The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนวิทยาศาสตร์ ม.3 เทอม 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pim_kitty_15, 2021-12-12 21:52:41

แผนวิทยาศาสตร์ ม.3 เทอม 2

แผนวิทยาศาสตร์ ม.3 เทอม 2

1 หลักการจัดการเรียนรูอ้ งิ มาตรฐาน

หน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วยจะกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด* ไว้เป็นเป้าหมายในการ
จัดการเรียนการสอน ผู้สอนจะต้องศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดของมาตรฐานตัวช้ีวัดทุกข้อว่า ระบุให้
ผู้เรยี นต้องมคี วามรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องอะไร และต้องสามารถลงมอื ปฏิบตั ิอะไรไดบ้ ้าง และผลการเรียนรู้
ที่เกิดข้ึนกับผู้เรียนตามมาตรฐานตัวชี้วัดนี้จะนำไปสู่การเสริมสร้างสมรรถนะสำคั ญและคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ด้านใดแกผ่ เู้ รยี น

มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชวี้ ดั ผ้เู รยี นรูอ้ ะไร

นำไปสู่ ผู้เรียนทำอะไรได้

สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์

2 หลักการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ีเนน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ

เม่ือผู้สอนวิเคราะห์ตัวชี้วัดและความสามารถของผู้เรียนท่ีจะเกิดตามตัวช้ีวัด ได้กำหนดจุดประสงค์
การเรียนรู้เป้าหมายการจัดการเรียนการสอนเรียบร้อยแล้ว จึงกำหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้และ
แนวทางการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนของกิจกรรมการเรี ยนรู้ที่ออกแบบไว้
จนบรรลุจดุ ประสงค์การเรียนรู้ทกุ ขอ้

จดุ ประสงค์ เป้าหมาย สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
การเรียนรู้
หลกั การจดั การเรียนรู้ และการพัฒนา คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
เน้นผู้เรยี นเป็นศูนยก์ ลาง คณุ ภาพ ของผู้เรยี น
สนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ของผู้เรยี น
เน้นพัฒนาการทางสมอง
เนน้ ความรู้คคู่ ณุ ธรรม

3 หลักการบูรณาการกระบวนการเรียนรสู้ มู่ าตรฐานตัวช้วี ัด

เมื่อผู้สอนกำหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้ และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้แล้ว
จึงกำหนดรปู แบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ ท่จี ะฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ บรรลุผลตาม
จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีเป็นเป้าหมาย

ในหน่วยนั้น ๆ เช่น กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง กระบวนการ
เผชิญสถานการณ์และการแก้ปัญหา การคิดเชิงคำนวณ กระ บวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการทางสังคม ฯลฯ กระบวนการเรียนรู้ทีม่ อบหมายให้ผูเ้ รียนไดค้ ิดและลงมือปฏิบตั ินน้ั จะต้องนำไปสู่
การพัฒนาสมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามสาระการเรียนรู้ท่ีกำหนดไว้
ในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้

4 หลกั การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน

การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน และกิจกรรมการเรยี นร้ใู นแต่ละหนว่ ย ผสู้ อนตอ้ งกำหนดขนั้ ตอนและ
วิธปี ฏิบตั ใิ หช้ ดั เจน โดยเนน้ ให้ผูเ้ รียนได้คิดและปฏิบตั มิ ากที่สดุ ตามแนวคดิ และวิธกี ารสำคัญ คือ

1) การเรียนรู้ เปน็ กระบวนการทางสติปัญญา ท่ีผู้เรยี นทกุ คนต้องใช้สมองในการคิดและทำความเขา้ ใจ
ในส่ิงต่าง ๆ ร่วมกับการลงมือปฏิบัติ ทดลองค้นคว้า จนสามารถสรุปเป็นความรู้ได้ด้วยตนเอง และ
สามารถนำเสนอผลงาน แสดงองค์ความรู้ทเี่ กิดขน้ึ ในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรไู้ ด้

2) การสอน เป็นการเลือกวิธกี ารหรือกจิ กรรมที่เหมาะสมกับการเรียนรูใ้ นหน่วยนั้น ๆ และท่ีสำคัญคือ
ต้องเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับสภาพผเู้ รยี น ผู้สอนจึงต้องเลือกใช้วธิ ีการสอน เทคนิคการสอน และ
รูปแบบการสอนอย่างหลากหลาย เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างราบร่ืน
จนบรรลตุ วั ชวี้ ดั ทุกข้อ

3) รูปแบบการสอน ควรเป็นวิธีการและขั้นตอนฝึกปฏิบัติท่ีส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถคิด
อย่างเป็นระบบ เช่น รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) รูปแบบการสอนโดยใช้การคิด
แบบโยนิโสมนสิการ รูปแบบการสอนแบบ CIPPA Model รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักร
การเรยี นรแู้ บบ 4MAT รูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือ เทคนิค JIGSAW, STAD, TAI, TGT

4) วิธีการสอน ควรเลือกใช้วิธีการสอนท่ีสอดคล้องกับเน้ือหาของบทเรียน ความถนัด ความสนใจ
และสภาพปัญหาของผู้เรียน วิธีสอนที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลการเรียนรู้ตามในระดับ
ผลสัมฤทธ์ิที่สูง เช่น วิธีการสอนแบบบรรยาย การสาธิต การทดลอง การอภิปรายกลุ่มย่อย
การแสดงบทบาท สมมติ การใช้กรณีตัวอย่าง การใช้สถานการณ์จำลอง การใช้ศูนย์การเรียน
การใชบ้ ทเรียนแบบโปรแกรม เป็นต้น

5) เทคนิคการสอน ควรเลือกใช้เทคนิคการสอนท่ีสอดคล้องกับวิธีการสอน และช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ
เน้ือหาในบทเรียนได้ง่ายขึ้น สามารถกระตุ้นความสนใจและจูงใจให้ผู้เรียนร่วมปฏิบัติกิจกรรม
การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เทคนิคการใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizers) เทคนิคการ

เล่านิทาน การเล่นเกมเทคนิคการใช้คำถาม การใช้ตัวอย่างกระตุ้นความคิด การใช้สื่อการเรียนรู้
ทน่ี ่าสนใจ เป็นต้น
6) สอ่ื การเรียนการสอน ควรเลือกใช้สอ่ื หลากหลายกระตุ้นความสนใจ และทำความกระจา่ งใหเ้ นื้อหา
สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ และเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตัวช้ีวัดอย่าง
ราบรืน่ เช่น ส่ือสง่ิ พิมพ์ เอกสารประกอบการสอน แถบวีดิทัศน์ แผน่ สไลด์ คอมพวิ เตอร์ VCD LCD
Visualizer เปน็ ตน้ ควรเตรียมส่อื ให้ครอบคลุมท้ังสื่อการสอนของครแู ละสอื่ การเรยี นร้ขู องผูเ้ รยี น

5 หลกั การจดั กิจกรรมการเรียนรูแ้ บบยอ้ นกลบั ตรวจสอบ

เมื่อผู้สอนวางแผนออกแบบการจดั การเรียนรู้ รวมถงึ กำหนดรูปแบบการเรียนการสอนไวเ้ รียบร้อยแล้ว
จึงนำเทคนิควิธีการสอน วิธีจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสื่อการเรียนรู้ไปลงมือจัดการเรียนการสอน ซ่ึงจะนำ
ผู้เรียนไปสู่การสร้างชิ้นงานหรือภาระงาน เกิดทักษะกระบวนการและสมรรถนะสำคัญตามธรรมชาติวิชา
รวมท้ังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดที่เป็นเป้าหมายของหน่วย
การเรยี นรู้ ตามลำดบั ข้ันตอนการเรียนร้ทู กี่ ำหนดไว้ ดังน้ี

จากเปา้ หมายและหลักฐาน เป้าหมายการเรยี นรขู้ องหนว่ ย
คิดย้อนกลบั สู่จดุ เร่มิ ตน้
ของกิจกรรมการเรียนรู้ หลักฐานชิน้ งาน/ภาระงาน
แสดงผลการเรยี นร้ขู องหน่วย

4 กจิ กรรม คำถามชวนคดิ จากกจิ กรรมการเรยี นรู้
3 กจิ กรรม คำถามชวนคดิ ทลี ะขนั้ บนั ไดสู่หลกั ฐาน
2 กิจกรรม คำถามชวนคดิ และเปา้ หมายการเรยี นรู้
1 กิจกรรม คำถามชวนคดิ

6 หลกั การวัดและประเมนิ ผล

เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนจะสามารถบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ตามตัวช้ีวัดนั้น จึงได้มีการออกแบบและ
สร้างเครอื่ งมือเพอ่ื ใช้ในการประเมินหลกั ๆ ดังน้ี

1) แบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี น ประเมนิ ความร้เู พอื่ ใชใ้ นการพฒั นาในหนว่ ยถัด ๆ ไป
2) ใบงาน เพอ่ื ใช้ในการฝึกคิดและปฏบิ ัติ
3) แบบประเมินชิ้นงาน โดยใชเ้ กณฑ์คุณภาพ (Scoring Rubrics) เพ่ือใช้ในการประเมินคณุ ภาพของช้นิ งาน

และประเมนิ กระบวนการคดิ และกระบวนการกลุ่ม
4) แบบสงั เกตพฤตกิ รรมเพอื่ ใชใ้ นการประเมนิ พฒั นาคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ต่อไป

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
แล้วจะต้องฝึกฝนกระบวนการคิด โดยใช้เทคนิคการตั้งคำถาม และใช้ระดับคำถามให้สัมพันธ์กับระดับความคิด
เนอื้ หาน้ัน ๆ ตงั้ แตร่ ะดับความรู้ ความจำ ความเขา้ ใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมนิ ค่า และการสร้างสรรค์
นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจบทเรียนอย่างลึกซ้ึงแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเพ่ือสอบ O-NET
ซึ่งเป็นการทดสอบระดับชาติท่ีเน้นกระบวนการคิดระดับวิเคราะห์ด้วย และในแต่ละแผนการเรียนรู้จึงมีการระบุ
คำถามเพ่ือกระตุ้นความคิดของผู้เรียนไว้ด้วยทุกกิจกรรม ผู้เรียนจะได้ฝึกฝนวิธีการทำข้อสอบ O-NET ควบคู่ไปกับ
การปฏิบตั กิ ิจกรรมการเรยี นรูต้ ามผลการเรียนร้ทู ่สี ำคญั

ท้ังน้ีการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละหน่วยจะครอบคลุมกิจกรรมการเรียนรู้ และ
การประเมินผลด้านความรู้ความเข้าใจ (K) ด้านทักษะกระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
ตามตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางฯ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตลอดจนแบบบันทึกผลการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ไว้ครบถ้วน สอดคล้องกับ
มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน เช่น แบบบันทึกผลด้านการคิดวิเคราะห์ ด้านการอ่านและแสวงหาความรู้
ด้านสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร เป็นต้น ผู้สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่าง
มปี ระสิทธภิ าพ และใช้ประกอบการจดั ทำรายงานการประเมินตนเอง (Self-Assessment Reports) จงึ มัน่ ใจอย่างยิ่ง
ว่า การนำแผนการจัดการเรียนรู้เลม่ นี้ไปเป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนจะช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของ
นกั เรียนใหส้ งู ขึน้ ตามมาตรฐานการศกึ ษาและการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษาทุกประการ

สรปุ หลักสูตรฯ กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี *

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 น้ี ได้กำหนดสาระการเรียนรอู้ อกเปน็
4 สาระ ได้แก่ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลก และ
อวกาศ และสาระที่ 4 เทคโนโลยี มีสาระเพ่ิมเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ และ
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ

องค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้านของเน้ือหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมิน
ผลการเรียนรู้นั้น มีความสำคัญอย่างย่ิงในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรยี นในแต่ละระดับชั้น
ให้มีความต่อเน่ืองเชื่อมโยงกันต้ังแต่ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สำหรับกลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้กำหนดตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางท่ีผู้เรียนจำเป็นต้องเรียนเป็นพ้ืนฐาน
เพ่ือให้สามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการดำรงชีวิต หรือศึกษาต่อในวิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้
โดยจดั เรียงลำดบั ความยากง่ายของเน้ือหาในแต่ละระดับช้ันให้มีการเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการเรยี นรู้ และ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์
คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษท่ี 21
ในการค้นควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถ
ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจกั ษ์พยานท่ตี รวจสอบได้

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 น้ี ไดป้ รบั ปรงุ เพอื่ ให้มีความสอดคล้องและ
เชื่อมโยงกนั ภายในสาระการเรียนรู้เดียวกนั และระหวา่ งสาระการเรยี นรู้ในกลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ตลอดจนการเช่ือมโยงเนื้อหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตรด์ ้วย นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุง
เพือ่ ใหม้ คี วามทันสมยั ต่อการเปลย่ี นแปลงและความเจริญก้าวหนา้ ของวทิ ยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ
ซึ่งสรุปได้ ดังแผนภาพ

สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์ สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก
ชวี ภาพ กายภาพ และอวกาศ

มาตรฐาน ว 1.1-ว 1.3 มาตรฐาน ว 2.1-ว 2.3 มาตรฐาน ว 3.1-ว 3.2

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตรแ์ ละ

เทคโนโลยี

สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1-ว 4.2

วิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเติม - สาระชวี วทิ ยา - สาระเคมี - สาระฟิสกิ ส์ - สาระโลก ดาราศาสตร์

*สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรแะทละรอววงกศากึ ศษาธิการ, ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระ

การเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 (กรุงเทพมหานคร :

โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2560).

ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง *

มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและ
พลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ
คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมท้ังนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์

ชั้น ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.3 1. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความ • เม่ือต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าออกจากขั้วบวกผ่าน
ต่างศักย์กระแสไฟฟ้า และความ วงจรไฟฟา้ ไปยังข้วั ลบของแหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ ซ่ึงวัดคา่ ไดจ้ ากแอมมเิ ตอร์

ต้านทาน และคำนวณ ปริมาณ ท่ี • ค่าที่บอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประจุระหวา่ งจุด 2 จุด
เกี่ยวข้องโดยใช้สมการ V = IR จาก เรียกว่า ความต่างศกั ย์ซ่งึ วดั ค่าไดจ้ ากโวลต์มเิ ตอร์
หลกั ฐานเชิงประจักษ์
• ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีค่าแปรผนั ตรงกับความต่างศักยร์ ะหว่างปลายทั้ง
2. เขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง สองของตัวนำ โดยอัตราส่วนระหว่างความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้ามี
กระแสไฟฟ้า และความต่างศกั ย์ไฟฟา้ คา่ คงที่ เรียกคา่ คงท่ีนวี้ า่ ความตา้ นทาน
3. ใช้โวลต์มิเตอร์ แอมมิเตอร์ในการวัด

ปริมาณทางไฟฟ้า

4. วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและ • ในวงจรไฟฟ้าประกอบดว้ ยแหล่งกำเนิดไฟฟ้า สายไฟฟา้ และอุปกรณ์ไฟฟา้

กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตัว โดยอุปกรณ์ไฟฟา้ แตล่ ะชิ้นมีความต้านทาน ในการตอ่ ตัวต้านทานหลายตัว

ตา้ นทานหลายตวั มีทัง้ ตอ่ แบบอนกุ รมและแบบขนาน

5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการตอ่ • การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้า ความต่างศักย์ที่
ตวั ต้านทานแบบอนกุ รมและขนาน
คร่อมตัวตา้ นทานแต่ละตัวมคี ่าเท่ากบั ผลรวมของความต่างศักยท์ ี่ครอ่ มตัว

ตา้ นทานแตล่ ะตวั โดยกระแสไฟฟ้าทผี่ ่านตัวต้านทานแตล่ ะตวั มีคา่ เท่ากัน

6. บรรยายการท ำงานของช้ินส่วน • การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ผ่าน

อิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรจาก วงจรมีค่าเท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละตัว โดย

ข้อมูลท่รี วบรวมได้ ความตา่ งศักยท์ ีค่ รอ่ มตวั ตา้ นทานแตล่ ะตัวมคี า่ เท่ากนั

7. เขี ย น แ ผ น ภ าพ แ ล ะ ต่ อ ชิ้ น ส่ ว น • ช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีหลายชนิด เช่น ตัวต้านทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร์
อเิ ลก็ ทรอนกิ สอ์ ยา่ งง่ายในวงจรไฟฟา้ ตัวเก็บประจุ โดยช้ินส่วนแต่ละชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันเพ่ือให้วงจร
ทำงานไดต้ ามตอ้ งการ

• ตวั ต้านทานทำหน้าท่ีควบคุมปริมาณกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทำ
หน้าท่ีให้กระแสไฟฟ้าผ่านทางเดียว ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์ปิด
หรือเปดิ วงจรไฟฟา้ และควบคุมปริมาณกระแสไฟฟา้ ตัวเก็บประจุทำหน้าที่
เก็บและคายประจุไฟฟา้

• เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดท่ี
ทำงานร่วมกัน การต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์โดยเลือกใช้ชิ้นส่วนนั้น ๆ
จะสามารถทำให้วงจรไฟฟา้ ทำงานไดต้ ามตอ้ งการ

8. อธิบายและคำนวณพลังงานไฟฟ้าโดย • เครื่องใชไ้ ฟฟ้าจะมีค่ากำลังไฟฟ้าและความต่างศกั ย์กำกับไว้ กำลังไฟฟ้ามี
ใช้สมการ W = Pt รวมทั้งคำนวณค่า หน่วยเป็นวัตต์ ความต่างศักย์มีหน่วยเป็นโวลต์ ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่คิดจาก

ชั้น ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ไฟฟ้าของเครื่องใชไ้ ฟฟา้ ในบ้าน พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด ซ่ึงหาได้จากผลคูณของกำลังไฟฟ้า ในหน่วย

9. ตระหนักในคุณค่าของการเลือกใช้ กิโลวัตต์ กบั เวลาในหนว่ ยช่วั โมง พลังงานไฟฟา้ มีหน่วยเป็นกโิ ลวัตต์ ชวั่ โมง

เคร่ืองใช้ไฟฟ้าโดยนำเสนอวิธีการใช้ หรอื หน่วย

เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและ • วงจรไฟฟ้าในบ้านมีการต่อเคร่ืองใช้ไฟฟ้าแบบขนานเพื่อให้ความต่างศักย์

ปลอดภยั เท่ากัน การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันต้องเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าท่ี

มีความต่างศักย์และกำลังไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน และการใช้

เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องใช้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และ

ประหยดั

10. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิด • คลื่นเกิดจากการส่งผ่านพลังงานโดยอาศยั ตวั กลางและไมอ่ าศัยตัวกลาง ใน
คลื่นและบรรยายส่วนประกอบของ คลื่นกล พลังงานจะถูกถ่ายโอนผ่านตัวกลางโดยอนุภาคของตัวกลางไม่
คลนื่ เคล่ือนที่ไปกับคล่ืน คล่ืนท่ีแผ่ออกมาจากแหล่งกำเนิดคลื่นอย่างต่อเน่ือง

และมีรปู แบบที่ซ้ำกนั บรรยายไดด้ ว้ ยความยาวคลนื่ ความถ่ี แอมพลิจูด

11. อธิบายคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าและ • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่อาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ มีความถ่ี

สเปกตรัมคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าจาก ต่อเนื่องเป็นช่วงกว้างมากเคล่ือนท่ีในสุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากัน

ขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ แต่จะเคล่ือนท่ีด้วยอัตราเร็วต่างกันในตัวกลางอืน่ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าแบ่ง

12. ตระหนักถึงประโยชน์และอันตราย ออกเป็นช่วงความถี่ต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า

จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยนำเสนอ แต่ละช่วงความถี่มีชอ่ื เรียกต่างกนั ได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด

การใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และ แสงที่มองเห็น อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา ซ่ึงสามารถ

อันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใน นำไปใชป้ ระโยชน์ได้

ชีวิตประจำวนั • เลเซอร์เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคล่ืนเดียว เป็นลำแสงขนาน

และมีความเข้มสูง นำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการส่ือสาร

มีการใชเ้ ลเซอร์สำหรับสง่ สารสนเทศผ่าน เสน้ ใยนำแสง โดยอาศัยหลกั การ

การสะทอ้ นกลับหมดของแสง ดา้ นการแพทยใ์ ช้ในการผา่ ตัด

• คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ นอกจากจะสามารถนำไปใช้ประโยชนแ์ ล้ว ยงั มีโทษต่อ

มนษุ ยด์ ว้ ย เช่น ถา้ มนุษย์ได้รบั รงั สอี ัลตราไวโอเลตมากเกินไปอาจจะทำให้

เกิดมะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสีแกมมาซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีมี

พลังงานสูง และสามารถทะลุผ่านเซลล์และอวัยวะได้ อาจทำลายเน้ือเยื่อ

หรืออาจทำใหเ้ สียชวี ติ ไดเ้ ม่ือไดร้ ับรังสีแกมมาในปริมาณสูง

13. ออกแบบการทดลองและดำเนินการ • เมอ่ื แสงตกกระทบวัตถุจะเกดิ การสะท้อนซง่ึ เป็นไปตามกฎการสะท้อนของ

ทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการ แสง โดยรังสตี กกระทบเสน้ แนวฉาก รังสสี ะทอ้ นอย่ใู นระนาบเดยี วกนั และ

อธบิ ายกฎการสะทอ้ นของแสง มมุ ตกกระทบเท่ากบั มมุ สะท้อน ภาพจากกระจกเงาเกิดจากรังสสี ะท้อนตัด

14. เขียนแผนภาพการเคล่ือนท่ีของแสง กันหรือต่อแนวรังสีสะท้อนให้ตัดกัน โดยถ้ารังสีสะท้อนตัดกันจริงจะเกิด

แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา ภาพจรงิ แต่ถา้ ตอ่ แนวรงั สสี ะท้อนใหไ้ ปตดั กนั จะเกดิ ภาพเสมอื น

15. อธิบายการหักเหของแสงเม่ือผ่าน • เม่ือแสงเดินทางผ่านตัวกลางโปร่งใสที่แตกต่างกัน เช่น อากาศและน้ำ
ตัวกลางโปร่งใสท่ีแตกต่างกัน และ อากาศและแก้ว จะเกิดการหักเห หรืออาจเกิดการสะท้อนกลับหมดใน
อธิบายการกระจายแสงของแสงขาว ตัวกลางที่แสงตกกระทบ การหักเหของแสงผ่านเลนส์ทำให้เกิดภาพท่ีมี

ชั้น ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

เมื่อผ่านปริซึมจากหลักฐานเชิง ชนดิ และขนาดตา่ ง ๆ

ประจกั ษ์ • แสงขาวประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ เม่ือแสงขาวผ่านปริซึมจะเกิดการ

16. เขียนแผนภาพการเคลื่อนท่ีของแสง กระจายแสงเป็นแสงสีต่าง ๆเรียกว่า สเปกตรัมของแสงขาว เม่ือเคล่ือนที่

แสดงการเกิดภาพจากเลนสบ์ าง ในตวั กลางใด ๆ ทไ่ี มใ่ ชอ่ ากาศ จะมอี ัตราเร็วต่างกนั จงึ มกี ารหกั เหต่างกัน

17. อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง • การสะท้อนและการหักเหของแสงนำไปใชอ้ ธิบายปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวกับ

และการทำงานของทัศนอปุ กรณ์จาก แสง เช่น รุ้ง มริ าจ และอธิบายการทำงานของทัศนอปุ กรณ์ เช่น แวน่ ขยาย

ข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ กระจกโคง้ จราจร กลอ้ งโทรทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์ และแวน่ สายตา

18. เขียนแผนภาพการเคล่ือนท่ีของแสง • ในการมองวัตถุ เลนส์ตาจะถกู ปรับโฟกสั เพื่อให้เกิดภาพชัดที่จอตา ความ
แสดงการเกิดภาพของทัศนอุปกรณ์ บกพร่องทางสายตา เช่น สายตาสั้น และสายตายาว เปน็ เพราะตำแหน่งที่
และเลนส์ตา
เกิดภาพไม่ได้อยู่ที่จอตาพอดี จึงต้องใช้เลนส์ในการแก้ไขเพ่ือช่วยให้

มองเห็นเหมือนคนสายตาปกติ โดยคนสายตาส้ันใช้เลนส์เว้า ส่วนคน

สายตายาวใช้เลนส์นนู

19. อธิบายผลของความสว่างท่ีมีต่อ • ความสว่างของแสงมผี ลต่อดวงตามนุษย์ การใชส้ ายตาในสภาพแวดล้อมท่ี

ดวงตาจากขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการสบื ค้น มีความสว่างไม่เหมาะสมจะเป็นอันตรายต่อดวงตา เช่น การดูวัตถุในที่มี

20. วดั ความสว่างของแสงโดยใชอ้ ปุ กรณ์ ความสว่างมากหรือน้อยเกินไป การจอ้ งดหู น้าจอภาพเป็นเวลานาน ความ

วัดความสวา่ งของแสง สวา่ งบนพื้นท่ีรบั แสง มีหนว่ ยเปน็ ลกั ซ์ ความรู้เก่ียวกับความสวา่ งสามารถ

21. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่อง นำมาใช้จัดความสว่างให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัด

ความสว่างของแสงที่มีต่อดวงตา ความสว่างที่เหมาะสมสำหรับการอา่ นหนังสอื

โดยวเิ คราะห์สถานการณป์ ัญหาและ

เส น อ แ น ะ ก า ร จั ด ค ว า ม ส ว่ า ง ใ ห้

เหมาะสมในการทำกิจกรรมตา่ ง ๆ

สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบ

สรุ ยิ ะ รวมท้งั ปฏสิ มั พันธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะทสี่ ง่ ผลตอ่ ส่งิ มชี ีวติ และการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ

ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ม.3 1. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์รอบ • ในระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางโดยมีดาวเคราะห์และบริวาร

ดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วงจากสมการ ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอื่น ๆ เช่น วัตถุคอย

F = (Gm1m2)/r2 เปอร์โคจรอยู่โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ และวัตถุเหล่าน้ีโคจรรอบดวง

อาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูดระหว่างวัตถุสองวัตถุ

โดยเป็นสัดส่วนกับผลคูณของมวลทั้งสอง และเป็นสัดส่วนผกผันกำลัง

ส อ งข อ งระ ย ะท างระ ห ว่างวั ต ถุ ท้ั งส อ ง แ ส ด งได้ โด ย ส ม ก า ร

F = (Gm1m2)/r2 เมื่อ F แทนความโน้มถ่วงระหว่างมวลทั้งสอง G แทน

คา่ นิจโน้มถ่วงสากล m1 แทนมวลของวัตถุแรก m2 แทนมวลของวัตถุท่ี

สอง และ r แทนระยะหา่ งระหวา่ งวตั ถทุ ัง้ สอง

ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

2. สร้างแบบจำลองท่ีอธิบายการเกิดฤดู • การท่ีโลกโคจรรอบดวงอาทิตยใ์ นลักษณะท่ีแกนโลกเอียงกับแนวตง้ั ฉาก
และการเคล่ือนที่ป รากฏของดวง ของระนาบทางโคจร ทำให้ส่วนต่าง ๆ บนโลกได้รบั ปริมาณแสงจากดวง
อาทิตย์ อาทิตย์แตกต่างกันในรอบปี เกิดเป็นฤดูกลางวันกลางคืนยาวไม่เท่ากัน

และตำแหน่งการข้ึนและตกของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปในรอบปี ซึ่งส่งผล

ต่อการดำรงชีวิต

3. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิด • ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจันทร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวง

ข้างข้ึนข้างแรม การเปล่ียนแปลงเวลา จันทรร์ ับแสงจากดวงอาทิตย์ครึ่งดวงตลอดเวลา เมอ่ื ดวงจันทร์โคจรรอบ

การขึ้นและตกของดวงจันทร์ และการ โลกได้หันส่วนสว่างมายังโลกแตกต่างกัน จึงทำให้คนบนโลกสังเกตส่วน

เกิดน้ำข้ึนน้ำลง สวา่ งของดวงจันทรแ์ ตกต่างไปในแตล่ ะวนั เกิดเป็นข้างขึน้ ขา้ งแรม

• ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลกในทิศทางเดียวกันกบั ที่โลกหมุนรอบตัวเอง จงึ ทำ
ใหเ้ ห็นดวงจันทร์ข้นึ ชา้ ไปประมาณวันละ 50 นาที

• แรงโนม้ ถว่ งที่ดวงจันทร์ ดวงอาทติ ยก์ ระทำต่อโลกทำให้เกดิ ปรากฏการณ์

นำ้ ข้ึนน้ำลง ซงึ่ ส่งผลตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มและสิ่งมีชีวติ บนโลก วันที่น้ำมรี ะดับ

การขน้ึ สูงสดุ และลงตำ่ สุดเรยี ก วนั น้ำเกิด ส่วนวันท่รี ะดับนำ้ มีการขน้ึ และ
ลงนอ้ ยเรียก วนั น้ำตาย โดยวันน้ำเกดิ น้ำตาย มีความสัมพันธ์กับข้างขึ้น

ขา้ งแรม

4. อธิบายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี • เทคโนโลยีอวกาศได้มีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน

อวกาศและยกตัวอย่างความก้าวหน้า มากมาย มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ เช่น ระบบนำทาง

ของโครงการสำรวจอวกาศ จากข้อมูล ด้วยดาวเทียม (GNSS) การติดตามพายุ สถานการณ์ไฟป่าดาวเทียมช่วย

ทีร่ วบรวมได้ ภยั แล้ง การตรวจคราบนำ้ มนั ในทะเล

• โครงการสำรวจอวกาศตา่ ง ๆ ไดพ้ ัฒนาเพมิ่ พูนความรู้ความเข้าใจต่อโลก

ระบบสุรยิ ะและเอกภพมากข้ึนเปน็ ลำดับ ตัวอยา่ งโครงการสำรวจอวกาศ

เช่น การสำรวจสง่ิ มชี ีวิตนอกโลก การสำรวจดาวเคราะห์นอกระบบสรุ ยิ ะ

การสำรวจดาวองั คาร และบริวารอ่ืนของดวงอาทิตย์

คำอธบิ ายรายวชิ าพื้นฐาน

ว23102 วิทยาศาสตร์ 2 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 60 ช่ัวโมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ

ศึกษา อธิบาย วิเคราะห์ ความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้า ความต้านทาน คำนวณปรมิ าณท่ีเกี่ยวขอ้ งกับ
สมการ = วงจรไฟฟ้า ต่อตัวต้านทาน การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและขนาน คำนวณพลังงานไฟฟ้า
จากสมการ W = Ptคำนวณค่าไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ตระหนักในคุณค่าของเคร่ืองใช้ไฟฟ้า เสนอ
วิธีการใช้อย่างประหยัด ปลอดภัย การเกิดคลื่น ส่วนประกอบของคลื่น คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า สเปกตรัม
ประโยชน์อันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ในชีวติ ประจำวัน กฎการสะท้อนของแสง การเคล่ือนทขี่ องแสง การ
เกดิ ภาพจากกระจกเงา การหกั เหของแสงเมอื่ ผ่านตวั กลางโปร่งใสที่แตกต่างกัน การกระจายแสงขาวเมื่อผ่าน
ปริซึม ปรากฏการณ์เก่ียวกับแสง การทำงานของทัศนอุปกรณ์ การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ด้วย
แรงโน้มถ่วง การเกิดฤดู การเคลอ่ื นทขี่ องดวงอาทิตย์ การเกิดขา้ งขึ้น-ขา้ งแรม การข้ึน-ตกของดวงจันทร์ การ
เกิดน้ำขึ้นน้ำลง การใชป้ ระโยชน์ของเทคโนโลยอี วกาศ ตวั อยา่ งความก้าวหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศ

โดยใชก้ ารสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละทักษะ
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การสืบค้นข้อมูลและการอภิปราย เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ
สามารถสือ่ สารสงิ่ ทเ่ี รียนรู้ มคี วามสามารถในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนำความรูไ้ ปใช้ในชีวติ ประจำวัน
มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรม และค่านยิ มที่เหมาะสม

รหัสตัวชว้ี ัด

ว 2.3 ม.3/1 วิเคราะหค์ วามสัมพันธ์ระหว่างความตา่ งศักย์กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และคำนวณ
ปริมาณท่เี กย่ี วขอ้ งโดยใชส้ มการ V = IR จากหลักฐานเชิงประจักษ์

ว 2.3 ม.3/2 เขยี นกราฟความสมั พันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า และความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า
ว 2.3 ม.3/3 ใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์ แอมมเิ ตอรใ์ นการวัดปรมิ าณทางไฟฟ้า
ว 2.3 ม.3/4 วเิ คราะหค์ วามตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ เม่ือต่อตวั ตา้ นทานหลายตัว

แบบอนกุ รมและแบบขนานจากหลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.3 ม.3/5 เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการตอ่ ตัวต้านทานแบบอนกุ รมและขนาน
ว 2.3 ม.3/6 บรรยายการทำงานของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนกิ สอ์ ยา่ งงา่ ยในวงจรจากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้
ว 2.3 ม.3/7 เขยี นแผนภาพและตอ่ ชิ้นสว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ สอ์ ย่างง่ายในวงจรไฟฟ้า
ว 2.3 ม.3/8 อธิบายและคำนวณพลังงานไฟฟา้ โดยใช้สมการ W = Pt รวมทัง้ คำนวณค่าไฟฟ้าของ

เคร่ืองใช้ไฟฟ้าในบา้ น

ว 2.3 ม.3/9 ตระหนกั ในคณุ คา่ ของการเลอื กใช้เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าโดยนำเสนอวธิ กี ารใช้เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าอยา่ ง
ประหยัดและปลอดภัย

ว 2.3 ม.3/10 สรา้ งแบบจำลองทีอ่ ธบิ ายการเกิดคลืน่ และบรรยายสว่ นประกอบของคลน่ื
ว 2.3 ม.3/11 อธบิ ายคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และสเปกตรมั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าจากข้อมูลทร่ี วบรวมได้
ว 2.3 ม.3/12 ตระหนักถงึ ประโยชน์และอนั ตรายจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าโดยนำเสนอการใช้ประโยชน์ในด้าน

ตา่ ง ๆ และอันตรายจากคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ ในชีวิตประจำวนั
ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลองดว้ ยวิธที ่เี หมาะสมในการอธิบายกฎการสะทอ้ นของ

แสง
ว 2.3 ม.3/14 เขยี นแผนภาพการเคลอ่ื นทข่ี องแสง แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา
ว 2.3 ม.3/15 อธบิ ายการหกั เหของแสงเมอ่ื ผ่านตวั กลางโปรง่ ใสท่ีแตกตา่ งกนั และอธิบายการกระจายแสง

ของแสงขาวเมอื่ ผา่ นปรซิ มึ จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์
ว 2.3 ม.3/16 เขียนแผนภาพการเคล่อื นทข่ี องแสงแสดงการเกิดภาพจากเลนส์บาง
ว 2.3 ม.3/17 อธิบายปรากฏการณท์ ่ีเกย่ี วกบั แสง และการทำงานของทัศนอุปกรณ์จากข้อมูลท่ีรวบรวมได้
ว 2.3 ม.3/18 เขียนแผนภาพการเคลื่อนทีข่ องแสง แสดงการเกิดภาพของทัศนอปุ กรณ์และเลนสต์ า
ว 2.3 ม.3/19 อธิบายผลของความสว่างท่มี ีต่อดวงตาจากขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการสืบค้น
ว 2.3 ม.3/20 วัดความสว่างของแสงโดยใชอ้ ปุ กรณว์ ดั ความสวา่ งของแสง
ว 2.3 ม.3/21 ตระหนักในคุณค่าของความรเู้ รอ่ื ง ความสวา่ งของแสงที่มีตอ่ ดวงตา โดยวเิ คราะห์สถานการณ์

ปัญหาและเสนอแนะการจัดความสว่างใหเ้ หมาะสมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
ว 3.1 ม.3/1 อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ยด์ ้วยแรงโน้มถว่ งจากสมการ F = (Gm1m2)/r2
ว 3.1 ม.3/2 สร้างแบบจำลองท่อี ธิบายการเกดิ ฤดู และการเคลื่อนทีป่ รากฏของดวงอาทิตย์
ว 3.1 ม.3/3 สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธิบายการเกดิ ข้างข้ึน ข้างแรม การเปลีย่ นแปลงเวลาการขึ้นและตกของ

ดวงจันทร์ และการเกดิ น้ำขึ้นนำ้ ลง
ว 3.1 ม.3/4 อธิบายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และยกตัวอย่างความก้าวหน้าของโครงการ

สำรวจอวกาศ จากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้

รวม 25 ตวั ชว้ี ดั

โครงสร้างรายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3

ชื่อหนว่ ยการ มาตรฐานการ เวลา
เรียนรู้ (ชัว่ โมง)
ลำดับท่ี เรียนรู/้ สาระสำคญั
1. ไฟฟ้าและ 20
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ตัวชี้วดั

ว 2.3 กระแสไฟฟ้า เป็นปริมาณประจุไฟฟ้าท่ีเคล่ือนที่หรือ

ม3/1 ถ่ายเทจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เป็นความแตกต่างของ

พลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประจุระหว่างจุด 2 จดุ ซึ่งทำใหเ้ กิด

ม.3/2 กระแสไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้าจะไหลจากจุดที่มีระดับ

พลังงานไฟฟ้าสงู กว่าไปยังจดุ ท่ีมีระดับพลงั งานไฟฟ้าต่ำกว่า

ม.3/3 และจะหยดุ ไหลเมือ่ ศักย์ไฟฟ้าของท้ังสองจดุ เท่ากัน สามารถ

วัดค่ากระแสไฟฟ้าได้โดยใช้แอมมิเตอร์ ซ่ึงความสัมพันธ์

ม.3/4 ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ เป็นไปตามกฎของ

โอห์ม มีใจความสำคัญว่า เม่ืออณุ หภูมิคงท่ี กระแสไฟฟา้ ใน

ม.3/5 ตวั นำโลหะจะแปรผันตรงกบั ความตา่ งศกั ย์ระหวา่ งปลายท้ัง

2 ขา้ ง ของตวั นำน้ัน

ม.3/6 การอ่านค่าความต้านทานที่แสดงไว้บนตัวต้านทานอ่าน

ม.3/7 ได้หลายแบบ เช่น ตัวต้านทานค่าคงท่ี มักมีแถบสปี รากฏอยู่

ม.3/8 บนตัวต้านทานแตกต่างกนั ไปตามคา่ ความต้านทาน โดยจะมี

ม.3/9 ท้ังแบบ 4 แถบสี และ 5 แถบสี ซึ่งการอ่านค่าความ

ตา้ นทานจะต้องนำตวั ต้านทานไปเทยี บกบั ตารางแสดงรหสั สี

ของแถบสีบนตัวต้านทานแล้วแปลงออกมาเป็นค่าความ

ต้านทาน และอุปกรณ์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าแต่ละชิ้นมักจะมี

ความตา้ นทาน เมื่อนำมาต่อเข้ากันเป็นวงจรส่วนใหญจ่ ะเป็น

การต่อแบบอนกุ รมและแบบขนานข้ึนอยู่กับการใชง้ าน โดย

ค วามต่างศักย์ท่ี ตกค ร่อม ตัวต้าน ท านแต่ล ะตัวกั บ

กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านในวงจรจะมีค่าแตกต่างกันไปตาม

รปู แบบการตอ่ วงจร

ช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุปกรณ์ท่ีสำคัญอย่างหน่ึงใน

วงจรไฟฟ้า โดยช้นิ สว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์แต่ละอย่างจะมีหน้าท่ี

แตกต่างกันไป เช่น ตัวต้านทาน ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณ

กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ไดโอด ทำหน้าท่ีให้กระแสไฟฟ้า

ผ่านทางเดียว ทรานซิสเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสวติ ช์ปิดหรือเปิด

วงจรไฟฟ้าและควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้า ตัวเก็บประจุ

ทำห น้าที่เก็บแล ะค ายประจุไฟ ฟ้ า การต่อชิ้นส่วน

อิเล็กทรอนิกส์เข้าในวงจรไฟฟ้าจะต้องทำการต่อให้ถูกต้อง

ชื่อหนว่ ยการ มาตรฐานการ เวลา
เรียนรู้ (ช่วั โมง)
ลำดับท่ี เรียนรู/้ สาระสำคญั

ตัวชีว้ ัด

และถูกหลักการทางไฟฟ้า จึงจะทำให้วงจรไฟฟ้านั้นทำงาน

ไดต้ ามท่ีต้องการและมีประสทิ ธภิ าพ

พลังงานไฟฟ้าเป็นงานหรือพลังงานท่ีใช้ในการเคลื่อนท่ี

หรือการถ่ายเทของประจุไฟฟ้าจากจุดหน่ึงไปยังจุดหน่ึง

พลังงานไฟฟ้าท่ีใช้ไปในหนึ่งหนว่ ยเวลา เรียกว่า กำลังไฟฟ้า

มีหน่วยเป็น วัตต์ หรือจูลต่อวินาที กล่าวได้ว่า กำลังไฟฟ้า

คือ อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า เคร่ืองมือที่ใช้ในการวัด

ปริมาณการไหลของกระแสไฟฟ้าเข้าสู่บ้านเรือนเรียกว่า

มาตรไฟฟา้

ไฟฟ้าท่ีใช้ในบ้านเรือนโดยท่ัวไปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับมี

ความตา่ งศักย์ 220 โวลต์ การสง่ พลังงานไฟฟ้าเข้าบ้านจะใช้

สายไฟฟ้า 2 สาย คือ สายมีศักย์ เป็นสายท่ีมีพลังงาน

ศักย์ไฟฟ้า อาจเรียกว่าสาย L และสายกลาง มีศักย์ไฟฟ้า

เป็นศูนย์เมื่อเทียบกับดิน อาจเรยี กว่า สาย N วงจรไฟฟ้าใน

บา้ นมีการตอ่ เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ แบบขนานเพ่ือให้ความต่างศักย์

เทา่ กัน เคร่ืองใช้ไฟฟ้าในบา้ นเมื่อแบง่ ตามลักษณะพลงั งานท่ี

ได้รับจากเครื่องใช้ไฟฟ้า สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท

ไดแ้ ก่ เคร่อื งใช้ไฟฟ้าท่ีเปล่ยี นพลงั งานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานแสง

สว่างเคร่ืองใช้ไฟฟ้าท่ีเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงาน

ความร้อน และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็น

พลังงานกล

การใช้พลังงานไฟฟ้ามากจะทำให้เสียค่าไฟฟ้าต่อหน่วย

มากขน้ึ ด้วย เพ่ือความประหยดั ควรเลือกใชเ้ คร่ืองใช้ไฟฟ้าให้

เหมาะสมกับความต้องการในการใช้งานเท่าที่จำเป็น เพื่อ

ความปลอดภัยของผู้ใช้ไฟฟ้าควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง

ระมัดระวัง รวมทั้งตรวจสอบสภาพการใช้งานอย่าง

สม่ำเสมอ

ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการ เวลา
เรยี นรู้ (ชัว่ โมง)
ลำดับท่ี เรียนร/ู้ สาระสำคญั
2. คลื่น 7
ตัวชว้ี ัด

ว 2.3 คล่ืน (wave) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการรบกวน

ม.3/10 แหล่งกำเนดิ หรือตัวกลางเกิดการสนั่ สะเทือนทำใหม้ ีการแผ่

ม.3/11 หรอื ถา่ ยโอนพลังงานจากการสนั่ สะเทือนไปยังจุดอ่นื ๆ โดย

ม.3/12 ที่ตัวกลางน้ันไม่มีการเคลื่อนท่ีไปกับคลื่น การเกิดคลื่นน้ำ

เปน็ การถ่ายโอนพลังงานโดยผ่านโมเลกุลของนำ้ ซึ่งโมเลกุล

ของน้ำจะไม่เคลอ่ื นทไี่ ปกบั คลน่ื

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic waves) เป็น

คล่ืนตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก

ที่มกี ารส่ันในแนวตั้งฉากกันและอยู่บนระนาบต้ังฉากกบั ทิศ

ทางการเคล่ือนท่ขี องคล่ืน โดยท่ีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจาก

การรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟา้ โดยการทำให้สนามไฟฟา้ หรือ

สนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อสนามไฟฟ้ามีการ

เปล่ียนแปลงจะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็ก หรือถ้า

สนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเหน่ียวนำทำให้เกิด

สนามไฟฟ้า

คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ามีด้วยกันอยู่หลายชนิด ซ่ึงแบ่งตาม

ความถี่ของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกช่วงที่มีความถี่ท่ี

ต่อเนื่องกัน เรียกว่า ส เปกตรัมคลื่นแม่เห ล็กไฟฟ้ า

(electromagnetic spectrum) โดยคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ช่วง

ความถ่ีต่าง ๆ มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งสามารถนำไปใช้

ประโยชน์ได้แตกต่างกนั

คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้านำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น

คล่นื ไมโครเวฟนำมาใช้ในการส่ือสารผา่ นดาวเทยี ม ใช้ในการ

รกั ษาโรคด้วยความร้อน ด้านการแพทย์มีการนำเลเซอร์มา

ใช้ผ่าตัดห รือรักษ าอาการผิดปกติที่บริเวณ ตา ด้าน

อุตสาหกรรม ใช้เลเซอร์ในการเชื่อมโลหะเข้าด้วยกัน

นอกจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าจะนำมาใช้ประโยชน์แล้ว ยังมี

โทษตอ่ มนุษยด์ ้วย เช่น คลน่ื จากโทรศัพทม์ อื ถือสง่ ผลตอ่ การ

ทำงานของสมอง เกิดการอักเสบของสมอง รังสีเอกซ์และ

รังสีแกมมา เมื่อร่างกายได้รับรังสีเข้าไปอาจทำเซลล์

เสื่อมสภาพส่งผลให้อวยั วะต่าง ๆ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

หรอื ไม่สามารถทำงานได้

ช่ือหนว่ ยการ มาตรฐานการ เวลา
เรียนรู้ (ชัว่ โมง)
ลำดบั ท่ี เรียนรู้/ สาระสำคญั
3. แสง 17
ตวั ช้ีวัด

ว 2.3 การสะท้อนของแสง เกิดจากแสงเดินทางไปตกกระทบ

ม.3/13 กับผิวของวัตถุที่แสงไม่สามารถเดินทางผ่านได้ ทำให้แสงที่

ม.3/14 ตกกระทบผิวของวัตถุน้ัน ๆ เกิดการสะท้อนกลับหมด

ม.3/15 ลักษณะการสะท้อนของแสงจะสะท้อนกลับมากหรือน้อย

ม.3/16 จะขน้ึ อยู่กบั ลักษณะของผิวของวัตถุท่ีแสงตกกระทบ

ม.3/17 การสะท้อนของแสงบนกระจกเงาราบ ทำให้เกิด

ม.3/18 ภาพเสมือนหวั ต้ังท่มี ีขนาดเท่ากับวัตถุ แต่ภาพที่เห็นจะกลับ

ม.3/19 ดา้ นจากซ้ายเป็นขวา สว่ นการสะท้อนของแสงบนกระจกเงา

ม.3/20 นูนทำให้เกิดภาพเสมือนหัวต้ังที่มีขนาดเล็กกว่าวัตถุ ส่วน

ม.3/21 การสะท้อนของแสงบนกระจกเงาเว้า สามารถเกิดภาพได้

หลายแบบขนึ้ อยูก่ ับระยะระหวา่ งวัตถกุ ับกระจก

การหักเหของแสง เกิดจากการที่ความเร็วของแสง

เปล่ียนไป เมื่อเดินทางผ่านตัวกลางต่างชนิดกัน แสงจะเบน

มากหรอื น้อยขึน้ อยู่กับความหนาแนน่ และดรรชนีการหักเห

ของตัวกลางท่ีแสงเดินทางผ่าน การหักเหของแสงผ่านเลนส์

นูน ทำให้เกิดภาพได้หลายแบบขึ้นอยู่กับระยะระหว่างวัตถุ

กับเลนส์ และการหักเหของแสงผ่านเลนส์เว้า ทำให้เกิด

ภาพเสมอื นหัวตัง้ ขนาดเล็กกว่าวตั ถุ

กฎการสะท้อนของแสงและการหักเหของแสง สามารถ

นำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง พระ

อาทติ ย์ทรงกลด ภาพลวงตาหรอื มริ าจ

ทัศนอุปกรณ์เป็นอุปกรณ์ที่สร้างข้ึนมาใช้งานโดยอาศัย

ความรู้เรื่องหลกั การทางแสงมาใช้ และอาศยั ความรู้เกี่ยวกับ

การเกิดภาพจากอุปกรณ์พืน้ ฐาน เช่น เลนส์ กระจกเงาราบ

กระจกเงาเว้า ตัวอย่างของทัศนอุปกรณ์ ได้แก่ แว่นขยาย

แว่นตา กล้องจุลทรรศน์ กล้องโทรทรรศน์ ทัศนอุปกรณ์

เหล่านีน้ ำไปประโยชนใ์ นงานด้านตา่ ง ๆ

การรับภาพของนัยน์ตามนุษย์ เกิดจากการสะท้อนของ

แสงจากวัตถุเข้าตา ทำให้เกิดภาพวัตถุบนจอตา ข้อมูลของ

วัตถุที่มองเห็นจะถูกส่งขึ้นไปยังสมองตามเส้นประสาท ซ่ึง

สมองจะทำหนา้ ทีแ่ ปลข้อมูลเหลา่ น้ันให้เปน็ ภาพของวตั ถุ

ความสว่างของแสงไม่ว่ามีมากหรือน้อย ล้วนมีผลต่อ

กล้ามเน้ือทั้งสิ้น กล่าวคือ ถ้ามีแสงสว่างมากม่านตาจะต้อง

ปรับความสว่างของแสงท่ีเข้ามาบนจอตาให้เล็กลง แต่ถ้ามี

ชื่อหนว่ ยการ มาตรฐานการ เวลา
เรียนรู้ (ช่วั โมง)
ลำดับท่ี เรียนรู/้ สาระสำคญั

ตัวชีว้ ัด

แสงน้อย ม่านตาจะเปิดกว้างมาก เพื่อให้แสงสว่างเข้ามาสู่

นัยน์ตาอย่างเพียงพอ ดังนั้นในการปฏิบัติงาน หรือการ

ทำงานประเภทต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องให้มีแสงสว่างในแต่ละ

หน่วยพื้นท่ีอย่างเพยี งพอ ซ่ึงเราจะรู้ได้ก็โดยใช้เคร่ืองวัดแสง

วัด เครื่องมือท่ีจะใช้วัดปริมาณแสงท่ีตกกระทบต่อหนึ่ง

หนว่ ยพนื้ ที่ เรียกว่า ลกั ซ์มิเตอร์ (luxmeter)

ลำดับที่ ชือ่ หนว่ ยการ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา
4. เรียนรู้ เรียนร/ู้ (ชัว่ โมง)
ตวั ช้วี ัด
16
ปฏิสมั พันธ์ใน ว 3.1 ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะมีดาวเคราะห์

ระบบสรุ ิยะและ ม.3/1 ตา่ ง ๆ โคจรอยู่โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ท่ีเป็นบริวาร ขนาด

เทคโนโลยีอวกาศ ม.3/2 ใหญ่ของดวงอาทิตย์มี 8 ดวง เรียงลำดับจากใกล้ไปไกล

ม.3/3 ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาว

ม.3/4 เสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ซ่ึงดาวเคราะห์และวัตถุ

เหล่าน้ีสามารถโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยได้ด้วยแรงดึงดูด

ระหวา่ งวัตถสุ องวัตถซุ ึ่งเรียกวา่ แรงโน้มถ่วง (gravitational

force)

การท่ีโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะท่ีแกนโลก

เอียงทำมุมประมาณ 23.5 องศา กับแนวต้ังฉากของระนาบ

ทางโคจร ทำให้ส่วนตา่ ง ๆ บนโลกไดร้ บั ปรมิ าณแสงจากดวง

อาทิตย์แตกต่างกันในรอบปเี กิดเป็นฤดูกาล (seasons) โลก

หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ช่ัวโมง หรือ 1 วัน โดย

หมุนจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก การหมุนรอบ

ตัวเองของโลกทำให้เราสังเกตเห็นการเคลื่อนที่ปรากฏของ

ดวงอาทิตย์จากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก เรียก

ปรากฏการณ์ท่ีเกิดน้ีว่า การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ ซ่ึง

สังเกตเห็นได้จากบริเวณขอบฟ้า เรียกบริเวณที่ดวงอาทิตย์

ข้ึนจากขอบฟ้าว่า ทิศตะวันออก และเรียกบริเวณที่ดวง

อาทิตยต์ กจากขอบฟา้ ว่า ทศิ ตะวันตก

ดวงจันทร์มีการหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบโลก ซึ่ง

ดวงจันทร์รับแสงจากดวงอาทิตย์คร่ึงดวงตลอดเวลา ด้าน

สว่างได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ แต่ด้านตรงข้ามกับดวง

อาทิตย์ถูกบังด้วยเงาของตัวเอง ดวงจันทร์มีการหมุนรอบ

ตัวเองเท่ากับคาบการโคจรรอบโลก ทำใหด้ วงจนั ทร์หนั ดา้ น

เดยี วเขา้ หาโลก เมือ่ ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลกจะหันส่วนสวา่ ง

มายังโลกแตกต่างกัน ทำให้เราสังเกตเห็นส่วนสวา่ งของดวง

จนั ทร์แตกต่างไปในแต่ละวนั เกิดเป็นข้างขึน้ ขา้ งแรม

ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง เปน็ ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้อง

กับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ซ่ึงเป็นผลมาจากความ

ต่างของแรงโน้มถ่วงท่ีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กระทำต่อ

โลก แต่เน่ืองจากระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก

มากกว่าระยะห่างระหวา่ งโลกกบั ดวงจนั ทรม์ าก จึงทำให้ดวง

จนั ทร์มีอทิ ธพิ ลตอ่ การเกิดน้ำขึ้นน้ำลงมากกว่าดวงอาทิตย์

ช่อื หนว่ ยการ มาตรฐานการ เวลา
เรยี นรู้ (ชว่ั โมง)
ลำดบั ท่ี เรยี นรู้/ สาระสำคญั

ตวั ช้ีวัด

เทคโนโลยอี วกาศ คือ การนำความรู้ วิธกี ารต่าง ๆ ทาง

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสมในการศึกษา

ทางดาราศาสตร์และอวกาศ ตลอดจนสามารถนำมา

ประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติและการ

ดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่น การนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้

สำรวจและตรวจสอบสภาพอากาศของโลก กลอ้ งโทรทรรศน์

เป็นอุปกรณห์ น่ึงทีใ่ ช้ในการสำรวจอวกาศ ช่วยทำใหส้ ามารถ

มองเห็นวัตถุในท้องฟ้าได้ชัดเจนมากกว่าการมองด้วยตา

เปล่า ซึ่งกล้องโทรทรรศน์ประกอบด้วย เลนส์นูนสองอัน

ทำงานร่วมกัน เลนส์นูนที่อยู่ด้านใกล้วัตถุทำหน้าท่ีรวมแสง

สว่ นเลนสน์ ูนที่อยู่ใกลต้ าทำหนา้ ท่ีเพิ่มกำลังขยาย

ดาวเทียม คือสิ่งประดิษฐ์ท่ีมนุษย์สร้างขึ้นแล้วส่งขึ้นไป

โคจรรอบโลก โดยอาศยั ความเข้าใจเก่ียวกับแรงโน้มถ่วงของ

โลก ความเร็วในการโคจรและวงโคจรของดาวเทียม ทำให้

ดาวเทียมสามารถโคจรรอบโลกได้ ซ่ึงดาวเทียมมีประโยชน์

ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในหลาย ๆ ด้าน และเป็น

ยานพาหนะท่ีออกแบบข้ึนมาเพื่อใช้ในการบินไปในอวกาศ

ยานอวกาศถูกนำมาใช้ประโยชน์หลากหลายด้านแล้วแต่

วัต ถุป ร ะส งค์ เช่ น ก าร สื่อ ส ารโท ร ค มน าค ม การ

อุตุนิยมวิทยา การนำทาง การสำรวจดาวเคราะห์ และการ

สำรวจอวกาศ

นักบินอวกาศ เป็นบุคคลที่เดินทางไปกบั ยานอวกาศ ไม่

ว่าจะไปในฐานะใดหรือยานอวกาศแบบใด ท้ังที่โคจรรอบ

โลกในระยะความสูงจากพ้ืนราว 80-100 กิโลเมตรขึ้นไป

หรอื ท่ีเดินทางนอกวงโคจรของโลก การสำรวจอวกาศ เป็น

การใชว้ ิทยาการด้านดาราศาสตร์และอวกาศเพ่ือสำรวจและ

ศึกษาอวกาศ โครงการสำรวจอวกาศต่าง ๆ ได้พัฒนา

เพ่ิมพูนความรู้ความเข้าใจต่อโลก ระบบสุริยะและเอกภพ

มากข้ึนตามลำดับ การสำรวจอวกาศเร่ิมต้นมาตั้งแต่สมัย

โบราณ โดยเรม่ิ ตง้ั แต่การสังเกตดว้ ยตาเปล่าจนมีวิวฒั นาการ

เทคโนโลยีอวกาศต่าง ๆ มากมายในปัจจุบัน

โครงสรา้ งแผนการจดั การเรียนรู้ วิท

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วิธสี อน/วิธกี ารจัด
กจิ กรรมการเรยี นรู้
5. ไฟฟ้าและ แผนฯ ที่ 1 ความสมั พนั ธ์ 5Es Instructional Model
อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ บอื้ งต้น ระหว่าง
กระแสไฟฟา้ กับ
ความต่างศักย์

แผนฯ ท่ี 2 ตัวตา้ นทาน 5Es Instructional Model

1

ทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2

ทักษะทีไ่ ด้ การประเมนิ เวลา
- ทกั ษะการทดลอง (ชวั่ โมง)
- ทกั ษะการคำนวณ - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
- ทกั ษะการวเิ คราะห์ - ตรวจแบบฝึกหดั 3
- ทักษะการจดั กระทำและ - ตรวจใบงานที่ 5.1.1 เรือ่ ง กฎของโอหม์
สอื่ ความหมายขอ้ มูล - ประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมความสมั พนั ธ์ 5
ระหว่างกระแสไฟฟา้ กบั ความตา่ งศกั ย์
- ทกั ษะการวัด - ประเมินการนำเสนอผลงาน
- ทักษะการสงั เกต - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
- ทักษะการคำนวณ - สังเกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ
- ทกั ษะการจัดกระทำและ - สังเกตความมีวินัย รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้
สอ่ื ความหมายขอ้ มูล และมุ่งม่นั ในการทำงาน
- ทักษะการตคี วามหมาย
ขอ้ มลู และลงข้อสรปุ - ตรวจแบบฝึกหัด
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจใบงานท่ี 5.2.1 เรอื่ ง ตวั ตา้ นทาน
- ประเมินการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมการต่อตัว
ต้านทานแบบอนุกรม
- ประเมินการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการตอ่ ตัว
ต้านทานแบบขนาน
- ประเมินการนำเสนอผลงาน
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ วธิ สี อน/วิธีการจดั
กิจกรรมการเรียนรู้

แผนท่ี 3 วงจร 5Es Instructional Model
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
เบอ้ื งตน้

แผนฯ ท่ี 4 พลังงานไฟฟ้า 5Es Instructional Model
กำลังไฟฟ้า และ
การคำนวณคา่
ไฟฟา้

1

ทักษะท่ีได้ การประเมิน เวลา
(ช่วั โมง)
- ทกั ษะการสงั เกต - สังเกตความมวี นิ ัย รบั ผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
- ทักษะการทดลอง และมงุ่ มัน่ ในการทำงาน 4
- ทักษะการจัดกระทำและ - ตรวจแบบฝึกหัด
สื่อความหมายข้อมลู - ตรวจ Topic Questions 3
- ตรวจใบงานที่ 5.3.1 เร่ือง ช้นิ ส่วน
- ทกั ษะการสังเกต อิเล็กทรอนกิ ส์
- ทกั ษะการคำนวณ - ประเมนิ การปฏบิ ัติกิจกรรมการต่อวงจร
- ทักษะการนำความร้ไู ปใช้ ทรานซสิ เตอร์
- ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล
- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม
- สงั เกตความมีวินยั รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
และมุง่ ม่นั ในการทำงาน
- ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจแผนภาพแสดงระบบการสง่
กระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถึงบ้านเรอื น
- ตรวจใบงานที่ 5.4.1 เรือ่ ง พลังงานไฟฟ้า
- ประเมินการนำเสนอผลงาน
- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
- สงั เกตความมวี ินยั รบั ผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้
และมุง่ มั่นในการทำงาน

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วิธีสอน/วิธีการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้
แผนฯ ที่ 5 วงจรไฟฟา้ และ 5Es Instructional Model
เครื่องใชไ้ ฟฟ้า
ในบ้าน

แผนฯ ท่ี 6 การใชไ้ ฟฟา้ 5Es Instructional Model
อยา่ งประหยัด
และปลอดภยั

1

ทกั ษะทีไ่ ด้ การประเมนิ เวลา
(ชั่วโมง)
- ทักษะการสังเกต - ตรวจแบบฝกึ หดั
2
- ทักษะการคำนวณ - ตรวจใบงานที่ 5.5.1 เรอ่ื ง ประเภท
3
- ทักษะการวิเคราะห์ เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า

- ทักษะการนำความรูไ้ ปใช้ - ประเมินการนำเสนอผลงาน

- สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล

- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ

- สงั เกตความมวี นิ ยั รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้

และม่งุ มั่นในการทำงาน

- ทกั ษะการนำความรไู้ ปใช้ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรยี น

- ทกั ษะการลงความเหน็ จาก - ตรวจแบบฝกึ หัด

ขอ้ มลู - ตรวจ Topic Questions

- ตรวจ Unit Question

- ประเมนิ การปฏบิ ัติกิจกรรม Fun

Science Activity เร่ือง ไฟฉายจากขวด

พลาสตกิ

- ประเมินการนำเสนอผลงาน

- ตรวจและประเมินช้ินงาน/ผลงาน

สงิ่ ประดิษฐ์การต่อวงจรไฟฟา้

- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล

- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่

- สงั เกตความมวี นิ ัย รับผิดชอบ ใฝ่เรยี นรู้

และมุง่ มนั่ ในการทำงาน

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วิธสี อน/วิธกี ารจัด
6. คล่นื แผนฯ ที่ 1 คล่ืนกล กจิ กรรมการเรียนรู้
5Es Instructional Model

แผนฯ ที่ 2 คลืน่ 5Es Instructional Model

แม่เหลก็ ไฟฟา้

แผนฯ ที่ 3 ประโยชนข์ อง 5Es Instructional Model
คลืน่
แมเ่ หล็กไฟฟา้

1

ทกั ษะท่ไี ด้ การประเมนิ เวลา
(ชั่วโมง)
- ทักษะการสังเกต - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
3
- ทักษะการทดลอง - ตรวจแบบฝกึ หัด
2
- ทกั ษะการคำนวณ - ตรวจใบงานท่ี 6.1.1 เร่ือง คลน่ื กล
2
- ทกั ษะการวิเคราะห์ - ประเมนิ การปฏิบัติกิจกรรมคล่นื ในลวด

- ทกั ษะการลงความเห็นจาก สปริง

ข้อมูล - ประเมินการนำเสนอผลงาน

- สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล

- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม

- สังเกตความมวี ินัย รบั ผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้

และมุ่งมั่นในการทำงาน

- ทักษะการวเิ คราะห์ - ตรวจแบบฝึกหดั

- ทักษะการนำความรูไ้ ปใช้ - ประเมินการนำเสนอผลงาน

- ทกั ษะการลงความเหน็ จาก - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล

ขอ้ มูล - สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่

- สงั เกตความมวี ินยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้

และม่งุ มั่นในการทำงาน

- ทกั ษะการวเิ คราะห์ - ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน

- ทักษะการนำความรูไ้ ปใช้ - ตรวจแบบฝกึ หัด

- ทกั ษะการลงความเหน็ จาก - ตรวจ Topic Questions

ข้อมูล - ตรวจ Unit Question

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วิธีสอน/วิธีการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้

7. แสงและการมองเห็น แผนฯ ท่ี 1 การสะท้อนของ 5Es Instructional Model
แสง

1

ทักษะที่ได้ การประเมนิ เวลา
(ชั่วโมง)
- ทกั ษะการตีความหมาย - ประเมนิ การปฏิบัตกิ จิ กรรม Fun
2
ขอ้ มูลและลงข้อสรปุ Science Activity เร่ือง กระดาษฟอยล์

กบั โทรศพั ทม์ ือถอื

- ประเมินการนำเสนอผลงาน

- ตรวจและประเมินแผนผังมโนทัศน์

เร่อื ง คลน่ื

- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล

- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ

- สงั เกตความมีวินัย รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้

และมุ่งมั่นในการทำงาน

- ทกั ษะการวัด - ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น

- ทักษะการสังเกต - ตรวจแบบฝกึ หัด

- ทักษะการทดลอง - ประเมนิ การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมการสะทอ้ น

- ทกั ษะการลงความเหน็ จาก ของแสง

ขอ้ มูล - ประเมินการนำเสนอผลงาน

- ทักษะการจดั กระทำและ - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล

สอ่ื ความหมายข้อมูล - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่

- สังเกตความมวี ินยั รับผิดชอบ ใฝเ่ รยี นรู้

และมุ่งม่ันในการทำงาน

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ วิธสี อน/วิธีการจดั
กิจกรรมการเรยี นรู้
แผนฯ ที่ 2 การเกดิ ภาพจาก 5Es Instructional Model
กระจกเงา

แผนฯ ท่ี 3 การหักเหของ 5Es Instructional Model
แสง

1

ทักษะที่ได้ การประเมิน เวลา
(ชว่ั โมง)
- ทักษะการวดั - ตรวจแบบฝึกหัด
2
- ทกั ษะการสงั เกต - ตรวจ Topic Questions
5
- ทกั ษะการทดลอง - ตรวจใบงานที่ 7.2.1 เร่ือง การสะท้อน

- ทกั ษะการลงความคดิ เหน็ ของแสง

จากขอ้ มูล - ประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมภาพจากการ

สะท้อนแสงของวัตถุทม่ี ผี ิวราบ

- ประเมินการนำเสนอผลงาน

- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล

- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่

- สังเกตความมวี นิ ยั รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รียนรู้

และมุ่งมั่นในการทำงาน

- ทกั ษะการวัด - ตรวจแบบฝกึ หดั

- ทกั ษะการสังเกต - ตรวจ Topic Questions

- ทกั ษะการทดลอง - ตรวจใบงานที่ 7.3.1 เรอ่ื ง การหกั เหของ

- ทกั ษะการลงความเห็นจาก แสง

ขอ้ มูล - ประเมินการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการหักเหของ

- ทกั ษะการจัดกระทำและ แสงผ่านตัวกลางท่ตี ่างชนิดกนั

สื่อความหมายข้อมลู - ประเมินการนำเสนอผลงาน

- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล

- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ

- สังเกตความมวี นิ ยั รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้

และมงุ่ มัน่ ในการทำงาน

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ วธิ สี อน/วิธกี ารจดั
กิจกรรมการเรยี นรู้
แผนฯ ท่ี 4 ปรากฏการณ์ท่ี 5Es Instructional Model
เกีย่ วกบั แสง

แผนฯ ที่ 5 ทศั นอุปกรณ์ 5Es Instructional Model

แผนฯ ท่ี 6 ตาและการ 5Es Instructional Model
มองเห็น

1

ทักษะทีไ่ ด้ การประเมิน เวลา
- ทักษะการสงั เกต (ชั่วโมง)
- ทักษะการวเิ คราะห์ - ตรวจแบบฝกึ หดั
- ทกั ษะการนำความรูไ้ ปใช้ - ตรวจ Topic Questions 2
- ตรวจใบงานท่ี 7.4.1 เรอื่ ง ปรากฏการณท์ ่ี
- ทกั ษะการสงั เกต เก่ยี วกบั แสง 2
- ทักษะการวิเคราะห์ - ประเมินการนำเสนอผลงาน
- ทักษะการนำความรูไ้ ปใช้ - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล 2
- ทกั ษะการจัดกระทำและ - สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่
ส่อื ความหมายข้อมูล - สังเกตความมวี ินัย รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
- ทกั ษะการตีความหมาย และมุ่งม่นั ในการทำงาน
ข้อมลู และลงขอ้ สรุป - ตรวจแบบฝกึ หัด
- ทักษะการสงั เกต - ตรวจใบงานท่ี 7.5.1 เรอ่ื ง ทัศนอปุ กรณ์
- ทักษะการนำความรไู้ ปใช้ - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- ทักษะลงความเหน็ จาก - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล
ขอ้ มูล - สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวนิ ยั รับผิดชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
และม่งุ มั่นในการทำงาน
- ตรวจแบบฝึกหดั
- ตรวจใบงานที่ 7.5.1 เรือ่ ง ทัศนอุปกรณ์
- ประเมินการนำเสนอผลงาน
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ วิธีสอน/วิธกี ารจดั
กิจกรรมการเรียนรู้

แผนฯ ท่ี 7 ความสว่างของ วิธสี อนแบบบรรยาย
แสง (Lecture Method)

1

ทกั ษะท่ไี ด้ การประเมิน เวลา
(ชั่วโมง)
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
2
- สังเกตความมวี ินัย รับผิดชอบ ใฝ่เรยี นรู้

และม่งุ ม่นั ในการทำงาน

- ทักษะการสงั เกต - ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น

- ทกั ษะการนำความรูไ้ ปใช้ - ตรวจแบบฝึกหดั

- ทักษะการลงความเห็นจาก - ตรวจ Topic Questions

ข้อมลู - ตรวจ Unit Question

- ทกั ษะการตีความหมาย - ประเมนิ การปฏบิ ตั ิกจิ กรรม Fun

ขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ Science Activity เรอ่ื ง กลอ้ งจลุ ทรรศน์

จากโทรศัพท์มือถือ

- ประเมนิ การนำเสนอผลงาน

- ตรวจและประเมนิ แผนผงั มโนทัศน์

เร่อื ง แสงและการมองเหน็

- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล

- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม

- สงั เกตความมีวินยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้

และม่งุ ม่นั ในการทำงาน

1

หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ วิธสี อน/วิธีการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้
8. ปฏสิ มั พนั ธ์ในระบบ
สรุ ยิ ะและเทคโนโลยี แผนฯ ที่ 1 การโคจรของ 5Es Instructional Model
อวกาศ
ดาวเคราะหร์ อบ

ดวงอาทิตย์

แผนฯ ที่ 2 การเกิดฤดูกาล 5Es Instructional Model
และการ
เคลอื่ นที่ปรากฏ
ของดวงอาทติ ย์

แผนฯ ที่ 3 การเกดิ ข้างขนึ้ 5Es Instructional Model
ขา้ งแรม

1

ทักษะทไี่ ด้ การประเมิน เวลา
(ชัว่ โมง)
- ทักษะการคำนวณ - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น
2
- ทักษะการวเิ คราะห์ - ตรวจแบบฝึกหดั
3
- ทกั ษะการลงความเหน็ จาก - ตรวจใบงานที่ 8.1.1 เร่อื ง การโคจรของ
3
ขอ้ มลู ดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์

- ประเมินการนำเสนอผลงาน

- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล

- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ

- สังเกตความมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่เรยี นรู้

และมุ่งม่นั ในการทำงาน

- ทกั ษะการสังเกต - ตรวจแบบฝกึ หัด

- ทกั ษะการทดลอง - ตรวจใบงานท่ี 8.2.1 เรอ่ื ง การเกดิ ฤดูกาล

- ทักษะการสร้าง - ประเมินการปฏิบัตกิ จิ กรรมแบบจำลอง

แบบจำลอง การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์

- ทักษะการลงความเหน็ จาก - ประเมินการนำเสนอผลงาน

ข้อมูล - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล

- ทักษะการตคี วามหมาย - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม

ขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ - สงั เกตความมีวินยั รบั ผิดชอบ ใฝ่เรยี นรู้

และมุ่งมน่ั ในการทำงาน

- ทกั ษะการสงั เกต - ตรวจแบบฝกึ หัด

- ทกั ษะการทดลอง - ตรวจใบงานที่ 8.2.1 เรอื่ ง การเกดิ ขา้ งขึ้น

- ทักษะการสรา้ ง ขา้ งแรม

แบบจำลอง

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วธิ ีสอน/วธิ กี ารจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้

แผนฯ ที่ 4 การเกิดนำ้ ข้นึ 5Es Instructional Model
น้ำลง

แผนฯ ที่ 5 กลอ้ งโทรทรรศน์ 5Es Instructional Model

1

ทักษะที่ได้ การประเมนิ เวลา
- ทักษะการลงความเหน็ จาก (ช่วั โมง)
ข้อมูล - ประเมินการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการข้ึนและตก
- ทกั ษะการตคี วามหมาย ของดวงจนั ทร์ 2
ขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล 2
- ทกั ษะการสงั เกต - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกล่มุ
- ทักษะการนำความรไู้ ปใช้ - สงั เกตความมีวินัย รบั ผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้
- ทกั ษะการตคี วามหมาย และมุ่งมน่ั ในการทำงาน
ข้อมูลและลงขอ้ สรุป - ตรวจแบบฝกึ หัด
- ตรวจ Topic Questions
- ทักษะการสร้าง - ตรวจใบงานที่ 8.4.1 เร่อื ง การเกิดน้ำขึ้น
แบบจำลอง นำ้ ลง
- ทักษะการนำความรไู้ ปใช้ - ประเมินการนำเสนอผลงาน
- ทักษะการลงความเหน็ จาก - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
ขอ้ มลู - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
- สงั เกตความมีวินัย รบั ผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
และม่งุ มนั่ ในการทำงาน
- ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจใบงานที่ 8.5.1 เรอื่ ง หลกั การทำงาน
ของกลอ้ งโทรทรรศน์
- ตรวจใบงานที่ 8.5.2 เรอ่ื ง กลอ้ ง
โทรทรรศน์
- ประเมนิ การนำเสนอผลงาน

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วธิ ีสอน/วธิ กี ารจดั
กิจกรรมการเรียนรู้

แผนฯ ที่ 6 ดาวเทยี มและ 5Es Instructional Model
ยานอวกาศ

แผนฯ ท่ี 7 นักบนิ อวกาศ 5Es Instructional Model
และโครงการ
สำรวจอวกาศ

1

ทกั ษะทไ่ี ด้ การประเมนิ เวลา
(ชั่วโมง)
- ทกั ษะการตคี วามหมาย - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
2
ขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
2
- สังเกตความมวี นิ ัย รับผิดชอบ ใฝเ่ รยี นรู้

และมุ่งม่นั ในการทำงาน

- ทกั ษะการวเิ คราะห์ - ตรวจแบบฝกึ หดั

- ทกั ษะการนำความรู้ไปใช้ - ตรวจใบงานที่ 8.6.1 เรอ่ื ง ดาวเทยี มและ

- ทักษะการจัดกระทำและ ยานอวกาศ

สือ่ ความหมายขอ้ มลู - ประเมินการนำเสนอผลงาน

- ทักษะการตคี วามหมาย - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล

ข้อมลู และลงข้อสรุป - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ

- สังเกตความมีวนิ ยั รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้

และมุ่งมน่ั ในการทำงาน

- ทกั ษะการสังเกต - ตรวจแบบทดสอบหลังเรยี น

- ทกั ษะการนำความรไู้ ปใช้ - ตรวจแบบฝึกหดั

- ทกั ษะการลงความเหน็ จาก - ตรวจ Topic Questions

ขอ้ มูล - ตรวจ Unit Question

- ทักษะการจดั กระทำและ - ประเมินการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม Fun

สอื่ ความหมายข้อมูล Science Activity เรอ่ื ง จรวดไม้ขีดไฟ

- ทักษะการตีความหมาย - ประเมินการนำเสนอผลงาน

ขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ - ตรวจและประเมนิ แผนผงั มโนทัศน์

เร่อื ง ปฏิสมั พนั ธ์ในระบบสุริยะและ

เทคโนโลยอี วกาศ

1

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วธิ ีสอน/วธิ ีการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้

1

ทกั ษะท่ไี ด้ การประเมนิ เวลา
(ชั่วโมง)
- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
- สงั เกตความมีวินัย รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รียนรู้
และมุง่ มน่ั ในการทำงาน

1

1

1

การวดั ผล แผนการวดั วดั ประเมินผล

ก่อนกลางภาค รหสั วชิ า ว23102 รายวิชา วิทยาศาสตร์ 6 ภาคเรียนที่ ๒ ปกี าร
( 30 คะแนน) อัตราส่วนคะแนนระหว่างเรยี น
ครผู สู้ อน นางสาวรุจ

สปั ดาหท์ ี่ ตวั ชีว้ ดั /ผลการ สดั สว่ น รวม

เรยี นรู้ คะแนน คะแนน

KPA

1-10 ว 2.3 ม.3/1-12 10 10 10 30 ใบงานท่ี 5

ใบงานท่ี 5

ใบงานท่ี 5

ใบงานท่ี 5

ใบงานท่ี 5

ใบงานท่ี 6

รวมคะแนนกอ่ นกลางภาค 10 10 10 30

กลางภาค 11 ว 2.3 ม.3/1-12 20 20

( 20 คะแนน)

รวมคะแนนกลางภาค 20 20

หลงั กลางภาค 12-19 ว 2.3 ม.3/13- 10 10 10 30 ใบงานท่ี 7

( 30 คะแนน) 21 ใบงานที่ 7

ว 3.1 ม3/1-4 ใบงานท่ี 7

ใบงานท่ี 7

ใบงานที่ 7

ใบงานที่ 8

รอบดวงอ

ใบงานท่ี 8

ใบงานที่ 8

ใบงานท่ี 8

ล ตามมาตรฐาน/ตวั ชี้วดั

รศกึ ษา ๒๕๖๔ จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ จำนวน 1.5 หน่วยกิต
น : ปลายภาคเรียน = 80 : 20

รจริ าวรรณ จนั สว่าง

งานท่ีนักเรยี นต้องทา/ได้รบั มอบหมาย วิธีการ/รปู แบบของเคร่อื งมือ

ในการวดั ผล

ภาระงาน ชิ้นงาน

5.1.1 เรอ่ื ง กฎของโอหม์ - ส่งิ ประดิษฐ์การต่อ - ตรวจใบงาน

5.2.1 เรื่อง ตวั ตา้ นทาน วงจรไฟฟ้า - ประเมนิ การปฏบิ ตั กิ จิ กรรม

5.3.1 เรอ่ื ง ชนิ้ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ - กระดาษฟอยล์ - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน

5.4.1 เรือ่ ง พลงั งานไฟฟ้า กบั โทรศพั ทม์ อื ถือ - สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล

5.5.1 เร่อื ง ประเภทเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่

6.1.1 เรื่อง คลน่ื กล - สังเกตความมวี นิ ัย รบั ผิดชอบ ใฝเ่ รียนรู้

และมงุ่ ม่ันในการทำงาน

7.2.1 เร่อื ง การสะท้อนของแสง - กล้องจุลทรรศน์จาก - ตรวจใบงาน
7.3.1 เรอ่ื ง การหักเหของแสง
7.4.1 เรอ่ื ง ปรากฏการณ์ท่เี กีย่ วกับแสง โทรศพั ท์มอื ถอื - ประเมินการปฏิบัตกิ จิ กรรม
7.5.1 เรอ่ื ง ทศั นอุปกรณ์
7.5.1 เรอ่ื ง ทัศนอุปกรณ์ - แบบจำลองการ - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
8.1.1 เร่อื ง การโคจรของดาวเคราะห์
อาทิตย์ โคจรของโลกรอบดวง - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
8.2.1 เรอื่ ง การเกดิ ฤดูกาล
8.2.1 เรื่อง การเกดิ ขา้ งข้ึนขา้ งแรม อาทติ ย์ - สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่
8.4.1 เรอ่ื ง การเกดิ น้ำข้นึ น้ำลง
- จรวดไมข้ ดี ไฟ - สังเกตความมวี นิ ยั รบั ผิดชอบ ใฝเ่ รยี นรู้

และมงุ่ มั่นในการทำงาน

ใบงานที่

โทรทรรศ

ใบงานท่ี 8

ใบงานท่ี 8

รวมคะแนนหลงั กลางภาค 10 10 10 30

ปลายภาค 20 ว 2.3 ม.3/13- 20 20

( 20 คะแนน) 21

ว 3.1 ม3/1-4

รวมคะแนนปลายภาค 20 20

รวมคะแนนระหว่างเรยี น 20 20 20 60

รวมคะแนนทัง้ หมด 60 20 20 100

8.5.1 เรื่อง หลักการทำงานของกล้อง
ศน์
8.5.2 เรื่อง กลอ้ งโทรทรรศน์
8.6.1 เรื่อง ดาวเทยี มและยานอวกาศ

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 5

ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนิกส์

เวลา 20 ช่ัวโมง

1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้ีวดั

ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร
และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสง
และคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ว 2.3 ม.3/1 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และ
คำนวณปริมาณทเ่ี กี่ยวข้องโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์
ว 2.3 ม.3/2 เขียนกราฟความสัมพันธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟ้า และความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้
ว 2.3 ม.3/3 ใช้โวลต์มิเตอร์ แอมมเิ ตอร์ในการวดั ปรมิ าณทางไฟฟา้
ว 2.3 ม.3/4 วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตัวต้านทานหลายตัว
แบบอนกุ รมและแบบขนานจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์
ว 2.3 ม.3/5 เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบอนกุ รมและขนาน
ว 2.3 ม.3/6 บรรยายการทำงานของช้ินส่วนอเิ ล็กทรอนิกส์อย่างงา่ ยในวงจรจากขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้
ว 2.3 ม.3/7 เขยี นแผนภาพและตอ่ ช้นิ ส่วนอิเลก็ ทรอนกิ สอ์ ย่างงา่ ยในวงจรไฟฟ้า
ว 2.3 ม.3/8 อธิบายและคำนวณพลังงานไฟฟ้าโดยใช้สมการ W = Pt รวมทั้งคำนวณค่าไฟฟ้าของ
เครอื่ งใช้ไฟฟ้าในบา้ น
ว 2.3 ม.3/9 ตระหนักในคุณค่าของการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยนำเสนอวิธีการใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้า
อย่างประหยัดและปลอดภัย

2. สาระการเรียนรู้

2.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าออกจากข้ัวบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังข้ัวลบของ
แหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ ซง่ึ วดั ค่าได้จากแอมมิเตอร์
2. คา่ ที่บอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าตอ่ หนว่ ยประจุระหว่างจดุ 2 จุด เรยี กวา่ ความต่างศกั ยซ์ ่งึ วัด
คา่ ได้จากโวลตม์ ิเตอร์
3. ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีค่าแปรผันตรงกบั ความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้งสองของตัวนำ โดยอัตราส่วน
ระหว่างความต่างศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟ้ามคี ่าคงท่ี เรียกค่าคงท่นี ว้ี า่ ความต้านทาน
4. ในวงจรไฟฟา้ ประกอบดว้ ยแหล่งกำเนดิ ไฟฟ้า สายไฟฟ้า และอปุ กรณ์ไฟฟา้ โดยอุปกรณไ์ ฟฟา้ แตล่ ะชิ้น
มคี วามต้านทาน ในการตอ่ ตวั ตา้ นทานหลายตัวมที ั้งต่อแบบอนุกรมและแบบขนาน

5. การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้า ความตา่ งศักย์ท่ีครอ่ มตัวต้านทานแต่ละตัวมีค่า
เท่ากบั ผลรวมของความตา่ งศักย์ที่คร่อมตัวตา้ นทานแต่ละตวั โดยกระแสไฟฟา้ ที่ผ่านตัวตา้ นทานแตล่ ะ
ตวั มคี า่ เทา่ กนั

6. การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าท่ีผ่านวงจรมีค่าเท่ากับผลรวมของ
กระแสไฟฟา้ ที่ผ่านตัวต้านทานแตล่ ะตัว โดยความตา่ งศกั ย์ท่ีครอ่ มตัวตา้ นทานแต่ละตัวมคี า่ เท่ากัน

7. ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีหลายชนิด เช่น ตัวต้านทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตัวเก็บประจุ โดยชิ้นส่วน
แตล่ ะชนดิ ทำหน้าทแ่ี ตกตา่ งกันเพ่ือให้วงจรทำงานได้ตามตอ้ งการ

8. ตัวต้านทานทำหน้าท่ีควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทำหน้าที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่าน
ทางเดียว ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้าและควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้า
ตวั เก็บประจุทำหน้าท่เี ก็บและคายประจไุ ฟฟ้า

9. เคร่ืองใช้ไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดที่ทำงานร่วมกัน การต่อวงจร
อิเล็กทรอนกิ ส์โดยเลือกใชช้ ิ้นส่วนนนั้ ๆ จะสามารถทำใหว้ งจรไฟฟ้าทำงานได้ตามต้องการ

10. เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ จะมคี ่ากำลังไฟฟ้าและความต่างศกั ยก์ ำกบั ไว้ กำลังไฟฟ้ามหี นว่ ยเป็นวตั ต์ ความตา่ งศกั ย์
มีหน่วยเป็นโวลต์ ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่คิดจากพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ท้ังหมด ซ่ึงหาได้จากผลคูณของ
กำลังไฟฟ้า ในหน่วยกิโลวัตต์ กับเวลาในหน่วยชั่วโมง พลังงานไฟฟ้ามีหน่วยเป็นกิโลวัตต์ ช่ัวโมง
หรอื หนว่ ย

11. วงจรไฟฟา้ ในบ้านมกี ารต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบขนานเพื่อให้ความต่างศักย์เท่ากนั การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า
ในชีวิตประจำวันต้องเลือกใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่มีความต่างศักย์และกำลังไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน
และการใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟา้ ต้องใชอ้ ยา่ งถกู ต้อง ปลอดภยั และประหยดั

2.2 สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถิ่น
(พจิ ารณาตามหลกั สตู รสถานศึกษา)

3. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด

กระแสไฟฟ้า เป็นปริมาณประจุไฟฟ้าท่ีเคล่ือนท่ีหรือถ่ายเทจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหน่ึง เป็นความ
แตกต่างของพลงั งานไฟฟ้าตอ่ หน่วยประจรุ ะหว่างจดุ 2 จุด ซ่ึงทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้าจะไหล
จากจุดท่ีมีระดบั พลังงานไฟฟ้าสงู กวา่ ไปยงั จุดทีม่ ีระดบั พลงั งานไฟฟา้ ต่ำกวา่ และจะหยุดไหลเม่ือศกั ย์ไฟฟ้าของ
ท้ังสองจุดเท่ากัน สามารถวัดค่ากระแสไฟฟ้าได้โดยใช้แอมมิเตอร์ ซ่ึงความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ
ความต่างศักย์ เป็นไปตามกฎของโอห์ม มีใจความสำคัญวา่ เมื่ออณุ หภมู คิ งที่ กระแสไฟฟ้าในตัวนำโลหะจะแปร
ผนั ตรงกบั ความตา่ งศกั ย์ระหว่างปลายทงั้ 2 ขา้ ง ของตวั นำนัน้


Click to View FlipBook Version