บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 44 วิธีท า ปี นักท่องเที่ยว (x) ผู้โดยสาร (y) xy x 2 y 2 1 7 1.5 10.5 49 2.25 2 2 1.0 2 4 1 3 6 1.3 7.8 36 1.69 4 4 1.5 6 16 2.25 5 14 2.5 35 196 6.25 6 15 2.7 40.5 225 7.29 7 16 2.4 38.4 256 5.76 8 12 2.0 24 144 4 9 14 2.7 37.8 196 7.29 10 20 4.4 88 400 19.36 11 15 3.4 51 225 11.56 12 7 1.7 11.9 49 2.89 x = 132 y = 27.1 xy = 352.9 x 2 = 1,796 y 2 = 71.59 x = 132 12 = 11 y = 27.1 12 = 2.25 b = xy – n x y = 352.9 – 12 (11) (2.25) x 2 – n ( x 2 ) 1,796 – 12 (112 ) = 352.9 – 297 = 55.9 1,796 – 1,452 344 = 0.16 a = y – b x = 2.25 – 0.16 (11) = 2.25 – 1.76 = 0.49 ดังนั้น y = a + b x = 0.49 + 0.16 x ปีที่ 13 จ านวนนักท่องเที่ยว = 10 ล้านคน จ านวนผู้โดยสาร = 0.49 + 0.16 (10) = 0.49 + 1.60 = 2.09 ล้านคน 2. การวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร การวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร หรือการวัดค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเส้นตรงเป็น การวัดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และสามารถใช้วัดสมการที่ใช้ในการวิเคราะห์ว่ามีความ เหมาะสมกับข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้วัดหรือแสดงค่าความสัมพันธ์ระหว่างสองตัว แปรแต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปรว่ามีลักษณะ ความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางใด การวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรซึ่งใช้สัญลักษณ์ r แทนค่า ความสัมพันธ์โดยค่า จะมีค่าระหว่าง +1 ถึง –1 ลักษณะความสัมพันธ์ของเส้นตรงแสดงในรูปที่ 2.4
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 45 รูปที่ 2.6 แสดงลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร การค านวณหาค่า r สามารถใช้ข้อมูลเดียวกับการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเหตุผลที่ใช้ค่า a และ b ในตัวอย่างเดียวกัน จากสมการต่อไปนี้ r = n xy – (x) (y) สมการที่ 2.9 {n (x 2 ) - (x) 2 } {n (y 2 ) - (y)2 } ตัวอย่างที่ 2.8 การวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร จากตัวอย่างที่ 2.5 จงค านวณหาความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวแปรว่ามีความสัมพันธ์กันใน ทิศทางใด พร้อมทั้งอธิบายความหมายค่าความสัมพันธ์ที่ได้ วิธีท า xy = 352.9 x 2 = 1,796 x = 132 y = 27.1 x = 11 y = 2.25 a = 0.49 b = 0.16 y 2 = 71.59 x x x x x x 1) ค่า r = + 1 x x x x x x x x x x 2) ค่า 0 r 1 x x x x x x x x x x x 3) ค่า r = 0 x x x x x x 4) ค่า r = - 1
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 46 r = n xy – (x) (y) {n (x 2 ) - (x) 2 } {n (y 2 ) - (y)2 } = 12 (352.9) – (132) (27.1) {12 (1,796) - (132)2 } {12 (71.59) - (27.1)2 } = 4,234.8 – 3,577.2 {21,552 – 17,424} {859.08 – 734.41} = 657.6 {4,128} {124.67} = 657.6 514,637.76 = 657.6 = 0.9167 717.38 ค่า r ที่ค านวณได้เท่ากับ 0.9167 หมายความว่า จ านวนนักท่องเที่ยว (x) มีความสัมพันธ์เชิง บวกกับจ านวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินและรถยนต์โดยสารในกรุงเทพมหานคร (y) แสดงว่าจ านวน นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจะท าให้จ านวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินและรถยนต์โดยสารเพิ่มขึ้น และยัง หมายความว่าสมการที่ใช้ค านวณค่าพยากรณ์นี้มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือถึง 91% 3. การวัดค่าความผิดพลาดมาตรฐานการพยากรณ์เชิงเหตุผล การวัดค่าความผิดพลาดมาตรฐานการพยากรณ์เป็นการวัดค่าความแปรผันของการพยากรณ์ ด้วยวิธีการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเหตุผล ซึ่งการค านวณค่าความผิดพลาดมาตรฐานหรือเรียกว่า “การ วัดค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของการถดถอย” ในที่นี้แทนด้วยสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นการวัดค่าพยากรณ์ที่ ได้ว่ามีการเบี่ยงเบนไปจากค่าที่อาจเกิดขึ้นจริงเท่ากับเท่าใด ซึ่งสามารถค านวณได้จากสมการต่อไปนี้ Sy,x = y 2 – a y – b xy สมการที่ 2.10 n – 2 ตัวอย่างที่ 2.9 ความผิดพลาดมาตรฐานการพยากรณ์เชิงเหตุผล จากตัวอย่างที่ 2.5 จงหาค่าความผิดพลาดมาตรฐานการพยากรณ์เชิงเหตุผล วิธีท า xy = 352.9 x 2 = 1,796 x = 132 y = 27.1 x = 11 y = 2.25 a = 0.49 b = 0.16 y 2 = 71.59
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 47 Sy,x = y 2 – a y – b xy n – 2 = 71.59 – (0.49) (27.1) – 0.16 (352.9) 12 – 2 = 71.59 – 13.28 – 56.464 10 = 1.846 = 0.1846 10 = 0.43 (x 1,000,000) = 430,000 คน ดังนั้นค่าความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการพยากรณ์ไว้ 2.09 ล้านคน เท่ากับ 0.43 ล้านคน หรือประมาณ 430,000 คน ค่าพยากรณ์ที่แท้จริงประมาณ 1.66 ล้านคน (1,660,000 คน) 4. การวิเคราะห์ถดถอยเชิงเหตุผลเชิงซ้อน (Multiple Regression Analysis) การพยากรณ์โดยการวิเคราะห์ถดถอยเชิงซ้อนจะน ามาใช้ในกรณีที่มีจ านวนตัวแปรที่ใช้ใน การพยากรณ์ร่วมกันหลายตัวแปร หรือมีตัวแปรอิสระมากกว่า 1 ตัวแปรขึ้นไป ซึ่งสามารถค านวณได้ โดยการสร้างตัวแปรอิสระขึ้นมาหลายตัว เช่น ยอดขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านอาจขึ้นอยู่กับจ านวน การแต่งงาน การก่อสร้างบ้านใหม่ รายได้ของบุคคลและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ เมื่อระบุตัวแปร ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องได้จะสามารถสร้างสมการถดถอยเชิงซ้อนได้ดังนี้ y = a + b1x1 + b2x2 + b3x3 + b4x4 + … + bnxn สมการที่ 2.11 โดย y = ยอดขายต่อปี a = ค่าคงที่ x1 = การแต่งงานในรอบ 1 ปี x2 = การก่อสร้างบ้านใหม่ในรอบ 1 ปี x3 = รายได้ของบุคคล x4 = แนวโน้มทางเศรษฐกิจ (ปีแรก=1 ปีที่สอง=2 ปีที่สาม=3 และปีที่สี่=4) ค่า b1 b2 b3 และ b4 คือ ค่าความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระที่ส่งผลต่อยอดขายที่ต้องการ พยากรณ์ ในที่นี้ คือ จ านวนของการแต่งงาน การก่อสร้างบ้านใหม่ รายได้ และแนวโน้มทางเศรษฐกิจ การพยากรณ์ถดถอยเชิงเหตุผลเชิงซ้อนจะสามารถค านวณตัวแปรอิสระที่มีอิทธิพลต่อตัวแปร ตามได้ทีละหลายๆตัว ซึ่งบางครั้งอาจเกิดความยุ่งยากและท าให้การพยากรณ์เกิดความผิดพลาดได้ ซึ่ง เป็นผลมาจากการค านวณทางคณิตศาสตร์ ในปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้มาตรฐานและ สามารถใช้วิเคราะห์การถดถอยเชิงซ้อนได้ รวมทั้งช่วยลดความยุ่งยากและความซับซ้อนในการ ค านวณด้วยมือ
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 48 ตัวอย่างที่ 2.10 การวิเคราะห์ถดถอยแบบเหตุผลเชิงซ้อน ฝ่ายบัญชีของวิทยาลัยมิชชันต้องการก าหนดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้บริหาร โดยฝ่าย บัญชีได้จัดเก็บข้อมูลจากฝ่ายการเงินในปีที่ผ่านมาจ านวน 200 รายการ หลังจากนั้นฝ่ายบัญชีจึงได้ พัฒนาสมการการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเหตุผลเชิงซ้อนขึ้นจากข้อมูลต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับการ เดินทาง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง (y) มาจากจ านวนวันในการเดินทาง (x1 ) และระยะทางในการ เดินทาง (x2 ) เป็นกิโลเมตร ดังนี้ y = 3,600 + 1,940 x1 + 16 x2 สมการที่ 2.12 ถ้าผู้บริหารกลับจากการเดินทางระยะทาง 300 กิโลเมตรใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 วัน ค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในการเดินทางครั้งนี้เท่ากับเท่าใด วิธีท า y = 3,600 + 1,940 (5) + 16 (300) = 3,600 + 9,700 + 4,800 ค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง = 18,100 บาท 2.5 การตรวจสอบและควบคุมความถูกต้องของการพยากรณ์ การตรวจสอบและควบคุมความถูกต้องของการพยากรณ์จะเกิดขึ้นหลังจากการพยากรณ์ เสร็จสิ้นแล้ว การตรวจสอบและควบคุมเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของการพยากรณ์กับความ ต้องการที่เกิดขึ้นจริงว่ามีความแตกต่างจากที่ได้พยากรณ์ไปเท่าใด วิธีการตรวจสอบเบื้องต้นเรียกว่า “การวัดค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์ (Measuring Forecast Error)” 1. การวัดค่าความผิดพลาด (Measuring Forecast Error) ค าว่า “ความผิดพลาด (Error)”คือ ความแตกต่างระหว่างค่าพยากรณ์ที่ได้จากการค านวณและ ค่าที่เกิดขึ้นจริง ในทางสถิติความผิดพลาดนี้ถูกเรียกว่า “ส่วนเกิน (Residuals)” ในความเป็นจริงความ ต้องการผลิตภัณฑ์เกิดจากปัจจัยที่มีความซับซ้อน ดังนั้นในการพยากรณ์จึงต้องเลือกใช้วิธีการพยากรณ์ ด้วยความระมัดระวังเพราะวิธีการพยากรณ์ทั้งหมดจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอ การวัดค่าความ ผิดพลาดสามารถวัดได้จากการน าค่าที่เกิดขึ้นจริงเปรียบเทียบกับค่าพยากรณ์ ซึ่งวิธีการวัดค่าความ ผิดพลาดที่นิยมใช้ มี 3 วิธี คือ 1) ค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ (Mean Absolute Deviation: MAD) เป็นวิธีการ ค านวณค่าความผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างค่าพยากรณ์และค่าที่เกิดขึ้นจริง วิธีนี้ค านวณได้จาก การหาค่าผลรวมของค่าสัมบูรณ์ของความผิดพลาดในการพยากรณ์และหารด้วยจ านวนของช่วงเวลา สมการที่ใช้ค านวณหาค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ คือ ค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ = I ค่าที่แท้จริง – ค่าพยากรณ์I สมการที่ 2.13 จ านวนของระยะเวลา (n) หรือ ค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ = I ค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์I จ านวนของระยะเวลา (n)
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 49 ตัวอย่างที่ 2.11 การค านวณค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ จากตัวอย่างการพยากรณ์ด้วยวิธีการปรับเปรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียลในตัวอย่างที่ 2.3 หน้า 36 จงวัดค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์โดยค านวณหาค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ วิธีท า เดือน ความต้องการจริง ค่าพยากรณ์ = 0.3 ค่าเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ = 0.3 ค่าพยากรณ์ = 0.8 ค่าเบี่ยงเบน สัมบูรณ์ = 0.8 1 31 30 (31 – 30) = 1 30 (31 – 30) = 1 2 34 30.3 = 31 (34 – 31) = 3 30.8 = 31 (34 – 31) = 3 3 33 31.41 = 32 (33 – 32) = 1 33.36 = 34 (33 – 34) = 1 4 35 31.89 = 32 (35 – 32) = 3 33.07 = 34 (35 – 34) = 1 5 37 32.86 = 33 (37 – 33) = 4 34.62 = 35 (37 – 35) = 2 6 36 34.09 = 35 (36 – 35) = 1 36.53 = 37 (36 – 37) = 1 7 38 34.67 = 35 (38 – 35) = 3 36.10 = 37 (38 – 37) = 1 8 40 35.67 = 36 (40 – 36) = 4 37.62 = 38 (40 – 38) = 2 9 40 36.92 = 37 (40 – 37) = 3 39.53 = 40 (40 – 40) = 0 10 41 37.88 = 38 (41 – 38) = 3 39.91 = 40 (41 – 40) = 1 26 13 ค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ = I ค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์I จ านวนของระยะเวลา (n) = 0.3 = 26 10 = 2.6 = 0.8 = 13 10 = 1.3 จากการค านวณค่า MAD ของ = 0.3เท่ากับ 2.6 และ = 0.8 เท่ากับ 1.3 หมายความว่าค่า = 0.8 ดีกว่า = 0.3 เพราะมีค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์น้อยกว่า 2) ค่าเฉลี่ยความผิดพลาดยกก าลังสอง (Mean Squared Error: MSE) เป็นวิธีการ ค านวณหาค่าความผิดพลาดระหว่างค่าพยากรณ์และค่าที่เกิดขึ้นแล้วน ามายกก าลังสอง ค่าเฉลี่ยความ ผิดพลาดก าลังสอง (MSE) จะมีความเหมาะสมหรือไม่ขึ้นอยู่ค่าความผิดพลาดของแต่ละค่า แต่ โดยทั่วไปค่า MSE ที่น้อยที่สุดจะเป็นค่าที่ดีที่สุด การหาค่าเฉลี่ยความผิดพลาดยกก าลังสองสามารถ หาได้จากสมการต่อไปนี้ ค่าเฉลี่ยความผิดพลาดยกก าลังสอง = (ค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์) 2 สมการที่ 2.14 จ านวนของระยะเวลา (n)
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 50 ตัวอย่างที่ 2.12 การค านวณค่าเฉลี่ยความผิดพลาดยกก าลังสอง จากตัวอย่างการพยากรณ์ด้วยวิธีการปรับเปรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียลในตัวอย่างที่ 2.3 หน้า 36 จงวัดค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์โดยค านวณหาค่าเฉลี่ยความผิดพลาดยกก าลังสอง วิธีท า เดือน ความต้องการ จริง ค่าพยากรณ์ = 0.3 ค่าผิดพลาดยกก าลัง สอง = 0.3 ค่าพยากรณ์ = 0.8 ค่าผิดพลาดยกก าลัง สอง = 0.8 1 31 30 31 – 30 = 12 = 1 30 (31 – 30) = 12 = 1 2 34 30.3 = 31 (34 – 31) = 32 = 9 30.8 = 31 (34 – 31) = 32 = 9 3 33 31.41 = 32 (33 – 32) = 12 = 1 33.36 = 34 (33 – 34) = -1 2 = 1 4 35 31.89 = 32 (35 – 32) = 32 = 9 33.07 = 34 (35 – 34) = 12 = 1 5 37 32.86 = 33 (37 – 33) = 42 = 16 34.62 = 35 (37 – 35) = 22 = 4 6 36 34.09 = 35 (36 – 35) = 12 = 1 36.53 = 37 (36 – 37) = -1 2 = 1 7 38 34.67 = 35 (38 – 35) = 32 = 9 36.10 = 37 (38 – 37) = 12 = 1 8 40 35.67 = 36 (40 – 36) = 42 = 16 37.62 = 38 (40 – 38) = 22 = 4 9 40 36.92 = 37 (40 – 37) = 32 = 9 39.53 = 40 (40 – 40) = 02 = 0 10 41 37.88 = 38 (41 – 38) = 32 = 9 39.91 = 40 (41 – 40) = 12 = 1 80 23 ค่าเฉลี่ยความผิดพลาดยกก าลังสอง = (ค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์) 2 จ านวนของระยะเวลา (n) = 0.3 = 80 10 = 8.0 = 0.8 = 23 10 = 2.3 จากการค านวณค่าความผิดพลาดก าลังสอง MSE ของ = 0.3 เท่ากับ 8.0 และ = 0.8 เท่ากับ 2.3 หมายความว่าค่า = 0.8 ดีกว่า = 0.3 เพราะมีค่าเฉลี่ยความผิดพลาดยกก าลังสองน้อย กว่า 3) ค่าเฉลี่ยความผิดพลาดสัมบูรณ์ในรูปของเปอร์เซ็นต์ (Mean Absolute Percent Error: MAPE) เป็นการค านวณค่าเฉลี่ยของความแตกต่างระหว่างค่าพยากรณ์และค่าที่เกิดขึ้นโดย การค านวณหาค่าสัมบูรณ์ในรูปของเปอร์เซ็นต์ของค่าที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งสามารถหาได้จากสมการต่อไปนี้ MAPE = 100 ค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์ สมการที่ 2.15 ค่าที่เกิดขึ้นจริง จ านวนของระยะเวลา
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 51 ตัวอย่างที่ 2.13 การค านวณความผิดพลาดสัมบูรณ์ในรูปของเปอร์เซ็นต์ จากตัวอย่างการพยากรณ์ด้วยวิธีการปรับเปรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียลในตัวอย่างที่ 2.3 หน้า 36 จงวัดค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์โดยค านวณหาค่าความผิดพลาดสัมบูรณ์ในรูปของ เปอร์เซ็นต์ วิธีท า เดือน ความต้องการ จริง ค่าพยากรณ์ = 0.3 ค่าผิดพลาดในรูป % = 0.3 ค่าพยากรณ์ = 0.8 ค่าผิดพลาดในรูป % = 0.8 1 31 30 (131) x 100 = 3.23 30 (131) x 100 = 3.23 2 34 30.3 = 31 (334) x 100 = 8.83 30.8 = 31 (334) x 100 = 8.83 3 33 31.41 = 32 (133) x 100 = 3.03 33.36 = 34 (133) x 100 = 3.03 4 35 31.89 = 32 (335) x 100 = 8.58 33.07 = 34 (135) x 100 = 2.86 5 37 32.86 = 33 (437) x 100 = 10.81 34.62 = 35 (237) x 100 = 5.41 6 36 34.09 = 35 (136) x 100 = 2.78 36.53 = 37 (136) x 100 = 2.78 7 38 34.67 = 35 (338) x 100 = 7.90 36.10 = 37 (138) x 100 = 2.64 8 40 35.67 = 36 (440) x 100 = 10.00 37.62 = 38 (240) x 100 = 5.00 9 40 36.92 = 37 (340) x 100 = 7.50 39.53 = 40 (040) x 100 = 0 10 41 37.88 = 38 (341) x 100 = 7.32 39.91 = 40 (141) x 100 = 2.44 69.98 36.22 MAPE = 100 ค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์ ค่าที่เกิดขึ้นจริง จ านวนของระยะเวลา = 0.3 = 69.98 10 = 7.00 = 0.8 = 32.62 10 = 3.63 จากการค านวณค่า MAPE ของ = 0.3 เท่ากับ 6.94 และ = 0.8 เท่ากับ 4.53 หมายความ ว่าค่า = 0.8 ดีกว่า = 0.3 เพราะมีความผิดพลาดสัมบูรณ์ในรูปของเปอร์เซ็นต์จะน้อยกว่า ดังนั้นโดยสรุปแล้วจากตัวอย่างที่ 2.3 แสดงว่าการค านวณค่าพยากรณ์โดยใช้ = 0.8จะท า ให้ค่าความผิดพลาดในการพยากรณ์เกิดขึ้นน้อยกว่า = 0.3 หรือหมายความว่าค่า = 0.8 เป็นค่าคงที่ ที่มีความเหมาะสมมากกว่า 2. การตรวจสอบความแม่นย า (Tracking Signal) ค่าความแม่นย า (Tracking Signal) เป็นการวัดความถูกต้องแม่นย าของการพยากรณ์ ซึ่งการ พยากรณ์ค่าความต้องการอาจต้องท าอย่างสม่ าเสมอตลอดเวลาและต่อเนื่อง เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือทุกไตรมาส เพื่อน าข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงมาเปรียบเทียบกับค่าพยากรณ์ที่ได้ ผลของการตรวจสอบ ความแม่นย าจะท าให้ได้ค่าการตรวจสอบอยู่ 2 รูปแบบ คือ
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 52 (1) ค่าความแม่นย าเป็นบวก (Positive) หมายความว่า ค่าความต้องการที่เกิดขึ้นจริงมีค่า มากกว่าค่าพยากรณ์ (2) ค่าความแม่นย าเป็นลบ (Negative) หมายความว่า ค่าความต้องการที่เกิดขึ้นจริงมีค่า น้อยกว่าค่าพยากรณ์ ค่าความแม่นย าเป็นการวัดว่าวิธีการพยากรณ์ที่น ามาใช้มีความถูกต้องในการพยากรณ์ความ ต้องการตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ค่าความแม่นย าหมายถึงค่าเฉลี่ยการเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ (MAD) ที่อธิบายถึงผลรวมของค่าความผิดพลาดในการพยากรณ์สะสม (Cumulative sum of Forecast Error: CFE) แนวโน้มของค่าความผิดพลาดในการพยากรณ์สะสม (CFE) จะอยู่ระหว่าง 0 เมื่อระบบการ พยากรณ์ที่ใช้อยู่มีความถูกต้อง ดังนั้นผู้พยากรณ์จะต้องพยายามเลือกใช้วิธีการพยากรณ์ที่จะท าให้ค่า ความแม่นย าที่เป็นบวกมีค่าเท่ากับค่าความแม่นย าที่เป็นลบให้มากที่สุด หรือท าให้มีค่าเบี่ยงเบนเกิดขึ้น เพียงเล็กน้อย หมายความว่าค่าความผิดพลาดเป็นค่าบวกและค่าลบสมดุลกัน คือ มีค่าอยู่ใกล้ 0 มาก ที่สุดสมการของการหาค่าความแม่นย ามีดังนี้ ค่าความแม่นย า = CFE สมการที่ 2.16 MAD ค่าเฉลี่ยความเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ (MAD) สามารถค านวณได้จากวิธีใดวิธีหนึ่งในสองวิธีนี้ (1) ค่าเฉลี่ยอย่างง่ายจากค่าความผิดพลาดสัมบูรณ์ (แสดงให้เห็นจากการค านวณหาค่าความ เบี่ยงเบนสัมบูรณ์ (MAD) และค่าเฉลี่ยความผิดพลาดสัมบูรณ์ในรูปของเปอร์เซ็นต์ (MAPE) (2) ค่าเฉลี่ยของน้ าหนักที่เป็นค่าความผิดพลาดในการพยากรณ์สะสม (CFE) ที่มาจากวิธีการ ปรับเรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียล การค านวณหาค่าความแม่นย าสามารถน ามาใช้เปรียบเทียบเพื่อประกอบการตัดสินใจ การ ควบคุมค่าความแม่นย าอาจมีค่าสูงหรือค่าต่ ากว่าขีดจ ากัด ซึ่งอาจมาจากปัญหาของการเลือกใช้วิธีการ พยากรณ์ ดังนั้นผู้พยากรณ์จะต้องประเมินความถูกต้องการของวิธีการพยากรณ์ รูปที่ 2.7 ข้างล่างนี้ แสดงแผนภูมิการตรวจสอบค่าความแม่นย า ขอบเขตการควบคุมด้านบน (Upper Control Limit) ค่าความแม่นย า 0 MADs ช่วงที่สามารถยอมรับได้ (Acceptable Range) ขอบเขตการควบคุมด้านล่าง (Lower Control Limit) ช่วงเวลา รูปที่ 2.7 แผนภูมิตรวจสอบความแม่นย า
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 53 ตัวอย่างที่ 2.14 การค านวณค่าความแม่นย า ข้อมูลในตารางต่อไปนี้ จงค านวณค่าความแม่นย าของการพยากรณ์ วิธีท า เดือน ความ ต้องการจริง ค่า พยากรณ์ ความ ผิดพลาด CFE ความผิดพลาด ที่พยากรณ์ ความผิดพลาดจาก การพยากรณ์สะสม MAD สะสม ค่าความแม่นย า 1 120 125 -5 -5 5 5 51 = 5.0 -5 5.0 = -1.0 2 123 120 3 -2 3 8 82 = 4.0 -2 4.0 = -0.5 3 115 125 -10 -12 10 18 183 = 6.0 -12 6.0 = -2.0 4 118 110 8 -4 8 26 264 = 6.5 -4 6.5 = -0.6 5 122 120 2 -2 2 28 285 = 5.6 -2 5.6 = -0.4 6 120 125 -5 -7 5 33 336 = 5.5 -7 5.5 = -1.3 7 116 118 -2 -9 2 35 357 = 5.0 -9 5.0 = -1.8 8 112 110 2 -7 2 37 378 = 4.6 -7 4.6 = -1.5 9 119 115 4 -3 4 41 419 = 4.6 -3 4.6 = -0.7 10 125 120 5 2 5 46 4610 = 4.6 2 4.6 = 0.4 ค่าเฉลี่ยเบี่ยงเบนสัมบูรณ์สะสม (MAD สะสม) = |A t – F t | n หรือ = ความผิดพลาดสะสมจากการพยากรณ์ของแต่ละช่วงเวลา ช่วงเวลา เช่น ค่า MAD สะสมของช่วงเวลาที่ 10 = 46 10 = 4.6 ค่าความแม่นย า = CFE MAD = 2 4.6 = +0.4 MADs ค่าความแม่นย านี้อยู่ภายใต้ขอบเขตที่ยอมรับได้ คือ ค่ามีการเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยเบี่ยงเบน สัมบูรณ์ (MAD) อยู่ระหว่าง – 2.00 ถึง + 0.4
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 54 รูปที่ 2.8 แผนภูมิค่าความแม่นย าของการพยากรณ์ 2.6 การพยากรณ์โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ Collaborative Planning, Forecasting, and Replenishment: CPFR โปรแกรม Collaborative Planning, Forecasting, and Replenishment: CPFR เกิดขึ้นใน ปี 1995 เป็นโปรแกรมที่วิวัฒนาการมาจากเครื่องมือ web – based น ามาใช้เพื่อประสานกิจกรรมการ พยากรณ์ การวางแผนจัดซื้อ การผลิต และการจัดการสินค้าคงเหลือระหว่างหุ้นส่วนการค้าที่มีการ ด าเนินงานเป็นเครือข่าย ระบบ CPFR ที่น ามาใช้จะมีการผสมผสานระหว่างผู้ขายภายในเครือข่าย รวมถึงผู้ผลิต ผู้จัดจ าหน่าย และผู้ค้าปลีก ดังแสดงในรูป 2.9 เป็นแนวความคิดการร่วมมือในการใช้ ระบบ CPFR ซึ่งจะช่วยพยากรณ์ความต้องการ ขอบเขตควบคุมบน = 0.4 ขอบเขตควบคุมล่าง = - 2.00ช่วงที่สามารถยอมรับได้
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 55 ผู้ขาย ผู้ขาย ผู้ขาย ผู้ขาย การแปรสภาพ ศูนย์กระจาย ผู้ค้าปลีก ระดับชั้นที่ n ระดับชั้นที่ 3 ระดับชั้นที่ 2 ระดับชั้นที่ 1 และการประกอบขั้นสุดท้าย สินค้า การวางแผนการผลิต การเติมเต็มการพยากรณ์ และสารสนเทศด้านการจัดซื้อ ที่มาปรับปรุงจาก (Richard et al. 2004, p. 498) รูปที่ 2.9 แนวความคิดของการใช้ระบบ CPFR วัตถุประสงค์ของระบบ CPFR คือ เพื่อแลกเปลี่ยนและคัดเลือกสารสนเทศภายในที่เกิดจาก การแบ่งปันข้อมูลที่มาจาก Web Server โดยใช้ค าสั่งที่มีการจัดเตรียมไว้ที่เชื่อถือได้ การน าระบบ CPFR มาใช้จะเกิดผลประโยชน์ในระยะยาวหรือในอนาคตจากแนวความคิดการจัดการความต้องการ ภายในเครือข่าย วิธีการใช้ CPFR จะมีลักษณะเหมือนวงจรที่เกิดขึ้นซ้ าๆเพื่อขับเคลื่อนการพยากรณ์ ภายในเครือข่ายซึ่งได้รับสารสนเทศมาจากความคิดเห็นของบุคคลภายในเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วย ขั้นตอนส าคัญ 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 สร้างข้อตกลงร่วมกันกับหุ้นส่วนทางธุรกิจทั้งหมด ข้อตกลงร่วมกันนี้จะครอบคลุม หัวข้อต่อไปนี้ (1) วัตถุประสงค์ที่จะได้รับจากการร่วมมือ (เช่น การลดปริมาณสินค้าคงเหลือ) (2) ทรัพยากรที่จ าเป็น (เช่น Hardware หรือ Software) (3) ข้อตกลงเกี่ยวกับความลับของข้อมูลที่มีความจ าเป็นและความเชื่อถือในการปฏิบัติงาน ร่วมกัน การแบ่งปันสิ่งที่เป็นความลับเกี่ยวกับสารสนเทศของบริษัท ในบางครั้งอาจเป็นอุปสรรค ขัดขวางในการปฏิบัติงานของระบบ CPER ได้ ขั้นที่ 2 วางแผนธุรกิจร่วมกัน หุ้นส่วนจะสร้างและออกแบบกลยุทธ์หุ้นส่วน (Partnership Strategy) ร่วมกันโดยก าหนดลักษณะการท างานที่มีความส าคัญและมีความต่อเนื่องกันตามตาราง การท างาน เพื่อวางแผนกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติซึ่งบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อการไหลของผลิตภัณฑ์ และลักษณะเฉพาะเพื่อการวางแผนและการควบคุมความผันแปรระหว่างการพยากรณ์ความต้องการ ของหุ้นส่วนการค้า ขั้นที่ 3 พัฒนาการพยากรณ์ความต้องการ พัฒนาการพยากรณ์โดยอาจจะปฏิบัติตาม ขั้นตอนตามกระบวนการของบริษัท ผู้ค้าปลีกจะต้องด าเนินงานตามเกณฑ์ที่ก าหนดเพื่ออนุญาตให้ ผู้ผลิตสามารถใช้ข้อมูล ณ จุดขาย (Point of Sale: POS) เพื่อพัฒนาให้เกิดความแม่นย าและ เหมาะสมกับเวลาที่คาดหวังมากที่สุด (เปรียบเทียบกับการดึงสินค้าคงเหลือจากคลังสินค้าหรือค า สั่งซื้อทั้งหมดจากร้านค้า) ทั้งผู้ค้าปลีกและผู้ขายจะส่งค่าพยากรณ์ที่ได้รับของรายการทั้งหมดที่ ต้องการเพื่อจัดท าการพยากรณ์ หลังจากนั้นน าวิธีการพยากรณ์อย่างง่าย เช่น การหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ แบบธรรมดาโดยใช้ระบบ CPFR วิธีการพยากรณ์โดยใช้เทคนิคอย่างง่ายจะถูกน ามาใช้ร่วมกับความรู้ และความเชี่ยวชาญของบุคลากรที่มีอยู่เพื่อรณรงค์ด้านการส่งเสริมการตลาด หรือการตั้งราคาเพื่อ ปรับเปลี่ยนค่าพยากรณ์ให้มีความสอดคล้อง
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 56 ขั้นที่ 4 แบ่งปันการพยากรณ์ผู้ค้าปลีก (พยากรณ์การจัดซื้อ) และผู้ขาย (พยากรณ์ ยอดขาย) ดังนั้นสามารถแจ้งค่าพยากรณ์ล่าสุดโดยใช้คอมพิวเตอร์เพื่อระบุรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ ที่มาจากการแบ่งปันข้อมูลและจากการใช้ Server ร่วมกัน การตรวจสอบ Server ที่น ามาใช้เป็น เหมือนคู่สายของการพยากรณ์ ปัญหาของการคาดการณ์เกี่ยวกับการแจ้งค่าพยากรณ์บางครั้งอาจมี ความแตกต่างมากเกิน นักวางแผนจากทั้งสองบริษัทอาจจะร่วมมือกันปรับเปลี่ยนค่าพยากรณ์โดยผ่าน คอมพิวเตอร์ที่ได้รับเพื่อพยากรณ์ตามความคิดเห็นที่ตกลงร่วมกัน ขั้นที่ 5 การเติมเต็มสินค้าคงเหลือ ค่าพยากรณ์ที่เหมือนกันเกิดจากข้อตกลงร่วมกัน การ พยากรณ์ค าสั่งซื้อจะกลายเป็นค าสั่งซื้อที่เกิดขึ้นจริงและน าไปสู่การเริ่มต้นของกระบวนการเติมเต็ม สินค้าคงเหลือ แต่ละขั้นตอนจะมีการกระท าแบบซ้ าๆที่เป็นวงจรอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาที่ หลากหลาย โดยแต่ละผลิตภัณฑ์และเหตุการณ์ตามตารางการท างานจะถูกสร้างขึ้นระหว่างหุ้นส่วน ทางธุรกิจ การพัฒนาระบบการพยากรณ์ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย แต่เป็นสิ่งที่ต้องท าเพราะการพยากรณ์เป็น พื้นฐานของความพยายามในการวางแผน การพยากรณ์ในระยะสั้นจ าเป็นต้องมีการพยากรณ์เกี่ยวกับ ความต้องการวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ การบริการ หรือทรัพยากรเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่มีการ เปลี่ยนแปลง การพยากรณ์จะต้องมีการปรับปรุงตารางการปฏิบัติงาน แรงงานและวัตถุดิบอย่าง หลากหลาย การพยากรณ์ในระยะยาวเป็นสิ่งจ าเป็นและเป็นพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่ใช้ ในการปฏิบัติการ เช่น การพัฒนาตลาดใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ และการขยายหรือ สร้างสิ่งอ านวยความสะดวกขนาดใหญ่ การพยากรณ์ระยะสั้นและระยะปานกลาง (เช่น การควบคุมสินค้าคงเหลือ หรือตารางการ ท างานของพนักงานและแรงงาน) สามารถน าวิธีการพยากรณ์อย่างง่ายมาใช้ เช่น การปรับเปรียบแบบ เอ็กซโพเนนเชียลซึ่งบางครั้งอาจต้องมีการปรับปรุงคุณลักษณะและดัชนีฤดูกาล หรือบางครั้งอาจ จ าเป็นต้องใช้ข้อมูลเป็นจ านวนมาก (ร้อยหรือพันรายการ) เพื่อใช้ในการพยากรณ์ การพยากรณ์ ประจ าวันที่ต้องท าจะต้องง่ายและรวดเร็วซึ่งอาจใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว การ พยากรณ์ประจ าวันจะต้องสามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาสั้นตาม ความต้องการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ควบคุมการพยากรณ์จะต้องมีการตรวจสอบและควบคุม ค่าคงที่ที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าพยากรณ์ ระบบการพยากรณ์แบบการร่วมมือกันผ่าน Web – based ที่น ามาใช้เพื่อพยากรณ์ความ ต้องการร่วมกันเป็นการพยากรณ์ด้วยวิธีการแบบใหม่ซึ่งหลายๆอุตสาหกรรมน ามาใช้ โดยมีการ แบ่งปันสารสนเทศระหว่างหุ้นส่วนการค้าด้วยกันเพื่อเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) คือระบบจัดการทรัพยากรภายในองค์การ โดยระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลในการ ปฏิบัติงานทุกส่วนภายในองค์การและยังสามารถเชื่อมโยงกับระบบภายนอกองค์การได้ เช่น ลูกค้า ผู้ขายปัจจัยการผลิต คู่ค้า ตัวแทนจ าหน่าย ฯลฯ) ของแต่ละบริษัทเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว สารสนเทศ ไม่มีความผิดพลาด และมีต้นทุนต่ าสุด
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 57 สรุป การพยากรณ์ คือ การคาดคะเนและประเมินความต้องการในอนาคตอย่างมีศิลปะ ตาม เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อใช้ในการวางแผน ลักษณะของการพยากรณ์ที่ดี คือ ต้อง เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา มีความถูกต้องและแม่นย า มีความน่าเชื่อถือ ควรให้ค่าพยากรณ์ออกมา อย่างชัดเจนในรูปของหน่วยที่น ามาใช้ได้ สามารถจัดท าเป็นรายงาน และง่ายแก่การเข้าใจและ น าไปใช้ การพยากรณ์สามารถด าเนินงานได้ 6 ขั้นตอน คือ 1) ก าหนดวัตถุประสงค์ของการพยากรณ์ 2) ระบุช่วงเวลาที่ต้องการพยากรณ์ 3) เลือกเทคนิคที่ต้องการใช้ในการพยากรณ์ 4) รวบรวมและ วิเคราะห์ข้อมูลที่สัมพันธ์กัน 5) ด าเนินการพยากรณ์ และ 6) ตรวจสอบค่าพยากรณ์ที่ได้ เทคนิคของ การพยากรณ์แบ่งออกเป็น 4 วิธี คือ เทคนิคเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์อนุกรมเวลา การพยากรณ์แบบ เหตุและผล และตัวแบบจ าลอง การพยากรณ์โดยใช้ข้อมูลอนุกรมเวลาเป็นการพยากรณ์จากข้อมูลที่วัดผลในอดีตที่เกิดขึ้น อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่มีระยะห่างสม่ าเสมอ ข้อมูลอนุกรมเวลามีลักษณะเป็นแนวโน้ม ฤดูกาล วงจร การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปกติ และการเปลี่ยนแปลงเชิงสุ่ม การวิเคราะห์อนุกรมเวลามีทั้งหมด 6 วิธี วิธีการอย่างง่าย การหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย การหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ าหนัก การปรับ เรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียล การวิเคราะห์ค่าถดถอย และ การวิเคราะห์ข้อมูลตามฤดูกาล การพยากรณ์โดยเทคนิคเชิงคุณภาพเป็นการพยากรณ์โดยใช้การตัดสินใจที่มาจาก ความรู้สึก ความรู้ ประสบการณ์ ความคิดเห็น และอารมณ์ของผู้พยากรณ์ที่ใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลหรือกลุ่ม บุคคลเพื่อคาดการณ์เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต มีทั้งหมด 4 วิธี คือ การคาดการณ์จาก พนักงานขาย การวิจัยตลาด ความคิดเห็นของผู้บริหาร และวิธีเดลไฟ วิธีการพยากรณ์ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลจะพิจารณาจากตัวแปรหลายตัวแปร ทั้งตัวแปรอิสระ และตัวแปรตาม แบ่งออกเป็น 1) การวิเคราะห์ถดถอยเชิงเหตุผลจะใช้สมการก าลังสองน้อยที่สุดซึ่งจะ เหมือนกับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล 2) การวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และ 3) การวัดค่าความผิดพลาดมาตรฐานการพยากรณ์เชิงเหตุผล นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ถดถอยเชิง เหตุผลเชิงซ้อนถูกน ามาใช้ในกรณีที่มีจ านวนตัวแปรที่ใช้ในการพยากรณ์ร่วมกันหลายตัวแปร การตรวจสอบและควบคุมความถูกต้องของการพยากรณ์จะเกิดขึ้นหลังจากการพยากรณ์ เสร็จสิ้น วิธีการตรวจสอบเบื้องต้นเรียกว่า การวัดค่าความผิดพลาดของการพยากรณ์ คือ การวัดค่า ความแตกต่างระหว่างค่าพยากรณ์ที่ได้จากการค านวณและค่าที่เกิดขึ้นจริงมี 3 วิธี คือ การหาค่าเฉลี่ย การเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ การหาค่าเฉลี่ยความผิดพลาดยกก าลังสอง และการหาค่าเฉลี่ยความผิดพลาด สัมบูรณ์ในรูปของเปอร์เซ็นต์ การตรวจสอบความแม่นย าจะได้ค่าอยู่ 2 รูปแบบ คือ ค่าความแม่นย า เป็นบวกและค่าความแม่นย าเป็นลบ นอกจากนี้ยังมีการพยากรณ์โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ Collaborative Planning, Forecasting, and Replenishment (CPFR) น ามาใช้เพื่อประสานกิจกรรมการพยากรณ์ การ วางแผนจัดซื้อ การผลิต และการจัดการสินค้าคงเหลือระหว่างหุ้นส่วนการค้าที่มีการด าเนินงาน ระหว่างเครือข่าย วิธีการน ามาใช้มี 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 สร้างข้อตกลงร่วมกันกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ ทั้งหมด ขั้นที่ 2 วางแผนธุรกิจร่วมกัน ขั้นที่ 3 พัฒนาการพยากรณ์ความต้องการ ขั้นที่ 4 แบ่งปันการ พยากรณ์ และขั้นที่ 5 การเติมเต็มสินค้าคงเหลือ
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 58 ค าถามท้ายบทที่ 2 ข้อ 1 จงอธิบายการพยากรณ์ด้วยวิธีเดลไฟ (Delphi Method) ข้อ 2 จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการพยากรณ์ระยะสั้น (Short-range Forecasting) และการ พยากรณ์ระยะยาว (Long-range Forecasting) ข้อ 3 ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) และความต้องการตาม (Dependent Variables) คืออะไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อ 4 ตัวแบบการพยากรณ์แบบอนุกรมเวลา (Time – Series Forecasting Model) คืออะไร อธิบาย ข้อ 5 ตัวแบบความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (Associative Models) และตัวแบบอนุกรมเวลา (Time – Series Models) มีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อ 6 ตัวแบบการพยากรณ์เชิงปริมาณ (Quantitative Forecasting) คืออะไรและน ามาใช้เมื่อใด ข้อ 7 ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อค่าคงที่ปรับเรียบแอลฟ่า (Smoothing Constant: ) ของ น้ าหนักที่ใช้ในการพยากรณ์ ข้อ 8 จงอธิบายขั้นตอนของเทคนิคเดลไฟ (Delphi) ข้อ 9 ค่าเฉลี่ยเบี่ยงเบนสัมบูรณ์ (Mean Absolute Deviation: MAD) คืออะไร และมีความส าคัญ อย่างไรในการเลือกและใช้ตัวแบบการพยากรณ์ ข้อ 10 จงอธิบายลักษณะตัวแบบการพยากรณ์เชิงปริมาณ (Quantitative Forecasting Model) และ ยกตัวอย่างมา 3 วิธี ข้อ 11 การหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ าหนัก (Moving Average) และการปรับเรียบแบบเอ็กซ โพเนนเชียล (Exponential Smoothing) มีความแตกต่างกันอย่างไร อธิบาย ข้อ 12 จุดมุ่งหมายของการตรวจสอบความแม่นย า (Tracking Signal) คืออะไร ข้อ 13 ระบบ CPFR คืออะไร และน ามาใช้ภายในองค์การได้อย่างไร ข้อ 14 ค่าความแม่นย าเป็นบวก (Positive) และค่าความแม่นย าเป็นลบ (Negative) หมายความว่า อย่างไร และค่าความแม่นย าใดเหมาะสมที่สุดส าหรับการพยากรณ์ ข้อ 15 ตัวแบบอนุกรมเวลาในบทนี้ เช่น การหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และการหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ ถ่วงน้ าหนัก วิธีปรับเรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียลและวิธีปรับเรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียลร่วมกับค่า แนวโน้ม และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเหตุผล วิธีใดดีที่สุดส าหรับการควบคุมการพยากรณ์ จงอธิบาย
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 59 ปัญหาท้ายบทที่ 2 ข้อ 1 ต่อไปนี้เป็นจ านวนของผู้ลงทะเบียนเรียนในวิชาสัมมนาการบัญชีในช่วง 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏในตารางข้างล่างนี้ สัปดาห์ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ผู้ลงทะเบียน 22 21 25 27 35 29 33 37 41 37 ค าสั่ง 1. จงพยากรณ์จ านวนผู้ลงทะเบียนโดยใช้วิธีการพยากรณ์หาค่าอย่างง่าย ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ถึงสัปดาห์ที่ 11 2. จงพยากรณ์จ านวนผู้ลงทะเบียนโดยใช้วิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 สัปดาห์ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 ถึงสัปดาห์ที่ 11 3. จงพยากรณ์จ านวนผู้ลงทะเบียนโดยใช้วิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 4 สัปดาห์ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 5 ถึงสัปดาห์ที่ 11 4. จงวาดกราฟโดยใช้ข้อมูลเดิมและค่าพยากรณ์จากการค านวณในกราฟเดียวกัน ข้อมูลการ พยากรณ์ใดที่ใกล้เคียงกับข้อมูลเดิมที่สุด และการพยากรณ์วิธีใดดีที่สุด ข้อ 2 ศูนย์กระบวนการตรวจสอบการรับเช็คช าระเงินใช้วิธีการปรับเรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียลเพื่อ พยากรณ์จ านวนเช็คที่เข้ามาในแต่ละเดือน จ านวนเช็คที่ได้รับในเดือนมิถุนายนเท่ากับ 40 ล้าน ใน เวลาเดียวกันค่าพยากรณ์เดือนมิถุนายนเท่ากับ 42 ล้าน ค่าคงที่ปรับเรียบ = 0.2 ค าสั่ง 1. จงค่าพยากรณ์ของเดือนกรกฎาคมเท่ากับเท่าใด 2. ถ้าได้รับเช็คจ านวน 45 ล้านในเดือนกรกฎาคม ค่าพยากรณ์เดือนสิงหาคมเท่ากับเท่าใด 3. ท าไมวิธีการพยากรณ์นี้จึงไม่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์นี้ ข้อ 3 จากข้อมูลที่ก าหนดให้ต่อไปนี้ใช้ค่าคงที่ปรับเรียบ = 0.2 พัฒนาค่าพยากรณ์ความต้องการ สมมุติว่าค่าพยากรณ์ในช่วงเวลาแรกเท่ากับ 5 ช่วงเวลา 1 2 3 4 5 6 ความต้องการ 7 9 5 9 13 8 ข้อ 4 ต่อไปนี้เป็นยอดขายในแต่ละเดือนของบริษัท Telco Batteries จ ากัด เดือน ยอดขาย (หน่วย) เดือน ยอดขาย (หน่วย) มกราคม 20 กรกฎาคม 17 กุมภาพันธ์ 21 สิงหาคม 18 มีนาคม 15 กันยายน 20 เมษายน 14 ตุลาคม 20 พฤษภาคม 13 พฤศจิกายน 21 มิถุนายน 16 ธันวาคม 23
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 60 ค าสั่ง 1. จงวาดกราฟข้อมูลยอดขายแต่ละเดือน 2. จงพยากรณ์ยอดขายโดยใช้วิธีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือน 3. จงพยากรณ์ยอดขายโดยใช้วิธีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ าหนัก โดยมีน้ าหนักเท่ากับ 0.1, 0.1, 0.1, 0.2, 0.2, และ 0.3 ค่าน้ าหนักมากที่สุดใช้กับเดือนที่อยู่ใกล้เคียงกับเดือนที่ต้องการพยากรณ์ 4. จงพยากรณ์ยอดขายโดยใช้วิธีปรับเรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียล โดยก าหนดให้ค่า = 0.3 และค่าพยากรณ์ของเดือนกันยายนเท่ากับ 18 หน่วย 5. จงพยากรณ์ยอดขายโดยใช้วิธีการคาดคะเนแนวโน้ม ข้อ 5 จากข้อมูลต่อไปนี้จงค านวณหาค่า MAD และ MSE จากค่าพยากรณ์และยอดขายที่เกิดขึ้น ค่าพยากรณ์ 100 110 120 130 ยอดขายที่เกิดขึ้นจริง 95 108 123 130 ข้อ 6 สภาพอากาศของเมือง Houston ในสหรัฐอเมริกา มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงในแต่ละสัปดาห์ที่ ผ่านปรากฏดังนี้ คือ 93, 94, 93, 95, 96, 88, 90 (เมื่อวานนี้) ค าสั่ง 1. จงพยากรณ์อุณหภูมิสูงสุดของวันนี้ โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 3 วัน 2. จงพยากรณ์อุณหภูมิสูงสุดของวันนี้ โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 2 วัน 3. จงค านวณค่า MAD จากวิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในข้อที่ 8.1 และ 8.2 ค่าใดดีที่สุด ข้อ 7 ต่อไปนี้เป็นยอดขายเครื่องดูดฝุ่นของบริษัท Larry Armstrong Supply จ ากัด โดยบริษัทได้เก็บ ข้อมูลในช่วงเวลาที่ผ่านมาแสดงในตารางข้างล่างนี้ เดือน ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ยอดขาย (หน่วย: พันบาท) 11 14 16 10 15 17 11 เดือน ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ยอดขาย (หน่วย: พันบาท) 14 17 12 14 16 11 ค าสั่ง 1.จงพยากรณ์ยอดขายเครื่องดูดฝุ่นเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดไป โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 3เดือน 2. จงพยากรณ์ยอดขายเครื่องดูดฝุ่น โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ าหนัก 3 เดือน ก าหนดให้ ใช้น้ าหนัก50% 30% และ 20% โดยให้เดือนที่ใกล้กับเดือนที่ต้องการพยากรณ์มีน้ าหนักมากที่สุด 3. จงค านวณหาค่า MAD MSE และ MAPE จากค าตอบใน 1. และ 2 วิธีพยากรณ์ใดที่ดีสุด ข้อ 8 Dr. Thomas W. Jones เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินของสมาคมแห่งหนึ่ง ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคมได้จัดเก็บข้อมูลทางการเงินเกิดขึ้นดังนี้ (หน่วยพันบาท) เดือน กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม รายได้ 70.0 68.5 64.8 71.7 71.3 72.8 จงพยากรณ์โดยใช้วิธีปรับเรียบแบบเอ็กซโพเนนเชียลร่วมกับวิธีการปรับแนวโน้มเพื่อ พยากรณ์รายได้ของเดือนสิงหาคม โดยสมมติว่าค่าพยากรณ์เริ่มแรกของเดือนกุมภาพันธ์เท่ากับ 65,000 บาท และค่าแนวโน้มเริ่มแรกเท่ากับ 0 ค่าคงที่ปรับเรียบส าหรับค่าเฉลี่ย () ที่เลือกคือ 0.1 และค่าคงที่ปรับเรียบส าหรับแนวโน้ม () คือ 0.2
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 61 ข้อ 9 จากข้อ 8 ถ้าก าหนดให้ค่าคงที่ปรับเรียบส าหรับค่าเฉลี่ย () ที่เลือกคือ 0.1 และค่าคงที่ปรับ เรียบส าหรับแนวโน้ม () คือ 0.8 ให้ค านวณหาค่า MAD MSE และ ค่า MAPE ค่าคงที่ปรับเรียบใดดี ที่สุดในการพยากรณ์ ข้อ 10 จ านวนผู้โดยสารที่เดินทางโดยสายการบิน Northeast Airlines ซึ่งมีศูนย์กลางในการบริการ อยู่ที่ Boston ได้เก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเวลาที่ผ่านมาดังนี้ สัปดาห์ 1 2 3 4 5 6 จ านวนผู้โดยสารท เดินทาง (หน่วยเป็นพันคน) 17 21 19 23 18 16 ค าสั่ง 1. สมมุติว่าค่าพยากรณ์เริ่มต้นในสัปดาห์ที่ 1 เท่ากับ 17,000 คน ใช้วิธีการปรับเรียบแบบ เอ็กซโพเนนเชียลเพื่อค านวณจ านวนผู้โดยสารในสัปดาห์ที่ 2 ถึงสัปดาห์ที่ 12 โดยใช้ = 0.2 2. ค านวณหาค่า MAD และค่าความแม่นย า (Tracking Signal) อยู่ภายในขอบเขตใด ข้อ 11 ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของผู้จัดจ าหน่ายอุปกรณ์ดนตรีมีความรู้สึกว่าความต้องการกลอง มี ความสัมพันธ์กับนักร้องเพลงร็อคที่ปรากฏตัวทางทีวี ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการจึงเก็บรวบรวมข้อมูล ปรากฏในตารางข้างล่างนี้ ความต้องการกลอง 3 6 7 5 10 8 จ านวนครั้งที่นักร้องเพลงร็อคที่ปรากฏตัวทางทีวี 3 4 7 6 8 5 ค าสั่ง 1. จงพยากรณ์โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเหตุผล 2. ถ้านักร้องเพลงร็อคปรากฏตัวทางทีวีเดือนหน้า 9 ครั้ง จงพยากรณ์ยอดขายกลอง Bass เท่ากับเท่าใด ข้อ 12 จากข้อมูลที่ก าหนดให้ต่อไปนี้ จงใช้วิธีการวิเคราะห์ถดถอยก าลังสองน้อยที่สุด และพยากรณ์ ความต้องการในช่วงเวลาที่ 7 และช่วงเวลาที่ 12 ช่วงเวลา 1 2 3 4 5 6 ความต้องการ 7 9 5 11 10 13 ข้อ 13 จากจ านวนนักท่องเที่ยวสวนสนุกของบริษัท Disney ในช่วงเวลาพักร้อนประจ าปี ปรากฏดังนี้ ปี 2017 นักท่องเที่ยว ปี 2018 นักท่องเที่ยว ปี 2020 นักท่องเที่ยว ฤดูหนาว 73 ฤดูหนาว 65 ฤดูหนาว 89 ฤดูใบไม้ผลิ 104 ฤดูใบไม้ผลิ 82 ฤดูใบไม้ผลิ 146 ฤดูร้อน 168 ฤดูร้อน 124 ฤดูร้อน 205 ฤดูใบไม้ร่วง 74 ฤดูใบไม้ร่วง 52 ฤดูใบไม้ร่วง 98 จงค านวณดัชนีฤดูกาลโดยใช้ข้อมูลทั้งหมดนี้และพยากรณ์จ านวนนักท่องเที่ยวในแต่ละฤดู เท่ากับเท่าใดถ้าจ านวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด 550 คน
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 62 ข้อ 14 ผู้อ านวยการของ Riley Country รัฐ Kansas ต้องการพยากรณ์จ านวนผู้ใช้บริการห้องสมุดใน ตอนเย็นส าหรับสัปดาห์หน้า ตารางข้างล่างนี้เป็นข้อมูลของผ มาใช้บริการ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัส วันศุกร์ วันเสาร์ สัปดาห์ 1 210 178 250 215 160 180 สัปดาห์ 2 215 180 250 213 165 185 สัปดาห์ 3 220 176 260 220 175 190 สัปดาห์ 4 225 178 260 225 176 190 จงค านวณดัชนีฤดูกาลของแต่ละวันในแต่ละสัปดาห์ ข้อ 15 Mr. Jon Ahlbrand ได้พัฒนาตัวแบบการพยากรณ์ขึ้นมาดังนี้ y = 36 + 4.3 x โดยให้ y = ความต้องการเครื่องปรับอากาศยี่ห้อ Aztec x = อุณหภูมิภายนอก (องศาฟาเรนต์ไฮส์) ค าสั่ง 1. จงพยากรณ์ความต้องการเครื่องปรับอากาศ Aztec ถ้าอุณหภูมิเท่ากับ 70 องศาฯ 2. จงพยากรณ์ความต้องการเครื่องปรับอากาศ Aztec ถ้าอุณหภูมิเท่ากับ 80 องศาฯ 3. จงพยากรณ์ความต้องการเครื่องปรับอากาศ Aztec ถ้าอุณหภูมิเท่ากับ 90 องศาฯ ข้อ 16 จากข้อมูลที่ก าหนดให้ต่อไปนี้เป็นความสัมพันธ์ของยอดขายของร้านจ าหน่ายเครื่องดื่มใน โรงแรมขนาดเล็กที่มีเตียงนอนและอาหารเช้าให้บริการกับจ านวนของผู้ลงทะเบียนเข้าพักเป็นสัปดาห์ ปรากฏดังนี้ สัปดาห์ จ านวนผู้ลงทะเบียนเข้าพัก ยอดขายของร้านจ าหน่ายเครื่องดื่ม 1 16 330 บาท 2 12 270 3 18 380 4 14 300 ค าสั่ง 1. จงใช้วิธีวิเคราะห์ถดถอยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างยอดขายร้านจ าหน่ายเครื่องดื่มและ จ านวนผู้ลงทะเบียนเข้าพัก 2. ถ้าพยากรณ์ว่าในสัปดาห์ที่ 5 มีจ านวนผู้ลงทะเบียนเข้าพักมีทั้งหมด 20 คน ยอดขายร้าน จ าหน่ายเครื่องดื่มคาดว่าจะเป็นเท่าใด ข้อ 17 จากตัวแบบการวิเคราะห์ถดถอยเชิงซ้อนต่อไปนี้ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อพยากรณ์วัดผลการ ปฏิบัติงานของพนักงานที่ต้องการจะว่าจ้างเข้ามาใหม่ของบริษัท ซึ่งพื้นฐานของการใช้ดัชนีการ ประเมินผลการปฏิบัติงานจะมาจากการทดสอบก่อนการว่าจ้างและคะแนน GPA จากมหาวิทยาลัย โดยมีสมการดังนี้ y = 35 + 20 X1 + 50 X2 โดยให้ y = ดัชนีการประเมินผลการปฏิบัติงาน X1 = คะแนนทดสอบก่อนการว่าจ้าง X2 = คะแนน GPA จากมหาวิทยาลัย
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 63 ค าสั่ง 1. จงพยากรณ์ดัชนีการประเมินผลการปฏิบัติงานของใบสมัครที่มีคะแนน GPA เท่ากับ 3.00 และคะแนนทดสอบก่อนการว่าจ้างเท่ากับ 80 คะแนนเท่ากับเท่าใด 2. จงพยากรณ์ดัชนีการประเมินผลการปฏิบัติงานของใบสมัครที่มีคะแนน GPA เท่ากับ 2.50 และคะแนนทดสอบก่อนการว่าจ้างเท่ากับ 70 คะแนนเท่ากับเท่าใด ข้อ 18 ITown เป็นร้านจ าหน่ายคอมพิวเตอร์ขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองใกล้กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้เก็บข้อมูลยอดขาย คอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ (Printer) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปรากฏดังนี้ ปีที่ ยอดขายคอมพิวเตอร์ ยอดขายเครื่องพิมพ์ 1 1,045 381 2 1,610 579 3 860 312 4 1,211 501 5 975 296 6 1,117 415 7 1,066 535 8 1,310 592 9 1,517 607 10 1,246 473 ค าสั่ง 1. พัฒนาเส้นสมการถดถอยเพื่อพยากรณ์ความต้องการเครื่องพิมพ์ในปีที่ 11 2. พัฒนาตัวแบบสมการถดถอยเชิงเหตุผลเพื่อหาความสัมพันธ์ของยอดขายเครื่องพิมพ์และ ยอดขายคอมพิวเตอร์ เพื่อพยากรณ์ความต้องการยอดขายเครื่องพิมพ์ในปีที่ 11 โดยคาดว่า คอมพิวเตอร์สามารถขายได้ 1,500 เครื่อง 3. จงเปรียบเทียบตัวแบบที่พัฒนาขึ้นในข้อ 1. และ 2. และอธิบายว่าวิธีใดเหมาะสมที่สุด ข้อ 19 บริษัท Willow River Mining จ ากัด ผลิตและจัดส่งถ่านหิน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาความ ต้องการถ่านหินในช่วง 8 ปีมีดังนี้ ปีที่ ความต้องการถ่านหิน (ตัน) 1 4,260 2 4,510 3 4,050 4 3,720 5 3,900 6 3,470 7 2,890 8 3,100
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 64 ค าสั่ง จงพัฒนาตัวแบบการพยากรณ์ปรับเรียบเอ็กซโพเนนเชียลร่วมกับค่าแนวโน้ม (ค่า = 0.30 และ = 0.20 ค่าพยากรณ์เสื้อคลุมปีแรก 4,250 ตัว และค่าพยากรณ์แนวโน้มปีแรกเท่ากับ 5) และ ตัวแบบเส้นสมการถดถอย หลังจากนั้นน ามาเปรียบเทียบความแม่นย าของการพยากรณ์ของทั้งสองวิธี โดยใช้ MAD อธิบายค่าพยากรณ์ว่าวิธีใดถูกต้องที่สุด ข้อ 20 ตัวแทนจ าหน่ายรถจักรยานยนต์ Hartley-Davis ในเมือง Minneapolis และ St. Paul ต้องการพยากรณ์ความต้องการที่ถูกต้องส าหรับรถจักรยานยนต์รุ่น Roadhog Super ในระหว่าง เดือนถัดไป จากยอดขายที่บันทึกไว้ของตัวแทนจ าหน่ายอยู่ในตารางด้านล่างนี้ เดือนที่ ยอดขายรถจักรยานยนต์ มกราคม 9 กุมภาพันธ์ 7 มีนาคม 10 เมษายน 8 พฤษภาคม 7 มิถุนายน 12 กรกฎาคม 10 สิงหาคม 11 กันยายน 12 ตุลาคม 10 พฤศจิกายน 14 ธันวาคม 16 ค าสั่ง 1. จงค านวณโดยใช้วิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 3 เดือน เพื่อพยากรณ์ความต้องการของ เดือนเมษายนถึงเดือนมกราคม (ของปีถัดไป) 2. จงค านวณโดยใช้วิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 5 เดือน เพื่อพยากรณ์ความต้องการของ เดือนเมษายนถึงเดือนมกราคม (ของปีถัดไป) 3. จงเปรียบเทียบการพยากรณ์ทั้งสองวิธีในข้อ 1. และ 2. โดยใช้วิธี MAD วิธีใดที่ตัวแทน จ าหน่ายควรน ามาใช้เพื่อพยากรณ์ส าหรับเดือนมกราคมในปีถัดไป เพราะอะไร อธิบาย ข้อ 21 สมมุติว่าจ านวนอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่มีความสัมพันธ์กับจ านวนของผู้มีใบขับขี่ รถยนต์ ซึ่งมีหน่วยเป็นพันคน (x1 ) ยอดขายของเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เท่ากับ $ 1,000s (x2 ) และ ปริมาณฝนตก (หน่วยเป็นนิ้ว) (x3 ) ให้ใช้สมการการวิเคราะห์ถดถอยเชิงซ้อนต่อไปนี้ y = a + b1X1 + b2X2 + b2xX3 โดยให้ y = จ านวนของอุบัติเหตุทางรถยนต์ a = 7.5 b1 = 3.5 b2 = 4.5 และ b3 = 2.5
บทที่ 2 การพยากรณ์ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 65 จงค านวณจ านวนของอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่คาดหวังภายใต้เงื่อนไขที่ก าหนดให้นี้ X1 X2 X3 a) 2 3 0 b) 3 5 1 c) 4 7 2 ข้อ 22 ส านักงานขนส่งจังหวัดสระบุรีจัดเก็บข้อมูลภาษีขายประจ าปีและจ านวนของผู้ลงทะเบียนใช้ รถยนต์ใหม่ปรากฏดังนี้ ภาษีขายประจ าปี(หน่วย: ล้านบาท) 1.0 1.4 1.9 2.0 1.8 2.1 2.3 ผู้ลงทะเบียนใช้รถยนต์ใหม่ (หน่วย: พันคน) 10 12 15 16 14 17 20 ค าสั่ง 1. จงสร้างสมการวิเคราะห์ถดถอยวิธีก าลังสองน้อยที่สุด พยากรณ์ภาษีขายถ้ามีผู้ลงทะเบียน ใช้รถยนต์ใหม่ 22 พันคน 2. หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และอธิบายค่าที่ได้ ข้อ 23 จ านวนผู้โดยสารทั้งหมดของรถไฟฟ้าใต้ดินและรถยนต์โดยสารในกรุงเทพฯ เชื่อว่าจะมีจ านวน เพิ่มขึ้นเพราะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น ในระหว่าง 12 ปีที่ผ่านมาได้ จัดเก็บข้อมูลของจ านวนนักท่องเที่ยวและจ านวนผู้โดยสารทั้งหมด ดังปรากฏในตารางต่อไปนี้ ปี จ านวนของนักท่องเที่ยว (ล้านคน) จ านวนผู้โดยสารทั้งหมด (ล้านคน) 1 7 1.5 2 2 1.0 3 6 1.3 4 4 1.5 5 14 2.5 6 15 2.7 7 16 2.4 8 12 2.0 9 14 2.7 10 20 4.4 11 15 3.4 12 7 1.7 ค าสั่ง 1. จงพัฒนาความสัมพันธ์แบบถดถอยเชิงเหตุผล 2. จ านวนผู้โดยสารทั้งหมดที่คาดหวังจะเป็นเท่าใด ถ้ามีจ านวนนักท่องเที่ยวเท่ากับ 10 ล้าน คนที่เข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ 3ค่าความผิดพลาดมาตรฐานในการประมาณเท่ากับเท่าใดอธิบายความหมายของตัวเลขที่ได้ 4. ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) เท่ากับเท่าใด อธิบายความหมาย ของตัวเลขที่ได้
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 66 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ (Product and Service Design) วัตถุประสงค์ เมื่อศึกษาบทที่ 3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ 1. อธิบายแนวคิดและกลยุทธ์ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 2. ทราบถึงเครื่องมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ 3. อธิบายวิธีการออกแบบผลิตภัณฑ์ 4. ทราบถึงการวิเคราะห์คุณค่าหรือวิศวกรรมคุณค่า 5. ทราบความแตกต่างระหว่างการออกแบบผลิตภัณฑ์และการบริการ 6. อธิบายวิธีการออกแบบการบริการ 7. อธิบายวิธีการทางพฤติกรรมศาสตร์ที่น ามาใช้กับการบริการ 8. ทราบวิธีการออกแบบพิมพ์เขียวของการบริการและการป้องกันความผิดพลาด
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 67 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หัวเรื่อง 3.1 กระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ 3.2 การออกแบบส าหรับลูกค้า 1. การขยายหน้าที่ด้านคุณภาพ 2. การวิเคราะห์คุณค่าหรือวิศวกรรมคุณค่า 3.3 แนวความคิดเกี่ยวกับการบริการ 1. ธุรกิจบริการและการบริการภายใน 2. แนวความคิดของการจัดการบริการร่วมสมัย 3.4 เมตริกการออกแบบระบบการบริการ 1. กลยุทธ์การใช้เมตริก 3.5 พิมพ์เขียวของการบริการและการป้องกันความผิดพลาด สรุป ค าถามท้ายบทที่ 3
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 68 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ การตลาดและ การขาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลิต การวิจัยขั้นสูง การออกแบบ ผลิตภัณฑ์ บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ (Product and Service Design) การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่และน าผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่ท้าทาย ความสามารถของผู้ผลิตซึ่งจะต้องเผชิญในทุกอุตสาหกรรมที่มีความแตกต่างกัน เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และผู้ผลิตอาหาร ลูกค้าของผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ได้แก่ บริษัทคอมพิวเตอร์ซึ่งบริษัท เหล่านี้จ าเป็นต้องเพิ่มการใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์กึ่งอัตโนมัติเพื่อพัฒนาสายผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ผลิตอาหารจ าเป็นต้องจัดเตรียมอาหารรูปแบบใหม่เพื่อวางจ าหน่ายในร้านค้าเพื่อจ าหน่ายให้แก่ลูกค้า รายใหม่ที่ชื่นชอบอาหารที่มีรสชาติดีทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้าสนับสนุนการด าเนินงานขององค์การหรือขยายส่วน แบ่งตลาดของบริษัทให้เพิ่มมากขึ้น ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์มีการออกแบบผลิตภัณฑ ์อย่างไร และกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เลือกมาใช้ใน การผลิตอธิบายอยู่ในบทนี้ เช่น รูปที่ 3.1 แสดงหน้าที่งานหลัก 3 หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ คือ การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการผลิต โดยมีรายละเอียดดังนี้ แนวคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ความจ าเป็น การส่งเสริมการตลาด ค าอธิบายลักษณะผลิตภัณฑ์ แนวความคิดทางเทคนิค ผลิตภัณฑ์ การแนะน าผลิตภัณฑ์ ค าสั่งซื้อของลูกค้า ค าสั่งผลิต ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 154) รูปที่ 3.1 หน้าที่งานหลักทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด การขาย การวางแผน กระบวนการ ผลิต การผลิต ระบบ ตลาดเพื่อ ลูกค้า ระบบ ตลาดเพื่อ ลูกค้า
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 69 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ 1) การตลาดจะเสนอแนะแนวความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และจัดเตรียมค าอธิบาย ลักษณะของสายผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนแปลงแนวความคิดทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ไปสู่การออกแบบขั้น สุดท้าย 3) การผลิตจะคัดเลือกและก าหนดกระบวนการผลิตจากฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อน าไปสู่การผลิต กิจกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะเชื่อมโยงกับความจ าเป็น และความคาดหวังของลูกค้าร่วมกับกิจกรรมที่มี ความจ าเป็นในการผลิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะท าให้องค์การเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับความ ต้องการรูปแบบใหม่ในการน ามาใช้ภายในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะต้องตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้าและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ เปลี่ยนแปลงไป กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะจัดหาสิ่งที่องค์การต้องการเพื่อขยายการด าเนินงานและ ท าเลที่ตั้งไปสู่ตลาดระดับโลก 3.1 กระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ (The Product Design Process) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหน้าที่งานต่างๆแบบข้าม หน้าที่งานมากมายภายในธุรกิจ รูปที่ 3.2 แสดงขั้นตอนของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Richard et al. 2004, p. 154) ขั้นตอนที่ 1 ถึงขั้นตอนที่ 2 เป็นการพัฒนาแนวความคิดและการวางแผนผลิตภัณฑ์ การค้นหา สารสนเทศเกี่ยวกับโอกาสทางการตลาด การเปลี่ยนแปลงทางการแข่งขัน ความเป็นไปได้ทางเทคนิคและ ความต้องการการผลิตถูกน ามารวมเข้าด้วยกันเพื่อก าหนดรูปแบบโครงสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการ ออกแบบแนวความคิด ตลาดเป้าหมาย ความจ าเป็นของระดับการปฏิบัติงาน ความต้องการการลงทุนและ ผลกระทบทางการเงิน ก่อนที่แผนงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะได้รับการอนุมัติบริษัทจะพยายามปรับปรุง และทดสอบแนวความคิดกับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก การทดสอบนี้จะเกี่ยวข้องกับตัวแบบและการอภิปราย การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่กับลูกค้าที่เป็นไปได้ การอนุมัติครั้งแรกจะท าให้โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เปลี่ยนแปลงไปสู่รายละเอียดทาง วิศวกรรม กิจกรรมเบื้องต้นในขั้นตอนนี้ คือ การออกแบบและการสร้างต้นแบบของการท างานและพัฒนา เครื่องมือ อุปกรณ์เพื่อน ามาใช้ในการผลิตเพื่อการพาณิชย์ หัวใจส าคัญของรายละเอียดทางวิศวกรรม ผลิตภัณฑ์ คือ วงจร “การออกแบบเพื่อการทดสอบ” ซึ่งเป็นการออกแบบเพื่อทดสอบทั้งผลิตภัณฑ์และ กระบวนการที่มีความจ าเป็นตามที่ได้ก าหนดไว้ในแนวความคิดเพื่อน าไปสู่ตัวแบบการปฏิบัติงาน (อาจใช้ คอมพิวเตอร์หรือแบบฟอร์มที่เป็นรูปธรรม) และหลังจากนั้นจะเป็นการทดสอบเพื่อลอกเลียนการใช้งาน ผลิตภัณฑ์ ถ้าตัวแบบล้มเหลวจะส่งผลต่อลักษณะการปฏิบัติงานที่มีความจ าเป็น แผนกวิศวกรรมจะค้นหา เพื่อเปลี่ยนแปลงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใกล้เคียงกับความต้องการและออกแบบวงจร “การออกแบบ เพื่อการทดสอบ” ซ้ าอีกครั้ง การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของขั้นตอนการจัดท ารายละเอียดทางวิศวกรรมเพื่อ พัฒนาไปสู่การปฏิบัติงานของแผนกวิศวกรรมคือ “การโอนต่อ” หรือ “การหยุด” ซึ่งจะหมายถึงการ ออกแบบขั้นสุดท้ายที่เหมาะสมกับความต้องการ
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 70 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ ก าหนดการ เริ่มต้นโครงการ จ านวนเดือนก่อนแนะน าสู่ตลาด การแนะน าสู่ตลาด ระยะ 36 27 18 9 0 การพัฒนาแนวความคิด - สถาปัตยกรรมของผลิตภัณฑ์ - การออกแบบแนวความคิด - ตลาดเป้าหมาย การวางแผนผลิตภัณฑ์ - การสร้างตลาด - การทดสอบกลุ่มตลาดขนาดเล็ก - การเงิน/การลงทุน วิศวกรรมกระบวนการ/ผลิตภัณฑ์ - รายละเอียดของการออกแบบ ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือ/อุปกรณ์ - สร้างและทดสอบต้นแบบ การผลิตน าร่อง - ตรวจสอบปริมาณการผลิต ทดลองผลิต - เพิ่มปริมาณเป้าหมายทางการค้า ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 155) รูปที่ 3.2 ขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนต่อไปถ้ามีการ “การโอนต่อ” บริษัทจะพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปสู่ขั้นตอน “การผลิตน าร่อง (Pilot Manufacturing)” ในขั้นตอนนี้ส่วนประกอบส าหรับผลิตภัณฑ์ใหม่แต่ละชิ้นจะถูกสร้างขึ้น และมีการ ทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์การผลิตที่มีอยู่ว่าสามารถปฏิบัติงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้หรือไม่ มีการ ประกอบผลิตภัณฑ์และการทดสอบระบบปฏิบัติการภายในโรงงาน ในขั้นตอน “การผลิตน าร่อง (Pilot Production)” หน่วยของผลิตภัณฑ์จะถูกประกอบขึ้นเพื่อทดสอบกระบวนการผลิต และความสามารถของ กระบวนการผลิตที่อาจมาจากการดัดแปลงกระบวนการผลิตเดิมหรือกระบวนการผลิตแบบใหม่เพื่อให้การ ผลิตน าร่องประสบความส าเร็จและน าไปสู่ขั้นตอนการทดสอบเพื่อการพาณิชย์ ในขั้นตอนนี้เครื่องมือและ อุปกรณ์ทั้งหมดควรจัดวางอยู่ในต าแหน่งเสมือนการผลิตจริง และองค์การควรติดต่อกับผู้ขายปัจจัยการผลิต เพื่อเตรียมพร้อมส าหรับปริมาณการผลิต จุดนี้เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ระบบภายในองค์การทั้งหมดเพื่อ ปฏิบัติงานร่วมกัน คือ การออกแบบ การจัดท ารายละเอียดทางวิศวกรรม ชิ้นส่วนประกอบ ล าดับการ ประกอบชิ้นส่วน ที่ปรึกษาด้านการผลิต ผู้ปฏิบัติการ และนักเทคนิค O--------------O แนวความคิด อนุมัติแผนงาน O---------------O การออกแบบ/ การวางแผน ตัวแบบสมบูรณ์ ด าเนินการด้านวิศวกรรม ครั้งแรก ขั้นสุดท้าย O------------------------------O ผลิตภัณฑ์ O----------------------O แนะน าสู่ กระบวนการ ตลาด O-----------------------O การผลิตน าร่อง
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 71 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ ขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ การก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว กระบวนการพัฒนา ผลิตภัณฑ์จะกลั่นกรอง ตรวจสอบและขจัดข้อบกพร่องซึ่งเป็นการปฏิบัติการที่ช่วยสนับสนุนระดับการผลิต ในการเริ่มต้นการปฏิบัติการเพื่อให้เกิดการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วนั้นจะสัมพันธ์กับการผลิตในปริมาณไม่ มาก โดย องค์การจะพัฒนากระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ จากการใช้ความน่าเชื่อถือในการด าเนินงาน ที่มาจากความสามารถขององค์การที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ขายปัจจัยการผลิตในการ ด าเนินการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถของแผนกการตลาดในการจ าหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อให้ ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ตามปกติแล้วภายในแต่ละองค์การจะประกอบด้วยโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลายโครงการ ซึ่งแต่ ละโครงการจะแยกออกเป็นโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์รายบุคคล โดยแต่ละโครงการจะมีการปฏิบัติงานที่ แยกจากกันเพื่อป้องกันปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นกับโครงการอื่น และแต่ละโครงการจะคิดค้นผลิตภัณฑ์ให้ เหมาะสมกับการปฏิบัติการขององค์การเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาจแบ่งปัน ส่วนประกอบที่วิกฤตเพื่อให้สมาชิกภายในกลุ่มสนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกัน นอกจากนี้โครงการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่อาจต้องการการออกแบบผลิตภัณฑ์และหน้าที่งานที่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เพื่อความ รวดเร็วของกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หลายบริษัทใช้ “วิศวกรรมความร่วมมือ (Concurrent Engineering: CE)” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ขององค์การที่มีความต่อเนื่องกันในการด าเนินการ อย่างง่ายๆจากขั้นตอนหนึ่งไปยังขั้นตอนอื่นๆ วิศวกรรมความร่วมมือเน้นความส าคัญของการผสมผสานการ ปฏิบัติงานแบบข้ามหน้าที่งาน และความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ ดูรูปที่ 3.3 (Richard et al. 2004, p. 156) ทีมงานจะเตรียมการผสมผสานการปฏิบัติงานในระยะแรก (เบื้องต้น) โดยใช้ “วิศวกรรมความ ร่วมมือ” ทีมงานจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) ทีมงานการบริหารตามแผนงาน 2) ทีมงานด้านเทคนิค และ 3) ทีมงานด้านการสร้าง จ านวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของโครงการ การ ผสมผสานทีมงานแบบข้ามหน้าที่งานจะให้ความส าคัญกับการปฏิบัติงานของทีมงานเพื่อสร้างการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย โดยกลุ่มแรงงานอาจมีส่วนร่วมในการอธิบายถึงปัญหาเฉพาะที่พบในการ ปฏิบัติงานจากการผลิตและการปฏิบัติงาน
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 72 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ กิจกรรมระดับ หน้าที่งาน ขั้นตอนการพัฒนา การพัฒนา แนวคิด การวางแผน ผลิตภัณฑ์ การก าหนดรายละเอียดทางวิศวกรรมของ ผลิตภัณฑ์และกระบวนการ การผลิตน าร่อง/การ ด าเนินงานอย่าง รวดเร็ว การแนะน า ผลิตภัณฑ์สู่ตลาด การพัฒนา ผลิตภัณฑ์ เสนอเทคโนโลยี แบบใหม่ เช่น แนวคิดการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ ใหม่, การสร้าง ตัวแบบ, การ ด าเนินการ ลอกเลียนแบบ เลือกส่วนประกอบ และศึกษาปฏิกิริยา จากผู้ขายปัจจัยการ ผลิต, สร้างต้นแบบ ของระบบก่อน ก าหนดโครงสร้าง ของผลิตภัณฑ์ จัดท ารายละเอียด การออกแบบ ผลิตภัณฑ์และ กระบวนการสร้าง ต้นแบบที่สมบูรณ์, ด าเนินการทดสอบ ต้นแบบ กลั่นกรอง รายละเอียดของ การออกแบบ ผลิตภัณฑ์, การ ทดลองสร้าง ต้นแบบในขั้นตอน ที่สอง ประเมินและทดสอบ หน่วยงานน าร่อง (Pilot Unit) และ แก้ไขปัญหา ประเมินจาก ประสบการณ์ ภาคสนามของ ผลิตภัณฑ์ การตลาด จัดเตรียมปัจจัย น าเข้าจากฐาน ของตลาด, เสนอ และส ารวจ แนวความคิด เกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ ก าหนดตัวแปร ลูกค้าเป้าหมาย, การพยากรณ์ ยอดขายและก าไร, ด าเนินการด้วยการ ปฏิสัมพันธ์กับ ลูกค้า ด าเนินการทดสอบ ต้นแบบกับลูกค้า, การประเมินผล ต้นแบบและการ ทดสอบการใช้งาน ด าเนินการขั้นที่ 2 เพื่อการทดสอบกับ ลูกค้า, ประเมินผล ต้นแบบ, การจัดท า แผนการตลาด, สร้างแผนการ กระจายผลิตภัณฑ์ จัดเตรียมการกระจาย ผลิตภัณฑ์, ฝึกอบรม พนักงานขายและการ บริการภาคสนามของ บุคลากร, จัดเตรียม ระบบของ กระบวนการการสั่งซื้อ การกระจาย ผลิตภัณฑ์เต็ม ช่องทาง เช่น การ ขายและการ ส่งเสริมการตลาด, ศึกษาปฏิกิริยาจาก ลูกค้ารายส าคัญ การผลิต เสนอและส ารวจ แนวความคิด เกี่ยวกับ กระบวนการ ผลิต การคาดคะเน ต้นทุน, ก าหนด กระบวนการผลิต, ก าหนดโครงสร้าง, ด าเนินการ ลอกเลียนแบบ, การท าสัญญาที่เป็น ทางการกับผู้ขาย ปัจจัยการผลิต จัดท าการออกแบบ รายละเอียดของ กระบวนการผลิต, การออกแบบและ พัฒนาเครื่องมือ และอุปกรณ์, การ ทดลองใช้โดยสร้าง ต้นแบบที่มีขนาด เท่าของจริง ทดสอบและทดลอง เครื่องมือและ อุปกรณ์, สร้าง ต้นแบบขั้นที่ 2 ติดตั้งอุปกรณ์และ กระบวนการผลิต ใหม่ สร้างหน่วยงานน าร่อง (Pilot Unit) ใน กระบวนการเพื่อการ พาณิชย์, กลั่นกรอง กระบวนการผลิตจาก “ประสบการณ์น า ร่อง” ฝึกอบรม บุคลากรและยืนยันกับ ช่องทางเครือข่าย ด าเนินงานภายใน โรงงานอย่าง รวดเร็วเพื่อ เป้าหมายการผลิต จ านวนมากที่มี คุณภาพเพื่อต้นทุน และก าไร เหตุการณ์ ส าคัญ การก าหนด แนวความคิด ส าหรับ ผลิตภัณฑ์และ กระบวนการ - สร้างโครงสร้าง ผลิตภัณฑ์และ กระบวนการ - ก าหนดตัวแปร ของแผนงาน - สร้างและทดสอบ ต้นแบบที่สมบูรณ์ - ยืนยันการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ - สร้างและ กลั่นกรองต้นแบบ ขั้นที่ 2 - ยืนยันเครื่องมือ ของกระบวนการ และการออกแบบ - ผลิตหน่วยน าร่อง - ด าเนินงานและ ทดสอบระบบการ พาณิชย์ที่สมบูรณ์ แบบ - ด าเนินงานผลิต จ านวนมาก - ก าหนด วัตถุประสงค์เพื่อ การพาณิชย์เริ่มแรก การตัดสินใจ ส าคัญ อนุมัติ แนวความคิด อนุมัติแผนงาน อนุมัติรายละเอียด การออกแบบ อนุมัติการ ด าเนินงานร่วมกัน ทั้งผลิตภัณฑ์และ กระบวนการ อนุมัติการขายเพื่อการ พาณิชย์เป็นครั้งแรก อนุมัติเพื่อให้ บรรลุผลส าเร็จเพื่อ การพาณิชย์เต็ม รูปแบบ ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 156 – 157) รูปที่ 3.3 กิจกรรมของหน้าที่งานแบบผสมผสานข้ามหน้าที่งาน
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 73 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ กลยุทธ์ระดับแผนกงาน กลยุทธ์ระดับหน้าที่งาน ขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 158) รูปที่ 3.4 กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท Hewlett – Packard ผลที่ได้รับจากการใช้วิศวกรรมความร่วมมือ คือ ช่วยลดระยะเวลาแล้วเสร็จของโครงการ ช่วยให้เกิด ความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระหว่างโครงการที่มีการแข่งขันกันในขั้นตอนของโครงการที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน เช่น การเกิดแนวความคิดในการพัฒนาตลาดจะเกิดขึ้นพร้อมกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตและโครงสร้างการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ ทุกครั้งในการปฏิบัติงานจะมีการแบ่งปันสารสนเทศ โดยใช้ E – mail หรือการประชุมร่วมกันเพื่อแบ่งปันฐานข้อมูลเพื่อให้การผสมผสานการออกแบบด้วย วิศวกรรมความร่วมมือประสบความส าเร็จ เช่น บริษัท Hewlett – Packard ใช้ทีมงานร่วมกับการด าเนินการ ด้วยเทคโนโลยีที่มีความคล้ายคลึงกันทั่วทั้งองค์การ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ส าคัญที่ทีมงานน ามาใช้เป็นหัวใจของการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง (ดูรูปที่ 3.4) กิจกรรมการปฏิบัติงานที่มีความคล้ายคลึงกันก่อให้เกิดความประหยัดเวลา ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการ ปฏิบัติงานตามล าดับความส าคัญ ความประหยัดไม่ได้มาจากการลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คาบ กลยุทธ์ธุรกิจ การตลาด วิศวกรรม การผลิต การสนับสนุน ภาคสนาม A B C D แนวความคิด การผลิตน าร่อง การผลิต การเรียนรู้แบบข้ามหน้าที่งาน รายละเอียดทางวิศวกรรม
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 74 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ เกี่ยวกันแต่มาจากการลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนต่างๆที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น (ขั้นตอนที่จะเกิดขึ้น ตามมาภายหลัง) 3.2 การออกแบบส าหรับลูกค้า (Design for the customer) การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความดึงดูดใจลูกค้าและการออกแบบส าหรับผู้ใช้เป็นการกล่าวถึง ค าว่า “การออกแบบเพื่ออุตสาหกรรม (Industrial Design)” การออกแบบเพื่ออุตสาหกรรม คือ ความ เป็นไปได้ของการใช้งานหรือประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่มีการก าหนดขอบเขตของการใช้งานในทางที่ผิด อัน เกิดจากการออกแบบของผู้ผลิต ซึ่งอาจท าให้เกิดความท้อแท้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การก าหนด คุณสมบัติของ VCR การท างานของรถยนต์ การปรับปรุงการค านวณของเครื่องจักรอัตโนมัติในการควบคุม ความร้อน หรือการปฏิบัติการทางโทรศัพท์เกี่ยวกับบัตรเครดิตเมื่ออยู่สนามบิน ส่วนใหญ่ลูกค้าจะไม่พอใจ กับการใช้งานที่ผิดพลาด บางครั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ในส่วนที่เข้าไม่ถึงของการปฏิบัติงานอาจท าให้เกิด ความยุ่งยากมากขึ้น การก าหนดหรือการควบคุมผลิตภัณฑ์อาจไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้อง บางครั้งจะท าให้ เงื่อนไขที่ก าหนดไว้เกิดความเลวร้ายมากขึ้น เช่น รูปร่างของโลหะที่มีการออกแบบมาเพื่อให้มีความ แข็งแกร่งแต่ผู้บริโภคพยายามตัดหรือหักด้วยมือเปล่าเพื่อปรับปรุงหรือซ่อมแซมให้เหมาะสมกับการใช้งาน ผลิตภัณฑ์มากมายมีลักษณะทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นไปไกลเกินกว่าความจ าเป็น ส่วนใหญ่ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่และใช้คุณลักษณะที่มีอยู่เพียงจ านวนเล็กน้อยเท่านั้น เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมีการพัฒนาไมโครชิปของคอมพิวเตอร์ที่มีราคาถูกและสามารถควบคุมการ ปฏิบัติงานได้มากขึ้นซึ่งท าให้ต้นทุนไม่มีความส าคัญอีกต่อไป รวมถึงนาฬิกาตั้งเวลาของเตาอบไฟฟ้า (Microwave) ซึ่งมีต้นทุนเพียงเล็กน้อยแต่ลูกค้าจ าเป็นต้องใช้ เทคโนโลยีในอนาคตจะท าให้ลูกค้าสูญเสีย การปฏิบัติงานด้วยตนเองให้กับอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อน 1. การขยายหน้าที่ด้านคุณภาพ (Quality Function Deployment) การขยายหน้าที่ด้านคุณภาพ (Quality Function Deployment) คือ วิธีการรับฟังความคิดเห็น จากลูกค้าเพื่อน าเข้าสู่ขั้นตอนการออกแบบค าบรรยายลักษณะของผลิตภัณฑ์วิธีนี้ประสบความส าเร็จได้ ต้องใช้ทีมงานระหว่างหน้าที่งานจากฝ่ายการตลาด วิศวกรรมการออกแบบและการผลิตปฏิบัติงานร่วมกัน การขยายหน้าที่ด้านคุณภาพได้รับการยอมรับจากบริษัท Toyota Motors ว่าสามารถลดต้นทุนของรถยนต์ ได้ถึง 60% และใช้เวลาในการออกแบบที่สั้นลง กระบวนการของการขยายหน้าที่ด้านคุณภาพจะเริ่มต้นจากการศึกษาและรับฟังจากลูกค้าเพื่อ พิจารณาลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าอันเป็นผลมาจากการวิจัยตลาด ความจ าเป็นและความชื่นชอบของ ลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ โดยการก าหนดล าดับขั้นที่เรียกว่า “ความต้องการของลูกค้า (Customer Requirement)” เช่น ผู้ผลิตกล่องถ่ายภาพที่ต้องการปรับปรุงการออกแบบกล้องถ่ายภาพโดยส ารวจความ ต้องการของลูกค้าจากการสัมภาษณ์ ซึ่งได้ก าหนดลักษณะความต้องการของลูกค้าที่มีความส าคัญ 5 ประการ คือ น้ าหนักเบา ง่ายต่อการใช้ มีความเชื่อถือได้ ง่ายต่อการถือ และไม่ต้องเปิดเครื่องวัดแสงซ้ า หลังจากก าหนดความต้องการของลูกค้าแล้วบริษัทจะก าหนดฐานน้ าหนักที่มีความสัมพันธ์กับลูกค้า ขั้นตอน ต่อไปผู้บริโภคที่ให้ข้อมูลจะเปรียบเทียบความส าคัญและประเมินผลผลิตภัณฑ์ที่มีความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ผลลัพธ์สุดท้าย คือ การท าความเข้าใจและการมุ่งเป้าหมายไปที่ลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะปรับปรุง ให้ดีกว่าสารสนเทศเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้ามาจากหลักเกณฑ์ที่เรียกว่า “บ้านแห่งคุณภาพ (House of Quality) (ดูรูปที่ 3.5) การสร้างเมตริกบ้านแห่งคุณภาพ โดยทีมงานการขยายหน้าที่ด้านคุณภาพจะมี
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 75 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ การปฏิบัติงานแบบข้ามหน้าที่งานจะใช้ข้อมูลยืนยันจากลูกค้าเพื่อน าไปใช้ในการปฏิบัติการด้านวิศวกรรม การตลาดและการตัดสินใจเกี่ยวกับการออกแบบ กระบวนการนี้จะต้องท างานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและส่งผล ท าให้เกิดความเข้าใจอันดีกับเป้าหมายและประเด็นปัญหาร่วมกัน ประโยชน์ที่ส าคัญที่สุดของบ้านแห่ง คุณภาพ คือ ช่วยให้ทีมงานมีจุดมุ่งหมายในการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า ที่มาปรับปรุงจาก ประสงค์ ประณีตพลกรัง และคณะ. 2547: 157 รูปที่ 3.5 บ้านแห่งคุณภาพส าหรับการออกแบบกล้องถ่ายรูป น้ าหนักเบา ก าหนดจุดโฟกัสอัตโนมัติ 3 ต้องการการใช้ไฟน้อย ส่วนประกอบเป็นอลูมิเนียม การเปิดเครื่องวัดแสงอัตโนมัติ การใช้ฟิล์มอัตโนมัติ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องกล บริษัท A บริษัท B ง่ายต่อการใช้งาน มีความเชื่อถือได้ ง่ายต่อการถือ ไม่ต้องเปิดเครื่องวัดแสงซ้ า การจัดระดับความส าคัญ 2 1 4 5 8 9 9 9 34 29 44 G G G G P P P P P F G = ดี F = พอใช้ P = ไม่ดี ท าอย่างไรจึงจะเป็นไป ตามความต้องการของ ลูกค้า (ใช้เมตริก ความสัมพันธ์) ระดับน้ าหนัก 8 = (1 x 3) + (1 x 2) + (3 x 1) อะไรที่บริษัทสามารถท า (องค์กรแปล ความต้องการของลูกค้าอย่างไร เพื่อให้เข้าสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เป็นไปตามลักษณะที่เป็น เป้าหมายที่ลูกค้าต้องการ ความสัมพันธ์สูง (5 คะแนน) ความสัมพันธ์ปานกลาง (3 คะแนน) ความสัมพันธ์ต่ า (1 คะแนน) ความสัมพันธ์ของสิ่งที่บริษัทสามารถท า การจัดอันดับความส าคัญของ ลูกค้า (1 = สูงที่สุด) อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 76 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ การสร้างบ้านคุณภาพ (House of Quality) มีขั้นตอนต่างๆที่ส าคัญอยู่ทั้งหมด 4 ขั้นตอน (ที่มา ปรับปรุงจาก ประสงค์ ประณีตพลกรัง และคณะ, 2547 หน้า 156) ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ก าหนดความต้องการของลูกค้า (Identify customer wants) โดยในขั้นตอนที่ 1 จะ พิจารณาจากความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะน าลักษณะความต้องการของลูกค้ามาเป็นปัจจัยน าเข้า (Inputs) และน าเข้าสู่กระบวนการผ่านออกมาเป็นปัจจัยส่งออก (Outputs) หรือเป็นลักษณะพิเศษของการออกแบบ (Design Characteristics) ส าหรับการสร้างหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนที่ 2 ก าหนดคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของ ลูกค้า (Identify how the goods/service will be satisfy customer wants) ในขั้นตอนที่ 2 จะน า ลักษณะพิเศษของการออกแบบ (Design Characteristics) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ได้รับจากขั้นตอนที่ 1 น าเข้ามา เป็นปัจจัยน าเข้า (Inputs) ของขั้นตอนที่ 2 เพื่อน ามาสร้างการผลิตในขั้นตอนต่อไป โดยปัจจัยส่งออก (Outputs) ของขั้นตอนที่ 2 คือ การออกแบบส่วนประกอบที่มีลักษณะเฉพาะ (Specific components) ขั้นตอนที่ 3 ก าหนดความสัมพันธ์ระหว่างความต้องการของลูกค้ากับคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือบริการ (Related customer wants to product how) ในขั้นตอนที่ 3 จะน าส่วนประกอบที่มี ลักษณะเฉพาะ (Specific components) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ได้รับจากขั้นตอนที่ 2 น าเข้ามาเป็นปัจจัยน าเข้า (Inputs) ของขั้นตอนที่ 3 เพื่อสร้างการผลิตต่อไป ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้รับในขั้นตอนที่ 3 ที่เป็นปัจจัยส่งออก (Outputs) คือ กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ (Product Process) ขั้นตอนที่ 4 ก าหนดความสัมพันธ์ระหว่างวิธีการต่างๆของบริษัท (Identify relationships between the firm’s how) ในขั้นที่ 4 จะน าเอากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ (Product Process) ซึ่งเป็น ผลลัพธ์ที่ได้รับจากขั้นตอนที่ 3 น าเข้ามาเป็นปัจจัยน าเข้า (Inputs) ของขั้นตอนที่ 4 เพื่อสร้างการผลิต ต่อไป ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้รับในขั้นตอนที่ 4 ที่เป็นปัจจัยส่งออก (Outputs) คือ แผนคุณภาพ (Quality Plan) กระบวนการของการขยายหน้าที่ด้านคุณภาพโดยใช้บ้านแห่งคุณภาพจะมีขั้นตอนที่มีความสัมพันธ์ เป็นล าดับขั้นที่มีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้เกิดแผนการท างานที่มีคุณภาพหรือแผนคุณภาพ ซึ่งจะท าให้เกิด ความมั่นใจได้ว่ากระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า 2. การวิเคราะห์คุณค่าหรือวิศวกรรมคุณค่า (Value Analysis and Value Engineering) การวิเคราะห์คุณค่าหรือวิศวกรรมคุณค่า เป็นความพยายามอย่างมีระบบที่ทุ่มเทให้กับการ วิเคราะห์ถึงหน้าที่การท างานของผลิตภัณฑ์หรือบริการ เป็นการแยกแยะหน้าที่การท างานของผลิตภัณฑ์ ออกมา ซึ่งจะมีทั้งหน้าที่การท างานที่จ าเป็นและหน้าที่การท างานส่วนเกิน แล้วคิดต้นทุนของหน้าที่การ ท างานแต่ละอย่าง จากนั้นจึงเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่การท างานกับต้นทุน เพื่อประเมิน คุณค่าของผลิตภัณฑ์และหาวิธีการลดหน้าที่การท างานที่ซับซ้อน (ประสงค์ ประณีตพลกรัง และคณะ, 2547 หน้า 132) วิธีนี้เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์และเกิดความประหยัด โดย ผู้ออกแบบจะต้องก าหนดวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์ หน้าที่การใช้งานพื้นฐานและหน้าที่ในการใช้งานของ ผลิตภัณฑ์เพื่อจะได้ออกแบบให้ตรงตามวัตถุประสงค์ (ปรับปรุงจาก สุมน มาลาสิทธิ์, 2546 หน้า 179) วิธีการตัดสินใจเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าในการออกแบบผลิตภัณฑ์จะต้องมีการวิเคราะห์ “คุณค่า (Value)” โดยดูจากผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย เพราะคุณค่ามีความส าคัญต่อองค์การที่ต้องออกแบบเพื่อ น าไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งพอสรุปถึงการอธิบายการวิเคราะห์คุณค่าและวิศวกรรมคุณค่า จุดมุ่งหมาย ของการวิเคราะห์คุณค่า (Value Analysis: VA) และวิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering: VE) คือ เพื่อให้กระบวนการผลิตและการผลิตผลิตภัณฑ์เกิดความง่าย วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์คุณค่า (VA)
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 77 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ และวิศวกรรมคุณค่า (VE) คือ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถปฏิบัติงานได้ดีกว่าหรือเท่ากันแต่มีต้นทุนที่ต่ ากว่า การปฏิบัติงานนี้เป็นความรับผิดชอบของหน้าที่งานทั้งหมดซึ่งจะต้องพยายามรักษาความต้องการของลูกค้า โดยใช้การวิเคราะห์คุณค่าและวิศวกรรมคุณค่าในการระบุลักษณะและการก าจัดต้นทุนที่ไม่จ าเป็น รายละเอียดของการวิเคราะห์คุณค่าจะถูกน ามาใช้เพื่อจัดการกับผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบเรียบร้อยแล้วใน เอกสารเกี่ยวกับการผลิต ซึ่งจะน ามาใช้ในการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์และความต้องการที่ แสดงในรูปของเอกสารด้านการผลิตและความต้องการซื้อ วิธีการวิเคราะห์คุณค่าและวิศวกรรมคุณค่าจะ เกี่ยวข้องกับการระดมสมองเพื่อตอบค าถามต่อไปนี้ - มีรายละเอียดบางอย่างในการออกแบบรูปลักษณะที่ไม่มีความจ าเป็นใช่หรือไม่ - สามารถรวมชิ้นส่วน 2 ชิ้นหรือมากกว่าเข้าเป็น 1 ชิ้นได้หรือไม่ - จะสามารถลดน้ าหนักได้อย่างไร - มีชิ้นส่วนที่ไม่มีมาตรฐานที่สามารถก าจัดได้หรือไม่ ตัวอย่างการวิเคราะห์คุณค่าหรือวิศวกรรมคุณค่าไปสู่การออกแบบ (Richard et al. 2004, p. 163) รูปที่ 3.6 เป็นการวาดภาพอธิบายการประกอบมอเตอร์ที่จ าเป็นต้องใช้ควบคุมโดยจะยึดติดกับต าแหน่งของราว น าที่ท าจากเหล็ก 2 อัน มอเตอร์นี้จะถูกควบคุมการท างานจากช่องเล็กๆ ด้านนอก ตัวมอเตอร์ถูกหุ้มอยู่ภายใน และมีตัวปิดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้เพื่อให้สามารถปรับปรุงต าแหน่งของอุปกรณ์ส่งสัญญาณ สิ่งส าคัญในการ ประกอบมอเตอร์นี้คือ การออกแบบฐานของตัวมอเตอร์จะต้องมีความแข็งแรงเพื่อให้สามารถดึงขึ้นและลงจาก ราวน าได้ ซึ่งจะช่วยให้มอเตอร์และที่ตั้งของอุปกรณ์ส่งสัญญาณเกิดความแข็งแรงเวลาใช้งาน มอเตอร์และ อุปกรณ์ส่งสัญญาณจะต่อสายไฟเพื่อเชื่อมต่อกับหน่วยควบคุมและส่งพลังงาน ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 163) รูปที่ 3.6 โครงร่างภายนอกของส่วนประกอบมอเตอร์ที่ต้องการ ตัวยึดติดกับสกรู ช่องว่างที่ใช้ควบคุม สายต่อ ชุดประกอบมอเตอร์ขับเคลื่อนภายในฝาครอบ ตัวยึดติดกับสกรู
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 78 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ การแก้ไขการออกแบบมอเตอร์จะแสดงอยู่ในรูปที่ 3.7 ตัวฐานของมอเตอร์ใส่เครื่องรองแกน 2 ชิ้นที่ ไม่มีการเจาะรู ตัวมอเตอร์ที่ปลอดภัยจะมีฐานที่แข็งแรงโดยการขันสกรูสองตัวและมีการเจาะรูที่เหมาะสมกับ อุปกรณ์ส่งสัญญาณรูปทรงกระบอก โดยจะมีการยึดติดอุปกรณ์ส่งสัญญาณด้วยการขันสกรู การจัดหาตัว ครอบสุดท้ายที่ต้องการจะเป็นแผ่นโลหะและจะมีการขันสกรูเพื่อให้ยึดติดกับฐานที่ตั้งทั้ง 2 ของมอเตอร์เกิด ความแข็งแรง โดยมีการขันสกรูยึดติดกับฐานเพื่อยึดและรักษาการต่อสายไฟจากตัวครอบโลหะ ซึ่งจะสามารถ ใช้งานได้จนเก่า เครื่องรองแกนที่เหมาะสมจะท ามาจากแผ่นโลหะที่มีการต่อสายไฟผ่าน สุดท้ายตัวครอบรูป กล่องที่สามารถเลื่อนเข้า – ออกได้จากด้านล่างของฐานที่ยึดติดด้วยการขันสกรูทั้ง 4 ตัว จากส่วนที่สองผ่าน ไปสู่ฐานและส่วนที่สองผ่านไปสู่ตัวครอบขั้นสุดท้าย การออกแบบมอเตอร์นี้ในปัจจุบันมีชิ้นส่วนที่จ าเป็นทั้งหมด 19 ชิ้น ซึ่งเป็นชิ้นส่วนทั้งหมดที่ต้องใช้ ในกระบวนการประกอบเพื่อผลิตมอเตอร์ ชิ้นส่วนเหล่านี้ประกอบด้วยการประกอบย่อย 2 ขั้นตอน คือ การ ประกอบมอเตอร์และอุปกรณ์ส่งสัญญาณ และชิ้นส่วนหลักๆมีทั้งหมด 8 ตัว ประกอบด้วย ตัวครอบ ฐาน เครื่องรองแกน 2 ชิ้น ตัวยืน 2 ตัว แผ่นพลาสติก และแผ่นสุดท้าย และมีสกรูทั้งหมด 9 ตัว ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 164) รูปที่ 3.7 ข้อเสนอการออกแบบมอเตอร์ ดังนั้นจึงมีการปรับปรุงการออกแบบเพื่อให้สัมพันธ์กับการออกแบบส าหรับการผลิตและการ ประกอบ (DFMA) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เกิดความง่ายจึงลดจ านวนของการแยกชิ้นส่วนประกอบ ซึ่งตัวชี้น านัก ออกแบบในการลดชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบ คือ ค าสั่งซื้อของลูกค้า วิธีการปรับปรุงเกณฑ์การออกแบบมี อยู่ 3 ประการ ซึ่งมาจากการเปรียบเทียบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่มีความจ าเป็นในระหว่างการประกอบ ดั้งนี้ 1) ในระหว่างการปฏิบัติการ (การใช้งาน) ชิ้นส่วนทั้งหมดที่ประกอบจะมีการท างานสัมพันธ์กัน 2) ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกัน หรือชิ้นส่วนสามารถแยกออกจากกันได้หลังจาก ประกอบเสร็จ ปลอกเหล็กบัดกรีและ ทาสี(4.5 x 2.75 x 24) ชุดสกรู (0.06 x 0.12) ฐานอลูมิเนียม (4 x 21.2 x 1) ตัวเซ็นเซอร์ (0.187 x 1) ตัวปิด (0.5 x 2) สกรูปลายแผ่น (2 ตัว) (0.2 x 0.5) ปลอกทองเหลือง (2 ตัว) (0.5 x 0.8) มอเตอร์ (2.75 x 4.75) สกรูมอเตอร์ (2 ตัว) (0.2 x 0.6) ปลอกพลาสติก (0.7 x 0.4) แผ่นเหล็กปลายแผ่น (4.5 x 2.5 x 1.3) สกรูฝาครอบ (4 ตัว) (0.12 x 0.3)
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 79 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ 3) ชิ้นส่วนทั้งหมดจะแยกออกจากกันได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถแยกชิ้นส่วนเพื่อปรับปรุงและ บ ารุงรักษาระหว่างการใช้งาน การใช้ประโยชน์จากลักษณะการออกแบบมีการด าเนินการดังนี้ 1) ฐาน เป็นชิ้นส่วนแรกที่ต้องประกอบ ซึ่งไม่มีชิ้นส่วนอื่นที่จะต้องน ามารวม ดังนั้นการท างานตาม หลักวิชาการมีความจ าเป็นมากกับชิ้นส่วนนี้ 2) การใส่เครื่องรองแกน (2 ชิ้น) ในขั้นตอนนี้เป็นลักษณะแรก ซึ่งไม่สร้างความพึงพอใจให้แก่นัก ออกแบบ เพราะตามหลักวิชาการฐานและเครื่องรองแกนสามารถจะใช้วัตถุดิบประเภทเดียวกัน 3) มอเตอร์ จะจัดซื้อจากผู้ประกอบรายย่อยที่เป็นผู้ขายปัจจัยการผลิต ชิ้นส่วนนี้ไม่น ามาประกอบเอง 4) การขันสกรูของมอเตอร์ (2 ตัว) ในกรณีนี้จะแยกชิ้นส่วนที่ไม่จ าเป็น เพราะชิ้นส่วนที่ใช้ยึดติด (เช่น สลักของชิ้นส่วนที่ยึดติดเข้าไปในแผ่น) เตรียมไว้เป็นส่วนประกอบส าหรับการออกแบบ 5) อุปกรณ์ส่งสัญญาณ การประกอบย่อยเกิดขึ้นตามมาตรฐานอื่นๆ ที่ก าหนดไว้(มาตรฐานการ ประกอบอุปกรณ์ส่งสัญญาณ) 6) การจัดวางสกรู ไม่มีความส าคัญ 7) ตัวยึด (2 ตัว) ซึ่งนักออกแบบเห็นว่าไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นลักษณะอันดับที่สองที่ไม่น่าพึงพอใจ การออกแบบสามารถจะรวมชิ้นส่วนนี้เข้ากับตัวฐาน 8) แผ่นสุดท้าย จ าเป็นต้องแยกเพื่อให้การประกอบแยกจากกัน (เป็นลักษณะอันดับที่ 3 ที่ไม่น่าพึง พอใจ) 9) สกรูยึดแผ่นสุดท้าย (2 ตัว) ไม่มีความส าคัญ 10. เครื่องรองแกนพลาสติก สามารถจะใช้วัตถุดิบเดียวกันได้ เพราะฉะนั้นสามารถน ามารวมกับแผ่น สุดท้าย 11. ตัวครอบ สามารถน ามารวมกับแผ่นสุดท้าย 12. สกรูขันตัวครอบ (4 ตัว) ไม่มีความส าคัญ รูปที่ 3.8 เป็นภาพวาดเพื่อทบทวนการออกแบบการประกอบมอเตอร์ที่ใช้ชิ้นส่วนเพียง 7 ชิ้น ข้อสังเกตคือจ านวนชิ้นส่วนจะลดจ านวนลง ตัวครอบพลาสติกถูกออกแบบมาให้ยึดติดกับแผ่นฐาน ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะช่วยให้การประกอบเกิดความง่ายและจ านวนชิ้นส่วนที่ใช้มีจ านวนลดลงเพื่อให้เหมาะสม กับราคาที่ถูกลง ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 165) รูปที่ 3.8 การทบทวนการออกแบบการประกอบมอเตอร์โดยใช้การวิเคราะห์การออกแบบส าหรับการผลิต
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 80 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ 3.3 แนวความคิดเกี่ยวกับการบริการ (Concept of services) จากการศึกษาลักษณะของการบริการมีดังนี้ (1) ผู้รับบริการทุกคนคิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริการ ทุกคนทราบถึงสิ่งที่ต้องการจาก การบริการและจากกระบวนการที่มีอยู่ และทุกคนได้รับประสบการณ์จากกระบวนการบริการ (2) การบริการมีความไม่แน่นอนสูง งานบริการเป็นงานที่ดีและท าหน้าที่เติมเต็มความต้องการของ ลูกค้า แต่บางครั้งผู้ใช้บริการอาจต้องการพิสูจน์ว่าการบริการสามารถสร้างความพึงพอใจได้หรือไม่ เพราะ ผู้ใช้บริการอาจได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการบริการอื่น (3) การบริการเป็นการผสมผสานระหว่างสินค้าที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน เรียกว่า “การบริการแบบ ชุด (Service Package)” การบริการแบบชุดนี้ต้องมีวิธีการปฏิบัติที่แตกต่างไป โดยใช้การออกแบบและการ จัดการที่มากกว่าการผลิตสินค้า เช่น การบริการอาหารแบบชุดที่รวมรายการอาหารหลายประเภทเข้า ด้วยกัน (4) การบริการต้องใช้การติดต่อสื่อสารสูงมาก และเกี่ยวข้องกับ “ความรู้สึกและประสบการณ์ที่ ได้รับ” ของลูกค้า ซึ่งจะไม่เหมือนกับสินค้าที่สามารถจับต้องได้ (5) การจัดการการบริการที่มีประสิทธิผลต้องมีความเข้าใจด้านการตลาดและบุคลากร ซึ่งมีลักษณะ เหมือนกับการจัดการการผลิต (6) การบริการมีลักษณะแบบเผชิญหน้า หรือเรียกว่า “Face to Face” เช่น การให้บริการทาง โทรศัพท์ การซื้อขายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์หรือการซื้อขายสินค้าทาง E – mail 1. ธุรกิจบริการและการบริการภายใน (Service Business and Internal Service) ประเด็นเกี่ยวกับการจัดการการปฏิบัติการส าหรับธุรกิจบริการซึ่งเห็นได้จากสภาพแวดล้อมในการ ปฏิบัติงานขององค์การมีอยู่ 2 ประการ คือ 1) ธุรกิจบริการ (Service Business) ธุรกิจบริการ (Service Business) เป็นการจัดการองค์การที่มีลักษณะเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิมที่ จ าเป็นต้องมีการโต้ตอบกับลูกค้าเพื่อให้บริการ ซึ่งรวมถึงการบริการทั่วๆไป เช่น ธนาคาร สายการบิน โรงพยาบาล ส านักงานกฎหมาย ร้านค้าปลีกและร้านอาหาร ลักษณะการบริการเหล่านี้สามารถก าหนด ประเภทหลักๆ ของการบริการที่มีความแตกต่างกันได้ คือ (1) การบริการอยู่บนพื้นฐานของสิ่งอ านวยความสะดวก (Facilities – based Service) โดยลูกค้า จะเดินเข้าไปใช้บริการจากสิ่งอ านวยความสะดวกด้านการบริการ เช่น เครื่อง ATM โรงพยาบาล เป็นต้น (2) การบริการอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติงานภาคสนาม (Field – based Service) เป็นการผลิต และการบริโภคเพื่อให้การบริการที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมของลูกค้า เช่น การบริการซ่อมแซมและท า ความสะอาดบ้าน 2) การบริการภายใน (Internal Service) การบริการภายใน (Internal Service) เป็นการจัดการการบริการที่ต้องการสนับสนุนกิจกรรมการ ปฏิบัติงานขององค์การขนาดใหญ่ การบริการภายในรวมถึง หน้าที่งานในกระบวนการเกี่ยวกับข้อมูล การ บัญชี วิศวกรรมและการบ ารุงรักษา ลูกค้าของการบริการภายใน คือ แผนกงานที่มีอยู่ภายในองค์การที่ ต้องการใช้บริการ ในกรณีนี้เป็นการให้บริการแก่หน่วยงานภายในองค์การของตนเอง
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 81 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ 2. แนวความคิดของการจัดการการบริการร่วมสมัย (A Contemporary View of Service Management) จากการสังเกตดูหนังสือด้านการบริหารจะเห็นว่ามีหนังสือมากมายเกี่ยวกับการบริการส าหรับผู้ ประกอบธุรกิจบริการ ในปัจจุบันแนวความคิดเกี่ยวกับวิธีการบริการมีแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน คือ คุณภาพ ลูกค้าเป็น จุดรวมความสนใจของการตัดสินใจและการกระท าทั้งหมดขององค์การบริการ ซึ่งปรัชญาของการ บริการนี้สามารถน ามาใช้ได้อย่างเหมาะสม ดูรูป 3.9 แสดงสามเหลี่ยมการบริการ ในรูปลูกค้าจะเป็น ศูนย์กลางของทุกหน้าที่งาน ทั้งกลยุทธ์การบริการ ระบบ และพนักงานที่ให้บริการแก่ลูกค้า จาก แนวความคิดนี้องค์การบริการจะมุ่งให้บริการแก่ลูกค้า โดยผ่านระบบและพนักงานที่มีอยู่ซึ่งจะท าหน้าที่ อ านวยความสะดวกภายในกระบวนการบริการ ข้อเสนอแนะแก่องค์การบริการ คือ ควรมีการให้บริการแก่ กลุ่มแรงงานภายในองค์การ เพราะการบริการจะเกี่ยวข้องกับพนักงานและลูกค้าจะรับรู้ถึงการบริการจาก พนักงาน ซึ่งพนักงานจะสัมพันธ์กับการบริการที่เกิดขึ้นจนกระทั่งเสร็จสิ้น ลูกค้าได้รับการบริการที่เป็น คุณค่าที่มาจากการจัดการ สิ่งที่องค์การบริการควรให้ความสนใจ คือ ฝ่ายการจัดการควรปฏิบัติต่อพนักงาน อย่างไร ถ้ากลุ่มแรงงานได้รับการฝึกอบรมและจูงใจอย่างดีจากฝ่ายการจัดการ พนักงานเหล่านั้นจะท างาน อย่างดีแก่ลูกค้าขององค์การ ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 221) รูปที่ 3.9 สามเหลี่ยมของการบริการ 3.4 เมตริกการออกแบบระบบการบริการ (Service – System Design Matrix) การเผชิญหน้าของการบริการอาจแสดงให้เห็นรูปร่างภายนอกของการบริการที่มีวิธีการที่แตกต่าง กัน เมตริกการออกแบบระบบการบริการแสดงรูปที่ 3.10 เป็นการระบุลักษณะทางเลือกทั่วไปขององค์การ ด้านบริการที่สามารถน ามาใช้ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ประการ ด้านบนสุดของเมตริกแสดงระดับของการติดต่อกับลูกค้า/การบริการ คือ หลักการปะทะ (Buffered Core) เป็นลักษณะทางกายภาพที่มีการแบ่งแยกลูกค้า “ระบบการแทรกซึม (Permeable System)” เป็น ความสามารถในการเจาะเข้าหาลูกค้าโดยผ่านการติดต่อแบบซึ่งหน้า “ระบบการโต้ตอบ (Reactive System)” เป็นทั้งการเจาะเข้าหาลูกค้าและการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ด้านซ้ายมือของเมตริก กลยุทธ์ การบริการ ระบบ พนักงาน สนับสนุน ลูกค้า
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 82 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ จะแสดงความเชื่อที่เกิดตามหลักเหตุผลที่เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขทางการตลาด ถ้ามีการติดต่อจาก ลูกค้าจ านวนมากจะก่อให้เกิดโอกาสทางการขายมากขึ้น ส่วนด้านขวามือของเมตริกจะแสดงให้เห็น ผลกระทบที่มีต่อประสิทธิผลของการผลิตกับความพยายามของลูกค้า หลักการปะทะ (ไม่มี) ระบบการแทรกซึม (บางครั้ง) ระบบการโต้ตอบ (มาก) สูง ต่ า โอกาส ประสิทธิภาพ การขาย การผลิต สูง ต่ า ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 227) รูปที่ 3.10 เมตริกการออกแบบระบบการบริการ การเปลี่ยนแปลงจากต าแหน่งการบริการเพื่อไปยังต าแหน่งใหม่ตามเมตริกจะหมายถึง “ลักษณะการ บริการที่เผชิญหน้ามากขึ้น” รูปที่ 3.10 แสดงถึงสถานการณ์ที่มีความผันแปรในกระบวนการบริการ ซึ่งไม่ได้ เกิดจากลูกค้าหรือการบริการแต่เป็นการไตร่ตรองอย่างรอบคอบในการสร้างสรรค์การบริการ ธุรกิจบริการที่ ประสบความส าเร็จ เช่น ร้านอาหาร McDonald และ Disneyland เกิดจากความรู้สึกของลูกค้าที่มาจากการ จัดเตรียมการบริการอย่างรอบคอบเพื่อสร้างสรรค์การบริการ ถ้าธุรกิจบริการจัดเตรียมการเผชิญหน้ากับ ลูกค้าอย่างไม่รอบคอบจะท าให้ลูกค้ารับรู้ถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการบริการนั้น บางครั้งในการบริการ อาจมีสินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งที่ลูกค้าจะได้รับ เช่น ร้านอาหารแบบบริการเต็มรูปแบบหรือตัวแทนจ าหน่าย การปฏิบัติตามค าสั่ง แบบเผชิญหน้า มีข้อจ ากัดน้อยใน การเผชิญหน้า มีข้อจ ากัดมากใน การเผชิญหน้า การติดต่อด้วย โทรศัพท์ Internet และ เทคโนโลยีแบบ on - site การติดต่อด้วย จดหมาย
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 83 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ รถยนต์ การเผชิญหน้ากับการปฏิบัติตามค าสั่งซื้อของลูกค้าจะเป็นการบริการแบบเผชิญหน้าที่มี ลักษณะเฉพาะ ซึ่งบางครั้งจ าเป็นต้องมีการพัฒนาไปสู่การโต้ตอบระหว่างลูกค้าและการบริการ เช่น การ บริการทางการแพทย์และกฎหมายจะมีทรัพยากรของระบบการบริการที่รวบรวมไว้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ให้บริการทั้งระบบในการโต้ตอบระหว่างผู้ให้บริการและลูกค้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าการบริการที่เกิดขึ้นก่อน หน้าอาจมีความสม่ าเสมอหรือแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของลูกค้า เช่น การโฆษณาจากทรัพยากรของบริษัทโดยจัด ให้มีการเยี่ยมชมส านักงานให้แก่ลูกค้ารายส าคัญ 1. กลยุทธ์การใช้เมตริก (Strategic uses of the matrix) เมตริกในรูปที่ 3.10 เป็นกลยุทธ์และนวัตกรรมที่น ามาใช้ส าหรับการปฏิบัติการ โดยการปฏิบัติการ จะน ามาใช้เพื่อสะท้อนและระบุลักษณะความต้องการพนักงานที่จะปฏิบัติงาน ซึ่งจะต้องมุ่งความสนใจอยู่ที่ การปฏิบัติการและนวัตกรรม กลยุทธ์ที่น ามาใช้กับการปฏิบัติการเพื่อให้ประสบความส าเร็จได้ต้องมีลักษณะ ดังนี้ 1) ระบบการปฏิบัติการควรมีการผสมผสานระหว่างกลยุทธ์การปฏิบัติการและการตลาด ซึ่งจะท าให้ การแลกเปลี่ยนเกิดความชัดเจนและมีความส าคัญมากขึ้น การออกแบบบริการจะต้องมีลักษณะที่ส าคัญเพียง เล็กน้อยที่อาจเกิดความผันแปรที่สามารถวิเคราะห์ได้ จุดมุ่งหมายของเมตริก คือ เป็นเครื่องที่แสดงให้เห็นถึง ความรู้สึกที่สัมพันธ์กับยอดขายของบริษัทที่มาจากการบริการเพื่อรักษาพนักงานที่มีทักษะสูง ถ้าการวางแผน ที่ก าหนดไว้ได้รับการปฏิบัติโดยใช้ลักษณะการปฏิบัติงานที่เข้มงวด 2) การส่งมอบการบริการจากการปฏิบัติงานร่วมกันของบริษัทจัดหาการบริการตามความเป็นจริง สามารถเข้าใจได้ง่ายและชัดเจน บริษัทที่รวบรวมทางเลือกมากมายของการส่งมอบเข้าไว้ด้วยกัน รายละเอียด อยู่บนเส้นทแยงมุมที่มีการบริการที่หลากหลาย 3) ยอมให้มีการเปรียบเทียบการบริการของบริษัทกับการบริการของบริษัทอื่น การเปรียบเทียบจะ ท าให้สามารถก าหนดต าแหน่งการบริการที่แตกต่างเพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน 4) วิวัฒนาการของการบริการเป็นตัวชี้น าหรือเปลี่ยนแปลงวงจรชีวิตที่อาจจะเกิดขึ้นกับค าสั่งซื้อ เหมือนกับการเติบโตของบริษัท ซึ่งการบริการจะแตกต่างจากการผลิตผลิตภัณฑ์และเมตริกกระบวนการผลิต แต่ลักษณะทั่วไปของการเติบโตจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอื่น (เช่น จากการผลิตตามค าสั่งซื้อไปสู่การ ประกอบจะท าให้สายการผลิตจะมีปริมาณงานเพิ่มขึ้น) วิวัฒนาการของการบริการสามารถเปลี่ยนแปลงทั้ง ทางตรงตามเส้นทแยงมุม เช่น การเปลี่ยนแปลงหน้าที่งานด้านการขายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการ แลกเปลี่ยน 3.5 พิมพ์เขียวของการบริการและการป้องกันความผิดพลาด (Service blueprinting and fail - safing) จากการออกแบบกระบวนการผลิตในหัวข้อที่ผ่านมา เครื่องมือมาตรฐานในการออกแบบ กระบวนการบริการ คือ “แผนผังการไหล (Flow Chart)” ต่อมาเรียกแผนผังการไหลนี้ว่าเป็น “พิมพ์เขียว ของการบริการ (Service Blueprinting)” เป็นการเน้นความส าคัญในการออกแบบกระบวนการบริการ ซึ่ง แสดงรายละเอียดของความแตกต่างนี้เกิดขึ้นในส่วนกระบวนการที่ลูกค้ามองเห็น และไม่สามารถมองเห็น ความแตกต่างนี้เรียกว่า “สายการบริการที่รับรู้ได้ (Line of visibility)” โดยใช้แผนผังการไหลหรือพิมพ์ เขียวของการบริการ การอธิบายพื้นฐานของพิมพ์เขียวของการบริการเป็นรูปลักษณะการออกแบบการบริการแต่ไม่ใช่การ จัดท าเพื่อใช้เป็นตัวชี้น าวิธีการท างานโดยตรง บางครั้งอาจจัดท าขึ้นเพื่อสร้างกระบวนการให้สอดคล้องกับ
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 84 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ การออกแบบ วิธีการจัดการกับปัญหาและการใช้ประโยชน์จากกระบวนการของ Poka – Yokes เพื่อป้องกัน เหตุการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จากข้อบกพร่องของการบริการ Poka – Yokes เป็นการแปลความหมายจาก ภาษาญี่ปุ่นที่ว่า “หลีกเลี่ยงความผิดพลาด” การหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเป็นเรื่องทั่วไปที่พบในโรงงานและใน การประกอบส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เพื่อให้แน่ใจว่าชิ้นส่วนต่างๆ สามารถรวมกันโดยใช้วิธีการที่ถูกต้อง เช่น สวิตซ์ไฟฟ้าอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเปิด - ปิดได้ทันทีถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น เครื่องมือเครื่องใช้ ในการท างานของชิ้นส่วนที่ระบุล าดับก่อน - หลังของการประกอบต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าจ านวน ชิ้นส่วนถูกต้อง ซึ่งเป็นการตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตเพื่อให้แน่ใจว่าล าดับขั้นตอนที่ปฏิบัติมี ความถูกต้อง ตัวอย่างของ Poka – Yokes เช่น 1) ถาดใส่เครื่องมือแพทย์ของศัลยแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเครื่องมือทิ้งไว้ภายในร่างกายของคนไข้ 2) ลูกค้าที่รอคอยการบริการโดยใช้คอมพิวเตอร์ท างานร่วมกับอุปกรณ์อื่น 3) การสร้างระบบเหล็กกั้นประตูแบบให้คนเดินผ่านเข้าไปทีละคน 4) เสียงเตือนจากเครื่อง ATM เพื่อให้บุคคลระมัดระวังที่จะหยิบบัตรกดเงินสดออกจากเครื่อง 5) กระจกที่วางอยู่ข้างโทรศัพท์ใช้เป็นเครื่องเตือนความจ า “Smiling Voice” ในการบริการ 6) ที่ล็อกประตูห้องน้ าบนเครื่องบินที่มีแรงดันจากภายใน สรุป การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการจนกระทั่งน าผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเป็นงานที่ท้าทาย ความสามารถของผู้ผลิต กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่น ามาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์และบริการจะเกี่ยวข้อง กับหน้าที่งานหลัก 3 หน้าที่ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ คือ การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการผลิต กระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหน้าที่งานแบบ ข้ามหน้าที่งานในธุรกิจโดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลักๆ คือ ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาแนวคิดจะเกี่ยวข้อง กับสถาปัตยกรรมของผลิตภัณฑ์ การออกแบบแนวคิด และการก าหนดตลาดเป้าหมาย ขั้นตอนที่ 2 เป็นการ พัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับการวางแผนผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย การค้นหาตลาดตลาดเป้าหมาย การ ทดสอบกลุ่มตลาดขนาดเล็ก และการวิเคราะห์ด้านการเงิน/การลงทุน ขั้นตอนที่ 3 การจัดการวิศวกรรม กระบวนการ/ผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะประกอบด้วยการก าหนดรายละเอียดของการออกแบบผลิตภัณฑ์และ เครื่องมือ/อุปกรณ์ และการสร้างและทดสอบต้นแบบของผลิตภัณฑ์และบริการ และขั้นตอนที่ 4 เป็นหน้าที่ งานเกี่ยวกับการตรวจสอบปริมาณการผลิต/การทดลองการผลิต และการเพิ่มปริมาณการผลิตตาม เป้าหมายทางการค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดใจลูกค้าและการออกแบบส าหรับผู้ใช้เรียกว่า การออกแบบเพื่อ อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการออกแบบเพื่อการใช้งานหรือประโยชน์จากผลิตภัณฑ์โดยมีการก าหนดขอบเขตของ การใช้งาน วิธีการออกแบบส าหรับลูกค้าที่น ามาใช้ คือ การขยายหน้าที่ด้านคุณภาพ เป็นการรับฟังความ คิดเห็นจากลูกค้าเพื่อน าเข้าสู่ขั้นตอนการออกแบบค าบรรยายลักษณะของผลิตภัณฑ์ผลลัพธ์สุดท้ายของ การขยายหน้าที่ด้านคุณภาพ คือ การท าความเข้าใจและการมุ่งเป้าหมายลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ จะปรับปรุงให้ดีขึ้นตามความต้องการของลูกค้าโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า บ้านแห่งคุณภาพ วิธีการสร้างบ้าน แห่งคุณภาพมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน คือ 1) การก าหนดความต้องการของลูกค้า 2) การก าหนดคุณลักษณะของ
บทที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ หน้าที่ 85 การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า 3) การก าหนดความสัมพันธ์ระหว่าง ความต้องการของลูกค้ากับคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือบริการ และ 4) การก าหนดความสัมพันธ์ระหว่าง วิธีการต่างๆของบริษัท อีกวิธีการหนึ่งการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ การวิเคราะห์คุณค่าหรือวิศวกรรม คุณค่า เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์และเกิดความประหยัด โดยจะต้องมีการ ก าหนดวัตถุประสงค์และหน้าที่ในการใช้งานของผลิตภัณฑ์เพื่อออกแบบให้ตรงตามวัตถุประสงค์ การออกแบบการบริการจะอยู่บนพื้นฐานของการบริการ 2 รูปแบบ คือ การบริการอยู่บนพื้นฐาน ของสิ่งอ านวยความสะดวก และการบริการอยู่บนพื้นฐานของการปฏิบัติงานภาคสนาม และรวมถึงการ บริการภายในที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่งานด้านการสนับสนุนต่าๆ เช่น การบัญชี วิศวกรรมและการบ ารุงรักษา เป็นต้น แนวคิดของการจัดการบริการร่วมสมัยจะอยู่บนพื้นฐานโดยให้ความส าคัญกับลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับ กลยุทธ์การบริการ ระบบ และพนักงานที่ให้บริการแก่ลูกค้า นอกจากนี้การออกแบบระบบบริการที่ เหมาะสมควรน าเมตริกการออกแบบระบบการบริการมาประยุกต์ใช้เพื่อให้การบริการประสบความส าเร็จ ซึ่งรวมถึงการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า พิมพ์เขียวของการบริการและการป้องกันความผิดพลาดซึ่งจะเน้น ความส าคัญในการออกแบบกระบวนการบริการที่แสดงรายละเอียดของความแตกต่างที่จะเกิดขึ้นในส่วน กระบวนการบริการที่ลูกค้าสามารถมองเห็นและไม่สามารถมองเห็นให้ครอบคลุมทุกกิจกรรมใน กระบวนการ เพื่อให้กระบวนการบริการเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด ค าถามท้ายบทที่ 3 ข้อ 1 จงอธิบายถึงปรัชญาในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อต่อไปนี้ 1. การออกแบบของอุตสาหกรรม (Industrial Design) 2. การออกแบบเพื่อการผลิตและการประกอบ (Design for Manufacture and Assembly) ข้อ 2 จากค าถามข้อที่ 1 นักศึกษาคิดว่าการออกแบบใดมีความส าคัญมากที่สุดส าหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่มุ่งเป้าหมายอยู่ที่ลูกค้า ข้อ 3 เอกสารการผลิตขั้นพื้นฐานที่ได้จากกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์คืออะไร และมีเอกสารกี่ประเภท ที่เกี่ยวข้องและจ าเป็นในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ข้อ 4 ปัจจัยอะไรบ้างที่ควรค านึงถึงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก่อนแนะน าผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด ข้อ 5 ท่านสามารถน าการขยายหน้าที่ด้านคุณภาพ (Quality Function Deployment) มาใช้ให้ประสบ ความส าเร็จได้อย่างไร และมีข้อจ ากัดในการน ามาใช้อย่างไรบ้าง ข้อ 6 จงอธิบายประโยชน์ที่จะได้รับของระบบการผลิตถ้าหากองค์การน า “วิศวกรรมความร่วมมือ (Concurrent Engineering)” มาใช้ ข้อ 7 จงระบุลักษณะของการปฏิบัติการส าหรับการบริการต่อไปนี้ว่ามีการติดต่อสูงหรือการติดต่อต่ า เพราะ อะไร 1. คลินิกท าฟัน 2. สายการบิน 3. ส านักงานท าบัญชี 4. ตัวแทนจ าหน่ายรถยนต์
บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 86 บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ (Process Analysis and Process Selection) วัตถุประสงค์ เมื่อศึกษาบทที่ 4 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ 1. ทราบถึงความหมายของกระบวนการ 2. อธิบายลักษณะของแผนภูมิกระบวนการ 3. ทราบถึงประเภทของกระบวนการ 4. ทราบถึงวิธีการวิเคราะห์กระบวนการ 5. รู้ถึงความแตกต่างของการวิเคราะห์กระบวนการส าหรับการผลิตและการบริการ 6. ทราบถึงความส าคัญของการคัดเลือกกระบวนการ 7. ทราบเมตริกกระบวนการผลิตภัณฑ์ 8. ทราบลักษณะการไหลของกระบวนการ 9. สามารถวิเคราะห์จุดคุ้มทุนของการคัดเลือกกระบวนการ 10. อธิบายความแตกต่างในการน าจุดคุ้มทุนไปใช้
บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 87 หัวเรื่อง 4.1 การวิเคราะห์กระบวนการ 1. ความหมายของกระบวนการ 4.2 แผนภูมิการไหลของกระบวนการ 4.3 รูปแบบของกระบวนการ 1. กระบวนการแบบขั้นตอนเดียวหรือกระบวนการแบบหลายขั้นตอน 2. กระบวนการผลิตตามค าสั่งซื้อและการผลิตเพื่อจัดเก็บ 3. กระบวนการแบบผสม 4.4 การคัดเลือกกระบวนการ 1. ประเภทของกระบวนการ 2. โครงสร้างการไหลของกระบวนการ 3. เมตริกกระบวนการ – ผลิตภัณฑ์ 4.5 การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน 5.1 การวิเคราะห์ปริมาณ - ต้นทุน 5.2 จุดคุ้มทุนเชิงซ้อน 5.3 กรณีมีสินค้าหลายชนิด สรุป ค าถามท้ายบทที่ 4 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4
บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 88 บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ (Process Analysis and Process Selection) 4.1 การวิเคราะห์กระบวนการ การท าความเข้าใจกับกระบวนการท างานเป็นหัวใจส าคัญ และเป็นสิ่งจ าเป็นต่อการแข่งขันของทุก บริษัท กระบวนการที่ไม่เหมาะสมตามความจ าเป็นของบริษัทจะก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองเวลาปฏิบัติงาน และทรัพยากรจ านวนมากของบริษัทที่ใช้ไปกับการปฏิบัติการ เช่น ถ้ามีร้านอาหารอยู่ 2 แห่ง ร้านอาหารที่ 1 สามารถจัดส่งอาหารให้แก่ลูกค้าโดยมีต้นทุนทางตรงเท่ากับ 50 บาท และร้านอาหารที่ 2 มีต้นทุนการ จัดส่งอาหารเท่ากับ 75 บาท แสดงว่าร้านอาหารที่ 2 สูญเสียรายได้ไป 25 บาทของอาหารทุกจานที่ขายได้ โดยเปรียบเทียบกับร้านอาหารที่ 1 ปัจจัยหลายประการที่จ าเป็นต้องน ามาพิจารณาเมื่อต้องการจัดตั้ง กระบวนการเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ ปัจจัยเหล่านี้อาจรวมถึงต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนการจัดเตรียมการผลิต ผลิตภัณฑ์และต้นทุนการจัดการค าสั่งซื้อและการจัดส่งให้แก่ลูกค้า 1. ความหมายของกระบวนการ (Process) กระบวนการ (Process) คือ กลุ่มของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกันซึ่งสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าเป้าหมาย โดยเป็นขั้นตอนในการท างาน เป็นการอธิบายรายละเอียดของล าดับขั้นตอนก่อน – หลัง ของการเปลี่ยน สภาพปัจจัยน าเข้าให้เป็นผลผลิต (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2547 หน้า 681) กระบวนการ (Process) คือ ส่วนต่างๆภายในขององค์การที่น าเอาปัจจัยน าเข้า (Inputs) เข้าสู่การ แปรสภาพ (Transforms) ให้กลายเป็นปัจจัยส่งออก (Outputs) ตามที่คาดหวังว่าจะสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ กว่าปัจจัยน าเข้าแรกเริ่มให้แก่องค์การ ยกตัวอย่างเช่น (1) กระบวนการประกอบรถยนต์ Accord ของบริษัท Honda Motors ในโรงงานที่เมือง Marysville รัฐ Ohio โรงงานประกอบรถยนต์แห่งนี้น าเอาชิ้นส่วนและส่วนประกอบที่คิดค้นขึ้นภายใน โรงงาน โดยใช้แรงงาน อุปกรณ์ในระหว่างสายการประกอบและพลังงาน ชิ้นส่วนและส่วนประกอบที่คิดค้น จะน ามาแปรสภาพจนกระทั่งกลายเป็นรถยนต์ (2) ร้านอาหารแต่ละร้านของ McDonald ใช้ปัจจัยน าเข้ามากมาย เช่น เนื้อสัตว์ ขนมปังโรยงา ผัก มันฝรั่งเข้าสู่การแปรสภาพออกมาเป็นรายการอาหารต่างๆ ในบทนี้จะอธิบายถึงการวิเคราะห์กระบวนการ การวิเคราะห์กระบวนการจะใช้ค าถามที่ส าคัญบาง ประการเพื่อให้ได้รับค าตอบที่มีความส าคัญ เช่น ลูกค้าจ านวนเท่าใดที่กระบวนการสามารถจัดการได้ในแต่ ละชั่วโมง การให้บริการแก่ลูกค้าใช้เวลานานเท่าใด การเปลี่ยนแปลงกระบวนการภายในที่จ าเป็นต่อการ ขยายก าลังการผลิตมีอะไรบ้าง ต้นทุนของกระบวนการเท่ากับเท่าใด ซึ่งบางครั้งการตอบค าถามเหล่านี้อาจ เป็นสิ่งที่มีความยุ่งยากแต่มีความส าคัญ ขั้นแรกในการวิเคราะห์กระบวนการเพื่อให้เกิดความชัดเจน คือ การก าหนดจุดมุ่งหมายของการวิเคราะห์ จุดมุ่งหมายส าคัญของการวิเคราะห์กระบวนการ คือ เพื่อแก้ไข ปัญหา ซึ่งผู้บริหารจะต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างถูกต้อง
บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 89 4.2 แผนภูมิการไหลของกระบวนการ (Process Flow Chart) บางครั้งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอาจส่งผลกระทบต่อบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งมี ความส าคัญและต้องน ามาพิจารณา ถ้าการปฏิบัติงานที่มีกิจกรรมจ านวนมากเกิดขึ้นพร้อมกันและ จ าเป็นต้องปฏิบัติกิจกรรมทั้งหมดในเวลาเดียวกันวิธีการที่ดีในการเริ่มต้นการวิเคราะห์กระบวนการ คือ การ วิเคราะห์กระบวนการโดยการใช้แผนผัง (Diagram) ที่แสดงส่วนประกอบพื้นฐานของกระบวนการ ซึ่งใช้ สัญลักษณ์แทนหน้าที่งานและขอบเขตของการเก็บรักษา สัญลักษณ์ของการวิเคราะห์กระบวนการ ประกอบด้วย สี่เหลี่ยมมุมฉาก หมายถึง หน้าที่งาน รูปลูกศร หมายถึง การไหลของการปฏิบัติงาน รูปสามเหลี่ยมกลับหัว (คว่ า) หมายถึง การเก็บรักษาสินค้า รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หมายถึง จุดตัดสินใจ บางครั้งการไหลของกระบวนการทั้งหมดสามารถเบี่ยงเบนการตัดสินใจซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบาง ประการ สัญลักษณ์จะมีความแตกต่างกันตามการด าเนินงานที่เป็นการไหลของการปฏิบัติการตาม กระบวนการ 4.3 รูปแบบของกระบวนการ (Types of process) ประโยชน์ของรูปแบบของกระบวนการจะน ามาใช้เพื่อช่วยอธิบายกระบวนการที่ออกแบบเพื่อใช้ใน การผลิตและการบริการ โดยใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อให้กระบวนการเกิดความรวดเร็ว ซึ่งสามารถ แบ่งรูปแบบของกระบวนการตามความเหมือนกันและความแตกต่างกันได้ดังนี้ 1. กระบวนการแบบขั้นตอนเดียวหรือกระบวนการแบบหลายขั้นตอน (Single Stage and Multiple Stage Process) ถ้าเครื่องจักรมีลักษณะการปฏิบัติงานอย่างง่าย ไม่ซับซ้อนอาจมีกระบวนการปฏิบัติงานเพียง ขั้นตอนเดียว แต่ในกรณีที่มีกิจกรรมการปฏิบัติงานหลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้องจ าเป็นต้องมีการแบ่งแยก กิจกรรมเหล่านั้นเป็นหลายขั้นตอน ซึ่งจะท าให้การปฏิบัติงานเกิดความซับซ้อนมากขึ้น ลักษณะเช่นนี้เป็น กระบวนการแบบหลายขั้นตอน ในกระบวนการแบบหลายขั้นตอนนั้นกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติการของเครื่องจักร อาจเกิดความล้มเหลวได้ ซึ่งบางครั้งในการวิเคราะห์กระบวนการอาจต้องค านวณหารอบระยะเวลา (Cycle Time) เพื่ออธิบายความเร็วของเครื่องจักร ในกระบวนการแบบหลายขั้นตอนจะประกอบด้วยกลุ่มกิจกรรม หลายกิจกรรมที่มีการเชื่อมโยงกันตลอดการไหลทั้งหมดของกระบวนการ ค าว่า “ขั้นตอน” น ามาใช้เพื่อ แสดงให้เห็นว่ามีหลายกิจกรรมที่ต้องผลิตและเชื่อมโยงไปยังบุคคลอื่นที่ปฏิบัติงานร่วมกัน
บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 90 กระบวนการแบบหลายขั้นตอนอาจมี “กันชน (Buffer)” ภายในองค์การ กันชน (Buffer) กล่าวถึง การเก็บรักษาระหว่างขั้นตอนการผลิต โดยมีปัจจัยส่งออกส ารองไว้ในแต่ละขั้นตอนตามต าแหน่งที่ก าหนดไว้ ตามล าดับก่อน – หลังเพื่อน ามาใช้กับการปฏิบัติงานของกระบวนการในขั้นตอนถัดไปจนกระทั่งสิ้นสุด กระบวนการ ดูรูปที่ 4.1 แสดงตัวอย่างของกระบวนการแบบหลายขั้นตอนที่มีกันชนอยู่ระหว่างกลาง กันชน ท าให้ขั้นตอนการปฏิบัติงานสามารถด าเนินต่อไปได้อย่างอัตโนมัติ ถ้ากระบวนการในขั้นตอนที่ 1 ป้อน ชิ้นงานให้กับกระบวนการในขั้นตอนที่ 2 โดยไม่มีกันชนอยู่ระหว่างกลาง ถ้าสมมติว่าในกระบวนการของ ขั้นตอนที่ 2 ถูกเชื่อมต่อโดยตรงตั้งแต่เริ่มแรกจากการออกแบบกระบวนการอาจก่อให้เกิดปัญหา การ หยุดชะงัก (Blocking) การขาดแคลนวัตถุดิบ (Starving) และการหยุดชะงักของการผลิต (Bottleneck) ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 107) รูปที่ 4.1 กระบวนการแบบหลายขั้นตอนที่มีกันชนอยู่ระหว่างกลาง (1) การหยุดชะงัก (Blocking) เกิดขึ้นเมื่อกิจกรรมในขั้นตอนการผลิตต้องหยุดลงเพราะไม่มีการ จัดเตรียมวัตถุดิบให้อยู่ในต าแหน่งที่ต้องการตามจ านวนที่ส ารองไว้เพื่อความปลอดภัยที่เป็นรายการสินค้า เกือบส าเร็จรูปหรืองานระหว่างท า (2) การขาดแคลนวัตถุดิบ (Starving) เกิดขึ้นเมื่อกิจกรรมในขั้นตอนการผลิตต้องหยุดชะงัก เพราะ ไม่มีวัตถุดิบใช้ในการปฏิบัติงาน (3) การหยุดชะงักของการผลิต (Bottleneck) เกิดขึ้นเมื่ออุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ปฏิบัติงานที่มีช้า ที่สุดถูกจัดวางไว้ในการไหลของกระบวนการผลิตเมื่อต้องการความรวดเร็วในการปฏิบัติงานของเครื่องจักร จะท าให้เกิดการรอคอยในสายการผลิตขึ้น การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนซึ่งเป็นสาเหตุท าให้เกิดการหยุดชะงักของการผลิต บางครั้งสามารถ แก้ไขได้โดยการใช้กระบวนการหรือขั้นตอนที่สามารถปฏิบัติงานแบบคู่ขนาน เช่น การปฏิบัติการของ ขั้นตอนที่มีรูปแบบเหมือนกัน 2 กิจกรรมหรือการก าหนดกิจกรรมที่แตกต่างกัน 2 กิจกรรมแต่สามารถ ปฏิบัติให้เสร็จสิ้นภายในเวลาเดียวกันจากหน่วยผลิตที่มีอยู่ของการผลิต การกระท าดังกล่าวนี้ตามหลัก ทฤษฎีจะท าให้ก าลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดูรูปที่ 4.2 แสดงการผลิตแบบคู่ขนานหรือกิจกรรมที่ เกิดขึ้นพร้อมกัน 2 กิจกรรมของกระบวนการผลิตแบบหลายขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนที่ 2 กันชน
บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 91 1) เส้นทางที่มีทางเลือก 50% 50% 2) กิจกรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 3) ผลิตผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน 50% 50% ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 107) รูปที่ 4.2 แสดงการผลิตแบบคู่ขนานหรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 2 กิจกรรม การวิเคราะห์ระบบโดยมีกิจกรรมหรือขั้นตอนที่เหมือนกัน ผู้วิเคราะห์ระบบจะต้องเข้าใจ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกรณีที่กระบวนการมีความเหมือนกันซึ่งจะต้องอธิบายถึงวิธีการปฏิบัติงานของ กระบวนการ เช่น การออกแบบการไหลของกระบวนการอาจใช้สัญลักษณ์ต่างๆที่กล่าวไปแล้วข้างต้น และ ใช้รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด แสดงการไหลของกระบวนการที่มีการเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งบางครั้ง กระบวนการสองกระบวนการหรือมากกว่าจะสิ้นสุดลงที่สินค้าคงเหลือเพื่อกันชน (Buffer) โดยปกติแล้วตัว ชี้แนะที่น ามาใช้กับกระบวนการ 2 กระบวนการที่มีการผลิตรายการสินค้าเหมือนกันจะผลิตสินค้าออกมา
บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 92 เป็นสินค้าคงเหลือ ซึ่งควรจะน าแผนผัง (Diagram) มาใช้แยกแยะสินค้าคงเหลือที่เป็นปัจจัยส่งออกของ กระบวนการว่ามีความคล้ายคลึงกันหรือมีความแตกต่างกัน 2. กระบวนการผลิตตามค าสั่งซื้อและการผลิตเพื่อจัดเก็บ (Make to Stock and Make to Order) กระบวนการผลิตตามค าสั่งซื้อและการผลิตเพื่อจัดเก็บ เป็นการอธิบายถึงแนวความคิดที่พิจารณา จากลักษณะของกระบวนการที่น ามาใช้ในการผลิต ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของกระบวนการผลิตทั้งสองแบบ โดยวิเคราะห์จากกระบวนการผลิตอาหารของร้านอาหาร ซึ่งแสดงตัวอย่างของร้านอาหารทั้งหมด 2 แห่ง คือ ร้าน McDonald และร้าน Burger King 1) การปรุงอาหารแบบเดิมของร้าน McDonald สินค้าส าเร็จรูป 2) การปรุงอาหารของร้าน Burger King งานระหว่างท า สินค้าส าเร็จรูป ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 109) รูปที่ 4.3 ขั้นตอนการปรุงอาหารของร้าน McDonald และร้าน Burger King วัตถุดิบ การปรุง การประกอบ การจัดเตรียมส่ง มอบให้ลูกค้า การส่งมอบ วัตถุดิบ การปรุง การประกอบ ลูกค้าหรือ มาตรฐาน การประกอบ ค าสั่งซื้อจาก ลูกค้า การส่งมอบ
บทที่ 4 การวิเคราะห์กระบวนการและการคัดเลือกกระบวนการ การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 93 3) การปรุงอาหารแบบใหม่ของร้าน McDonald งานระหว่างท า ที่มาปรับปรุงจาก Richard et al. (2004, p. 109) รูปที่ 4.3 ขั้นตอนการปรุงอาหารของร้าน McDonald และร้าน Burger King (ต่อ) ในปี 1999 ร้านอาหาร McDonald ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตโดยก าหนดให้มีการจัดเก็บ สินค้ารูปแบบใหม่ การอธิบายรูปที่ 4.3 จะเริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตที่มีการจัดเก็บสินค้าแบบเดิม ซึ่งเป็น การศึกษาจากร้านอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายของลูกค้า จากวิวัฒนาการของร้านอาหาร McDonald ที่มีกระบวนการผลิตอาหาร ซึ่งได้รับการพัฒนาวิธีการ ผลิตให้สามารถผลิตได้ปริมาณมาก แผนผังแสดงกระบวนการแบบเดิมของร้านอาหาร McDonald อยู่ในรูป ที่ 4.3 1) ต่อมาร้านอาหาร McDonald ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหารโดยอาหารจะถูกย่างในรูปแบบของ ชุดการผลิต (Batch) ที่เป็นมาตรฐาน (เช่น Big Mac ประกอบด้วย ส่วนผสมของเนื้อสัตว์2 ชิ้น ซอส เนย ของดองและหอมหัวใหญ่ที่วางอยู่บนขนมปังนุ่มรสหวานโรยงา) ซึ่งเกิดจากการจัดเตรียมและจัดเก็บไว้ ภายในคลังสินค้าที่มีถังส าหรับเก็บรักษาและสามารถจัดส่งได้อย่างรวดเร็วให้แก่ลูกค้า บุคคลที่ท าหน้าที่ ตัดสินใจเกี่ยวกับความต้องการซื้อ (Demand) ของร้านอาหาร McDonald จะจัดเตรียมค าสั่งซื้อเพื่อสั่งซื้อ วัตถุดิบจัดเก็บไว้เป็นสินค้าคงเหลือที่เก็บรักษาไว้ในที่จัดเก็บให้มีระดับที่เหมาะสมเพื่อให้กระบวนการผลิต ด าเนินการได้อย่างสม่ าเสมอและสามารถควบคุมกระบวนการทั้งหมดได้ ท าให้กระบวนการการผลิตตาม ค าสั่งซื้อเกิดประสิทธิภาพสูงสุดสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและจัดส่งให้แก่ลูกค้าอย่างรวดเร็ว กระบวนการที่มีความรวดเร็วนี้แสดงให้เห็นถึงการส่งมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้า จากตัวอย่างกระบวนการผลิตของร้านอาหาร Burger King แสดงในรูปที่ 4.3 2) จะมีอุปกรณ์ ขนส่งเกี่ยวกับการย่างที่มีลักษณะเฉพาะ ส่วนผสมของวัตถุดิบส าหรับปรุงอาหารจะจัดหาและเคลื่อนย้าย โดยอุปกรณ์ขนย้ายที่ด าเนินการย่างด้วยไฟในเวลาที่ก าหนดไว้คือ 90 วินาที ส่วนผสมจะถูกปรุงจากด้านข้าง ทั้งสองด้านด้วยรสชาติและการย่างแบบพิเศษ หลังจากนั้นจะส่งมอบต่อไปในเวลาที่แน่นอนเพื่อให้ส่วนผสม มีการเคลื่อนย้ายโดยอุปกรณ์ขนส่งเกี่ยวกับการย่างที่มีส่วนผสมพิเศษ กระบวนการนี้จะท าให้การผลิต อาหารมีลักษณะเหมือนกันทั้งหมด ระบบนี้ก่อให้เกิดลักษณะพิเศษ ผลิตภัณฑ์จะมีความสอดคล้องกันสูง ส่วนผสมที่ปรุงเรียบร้อยแล้วจะเก็บรักษาไว้ในบรรจุภัณฑ์ที่สามารถอุ่นได้ตลอดเวลาเพื่อน ามาใช้ในระหว่าง ช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง บางครั้งมาตรฐานของอาหารจะถูกจัดเตรียมและจัดเก็บเป็นสินค้าคงเหลือ เพื่อให้สามารถจัดส่งให้แก่ลูกค้าอย่างรวดเร็ว อาหารที่ผลิตตามค าสั่งซื้อของลูกค้าจะมาจากการรวม เครื่องปรุงอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ซึ่งจะช่วยให้การจัดเตรียมค าสั่งซื้อเป็นไปอย่างรวดเร็ว กระบวนการ วัตถุดิบ การปรุง ค าสั่งซื้อจากลูกค้า การประกอบ การส่งมอบ