แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
แบบประเมินผลงานแผนผงั มโนทศั น์
คำชแี้ จง : ใหผ้ ู้สอนประเมนิ ผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่กำหนด แลว้ ขีด ✓ลงในช่องท่ีตรงกบั
ระดบั คะแนน
ลำดับที่ รายการประเมนิ ระดับคณุ ภาพ
4 3 21
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ทกี่ ำหนด
2 ความถูกต้องของเน้ือหา
3 ความคดิ สรา้ งสรรค์
4 ความเปน็ ระเบียบ
รวม
ลงช่อื ................................................... ผปู้ ระเมนิ
............../................./................
เกณฑ์ประเมนิ แผนผงั มโนทัศน์
ประเดน็ ทปี่ ระเมนิ 4 ระดับคะแนน 1
32
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผ ล งานไม่ส อดค ล้อ ง
จดุ ประสงค์ท่กี ำหนด จุดประสงคท์ ุกประเด็น จุดประสงคเ์ ปน็ ส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น กับจุดประสงค์
2. ผลงานมคี วาม เนื้อหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน
ถูกต้องของเน้อื หา ถูกตอ้ งครบถ้วน ถูกต้องเปน็ ส่วนใหญ่ ถกู ต้องเปน็ บางประเดน็ ไม่ถูกตอ้ งเปน็ สว่ นใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผ ล งานแส ดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
สร้างสรรค์ ค วามคิด ส ร้างส รรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก ใหม่
แ ป ล ก ให ม่ แ ล ะ เป็ น ใหม่
ระบบ
4. ผลงานมคี วามเป็น ผ ล ง า น มี ค ว า ม เป็ น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เป็ น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
ระเบียบ
ระเบียบแสดงออกถึง เป็ น ระเบี ยบ แต่ ยังมี ระเบียบแตม่ ีขอ้ บกพรอ่ ง ร ะ เบี ย บ แ ล ะ มี ข้ อ
ความประณีต ข้อบกพรอ่ งเลก็ นอ้ ย บางส่วน บกพร่องมาก
เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ตำ่ กว่า 7 ปรบั ปรงุ
แบบประเมินการปฏิบตั ิกจิ กรรม
คำช้แี จง : ใหผ้ ู้สอนประเมนิ การปฏิบัติกจิ กรรมของนกั เรียนตามรายการที่กำหนด แลว้ ขีด ✓ ลงในชอ่ งที่ตรงกับ
ระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมนิ 4 ระดับคะแนน 1
32
1 การปฏิบัตกิ ารทำกิจกรรม
2 ความคล่องแคลว่ ในขณะปฏบิ ัติกจิ กรรม
3 การบนั ทึก สรุปและนำเสนอผลการทำกิจกรรม
รวม
ลงชือ่ ................................................... ผปู้ ระเมิน
................./................../..................
เกณฑก์ ารประเมนิ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรม
ประเดน็ ทป่ี ระเมิน ระดับคะแนน
1. การปฏิบตั ิ 432 1
กจิ กรรม ต้องให้ความชว่ ยเหลือ
ทำกจิ กรรมตามข้ันตอน ทำกจิ กรรมตามข้ันตอน ต้องใหค้ วามช่วยเหลือ อยา่ งมากในการทำ
2. ความ และใชอ้ ปุ กรณ์ได้อย่าง และใชอ้ ุปกรณ์ไดอ้ ย่าง บ้างในการทำกิจกรรม กิจกรรม และการใช้
คล่องแคล่ว ถกู ต้อง ถกู ตอ้ ง แตอ่ าจตอ้ ง และการใช้อุปกรณ์ อุปกรณ์
ในขณะปฏิบัติ ได้รบั คำแนะนำบา้ ง ทำกจิ กรรมเสรจ็ ไม่
กิจกรรม ทนั เวลา และทำ
มคี วามคล่องแคล่ว มีความคล่องแคลว่ ขาดความคลอ่ งแคลว่ อุปกรณ์เสียหาย
3. การบันทกึ สรุป ในขณะทำกจิ กรรมโดย ในขณะทำกิจกรรมแต่ ในขณะทำกิจกรรมจงึ
และนำเสนอผล ไมต่ อ้ งได้รับคำชี้แนะ ตอ้ งได้รบั คำแนะนำบ้าง ทำกจิ กรรมเสรจ็ ไม่ ตอ้ งให้ความช่วยเหลอื
การปฏิบตั ิ และทำกิจกรรมเสร็จ และทำกิจกรรมเสร็จ ทันเวลา อยา่ งมากในการบนั ทกึ
กิจกรรม ทันเวลา ทันเวลา สรปุ และนำเสนอผล
บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรปุ ผลการ ต้องให้คำแนะนำในการ การทำกจิ กรรม
ทำกจิ กรรมได้ถูกต้อง ทำกิจกรรมได้ถกู ต้อง บนั ทกึ สรปุ และ
รัดกุม นำเสนอผลการ แต่การนำเสนอผลการ นำเสนอผลการทำ
ทำกจิ กรรมเปน็ ขนั้ ตอน ทำกจิ กรรมยังไม่เปน็ กิจกรรม
ชัดเจน ขน้ั ตอน
เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในชอ่ งที่
ตรงกับระดับคะแนน
ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 1
32
1 ความถกู ต้องของเนอื้ หา
2 ความคดิ สร้างสรรค์
3 วิธกี ารนำเสนอผลงาน
4 การนำไปใช้ประโยชน์
5 การตรงตอ่ เวลา
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผปู้ ระเมนิ
............/................./...................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินสมบูรณช์ ดั เจน ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เป็นส่วนใหญ่ ให้ 1 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมนิ บางส่วน
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ำกวา่ 8 ปรับปรุง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
คำชแ้ี จง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขดี ✓ลงในชอ่ งท่ี
ตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดบั ที่ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1
32
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผ้อู ่นื
3 การทำงานตามหน้าท่ีท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
4 ความมนี ำ้ ใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การให้คะแนน ลงช่ือ ................................................... ผูป้ ระเมนิ
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ............/.................../................
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครง้ั
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑก์ ารตัดสินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่
คำชแี้ จง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ✓ลงในชอ่ งท่ี
ตรงกบั ระดับคะแนน
การทำงาน การมี
ตามท่ไี ด้รับ
ลำดบั ท่ี ชอ่ื –สกลุ การแสดง การยอมรับ มอบหมาย ความมนี ำ้ ใจ สว่ นร่วมใน รวม
ของนักเรียน ความคดิ เห็น ฟังคนอ่นื การปรับปรุง 15
คะแนน
ผลงานกล่มุ
321321321321321
เกณฑ์การให้คะแนน ลงช่อื ................................................... ผู้ประเมิน
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ............./.................../...............
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครัง้
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ
14–15 ดมี าก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ำกว่า 8 ปรบั ปรงุ
แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
คำชแี้ จง : ใหผ้ ู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องท่ี
ตรงกับระดับคะแนน
คุณลักษณะ รายการประเมนิ ระดับคะแนน
อนั พึงประสงคด์ ้าน 321
1. รกั ชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาตไิ ด้
กษตั รยิ ์ 1.2 เข้ารว่ มกจิ กรรมที่สรา้ งความสามคั คีปรองดอง และเปน็ ประโยชน์
ตอ่ โรงเรียน
1.3 เข้ารว่ มกจิ กรรมทางศาสนาทีต่ นนับถอื ปฏิบตั ติ ามหลกั ศาสนา
1.4 เขา้ ร่วมกิจกรรมทีเ่ กย่ี วกับสถาบันพระมหากษัตรยิ ต์ ามทโี่ รงเรียนจดั ขนึ้
2. ซื่อสตั ย์ สุจริต 2.1 ใหข้ อ้ มูลทถี่ ูกต้องและเปน็ จริง
2.2 ปฏิบตั ใิ นสง่ิ ท่ีถูกต้อง
3. มีวินยั รับผดิ ชอบ 3.1 ปฏบิ ัตติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คับของครอบครัว
มีความตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจำวนั
4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 รู้จักใช้เวลาวา่ งให้เปน็ ประโยชน์ และนำไปปฏิบัตไิ ด้
4.2 ร้จู ักจดั สรรเวลาให้เหมาะสม
4.3 เชือ่ ฟงั คำสงั่ สอนของบดิ า-มารดา โดยไม่โต้แยง้
4.4 ต้งั ใจเรียน
5. อยอู่ ย่างพอเพียง 5.1 ใชท้ รัพยส์ ินและสิง่ ของของโรงเรยี นอยา่ งประหยัด
5.2 ใชอ้ ุปกรณก์ ารเรยี นอย่างประหยดั และรคู้ ณุ ค่า
5.3 ใช้จ่ายอย่างประหยดั และมีการเกบ็ ออมเงนิ
6. ม่งุ ม่ันในการทำงาน 6.1 มีความตัง้ ใจและพยายามในการทำงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย
6.2 มีความอดทนและไม่ทอ้ แท้ต่ออปุ สรรคเพือ่ ใหง้ านสำเร็จ
7. รักความเปน็ ไทย 7.1 มจี ติ สำนึกในการอนรุ ักษว์ ฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาไทย
7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัตติ นตามวัฒนธรรมไทย
8. มจี ติ สาธารณะ 8.1 รูจ้ ักชว่ ยพ่อแม่ ผ้ปู กครอง และครทู ำงาน
8.2 รู้จกั การดูแลรักษาทรพั ยส์ มบัตแิ ละสงิ่ แวดล้อมของห้องเรยี นและโรงเรียน
ลงชื่อ .................................................. ผูป้ ระเมนิ
............/.................../................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ
พฤตกิ รรมทีป่ ฏบิ ตั ิชัดเจนและสม่ำเสมอ
พฤติกรรมที่ปฏิบตั ิชัดเจนและบอ่ ยคร้งั ให้ 3 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
พฤติกรรมทีป่ ฏิบัตบิ างครง้ั ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน 51-60 ดีมาก
41-50 ดี
30-40 พอใช้
ต่ำกวา่ 30 ปรบั ปรุง
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 7
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 6 (ว23102)
ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3/1-8 ภาคเรยี นท่ี 2/2564
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 เร่อื ง คลื่น เวลา 7 ชวั่ โมง
เร่ือง คล่นื กล เวลา 3 ชว่ั โมง
ผ้สู อน นางสาวรจุ ิราวรรณ จนั สวา่ ง โรงเรยี นบา้ นแพงพทิ ยาคม
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชี้วดั
ว 2.3 ม.3/10 สร้างแบบจำลองที่อธบิ ายการเกิดคลน่ื และบรรยายสว่ นประกอบของคลนื่
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายการเกดิ คล่ืนกลและบรรยายสว่ นประกอบของคลืน่ ได้ (K)
2. อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหว่างความยาวคลนื่ ความถี่ และแอมพลิจดู ได้ (K)
3. คำนวณหาปรมิ าณทเ่ี กี่ยวข้องกับอัตราเรว็ ความยาวคลื่น ความถ่ี และแอมพลิจูดได้ (P)
4. ปฏิบตั ิกิจกรรมคลื่นในลวดสปริงได้อย่างถูกต้องและเปน็ ลำดบั ข้ันตอน (P)
5. เป็นคนชา่ งสังเกต ชา่ งคิด ชา่ งสงสัย ใฝ่เรียนรู้ และม่งุ มน่ั ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A)
3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรทู้ ้องถิน่
พิจารณาตามหลักสตู รของสถานศกึ ษา
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
• คล่ืนเกิดจากการส่งผ่านพลังงานโดยอาศัยตัวกลาง
และไม่อาศัยตัวกลาง ในคล่ืนกล พลังงานจะถูก
ถ่ า ย โอ น ผ่ า น ตั ว ก ล า ง โ ด ย อ นุ ภ า ค ข อ ง ตั ว ก ล า ง
ไม่เคล่ือนที่ไปกับคล่ืน คล่ืนที่แผ่ออกมาจาก
แหล่งกำเนิดคลื่นอย่างต่อเน่ืองและมีรูปแบบท่ี
ซ้ำกัน บรรยายได้ด้วยความยาวคล่ืน ความถี่
แอมพลิจูด
4. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
คลื่น (wave) เป็นปรากฏการณ์ที่เกดิ จากการรบกวนแหล่งกำเนิด หรือตัวกลางเกิดการสั่นสะเทือน
ทำให้มกี ารแผห่ รือถ่ายโอนพลังงานจากการส่ันสะเทอื นไปยงั จุดอืน่ ๆ โดยทต่ี วั กลางน้ันไม่มีการเคลอื่ นท่ีไป
กับคล่ืน การเกดิ คลืน่ น้ำเป็นการถา่ ยโอนพลงั งานโดยผ่านโมเลกุลของนำ้ ซ่งึ โมเลกลุ ของน้ำจะไม่เคลอ่ื นท่ไี ป
กบั คลื่น
5. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี นและคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มวี นิ ัย รับผดิ ชอบ
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รยี นรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. มุ่งมัน่ ในการทำงาน
2) ทกั ษะการทดลอง
3) ทักษะการคำนวณ
4) ทักษะการวิเคราะห์
5) ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล
3. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชัว่ โมงที่ 1
ข้ันนำ
ขน้ั ที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูแจ้งจุดประสงคก์ ารเรยี นรใู้ หน้ ักเรยี นทราบ จากน้นั ครูให้นกั เรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 คลื่น เพ่อื วดั ความรู้เดิมของนักเรียนเปน็ รายบุคคลก่อนเขา้ สกู่ ิจกรรม
2. นกั เรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาภาพหน้าหน่วย จากหนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 6 คลืน่ จากนั้นครูต้ังประเดน็ คำถามกระตุน้ ความคดิ นกั เรียน
โดยให้นักเรยี นแตล่ ะคนร่วมกนั อภปิ รายแสดงความคดิ เห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถกู
หรือผดิ ดงั น้ี
• จากภาพทน่ี ักเรยี นเห็นคืออะไร แลว้ เกิดขน้ึ ได้อย่างไร
(แนวตอบ : คำตอบขึ้นอยูก่ ับดุลยพนิ จิ ของครผู ู้สอน)
• นักเรียนสามารถมองเห็นคลนื่ ไดห้ รือไม่ พร้อมยกตัวอย่างคลน่ื ในชีวิตประจำวัน
(แนวตอบ : คำตอบขนึ้ อยู่กบั ดุลยพนิ จิ ของครูผูส้ อน)
3. ครูถามคำถามกระตุ้นความสนใจของนกั เรียนโดยใชค้ ำถาม Big Question จากหนงั สือเรยี น
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 คล่ืน และร่วมกนั อภปิ รายแสดง
ความคดิ เหน็ อยา่ งอิสระโดยไม่มกี ารเฉลยวา่ ถกู หรอื ผิดวา่ “การเคลอื่ นท่ขี องคลื่นต่างจากการ
เคลือ่ นที่ของวตั ถอุ ย่างไร”
(แนวตอบ : การเคล่ือนที่ของคล่ืนเป็นการถ่ายเทพลงั งานจากแหลง่ กำเนดิ ไปส่บู ริเวณรอบขา้ ง
โดยอาศัยตัวกลางในการเคลอื่ นท่ีหรอื ไมก่ ็ได้)
4. นักเรียนตรวจสอบความเขา้ ใจของตนเองกอ่ นเขา้ สกู่ จิ กรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
Check for Understanding ในหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 6 คลน่ื โดยบนั ทึกลงในสมุดประจำตัวนักเรียน
5. นกั เรียนทำกจิ กรรม Engaging Activity จากหนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 6 คล่นื พจิ ารณาภาพ แล้วจำแนกวา่ ภาพใดเกดิ การเคลอื่ นทแี่ บบคลื่น ซ่งึ ครู
อาจถามคำถามเพม่ิ เตมิ ว่า “นกั เรยี นใชเ้ กณฑใ์ ดในการจำแนกคลน่ื ” โดยบนั ทกึ ลงในสมดุ
ประจำตวั นกั เรียน
(แนวตอบ : คำตอบขน้ึ อยกู่ บั ดุลยพนิ ิจของครผู ู้สอน)
ขนั้ สอน
ข้นั ที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore)
1. ครูถามคำถาม Key Question จากหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 6 คลน่ื ว่า “คลืน่ กลเกิดขึน้ ได้อย่างไร” โดยให้นักเรียนรว่ มกันอภิปรายแสดง
ความคิดเห็นอยา่ งอสิ ระโดยครูเขยี นคำตอบของนักเรยี นไว้ แลว้ ครจู ะมาตรวจสอบคำตอบหลัง
เรียนเสรจ็
(แนวตอบ : คลนื่ กลเกดิ จากการรบกวนตวั กลาง พลังงานจากการถกู รบกวนจะถูกถา่ ยโอนไปยงั
อนภุ าคตัวกลาง ทำให้อนุภาคของตัวกลางเกดิ การสั่น)
2. ครสู นทนากบั นกั เรียนเกี่ยวกับคลื่นกลในชีวติ ประจำวันวา่ “เมอ่ื เราปาก้อนหนิ ลงไปในสระน้ำ
หลงั จากทก่ี อ้ นหนิ กระทบผิวนำ้ นักเรยี นสังเกตเห็นสิง่ ใดเกิดข้นึ แลว้ ส่งิ ทีเ่ กิดขึ้นมลี กั ษณะ
อย่างไร”
(แนวตอบ : คำตอบขนึ้ อยู่กับดุลยพนิ จิ ของครูผ้สู อน)
3. ครูเตรียมอุปกรณส์ าธติ การทดลอง เช่น ดินสอ กะละมัง และเศษกระดาษ จากนนั้ ครสู ุม่ นักเรียน
2 คน ออกมาหนา้ ชัน้ เรยี น ตัวแทนนักเรยี นจมุ่ ดนิ สอลงในกะละมังที่มนี ำ้ และเศษกระดาษลอยอยู่
โดยครใู หน้ ักเรยี นแตล่ ะคนสังเกตการเคลอ่ื นท่ขี องคลน่ื นำ้ ผา่ นผวิ นำ้ และการเคล่อื นท่ีของเศษ
กระดาษ
4. ครตู ้งั ประเด็นคำถามจากการสาธติ การทดลองว่า “เศษกระดาษเลก็ ๆ ท่ีลอยอยมู่ ีลกั ษณะการ
เคลอื่ นที่อยา่ งไร” โดยให้นกั เรียนแต่ละคนรว่ มกนั อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ อย่างอิสระโดยไมม่ ี
การเฉลยว่าถูกหรอื ผิด
(แนวตอบ : จะเกดิ คลนื่ วงกลมแผ่ขยายออกไป โดยเศษกระดาษจะขยับขน้ึ -ลงท่ีตำแหนง่ เดมิ ไมไ่ ด้
เคลือ่ นที่ไปกับคล่นื )
5. นกั เรยี นจบั คกู่ ับเพือ่ นในช้ันเรยี นตามความสมัครใจ จากนนั้ รว่ มกันศึกษาค้นควา้ ข้อมูลเกีย่ วกบั
เรือ่ ง คล่ืนกล และประเภทของคลนื่ กล จากหนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 6 คล่นื หรือแหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต QR Code เรื่อง การ
เกิดคล่นื
6. นกั เรียนแต่ละคู่รว่ มกันสรปุ ความรู้ท่ไี ด้จากการศกึ ษาคน้ ควา้ ลงในสมุดประจำตวั นกั เรียน
ชั่วโมงท่ี 2
7. นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ 6 คน ตามความสมัครใจ เพอื่ ศึกษากิจกรรมคลืน่ ในลวดสปริง จากนนั้ ให้
นกั เรียนแต่ละกลุม่ ส่งตวั แทนออกมารบั วสั ดอุ ุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมคล่นื ในลวดสปรงิ
8. สมาชิกภายในกลุม่ ร่วมกันศึกษาจุดประสงค์ วัสดอุ ปุ กรณ์ และวธิ ีปฏิบัตกิ ิจกรรม จากหนังสือเรยี น
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 6 คลน่ื
9. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มรว่ มกนั ปฏิบตั ิกิจกรรมตามข้นั ตอน ในหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 6 คลน่ื จากนนั้ สมาชิกแต่ละกล่มุ นำผลการทดลองท่ีได้มาอภปิ ราย
ร่วมกนั ภายในกลมุ่ เพือ่ หาข้อสรุปของผลการทดลอง
ชวั่ โมงที่ 3
ขนั้ ท่ี 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
10. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมคลื่นในลวดสปริงหนา้ ช้นั เรยี น ในระหวา่ ง
ทน่ี กั เรียนนำเสนอ ครูคอยให้ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม เพื่อให้นกั เรยี นมีความเข้าใจถกู ตอ้ ง
11. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกันตอบคำถามท้ายกจิ กรรม โดยให้นักเรียนร่วมกนั อภปิ รายแสดงความ
คดิ เห็นเพอ่ื หาคำตอบ จากนั้นครูสุ่มนักเรียนใหต้ อบคำถามทา้ ยกจิ กรรม
12. นักเรยี นและครรู ว่ มกันอภปิ รายผลทา้ ยกจิ กรรมคล่ืนในลวดสปรงิ และเฉลยคำถามท้ายกจิ กรรม
13. ครตู ง้ั ประเด็นคำถามเพิม่ เติมจากกิจกรรมคลน่ื ในลวดสปรงิ โดยให้นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ รว่ มกนั
อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ เพอ่ื หาคำตอบ ดังนี้
• การผูกรบิ บ้ินสไี ว้ที่ขดลวดสปรงิ เพอื่ อะไร
(แนวตอบ : เพอื่ ให้สงั เกตการเคลอ่ื นทขี่ องอนุภาคของลวดสปรงิ ได้ง่าย)
• ลักษณะของคลื่นทีเ่ กิดจากการอัดลวดสปริงและการสะบัดลวดสปริง แตกตา่ งกันอย่างไร
(แนวตอบ : ทิศทางการสน่ั แตกต่างกนั )
14. ครอู ธิบายเพิม่ เติมให้นกั เรียนเขา้ ใจเกยี่ วกบั การเกิดคลน่ื และชนดิ ของคลน่ื ว่า “คลื่นกลเกดิ จากการ
สนั่ ของอนุภาค แลว้ มีการส่งตอ่ ของพลังงาน ซง่ึ แบง่ ตามลักษณะการสั่นของตัวกลางได้ 2 ชนดิ คือ
คลืน่ ตามขวาง และคล่นื ตามยาว”
ขั้นท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
15. นักเรยี นแตล่ ะคนศึกษาคน้ ควา้ ข้อมลู เพิ่มเติมเกยี่ วกบั เรอ่ื ง สว่ นประกอบของคล่นื อตั ราเร็วของ
คลนื่ และตัวอย่างการคำนวณหาความสัมพันธร์ ะหว่างอัตราเรว็ ของคล่นื ความยาวคลืน่
และความถ่ี จากตัวอยา่ งท่ี 6.1-6.2 ในหนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 คลื่น ครอู าจแนะนำให้นกั เรยี นทำตามข้นั ตอนการแกโ้ จทยป์ ญั หา ดังนี้
• ขน้ั ท่ี 1 ทำความเข้าใจโจทยป์ ญั หา
• ขั้นท่ี 2 วางแผนการแกโ้ จทยป์ ัญหา เชน่ ส่งิ ที่โจทย์ตอ้ งการถามหา และจะหาสิง่ ทีโ่ จทยต์ อ้ งการ
ต้องทำอย่างไร
• ขั้นที่ 3 ดำเนินการแกโ้ จทย์ปัญหา
• ขน้ั ท่ี 4 ตรวจสอบคำตอบ
16. ครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นซกั ถามเน้อื หาเก่ียวกับเรอ่ื ง คลื่นกล และใหค้ วามรูเ้ พิม่ เตมิ จากคำถามของ
นกั เรียน โดยครใู ช้ PowerPoint เรื่อง คล่นื กล ในการอธิบายเพ่ิมเติม
17. นกั เรียนแต่ละคนวาดภาพส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของคลื่นลงในสมดุ ประจำตวั นกั เรยี น จากน้ันทำ
ใบงานท่ี 6.1 เรอ่ื ง คลนื่ กล
18. นักเรยี นแตล่ ะคนทำแบบฝึกหดั เร่อื ง คลื่นกล จากแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 คลนื่
ขน้ั สรุป
ข้ันท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครตู รวจสอบผลการทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 คลน่ื เพือ่ ตรวจสอบความเขา้ ใจ
กอ่ นเรียนของนักเรยี น
2. ครปู ระเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล
พฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม และจากการนำเสนอผลการปฏิบัติกจิ กรรมหน้าชั้นเรยี น
3. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนก่อนเขา้ สู่กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
Check for Understanding ในสมุดประจำตวั นกั เรียน
4. ครตู รวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรม คลืน่ ในลวดสปริง
5. ครตู รวจสอบผลการทำใบงานท่ี 6.1 เร่อื ง คลน่ื กล
6. ครูตรวจแบบฝกึ หดั เรื่อง คลนื่ กล จากแบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 คลน่ื
7. นักเรียนและครูรว่ มกนั สรปุ เกี่ยวกับเรื่อง คลืน่ กล
7. การวัดและประเมนิ ผล
รายการวดั วธิ กี าร เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
7.1 การประเมินกอ่ นเรียน
- แบบทดสอบ - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรยี น - ประเมนิ ตามสภาพจรงิ
ก่อนเรยี น หนว่ ยการ ก่อนเรยี น หนว่ ยการ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6
เรยี นรทู้ ่ี 6 คลนื่ เรียนรทู้ ี่ 6 คล่ืน คลน่ื
7.2 ประเมินระหว่าง
การจดั กจิ กรรม
การเรียนรู้
1) คลน่ื กล - ตรวจใบงานที่ 6.1 - ใบงานที่ 6.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ตรวจสมุดประจำตวั - สมุดประจำตัว หรอื - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2 เลม่ 2
รายการวดั วิธกี าร เคร่อื งมือ เกณฑ์การประเมนิ
2) ผลบันทกึ การ - ตรวจสมุดประจำตวั
หรือแบบฝกึ หัด - สมุดประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ปฏิบัติกิจกรรม วิทยาศาสตรแ์ ละ
คล่ืนในลวดสปริง เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์
- ประเมนิ การนำเสนอ
3) การนำเสนอ ผลงาน/การปฏิบตั ิ และเทคโนโลยี ม.3
ผลงาน/การปฏิบัติ กจิ กรรม
กิจกรรม - สงั เกตพฤติกรรม เล่ม 2
การทำงานรายบุคคล
4) พฤตกิ รรมการ - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบประเมินการ - ระดบั คุณภาพ 2
ทำงานรายบุคคล การทำงานกลุม่
- สงั เกตความมีวินยั นำเสนอผลงาน/การ ผ่านเกณฑ์
5) พฤตกิ รรมการ รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
ทำงานกลมุ่ และม่งุ มัน่ ในการ ปฏิบัตกิ จิ กรรม
ทำงาน
6) คุณลกั ษณะ - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
อันพงึ ประสงค์
การทำงานรายบคุ คล ผ่านเกณฑ์
- แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพ 2
การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
- แบบประเมิน - ระดบั คณุ ภาพ 2
คุณลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
อันพงึ ประสงค์
8. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้
8.1 สอ่ื การเรียนรู้
1) หนงั สอื เรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 6 คล่นื
2) แบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 6 คลนื่
3) ใบงานที่ 6.1 เรอื่ ง คลืน่ กล
4) วสั ดอุ ปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมคล่ืนในลวดสปรงิ
5) PowerPoint เรื่อง คล่ืนกล
6) อปุ กรณส์ าธิตการทดลอง เช่น ดินสอ กะละมงั และเศษกระดาษ
7) QR Code เรอ่ื ง การเกดิ คล่นื
8) สมุดประจำตัวนกั เรยี น
8.2 แหล่งการเรยี นรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) อินเทอร์เน็ต
ใบงานที่ 6.1
เร่ือง คลนื่ กล
คำชี้แจง : ตอบคำถามต่อไปน้ใี หถ้ กู ตอ้ ง
1. การจำแนกคลน่ื กลเป็นคลนื่ ตามยาวและคลน่ื ตามขวางเปน็ การจำแนกโดยใช้อะไรเปน็ เกณฑ์
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
2. คล่ืนดลกบั คล่นื ตอ่ เนอ่ื งต่างกันอย่างไร
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
3. องค์ประกอบของคลืน่ มีอะไรบ้าง
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
4. เมอ่ื เกิดคลื่นในตวั กลางหนงึ่ ๆ อนุภาคของตัวกลางจะเปน็ อยา่ งไร
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
5. จากภาพของคลืน่ บนเสน้ เชือกทมี่ อี ตั ราเรว็ คลนื่ 0.80 เมตรตอ่ วินาที จงหาแอมพลิจดู ความยาวคลน่ื คาบ
และความถ่ีของคล่ืน
การกระจัด (เซนติเมตร)
10
5
10 30 50 70 90 ตำแหน่ง (เซนตเิ มตร)
0 20 40 60 80
-5
-10
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ใบงานที่ 6.1 เฉลย
เรอ่ื ง คลื่นกล
คำชแี้ จง : ตอบคำถามตอ่ ไปน้ใี หถ้ ูกต้อง
1. การจำแนกคลน่ื กลเปน็ คล่นื ตามยาวและคล่ืนตามขวางเปน็ การจำแนกโดยใช้อะไรเปน็ เกณฑ์
...ใ.ช...ท้ ..ิศ...ก..า..ร..ส..่ัน...ข..อ...ง.อ...น..ภุ...า..ค..ต...ัว..ก..ล...า.ง..เ..ป..็น...เ.ก..ณ....ฑ...์ ..............................................................................................
.....................................................................................................................................................................
2. คลืน่ ดลกับคล่ืนต่อเนือ่ งตา่ งกันอย่างไร
...ค..ล...่นื ..ด...ล..เ.ป...น็ ..ค...ล..ื่น...ท..ี่เ..ก..ิด..จ...า..ก..แ..ห...ล..ง่..ก..ำ..เ..น..ดิ...ค..ล..นื่...ท...่ีส..น่ั...ใ.น...ช..ว่..ง..ร..ะ..ย..ะ...เ.ว..ล..า..ส...น้ั ...ๆ....เ..ช..น่ ....ค..ล...ื่น..ผ..ิว..น...้ำ..ท...่ีเ.ก..ิด...จ..า..ก..ก...า..ร......
...ใ.ช...น้ ..ิว้..แ...ต..ะ..ผ..ิว...น..ำ้...ส...ว่ ..น..ค...ล..น่ื...ต..อ่...เ.น..่อื...ง..เ.ป..็น...ค...ล..่นื...ท..่ีเ.ก...ิด..จ...า.ก...ก..า..ร..ส..่นั...อ..ย...า่ ..ง.ต...่อ..เ.น...อื่...ง.ข...อ..ง..แ..ห...ล..ง่..ก..ำ..เ..น..ิด...ค..ล..น่ื....เ.ช...น่ .........
...ค..ล...่นื ..ใ..น..ท...ะ..เ.ล.................................................................................................................................................
3. องค์ประกอบของคลน่ื มีอะไรบา้ ง
...ส..ัน...ค..ล..่นื....ท...้อ..ง..ค...ล..น่ื ....แ..อ...ม..พ...ล..ิจ..ูด....ค...ว..า..ม..ย..า..ว..ค...ล..ืน่ ....ค...ว..า..ม..ถ..่ี..ค..า..บ....แ..ล...ะ..ห...น..า้ ..ค...ล..น่ื ...................................................
.....................................................................................................................................................................
4. เมอ่ื เกดิ คล่ืนในตัวกลางหนึ่ง ๆ อนุภาคของตัวกลางจะเป็นอยา่ งไร
...อ..น...ภุ ..า..ค...ข..อ..ง..ต...ัว..ก..ล..า..ง..เ.ค...ล..่ือ...น..ท...่ีข..นึ้...-.ล..ง....ห..ร..อื...ไ.ป...ท..า..ง..ซ...้า..ย..แ..ล...ะ..ข..ว..า...แ...ต..ไ่..ม..เ่.ค...ล..อ่ื...น..ท...ตี่ ..า..ม...ค..ล..ื่น...ไ.ป...ด...้ว..ย.....................
.....................................................................................................................................................................
5. จากภาพของคล่นื บนเส้นเชือกที่มีอตั ราเร็วคล่นื 0.80 เมตรต่อวินาที จงหาแอมพลิจดู ความยาวคลน่ื คาบ
และความถี่ของคลน่ื
การกระจดั (เซนติเมตร)
10
5
10 30 50 70 90 ตำแหน่ง (เซนติเมตร)
0 20 40 60 80
-5
-10
.............................................................................................................................................................
......•...แ...อ..ม...พ..ล...ิจ..ดู ..ข...อ..ง..ค..ล..่นื...ม...คี ..า่...1..0....เ.ซ...น..ต...เิ .ม..ต...ร...ห...ร..อื ...0.....1..0...เ..ม..ต..ร..............................................................
......•...ค...ว..า..ม..ย...า.ว...ข..อ..ง..ค..ล...ืน่ ..ม...คี ..่า....4..0...เ..ซ..น...ต..เิ.ม...ต..ร...ห...ร..ือ....0...4..0....เ.ม..ต...ร...............................................................
......•...ค...า..บ..ข...อ..ง..ค..ล...่ืน..ม...ีค..่า...0...5...0...ว..ิน...า..ท..ี.....................................................................................................
......•...ค...ว..า..ม..ถ...ีข่ ..อ..ง..ค..ล...ืน่ ..ม...ีค..่า...2....0...เ.ฮ...ริ ..ต..ซ...์ .................................................................................................
9. ความเหน็ ของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาหรือผทู้ ีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ “……..
“…………………………………………
ลงชอ่ื
( .................................
................................ )
ตำแหนง่
.......
10. บันทกึ ผลหลังการสอน
ดา้ นความรู้
ด้านสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น
ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอนื่ ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนกั เรียนเปน็ รายบุคคล (ถ้ามี))
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแกไ้ ข
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 8
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ าวิทยาศาสตร์ 6 (ว23102)
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3/1-8 ภาคเรยี นท่ี 2/2564
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 6 เร่อื ง คลืน่ เวลา 7 ชวั่ โมง
เรื่อง คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า เวลา 2 ชว่ั โมง
ผูส้ อน นางสาวรุจิราวรรณ จนั สว่าง โรงเรยี นบา้ นแพงพทิ ยาคม
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ดั
ว 2.3 ม.3/11 อธบิ ายคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าและสเปกตรมั ของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าจากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้
2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธิบายคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ และสเปกตรัมของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้ (K)
2. สืบค้นข้อมูลเกีย่ วกบั การค้นพบคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรมั ของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ได้ (P)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรอู้ ยากเห็น และทำงานร่วมกับผู้อืน่ อยา่ งสรา้ งสรรค์ (A)
3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน
พิจารณาตามหลักสตู รของสถานศกึ ษา
สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
• คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่อาศัยตัวกลางใน
การเคล่ือนที่ มีความถี่ต่อเนื่องเป็นช่วงกว้างมาก
เคลื่อนที่ในสุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากัน แต่จะ
เคล่ือนท่ีด้วยอัตราเร็วต่างกันในตัวกลางอ่ืน คลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้าแบ่งออกเป็นช่วงความถ่ีต่าง ๆ
เรียกว่า สเปกตรัมของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ละ
ช่วงความถ่ีมีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ คล่ืนวิทยุ
ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงทม่ี องเห็น อลั ตราไวโอเลต
รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา ซึ่งสามารถนำไปใช้
ประโยชนไ์ ด้
4. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic waves) เป็นคลื่นตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและ
สนามแมเ่ หล็กทีม่ ีการส่นั ในแนวตง้ั ฉากกันและอยู่บนระนาบตง้ั ฉากกับทิศทางการเคล่ือนท่ีของคล่ืน โดยที่
คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าเกิดจากการรบกวนทางแมเ่ หล็กไฟฟา้ โดยการทำใหส้ นามไฟฟา้ หรอื สนามแม่เหล็กมกี าร
เปลีย่ นแปลง เม่อื สนามไฟฟา้ มีการเปล่ียนแปลงจะเหนี่ยวนำใหเ้ กดิ สนามแม่เหล็ก หรือถา้ สนามแม่เหล็กมี
การเปลยี่ นแปลงก็จะเหนยี่ วนำทำให้เกดิ สนามไฟฟ้า
คลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ มีด้วยกันอยูห่ ลายชนิด ซึ่งแบ่งตามความถ่ขี องคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกช่วงทีม่ ี
ความถี่ที่ต่อเน่ืองกัน เรียกว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic spectrum) โดยคลื่น
แม่เหลก็ ไฟฟ้าช่วงความถต่ี ่าง ๆ มีลกั ษณะเฉพาะตวั ซึง่ สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ดแ้ ตกต่างกนั
5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียนและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มีวนิ ยั รบั ผิดชอบ
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รียนรู้
1) ทักษะการวเิ คราะห์ 3. มงุ่ มน่ั ในการทำงาน
2) ทักษะการนำความรู้ไปใช้
3) ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมลู
3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชั่วโมงที่ 1
ขนั้ นำ
ข้นั ท่ี 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครทู บทวนความรู้เดมิ ของนักเรยี นเกี่ยวกับเร่ือง การเกดิ คล่ืน ชนดิ ของคลื่น และสว่ นประกอบของ
คล่ืน จากน้นั ครแู จ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ให้นักเรยี นทราบ
2. ครตู ั้งประเดน็ คำถามกระตุ้นความสนใจนกั เรยี นว่า “คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เกิดขึ้นได้อย่างไร และคล่นื
แม่เหล็กไฟฟ้าจะมีคุณสมบตั ิต่าง ๆ เหมอื นกบั คลนื่ น้ำที่นักเรียนเรยี นผา่ นมาหรือไม่ อย่างไร”
โดยใหน้ ักเรยี นแตล่ ะคนร่วมกันอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ อย่างอสิ ระโดยไมม่ ีการเฉลยวา่ ถกู
หรือผดิ
(แนวตอบ : คำตอบขน้ึ อยูก่ ับดุลยพนิ ิจของครผู ้สู อน)
3. นกั เรียนตรวจสอบความเขา้ ใจของตนเองกอ่ นเข้าสกู่ จิ กรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
Check for Understanding ในหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 คลืน่ โดยบันทึกลงในสมดุ ประจำตัวนกั เรยี น
4. นักเรยี นทำกจิ กรรม Engaging Activity จากหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 คลืน่ พจิ ารณาภาพ แล้วระบวุ า่ ใชป้ ระโยชนจ์ ากคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าชนดิ ใด
โดยบันทึกลงในสมุดประจำตัวนักเรยี น
ขน้ั สอน
ข้ันท่ี 2 สำรวจค้นหา (Explore)
1. ครูถามคำถาม Key Question จากหนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 6 คลน่ื วา่ “เพราะเหตใุ ดคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าจงึ จัดเปน็ คลน่ื ตามขวาง”
โดยใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเหน็ อย่างอสิ ระโดยไม่มกี ารเฉลยวา่ ถกู หรอื ผดิ
(แนวตอบ : เพราะทิศทางของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กจะต้งั ฉากกันเสมอ และจะตง้ั ฉากกับ
แนวการเคลื่อนท่ีของแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าดว้ ย)
2. นกั เรียนแบ่งกล่มุ กล่มุ ละ 3 คน ตามความสมัครใจ จากน้นั ร่วมกันศกึ ษาค้นควา้ ข้อมลู เกยี่ วกบั
เร่ือง การคน้ พบคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า และสเปกตรัมคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 6 คลน่ื หรอื แหล่งการเรียนรูต้ า่ ง ๆ
เชน่ อินเทอรเ์ นต็
3. นักเรยี นแต่ละกล่มุ ร่วมกนั อภิปรายเร่อื งท่ีไดศ้ ึกษา จากนัน้ ร่วมกนั สรุปความรทู้ ่ีได้จากการศึกษา
ค้นคว้าลงในสมดุ ประจำตวั นกั เรยี น
ช่ัวโมงท่ี 2
ข้ันท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
4. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลจากการศึกษาหน้าชั้นเรียน ในระหว่างทนี่ กั เรียนนำเสนอ
ครคู อยใหข้ อ้ เสนอแนะเพม่ิ เติม เพื่อให้นักเรยี นมคี วามเข้าใจถูกต้อง
5. ครตู ง้ั ประเดน็ คำถามกระตุ้นความคดิ นักเรียน โดยใหน้ กั เรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกันอภปิ รายแสดง
ความคิดเห็นเพ่ือหาคำตอบ ดงั น้ี
• คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ เกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร
(แนวตอบ : การปลดปล่อยพลังงาน หรอื การแผ่รงั สอี อกมาในรปู ของคลนื่ )
• คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ชนดิ ใดทม่ี ีความยาวคลื่นยาวที่สุด
(แนวตอบ : คลืน่ วิทยุ)
• คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าชนดิ ใดท่ีมีความยาวคลื่นสั้นทสี่ ุด
(แนวตอบ : แกมมา)
• คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ชนิดใดทม่ี ีช่วงความถ่ีมากท่ีสุด
(แนวตอบ : รงั สแี กมมา)
• คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าชนิดใดทมี่ ีช่วงความถีส่ ้ันท่ีสดุ
(แนวตอบ : คล่ืนวิทยุ)
• รโี มตโทรทัศนม์ ีการทำงานโดยอาศัยคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าชนิดใด
(แนวตอบ : รงั สีอนิ ฟราเรด)
6. ครูอธบิ ายเพมิ่ เตมิ ใหน้ ักเรียนเข้าใจเกีย่ วกับการคน้ พบคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ว่า “เจมส์ คลาร์ก
แมกซเ์ วลล์ ไดเ้ สนอทฤษฎีคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าวา่ มีคลืน่ ท่ีเกดิ จากการเปล่ยี นแปลงของสนามไฟฟ้า
และสนามแมเ่ หลก็ และสามารถเคลอ่ื นทผ่ี ่านสญุ ญากาศไดโ้ ดยไม่อาศัยตวั กลางในการเคล่อื นท่ี
(จึงไม่ใชค่ ล่นื กล) เรียกวา่ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ และต่อมาเฮริ ต์ ซ์ ได้ทดลองพิสูจน์ทฤษฎีของแมกซ์
เวลล์ แลว้ พบว่าคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ มีอยจู่ รงิ ในธรรมชาติ โดยคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าที่เฮิรตซค์ น้ พบใน
ครั้งนนั้ คอื คล่นื วทิ ยุ ส่วนคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ ทกุ ย่านความถี่รวมกนั เรียกว่า สเปกตรมั คล่นื
แมเ่ หล็กไฟฟ้า”
ขนั้ ที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
7. ครเู ปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นซกั ถามเนือ้ หาเกีย่ วกับเรอ่ื ง การคน้ พบคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ และสเปกตรัม
คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า และใหค้ วามรูเ้ พิม่ เติมจากคำถามของนักเรยี น โดยครูใช้ PowerPoint เร่ือง
คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า ในการอธิบายเพมิ่ เตมิ
8. นกั เรียนจับคูก่ ับเพ่ือนในชน้ั เรยี นตามความสมัครใจ จากนั้นครใู หน้ กั เรียนแตล่ ะคู่พิจารณาตาราง
ชนิดและคุณสมบตั ิของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ จากหนังสอื เรียนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.3
เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 คล่ืน แลว้ ให้เขยี นสรุปเกย่ี วกับคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าแต่ละชนดิ วา่ มี
แหล่งกำเนิด และคณุ สมบตั ิอะไรบา้ งทีน่ อกเหนอื จากในหนงั สือเรียน โดยเขยี นลงในกระดาษ A4
9. นกั เรียนแตล่ ะคนทำแบบฝกึ หดั เรอื่ ง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 คลื่น จากนน้ั ครสู มุ่ นกั เรียน 3-4 คน ออกมาเฉลย
คำตอบของตนเองหน้าชัน้ เรียน โดยให้เพื่อนในชนั้ เรียนรว่ มกนั พิจารณาวา่ คำตอบถกู ตอ้ งหรือไม่
แล้วครเู ฉลยคำตอบทีถ่ กู ต้องใหน้ กั เรยี น
ข้ันสรปุ
ขัน้ ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูประเมินผล โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล
พฤติกรรมการทำงานกล่มุ และจากการนำเสนอผลการปฏบิ ัติกิจกรรมหนา้ ชัน้ เรยี น
2. ครตู รวจสอบความเข้าใจของนกั เรียนก่อนเขา้ สู่กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ
Check for Understanding ในสมุดประจำตัวนกั เรียน
3. ครตู รวจแบบฝึกหดั เรื่อง คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ จากแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3
เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 6 คลื่น
4. นักเรยี นและครูร่วมกันสรปุ เกย่ี วกบั เรอ่ื ง การคน้ พบคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และสเปกตรมั
คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
7. การวดั และประเมินผล
รายการวัด วิธกี าร เครื่องมอื เกณฑ์การประเมิน
7.1 ประเมินระหว่าง
การจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้
1) คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ - ตรวจสมุดประจำตวั - สมุดประจำตัว หรือ - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝึกหัด แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 เลม่ 2
2) การนำเสนอผลงาน - ประเมินการนำเสนอ - แบบประเมนิ การ - ระดบั คุณภาพ 2
ผลงาน นำเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
3) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
ทำงานรายบุคคล การทำงานรายบคุ คล การทำงานรายบคุ คล ผา่ นเกณฑ์
4) พฤตกิ รรมการ - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
ทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุม่ ผ่านเกณฑ์
5) คณุ ลักษณะ - สังเกตความมีวินยั - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2
อนั พึงประสงค์ รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้ คณุ ลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์
และมงุ่ มั่นในการ อนั พงึ ประสงค์
ทำงาน
8. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 สอ่ื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 6 คลื่น
2) แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 6 คลืน่
3) PowerPoint เรอื่ ง คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้
4) สมดุ ประจำตัวนักเรียน
8.2 แหลง่ การเรียนรู้
1) อินเทอร์เนต็
9. ความเหน็ ของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาหรือผทู้ ีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ “……..
“…………………………………………
ลงชอ่ื
( .................................
................................ )
ตำแหนง่
.......
10. บันทกึ ผลหลังการสอน
ดา้ นความรู้
ด้านสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น
ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอนื่ ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนกั เรียนเปน็ รายบุคคล (ถ้ามี))
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแกไ้ ข
แผนการจัดการเรียนรู้ ท่ี 9
กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ 6 (ว23102)
ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/1-8 ภาคเรยี นที่ 2/2564
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 เรอื่ ง คลน่ื เวลา 7 ชว่ั โมง
เร่อื ง ประโยชนข์ องคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ เวลา 2 ชัว่ โมง
ผู้สอน นางสาวรุจริ าวรรณ จนั สว่าง โรงเรยี นบา้ นแพงพิทยาคม
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วดั
ว 2.3 ม.3/12 ตระหนกั ถึงประโยชนแ์ ละอันตรายจากคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าโดยนำเสนอการใช้ประโยชน์
ในด้านต่าง ๆ และอนั ตรายจากคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าในชีวติ ประจำวัน
2. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งประโยชน์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ได้ (K)
2. นำเสนอการใชป้ ระโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆ และอนั ตรายจากคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชีวติ ประจำวนั (P)
3. ตระหนกั ถงึ ประโยชนแ์ ละอันตรายจากคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าในชวี ิตประจำวนั ได้ (A)
3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรทู้ ้องถ่ิน
พิจารณาตามหลักสตู รของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
• เลเซอร์เป็นคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าที่มคี วามยาวคล่ืนเดยี ว
เป็นลำแสงขน าน และมีความเข้มสูง นำไปใช้
ประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ เช่น ด้านการส่ือสารมีการใช้
เลเซอร์สำหรับส่งสารสนเทศผ่านเส้นใยนำแสง โดย
อาศัยหลักการการสะท้อนกลับหมดของแสง ด้าน
การแพทยใ์ ชใ้ นการผ่าตัด
• คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้านอกจากจะสามารถนำไปใช้
ประโยชน์แล้ว ยังมีโทษตอ่ มนุษย์ด้วย เช่น ถ้ามนุษย์
ได้รับรังสอี ัลตราไวโอเลตมากเกินไปอาจจะทำให้เกิด
มะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสีแกมมาซึ่งเป็นคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟ้าท่ีมีพลังงานสูงและสามารถทะลุผ่าน
เซลล์และอวยั วะได้ อาจทำลายเนอ้ื เยอื่ หรอื อาจทำให้
เสียชีวติ ไดเ้ มื่อไดร้ ับรังสแี กมมาในปริมาณสูง
4. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น คลื่นไมโครเวฟนำมาใช้ในการสื่อสารผ่าน
ดาวเทียม ใช้ในการรักษาโรคด้วยความร้อน ด้านการแพทย์มีการนำเลเซอร์มาใช้ผ่าตัดหรือรักษาอาการ
ผิดปกติที่บริเวณตา ด้านอุตสาหกรรม ใช้เลเซอร์ในการเช่ือมโลหะเข้าด้วยกนั นอกจากคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
จะนำมาใชป้ ระโยชน์แล้ว ยงั มโี ทษต่อมนุษย์ดว้ ย เช่น คลน่ื จากโทรศพั ท์มือถอื ส่งผลต่อการทำงานของสมอง
เกิดการอักเสบของสมอง รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา เมื่อร่างกายได้รับรังสีเข้าไปอาจทำเซลล์เส่ือมสภาพ
สง่ ผลใหอ้ วัยวะตา่ ง ๆ ทำงานไมม่ ีประสทิ ธภิ าพหรอื ไมส่ ามารถทำงานได้
5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี นและคุณลักษณะอันพึงประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มีวนิ ยั รับผดิ ชอบ
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รียนรู้
1) ทกั ษะการวิเคราะห์ 3. มงุ่ ม่นั ในการทำงาน
2) ทักษะการนำความรูไ้ ปใช้
3) ทักษะการลงความเห็นจากข้อมลู
4) ทักษะการตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป
3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชั่วโมงที่ 1
ขั้นนำ
ขน้ั ท่ี 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ ของนกั เรียนเกีย่ วกับเร่ือง การค้นพบคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ และสเปกตรัมคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า จากน้นั ครแู จง้ จุดประสงคก์ ารเรยี นร้ใู ห้นักเรียนทราบ
2. ครูสนทนากบั นักเรยี นเกี่ยวกบั สเปกตรมั คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ วา่ “จากการศึกษาสเปกตรัมคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟา้ พบวา่ สเปกตรัมคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้ามคี วามถีต่ ่อเนื่องกนั เป็นชว่ งกว้างอยูใ่ นชว่ ง
104-1023 เฮริ ตซ์ และมคี วามยาวคลน่ื อยู่ในช่วง 104-10-14 เมตร”
3. ครูตงั้ ประเดน็ คำถามกระตุ้นความสนใจนกั เรียนวา่ “ปจั จบุ นั มนุษย์นำคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้ามาใช้
ประโยชน์ในดา้ นใดบ้าง” โดยให้นกั เรียนแต่ละคนรว่ มกนั อภิปรายแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระ
โดยไม่มีการเฉลยว่าถูกหรอื ผิด
(แนวตอบ : คำตอบขนึ้ อย่กู บั ดลุ ยพนิ ิจของครผู สู้ อน)
ข้ันสอน
ขั้นท่ี 2 สำรวจคน้ หา (Explore)
1. นกั เรียนแบง่ กลุม่ ออกเปน็ 7 กลุม่ กลมุ่ ละเท่า ๆ กนั ตามความสมคั รใจ จากนัน้ ใหน้ กั เรยี นแต่ละ
กลุ่มสง่ ตัวแทนออกมาจับสลากเรอื่ งที่ศกึ ษา โดยครูเตรียมสลากหมายเลขไว้หนา้ ชั้นเรยี น
ซึ่งหมายเลขจะระบุเรอ่ื งทใี่ หน้ กั เรยี นศึกษา ดงั น้ี
• หมายเลข 1 ศึกษาคลื่นวิทยุ
• หมายเลข 2 ศกึ ษาคลืน่ ไมโครเวฟ
• หมายเลข 3 ศกึ ษารังสอี ินฟราเรด
• หมายเลข 4 ศกึ ษาแสงท่มี องเห็นได้
• หมายเลข 5 ศึกษารังสอี ัลตราไวโอเลต
• หมายเลข 6 ศึกษารงั สเี อกซ์
• หมายเลข 7 ศึกษารังสีแกมมา
2. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั ศกึ ษาค้นคว้าขอ้ มูลเรอื่ งท่ีกลุม่ ตนเองจับสลากได้ จากหนงั สอื เรียน
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 6 คลนื่ หรือแหลง่ การเรียนร้ตู ่าง ๆ
เชน่ อนิ เทอร์เน็ต หอ้ งสมดุ จากนั้นร่วมกันสรุปความรทู้ ่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาค้นคว้าลงในกระดาษ
ฟลิปชาร์ทท่ีครูแจกใหแ้ ต่ละกลมุ่
ช่ัวโมงที่ 2
ขั้นที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
3. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มออกมานำเสนอผลจากการศึกษาหนา้ ชัน้ เรียน ในระหวา่ งที่นักเรียนนำเสนอ
ครคู อยให้ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ เพื่อใหน้ ักเรยี นมีความเข้าใจถูกต้อง
4. ครูถามคำถามทา้ ทายการคิดขัน้ สงู (H.O.T.S.) จากหนงั สอื เรียนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 คลน่ื โดยใหน้ ักเรียนเขียนคำตอบของตนเองลงในสมุดประจำตวั
นกั เรียน
5. ครูถามคำถามนักเรยี นวา่ “ส่งิ ใดบ้างทีจ่ ดั เป็นคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากอ่ ให้เกิด
โทษต่อมนษุ ยแ์ ละส่งิ แวดล้อมหรือไม่ อยา่ งไร” โดยให้นักเรียนแตล่ ะคนบันทึกคำตอบของตนเอง
ลงในสมดุ ประจำตวั นักเรยี น
6. นักเรยี นแบง่ กล่มุ กล่มุ ละ 4-5 คน ตามความสมัครใจ จากนน้ั รว่ มกันศกึ ษากรอบ Application
Activity ในหนงั สอื เรยี นวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 6 คลื่น
ขน้ั ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
7. ครเู ปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นซกั ถามเนอื้ หาเกย่ี วกบั เรอ่ื ง ประโยชน์ของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และให้
ความรู้เพิ่มเตมิ จากคำถามของนักเรียน โดยครูใช้ PowerPoint เร่ือง คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้
ในการอธบิ ายเพมิ่ เติม
8. นกั เรียนทำใบงานท่ี 6.2 เรอ่ื ง คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า จากนนั้ ครูมอบหมายใหน้ กั เรยี นทำ
Topic Questions เร่อื ง คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า จากหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 คลืน่ ลงในสมุดประจำตวั นกั เรยี น
9. นักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ 3 คน ตามความสมัครใจ จากน้ันครแู จ้งจดุ ประสงค์ของกิจกรรม
Fun Science Activity เรอ่ื ง กระดาษฟอยลก์ บั โทรศัพทม์ ือถือ ใหน้ ักเรยี นทราบเพอื่ เป็นแนว
ทางการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมท่ถี กู ต้อง
10. สมาชกิ ภายในกล่มุ จัดเตรยี มวสั ดุอปุ กรณท์ ี่ใชใ้ นการปฏิบัตกิ จิ กรรม Fun Science Activity
เรอ่ื ง กระดาษฟอยลก์ บั โทรศัพทม์ อื ถือ จากใบกิจกรรม Fun Science Activity เร่ือง กระดาษ
ฟอยล์กับโทรศัพทม์ อื ถือ
11. สมาชิกภายในกล่มุ รว่ มกนั ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม Fun Science Activity เร่ือง กระดาษฟอยล์กบั
โทรศัพท์มอื ถอื ตามขัน้ ตอนจากใบกิจกรรม Fun Science Activity เร่ือง กระดาษฟอยลก์ บั
โทรศพั ท์มอื ถือ
12. นกั เรยี นแต่ละคนศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพ่ิมเติมเก่ียวกบั เรอ่ื ง วิทยาศาสตรใ์ นชวี ิตประจำวัน
จากกรอบ Science in Real Life เรอ่ื ง ประสิทธิภาพของครีมกนั แดด ในหนงั สอื เรยี น
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 คลืน่
13. นกั เรยี นตรวจสอบความเขา้ ใจของตนเองจากกรอบ Self Check เรื่อง คลืน่ จากหนงั สือเรียน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 คล่นื โดยบนั ทกึ ลงในสมดุ ประจำตวั
นักเรยี น
14. ครูมอบหมายใหน้ ักเรียนทำ Unit Question เรื่อง คลื่น จากหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 6 คล่ืน โดยทำลงในสมุดประจำตวั นักเรยี น เปน็ การบ้าน
สง่ ในชวั่ โมงถดั ไป
15. นกั เรียนแตล่ ะคนทำแบบฝกึ หดั เรอ่ื ง ประโยชนข์ องคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า จากแบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 คลืน่
16. นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรยี นของหนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 6 คลื่น เพอ่ื เป็นการวดั ความร้หู ลังเรยี น
ของนักเรยี น
17. นกั เรยี นแตล่ ะคนนำความรู้ท่ไี ด้จากการเรียนของหน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 คล่ืน มาเขียนสรปุ เปน็
แผนผังมโนทศั น์ ลงในกระดาษ A4 พร้อมตกแตง่ ให้สวยงาม
ขั้นสรุป
ข้ันท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครตู รวจสอบผลการทำแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 6 คลืน่ เพ่อื ตรวจสอบความเขา้ ใจ
หลังเรียนของนกั เรยี น
2. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล
พฤติกรรมการทำงานกลุ่ม และจากการนำเสนอผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมหนา้ ช้นั เรียน
3. ครตู รวจ Topic Questions เรอื่ ง คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า ในสมุดประจำตัวนักเรียน
4. ครปู ระเมินผลการปฏิบตั ิกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง กระดาษฟอยลก์ ับโทรศัพท์มอื ถือ
5. ครตู รวจแบบฝึกหดั เรือ่ ง ประโยชน์ของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ จากแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 คล่ืน
6. ครูตรวจสอบผลการตรวจสอบความเข้าใจของตนเองจากกรอบ Self Check เรื่อง คล่นื
ในสมุดประจำตวั นักเรียน
7. ครตู รวจสอบผลการทำใบงานที่ 6.2 เร่ือง คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้
8. ครตู รวจแบบฝกึ หดั Unit Question เรือ่ ง คลื่น ในสมุดประจำตัวนกั เรยี น
9. ครวู ดั และประเมินผลจากชน้ิ งาน/ผลงาน แผนผงั มโนทัศน์ เร่อื ง คล่ืน
10. นักเรียนและครรู ่วมกนั สรุปเก่ยี วกับเรอ่ื ง ประโยชนข์ องคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
7. การวัดและประเมินผล
รายการวดั วธิ กี าร เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมิน
7.1 ประเมนิ ระหว่าง
การจดั กิจกรรม
การเรยี นรู้
1) ประโยชนข์ อง - ตรวจใบงานที่ 6.2 - ใบงานท่ี 6.2 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า - ตรวจสมุดประจำตวั - สมุดประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝึกหดั แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2 เลม่ 2
2) การนำเสนอ - ประเมินการนำเสนอ - แบบประเมนิ การ - ระดับคุณภาพ 2
ผลงาน/การปฏบิ ตั ิ ผลงาน/การปฏิบัติ นำเสนอผลงาน/การ ผ่านเกณฑ์
กจิ กรรม กิจกรรม ปฏิบัตกิ ิจกรรม
3) พฤตกิ รรมการ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
ทำงานรายบคุ คล การทำงานรายบคุ คล การทำงานรายบคุ คล ผ่านเกณฑ์
4) พฤติกรรมการ - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
ทำงานกล่มุ การทำงานกลุม่ การทำงานกล่มุ ผ่านเกณฑ์
5) คุณลกั ษณะ - สังเกตความมีวนิ ยั - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
อันพงึ ประสงค์ รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้ คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์
และมงุ่ มั่นในการ อนั พึงประสงค์
ทำงาน
7.2 การประเมนิ หลงั เรยี น
- แบบทดสอบ - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลังเรยี น - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หลงั เรียน หนว่ ยการ หลงั เรยี น หน่วยการ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 6
เรยี นรทู้ ่ี 6 คล่นื เรียนรูท้ ี่ 6 คลื่น คลน่ื
7.3 การประเมินช้นิ งาน/
ภาระงาน (รวบยอด)
- แผนผังมโนทศั น์ - ตรวจแผนผังมโนทศั น์ - แบบประเมนิ ชนิ้ งาน/ - ระดับคุณภาพ 2
เร่อื ง คลนื่ เรอื่ ง คลนื่ ภาระงาน (รวบยอด) ผา่ นเกณฑ์
8. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้
8.1 ส่อื การเรียนรู้
1) หนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 คลื่น
2) แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 คลน่ื
3) ใบงานที่ 6.2 เรื่อง คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า
4) ใบกจิ กรรม Fun Science Activity เรื่อง กระดาษฟอยล์กับโทรศพั ทม์ ือถอื
5) วสั ดอุ ปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในการปฏิบัตกิ ิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง กระดาษฟอยล์กับโทรศัพทม์ ือถอื
6) PowerPoint เรือ่ ง คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
7) สลากหมายเลข
8) สมุดประจำตวั นกั เรียน
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรียน
2) ห้องสมุด
3) อินเทอร์เน็ต
ใบงานท่ี 6.3.1
เร่ือง คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
คำชี้แจง : ให้นักเรยี นเลือกคำตอบที่ถูกต้องท่ีสดุ เพียงคำตอบเดียว
1. คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ทกุ ชนิดจะเคล่อื นที่ในสุญญากาศ โดยมีส่ิงเหมือนกนั คอื ขอ้ ใด
ก. ความถี่ ข. อัตราเรว็ ค. แอมพลิจูด ง. ความยาวคลน่ื
2. ทศิ ทางของสนามแมเ่ หล็กของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเปน็ อย่างไร
ก. ขนานกับสนามไฟฟ้า ข. ตั้งฉากกับสนามไฟฟ้า
ค. ขนานกับทิศทางการเคลื่อนทข่ี องคล่ืน ง. มที ิศต้ังฉากทง้ั สนามไฟฟา้ และทิศการแผข่ องคลื่น
3. คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าที่นิยมใช้ในรีโมตควบคุมการทำงานของโทรทัศนค์ ือขอ้ ใด
ก. รังสอี นิ ฟราเรด ข. คลนื่ ไมโครเวฟ ค. คลืน่ วิทยุ ง. รังสอี ัลตราไวโอเลต
4. คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดต่อไปนท้ี ีม่ ีความยาวคลื่นสั้นทีส่ ุด
ก. รงั สอี นิ ฟราเรด ข. คลื่นไมโครเวฟ ค. คลื่นวทิ ยุ ง. รงั สีอัลตราไวโอเลต
5. คลน่ื วิทยุแตกต่างจากคลืน่ แสงอยา่ งไร
ก. คลนื่ วิทยุมคี วามถี่ต่ำกว่าคลืน่ แสง ข. คลนื่ วทิ ยุความถ่สี งู กว่าคล่ืนแสง
ค. คลน่ื วิทยุเคล่ือนท่ีได้เร็วกวา่ คลน่ื แสง ง. คลื่นวทิ ยเุ คล่อื นท่ไี ดช้ า้ กวา่ คลืน่ แสง
6. คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าชนดิ ใดต่อไปน้ที ีเ่ รารบั ไดด้ ว้ ยการสัมผัส
ก. แสง ข. คลน่ื วทิ ยุ ค. รังสีเอกซ์ ง. รังสีอนิ ฟราเรด
7. คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าชนิดใดตอ่ ไปนี้ท่มี พี ลังงานมากทส่ี ดุ
ก. แสง ข. คลืน่ วิทยุ ค. รงั สเี อกซ์ ง. รงั สีอนิ ฟราเรด
8. การเช่อื มโลหะด้วยไฟฟา้ สามารถทำให้เกิดคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ชนิดใด
ก. รังสอี นิ ฟราเรด ข. รงั สเี อกซ์ ค. รงั สแี กมมา ง. รังสีอลั ตราไวโอเลต
9. รังสีอินฟราเรดและคลื่นไมโครเวฟมสี ่งิ ที่เหมือนกนั
1. เป็นคลนื่ ประเภทเดียวกัน
2. ตรวจจับดว้ ยฟิล์มถ่ายรปู เหมอื นกนั
3. มปี ระโยชน์ในการสอื่ สารเหมอื นกัน
คำตอบทถี่ ูกตอ้ งคอื ข้อใด
ก. ข้อ 1 เท่าน้นั ข. ข้อ 1 และ 2 ค. ข้อ 1 และ 3 ง. ข้อ 1 2 และ 3
10. ขอ้ ใดเรียงลำดบั จากความยาวคลืน่ นอ้ ยไปหาความยาวคล่ืนมากไดถ้ กู ตอ้ ง
ก. รังสีอนิ ฟราเรด แสง รงั สีแกมมา ข. รงั สีเอกซ์ รังสีอินฟราเรด แสง
ค. คลื่นไมโครเวฟ แสง รังสีอินฟราเรด ง. รงั สีเอกซ์ คล่ืนอัลตราไวโอเลต รงั สีอินฟราเรด
ใบงานที่ 6.3.1 เฉลย
เร่อื ง คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
คำชี้แจง : ใหน้ ักเรียนเลอื กคำตอบท่ีถูกตอ้ งทส่ี ุดเพยี งคำตอบเดยี ว
1. คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ทกุ ชนดิ จะเคล่ือนท่ีในสญุ ญากาศ โดยมีสิง่ เหมือนกันคือข้อใด
ก. ความถ่ี ข. อัตราเรว็ ค. แอมพลิจูด ง. ความยาวคลื่น
2. ทศิ ทางของสนามแมเ่ หลก็ ของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ เป็นอยา่ งไร
ก. ขนานกับสนามไฟฟ้า ข. ต้ังฉากกบั สนามไฟฟา้
ค. ขนานกับทศิ ทางการเคลื่อนทข่ี องคลน่ื ง. มีทิศต้ังฉากท้งั สนามไฟฟ้าและทิศการแผข่ องคล่นื
3. คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ ทน่ี ิยมใช้ในรโี มตควบคุมการทำงานของโทรทัศนค์ อื ข้อใด
ก. รังสอี ินฟราเรด ข. คลื่นไมโครเวฟ ค. คลืน่ วิทยุ ง. รงั สีอลั ตราไวโอเลต
4. คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าชนดิ ใดต่อไปน้ที ี่มคี วามยาวคลนื่ สนั้ ที่สุด
ก. รังสีอินฟราเรด ข. คลืน่ ไมโครเวฟ ค. คลืน่ วทิ ยุ ง. รงั สอี ัลตราไวโอเลต
5. คลืน่ วิทยุแตกต่างจากคลน่ื แสงอย่างไร
ก. คลืน่ วทิ ยมุ คี วามถ่ีตำ่ กว่าคล่ืนแสง ข. คลน่ื วิทยุความถ่สี งู กว่าคลื่นแสง
ค. คล่นื วทิ ยุเคลอ่ื นท่ีไดเ้ ร็วกว่าคลนื่ แสง ง. คลืน่ วิทยุเคล่อื นทไ่ี ด้ชา้ กว่าคล่ืนแสง
6. คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ชนดิ ใดต่อไปนท้ี เ่ี รารับไดด้ ้วยการสมั ผสั
ก. แสง ข. คล่ืนวิทยุ ค. รังสีเอกซ์ ง. รงั สีอนิ ฟราเรด
7. คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ชนดิ ใดต่อไปน้ที ี่มีพลงั งานมากทส่ี ดุ
ก. แสง ข. คลืน่ วิทยุ ค. รงั สเี อกซ์ ง. รงั สอี นิ ฟราเรด
8. การเชอ่ื มโลหะด้วยไฟฟ้าสามารถทำใหเ้ กดิ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใด
ก. รงั สีอินฟราเรด ข. รงั สเี อกซ์ ค. รังสีแกมมา ง. รังสีอัลตราไวโอเลต
9. รงั สอี ินฟราเรดและคลื่นไมโครเวฟมสี ่ิงทีเ่ หมือนกนั
1. เปน็ คลนื่ ประเภทเดยี วกัน
2. ตรวจจบั ด้วยฟิลม์ ถ่ายรปู เหมือนกนั
3. มีประโยชนใ์ นการสอื่ สารเหมือนกัน
คำตอบทถี่ ูกตอ้ งคอื ข้อใด
ก. ขอ้ 1 เท่านั้น ข. ขอ้ 1 และ 2 ค. ขอ้ 1 และ 3 ง. ขอ้ 1 2 และ 3
10. ข้อใดเรยี งลำดบั จากความยาวคลนื่ น้อยไปหาความยาวคล่นื มากได้ถูกต้อง
ก. รังสีอินฟราเรด แสง รงั สีแกมมา ข. รังสีเอกซ์ รงั สีอินฟราเรด แสง
ค. คลน่ื ไมโครเวฟ แสง รังสอี นิ ฟราเรด ง. รังสีเอกซ์ คลื่นอลั ตราไวโอเลต รังสีอนิ ฟราเรด
ใบกจิ กรรม Fun Science Activity
เรื่อง กระดาษฟอยล์กับโทรศัพท์มือถอื
วัสดอุ ปุ กรณ์
1. โทรศัพทม์ ือถือ 2 เครือ่ ง
2. กล่องพลาสติก
3. กล่องกระดาษ
4. กลอ่ งไม้
5. กระดาษฟอยล์
วิธที ำ
1. เตรยี มโทรศพั ทม์ ือถอื 2 เคร่ือง โดยเปิดเครือ่ งใหพ้ รอ้ มใชง้ าน นำโทรศพั ท์มือถือเคร่อื งท่ี 1 เก็บไว้กบั ตวั
และนำเครอ่ื งท่ี 2 ไปใส่กลอ่ งพลาสติก
2. ใชโ้ ทรศพั ท์มอื ถอื เครื่องที่ 1 โทรหาเครอื่ งที่ 2 สงั เกตสญั ญาณโทรศพั ท์มือถอื เครือ่ งท่ี 2
3. ทำการทดลองซำ้ ขอ้ 1.-2. แต่นำโทรศพั ท์มอื ถือเครือ่ งที่ 2 วางไวใ้ นกลอ่ งกระดาษ กล่องไม้ และห่อด้วย
กระดาษฟอยล์ แล้วสงั เกตสญั ญาณเสยี งโทรศัพท์มือถอื เคร่อื งที่ 2 ตามลำดบั
หลักการทางวทิ ยาศาสตร์
คลื่นไมโครเวฟ เป็นคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่ีใชก้ ันท่วั ไปในจานรบั สญั ญาณดาวเทยี ม ระบบเครอื ข่ายไร้สาย
(Wi-Fi) และสัญญาณโทรศพั ทม์ อื ถอื ซงึ่ สมบตั ิหน่ึงของคล่นื ไมโครเวฟ คือ การสง่ ผ่าน (transmission) เมอ่ื
คล่นื ไมโครเวฟวง่ิ กระทบกบั วัสดทุ ่ีไม่ใช่โลหะ เช่น แก้ว พลาสติก กระดาษ เซรามกิ ไม้ คล่นื จะสามารถทะลุ
ผา่ นได้ ดงั นน้ั การใชก้ ระดาษฟอยล์ซ่ึงเป็นกระดาษที่ทำมาจากอะลูมเิ นยี มมาห่อโทรศพั ทม์ ือถือ เมื่อมีคนโทร
เข้าเสยี งโทรศพั ทจ์ ะไมด่ ัง เน่ืองจากสัญญาณโทรศัพทม์ อื ถือไมส่ ามารถทะลุผ่านตัวนำไฟฟา้ เข้ามาได้
ชน้ิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด)
แผนผงั มโนทศั น์
เร่อื ง คลน่ื
คำช้ีแจง : ให้นักเรียนนำความรู้ที่ได้จากการเรียนของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 คล่ืน มาเขียนสรุปเป็นแผนผัง
มโนทัศน์ ลงในกระดาษ A4 พรอ้ มตกแต่งให้สวยงาม
สลากหมายเลข 2
4
1 6
3
5
7
9. ความเหน็ ของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาหรือผทู้ ีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ “……..
“…………………………………………
ลงชอ่ื
( .................................
................................ )
ตำแหนง่
.......
10. บันทกึ ผลหลังการสอน
ดา้ นความรู้
ด้านสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น
ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอนื่ ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนกั เรียนเปน็ รายบุคคล (ถ้ามี))
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแกไ้ ข
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7
แสงและการมองเห็น
เวลา 17 ช่วั โมง
1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวช้ีวัด
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร
และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง
และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายกฎการ
สะทอ้ นของแสง
ว 2.3 ม.3/14 เขยี นแผนภาพการเคล่อื นท่ขี องแสง แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา
ว 2.3 ม.3/15 อธิบายการหักเหของแสงเม่ือผ่านตัวกลางโปร่งใสที่แตกต่างกัน และอธิบายการ
กระจายแสงของแสงขาวเมือ่ ผา่ นปริซึมจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์
ว 2.3 ม.3/16 เขยี นแผนภาพการเคลอ่ื นทขี่ องแสงแสดงการเกดิ ภาพจากเลนส์บาง
ว 2.3 ม.3/17 อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง และการทำงานของทัศนอุปกรณ์จากข้อมูลท่ี
รวบรวมได้
ว 2.3 ม.3/18 เขยี นแผนภาพการเคล่ือนทข่ี องแสง แสดงการเกดิ ภาพของทศั นอุปกรณ์และเลนส์ตา
ว 2.3 ม.3/19 อธบิ ายผลของความสวา่ งท่มี ีตอ่ ดวงตาจากข้อมลู ท่ีได้จากการสืบค้น
ว 2.3 ม.3/20 วัดความสวา่ งของแสงโดยใช้อปุ กรณ์วดั ความสว่างของแสง
ว 2.3 ม.3/21 ตระหนักในคุณค่าของความรู้เร่ือง ความสว่างของแสงที่มีต่อดวงตา โดยวิเคราะห์
สถานการณป์ ัญหาและเสนอแนะการจัดความสวา่ งใหเ้ หมาะสมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
2. สาระการเรยี นรู้
2.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. เมื่อแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะท้อนซึ่งเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง โดยรังสีตกกระทบ
เส้นแนวฉาก รังสีสะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกัน และมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ภาพจากกระจก
เงาเกิดจากรังสีสะท้อนตัดกันหรือต่อแนวรังสีสะท้อนให้ตัดกัน โดยถ้ารังสีสะท้อนตัดกันจริงจะเกิด
ภาพจรงิ แต่ถา้ ต่อแนวรงั สสี ะทอ้ นใหไ้ ปตดั กนั จะเกิดภาพเสมอื น
2. เม่ือแสงเดินทางผ่านตัวกลางโปร่งใสท่ีแตกต่างกัน เช่น อากาศและน้ำ อากาศและแก้ว จะเกิดการ
หักเห หรืออาจเกิดการสะท้อนกลับหมดในตัวกลางท่ีแสงตกกระทบ การหักเหของแสงผ่านเลนส์
ทำใหเ้ กิดภาพทีม่ ีชนิดและขนาดตา่ ง ๆ
3. แสงขาวประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ เม่ือแสงขาวผ่านปริซึมจะเกิดการกระจายแสงเป็นแสงสีต่าง ๆ
เรียกว่า สเปกตรัมของแสงขาว เม่ือเคลื่อนท่ีในตัวกลางใด ๆ ที่ไม่ใช่อากาศ จะมีอัตราเร็วต่างกันจึงมี
การหักเหต่างกนั
4. การสะท้อนและการหักเหของแสงนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เก่ียวกับแสง เช่น รุ้ง มิราจ และ
อธิบายการทำงานของทัศนอุปกรณ์ เช่น แว่นขยาย กระจกโค้งจราจร กล้องโทรทรรศน์ กล้อง
จุลทรรศน์ และแว่นสายตา
5. ในการมองวัตถุ เลนส์ตาจะถูกปรับโฟกัส เพื่อให้เกิดภาพชัดท่ีจอตา ความบกพร่องทางสายตา เช่น
สายตาส้ัน และสายตายาว เป็นเพราะตำแหน่งท่ีเกิดภาพไม่ได้อยู่ที่จอตาพอดี จึงต้องใช้เลนส์ในการ
แก้ไขเพ่ือช่วยให้มองเห็นเหมือนคนสายตาปกติ โดยคนสายตาสั้นใช้เลนส์เว้า ส่วนคนสายตายาวใช้
เลนสน์ นู
6. ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตามนุษย์ การใช้สายตาในสภาพแวดล้อมท่ีมีความสว่างไม่เหมาะสมจะ
เป็นอันตรายต่อดวงตา เช่น การดูวัตถุในทม่ี ีความสว่างมากหรือนอ้ ยเกนิ ไป การจ้องดหู นา้ จอภาพเป็น
เวลานาน ความสว่างบนพื้นที่รับแสง มีหน่วยเป็นลกั ซ์ ความรเู้ ก่ียวกับความสว่างสามารถนำมาใช้จัด
ความสว่างให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดความสว่างที่เหมาะสมสำหรับการอ่าน
หนังสอื
2.2 สาระการเรียนร้ทู อ้ งถ่ิน
(พจิ ารณาตามหลกั สูตรสถานศึกษา)
3. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
การสะท้อนของแสง เกิดจากแสงเดินทางไปตกกระทบกับผิวของวัตถุที่แสงไม่สามารถเดินทางผ่านได้
ทำให้แสงที่ตกกระทบผิวของวัตถนุ ้ัน ๆ เกิดการสะท้อนกลับหมดลักษณะการสะท้อนของแสงจะสะท้อนกลับ
มากหรอื น้อย จะขึน้ อยกู่ บั ลักษณะของผิวของวัตถุทแี่ สงตกกระทบ
การสะท้อนของแสงบนกระจกเงาราบ ทำให้เกิดภาพเสมือนหัวต้ังที่มีขนาดเท่ากับวตั ถุ แต่ภาพที่เหน็ จะ
กลับด้านจากซ้ายเป็นขวา และขวาเป็นซา้ ย ส่วนการสะท้อนของแสงบนกระจกเงานูนทำใหเ้ กิดภาพเสมือนหัว
ตั้งท่ีมีขนาดเล็กกว่าวัตถุ ส่วนการสะท้อนของแสงบนกระจกเงาเว้า สามารถเกิดภาพได้หลายแบบข้ึนอยู่กับ
ระยะระหวา่ งวตั ถกุ บั กระจก
การหักเหของแสง เกดิ จากการทคี่ วามเร็วของแสงเปล่ียนไป เมอ่ื เดนิ ทางผา่ นตัวกลางตา่ งชนดิ กัน แสงจะ
เบนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความหนาแน่นและดรรชนีการหักเหของตัวกลางท่ีแสงเดินทางผ่าน การหกั เหของ
แสงผ่านเลนส์นูน ทำให้เกิดภาพได้หลายแบบขึ้นอยู่กับระยะระหว่างวัตถุกับเลนส์ และการหักเหของแสงผ่าน
เลนส์เว้า ทำใหเ้ กิดภาพเสมือนหัวตั้งขนาดเล็กกว่าวัตถุ
กฎการสะท้อนของแสงและการหักเหของแสง สามารถนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ท่เี กี่ยวกับแสง เช่น
รงุ้ พระอาทิตย์ทรงกลด ภาพลวงตาหรอื มริ าจ
ทัศนอุปกรณเ์ ปน็ อุปกรณ์ท่ีสรา้ งขน้ึ มาใช้งานโดยอาศัยความรู้เรอ่ื งหลกั การทางแสงมาใช้ และอาศยั ความรู้
เก่ียวกับการเกิดภาพจากอุปกรณ์พื้นฐาน เช่น เลนส์ กระจกเงาราบ กระจกเงาเว้า ตัวอย่างของทัศนอุปกรณ์
ได้แก่ แว่นขยาย แว่นตา กล้องจุลทรรศน์ กล้องโทรทรรศน์ ทัศนอุปกรณ์เหล่านี้นำไปประโยชน์ในงานด้าน
ต่าง ๆ
การรับภาพของนัยน์ตามนุษย์ เกิดจากการสะท้อนของแสงจากวัตถุเข้าตา ทำให้เกิดภาพวัตถุบนจอตา
ข้อมูลของวัตถุท่ีมองเห็นจะถูกส่งขึ้นไปยังสมองตามเส้นประสาท ซึ่งสมองจะทำหน้าที่แปลข้อมูลเหล่านั้นให้
เป็นภาพของวัตถุ
ความสว่างของแสงไม่ว่ามีมากหรือน้อย ลว้ นมีผลต่อกล้ามเน้ือท้ังส้ิน กล่าวคือ ถ้ามีแสงสว่างมากม่านตา
จะต้องปรับความสวา่ งของแสงท่ีเข้ามาบนจอตาให้เล็กลง แต่ถ้ามีแสงน้อย ม่านตาจะเปิดกวา้ งมาก เพ่ือให้แสง
สว่างเข้ามาสู่นัยน์ตาอย่างเพียงพอ ดังนั้นในการปฏิบัติงาน หรือการทำงานประเภทต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องให้มี
แสงสว่างในแต่ละหน่วยพ้ืนที่อย่างเพียงพอ ซึ่งเราจะรู้ได้ก็โดยใช้เครื่องวัดแสงวัด เคร่ืองมือท่ีจะใช้วัดปริมาณ
แสงทต่ี กกระทบต่อหน่งึ หน่วยพน้ื ที่ เรยี กว่า ลกั ซ์มิเตอร์ (luxmeter)
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มีวนิ ัย รับผิดชอบ
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รียนรู้
1) ทกั ษะการวดั 3. มุ่งมั่นในการทำงาน
2) ทักษะการสงั เกต
3) ทกั ษะการทดลอง
4) ทกั ษะการวเิ คราะห์
5) ทักษะการนำความร้ไู ปใช้
6) ทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มูล
7) ทักษะการจัดกระทำและสอื่ ความหมายข้อมลู
8) ทักษะการตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรุป
3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. ช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
- แผนผังมโนทศั น์ เรือ่ ง แสงและการมองเห็น
6. การวดั และการประเมนิ ผล
รายการวดั วิธีวัด เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ
6.1 การประเมินช้ินงาน/
ภาระงาน (รวบยอด)
- แผนผังมโนทศั น์ เร่อื ง - ตรวจแผนผงั - แบบประเมินช้นิ งาน/ - ระดับคุณภาพ 2
แสงและการมองเหน็ มโนทศั น์ เรื่อง แสง ภาระงาน (รวบยอด) ผา่ นเกณฑ์
และการมองเหน็
6.2 การประเมินก่อนเรียน
- แบบทดสอบ - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรียน - ประเมินตามสภาพจรงิ
ก่อนเรียน หน่วยการ ก่อนเรยี น หน่วยการ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7
เรยี นรู้ที่ 7 แสงและ เรียนร้ทู ่ี 7 แสงและ แสงและการมองเห็น
การมองเหน็ การมองเหน็
6.3 การประเมินระหว่าง
การจดั กจิ กรรม
1) การสะท้อนของแสง - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตัว หรือ - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝกึ หัด แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตรแ์ ละ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
เลม่ 2
2) ผลบันทึกการ - ตรวจสมุดประจำตัว - สมดุ ประจำตัว หรือ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ปฏิบัตกิ ิจกรรม หรอื แบบฝึกหัด แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์
การสะท้อนของแสง วิทยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
เล่ม 2
3) การเกิดภาพจาก - ตรวจใบงานท่ี 7.1 - ใบงานท่ี 7.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
กระจกเงา - ตรวจสมุดประจำตัว - สมดุ ประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝึกหดั แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2
เล่ม 2
รายการวัด วธิ วี ดั เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
4) ผลบนั ทกึ การปฏบิ ตั ิ - ตรวจสมุดประจำตวั - สมุดประจำตัว หรอื - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
กิจกรรมภาพจาก หรอื แบบฝึกหัด แบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์
การสะทอ้ นแสงของ วิทยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3
วตั ถุท่มี ผี วิ ราบ เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2
เลม่ 2
5) การหักเหของแสง - ตรวจใบงานท่ี 7.2 - ใบงานที่ 7.2 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตัว หรอื - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝึกหดั แบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตรแ์ ละ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
เลม่ 2
6) ผลบันทกึ การ - ตรวจสมุดประจำตวั - สมุดประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์
ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม หรอื แบบฝกึ หดั และเทคโนโลยี ม.3
เลม่ 2
การหักเหของแสง วิทยาศาสตร์และ
ผา่ นตวั กลางท่ีต่าง เทคโนโลยี ม.3
ชนดิ กัน เลม่ 2
7) ปรากฏการณท์ ี่ - ตรวจใบงานที่ 7.3 - ใบงานที่ 7.3 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
เก่ียวกับแสง - ตรวจสมุดประจำตวั - สมดุ ประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตรแ์ ละ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
เล่ม 2
8) ทัศนอปุ กรณ์ - ตรวจใบงานที่ 7.4 - ใบงานท่ี 7.4 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ตรวจสมุดประจำตัว - สมดุ ประจำตวั หรือ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรอื แบบฝึกหดั แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตรแ์ ละ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2
เลม่ 2
รายการวัด วธิ ีวดั เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
9) ตาและการมองเห็น - ตรวจใบงานที่ 7.5 - ใบงานที่ 7.5 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ตรวจสมุดประจำตวั - สมดุ ประจำตวั หรือ - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตรแ์ ละ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 2
เลม่ 2
10) ความสว่างของแสง - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตวั หรือ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หรือแบบฝึกหดั แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตรแ์ ละ และเทคโนโลยี ม.3
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2
เล่ม 2
11) การนำเสนอผลงาน/ - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมินการ - ระดบั คุณภาพ 2
การปฏิบตั ิกิจกรรม ผลงาน/การปฏบิ ัติ นำเสนอผลงาน/การ ผา่ นเกณฑ์
กิจกรรม ปฏบิ ัตกิ ิจกรรม
12) พฤตกิ รรมการ - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
ทำงานรายบคุ คล การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
13) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคณุ ภาพ 2
ทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม การทำงานกลมุ่ ผ่านเกณฑ์
14) คุณลักษณะอนั พงึ - สงั เกตความมีวินัย - แบบประเมิน - ระดบั คณุ ภาพ 2
ประสงค์ รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้ คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์
และมงุ่ มั่นในการ อันพึงประสงค์
ทำงาน
6.4 การประเมนิ หลังเรียน
- แบบทดสอบหลงั เรยี น - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลงั เรียน - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 หลังเรียน หน่วยการ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 7
แสงและการมองเหน็ เรยี นร้ทู ่ี 7 แสงและ แสงและการมองเหน็
การมองเห็น
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ เวลา 2 ชว่ั โมง
เวลา 2 ช่วั โมง
• แผนท่ี 1 : การสะทอ้ นของแสง เวลา 5 ชว่ั โมง
วธิ ีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 2 ช่วั โมง
เวลา 2 ชั่วโมง
• แผนท่ี 2 : การเกิดภาพจากกระจกเงา เวลา 2 ชัว่ โมง
วิธสี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 2 ชว่ั โมง
(รวมเวลา 17 ชั่วโมง)
• แผนท่ี 3 : การหกั เหของแสง
วธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
• แผนท่ี 4 : ปรากฏการณท์ ่เี ก่ยี วกับแสง
วธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
• แผนท่ี 5 : ทัศนอปุ กรณ์
วธิ ีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
• แผนที่ 6 : ตาและการมองเห็น
วิธีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
• แผนที่ 7 : ความสวา่ งของแสง
วธิ สี อนแบบบรรยาย (Lecture Method)
8. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 สอ่ื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 แสงและการมองเหน็
2) แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7 แสงและการมองเห็น
3) ใบงานท่ี 7.1 เรอื่ ง การสะทอ้ นของแสง
4) ใบงานที่ 7.2 เรือ่ ง การหกั เหของแสง
5) ใบงานท่ี 7.3 เรอื่ ง ปรากฏการณท์ ่ีเกยี่ วกับแสง
6) ใบงานที่ 7.4 เร่ือง ทัศนอุปกรณ์
7) ใบงานที่ 7.5 เรื่อง ตาและการมองเห็น
8) วสั ดุอุปกรณท์ ีใ่ ชใ้ นการปฏิบตั ิกจิ กรรมการสะทอ้ นของแสง
9) วสั ดุอปุ กรณ์ท่ใี ช้ในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมภาพจากการสะทอ้ นแสงของวัตถุทีม่ ผี วิ ราบ
10) วัสดุอุปกรณท์ ใ่ี ช้ในการปฏิบตั ิกิจกรรมการหกั เหของแสงผา่ นตวั กลางท่ตี า่ งชนิดกนั
11) วสั ดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติกจิ กรรมทัศนอุปกรณ์
12) วสั ดอุ ุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการปฏบิ ัติกิจกรรม Fun Science Activity เรื่อง กล้องจุลทรรศน์จากโทรศัพท์มอื ถือ
13) PowerPoint เร่อื ง การสะท้อนของแสง
14) PowerPoint เร่อื ง การหักเหของแสง
15) PowerPoint เร่ือง ปรากฏการณท์ ี่เกย่ี วกับแสง
16) PowerPoint เรอ่ื ง ทศั นอปุ กรณ์
17) PowerPoint เรือ่ ง ตาและการมองเห็น
18) PowerPoint เรอื่ ง ความสวา่ งของแสง
19) อปุ กรณส์ าธิตการทดลอง เชน่ กระจกเงาราบ
20) อปุ กรณ์สาธิตการทดลอง เช่น แก้ว ดินสอ
21) เลนส์นูน และเลนส์เว้า
22) อปุ กรณส์ าธิตการทดลอง เช่น ปรซิ มึ สามเหลี่ยม เลเซอร์ กระดาษขาว
23) บตั รภาพ
24) สลากหมายเลข
25) กล่องหลอดไฟแบบไส้ และหลอดฟลูออเรสเซนต์
26) QR Code เร่ือง แสงและการมองเห็น
27) สมุดประจำตวั นกั เรียน
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรยี น
2) หอ้ งสมดุ
3) อินเทอรเ์ น็ต
แบบทดสอบกอ่ นเรียน
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 7 แสงและการมองเหน็
คำช้ีแจง : ให้นกั เรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว
1. จากภาพ D และ E หมายถงึ อะไร 5. จากภาพ แสงเคลอ่ื นที่จากตวั กลาง A ไปสู่ตัวกลาง B ซงึ่ มี
ความหนาแน่นไม่เทา่ กนั ขอ้ ใดถกู ต้อง
AB
C
DE A
F B
1. D มุมสะท้อน และ E มมุ ตกกระทบ 1. ตัวกลาง A และ B มีความหนาแนน่ เทา่ กัน
2. ตวั กลาง A มีความหนาแน่นมากกว่าตวั กลาง B
2. D มุมตกกระทบ และ E มุมสะท้อน 3. ตวั กลาง A มคี วามหนาแน่นน้อยกว่าตัวกลาง B
4. ตัวกลาง A และ B มคี วามหนาแนน่ ไมเ่ ท่ากัน แตไ่ ม่
3. D รังสสี ะท้อน และ E รังสตี กกระทบ
สามารถบอกได้ว่าตัวกลางใดมคี วามหนาแน่นมากกวา่ กัน
4. D รงั สีตกกระทบ และ E รังสีสะทอ้ น 6. คนทใ่ี ส่แว่นสายตายาว จะเหน็ ภาพของวัตถมุ ขี นาดเล็กกว่า
2. จากภาพ ข้อใดคอื รังสีตกกระทบ B วัตถจุ ริงในกรณใี ด
AP 1. วัตถุอยู่หา่ งจากแว่นสายตานอ้ ยกวา่ ความยาวโฟกัส
2. วตั ถอุ ยู่หา่ งจากแวน่ สายตามากกวา่ 2 เทา่ ของความยาวโฟกสั
a b cd 3. วัตถอุ ยู่หา่ งจากแวน่ สายตาในระยะมากกวา่ จดุ ศนู ย์กลาง
O
ความโคง้
1. OP 4. วัตถุอย่หู า่ งจากแว่นสายตาน้อยกว่า 2 เท่าของความยาว
2. AO
3. BO โฟกสั แต่มากกว่าความยาวโฟกัส
4. AB 7. เพราะเหตใุ ด บริเวณสี่แยกในรา้ นขายของจึงติดกระจกโค้งนูนไว้
3. จากภาพในข้อ 2 ถา้ มุม b = 35 ํ มุม C จะมีค่าเทา่ ใด 1. เพราะรับแสงไดใ้ นมมุ แคบ และเป็นภาพขยาย
1. 35 ํ 2. เพราะรับแสงได้ในมุมแคบ และได้ภาพเท่ากบั วตั ถุ
2. 45 ํ 3. เพราะรบั แสงได้ในมุมกวา้ ง มองเหน็ ทว่ั รา้ นไดภ้ าพเลก็ กว่าวัตถุ
3. 55 ํ 4. เพราะรับแสงไดใ้ นมุมกว้าง มองเหน็ เฉพาะหนา้ ร้าน ไดภ้ าพ
4. 65 ํ
เทา่ กับวัตถุ
4. เมื่อวางวัตถหุ นา้ กระจกเวา้ โดยใหร้ ะยะวัตถุนอ้ ยกว่าความ 8. ถา้ วางวตั ถไุ วร้ ะหว่างจุดศนู ยก์ ลางความโคง้ ของเลนสน์ นู กบั
ยาวโฟกัสภาพทเ่ี ห็นในกระจกเวา้ จะมลี ักษณะอย่างไร
1. ภาพจรงิ หัวกลับ ขนาดเลก็ กวา่ วัตถุ จดุ โฟกสั จะทำให้เกดิ ภาพชนดิ ใด
2. ภาพจรงิ หัวกลับ ขนาดใหญก่ ว่าวตั ถุ 1. ภาพจริงหวั กลบั ขนาดเทา่ กับวัตถุ
3. ภาพเสมอื น หัวตง้ั ขนาดเล็กกวา่ วัตถุ 2. ภาพเสมอื นหวั ตง้ั ขนาดเท่ากับวัตถุ
4. ภาพเสมือน หัวต้งั ขนาดใหญ่กว่าวตั ถุ 3. ภาพจรงิ หัวกลบั ขนาดเลก็ กวา่ วัตถุ
4. ภาพจริงหวั กลับ ขนาดใหญ่กวา่ วตั ถุ
9. แสงเคล่ือนที่จากตวั กลางท่ี 1 ไปยงั ตัวกลางที่ 2 ทำให้เกิด
การหกั เห ดังภาพ
ตัวกลางที่ 1
ตวั กลางที่ 2
จากภาพ ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ ง
1. ตัวกลางที่ 1 มีความหนาแน่นมากกวา่ ตวั กลางที่ 2
2. ตัวกลางที่ 1 มีความหนาแน่นน้อยกว่าตัวกลางที่ 2
3. ตัวกลางท่ี 1 และตัวกลางท่ี 2 มคี วามหนาแน่นเท่ากัน
4. การหักเหของแสงไมข่ ้นึ อยู่กบั ความหนาแน่นของ
ตัวกลาง
10. ความสมั พันธใ์ นข้อใดผิด
1. แวน่ ขยาย–เลนส์เว้า
2. กลอ้ งจลุ ทรรศน์–เลนสน์ ูน
3. กระจกสอ่ งฟันของทนั ตแพทย์–กระจกเวา้
4. กลอ้ งโทรทรรศนช์ นิดหกั เหแสง–เลนส์นูน
เฉลย 1. 2 2. 2 3. 1 4. 4 5. 2 6. 3 7. 3 8. 4 9. 2 10. 1
แบบทดสอบหลังเรยี น
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 7 แสงและการมองเห็น
คำชแ้ี จง : ใหน้ กั เรยี นเลือกคำตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. จากภาพ ถ้ามุม b = 45 ํ มมุ C จะมีค่าเท่าใด 6. สว่ นประกอบของตาที่ทำหน้าที่ปรบั ความสว่างของแสงคอื ขอ้ ใด
A PB 1. มา่ นตา
2. เลนสต์ า
a b cd 3. กระจกตา
O 4. จอประสาทตา
1. 35 ํ 7. แว่นขยายทำมาจากเลนสช์ นดิ ใด เพราะเหตุใดจึงต้องใช้เลนส์
ชนิดน้ัน
2. 45 ํ 1. เลนส์เวา้ เพราะให้ภาพจรงิ ขนาดขยาย
2. เลนส์นูน เพราะใหภ้ าพจริงขนาดขยาย
3. 55 ํ 3. เลนส์นูน เพราะให้ภาพเสมือนขนาดขยาย
4. เลนส์นนู เพราะใหภ้ าพเสมือนขนาดขยาย
4. 65 ํ
8. เม่อื วางวตั ถหุ น้ากระจกเวา้ โดยใหร้ ะยะวัตถุนอ้ ยกว่าความยาว
2. เม่ือแสงตกกระทบที่พ้ืนผิวขรุขระจะเปน็ อยา่ งไร โฟกัสภาพท่ีเหน็ ในกระจกเวา้ จะมลี ักษณะอย่างไร
1. ภาพจรงิ หวั กลบั ขนาดเล็กกว่าวัตถุ
1. มมุ ตกกระทบเทา่ กบั มมุ สะท้อน 2. ภาพจรงิ หวั กลับ ขนาดใหญก่ ว่าวัตถุ
3. ภาพเสมอื น หัวต้งั ขนาดเล็กกวา่ วัตถุ
2. มุมตกกระทบโตกว่ามุมสะท้อน 4. ภาพเสมอื น หัวตง้ั ขนาดใหญ่กวา่ วัตถุ
3. มุมสะทอ้ นโตกว่ามมุ ตกกระทบ 9. ข้อใดตอ่ ไปน้ีเกีย่ วขอ้ งกบั การหกั เหของแสง
1. รุง้ กินนำ้
4. รังสีสะท้อนเทา่ กับรังสีตกกระทบ 2. ส่องกระจกเงา
3. กระจกมองทางโคง้
3. การหักเหของแสงจะเบนมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับข้อใด 4. ทันตแพทยใ์ ชก้ ระจกส่องดูภายในชอ่ งปาก
1. สถานะของตัวกลาง 10. เพราะเหตุใด บรเิ วณสี่แยกในร้านขายของจงึ ตดิ กระจก
โค้งนนู ไว้
2. ดรรชนีหักเหของตวั กลาง 1. เพราะรบั แสงได้ในมุมแคบ และเป็นภาพขยาย
2. เพราะรับแสงไดใ้ นมมุ แคบ และได้ภาพเทา่ กับวตั ถุ
3. สถานะและความหนาแนน่ ของตวั กลาง 3. เพราะรบั แสงได้ในมุมกว้าง มองเหน็ ท่ัวร้านได้ภาพเลก็ กว่า
วัตถุ
4. ไมม่ ีขอ้ ใดถกู 4. เพราะรับแสงไดใ้ นมมุ กว้าง มองเหน็ เฉพาะหน้ารา้ น
ได้ภาพเท่ากับวัตถุ
4. เมือ่ วางวัตถุหา่ งจากเลนส์นูนเป็นระยะน้อยกว่าความยาว
โฟกสั ของเลนสจ์ ะเกิดภาพชนดิ ใด
1. ภาพจรงิ หัวกลบั ขนาดเล็กกวา่ วัตถุ
2. ภาพจรงิ หัวกลับ ขนาดใหญ่กวา่ วตั ถุ
3. ภาพเสมอื นหวั ต้ัง ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ
4. ภาพเสมือนหัวกลับ ขนาดเลก็ กว่าวตั ถุ
5. ยทุ ธต้องการให้แสงรวมกนั ทจ่ี ุดโฟกสั แต่เป็นการรวมแสง
กับอกี ดา้ นยุทธจะต้องใช้อุปกรณใ์ นข้อใด
1. เลนสน์ ูน 2. เลนสเ์ ว้า
3. กระจกนูน 4. กระจกเวา้
เฉลย 1. 2 2. 1 3. 2 4. 3 5. 1 6. 1 7. 3 8. 4 9. 1 10. 3
แบบประเมนิ ชิน้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด)
แบบประเมนิ ผลงานแผนผงั มโนทัศน์
คำชแ้ี จง : ใหผ้ ู้สอนประเมนิ ผลงาน/ชิน้ งานของนักเรียนตามรายการท่กี ำหนด แล้วขดี ✓ลงในช่องที่ตรงกบั
ระดบั คะแนน
ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ
4 3 21
1 ความสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคท์ กี่ ำหนด
2 ความถกู ต้องของเนอื้ หา
3 ความคดิ สร้างสรรค์
4 ความเปน็ ระเบียบ
รวม
ลงชือ่ ................................................... ผปู้ ระเมนิ
............../................./................
เกณฑ์ประเมินแผนผงั มโนทศั น์
ประเด็นท่ีประเมนิ 4 ระดับคะแนน 1
32
1. ผลงานตรงกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผ ล งานไม่ส อดค ล้อ ง
จุดประสงคท์ กี่ ำหนด จุดประสงคท์ กุ ประเดน็ จุดประสงคเ์ ปน็ สว่ นใหญ่ จดุ ประสงคบ์ างประเด็น กบั จดุ ประสงค์
2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถกู ต้องของเนอื้ หา ถกู ต้องครบถว้ น ถกู ตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ ถกู ตอ้ งเป็นบางประเดน็ ไมถ่ กู ตอ้ งเปน็ ส่วนใหญ่
3. ผลงานมีความคิด ผ ล งานแส ดงออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด
สรา้ งสรรค์ ค วามคิด ส ร้างส รรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก ใหม่
แ ป ล ก ให ม่ แ ล ะ เป็ น ใหม่
ระบบ
4. ผลงานมคี วามเป็น ผ ล ง า น มี ค ว า ม เป็ น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เป็ น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น
ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็ น ระเบี ยบ แต่ ยังมี ระเบียบแตม่ ีขอ้ บกพรอ่ ง ร ะ เบี ย บ แ ล ะ มี ข้ อ
ความประณีต ข้อบกพร่องเลก็ นอ้ ย บางส่วน บกพรอ่ งมาก
เกณฑก์ ารตัดสนิ คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ำกว่า 7 ปรบั ปรงุ
แบบประเมินการปฏิบตั ิกจิ กรรม
คำช้แี จง : ใหผ้ ู้สอนประเมนิ การปฏิบัติกจิ กรรมของนกั เรียนตามรายการที่กำหนด แลว้ ขีด ✓ ลงในชอ่ งที่ตรงกับ
ระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมนิ 4 ระดับคะแนน 1
32
1 การปฏิบัตกิ ารทำกิจกรรม
2 ความคล่องแคลว่ ในขณะปฏบิ ัติกจิ กรรม
3 การบนั ทึก สรุปและนำเสนอผลการทำกิจกรรม
รวม
ลงชือ่ ................................................... ผปู้ ระเมิน
................./................../..................
เกณฑก์ ารประเมนิ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรม
ประเดน็ ทป่ี ระเมิน ระดับคะแนน
1. การปฏิบตั ิ 432 1
กจิ กรรม ต้องให้ความชว่ ยเหลือ
ทำกจิ กรรมตามข้ันตอน ทำกจิ กรรมตามข้ันตอน ต้องใหค้ วามช่วยเหลือ อยา่ งมากในการทำ
2. ความ และใชอ้ ปุ กรณ์ได้อย่าง และใชอ้ ุปกรณ์ไดอ้ ย่าง บ้างในการทำกิจกรรม กิจกรรม และการใช้
คล่องแคล่ว ถกู ต้อง ถกู ตอ้ ง แตอ่ าจตอ้ ง และการใช้อุปกรณ์ อุปกรณ์
ในขณะปฏิบัติ ได้รบั คำแนะนำบา้ ง ทำกจิ กรรมเสรจ็ ไม่
กิจกรรม ทนั เวลา และทำ
มคี วามคล่องแคล่ว มีความคล่องแคลว่ ขาดความคลอ่ งแคลว่ อุปกรณ์เสียหาย
3. การบันทกึ สรุป ในขณะทำกจิ กรรมโดย ในขณะทำกิจกรรมแต่ ในขณะทำกิจกรรมจงึ
และนำเสนอผล ไมต่ อ้ งได้รับคำชี้แนะ ตอ้ งได้รบั คำแนะนำบ้าง ทำกจิ กรรมเสรจ็ ไม่ ตอ้ งให้ความช่วยเหลอื
การปฏิบตั ิ และทำกิจกรรมเสร็จ และทำกิจกรรมเสร็จ ทันเวลา อยา่ งมากในการบนั ทกึ
กิจกรรม ทันเวลา ทันเวลา สรปุ และนำเสนอผล
บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรปุ ผลการ ต้องให้คำแนะนำในการ การทำกจิ กรรม
ทำกจิ กรรมได้ถูกต้อง ทำกิจกรรมได้ถกู ต้อง บนั ทกึ สรปุ และ
รัดกุม นำเสนอผลการ แต่การนำเสนอผลการ นำเสนอผลการทำ
ทำกจิ กรรมเปน็ ขนั้ ตอน ทำกจิ กรรมยังไม่เปน็ กิจกรรม
ชัดเจน ขน้ั ตอน