The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สันสกฤตพื้นฐาน 64 ebook

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mcu pali, 2021-04-27 23:11:25

สันสกฤตพื้นฐาน 64 ebook

สันสกฤตพื้นฐาน 64 ebook

Keywords: สันสกฤตพื้นฐาน 64 ebook

กริยาศพั ท์ ไทย ตวั อยา่ ง ความหมายธาตุ (+อุปสรรค)
โรมนั กฺฤตฺ -อว ตดั ออก, ตัดลง
กฺรมฺ -อติ avakṛntati ก้าวล่วง, ละเมิด
kṛt -ava วิศฺ –ปรฺ atikrāmati, te เข้า, เข้าไปสู่
kram -ati praviśati นั่งลง
viś -pra -อปุ upaviśati นํามา, เอามา
หฤฺ -อา เกิดข้ึน (เกิดข้ึนจาก)
-upa ชนฺ –อุทฺ āharati เกิดขึ้น
ujjāyate รจนา, แต่ง, ประพนั ธ์
hṛ -ā -ปรฺ prajāyate
jan -ud รจฺ คบ, ติดตาม, รบั ใช้, ส้องเสพ
racayati ปกครอง, ยืนอย่บู น, ขน้ึ ขี่
-pra เสวฺ -นิ niśevate กระทาํ ซ้าํ , ท่อง, เรียน
สถฺ า -อธิ upanayati เท, ราด, ซัดเข้าไป, รดเข้าไป
rac อสฺ –อภิ abhyasyati แสวงหา, พบ, ได้, มี
sev -ni prāsyati อาศัย, ขอพึง่ , ยึดเปน็ ทีพ่ งึ่
sthā -adhi -ปรฺ
as -abhi วิทฺ vindate
ศฺรี -อา āśrayate
-pra

vid
śrī -ā

นิบาตและอัพยยศพั ท์

na น ไม่
อย่า (ใช้กบั กริยาปัญจมี หรือ Aorist)
mā มา เพียงดงั
พร้อมด้วย (ใช้ข้างหลังนามนาม c.3)
iva อิว ทันที, โดยพลนั
หรือ
saha สห ยงั่ ยืน, นาน
ยาว, ไกล
sahasā สหสา ส้นั ใกล้
ถ้า
vā วา ถ้า

ciram จิรมฺ

dīrgham ทีรฺฆมฺ

hrasvam หรฺ สฺวมฺ

cet เจตฺ

yadi ยทิ

***** จบ บทที่ 11 ***** 130

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

130

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

แบบฝึกหดั ที่ 11

1. จงผันคาํ นาม बिु  (buddhi) – ความรู้ ซึ่งเปน็ คาํ นาม อิ การนั ต์ สตรีลิงค์ ให้ครบทุก
วิภกั ติและพจน์ พร้อมท้งั เทียบอกั ษรโรมนั ด้วย (ดตู วั อย่างการแจกในบทที่ 10)

2. จงผนั คาํ นาม जु (juhū) – ทัพพี ซึง่ เปน็ คํานาม อู การนั ต์ สตรีลิงค์ ให้ครบทกุ
วิภักติและพจน์ พร้อมท้งั เทียบอักษรโรมนั ด้วย (ดตู วั อย่างการแจกในบทที่ 10)

3. จงแปลเปน็ ภาษาไทย

1. पीिभनर्र ा नगर आगन।् patnībhir narā nagara āgacchan

2. िशा गरु ोगहृर् ं ूािवशपु ािवशं कटयोः पिृ थाम।्

śiṣyā guror gṛhaṃ prāviśann upāviśaṃśca kaṭayoḥ pṛthivyām

3. पिृ थाः ूभतू ा िवहगा उदपतन।् pṛthivyāḥ prabhūtā vihagā udapatan

4. वयोबलर् ेन तरवः क।े vayor balena taravaḥ kampante

5. यिद शामयं तदा गरु वु ये ःु ।

yadi śāstram abhyasyayaṃ tadā guravastuṣyeyuḥ

6. िवोः सू े ऋषी लभते ।े viṣṇoḥ sūkte ṛṣī labhete

7. हे वधु वाा जलमानय। he vadhu vāpyā jalamānaya

8. जु ाौ घतृ ं ूाािन। juhvāgnau ghṛtaṃ prāsyāni

4. จงปริวรรตภาษาสนั สกฤตในข้อ 1 เป็นอกั ษรไทย

5. จงแปลเปน็ ภาษาสนั สกฤต
1. หญิงท้งั สอง1 ขับแล้ว4 ซึ่งบทสรรเสริญ3 แห่งราม2
2. บุตร1 ต้องรกั 3 ซึ่งพ่อ2
3. ผ้ปู ระพฤติเยีย่ งพรหม (brahmacārin)1 ต้องไม่เบียดเบียน3 ชนท้งั หลาย2
4. คนท้งั หลาย1 จงขดุ 3 ซึ่งบ่อน้ํา2
5. บุตรท้งั หลาย1 จงรับใช้4 ซึง่ บิดา3 ในกาลทุกเมื่อ2
6. ท่านท้งั หลายจงอาศยั 3 ซึง่ เทวะท้งั หลาย2 แห่งสาธุชนท้งั หลาย1
7. ภิกษทุ ้งั หลาย1 จงเที่ยวไป3 ในป่า2
8. (บุคคล) ไม3่ พึงข้าม4 ซึง่ แม่น้ํา2 ด้วยแขนท้งั สอง1
9. คนท้งั หลายพึงให้3 ซึ่งอาหาร2 แก่นกั บวช1

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 131

131

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 12

สนธิสระ และพยญั ชนะ, อุปสรรคและนิบาต

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 132

132

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ขอบข่ายการศึกษา

1. การทาํ สระสนธิในกรณีต่างๆ และข้อยกเว้นไม่ต้องทําสระสนธิ
2. การทาํ พยญั ชนะสนธิ
3. อัพยยศัพท์ อุปสรรค และนิบาต

วตั ถปุ ระสงค์

1. เพือ่ ให้ให้เข้าใจกฎและวิธีการสนธิสระ สนธิพยัญชนะ ในภาษาสันสกฤต
2. เพื่อให้ทราบถึงอัพยยศัพท์ คือ อปุ สรรค และนิบาต พร้อมกบั วิธีการนําไปใช้และคาํ

แปลในเบื้องต้น
3. นกั ศึกษาศึกษาสามารถแต่ง-แปล ข้อความส้ันๆ ตามทกี่ ําหนดได้

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 133

133

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 12

สนธิสระ และพยญั ชนะ, อุปสรรคและนิบาต

12.1 สระสนธิ
ในประโยคหรือวลีภาษาสันสกฤต ศัพท์ต่างๆ ที่ผันแล้ว จะไม่มีการทําสนธิ คือ

เชื่อมต่อกันตามกฎด้านล่าง ใน 3 กรณี ต่อไปนี้
1. หากคําหน้าลงท้ายด้วยสระ คําหลังข้ึนต้นด้วยพยัญชนะ ไม่ต้องทําสนธิ เช่น
devesu‹ manus‹yah‹ ไมม่ ีการทาํ สนธิ
2. สระ 3 ตัว คือ ≠, u,¥ e ที่อยู่ท้ายคํานามที่ผันแล้วเป็น ทวิพจน์ (dual) ไม่ต้อง
ทาํ สนธิ (แต่สระ เอา - au ต้องทาํ ทกุ กรณีไม่มียกเว้น)
3. สระทุกตัว ที่อยู่ท้ายคํานามที่ผันแล้วเป็น วิภักติที่ 8 (สมฺโพธนปฺรถมา) คือ คํา
ทักทาย ไมต่ อ้ งทาํ สนธิ
ส่วนที่เหลือนอกจากข้อยกเว้นนี้ ต้องทาํ สนธิ ทุกกรณี

สระสนธิ (ตาราง 1)

เมือ่ สระ 2 ตัวมาอย่ปู ระชิดกนั จะทําให้เกิด สระสนธิ ข้ึน จะต้องคาํ นึงถึงหลักเกณฑ์
เป็น 3 กรณี คือ

1. กรณีสระแท้ที่เกิดจากแหล่งหรือ วรรณะเดียวกัน (คือ a กับ ā, i กับ ī,
u กบั ū, r‹ กบั r¥‹) สนธิกัน

2. กรณีที่คําหน้าลงท้ายด้วยสระ a, ā สนธิกับ คําหลังที่ขึ้นต้นด้วยสระอื่นๆ
ท้งั หมด

3. กรณีที่คาํ หน้าลงท้ายด้วยสระอืน่ ๆ นอกจาก a, ā สนธิกับ คําหลังที่ข้ึนต้นด้วย
สระท้งั หมด

กรณีที่ ๑ สระแท้ที่เกิดจากแหล่งเดียวกัน (เช่น a กับ ā) สนธิกัน จะได้ผลการสนธิ
ง่าย ๆ คือ จะเป็นสระเสียงยาว ดงั นี้

a, ā + a, ā = ā เช่น asinā ares = asināreh‹
i, ī + i, ī = ī เช่น dhanī iha = dhanīha
u, ū + u, ū = ū เช่น vedes‹u uktam = vedesū‹ ktam
r,‹ ṝ + r,‹ ṝ = ṝ ไม่มีตวั อย่าง

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 134

134

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

กรณีที่ ๒ กรณีที่คําหน้าลงท้ายด้วยสระ a, ā สนธิกับ คําหลังที่ขึ้นต้นด้วยสระ
ท้งั หมดจะได้ผลการสนธิ ดังนี้ (สังเกตสระทีเ่ ป็นผลของการสนธิได้จากเส้นใต้ทีข่ ีด)

a, ā + i, ī =e เช่น sukhena iha = sukheneha
a, ā + u, ū = o เช่น jalena udakam = jalenodakam
a, ā + r,‹ ṝ = ar เช่น mahā rs‹ ‹is = maharsi‹ h‹ หรือ mahars‹ ‹ih‹
a, ā + l‹ = al ไม่มีตัวอย่าง
a, ā + e = ai เช่น kavinā ekena = kavinaikena
a, ā + o = au เช่น jalena om‹kāram = jalenaum‹kāram
a, ā + ai = ai เช่น vedena aitareyena‹ = vedenaitareyen‹a
a, ā + au = au เช่น mahā aujas = mahaujah‹

กรณีที่ ๓ กรณีที่คําหน้าลงท้ายด้วยสระอื่น ๆ นอกจาก a, a¥ สนธิกับ คําหลังที่
ข้ึนต้นด้วยสระท้ังหมด (ในตัวอย่าง เราจะแทน สระทั้งหมด ด้วยอักษร V (vowels) มีกฎ
ดังนี้

i, ī + V = yV เช่น phalāni asinā = phalānyasinā (เขียนติดกนั )
u, ū + V = vV เช่น satyesu‹ rs‹ is = satyes‹vrs‹ ih‹
r,‹ ṝ + V = rV ไม่มีตวั อย่าง
l,‹ + V = lV ไม่มีตัวอย่าง
e+ V =a V เช่น kat‹e r‹sis‹ = kat‹a rs‹ ih‹ (เขียนห่างกัน)
ai + V =ā V เช่น kanyāyai iha = kanyāyā iha
o+ V =a V ไม่มีตัวอย่าง
au + V = āvV เช่น devau āgacchatas = devāvāgacchatah

กรณีพิเศษ คือ เมื่อมีสระ e และ o เปน็ เสียงท้ายของคําหน้า และมีเสยี ง a
ตามหลงั มาทนั ที เสียง a ที่ต้นของคาํ หลงั จะถูกกลืนหายไป แลว้ ถกู แทนทีด่ ้วย

เครือ่ งหมาย ’ (สาํ หรบั อกั ษรโรมนั ) หรือ ऽ อวครฺ หะ (avagraha) สาํ หรบั อกั ษรเทวนาครี
กรณีนีใ้ ช้บ่อยมาก เช่น

e + a = e’ เช่น vrk‹ se‹ adya = vr‹ks‹e’dya 135

= _ v*=e AÛ = v*=e_Û

o + a = o’ ไม่มีตัวอย่าง

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

135

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

สรปุ การสนธิสระภายนอกทง้ั หมดได้ดัง (ตาราง 1) นี้ สระหน้าของ
คาํ หลัง
สระท้ายของคําหน้า

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
8.

9.
10.
11.
12.
13.

AB C D E F G H I J

หมายเหตุ 1. เครื่องหมายในตาราง คือ หมายถึง สระท้งั เสียงส้นั และเสยี งยาว
2. a, ā + r‹ = ar หรือ ar‹ เช่น mahā r‹si = maharsi หรือ mahar‹s‹i

ข้อสังเกต ผลสนธิในตารางเมื่อเขียนในประโยคหรือวลี เช่น ช่อง B11 yai
หมายถึง เขียนติดกนั แต่ชอ่ ง G13 a¥ au หมายถึง เขียนห่างกัน

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 136

136

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

12.2 พยัญชนะสนธิ (ตาราง 2)

ยกเว้น

āḥ/aḥ

k ṭ t p ṅ n m ḥ/r āh aḥ อักษรเรม่ิ ต้น
1 k ṭ t p ṅ n ṃ h āh ah k/kh
o g/gh
2g ḍ d b ṅ n ṃr ā aś c/ch
3 k ṭ c p ṅ ṃś ṃ ś āś o j/jh
4g ḍ j b ṅ ñ ṃr ā aṣ ṭ/ṭh
5 k ṭ ṭ p ṅ ṃṣ ṃ ṣ āṣ o ḍ/ḍh
as t/th
6g ḍ ḍ b ṅ ṇ ṃr ā o d/dh
aḥ p/ph
7 k ṭ t p ṅ ṃs ṃ s ās o b/bh
o nasals(n/m)
8g ḍ d b ṅ n ṃr ā o y/v
or
9 k ṭ t p ṅ n ṃ ḥ āḥ ol
aḥ ś
10 g ḍdb ṅ n ṃr ā
11 ṅ aḥ ṣ/s
12 g ṇ nm ṅ n ṃr ā oh
13 g
14 g ḍdb ṅ n ṃr ā a4 vowels
15 k ṅ n ṃ zero1 ā aḥ zero
ḍdb ṅ l̐ 2 ṃ r ā
ṅ ñ(ś/ch) ṃ ḥ āh
ḍlb

ṭ c(ch) p
16 k ṭ t p ṅ n ṃ ḥ āh
n ṃr ā
17 g(gh) ḍ(ḍh) d(dh) b(bh) ṅ
18 g ḍ d b ṅ/ṅṅ³ n/nn3 m r ā

19 k ṭ t p ṅ n m ḥ āh

คาํ อธิบายหมายเลขในตาราง
1. เมื่อคาํ หลังทีต่ ามมาขึ้นต้นด้วย r คาํ หน้าลงท้ายด้วย h‹ หรือ r จะต้องลบ h‹ หรือ
r ทิ้ง และหากหน้า h‹ หรือ r เปน็ สระเสียงส้ัน (a, i, u) ต้องทําให้เป็นเสียงยาว (a,¥ ≠, u¥) เช่น
harih‹ ra¥mam = har≠ ram¥ am / punar raksa‹ ti = puna¥ raksa‹ ti (เป็นกฎของภาษา
สนั สกฤต คือ จะไม่มีเสียง r ซ้อนกัน)
2. n + l = m‹ l หรือ l̐ l ก็ได้ เช่น devan¥ lokas = deva¥m‹ lokah‹ หรือ
deval̐ lokah‹ กไ็ ด้
3. n หรือ nƒ อยู่ท้ายคํา แต่หน้า n หรือ nƒ เป็นสระเสียงส้ัน (a, i, u) ให้เพิ่ม n หรือ
nƒ มาอีกตัวหนึ่ง ดังตัวอย่าง atis‹t‹han atra = atis‹t‹hannatra

4. ยกเว้น as + a = o’ หรือเครือ่ งหมาย “อวครฺ หะ” ऽ ในอักษรเทวนาครี เช่น

devas atra = devo’tra - devs( A] = devo_]

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 137

137

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

หมายเหตุ ในการทําสนธิและการผัน เอกสารเล่มนี้จะใช้ -ah‹ แทน -as และ -a¥h‹
แทน -a¥s เป็นส่วนมาก รวมถึงศัพท์อื่นๆ ที่ลงท้ายด้วย -h‹ หมายถึง คํา
น้นั ลงท้ายด้วย -s

ตารางสตู รสนธิ s,r as, as¥
เมือ่ สนธิกับกล่มุ พยญั ชนะอโฆษะ (13)

s,r as as¥  พยัญชนะที่อยู่หน้าคําหลงั

1. h‹ ah‹ a¥h‹ k, kh
2. s´ as´ a¥s´ c, ch
3. s‹ as‹ as¥ ‹ t‹, t‹h
4. s as as¥ t, th
5. h‹ ah‹ a¥h‹ p, ph
6. h,‹ s´ ah‹, as´ a¥h‹, a¥s´ s´
7. h‹, s‹ ah‹, as‹ a¥h‹, a¥s´ s‹
8. h‹, s ah‹, as a¥h‹, a¥s´ s
9. h‹ ah‹ a¥h‹ อยู่ทา้ ยประโยค

ข้อสงั เกต
1. ตารางมี 9 แถว เฉพาะแถวที่ 1, 5 และ 9 เท่าน้ัน ที่ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน แต่แถวอื่น ๆ

ต่างกนั
2. วรรค c มักจะได้ผลลัพธ์เป็น s´ วรรค t‹ มักจะได้ผลลัพธ์เป็น s‹ และวรรค t

มกั จะได้ผลลัพธ์เป็น s ตามฐานที่เกิดเสียงของวรรคน้ันๆ

เมือ่ สนธิกบั กลมุ่ พยญั ชนะโฆษะ (-13)

หน้า/หลัง a สระอื่น -V C-r r
r r
s,r o’ r o - (ทีฆะสระหน้า)
a¥ a¥
as a o
a¥s a¥ a¥

12.2 อัพยยศพั ท์

ในภาษาสันสกฤตมีศัพท์จําพวกหนึ่ง ที่เปลี่ยนรูปไม่ได้ ไม่ต้องนํามาผัน หรือแจกกับ

วิภักตินาม เป็นศัพท์ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปด้วยอํานาจของวิภักตินาม มีรูปเพียงอย่างเดียว ใช้

ประกอบกบั นามศัพท์ กริยาอาขยาต กริยากฤต และศัพท์อืน่ ๆ เพื่อให้มีเน้ือความวิเศษขึ้น หรือ
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 138

138

สันสกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ทําให้เนื้อความแตกต่างไปจากเดิม ศัพท์ประเภทน้ีรวมเรียกว่า อัพยยศัพท์ แปลว่าไม่ต้องผัน
ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คือ อปุ สรรค และนิบาต

1) อุปสรรค คือ ศัพท์ที่ใช้ประกอบหน้าคํานามบ้าง คุณศัพท์บ้าง กริยาศัพท์บ้าง
เพือ่ ทาํ เนื้อความของนาม คุณศัพท์ และกริยา ให้แปลกออกไป มีท้ังหมด 20 ตัว

เท่าน้ัน คือ

เทวนาครี โรมัน ไทย คาํ แปล
อติ ยิง่ , เกิน, ล่วง, มาก, พิเศษ
Ait ati อธิ ยิง่ , ใหญ่, ทบั
Ai/ adhi อนุ น้อย, ภายหลงั , ตาม
Anu anu อป ปราศ, หลีก
Ap apa อปิ, ปิ ใกล้, บน
api, pi อภิ ยิ่ง, เฉพาะ, ใกล้, ข้างหน้า
Aip, ip abhi อว, ว ลง
ava, va อา ทวั่ , ยิง่ , กลบั ความ, ข้างหน้า
Ai. ā อุตฺ, อุทฺ ข้ึน, นอก
ut, ud อปุ ใกล้, ข้างหน้า
Av, v upa ทสุ ฺ, ทรุ ฺ ช่วั , ยาก
dus, dur นิ เข้า, ใหญ่, ลง
Aa ni นิส,ฺ นิรฺ ออก, ไม่มี
nis, nir ปรา ออก, กลับความ
£t(, £d( parā ปริ กําหนด, รอบ, เกี่ยวกบั
pari ปฺร ข้างหน้า, ทัว่ , มาก
£p pra ปฺรติ เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ
prati วิ วิเศษ, แจ้ง, ต่าง
dus(, dur( vi สมฺ พร้อม, กบั , เตม็
sam สุ ง่าย, ดี, งาม
in su

ins(, inr(

pra
pir
p[
p[it
iv
sm(
su

ตวั อย่างทีใ่ ช้ประกอบหน้าคํานามให้มีความหมายมากข้ึนอีก เช่น
ra¥jan แปลว่า พระราชา, พระเจ้าแผ่นดิน แต่เพิม่ adhi ข้างหน้าเปน็
adhira¥ja แปลว่า พระราชาผ้ยู ิ่งใหญ่ (ในคาํ ว่า ราชาธิราช)

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

139

139

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ตัวอย่างที่ใช้ประกอบหน้าคํากริยาให้มีความหมายมากขึ้นหรือแปลกออกไปอีก
เช่น

gacchati แปลว่า ไป แต่เพิ่ม ava ข้างหน้าเป็น avagacchati
แปลว่า เข้าใจ
ตวั อย่างที่ใช้ประกอบหน้าคาํ คุณศพั ทย์ให้มีความหมายมากข้ึนหรือแปลกออกไป
อีก เช่น
bahu แปลว่า มาก แต่เพิ่ม ati ข้างหน้าเป็น atibahi แปลว่า มากล้น,
มากเกินไป

2) นิบาต คือ ศัพท์ที่มีความหมายเฉพาะตัว มีจํานวนและความหมายหลากหลาย

ใช้ลงในระหว่างศัพท์เพื่อบอกกาล สันธาน อุปมา สถานที่ และบอกกริยาอาการ

ต่างๆ เช่น คําถาม คําเตือน คําร้องเรียก คําอุทาน เป็นต้น (ดูเพิ่มเติมในบทที่ 3

หน้าที่ 32-33) ตวั อย่างการนําไปใช้ เช่น

kutra แปลว่า ที่ไหน ca แปลว่า และ

นําไปใชใ้ นประโยคว่า

kutra vasasi แปลว่า ท่านอย่ทู ี่ไหน

และประโยคว่า

prc‹ chasi ca avagaccha¥mi ca แปลว่า ท่านถาม และฉนั เขา้ ใจ

ศัพทานกุ รม

นามศัพท์

ศัพท์ โรมนั ไทย การนั ต์ ลิงค์ คําแปล

.™U bhrū ภฺรู ū f. ค้ิว
ëè™U śvaśrū
.iμ bhakti ศวฺ ศรฺ ู ū f. แม่ผัว
.Uit bhūti
.Uim bhūmi ภกฺติ i f. ความภกั ดี
muiμ mukti
yiì yaṣṭi ภูติ i f. ความเจริญ, ความร่งุ เรือง
rai] rātri
ภมู ิ i f. แผ่นดิน

มกุ ตฺ ิ i f. ความหลุดพ้น

ยษฺฏิ i f. ไม้ถือ, ไม้เท้า

ราตรฺ ิ i f. เวลากลางคืน, กลางคืน

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 140

140

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ศพั ท์ โรมัน ไทย การนั ต์ ลิงค์ คําแปล

vsit vasati วสติ i f. ที่อาศัย, ที่พกั

Sm*it smṛti สมฺ ฤฺ ติ i f. คมั ภีร์สมฤติ, ระเบียบประเพณี

s*iì sṛṣṭi สฤฺ ษฏฺ ิ i f. การสร้าง, โลก

veid vedi เวทิ i f. เวที, แท่นบชู า

Stuit stuti สตฺ ตุ ิ i f. บทสดุดี, บทสรรเสริญ
ā f. แมลงวนั , รนิ้
mi=a makṣikā มกษฺ ิกา

AnuDa anujñā อนุชญฺ า ā f. คาํ อนญุ าต, การอนญุ าต

me%la mekhalā เมขลา ā f. สายรัดเอว, เขม็ ขัด

è™I śrī ศรฺ ี ī f. พระนางศรี, โชควาสนา, ความเปน็ มงคล

kaVy kāvya กาวฺย a n. กาพย์, คาํ ประพนั ธ์, งานกวี

kar, kāraṇa การณ a n. เหตุ

pÚ padma ปทมฺ a m/n. ดอกบวั

กริยาศพั ท์ ไทย ตัวอยา่ ง ความหมายธาตุ (+อุปสรรค)
โรมัน กฦฺ ปฺ
ทิศฺ -อปุ kalpate เปน็ ไปเพือ่ (c.4), นาํ ไปสู่
kḷp วิทฺ
diś -upa ทา -อปิ upadiśati สอน, แนะนาํ
vid นศฺ –วิ
dhā -api นหฺ -สมฺ vindati, -te พบ, หามาได้, ได้รบั
naś -vi ปทฺ -นิสฺ
nah -sam ภาษฺ -ปรฺ ติ apidadhāti ปดิ
pad -nis สิธฺ –ปรฺ ติ
bhāṣ -prati หนฺ -ปรฺ ติ vinaśyati พินาศ, ถงึ ซึง่ ความพินาศ
sidh -prati จรฺ
han -prati ทิศฺ -อา samnahati ผูก, รดั , สวม
car ทฺฤศฺ
diś -ā วฺฤตฺ -ปรฺ niśpadyate เกิดข้ึนจาก (c.4)
dṛś Pass.
vṛt -pra pratibhāṣate ตอบ (บุคคลผู้รับใช้ c.2)

pratiṣedhati ห้าม, ยบั ย้งั

pratihanti ทําร้าย, ขัดขวาง, ละเมิด

carati กระทาํ , ประพฤติ (สกรรม)

ādiśati ช้ี, แสดง, สัง่

dṛśyate (กรรม) เหน็ ว่าเปน็ , ปรากฏเปน็

pravartate ดาํ เนินไป, บังเกิดขึ้น, ปรากฏขึ้น

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 141

141

สันสกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

คุณศพั ท์

ศพั ท์ โรมนั ไทย คําแปล
กฺฤษณฺ , -ณา ดํา
k*Z, , -,a kṛṣṇa, -ā ปาป, -ปา ใจบาป, ทารณุ
pap , -pa papa, -ā ปรฺ ภตู , -ตา มาก, มากมาย
p[.Ut , -ta prabhūta, -ā กฺฤตฺสนฺ , -นา ท้งั สิ้น, ท้งั มวล
k*TSn , -na kṛtsna, -ā จารุ งาม, สวยงาม
cāru ธีร, -รา มัน่ คง, กล้า, ฉลาด
caru dhīra, -ā เศฺวต, -ตา ขาว
śveta, -ā นีจ, -จา ตาํ่ , ตํ่าช้า
/Ir , -ra nīca, -ā มขุ ยฺ , -ยา สําคญั , ประธาน,ประมุข
ëet , -ta mukhya, -ā ลฆ,ุ ลฆุ หรือ ลฆวฺ ี เบา
nIc , -ca laghu, -u / -vī อปร, -รา สงู สุด (เทียบ ปร, ปรม),อื่น
mu:y , -ya apara, -ā วกฺร, -รา โค้ง, บิด, งอ
l`u , -`u /-~vI vakra, -ā สุนฺทร, -รี งาม
Apr , -ra sundra, -ī ทริทฺร, -รา ยากจน
vK™ , -K™a daridra, -ā วร, -รา ประเสริญสุด,ดีทีส่ ุด, ดีกว่า
suNd[ , -d[I vara, -ā
dird[ , -d[a
vr , -ra

***** จบ บทที่ 12 *****

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 142

142

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

แบบฝึกหัดที่ 12

1. สนธิ คืออะไร? แบ่งเปน็ ประเภทใหญ่ๆ ได้กปี่ ระเภท? ในภาษาสนั สกฤตการสนธิมีอุปการ

อย่างไรบ้าง?

2. จงสนธิศพั ท์ต่อไปนี้ ให้ถกู ต้องตามหลกั สนธิ พร้อมเทียบอักษรเทวนาครี ดงั ตัวอย่าง

iti + evam = ityevam

munis + dhāyāti = इवे म ्
munir dhyāti

1. gatā + api मिु नधय्र ाित
2. ca + iti
3. ca + eva = ……………………………………………………………………………….
4. mahā + aiśvarya = ……………………………………………………………………………….
5. vane + iha = ……………………………………………………………………………….
6. mahā + ṛṣi = ……………………………………………………………………………….
7. tau + ubhau = ……………………………………………………………………………….
8. bālas + ikṣante = ……………………………………………………………………………….
9. devas + yacchati = ……………………………………………………………………………….
10. nṛpatis + ṭikate = ……………………………………………………………………………….
11. nṛpas + ajayat = ……………………………………………………………………………….
12. tān + jayati = ……………………………………………………………………………….
13. nṛpāt + ca = ……………………………………………………………………………….
14. tāl + lokān = ……………………………………………………………………………….
= ……………………………………………………………………………….
= ……………………………………………………………………………….

3. จงแปลเปน็ ภาษาไทย

1. शाषय्र इह शोभ।े śāntyarṣaya iha śobhante

2. हरभे ायर् ायर् ां चारवः पऽु ाजाय। harer bhāryāyāṃ cāravaḥ putrā ajāyanta

3. बिनषुू णे ऽिरिक्षपपृ ितः। bahūniṣūnraṇe 'riṣvakṣipan nṛpatiḥ

4. पािथव्र ाज्ञां शऽू अबमते ाम।् pārthivasyājñāṃ śatrū atyakrametām

5. जयतु महाराजिरं च कृ ां भवु मिधितत।ु

jayatu mahārājaś ciraṃ ca kṛtsnāṃ bhuvam adhitiṣṭhatu

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 143

143

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

6. गरु व असन े िनषीदु भिु व िशाः। gurava asane niṣīdantu bhuvi śiṣyāḥ
7. यदा ूयाग अगवे तदा िपऽे पं िलखवे ।

yadā prayāga agaccheva tadā pitre pattraṃ likheva

8. गामितथये पचमे े िृ षभाय्र ामर् वदत।् gāmatithaye pacemetyṛṣirbhāryāmavadat

4. จงแปลเปน็ ภาษาสนั สกฤต (ทําสนธิให้ถกู ต้องด้วย)
1. ดูกร1 พธทู ้งั หลาย2 ท่านจงบชู า4 ซึ่งแม่ผวั ท้งั หลาย3
2. นายสารถี จงอย่า2ต4ี หรือ6ทรมาน5 ซึ่งม้าท้งั หลาย3
3. เราท้งั หลายจงเท4 ซึง่ น้าํ 3 บนเวที2 ด้วยทัพพีท้งั สอง1
4. นายสารถี1 ต้องนาํ มา4 ซึง่ หญ้า2 เพือ่ ม้าท้งั หลาย3 เขาต้องไม่5เบียดเบียน6
ซึ่งม้าท้งั หลาย6
5. ในยามกลางคนื 1 เราท้งั สองอ่านแล้ว3 ซึ่งคมั ภีร์ศรตุ ิ2
6. ด้วยความรอบร้1ู และ3ด้วยความขยันขันแขง็ 2 ท่านท้งั หลายย่อมได้รับ6ซึ่งเกียรติ5มาก4
7. ด้วยพลัง2แห่งความรอบร้1ู เราท้งั หลายชนะแล้ว4 ซึ่งความยากไร3้
8. ขอเราท้งั หลายพึงได้รบั 3 ซึง่ ผล2แห่งธรรม1

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 144

144

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 13

กริยากรรมวาจก และ ณิชันตะ

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 145

145

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ขอบขา่ ยการศึกษา

1. กรรมวาจกและภาววาจก (Passive Voice and Personal Passive)
2. ณิชนั ตะ (Causative)

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้ให้เข้าใจโครงสร้างของประโยคกรรมวาจกและภาววาจก พรอ้ มท้งั กฎท่ัวไปใน
การผนั และสามารถนาํ ไปใช้ประกอบประโยคได้อย่างถกู ต้อง

2. เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างของณิชันตะ (ประโยคเหตกุ รรตวุ าจกและประโยคเหตุกรรมวาจก)
พร้อมท้งั กฎทวั่ ไปในการผนั และสามารถนาํ ไปใช้ประกอบประโยคได้อย่างถูกต้อง

3. นกั ศึกษาสามารถแต่ง-แปล ข้อความส้ันๆ ตามที่กาํ หนดได้

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 146

146

สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 13

กริยากรรมวาจก และ ณิชนั ตะ

13.1 กรรมวาจกและภาววาจก (Passive Voice and Personal Passive)

1. ประโยคที่เน้นผ้ทู ํา เราเรียกว่า กรรตวุ าจก (กรรตุ แปลว่า ผทู้ ํา) เช่น
naras devam yajati = คนบวงสรวงเทวดา (เน้นที่ผู้ทําคือ คน)

2. ประโยคที่เน้นกรรม หรือสิ่งที่ถูกกระทํา เราเรียกว่า กรรมวาจก (กรรม คือ สิ่งที่
ถูกกระทาํ ) เช่น

narena‹ devas ijyate = เทวดาถูกบวงสรวงโดยคน (เน้นกรรมคือ เทวดา)
3. ประโยคส้นั ๆ พิเศษทีม่ ีลกั ษณะ ดังนี้ คือ (1) คาํ นามที่ประธานต้องอย่ใู นรูปวิภกั ติที่
3 เพียงอย่างเดียว (2) กริยาหลกั ต้องเปน็ บุรุษที่ 3 เอกพจน์อย่างเดียวเท่าน้นั เราเรียก กริยา
นี้ว่า ภาววาจก เช่น

ra¥mena‹ rs‹ ‹ina‹ ¥ j≠vyate = นายรามอย่แู บบฤษี

โครงสรา้ งของกรรมวาจก
ประโยคกรรมวาจกจะอย่ใู นรูปแบบ ดังนี้

ธาตุ (ไม่จํากดั หมวด) + ya ปัจจยั + วิภกั ติอาตมเนบท = กริยากรรมวาจก

กฎทัว่ ไป ของการผนั ธาตเุ ป็นกรรมวาจก

โดยทั่วไปมักนิยมนําธาตุที่ต้องมีกรรมมารองรับ หรือ สกรรมธาตุ มาผสมกับ ya

ปจั จัยและวิภักติอาตมเนบท แล้วสําเรจ็ รูปเป็นกริยากรรมวาจกได้เลย เช่น

กลมุ่ ที่ 1

หมวดที่ ธาตุ ความหมาย ผันกรรตุวาจกปกติ ผนั กรรมวาจก

1 bhu¥ มี, เปน็ , คือ bhavati bhuy¥ ate (ภาววาจก)

4 hu¥ เรียก hvayati hu¥yate

6 kr‹s‹ ไถ kr‹sa‹ ti kr‹s‹yate

10 puj¥ บูชา pu¥jayati puj¥ yate

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 147

147

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

กลมุ่ ที่ 2 ความหมาย ผนั กรรตุวาจกปกติ ผันกรรมวาจก
หมวดที่ ธาตุ บีบ, คน้ั
5 su ขยาย, แผ่ sunoti suy¥ ate
8 tan ซ้ือ
9 kr‹¥ tanoti tanyate
krn¥‹ ‹a¥ti
กลุ่มที่ 3 kr¥‹yate
หมวดที่ ธาตุ
7 rudh ความหมาย ผนั กรรตวุ าจกปกติ ผนั กรรมวาจก
3 hu¥ ปิด, ก้ัน
2 ad เรียก runaddhi rudhyate
ไถ
hvayati hu¥yate
kr‹s‹ati
krs‹ ‹yate

1. ธาตุที่มี ya เป็นส่วนประกอบ ให้เปลี่ยน ya เป็น i แล้วผสม ya ปัจจัยของ
กรรมวาจกและวิภกั ติอาตมเนบท เช่น

yaj > ij + ya + te = ijyate = (สิ่งน้นั ..ถูกบรวงสรวง)
ยกเว้น yam = yam + ya + te = yamyate = (สิ่งน้นั ..ถูกให้)

2. ธาตุที่มี va เป็นส่วนประกอบ ให้เปลี่ยน va เป็น u แล้วผสม ya ปัจจัยของ
กรรมวาจกและวิภักติอาตมเนบท เช่น

vac > uc + ya + te = ucyate = (ถูกพดู ..)
vah> uh + ya + te = uhyate = (ถูกนาํ ไป..)

3. ธาตุที่ลงท้ายด้วยสระ i และ u ให้เปลี่ยนสระดังกล่าวเป็นเสียงยาว คือ ≠ และ
u¥ ตามลําดบั แล้วผสม ya ปัจจยั ของกรรมวาจกและวิภักติอาตมเนบท เช่น

ji > j≠ + ya + te = j≠yate = (ถกู ชนะ..)
stu > stu¥ + ya + te = stuy¥ ate = (ถกู สดุดี..)

4. ธาตุที่ลงท้ายด้วยสระ r‹ ให้เปลี่ยนเป็น ri แล้วผสม ya ปัจจัยของกรรมวาจก

และวิภกั ติอาตมเนบท เช่น

kr‹ > kri + ya + te = kriyate = (ถกู กระทาํ ..) หมวดที่ 8

hr‹ > hri + ya + te = hriyate = (ถกู ลักไป....)

ยกเว้น smr‹ > smar + ya + te = smaryate = ถูกระลึกถึง

pr¥‹ > pu¥r + ya + te = pur¥ yate = ถกู บรรจุ

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 148

148

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

5. ธาตุที่ลงท้ายด้วยสระ a¥ ให้เปลี่ยนเป็น ≠ แล้วผสม ya ปัจจัยของกรรมวาจก
และวิภกั ติอาตมเนบท เช่น

pa¥ > p≠ + ya + te = p≠yate = (ถกู ดืม่ ..)
ga¥ > g≠ + ya + te = g≠y¥ ate = (ถูกขับรอ้ ง..)
ยกเว้น dhya¥ + ya + te = dhyay¥ ate = (ถูกคิด..)

6. ธาตุหมวดที่ 10 ต้องทําเป็นข้ันคุณก่อน (ถ้าทําได้) แล้วผสม ya ปัจจัยของกรรม
วาจกและวิภกั ติอาตมเนบท เช่น

cur > cor + ya + te = coryate = (ถกู ลกั ..)
tul > tol + ya + te = tolyate = (ถกู ชง่ั .)
kath > kath + ya + te = kathyate (ถกู กล่าวถึง...)

7. ธาตุที่มี ra เป็นส่วนประกอบ ให้เปลี่ยน ra เป็น r‹ แล้วผสม ya ปัจจัยของ
กรรมวาจกและวิภกั ติอาตมเนบท เช่น

grah > gr‹h + ya + te = grh‹ yate = (ถกู ถือไว้.)
prach > prc‹ h + ya + te = prc‹ hyate = (ถูกถาม.)

วิธีใช้กรรมวาจก
gurus si´ s‹yais pu¥jyate = ครูอนั ศิษย์ท้งั หลายย่อมบูชา/ ครยู ่อมถกู บชู าโดยเหล่าศิษย์
grh‹ am agnina¥ dahyate iti atra s´ruy¥ ate = (เรา) ได้ยินมาที่นี่ว่า เรือนถูกไฟไหม้

วิธีใช้ภาววาจก
vya¥dhena vrk‹ s‹asya chay¥ ay¥ a¥m supyate = นายพรานนอนหลบั ใต้เงาต้นไม้

13.2 ณิชันตะ (Causative)

หมายถึง ประโยคที่ผ้ทู ํา (ประธานในประโยค) ไม่ได้ทาํ เอง แต่ใช้ให้ผ้อู ืน่ ทําแทน เช่น
เขา วานเพือ่ น เขียน หนงั สือ

คาํ ว่า วานเพือ่ น คือ ใช้เพอื่ นให้ทําแทน ประโยคเช่นนี้ เรียกอีกอย่างหนงึ่ ว่าประโยค
เหตกุ รรตุวาจก

รูปแบบของ ณิชนั ตะ
ธาตุ (ทีท่ าํ ตามกฏขา้ งล่างแล้ว) + aya ปจั จยั + วิภักติหมวดตา่ งๆ

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 149

149

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

กฎของณิชนั ตะ
1. ธาตทุ ี่ลงท้ายด้วยสระให้เปลี่ยนเปน็ ข้นั พฤทธิ (วฤท‹ธิ) เช่น

ธาตุ (หมวด) ความหมาย ขัน้ พฤทธิ + aya = เค้ากริยา ณิชันตะ
bhu¥ (1) เปน็ , มี
bhau bhav¥ aya bhav¥ ayati
smr‹ (1) ระลึกถึง
n≠ (1) นําไป smar¥ sma¥raya smar¥ ayati

nai na¥yaya na¥yayati

2. สระ a ต้นธาตุ หรือ กลางธาตุ คงรปู เดมิ หรือ แปลงเปน็ ā เช่น

ธาตุ (หมวด) ความหมาย a เปน็ a¥ + aya = เค้ากริยา ณิชันตะ
pat (1) ตก, หล่น
pac (1) หุง, ต้ม pa¥t pat¥ aya pa¥tayati
gam (1) ไป , ถึง pac¥ pac¥ aya
nam (1) ไหว้, นบน้อม pa¥cayati
gam gamaya
gamayati
na¥m na¥maya, namaya
na¥mayati,
namayati

3. สระ อิ i, อุ u, ฤ r‹ ที่อยู่ต้นหรือกลางธาตุ ให้ทําเป็นข้ันคุณ (ถ้าทําได้ ดูกฏ
การทาํ เปน็ ข้ันคุณประกอบด้วย) แล้วผสมกบั aya เช่น

ธาตุ (หมวด) ความหมาย ขัน้ คณุ + aya = เค้ากริยา ณิชนั ตะ
likh (6) เขียน
budh (1) ร้,ู ตืน่ lekh lekhaya lekhayati
yudh (4) รบ, ต่อสู้
krs‹ ‹ (6) ไถ, ลาก, ดึง bodh bodhaya bodhayati
mud (1) ยินดี
yodh yodhaya yodhayati
แต่ kars‹ kars‹aya karsa‹ yati
nind (1)
vand (1) mod modaya modayati

นินทา nind nindaya nindayati
ไหว้ vand vandaya vandayati

4. ธาตทุ ี่ลงท้ายด้วยสระ a¥ หรือ r‹ บางตวั (หลงั จาก r‹ ทําเป็นข้ันคุณแล้ว ไม่ใช่ข้ัน
พฤทธิเหมือนธาตทุ ี่ลงท้ายด้วยสระท่วั ไป) ให้ เติม p p( หน้า aya เช่น

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 150

150

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ธาตุ (หมวด) ความหมาย เติม p p( + aya = เค้ากริยา ณิชนั ตะ

r‹ (1) ถึง, ไป arp arpaya arpayati
stha¥ (1) ยืน, ดํารง stha¥paya sthap¥ ayati
แต่ sthap¥
pa¥ (1)
ดืม่ pa¥y pa¥yaya pay¥ ayati

5. รปู กริยาณิชันตะ ประกอบด้วยวิภกั ติหมวดต่าง ๆ (ประถมบรุ ษุ เอกพจน)์

ธาตุ (หมวด) ปัจจุบันกาล a + เค้ากริยา +อดีตกาล ปญั จมี สปั ตมี
r‹ (1)
stha¥ (1) arpayati ar¥ payat arpayatu arpayet
budh (1) stha¥payati sthap¥ ayet
yudh (4) bodhayati asthap¥ ayat sthap¥ ayatu bodhayet
kr‹s‹ (6) yodhayati yodhayet
nind (1) kars‹ayati abodhayat bodhayatu karsa‹ yet
vand (1) nindayati nindayet
vandayati ayodhayat yodhayatu vandayet

akars‹ayat karsa‹ yatu

anindayat nindayatu

avandayat vandayatu

6. การแต่งประโยคณิชันตะ ตัวประธาน (ผู้ใช้) เป็นวิภักติที่ 1 ตัวผู้ถูกใช้ (กรรมรอง)
เป็นวิภักติที่ 2 หรือ 3 ก็ได้ ส่วนกรรมตรง (สิ่งรองรับการกระทํา) เป็นวิภักติที่ 2 เท่าน้ัน คํา
แปลกริยา ต้องแปลว่า “ให้…” , “วาน...ให้..” , “ใช้...ให้...” เช่น

ประธาน คาํ ขยายอื่น ๆ กรรมรอง กรรมตรง กริยาณิชันตะ

ma¥ta¥ - da¥rakam‹ ks≠‹ ram‹ pay¥ ayati
da¥rakena‹
แม่ bhiksu‹ bhyas ซึง่ น้าํ นม ดื่ม
ให้ทารก
naras แด่ภิกษทุ ้งั หลาย annam‹ pac¥ ayati
bhar¥ ya¥m‹
คน bha¥ryaya¥ ซึ่งอาหาร ให้หงุ ต้ม

ใช้ภรรยา

7. ประโยคณิชันตะ (Causative) ที่เป็นกรรมวาจก (Passive) เราเรียกว่า Causative
Passive หรือ ประโยคเหตุกรรมวาจก แต่โปรดจําไว้ว่า มีเพียงธาตุบางตัวเท่าน้ันที่นิยม
แต่งเป็น Causative Passive กริยา “Causative Passive” มีหลักการเดียวกันกับการ

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 151

151

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ประกอบ “ณิชันตะ” ที่เป็น Active ต่างกันแต่ให้ ใช้ “ya” ปัจจัย แทนที่ “aya” และ วิ
ภกั ติทีใ่ ช้ต้องเปน็ อาตม‹ เนบท เท่าน้ัน เช่น

ธาตุ (หมวด) ความหมาย ขั้นคุณ, พฤทธิ + ya แทน aya วิภักติอาตมเนบท
หรือ a เป็น a¥ = เคา้ กริยา = เหตุกรรมวาจก
vad (1) กล่าว, พูด
kr‹ (8) ทาํ va¥d vad¥ ya vad¥ yate
mr‹ (4) ตาย
kar¥ kar¥ ya ka¥ryate

ma¥r mar¥ ya ma¥ryate

การแต่งประโยค Causative Passive ตัวประธาน คือ สิ่งที่ถูกกระทํา (กรรมตรงใน
ประโยค ณิชนั ตะ) เป็นวิภักติที่ 1 ตัวผู้ถูกใช้ (กรรมรอง) เป็นวิภักติที่ 2 หรือ 3 ก็ได้ ส่วนผู้ใช้
ให้ผ้อู ื่นทาํ (หรือตวั ประธานในประโยคณิชันตะ) เป็นวิภักติที่ 3 เท่าน้นั เช่น

ผ้ใู ช้ใหท้ ํา คาํ ขยายอื่นๆ กรรมรอง กรรมตรง = กริยา
วิภกั ติ 2 หรือ 3
nrp‹ en‹a - วิภกั ติท่ี 1 (ประธาน)
putrena‹
เจ้านคร s´al¥ ay¥ a¥m‹ putram‹ arayas mar¥ yante

ac¥ aryen‹a ในโรงเรียน ใช้โอรส ข้าศึกท้งั หลาย ถกู ทําใหต้ าย (ฆ่า)

อาจารย์ si´ sy‹ aih‹ pustaka¥ni pat¥ hyante
si´ sy‹ a¥n
หนงั สือท้งั หลาย ให้ท่อง
ให้ศิษย์ท้งั หลาย

ศัพทานกุ รม

กริยาศพั ท์ ไทย แจกปรกติ แจกเปน็ ความหมายธาตุ
โรมัน กรรมวาจก
กฺฤ karoti กระทาํ
kṛ ขนฺ khanati kriyate ขุด
khan
คา gāyati khāyate ร้องเพลง, ขับ
gā ครฺ หฺ gṛhṇāti khanyate จบั เอา, ถือเอา, รบั
grah ทศํ ฺ daśati gīyate กัด, ขบ
daṃś
gṛhyate

daśyate

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 152

152

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

โรมัน ไทย แจกปรกติ แจกเปน็ ความหมายธาตุ
กรรมวาจก
1dā ทา ให้
2dā ทา dadāti dīyate ตัด
dīv ทีวฺ พนัน, เล่นพนนั
1dhā ธา dyati dīyate ไว้, วางไว้, จดั ไว้
2dhā ธา ดูดนม
dhyā ธฺยา dīvyati dīvyate คิด, เพ่ง, ตรอง
pā ปา ดื่ม
pṛ ปฤฺ dadhāti dhīyate บรรจ,ุ ทําให้เตม็
bandh พนฺธฺ ผกู , มัด, ผกู พัน
mā มา dhayati dhīyate วัด
vac วจฺ พูด, กล่าว
vap วปฺ dhyāyati dhyāyate หว่าน, กระจาย
śas ศาสฺ ปกครอง, ส่ัง, ลงโทษ
śru ศฺรุ pibati pīyate ได้ยิน, ได้ฟงั
stu สตฺ ุ สดดุ ี, สรรเสริญ
svap สฺวปฺ pṛnāti pūryate หลับ
śaṃs ศสํ ฺ สรรเสริญ, ยกย่อง
hā หา badhnāti badhyate ละทิ้ง, เพิกเฉยต่อ
hū, hvā ห,ู หวฺ า เรียก
hū, hvā-ā ห,ู หวฺ า-อา mimīte mīyate เรียกหา

vakti ucyate

vapati upyate

śasti śiṣyate

śṛṇoti śrūyate

stauti stūyate

svapiti supyate

śaṃsati śasyate

jahāti hīyate

hvayati hūyate

āhvayati āhūyate

นามศพั ท์

โรมัน ไทย การันต์ ลิงค์ คาํ แปล

raśmi รศมฺ ิ i m. รศั มี, แสง, บงั เหียนม้า

muni มนุ ิ i m. นกั บวช, ผ้ถู ือพรตไม่กล่าวคาํ พูดใดๆ

atithi อติถิ i m. แขก, ผ้มู าเยือน

vidhi วิธิ i m. วิธี, การปกครอง, ระเบียบ, ชะตา

พระพรหม

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 153

153

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

นามศพั ท์ การนั ต์ ลิงค์ คาํ แปล

โรมนั ไทย a m. การทะเลาะ
kalaha กลห
gopa โคป a m. โคบาล, ผ้พู ิทกั ษ์
pārthiva ปารฺถิว
bhāga ภาค a m. ผ้คู รองแผ่นดิน
vraṇa วรฺ ณ
kapota กโปต a m. ภาค, ส่วน
īśvara อีศวฺ ร
karṇa กรณฺ a m. แผล
krodha โกรฺ ธ
nāśa นาศ a m. นกพริ าบ, นกเขา
puruṣa ปุรษุ
mahārāja มหาราช a m. พระผ้เู ปน็ ใหญ่
moha โมห
ratha รถ a m. หู
lobha โลภ
samudra สมทุ ฺร a m. ความโกรธ
abhyāsa อภยฺ าส
ādeśa อาเทศ a m. ความพินาศ
pāṭha ปาฐ
indrāṇī อินทฺ ฺราณี a m. บรุ ษุ
nagarī นครี
a m. มหาราช

a m. ความหลง, ความล่มุ หลง, ความหลงผิด

a m. รถ

a m. ความโลภ

a m. ทะเล

a m. การท่องจาํ , การเล่าเรียน

a m. คาํ สั่ง, บทบญั ญัติ

a m. บทเรียน, บทท่องจํา, บทอ่าน

ī f. อินทราณี, ชายาของพระอินทร์

ī f. เมือง

***** จบ บทที่ 13 *****

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 154

154

สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

แบบฝึกหดั ที่ 13

1. จงแปลเปน็ ภาษาไทย

1. रामणे पऽु ावोपनीयते ेइित ौयू त।े rāmeṇa putrāvadyopanīyete iti śrūyate

2. ऋिषनपृ्र णे भम पृ त।े ṛṣirnṛpeṇa bharmaṃ pṛcchyate

3. घटौ घतृ ने पयू त ।े ghaṭau ghṛtena pūryete

4. िवहगाः पाशबै ्र ।े vihagāḥ pāśairbadhyante

5. जननै गर् रं गत।े janairnagaraṃ gamyate

6. हे िशा गु णाय।े he śiṣyā gurūṇāhūyadhve

7. नरःै कटाः िबय।े naraiḥ kaṭāḥ kriyante

8. किविभनपृर् ाः सदा यू ।े kavibhirnṛpāḥ sadā stūyante

9. ूभतू ा िभक्षा गहृ  भाययर् ा िभक्षु ो दीयत।े

prabhūtā bhikṣā gṛhasthasya bhāryayā bhikṣubhyo dīyate

10. काां गीतं गीयत।े kanyābhyāṃ gītaṃ gīyate

11. ने लै कानां वस ुचोयत्र ।े stenairlokānāṃ vasu coryate

12. इषभु ी रणे ऽरयो नपृ ितना जीय।े iṣubhī raṇe 'rayo nṛpatinā jīyante

13. हे दवे ौ साधिु भः सदा यत ।े he devau sādhubhiḥ sadā smaryete

14. दण्डने बालाः िश।े daṇḍena bālāḥ śiṣyante

15. ूभतू ः काानां भारो नरणे ोत।े prabhūtaḥ kāṣṭhānāṃ bhāro nareṇohyate

16. अने जलं पीयते। aśvena jalaṃ pīyate

17. धमण रां िशतेनपृ णे । dharmeṇa rājyaṃ śiṣyate nṛpeṇa

18. सपण दँयते ेनरौ। sarpeṇa daśyete narau

19. सतू णे ाात।े sūteṇāśvastāḍyate

2. จงแปลเปน็ ภาษาสนั สกฤต (ทาํ สนธิให้ถกู ต้องด้วย) 155
1. ข้าวเปลือก2 ถูกหว่านอย3ู่ เพือ่ นกท้งั หลาย1
2. พวงมาลาท้งั หลาย1 ถกู ร้อยอยู่ (พธ)ฺ 3 โดยหญิงสาวท้งั หลาย2
3. หริ1 ย่อมถกู สรรเสริญ4 อีก2 โดยราม3

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

155

สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

4. น้ํา3 ย่อมถกู ดื่ม4 จากมือ2 โดยวิษณ1ุ
5. คนท้งั หลาย6 ย่อมกล่าว5 ว่า4 (เขา) ย่อมหลับ3 ในร่มเงา2 โดยสบาย (อย่างมีความสขุ )1
6. อนั ฤษีท้งั สอง1 ย่อมบูชาบวงสรวง2
7. ความหวังท้งั หลาย2 ย่อมถกู วางไว4้ ในเดก็ 3 โดยบิดา1
8. คําสง่ั 2 ของคร1ู ย่อมถูกละทิ้ง4 โดยศิษย์3
9. ตํารา(วิชาการ) 2 ถูกคิดถึงอยู่3 โดยเดก็ ท้งั สอง1
10. ข้าวเปลือก2 ย่อมถกู หวา่ น3 ในท่งุ นาท้งั หลาย1
11. (อนั เขา) ย่อมพนนั 2 ด้วยลกู บาศก์ท้งั หลาย1
12. คําส่ังท้งั หลาย2 ของพระราชา1 ย่อมถกู รบั 5 โดยคนใช้ท้งั หลาย4 ผ้เู ชือ่ ฟงั 3
13. อนั คน1 ย่อมขุด3 ในท่งุ นา2

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 156

156

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 14

คํานาม ฤ โอ เอา การนั ต์ และ พยัญชนะการันตท์ วั่ ไป

สนั สกฤตพื้นฐาน (Int1r5o7duction to Sanskrit) 157

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

ขอบขา่ ยการศึกษา

1. การผนั คํานาม ฤ การนั ต์ในปงุ ลิงค์และสตรีลิงค์
2. การผนั คํานาม เอา การนั ต์ พยางค์เดียว ในสตรีลิงค์
3. การผันคํานามทีล่ งท้ายด้วยพยญั ชนะการนั ต์
4. การผนั คํานามพยัญชนะการนั ต์ ทีล่ งท้ายด้วย k, t, p
5. การผันพยญั ชนะการนั ต์ ทลี่ งท้ายด้วย c, j, bh, ś, ṣ และ ḥ

วตั ถปุ ระสงค์

1. นกั ศึกษาสามารถผนั คํานาม ฤ การนั ต์ในปงุ ลิงคแ์ ละสตรีลิงค์ได้
2. นกั ศึกษาสามารถผนั คาํ นาม เอา การนั ต์ พยางค์เดียว ในสตรีลิงคไ์ ด้
3. นกั ศึกษาสามารถผนั คํานามที่ลงท้ายด้วยพยญั ชนะการันต์ได้
4. นักศึกษาสามารถผนั คาํ นามพยญั ชนะการันต์ ที่ลงท้ายด้วย k, t, p ได้
5. นกั ศึกษาสามารถผนั พยญั ชนะการนั ต์ ทลี่ งท้ายด้วย c, j, bh, ś, ṣ และ ḥ ได้
6. นักศึกษาสามารถแต่ง-แปล ข้อความส้นั ๆ ตามทีก่ ําหนดได้

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 158

158

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 14

คาํ นาม ฤ โอ เอา การันต์ และ พยัญชนะการันต์ทัว่ ไป

14.1 คาํ นาม ฤ โอ เอา การันต์

การผันคํานาม ṛ ฤ การนั ต์ ปลุ ลิงค์ และสตรีลิงค์ (สว่ นใหญล่ งทา้ ยดว้ ย tṛ )
คาํ นาม ฤ การนั ต์ แบ่งเปน็ 2 ชนิด คือ
1. สําเร็จมาจากธาตุ + tṛ ปัจจัย นิยมใช้เป็นคําขยายหรือ คุณศัพท์ เป็นได้ท้ัง 3 ลิงค์
เช่น
kṛ ธาตุ แปลว่า ทํา + tṛ = kartṛ แปลว่า ผู้ทํา
dā ธาตุ แปลว่า ให้ + tṛ = dātṛ แปลว่า ผ้ใู ห้

2. คํานามบอกเครือญาติ จดั เปน็ ลิงค์ตามธรรมชาติ คือ เพศชาย เช่น พ่อ เปน็ ปลุ ลงิ ค์

เพศหญิง เช่น แม่ เปน็ สตรีลิงค์ คาํ ฤ การนั ต์บอกเครือญาติ ผนั เหมือนกันท้งั ปลุ ลิงค์

และสตรีลิงค์ คําเหล่านี้ ยกตัวอย่าง คือ

pitṛ แปลว่า พ่อ bhrātṛ แปลว่า พี่ชาย, น้องชาย

mātṛ แปลว่า แม่ duhitṛ แปลว่า ลูกสาว

ขอ้ สังเกต คาํ นามบอกเครือญาติ 2 ศพั ท์คือ naptṛ = หลาน และ svasṛ = พี่สาว,
น้องสาว แม้จะจัดอย่ใู นคาํ นามลงท้ายด้วย ฤ การนั ต์ชนิดที่ 2 แต่กต็ ้องนําไปผันเหมือนชนิด
ที่ 1 (คําคณุ ศัพท์)

คํานาม ฤ การันต์ทเี่ ปน็ คณุ ศัพท์และทบี่ อกเครือญาติท้งั สองชนิดนี้มีวิธีการผันต่างกนั
บ้างเล็กน้อย บางวิภกั ติ จะผนั คํานามท้งั สองชนิดน้นั โดยจะผนั คาํ นามบอกเครือญาติ คือ
pitṛ พ่อ ปลุ ลงิ ค์ และ dātṛ เปน็ คาํ คณุ ศัพท์ แปลว่า ผ้ใู ห้ ผนั เปน็ ปลุ ลงิ ค์ ดังน้ี

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 159

159

สันสกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

14.2 คาํ นาม ฤ การนั ต์

pitṛ พ่อ ปลุ ลงิ ค์ และ dātṛ เป็นคาํ คุณศัพท์ แปลว่า ผ้ใู ห้

วิภกั ติที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์

1* pitā pitarau pitaras

dātā dātārau dātāras

2* pitaram pitarau pitṝn

dātāram dātārau dātṝn

3 pitrā pitṛbhyām pitṛbhis

dātrā dātṛbhyām dātṛbhis

4 pitre pitṛbhyām pitṛbhyas

dātre dātṛbhyām dātṛbhyas

5 pitus pitṛbhyām pitṛbhyas

dātus dātṛbhyām dātṛbhyas
pitṝṇa¥m
6 pitus pitros

dātus dātros dātṝṇām

7 pitari pitros pitṛṣu

dātari dātros dātṛṣu

8* pitas pitarau pitaras

dātas dātārau dātāras

หมายเหตุ เครื่องหมาย * บ่งบอกว่าคาํ นาม ฤ การนั ต์ท้งั สองชนิด ผนั ต่างกนั เลก็ น้อย
กฎการผันคํานามลงท้ายด้วย ṛ ฤ การนั ต์ มีกฎง่าย ๆ ดังนี้
1. วิภกั ติ 5 ตัวแรก คือ s au as, am au

1.1. สาํ หรับคํานามบอกเครือญาติให้ทําสระ ṛ เป็นข้ันคุณ คือ ar เช่น pitṛ + au =
pitarau พิเศษสําหรับ วิภักติที่ 1 เอกพจน์ เมื่อประสมกับ s ให้ลบ s พร้อม
กบั r แล้ว ชดเชยด้วยการทําสระให้ยาว คือ a เปน็ ā

1.2. สําหรับคาํ นามที่สําเรจ็ มาจากธาตุให้ทําสระ ṛ เปน็ ข้นั พฤทธิ์ คือ ar¥ เช่น da¥tr‹ +
au = dat¥ ar¥ au พิเศษสําหรับ วิภักติที่ 1 เอกพจน์ เมื่อประสมกับ s ให้ลบ s
พร้อมกับ r

2. ถ้าวิภักติที่ข้ึนต้นด้วยพยัญชนะที่เหลือ ให้ผสมเข้าไปได้เลย เช่น pitṛ + bhis =

pitṛbhis

3. ถ้าวิภักติขึ้นต้นด้วยสระที่เหลือ ให้แปลง tṛ เป็น tr แล้วผสมวิภักติน้ัน เช่น pitṛ + a¥

= pitrā

4. วิภักติที่ 5-6-7 เอกพจน์ มีรปู พิเศษ คอื ไม่เปน็ ไปตามกฎ 3 ข้อข้างต้น
5. พิเศษสําหรับ สตรีลิงค์ กลุ่มคําที่สําเร็จมาจากธาตุ ที่ลงท้ายด้วย tṛ มักเปลี่ยนรูปเป็น

-tr≠ เชน่ dātṛ ก็กลายเปน็ dātr≠ แล้วนําไปผนั เหมือน อี การันต์ สตรีลิงค์

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 160

160

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

14.3 คํานาม เอา การนั ต์
เอา การนั ต์ พยางค์เดียว คือ nau เรือ เป็นสตรีลิงค์

มีกฎง่าย ๆ ดงั นี้
1. ถ้าวิภักติที่ข้ึนต้นด้วยพยัญชนะ ให้ผสมเข้าไปได้เลย เช่น nau + bhis =

nuabhis

2. ถ้าวิภกั ติขึ้นต้นด้วยสระ ให้แปลง au เปน็ āv แล้วผสมวิภกั ติน้นั เช่น nau

+ au = nāvau

nau (เรือ) ซึ่งเปน็ สตรีลิงค์ ผนั ดงั น้ี

วิภักติที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์

1 naus nāvau nāvas

2 nāvam nāvau nāvas

3 nāvā naubhyām naubhis

4 nāve naubhyām naubhyas

5 nāvas naubhyām naubhyas

6 nāvas nāvos nāvām

7 nāvi nāvos nauṣu

8 naus nāvau nāvas

14.4 พยัญชนะการันตท์ ่ัวไป
ดังได้กล่าวแล้วในบทที่ 8 ข้อ 8.2-8.3 ว่าคาํ นามในภาษาสันสกฤต มีท้งั ที่ลงท้ายด้วย

สระและพยัญชนะ แต่ทุกตัวต้องผ่านการผันหรือแจกรูปก่อน จึงจะนํามาใช้ในประโยคได้ และ
ได้แสดงตารางรูปวิภกั ติและประโยชน์ไว้ในข้อ 6.2 ต่อไปนี้ จะแสดงวิธีการผนั คํานามที่ลงท้าย
ด้วยพยัญชนะการนั ต์ทว่ั ไป ซึง่ มีมากมาย พอเป็นตัวอย่าง ดังนี้

พยญั ชนะการนั ต์ ทลี่ งทา้ ยดว้ ย k, t, p
ปุงลิงค์ สตรีลิงค์ ผันเหมือน marut (เทพแห่งลม) ซึง่ เป็นปุงลิงค์

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 161

161

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

หมายเหตุ ในการผนั ให้นาํ สปุ วฺ ิภกั ติ หรือ วิภกั ติสาํ หรบั ผนั คํานาม มาผสมกับศัพท์นน้ั ๆ ได้
เลย โดยมีข้อสงั เกตทีส่ าํ คญั คือ

1. ถ้า สุปวฺ ภิ กั ตทิ ี่ขึ้นต้นด้วยสระให้นํามาผสมกบั ท้ายศพั ท์ได้รูปง่าย ๆ เช่น marut + au

= marutau, marut + ah‹ = marutah‹

2. ถ้า สปุ วฺ ิภักตทิ ีข่ ึ้นต้นด้วยพยัญชนะโฆษะ คือ bh- ท้งั 6 ตัว คือ c. 3 d., pl. =
bhyam¥ , bhih,‹ c. 4-5 d., pl. = bhya¥m, bhyah,‹ มีการเปลีย่ น k เปน็ g , t
เป็น d, และ p เปน็ b (อโฆษะ เปน็ โฆษะ เพราะมี bh- ซึ่งเปน็ โฆษะบังคับอยู่
ด้านหลงั ) เช่น marut + bhya¥m = marudbhya¥m, sarvas´ak + bhyah‹ =
sarvasa´ gbhyah,‹ และ dharmagup + bhih‹ = dharmagubbhih‹
นปงุ สกลิงค์ ผันเหมือน jagat (โลก, จักรวาล)

หมายเหตุ ผนั เหมือนกบั ปงุ ลิงค์ ต่างกันเฉพาะวิภกั ติที่ 1-2-8 เท่าน้นั เพราะมีรปู วิภกั ติ
ต่างกนั

พยญั ชนะการันต์ ที่ลงท้ายดว้ ย c, j, bh, s´, s‹ และ h

ปงุ ลิงค์ สตรีลิงค์ ผันเหมือน vaṇij (พ่อค้า) ซึ่งเปน็ ปุงลิงค์

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 162

162

สันสกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

หมายเหตุ

1. ใช้สาํ หรบั ผนั คาํ นาม คาํ คณุ ศัพท์ ปงุ ลิงค์และสตรีลิงค์ ทีล่ งท้ายด้วย c, j, bh, s´, s‹ และ h

ทุกตวั เช่น priyava¥c (คนปากหวาน) asuraraj¥ (จอมอสรู ) tris‹t‹ubh (ตริตภุ ฉนั ท์ คือ

ชื่อฉันท์ชนิดหนึง่ ), dis´ (ทิศ, เขม็ บอกทาง), dos‹ (แขน) และ upa¥nah (ไม้จนั ทน,์ รองเท้า)

2. เมื่อผันตามตารางนี้แล้ว หากลงท้ายด้วยพยญั ชนะ (คือ c.1, 8 s.) ต้องเปน็ พยญั ชนะตวั แรก

ของวรรค (เช่น วรรค กฺ ต้องเปน็ กฺ ห้ามลงท้ายด้วย ข,ฺ คฺ, ฆฺ) ส่วนตัวสุดท้ายของวรรค คอื

พยัญชนะอนนุ าสิก และเศษวรรค (คือ ยฺ รฺ ลฺ วฺ ศฺ ษฺ สฺ ห)ฺ เปน็ ข้อยกเว้นให้ดูคาํ อธิบายใน ข้อ 3

ด้านล่างประกอบด้วย

3. เฉพาะวิภกั ตทิ ี่ 1 และ 8 เอกพจน์ จะได้รปู ทีแ่ ตกต่างกันมาก คือ

3.1. ศัพท์ลงท้ายด้วยพยญั ชนะวรรค c ต้องเปลีย่ นเปน็ k เช่น

 vac¥  va¥k (คาํ พูด = สตรีลิงค์)

 van‹ij  vani‹ k (พ่อค้า)

3.2. ศัพท์ลงท้ายด้วย j, s´, s‹, h ทว่ั ไป (ยกเว้นในข้อ 3.2) ต้องเปลีย่ นเป็น k เช่น

 sraj  srak (พวงดอกไม้ = สตรีลิงค์)

 rt‹ vij  rt‹ vik (พราหมณ์ผ้สู วดทําพิธี)

 dis´  dik (ทิศ)

 dadhrs‹ ‹  dadhrk‹ (หนา = คุณศัพท์)

 ka¥madhuh  ka¥madhuk (ผ้ใู ห้สิง่ ตามต้องการ)

3.3. ศพั ท์ลงท้ายด้วย j (ท้าย raj¥ , yaj, sr‹) s,´ s,‹ h (ทีม่ าจาก gh) บางศพั ท์ ต้อง

เปลี่ยนเปน็ t‹ (และ d‹ เมอื่ ประสมกบั สปุ วฺ ิภกั ติขึ้นต้นด้วย -bh) เช่น

 samra¥j  samrat¥ ‹ samrad¥ ‹bhya¥m (ผ้ปู กครอง, จักรพรรดิ)

 vis´  vit‹ vidb‹ hya¥m (ผ้อู าศยั , ชาวบ้าน)

 dvis‹  dvit‹ dvid‹bhya¥m (ข้าศึก)

 madhulih  madhulit‹ (ผ้ดู ืม่ น้ําหวาน = ผ้ึง)

3.4. ศัพท์ลงท้ายด้วย d, dh, h (ทีม่ าจาก dh) ต้องเปลีย่ นเปน็ t ตัวอย่าง เช่น

 a¥pad  a¥pat (ภัยพิบัติ)

 samidh  samit (เชื้อไฟ)

 upa¥nah  upa¥nat (ไม้จนั ทน,์ รองเท้า)

3.5. ศัพท์ลงท้ายด้วย bh ต้องเปลี่ยนเป็น p ตวั อยา่ ง เช่น

 trist‹ u‹ bh  tris‹tu‹ p (ตริษฏุภฉันท์)

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 163

163

สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

3.6. ศัพท์ลงท้ายด้วย ṣ (บางศพั ท์) ต้องเปลีย่ นเป็น ḥ ตัวอย่าง เช่น

 doṣ  doḥ (แขน)

3.7. บางศัพท์ที่ลงท้ายด้วยพยญั ชนะมีลมมาก เช่น -dh ของ budh เมือ่ ประสมกับ

สปุ ฺวิภกั ติที่ขึ้นต้นด้วย -bh ให้ย้ายเสียงลม (h) ไปไว้ด้านหน้า เช่น budh +

bhyām = bhudbhyām (b ตวั หน้า budh กลายเปน็ bh และ dh ท้าย budh

กลายเปน็ d)

ศัพทานุกรม

กริยาศพั ท์

โรมัน ไทย แจกปรกติ แจกเปน็ ความหมาย

ธาต+ุ อปุ สรรค ธาต+ุ อุปสรรค วรรตมานา เหตุกรรตวุ าจก เหตกุ รรตวุ าจก

aś อศฺ aśnāti āśayati ใหก้ นิ , ปอ้ น

i - adhi อิ + อธิ adhyeti adhyāpayati ให้เรียน, สอน

kḷp กฦปฺ kalpate kalpayati แต่งต้งั , กาํ หนด

jan ชนฺ jāyate jānayati ให้เกิด, คลอด

jñā – ā ชฺญา – อา jñānāti ājñāpayati ให้รบั รู้, สง่ั

dā ทา dadāti dāpayati เรียกร้องเอา

dṛś ทฤฺ ศฺ (paśyati) darśayati ช้ีให้เหน็ , แสดง

dhā - pari ธา – ปริ paridadhāti paridhāpayati แต่งตัว (ให้คนอื่น)

nī - apa นี – อป apanayati apanāyayati ยงั ให้นําไป

prath ปรฺ ถฺ prathati prathayati ยังให้กระจาย, ประกาศ

yaj ยชฺ yajati yājayati บวงสรวงให้แก

vad - abhi วทฺ – อภิ abhivadati abhivādayati ต้อนรับ

vid วิทฺ vetti vedayati บอก (ใช้กับ c.4)
-ni -นิ nivetti nivedayati บอก (ใช้กับ c.4)

vṛdh วฤฺ ธฺ vardhate vardhayati,te ยงั ให้เจริญ, เลี้ยง

vyath วฺยถฺ vayathati vayathayati ทําให้เจบ็ ปวด

śru ศฺรุ śṛṇoti śrāvayati ท่องประกาศ

sthā สฺถา tiśṭhati sthāpayati ต้งั ข้ึน, วางลง, สร้าง

-pra -ปรฺ pratiśṭhati prasthāpayati ส่งไป, ยังให้ไป

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 164

164

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

นามศัพท์

โรมนั ไทย ลิงค์ คาํ แปล

anṛta อนฺฤต n. ความเทจ็ , ความไม่จริง

āsana อาสน n. ทีน่ ่ัง

bhūṣaṇa ภูษณ n. เครื่องประดบั

pada ปท n. ก้าว, ก้าวย่าง, สถานที่, แหล่งที่

prāyaścitta ปฺรายศฺจติ ตฺ n. พิธีสารภาพบาป, ความสาํ นึกผิด

gotva โคตวฺ n. ความเปน็ วัว, ความโง่

paṅka ปงกฺ n. โคลน, ตม, หล่ม

yugma ยุคมฺ n. คู่

rakṣaṇa รกษฺ ณ n. การรักษา, การค้มุ ครอง

śrāddha ศรฺ าทธฺ n. พิธีศราทธ (การทําบญุ อทุ ิศส่วนกศุ ลให้

บรรพบรุ ษุ โดยการให้อาหารและทกั ษิณา

แก่พราหมณ์)

ācarya อาจรฺย m. ครู, ผ้สู อน, อาจารย์

durjana ทุรชฺ น m. คนเลว

kāla กาล m. กาล, เวลา

kṛpā กฤฺ ปา f. ความสงสาร, ความกรณุ า, ความใจอ่อน

rakṣitṛ รกษฺ ิตฤฺ m. ผู้รกั ษา

śāstṛ ศาสฺตฤฺ m. ศาสดา, ผ้สู อน, ผ้ลู งโทษ

bhartṛ ภรตฺ ฤฺ m. ภรรดา, ผ้เู ลี้ยงด,ู นาย, สามี

dātṛ ทาตฺฤ m. ผ้ใู ห้
adj. ให้อย่,ู มีใจโอบอ้อมอารี

draṣṭṛ ทรฺ ษฺฏฤ m. ผ้เู หน็ , ฤษี (ผ้เู ห็นบทสวด)
adj. เห็นอยู่

kartṛ กรตฺ ฺฤ m. ผ้กู ระทํา, ผ้แู ต่ง, ซึ่งกระทาํ อยู่

netṛ เนตฤ m. หัวหน้า, ผ้นู ํา

dhātṛ ธาตฺฤ m. ผ้สู ร้าง, พระพรหม

sraṣṭṛ สฺรษฏฺ ฤฺ m. ผ้สู ร้าง

***** จบ บทที่ 14 ***** 165

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

165

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

แบบฝึกหัดที่ 14

1. จงแปลเปน็ ภาษาไทย

1. सतू । अधनु ा ातय रथम।् sūta! adhunā sthātaya ratham

2. यथाज्ञापयित दवे ः। yathājñāpayati devaḥ

3. कािलदास कां मां ौावयःे । kālidāsasya kāvyaṃ māṃ śrāvayeḥ

4. वँै याराापये पृ ः। vaiśyānkarāndāpayennṛpaḥ

5. उपनयनेबालावीनािन वािण पिरधापयये ःु ।

upanayane bālānnavīnāni vastrāṇi paridhāpayeyuḥ

6. ॅातरो ऽागरं ूाापयन।् bhrātaro 'smānnagaraṃ prāsthāpayan

7. सार आगीित मं वे त।svasāra āgacchantīti mahyaṃ nyavedyata

8. वायोबलर् ेन तरवो ऽपा। vāyorbalena taravo 'pātyanta

9. क्षिऽया यु े ऽरीारयि। kṣatriyā yuddhe 'rīnmārayanti

10. अहं ूयागेिनवसािम रामः काँयां ितित।

ahaṃ prayāge nivasāmi rāmaḥ kāśyāṃ tiṣṭhati

11. मो ऽाभी रते पु कं रामणे लेखयामः।

grantho 'smābhī racyate pustakaṃ rāmeṇa lekhayāmaḥ

2. จงแปลเปน็ ภาษาสนั สกฤต (ทําสนธิให้ถกู ต้องด้วย)
1. เสอื่ 2 อันข้าพเจ้า1 (ยังคน)ใหก้ ระทําอย3ู่
2. ขอพราหมณท์ งั้ หลาย1 จงสอน (เหตุกรรต-ุ ยงั ให้เรยี น) 3 ซง่ึ เราทัง้ สอง2 และ6จงบูชาบวงสรวง5
เพอ่ื เราทัง้ สอง4
3. เขาท้ังหลายยงั คนให้นําไป3 ซงึ่ เดก็ 1 จากข้าพเจา้ 2
4. พระเจา้ แผน่ ดนิ 1 ยังกว2ี ให้กระทาํ แล้ว5 ซึ่งการสดดุ 4ี แห่งวษิ ณุ4
5. ศิษย์ทง้ั สอง1 ยอ่ มต้อนรบั 3 ซงึ่ คร2ู
6. ครู1 ยอ่ มชนื่ ชมยนิ ดี (มท)ฺ 4 เนอื่ งจากความขยนั 3 ของทา่ น1
7. ในแผ่นดนิ 1 การลงทณั ฑ3์ จาก(ของ)พระราชา2 ย่อมยงั ชนทั้งหลายผู้บาป4 ใหก้ ลัว5
8. ภรรยา1 ตอ้ งรกั 3 ซงึ่ สาม2ี
9. ขอนักรบท้งั หลาย1 จงตาม3 ซงึ่ ผูน้ ําท้ังหลาย2 และ5 จงตอ่ สู้6 ดว้ ยขา้ ศกึ ท้งั หลาย4
10. โลก1 ถูกสร้างแลว้ 3 โดยพระผสู้ รา้ ง2

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 166

166

สันสกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 15

as พยัญชนะการนั ต์ คาํ วิเศษณ์ สมาส

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 167

167

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ขอบข่ายการศึกษา

1. การผนั คาํ นาม พยญั ชนะการันต์ทีล่ งท้ายด้วย -as ในปุงลิงค์ สตรีลิงค์ และนปุงสกลิงค์
2. การผันคํานาม พยญั ชนะการนั ต์ที่ลงท้ายด้วย -is นปงุ สกลิงค์
3. การผันคาํ นาม พยญั ชนะการนั ต์ทีล่ งท้ายด้วย -us นปุงสกลิงค์
4. คาํ วิเศษณ์ (คณุ ศัพท์หรือ คําขยาย – Adjectives) และการผนั
5. วิธีการสร้างคาํ นามหรือคณุ ศพั ท์
6. คําและวิธีการสร้าง ทวนั ทวะสมาส ทวิคุสมาส ตัดปุรษุ ะสมาส กรรมธารยะสมาส

พหวุ รีหิสมาส อัพยยีภาวะสมาส

วตั ถุประสงค์

1. เพือ่ ให้สามารถผันคาํ นาม พยัญชนะการนั ต์ที่ลงท้ายด้วย -as, -is และ -us ได้
2. เพือ่ ให้เข้าใจหลักการสร้างคาํ นามหรือคําคุณศัพท์ และหลักการผนั
3. เพื่อให้เข้าใจหลกั การสร้างคําด้วยสมาสแบบต่างๆ
4. นกั ศึกษาสามารถแต่ง-แปล ข้อความส้ันๆ ตามที่กาํ หนดได้

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 168

168

สันสกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

บทที่ 15

as พยัญชนะการนั ต์ คาํ วิเศษณ์ สมาส

15.1 พยัญชนะการันตท์ ีล่ งท้ายด้วย -as, -is, us
ดังได้เราได้เรียนการผันพยัญชนะการันต์ส่วนใหญ่ในบทท่ี 14 แล้ว ต่อไปในบทนี้

เราจะเรียนการผนั คํานามในภาษาสันสกฤต มีท้งั ทีล่ งท้ายด้วย -as, is, us ซึ่งมีกฎเกณฑ์ส่วน
ใหญ่เหมือนกนั ศพั ท์เหล่านี้มีมากเช่นกันในภาษาสนั สกฤต

15.2 พยัญชนะการนั ต์ -as ปุงลิงคแ์ ละสตรีลิงค์

พยญั ชนะการันต์ ทีล่ งทา้ ยดว้ ย -as (-aḥ)

ปงุ ลิงค์ สตรีลิงค์ ผนั เหมือน vedhas (คนฉลาด) ซึ่งเปน็ ปุงลิงค์

คําอธิบาย ตารางนี้ใช้สาํ หรับผนั ศพั ท์ต่อไปนี้
1. คํานาม คําวิเศษณ์ ปงุ ลิงคแ์ ละสตรีลิงค์ ทีล่ งท้ายด้วย -as (-aḥ) ทกุ ตัว เช่น
candramas (พระจันทร์) apsaras (นางอปั สร) และ sumanas (ผ้ใู จดี)
ยกเวน้ คาํ นาม หรือคาํ วิเศษณ์ที่ลงท้าย -yas, -vas, หรือ -ivas
2. วิธีการผนั มีข้อควรจาํ ดงั น้ี (ดูตารางพยญั ชนะสนธิ ประกอบด้วย)
2.1. c.1 s. ให้ทํา -aḥ เปน็ เสียงยาว คือ -āḥ
2.2. เมื่อผสมกบั วิภกั ติทีข่ ึ้นต้นด้วยพยัญชนะโฆษะ คือ วิภกั ติทีข่ ึ้นต้นด้วย
bh- เช่น bhyam¥ ให้ทาํ ตามกฎสนธิภายใน คือ -aḥ + โฆษะ = o
เช่น vedhas + bhya¥m = vedhobhya¥m
2.3. เมื่อผสมกบั วิภักติทีข่ ึ้นต้นด้วยพยัญชนะอโฆษะ คือ su ให้ทาํ ตามกฎ
สนธิภายใน คอื -ah‹ + su = -ahs‹ u

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 169

169

สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

2.4. เมื่อผสมกบั วิภกั ติที่เหลือซึง่ ขึ้นต้นด้วยสระท้งั หมด ให้ผสมกันได้เลย เช่น

as (ah)‹ + as (c.1 pl.) = vedhasah‹

15.3 พยัญชนะการันต์ -as นปงุ สกลิงค์
พยญั ชนะการันต์ ทลี่ งทา้ ยด้วย -as (-ah‹) นปุงสกลิงค์
ผันเหมือน manas (ใจ) ดังนี้

คาํ อธิบาย ตารางนี้ใช้สาํ หรับผนั ศพั ทต์ ่อไปน้ี
1. คํานาม คําวิเศษณ์ นปงุ สกลิงค์ ทีล่ งท้ายด้วย -as (-ah)‹ ทุกตวั เช่น yasa´ s
(เกียรติยศ) sumanas (ผู้มีใจดี) และ sr´ eyas (ดีกว่า)
2. วิธีการผนั มีข้อควรจาํ ดังน้ี (ดพู ยญั ชนะสนธิ ตาราง 2 หน้า 4 ประกอบด้วย)
3. เมือ่ ผสมกบั วิภกั ติทีข่ ึ้นต้นด้วยพยัญชนะโฆษะ คือ วิภกั ติที่ขึ้นต้นด้วย bh-
เช่น bhyam¥ ให้ทาํ ตามกฎสนธภิ ายใน คือ ah‹ + โฆษะ = o
เช่น manah‹ + bhyas = manobhyah‹
4. เฉพาะวิภกั ติที่ 1 2 และ 8 พหพุ จน์ ซึ่งเปน็ วิภักติแข็ง คือ i ให้ทาํ สระหน้า h‹
(คือ a ) ให้เปน็ เสียงยาว คือ a¥ ก่อน แล้วจึงซ้อน เสียงนาสิก (nasal) คือ
m‹ (อนสุ ฺวาระหรือนิคหิต) หน้า s ซึ่งเปน็ พยญั ชนะเศษวรรค ที่ตามหลังมา
5. นอกจากนี้ ผนั และใช้กฎเดยี วกนั กบั ข้อ 15.2

15.4 พยญั ชนะการนั ต์ -is นปงุ สกลิงค์
ศัพท์ทีล่ งทา้ ยด้วย -is มีเฉพาะนปงุ สกลิงค์ ผนั เหมือน havis (เครือ่ งสังเวย) ดังนี้

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 170

170

สันสกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

คาํ อธิบาย ตารางนี้ใช้สาํ หรับผนั ศพั ท์ต่อไปน้ี
1. คํานาม คําวิเศษณ์ นปงุ สกลิงค์ ทีล่ งท้ายด้วย -is (iḥ) ทกุ ตัว เช่น jyotis
(แสง, ดวงดาว) rocis (สิ่ง)ทีม่ ีความร่งุ โรจน์) และ udarcis (สิง่ ) ที่มรี ศั มี
= ud + arci)
2. วิธีการผนั มีข้อควรจํา ดงั น้ี (ดูตารางพยัญชนะสนธิ บทที่ 12 ประกอบด้วย)
1.1 เมือ่ ผสมกบั วิภกั ติทีข่ ึ้นต้นด้วยพยญั ชนะโฆษะ คือ วิภกั ติทีข่ ึ้นต้นด้วย
bh- เช่น bhyām ให้ทําตามกฎสนธิภายใน คือ ih‹ + โฆษะ = r
เช่น havih‹ + bhis = havirbhih‹
1.2 เฉพาะวิภักตทิ ี่ 1 2 และ 8 พหุพจน์ ซึง่ เปน็ วิภักติแข็ง ให้ทาํ สระ i
หน้า ḥ ให้เปน็ เสียงยาว คอื ≠ ก่อน แล้วจึงซ้อน เสียงนาสิก (nasal)
คือ m‹ (อนสุ วฺ าระหรือนิคหิต) หน้า s เช่น = havis > hav≠s >

havīṃs + i = havīṃsi

15.5 พยัญชนะการนั ต์ -us นปุงสกลิงค์

ศพั ท์ทีล่ งท้ายด้วย -us มีเฉพาะนปุงสกลิงค์ ผนั เหมือน ay¥ us (อายุ) ดงั นี้

คาํ อธิบาย ตารางนี้ใช้สาํ หรบั ผนั ศพั ท์ต่อไปนี้
1. คาํ นาม คําวิเศษณ์ นปงุ สกลิงค์ ทีล่ งท้ายด้วย -us (uh‹) ทกุ ตัว เช่น
caksu‹ s (ดวงตา, จกั ษ)ุ dhanus (ธนู) และ d≠rgha¥yus (สิ่ง) ทีอ่ ายุ
ยืน)
2. นอกจากนี้ ผนั และใช้กฎเดยี วกนั กับตารางข้อ 15.4

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 171

171

สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

15.6 คําวิเศษณ์ (คุณศัพทห์ รอื คาํ ขยาย – Adjectives)

คาํ วิเศษณ์ (คาํ คุณศพั ท์หรือคําขยาย) ในภาษาสันสกฤต หมายถึง คาํ ทีแ่ สดงลกั ษณะ
ของคาํ นามทีม่ ันขยาย เพื่อให้เราร้ถู ึงลักษณะต่างๆ ของคํานามน้นั ๆ เช่น ดี ร้าย สูง ต่ํา ดาํ
ขาว เปน็ ต้น

คําวิเศษณ์มกั จะเรียงไว้ข้างหน้าของคาํ ทีม่ ันขยาย เช่น ในภาษาไทย วลีว่า “คนดี”
เมือ่ แปลงเปน็ ภาษาสันสกฤต ต้องเรียงสลบั กัน เปน็ “sa¥dhus (ดี) janas (คน)” แต่กม็ ีบาง
กรณีทีต่ ้องเรียงไว้ข้างหลงั คําที่ถูกขยาย เช่น ในกรณีทีป่ ระโยคทีม่ ีกริยาว่า มี, เปน็ หรือ
verb to be ในภาษาองั กฤษ ดงั ในประโยคว่า “เขา เปน็ คนดี” แปลงเป็นภาษาสนั สกฤต
จะได้ “sa (เขา) sa¥dhus (คนดี) asti (เปน็ )” จะเห็นได้ว่า sa¥dhus จะเรียงไว้หลงั sa
ซึ่งเปน็ คําที่ถกู ขยาย

คําวิเศษณ์ไม่มีแบบผนั เฉพาะแต่ละศพั ท์เหมือนคํานามทวั่ ไป ดงั น้นั ต้องอาศยั แบบ
ผนั ของคาํ นาม โดยทีส่ าํ คัญคือ ต้องผนั ตามลิงค์ของคาํ ที่ถกู ขยาย เช่น เมือ่ ขยายปุงลิงค์ ก็
ต้องผันเปน็ ปงุ ลิงค์ เมื่อขยายสตรีลิงค์กต็ ้องผนั เปน็ สตรีลิงค์ เปน็ ต้น ดังน้นั คาํ วิเศษณ์จึงผัน
ได้ท้ัง 3 ลิงค์

15.7 การผนั คาํ วิเศษณ์ (คุณศพั ทห์ รือ คําขยาย – Adjectives)

ข้อสาํ คญั ที่สดุ ของการผนั คาํ วิเศษณ์ คือ จะต้องผนั ให้มีลิงค์ พจน์ และวิภกั ติ ให้

เหมือนกับ คํานามถกู ขยาย (ใหส้ งั เกตดี ๆ ว่า การนั ต์ ไม่จําเปน็ ต้องเหมือนกนั ) ดังจะยก
คาํ วิเศษณ์ว่า “priya - นา่ รกั ” มาผนั ทง้ั 3 ลิงค์ แล้วใช้ขยายคาํ นามให้เปน็ ตวั อย่าง

ลิงค์ ผนั priya ตวั อยา่ งการใช้ขยายคํานาม ความหมาย
ปงุ ลิงค์ priyah‹ putrah‹ ขยาย a การนั ต์ บุตรทีน่ ่ารกั
priyah‹ priyah‹ pita¥ ขยาย r‹ การนั ต์ พ่อทีน่ ่ารกั

a การนั ต์ priya¥ kanya¥ ขยาย a¥ การนั ต์ ลูกสาวที่นา่ รกั
priya¥ patn≠ ขยาย ≠ การันต์ ภรรยาทนี่ ่ารกั
สตรีลิงค์ priya¥
a¥ การนั ต์ priyam mitram ขยาย a การันต์ เพือ่ นทีน่ ่ารกั
priyam na¥ma ขยาย -an การนั ต์ ชื่อที่น่ารกั
นปงุ สกลิงค์ priyam
a การันต์

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 172

172

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

ตวั อย่าง ในตารางข้างต้น เปน็ การผนั เฉพาะวิภกั ติที่ 1 ทีใ่ ช้เปน็ ประธาน ในตาราง
ด้านล่างต่อไปนี้ จะแสดงให้เหน็ ถึงวิภกั ติอื่นๆ ที่คาํ วิเศษณ์ต้องมี ลิงค์ วิภกั ติ และพจน์
ตรงกนั กบั คาํ นามทีถ่ ูกขยาย เช่นเดียวกนั

ลิงค์ ผัน priya ตัวอยา่ งการใช้ขยายคาํ นาม ความหมาย
ปงุ ลิงค์ priya¥n‹am¥ (c.6 pl.) priyan¥ a‹ m¥ ‹ putra¥n‹a¥m ของพวกลกู ทีน่ ่ารกั
สตรีลิงค์ priyaya¥ (c.3 s. priyaya¥ patnya¥ กบั ภรรยาทีน่ ่ารกั
นปุงสกลิงค์ priye (c.7 s.) priye na¥mni ในชือ่ ทนี่ ่ารกั

คาํ วิเศษณ์ ปุงลิงค์และนปงุ สกลิงคท์ ีล่ งทา้ ยด้วยสระ a
เมือ่ ผนั เป็นสตรีลิงค์ จะลงท้ายดว้ ยสระ a¥ ทุกตัวหรือไม่ ?

ในตาราง 1-2 เราจะเหน็ ว่า คําวิเศษณ์คือ priya เมือ่ ผันเป็น ปงุ ลิงค์ และ
นปงุ สกลิงค์ จะลงท้ายด้วยสระ a แต่เมือ่ ผนั เป็น สตรีลิงค์ จะลงท้ายด้วยสระ a¥ เปน็
priya¥ ถามวา่ คําวิเศษณ์ที่ลงท้ายด้วยสระ a จะใช้กฎนี้ทกุ ตวั หรือไม่ ? คาํ ตอบ คือ ไม่
เพราะมีคาํ วิเศษณ์บางตวั ทีแ่ ม้ปงุ ลิงค์ และนปงุ สกลิงค์ จะลงท้ายด้วย สระ a แต่เมื่อนาํ มา
ขยายคํานามสตรีลิงคแ์ ล้ว จะเปลี่ยนคาํ ลงท้ายเป็นสระ ≠ คําวิเศษณ์เหล่าน้นั คือ

1. คําวิเศษณ์ที่มที ี่มาจากจาํ นวนนบั ลาํ ดบั ที่ ต้งั แต่ที่ 4 เปน็ ต้นไป เช่น

ศัพท์จํานวนบั ลําดับที่ ปุงลิงค/์ นปงุ สกลิงค์ สตรีลิงค์

caturtha ท่ี 4 caturtha caturth≠

panªcama ที่ 5 panªcama pancª am≠

as‹t‹a¥das´a ที่ 18 as‹t‹a¥dasa´ as‹ta‹ d¥ as≠´

2. คําวิเศษณ์บางศพั ทท์ ีม่ ีทีม่ าจากคาํ นาม ชนิดทีเ่ รียกว่า ตัทธิต (tad-dhita) เช่น

ศัพทน์ าม ศัพท์ตัทธิต ปงุ ลิงค/์ นปงุ . สตรีลิงค์ ความหมาย

s´iva sa´ iva s´aiva s´aiv≠ ผูน้ บั ถือพระศิวะ

gandharva ga¥ndharva ga¥ndharva gan¥ dharv≠ เป็นพวกคนธรรพ์

3. คําวิเศษณ์ทีม่ ีทีม่ าจากปจั จัยตทั ธิต คือ -maya และ -tana เช่น

ศพั ท์เดิม +maya, tana ปงุ ลิงค/์ นปงุ . สตรีลิงค์ ความหมาย

cin cinmaya cinmaya cinmay≠ มีใจบริสทุ ธิ์

adya adyatana adyatana adyatan≠ เป็นของวนั น้ี,ทันสมัย

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 173

173

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)

4. คาํ วิเศษณ์พิเศษ ที่เมื่อเป็นสตรีลิงค์ ต้องลงท้ายด้วย สระ ≠ เช่น

ปงุ ลิงค/์ นปงุ สกลิงค์ สตรีลิงค์ ความหมาย

codana codan≠ ผู้/เครือ่ งกระต้นุ

taruna‹ tarun‹≠ เป็นวยั รนุ่ , หน่มุ , ดรุณ

puran¥ ‹a pura¥n≠‹ เก่าแก่, โบราณ

sadr‹sa´ sadrs‹ ≠´ เหมือนกนั , เช่นกนั

sundara sundar≠ งาม, ดี

จะรูไ้ ด้อย่างไรวา่ คําวิเศษณใ์ ด จะผนั ตามคาํ นามใด การันตใ์ ด?

ในตารางท้งั สองข้างต้น เราจะเหน็ ว่า คาํ วิเศษณ์คือ priya จะลงท้ายด้วยสระ a

หรือ a¥ ซึง่ เป็นลกั ษณะส่วนใหญ่ของคาํ วิเศษณ์ในภาษาสนั สกฤต แต่ก็มีคําวิเศษณ์อีกจาํ นวน

หนึ่งทีไ่ ม่ได้ลงท้ายด้วย สระ a หรือ a¥ แต่ลงท้ายด้วยสระอื่น หรือพยญั ชนะ

คาํ วิเศษณ์ ทุกตัวจะมีคาํ ลงท้ายเหมือนคํานาม คือ มีท้งั ทีล่ งท้ายด้วยสระ เช่น

priya (ลงท้ายด้วยสระ a), guru แปลว่า หนกั (ลงท้ายด้วยสระ u) และมีท้งั ทีล่ ง

ท้ายด้วย พยญั ชนะ เช่น sumanas แปลว่า มใี จดี (ลงท้ายด้วย -as)

การผนั คาํ วิเศษณ์ทีไ่ ม่ได้ลงท้ายด้วยสระ a เหล่านี้ อนั ดับแรกต้องดกู ่อนว่า คําวิเศษณ์

น้ัน ลงทา้ ยดว้ ยสระ หรือพยัญชนะ และเปน็ การันตใ์ ด

ต่อจากน้นั จึงนําไปผนั ตามแบบผนั ของคาํ นาม (คือ ผนั ตามตารางผันคาํ นามท้งั หมด

ตามทีเ่ ราได้เรียนมา) (กล่มุ คาํ นามทีผ่ นั เฉพาะตวั หรือ พิเศษไมใ่ ช้เปน็ ต้นแบบในการผนั คํา

วิเศษณ์)

การผันน้นั ต้องคํานึงถึงเรื่อง การันต์ของคาํ วิเศษณ์นน้ั ๆ เปน็ อันดับแรก (แต่โปรดจํา

ไว้ว่า “การันต์ของคาํ นามทีถ่ กู ขยาย ไม่ใชป่ จั จยั สาํ คัญทีจ่ ะทาํ ใหค้ าํ วิเศษณต์ ้องผันตาม

การนั ต์ของคํานามทีถ่ ูกขยายนน้ั ”) ต่อมาคือ ลิงค์ วิภักติและพจน์ ของ คาํ นามทีถ่ ูกขยาย

เปน็ สิง่ สาํ คัญรองลงมา ดังตวั อย่าง

guru (หนัก) เมื่อขยาย bha¥ra (งาน, ภาระ เปน็ ศพั ท์ a การนั ต์ ปงุ ลิงค์)

guru จะไมผ่ นั ตาม a การนั ต์ ปงุ ลิงค์ แต่ผันตาม u การนั ต์ ปงุ ลิงค์ แทน โดยต้องผนั

ให้มีวิภักติ และพจน์ ตรงกนั bhar¥ a ดังนี้

วิภักติ ผัน guru ผัน bha¥ra ความหมาย

c.1 s. gurus bha¥ras งาน, ภาระ หนกั

c. 4 s. gurave bha¥ra¥ya เพือ่ ภาระทีห่ นกั

c. 7 s. gurau bhar¥ e ในภาระทหี่ นกั

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 174

174

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

ในทาํ นองเดียวกัน sumanas (มีใจดี) เมื่อขยาย mitra (แปลว่า เพื่อน เป็นศพั ท์
a การนั ต์ นปุงสกลิงค์) sumanas จะไม่ผนั ตาม a การนั ต์ นปุงสกลิงค์ ซึ่งเป็นการนั ต์
ของ mitra (ตวั คาํ นามที่ถูกขยาย) แต่จะผนั ตาม คาํ นามที่ลงท้ายด้วย -as การันต์ แต่

การผันตอ้ งคาํ นึงถึง ลิงค์ วิภักติ และพจน์ ของ sumanas ให้ตรงกนั กับ mitra
ดังตวั อย่าง

วิภกั ติ ผัน sumanas ผนั mitra ความหมาย
ซึง่ เพื่อนทีใ่ จดี
c.2 s. sumanah‹ mitram เพื่อเพือ่ นทีใ่ จดี
จากกล่มุ เพื่อนทีใ่ จดี
c.4 s. sumanase mitray¥ a

c. 5 pl. sumanobhyah‹ mitrebhyah‹

15.8 คาํ สมาส8

ในภาษาสันสกฤตมีวิธีการสร้างคาํ นามหรือคณุ ศัพท์โดยวการนําคาํ เหล่าน้นั มาประสม
กนั หรือนาํ มาประสมกบั ปจั จัย แล้วทําให้เกิดคาํ ใหม่และมีความหมายใหม่ด้วย วิธีการนี้ตาม
หลักภาษาสนั สกฤต เรียกวา่ วฤฺ ตตฺ ิ (vrt‹ ti) มี 5 ชนิด แต่ในทีน่ ี้เราจะศึกษากนั เพียง 3 ชนิด
รวมถึงสมาสด้วย

ที่ ชื่อวฤฺ ตตฺ ิ ลักษณะ ตัวอย่าง

1 กฺฤตฺ การสร้างคําจากธาตปุ ระสมกับ นิศากร < นิศา+กฺฤ ธาตุ + อ ปัจจยั

(kr‹t) ปจั จยั ข้นั ตน้ = ผ้สู ร้างกลางคืน = พระจันทร์

2 ตทธฺ ิต การสร้างคําจากคํานามหรือ ธรมฺ ิก < ธรมฺ + อิก ปจั จัย

(taddhita) คุณศพั ท์ประสมกับปัจจยั ข้ันที่สอง = ผ้ทู รงธรรม

3 สมาส การสร้างคาํ ประสมหรือคําสมาส ศานตฺ ิศีล < ศานฺติ+ศีล
(sama¥sa) โดยการเชื่อมคํานาม คณุ ศัพท์ = นาม + คณุ ศัพท์ (ผันเฉพาะคาํ
ท้าย)
หรืออัพยยศัพทเ์ ข้าด้วยกนั แล้ว = ผ้ใู จเยน็ , อารมณ์สงบ
นาํ ไปผันด้วยวิภักตินาม (สุป)ฺ ใช้เปน็ คาํ ขยายหรือเป็นชือ่ คน

8 สรปุ จาก Kale, Moreshwar Ramchandra. A Higher Sanskrit Grammar (for the use

of School and College Students). Delhi: Motilal Banarsidass, 1977. (reprint) pp.113-179.175

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

175

สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

1. ในภาษาสันสกฤต สมาส เปน็ ศพั ท์ทีเ่ ขียนยาวติดกนั ไม่มีการตดั คาํ ดังน้นั หากเขียน
ด้วยอกั ษรเทวนาครีบางคร้งั จะยาวเป็นบรรทัด แต่เอกสารนี้จะตดั ศัพท์ให้เหน็ โดยการใช้อกั ษร
โรมนั ในการอธิบาย และตัดคําทีน่ ํามาสมาสกนั ด้วยเครอื่ งหมาย hyphen -

2. ความหมายของคําว่า “สมาส” คือ นํามารวมกนั (สํ + อาส) คือ การนาํ เอา
คํานาม คณุ ศัพท์ หรืออพั ยยศพั ท์ ต้งั แต่ 2 ศพั ท์ขึ้นไป มารวมเข้าด้วยกัน แลว้ นาํ ไปผนั ด้วย
วิภักตินาม (สุป)ฺ โดยมีหลกั การสาํ คัญคือ ผนั เฉพาะศพั ท์ท้ายสุดเท่าน้นั

3. โดยทั่วไป ก่อนการสมาสเปน็ ศพั ท์สมาสที่สมบรู ณ์ สมาสทกุ ชนิดจะมีการแยกศพั ท์ให้
เห็นการผนั หรือรูปเดิมของศพั ท์เหล่าน้นั ก่อน เราเรียกตามไวยากรณ์ว่า “การวิเคราะห์”
(vigraha) ตัวอย่าง

ศพั ท์สมาส คือ s≠ta¥ra¥mau วิเคราะห์ s≠ta¥ ra¥mas´ ca

4. โดยปกติ สมาส ทีส่ าํ คญั มี 6 อย่าง คือ

ที่ ชื่อสมาส ลกั ษณะเด่นของสมาส ตวั อยา่ ง คาํ แปล

1. ทวนั ทวะ นาม+นาม s≠ta¥ ra¥masc´ a - s≠ta¥ra¥mau นางสีดาและ

พระราม

2. ทวิคุ สังขยา + นาม ekam vacanam - คาํ หนึ่งคาํ ,
ekavacanam เอกพจน์

3. ตัตปุรษุ ะ นาม (c.2-7) + นาม (c.1) raj¥ naª s putrah‹ - ra¥japutrah‹ บุตร (โอรส) ของ

พระราชา

4. กรรมธารยะ คาํ วิเศษณ์ + นาม, นาม + meghas´ya¥mah‹ (คนที)่ ดาํ ดจุ เมฆ
นาม แตเ่ ปน็ วิภกั ติเดียวกนั cirakal¥ ah‹ เวลายาวนาน

อาจเชื่อมด้วย iva (เหมือน)

หรือ eva (คือ)

5. พหวุ รีหิ คําวิเศษณ์ + คาํ วิเศษณ์ bahuvr≠hih‹ (janah)‹ คนทีม่ ีข้าวเปลือก

(นามทถี่ ูกขยายไม่ปรากฏ มาก

ในสมาส)

6. อัพยยีภาวะ อพั ยยศพั ท์ + นาม หรือ คาํ yathak¥ a¥mam ตามความต้องการ

วิเศษณ์

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 176

176

สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)

15.9 ทวนั ทวะสมาส (Dwandwa or The Copulative Compounds)

1. ความหมายของคําว่า “ทวันทวะ” คือ คู่ หมายถึง การนาํ เอาคาํ นาม ทผี่ นั แล้ว

ด้วยวิภักติที่ 1 (ไม่จาํ กัดพจน์) ต้งั แต่ 2 ศัพท์ขึ้นไป มารวมเข้าด้วยกัน โดยในการ

วิเคราะห์จะใช้ศพั ท์เชื่อม คอื ca (และ) ดังตวั อย่าง

s≠ta¥-ra¥mau vigraha s≠ta¥ ra¥mas´ ca

นางสีดาและพระราม วิเคราะห์ นางสีดา และ พระราม

2. หากจํานวนของบุคคลหรือสิ่งใดกต็ ามในสมาสมีมากกว่า 2 คนหรือ 2 สิง่ สมาสน้ัน

จะต้องผนั เปน็ พหพู จน์ ดงั ตวั อย่าง

a¥car¥ yas´is‹yah¥ ‹ vigraha ac¥ ar¥ yah‹ s´is‹ya¥sc´ a
อาจารย์และเหล่าศิษย์ วิเคราะห์ อาจารย์ (หนึง่ คน) และ ศิษย์หลายคน

3. ทวนั ทวะ ทนี่ าํ ศพั ท์ต้งั แต่ 3 ศัพท์มาสมาสกัน จะต้องผันเปน็ พหพู จน์ ดงั ตวั อย่าง

asv´ a-gaja-mrg‹ a¥h‹ vigraha as´vo gajo mrg‹ asc´ a

ม้า ช้างและกวาง วิเคราะห์ ม้า ช้าง และ กวาง

4. ลิงค์ (เพศ) ของ ทวนั ทวะ ผันตามคํานามทีอ่ ย่ทู ้ายสมาส

ดงั ตวั อย่าง ท้งั สองนี้ดเู ทียบกัน

s≠ta-¥ ra¥mau vigraha s≠ta¥ ra¥mas´ ca

นางสีดาและพระราม วิเคราะห์ นางสีดา และ พระราม

ram¥ a-s≠te vigraha ram¥ ah‹ s≠ta¥ ca
พระรามและนางสีดา วิเคราะห์ พระรามและนางสีดา

5. ทวันทวะ ทเี่ ป็นนามธรรม หรือ abstract noun ทีน่ ิยมเปน็ เอกพจน์ นปงุ สกลิงค์

อย่างเดียว ดงั ตัวอย่าง

sukha-duh‹kham vigraha sukham‹ duhk‹ ham‹ ca

สุข-ทกุ ข์ วิเคราะห์ สขุ และ ทุกข์

15.10 ทวิคสุ มาส (Dwigu-Numeral or Appositional Compounds)

ความหมายของคําว่า “ทวิคุ” คือ “วัวสองตวั ” สมาสนี้มีคาํ ส่วนหน้าเป็นสงั ขยาคณุ ศพั ท์
และคําส่วนหลงั เปน็ นาม แปลตามความหมายของคาํ แปลจากคําส่วนหลังไปหาคาํ ส่วนหน้า
สมาสชนิดนี้ทาํ หน้าทีเ่ ปน็ นาม แบ่งออกเปน็ ชนิดย่อยได้ 2 ชนิด คือ

1. เอกวัทภาวีทวิคุ หรือ สมาหารทวิคุ เป็นสมาสที่มีคําส่วนหน้าเป็นสังขยาคณุ ศัพท์
(ปกติสังขยา) และคาํ ส่วนหลงั เปน็ นาม สาํ เรจ็ รูปเปน็ a การันต์ นปงุ สกลิงค์ เอก

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 177

177

สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)

วจนะ หรือ ī การนั ต์ สตรีลิงค์ เอกวจนะ แม้ความหมายจริงจะเป็นการนั ต์ใด ลิงค์
ใด เป็นทวิวจนะหรือพหุวจนะกต็ าม เช่น trilokam / trilokī โลกสาม, สามโลก

vigraha trayāṇāṃ lokānāṃ samāhāraḥ trilokam / trilokī

วิเคราะห์ การรวมกนั แห่งโลกท้งั หลาย สาม ชื่อว่า โลกสาม

2. อเนกวัทภาวีทวิคุ หรือ อสมาหารทวิคุ เป็นสมาสที่มีคําส่วนหน้าเปน็ สงั ขยา

คณุ ศัพท์ และคาํ ส่วนหลังเปน็ คํานาม ดงั ข้อที่ 1 ข้างต้น แต่รปู สาํ เรจ็ เปน็ รปู วจนะ

ตามเนื้อความที่เปน็ จริง ตามลงิ ค์ และการันต์ ของคาํ ส่วนหลงั เช่น

saptarṣayaḥ ฤษีเจด็ ตน

vigraha sapta ca ta ṛṣayaśca saptarṣayaḥ
วิเคราะห์ ฤษีท้งั หลาย เหล่าน้นั ด้วย เจด็ ตนด้วย ชื่อว่า ฤษีเจด็ ตน

15.11 ตตั ปรุ ษุ ะสมาส (Tatpuruṣa or The Determinative Compounds)

1. ความหมายของคาํ ว่า “ตตั ปรุ ษุ ะ” คือ “ผ้ชู ายของเขา” หมายถึง สมาสที่นาํ ศัพท์

ต้งั แต่ 2 ศัพท์ขึ้นไป มารวมกัน โดย “ศัพท์หน้า” มีความหมายตามวิภกั ตินาม (สปุ ฺ)
คือ ต้งั แต่วิภกั ติที่ 2 ถึง วภิ กั ติที่ 7 (ยกเว้นวิภกั ติที่ 1 และ 8) แต่ “ศพั ท์หลงั ” ทํา
หน้าทีเ่ ปน็ “ประธาน” หรือ เปน็ ศพั ท์หลกั ทีต่ ้องนาํ มาผันตามลกั ษณะของศพั ท์หลงั
น้นั ๆ แล้วจึงนาํ มาใช้ในประโยคได้

ในการวิเคราะห์ของ “ตตั ปุรุษะ” น้ี จะใช้วิภกั ตนิ าม (สปุ ฺ) ต้งั แต่ วิภกั ติที่ 2
– 7 เปน็ ตวั เชือ่ ม ต่อไป คือ ตัวอย่าง พร้อมการวิเคราะห์ ของ “ตตั ปรุ ษุ ะ” แต่ละวิภกั ติ

2. “ทวฺ ิตียตตั ปรุ ษุ ะ” ดงั ตวั อย่าง

gra¥magatah‹ vigraha gram¥ am‹ gatah‹

(ผู้,ที)่ ไปยงั บ้าน วิเคราะห์ ไป ยงั บ้าน

3. “ตฤตียตตั ปรุ ษุ ะ” ดงั ตวั อย่าง

devadattah‹ vigraha deven / devaih‹ dattah‹
(ผ้,ู ที)่ มอบให้โดยเทวดา วิเคราะห์
อนั เทวดา (ท้งั หลาย) มอบให้แล้ว
pitrs‹ amah‹ vigraha
pitra¥ samah‹
(ผ้,ู ที่) เหมือนพ่อ วิเคราะห์
เหมือน กับพ่อ

4. “จตุรถฺ ีตตั ปรุ ษุ ะ” ดงั ตัวอย่าง

karna‹ sukham vigraha karna‹ y¥ a / karn‹a¥bhyam¥ ‹ sukham

(ที)่ สบายหู วิเคราะห์ สบาย ต่อหู

สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 178

178

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)

5. “ปัญจมีตัตปรุ ษุ ะ” ดังตัวอย่าง

svargapatitah‹ vigraha svarga¥t patitah‹

(ผ้,ู ที)่ ตกจากสวรรค์ วิเคราะห์ ตกแล้ว จากสวรรค์

pran¥ ‹a¥dhikah‹ vigraha pra¥ne‹ bhyah‹ adhikah‹
(ผู้,ที่) เปน็ ยงิ่ กว่าชีวิต วิเคราะห์
เปน็ ยิง่ กว่าลมหายใจ (รกั มาก)
6. “ษษฺฐตี ตั ปุรษุ ะ” ดังตัวอย่าง
raj¥ nªah‹ putrah‹
raj¥ aputrah‹ vigraha
บตุ ร (โอรส)พระราชา วิเคราะห์ บตุ ร ของพระราชา

harijana¥h‹ vigraha hareh‹ jana¥h‹
คนของพระหริ (วษิ ณุ) วิเคราะห์
ผ้คู น ของพระหริ
7. “สปตฺ มีตตั ปรุ ษุ ะ” ดงั ตวั อย่าง
samg‹ are antah‹
samg‹ ara¥ntah‹ vigraha
สดุ ท้าย ในสงคราม
(ผู้) ตายในสงคราม วิเคราะห์

15.12 กมั มธารยะสมาส (Karmadhāraya or The Appositional)

ความหมายของคําว่า “กรรมธารยะ” คือ “รองรบั กรรม” จัดเปน็ ส่วนหนึง่ ของ

“ตัตปรุ ษุ ะสมาส” แต่มีลกั ษณะเฉพาะ คือ “ศพั ทห์ นา้ ” และ “ศัพทห์ ลัง” เมื่อแยกกนั ใน
การวิเคราะห์แล้ว จะมีวิภกั ติ พจน์ เหมือนกนั (ลิงค์ อาจต่างกนั ได)้

กรรมธารยะ แบ่งเปน็ 4 ลกั ษณะตามความหมาย ดงั นี้

1. “วิเศษณ์ + นามประธาน” ดงั ตวั อย่าง

ciraka¥lah‹ vigraha cirah‹ ka¥lah‹

เวลา นาน วิเคราะห์ เวลา นาน

sarvalokah‹ vigraha sarvah‹ lokah‹

ชาวโลกท้งั มวล วิเคราะห์ ชาวโลก ท้งั หมด

vrd‹ dhakumar¥ ≠ vigraha vr‹ddha¥ kumar¥ ≠

หญิงทึนทึก วิเคราะห์ สาว แก่

2. “วิเศษณ์ + วเิ ศษณ์ (ประธาน)” ดงั ตัวอย่าง

ramyadar¥ una‹ h‹ vigraha ramyah‹ dar¥ una‹ s´ca

ท้งั รืน่ รมย์ท้งั โหดร้าย วิเคราะห์ (คน) ทที่ ้งั น่าอภิรมย์และท้งั โหดร้าย

p≠taraktam vigraha p≠tam‹ raktam‹ ca

ท้งั เหลืองและแดง วิเคราะห์ ท้งั เหลือง และ แดง

kr‹tak¥ rt‹ am vigraha kr‹tam‹ akrt‹ am‹ ca
(กรรม) ทที่ ้งั ทําและไม่ทาํ วิเคราะห์ ท้งั ทาํ แล้ว และ ไม่ได้ทํา

สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 179

179

สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)


Click to View FlipBook Version