ัวไปเทอญ

พระเทพรสะวุ เรทรพณสุวเมรรธณี, รเมศธ.ดี ร.
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั

วิทยาเขตบาฬศี ึกษาพทุ ธโฆส นครปฐม
2ม2กรสาิงคหมาค2ม5624560

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) [ข]

(3)

สันสกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

รายละเอยี ดของรายวิชา (มคอ. 3)
รายวิชา 105 411 สนั สกฤตพน้ื ฐาน
ชือ่ สถาบันอุดมศกึ ษา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขต/คณะ/ภาควิชา วทิ ยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม คณะพุทธศาสตร์

หมวดที่ 1 ข้อมูลโดยท่วั ไป
1. รหัสและช่ือรายวชิ า

105 411 สันสกฤตพื้นฐาน
(Introduction to Sanskrit)
2. จานวนหน่วยกติ
2 (2-0-4)
3. หลักสตู รและประเภทของรายวชิ า
พทุ ธศาสตรบัณฑติ หมวดวิชาเฉพาะ (วชิ ากลุม่ พระพทุ ธศาสนา)
4. อาจารยผ์ ู้รับผดิ ชอบรายวิชาและอาจารย์ผสู้ อน
พระเทพสวุ รรณเมธี (สชุ าติ กติ ตฺ ิปญฺโ ), ดร.
5. ภาคการศึกษา / ชนั้ ปีที่เรียน
ภาคการศกึ ษาท่ี 2/2558, 1/2561 ชน้ั ปีที่ 1 สาขาวชิ าบาลพี ุทธศาสตร์
6. รายวิชาทีต่ ้องเรียนมาก่อน (Pre-requisite) (ถ้ามี)
- ไม่มี
7. รายวชิ าทีต่ อ้ งเรยี นพร้อมกนั (Co-requisites) (ถา้ ม)ี
- ไม่มี
8. สถานทีเ่ รยี น
คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส
นครปฐม
9. วันที่จดั ทาหรือปรบั ปรงุ รายละเอียดของรายวชิ าคร้งั ล่าสดุ
วันที่ 8 พฤษภาคม 2561

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

[4] (4)

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

หมวดที่ 2 จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์

1. จุดมุ่งหมายของรายวชิ า
เพ่ือให้นสิ ติ มคี วามรู้ความเข้าใจพน้ื ฐานเกยี่ วกบั ภาษาสนั สกฤต

2. วัตถปุ ระสงค์
หลังเรียนจบรายวิชานี้แล้ว ผ้เู รียนสามารถ
1. อธิบายประวตั ิ ความเป็นมา ความหมาย ของกาเนิดและพัฒนาการของภาษาสันสกฤตได้
2. ไดเ้ รียนรโู้ ครงสร้างภาษาสนั สกฤต เห็นคุณค่าภาษาสนั สกฤตในฐานเป็นอีกหน่ึงภาษาท่สี ่ือหรอื
ถ่ายทอดแนวคดิ ด้านศาสนา ปรัชญา ประวตั ศิ าสตร์ วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของเอเชยี
ตะวนั ออก
3. ตระหนกั ถึงคุณค่าของภาษาสนั สกฤต ในฐานเป็นภาษาบันทึกคัมภรี ์ทางพระพุทธศาสนา และ
เปน็ ภาษาหลกั ทถี่ ูกยืมมาใชใ้ นภาษาไทย
3. วตั ถปุ ระสงคใ์ นการการพัฒนา/ปรับปรุงรายวิชา
1. ดาเนินการทาสื่อการเรยี นการสอน/เอกสารประกอบการสอน เพ่ือปรับปรุงเน้ือหาของรายวิชาให้
ชดั เจน
2. เปลย่ี นแปลงเนื้อหาการเรยี นการสอนให้เปน็ ไปตามหลกั ฐานตามหลักคัมภรี ์
3. ส่งเสริมสนับสนุนการเรยี นรู้ด้วยตนเองอย่างเปน็ รปู ธรรม และพฒั นาบทเรียนเป็นระบบ
E-learning ควบคไู่ ปกับการเรยี นในช้นั เรียน ตลอดจนให้นิสิตได้ศึกษาคน้ ควา้ ความร้จู ากแหล่งข้อมูลที่
หลากหลาย

หมวดท่ี 3 ลกั ษณะและการดาเนินการ
1. คาอธิบายรายวชิ า

ศกึ ษาการแจกรปู คานาม คณุ ศัพท์ สังขยา สรรพนาม อัพยยศัพท์ กริยาอาขยาต สารฺวธาตุกะ
วาจกต่างๆ กริยากฤต นามกฤต ตัทธิต สมาส และสนธิ พร้อมทั้งตัวอย่าง การใช้และฝึกทาแบบฝึกหัด
ตามท่ีกาหนด

2. จานวนชวั่ โมงทใ่ี ชต้ ่อภาคการศึกษา การฝึกปฏบิ ตั ิ/งาน
บรรยาย สอนเสริม ภาคสนาม/การฝึกงาน การศึกษา
ไม่มีการฝกึ ปฏบิ ตั งิ าน ดว้ ยตนเอง
บรรยาย 30 ชั่วโมงต่อ สอนเสริมตามความตอ้ งการ การศึกษา
ภาคการศึกษา ของนิสติ 2 ชวั่ โมงต่อสัปดาห์ ภาคสนาม ดว้ ยตนเอง
(เฉพาะรายท่ีต้องการ) 4 ช่วั โมงต่อ

สปั ดาห์

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

[5(5])

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

3. จานวนช่วั โมงต่อสปั ดาห์ทีอ่ าจารย์ให้คาปรึกษาและแนะนาทางวิชาการแก่นกั ศึกษาเปน็ ราย
บคุ คล

- อาจารยป์ ระจารายวชิ า ประกาศเวลาให้คาปรึกษาผา่ นป้ายประกาศและเว็บไซดค์ ณะพุทธศาสตร์
- อาจารยจ์ ัดเวลาให้คาปรึกษาเปน็ รายบุคคลหรือรายกลุ่มตามความต้องการ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (เฉพาะ
รายที่ต้องการ)

หมวดท่ี 4 การพฒั นาผลการเรยี นรขู้ องนักศึกษา

1. คุณธรรม จริยธรรม
คณุ ธรรม จริยธรรมท่ีต้องพัฒนา
พฒั นาผู้เรยี นใหม้ คี ุณธรรม จริยธรรมเพ่ือให้สามารถดาเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมปกติสุขโดย

ใช้หลักวินัยทางพระพุทธศาสนา และทาประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยผู้เรียนสามารถสอดแทรกเร่ืองท่ี
เก่ียวกับคุณธรรมจริยธรรมให้เกิดขึ้นไปพร้อมกับการศึกษาพระวินัยปิฎก ประกอบด้วยคุณธรรม
จรยิ ธรรมตามคุณสมบตั หิ ลักสูตร ดังนี้

- ตระหนกั ในคณุ คา่ และรบั ผดิ ชอบต่อภาษาสันสกฤต ในฐานะที่เป็นภาษาหน่ึงซึ่งบรรจุคา
สอนในคมั ภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนา

- มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม มีจติ สาธารณะ มีความเสยี สละ
- มีวินัย มีความซ่อื สตั ย์ สุจริต
วิธกี ารสอน
บรรยายพรอ้ มยกตัวอย่างคัมภีร์และตัวอย่างกรณีศึกษาเก่ียวกับประเด็นทางจริยธรรม ในการศึกษา
คมั ภรี ์ทางพระพุทธศาสนาทเี่ กีย่ วข้องกบั ภาษาสนั สกฤต
- วเิ คราะหห์ ลักการและกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ ทาแบบฝกึ หดั และอภปิ รายกลมุ่
- กาหนดให้นสิ ติ หาตัวอยา่ งคมั ภรี ท์ ่เี ก่ยี วข้อง
- กาหนดเนอ้ื หาสาระจากคมั ภีร์ท่เี กี่ยวขอ้ ง
วธิ กี ารประเมินผล
- พฤติกรรมการเขา้ เรยี น และส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามขอบเขตท่ใี หแ้ ละตรงเวลา
- มกี ารอ้างองิ เอกสารทไี่ ด้นามาทารายงาน อยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม
- ประเมนิ ผลการวิเคราะห์กรณีศกึ ษา
- ประเมนิ ผลการนาเสนอรายงานที่มอบหมาย
2. ความรู้
ความรู้ทีต่ ้องได้รบั
ความรูค้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั ภาษาสนั สกฤต ใชค้ วามรู้มาอธิบายได้อย่างมีเหตุผล

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[6]

(6)

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

วิธกี ารสอน
บรรยาย อภิปราย การทางานกลุ่ม การนาเสนอรายงาน การวิเคราะห์กรณีศึกษา และ

มอบหมายให้ค้นคว้าหาบทความ ข้อมูลที่เก่ียวข้อง โดยนามาสรุปและนาเสนอ และเน้นผู้เรียนเป็น
ศนู ยก์ ลาง

วธิ ีการประเมินผล
- ทดสอบย่อย สอบกลางภาค สอบปลายภาค ดว้ ยข้อสอบทเ่ี น้นการวัดหลักการและทฤษฎี
- นาเสนอสรปุ การอา่ นจากการคน้ ควา้ ข้อมูลที่เกยี่ วขอ้ ง
- วเิ คราะห์กรณีศึกษา การมสี ว่ นรว่ ม และการแสดงออก

3. ทักษะทางปัญญา
ทกั ษะทางปัญญาที่ต้องพัฒนา
พัฒนาความสามารถในการคิดและมีการคิดอย่างเป็นระบบ มีวิจารณญาณในการวิเคราะห์

เพ่อื การป้องกนั และแก้ไขปญั หาเก่ยี วกับการอา่ นคัมภรี ์อยา่ งสร้างสรรค์
1) สามารถสบื ค้นขอ้ มลู วิเคราะห์ ทาความเข้าใจและนาไปประยกุ ต์ได้

วธิ กี ารสอน
- มอบหมายให้นิสติ คน้ ควา้ ข้อมูลแล้วสาเสนอผลการศกึ ษา
- อภิปรายกล่มุ
- วเิ คราะห์กรณศี ึกษาจากการละเมดิ พระวินัยในสงั คมปจั จบุ ัน
- การสะท้อนแนวคิดจากการประพฤติ
วิธกี ารประเมนิ ผล

- สอบกลางภาคและปลายภาค โดยเน้นข้อสอบที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์ หรือวิเคราะห์
แนวคดิ หลกั การสังคายนา

- การนาเสนอการวเิ คราะหก์ รณศี ึกษา

4. ทกั ษะความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลและความรบั ผดิ ชอบ
ทักษะความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลและความรบั ผิดชอบที่ตอ้ งพัฒนา
1) มีความรับผดิ ชอบต่อตนเองและสังคม
2) พัฒนาความเปน็ ผนู้ าและผตู้ ามในการทางานรว่ มกัน
3) พัฒนาในการสรา้ งสมั พนั ธภาพระหว่างผเู้ รยี นด้วยกัน
4) พฒั นาการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง มคี วามรับผดิ ชอบในงานท่ีได้รับมอบหมายให้ครบถ้วนตาม
เวลาทีก่ าหนด

วิธกี ารสอน
- จัดกจิ กรรมกลุ่มในการวเิ คราะห์กรณีศึกษา เช่น คานาม กรยิ า สนธิ สมาส ตัทธิต เป็นตน้

การศกึ ษาเปรยี บ เทยี บกบั ภาษาบาลี ในหนงั สือ หรือคมั ภรี ์ต่างๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[7]

(7)

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

- มอบหมายงานรายกลมุ่ และรายบคุ คล หรอื อ่านบทความงานวจิ ัย ทบความท่ีเก่ยี วข้องกับ
รายวชิ า

- การนาเสนอรายงาน
วธิ กี ารประเมนิ ผล
- ประเมินตนเอง และเพื่อน ด้วยแบบฟอร์มที่กาหนด
- รายงานที่นาเสนอ / พฤติกรรมการทางานเปน็ ทมี
- รายงานการศึกษาดว้ ยตนเอง (รายงานสรุปรวมยอดความรู้)

1. แผนการสอน หมวดท่ี 5 แผนการสอนและการประเมนิ ผล

สปั ดาหท์ ี่ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กจิ กรรมการเรยี น การ ผสู้ อน
ชวั่ โมง สอน สอ่ื ทใ่ี ช้ (ถ้ามี) พระเทพ
1 - แนะนารายวิชาและแผนการสอน 2 -บรรยาย สวุ รรณเมธี
- ความรเู้ บอ้ื งต้นเกย่ี วกบั ภาษา -ยกตัวอย่างประกอบ พระเทพ
สันสกฤต -ใชส้ ่อื power point สวุ รรณเมธี
-การทาแบบฝกึ หัด พระเทพ
2-3 บทท่ี 1 อักขระวิธแี ละสนธใิ นภาษา 4 -บรรยาย สุวรรณเมธี
สันสกฤต -ยกตวั อยา่ งประกอบ พระเทพ
-ใช้ส่ือ power point สวุ รรณเมธี
-การทาแบบฝึกหัด พระเทพ
4-5 บทที่ 2 การแจกนามศัพท์ 4 -บรรยาย สุวรรณเมธี
-ยกตัวอย่างประกอบ พระเทพ
-ใช้สอื่ power point สวุ รรณเมธี
-การทาแบบฝึกหัด
6 บทท่ี 3 สรรพนามและคุณศัพท์ 2 -บรรยาย
-ยกตัวอย่างประกอบ
-ใช้สอ่ื power point
-การทาแบบฝึกหัด
7 บทที่ 4 สงั ขยาและอัพยยศัพท์ 2 -บรรยาย
-ยกตวั อยา่ งประกอบ
-ใชส้ ื่อ power point
-การทาแบบฝึกหัด
8-9 บทที่ 5 ธาตแุ ละกริยาอาขยาต 4 -บรรยาย
-ยกตัวอย่างประกอบ
-ใช้ส่ือ power point
-การทาแบบฝึกหัด

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[8]

(8)

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

สัปดาห์ท่ี หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กจิ กรรมการเรียน การ ผสู้ อน
ชั่วโมง สอน สอื่ ที่ใช้ (ถ้ามี) พระเทพ
10 สอบกลางภาค สวุ รรณเมธี
11 บทท่ี 5 ธาตแุ ละกริยาอาขยาต (ตอ่ ) 4 -บรรยาย พระเทพ
-ยกตัวอยา่ งประกอบ สวุ รรณเมธี
-ใช้สือ่ power point พระเทพ
-การทาแบบฝกึ หัด สวุ รรณเมธี
12 บทที่ 6 วาจก กรยิ ากฤต และนาม 2 -บรรยาย พระเทพ
ศัพท์ -ยกตัวอยา่ งประกอบ สวุ รรณเมธี
-ใช้สือ่ power point พระเทพ
-การทาแบบฝึกหัด สุวรรณเมธี
13 บทที่ 7 สมาสและตทั ธิต 2 -บรรยาย
-ยกตวั อยา่ งประกอบ
-ใช้สื่อ power point
-การทาแบบฝกึ หัด
14 นสิ ิตนาเสนองานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย 2 -บรรยาย
-ยกตวั อย่างประกอบ
-ใช้สื่อ power point
-การทาแบบฝกึ หัด
15 ประมวลองคค์ วามรูป้ ระจาวชิ า 2 -บรรยาย
-ยกตัวอย่างประกอบ
-ใชส้ ือ่ power point
-การทาแบบฝกึ หัด
16 สอบปลายภาค

2. แผนการประเมินผลการเรยี นรู้ สปั ดาหท์ ี่ สัดส่วนของการ
ที่ วธิ กี ารประเมิน ประเมนิ ประเมินผล
20 %
1 สอบกลางภาค 10 40 %
สอบปลายภาค 16 30 %
ตลอดภาค 10 %
วเิ คราะห์กรณีศกึ ษา คน้ ควา้ การนาเสนอรายงาน การศึกษา
การทางานกลมุ่ และผลงาน
2 การสง่ งานตามท่ีมอบหมาย ตลอดภาค
การศกึ ษา
การเข้าชัน้ เรยี น
3 การมีสว่ นรว่ ม อภปิ ราย เสนอความคิดเหน็ ในชั้นเรียน

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[9]

(9)

สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

หมวดที่ 6 ทรพั ยากรประกอบการเรียนการสอน

1. เอกสารและตาราหลัก
จาลอง สารพัดนึก. สังเขปไวยกรณ์สันสกฤต, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , 2542.
. ไวยากรณ์สันสกฤต 1-2, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
2547.
พระเทพสุวรรณเมธี (สุชาติ กิตฺติปญฺโ เอกสารคาสอนรายวิชา สันสกฤตพื้นฐาน
(Introduction to sanskrit), นนทบรุ ี : นิติธรรมการพิมพ์, 2560.
สุภาพร แจ้งมาก. ภาษาบาลี-สันสกฤตในภาษาไทย, กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นต้ิง เฮ้าส์,
2535.

3. เอกสารและข้อมูลสาคัญ
หนงั สอื ตาราเก่ยี วกับประวตั วิ รรณคดีและไวยากรณส์ ันสกฤต

4. เอกสารและข้อมูลแนะนา
จิรพฒั น์ ประพันธว์ ทิ ยา. ไวยากรณส์ นั สกฤตเบอื้ งตน้ เลม่ 1 (เอกสารประกอบการสอน
รายวชิ า 314-303). กรงุ เทพฯ, 2527.
วิสุทธ์ บษุ ยกลุ . แบบเรียนภาษาสันสกฤต. กรุงเทพฯ: คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , 2554.
จาลอง สารพัดนึก. ประวัติวรรณคดีสันสกฤต, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั . 2546.
Kale, M. R. A Higher Sanskrit Grammar. Reprint. Delhi: Motilal Banarsidass,
2011.
Perry, Edward Delavan. A Sanskrit Primer. Reprint. Delhi: Motilal Banarsidass,
1994.

หมวดที่ 7 การประเมินและปรับปรุงการดาเนนิ การของรายวชิ า
1. กลยทุ ธ์การประเมินประสิทธิผลของรายวิชาโดยนักศกึ ษา

การประเมนิ ประสิทธิผลในรายวิชานี้ ท่ีจดั ทาโดยนกั ศึกษา ไดจ้ ัดกิจกรรมในการนาแนวคิดและ
ความเห็นจากนักศึกษาไดด้ ังน้ี

- การสนทนากลุ่มระหว่างผู้สอนและผูเ้ รยี น
- การสงั เกตการณ์จากพฤตกิ รรมของผู้เรียน
- แบบประเมนิ ผสู้ อน และแบบประเมนิ รายวชิ า
- ขอเสนอแนะผ่านเว็บบอร์ด ท่ีอาจารย์ผู้สอนได้จัดทาเป็นช่องทางการส่ือสารกับ

นกั ศึกษา

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[10]

(10)

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

2. กลยุทธก์ ารประเมินการสอน
ในการเก็บขอ้ มูลเพื่อประเมินการสอน ไดม้ ีกลยทุ ธ์ ดังน้ี
- ผลการสอบ
- การทวนสอบผลประเมนิ การเรยี นรู้

3. การปรบั ปรงุ การสอน
หลงั จากผลการประเมินการสอนในข้อ 2 จึงมีการปรับปรุงการสอน โดยการจัดกิจกรรมในการ

ระดมสมอง และหาข้อมูลเพม่ิ เตมิ ในการปรับปรุงการสอน ดังน้ี
- สมั มนาการจัดการเรียนการสอน
- การคน้ ควา้ ในและนอกชน้ั เรยี น

4. การทวนสอบมาตรฐานผลสมั ฤทธ์ขิ องนกั ศึกษาในรายวิชา
ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสมั ฤทธ์ใิ นรายหวั ขอ้ ตามท่ีคาดหวังจาก

การเรียนรใู้ นวิชา ไดจ้ าก การสอบถามนักศกึ ษา หรือการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษา รวมถึงพิจารณา
จากผลการทดสอบย่อย และหลงั การออกผลการเรยี นรายวิชา มกี ารทวนสอบผลสัมฤทธิ์โดยรวมในวิชา
ได้ดงั นี้

- การทวนสอบการให้คะแนนจากการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษาโดยอาจารย์อื่น หรือ
ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ท่ไี ม่ใช่อาจารย์ประจาหลักสูตร

- มีการตั้งคณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลการประเมินการเรียนรู้ของนักศึกษา
โดยตรวจสอบข้อสอบ รายงาน วิธีการใหค้ ะแนนสอบ และการใหค้ ะแนนพฤติกรรม

5. การดาเนินการทบทวนและการวางแผนปรบั ปรงุ ประสทิ ธิผลของรายวิชา
จากผลการประเมนิ และทวนสอบผลสมั ฤทธปิ์ ระสิทธผิ ลรายวชิ า ได้มีการวางแผนการปรับปรุง

การสอน และรายละเอียดวชิ า เพอื่ ใหเ้ กิดคุณภาพมากขึ้น ดงั นี้
- ปรับปรุงรายวิชาทุก 3 ปี หรือตามข้อเสนอแนะและผลการทวนสอบมาตรฐาน
ผลสัมฤทธ์ติ ามข้อ 4
- เปล่ียนหรือสลับอาจารย์ผู้สอน เพ่ือให้นักศึกษามีมุมมองในเร่ืองการประยุกต์ความรู้น้ี
กบั ปัญหาที่มาจากงานวิจยั ของอาจารยห์ รือแนวคดิ ใหม่ ๆ

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[11]

(11)

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

คำอธิบำยอกั ษรย่อ

อกั ษร คำเตม็ ควำมหมำย
ย่อ
a= a kar an ta ศัพท์นามทีเ่ ป็น อะ การันต์
a = a karanta ศัพท์นามที่เป็น อา การนั ต์
i= i karanta ศัพท์นามที่เปน็ อิ การนั ต์
=  karanta ศัพท์นามทีเ่ ปน็ อี การนั ต์
u= u kar anta ศัพท์นามทีเ่ ป็น อุ การนั ต์
u = u kar an ta ศัพท์นามที่เป็น อู การนั ต์
r = r karanta ศพั ท์นามทีเ่ ปน็ ฤ การันต์
o= o karanta ศพั ท์นามทีเ่ ป็น โอ การนั ต์
au = au kar an ta ศัพท์นามทีเ่ ป็น เอา การันต์
m. = Masculine ปุลลิงคห์ รอื เพศชาย
f. = Feminine สตรีลงิ ค์หรือเพศหญิง
n. = Neuter นปงุ สกลิงค์หรอื ไม่มีเพศ
c. = Case ending สุปวฺ ิภกั ติหรอื วิภกั ติทีใ่ ช้ผันคานาม
s. = Singular เอกพจน์
d. = Dual ทวิพจน์
pl. = Plural พหพุ จน์
c.1-7 = 1st - 7th Case วิภกั ตินามที่ตวั เลขนั้น ๆ บอก เช่น
c.3 หมายถึง วภิ ักติที่ 3 (trt ya)

สัญลกั ษณท์ ่ใี ช้ในเอกสำรเลม่ นี้
เครื่องหมาย
= หมายถึง เปน็ , คือ
> หมายถึง เปลี่ยนเป็น เช่น
( > e) หมายถึง อี เปลี่ยนเป็น เอ
+ หมายถึง ประสมกบั เชน่
marut + s = marut หมายถึง มรตุ ฺ ประสมกับ สฺ สุปวฺ ิภักติ ที่ 1 เอกพจน์ เปน็ มรตุ ฺ

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[12]

(12)

สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

สำรบัญ

คานา ........................................................................................................................ หนา้
รายละเอียดของรายวิชา (มคอ. 3)............................................................................... (3)
คาอธิบายอักษรย่อ ................................................................................................... (4)
(12)

บทท่ี 1 ควำมรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภำษำสนั สกฤต อกั ษรเทวนำครี ......................... 1
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 2
-วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 2
1.1 คาแนะนาเรื่องวิธีเรียนภาษาสนั สกฤต ........................................... 3
1.2 คาแนะนาจากปรมาจารย์ด้านภาษาสนั สกฤต ................................ 4
1.3 ทาไมต้องเรยี นภาษาสันสกฤต ........................................................ 6
1.4 ภาษาสันสกฤตคือ อะไร ................................................................ 7
1.5 สันสกฤตพระเวทกบั สนั สกฤตแบบแผน ......................................... 7
1.6 การใชอ้ กั ษรเทวนาครีและอักษรโรมันแบบคู่ขนาน ......................... 8
1.7 วิธีการเขียนอกั ษรเทวนาครี ........................................................... 9
1.8 สระ (Vowel) ................................................................................. 9
1.9 พยญั ชนะ (Consonant) .................................................................. 10
1.10 พยัญชนะวรรคท้ัง 33 ตวั ............................................................... 12
1.11 การประสมอักษร (พยญั ชนะกับสระ) ............................................ 13
1.12 พยัญชนะสังยุกต์หรอื พยญั ชนะซ้อน .............................................. 14
1.13 อักษรพิเศษ .................................................................................. 17
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 19

บทท่ี 2 คำนำมในภำษำสันสกฤต .......................................................................... 25
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 26
-วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 26
2.1 ภาษาสันสกฤตตามแนวโครงสรา้ งของภาษา ................................. 27
2.2 ตามตารา นริ กุ ติศาสตร์ ............................................................... 27
2.3 คานาม ........................................................................................ 28
-เรียนคาศพั ท์ภาษาสนั สกฤตจากภาพ ............................................................ 30
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท ........................................................................................ 32

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[13]

(13)

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทท่ี 3 กริยำในภำษำสันสกฤต, สพุ นั ตะ และติงันตะ .......................................... 33
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 34
-วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 34
3.1 กริยาหลกั ในภาษาสันสกฤต .................................................... 35
3.2 ส่วนประกอบของกริยากลุ่มธาตทุ ี่ 1 ......................................... 35
3.3 คานามและคากริยาภาษาสันสกฤตเพิม่ เติม ............................. 36
3.4 ศัพท์ที่ไม่ตอ้ งผันในภาษาสันสกฤต ........................................... 36
3.5 สุพนั ตะ และ ตงิ ันตะ ............................................................... 37
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท ........................................................................................ 40

บทท่ี 4 สนธิและกำรผันคำนำม ............................................................................. 42
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 43
-วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 43
4.1 สนธิ ....................................................................................... 44
4.2 สนธิ มฺ ที่อยู่ท้ายคานาม .......................................................... 45
4.3 การผนั คานาม ด้วยวิภักติที่ 3-8 ............................................... 45
4.4 กฎการเปลีย่ น นฺ เป็น ณฺ .................................................... 46
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 52

บทท่ี 5 ประโยคภำษำสันสกฤต กำรผันกรยิ ำ ..................................................... 54
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................
-วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 55
5.1 ส่วนประกอบของประโยคสันสกฤต .......................................... 55
5.2 การเรียงคานามและกริยาในประโยคสนั สกฤต ......................... 56
57
5.3 กริยาหลักภาษาสันสกฤต ........................................................ 57
5.4 ธาตุ ........................................................................................ 57
5.5 วิภักติอาขยาต (ติงฺ วิภักติ) ..................................................... 58

5.6 ส่วนประกอบของกริยาหมวด 1, 4, 6, 10 ................................ 59
5.7 วิภกั ติ 2 ประเภท คือ สุปฺวิภกั ติ และ ตงิ ฺวิภักติ .........................
5.8 กฎการผนั กริยาธาตุหมวดที่ 1 ด้วย ลการ หมวด ลฏฺ .......... 60
5.9 สระ 3 ขั้น และการทาสระใหเ้ ป็นขั้นคุณ .................................. 61
5.10 พยญั ชนะกึ่งสระ ..................................................................... 62
63

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[14]

(14)

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

5.11 กฎการประกอบกริยาธาตุหมวด 1 ........................................... 64
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 67

บทท่ี 6 ธำตุหมวด 1 ที่มีรูปพิเศษ และ ผนั นำม อ , อิ กำรันต์ .............................. 68
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 69
-วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 69
6.1 การผนั กริยาธาตุหมวด 1 ......................................................... 70
6.2 วิภกั ติทีใ่ ชผ้ ันคานาม ................................................................ 71
6.3 การผนั คานาม อ การนั ต์ นปุงสกลิงค์ อิ การันต์ ปุงลิงค์ ........ 72
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท ........................................................................................ 76

บทท่ี 7 กริยำอำตมเนบทและสรรพนำม ............................................................... 78
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 79
-วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 79
7.1 วิภกั ติกริยาอาขยาต ปจั จบุ ันกาล อาตมเนบท ....................... 80
7.2 สรรพนามคืออะไร? ................................................................. 82
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท ........................................................................................ 86

บทท่ี 8 สรรพนำมบุรุษท่ี 3 อิ กำรันต์ นปงุ สกลิงค์ และพยัญชนะกำรันต์ (หลนั ตะ) 88
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 89
-วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 89
8.1 สรรพนามบรุ ษุ ที่ 3 .................................................................. 90
8.2 การผันคานาม อิ การันต์ นปงุ สกลิงค์ ...................................... 91
8.3 การผันคานามลงท้ายด้วยพยัญชนะ หรอื หลนั ตะ .................... 92
8.4 การผันคานามลงท้ายด้วยพยญั ชนะ -in (อินฺ การนั ต์) .......... 92
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 95

บทท่ี 9 กริยำธำตหุ มวด 6, กริยำอำขยำต อดีตกำลไมส่ มบูรณ์ ......................... 96

-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 97
-วตั ถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 97

9.1 กริยาอาขยาต ธาตุหมวดที่ 6 (ตทุ าทิคณะ) .............................. 98
9.2 กริยาอาขยาต อดีตกาลไม่สมบรู ณ์ .......................................... 99
9.3 กริยาอาขยาต อดีตกาลไม่สมบูรณ์ (Imperfect) อาตมเนบท ..... 101
9.4 การผนั คานาม อุ การันต์ นปงุ สกลิงค์ ..................................... 102
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท....................................................................................... 105

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[15]

(15)

สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทท่ี 10 กริยำธำตหุ มวด 4 และ 10 ผันคำนำม อุ กำรันต์ ปุงลิงค์, 106
อำ, อ,ิ อ,ี อ,ุ อู สตรลี ิงค์ ........................................................................ 107
107
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 108
-วตั ถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 109
111
10.1 กริยาอาขยาต ธาตหุ มวดที่ 4 (ทิวาทิคณะ) ............................. 112
10.2 กริยาอาขยาต ธาตหุ มวดที่ 10 (จุราทิคณะ) ............................ 112
10.3 การผนั คานาม อชันตะ (สระการนั ต์) (ต่อ) อุ การนั ต์ ปงุ ลงิ ค์ ... 113
10.4 การผันคานาม อา การนั ต์ สตรีลงิ ค์ ........................................ 113
10.5 การผันคานาม อิ การนั ต์ สตรลี ิงค์ .......................................... 114
10.6 การผนั คานาม อี การนั ต์ สตรลี ิงค์ .......................................... 117
10.7 การผันคานาม อุ การนั ต์ สตรลี ิงค์ ..........................................
10.8 การผันคานาม อู การนั ต์ สตรลี ิงค์ ..........................................
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................

บทท่ี 11 กริยำอำขยำต หมวด โลฏ (คำส่ัง) และหมวด ลิง (ขอร้อง) 119
คำนำมพยำงคเ์ ดียว สตรลี ิงค์ ............................................................... 120
120
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 121
-วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 123
124
11.1 วิภกั ติกริยาอาขยาต หมวด โลฏฺ .............................................. 125

11.2 วิภักติอาขยาต บ่งบอกคาส่ัง ................................................... 126
127
11.3 คานาม อี การันต์ สตรลี ิงค์ พยางค์เดียว ............................... 131

11.4 วิภักติกริยาอาขยาต หมวด ลิงฺ (lin) สัปตมี ..............................
11.5 วิภกั ติกริยาอาขยาต หมวด ลิงฺ (lin) สปั ตมี หรอื อ้อนวอน ราพึง

11.6 คานาม อู การนั ต์ สตรลี ิงค์ พยางค์เดียว ...............................
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................

บทท่ี 12 สนธิสระ และพยัญชนะ, อุปสรรคและนิบำต ......................................... 132
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................
-วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 133
12.1 สระสนธิ ................................................................................. 133
12.2 พยญั ชนะสนธิ ......................................................................... 134
137
12.3 อัพยยศพั ท์ ............................................................................... 138
143
-แบบฝกึ หัดท้ายบท.......................................................................................

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[16]

(16)

สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทท่ี 13 กริยำกรรมวำจก และ ณิชันตะ ............................................................... 145
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 146
-วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 146
13.1 กรรมวาจกและภาววาจก ........................................................ 147
13.2 ณิชันตะ (Causative) ................................................................. 149
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท ........................................................................................ 155

บทท่ี 14 คำนำม ฤ โอ เอำ กำรันต์ และ พยัญชนะกำรันต์ทัว่ ไป ........................ 157
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 158
-วตั ถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 158
14.1 คานาม ฤ โอ เอา การันต์ ...................................................... 159
14.2 คานาม ฤ การันต์ ................................................................. 160
14.3 คานาม เอา การันต์ ................................................................. 161
14.4 พยัญชนะการันตท์ ว่ั ไป ............................................................. 161
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 166

บทท่ี 15 as พยญั ชนะกำรันต์ คำวิเศษณ์ สมำส ............................................... 167
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 168
-วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 168
15.1 พยญั ชนะการันตท์ ีล่ งท้ายด้วย -as, -is, us ........................... 169
15.2 พยัญชนะการนั ต์ -as ปงุ ลิงค์และสตรลี ิงค์ ............................ 169
15.3 พยญั ชนะการนั ต์ -as นปุงสกลิงค์ .......................................... 170
15.4 พยญั ชนะการนั ต์ -is นปงุ สกลิงค์ ........................................... 170
15.5 พยัญชนะการันต์ -us นปุงสกลิงค์ .......................................... 171
15.6 คาวเิ ศษณ์ (คุณศพั ท์หรอื คาขยาย) .......................................... 172
15.7 การผันคาวิเศษณ์ (คุณศัพท์หรอื คาขยาย – Adjectives) .......... 172
15.8 คาสมาส ................................................................................. 175
15.9 ทวันทวะสมาส ........................................................................ 177
15.10 ทวิคุสมาส ............................................................................... 177
15.11 ตัตปรุ ษุ ะสมาส ........................................................................ 178
15.12 กัมมธารยะสมาส .................................................................... 179
15.13 พหวุ รีหิสมาส .......................................................................... 180
15.14 อัพยยีภาวสมาส ...................................................................... 181
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 183

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[17]

(17)

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทท่ี 16 คำนำม 2-3 รูปและจำนวนนับ (สังขยำ) ................................................ 184
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 185
-วตั ถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 185
16.1 พยัญชนะการันตท์ ีล่ งท้ายด้วย -mat, -vat ............................ 186
16.2 พยญั ชนะการนั ต์ -at ปุงลงิ ค์ .................................................. 186
16.3 พยัญชนะการนั ตท์ ี่ลงท้ายด้วย -an ปุงลงิ ค์ และ สตรีลิงค์ ...... 187
16.4 พยญั ชนะการนั ต์ -an นปุงสกลิงค์ ........................................ 188
16.5 การผันจานวนนบั (สงั ขยา – Numeral System) ....................... 189
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 199

บทท่ี 17 กำรผนั และกำรใชจ้ ำนวนนบั (สงั ขยำ) .................................................... 200
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 201
-วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 201
17.1 การผันเลขนับจานวน (Cardinals) ............................................. 202
17.2 วิธีการใชจ้ านวนนับกบั คานาม ................................................. 203
17.3 การใชเ้ ลขบอกลาดบั ............................................................... 204
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท ........................................................................................ 207

บทท่ี 18 กริยำธำตุหมวด 8 และ 5 ........................................................................ 208
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 209
-วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 209
18.1 กริยาภาษาสันสกฤต ............................................................... 210
18.2 ธาตหุ มวดที่ 8 ตนาทิคณะ ...................................................... 211
18.3 ธาตุหมวดที่ 5 สวฺ าทิคณะ ...................................................... 217
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 222

บทท่ี 19 กริยำธำตุหมวด 9-7-3 และ 2 ................................................................ 223
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 224
-วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 224
19.1 ธาตหุ มวดที่ 9 กฺรยาทิคณะ .................................................... 225
19.2 ธาตุหมวด 7 รุธาทิคณะ ......................................................... 231
19.3 ธาตุหมวด 3 ชโุ หตยฺ าทิคณะ .................................................. 234
19.4 กฎทวั่ ไปของการซ้าพยางค์ ...................................................... 235
19.5 ธาตุหมวดที่ 2 อทาทิคณะ ....................................................... 239
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท ........................................................................................ 243

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[18]

(18)

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทท่ี 20 กริยำกฤต ta, tum, tvā ปัจจัย .......................................................... 244
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................
-วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 245
20.1 กริยากฤต ทีป่ ระกอบด้วยปจั จยั ที่ข้นึ ตน้ ด้วย t ......................... 245
246
ta ปัจจัย ............................................................................... 246
251
tum ปัจจยั ........................................................................... 252
254
tvā ปัจจยั ............................................................................ 257
259
ant ปัจจยั ............................................................................

māna, āna ปจั จยั ..............................................................
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................

บทท่ี 21 กริยำอำขยำต อดีตกำลสมบรู ณ์ อนำคตกำล ........................................ 260
-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................
-วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 261
21.1 วิภกั ติกริยาอาขยาต ................................................................ 261
262
21.2 กริยาอาขยาต อดีตกาลสมบรู ณ์ (ลิฏฺ) ..................................... 265
267
21.3 กริยาอาขยาต อนาคตกาลธรรมดา (ลฤฏฺ – ภวษิ ยฺ นฺ) ............... 270
-แบบฝกึ หดั ท้ายบท ........................................................................................

บทท่ี 22 กริยำกฤตบอกกำลและมำลำ นำมกฤต ตทั ธิต ..................................... 271

-ขอบข่ายการศกึ ษาประจาบท ........................................................................ 272
-วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท ................................................................... 272
22.1 กริยากฤตบอกอดีตกาลสมบูรณ์ อนาคตและมาลาราพึง .......... 273
22.2 กริยากฤตบอกอดีตกาลสมบรู ณ์ .............................................. 273
22.3 กริยากฤตบอกอนาคตกาล ...................................................... 274
22.4 กริยากฤตบอกมาลาราพึง ขอร้อง ........................................... 275
22.5 นามกฤต (Noun formed by Primary suffixes) ................... 277
22.6 ตทั ธิต (Noun formed by Secondary suffixes) .......................... 281
-แบบฝกึ หัดท้ายบท ........................................................................................ 287

บรรณานกุ รม ............................................................................................................ 288

ภาคผนวก บทฝกึ ทกั ษะการปริวรรต-อ่าน-แปล อักษรเทวนาคร.ี ........................................289

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
[19]

(19)

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)



บทที่ 1

ความรู้เบอื้ งต้นเกีย่ วกับภาษาสันสกฤต อักษรเทวนาครี

สนั สกฤตพื้นฐาน (Int1roduction to Sanskrit) 1

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ขอบขา่ ยการศึกษา

1. ความร้เู บื้องต้นเกยี่ วกบั ภาษาสนั สกฤต
2. สระ และพยญั ชนะ ในภาษาสนั สกฤต
3. พยญั ชนะวรรค พยัญชนะเศษวรรค
4. พยญั ชนะอโฆษะ พยัญชนะโฆษะ พยญั ชนะอนนุ าสิก พยญั ชนะอรรธสระ พยัญชนะอษู มนั
5. การถ่ายถอดภาษาสันสกฤตด้วยอักษรเทวนาครี อักษรโรมนั และอักษรไทย
6. หลักการประสมอักษร (พยญั ชนะกับสระ) ด้วยอกั ษรเทวนาครี

วตั ถปุ ระสงค์

1. เพื่อให้มีความร้เู บื้องต้นเกีย่ วกบั ภาษาสนั สกฤตและวิธีเรียนภาษาสนั สกฤตให้มีประสิทธิภาพ
มากที่สดุ

2. เพื่อให้เข้าใจเรือ่ งสระ พยญั ชนะ และการประสมอักษรในภาษาสนั สกฤต
3. เพื่อให้สามารถเขียนอกั ษรเทวนาครีได้อย่างถูกวิธีและถูกต้องตามหลักภาษา
4. ผ้ศู ึกษามีความร้คู วามเข้าใจและสามารถปริวรรตภาษาสันสกฤตด้วยอกั ษรเทวนาครี อกั ษร

โรมัน และอกั ษรไทย ได้อย่างถกู ต้อง

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 2

2

สันสกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 1

ความรเู้ บอื้ งตน้ เกีย่ วกับภาษาสนั สกฤต อกั ษรเทวนาครี

1.1 คําแนะนําเรื่องวิธีเรียนภาษาสนั สกฤตใหม้ ีประสิทธิผลมากทสี่ ดุ
1) ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่มีกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์มากมาย จนมีผู้ยกให้ว่าเป็นภาษา
ที่ยากที่สุดในโลก แต่ก็เพราะกฎทางไวยากรณ์ดังกล่าวจึงทําให้ภาษาสันสกฤตเป็น
ภาษาทีเ่ รียนได้อย่างเป็นระบบได้ง่ายทีส่ ุดในโลกเช่นเดียวกัน
2) การเรียนภาษาสันสกฤตแบ่งได้ง่าย ๆ เป็น 2 ค่าย คือ ค่ายตะวันออก กับ ค่าย
ตะวันตก โดยมีทฤษฎีแกนกลางที่เป็นที่ถกเถียงกันอยู่จนถึงปัจจุบันคือ เรียนแบบ
ท่องจําหรือเรียนแบบทําความเข้าใจแล้วจาํ ไปเองจะทําให้เรียนภาษาสันสกฤตได้ดีกว่า
กัน โดยค่ายตะวันออก เป็นการเรียนแบบที่เรียกว่า คุรุกุล กินอยู่กับครูหรือโรงเรียน
กินนอน นิยมให้ท่องกฎและการผันศัพท์นาม กริยา เป็นต้น ให้จําให้ข้ึนใจก่อนจึงมา
เรียนทําความเข้าใจทีหลัง (บางทีก็เลยไปเลยโดยไม่มีการทําความเข้าใจ) แต่ทางค่าย
ตะวันตก นิยมความเป็นปัจเจกชนตามความเชื่อเรื่องสิทธิเสรีภาพ เสรีนิยม ดังน้ันจึง
ไม่นิยมการท่องจําเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้ทําความเข้าใจแล้วจะจําได้เอง และ
สามารถอธิบายกฏเกณฑ์ทางไวยากรณ์ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เรียนได้ง่ายและใช้
เวลาน้อยกว่าแบบท่องจาํ หรืออาจเรียนด้วยตนเองก็ได้
3) ผู้จดั ทําผ่านมาท้งั สองแบบจึงพอจะสรปุ ได้ว่า ในดีมีเสีย ในเสยี มีดี คือ ดีกันคนละ
อย่าง เสียกนั คนละอย่าง ข้อดีของการเรียนแบบตะวันออก คือ เราสามารถจาํ แบบ
แจกแบบผนั ได้อย่างแน่นอนและนาํ มาใช้ได้อย่างรวดเรว็ เพราะอย่ใู นความจาํ ของเรา
เองแล้ว ไม่ต้องเปิดหนงั สือเลยเหมือนมีแบบแจกสนั สกฤตอย่ใู นความจาํ ของเราแล้ว
จะแจกจะผันศพั ท์ไหนกง็ ่ายไปหมด และการเรียนแบบนี้ยังเน้นการแปลข้อความจาก
คมั ภีร์ที่สาํ คญั เปน็ หลกั จึงทาํ ให้เราอ่านและแปลได้อย่างง่ายและรวดเรว็ เพราะมีแบบ
ผันอย่ใู นความจําแล้ว แต่ข้อเสียก็คือเราต้องใช้เวลามากในการท่องจํา บางทีต้องใช้
เวลาเปน็ หลายปกี ว่าจะจาํ ได้ท้งั หมด และชีวิตเราในปจั จุบนั นี้ยังมีเรือ่ งอืน่ ๆ ทีต่ ้องให้
ทําและให้จาํ อีกเยอะ เราจึงลาํ บากทีจ่ ะมาท่องจํากฎไวยากรณส์ นั สกฤตเพียงอย่าง
เดียว และที่สาํ คญั คือ ทีเ่ คยจาํ ได้แลว้ มันกลบั กลายเปน็ ลืมอย่างรวดเร็วในกรณีทีไ่ ม่
ค่อยได้ใช้หรือไม่ได้ทบทวนอย่เู ปน็ ประจํา กลายเป็นว่าท่องมาหลายปีแต่ผลกลบั สูญ
เปล่า (คําถาม = แล้วจะท่องจําทําไม ? ส้เู รียนแบบทาํ ความเข้าใจให้ถ่องแท้ดีกว่าการ
ท่องจําแบบนกแก้วนกขนุ ทอง rote learning มิใช่หรือ ?)

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 3

3

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

4) ข้อดีของการเรียนแบบค่ายตะวันตก คือ ผู้เรียนมีความเข้าใจถึงกฎเกณฑ์ไวยากรณ์ได้
อย่างถ่องแท้และสามารถอธิบายได้อย่างเป็นระบบมีกฎมีเกณฑ์ ใช้เวลาน้อยและ
สามารถเรียนได้ด้วยตนเอง ที่สําคัญคือ ตําราภาษาต่างประเทศในปัจจุบันโดยเฉพาะ
ภาษาอังกฤษดําเนินตามแบบการเรียนนี้ท้ังส้ิน จึงทําให้เรามีตําราที่จะค้นคว้าเพิ่มเติม
ได้มากมาย แต่ในดีมีเสียในเสียมีดี ดงั กล่าวแล้ว ข้อเสียของการเรียนแบบนี้ คือ เราใช้
เวลาน้อยในการทาํ ความเข้าใจกจ็ ริง แต่เวลาน้อยนี้เองที่ทําให้เราละเลยการจดจําการ
ผัน การแจกศัพท์นาม กริยา ฯลฯ ไปอย่างจงใจ ทําให้เวลาเจอศัพท์ในคัมภีร์เราอาจ
ต้องกลับมาเปิดหนังสือเพื่อดูแบบผันหรือกฎไวยากรณ์อีกหลายคร้ังจนกว่าจะจําได้
แต่เมือ่ เปิดบ่อย ๆ เราก็จะจาํ ได้เอง เหมือนกับการท่องจํานั่นเอง (คําถาม = แล้วทําไม
เราไม่ท่องให้มันจาํ ได้ต้งั แต่ต้นเสียล่ะ ?)

5) การเลือกวิธีที่เหมาะสมสําหรับผู้เรียนหรือนักศึกษา อาจารย์ผู้สอนจะเป็นผู้พิจารณา
ตามความเหมาะสม โดยอาจารย์บางท่านก็นิยมให้นักศึกษาท่องจําบางส่วนเพื่อ
ประกอบในการทําความเข้าใจกฎไวยากรณ์บางกฎ แต่บางท่านก็ไม่นิยมให้ท่องจําแต่
อธิบายตามกฎเกณฑ์และให้ตัวอย่างและแบบฝึกหัดเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจเองและจํา
ได้เอง แต่บทสรุปท้ังสองวิธีที่จะทําให้การเรียนภาษาสันสกฤตมีประสิทธิผลมากที่สุด
คือ นักศึกษาต้องให้เวลากับการทําความเข้าใจและจดจํากฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ที่ได้
เรียนมาแล้วให้แม่นยําและที่ต้องทําใจไว้คือ ต้องใช้เวลามากถึงมากที่สุดในการเรียน
และทําแบบฝึกหัด หากผู้ศึกษาไม่ขยันทําแบบฝึกหัดแล้วการเรียนก็จะไม่ประสบ
ประสิทธิผลตามที่ปรารถนา หรืออาจท้อแท้ไปเลยก็ได้หากไม่เข้าใจ (ผ้จู ดั ทําขอแนะนํา
ว่า ไม่ควรท้อแท้ ถ้าจะท้อก็ท้อได้แต่ขอให้เป็นเพียงท้อเทียม คือ ท้อเป็นพัก ๆ แล้วสู้
ต่อไป)

1.2 คาํ แนะนําจากปรมาจารยด์ า้ นภาษาสนั สกฤต
1) ศาสตราจารย์วิสุทธ์ บษุ ยกลุ ให้คําแนะนําว่าจากประสบการณ์การสอนภาษาสันสกฤต
มายาวนาน การศึกษาภาษาสันสกฤตในตอนต้น ๆ นกั ศึกษาต้องได้รบั คําแนะนําและการ
ดูแลเอาใจใส่จากอาจารย์ผู้สอนอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเหลือในยามที่ท้อแท้หรือเกิดข้อ
สงสัยในการทาํ แบบฝกึ หดั
2) ท่านอาจารย์วิสุทธ์ยังได้เขียนตําราสําหรับการเรียนภาษาสันสกฤตสําหรับนักศึกษาไทย
ข้ึนมา 2 เล่ม ในชื่อ แบบเรียนภาษาสันสกฤต เล่ม 1 และ 2 นักศึกษาสามารถใช้เป็น
ตําราหลักในการเรียนได้เลย นับเป็นคุณูปการที่ท่านมีต่อวงการการศึกษาภาษา
สนั สกฤตในประเทศไทยเปน็ อย่างสูง
3) ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา ได้ให้ข้อสงั เกตไว้อย่างน่าสนใจว่า จาก
ประสบการณ์การสอนภาษาสันสกฤตมากว่า 30 ปี ตําราที่เหมาะสมที่สุดสําหรับ

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 4

4

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

นักศึกษาและอาจารย์ที่จะเรียนภาษาสันสกฤต คือ A Sanskrit Primer ของ E.D. Perry
เพราะส้ัน กระชับและใช้เวลาไม่นานในการเรียน แต่หากศึกษาด้วยตนเองคงไม่อาจ
เข้าใจได้ท้ังหมด ดังน้ันจึงควรใช้ตําราเล่มน้ีแล้วขยันทําแบบฝึกหัดและที่สําคัญคือ ต้อง
ขอคําแนะนําจากอาจารย์ผู้รู้อย่างสมํ่าเสมอ ที่สําคัญที่สุดคือนักศึกษาต้องขยันทํา
แบบฝกึ หดั
4) เรือ่ งแบบฝึกหัด อาจารย์ท้งั สองท่านเห็นตรงกันว่า แบบฝึกหัดที่เหมาะสมที่สุดสําหรับ
นักศึกษาต้ังแต่ระดับปริญญาตรีข้ึนไป และสามารถอธิบายกฏเกณฑ์ทางไวยากรณ์ได้
ตามลําดับมากที่สุด คือ แบบฝึกหัดท้ายบทของหนังสือ A Sanskrit Primer ของ E.D.
Perry ดังกล่าวแล้ว เพราะฉะน้ัน ผู้จัดทําจึงใช้แบบฝึกหัดจากหนังสือ A Sanskrit
Primer ตามที่อาจารย์ท้ังสองได้ให้คําแนะนําไว้ทุกบท แต่ที่เพิ่มเติม คือ ผู้จัดทําได้
เฉลยแบบฝึกหัดบทต้น ๆ (คาดว่าจะทําทุกบทเสร็จภายใน ปี 2562) ไว้ในภาคผนวก
แต่ขอแนะนําว่าควรใช้ความพยายามของตนเองให้มากที่สุดจนกว่าจะรู้สึกว่าสุด
ความสามารถแล้วจึงเปิดดูเฉลย เพื่อจะได้ฝึกหัดให้เข้าใจกฎเกณฑ์ไวยากรณ์ต่าง ๆ
ได้ด้วยตนเองแล้วเราจะร้สู ึกภมู ิใจที่ทําได้
5) อาจารย์ท้ังสองท่านมีความเห็นตรงกันว่า การใช้อักษรเทวนาครีในการเรียนการสอน
ภาษาสันสกฤตน้นั ไม่ควรเน้นมากในตอนต้น ๆ เพราะจะทําให้นักศึกษาห่วงหน้าพะวง
หลังกบั ตวั หนงั สือเทวนาครี ทีม่ ีความหลากหลายมากโดยเฉพาะตวั พยัญชนะซ้อนและ
มีแบบอักษร (Font) ในระบบคอมพิวเตอร์ที่ยังขาดตัวอักษรสําคัญบางตัวอยู่ แต่ท่าน
ท้ังสองเห็นว่าควรใช้อักษรโรมันให้มาก ๆ โดยเฉพาะในการอธิบายกฏสนธิซึ่งหากใช้
อักษรโรมันจะทําให้เข้าใจได้ง่ายกว่าอักษรเทวนาครี แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ควรทิ้ง
อักษรเทวนาครีไปเสียเลยเพราะตําราสําคัญ ๆ ในปัจจุบันล้วนพิมพ์ด้วยอักษร
เทวนาครีท้งั น้นั แต่เราสามารถฝึกหดั อ่าน เขียนในการเรียนระดับสูง ๆ ข้ึนไปได้ ดังน้ัน
เรื่องตัวอักษรโรมันหรือเทวนาครีจึงเป็นเรื่องความถนัดของแต่ละบุคคล แต่ควรใช้ให้
คล่องท้งั สองอย่าง
6) เมื่อเราได้รู้และเข้าใจร่วมกันอย่างน้ีแล้ว บัดนี้ โปรดอย่ารีรอ ขอได้โปรดเปิดเอกสาร
ประกอบการสอนและสื่อการสอนภาษาสันสกฤตน้ีเพื่อเรียนภาษาสันสกฤตพ้ืนฐาน
ด้วยใจระทึกพลนั ...

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 5

5

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ประเดน็ ที่ควรศึกษา
๏ ภาษาสนั สกฤตคือ อะไร ? ทําไมต้องเรียนภาษาสันสกฤต ?
๏ ความจาํ เป็นในการใช้อกั ษรเทวนาครี และอักษรโรมันในการเรียนภาษาสนั สกฤต
๏ สระและพยัญชนะในภาษาสันสกฤตมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๏ วิธีการเขียนอกั ษรเทวนาครี สระลอย สระจม พยญั ชนะเตม็ ตวั ครึ่งตัวและสงั ยกุ ต์

1.3 ทําไมต้องเรียนภาษาสันสกฤต ?1
มีเหตุผลหลายประการที่ทําให้เราต้องเรียนภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาที่ละเอียดอ่อน

และได้รบั การคดั กรองมาด้วยดีเป็นเวลานานหลายสหสั วรรษ ท้ังเสียง อักษร หลักไวยากรณ์ที่เป็น
ระบบระเบียบของภาษาสนั สกฤตเปน็ ความงดงาม มีเสน่ห์ลึกล้ําชวนให้น่าศึกษาย่ิง การศึกษาภาษา
สันสกฤตสามารถสร้างความคิดอย่างเป็นระบบระเบียบได้ในใจของเราได้จริง ท้ังน้ีเพราะภาษา
สันสกฤตเป็นภาษาที่มีระบบระเบียบ มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน แน่นอนอย่างยิ่ง นี้เป็นผลมาจากวิธีการ
คิดอย่างเปน็ ระบบของคนที่ใช้ภาษาสันสกฤตนน่ั เอง

นักศึกษาส่วนใหญ่ที่หันมาศึกษาภาษาสันสกฤตต่างมีความสนใจในสาระของวรรณคดี
สันสกฤตซึ่งมีหลากหลายสาขาวิชา เช่น ปรัชญา วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ดุริยางคศาสตร์
ภาษาศาสตร์ ไวยากรณ์ คณิตศาสตร์ สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และ
ตรรกศาสตร์ เป็นต้น ศาสตร์เหล่านี้เปน็ เพียงส่วนหนึง่ ของภาษาสนั สกฤตเท่าน้นั ในการศึกษาตํารา
หรือคัมภีร์เกี่ยวกับศาสตร์หลากแขนงเหล่านี้เราจะสามารถเข้าใจได้ดีท่ีสุดก็ต่อเมื่อเราศึกษาจาก
ต้นฉบบั ทีเ่ ปน็ ภาษาสนั สกฤตเท่าน้นั

นักศึกษาไทยควรศึกษาภาษาสันสกฤตให้เข้าใจจนสามารถแปลวรรณคดีสันสกฤตได้
ท้ังนี้เพราะวัฒนธรรมไทย ขนบธรรมเนียม ประเพณีไทยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดีย
ผ่านภาษาที่สําคัญคือ ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต โดยเฉพาะภาษาสันสกฤตที่เรารู้แม้เพียงเส้ียว
หนึ่งกส็ ามารถช่วยเราให้แปลวรรณคดีสันสกฤตที่กล่าวมาเป็นภาษาไทยได้อย่างดีและสละสลวย ท้ัง
เรายังสามารถตัดสินได้ว่าคําสําคัญใดที่เราแปลไม่ตรงหรือเพี้ยนไปจากความหมายของคําเดิมที่เป็น
ภาษาสนั สกฤต

1 เรียบเรียงจาก Thomas Egenes. Introduction to Sanskrit. Part one. (Delhi: Motilal

Banarsidass,1994), pp.xi-xvii. โดยผู้จัดทําเพิ่มเติมความเห็นในส่วนที่เก่ียวกับการศึกษาภาษาสันสกฤตใน
ประเทศไทย

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 6

6

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

Sanskrit Tip 1

คําถามที่ผู้เรียนภาษาสันสกฤตมักประสบบ่อย ๆ คือ เรียนสันสกฤตไปทําไม เอาไป
ทําอะไรได้ ? คําตอบที่ควรตอบ คือ คนเรียนภาษาสันสกฤตทําได้ทุกอย่างเพราะในภาษา
สันสกฤตมีความรู้ทุกศาสตร์บรรจุอยู่ แต่ที่สําคัญที่สุดคือ ภาษาสันสกฤตสอนให้คิดเป็น
ระบบ สอนให้รู้จักการใช้ชีวิตอย่างมีระบบ อย่างมีความสุข จนถึงการเกื้อกูลกันและกัน ท้ัง
ยังเปน็ ภูมิปัญญาตะวนั ออกที่สง่ั สมกันมายาวนาน

1.4 ภาษาสันสกฤตคือ อะไร ?
คําว่า “สันสกฤต” มาจากคําหน้า หรือ อุปสรรค ว่า “สํ” (saṃ) กับ คํากริยาว่า กฺฤต

(kṛta) แปลว่า “สร้างไว้อย่างสมบูรณ์”, “ผสมกันแล้ว” หรือ “ภาษาที่ได้รับการพัฒนาไว้อย่าง
สมบูรณ์แล้ว” ภาษาสันสกฤตเป็นหนึ่งในภาษาตระกูลอินเดีย-ยุโรป (Indo-European Family)
เป็นภาษาที่มีวิภักติปัจจัย (Inflectional Language) ต้องเปลี่ยนคําไปตามวิภักติ ปัจจัย การก เพศ
พจน์ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปก่อนนําไปใช้ในประโยค การเปลี่ยนแปลงรูปนี้ใช้กับนามและกริยา
โดยการเปลีย่ นแปลงนี้เราเรียกว่า การผนั หรือการแจก หากเปน็ คํานาม เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
Declension ส่วนการผนั กริยา เรียกว่า Conjugation

1.5 สนั สกฤตพระเวทกบั สันสกฤตแบบแผน (Vedic and Classical Sanskrit)
ภาษาสันสกฤตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สันสกฤตพระเวท กับ สันสกฤต

แบบแผน ภาษาสันสกฤตพระเวทอันเป็นภาษาของกลุ่มคัมภีร์สัมหิตาและพราหมณะ เก่าแก่กว่า
ภาษาสันสกฤตแบบแผน โดยคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สดุ ในกล่มุ นี้ คือ ฤคเวท หรือ ฤคเวทสัมหิตา

ส่วนภาษาสันสกฤตแบบแผน เป็นภาษาที่ได้รับการพัฒนามาจากภาษาสันสกฤตพระเวท
มาอีกต่อหนึ่ง มีการต้ังกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ไว้อย่างชัดเจน และเป็นระบบที่สุด โดยนักไวยากรณ์ที่
ชาวอินเดียและชาวโลกยกย่องว่าเก่งที่สุด ฉลาดที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยมีมา ท่านชื่อปาณินิ (Pāṇini)
ภาษาสันสกฤตแบบแผนนี้เป็นภาษาของวรรณกรรมที่สําคัญ ๆ ของอินเดีย เช่น มหากาพย์รามายณะ
มหากาพย์มหาภารตะ และวรรณกรรมในยุคหลัง ๆ เช่น ศกุนตลา เมฆทตู เป็นต้น2

2 ผู้สนใจประวัติวรรณคดีสันสกฤตอย่างละเอียด สามารถศึกษาได้จากหนังสือ ประวัติวรรณคดีสันสกฤต
ของ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.จําลอง สารพดั นึก. กรุงเทพฯ : คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2530.

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

77

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

1.6 การใชอ้ ักษรเทวนาครีและอักษรโรมันแบบคู่ขนาน (Dual Track)
ในสมัยที่จักรวรรดิอังกฤษปกครองประเทศอินเดีย ชาวอังกฤษนิยมศึกษาวัฒนธรรม

อินเดียเพื่อให้รู้ซ้ึง เข้าใจและเข้าถึงจิตใจของชาวอินเดีย สื่อที่จะนําให้เข้าใจชาวอินเดียอย่างลึกซ้ึงก็
คือ ภาษาสันสกฤต แต่ชาวอังกฤษนิยมถ่ายถอดภาษาสันสกฤตที่เขียนไว้ด้วยอักษรเทวนาครีเป็น
อักษรโรมันที่ใช้กันอยู่ทั่วทวีปยุโรป นักวิชาการชาวอินเดียบางกลุ่ม เห็นว่าการศึกษาภาษาสันสกฤต
ด้วยอักษรโรมันจะทําให้เสียงภาษาสันสกฤตเพี้ยนไป จึงได้กล่าวเปรียบเปรยเป็นภาษาสันสกฤต
ถึงการที่ชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวอังกฤษได้ศึกษาวรรณกรรมภาษาสันสกฤตโดยใช้อักษรโรมัน
(Romanized Scripts) ไม่ใช้อกั ษรเทวนาครี ไว้อย่างเจ็บแสบว่า

na hi pūtaṃ syād go-kṣīraṃ śva-dṛtau dhṛtaṃ
Let not cow’s milk be polluted by being put into a dog’s skin.3

คําแปล “อย่าให้น้าํ นมโคปนเปอ้ื น (เน่าเสีย) เพราะถูกเกบ็ ไว้ในหนงั สนุ ัขเลย”

แต่ท่านเซอร์โมเนีย วิลเลีย่ ม นกั ปราชญ์ด้านสนั สกฤต ชาวอังกฤษก็ไม่ใส่ใจและพยายาม
ช้ีให้เหน็ ว่า อกั ษรเทวนาครี ทีน่ กั ปราชญ์ชาวอินเดียถือว่าเปน็ อกั ษรสวรรค์ (Divine Scripts) น้นั ทีแ่ ท้
ก็มีที่มาหรือพัฒนาการมาจากอักษรโบราณ คือ อักษรพราหมี ที่ใช้ในจารึกของพระเจ้าอโศก
มหาราช ไม่ใช้เทพ เทวดาองค์ใดสร้างไว้เลย ดังน้นั ชาวตะวนั ตกกม็ ีสิทธิ์ทีจ่ ะศึกษาภาษาสันสกฤตโดย
ใช้อักษรโรมนั

เราคนไทยในฐานะนักศึกษารายวิชาภาษาสนั สกฤต จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
ที่ปนมากับวิชาการเช่นนี้ เพียงแต่เราจะมาทําความเข้าใจเรื่องความจําเป็นในการใช้อักษรเทวนาครี
และอักษรโรมนั ในการศึกษาภาษาสนั สกฤตเท่าน้นั

ดังได้กล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่า ปรมาจารย์ด้านสันสกฤตศึกษาส่วนใหญ่มีความเห็น
ตรงกนั ว่า การใช้อกั ษรเทวนาครีในการเรียนการสอนภาษาสันสกฤตน้ัน ไม่ควรเน้นมากในตอนต้น ๆ
เพราะจะทําให้นักศึกษาห่วงหน้าพะวงหลังกับตัวหนังสือเทวนาครี ควรใช้อักษรโรมันให้มาก ๆ
โดยเฉพาะในการอธิบายกฎสนธิ หากใช้อักษรโรมันจะทําให้เข้าใจได้ง่ายกว่าอักษรเทวนาครี แต่
อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ท้ิงหรือเน้นหนักไปทางใดทางหนึ่ง เราจะเรียนไปในลักษณะคู่ขนาน คือ ใช้
รูปอักษรท้ังสองชนิดไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ท้ังสองส่วน สามารถเรียนรู้
และเขียนอักษรท้ังสองชนิดได้ ส่วนอักษรไทยน้ันค่อนข้างยุ่งยากในการถ่ายถอด (Transliteration)
ในเอกสารประกอบการสอนเล่มน้ีจึงไม่ใช้มากนัก ท้ังน้ีไม่ใช่เพราะกลัวว่าอักษรไทยจะกลายเป็นหนัง
หมาอย่างทีน่ ักปราชญ์อินเดียกระทบกระเทียบหรอกนะครบั

3 Sir Monier Monier Williams. Sanskrit – English Dictionary. Third edition. (New Delhi:

Munshiram Manoharlal Publishers,1988) p.xxii 8

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

8

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

1.7 วิธีการเขียนอักษรเทวนาครี
อักษรที่ใช้ในการบันทึกภาษาสันสกฤต คือ อักษรเทวนาครี (อ่านว่า เท-วะ-นา-คะ-รี)

หมายถึง อักษรหรือภาษาที่ใช้กันอยู่ในเมืองเทวดาหรือสรวงสวรรค์ มาจากสองคํารวมกัน คือ เทว
แปลว่า เทพ หรือ เทวดา กับคําว่า นาครี เป็นคําคุณศัพท์ที่มาจากคําเดิมว่า นคร หมายถึง เมือง,
พระนคร เมื่อนํามาขยายคําว่า ภาษา ซึ่งเป็นเพศหญิง จึงกลายเป็น นาครี มีที่มาจากความเชื่อของ
ชาวอินเดียที่ว่า อักษรเทวนาครีนี้ไม่ใช่ผลงานของมนุษย์แต่ใช้กันในสรวงสวรรค์ (ข้อสังเกต คน
อินเดียโบราณมักยกสิ่งดี ๆ ที่เป็นผลงานช้ันยอดของมนุษย์ให้เหล่าทวยเทพเสียหมด คล้าย ๆ กับ
มองว่า มนุษย์เดินดินสร้างสิ่งดี ๆ เช่นนี้ไม่ได้ ต้องเป็นผลงานของเทพเท่าน้ัน หรือในมุมกลับกัน หาก
ใครที่มีความรู้ ความสามารถในระดบั อจั ฉริยะก็จะได้รับยกย่องประดจุ เทพ)

อักษรเทวนาครี แบ่งตามเสียงภาษาสันสกฤต เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สระ กับ
พยัญชนะ โดยแบ่งเป็น สระ 14 ตัว (ปัจจุบันใช้จริงเพียง 13 ตัว) พยัญชนะ 33 ตัว (รวมกับเสียง อํ
aṃ และ อะ aḥ เปน็ 35 ตวั )

1.8 สระ (Vowel)
การเขียนสระอักษรเทวนาครี มีวิธีการเขียนอยู่ 2 แบบ คือ แบบแรก เราเรียกว่า

สระลอย (สระเต็มรปู ) และแบบหลงั เราเรียกว่า สระจม (สระลดรปู ) สระลอยใช้เขียนเมื่อคาํ น้นั ๆ มี
สระขึ้นต้น ส่วนสระจมใช้เขียนเมื่อประสมกับตัวพยัญชนะ สระลอยและสระจม มีดังนี้

ไทย/โรมนั สระลอย สระจม ไทย/โรมัน สระลอย สระจม
อa อา ā
A* – อี ī Aa –a
อิ i i– อู ū ¡ –I
อุ u š ฤา ṝ ¤ –§
£ –u © –©
ฤṛ ¨ –* -
ª - -
ฦḷ E – ไอ ai
เอ e Ao –e เอา au Ee –W
โอ o –o AO –O

หมายเหตุ : (*) สระ อ a A ไม่มีรูปสระจม ดังน้ัน เมื่อประสมกับพยัญชนะใดก็ตาม
สระนี้จึงไม่ปรากฏรปู

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

9
9

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

1.9 พยญั ชนะ (Consonant)
การเขียนพยญั ชนะอกั ษรเทวนาครี มีวิธีเขียน 3 แบบ คือ
(1) พยญั ชนะเตม็ รูป ใช้สาํ หรบั ผสมกบั สระ
(2) พยัญชนะลดรปู ใช้สาํ หรบั เป็นตัวสะกด
(3) พยญั ชนะสังยกุ ต์หรือพยัญชนะซ้อน ใช้สาํ หรับคาํ ทีม่ ีพยญั ชนะซ้อนกนั หลายตวั
พยัญชนะส่วนใหญ่เขียนได้ท้งั เตม็ รปู และลดรูป แต่กม็ ีบางตัวทีเ่ ขียนลดรูปไม่ได้

SanskกrาitรเTขียiนpพย2ญั ชนะภาษาสันสกฤต อักษรเทวนาครีน้ัน ถ้าเราเขียนพยัญชนะเต็ม

ตัว น่ันหมายความว่าพยัญชนะตัวน้ันๆ มีสระ อะ (a) ประสมอยู่แล้ว เช่น ก k a = k
แต่ถ้าต้องการเขียนพยัญชนะเต็มตัวโดยไม่ให้มีสระใดประสมอยู่ เราต้องเติม
เครื่องหมายที่เรียกว่า วิราม คือ - ( ที่ใต้พยัญชนะเต็มตัวน้ัน ๆ ทําให้พยัญชนะ
ตัวน้ัน ไม่มีสระผสมอยู่ เช่น k( – k ออกเสียงว่า เกอะ หรือ กึ (แบบไม่เต็มเสียง)

ในภาษาสันสกฤต พยัญชนะมี 33 ตัว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ พยัญชนะวรรค
และพยัญชนะเศษวรรค

พยัญชนะวรรค ได้แก่ พยัญชนะที่มีฐานที่เกิดเสียงอยู่ในพวกเดียวกัน มี 5 วรรค แต่ละ
วรรคมี 5 ตวั รวมท้ังหมด 25 ตวั ดังนี้

วรรค ก เป็น กัณฐยะ (เกิดทีล่ ําคอ)
กฺ k ขฺ kh คฺ g ฆฺ gh งฺ ṅ

พยญั ชนะเตม็ รปู k( %( g( ` ;(
พยญั ชนะลดรูป K : G ~ –

วรรค จ เปน็ ตาลพั ยะ (เกิดที่เพดาน)
จฺ c ฉฺ ch ชฺ j ฌฺ jh ญฺ b

พยัญชนะเต็มรูป c( ^( j( &( Å(
พยัญชนะลดรปู C – J Ö H

วรรค ฏ เปน็ มรู ธันยะ (เกิดที่ป่มุ เหงือก)
ฏฺ ṭ ฐฺ ṭh ฑฺ ḍ ฒฺ ḍh ณฺ ṇ

พยัญชนะเต็มรูป $( #( @( !( ,(
พยัญชนะลดรปู – – – – <

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 10

10

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

วรรค ต เปน็ ทนั ตยะ (เกิดที่ฟัน)
ตฺ t ถฺ th ทฺ d ธฺ dh นฺ n

พยัญชนะเต็มรปู t( q( d( /( n(
พยญั ชนะลดรูป T Q – ? N

วรรค ป เปน็ โอษฐยะ (เกิดทีร่ ิมฝีปาก)

ปฺ p ผฺ ph พฺ b ภฺ bh มฺ m

พยัญชนะเตม็ รปู p( f( b( .( m(
พยญั ชนะลดรปู P F B> M

พยัญชนะเศษวรรค ได้แก่ พยัญชนะที่มีฐานที่เกิดเสียงไม่อยู่ในพวกเดียวกัน มีท้ังหมด 8
ตัว คือ

เศษวรรค

ยฺ y รฺ r ลฺ l วฺ v

พยญั ชนะเต็มรปู y( r( l( v(
พยญั ชนะลดรปู Y – L V

ศฺ ś ษฺ ṣ สฺ s หฺ h
พยัญชนะเต็มรูป x( , è z( s( h(
พยัญชนะลดรปู X , ç Z S –

แต่ละตัวมีฐานเกิดเสียง ดังนี้
ยฺ เปน็ ตาลัพยะ (เกิดทีเ่ พดาน)
รฺ เป็น มูรธนั ยะ (เกิดทีป่ ่มุ เหงือก)
ลฺ เป็น ทนั ตยะ (เกิดทีฟ่ นั )
วฺ เปน็ ทันโตษฐยะ (เกิดที่ฟนั และริมฝีปาก)
ศฺ เป็น ตาลพั ยะ (เกิดทีเ่ พดาน)
ษฺ เปน็ มรู ธนั ยะ (เกิดทีป่ ่มุ เหงือก)
สฺ เปน็ ทันตยะ (เกิดทีฟ่ นั )
หฺ เปน็ กัณฐยะ (เกิดที่คอ)

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 11

11

สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

SanกsาkรเrขiียtนTพยipญั ช3นะภาษาสนั สกฤตอกั ษรเทวนาครีแบบคร่งึ ตัว มีเทคนิควิธีการเขียน

ที่สังเกตได้ คอื หากตัวพยญั ชนะน้นั มีขีดอย่ทู ้าย เช่น % - kha กใ็ ห้ตดั a ที่
ท้ายออกเสีย เป็น : - kh ก็จะกลายพยัญชนะครงึ่ ตวั ทนั ที (เพราะถูกตดั ท้ายน่นั เอง)

แต่สําหรับพยญั ชนะทีเ่ ขียนแล้วต้องมีการโค้งหรือคล้ายวงกลม มกั จะไม่มีการเขียน
ครึ่งตัว เช่น พยญั ชนะวรรค ฏฺ ṭ $(

1.10 พยญั ชนะวรรคท้ัง 33 ตัว นอกจากแบ่งเปน็ พยญั ชนะวรรคและเศษวรรคตามฐานทีเ่ กิด
เสียงแล้ว ยงั แบ่งตามลกั ษณะการออกเสียงได้อีก ดงั นี้

1) พยัญชนะอโฆษะ (voiceless) คือพยัญชนะที่มีเสียงไม่ก้อง ได้แก่ พยัญชนะตัว
ที่ 1, 2 ของวรรคท้ัง 5 และพยัญชนะอวรรคที่เป็นอูษมัน (sibilant) ได้แก่ ศฺ
ษฺ สฺ

2) พยัญชนะโฆษะ (voiced) คือพยัญชนะที่มีเสียงก้อง ได้แก่ พยัญชนะตัวที่ 3,
4, 5 ของวรรคท้ัง 5 และพยัญชนะอวรรคที่เป็นอรรธสระ 4 ตัว ได้แก่ ยฺ รฺ
ลฺ วฺ รวมท้ัง หฺ ด้วย

3) พยัญชนะอนุนาสิก (nesal) คือพยัญชนะที่มีเสียงข้ึนจมูก ได้แก่ พยัญชนะที่สุด
วรรคของวรรคท้ัง 5

4) พยัญชนะอรรธสระ (semivowel) คือพยัญชนะที่มีเสียงกึ่งสระ โดยมีสระเป็น
เสียงเนื่องคู่กันไป คือ ยฺ กับ สระ อิ, รฺ กับ สระ ฤ, ลฺ กับ สระ ฦ และ วฺ กับ
สระ อุ

5) พยัญชนะอูษมัน (sibilant) คือพยัญชนะที่มีเสียงเสียดแทรกเหมือนเสียงไอน้ํา
ออกมาตามฟัน ได้แก่ พยญั ชนะอวรรค คือ ศฺ ษฺ สฺ

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 12

12

สันสกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

SansSkarnitskTripit 4Tip 4

เมื่อตเม้องื่อกาตร้อทงรกาาบรพทยรัญาบชพนยะัทญี่เชปน็นะอทโี่ฆเปษ็นะอแโฆลษะโะฆแษละะเโพฆื่อษปะรเะพโื่อยปชนระ์ในโยกชานร์ใทนํากสานรธทิ ําสนธิ
วกสอิธโ่วฆีงนข่าษ,ยะจโวกสอๆฆิธโ่วสษฆคฉีงนข่ว่าื,อะษ,นยฏะจโ=จทๆฆําีเ่ สฐษหคฉเ-ฉ,่วลื,อะ1นพตือ3ฏ=จทาทําะี่เถน้งัฐหเ-หฉ่นั,“ลแ1อมพตเลือ3อโดาะทฆงเะถน้งัปปษหน่ั“็นแะอมเลโ”ผอโฆดะฆง1เษ3ปปษระ็นะว(โ”มผตรฆัวว11ษ3ม0คระสวือตร(มตรวัะพัววท1รยม0ค้ังวัญสหมือตรมชกัวะพนดับทรยะดอ้ังวตัญ้วีกหม้นยมชก3)นด2บั ดตะดอังตัว้วีกนต้นยค้ันัว3)ือแ2ดจตรศังึงวักนไตขดค้ันัวษอ้สือแงจูตรสศึงร5กไขดอเษอป้สโวงฆน็ูตรสรร5ษ1ค3ะอเปไโวต=ดฆ็นรัว้แร1ษ1=ก3ค3ะ่ ได้แก่
ตวั =
= 13

1.11 ก1.า1ร1ปรพเกนะยาื่อสรญั งมปจชอรพเานนกัะกยะื่อสษพอัญงมรอยจชอกัญ(านพกัเกะสชยษพอียนัญรอยงะไกัญท(ชดพเุกนส้จชยตะีะยนญั กัวตงะอไ้อับทชดองุกสน้จนกตระะาํเะกัวตสส)อ้อบัียรองงสะนกเมรอาํเาะสงสป)ไียรรมงะะ่ไเมสดอาม้งปไรม(ตะM่ไัวสดอuม้ ยte่า(ต)งMัวเชอu่นดยteั่งา)นงเ้ันช่นดังถน้า้ันต้องถก้าาตร้อใหงก้ ารให้

อกัคคคคคคคคษฺฺฺฺฺฺฺฺ ร++++++++ไอทักคคคคคคคคอฤอฤออออยษฺฺฺฺฺฺฺฺีิาุูาร++++++++ไทฤฤออออออยิีาูุา======== คคคคคคคค========ีิฺูฤฺุฤา า ค อักษรโอรกั มษนั รโรมนั ga อกั ษรเอทกั วษนราเคทรวี นาครี
ค=ฺฦ +g( A + =
ไเเโ====คคคคา g + ag =+ aga= g( =A g
คาg + āg =+ āgā= gā g ga
+ = ig
คิ g + i g += i gi= gi g( +g( =Aa g¢
Aa ga gu
+g( š + = gU
คี g + ī g += ī gī= gī g( +g( ¡ + =š g*
ig
= g¤
คุ g + ug =+ ugu= gu g( =¡ g¦

+g( £ + = ge
คู g + ūg =+ ūgū= gū g( +g( ¤ + =£ gW
gu go
= gO
คฺฤg + ṛ g += ṛ gṛ= gṛ g( =¤
gU
+g( ¨ + =
คฤฺ gา + ṝ g += ṝ gṝ= gṝ g( =¨
g*
g( +g( ©+ =© g¤ =
คฺ + คฦฺ + ฦ = คฦฺ g + ḷ g += ḷ gḷ= gḷ + =ª g¦ =
คคคคโเเไออออฺฺฺฺ า++++ เโเไออออา==== เคg + eg +=ege= ge g( +g(
ª

คฺ + ไคg + aig +=aiga=i gai g( +g( E + =E =
คฺ +
คฺ + ge
คฺ + +g( Ee + =
โคg + og =+ ogo= go g( =Ee
gW
+ =Aogo=
เคาg + aug =+ agua=u gau g( +g(
Ao
+ =AOgO=
g( +g(
AO

หมายเหหมตาุ ยพเหยญัตุ ชพนยะอญั ื่นชนๆะเอมื่นือ่ ปๆรเะมสื่อมปกรบั ะสสรมะกกับเ็ ทสียระบกไดเ็ ท้กียบั บตไวัดอ้กยบั ่าตงวัขอ้างยต่า้นงขน้าี้ งต้นนี้

สนั สกฤสตนั พส้ืนกฐฤาตนพ(ื้นInฐtาroนd(uIcnttiroondutoctSioannstkorSita)nskrit) 13 13

13

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

1.12 พยัญชนะสงั ยุกตห์ รือพยญั ชนะซอ้ น ได้แก่ พยัญชนะทีเ่ ขียนซ้อนกนั ต้งั แต่ 2 ตวั ขึ้นไป
ซึง่ มีวิธีเขียนหลายอย่าง ดงั นี้

1) ซ้อนข้างบนกับข้างล่าง เช่น กกฺ kka = ´ ทธฺ ddha = †

2) เขียนคู่กนั เช่น ศฺว śva = çv มปฺ mpa = Mp

3) ใช้อกั ษรพิเศษ เช่น กฺษ kṣa = = ชญฺ jña = D

สฺตรฺ stra = S] กฺต kta = μ

พยญั ชนะสังยุกต์ที่ใช้บอ่ ย ๆ
ในอดีตเมื่อยงั ไม่มีพิมพ์ดีดหรือแบบอักษรใช้อย่างปจั จบุ นั นกั ปราชญ์สมัยโบราณไดใ้ ช้

อักษร เทวนาครีบันทึกตาํ ราต่างๆ ดว้ ยลายมือ ดงั น้นั จึงไม่มีแบบแผนการเขียนทีแ่ นน่ อน
เพราะแต่ละคนกเ็ ขียนไปตามความถนดั ของตนเอง โดยเฉพาะพยัญชนะสังยกุ ต์ทมี่ ีการซ้อนกัน
มากมาย จึงมีรปู แบบการเขียนพยญั ชนะสังยุกต์มากมายตามไปด้วย เมื่อมีการคิดค้นพิมพ์ดีด
และแบบอักษรขึ้น ด้วยข้อจํากัดทางด้านแป้นพิมพ์จึงไม่สามารถจดั ทําแบบพยญั ชนะสงั ยกุ ต์ได้
ท้งั หมด

แต่อย่างไรกต็ ามกพ็ อสรปุ ลกั ษณะของพยัญชนะสังยกุ ต์พอเปน็ ตัวอย่างได้ ดงั นี้ (ไม่
จําเปน็ ต้องจําท้งั หมด เมื่อพบพยญั ชนะสังยุกต์ที่อ่านไม่ออกแล้วค่อยมาเปดิ เพื่อเปรียบเทียบดู
ให้ร้วู ่าเปน็ พยญั ชนะตวั ใด)

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 14

14

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 15

15

สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 16

16

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

1.13 อักษรพิเศษ

ร r เปน็ อักษรที่มีการเขียนเปน็ พิเศษ เมือ่ เขียนผสมกับสระและควบกลาํ้ พยญั ชนะ

ตวั อื่น ๆ จะมีรปู เขียน 3 ชนิด คือ
1.13 อๆกัรจษะรม1พีรr)ูปิเศเขrษเเ(ปียชน่นน็ =อัก3ษรชฺรนทrิดrีม่amีกคาธรือรเรขมีย=นดเาปร็นาพใมชิเศ้ในษกrเรมāณื่อmเีทขaียี่ รนฺ ผสrมพผกรับสะสมรรกาะบัมแสลระะคทววั่บไกปลํา้ พยญั ชนะ
ตัวอื่น 1) r( = รฺ r ธrร=รมitดา ใ=ช้ในรกกรษฺ ณตีทิ ี่ รrฺakrṣaผtสiมกับเสขราะปทกวั่ ปไปกั รกั ษา

2เช)่น [- =ramรฺ r =ควรบามกลา้ํ rāใmช้ใaนกรณพีทรี่ ระฺราrมออกเสียงควบกลํา้ กับพยัญชนะท่ัวไป

โดย rม=ีพitยัญชน=ะอรยก่ขู ษฺ ้าตงิหนra้าkตṣิดaกtiบั รเขแาลปะกมปีสกั รกัะตษามหลังมาติดกบั ร

2) [- =เช่นรฺ r คgว[aบmกลา้ํ =ใช้ใคนรฺ การมณีทgี่ รrฺāmr aออกเหสียมง่บู ค้าวนบกลํา้ กับพยญั ชนะท่ัวไป

โดย มีพยญั ชนะSอ]ยI่ขู ้างหน=้าตสิดกตฺ บัรฺ ี ร sแtลrะīมีสระตาผมหู้ ลญงั ิงมาติดกบั ร

3เช)่น R- g=[am รฺ =r คเรฺ ราผมะ grใāชm้ในaกรณหีทมี่่บู ร้าฺ น r มีสระอย่ขู ้างหน้าติดกบั ร และมี

พยญั Sช]นIะตามห=ลงัสมตฺ ารฺ ตี ิดกsบั trīร ในการผเ้หู ขญียนิงอักษรเทวนาครี รฺ เรผะ จะเขียนไว้บน

3) R- ต=ัวอกัรฺษรเrต็มรเรูปผทะีอ่ อกใเชส้ใียนงกตรณามีทหี่ ลรฺงั มrนั เสมมีสอระอย่ขู ้างหน้าติดกับ ร และมี

พยญั เชชน่นะตามหtลงัkมRาติดก=บั รตรในกฺ การtเaขrียkนaอักษรเทตวนรราคกระี, ครฺวเารผมะสงจสะยัเข,ียวนิธไีหว้บาเนหตุผล
ตัวอักษรเตม็ รูป/ที่อmอR กเสียง=ตาธมรหฺมลังมนัdเhสaมrอma ธรรมะ, หน้าที่, ธรรมชาติ
เช่น tkR = ตร=กฺ สtรaวฺ rkasarvaตรรกะ,ทคกุ วอายม่าสงง,สทัย้,งั หวิธมีหดาเหตผุ ล

svR
/mR = ธรมฺ dharma ธรรมะ, หน้าที่, ธรรมชาติ

svR = สรฺว sarva ทกุ อย่าง, ท้งั หมด

SanหsาkกrเรiาtอTยาiกpร้วู 5่าควรจะเขียน รฺ แบบใดใน 3 แบบน้นั มีวิธีสังเกตง่าย ๆ ดงั นี้
3S12...anสสpพห231t.รรra..ยsาaะะkrัญกjapสพสd+art+เชรรรrhaยiนรa=าะะtarัญร=ะฺอja+ฺr+aTย+ชt++mpสานaรi=ร[rjรกรaพp=ะฺ aฺะ+ฺร+aยt++้วู 5(ัญp=สห่สาaร[rjรคนพรชaฺะ/ะวน้า+aยระm(ญั(รจหสหฺRะ(มนนรชปดหเะีสน้า้วาขรนงะียระ้า(รรดชะหนฺฺ ตาา(มมนรธปดหรชวิดีพฺรีส้าวรฺนนกมแรยงะร้ารบับีสมดชัญะฺ รบตาะามรรชะช,วใิดฺีพฺนตดหนหกมะยิดใล==นนบัีสตัญกัง้าิดรับกรทชะ3กม็ฺรนตรี่บัหรีสะิดแฺล==รธรต=คหบกะงัฺริดวลบตหบักรบกงันิดล็มมรกกรบั้นั)รังดีสร็มลกฺ ารมธร้ีพาํคห็ม=ะเฺรีวรวยีสลต(หิธรร(ผบaญัรงัิดลpมีสะะกกธ)ชัง+งัดตร+็มลเกนากิดร(้ีพําrะ็ม=aมrต)ตย+ีส(ดง+ร+(ิด=aญัร่าาpaa)ยะธrช)+)ตร=ร+เๆนช+ิดรคr่นะรมดr)mวต+งัด+บเิดน=)รากaa)้ีผล))ะร=เ้าํชค่นรเเวชชบเ่่นนรกผละ้าํ
เช่น
เช่น

dharma = /mR ธรรมะ, หน้าที่ = ร เรผะ (a + r +m)

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 17
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 17

17

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

รูปอกั ษรพิเศษ ที่เกิดจากพยัญชนะประสมสระ
รฺ r เปน็ อักษรที่มีการเขียนเป็นพิเศษ เมื่อเขียนผสมกบั สระ อุ อู u, ū จะได้รปู
ดงั นี้

1. ä = รฺ r + u เช่น caä จารุ = งดงาม
2. å = รฺ r + ū เช่น åpm( รปู มฺ = รปู

หฺ h เปน็ อกั ษรที่มีการเขียนเปน็ พิเศษ เมือ่ เขียนผสมกับสระ ฤ r จะได้รูปเปน็
ò = หฺ h + ṛ = hṛ เช่น คําว่า òdy hṛdaya = หัวใจ

****** จบ บทที่ 1 ******

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 18

18

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

แบบฝึกหดั บทที่ 1

การฝึกเขียนอกั ษรเทวนาครีและอักษรโรมัน

คําสงั่
1. จงหดั ฝกึ เขียนอักษรเทวนาครี ตามแบบทใี่ ห้ไว้นี้อย่างน้อย 5 จบ
สระลอย

a

ā

i

ī
u
ū

ṛ 19
e
ai

o
au

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

19

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

พยญั ชนะเตม็ ตวั 20

k
kh
g
gh

c
ch
j
jh
ñ

ṭh


สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

20

สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

พยัญชนะเตม็ ตวั (ตอ่ ) 21

ḍh

t
th
d
dh
n
p
ph

b
bh
m

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

21

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

พยญั ชนะเตม็ ตวั (ตอ่ ) 22

y
r
l
v
ś

s
h
kṣ

อักษรพิเศษ

ru # # #
rū : : :
hṛ â â â

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

22

สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

2. จงปริวรรต (เปลี่ยน) อักษรเทวนาครีต่อไปนี้เปน็ อักษรโรมัน

3. จงปริวรรต (เปลีย่ น) อักษรไทยต่อไปนี้เปน็ อักษรโรมนั และเทวนาครี (คําละ 5 จบ)

ท ทา
ทิ ที
ทุ ทู
ทฺฤ ทฺฤา
ทฦฺ เท
ไท โท
เทา ทํ
ทะ พฺรหมฺ

วิษณฺ ุ ศิว

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 23

23

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

4. จงปริวรรต (เปลี่ยน) อกั ษรโรมันต่อไปนี้เปน็ อกั ษรเทวนาครี

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 24

24

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 2

คาํ นามในภาษาสันสกฤต

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 25

25

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

ขอบข่ายการศึกษา

1. ความร้เู บื้องต้นเกยี่ วกบั โครงสร้างของภาษา 4 ด้าน คือ อักขรวิธี วจีวิภาค
วากยสมั พนั ธ์ ฉนั ทลกั ษณ์

2. คาํ นามในภาษาสนั สกฤต 4 ประเภท คอื นามนฺ อาขยาต อปุ สรคฺ นิปาต
3. ส่วนประกอบของคํานาม 2 อย่าง คือ การนั ต์, ลิงค์ หรือเพศ และพจน์ในภาษา

สนั สกฤต
4. เรียนรู้คาํ ศัพท์เบื้องต้นจากภาพ และทบทวนการถ่ายถอดอักษร

วัตถุประสงค์

1. เข้าใจโครงสร้างของภาษา
2. เข้าใจคาํ ศพั ทย์ในภาษาสนั สกฤตท้งั 4 ประเภท คือ นามนฺ อาขยาต อปุ สรฺค นิปาต
3. ผ้ศู ึกษามีความรู้ความเข้าใจส่วนประกอบของคํานามในภาษาสนั สกฤต
4. ผ้ศู ึกษาสามารถอ่านหนงั สือ หรือคัมภรี ท์ ี่เขียนด้วยอกั ษรเทวนาครีและอักษรโรมนั ได้

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 26

26

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 2

คาํ นามในภาษาสนั สกฤต

2.1 ในหนงั สือไวยากรณ์เล่มนี้ เราจะศึกษาภาษาสนั สกฤตตามแนวโครงสร้างของภาษาท่ัวไป
4 ด้าน คือ

1) อักขรวิธี เราจะฝึกฝนการเขียนอักษรเทวนาครีควบคู่ไปกับอักษรโรมัน เพื่อใช้
อ่านตาํ ราภาษาสนั สกฤตที่เกือบท้งั หมดพิมพ์ด้วยอักษรเทวนาครี

2) วจีวิภาค เราจะศึกษาส่วนประกอบต่าง ๆ ของภาษาสันสกฤต เช่น คํานาม
คาํ กริยา ประกอบด้วยส่วนใดบ้าง เป็นต้น

3) วากยสัมพันธ์ เราจะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคําในแต่ละประโยค รวมไป
ถึงสํานวนต่าง ๆ ในภาษาสนั สกฤต

4) ฉนั ทลักษณ์ เราจะศึกษาวิธีการประพันธ์กาพย์ กลอนภาษาสนั สกฤตเบื้องต้น
โครงสร้างท่ัวไปน้ี ช่วยใหเ้ รากําหนด จดจําเปน็ เค้ารา่ งเพื่อการศึกษาภาษาสนั สกฤตให้
ง่ายขึ้น

2.2 ตามตํารา นริ กุ ติศาสตร์ ของ ยาสกะ (อ่านว่า ยาส–กะ) ซึง่ ตาํ รานี้จัดเป็นหนงึ่ ในหกของ
คาํ อธิบายพระเวทหรือทีเ่ รียกว่า เวทางคะ คาํ ศัพทใ์ นภาษาสนั สกฤต สามารถแบ่งได้เป็น ๔
ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1) นามนฺ (nāman) หรือ กลุ่มคํานาม ประกอบด้วย คํานามทั่วไป คําสรรพนาม

และคําขยาย (ในภาษาไทยเรียกว่า คาํ วิเศษณ์)
2) อาขยาต (ākhyāta) หรือ กลุ่มคํากริยาหลักในประโยค ซึ่งส่วนใหญ่มาจากราก

ศพั ท์ หรือ ธาตุ (dhātu) ทีม่ ีอย่มู ากกว่า ๒,๒๐๐ ตวั
3) อุปสรฺค (upasarga) หรือ อุปสรรค เป็นคําที่เพิ่มเข้าไปข้างหน้านาม หรือกริยา

เพื่อให้ได้ความหมายใหม่ เช่น คําว่า อธิราช แปลว่า พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ คํา
อุปสรรค คือ อธิ ถูกเพิ่มเข้ามาหน้าคําว่า ราช ให้มีความหมายใหม่
ภาษาอังกฤษใช้คาํ ว่า Prefix หมายแทน upasarga
4) นิปาต (nipāta) คือ ศัพท์พิเศษทไี่ ม่ต้องมีการผนั (ตามปกติคาํ ศัพท์ในภาษา

สนั สกฤตไม่ว่า นามหรือกริยา หากจะนาํ ไปใช้ในประโยคได้ต้องผ่านการผัน
เสียก่อน) เช่น คําว่า จ (ca) แปลว่า และ ไม่ต้องมีการผันใด ๆ ทง้ั สิน้ นาํ ไปใช้ใน
ประโยคได้เลย ภาษาอังกฤษใช้คาํ ว่า Indeclinables หมายแทน nipāta
(บางคร้งั รวมไปถึง upasarga ด้วย)

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 27

27

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

เพือ่ ให้ง่ายในการศึกษาภาษาสนั สกฤต เอกสารเล่มนี้จะมีสตู ร จํานวนหนึง่ ในบทต้นๆ
มาฝากให้ช่วยจํา ถือวา่ เป็นความพยายามเดินตามท่านปรมาจารย์ ปาณินิ ผ้แู ต่งสูตร
“อัษฏาธยายี” ไว้เพือ่ ง่ายต่อการเรียนภาษาสันสกฤตแบบแผน

สูตรที่ 1 = คาํ นามภาษาสันสกฤต มี 3 พจน์ 3 เพศ สังเกตได้ทที่ ้ายคํา

2.3 คํานาม คือ คาํ ทีเ่ ปน็ ชื่อของคน สตั ว์ สิง่ ของและสถานท่ี ก่อนการผนั คาํ นาม มี
ส่วนประกอบที่สาํ คัญ 2 อย่าง คือ

1) การนั ต์ คือ สระหรือ พยัญชนะที่อย่ทู ้ายของคาํ นามคาํ น้นั ๆ เช่น
ram rāma พระราม สระท้ายคือ อะ a จึงจดั เป็น อะ a การนั ต์
guä guru ครู สระท้ายคือ อุ u จึงจดั เป็น อุ u การนั ต์
vac( vāc คาํ พดู , วาจา สระท้ายคือ จฺ c จึงจดั เป็น จฺ c พยญั ชนะ
การนั ต์

2) ลิงค์ หรือ เพศ คํานามทุกคําต้องมีเพศประจําตัว บางคําก็มีสองเพศ เพื่อ
สะดวกในการนําไปผัน โดยภาษาสนั สกฤตมีลิงค์ หรือ เพศ อยู่ 3 ชนิด คือ
2.1) ปงุ ลิงค์ หรือ ปลุ ลิงค4์ คือ เพศชาย เช่น
ram พระราม จดั เปน็ ปงุ ลงิ ค์ เพศชาย ต้องนําไปผันในหมวดเพศชาย
2.2) สตรีลิงค์ คือ เพศหญิง เช่น
sIta นางสีดา จัดเปน็ สตรีลิงค์ เพศหญิง ต้องนําไปผันในหมวดเพศหญิง
2.3) นปุงสกลิงค์ คือ ไม่มีเพศ เช่น
fl ผลไม้ จดั เป็นนปงุ สกลงิ ค์ ไม่มีเพศ ต้องนําไปผันในหมวดไม่มีเพศ

ข้อสังเกต คํานามใดเป็นลิงค์ใด นักไวยากรณ์กําหนดไว้ให้แล้ว เราจําง่าย ๆ คือ ถ้าเป็น
เพศชายมักเป็นปุงลิงค์ ถ้าเป็นเพศหญิงมักเป็นสตรีลิงค์ ถ้าเป็นสิ่งของมักเป็นนปุงสกลิงค์ เป็นต้น
แต่ก็มบี ้างที่สิ่งของอาจถูกกําหนดให้มีเพศผิดธรรมชาติ เช่น ตารา tārā ดวงดาว ถูกจัดให้เป็น
สตรีลิงค์ แต่ ทาร dāra เมีย หรือ ภรรยา กลับถกู จดั ให้เปน็ ปลุ ลิงค์ เปน็ ต้น

4 ในเอกสารนี้จะใช้ ปุงลิงค์ ซึง่ เป็นที่ร้จู ักกนั ดีแล้วในหมนู่ กั ศึกษาไทย แทน ปุลลิงค์ 28
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

28

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

3) พจน์ ในภาษาสนั สกฤตมีอยู่ 3 พจน์ คือ
3.1) เอกพจน์ หมายถึง ของสิ่งเดียว 2. ทวิพจน์ หมายถึง ของสองสิง่
3. พหุพจน์ หมายถึง ของต้งั แต่ 3 สิ่งขึ้นไป

คํานามภาษาสันสกฤตทุกคํา หากจะใช้ในประโยคและให้มีความหมายได้ต้องนําไปผัน
ก่อน คํานามแต่ละศพั ท์เมือ่ ผนั แล้ว ท้ายคําจะเป็นตัวบ่งบอกว่า คาํ น้นั เปน็ พจน์อะไร

dev deva เทวดา เปน็ ศพั ท์เดิมที่ยงั ไม่ได้ผัน เปน็ ปุงลิงค์ อ a การันต์

dev" devaḥ เทวดา(หนึง่ องค์) เป็นเอกพจน์ ท้ายคําเป็น aḥ

devaW devau เทวดาท้งั สอง เปน็ ทวิพจน์ ท้ายคําเปน็ au

deva" devāḥ เหล่าเทวดา เป็นพหุพจน์ ท้ายคําเปน็ āḥ

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 29

29

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)


Click to View FlipBook Version