เรียนคาํ ศัพท์ภาษาสันสกฤต จากภาพ
vṛddhaḥ mayūraḥ
คนแก่ นกยงู
hariṇaḥ daṇḍaḥ
กวาง ท่อนไม้
bhallūkaḥ bhikṣukaḥ
หมี
ขอทาน
aśvaḥ chātraḥ
ม้า นักเรียน
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 30
30
สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
chātrā นกั เรียน (หญิง) adhyāpikā ครู (หญิง)
patrikā หนังสือพิมพ์ pustikā หนงั สือ(เล่มเลก็ )
pāḍhaśālā โรงเรียน gośālā โรงเลี้ยงวัว
makṣikā แมลงวัน pipīliikā มด(ดาํ หรือแดง)
***** จบ บทที่ 2 ***** 31
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
31
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
แบบฝึกหดั ที่ 2
จงปริวรรตเปน็ อกั ษรเทวนาครี หรือ อกั ษรโรมนั จากข้อความตามที่ให้ไว้
1. jarā ru¥pam‹ harati
2. vṛttena bhavatyāryo na dhanena na vidyayā
3. kālaḥ pacati bhūtāni / kālaḥ saṃharate prajāḥ
4. na gardabho gāyati sikṣito’ pi
5. tyaja hiṃsāṃ bhaja dharmam /
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 32
32
สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 3
กริยาในภาษาสนั สกฤต, สุพนั ตะ และติงนั ตะ
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 33
33
สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
ขอบข่ายการศึกษา
1. กริยาหลกั ในภาษาสันสกฤต (อาขยาต หรือ ติงนั ตะ)
2. ส่วนประกอบทีส่ ําคัญของกริยาอาขยาต คือ ธาตุ ปรตั ยยะ และวิภกั ติ
3. ส่วนประกอบทีส่ ําคัญของกริยากล่มุ ที่ 1 (หมวด 1, 4, 6, 10)
4. ศัพท์ทไี่ ม่ต้องผันในภาษาสนั สกฤต (อปุ สรรค และนิบาต)
5. ความหมายของ สุพนั ตะ และ ติงนั ตะ
6. การผนั คํานามด้วยวิภักติที่ 1-2 (dev) อ การนั ต์ในปงุ ลิงค์ (fl) อ การันต์ใน
นปุงสกลิงค์ และ (kNya) อา การนั ต์ในสตรีลิงค์
7. ท่องจาํ คําศพั ท์เพิ่มเตมิ (อัพยยศัพท์)
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพือ่ ให้มีความร้เู รือ่ งกริยาหลกั ในภาษาสนั สกฤต และส่วนประกอบทีส่ าํ คัญของกริยา
อาขยาต ในเบื้องต้น
2. เพือ่ ให้เข้าใจคาํ ศพั ท์ทไี่ ม่ต้องผัน และการผันคาํ นามในเบื้องต้น
3. เพือ่ ให้สามารถเขียนสระและพยัญชนะภาษาสันสกฤตทีเ่ ปน็ อกั ษรเทวนาครี, อกั ษรโรมนั
และอกั ษรไทย พร้อมท้งั แยกส่วนประกอบของคาํ สันสกฤตออกจากกนั
4. เพื่อให้รู้จักคาํ ศัพท์ภาษาสนั สกฤต และความหมายของคาํ ศัพท์ ซึง่ ใช้บ่อยในภาษา
สันสกฤต
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 34
34
สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 3
กริยาในภาษาสันสกฤต, สุพันตะ และติงนั ตะ
สตู รที่ 2 = คํากริยาภาษาสนั สกฤต มี 3 บรุ ษุ ดจุ ภาษาอืน่ แตม่ ี 3 พจน์ จดจาํ ได้ด้วย
3.1 กริยาหลักในภาษาสันสกฤต
1) ในภาษาสันสกฤต กริยาหลัก หรือกริยาสําคัญที่สุดในประโยค เราเรียกว่า
กริยาอาขยาต (ทางไวยากรณ์เรียกว่า ติงนั ตะ)
2) กริยาอาขยาต มีส่วนประกอบที่สาํ คญั ทีส่ ดุ อยู่ 3 ส่วน คือ
ส่วนแรก รากศัพท์ หรือที่เรียกตามหลักไวยากรณ์ว่า ธาตุ แบ่งเป็น 10 หมวด
(ทางไวยากรณ์เรียกว่า คณะ)
ส่วนที่สอง คือ สิ่งที่นํามาใช้บ่งบอกหมวดธาตุท้ัง 10 ที่เรียกว่า ปรัตยยะ หรือ
ปัจจัย (ศัพท์ทางไวยากรณ์เรียก ศัพท์ที่มาจาก ธาตุและปัจจัยประสมกันเรียบร้อยแล้วว่า
อังคะ (ภาษาองั กฤษเรียกว่า stem)
ส่วนทีส่ าม คือ สิ่งทีน่ ํามาใช้ผนั กริยาให้มีความหลากหลาย ที่เรียกว่า วิภักติ (ศัพท์
ทางไวยากรณ์เรียกว่า ติง) ประกอบอย่ทู ้ายสดุ สามารถบอก กาล พจน์ หรือจํานวนนบั บรุ ษุ
และวาจก (voice) ของกริยาหลักตวั น้ัน ๆ ได้
3.2 ส่วนประกอบของกริยากลุม่ ธาตทุ ี่ 1 (หมวด 1, 4, 6, 10)
มีส่วนประกอบทีส่ าํ คญั ดังตารางต่อไปนี้
ธาตุ (คณะ) + ปจั จยั (องั คะ) + วิภักติ (ติง) = กริยาอาขยาต (ติงนั ตะ)
ตวั อย่าง กริยาอาขยาต คอื ไป ภาษาสนั สกฤตใช้คาํ ว่า รกฺษฺ ธาตุ แปลว่า
ปกป้อง
rakṣ ธาตุ + a ปจั จยั + ti วิภักติ (ติง) = rakṣati (ติงนั ตะ)
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 35
35
สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
กริยาอาขยาตที่ผันสําเร็จรปู แล้ว แบ่งได้เปน็ 3 บุรษุ 3 พจน์ สังเกตได้ทที่ า้ ยคาํ
ดังนี้
บรุ ษุ ที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
3 ประถมบุรษุ rakṣati
rakṣataḥ rakṣanti
เขาปกป้อง
2 มธั ยมบรุ ษุ rakṣasi เขาท้งั สองปกป้อง พวกเขาปกป้อง
ท่าน, เธอปกป้อง rakṣathaḥ rakṣatha
1 อตุ ตมบุรษุ rakṣāmi
ท่าน, เธอท้งั สองปกป้อง พวกท่าน, พวกเธอปกป้อง
ฉันปกป้อง
rakṣāvaḥ rakṣāmaḥ
เราท้งั สองปกป้อง พวกเราปกป้อง
3.3 คาํ นามและคํากริยาภาษาสนั สกฤตเพิ่มเติม
สตู รท่ี 3 = กริยาและนาม จาํ ต้องผ่านวิภกั ตผิ ัน สร้างเป็นประโยคได้โดยพลัน ไม่สาํ คัญว่าอยตู่ ําแหน่งใด
สูตรที่ 4 = อุปสรรคและนิบาต ไม่ต้องผ่านวิภกั ติผนั เชื่อมความหรือประโยคได้โดยพลนั แต่สาํ คญั ต้องถูกตาํ แหน่ง
ตน
สตู รที่ 6 = ติงนฺตะ คือ กริยาผนั แล้วด้วยวิภักติ สังเกตชัดวภิ ักติ ติงฺ อยู่ท้ายคํา
3.4 ศพั ท์ที่ไมต่ อ้ งผันในภาษาสันสกฤต
ในภาษาสันสกฤต คาํ ศัพท์ทไี่ ม่ต้องนํามาผนั สามารถนําไปใช้ได้เลย มี 2 ประเภท คือ
1) อุปสรรค คือ ศัพท์ที่ใช้ประสมหน้าคํากริยาให้มีความหมายมากขึ้น เช่น
gacchati แปลว่า ไป แต่ avagacchati แปลว่า เข้าใจ
ใช้ประสมหน้าคํานามให้มีความหมายมากขึ้นอีก เช่น rājan แปลว่า
พระราชา, พระเจ้าแผ่นดิน แต่เพิ่ม adhi ข้างหน้าเป็น adhirāja แปลว่า
พระราชาผ้ยู ิ่งใหญ่ (ในคําว่า ราชาธิราช)
ava และ adhi ที่เพิ่มเข้ามาข้างหน้า เรียกตามไวยากรณ์ว่า อุปสรรค
(upasarga หรือ Prefix ในภาษาองั กฤษ) มีท้งั หมด 20 ศัพท์เท่าน้ัน
2) นิบาต คือ ศัพท์ที่มีความหมายเฉพาะตัว มีจํานวนและความหมายหลากหลาย
แต่ลักษณะทีส่ าํ คัญคือ ไม่ต้องผัน เช่น kutra แปลว่า ทีไ่ หน ca แปลว่า และ
นําไปใชใ้ นประโยคว่า kutra vasasi แปลว่า ท่านอย่ทู ไี่ หน
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 36
36
สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
และประโยคว่า pṛcchasi ca avagacchāmi ca แปลว่า ท่านถาม และ
ฉนั เข้าใจ
kutra และ ca ไม่ว่าไปอย่ทู ี่ไหนในประโยคก็ไม่ต้องผนั เรียกตามไวยากรณ์
ว่า นิปาต (nipāta)
อุปสรรค และนิบาต รวมเรียกว่า อัพยยศัพท์ แปลว่า ไม่ต้องผัน ภาษาอังกฤษเรียก
indeclinable
3.5 สุพันตะ และ ติงันตะ
ในภาษาสันสกฤต คาํ ศพั ท์ทไี่ ม่ต้องนาํ มาผัน สามารถนําไปใช้ได้เลย มี 2 ประเภท คือ
1) ติงนฺตะ คือ คํากริยาหลักที่ผันแล้ว ที่เรียกเช่นน้ี เพราะผันด้วยวิภักติที่ใช้ผัน
กริยา ซึ่งทางไวยากรณ์เรียกว่า ติงฺ (ติงฺ + อนฺต แปลว่า ลงท้ายด้วย ติง วิภักติ)
2) สุพนฺตะ คือ คํานามที่ผันแล้ว ที่เรียกเช่นน้ี เพราะผันด้วยวิภักติที่ใช้ผันนาม ซึ่ง
ทางไวยากรณ์เรียกว่า สปุ ฺ (สุปฺ + อนตฺ แปลว่า ลงท้ายด้วย สปุ ฺ วิภกั ติ)
คาํ นาม แบ่งได้เป็น 3 เพศ นํามาผนั ตามเพศ และการันต์ แบ่งเป็น 3 พจน์ สังเกตได้ที่ท้ายคํา
ดงั นี้
deva dev เทวดา เปน็ ปงุ ลิงค์ อ การันต์ (ผนั เฉพาะวิภกั ติที่ 1,2 ก่อน)
วิภกั ติที/่ พจน์ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์
วิภักติที่ 1 dev" devO deva"
(ประธาน)
devaḥ devau devāḥ
วิภกั ติที่ 2 devm( devO devan(
(กรรม)
devam devau devān
phala fl ผลไม้ เป็น นปุงสกลิงค์ อ การนั ต์ (เฉพาะวิภักติที่ 1 และ 2)
วิภักติที/่ พจน์ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
วิภักติที่ 1 flm( fle flain
(ประธาน)
phalam phale phalāni
วิภักติที่ 2 flm( fle flain
(กรรม)
phalam phale phalāni
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 37
37
สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
kanyā kNya หญิงสาว, ลกู สาว เป็น สตรีลิงค์ อา การนั ต์ (ผนั เฉพาะวิภกั ติที่ 1,2)
วิภกั ติที/่ พจน์ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
วิภกั ติที่ 1 kNya kNye kNya"
(ประธาน)
kanyā kanye kanyāḥ
วิภกั ติที่ 2 kNyam( kNye kNya"
(กรรม)
kanyām kanye kanyāḥ
หมายเหตุ
ต่อแต่น้ีไป จนจบเอกสารเล่มน้ี เมื่อจะกล่าวถึง วิภักตินาม โดยย่อ จะใช้ อักษรโรมัน
ว่า c. ซึ่งย่อมาจาก Case ending แปลว่า ส่วนท้ายที่บอกการกหรือวิภักตินาม ส่วน s.
ย่อมาจาก singular – เอกพจน์, d. ย่อมาจาก dual – ทวิพจน์ และ pl. ย่อจาก plural
– พหพุ จน์ (ดูคําอธิบายอกั ษรย่อ ท้ายเล่ม)
ศัพทานกุ รม
อัพยยศพั ท์ โรมัน ไทย คําแปล
เทวนาครี อตสฺ จากทนี่ ี,่ เนือ่ งจากเหตนุ ้ี, เพราะฉะน้นั
atas อิตสฺ จากทนี่ ี่, เนื่องจากเหตนุ ้ี, ในโลกนี้
Ats( itas ยตสฺ เนือ่ งจากเหตใุ ด (ใช้คู่กบั ตตสฺ tatas)
šts( yatas ตตสฺ เนื่องจากเหตนุ ้นั , แล้ว
yts( tatas กตุ สฺ จากทใี่ ด?, จากไหน?, เพราะเหตใุ ด
tts( kutas อตรฺ ที่นี่
kuts( atra อิห ที่นี่
A] iha ยตรฺ ณ สถานทีใ่ ด, (ใช้ค่กู บั ตตรฺ tatra)
šh yatra ตตรฺ ณ สถานทีน่ ้นั , ยงั ทีน่ ้ัน
y] tatra กตุ รฺ ณ สถานทีใ่ ด?, ส่ทู ี่ใด
t] kutra กฺว ณ สถานทีใ่ ด?, ส่ทู ี่ใด
ku] kva
สรฺวตรฺ ในทีท่ ้งั ปวง, ทกุ หนทกุ แห่ง
Kv, sarvatra
svR}a
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 38
38
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
อพั ยยศพั ท์ (ตอ่ )
เทวนาครี โรมัน ไทย คาํ แปล
อถ ทีน่ ี,่ ณ บัดนี้
Aq atha อิตถฺ มฺ ด้วยประการฉะนี้, เช่นนี้
šTqm( ittham เอวมฺ ด้วยประการเช่นนี้
Ev evam ยถา ฉนั ใด (ใช้คู่กบั ตถา tathā)
yqa yathā ตถา ฉนั น้นั
tqa tathā กถมฺ อย่างไร?, ด้วยประการเช่นไร
kqm( katham อิทานีมฺ บดั น้ี
šdanIm( idānīm อธนุ า บัดนี้
A/una adhunā ยทา ในกาลใด (ใช้ค่กู ับ ตทา tadā)
yda yadā ตทา ในกาลนน้ั
tda tadā กทา ในกาลใด?, เวลาใด?
kda kadā สรวฺ ทา ในกาลทกุ เมือ่ , ในเวลาท้งั ปวง, เสมอ
svRda sarvadā สทา ในกาลทกุ เมื่อ, ในเวลาท้งั ปวง, เสมอ
sda sadā อทฺย วนั นี้
AÛ adya เอว น่นั เทียว
Ev eva อิว เพียงดัง
šv iva อิติ คําแสดงว่าข้อความ(คาํ ถูด) น้นั จบลง “ว่า”
šit iti ปุนรฺ อีก, อย่างไรกต็ าม
punr( punar ตุ อย่างไรกต็ าม, แต่
tu tu จ และ, ด้วย
c ca
***** จบ บทที่ 3 *****
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 39
39
สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
แบบฝึกหัดที่ 3
1. จงเขียนสระและพยัญชนะภาษาสันสกฤตที่เปน็ อักษรเทวนาครีและอกั ษรโรมนั
2. จงแยกส่วนประกอบของคาํ สันสกฤตออกจากกนั ตามตวั อย่างทีใ่ ห้ไว้
sumns( = s( + £ + m + A + n + A + s(
bN/u = b( + A + n( + / + £
1. l=mI = ………………………………………
2. juhoit = ………………………………………
3. AjhItam( = …………………………………….
4. kuvaRqe = ………………………………………
5. ix%r = ………………………………………
3. จงประกอบอกั ษรข้างล่างนี้เข้าเป็นคําสนั สันสกฤตตามตัวอย่างทีใ่ ห้ไว้
£ + d( + A + /( + š = £di/
p( + A + t( + n( + ¡ = pTnI
1. A + x( + v( + A = …………………
2. p( + £ + t ( + r( + A = …………………
3. x( + š + z( + y( + A = …………………
4. p( + A + r( + A + x( + £ = …………………
5. A + v( + A + l( + Aae + k( + y + A = ………….
4. จงผนั a การนั ต์ ปุงลิงค์ ดว้ ยวิภักติที่ 1, 2 ท้ัง 3 พจน์ เปน็ อกั ษรเทวนาครีและอักษรโรมนั
ด้วยคําดงั ต่อไปนี้
ram …..…… …..…… …..……
rāma …..…… …..…… …..……
……..… ……..… …..……
pu] …..…… …..…… …..……
putra …..…… …..…… …..……
…..…… …..…… …..……
……..… ……..… …..……
…..…… …..…… …..……
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 40
40
สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
5. จงผนั a การันต์ นปงุ สกลิงค์ ด้วยวิภกั ติที่ 1, 2 ท้ัง 3 พจน์ เป็นอกั ษรเทวนาครีและอักษร
โรมนั ด้วยคาํ ดงั ต่อไปนี้
/n …..…… …..…… …..……
dhana …..…… …..…… …..……
……..… ……..… …..……
=Ir …..…… …..…… …..……
kṣīra …..…… …..…… …..……
…..…… …..…… …..……
……..… ……..… …..……
…..…… …..…… …..……
6. จงผนั ā การันต์ สตรีลิงค์ ด้วยวิภกั ตทิ ี่ 1, 2 ท้งั 3 พจน์ เปน็ อกั ษรเทวนาครีและอกั ษร
โรมัน ด้วยคําดังต่อไปนี้
ivÛa …..…… …..…… …..……
vidyā …..…… …..…… …..……
……..… ……..… …..……
i.=a …..…… …..…… …..……
bhikṣā …..…… …..…… …..……
…..…… …..…… …..……
……..… ……..… …..……
…..…… …..…… …..……
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 41
41
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 4
สนธิและการผันคาํ นาม
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 42
42
สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
ขอบข่ายการศึกษา
1. ความหมายของ “สนธิ” กฎการทําสนธิ และข้อยกเว้น
2. การผันคาํ นาม (dev) อ การันต์ในปงุ ลิงค์ ด้วยวิภักตทิ ี่ 3-8
3. กฎการเปลีย่ น นฺ เปน็ ณฺ
4. คํานามทีผ่ นั แล้วด้วย สปุ ฺ วภิ ักติ พร้อมหน้าทใี่ นประโยคและคําแปล
วัตถุประสงค์
1. เพือ่ ให้ทราบความหมายของ “สนธิ” และกฎในเบื้องต้นของการสนธิ
2. เพือ่ ให้เข้าใจกฎการเปลี่ยน นฺ เปน็ ณฺ ในการผนั คํานามภาษาสนั สกฤต
3. นักศึกษาสามารถผันคาํ นาม อ การนั ต์ในปงุ ลิงค์ ด้วยวิภักติท้ัง 8 ได้
4. นกั ศึกษาทราบถึงหน้าที่และคาํ แปลของวิภักตินามท้งั 8 วิภักติ
5. เพื่อให้จดจําคาํ ศพั ท์ที่ควรร้เู พิ่มเติม
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 43
43
สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 4
สนธิและการผันคํานาม
สูตรที่ 7 = คาํ อย่ตู ิดกัน ๒ คาํ ต้องทําสนธิ เชือ่ มท้ายคาํ หน้ากบั ต้นคําหลัง
4.1 สนธิ
สนธิ คือ การเชื่อมเสียงระหว่างคําศัพท์ ให้กลมกลืนกัน เพื่อความสะดวกในการออก
เสียง ดังตัวอย่างในภาษาไทยของเรา คือ คําว่า “ใช่หรือเปล่า” เรามักจะพูดเร็ว ๆ ว่า “ใช่ป่ะ”
หรือ “เชียะ” เป็นต้น
ในการรจนาภาษาสันสกฤต โดยเฉพาะในกาพย์ กลอน และในภาษาที่ใช้ในคัมภีร์
หลกั ๆ ความสวยงามและความอศั จรรย์ของภาษาเกิดจากการสนธิ
ในประโยคหรือวลีภาษาสันสกฤต ศัพท์ต่าง ๆ ที่ผันแล้ว จะไม่มีการทําสนธิ คือ ไม่
ต้องเชื่อมต่อกันตามกฎด้านล่าง ใน 4 กรณี ต่อไปนี้
1) หากคําหน้าลงท้ายด้วยสระ คําหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ไม่ต้องทําสนธิ เช่น
deveṣu manuṣyaḥ ไมม่ ีการทําสนธิ
2) สระ 3 ตัว คือ ī, ū, e ที่อยู่ท้ายคํานามที่ผันแล้วเป็น ทวิพจน์ (dual)
ไมต่ ้องทาํ สนธิ (แต่สระ เอา - au ต้องทาํ ทกุ กรณีไม่มียกเว้น)
3) สระทุกตัว ที่อยู่ท้ายคํานามที่ผันแล้วเป็น วิภักติที่ 8 (สมฺโพธนปฺรถมา) คือ
คาํ ทักทาย ไมต่ อ้ งทาํ สนธิ
4) ผู้เขียนเจ้าของประโยคหรือวลี ไม่ต้องการให้มีการทําสนธิ หรือทําเพียง
บางส่วน
ส่วนที่เหลือนอกจากข้อยกเว้นนี้ ตอ้ งทาํ สนธิ ทกุ กรณี
กลอน - กฎไมต่ ้องสนธิ (อชฺ = สระ, หลฺ = พยญั ชนะ)
กฎห้ามทําสนธิ ท่านกล่าวว่ามี ๔
(หนึง่ ) อชฺ ท้ายคาํ หน้า มี หลฺ มา ต้นคาํ หลงั
(สอง) อี อู เอ ท้ายทวิพจน์ ไม่เปลี่ยนทาง
(สาม) คําทักทาย (สี)่ จําอ้าง ไม่อยากทาํ
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 44
44
สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
4.2 สนธิ มฺ ที่อยูท่ า้ ยคํานาม
สูตรที่ 8 = มฺ + พยญั ชนะ = นิคหิต (อนุสฺวาระ) แต่ มฺ + สระ ประสมไปเลย
ในการผนั คาํ นาม ท้งั สามลิงค์ มักจะมีคํานามทีล่ งท้ายด้วย มฺ (m) หลายวิภกั ติ คือ
1. ปุงลิงค์ วิภกั ติที่ 2 เอกพจน์ เช่น devam
2. สตรีลิงค์ วิภกั ติที่ 2 เอกพจน์ เช่น kanyām
3. และ นปงุ สกลิงค์ วิภกั ติที่ 1 และ 2 เอกพจน์ เช่น phalam
ดังน้ัน เมื่อมีการนําคํานามที่ผันแล้วมาใช้ในประโยค มักจะเกิดการสนธิ มฺ กับ คําที่
ตามมาบ่อย ๆ เราจึงสมควรทราบวิธีการสนธิ มฺ ดังน้นั
สูตรที่ 8 กฎ มฺ หรือ อนสุ ฺวาระ สนธิ
1. มฺ มีพยัญชนะตามมา ให้เปลี่ยนเปน็ อนสุ ฺวาระ โดยเขียนห่างกนั เช่น
phalam kha¥dati = phalam‹ khad¥ ati
flm( %adit = fl' %adit (เขา) กิน ผลไม้
2. มฺ มีสระตามมา ให้เขียนประสมกบั สระน้นั ได้ทันที เช่น
phalam as´vah‹ = phalamasv´ ah‹
flm( AXv" = flmXv" ผลไม้....ม้า
4.3 การผันคาํ นาม ดว้ ยวิภกั ตทิ ี่ 3-8
ดังได้กล่าวแล้ว ในบทที่ 3 ว่า คาํ นาม แบ่งได้เป็น 3 เพศ นํามาผันตามเพศ และการันต์
แบ่งเป็น 3 พจน์ สังเกตได้ที่ท้ายคํา แต่ในบทเรียนนี้ เราจะมาทําความรู้จักกับคํานามที่ผัน
ครบท้ัง 8 วิภกั ติ คําแปล และหน้าทขี่ องแต่ละคํา โดยเริม่ จากวิภักติที่ 3 และ 4
ดงั นี้
dev deva เทวดา ( อ การนั ต์ ปุงลิงค์) ผนั ด้วยวิภกั ติที่ 3-4 ได้ดังนี้
วิภักติที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์
3. tṛtīyā devena devābhyām devaih‹
ตฤฺ ตียา deven deva>yam( devW"
4. caturthī devāya devābhyām devebhyah‹
จตรุ ฺถี devay deva>yam( deve>y"
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 45
45
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
วิภักติที่ 3 เรียกตามชื่อไวยากรณ์ว่า ตฤตียา ทําหน้าที่เป็นบุรพบทเชื่อมความ มี
ลักษณะเป็นเหมือนเครื่องมือหรืออุปกรณ์ มีคําแปลว่า “ด้วย, โดย, ตาม, กับ, เพราะ ฯลฯ
...” ดังตวั อย่างประโยคต่อไปนี้
1. gajena saha ra¥mah‹ gacchati นายรามไปพร้อมกบั ช้าง
สนธิ gajena saha ra¥mo gacchati
2. asv´ ena ca ram¥ ena‹ ca saha putrah‹ ลกู ชาย อยู่ ร่วมกบั ม้า และนาย
vasati
ราม
สนธิ as´vena ca ram¥ en‹a ca saha putro
vasati
3. ba¥lab¥ hya¥m saha v≠rah‹ vasati วีระ (พระเอก) อย่รู ่วมกบั เดก็ สอง
คน
สนธิ ba¥lab¥ hya¥m‹ saha v≠ro vasati
4. mr‹gaih‹ asv´ aih‹ ca saha gajah‹ vasati ช้าง อย่รู ่วมกับพวกกวางและพวก
ม้า
สนธิ mr‹gairasv´ ais´ca saha gajo vasati
หมายเหตุ saha เปน็ ศพั ท์นิบาต ไม่ต้องผัน แปลว่า “พร้อมกบั ”
4.4 กฎการเปลีย่ น นฺ เป็น ณฺ
ในการผัน อะ การันต์ ปุงลิงค์ วิภักติที่ 3 เอกพจน์ ต้องลงท้ายด้วย -ena แต่ในบาง
กรณีต้องลงท้ายด้วย -en‹a (คือ เปลี่ยน นฺ เป็น ณฺ) ท้ังนี้เพราะการกลายเสียงตามอวัยวะ
แหล่งทีเ่ กิดเสียงนน้ั (นฺ เกิดจากฟัน ส่วน ณฺ เกิดจากโคนล้ินส่วนลึก หรือศรีษะ)
มีกฎดงั นี้
การเปลี่ยน นฺ เป็น ณฺ นี้ ต้องมีกฎครบท้งั ๓ ข้อ ดังนี้
1. ในคําน้นั ต้องมี ṛ, ṝ, r, ṣ ตวั ใดตวั หนึ่งหรือท้งั หมดกไ็ ด้อย่หู น้า n (น)
2. ระหว่าง ṛ, ṝ, r, ṣ กับ n (น) ไม่มีพยัญชนะอื่นค่ัน ยกเว้น วรรค ก (k5),
วรรค ป (p5), และ หวย (h, v, y)
3. มีสระหรือ n, m, y, v (น,ม,ย,ว หรือ น(ั ก)มวย) ตามหลังติดกบั n (น)
ดังตวั อย่าง
grāmeṇa เป็น c. 3 s. ของ grāma = หม่บู ้าน
pakṣiṇas เป็น c. 1 pl. ของ pakṣin = นก
dakṣiṇas เป็น c. 1 s. ของ dakṣiṇa = ทิศใต้
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 46
46
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
rudreṇa เป็น c. 3 s. ของ rudra = พระศิวะ
เปลี่ยน นฺ เปน็ ณฺ เพราะมีกฎครบท้ัง 3 ข้อ
ตวั อยา่ ง นฺ ทไี่ มต่ อ้ งเปลี่ยน เปน็ ณฺ
īśāna เปน็ ศพั ท์นามที่ยงั ไม่ผัน = พระศิวะ
ไม่เปลีย่ น เพราะผิดกฎข้อ 1 ไม่มี ṛ, ṝ, r, ṣ อย่หู น้า นฺ
arṇavena เปน็ c. 3 s. ของ arṇava = ทะเล, ห้วงน้ํา
ไม่เปลีย่ น n (นฺ) ตวั หลงั เปน็ ṇ (ณฺ) เพราะ ผิดกฎข้อ 2 คือ มีพยญั ชนะที่
ไม่อย่ใู น k5, p5 และ หวย (h, v, y) คน่ั
pakṣin เปน็ ศพั ท์นามที่ยงั ไม่ผนั = นก
ไม่เปลีย่ น (นฺ) เปน็ (ณ)ฺ เพราะ ผิดกฎข้อ 3 คือ นฺ ไม่มีสระตามหลงั
สรปุ กฎการเปลี่ยน นฺ เป็น ณฺ เป็นคาํ กลอน ดงั นี้
(หน้า) ฤา ฤษีขีเ่ รือมาหาหนู
(กลาง) กป5 หวย ค่นั อยู่ พอดูได้
(ท้าย) น(ั ก)มวย หรือสระชิด ตดิ หนไู ป
หนสู ขุ ใจ ได้เปน็ เณร แน่นอน
ครฺ าเมณ จาก ครฺ าม หนตู ้องเปลี่ยน (gra¥men‹a < gra¥ma = OK)
ปกษฺ ิณสฺ เพ้ียน จาก ปกษฺ ินฺ เปน็ อุทาหรณ์ (paksi‹ na‹ s < paksi‹ n = OK)
รุเทรฺ ณ จาก รุทรฺ พออาทร (rudrena‹ < rudra = OK)
3 กฎสอน หนูเป็นเณร เหน็ อํานวย
อีศาน หน้า หนูไร้ เรือและฤาษี ≠sa´ n¥ (No K)
อรณฺ เวน กลาง ไม่มี กป5 หวย arna‹ vena (No K)
ปกษฺ ินฺ ท้าย ไร้ สระและนั(ก)มวย paksi‹ n (No K)
อื่น ๆ ด้วย ผิดกฎเดียว ไม่เปน็ เณร
วิภักติที่ 4 เรียกตามชื่อไวยากรณ์ว่า จตุรถี ทําหน้าที่เป็นบุรพบทเชื่อมความ มีลักษณะ
เป็นผ้หู รือสิ่งที่รับผล หรือ รับมอบการกระทํา มีคําแปลว่า “แก่, แด่, เพื่อ, ต่อ” ดังตัวอย่าง
ต่อไปนี้
1. ra¥mah‹ putra¥ya pustakam path‹ ati นายราม อ่านหนงั สือ เพือ่ บตุ ร (ให้ลกู
ฟัง)
สนธิ ra¥mah‹ putray¥ a pustakam‹ path‹ ati 47
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
47
สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
2. ra¥mah‹ putra¥bhyah‹ pustakam นายราม อ่านหนงั สือ ให้ลูก ๆ ฟงั
path‹ ati
สนธิ ra¥mah‹ putrab¥ hyah‹ pustakam‹
pat‹hati
dev deva เทวดา ( อ การนั ต์ ปงุ ลิงค์) ผันด้วยวิภักติที่ 5-6 ดงั นี้
วิภกั ติที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์
5 pañcamī devāt devābhyām devebhyah‹
ปญฺจมี devat( deva>yam( deve>y"
6 ṣaṣṭhī devasya devayoh‹ devānām
ษษฺฐี devSy devyo" devanam(
วิภักติที่ 5 เรียกตามชื่อไวยากรณ์ว่า ปญฺจมี ทําหน้าที่เป็นบุรพบทเชื่อมความ มี
ลักษณะเป็นเหมือนแหล่งกําเนิด ที่มา สาเหตุ หรือเปรียบเทียบ มีคําแปลว่า “จาก, แต่,
เพราะ, กว่า” ดงั ตวั อย่างประโยคต่อไปนี้
1. ra¥mah‹ gram¥ at¥ ag¥ acchati นายราม มา จากหม่บู ้าน
ผลไม้ หล่น จากต้นไม้
สนธิ ra¥mo gra¥mad¥ ag¥ acchati
2. phalam vr‹ks‹at¥ patati
สนธิ phalam‹ vr‹ks‹at¥ patati
ภักติที่ 6 เรียกตามชื่อไวยากรณ์ว่า ษษฺฐี ทําหน้าที่เป็นบุรพบทเชื่อมความ มีลักษณะ
เป็นเจ้าของ ผ้คู รอบครอง มีคําแปลว่า “แหง่ , ของ” ดงั ตัวอย่างประโยคต่อไปนี้
1. v≠rasya gajah‹ gra¥mam ช้างของวีระ เดินไป หม่บู ้าน
gacchati
สนธิ v≠rasya gajo gra¥mam‹ gacchati
2. narasya putrah‹ atra tis‹t‹hanti ลูกชาย ของคน ยืนอยู่ ตรงนี้
สนธิ narasya putro’ tra tist‹ ‹hanti
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 48
48
สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
dev deva เทวดา ( อ การนั ต์ ปงุ ลิงค์) ผนั ด้วยวิภกั ติที่ 7-8 ดังนี้
วิภักติที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์
7 saptamī deve devayoh‹ deveṣu
สัปตมี deve devyo" devezu
8 sambodhana deva devau deva¥h‹
สัมโพธน dev devaW deva"
วิภักติที่ 7 เรยี กตามชื่อไวยากรณ์ว่า สปั ตมี ทําหน้าที่เปน็ บรุ พบทเชื่อมความ มลี ักษณะ
เป็นสถานทีอ่ ย่อู าศยั หรือกาลเวลา มีคาํ แปลว่า “ใน, ใกล,้ ที,่ บน, เหนือ” ดงั ตวั อยา่ ง
ประโยคต่อไปนี้
1. ba¥lau gaje tis‹t‹hatah‹ เดก็ ท้งั สอง ยืนอยู่ ใกล้ช้าง
สนธิ ba¥lau gaje tis‹th‹ atah‹
2. vr‹ksa‹ ¥h‹ vane bhavanti ต้นไม้ท้งั หลาย เกิดอยู่ ในป่า
สนธิ vrk‹ sa‹ ¥ vane bhavanti
วิภกั ติที่ 8 เรียกตามชื่อไวยากรณ์ว่า สมั โพธน ทําหน้าทีเ่ ปน็ บรุ พบทเชื่อมความ มี
ลักษณะเปน็ คาํ ทักทาย หรอื ร้องเรียก มีคําแปลว่า “แนะ, เฮย้ , ดกู ร, ขา้ แต”่ ดังตวั อย่าง
ประโยคต่อไปนี้
1. ra¥ma gajah‹ gra¥me tis‹t‹hati แน่ะ ราม ช้าง ยืนอยู่ ในหม่บู ้าน
สนธิ ra¥ma gajo gra¥me tis‹t‹hati
2. putra kutra chandrah‹ asti ลกู เอ๋ย จนั ทร์ อยู่ ทไี่ หน?
สนธิ putra kutra chandro asti
ตารางสรปุ คาํ นามทีผ่ นั แลว้ ด้วย สปุ ฺ วิภักติ พรอ้ มหน้าทีแ่ ละคาํ แปล
วิภกั ติที่ หนา้ ที่ในประโยค คําแปล
1 ปรฺ ถมา ประธาน -
2 ทวฺ ิตียา กรรม ซึ่ง, ยงั , ส่,ู ส้ิน
3 ตฤตียา คาํ บรุ พบทหรือคาํ เชื่อมความ บ่งบอกถึงเครือ่ งมือ อุปกรณ์ ด้วย, โดย, เพราะ, สาเหตุ
4 จตุรฺถี คําบุรพบทหรือคําเชื่อมความ บ่งบอกถึงผ้รู ับ การมอบให้ แก่, เพื่อ, ต่อ
5 ปญจฺ มี คําบุรพบทหรือคําเชื่อมความ บ่งบอกถึงที่มา สาเหตุ จาก, เพราะ, เหตุ
6 ษษฐฺ ี คาํ บุรพบทหรือคําเชือ่ มความ บ่งบอกถึงความเป็นเจ้าของ ของ, แห่ง
7 สปตฺ มี คําบรุ พบทหรือคําเชือ่ มความ บ่งบอกถึงสถานที่ กาลเวลา ใน, บน, ใกล้, เหนือ, เมื่อ
8 สมโฺ พธน คาํ บุรพบทหรือคาํ เชื่อมความ บ่งบอกถึงคําทักทาย แน่ะ, เฮ้ย, ข้าแต่, ดกู ่อน,
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 49
49
สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
dev deva เทวดา เป็น ปุงลิงค์ อ การันต์ ผนั ท้งั 8 วิภกั ติ ได้ ดงั นี้
วิภกั ติที่/ พจน์ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
1. prathamā devaḥ devau devāh‹
ปฺรถมา dev" devO deva"
2. dvitīyā devam devau devān
ทฺวิตียา devm( devO devan(
3. tṛtīyā devena devābhyām devaih‹
ตฺฤตียา deven deva>yam( devW"
4. caturthī devāya devābhyām devebhyah‹
จตรุ ถฺ ี devay deva>yam( deve>y"
5 pañcamī devāt devābhyām devebhyah‹
ปญฺจมี devat( deva>yam( deve>y"
6 ṣaṣṭhī devasya devayoh‹ devānām
ษษฐฺ ี devSy devyo" devanam(
7 saptamī deve devayoh‹ deveṣu
สัปตมี deve devyo" devezu
8 sambodhana deva devau devah¥ ‹
สัมโพธน dev devaW deva"
ตัวอยา่ ง การใช้ ra¥ma พระราม ทั้ง 8 วิภักติ
1. ra¥mo ra¥jamani‹ h‹ sada¥ vijayate 2. ra¥mam‹ rames´am‹ bhaje
3. ra¥men‹a¥bhihata¥ nisa´ c¥ aracamu 4. ra¥ma¥ya tasmai namah‹
5. ra¥ma¥nnas¥ ti paray¥ an‹am‹ parataram‹ 6. ra¥masya da¥so’smyaham‹
7. ra¥me cittal¥ ayah‹ sada¥ bhavatu me 8. he ra¥ma ma¥muddhara
คําแปล พระรามในวิภักติทั้ง 8
1. พระรามเปน็ ดจุ มณีสูงส่งกว่าราชาท้งั มวล ทรงมีชยั ทกุ เมือ่ ฯ 2. ฉัน(พวกเรา) ควรบูชา
พระรามผ้ทู รงเปน็ เจ้าของพระนางลกั ษมี ฯ 3. กองทัพของราวณะ (ทศกณั ฐ์) ได้ถกู พระราม
กาํ จัดไปเสียแล้ว ฯ 4. ขอนอบน้อมแด่พระราม พระองค์น้นั ฯ 5. หนทางอันสงู ส่งกว่า
พระราม ไม่มีเลย ฯ 6. ข้าพเจ้า เปน็ ทาส ของพระราม ฯ 7. ขอจิตใจของข้าพเจ้า จงอย่อู าศยั
ในพระราม ทกุ เมือ่ ฯ 8. ดูกร องค์ราม ขอพระองค์ โปรดโอบอ้มุ ข้าพเจ้า ด้วยเถิด ฯ
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 50
50
สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
ศพั ทานกุ รม
อ การันต์ ปงุ ลิงค์ (Masculine)
เทวนาครี โรมัน ไทย ลิงค์ การันต์ คาํ แปล
m. a ช้าง
gj gaja คช m. a คน
nr nara นร m. a ลูกชาย, บตุ ร
pu] putra ปตุ รฺ m. a กลิน่
m. a บ้าน, หม่บู ้าน
gN/ gandha คนธฺ m. a พระเจ้าแผ่นดิน
m. a เสือ่
g[am grāma คฺราม m. a เด็ก
n*p nṛpa นฺฤป m. a เมฆ
k$ kaṭa กฏ m. a มือ
m. a หอก
bal bāla พาล m. a ทาง
m. a ลูกศร
me` megha เมฆ
hSt hasta หสตฺ
kuNt kunta กุนตฺ
magR mārga มารฺค
xr śara ศร
อ การันต์ นปงุ สกลิงค์ (Neuter) ลิงค์ การันต์ คําแปล
เทวนาครี โรมนั ไทย n. a น้ํานม
=Ir kṣīra กษฺ ีร n. a น้ํา
jl jala ชล n. a เมือง
ngr nagara นคร n. a เรือน
g*h gṛha คฤฺ ห n. a ทาน, ของทใี่ ห้
dan dāna ทาน n. a ความสตั ย์
sTy satya สตยฺ
***** จบ บทที่ 4 ***** 51
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
51
สันสกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
แบบฝึกหดั ที่ 4
1. จงผัน a การนั ต์ ปงุ ลิงค์ ดว้ ยวิภักติท้งั 8 ท้งั 3 พจน์ เปน็ อักษรเทวนาครีและอกั ษรโรมนั
ด้วยคําดงั ต่อไปนี้
1. pu] putra ลูกชาย, บตุ ร
2 g[am grāma บ้าน, หม่บู ้าน
3 n*p nṛpa พระเจ้าแผ่นดิน
4 hSt hasta มือ
5 kuNt kunta หอก
2. จงแปลภาษาไทยต่อไปนี้เปน็ ภาษาสนั สกฤต ตามตวั อย่างทีใ่ ห้ไว้
แก่เทวดาท้งั หลาย = deve>y"
(อนั ว่า) พระเจ้าแผ่นดินท้งั หลาย = n*pa"
1. ซึง่ เด็กชายท้งั สอง = ………………………… ( balk )
2. ด้วยกลิ่นท้งั หลาย = ………………………… ( gN/ )
3. จากหม่บู ้านท้งั หลาย = ………………………… ( g[am )
4. แห่งทาง = ………………………… ( magR )
5. บนเสือ่ ท้งั หลาย = ………………………… ( k$ )
3. จงแปลเปน็ ภาษาไทย = ………………….………………
1. g[amezu balka" = ………………….………………
2. ramSy hStO = ………………….………………
3. nra,a' n*p" = ………………….………………
4. hSte kuNten = ………………….………………
5. nra,amXva"
4. จงปริวรรตภาษาสนั สกฤตในข้อ 3 เปน็ อกั ษรไทย
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 52
52
สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
5. ศัพท์ต่อไปนี้ เป็นวิภกั ติและพจน์อะไรได้บ้าง ?
1. g[amm( = ………………….………………
2. hStO = ………………….………………
3. me/anam( = ………………….………………
4. gN/W" = ………………….………………
5. mageR, = ………………….………………
6. balezu = ………………….………………
7. n*pyo" = ………………….………………
8. k$e>y" = ………………….………………
9. nrSy = ………………….………………
10. gje = ………………….………………
6. จงปริวรรตภาษาสันสกฤตในข้อ 5 เปน็ อกั ษรโรมนั
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 53
53
สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 5
ประโยคภาษาสันสกฤต การผันกริยา
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 54
54
สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
ขอบขา่ ยการศึกษา
1. ส่วนประกอบของประโยคสนั สกฤต การเรียงคาํ นาม กริยา กรรม
2. กริยาอาขยาต ธาตุ วภิ กั ติอาขยาต
3. ส่วนประกอบของกริยาหมวด 1, 4, 6, 10
4. ความหมายของ สปุ ฺ วิภกั ติ และ ติงฺ วิภกั ติ
5. กฎการผันกริยาธาตหุ มวดที่ 1 ด้วย ลการ หมวด ลฏฺ
6. สระ 3 ข้นั (ข้นั ปกติ, ข้นั คณุ , ข้นั วฤทธิหรือพฤทธิ)
7. กฎการประกอบกริยาธาตหุ มวดที่ 1
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อให้ทราบถึงส่วนประกอบของประโยคสันสกฤตเบื้องต้น เช่น การเรียงคํานาม กริยา
กรรม
2. เพื่อให้ทราบวิภกั ติอาขยาต หมวด ลฏฺ (ปจั จบุ ันกาล) พร้อมคําแปล
3. เพื่อให้ทราบกฎการผนั กริยาธาตุหมวดที่ 1 ด้วย ลการ หมวด ลฏฺ (ปจั จบุ นั กาล) และ
สามารถนาํ ไปใช้ได้อย่างถกู ต้อง
4. เพื่อให้มีความเข้าใจถึงสระท้ัง 3 ข้นั คือ ข้นั ปกติ ขน้ั คณุ และข้นั วฤทธิหรือพฤทธิ และ
วิธีการทาํ สนธิภายในภายนอก ในเบื้องต้น
5. เพื่อให้จดจําคาํ ศัพท์ที่ควรรเู้ พิม่ เติม
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 55
55
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 5
ประโยคภาษาสันสกฤต การผันกริยา
5.1 ส่วนประกอบของประโยคสนั สกฤต
ประโยคภาษาสนั สกฤตประกอบด้วยส่วนประกอบสาํ คัญอย่างน้อย ๒ ส่วน คือ ประธาน
และกริยา และบางประโยคมีกรรมและส่วนขยายอื่นๆ ด้วย เช่น
ramo jIvit - ra¥mo j≠vati.
นายราม มีชีวิตอยู่ มีส่วนประกอบคือ ประธาน = นายราม, กริยา = มีชีวิตอยู่
nr" flay vn' ivxit - naraḥ phalaya vanaṃ viwati
คนเข้าป่าเพื่อ(หา)ผลไม้ มีส่วนประกอบ คือ ประธาน = คน, กริยา = เข้า(ไป), กรรม =
ป่า, ส่วนขยายกริยาให้ชดั เจนขึ้น คือ เพื่อหาผลไม้
• ประธาน คือ สิ่งที่เปน็ ผู้ทําเอง (ในประโยคกรรตุวาจก หรือ Active Voice) หรือ
ผู้ถูกกระทาํ (ในประโยคกรรมวาจก หรือ Passive Voice) โดยประธานในประโยค อาจเปน็
นามท่วั ไป คือ คน สัตว์ สิง่ ของ เป็นอาการนาม (นามบอกอาการหรือนามธรรม) ต่างๆ หรอื
สรรพนาม กไ็ ด้ เช่น
^a]" pa#' p#it - chatraḥ paṭhaṃ paṭhati.
นกั เรียนกาํ ลังอ่านบทเรียน chatraḥ - นักเรียน เปน็ คํานามทวั่ ไป ทําหน้าทีป่ ระธาน
Ah' pa#' p#aim - ahaṃ paṭhaṃ paṭhami.
ฉันกาํ ลงั อ่านบทเรียน ahaṃ - ฉนั เปน็ สรรพนาม ทาํ หน้าทปี่ ระธาน
• กริยา คือ อาการกระทาํ ต่าง ๆ ของประธานในประโยค
nra dev' SmriNt - nara devaṃ smaranti
คนท้งั หลาย กําลังรําลึกถึง เทวดา smaranti - รําลึก เป็น กริยา แสดงให้เห็นการ
กระทําของ คนท้งั หลาย
• กรรม คือ สิ่งรองรับอาการกระทํา จะเป็นนามท่ัวไปคือ คน สัตว์ ที่ สิ่งของ หรือ
อาการนามต่างๆ กไ็ ด้
/inko vS]' yC^it - dhaniko vastraṃ yacchati.
คนมีเงินกําลงั มอบผ้าหนึง่ ผืน vastraṃ - ผ้า เป็น กรรม ของกริยา คือ ให้
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 56
56
สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
5.2 การเรียงคาํ นามและกริยาในประโยคสนั สกฤต
ประโยคสันสกฤตนิยมเรียงอย่ใู นรปู SV หรือ SOV
โดย S = Subject หรือ ประธาน
O = Objcet หรือ กรรม
V = Verb หรือ กริยา เช่น
Ah' craim - ahaṃ carami. ฉันท่องเทีย่ วไป = SV
/inko dev' yjit - dhaniko devaṃ yajati.
คนมีเงินบวงสรวงเทวดา = SOV
บางคร้งั ก็เรียงเปน็ VS หรือ OVS บ้าง เช่น
craMyhm( - caramyaham ฉนั ท่องเทีย่ วไป = VS
dev' nmiNt n*pa" - devaṃ namanti nṛpaḥ
พระเจ้าแผ่นดินทรงนอบน้อมเทวดา = OVS
สรุป คือ ภาษาสันสกฤตจะเรียงอย่างไร ความหมายก็ยังคงเดิม ตําแหน่งการ
วาง ไม่มีผลต่อความหมาย ต่างจากภาษาไทยที่ “ตําแหนง่ ” จะเปน็ ตวั กาํ หนดความหมาย เช่น
“ของเลน่ เด็ก” แตกต่างจาก “เดก็ เล่นของ” เป็นต้น
5.3 กริยาหลักภาษาสันสกฤต (ดหู น้า 29-30 บทที่ 3 ประกอบด้วย)
ในภาษาสันสกฤต กริยาหลัก หรือกริยาสําคัญที่สุดในประโยค เราเรียกว่า อาขยาต
มีส่วนประกอบทีส่ าํ คัญที่สุดอยู่ 2 สว่ น คือส่วนแรก รากศัพท์ หรือที่เรียกตามหลักไวยากรณ์
ว่า ธาตุ และส่วนทีส่ อง คือ สิ่งทีน่ าํ มาใช้ผันกริยาให้มีความหลากหลาย ที่เรียกว่า วิภกั ติ
5.4 ธาตุ
ธาตุ คือ รากศัพท์ของคําทุกชนิด ในภาษาสันสกฤตมี 10 หมวด และแบ่งไว้เป็น 3
กล่มุ ใหญ่ ๆ คือ
กลุ่มที่ 1 ธาตทุ ีม่ ีปจั จัยทีล่ งท้ายด้วยเสียง อ A a ประกอบอย่กู บั ธาตุ มี 4 หมวด ได้แก่
ธาตหุ มวด 1 (ภวฺ าทิคณะ) มีปัจจยั ประจาํ หมวด คือ อ A a
ธาตหุ มวด 6 (ตุทาทิคณะ) มีปัจจยั ประจาํ หมวด คือ อ A a
ธาตุหมวด 4 (ทิวาทิคณะ) มีปัจจัยประจาํ หมวด คือ ย y ya
ธาตหุ มวด 10 (จรุ าทิคณะ) มีปัจจยั ประจาํ หมวด คือ อย Ay aya
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 57
57
สนั สกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
กลมุ่ ที่ 2 ธาตทุ มี่ ีปจั จัย อุ £ u, นุ nu nu, นา na nā ประกอบอยกู่ ับธาตุ มี 3
หมวด คือ
ธาตุหมวด 5 (สวฺ าทิคณะ) มีปัจจัยประจาํ หมวด คือ นุ nu nu
ธาตุหมวด 8 (ตนาทิคณะ) มีปจั จัยประจาํ หมวด คือ อุ £ u
ธาตหุ มวด 9 (กฺรยาทิคณะ) มีปจั จยั ประจาํ หมวด คือ นา na nā
กลุม่ ที่ 3 ธาตทุ ไี่ ม่มีปจั จัย ประกอบอย่กู ับธาตุ มี 3 หมวด ได้แก่
ธาตุหมวด 2 (อทาทิคณะ) มีวิธีการผนั ต่างหาก มีรปู อ่อน และรปู แข็ง
ธาตหุ มวด 3 (ชุโหตยฺ าทิคณะ) มีการซ้าํ พยางค์ต้นธาตุ และกริยามีรปู อ่อนและรปู แขง็
ธาตุหมวด 7 (รุธาทิคณะ) มีการเติม น,ฺ น n, na หน้าพยญั ชนะสดุ ธาตุ
5.5 วิภกั ติอาขยาต (ติงฺ วิภกั ติ)
วิภกั ติ (Verbs – Terminations หรอื ลการ)
วิภกั ติ หรือ ส่วนประกอบสดุ ท้ายของคํากริยาอาขยาต เรียกอีกอย่างตามกฎไวยากรณ์
ของ ปาณินิ ว่า “ลการ” มีท้งั หมด 10 หมวด ได้แก่
1. หมวด ลฏฺ (วรตฺ มานา) หรือ Present Tense แปลว่า อย่,ู ย่อม…, จะ…
2. หมวด ลงฺ (อนทยฺ ตนี) หรอื Imperfect (1st Past Tense) แปลว่า ได้…แล้ว
3. หมวด โลฏฺ (ปญฺจมี) หรือ Imperative Mood แปลว่า จง…
4. หมวด ลงิ ฺ (วธิ ิลิง,ฺ สปตฺ มี) หรือ Optative Mood (Potential) แปลว่า พงึ …
5. หมวด ลฏิ ฺ (ปโรกขฺ า) หรือ Perfect (2nd Past Tense) แปลว่า …แล้ว
6. หมวด ลฏุ ฺ (ศวสตฺ นี) หรือ 1st Future Tense แปลว่า จกั …
7. หมวด ลฤฺ ฏฺ (ภวิษยฺ นตฺ ิ) หรือ 2nd Future Tense แปลว่า จกั …
8. หมวด ลฤฺ งฺ (กรฺ ิยาติปตตฺ ิ, สํเกตมาลา) หรือ Conditional แปลว่า จักได้…..แล้ว
9. หมวด ลงุ ฺ (อทยฺ ตนีภตู ) หรอื Aorist (3rd Past Tense) แปลว่า ได้…แล้ว
10. หมวด เลฏฺ (อาศีรลฺ ิง)ฺ หรือ Predicative or Benedictive แปลว่า พงึ ….
วิภักติกริยาอาขยาต หรือ ลการ ที่เราจะต้องศึกษาในบทต้นๆ นี้ คือ ลฏฺ (ปัจจุบัน
กาล), ลงฺ (อดีตกาลไม่สมบรู ณ์), โลฏฺ (คาํ ส่งั ), วิธิลิงฺ (ราํ พึง) แค่ 4 หมวดเท่าน้ัน ไม่มาก
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 58
58
สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
สําSaSnaแเรsnลียแเkระsนลสrียทkใะiนุกหําrtทให้จiTุหกหtํามหร้จiแTหวpับํามตดรiแใว่ลpัมบ6นตดะีปใช่ลหม6น้ันัจะมีปชจตหว้ันัจัย้นมดจตลวโบัย้นงดดทลทยโบ้างตดใชยทท้นย้ชด้าตใื่อๆช้ยว้นห้ชยดนืม่อสๆ้วี้ วหรยนธดะมสา้ี วรหตอธดะรุทาือี่หเตaอรรลุทาือกจี่เaราะลารเทกรจคีย้ังาะือสรนเทริ้นจคีย้ังลําือสนงฏส้ิน่จา,ฺ่วยลํานลงฏสวงๆ่า,ฺ,ฺ่วิภยคนลโักลือวงๆตฏ,ฺิภิกหฺ,คโักรลมลือิตยฏวิงาิกฺหด,ฺ อร=มลาิย1วิงข,าlฺดยa4อ=า,ṭา1,ต6ข,llท,ยaa4ี่จ1ṅา,ṭ0,ะต,6lท,aี่จ1ṅ0ะ,
lolṭo, ṭl,iṅliṅ
5.56.6 สว่สน่วปนรปะรกะอกบอขบอขงอกงรกิยราิยหามหวมดว1ด, 41,,64,,160, 10
ดังดไังดไ้กดล้ก่าลว่าแวลแ้วลว้ว่าวก่ารกิยราิยสัานสสันกสฤกตฤทตี่ใชท้ธี่ใาชต้ธุหามตวุหดมทวี่ ด1,ที่ 41,, 46,, 610, 10มีส่วนมปีสร่วะนกปอรบะทกี่อบที่
สาํสคําญัคญั ดังดตงั าตราารงาตง่อตไ่อปไนปี้ นี้
ธาธตาุ ตุ + + ปจั ปจจั ยั จปยั รปะรจะาํ จหาํมหวมดวด + +วิภกัวติภิกั รติยิการอิยาาขอยาาขตยา=ต ก=ริยกาอริยาขายอาตขยาต
แตแ่ลตะ่ลสะ่วสน่วมนีคมาํ ีคอาํธอิบธาิบยาคยณุ คลณุ กั ลษักณษะณดะังตด่องั ไตป่อนไี้ปนี้
ธาธตาุ ตคุ ือคือรารกาศกัพศทพั ์ ที่ท์ ทาํ ี่ทใหําศ้ใหัพ้ศทัพ์ตทา่ ง์ต่าๆงมๆีควมาีคมวหามาหยมาย
เชเน่ ชน่ p#pit#it= =p#p( +#A( + +Ait+ it
papṭhaaṭhtiat=i p=aṭphaṭhธาตธุหามตวุหดมว1ด+1 a+ปaจั จปัยจั +จัยti+วิภtiักวติภหกัมตวดิหมลวฏดฺ ลฏฺ
(ป(ัจปจัจุบจนั บุ กนั ากลา)ล)
papṭhaaṭhtiatมi ีรามกีรศาัพกศทัพ์ คทือ์ คpือaṭphaṭธhาตธุ คาตวาุ คมวหามมาหยมว่าายอว่า่านอ่าน
ปจัปจจั ยั จปยั รปะรจะาํ จหาํ มหวมดวธดาธตาุ ตคุ ือคสือ่วนสท่วีเ่นตทิมี่เขต้าิมงขห้าลงงั หธลางัตธุ าเพตื่อุ บเพ่งื่อใหบ้ร่ง้วู ใ่าหเ้รป้วู น็ ่าธเปาตน็ หุ ธมาตวดหุ ใมดวดใด
แตแ่ธตา่ธตาบุ ตาบุ งาหงมหวมดวกดไ็ มก่จ็ไมําเ่จปาํ น็ เปน็
เชเน่ ชน่ p#pit#it= =p#p( +#A( + +Ait+ it
ppaappṭṭhhaaaaṭṭhhttiiaatt=มii ีปp=มจั aีปจṭpยัhจั aปจṭ+รัยhะปaจ+ราํ+ะหaจtมาํ+iวหดtมiวคดือ คAือ
a ปaระกปอรบะกออยบ่ตู อรงยก่ตู ลรางงกลาง
A
วิภวกัิภตักเิ ตชคเ่นิ ชือคน่ สือว่ สนว่ppทน#aี่เตpทṭihtิม#ีเ่ ตaทitิมt้า=iทยส้า==pยุด#pสขp(aอดุ +#ṭงขhกA(อ+ร+งิย+กAาaรitิย+บ+า่งiบttบiอ่งกบถอึงกกถาึงลกพาลจนพ์ บจรุนษุ ์ บรุวษุาจกวา(vจoกic(ev)oice)
หหรมหหือารมจยือาาํถจยนึงาํถวขนึงนอวนขงนับอสนpงอซบัaสงppึง่ṭอสhซใaaนงิง่ aึ่งṭṭสภhhใtแนiิ่งาaaลภษttแะวiiาาพลิภสษะห=ักวันาพพุิภตสสpหักจิกันกaุพนตรฤสṭิย์จิกhตกหานรมฤม+ิย์คีตาห3าือยมaมถคคีา+3ึงือือiยtถขคtเiออึงือiกtงtขตเพiออ้งั จกงแtนตปพiต์ ้งัร่หจ3แะนมปกตส์ารอ่หยิ่ง3ะบมขถกอึ้นสาึงอยยไิง่ ขปบขู่ทถออ้ึน้าึงนงยยไสอขปู่ทบิ่งกออ้าเนจงดยกสอาียบกิ่งกกวอเนจาดทก้ียลาียวังกกวิพพบนาอจจท้ียลนนกวัง์์ิพพบอจจนนก์์
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 59
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 59
59
สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
บุรุษและวาจก (voice) ได้ คือ คําว่า p#it บอกได้ว่าเป็น ปัจจุบันกาล เอกพจน์
บุรุษที่ 3 และเปน็ กรรตุวาจก แปลว่า เขากําลงั อ่าน
5.7 วิภักติ 2 ประเภท คือ สปุ ฺวิภักติ และ ติงวฺ ิภกั ติ (เรียกง่ายๆ ว่า ซปุ กบั ติง)
สุปฺวิภกั ติ คือ วิภักติทีใ่ ช้ผันคาํ นามท่ัวไป สรรพนาม และสังขยาหรือจํานวนนับ มี
ท้งั หมด 21 รปู โดยแบ่งเป็น 8 วิภกั ติ คือ ต้งั แต่ 1-8 (แต่วิภกั ติที่ 1 กับ 8 ใช้รูปวิภักติร่วมกัน)
และแต่ละวิภกั ติแบ่งออกเป็น 3 พจน์ (เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์) จึงมี 21 รูป (7 x 3 = 21)
(ดูบทที่ 6 หน้า 46 ประกอบด้วย)
ติงฺวิภักติ คือ วิภักติที่ใช้ผันกริยาหลัก หรือที่เรียกว่า กริยาอาขยาต หรือ ลการ มี
10 หมวด ดงั กล่าวแล้ว แต่ละหมวดมีวิภกั ติอยู่ 18 ตวั (รปู ) โดยแต่ละหมวดจะแบ่งวิภักติเป็น 2
ฝ่าย (บท) ได้แก่
ปรสั ไมบท ใช้สําหรับกรรตวุ าจก เหตกุ รรมวาจก และ
อาตมเนบท ใช้สาํ หรบั กรรมวาจกและภาววาจก
แต่ละฝ่าย (บท) จะมีวิภักติ 9 รปู ดงั น้นั วิภักติแต่ละหมวดจึงมี 18 รูป (2 x 9 = 18)
อนึ่ง วิภกั ติทง้ั 9 รูป ของแต่ละฝ่าย (บท) น้นั ยงั แบ่งได้อีก คือ แบ่งตามบรุ ษุ 3
ชนิด ได้แก่ บรุ ษุ ที่ 1 (ฉนั , เรา, พวกเรา) บรุ ษุ ที่ 2 (ท่าน, เธอ) และบรุ ษุ ที่ 3 (เขา,มัน) และแต่
ละบรุ ษุ ยังแบ่งออกเปน็ 3 พจน์ (เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์) จงึ มี 9 รปู (3 x 3 = 9) ดงั
ตารางต่อไปนี้
ติงวฺ ิภักติ หรอื วิภกั ติกริยาอาขยาต หมวด ลฏฺ (ปจั จุบันกาล)
ปรัสไมบท (ใช้กับกรรตวุ าจก) พร้อมคาํ แปลของสรรพนามแต่ละบรุ ษุ
บุรุษที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์
3. prathama ti tas anti
purusa it ts( AiNt
ประถมบรุ ษุ เขา, มัน, หล่อน เขา,มนั ท้งั สอง พวกเขา, พวกมัน
2. madhyama si thas tha
purusa is qs( q
มธั ยมบรุ ุษ ท่าน,เธอ,คณุ ท่าน,เธอท้งั สอง พวกท่าน,พวกเธอ
1. uttama mi vas mas
purusa im vs( ms(
อุตตมบรุ ษุ ฉนั , ข้าพเจ้า
เราท้งั สอง พวกเรา
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 60
60
สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
SanskปrัญitหTาทiี่นpัก7ศึกษามักประสบอยู่บ่อย ๆ คือ คําแปลกริยาของบุรุษที่ 3 ที่มีสรรพนามว่า เขา,
มัน, หล่อน ปรากฏอยู่ แต่ในกรณีที่มีคํานามทั่วไปเป็นประธานในประโยคอยู่แล้ว นักศึกษามักจะ
แปลท้งั สรรพนามและนามมาด้วยกัน เช่น
Crit carati = เขาท่องเที่ยวไป แต่บางคร้งั แปลว่า nrs( crit naras carati = คนเขา
ท่องเที่ยวไป เป็นการแปลทีเ่ กินมา ต้องขอทาํ ความเข้าใจร่วมกนั ว่า หากกริยาอาขยาตเป็นบรุ ษุ ที่ 3
และมีคํานามทีส่ ามารถเปน็ ประธานในประโยคได้เลย ไม่ต้องแปลสรรพนามเพิม่ เติมมา เช่น
nrs( crit naras carati ต้องแปลว่า คนท่องเที่ยวไป (ไม่ต้องมีคาํ ว่า เขา เพิ่มเข้ามา)
5.8 กฎการผันกริยาธาตุหมวดที่ 1 ดว้ ย ลการ หมวด ลฏฺ
ดังได้กล่าวแล้วว่า กริยาสันสกฤตหมวดที่ 1 มีส่วนประกอบทีส่ าํ คัญ ดังตารางต่อไปนี้
ธาตุ + a ปัจจัยประจาํ หมวด + วิภักติกริยาอาขยาต = กริยาอาขยาต
ในบทน้ี เราจะฝึกผันกริยาธาตุหมวด 1 ซึ่งเป็นธาตุที่มีมากที่สุดในบรรดาธาตุท้ัง 10
หมวด คือ มีราวๆ เกือบ 1,200 จากจํานวน 2,000 กว่าธาตุ
ในการผนั ธาตุหมวดที่ 1 น้ัน เราต้องคาํ นึงว่า ธาตตุ วั น้นั เปน็ พยางคห์ นัก (คุรุ บาลีว่า
ครุ) หรือ พยางคเ์ บา (ลฆุ บาลีวา่ ลห)ุ เสียก่อน ดังนี้
พยางค์หนัก (ครุ )ุ - เบา (ลฆุ) ในการผนั ธาตุหมวด 1
• พยางค์ครุ ุประกอบด้วยสระเสียงยาว หรือสระเสียงส้นั แต่มีพยัญชนะตามหลัง
มาต้งั แต่ ๒ ตัว ข้ึนไป
ตัวอย่าง (สระเสียงยาว) เช่น นี nī , ภู bhū, ชีวฺ jīv, (สระเสียง
ส้นั + พยัญชนะ 2 ตัวขึ้นไป) เช่น นินทฺ ฺ nind, วนฺทฺ vand
• พยางค์ลฆุประกอบด้วยสระเสียงส้ันอย่างเดียว หรือสระเสียงส้ันและมี
พยญั ชนะตามหลงั มาเพียงตวั เดียว
ตัวอย่าง (สระเสียงส้ัน) เช่น ชิ ji, (สระเสียงส้ัน + พยัญชนะตัว
เดียว) เช่น พธุ budh, วทฺ vad
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 61
61
สันสกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit)
5.9 สระ 3 ขัน้ และการทําสระใหเ้ ป็นขนั้ คุณ
สระในภาษาสนั สกฤตแบ่งเปน็ 3 ข้ัน เพื่อประโยชน์ต่อการทําสนธิและการสร้างคําใหม่
คือ
1. ข้นั ปกติ ได้แก่ สระแท้ธรรมดา คือ a, ā, i, ī, u, ū, ṛ, ṝ, ḷ
2. ขั้นคุณ ได้แก่ สระประสมหรือรปู สระผสมกบั พยญั ชนะที่เกิดจากการเพิ่มเสียง a
เข้าไปข้างหน้าสระแท้ธรรมดาในข้ันปกติ ได้แก่ a + i, ī = e, a + u, ū = o, a + ṛ, ṝ
= ar, a + ḷ = al (ข้อสงั เกต ในข้ันคณุ นี้ สระ a ยงั คงเป็น a อยู่ ไม่เปลีย่ นเปน็ a)
3. ข้ันวฤทธิ หรือ ข้ันพฤทธิ ได้แก่ สระประสมหรือรูปสระผสมกับพยัญชนะที่เกิด
จากการเพิม่ เสียง a เข้าไปข้างหน้าสระข้นั คณุ อีกคร้งั หนึง่ ได้แก่ a + e = ai, a + o = au,
a + ar = ār, a + al = āl
ตารางสระทง้ั 3 ขน้ั
สระข้นั ปกติ a , ā i , ī u , ū r,ṝ ḷ
e o ar al
a + ขั้นปกติ a,ā ai au ār -
= สระขน้ั คณุ ā
a + ขั้นคณุ
= สระข้ันวฤทธิ
ตัวอย่างความจําเป็นในการต้องมีสระข้นั คณุ เช่น
ข้นั ปกติ ข้ันคุณ ขัน้ พฤทธิ์ ความหมาย
กฤ kr‹ กรฺ kar การฺ kar¥ ทาํ
นี n≠ เน ne ไน nai แนะนาํ , นําไป
ทิวฺ div เทว deva ไทวิก daivika เล่น, เทวดา, เป็นของเทวดา
ความรู้และความเข้าใจเร่ืองสระ 3 ข้ัน มีความสําคัญต่อการเรียนภาษาสันสกฤตมาก
เพราะจะต้องนําไปใช้ในการผันกริยาการทําสนธิและสร้างคํานามมีความหมายหลากหลายใน
บทต่อ ๆ ไป
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 62
62
สันสกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
5.10 พยัญชนะกึง่ สระ
สระ ในภาษาสันสกฤต (ยกเว้น อ, อา – a, ā) หากมีสระอื่นที่ไม่ใช่พวก หรือ วรรณะ
เดียวกัน (อ เป็นพวกเดียวกับ อา a, ā, อิ กับ อี i, ī, อุ กับ อู u, ū, ฤ กับ ฤา ṛ, ṝ,
ตามหลังมา ให้เปลี่ยนสระข้างหน้าเป็นพยัญชนะกึ่งสระ (อนฺตะสฺถะ หรือ อันตสถา =
antaḥstha) ตามข้นั ของสระท้งั 3 ข้ัน ดงั ตารางต่อไปนี้
สระข้นั ปกติ a,ā i, ī u ,ū ṛ,ṝ ḷ
อันตะสถา -- y v r l
a,ā e o ar al
สระข้ันคุณ -- ay av - -
อันตะสถา ai au ār -
ā āy āv -
สระข้นั วฤทธิ -
อนั ตะสถา
ตัวอยา่ ง การใช้อนั ตะสถา ในการทาํ สนธิภายในและภายนอก
สระข้นั ปกติ a,ā i, ī u , ū ṛ,ṝ ḷ
อนั ตะสถา --
iti + atra devesu‹ + iha - -
สระข้นั คณุ a,ā = ityatra = devesv‹ iha ar
อนั ตะสถา al
-- e o
สระข้นั วฤทธิ kl‹p + a
อันตะสถา ā ne + a bho + a smr‹ + a = kalp
- = naya = bhava = smar
-
ai au ār
nai + aka sr´ au + aka dhr‹ + (a)na‹
= nay¥ aka = sr´ a¥vaka = dha¥rana‹
ความร้เู รือ่ ง การเปลีย่ นสระเป็นพยัญชนะกึง่ สระนี้ เราควรจดจาํ ไว้เพือ่ ประโยชน์แก่
การทาํ สนธิและการสร้างคาํ ใหม่ ๆ ในบทต่อ ๆ ไป เช่นเดียวกนั
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 63
63
สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
5.11 กฎการประกอบกริยาธาตุหมวด 1
1. ธาตุทีล่ งท้ายด้วยสระหรือเปน็ พยางค์ลฆุให้ทําเป็นข้นั คณุ ก่อน
ธาตุลฆ/ุ สระ ทาํ เปน็ ขั้นคณุ ความหมาย
nī n a+ī > e = ne นาํ ไป, แนะนาํ
bhū bh a + ū > o = bho เปน็ , อยู่, คือ
smṛ sm a + ṛ > ar = smar ระลึกถึง
budh b a + u > o + dh = bodh ร้,ู ร้สู ึกตวั
2. นํา อะ a ปัจจัยไปเติมท้ายธาตุที่ทําเป็นขั้นคุณแล้ว หรือ ธาตุที่เป็นพยางค์คุรุ
ได้เลยแล้วจะได้รปู ทีเ่ รียกว่า เค้ากริยา (stem) เช่น
ธาตลุ ฆ/ุ ท้ายสระ ทาํ สระเป็นขนั้ คุณ + ปจั จยั เค้ากริยา
nī ne + a = e+a=aya naya
bhu bho + a = o+a=ava bhava
smr smar + a = - smara
bodh + a = - bodha
budh
ธาตคุ ุรุ + a ปจั จัย เคา้ กริยา ความหมาย
jīv +a= jīva มีชีวิตอยู่, เปน็ อยู่
nind +a=
śaṃs +a= ninda ติเตียน
rakṣ +a=
śaṃsa สรรเสริญ
raksa รกั ษา, ปกป้อง
3. นําเค้ากริยาไปผันกับวิภักติกริยาหมวด ลฏฺ lat‹ (ปัจจุบันกาล) แล้วจะได้รูปกริยา
ทีส่ มบูรณ์พร้อมจะนําไปใช้ในประโยคได้ เช่น
ธาตุ เคา้ กริยา + วิภักติ ลฏฺ กริยาสมบรู ณ์ ความหมาย
jīv jīva + ti jīvati เขามีชีวิตอย่,ู เป็นอยู่
nind ninda + ti nindati เขาติเตียน
śaṃs śaṃsa + ti śaṃsati เขาสรรเสริญ
rakṣ rakṣa + ti rakṣati เขารกั ษา, ปกป้อง
nī naya + ti nayati เขานาํ ไป, แนะนํา
bhū bhava + ti bhavati เขาเปน็ , อยู่, คือ
smṛ smara + ti smarati เขาระลึกถึง
budh bodha + ti bodhati เขาร้,ู ร้สู ึกตัว
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 64
64
สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
ตัวอยา่ ง การผนั กริยาธาตุหมวด 1 .U bhū (เปน็ , อยู่, คือ) ด้วย หมวด ลฏฺ (ปัจจบุ นั กาล)
บรุ ษุ ที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์
3. prathama bhavati bhavatas bhavanti
puruṣa .vit .vts( .viNt
ประถมบรุ ษุ เขาเปน็ เขาท้งั สองเปน็ พวกเขาเปน็
2. madhyama bhavasi bhavathas bhavatha
puruṣa .vis .vqs( .vq
มธั ยมบรุ ุษ ท่านเป็น ท่านท้งั สองเปน็ พวกท่านเปน็
1. uttama bhavāmi bhavāvas bhavāmas
puruṣa .vaim .vavs( .vams(
อุตตมบรุ ุษ ฉนั เป็น เราท้งั สองเปน็ พวกเราเปน็
r=( rakṣ (รกั ษา, ปกป้อง)
บุรษุ ที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
3. prathama rakṣati rakṣatas rakṣanti
puruṣa r=it r=ts( r=iNt
ประถมบรุ ษุ เขาปกป้อง เขาท้งั สองปกป้อง พวกเขาปกป้อง
2. madhyama rakṣasi rakṣathas rakṣatha
puruṣa r=is r=qs( r=q
มัธยมบรุ ุษ ท่านปกป้อง ท่านท้งั สองปกป้อง พวกท่านปกป้อง
1. uttama rakṣāmi rakṣāvas rakṣāmas
puruṣa r=aim r=avs( r=ams(
อุตตมบรุ ุษ ฉนั ปกป้อง เราท้งั สองปกป้อง พวกเราปกป้อง
ขอ้ สังเกต
ในการผนั ธาตหุ มวดที่ 1 ด้วย ติงฺ วิภักติ หมวด ลฏฺ (ปจั จุบนั กาล) มีกฎที่ควรทราบดงั นี้
• บุรุษที่ 3 พหุพจน์ a ท้ายเค้ากริยา (stem) + anti ให้ลบออกเสีย ดังน้ัน
anti ยังคงเปน็ anti ไม่เปลี่ยนเปน็ ānti (เสียงยาว)
• บุรุษที่ 1 ท้งั สามพจน์ ให้ทําสระ อ a ซึ่งเป็นท้ายของเค้ากริยา (Stem) ข้างหน้า
วิภกั ติ คือ มิ mi, วสฺ vas, และ มสฺ mas เปน็ สระ อา ā (เสียงยาว)
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 65
65
สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
ศพั ทานุกรม
กริยาศพั ท์ (ธาตุหมวดที่ 1)
เทวนาครี โรมนั ไทย คาํ แปล
cr( car จรฺ ท่องเทยี่ วไป, ประพฤติ
Tyj( tyaj ตฺยชฺ ทิ้ง, สละ, บริจาค
dh( dah ทหฺ เผา, เผาไหม้
/av( dhāv ธาวฺ วิง่
nm( nam นมฺ น้อมไหว้, โค้งตวั ลง, เคารพ
pc( pac ปจฺ หุง, ตม้ , ทาํ อาหาร
pt( pat ปตฺ ตก, ล้ม, บิน
yj( yaj ยชฺ บูชา, บวงสรวง
vd( vad วทฺ พูด, กล่าว
vs( vas วสฺ อาศัยอยู่, พาํ นกั อยู่
vh( vah วหฺ แบก, หาม, พาไป, พัดไป, ถือไป
r=( rakṣ รกษฺ ฺ รักษา, ปกป้อง
jIv( jīv ชีวฺ มีชีวิตอยู่
x's( śaṃs ศํสฺ สรรเสริญ
คําคม คารมสนั สกฤต
parar¥ tham¤ yojitam¤ pa¥pam¤ phalatya¥tmanyasam¤s´ayam¤ 66
A bad deed or thought for other, affects the thinker.
สิ่งไม่ดที ี่ทาํ ไวใ้ ห้ผ้อู ื่น ย่อมมีผลต่อตวั ผ้ทู าํ เอง อย่างไม่ต้องสงสยั
***** จบ บทที่ 5 *****
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
66
สันสกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
แบบฝึกหดั ที่ 5
1. จงผันกริยาธาตุ चर ्, वद ् และ ज ् ซึง่ เปน็ ธาตหุ มวดที่ 1 มี a ปัจจัยประจาํ หมวดธาตุ
ด้วยวิภักติอาขยาต หมวด ลฏฺ ฝ่ายปรสั ไมบท (ปจั จบุ นั กาล) ให้ครบทุกพจน์และบุรษุ พร้อมท้ัง
เทียบอกั ษรโรมนั ด้วย
2. จงแปลเปน็ ภาษาไทย
1. अ जीवामः। adya jīvāmaḥ
2. सदा पचथः। sadā pacathaḥ
3. अऽ रक्षित। atra rakṣati
4. अधनु ा रक्षािम। adhunā rakṣāmi
5. यदा धावथ तदा पतथ। yadā dhāvatha tadā patatha
6. यजि। kva yajanti
7. तऽ चरथः। tatra carathaḥ
8. कु तः शासं िस। kutaḥ śāṃsasi
9. जािम कथम।् tyajāmi katham
10.दहिस। dahasi
3. จงแปลเปน็ ภาษาสนั สกฤต 2. บัดนี้1 ท่านท้งั หลายย่อมเทีย่ วไป2
1. วันนี1้ เขาท้งั หลายย่อมสละ2 4. เราท้งั สองย่อมน้อมไหว้ 1 อีก2
3. ฉนั ย่อมรกั ษา2 ในกาลทกุ เมื่อ1 6. เราท้งั หลาย ย่อมบชู าบวงสรวง
5. ท่านย่อมวิ่ง2 ส่ทู ี่ใด1 8. มันย่อมเผาไหม้
7. เขาท้งั สอง ย่อมหงุ ต้ม 10.ท่านท้งั สอง ย่อมสรรเสริญ
9. เราท้งั หลายย่อมมีชีวิตอย่2ู ณ บัดน้ี1 12.เขาท้งั หลายย่อมบิน2 ส่ทู ีน่ น้ั 1
11. เพราะเหตใุ ด2 ท่านท้งั หลายจึงน้อมไหว1้
13.ท่านท้งั หลายพํานักอยู่ 2 ณ ที่ใด1
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 67
67
สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 6
ธาตหุ มวด 1 ทีม่ ีรูปพิเศษ และ ผนั นาม อ, อิ การนั ต์
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 68
68
สันสกฤตพนื้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
ขอบขา่ ยการศึกษา
1. การผันกริยาธาตหุ มวดที่ 1 ทีม่ ีรปู พิเศษ ด้วย ลฏฺ ลการ
2. วิภักติที่ใช้ผนั คํานามใน ปงุ ลิงค์ สตรีลิงค์ และนปุงสกลิงค์ การผันคาํ นาม อ การนั ต์
นปุงสกลิงค์ และ อิ การันต์ ปงุ ลิงค์
3. การผนั คาํ นาม (fl) อ การนั ต์นปงุ สกลิงค์ และ (AiGn) อิ การนั ต์ในปงุ ลิงค์
วตั ถุประสงค์
1. เพือ่ ให้เข้าใจและสามารถผนั กริยาธาตหุ มวดที่ 1 ทีม่ รี ูปพิเศษ ด้วย ลฏฺ ลการ ได้
2. เพือ่ ให้นักศึกษาผนั คาํ นาม อ การนั ต์ นปงุ สกลิงค์ และ อิ การันต์ ปงุ ลิงค์ ได้
3. เพือ่ ให้จดจําคาํ ศัพท์ที่ควรรเู้ พิ่มเติม
4. นกั ศึกษาสามารถแต่ง-แปล ข้อความส้นั ๆ ตามที่กาํ หนดได้
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 69
69
สันสกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 6
ธาตหุ มวด 1 ที่มีรปู พิเศษ และ ผนั นาม อ , อิ การนั ต์
6.1 การผันกริยาธาตุหมวด 1 ที่มีรปู พิเศษ ด้วย ลฏฺ ลการ
เราได้ศึกษาการผันกริยาอาขยาต ธาตุหมวด 1 (ภฺวาทิคณะ) ด้วย ลฏฺ ลการมาแล้ว
ในบทที่ 5 ต่อไปเราจะกล่าวถึงธาตุหมวด 1 ที่ไม่ต้องทําสระเป็นข้ันคุณ แต่มีการเปลี่ยนแปลง
ตัวธาตุ ก่อนนําไปผสมกับ อะ ( a ) ปัจจัย และกลายเป็น เค้ากริยา (stem) แล้วนําเค้า
กริยาไปผนั กบั วิภักติกริยาหมวด ลฏฺ หรือ ลฏฺ ลการ ได้รปู สมบรู ณ์พร้อมนําไปใช้ในประโยคได้
ธาตุที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ มีมากมายแต่ที่ใช้บ่อยๆ คือ ธาตุที่ลงท้ายด้วย
สระ อา ( ā ) และ ลงท้ายด้วยพยัญชนะ คือ มฺ ( m ) ดังนี้
ธาตุ รูปพิเศษ + a ปัจจัย + ลฏฺ รปู สมบรู ณ์ ความหมาย
gam คมฺ gacch gaccha ti gacchati (เขา) ไป
yam ยมฺ yacch yaccha ti yacchati (เขา) ให้
ghrā ฆฺรา jighr jighra anti jighranti (พวกเขา) ดม
pā ปา pib piba si pibasi (ท่าน) ดืม่
sthā สถฺ า tis‹th‹ tis‹th‹ a mi tis‹t‹hāmi (ฉัน) ยืนอยู่
ตวั อย่าง การผนั กริยาธาตุหมวด 1 ทีม่ ีรูปพิเศษ pa - ipb( pa¥ > pib (ดืม่ )
ด้วย ติงฺวภิ กั ติ หรือ วภิ ักติกริยาอาขยาต หมวด ลฏฺ (ปจั จบุ ันกาล)
บุรุษที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
3. prathama pibati pibatas pibanti
puruṣa ipbit ipbts( ipbiNt
ประถมบรุ ษุ เขาดืม่ เขาท้งั สองดื่ม พวกเขาดื่ม
2. madhyama pibasi pibathas pibatha
puruṣa ipbis ipbqs( ipbq
มธั ยมบรุ ษุ ท่านดื่ม ท่านท้งั สองดืม่ พวกท่านดม่ื
1. uttama pibami pibavas pibamas
puruṣa ipbaim ipbavs( ipbams(
อุตตมบรุ ุษ ฉนั ดื่ม เราท้งั สองดื่ม พวกเราดืม่
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 70
70
สนั สกฤตพ้นื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
6.2 วิภักติที่ใชผ้ นั คาํ นาม (รวมถึง สรรพนาม คาํ วิเศษณแ์ ละจํานวนเลขด้วย)
วิภักตินาม หรือ สุปวฺ ิภกั ติ
(ตารางแรก ใช้สาํ หรบั ปุงลิงค์และสตรีลิงค์)
วิภกั ติที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
1 prathamā s au as
ปรฺ ถมา s( AO As(
2 dvitīyā am au as
ทฺวิตียา Am( AO As(
3 trt‹ īyā ā bhyām bhis
ตฤฺ ตียา Aa >yam( i.s(
4 caturthī e bhyām bhyas
จตรุ ถฺ ี E >yam( >ys(
5 panªcamī as bhyām bhyas
ปญฺจมี As( >yam( >ys(
6 sast‹ h‹ ī as os ām
ษษฐฺ ี As( Aos( Aam(
7 saptamī i os su
สปตฺ มี š Aos( su
8 sambodhana s au as
prathamā s( AO As(
สมฺโพธนปรฺ ถมา
สุปฺวิภกั ติ (ตารางที่ 2 สําหรบั นปุงสกลิงค์)
ในนปงุ สกลิงค์ มีวิภกั ตทิ ีผ่ นั แตกต่างจาก ปงุ ลิงค์ 3 วิภกั ติ คือ
วิภักติที่ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
1 prathamā m ī i
ปรฺ ถมา m( ¡ š
2 dvitīyā mī i
ทวฺ ิตียา m( ¡ š
8 sambodhana m ī i
สมฺโพธนปฺรถมา m( ¡ š
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 71
71
สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
หมายเหตุ การจัดวิภกั ติออกเปน็ 3 กลุ่ม ดงั น้ี
1. วิภกั ติทีอ่ ย่ใู นวงกลม จดั เปน็ วิภักตแิ ขง็
2. วิภักติทถี่ มสีเทา จัดเปน็ วิภกั ติกลาง
3. วิภกั ติทีเ่ หลือจากข้อ 1 และ 2 จัดเปน็ วิภักติอ่อน
แต่หากต้องผนั คาํ ศพั ท์ทแี่ บ่งเปน็ เพียง สองกลุ่ม กแ็ บ่งดงั น้ี คือ
วิภกั ติ 5 ตัวแรก ของ – ปุลลิงค์และสตรีลิงค์- เปน็ วิภักติแขง็ ส่วนทีเ่ หลือเปน็ วิภกั ติออ่ น
- นปงุ สกลิงค์ เฉพาะ i เปน็ วิภกั ติแข็ง ส่วนทีเ่ หลือเปน็ วิภกั ติออ่ น
เหตุผลที่แบ่งเช่นนี้ ก็เพื่อง่ายต่อการผันคํานามที่มี 3 รูป มีความสอดคล้องกับ สระท้ัง 3 ข้ัน
(ดสู ระ 3 ข้นั หน้า 52 ด้วย) เช่น ศพั ท์ว่า raj¥ an (พระราชา) เปน็ ปงุ ลิงค์ เปน็ ศัพท์ที่
มี 3 รูป คือ
ra¥jan¥ เป็นรปู แขง็ , ท้ายศพั ท์เปน็ สระข้นั วฤทธิ
raj¥ a เปน็ รปู กลาง, ท้ายศพั ท์เปน็ สระข้นั คณุ
raj¥ nª เปน็ รปู ออ่ น, ท้ายศพั ท์เปน็ สระข้นั ธรรมดา
แล้วนําไปผันกับสปุ วิภกั ติ ทีแ่ บ่งเปน็ 3 กล่มุ ได้เลย
ประโยชน์ของการแบง่ วิภกั ติเป็น 2 และ 3 กลมุ่
1. เพือ่ ให้ง่ายต่อการผันคาํ นามที่เปน็ พยัญชนะการนั ต์
2. ไม่ต้องเสียเวลาท่องจํามาก
3. เมือ่ เข้าใจเคล็ดลบั นี้แล้ว ไม่จาํ เปน็ ต้องเปดิ แบบการผนั อีกบ่อย ๆ
4. ทาํ ให้สามารถ อ่าน แปล และเข้าใจเนื้อหาภาษาสนั สกฤตได้อย่างรวดเรว็ ยิง่ ขนึ้
6.3 การผนั คาํ นาม อ การันต์ นปงุ สกลิงค์ อิ การันต์ ปุงลิงค์
phala fl ผลไม้ เปน็ อ การนั ต์ นปงุ สกลิงค์ ผนั ดังนี้
วิภกั ติที่/ พจน์ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหุพจน์
วิภักติที่ 1
(ประธาน) phalam phale phalāni
วิภักติที่ 2 flm( fle flain
(กรรม)
phalam phale phalāni
วิภกั ติที่ 3
(เครื่องมือ) flm( fle flain
phalena phalābhyām phalais
flen fla>yam( flWs(
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 72
72
สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
วิภักติที่/ พจน์ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหพุ จน์
วิภกั ติที่ 4 phalāya phalābhyām phalebhyas
(ผ้รู ับผล)
flay fla>yam( fle>ys(
วิภกั ติที่ 5
(ทีเ่ กิด,สาเหต)ุ phalāt phalābhyām phalebhyas
วิภกั ติที่ 6 flat( fla>yam( fle>ys(
(เจา้ ของ)
phalasya phalayos phalānām
วิภกั ติที่ 7
(สถานที,่ ทิศ) flSy flyos( flanam(
วิภักติที่ 8 phale phalayos phaleṣu
(คาํ ทักทาย)
fle flyos( flezu
phala phale phalāni
fl fle flain
อิ การันต์ ปงุ ลิงค์ ผนั อย่าง AiGn agni ไฟ
พหพุ จน์
วิภักติที่ เอกพจน์ ทวิพจน์
agnayas
วิภกั ติที่ 1 agnis agnī
AGnys(
(ประธาน) AiGns( AGnI
agnīn
วิภักติที่ 2 agnīm agnī
AGnIn(
(กรรม) AiGnm( AGnI
agnibhis
วิภกั ติที่ 3 agninā agnibhyām
AiGni.s(
(เครื่องมือ) AiGnna AiGn>yam(
agnibhyas
วิภักติที่ 4 agnaye agnibhyām
AiGn>ys(
(ผู้รับผล) AGnye AiGn>yam(
agnibhyas
วิภกั ติที่ 5 agnes agnibhyām
AiGn>ys(
(ทีเ่ กิด,สาเหต)ุ AGnes( AiGn>yam(
agnīnām
วิภกั ติที่ 6 agnes agnyos
AGnInam(
(เจ้าของ) AGnes( AGNyos(
agniṣu
วิภกั ติที่ 7 agnau agnyos
AiGnzu
(สถานที่, ทิศ) AGnO AGNyos(
agnayas
วิภกั ติที่ 8 agne agnī
AGnys(
(คําทักทาย) AGne AGnI
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 73
73
สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
ศพั ทานุกรม
อ การนั ต์ นปงุ สกลิงค์ (Neuter)
เทวนาครี โรมนั ไทย ลิงค์ การนั ต์ คาํ แปล
n. a ความทุกข์
du"% duḥkha ทหุ ขฺ n. a ทุ่ง, ท่งุ นา
=e] kṣetra เกษฺ ตรฺ n. a ไถ
la½l lāṅgala ลางฺคล n. a ความสขุ
su% sukha สขุ n. a เงิน
/n dhana ธน n. a บาป
pap pāpa ปาป n. a พิษ, ยาพิษ
ivz viṣa วิษ a n. อาหาร , ของกิน
An{ anna อนฺน a n. ใบไม้ , จดหมาย
p] pattra ปตรฺ a n. แก้ว , สิ่งประเสริฐ
rTn ratna รตนฺ
sUμ sūkta สูกตฺ a n. บทสวด, บทสวดของพระเวท
อิ การันต์ ปุงลิงค์ (Masculine)
เทวนาครี โรมัน . ไทย ลิงค์ การันต์ คําแปล
Air ari อริ m. i ข้าศึก
Ais asi อสิ m. i ดาบ
igir giri คิริ m. i ภูเขา
hir hari หริ m. i ชื่อคน , พระหริ
kiv kavi กวิ m. i กวี
pai, pāṇi ปาณิ m. i มือ , ฝ่ามือ
©iz ṛṣi ฤษิ m. i ฤษี
hir hari หริ m. i ชือ่ คน, พระหริ
£di/ udadhi อุทธิ m. i ทะเล
mi, maṇi มณิ m. i แก้วมณี
raix rāśi ราศิ m. i กอง , 30 ของท้องฟ้า
Ail ali อลิ m. i ผ้ึง
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 74
74
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
กริยาศพั ท์ ธาตหุ มวดที่ 1 (ปกติ)
ธาตุ ไทย เคา้ กริยา + วิภกั ติ ลฏฺ กริยาสมบรู ณ์ ความหมาย
เขาเปน็ , อยู่, คือ
bhū ภู bhava + ti bhavati เขาร้,ู ร้สู ึกตวั
bodhati เขามีชีวิตอย่,ู เป็นอยู่
budh พธุ ฺ bodha + ti jīvati เขานาํ ไป, แนะนํา
nayati เขาติเตียน
jīv ชีวฺ jīva + ti nindati เขารกั ษา, ปกป้อง
rakṣati เขาระลึกถึง
nī นี naya + ti smarati เขาสรรเสริญ
śaṃsati (..)ยังฝนให้ตก, โปรย
nind นินทฺ ninda + ti varṣati เขาวิ่ง
dravati เขาซ่อน
rakṣ รกษฺ ฺ rakṣa + ti gūhati เขาชนะ
jayati
smṛ สมฺ ฤ smara + ti
śaṃs ศํสฺ śaṃsa + ti
vṛṣ วฺฤษฺ varṣa + ti
dru ทฺรุ drava + ti
guh คหุ ฺ gūha + ti
ji ชิ jaya + ti
กริยาศัพท์ ธาตุหมวดที่ 1 ทีม่ ีรูปพเิ ศษ
ธาตุ รปู พิเศษ + a ปัจจัย + ลฏฺ รูปสมบรู ณ์ ความหมาย
gam คมฺ gacch gaccha ti = gacchati (เขา) ไป
ghrā ฆรฺ า jighr jighra anti = jighranti (พวกเขา) ดม
pā ปา pib piba si = pibasi (ท่าน) ดื่ม
sthā สถฺ า tis‹th‹ tist‹ ‹ha mi = tis‹t‹hāmi (ฉัน) ยืนอยู่
yam ยมฺ yacch yaccha ti = yacchati (เขา) ให้
guh คหุ ฺ gūh gūha ti = gūhati (เขา) ปกปิด, ซ่อน
dṛś ทฺฤศฺ pasy pasya anti = pasyanti (พวกเขา) เหน็ , ดู
sad สทฺ sīd sīda tha = sīdatha (พวกท่าน) นงั่ , จม
***** จบ บทที่ 6 *****
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 75
75
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
แบบฝึกหัดที่ 6
1. จงผนั กริยาธาตุ गम ् (gam) และ यम ्(yam) ซึ่งเป็นธาตหุ มวดที่ 1 (ทีม่ ีรปู พิเศษ) มี a
ปจั จัยประจาํ หมวดธาตุ ด้วยวิภกั ติอาขยาต หมวด ลฏฺ ฝ่ายปรสั ไมบท ปจั จบุ นั กาล (บทที่ 5
หน้าที่ 50 ประกอบด้วย) ให้ครบทกุ พจน์และบรุ ษุ พร้อมท้งั เทียบอักษรโรมนั ด้วย
2. จงแจก धन (dhana) - ทรพั ย์ ตามแบบ อ การนั ต์ ในนปุงสกลิงค์ ตามลาํ ดับให้ครบ
ทกุ พจน์และวภิ ักติ
3. จงแจก ऋिष (ṛṣi) – ฤษี ตามแบบ อิ การนั ต์ ในปุงลิงค์ ตามลาํ ดบั ให้ครบทกุ พจน์และ
วิภักติ
4. จงแปลเปน็ ภาษาไทย
1. सदा दवे ान ् रि। sadā devān smaranti
2. गहृ ं गामः। gṛhaṃ gacchāmaḥ
3. जलं िपबित पऽु ः। jalaṃ pibati putraḥ
4. नपृ ौ जयतः। nṛpau jayataḥ
5. कदा फलािन यथः। kadā phalāni yacchathaḥ
6. कु ऽाधनु ा गजं नयािम। kutrādhunā gajaṃ nayāmi
7. नयि दवे ाः। nayanti devāḥ
8. नयथ हे दवे ाः। nayatha he devāḥ
9. नरः फले यित। naraḥ phale yacchati
10. दवे ं यजावः। devaṃ yajāvaḥ
11. पऽु मामं गि। putra grāmaṃ gacchanti
12. तऽ गहृ े भवतः। tatra gṛhe bhavataḥ
13. सवऽर् दानािन वषिर् नपृ ाः। sarvatra dānāni varṣanti nṛpāḥ
14. अधनु ा िजयािम गम।् adhunā jighrāmi gandham
3. จงแปลเปน็ ภาษาสันสกฤต 2. พระเจา้ แผน่ ดนิ 3 ย่อมนาํ ไป2 ซงึ่ ชา้ ง1
1. คน1 ยอ่ มด่มื 3 ซง่ึ น้ํานม2 4. พระเจา้ แผ่นดนิ 3 ย่อมชนะ2 ซ่งึ หม่บู า้ น1
3. เรือนท้งั สอง1 ย่อมลม้ 2
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 76
76
สันสกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)
5. ท่านท้งั สองย่อมระลึกถงึ 2 ซึง่ เทวะทงั้ สอง1 6. เทวะ3 ยอ่ มประทาน2 ซึ่งน้ํา1
7. ชา้ งทั้งสอง1 ย่อมดม3 ซึ่งกลนิ่ 2 8. เขาทั้งหลายยอ่ มตม้ 2 ซ่งึ ผลไม้ท้ังหลาย1
9. คน3 ย่อมน้อมไหว2้ ซง่ึ เทวะทั้งหลาย1 10.ชา้ งทงั้ สอง1 ยอ่ มมีชีวติ อยู่2
11. เทวะทั้งหลาย2 ยอ่ มยงั ฝนใหต้ ก1
คําคม คารมสนั สกฤต
parar¥ tham¤ yojitam¤ pap¥ am¤ phalatya¥tmanyasam¤s´ayam¤
A bad deed or thought for other, affects the thinker.
สิ่งไม่ดที ีท่ าํ ไวใ้ ห้ผ้อู ื่น ย่อมมีผลต่อตวั ผ้ทู าํ เอง อย่างไม่ต้องสงสัย
สนั สกฤตพ้ืนฐาน (Introduction to Sanskrit) 77
77
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit)
บทที่ 7
กริยาอาตมเนบทและสรรพนาม
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 78
78
สนั สกฤตพน้ื ฐาน (Introduction to Sanskrit)
ขอบข่ายการศึกษา
1. วิภักติอาขยาต 2 ฝ่าย คือ ปรัสไมบท และอาตมเนบท
2. การผนั วิภกั ติกริยาอาขยาต ฝ่ายอาตมเนบท หมวด ลฏฺ (ปจั จบุ นั กาล)
3. ความหมายของสรรพนาม และการผนั สรรพนาม บรุ ษุ ที่ 1-2
วัตถปุ ระสงค์
1. เพือ่ ให้เข้าใจการผันวิภกั ติกริยาอาขยาต ฝ่ายอาตมเนบท หมวด ลฏฺ (ปัจจบุ นั กาล)
2. เพือ่ ให้จาํ กริยาธาตุ ที่ใช้เฉพาะในฝ่ายอาตมเนบทได้
3. เพื่อให้ทราบความหมายของสรรพนาม และสามารถผันสรรพนามบุรษุ ที่ 1-2 ได้
สนั สกฤตพื้นฐาน (Introduction to Sanskrit) 79
79
สนั สกฤตพืน้ ฐาน (Introduction to Sanskrit)