The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเรื่อง- การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by intima225, 2023-09-14 04:53:27

การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ (Production and Operation Management)

หนังสือเรื่อง- การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ

Keywords: Management

บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 144 อัตราการใช้ประโยชน์ของก าลังการผลิต (Capacity Utilization Rate) จะแสดงออกมาในรูปของ เปอร์เซ็นต์จะเป็นการวัดผลจ านวนหน่วยที่เกิดขึ้นของก าลังการผลิตในช่วงเวลาที่ใช้ในการผลิตที่เท่ากัน (เช่น ชั่วโมงท างานของเครื่องจักรต่อวัน น้ ามันเป็นแกลลอนต่อวัน หรือจ านวนเงินของปัจจัยส่งออกต่อวัน) 1. ขนาดการผลิตที่ประหยัดและขนาดการผลิตที่ไม่ประหยัด (Economies and Diseconomies of Scale) ขนาดการผลิตที่ประหยัด (Economics of Scale) คือ ข้อได้เปรียบจากการที่บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ ชนิดใดชนิดหนึ่งในปริมาณมาก กล่าวคือจะท าให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าชนิดนั้นลดลง เช่น ท าให้เกิดการ แบ่งงานกันท าและเกิดความช านาญเฉพาะอย่าง ประหยัดต้นทุนในการบริหารและต้นทุนคงที่จึงมี ความสามารถในการลดต้นทุนแปรผัน (Variable Cost) ลงได้ ซึ่งเนื่องมาจากปริมาณของผลผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการผลิตสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2547 หน้า 252) พื้นฐานของความเข้าใจเกี่ยวกับขนาดการผลิตที่ประหยัด (Economics of Scale) คือ แนวความคิดที่ว่าโรงงานสามารถผลิตปัจจัยส่งออกได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นโดยมีต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของ ปัจจัยส่งออกลดลง และยังส่งผลท าให้ต้นทุนบางส่วนของการปฏิบัติการและต้นทุนเงินทุนต่ าลงด้วย เพราะ ชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่เป็นก าลังการผลิตอาจมาจากต้นทุนปัจจัยส่งออก เช่น ต้นทุนการจัดซื้อหรือการผลิต จ านวนมาก โรงงานจะได้รับประสิทธิผลมากขึ้นถ้าโรงงานมีขนาดใหญ่เพียงพอและมีการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรอย่างเต็มที่ในทุกหน้าที่งาน ยกตัวอย่างเช่น หน้าที่งานการจัดการวัตถุดิบ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และบุคลากรที่ให้การสนับสนุนด้านการบริหาร ในขณะเดียวกันขนาดของโรงงานที่กลายเป็นโรงงานขนาดใหญ่อาจก่อให้เกิดความไม่ประหยัด เนื่องจากขนาดได้ซึ่งกลายเป็นปัญหาตามมา ความไม่ประหยัดเนื่องจากขนาดอาจจะเกิดขึ้นได้จาก หลากหลายสาเหตุที่มีความแตกต่างกัน เช่น การบ ารุงรักษาที่มีความจ าเป็นเพื่อรักษาสิ่งอ านวยความ สะดวกที่มีขนาดใหญ่ให้สามารถปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา บางครั้งจึงจ าเป็นต้องลดเวลาการปฏิบัติงานซึ่งจะ ส่งผลกระทบอย่างต่อก าลังการผลิต เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ของประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดปัญหานี้ขึ้นบ่อยๆ การ ลดเวลาการใช้อุปกรณ์ให้ต่ าสุดจึงส่งผลกระทบต่อก าลังการผลิตรถยนต์ ในหลายกรณีขนาดของโรงงานอาจมีอิทธิพลต่อปัจจัยภายในอื่นๆ นอกเหลือจากเครื่องจักร เช่น แรงงาน และเงินลงทุน สิ่งส าคัญที่เกี่ยวข้อง คือ ต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานและการขนส่ง ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายออกจากโรงงาน 2. เส้นโค้งประสบการณ์ (The Experience Curve) เส้นโค้งประสบการณ์ (The Experience Curve) คือ เส้นที่แสดงถึงประสบการณ์ในการผลิตซึ่งมี ผลท าให้ต้นทุนต่อหน่วยโดยเฉลี่ยลดลงจากการเพิ่มขึ้นของประสบการณ์และปริมาณ ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไป คือ ขนาดการผลิตที่ประหยัด (Economics of Scale) (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2547 หน้า 285) แนวความคิดเกี่ยวกับเส้นประสบการณ์ (The Experience Curve) มาจากแนวความคิดที่ว่า โรงงานที่มีการผลิตมากกว่าจะมีประสบการณ์ที่ดีจากวิธีการผลิต น าไปสู่การลดต้นทุนการผลิตบางอย่างที่ สามารถพยากรณ์ได้ทุกครั้งที่เกิดการผลิตภายในโรงงานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ลักษณะของต้นทุนการผลิตจะ ลดลงเป็นเปอร์เซ็นต์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะการประกอบธุรกิจ รูปที่ 6.2 อธิบายเส้นโค้ง ประสบการณ์ของต้นทุนการผลิต


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 145 ต้นทุน 300 หรือ 250 ราคา 200 ต่อ 150 หน่วย 100 ต้นทุน 300 หรือ 250 ราคา 200 ต่อ 150 หน่วย 100 ก. ต้นทุนต่อหน่วยผลิตลดลงในแต่ละช่วงเวลาโดยมีค่าสะสม ข. ค่าสะสมจะลดลงอย่างชัดเจน การผลิตเพิ่มขึ้นสองเท่า ความสัมพันธ์นี้จะมีลักษณะชัดเจน เป็นแบบเส้นตรง ซึ่งในกราฟจะแสดงเส้นการเรียนรู้อยู่ที่ ระดับ 70% 0 400 800 1,200 1,600 0 400 800 1,200 1,600 ค่าสะสมรวมของการผลิตต่อหน่วย ค่าสะสมรวมของการผลิตต่อหน่วย ที่มาปรับปรุงจาก Richard B. Chase, F. Robert Jacobs and Nicholas J. Aquilano. 2004: 391 รูปที่ 6.2 เส้นโค้งประสบการณ์ 3. ความยืดหยุ่นของก าลังการผลิต (Capacity Flexibility) ความยืดหยุ่นของก าลังการผลิต (Capacity Flexibility) หมายถึง ความสามารถในการเพิ่มหรือลด ระดับการผลิตได้อย่างรวดเร็ว หรือการเปลี่ยนแปลงจากผลิตภัณฑ์หรือบริการหนึ่งไปสู่อีกแบบหนึ่งได้อย่าง รวดเร็ว ความยืดหยุ่นของก าลังการผลิตจะสามารถกระท าได้ต้องประกอบไปด้วย 1) โรงงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Plants) ลักษณะของโรงงานแบบยืดหยุ่น คือ เวลาที่ใช้ในการ เปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตทุกครั้งเท่ากับศูนย์ การใช้อุปกรณ์ด าเนินการได้อย่างเต็มที่ ชิ้นส่วนสามารถ ประกอบเข้ากันได้อย่างง่ายดาย มีเครื่องจักรที่ใช้งานง่ายและสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่ายในการทบทวน การปฏิบัติงานประจ าวัน โรงงานแบบยืดหยุ่นจะมีการปฏิบัติงานที่สามารถดัดแปลงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม กับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ภายในโรงงานจะมีอุปกรณ์ที่ติดตั้งง่าย ใช้งานง่าย และ สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว 2) กระบวนการผลิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Processes) ลักษณะทั่วไปของระบบการผลิตแบบ ยืดหยุ่นและใช้งานง่าย คือ การจัดเตรียมการผลิตและการติดตั้งอุปกรณ์ท าได้ง่าย เทคโนโลยีที่ใช้สามารถ เปลี่ยนแปลงการผลิตโดยมีต้นทุนต่ าและท าได้อย่างรวดเร็วจากสายผลิตภัณฑ์หนึ่งไปยังสายผลิตภัณฑ์อื่น ท าให้องค์การเกิดการประหยัดเนื่องจากขอบเขต การประหยัดเนื่องจากขอบเขต (Economies of Scope) หมายถึง การประหยัดที่เกิดจากวัตถุดิบ และกระบวนการผลิตที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แล้วสามารถใช้ใน การผลิตผลิตภัณฑ์อื่นหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกัน (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2547 หน้า 252) การ ประหยัดเนื่องจากขอบเขตเกิดขึ้นจากองค์การสามารถผลิตผลิตภัณฑ์หลากหลายได้โดยมีต้นทุนต่ าอันเป็น ผลมาจากการรวมการผลิตมากกว่าการผลิตแบบแยกจากกัน


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 146 3) คนงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Workers) คือ คนงานที่มีทักษะและความสามารถที่หลากหลาย และง่ายในการเปลี่ยนแปลงจากการปฏิบัติงานหน้าที่หนึ่งไปยังหน้าที่งานอื่น คนงานประเภทนี้จ าเป็นต้องได้รับ การฝึกอบรมอย่างหลากหลายและครอบคลุมหน้าที่งานต่างๆมากกว่าคนงานเฉพาะหน้าที่ และการปฏิบัติงาน จ าเป็นต้องมีผู้บริหารหรือพนักงานคอยช่วยให้การสนับสนุนเพื่อให้เปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติงาน เครื่องจักร หรือสิ่งอ านวยความสะดวกเกิดความรวดเร็วตามลักษณะงานที่ได้รับมอบหมาย 6.3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อก าลังการผลิต (The Factors Affecting of Capacity) การตัดสินใจเกี่ยวกับก าลังการผลิตอาจเกี่ยวข้องกับการออกแบบระบบการผลิต และอาจส่งผล กระทบต่อก าลังการผลิต ซึ่งจะคล้ายกับการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจริงในหน้าที่งานด้านการปฏิบัติการ ต่อไปนี้ จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับปัจจัยส าคัญที่น ามาใช้ในการพิจารณาก าลังการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1. ปัจจัยด้านสิ่งอ านวยความสะดวก (Facilities Factors) การออกแบบสิ่งอ านวยความสะดวก (Facility Design) รวมถึง ขนาดของก าลังการผลิต การ เตรียมการขยายก าลังการผลิต หัวใจส าคัญจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ 3 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยด้านท าเลที่ตั้ง (Locations) เป็นสิ่งมีความส าคัญเพราะเกี่ยวข้องกับต้นทุนจ านวนมาก เช่น ต้นทุนการขนส่ง ระยะทางการขนส่งสินค้าไปสู่ตลาด การจัดหาแรงงาน แหล่งพลังงาน และขนาดการ ขยายกิจการ 2) ปัจจัยด้านการวางผัง (Layouts) การวางผังพื้นที่การปฏิบัติงานซึ่งบางครั้งอาจพิจารณาจาก กระบวนการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นว่ามีความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ความปลอดภัยและต้นทุนการ เคลื่อนย้ายระหว่างแผนกงาน เป็นต้น 3) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) เช่น ความร้อน แสงสว่าง และการระบายอากาศที่ อาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานซึ่งต้องน ามาพิจารณาทั้งในส่วนของบุคลากรที่ปฏิบัติงานเพื่อให้งานมี ประสิทธิผล และส่วนของการออกแบบกระบวนการเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับการปฏิบัติงานเพราะถ้า การออกแบบงานไม่เหมาะสมอาจท าให้เกิดการใช้เวลาที่เปล่าประโยชน์ 2. ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์และบริการ (Product and Service Factors) การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการจะส่งผลกระทบต่อก าลังการผลิต ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารายการ ผลิตภัณฑ์และบริการมีลักษณะเหมือนกัน ความสามารถของระบบการผลิตจะผลิตผลิตภัณฑ์และบริการได้ ง่ายดายและมีความเป็นเลิศ แต่ถ้ารายการผลิตภัณฑ์และบริการมีความแตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลาที่ด าเนินการผลิตจะท าให้ความสามารถของระบบการผลิตไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นร้านอาหารจึงเสนอรายการอาหารที่จ ากัด (ไม่กี่รายการ) เพราะจะสามารถจัดเตรียมและให้บริการได้ อย่างรวดเร็วมากกว่าร้านอาหารที่มีรายการอาหารให้เลือกมากมาย โดยทั่วไปถ้าปัจจัยส่งออกมีความ หลากหลายบางครั้งจะต้องมีการก าหนดความเป็นมาตรฐาน (Standardization) เช่น วัตถุดิบที่น าไปใช้ใน ก าลังการผลิตอาจก าหนดคุณสมบัติที่มีความเป็นเลิศเพื่อให้อาหารที่ออกมามีมาตรฐานใกล้เคียงกัน นอกจากนี้การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการควรจะพิจารณาจาก รายการส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ และบริการ เพราะถ้ารายการผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างกันอาจท าให้อัตราของปัจจัยส่งออกมีความแตกต่าง กันด้วย


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 147 3. ปัจจัยด้านกระบวนการ (Process Factors) ปริมาณก าลังการผลิตของกระบวนการจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเพื่อก าหนดปริมาณที่สามารถ ผลิตได้ อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่มีความซับซ้อนมากและส่งผลกระทบต่อคุณภาพของปัจจัย ส่งออก เช่น ถ้าคุณภาพของปัจจัยส่งออกไม่ตรงตามมาตรฐานและอัตราปัจจัยส่งออกลดลงจ าเป็นจะต้องมี การตรวจสอบและทบทวนกิจกรรมการปฏิบัติงานซึ่งบางครั้งก่อให้เกิดความล่าช้าและสูญเสียต้นทุนมากขึ้น 1. สิ่งอ านวยความสะดวก 5. การปฏิบัติการ การออกแบบ การจัดตารางการผลิต ท าเลที่ตั้ง การจัดการวัตถุดิบ การวางผัง การประกันคุณภาพ สิ่งแวดล้อม นโยบายการบ ารุงรักษา 2. ผลิตภัณฑ์และบริการ ความล้มเหลวของอุปกรณ์ การออกแบบ 7. ปัจจัยภายนอก ส่วนผสมผลิตภัณฑ์ / บริการ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ 3. กระบวนการ กฎระเบียบด้านความปลอดภัย สมรรถภาพด้านคุณภาพ สหภาพแรงงาน สมรรถภาพด้านปริมาณ มาตรฐานการควบคุมมลภาวะ 4. ปัจจัยด้านมนุษย์ ข้อจ ากัดของงาน การออกแบบงาน การฝึกอบรมและประสบการณ์ การจูงใจ การจ่ายผลตอบแทน อัตราการเรียนรู้ การขาดงานและการเข้า-ออกงาน ที่มาปรับปรุงจาก Stevenson (2005, p. 175) รูปที่ 6.3 ปัจจัยที่ควรน ามาพิจารณาในการเลือกก าลังการผลิตที่มีประสิทธิผล 4. ปัจจัยด้านมนุษย์ (Human factors) การออกแบบก าลังการผลิตที่มีประสิทธิภาพจะต้องค านึงถึงพนักงานที่ปฏิบัติงานภายใน กระบวนการทั้งหมด ซึ่งในการออกแบบจะมีกิจกรรมมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับบุคลากร เช่น การฝึกอบรม และพัฒนาทักษะและประสบการณ์ที่จ าเป็นในการปฏิบัติงาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อปัจจัยส่งออก ที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ยังต้องให้ความส าคัญกับสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานของพนักงานที่สัมพันธ์กับ ก าลังการผลิต ซึ่งมีอยู่หลายประการ เช่น การขาดงาน และอัตราการเข้าออกของพนักงาน


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 148 5. ปัจจัยด้านการปฏิบัติการ (Operational Factors) ในการออกแบบก าลังการผลิตสิ่งที่ต้องค านึงถึงอีกประการหนึ่ง คือ ปัญหาการจัดตารางการผลิตซึ่ง อาจเกิดขึ้นเมื่อองค์การมีก าลังการผลิตที่มาจากการเลือกใช้อุปกรณ์มีความแตกต่างกัน อุปกรณ์มีข้อก าหนดใน การปฏิบัติงานที่แตกต่างกัน หรือบางครั้งเกิดจากการตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรักษาสินค้าคงเหลือ การจัดส่งที่ ล่าช้า การจัดซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วน การตรวจสอบคุณภาพและการควบคุมกระบวนการปฏิบัติงานอาจส่งผล กระทบต่อก าลังการผลิตที่มีประสิทธิผลได้ การขาดแคลนสินค้าคงเหลือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ท าให้บริษัทจ าเป็นต้องมีการเก็บรวบรวมรายการ สินค้าคงเหลือเพื่อส ารอง (เช่น คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น รถยนต์) เพราะบางครั้งการขาดแคลนอาจท าให้การผลิต เกิดความไม่สม่ าเสมอ ติดขัดและสะดุดเป็นครั้งคราวภายในสายการประกอบการของหน้าที่งานการผลิตได้ และบางครั้งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับก าลังการผลิตที่มีประสิทธิผล ดังนั้นก าลังการผลิตที่ไม่เพียงพอ ส าหรับการผลิตสินค้าประเภทหนึ่งอาจส่งผลกระทบต่อก าลังการผลิตในภาพรวมทั้งหมดได้เช่นกัน 6. ปัจจัยภายนอก (External Factors) ปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับก าลังการผลิต เช่น มาตรฐานของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มี คุณภาพต่ า ก าลังการผลิตที่มีมาตรฐานจะช่วยให้การปฏิบัติงานสามารถก าหนดวิธีการเลือกการจัดการเพื่อ เพิ่มคุณภาพจากการใช้ก าลังการผลิต ดังนั้นมาตรฐานเกี่ยวกับการควบคุมมลภาวะจากกระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์บางครั้งอาจท าให้ก าลังการผลิตที่มีประสิทธิผลลดลง ดังนั้นจึงจ าเป็นต้องมีการ จัดการเกี่ยวกับเอกสารตามข้อก าหนดของรัฐบาล นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับก าลังการผลิต เช่น สหภาพแรงงาน ถ้าพนักงานเรียกร้องให้มีการจ ากัดจ านวนชั่วโมงแรงงานและประเภทของงานที่ พนักงานสามารถท าได้ อาจส่งผลกระทบต่อก าลังการผลิตของบริษัท รูปที่ 6.3 แสดงถึงปัจจัยที่น ามา พิจารณาในการเลือกก าลังการผลิตที่มีประสิทธิผล 6.4 การพิจารณาก าลังการผลิต (Considerations in Capacity) การตัดสินใจเกี่ยวกับความต้องการก าลังการผลิต เป็นการพิจารณาตัดสินใจที่เกี่ยวข้องการก าหนด ระยะเวลาของการวางแผนก าลังการผลิต การตัดสินใจเพิ่มก าลังการผลิต (Adding Capacity) และการ ตัดสินใจเกี่ยวกับก าลังการผลิตที่ต้องการโดยมีรายละเอียดดังนี้ การวางแผนก าลังการผลิตจะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาระยะเวลาในการวางแผนก าลังการผลิต (Richard et al. 2004, p. 389) ในภาพรวมของการวางแผนก าลังการผลิตสามารถแบ่งตามระยะเวลาได้ 3 ช่วง คือ 1) ระยะยาว (Long – Range) เป็นการวางแผนเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุดแก่องค์การ เช่น การสร้างอาคาร อุปกรณ์ และสิ่งอ านวยความสะดวก ซึ่งเป็นการวางแผนที่ต้องใช้ เวลานานในการจัดหาหรือให้เสร็จสิ้นตามแผนงาน การวางแผนก าลังการผลิตจ าเป็นต้องให้ผู้บริหาร ระดับสูงเข้ามามีส่วนร่วมและให้การอนุมัติเห็นชอบ 2) ระยะปานกลาง (Intermediate Range) เป็นการวางแผนก าลังการผลิตประจ าไตรมาสหรือ ประจ าเดือน หรือส าหรับช่วงระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 18 เดือน เนื่องจากก าลังการผลิตอาจเกิดการ เปลี่ยนแปลง เช่น การวางแผนเกี่ยวกับการว่าจ้างแรงงาน การให้ออกจากงาน การซื้อเครื่องมือหรือ เครื่องจักรใหม่ การจัดซื้ออุปกรณ์ขนาดเล็ก และการว่าจ้างผู้รับเหมารายย่อย


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 149 3) ระยะสั้น (Short – Range) เป็นการวางแผนก าลังการผลิตที่มีระยะเวลาน้อยกว่า 1 เดือน เป็น การวางแผนเกี่ยวกับการจัดตารางเวลาการปฏิบัติงานประจ าวันหรือประจ าสัปดาห์ และจะเกี่ยวข้องกับการ ตัดสินใจปรับปรุงก าลังการผลิต เพื่อลดความแตกต่างของปัจจัยส่งออกที่ได้ก าหนดไว้ในแผนงานกับการ ปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริง การวางแผนนี้ครอบคลุมถึงการท างานล่วงเวลา การเปลี่ยนแปลงหน้าที่งานของ พนักงานและการผลิตประจ าวัน 1. การพิจารณาเพิ่มก าลังการผลิต (Consideration in Adding Capacity) การพิจารณาเพิ่มก าลังการผลิตมีหลายปัจจัยที่ต้องน ามาพิจารณา ซึ่งประกอบด้วยสิ่งส าคัญ 3 ประการ คือ 1) ความสมดุลของการบ ารุงรักษาระบบ (Maintaining System Balance) ความสมดุลอย่างสมบูรณ์แบบของโรงงานเกิดจาก ปัจจัยส่งออกในแต่ละขั้นตอนของการผลิต จะต้องจัดเตรียมอย่างพอดีและเหมาะสมกับปัจจัยน าเข้าของขั้นตอนต่อเนื่องไปจนกระทั่งสิ้นสุด กระบวนการผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการส าเร็จรูป “ความสมบูรณ์แบบ (Perfects)” โดยทั่วไป อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะท าให้เกิดขึ้นจริง อันเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น (1) ระดับการปฏิบัติการของแต่ละขั้นตอนมีความแตกต่างกัน เช่น แผนกที่ 1 อาจจะปฏิบัติงานมี ประสิทธิผลในช่วงตั้งแต่การผลิตประมาณ 90 หน่วย ถึง 100 หน่วยต่อเดือน แผนกที่ 2 อยู่ในขั้นตอนถัดไป ของกระบวนการผลิตสามารถผลิตผลิตภัณฑ์มีประสิทธิผลมากที่สุดประมาณ 75 หน่วย ถึง 85 หน่วยต่อ เดือน และแผนกที่ 3 สามารถท างานได้ดีที่สุดตลอดช่วงเวลาการผลิตได้ประมาณ 150 หน่วย ถึง 200 หน่วยต่อเดือน (2) ความต้องการของผลิตภัณฑ์และกระบวนการเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะน าไปสู่ ความไม่สมดุลของสายการผลิตแบบอัตโนมัติ 2) ความถี่ของก าลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น (Frequency of Capacity Additions) การเพิ่มก าลังการผลิตจะพิจารณาต้นทุนอยู่ 2 ประเภท คือ (1) ต้นทุนการปรับปรุงที่เกิดขึ้นบ่อยๆ การปรับปรุงก าลังการผลิตที่เกิดขึ้นท าบ่อยๆ จะมีราคาสูง ซึ่งเป็นต้นทุนทางตรงที่รวมถึงการปรับเปลี่ยนและการทดแทนอุปกรณ์เก่า การจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่และการ ฝึกอบรมพนักงานเพื่อใช้อุปกรณ์ใหม่ และต้นทุนเสียเปล่าของโรงงานหรือท าเลที่ตั้งในขณะที่มีการหยุดการ ปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงกระบวนการผลิต การปรับปรุงก าลังการผลิตที่เกิดขึ้นบ่อยๆจะ มีราคาสูง เพราะถ้าเป็นการขยายกิจการหมายความว่าก าลังการผลิตจะมีการจัดซื้ออุปกรณ์หรือเครื่องจักรมี ขนาดใหญ่ ก าลังการผลิตที่จัดซื้อจ านวนมากจะมีค่าโสหุ้ยสูงหรือก าลังการผลิตที่จัดซื้อมาอาจใช้ประโยชน์ ไม่เต็มที่ (2) ต้นทุนการปรับปรุงที่เกิดขึ้นนานๆครั้ง ซึ่งเป็นต้นทุนการปรับปรุงที่เกิดขึ้นเมื่อเครื่องจักรหรือ อุปกรณ์เกิดการช ารุดหรือซ่อมแซมกระบวนการผลิต เพื่อให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบใหม่ หรืออาจเป็นการซ่อมแซมหรือบ ารุงรักษาประจ าปี 3) แหล่งที่มาของก าลังการผลิตภายนอก (External Sources of Capacity) ในบางครั้งทางเลือกในการเพิ่มก าลังการผลิตภายในโรงงาน (หรือในบริษัท) อาจไม่ใช่วิธีการที่ ประหยัดที่สุด เพราะบริษัทยังสามารถใช้แหล่งก าลังการผลิตภายนอกที่มีอยู่ได้ โดยบริษัทมีกลยุทธ์ ทางเลือกเกี่ยวกับแหล่งที่มาของก าลังการผลิตภายนอกที่องค์การส่วนใหญ่นิยมใช้ 2 กลยุทธ์ คือ


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 150 (1) การจัดซื้อจากแหล่งภายนอก (Outsourcing) เป็นการจัดซื้อชิ้นส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์หรือ บริการจากบริษัทรับจ้างผลิตที่มีอยู่ภายนอกบริษัท เช่น ธนาคารญี่ปุ่นในแคลิฟอร์เนียจะท าสัญญากับ ผู้รับเหมารายย่อยในการตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านการตรวจสอบเช็ค (2) การแบ่งปันก าลังการผลิต (Sharing Capacity) เป็นการแบ่งปันการปฏิบัติงานภายใน กระบวนการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น สายการบินภายในประเทศ 2 แห่งมีเส้นทางการบินและความต้องการ ตามฤดูกาลที่มีความแตกต่างกัน จึงมีการแลกเปลี่ยนอากาศยาน (แก้ความยุ่งยากให้เหมาะสม) เมื่อเส้นทาง ของสายการบินหนึ่งมีการใช้สายการบินมากและอีกเส้นทางหนึ่งไม่มีการใช้สายการบินจึงแบ่งปันเส้นทาง การบินแบบใหม่ โดยใช้จ านวนสายการบินที่เหมือนกัน และบริษัทสายการบินอาจจะมีเปลี่ยนแปลงเส้นทาง การบินร่วมกัน 2. การตัดสินใจเกี่ยวกับก าลังการผลิตที่จ าเป็น (Determining Capacity Requirements) การตัดสินใจเกี่ยวกับก าลังการผลิตที่จ าเป็น เป็นการอธิบายถึงความต้องการก าลังการผลิตของแต่ ละสายผลิตภัณฑ์ สมรรถภาพของโรงงาน และการจัดสรรการผลิตภายในโรงงาน โดยมีขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1) ใช้เทคนิคการพยากรณ์เพื่อพยากรณ์ยอดขายส าหรับแต่ละผลิตภัณฑ์ภายในสายผลิตภัณฑ์ 2) ค านวณความต้องการอุปกรณ์และแรงงานที่เหมาะสมตามค่าพยากรณ์ยอดขายของแต่ละสาย ผลิตภัณฑ์ 3) คาดคะเนอุปกรณ์และแรงงานที่ต้องการใช้ทั้งหมดตามแผน บริษัทอาจตัดสินใจใช้ “การรองรับก าลังการผลิต (Capacity Cushion)” เพื่อรักษาความสมดุล ระหว่างความต้องการที่พยากรณ์และก าลังการผลิตที่เกิดขึ้นจริง การรองรับก าลังการผลิต (Capacity Cushion) คือ จ านวนทั้งหมดของก าลังการผลิตที่มีมากกว่าความต้องการที่พยากรณ์ ตัวอย่างที่ 6.2 การตัดสินใจเกี่ยวกับก าลังการผลิตที่จ าเป็น บริษัท สหรัฐการผลิต จ ากัด เป็นผู้ผลิตน้ าสลัด 2 รส คือ รสธรรมดาและรสเข้มข้น แต่ละรสบรรจุ ในขวดและถุงพลาสติก ฝ่ายบริหารของบริษัทแห่งนี้ต้องการตัดสินใจจัดหาอุปกรณ์และแรงงานที่มีความ จ าเป็นในอีก 5 ปีข้างหน้า วิธีท า ขั้นที่ 1 ใช้เทคนิคการพยากรณ์เพื่อพยากรณ์ยอดขายน้ าสลัดในแต่ละสายผลิตภัณฑ์ โดยฝ่าย การตลาดจะต้องพยากรณ์พร้อมทั้งจัดท าแผนการส่งเสริมการตลาดในอนาคตให้แก่น้ าสลัดทั้ง 2 รส ใน อนาคต และจากการพยากรณ์ยอดขายพบว่ายอดขายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีดังนี้ (หน่วย: 000) ปี 1 2 3 4 5 น้ าสลัดรสธรรมดา แบบบรรจุขวด 60 100 150 200 250 แบบบรรจุถุงพลาสติก 100 200 300 400 500 น้ าสลัดรสเข้มข้น แบบบรรจุขวด 75 85 95 97 98 แบบบรรจุถุงพลาสติก 200 400 600 650 680


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 151 ขั้นที่ 2 ค านวณหาอุปกรณ์และแรงานที่ต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับการพยากรณ์ของแต่ละสาย ผลิตภัณฑ์ที่ก าหนดไว้จากขั้นที่ 1 ปัจจุบันบริษัท สหรัฐการผลิต จ ากัด มีเครื่องจักรบรรจุน้ าสลัดใส่ขวดอยู่แล้ว 3 เครื่อง สามารถ บรรจุน้ าสลัดได้ 150,000 ขวดต่อปีต่อเครื่อง เครื่องจักรแต่ละเครื่องใช้พนักงานควบคุม 2 คน และสามารถ บรรจุน้ าสลัดได้ทั้ง 2 แบบ (รสธรรมดาและรสเข้มข้น) ปัจจุบันบริษัทฯมีพนักงานควบคุมเครื่องจักรท างาน อยู่ทั้งหมด 6 คน บริษัทฯ มีเครื่องจักรบรรจุน้ าสลัดใส่ถุงพลาสติกจ านวน 5 เครื่อง สามารถบรรจุน้ าสลัดได้ 250,000 ขวดต่อปี เครื่องจักรแต่ละเครื่องต้องใช้พนักงานควบคุม 3 คน ปัจจุบันมีพนักงานควบคุม เครื่องจักรนี้ท างานอยู่ทั้งหมด 20 คน จากการพยากรณ์สายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดสามารถจะค านวณหาความต้องการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีของ น้ าสลัดทั้งแบบบรรจุขวดและแบบบรรจุถุงพลาสติก ได้ดังนี้ (หน่วย: 000) ปี 1 2 3 4 5 แบบบรรจุขวด 135 185 245 297 348 แบบบรรจุถุงพลาสติก 300 600 900 1,050 1,180 ค านวณหาอุปกรณ์และแรงงานที่จ าเป็นในปีที่ 1 ส าหรับก าลังการผลิตน้ าสลัดบรรจุขวด 1) ก าลังการผลิตทั้งหมดของเครื่องจักร เครื่องจักร 3 เครื่อง x 150,000 ขวดต่อเครื่องจักร = 450,000 ขวดต่อปี 2) ก าลังการผลิตที่ต้องการ หาได้จากสมการต่อไปนี้ ความต้องการที่พยากรณ์ = 135,000 ก าลังการผลิตของเครื่องจักรที่มีอยู่ 150,000 = 0.9 เครื่อง 3) เปอร์เซ็นต์การใช้ประโยชน์ก าลังการผลิตทั้งหมด หาได้จากสมการต่อไปนี้ ความต้องการที่พยากรณ์ = 135,000 ก าลังการผลิตที่มีอยู่ทั้งหมด 450,000 = 0.3 หรือ 30% 4) แรงงานที่ต้องการ เครื่องจักร 1 เครื่อง ใช้พนักงานควบคุม 2 คน แรงงานที่ใช้ = 0.9 x 2 = 1.8 คน ค านวณหาอุปกรณ์และแรงงานที่จ าเป็นในปีที่ 1 ส าหรับก าลังการผลิตน้ าสลัดบรรจุถุง 1) ก าลังการผลิตทั้งหมดของเครื่องจักร เครื่องจักร 5 เครื่อง x 250,000 ถุงต่อเครื่องจักร = 1,250,000 ถุงต่อปี 2) ก าลังการผลิตที่ต้องการ หาได้จากสมการต่อไปนี้ ความต้องการที่พยากรณ์ = 300,000 ก าลังการผลิตของเครื่องจักรที่มีอยู่ 250,000 = 1.2 เครื่อง


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 152 3) เปอร์เซ็นต์การใช้ประโยชน์ก าลังการผลิตทั้งหมด หาได้จากสมการต่อไปนี้ ความต้องการที่พยากรณ์ = 300,000 ก าลังการผลิตที่มีอยู่ทั้งหมด 1,250,000 = 0.24 หรือ 24% 4) แรงงานที่ต้องการ เครื่องจักร 1 เครื่อง ใช้พนักงานควบคุม 3 คน แรงงานที่ใช้ = 1.2 x 3 = 3.6 คน ขั้นที่ 3 คาดการณ์เครื่องจักรและแรงงานที่ต้องการตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ โดยค านวณหา ก าลังการผลิตของปีถัดไปจนครบทุกปี (หน่วย: 000) ปี 1 2 3 4 5 เครื่องจักรบรรจุถุงพลาสติก เครื่องจักรที่ต้องการ 1.2 2.4 3.6 4.2 4.7 เปอร์เซ็นต์ชองก าลังการผลิตที่ใช้ประโยชน์ 24% 48% 72% 84% 94% แรงงานที่ต้องการ 3.6 7.2 10.8 12.6 14.1 เครื่องจักรบรรจุขวด เครื่องจักรที่ต้องการ 0.9 1.23 1.62 1.98 2.31 เปอร์เซ็นต์ของก าลังการผลิตที่ใช้ประโยชน์ 30% 41% 54% 65% 77% แรงงานที่ต้องการ 1.8 2.46 3.24 3.96 4.62 3. การใช้แผนผังต้นไม้เพื่อประเมินทางเลือกของก าลังการผลิต (Using decision trees to evaluate capacity alternatives) วิธีการง่ายๆที่จะก าหนดขั้นตอนของปัญหาเกี่ยวกับก าลังการผลิตโดยการใช้แผนผังการตัดสินใจ รูปแบบของแผนผังต้นไม้จะไม่ช่วยแต่เพียงท าให้เกิดความเข้าใจเท่านั้นแต่ยังช่วยค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหา แผนผังต้นไม้ คือ ตัวแบบแผนผังที่แสดงขั้นตอนอย่างต่อเนื่องของปัญหาและเงื่อนไขที่มีความส าคัญของแต่ ละขั้นตอน ในปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จ าหน่ายอยู่มากมายที่ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยในการสร้าง และการวิเคราะห์การใช้แผนผังต้นไม้ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์เหล่านั้นยังท าให้กระบวนการวิเคราะห์ท าได้ ง่ายและรวดเร็ว แผนผังต้นไม้ประกอบด้วยรูปวงกลมที่เรียกว่า Node หรือวงกลม จะแสดงถึง เหตุการณ์ที่อาจเป็นไปได้ และแขนง (Braches) ที่แยกออกตามปกติแล้วใช้รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งจะแสดง ถึงจุดของการตัดสินใจ แขนงที่แยกออกจากจุดของการตัดสินใจแสดงถึงทางเลือกที่มีอยู่ของผู้ตัดสินใจ แขนง ที่แยกออกจากจุดตัดสินใจอาจเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น การแก้ไขปัญหาของแผนผังต้นไม้จะเริ่มจากจุดสุดท้ายของแขนงต้นไม้โดยย้อนจากข้างหลังที่เป็น จุดเริ่มต้นของต้นไม้ หลังจากนั้นจึงค านวณมูลค่าความคาดหวัง (Expected Value) ของแต่ละทางเลือก การค านวณมูลค่าความคาดหวัง (Expected Value) คือ การค านวณมูลค่าของเงินตามเวลาซึ่งมี ความส าคัญส าหรับการวางแผนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว การค านวณแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นจะมีการตัดแขนง แยกย่อยออกไปโดยเลือกค่าน้อยที่สุดของแต่ละจุดตัดสินใจของแขนงย่อยทั้งหมดที่คาดหวัง และจะเลือก แขนงย่อยเดียวที่มีผลลัพธ์สูงที่สุด กระบวนการนี้จะกระท าอย่างต่อเนื่องจากจุดการตัดสินใจแรกและ เลือกใช้แขนงย่อยที่มีมูลค่าความคาดหวังสูงสุดเพื่อน ามาแก้ไขปัญหาการตัดสินใจ


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 153 ยอดขายต่ า ตัวอย่างที่ 6.3 แผนผังต้นไม้ เจ้าของร้านคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งชื่อว่า ร้าน Kitty.com ก าลังพิจารณาว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ร้าน แห่งนี้จะเป็นอย่างไร เพราะตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมายอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าของร้าน Kitty.com มีทางเลือก 3 ทางเลือก ดังนี้ 1) ขยายร้านคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีขนาดใหญ่ขึ้น 2) ย้ายท าเลที่ตั้งของร้านคอมพิวเตอร์ไปยังที่ตั้งแห่งใหม่ และ 3) ไม่เปลี่ยนแปลงหรือไม่ด าเนินการใดๆ ข้อ สมมติฐานและเงื่อนไขต่างๆ มีดังนี้ 1. ยอดขายสูงซึ่งจะเป็นผลมาจากความนิยมใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นของหน่วยงานธุรกิจ ส านักงาน รวมถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มีความเป็นไปได้ประมาณ 55% 2. ยอดขายสูงและร้าน Kitty.com ย้ายท าเลที่ตั้งแห่งใหม่จะท าให้ได้รับผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 195,000 บาท ถ้ายอดขายต่ าและร้านได้ย้ายท าเลที่ตั้งแห่งใหม่จะท าให้ได้รับผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 115,000 บาท การย้ายไปยังท าเลที่ตั้งแห่งใหม่จะมีต้นทุนเท่ากับ 210,000 บาท 3 ยอดขายสูง ถ้าร้าน Kitty.com ตัดสินใจขยายร้านจะท าให้ได้รับผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 190,000 บาท ถ้ายอดขายต่ าและตัดสินใจขยายร้านจะท าให้ได้รับผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 100,000 บาท การขยายร้านในท าเลที่ตั้งปัจจุบันจะมีต้นทุนเท่ากับ 87,000 บาท 4. ในกรณีที่ตัดสินใจไม่ด าเนินการใดๆถ้ายอดขายสูงจะท าให้ร้านมีผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 170,000 บาท และถ้ายอดขายต่ าจะได้รับผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 105,000 บาท ถ้ายอดขายสูงและท าเล ที่ตั้งเดิมจะมีการขยายเพิ่มเติมในปีที่สองต้นทุนขยายร้านเท่ากับ 87,000 บาท ยอดขายสูง รายได้ – ต้นทุนการย้าย 0.55 ย้ายท าเลที่ตั้ง 0.45 รายได้ – ต้นทุนการย้าย ยอดขายสูง รายได้ – ต้นทุนขยาย 0.55 ขยายร้าน 0.45 ร้าน Kitty.com รายได้ – ต้นทุนขยาย ยอดขายต่ า ขยายร้าน รายได้ – ต้นทุนขยาย ยอดขายสูง 0.55 ไม่ด าเนินการใดๆ ไม่ด าเนินการใดๆ รายได้ 0.45 รายได้ รูปที่ 6.4 แผนผังต้นไม้ของร้าน Kitty.com ยอดขายต่ า


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 154 วิธีท า สร้างแผนผังต้นไม้ส าหรับร้าน Kitty.com ดังรูปที่ 6.4 จุดตัดสินใจ 2 จุด (รูปสี่เหลี่ยมสีด า) และ ทางเลือก 3 ทางเลือก (วงกลมสีด า) มูลค่าผลลัพธ์แต่ละทางเลือกแสดงในรูปที่ 6.5 โดยมีการค านวณดังนี้ ทางเลือก ผลตอบแทน ต้นทุน มูลค่า ทางเลือกที่ 1 ย้ายท าเลที่ตั้งใหม่ ยอดขายสูง 195,000 x 5 = 975,000 210,000 765,000 ย้ายท าเลที่ตั้งใหม่ ยอดขายต่ า 115,000 x 5 = 575,000 210,000 365,000 ทางเลือกที่ 2 ขยายร้าน ยอดขายสูง 190,000 x 5 = 950,000 87,000 863,000 ขยายร้าน ยอดขายต่ า 100,000 x 5 = 500,000 87,000 413,000 ทางเลือกที่ 3 ไม่ด าเนินการใดๆในปัจจุบัน ยอดขายสูง ขยายร้านปีที่ 2 170,000 x 1 = 170,000 - 190,000 x 4 = 760,000 87,000 843,000 ไม่ด าเนินการใดๆในปัจจุบัน ยอดขายสูง ไม่ขยายร้าน 170,000 x 5 = 850,000 - 850,000 ไม่ด าเนินการใดๆในปัจจุบัน ยอดขายต่ า ไม่ขยายร้าน 105,000 x 5 = 525,000 - 525,000 ยอดขายสูง 765,000 x 0.55 = 420,750 0.55 ย้ายท าเลที่ตั้ง 420,750 + 164,250 = 585,000 บาท 0.45 365,000 x 0.45 = 164,250 ยอดขายสูง 863,000 x 0.55 = 474,650 0.55 ขยายร้าน 474,650 + 185,850 = 660,500 บาท ร้าน Kitty.com 0.45 413,000 x 0.45 = 185,850 ขยายร้าน 843,000 บาท ยอดขายสูง 850,000 x 0.55 = 467,500 0.55 ไม่ด าเนินการใดๆ ไม่ด าเนินการใดๆ 850,000 บาท 467,500 + 236,250 = 703,750 บาท 0.45 525,000 x 0.45 = 236,250 รูปที่ 6.5 การวิเคราะห์แผนผังต้นไม้โดยข้อมูลที่เกิดขึ้นของร้าน Kitty.com ควรเลือกทางเลือกที่ 3 เพราะผลตอบแทนสูงสุด ยอดขายต่ า ยอดขายต่ า ยอดขายต่ า


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 155 6.5 การประเมินผลทางเลือก (Evaluating Alternative) องค์การจ าเป็นต้องพิจารณาทางเลือกส าหรับก าลังการผลิตในอนาคตจากการตัดสินใจที่แตกต่าง กัน ซึ่งสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนในการตัดสินใจ คือ ผลตอบแทนหรือผลประโยชน์ที่จะได้รับจากแต่ละ ทางเลือกซึ่งอาจพิจารณาจากความยืดหยุ่นทางเศรษฐศาสตร์ด้วย เช่น ต้นทุนเท่ากับเท่าใด ระยะเวลานาน เท่าใด การปฏิบัติการและการบ ารุงรักษาเป็นอย่างไร อายุการใช้งานนานเท่าใด สามารถใช้บุคลากรและ ระบบการปฏิบัติการที่มีอยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่ สิ่งที่ไม่สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจนแต่มีความส าคัญ คือ แนวความคิดด้านลบที่อาจเกิดขึ้นของ สาธารณชน เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะก่อให้เกิด ปฏิกิริยาเคลื่อนไหว้ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าไฮดรอริกส์หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพราะประชาชนอาจคิดว่าการสร้างโรงไฟฟ้าเป็นการท าลายสิ่งมีชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งจะท าให้ปฏิกิริยาที่ แสดงออกมาเป็นการคัดค้าน หรือการสร้างสิ่งอ านวยความสะดวกอาจจ าเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายพนักงาน ไปยังท าเลที่ตั้งแห่งใหม่ การน าเทคโนโลยีใหม่ (New Technology) มาใช้ในโรงงานอาจรวมถึง การ ปรับปรุงการฝึกอบรมใหม่ให้แก่พนักงาน และการสิ้นสุดลงของหน้าที่งานหรือกิจกรรมบางอย่าง การ ปรับปรุงท าเลที่ตั้งจะเป็นสาเหตุที่ท าให้เกิดปฏิกิริยาที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยของชุมชนหรือท้องถิ่น ปฏิกิริยาที่เห็นด้วยอาจเกิดจากชุมชนหรือท้องถิ่นที่เกรงว่าบริษัทจะเคลื่อนย้ายธุรกิจออกไปและท าให้ ประชาชนขาดรายได้หรือว่างงาน ปฏิกิริยาที่ไม่เห็นด้วยเกิดจากชุมชนหรือท้องถิ่นเกิดขึ้นเมื่อชุมชนได้รับ ผลกระทบหรือสูญเสียบางอย่างที่มีความส าคัญ เช่น เสียงดัง จราจรติดขัด หรือการปล่อยมลภาวะ เทคนิคที่น าใช้ในการประเมินผลทางเลือกของก าลังการผลิตมาจากการพิจารณาจุดยืนทาง เศรษฐกิจของบริษัท คือ การวิเคราะห์การเงิน (Financial Analysis) 1. การวิเคราะห์การเงิน (Financial Analysis) ปัญหาทั่วไปที่ผู้บริหารต้องเผชิญในการตัดสินใจเกี่ยวกับก าลังการผลิต คือ การจัดสรรเงินทุนที่มี จ ากัดได้อย่างไร วิธีการพื้นฐานที่น ามาใช้ คือ การวิเคราะห์การเงินเพื่อจัดล าดับความส าคัญของข้อเสนอ เกี่ยวกับการลงทุน ค าที่มีความส าคัญ 2 ค าที่น ามาใช้ในการวิเคราะห์ทางการเงิน คือ 1) กระแสเงินสด (Cash Flow) เป็นความแตกต่างระหว่างเงินสดที่ได้รับจากการขาย (สินค้าหรือ บริการ) และจากแหล่งอื่นๆ (เช่น การจ าหน่ายอุปกรณ์เก่า) และเงินสดที่จ่ายออกไปให้แก่ค่าแรงงาน วัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการผลิต และภาษี 2) มูลค่าปัจจุบัน (Present Value) แสดงถึงมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่จะได้รับจาก ทางเลือกของการลงทุนในอนาคต วิธีการวิเคราะห์ทางการเงินมีอยู่หลายวิธีแต่วิธีที่นิยมน ามาใช้มีอยู่ 3 วิธี คือ การวิเคราะห์ระยะเวลา ในการคืนทุน (Payback Period) มูลค่าปัจจุบัน (Present Value) และอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR) 1) ระยะเวลาในการคืนทุน (Payback Period) เป็นวิธีการอย่างหยาบๆแต่ถูกน ามาใช้อย่าง กว้างขวางโดยมุ่งจุดสนใจที่ระยะเวลาด าเนินการส าหรับการลงทุนกับอัตราผลตอบแทนของเงินลงทุนครั้ง แรก เช่น การลงทุนด้วยต้นทุนครั้งแรก 6,000 บาท เงินสดที่ได้รับต่อเดือนเท่ากับ 1,000 บาท ดังนั้น ระยะเวลาในการคืนทุนเท่ากับ 6 เดือน ระยะเวลาในการคืนทุนจะไม่ค านึงถึง “มูลค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money)” เป็นการใช้วิธีแบบง่ายๆเหมาะส าหรับโครงการที่มีระยะสั้นมากกว่าโครงการที่ มีระยะยาว


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 156 2) มูลค่าปัจจุบัน (Present Value: PV) เป็นวิธีการสรุปหาต้นทุนแรกเริ่มของการลงทุน จาก กระแสเงินสดที่ได้รับในแต่ละปี และมูลค่าซากของทรัพย์สินที่คาดหวังในมูลค่า ซึ่งเรียกว่า “มูลค่าปัจจุบัน เทียบเท่า (Equivalent Current Value)” โดยใช้การจัดท าเป็นรายการบันทึกบัญชีตามมูลค่าของเงินที่ ขึ้นอยู่กับเวลา (เช่น อัตราดอกเบี้ย) 3) อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR) เป็นวิธีการสรุปหาต้นทุนเริ่มแรก ของการลงทุน โดยการประมาณกระแสเงินสดต่อปีและประมาณการมูลค่าซากในอนาคตของแผนการลงทุน จากอัตราดอกเบี้ยเทียบเท่า (Equivalent Interest Rate)” วิธีนี้จะระบุลักษณะของอัตราผลตอบแทนที่ เท่ากับผลตอบแทนในอนาคตที่คาดหวังและต้นทุนเริ่มแรก เทคนิคเหล่านี้เหมาะสมถ้าข้อมูลที่น ามาพิจารณามีความแน่นอนสูงซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการ คาดการณ์กระแสเงินสดรับในอนาคต ผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการและผู้บริหารฝ่ายอื่นๆจะต้องมีการจัดการกับ สถานการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสมเพื่ออธิบายถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอน เมื่อเกิดเงื่อนไขของความ เสี่ยงหรือความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในปัจจุบัน สรุป ก าลังการผลิต หมายถึง จ านวนทั้งหมดของปัจจัยส่งออกที่เกิดจากการใช้ปัจจัยน าเข้าตาม ความสามารถสูงสุดของกระบวนการการผลิตและการบริการที่สามารถกระท าได้ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ก าลังการ ผลิตเป็นสิ่งส าคัญส าหรับทุกธุรกิจ เพราะเป็นความสามารถในการผลิตและการให้บริการแก่ลูกค้าทั้งหมด ซึ่งจะต้องมีเพียงพอต่อความต้องการและเหมาะสมทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การวางแผนกลยุทธ์ก าลัง การผลิต คือ การค้นหาวิธีการพิจารณาตัดสินใจในภาพรวมของก าลังการผลิต การเพิ่มขึ้นของระดับการใช้ ทรัพยากรในการลงทุน การตัดสินใจเกี่ยวกับก าลังการผลิตมีความส าคัญเพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถของ องค์การในการผลิตผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าในอนาคต ส่งผลต่อต้นทุน ปฏิบัติการ ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน และส่งผลท าให้การบริหารงานมีความง่ายและสะดวก การคัดเลือกวิธีการวัดก าลังการผลิตจึงมีความส าคัญต่อการเลือกวิธีในการวัดผลและปรับปรุงก าลังการผลิต ให้ทันสมัยตามความต้องการ การก าหนดก าลังการผลิตเพื่อน ามาใช้ในการปฏิบัติการสามารถออกแบบและ แก้ไขปรับเปลี่ยนก าลังการผลิตได้จาก 2 วิธีการ คือ ก าลังการผลิตที่ออกแบบ และก าลังการผลิตที่มี ประสิทธิผล แนวคิดของการวางแผนก าลังการผลิตจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ขนาดการผลิตที่ประหยัดและ ขนาดการผลิตที่ไม่ประหยัด เส้นโค้งประสบการณ์ และความยืดหยุ่นของก าลังการผลิต โดยจะต้องพิจารณา จากโรงงานแบบยืดหยุ่น กระบวนการผลิตแบบยืดหยุ่น และคนงานแบบยืดหยุ่น โดยค านึงถึงปัจจัยที่สงผล ต่อก าลังการผลิต เช่น ปัจจัยด้านสิ่งอ านวยความสะดวก (ได้แก่ ท าเลที่ตั้ง ปัจจัยด้านการวางผัง และปัจจัย ด้านสิ่งแวดล้อม) ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ปัจจัยด้านกระบวนการ ปัจจัยด้านมนุษย์ ปัจจัยด้านการ ปฏิบัติการ และปัจจัยภายนอก การวางแผนก าลังการผลิตจะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาระยะเวลาในการวางแผนก าลังการผลิต ภาพรวมของ การวางแผนก าลังการผลิตสามารถแบ่งตามระยะเวลาได้ 3 ช่วง คือ ระยะยาว ระยะปานกลาง และระยะ สั้น ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเพิ่มก าลังการผลิต การตัดสินใจเกี่ยวกับการผลิตที่จ าเป็น และการ


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 157 ประเมินทางเลือกเกี่ยวกับก าลังการผลิต โดยกิจกรรมสุดท้ายจะต้องใช้การวิเคราะห์ทางด้านการเงินเข้ามา ช่วย เช่น กระแสเงินสด หรือมูลค่าปัจจุบันเพื่อน ามาใช้ในการจัดสรรเงินทุนและเพื่อคาดการณ์ผลตอบแทน ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต ค าถามท้ายบทที่ 6 ข้อ 1 ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับก าลังการผลิตในการด าเนินงานของโรงงานมีอะไรบ้าง และการวางแผนก าลัง การผลิตของบริษัทด้านการบริการสามารถท าได้โดยใช้วิธีใด ข้อ 2 จงระบุข้อจ ากัดในทางปฏิบัติของการประหยัดเนื่องจากขนาด (Economies of Scale) ถ้าโรงงาน ต้องชะลอการเติบโต ข้อ 3 การด าเนินงานขององค์การที่ก าหนดให้ต่อไปนี้ ก าลังการผลิตอะไรบ้างที่จะต้องสร้างเพื่อให้เกิดความ สมดุล 1. อาคารผู้โดยสารสายการบิน 2. ศูนย์คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย 3. ผู้ผลิตเสื้อผ้าส าเร็จรูป ข้อ 4 ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อก าลังการผลิตของโรงพยาบาล และก าลังการผลิตของโรงพยาบาลมีความ แตกต่างจากโรงงานผลิตสินค้าอย่างไร ข้อ 5 การบริหารควรจะเลือกสร้างก าลังการผลิตส าหรับความต้องการที่รอคอยอย่างคาดหวังหรือตอบสนอง ต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไร ข้อ 6 โรงงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Plants) และก าลังการผลิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Capacity) คือ อะไร อธิบาย


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 158 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6 ข้อ 1 บริษัท สหรัฐการค้า จ ากัด ประสบความส าเร็จอย่างสูงในช่วงหนึ่งถึงสองปีแรกของการด าเนินงาน ดังนั้นบริษัทฯ จึงวางแผนที่เปิดโรงงานแห่งที่ 2 ฝ่ายบริหารได้พยายามตัดสินใจว่าควรจะสร้างโรงงานขนาด เล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ระดับของความต้องการในโรงงานแห่งใหม่นี้สามารถจะอธิบายได้ทั้ง ความ ต้องการต่ า ปานกลาง และสูง โดยมีความน่าจะเป็นเท่ากับ 0.20 0.55 และ 0.25 ตามล าดับ 1) การด าเนินการสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ถ้าความต้องการต่ าคาดว่าบริษัทจะขาดทุนคิดเป็นมูลค่า ปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 50,000 บาท ถ้าความต้องการปานกลางคาดว่าบริษัทจะได้ก าไรคิดเป็น มูลค่าปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 100,000 บาท และถ้าความต้องการสูงคาดว่าบริษัทจะได้รับก าไร คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 175,000 บาท ต้นทุนการก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่เท่ากับ 60,000 บาท 2) การด าเนินการสร้างโรงงานขนาดกลาง ถ้าความต้องการต่ าคาดว่าบริษัทจะขาดทุนคิดเป็นมูลค่า ปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 20,000 บาท ถ้าความต้องการปานกลางคาดว่าบริษัทจะได้ก าไรคิดเป็น มูลค่าปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 110,000 บาท และถ้าความต้องการสูงคาดว่าบริษัทจะได้รับก าไร คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 125,000 บาท ต้นทุนการก่อสร้างโรงงานขนาดกลาง ประมาณ 40,000 บาท 3) การด าเนินการสร้างโรงงานขนาดเล็ก ถ้าความต้องการต่ าคาดว่าบริษัทจะได้ก าไรคิดเป็นมูลค่า ปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 15,000 บาท ถ้าความต้องการปานกลางคาดว่าบริษัทจะได้ก าไรคิดเป็น มูลค่าปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 60,000 บาท และถ้าความต้องการสูงคาดว่าบริษัทจะได้รับก าไรคิด เป็นมูลค่าปัจจุบันหลังหักภาษีเงินได้เท่ากับ 60,000 บาท ต้นทุนการก่อสร้างโรงงานขนาดเล็กประมาณ 20,000 บาท ค าสั่ง 1. จงวาดแผนผังการตัดสินใจ ส าหรับการตัดสินใจนี้ 2. จงค านวณหามูลค่าคาดหวังทางการเงิน (EMV) ของแต่ละทางเลือก 3. บริษัท สหรัฐการค้า จ ากัด ควรเลือกทางเลือกใด จึงจะดีที่สุด เพราะอะไร ข้อ 2 บริษัท สหรัฐการผลิต จ ากัด พิจารณาก าลังการผลิตส าหรับ 4 ปีข้างหน้า ปัจจุบันบริษัทมีสายการผลิต 2 สาย คือ ผลิตเครื่องฉีดน้ าหัวพลาสติกและหัวทองแดง แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ เครื่องฉีดน้ ารุ่น Nozzle 90 รุ่น Nozzle 180 และรุ่น Nozzle 360 ฝ่ายบริหารพยากรณ์ความต้องการในช่วงอีก 4 ปีดังนี้ หน่วยเป็นพัน ความต้องการต่อปี ปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 ปีที่ 4 พลาสติกรุ่น Nozzle 90 32 44 55 56 พลาสติกรุ่น Nozzle 180 15 16 17 18 พลาสติกรุ่น Nozzle 360 50 55 64 67 ทองแดงรุ่น Nozzle 90 7 8 9 10 ทองแดงรุ่น Nozzle 180 3 4 5 6 ทองแดงรุ่น Nozzle 360 11 12 15 18


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 159 สายการผลิตทั้งสองสามารถผลิตเครื่องฉีดน้ าที่มีความแตกต่างกันได้ เครื่องจักรผลิตหัวทองแดงต้อง ใช้พนักงาน 2 คนและผลิตเครื่องฉีดน้ าได้ 120,000 เครื่อง มีเครื่องจักรส าหรับฉีดพลาสติกต้องใช้พนักงาน 4 คนและผลิตเครื่องฉีดน้ าได้ 200,000 เครื่อง มีเครื่องจักรผลิตหัวทองแดง 3 เครื่อง และมีเครื่องจักรส าหรับฉีด พลาสติกเพียงเครื่องเดียว จงวางแผนความต้องการก าลังการผลิตในอีก 4 ปีข้างหน้า ข้อ 3 บริษัท ดู๋ดี๋การผลิต จ ากัด เป็นผู้ผลิตน้ าผลไม้ 2 ชนิด คือ น้ าส้มและน้ าองุ่น แต่ละรสบรรจุในขวด พลาสติกและกล่องพลาสติก ฝ่ายบริหารของบริษัทแห่งนี้ต้องการตัดสินใจจัดหาอุปกรณ์และแรงงานที่มี ความจ าเป็นในอีก 3 ปีข้างหน้า (แสดงในตารางข้างล่างนี้) ในปัจจุบันบริษัท ดู๋ดี๋การผลิต จ ากัด มีเครื่องจักรบรรจุน้ าผลไม้ใส่ขวดพลาสติก 1 เครื่อง สามารถ บรรจุน้ าผลไม้ได้ 100,000 ขวดต่อปีต่อเครื่อง เครื่องจักรแต่ละเครื่องใช้พนักงานควบคุม 1 คน และ สามารถบรรจุน้ าผลไม้ได้ 2 ชนิด (น้ าส้มและน้ าองุ่น) ปัจจุบันบริษัทฯมีพนักงานควบคุมเครื่องจักรท างานอยู่ ทั้งหมด 2 คน บริษัทฯ มีเครื่องจักรบรรจุน้ าผลไม้ใส่กล่องพลาสติกจ านวน 2 เครื่อง สามารถบรรจุน้ าสลัด ได้ 150,000 กล่องต่อปี เครื่องจักรแต่ละเครื่องต้องใช้พนักงานควบคุม 2 คน ปัจจุบันมีพนักงานควบคุม เครื่องจักรนี้ท างานอยู่ทั้งหมด 5 คน จงค านวณก าลังการผลิตของเครื่องบรรจุน้ าผลไม้ทั้งสอง ควรจัดซื้อ เพิ่มเติมหรือไม่ ถ้าซื้อควรซื้อเมื่อใด จ านวนคนงานที่ต้องการเท่ากับเท่าใด (10 คะแนน) (หน่วย: 000) ปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 น้ าส้ม แบบบรรจุขวดพลาสติก 50 70 100 แบบบรรจุกล่องพลาสติก 100 120 150 น้ าองุ่น แบบบรรจุขวดพลาสติก 20 30 50 แบบบรรจุกล่องพลาสติก 150 180 200 ข้อ 4 บริษัทก่อตั้งใหม่แห่งหนึ่งประสบความส าเร็จอย่างสูงมากภายในสองปีแรกของการด าเนินงาน จึงได้ ท าการวางแผนที่จะเปิดบริษัทอีกเป็นแห่งที่สอง ฝ่ายบริหารของบริษัทตัดสินใจว่าควรจะสร้างโรงงานขนาด เล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ ความต้องการของตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นดังนี้ คือ ผลการด าเนินงานไม่ดี ปานกลางและดี โอกาสที่ไม่ดีเท่ากับ 0.20 ปานกลางเท่ากับ 0.55 และดีเท่ากับ 0.25 ถ้าสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ผลการด าเนินงานไม่ดีจะขาดทุน 50,000 บาท ผลการด าเนินงานปาน กลางจะได้รับก าไร 100,000 บาท และผลการด าเนินงานดีจะได้รับก าไร 175,000 บาท ถ้าสร้างโรงงานขนาดกลาง ผลการด าเนินงานไม่ดีจะขาดทุน 20,000 บาท ผลการด าเนินงานปาน กลางจะได้รับก าไร 110,000 บาท ผลการด าเนินงานดีจะได้รับก าไร 120,000 บาท และยังสามารถขยาย การด าเนินงานเพิ่มโดยใช้ต้นทุนอีก 50,000 บาท แต่ก าไรที่ได้รับเพิ่มเป็น 165,000 บาท (ก่อนหักต้นทุน การขยายกิจการ) ถ้าสร้างโรงงานขนาดเล็ก ผลการด าเนินงานไม่ดีจะได้รับก าไร 15,000 บาท ผลการด าเนินงานปาน กลาจะได้รับก าไร 60,000 บาท และสามารถขยายจากโรงงานขนาดเล็กไปเป็นโรงงานขนาดกลางด้วยต้นทุน 40,000 บาท ได้รับผลก าไร 90,000 บาท (ก่อนหักต้นทุนการขยายกิจการ) ถ้าผลการด าเนินงานดีโรงงาน


บทที่ 6 การวางแผนก าลังการผลิต การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 160 ขนาดเล็กจะได้รับก าไร 60,000 บาท และสามารถขยายเพิ่มเติมเป็นโรงงานขนาดกลางด้วยต้นทุน 40,000 บาท และได้รับก าไร 90,000 บาท หรือขยายเป็นโรงงานขนาดใหญ่ด้วยต้นทุน 60,000 บาท ได้รับก าไร 160,000 บาท (ก่อนหักต้นทุนการขยายกิจการ) จงวาดภาพแผนผังต้นไม้ส าหรับประกอบการตัดสินใจนี้และอธิบายว่าทางเลือกใดที่ดีที่สุด ข้อ 5 บริษัท นครหลวงอุตสาหกรรม จ ากัด ประสบความส าเร็จอย่างสูง จึงวางแผนการด าเนินในช่วงเวลา 10 ปีข้างหน้า ฝ่ายบริหารพยายามตัดสินใจว่าควรจะสร้างโรงงานขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ความต้องการส าหรับโรงงานแห่งใหม่มีความเป็นไปได้อยู่ 3 ประการ คือ ความต้องการต่ า ปานกลาง และ สูง โดยมีความน่าจะเป็นเท่ากับ 0.30 0.50 และ 0.20 ตามล าดับ 1. การด าเนินการสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ถ้าความต้องการต่ าคาดว่าบริษัทจะมีขาดทุนปีละ 100,000 บาท ถ้าความต้องการปานกลางคาดว่าบริษัทจะได้รายได้ปีละ 1,000,000 บาท และถ้าความ ต้องการสูงคาดว่าบริษัทจะได้รับรายได้ปีละ 1,200,000 บาท ต้นทุนการก่อสร้างโรงงานและต้นทุน บ ารุงรักษาเท่ากับ 1,000,000 บาทต่อปี 2. การด าเนินการสร้างโรงงานขนาดกลาง ถ้าความต้องการต่ าคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ต่อปี 200,000 บาท ถ้าความต้องการปานกลางคาดว่าบริษัทจะได้รายได้ต่อปี 600,000 บาท และถ้าความ ต้องการสูงคาดว่าบริษัทจะได้รับรายได้ปีละ 800,000 บาท ต้นทุนการก่อสร้างโรงงานขนาดกลางและ ต้นทุนบ ารุงรักษาประมาณ 500,000 บาทต่อปี และถ้าความต้องการสูง บริษัทสามารถขยายโรงงานขนาด กลางเป็นขนาดใหญ่ในปีที่ 5 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 1,000,000 บาท และมีต้นทุนการก่อสร้างโรงงาน และต้นทุนบ ารุงรักษาเท่ากับ 800,000บาท ต่อปี 3. การด าเนินการสร้างโรงงานขนาดเล็ก ถ้าความต้องการต่ าคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ปีละ 100,000 บาท ถ้าความต้องการปานกลางคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ปีละ 300,000 บาท และถ้าความ ต้องการสูงคาดว่าบริษัทจะได้รับรายได้ปีละ 500,000 บาท ต้นทุนการก่อสร้างโรงงานขนาดเล็กและต้นทุน บ ารุงรักษาเท่ากับ 300,000 บาทต่อปี นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสามารถขยายเป็นโรงงานขนาดใหญ่ในปีที่ 5 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 800,000 บาท และมีต้นทุนการก่อสร้างโรงงานและต้นทุนบ ารุงรักษาเท่ากับ 500,000 บาทต่อปี ค าสั่ง จงวาดแผนผังต้นไม้ประกอบการตัดสินใจ พร้อมทั้งค านวณหามูลค่าคาดหวังทางการเงิน (EMV) บริษัทฯ ควรเลือกทางเลือกใด จึงจะดีที่สุด เพราะอะไร


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 161 บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง (Location Decision Techniques) วัตถุประสงค์ เมื่อศึกษาบทที่ 7 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ 1. ทราบสาเหตุส าคัญที่องค์การจ าเป็นต้องตัดสินใจเกี่ยวกับท าเลที่ตั้ง 2. อธิบายการตัดสินใจที่ส าคัญเกี่ยวกับการเลือกท าเลที่ตั้ง 3. อธิบายทางเลือกที่มีอยู่ส าหรับการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง 4. สรุปกระบวนการตัดสินใจส าหรับการเลือกท าเลที่ตั้ง 5. ทราบปัจจัยส าคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเลือกท าเลที่ตั้ง 6. อธิบายเทคนิคการแก้ไขปัญหาด้านการขนส่ง 7. สามารถวิเคราะห์และค านวณตัวแบบทางคณิตศาสตร์ในการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง 8. ทราบสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้ง


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 162 หัวเรื่อง 7.1 ท าเลที่ตั้ง 1. ความหมายของท าเลที่ตั้ง 2. ความส าคัญของท าเลที่ตั้ง 3. ประเภทของท าเลที่ตั้ง 4. ปัญหาของการเลือกท าเลที่ตั้ง 7.2 การเลือกท าเลที่ตั้ง 1. ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกท าเลที่ตั้ง 2. ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกท าเลที่ตั้งระดับโลก 3. ขั้นตอนในการเลือกท าเลที่ตั้ง 7.3 ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ที่น ามาใช้ในการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง 1. วิธีการประเมินปัจจัยแห่งความส าเร็จ 2. วิธีการหาจุดศูนย์กลาง 3. ตัวแบบการขนส่ง 1) การหาค่าเฉลยเบื้องต้นของการขนส่ง 2) การพัฒนาหาค่าเฉลยที่ดีที่สุด 3) กรณีความต้องการไม่สมดุล 7.4 การเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้ง 1. การเพิ่มระดับการผลิต 2. การเปลี่ยนแปลงแหล่งวัตถุดิบที่เป็นปัจจัยการผลิต 3. การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค 4. การรวมกิจการ 5. การผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ สรุป ค าถามท้ายบทที่ 7 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 7


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 163 บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง (Location Decision Techniques) ท าเลที่ตั้งใดที่ควรเลือกก่อสร้างสิ่งอ านวยความสะดวกที่เป็นโรงงานหรือสถานบริการ ค าถามนี้มี ความส าคัญต่อการตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์ของบริษัทด้านการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะบริษัทที่ ต้องการเติบโตและขยายกิจการไปสู่ตลาดระดับโลกและการผลิตระดับโลก เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ หยุดยั้งของข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นส่งผลก่อให้เกิด “โรงงานระดับโลก (Global Facility)” ซึ่งจะท าให้บริษัทเกิดความยืดหยุ่นในการด าเนินงานมากขึ้นจากท าเลที่ตั้งที่ใช้เป็นทางเลือกใน การประกอบการ ในทางปฏิบัติค าถามเกี่ยวกับท าเลที่ตั้งจะเชื่อมโยงกับความจ าเป็นทางการแข่งขัน 2 ประการ คือ 1) ความจ าเป็นของการผลิตซึ่งบางครั้งต้องอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้าเพื่อส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยอยู่ บนพื้นฐานของการแข่งขันในเรื่องของเวลา ข้อตกลงทางการค้า และต้นทุนการขนส่ง 2) ความจ าเป็นเพื่อให้ท าเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับแรงงานที่เหมาะสมเพื่อสร้างข้อได้เปรียบจากต้นทุน แรงงานต่ าสุดหรือทักษะทางเทคนิคสูงสุด ในบทนี้จึงอธิบายประเด็นต่างๆเกี่ยวกับขอบเขตของการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง โดยจะครอบคลุม ถึงความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับท าเลที่ตั้ง วิธีการเลือกท าเลที่ตั้ง ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ที่น ามาใช้ในการตัดสินใจ เลือกท าเลที่ตั้งและสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้ง 7.1 ท าเลที่ตั้ง (Location) การเลือกท าเลที่ตั้งเป็นสิ่งส าคัญและเป็นปัญหาที่จะต้องน ามาพิจารณาตัดสินใจ เพราะท าเลที่ตั้ง ของสถานที่ประกอบการอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสาเหตุท าให้ธุรกิจจ าเป็นต้องใช้วิธีการ ประกอบการตัดสินใจในการเลือกท าเลที่ตั้งอย่างเหมาะสม การเลือกท าเลที่ตั้งเป็นหน้าที่งานที่ส่งผลกระทบ ต่อองค์การในระยะยาว เพราะการก่อสร้างโรงงานหรือสถานประกอบการจ าเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง ทั้งยังมี ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลกระทบโดยตรงมากมาย เช่น ต้นทุน สภาพแวดล้อม การติดต่อสื่อสาร 1. ความหมายของท าเลที่ตั้ง 1) ท าเลที่ตั้ง หมายถึง แหล่งที่จะท าให้ธุรกิจสามารถประกอบกิจกรรมได้สะดวกที่สุด โดยค านึงถึง ก าไร ค่าใช้จ่าย ความสัมพันธ์กับลูกค้า ความสัมพันธ์กับพนักงาน และสภาพแวดล้อมภายนอกอื่นๆ ตลอด ระยะเวลาที่ธุรกิจประสงค์จะประกอบกิจกรรมนั้น (เอกสารการสอนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชุดวิชา การบริหารการผลิต หน่วยที่ 1 – 7, 2541 หน้า 198) 2. ความส าคัญของท าเลที่ตั้ง (1) ท าให้เกิดข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน การเลือกท าเลที่ตั้งของธุรกิจที่มีต้นทุนต่ าสุดและมีความ เหมาะสม จะท าให้ธุรกิจเกิดข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่มาจากกลยุทธ์ต้นทุนต่ า ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มี ความส าคัญในการด าเนินธุรกิจ เพราะกลยุทธ์ต้นทุนต่ าเป็นที่ปรารถนา


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 164 (2) ประหยัดต้นทุนการด าเนินงาน การเลือกท าเลที่ตั้งที่มีต้นทุนต่ าช่วยให้เกิดการประหยัดต้นทุน การด าเนินงาน เพราะธุรกิจจะเกิดความประหยัดจากต้นทุนต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น วัตถุดิบ แรงงาน ฯลฯ ดังนั้น ธุรกิจจะต้องพิจารณาเลือกท าเลที่ตั้งที่มีความพร้อมจากปัจจัยทั้งด้านเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่อให้ ธุรกิจเกิดความประหยัดในการปฏิบัติงานมากที่สุด (3) ช่วยให้การขยายกิจการมีประสิทธิภาพ การเลือกท าเลที่ตั้งที่เหมาะสมจะท าให้การขยาย กิจการของธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดก าลังการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ สร้างความ พร้อมให้แก่กิจการ ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงงานเดิมหรือการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ (4) ท าให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่า การเลือกท าเลที่ตั้งที่เหมาะสมจะท าให้ธุรกิจเกิดการลงทุนที่ คุ้มค่าเพราะการลงทุนเกี่ยวกับท าเลที่ตั้งจ าเป็นต้องใช้เงินลงทุนจ านวนมาก ถ้าผู้บริหารวิเคราะห์และ ตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้งที่เหมาะสมแล้วจะท าให้ลงทุนทางการเงินสามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว (5) ช่วยในการก าหนดกลยุทธ์ของธุรกิจ การเลือกท าเลที่ตั้งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจ เช่น ต้นทุน การก่อสร้างต่ า วัตถุดิบและแรงงานที่หาง่าย จะช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์และคิดค้นกลยุทธ์เพื่อใช้ใน การแข่งขันทางธุรกิจได้ง่ายและชัดเจน 3. ประเภทของท าเลที่ตั้ง ประเภทของอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่ส าคัญที่น ามาใช้ในการก าหนดลักษณะเฉพาะของท าเลที่ตั้ง ปัจจัยส าคัญในการก าหนดท าเลที่ตั้งของธุรกิจผลิตมักจะแตกต่างจากธุรกิจบริการหรือคลังสินค้า ในบทนี้จะ อธิบายถึงประเภทหลักๆ ของอุตสาหกรรมและปัจจัยที่แตกต่างกันที่ส าคัญและจ าเป็นส าหรับการเลือกท าเล ที่ตั้ง 1) อุตสาหกรรมหนัก (Heavy manufacturing) มักเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ จ าเป็นต้องใช้พื้นที่ ขนาดใหญ่ และมีต้นทุนการก่อสร้างสูงมาก เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ โรงหลอมเหล็ก และโรงกลั่นน้ ามัน ปัจจัยส าคัญในการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้งส าหรับอุตสาหกรรมประเภทนี้ คือ ต้นทุนการก่อสร้าง ต้นทุน ที่ดิน วิธีการขนส่งเพื่อจัดส่งชิ้นส่วนขนาดใหญ่ที่ผลิตออกมา อยู่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ สาธารณูปโภค วิธีการ ก าจัดของเสียจากโรงงาน และแรงงานที่หาได้ง่าย ท าเลที่ตั้งส าหรับโรงงานผลิตโดยทั่วไปจะเลือกจากต้นทุน ที่ดินและการก่อสร้างเพื่อให้มีต้นทุนต่ าสุด และแหล่งวัตถุดิบจะต้องอยู่ใกล้เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง การ เข้าถึงเส้นทางคมนาคมเป็นปัจจัยส าคัญในการเลือกท าเลที่ตั้งโรงงาน ในปัจจุบันประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมี ความส าคัญเพิ่มขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นปัจจัยส าคัญในการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้งโรงงาน 2) อุตสาหกรรมเบา (Light Manufacturing) ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นโรงงานที่สะอาดผลิต อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้การประกอบ เช่น โทรทัศน์ โรงงานผลิตเบียร์ หรือบริษัทผลิตยารักษาโรค ปัจจัยส าคัญส าหรับอุตสาหกรรมเหล่านี้ในการ ตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้งมักจะเป็นต้นทุนการขนส่งระหว่างคลังสินค้า การอยู่ใกล้ตลาดจะเป็นปัจจัยส าคัญที่ น ามาพิจารณาขึ้นอยู่กับความจ าเป็นในการขนส่ง รวมถึงความถี่ของความจ าเป็นในการขนส่งแก่ลูกค้า 3) อุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการ (Retail and Service) โดยปกติจะมีต้นทุนเพียงเล็กน้อยหรือ ต่ ากว่าอุตสาหกรรมประเภทอื่นที่กล่าวมาข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีก ที่ขายของช าหรือ ห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าปลีกประเภทต่างๆ ส่วนธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร ธนาคาร ห้องพัก ร้านซัก แห้ง คลินิกรักษาโรค ยกเว้นธุรกิจบริการบางแห่ง เช่น โรงพยาบาล ส านักงานใหญ่ของธุรกิจ โรงแรม หรือ สถาบันการศึกษาจะมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่และมีต้นทุนสูง ปัจจัยที่ส าคัญประการหนึ่งส าหรับการเลือก ท าเลที่ตั้งของอุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการ คือ อยู่ใกล้ลูกค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส าคัญมากส าหรับธุรกิจ


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 165 บริการอาคารที่จ าเป็นต้องอยู่ใกล้ลูกค้าที่ให้บริการ ธุรกิจค้าปลีกจะต้องอยู่ใกล้ลูกค้าที่จะซื้อสินค้า ต้นทุน ก่อสร้างมีความส าคัญน้อยมาก ถึงแม้ว่าต้นทุนการเช่าซื้อหรือต้นทุนที่ดินจะสูงมากก็ตาม แต่ส าหรับธุรกิจค้า ปลีกมักมีค ากล่าวที่ว่า “ท าเลที่ตั้งคือทุกสิ่ง” ต้นทุนท าเลที่ตั้งจะสูงมาก ปัจจัยอื่นๆ เช่น การแบ่งเขต สาธารณูปโภค การขนส่ง ข้อจ ากัดเรื่องสิ่งแวดล้อม และแรงงานมีแนวโน้มที่จะมีความส าคัญน้อยส าหรับ ธุรกิจบริการ และการอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบมักจะมีความส าคัญส าหรับธุรกิจผลิต เพราะต้องอยู่ใกล้กับวัตถุดิบ และผู้ผลิตชิ้นส่วน 4. ปัญหาของการเลือกท าเลที่ตั้ง การเลือกท าเลที่ตั้งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่การพิจารณาเลือกท าเล ที่ตั้งมักจะอยู่ในความคิดของผู้บริหารตลอดเวลา การเลือกท าเลที่ตั้งไม่เพียงแต่เป็นการก่อสร้างโรงงานแห่ง ใหม่เท่านั้นแต่ยังรวมถึงการขยายโรงงาน การขยายกิจการ การย้ายท าเลที่ตั้งใหม่ เป็นต้น ดังนั้นผู้บริหารจึง จ าเป็นต้องมีทางเลือกเกี่ยวกับการจัดการท าเลที่ตั้งเพื่อใช้ในการตัดสินใจ ได้แก่ (ปรับปรุงจาก เอกสารการ สอนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชุดวิชา การบริหารการผลิต หน่วยที่ 1 – 7, 2541 หน้า 203) ทางเลือกที่ 1 ขยายโรงงานเดิมหรือท าเลที่ตั้งเดิมที่มีอยู่เท่าที่เป็นไปได้ ทางเลือกที่ 2 คงสภาพโรงงานหรือท าเลที่ตั้งเดิมที่มีอยู่ แล้วเลือกท าเลที่ตั้งแห่งใหม่ในท าเลที่ตั้งอื่น ทางเลือกที่ 3 ไม่ขยายกิจการ เช่น เพิ่มอุปกรณ์ สิ่งอ านวยความสะดวกต่างๆหรือเลือกท าเลที่ตั้ง แห่งใหม่ แต่ใช้การจัดหาผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor) ปฏิบัติงานต่อในส่วนที่เกินก าลังการผลิต ทางเลือกที่ 4 ยกเลิกโรงงานหรือท าเลที่ตั้งที่มีอยู่เดิมแล้วพิจารณาหาท าเลที่ตั้งแห่งใหม่เพื่อสร้าง โรงงานใหม่ การตัดสินใจใช้ทางเลือกใดนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายและวัตถุประสงค์ของธุรกิจ ประโยชน์ที่คาดว่าจะ ได้รับ และฐานะทางการเงินของกิจการ เนื่องจากการจัดหาท าเลที่ตั้งแห่งใหม่จ าเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงจึง ต้องพิจารณาให้รอบคอบและต้องประเมินผลแต่ละทางเลือกอย่างเหมาะสม แล้วจึงเลือกทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่งที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ขององค์การ 7.2 การเลือกท าเลที่ตั้ง (Location Selection) วิธีการเลือกท าเลที่ตั้งของผู้รับผิดชอบจะต้องพิจารณารายละเอียดของปัจจัยต่างๆที่มีอยู่มากมาย ซึ่งในที่นี้ ประกอบด้วย ปัจจัยในเลือกท าเลที่ตั้ง ขั้นตอนและวิธีการต่างๆ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกท าเลที่ตั้ง โดยทั่วไปการเลือกท าเลที่ตั้งของธุรกิจจ าเป็นต้องพิจารณาจากปัจจัยส าคัญ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) ปัจจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Factors) หมายถึง ปัจจัยเกี่ยวกับท าเลที่ตั้งที่ไม่สามารถวัดใน รูปของตัวเลขได้ชัดเจน ปัจจัยประเภทนี้มีชื่อเรียกอื่นๆ ได้แก่ ปัจจัยที่ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจ (Non – Economic Factors) ปัจจัยที่ไม่มีตัวตน (Tangible Factors) หรือปัจจัยที่อยู่บนพื้นฐานของความคิด ส่วนตัว (Subjective Factors) (เอกสารการสอนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชุดวิชา การบริหารการ ผลิต หน่วยที่ 1 – 7, 2541 หน้า 206) ปัจจัยเชิงคุณภาพที่น ามาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ได้แก่ (1) ตลาดหรือลูกค้า (Market or Customers) จ านวนของลูกค้าหรือขนาดของตลาดเป็นปัจจัย ส าคัญที่ธุรกิจน ามาประกอบการตัดสินใจ เพราะการก่อสร้างสถานประกอบการอาจจ าเป็นต้องอยู่ใกล้ตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริการ และนอกจากนี้โรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งอาจจ าเป็นต้องตั้งอยู่ใกล้ตลาด ซึ่งโรงงานเหล่านี้ได้แก่ โรงงานที่ผลิตสินค้าที่เน่าเสียง่าย เช่น ขนมปัง นมสด เป็นต้น


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 166 (2) แรงงาน (Labor) แรงงานเป็นปัจจัยส าคัญของการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ธุรกิจประเภทที่ต้องการใช้แรงงานจ านวนมาก เช่น อุตสาหกรรมการผลิตคอมพิวเตอร์ อุตสาหกรรมการ ประกอบรถยนต์ อุตสาหกรรมทอผ้า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว การเลือกท าเลที่ตั้งจะต้องพิจารณาเชิง คุณภาพของแรงงาน เช่น จ านวนแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ ทักษะและประสบการณ์เพียงพอ สามารถหาได้ง่าย (3) ทัศนคติของชุมชน (Attitude) เป็นความรู้สึกของชุมชนหรือของประเทศที่มีต่อธุรกิจ เป็น ลักษณะของการแสดงออกว่าชอบหรือไม่ชอบธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น ทัศนคติของชุมชนต่อธุรกิจของ ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนภายในประเทศ เช่น การลงทุนของกลุ่มค้าปลีก Tesco จากประเทศอังกฤษที่เข้า มาประกอบการในประเทศและได้ถูกต่อต้านจากผู้ประกอบการภายในประเทศ ข้อดีของการก่อตั้งกิจการ ภายในชุมชน คือ ท าให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศและประชาชนได้ซื้อสินค้าราคาถูก ข้อเสีย คือ ท าให้ ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กภายในประเทศเกิดความเดือดร้อนเพราะสูญเสียลูกค้า เป็นต้น ดังนั้นการเลือกท าเล ที่ตั้งจะต้องพิจารณาทัศนคติของชุมชนเพราะอาจส่งผลกระทบต่อการด าเนินงานและความส าเร็จของ องค์การ (4) สภาพแวดล้อม (Environment) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมของชุมชนหรือ ประเทศที่กิจการต้องการที่จะสร้างโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งบางครั้งโรงานที่ตั้งอยู่ในชุมชนอาจเกิดข้อดี เช่น เกิด การจ้างแรงงาน ชุมชนมีการเติบโต และมีรายได้สูง ข้อเสีย คือ การปล่อยควันพิษ น้ าเสีย ความเจ็บป่วยของ ผู้คน มลภาวะจากเสียง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายแก่สภาพแวดล้อมได้ 2) ปัจจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Factors) หมายถึง ปัจจัยเกี่ยวกับท าเลที่ตั้งที่สามารถวัดเป็น ตัวเลข ซึ่งมักแสดงในรูปตัวเงินที่เรียกว่า “ต้นทุน” ปัจจัยประเภทนี้มีชื่อเรียกอื่นๆ ได้แก่ ปัจจัยทาง เศรษฐกิจ (Economics Factors) ปัจจัยที่มีตัวตน (Tangible Factors) หรือปัจจัยที่อยู่บนพื้นฐานของ ความเป็นจริง (Subjective Factors) (เอกสารการสอนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชุดวิชา การบริหาร การผลิต หน่วยที่ 1 – 7, 2541 หน้า 206) ปัจจัยเชิงปริมาณที่น ามาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ได้แก่ (1) วัตถุดิบ (Raw Material) การเลือกท าเลที่ตั้งมักจะให้ความส าคัญกับวัตถุดิบที่จ าเป็นต้องใช้ใน กระบวนการผลิต ถ้าหากวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานอาจท าให้การด าเนินงานของธุรกิจหยุดชะงัก หรือถ้าวัตถุดิบขาดแคลนอาจท าให้ธุรกิจต้องซื้อวัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการ ด าเนินงาน ดังนั้นผู้บริหารจะต้องเลือกท าเลที่ตั้งที่สามารถหาวัตถุดิบได้ง่าย ราคาไม่แพงและมีเพียงพอส าหรับ การด าเนินงานในระยะยาว (2) ที่ดิน (Land) ในทุกอุตสาหกรรมจ าเป็นต้องใช้ที่ดินในการสร้างสถานประกอบการหรือโรงงาน ต้นทุนที่ดินเป็นปัจจัยส าคัญในการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง ถ้าต้องการเลือกท าเลที่ตั้งในเมืองใหญ่หรือใน บริเวณที่มีความเจริญสูงราคาของที่ดินจะสูงมาก เพราะนอกจากต้นทุนที่ดินที่จะต้องค านึงถึงยังมีต้นทุน อื่นๆ อีก เช่น แรงงาน พลังงาน และสาธารณูปโภค ซึ่งมีความส าคัญมากเช่นกัน (3) การเช่า การซื้อและการก่อสร้าง (Rent, Buy, and Construction) ในการตัดสินใจเลือกท าเล ที่ตั้งมักจะค านึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้น ดังนั้นผู้บริหารอาจมีหลายทางเลือกในการตัดสินใจ เช่น การเช่าสถานที่ ประกอบการ เพื่อลดต้นทุนการซื้อที่ดินและการก่อสร้างอาคาร แต่การเช่ามักมีความเสี่ยงสูง เช่น ความไม่ มั่นคงในการด าเนินงานเพราะธุรกิจไม่ได้เป็นเจ้าของ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของสามารถยกเลิกการเช่าเมื่อใดก็ได้ การ ซื้อ คือ การซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานประกอบการมักจะมีต้นทุนสูงเพราะจะรวมต้นทุนการก่อสร้าง แต่การ ซื้อจะช่วยลดความเสี่ยงมากกว่าการเช่าเพราะธุรกิจเป็นเจ้าของสถานที่


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 167 (4) การขนส่ง (Transportation) ทุกอุตสาหกรรมที่มีการด าเนินกิจการจ าเป็นต้องมีการขนส่ง สินค้าและวัตถุดิบเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตและจัดส่งผลิตภัณฑ์ส าเร็จรูปไปยังลูกค้า ดังนั้นต้นทุนการขนส่ง จึงเป็นปัจจัยส าคัญที่ผู้บริหารจะต้องน ามาประกอบการพิจารณาเลือกท าเลที่ตั้ง ถ้าหากกิจการตั้งอยู่ในท าเล ที่ตั้งที่มีการขนส่งสะดวกจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง การขนส่งที่ส าคัญส าหรับธุรกิจ ได้แก่ - การขนส่งทางบก เช่น รถยนต์ รถบรรทุก รถไฟ - การขนส่งทางน้ า เช่น เรือบรรทุกสินค้าทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก - การขนส่งทางอากาศ เช่น เครื่องบิน -การขนส่งทางท่อ เช่น การขนส่งน้ ามันของโรงงานกลั่นน้ ามันหรือโรงงานแยกก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น (5) แรงงาน (Labor) การเลือกท าเลที่ตั้งจะต้องพิจารณาในเชิงปริมาณของแรงงานจะเกี่ยวข้องกับ การประเมินและศึกษาอัตราค่าจ้างแรงงานในแต่ละท าเลที่ตั้งว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ สูงหรือต่ า ซึ่งจะมี ผลต่อการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้งสถานประกอบการ (6) พลังงานและสาธารณูปโภค (Energy and Infrastructure) ทั้งธุรกิจการผลิตและการบริการมัก จ าเป็นต้องใช้พลังงานในการด าเนินกิจการสูงมาก ดังนั้นการเลือกท าเลที่ตั้งมักอยู่ใกล้กับแหล่งพลังงานและ สาธารณูปโภค ซึ่งได้แก่ ไฟฟ้า น้ าประปา น้ ามันเชื้อเพลิง ก๊าซ ไปรษณีย์ การสื่อสาร ฯลฯ เพื่อให้มีพลังงาน เพียงพอ และมีสาธารณูปโภคที่ช่วยอ านวยความสะดวกในการด าเนินงาน ผู้บริหารจะต้องพิจารณาเลือกท าเล ที่ตั้งที่มีต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภคที่เหมาะสมเพราะอาจส่งผลกระทบต่อการด าเนินงานในระยะยาว (7) ภาษี (Tax) ทุกธุรกิจจะต้องเสียภาษีให้แก่รัฐบาลหรือชุมชนที่ตั้งกิจการ การเสียภาษีให้แต่ละ ชุมชนหรือแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน ดังนั้นในการเลือกท าเลที่ตั้งผู้บริหารจะต้องน าภาษีที่ต้องเสียให้แก่ ชุมชนหรือประเทศมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ นอกจากนี้ในแต่ละประเทศยังมีการส่งเสริมการลงทุน โดยจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการในเรื่องการเสียภาษีและสิ่งอ านวยความสะดวก 2. ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกท าเลที่ตั้งระดับโลก ปัจจัยส าคัญที่บริษัทน ามาพิจารณาเลือกท าเลที่ตั้งในประเทศอื่นเพื่อให้ธุรกิจอยู่ใกล้กับตลาดแห่ง ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว และเพื่อสร้างข้อได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานที่ต่ า ข้อตกลงทางการค้าแบบใหม่ระหว่าง ประเทศเป็นการยกเลิกอุปสรรคทางการค้าทั่วโลกและสร้างตลาดใหม่ เช่น สหภาพยุโรป (European Community: EC) และความล้มเหลวของการสื่อสารน าไปสู่ตลาดใหม่ในยุโรปตะวันออกและเอเชีย บริษัทจากต่างประเทศหลายแห่งเริ่มขยายการลงทุนเข้าไปในหลายๆ ประเทศมากขึ้นเพื่อให้ใกล้ชิด กับลูกค้าของตนเอง บริษัทเหล่านี้มีแรงจูงใจเดียวกัน คือ เพื่อลดต้นทุนและให้บริการที่ดีกว่าแก่ลูกค้า โดย เปรียบเทียบแล้วการขนส่งทางทะเลจะล่าช้าแต่เป็นที่ต้องการของบริษัทข้ามชาติเพื่อรักษาปริมาณการจัดส่ง ขนาดใหญ่ ต้นทุนสินค้าคงเหลือสูงขึ้นในการบริการลูกค้าต่างประเทศให้ตรงตามเวลาที่ต้องการ ปัจจัย เหล่านี้เป็นสิ่งขับเคลื่อนต้นทุนและตลาดเพื่อให้เกิดความประหยัดแก่บริษัท โดยการย้ายท าเลที่ตั้งให้อยู่ใกล้ กับตลาด ปัจจัยส าคัญส าหรับบริษัทข้ามชาติที่ควรน ามาพิจารณาเลือกท าเลที่ตั้งในประเทศอื่น คือ (1) ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล (2) กฎระเบียบของรัฐบาล (3) ระบบเศรษฐกิจและการเมือง (4) ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเติบโต (5) อัตราการแลกเปลี่ยน


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 168 (6) วัฒนธรรม (7) สภาพอากาศ (8) กฎระเบียบด้านการส่งออกและน าเข้า ภาษี และภาษีศุลกากร (9) วัตถุดิบที่หาได้ง่าย (10) จ านวนและความใกล้ชิดกับผู้จ าหน่ายวัตถุดิบ (11) ระบบการจัดจ าหน่ายและการขนส่ง (12) ต้นทุนแรงงานและการศึกษา (13) เทคโนโลยีที่หาได้ง่าย (14) การพาณิชย์เพื่อการเดินทาง (15) ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค (16) กฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ (17) ข้อตกลงทางการค้ากับกลุ่มต่างๆ 3. ขั้นตอนในการเลือกท าเลที่ตั้ง ขั้นตอนที่ส าคัญในการเลือกท าเลที่ตั้ง ประกอบด้วย (ปรับปรุงจาก พิชิต สุขเจริญพงษ์,2538 หน้า 88) ขั้นที่ 1 ก าหนดเกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมินผลเปรียบเทียบเพื่อเลือกท าเลที่ตั้ง ตัวอย่างเช่น เพื่อ เพิ่มก าไรหรือเพื่อการให้บริการแก่ชุมชน การก าหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินผลเปรียบเทียบทางเลือกเกิด จากวิจารณญาณของผู้บริหาร โดยพิจารณาจากนโยบายและวัตถุประสงค์ของบริษัท ตัวอย่างเช่น วัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มก าไร เพื่อขยายตลาดสินค้าหรือเพื่อการให้บริการแก่ชุมชน ขั้นที่ 2 ก าหนดปัจจัยที่มีผลต่อการบริการหรือการผลิต เช่น แหล่งที่ตั้งของวัตถุดิบ แหล่งตลาดของ สินค้า สภาพความต้องการแรงงาน การก าหนดปัจจัยที่มีผลต่อการการบริการหรือการผลิต ผู้บริหารจะต้อง รวบรวมข้อมูลที่จ าเป็นและมีผลต่อการบริการหรือการผลิต เช่น ชนิดและคุณลักษณะของวัตถุดิบที่ต้องใช้ใน การผลิต เช่น น้ าหนัก ขนาด วิธีการที่ใช้เพื่อการขนส่ง วิธีการเก็บรักษาวัตถุดิบ อายุของวัตถุดิบ ในด้านที่ เกี่ยวกับตลาดของสินค้าจะต้องพิจารณาถึงคุณลักษณะของตลาดสินค้า ประเภทของลูกค้า คุณลักษณะของ สินค้าที่ผลิต ในด้านแรงงานจะต้องพิจารณาถึงลักษณะของแรงงานที่ต้องการว่า ธุรกิจต้องการแรงงาน ประเภทช านาญ กึ่งช านาญหรือไม่ช านาญงาน และพิจารณาจ านวนแรงงานที่ต้องการ นอกจากนี้ต้อง พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ที่ดิน การขนส่ง พลังงาน สาธารณูปโภคและสภาพแวดล้อม ขั้นที่ 3 ก าหนดทางเลือกของที่ตั้งโรงงาน อาจเริ่มจาก (1) ก าหนดบริเวณอย่างคร่าว ว่าควรอยู่บริเวณใดโดยอาจก าหนดบริเวณไว้กว้างๆก่อน เช่น ภาค กลาง ภาคเหนือ หรือภาคใต้ หลังจากนั้นจึงเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยส าคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ เลือกท าเลที่ตั้ง เช่น ราคาที่ดิน จ านวนและราคาวัตถุดิบ แรงงานและอัตราค่าจ้าง ลักษณะการขนส่ง สาธารณูปโภคและสภาพแวดล้อม เมื่อได้ข้อมูลแล้วจึงตัดสินใจก าหนดแหล่งที่ตั้งในบริเวณที่เลือกไว้ (2) ก าหนดแหล่งที่ตั้งสัก 2 – 3 แห่ง ในบริเวณที่เลือกไว้เพื่อใช้ประเมินผลเปรียบเทียบ และเลือก ทางเลือกที่ดีที่สุด ขั้นที่ 4 ประเมินผลและเปรียบเทียบต าแหน่งที่ตั้งโรงงานที่เลือกไว้ แล้วเลือกท าเลที่ตั้งที่เหมาะสม ที่สุดตามเกณฑ์ที่ได้ก าหนดไว้ การประเมินผลเปรียบเทียบอาจท าได้หลายวิธี ทั้งวิธีเชิงคุณภาพ (Qualitative) และวิธีเชิงปริมาณ (Quantitative) (อยู่ในหัวข้อถัดไป)


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 169 7.3 ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ที่น ามาใช้ในการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง วิธีการที่ใช้ประเมินท าเลที่ตั้งของธุรกิจด้านการบริการและการผลิต ประกอบด้วย (1) วิธีการประเมินปัจจัยแห่งความส าเร็จ(Critical Success Factor: CSF – Rating) (2) วิธีการหาจุดศูนย์กลาง(Center of gravity method) (3) ตัวแบบการขนส่ง (Transportation Model) 1. วิธีการประเมินปัจจัยแห่งความส าเร็จ (Critical Success Factor: CSF – Rating) วิธีการประเมินปัจจัยแห่งความส าเร็จ (Factor – Rating) เป็นวิธีการประเมินค่าการตัดสินใจเลือก ท าเลที่ตั้ง ซึ่งใช้ปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณ โดยก าหนดปัจจัยการประเมินเพื่อการเลือกท าเลที่ตั้ง ให้มีน้ าหนักหรือความส าคัญที่แตกต่างกัน วิธีการประเมินปัจจัยได้รับความนิยมอย่างมากเพราะง่ายแก่การ ค านวณและสามารถน าปัจจัยที่มีความหลากหลายที่ส่งผลกระทบต่อการด าเนินงานมาวิเคราะห์ผลกระทบที่ จะเกิดขึ้น ขั้นตอนการค านวณหาการเลือกท าเลที่ตั้งโดยวิธีประเมินปัจจัยมี 6 ขั้นตอน ดังนี้ (ประสงค์ ปราณีต พลกรัง และคณะ, 2547: 208) ขั้นที่ 1 พิจารณาปัจจัยส าคัญที่เรียกว่า ปัจจัยแห่งความส าเร็จ (Critical Success Factors: CSF) ขั้นที่ 2 ก าหนดความส าคัญและก าหนดน้ าหนักของปัจจัยที่มีผลต่อวัตถุประสงค์ของการเลือกท าเลที่ตั้ง ขั้นที่ 3 ก าหนดค่าคะแนนส าหรับแต่ละปัจจัย (อาจให้ค่าคะแนนเต็ม 1 ถึง 10 หรือ 1 ถึง 100 ก็ได้) ขั้นที่ 4 ใช้คะแนนที่ก าหนดจากขั้นตอนที่ 3 ใส่เป็นคะแนนให้ปัจจัยต่างๆ ในแต่ละสถานที่ตั้ง ขั้นที่ 5 ค านวณโดยการคูณค่าคะแนนกับค่าน้ าหนักของแต่ละปัจจัย แล้วรวมคะแนนทั้งหมดในแต่ละ สถานที่ตั้ง ขั้นที่ 6 ให้ข้อเสนอแนะโดยอาศัยผลข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากขั้นที่ 5 โดยจะพิจารณาค่าคะแนน รวมที่สูงสุดเป็นหลัก ตัวอย่างที่ 7.1 วิธีการประเมินปัจจัยแห่งความส าเร็จ บริษัท สหรัฐสวนสนุก จ ากัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีความประสงค์จะขยายกิจการอีก 1 แห่ง ไปยัง จังหวัดต่างๆ ที่ได้เลือกไว้ 2 จังหวัด ตารางข้างล่างนี้แสดงข้อมูลที่เป็นปัจจัยเชิงคุณภาพ เพื่อใช้ประกอบการ ตัดสินใจในการเลือกที่ตั้งสวนสนุกแห่งใหม่ ซึ่งจังหวัดที่น ามาประกอบการพิจารณา ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต ปัจจัยแห่งความส าเร็จ [(Critical Success Factor: CSF)] ค่าน้ าหนัก ก าหนดค่าคะแนน (คะแนน 100) คะแนนน้ าหนัก (Weighted Scores) เชียงใหม่ ภูเก็ต เชียงใหม่ ภูเก็ต แรงงาน 0.25 70 60 (0.25)(70)=17.5 (0.25)(60)=15.0 อัตราส่วนของคนกับรถยนต์ส่วนบุคคล 0.05 50 60 (0.05)(50)=2.5 (0.05)(60)=3.0 รายได้ต่อหัว 0.10 85 80 (0.10)(85)=8.5 (0.10)(80)=8.0 ทัศนคติ 0.39 75 70 (0.39)(75)=29.3 (0.39)(70)=27.3 การศึกษาและสุขภาพ 0.21 60 70 (0.21)(60)=12.6 (0.21)(70)=14.7 รวม 1.00 70.4 68.0 รูปที่ 7.1 วิธีการประเมินปัจจัยแห่งความส าเร็จ


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 170 จากรูปที่ 7.1 เมื่อพิจารณาจากการค านวณหาค่าคะแนนของการเลือกที่ตั้งสวนสนุกทั้งสองแห่งพบว่า จังหวัดเชียงใหม่ได้ค่าคะแนน 70.4 ซึ่งสูงกว่าจังหวัดภูเก็ต ดังนั้นบริษัทควรเลือกที่ตั้งสวนสนุกแห่งใหม่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่น ามาพิจารณานั้นเป็นปัจจัยเชิงคุณภาพที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งผู้ประเมิน จะต้องก าหนดค่าคะแนนและน้ าหนักจึงจะได้ตัวเลขที่เป็นข้อมูลเชิงปริมาณออกมา การวิเคราะห์และตัดสินใจ ด้วยวิธีประเมินปัจจัยนั้นค่อนข้างจะมีความไว ถ้าการให้ค่าน้ าหนักและค่าคะแนนมีความแตกต่างกันเพียง เล็กน้อยอาจส่งผลต่อการตัดสินใจ เช่น ถ้าผู้บริหารให้คะแนนปัจจัยด้านแรงงานของจังหวัดเชียงใหม่จากเดิม เท่ากับ 70 คะแนน เป็น 60 คะแนน ผลการค านวณน้ าหนักคะแนนรวมจะเท่ากับ (น้ าหนัก) (คะแนน) = (0.25)(60) + (0.05)(50) + (0.10)(85) + (0.39)(0.75) + (0.21)(60) = 67.9 เมื่อเป็นเช่นนี้แนวทางการ ตัดสินใจเลือกที่ตั้งสวนสนุกจะเปลี่ยนไปเป็นจังหวัดภูเก็ต ถึงแม้จะเป็นวิธีค านวณหาต าแหน่งที่ตั้งอย่างง่ายๆ แต่ความไม่แน่นอนและความสงสัยยังคงมีอยู่ ดังนั้นจะต้องมองหาวิธีที่สามารถวัดผลในเชิงปริมาณออกมาได้ ชัดเจนและแน่นอนกว่าวิธีประเมินปัจจัย 2. วิธีการหาจุดศูนย์กลาง(Center of gravity method) วิธีการหาจุดศูนย์กลาง (Center of gravity method) เป็นเทคนิคทางคณิตศาสตร์ใช้เพื่อหาท าเล ที่ตั้งที่ดีที่สุดส าหรับจุดศูนย์กลางของการกระจายสินค้าเพียงจุดเดียว แต่สามารถให้บริการร้านค้าหรือพื้นที่ หลายแห่ง วิธีนี้บางครั้งเรียกว่า วิธีจุดศูนย์ถ่วงหรือจุดกลางแกนหมุน ซึ่งเป็นเทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่ช่วย หาต าแหน่งที่เหมาะสมเสมือนเป็นศูนย์กลางของการกระจายภายในพื้นที่ และท าให้ลดการกระจายของ ต้นทุนการผลิตลงได้ วิธีการหาจุดศูนย์กลางจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตลาด ปริมาณของสินค้าที่ส่งไปยัง ตลาด และต้นทุนการขนส่งแล้วน ามาพิจารณาหาค่าใช้จ่ายที่ต่ าที่สุดจากศูนย์กลาง ขั้นตอนในการค านวณหาท าเลที่ตั้งด้วยวิธีการหาจุดศูนย์กลาง มีดังนี้ ให้ก าหนดพิกัดตามแนวแกน ตั้งและแกนนอน ดังจะแสดงให้เห็นในตัวอย่างที่ 7.3 พิกัดที่ก าหนดเป็นแกนตั้ง (x) และแกนนอน (y) เช่น การก าหนดค่าพิกัด A (4, 6) หมายถึง ระยะจากจุด A จากแกนตั้ง (x) เท่ากับ 4 หน่วย และจากแกนนอน (y) เท่ากับ 6 หน่วย ซึ่งสามารถค านวณหาจุดศูนย์กลางส าหรับต าแหน่งที่ตั้งสถานที่แห่งใหม่ได้โดยใช้สมการ ที่ 7.1 และ 7.2 Cx = dix Qi สมการที่ 7.1 Qi Cy = diy Qi สมการที่ 7.2 Qi เมื่อ Cx = จุดพิกัดในแนวแกน x ของจุดศูนย์กลาง Cy = จุดพิกัดในแนวแกน y ของจุดศูนย์กลาง dix = จุดพิกัดในแนวแกน x ของสถานที่ตั้ง i diy = จุดพิกัดในแนวแกน y ของสถานที่ตั้ง i Qi = ปริมาณสินค้าที่ส่งไปหรือรับเข้ามาจากสถานที่ i


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 171 วิธีการหาจุดศูนย์กลางจะใช้สมมติฐานที่ว่าต้นทุนจะสัมพันธ์โดยตรงกับระยะทางและปริมาณการ ขนส่งโดยให้ความส าคัญกับสินค้าหรือวัตถุดิบที่จัดส่งในแต่ละเดือน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุน ดังนั้นจึง ต้องพิจารณาหาค่าอย่างต่ าของน้ าหนักระยะทาง (Weighted Distance) การขนส่งระหว่างคลังสินค้าไปยัง ร้านค้าย่อย โดยจะพิจารณาจากจ านวนเที่ยวของสินค้าที่จัดส่งเป็นหลัก ตัวอย่างที่ 7.2 วิธีการหาจุดศูนย์กลาง ห้างสรรพสินค้า Big Z มีสาขาย่อยอยู่ใน 4 จังหวัดใหญ่ๆ คือ กรุงเทพมหานคร ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา และนครราชสีมา สาขาย่อยเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนสินค้าอย่างต่อเนื่องจากคลังสินค้า ที่จังหวัดปทุมธานี รูปที่ 7.2 แสดงปริมาณความต้องการสินค้าของห้างสรรพสินค้าในแต่ละสาขาย่อย สถานที่ตั้งห้างสรรพสินค้า ปริมาณตู้สินค้าที่ต้องการขนส่งต่อเดือน กรุงเทพมหานคร 2,000 ลพบุรี 1,000 พระนครศรีอยุธยา 1,000 นครราชสีมา 2,000 รูปที่ 7.2 ปริมาณความต้องการสินค้าของห้างสรรพสินค้า Big Z ต่อมาผู้บริหารระดับสูงของห้างสรรพสินค้า Big Z ต้องการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง จึงตัดสินใจหา ท าเลที่ตั้งคลังสินค้าแห่งใหม่ ในรูปที่ 7.3 แสดงให้เห็นต าแหน่งของที่ตั้งห้างสรรพสินค้าแต่ละสาขาย่อย จง ค านวณหาที่ตั้งแห่งใหม่โดยใช้วิธีการหาจุดศูนย์กลาง วิธีท า จากรูปที่ 7.3 การวิเคราะห์การก าหนดต าแหน่งของกรุงเทพมหานคร เท่ากับ 30, 120 หมายความ ว่า 30 เป็นระยะทางตามแนวตะวันออก – ตะวันตก (x) และ 120 เป็นระยะทางตามแนวเหนือ – ใต้ (y) และ ปริมาณตู้สินค้าที่ต้องการขนส่งต่อเดือนไปยังกรุงเทพมหานคร (W1 ) เท่ากับ 2,000 ตู้ ดังนั้น d1x = 30 d1y = 120 W1 = 2,000 ส่วนเมืองอื่นๆ สามารถวิเคราะห์ได้ในท านองเดียวกัน หลังจากนั้นน าตัวเลขที่ได้แทนค่าลงใน สมการเพื่อค านวณหาจุดศูนย์กลาง ได้ดังนี้ Cx = dix Qi Qi = (30)(2,000) + (90)(1,000) + (130)(1,000) + (60)(2,000) 2,000 + 1,000 + 1,000 + 2,000 = 400,000 6,000 = 66.7


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 172 Cy = diy Qi Qi = (120)(2,000) + (110)(1,000) + (130)(1,000) + (40)(2,00) 2,000 + 1,000 + 1,000 + 2,000 = 560,000 6,000 = 93.3 รูปที่ 7.3 ต าแหน่งของห้างสรรพสินค้าทั้ง 4 แห่งและจุดศูนย์กลาง ต าแหน่งของท าเลที่ตั้งแห่งใหม่ของคลังสินค้าควรเป็น Cx , Cy = 66.7, 93.3 ดังที่ได้จากการค านวณ และแสดงไว้ในรูปที่ 7.3 ท าเลที่ตั้งที่ได้จากการค านวณนี้ในความเป็นจริงอาจอยู่ในบริเวณป่า ภูเขา แม่น้ า หรือแหล่งชุมชน ดังนั้นในการตัดสินใจเลือกที่ตั้งจริงของสถานประกอบการควรมีการส ารวจพื้นที่และปรับ ให้เหมาะสมกับสภาพการด าเนินงาน 3. ตัวแบบการขนส่ง (Transportation Model) ตัวแบบการขนส่งเป็นวิธีการหนึ่งของตัวแบบทางคณิตศาสตร์ที่น ามาใช้ในการตัดสินใจเลือกท าเล ที่ตั้ง ซึ่งเป็นโปรแกรมเส้นตรง (Linear Programming) ที่อาศัยตารางเมตริก (Matrix) โดยก าหนดให้ด้าน แถวนอน (Row) ของเมตริกเป็นจุดเริ่มต้นของสินค้า เช่น โรงงาน หรือคลังสินค้า ส่วนด้านแถวตั้ง (Column) ของเมตริกเป็นจุดหมายปลายทางของสินค้าที่ส่งไป เช่น คลังสินค้า ตัวแทนจ าหน่ายหรือร้านค้า เป็นต้น เหนือ – ใต้ y อยุธยา (130, 130) 120 กรุงเทพมหานคร (30, 120) 90 ลพบุรี (90, 110) จุดศูนย์กลาง (66.7, 93.3) 60 นครราชสีมา (60, 40) 30 x จุดเริ่มต้น 30 60 90 120 150 ตะวันออก-ตะวันตก


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 173 การสร้างตารางเมตริกนั้น ด้านแถวนอนของเมตริกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสินค้าจะก าหนดจ านวน แถวนอนให้เท่ากับจ านวนของโรงงานหรือคลังสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน (ยกเว้นแถวนอนด้านบนสุดและ ล่างสุดแสดงรายละเอียดของจุดหมายปลายทางและข้อมูลอื่นๆ) ส่วนด้านแถวตั้งของเมตริกเป็นจุดหมาย ปลายทางของสินค้าต้องก าหนดจ านวนแถวตั้งให้เท่ากับจ านวนของคลังสินค้า ตัวแทนจ าหน่ายหรือร้านค้าที่ มีอยู่ (ยกเว้นแถวตั้งแรกและสุดท้ายที่แสดงรายละเอียดของจุดเริ่มต้นและก าลังการผลิต) สัญลักษณ์ต่างๆในตัวแบบการขนส่ง สัญลักษณ์ Cell: C เกิดขึ้นจากแถวตั้งและแถวนอนตัดกันจะท าให้เกิดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียกว่า “ช่อง” ช่องที่เกิดขึ้นนี้จะมีจ านวนเท่ากับจ านวนของแถวตั้งคูณด้วยแถวนอน ดังนั้นถ้าแถวตั้ง 3 แถวคูณกับ แถวนอน 3 แถวจะได้ช่องเท่ากับ 9 ช่อง (ดูรูปที่ 7.4 ประกอบ) ในการค านวณถ้าหากมีการอ้างถึงช่องใดๆ เพื่อให้ทราบว่าหมายถึงการค านวณในช่องนั้นให้เขียน สัญลักษณ์ C และเขียนตัวเลขแสดงหมายเลขของแถวนอนและแถวตั้งที่ตัดกันท าให้เกิดช่องนั้นขึ้นมาต่อท้าย สัญลักษณ์ C โดยให้ใช้เครื่องหมายจุลภาคคั่นกลางระหว่างตัวเลข เช่น C2,1 หมายถึง ช่องที่เกิดจากแถว นอนที่สองตัดกับแถวตั้งที่หนึ่ง หลังจากสร้างตารางเมตริกโดยก าหนดจ านวนจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางแล้วจะต้องสร้างช่อง สี่เหลี่ยมเล็กๆไว้ภายในช่องที่เกิดจากการตัดกันของแถวตั้งและแถวนอนเพื่อเขียนต้นทุนการขนส่งต่อหน่วย จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง ดูรูปข้างล่างนี้ประกอบ 2 1 4 5 3 9 6 4 8 รูปที่ 7.4 ภาพเมตริกขนาด 3 x 3 ตัวแบบการขนส่งที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาการขนส่งมีอยู่หลายวิธี แต่ในบทนี้จะอธิบายวิธีการ เบื้องต้นที่น ามาใช้ประกอบการตัดสินใจซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนแรก คือ การหาค่าเฉลย เบื้องต้นของการขนส่ง โดยใช้วิธี Northwest Corner วิธี Minimum Entry และวิธี VAM และขั้นตอนที่ สอง คือ การหาค่าเฉลยที่ดีที่สุดของการขนส่ง โดยใช้วิธี Stepping Stone และวิธี MODI 1) การหาค่าเฉลยเบื้องต้นของการขนส่ง การหาค่าเฉลยเบื้องต้นของการขนส่งเป็นวิธีการค านวณโดยใช้ตัวแบบการขนส่ง ซึ่งการค านวณหา ปริมาณและค่าขนส่งขั้นแรกที่จัดส่งจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง โดยมีเทคนิคของการค านวณ ทั้งหมด 3 วิธี คือ


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 174 (1) วิธี Northwest Corner วิธีนี้จะเริ่มจากช่องสี่เหลี่ยมมุมบนสุดด้านซ้ายมือ (C1,1) ช่องที่เกิดขึ้นจากการตัดกันของแถวนอนที่ 1 และแถวตั้งที่ 1 โดยมีเงื่อนไขว่าให้ขนส่งสินค้าไปได้โดยจะต้องไม่เกินความต้องการของจุดเริ่มต้นและ จุดหมายปลายทาง น าค่าความต้องการของแถวตั้งสุดท้ายและแถวนอนสุดท้ายมาเปรียบเทียบกัน แล้วเลือก ตัวเลขที่มีค่าน้อยที่สุดใส่ลงไปในช่องนั้น หลังจากนั้นให้พิจารณาช่องสี่เหลี่ยมถัดไปทั้งแถวตั้งและแถวนอน (C1,2) หรือ (C2,1) ถ้ามีจ านวนของสินค้าที่ยังขนส่งไปไม่เพียงพอให้ขนส่งไปแต่ต้องไม่เกิดความต้องการของ แถวนั้นๆ กระท าต่อเนื่องเช่นเดียวกันนี้จนกระทั่งถึงช่องสี่เหลี่ยมล่างสุดด้านขวามือ และตรวจสอบจ านวน สินค้าที่ขนส่งไปว่าพอดีกับความต้องการของแถวตั้งสุดท้ายและแถวนอนสุดท้ายหรือไม่ สุดท้ายจึง ค านวณหาต้นทุนการขนส่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตัวอย่างที่ 7.3 วิธี Northwest Corner บริษัท สหรัฐพลาสติก จ ากัด ในการขนส่งสินค้าจากโรงงาน 3 แห่งไปยังคลังสินค้า 3 แห่ง จงใช้วิธี Northwest Corner ขนส่งสินค้าจากโรงงานไปยังคลังสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ และค านวณต้นทุน การขนส่ง คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครนายก จังหวัดสุพรรณบุรี ก าลังการผลิตของ โรงงาน หนองแค 100 12 11 14 100 บางปู 200 15 100 13 19 300 แหลมฉะบัง 16 100 14 200 18 300 ความต้องการของ คลังสินค้า 300 200 200 700 วิธีท า วิธีนี้เริ่มจากช่องสี่เหลี่ยมมุมบนสุดด้านซ้ายมือ (C1,1) หรือช่องที่เกิดขึ้นระหว่างโรงงานที่หนองแค กับคลังสินค้าที่นครปฐม จ านวนที่ขนส่งจากหนองแคไปยังนครปฐมให้พิจารณาจากความต้องการของ คลังสินค้าและก าลังการผลิตของโรงงานร่วมกัน จ านวนที่ขนส่งไปได้เท่ากับ 100 หน่วยเท่านั้น ถึงแม้ว่า คลังสินค้าจะสามารถรับได้ถึง 300 หน่วย แต่ก าลังการผลิตของโรงงานที่หนองแคมีไม่เพียงพอ หลังจากนั้น ให้พิจารณาช่องสี่เหลี่ยมถัดมาทั้งในแถวนอนและแถวตั้ง ช่องสี่เหลี่ยมระหว่างหนองแคและนครนายก (C1,2) ในช่องนี้ไม่สามารถขนส่งไปได้ เพราะก าลังการผลิตจ านวน 100 หน่วยได้ขนส่งไปยังนครปฐมหมดแล้ว ช่อง สี่เหลี่ยมถัดไปที่จะพิจารณา คือ ช่องสี่เหลี่ยมที่อยู่ระหว่างบางปูกับนครปฐม (C2,1) ช่องนี้สามารถขนส่ง สินค้าได้เพราะนครปฐมสามารถรับสินค้าได้ถึง 300 หน่วยแต่ขนส่งจากหนองแคไปเพียง 100 หน่วย ยังรับ สินค้าได้อีก 200 หน่วย แต่ก่อนที่จะขนส่งไปทั้งหมด 200 หน่วยให้พิจารณาก าลังการผลิตของโรงงานที่บาง ปูด้วยว่าเพียงพอหรือไม่ หลังจากขนส่งสินค้าไปยังนครปฐมแล้วให้ด าเนินการเช่นเดียวกันนี้จนกระทั่งจัดสรร การขนส่งครบทุกโรงงานและคลังสินค้า ต่อมาจึงค านวณหาต้นทุนการขนส่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น ต้นทุนการขนส่ง


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 175 C1,1 100 x 12 = 1,200 C2,1 200 x 15 = 3,000 C2,2 100 x 13 = 1,300 C3,2 100 x 14 = 1,400 C3,3 200 x 18 = 3,600 รวม 10,500 (2) วิธี Minimum Entry วิธี Northwest Corner ไม่ได้น าต้นทุนการขนส่งมาพิจารณา ท าให้บางครั้งต้นทุนการขนส่งที่ เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ต้นทุนต่ าสุด วิธี Minimum Entry เป็นวิธีหนึ่งที่น าต้นทุนการขนส่งมาประกอบการ พิจารณา โดยจะพิจารณาเลือกค่าขนส่งที่อยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเล็กมุมบนด้านขวามือของช่องสี่เหลี่ยมทุกช่อง น ามาเปรียบเทียบเพื่อหาค่าต่ าสุดของการขนส่งแล้วจึงขนส่งไปยังช่องนั้นตามเงื่อนไข เมื่อแถวตั้งและแถว นอนใดขนส่งไปเพียงพอกับความต้องการแล้วให้ตัดแถวนั้นออก และจัดสรรการขนส่งที่เหลือไปยังช่องที่มีค่า ขนส่งต่ าสุดที่เหลืออยู่ ท าเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งขนส่งไปครบตามจ านวนด้านแถวตั้งและแถวนอนแล้วจึง ค านวณต้นทุนการขนส่งทั้งหมด ตัวอย่างที่ 7.4 วิธี Minimum Entry จากตัวอย่างที่ 7.4 ให้จัดสรรการขนส่งโดยใช้วิธี Minimum Entry คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครนายก จังหวัดสุพรรณบุรี ก าลังการผลิตของ โรงงาน หนองแค 12 100 11 14 100 บางปู 200 15 100 13 19 300 แหลมฉะบัง 100 16 14 200 18 300 ความต้องการของ คลังสินค้า 300 200 200 700 วิธีท า (1) พิจารณาค่าขนส่งในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่อยู่มุมบนด้านขวามือของทุกๆช่อง หลังจากพิจารณา แล้วให้เลือกช่องที่มีค่าขนส่งต่ าสุด ค่าขนส่งต่ าสุดอยู่ที่ C1,2 เท่ากับ 11 บาท จัดสรรการขนส่งในช่องนี้เต็ม จ านวน คือ 100 หน่วย (พิจารณาเปรียบเทียบระหว่างก าลังการผลิต 100 หน่วยกับความต้องการของ คลังสินค้า 200 หน่วย แล้วเลือกค่าน้อยสุด) แล้วตัดแถวนอนที่ 1 ออกไปเพราะขนส่งสินค้าไปหมดแล้ว (2) พิจารณาค่าขนส่งในช่องสี่เหลี่ยมของแถวตั้งและแถวนอนที่เหลืออยู่ทั้งหมดแล้วเลือกค่าขนส่งที่ ต่ าที่สุด อยู่ที่ C2,2 เท่ากับ 13 บาท จัดสรรการขนส่งในช่องนี้ตามเงื่อนไข คือ 100 หน่วย (ขนส่งไปที่ ช่อง C1,2 แล้วจ านวน 100 หน่วย จึงขนส่งได้เพียง 100 หน่วย) ตัดแถวตั้งที่ 2 ออกไป


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 176 (3) พิจารณาค่าขนส่งในช่องสี่เหลี่ยมของแถวตั้งและแถวนอนที่เหลืออยู่ แล้วเลือกค่าขนส่งที่ต่ า ที่สุด อยู่ที่ C2,1 เท่ากับ 15 บาท จัดสรรการขนส่งในช่องนี้ตามเงื่อนไข คือ 200 หน่วย (ขนส่งไปที่ ช่อง C2,2 แล้วจ านวน 100 หน่วย จึงขนส่งได้อีกเพียง 200 หน่วย) ตัดแถวนอนที่ 2 ออกไป (4) พิจารณาค่าขนส่งในช่องสี่เหลี่ยมของแถวตั้งและแถวนอนที่เหลืออยู่ แล้วเลือกค่าขนส่งที่ต่ า ที่สุด อยู่ที่ C3,1 เท่ากับ 16 บาท จัดสรรการขนส่งในช่องนี้ตามเงื่อนไข คือ 100 หน่วย (ขนส่งไปที่ ช่อง C2,1 แล้วจ านวน 200 หน่วย จึงขนส่งได้เพียง 100 หน่วย) ตัดแถวตั้งที่ 1 ออกไป (5) เหลือช่องสี่เหลี่ยมสุดท้าย คือ C3,3 ค่าขนส่งเท่ากับ 18 บาท ให้จัดสรรการขนส่งในช่องนี้ตาม เงื่อนไขอีก 200 หน่วย (เพราะขนส่งไปที่ ช่อง C3,1 แล้วจ านวน 100 หน่วย จึงขนส่งได้เพียง 100 หน่วย) ตัดแถวตั้งที่ 2 ออกไปเพราะขนส่งสินค้าไปเพียงพอแล้ว ค านวณหาต้นทุนการขนส่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดดังนี้ ต้นทุนการขนส่ง C1,2 100 x 11 = 1,100 C2,1 200 x 15 = 3,000 C2,2 100 x 13 = 1,300 C3,1 100 x 16 = 1,600 C3,3 200 x 18 = 3,600 รวม 10,600 (3) วิธี Vogel’s Approximation: VAM วิธี VAM เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ข้อมูลของต้นทุนโดยค านวณหาค่าเสียโอกาสเพื่อหาค่าเฉลยเริ่มแรก วิธี ค านวณหาค่าเสียโอกาสมีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ค านวณหาผลต่างระหว่างต้นทุนต่ าสุดกับต่ ารองลงมาของแถวตั้งและแถวนอนทั้งหมด หลังจาก นั้นพิจารณาค่าของแถวตั้งและแถวนอนที่ได้ แล้วเลือกแถวที่มีค่าของผลต่างสูงสุดเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการ จัดสรรการขนส่ง ขั้นที่ 2 จัดสรรการขนส่งลงช่องของแถวที่ได้เลือก โดยพิจารณาจากค่าขนส่งต่ าที่สุดของแถวนั้นๆ แล้วจัดสรรจ านวนสินค้าให้เพียงพอตามเงื่อนไขเหมือนวิธี Northwest Corner และวิธี Minimum Entry หลังจากนั้นให้ตัดแถวที่จัดสรรการขนส่งที่เพียงพอกับความต้องการแล้วออกไป ขั้นที่ 3 กลับไปท าตามขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จนกระทั่งจัดสรรการขนส่งได้ครบทุกแถว แล้วค านวณ ต้นทุนการขนส่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 177 ตัวอย่างที่ 7.5 วิธี Vogel’s Approximation: VAM จากตัวอย่างที่ 7.3 ให้จัดสรรการขนส่งโดยใช้วิธี Vogel’s Approximation: VAM คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครนายก จังหวัดสุพรรณบุรี ก าลังการผลิตของ โรงงาน หนองแค 12 11 14 100 บางปู 15 13 19 300 แหลมฉะบัง 16 14 18 300 ความต้องการของ คลังสินค้า 300 200 200 700 วิธีท า (1) ค านวณหาค่าของแถวตั้งและแถวนอนทุกแถว โดยเลือกค่าขนส่งที่ต่ าสุดในแถวมา 2 ค่า คือ แถวนอน 1 = 12 – 11 = 1 แถวตั้ง 1 = 15 – 12 = 3 แถวนอน 2 = 15 – 13 = 2 แถวตั้ง 2 = 13 – 11 = 2 แถวนอน 3 = 16 – 14 = 2 แถวตั้ง 3 = 18 – 14 = 4* (2) พิจารณาค่าที่ได้ของแถวนอนและแถวตั้ง เปรียบเทียบและเลือกค่ามากที่สุด คือ 4 (3) ค่าที่ได้มากที่สุด คือ ค่าของแถวตั้งที่ 3 แล้วเลือกช่องที่มีค่าขนส่งต่ าสุด คือ 14 บาท (4) จัดสรรการขนส่งไปยังช่องนั้น ตามเงื่อนไขก าลังการผลิตและความต้องการของคลังสินค้า คือ 100 หน่วย หลังจากนั้นให้ตัดช่องที่มีการขนส่งไปเต็มจ านวนแล้วออกไป (5) ด าเนินการใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งสามารถจัดสรรการขนส่งได้ครบทุกโรงงานและคลังสินค้า หลังจากจึงค านวณหาต้นทุนการขนส่งทั้งหมด แถวนอน 1 ตัดออกไปเพราะขนส่งไปเต็มจ านวน แถวตั้ง 1 = 16 – 15 = 1 แถวนอน 2 = 15 – 13 = 2* แถวตั้ง 2 = 14 – 13 = 1 แถวนอน 3 = 16 – 14 = 2* แถวตั้ง 3 = 19 – 18 = 1 ค่ามากที่สุดมีอยู่ 2 ค่า คือ แถวนอนที่ 2 และ 3 ดังนั้นให้พิจารณาค่าขนส่งในแถวนอนทั้งสอง เปรียบเทียบกันและเลือกค่าขนส่งในช่องที่ต่ าสุด (ถ้าค่าขนส่งมีค่าต่ าสุด 2 ค่าให้เลือกค่าใดก็ได้) ในที่นี้ค่า ขนส่งต่ าสุด เท่ากับ 13 บาท จึงขนส่งไปยังช่องนี้เต็มจ านวนเท่ากับ 200 หน่วย ด าเนินการใหม่จนกระทั่ง จัดสรรการขนส่งครบทุกโรงงานและคลังสินค้า แล้วจึงค านวณหาต้นทุนการขนส่งดังนี้


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 178 คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครนายก จังหวัดสุพรรณบุรี ก าลังการผลิตของ โรงงาน หนองแค 12 11 100 14 100 บางปู 100 15 200 13 19 300 แหลมฉะบัง 200 16 14 100 18 300 ความต้องการของ คลังสินค้า 300 200 200 700 ต้นทุนการขนส่ง C1,3 100 x 14 = 1,400 C2,1 100 x 15 = 1,500 C2,2 200 x 13 = 2,600 C3,1 200 x 16 = 3,200 C3,3 100 x 18 = 1,800 รวม 10,500 2) การพัฒนาหาค่าเฉลยที่ดีที่สุด การพัฒนาหาค่าเฉลยที่ดีที่สุดเป็นวิธีการค านวณต่อเนื่องจากการหาค่าเฉลยเบื้องต้น โดยน าค่า เฉลยเบื้องต้นที่ได้มาพัฒนาหรือปรับปรุงเพื่อหาต้นทุนการขนส่งที่ต่ าที่สุด โดยมีวิธีการอยู่ 2 วิธี คือ วิธี Stepping Stone และวิธีMODI โดยมีขั้นตอนดังนี้ (1) วิธี Stepping Stone วิธี Stepping Stone เป็นวิธีพื้นฐานและง่ายเพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจในการใช้วิธีการ MODI แต่ วิธี MODI เป็นวิธีการขนส่งที่ง่ายแก่การค านวณ การค านวณโดยใช้วิธีนี้จะต้องสร้างตารางและค านวณขั้นต้น จาก 3 วิธีที่กล่าวมาแล้วคือ วิธี Northwest Conner วิธี Minimum Entry และวิธี VAM โดยใช้วิธีใดวิธี หนึ่งเสมอ ขั้นตอนของวิธี Stepping Stone มีดังนี้ ขั้นที่ 1 เริ่มพิจารณาจากช่องว่างที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไป เพราะบางครั้งการขนส่งไปยังช่องว่าอาจ มีต้นทุนต่ ากว่าซึ่งจะส่งผลท าให้ต้นทุนการขนส่งต่ ากว่าค่าเฉลยเบื้องต้นที่หาได้ โดยสมมติว่ามีการขนส่งเข้า ไป 1 หน่วยเมื่อเพิ่มเข้าไปหนึ่งหน่วยแล้วจะท าให้ก าลังการผลิตและความต้องการในแถวตั้งและแถวนอน สุดท้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงอาจไม่เพียงพอหรือเกินกว่าความต้องการได้ จึงมีการลดตัวเลขการขนส่งในช่อง ที่มีการขนส่งไปแล้ว 1 หน่วย ในการบวกและลบนั้น ช่องแรกที่มีสมมติการขนส่งเข้าไปจะเป็นช่องที่ว่างไม่มี การขนส่งเข้าไป เมื่อขนส่งเข้าไปแล้วช่องอื่นๆที่จะน ามาบวกและลบจะต้องเป็นช่องที่มีการขนส่งเข้าไป ตั้งแต่ตารางเริ่มแรก (ใส่เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์บวก (+) และลบ (-) ในช่องที่มีการเปลี่ยนแปลงการ ขนส่ง) ดูจากตารางข้างล่างประกอบ ขั้นที่ 2 ค านวณหาต้นทุนการขนส่งว่าการขนส่งเข้าไปยังช่องดังกล่าวต่ าที่สุดหรือไม่ โดยน าค่าขนส่ง ที่อยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้านบนของแต่ละช่อง (เฉพาะช่องที่มีเครื่องหมายบวก (+) และเครื่องหมายลบ (- ) เท่านั้น) มาค านวณตามเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ที่เขียนก ากับไว้ จากนั้นให้น าค่าขนส่งที่ค านวณ ได้เปรียบเทียบกันทุกค่าแล้วเลือกค่าขนส่งที่ติดลบน้อยที่สุด


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 179 ขั้นที่ 3 เลือกค่าที่ค านวณได้จากขั้นที่ 2 ที่มีค่าติดลบมากที่สุด ถ้าหากมีค่าติดลบเท่ากันสองค่าให้ เลือกค่าใดก็ได้ แต่ถ้าค านวณแล้วไม่มีค่าติดลบแสดงว่าตารางการขนส่งนั้นเป็นตารางที่ดีที่สุด การจัดสรร การขนส่งตามตารางนั้นเป็นค าเฉลยที่เหมาะสมที่สุด ขั้นที่ 4 หลังจากได้ค่าติดลบมากที่สุดแล้วให้พิจารณาว่าค่าติดลบนั้นมาจากช่องใด ให้เลือกช่องที่มี ค่าติดลบนั้นเป็นช่องที่จะขนส่งเข้าไป โดยเปลี่ยนแปลงค่าการขนส่งตามเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ที่ ก าหนดไว้ ขั้นที่ 5 การเปลี่ยนแปลงค่าขนส่งในช่องว่างนั้นว่าควรเป็นเท่าใด ให้พิจารณาจากช่องที่มีการขนส่ง เข้าไปแล้วและมีเครื่องหมายลบอยู่ และเลือกจ านวนการขนส่งนั้นเป็นค่าที่จะน าไปสู่ในช่องที่มีค่าติดลบ ขั้นที่ 6 น าตัวเลขการขนส่งที่อยู่ในช่องที่มีเครื่องหมายลบ (-) ไปใส่ตามเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ ที่ก ากับไว้ แล้วค านวณหาต้นทุนทั้งหมด การค านวณเช่นนี้จะกระท าไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเลขที่ได้จากการ ค านวณจากช่องว่างมีค่าเป็นบวกหมดหรือเท่ากับศูนย์ ถ้าขั้นตอนทุกอย่างท าถูกต้องต้นทุนการขนส่งทั้งหมด จะลดลงเรื่อย แต่ถ้าเมื่อใดที่ต้นทุนทั้งหมดเพิ่มขึ้นแสดงว่าการค านวณอาจเกิดความผิดพลาด ตัวอย่างที่ 7.6 วิธี Stepping Stone บริษัท สหรัฐการขนส่ง จ ากัด รับจ้างขนส่งปูนซีเมนต์ให้กับบริษัท ซีเมนต์ไท จ ากัด ตารางข้างล่างนี้ แสดงข้อมูลของโรงงานผลิตปูน 3 แห่ง และก าลังการผลิตของแต่ละโรงงาน และคลังสินค้า 3 แห่ง และ ความต้องการปูนซีเมนต์ของแต่ละแห่ง รวมทั้งค่าขนส่งที่เกิดขึ้น ให้หาค่าเฉลยเบื้องต้นโดยวิธี Northwest Corner และพัฒนาหาค่าเฉลยที่ดีที่สุดด้วยวิธี Stepping Stone วิธีท า 1) วิธีNorthwest Corner คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต ท่าเรือ 2,000 35 2,000 50 30 4,000 หน้าพระลาน 40 3,000 42 4,000 45 7,000 แก่งคอย 20 55 6,000 40 6,000 ความต้องการของ คลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 ต้นทุนการขนส่ง C1,1 2,000 x 35 = 70,000 C1,2 2,000 x 50 = 100,000 C2,2 3,000 x 42 = 126,000 C2,3 4,000 x 45 = 180,000 C3,3 6,000 x 40 = 240,000 รวม 716,000


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 180 2) วิธี Stepping Stone จากตัวอย่างช่องสี่เหลี่ยมที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไป คือ C1,3 จึงสมมติว่ามีการขนส่งเข้าไปยังช่องนี้ 1 หน่วย เมื่อขนส่งเข้าไป 1 หน่วย จะท าให้ความต้องการสินค้าที่จังหวัดสงขลาและก าลังการผลิตของโรงงาน ท่าเรือ C1,3 เพ ิ่มขึ้นเกินว่าที่ก าหนดไว้จึงต้องมีการลดก าลังการผลิตโรงงานหน้าพระลานและความต้องการ สินค้าที่อุบล C1,2 ลง 1 หน่วย (ไม่ลดก าลังการผลิตของโรงงานท่าเรือที่ขนส่งไปยังเชียงใหม่เพราะในแนวตั้งที่ 1 ไม่มีการขนส่งเข้าไปอีก) ซึ่งถ้าลดก าลังการผลิตของโรงงานท่าเรือที่ขนส่งไปยังเชียงใหม่แล้วจะต้องเพิ่มการ ขนส่งจากโรงงานหน้าพระลานไปยังอุบล C2,2 อีก 1 หน่วย และลดการขนส่งจากโรงงานหน้าพระลานไปยัง สงขลาอีก 1 หน่วย ซึ่งจะท าให้ก าลังการผลิตเท่ากับความต้องการพอดี ดังนั้นแถวตั้งและแถวนอนแต่ละแถว จะมีเครื่องหมายบวก (+) และเครื่องหมายลบ (-) เสมอ น าค่าขนส่งในช่องสี่เหลี่ยมเล็กมาค านวณหาโดยน ามา บวกและลบตามเครื่องหมายที่ก ากับไว้ในแต่ละช่องดังนี้ คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต ท่าเรือ 2,000 35 - 2,000 50 + 30 4,000 หน้าพระลาน 40 + 3,000 42 - 4,000 45 7,000 แก่งคอย 20 55 6,000 40 6,000 ความต้องการของ คลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 การค านวณรอบที่ 1 ช่อง การค านวณตามเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ ค่าที่ได้ C1,3 = + 30 – 50 + 42 – 45 = - 23* C2,1 = + 40 – 35 + 50 – 42 = 13 C3,1 = + 20 – 35 + 50 – 42 + 45 – 40 = - 2 C3,2 = + 55 – 42 + 45 – 40 = 18 จากการค านวณให้เลือกค่าที่ติดลบมากที่สุด (ถ้าติดลบหลายค่า) ดังนั้นจากตัวอย่างนี้การอธิบาย ตัวเลขที่ได้หมายความว่า ช่อง C1,3 เท่ากับ – 23 แสดงว่า ถ้าเพิ่มการขนส่งเข้าไปยังช่องนี้ 1 หน่วย จะท าให้ค่าขนส่งลดลง 23 บาท ช่อง C3,1 เท่ากับ - 2 แสดงว่า ถ้าเพิ่มการขนส่งเข้าไปยังช่องนี้ 1 หน่วย จะท าให้ค่าขนส่งลดลง 2 บาท ช่อง C3,2 เท่ากับ 18 แสดงว่า ถ้าเพิ่มการขนส่งเข้าไปยังช่องนี้ 1 หน่วย จะท าให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 18 บาท ถ้าช่องใดที่มีค่าเท่ากับ 0 แสดงว่า ถ้าเพิ่มการขนส่งเข้าไปยังช่องนี้ 1 หน่วย จะไม่ท าให้ค่าขนส่ง เพิ่มขึ้นหรือลดลง ดังนั้นบริษัทแห่งนี้ควรเลือกช่อง C1,3 ซึ่งเป็นช่องที่จะท าให้ต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยลดลงถึง 23 บาท จ านวนการขนส่งที่จะปรับปรุงเข้าไปในช่องที่มีต้นทุนต่ าสุดนั้นจะพิจารณาจากช่องที่มีเครื่องหมายลบ (-)


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 181 อยู่ ในที่นี้มี 2 ช่อง คือ C1,2 และ C2,3 มีจ านวนที่ขนส่งเข้าไปแล้วเท่ากับ 2,000 หน่วย และ 4,000 หน่วย ตามล าดับ ให้เลือกช่องที่มีการขนส่งเข้าไปน้อยที่สุดในที่นี้คือ 2,000 หน่วยเป็นค่าปรับปรุงตามเครื่องหมาย ทางคณิตศาสตร์ที่เขียนก ากับ ส่วนช่องที่ไม่มีเครื่องหมายคณิตศาสตร์ก ากับอยู่ให้น าจ านวนที่ขนส่งเดิมมาใส่ ไว้ หลังจากนี้ให้ค านวณหาต้นทุนการขนส่งทั้งหมด ถ้าหากวิธีการถูกต้องค่าขนส่งจะลดลงดังนี้ คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการ ผลิต ท่าเรือ 2,000 35 - 2,000-2,000 = 0 50 + 0+2,000 = 2,000 30 4,000 หน้าพระลาน 40 + 3,000+2,000 = 5,000 42 - 4,000-2,000 = 2,000 45 7,000 แก่งคอย 20 55 6,000 40 6,000 ความต้องการของ คลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 ต้นทุนการขนส่ง C1,1 2,000 x 35 = 70,000 C1,2 2,000 x 30 = 60,000 C2,2 5,000 x 42 = 210,000 C2,3 2,000 x 45 = 90,000 C3,3 6,000 x 40 = 240,000 รวม 670,000 หลังจากนั้นจึงค านวณหาอีกครั้งจนกระทั่งค่าของช่องที่ยังไม่ได้ขนส่งเข้าไปมีค่าเป็นบวกหรือเท่ากับ ศูนย์จึงหยุดการค านวณและให้ยึดตารางค่าสุดท้ายที่ค านวณได้เป็นตารางการขนส่งที่เหมาะสมที่สุด การค านวณรอบที่ 2 ช่อง การค านวณตามเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ ค่าที่ได้ C1,2 = + 50 – 30 + 45 – 42 = 23 C2,1 = + 40 – 35 + 30 – 45 = - 10 C3,1 = + 20 – 35 + 30 – 40 = - 25* C3,2 = + 55 – 42 + 45 – 40 = 18 จากการค านวณรอบที่ 2 ช่องที่มีค่าติดลบมากที่สุดคือ C3,1 เท่ากับ –25 แสดงว่าถ้ามีการขนส่งเข้า ไปยังช่องนี้จะท าให้ต้นทุนลดลง 25 บาท จึงพิจารณาเลือกจ านวนการขนส่งที่อยู่ในช่องที่มีเครื่องหมายลบ แล้วเลือกค่าน้อยที่สุดในที่นี้ คือ 2,000 หน่วย น ามาเป็นค่าปรับปรุงตามเครื่องหมายที่ปรากฏ ดังนี้


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 182 คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต ท่าเรือ + 2,000+0 = 2,000 35 50 + 2,000+2,000 = 4,000 30 4,000 หน้าพระลาน 40 5,000 42 2,000 45 7,000 แก่งคอย + 0+2,000 = 2,000 20 55 - 6,000-2,000 = 4,000 40 6,000 ความต้องการของ คลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 ต้นทุนการขนส่ง C1,3 4,000 x 30 = 120,000 C2,2 5,000 x 42 = 210,000 C2,3 2,000 x 45 = 90,000 C3,1 2,000 x 20 = 40,000 C3,3 4,000 x 40 = 160,000 รวม 620,000 การค านวณรอบที่ 3 ช่อง การค านวณตามเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ ค่าที่ได้ C1,1 = + 35 – 30 + 40 – 20 = 25 C1,2 = + 50 – 30 + 45 – 42 = 23 C2,1 = + 40 – 45 + 40 – 20 = 15 C3,2 = + 55 – 42 + 45 – 40 = 18 จากการค านวณรอบที่ 3 ค่าของช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไปมีค่าเป็นบวกหมดแสดงว่าถ้าหาก ขนส่งเข้าไปในช่องเหล่านี้จะท าให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น (ต้นทุนการขนส่งจะไม่ต่ าไปกว่านี้) ดังนั้นจึงสรุป การจัดสรรการขนส่งได้ดังนี้ จากโรงงานท่าเรือไปคลังสินค้าสงขลา 4,000 หน่วย@ 30 บาท เท่ากับ 120,000 บาท จากโรงงานหน้าพระลานไปคลังสินค้าอุบล 5,000 หน่วย@ 42 บาท เท่ากับ 210,000 บาท จากโรงงานหน้าพระลานไปคลังสินค้าสงขลา 2,000 หน่วย@ 45 บาท เท่ากับ 90,000 บาท จากโรงงานแก่งคอยไปคลังสินค้าเชียงใหม่ 2,000 หน่วย@ 20 บาท เท่ากับ 40,000 บาท จากโรงงานแก่งคอยไปคลังสินค้าสงขลา 6,000 หน่วย@ 40 บาท เท่ากับ 160,000 บาท รวมต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 620,000 บาท (2) วิธี Modified Distribution: MODI วิธี MODI เป็นวิธีการพัฒนาหาค่าเฉลยที่ดีที่สุดของปัญหาการขนส่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่า วิธี Stepping Stone เพราะไม่ต้องหาค่าของช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไปทุกช่อง ขั้นตอนของวิธี MODI สามารถท าได้ดังนี้


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 183 ขั้นตอนที่ 1 ก าหนดค่าของแต่ละแถวนอนโดยก าหนดให้ Ri แทนค่าแถวนอนที่ i และก าหนดให้ Kj แทนค่าแถวตั้งที่ j และให้ค่า Ri + Kj = Cij ส าหรับช่องที่มีการขนส่งเข้าไปแล้วเท่านั้น แทนค่าต้นทุนการ ขนส่งต่อหน่วยลงในสมการและหาค่า Ri และ Kj โดยก าหนดให้ R1 มีค่าเท่ากับ 0 หลังจากนั้นค านวณหา ต้นทุนของช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้า โดยใช้สมการ Cij – Ri – Kj ขั้นตอนที่ 2 ถ้าต้นทุนของช่องที่ไม่มีการขนส่งเข้าไปเป็นบวกหรือศูนย์หมด หมายความว่าตาราง การขนส่งนั้นให้ค่าเฉลยที่ดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าต้นทุนการขนส่งยังเป็นลบอยู่แสดงว่ายังไม่ใช่ตารางที่ดีที่สุด ต้อง พัฒนาหาค่าเฉลยต่อไปนี้ การเลือกต้นทุนของช่องจะเลือกค่าติดลบที่มากที่สุดก่อน (เหมือนกับวิธี Stepping Stone) แล้วพิจารณาว่าอยู่ในช่องใด ให้เลือกช่องนั้นเป็นช่องที่จะเปลี่ยนแปลงการขนส่ง โดยใช้ เครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) ขั้นตอนที่ 3 เปลี่ยนแปลงและโยกย้ายการขนส่งตามวิธี Stepping Stone (เลือกช่องแรกที่ต้นทุน ต่ าสุดเป็นช่องที่จะเปลี่ยนแปลงโดยใส่เครื่องหมายบวก (+) และช่องถัดไปให้พิจารณาเลือกช่องที่มีการขนส่ง เข้าไปแล้วเท่านั้นโดยใส่เครื่องหมายลบ (-) หลังจากนั้นจึงค านวณหาต้นทุนรวม ขั้นตอนที่ 4 ย้อนกลับไปท าขั้นที่ 1 ใหม่ คือ ประเมินต้นทุนของแต่ละแถวนอนและแถวตั้ง ท าเช่นนี้ จนกระทั่งต้นทุนของแต่ละแถวจะมีค่าเป็นบวกหรือเท่ากับศูนย์หมด ตัวอย่างที่ 7.7 วิธี MODI จากตัวอย่างที่ 7.6 ให้หาค่าเฉลยที่ดีที่สุดโดยใช้วิธี MODI วิธีท า คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต ท่าเรือ 2,000 35 2,000 50 30 4,000 หน้าพระลาน 40 3,000 42 4,000 45 7,000 แก่งคอย 20 55 6,000 40 6,000 ความต้องการของ คลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 (1) ค านวณหาค่าของแต่ละแถวนอนและแถวตั้ง โดยใช้สมการ Ri + Ki = Cij ดังนี้ ช่องที่มีการขนส่งเข้าไป ต้นทุนการขนส่งต่อหน่วย สมการ Ri + Ki = Cij C1,1 35 R1 + K1 = 35 C1,2 50 R1 + K2 = 50 C2,2 42 R2 + K2 = 42 C2,3 45 R2 + K3 = 45 C3,3 40 R3 + K3 = 40 เลือกตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งเพื่อหาค่าของตัวแปรที่เหลือ เช่น สมมติให้ R1 = 0 น าค่านี้ไปแทนใน สมการแรกจะได้ค่า K1 = 35 และเมื่อพิจารณาสมการที่สองที่มีค่าของ R1 แทนค่า R1 = 0 ในสมการที่สอง จะได้ K2 = 50 น าค่า K2 นี้ไปแทนในสมการที่สามจะได้ค่า R2 = -8 ท าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบทุก สมการจะได้ค่าดังนี้


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 184 K1 = 35 K2 = 50 K3 = 53 คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต R1 = 0 ท่าเรือ 2,000 35 2,000 50 30 4,000 R2 = -8 หน้าพระลาน 40 3,000 42 4,000 45 7,000 R3 = -13 แก่งคอย 20 55 6,000 40 6,000 ความต้องการ ของคลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 สรุป ต้นทุนเท่ากับ R1 = 0 R2 = - 8 R3 = - 13 K1 = 35 K2 = 50 K3 = 53 ต่อไปค านวณหาต้นทุนของช่องที่ไม่มีการขนส่งเข้าไป โดยน าต้นทุนในช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไป ลบด้วยค่าของแถวนอนและแถวตั้ง หรือหาได้จากสมการ Cij – Ri – Ki ดังนี้ ช่องที่ไม่มีการขนส่ง สมการ Cij – Ri – Ki ต้นทุน C1,3 30 – 0 – 53 - 23* C2,1 40 – (-8) – 35 13 C3,1 20 – (-13) – 35 - 2 C3,2 55 – (-13) – 50 18 ช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไปที่มีต้นทุนต่ าสุดคือ C1,3 เท่ากับ – 23 หมายความว่าถ้าขนส่งเข้าไปใน ช่องนี้จะท าให้ต้นทุนลดลง 23 บาท หลังจากนี้ให้ใส่เครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) ในช่องที่เลือกไว้ (ใส่ เครื่องหมายบวกที่ช่อง C1,3 เครื่องหมายลบที่ช่อง C1,2 เครื่องหมายบวกที่ช่อง C2,2 และเครื่องหมายลบที่ ช่อง C2,3) เหมือนกับวิธี Stepping Stone จะได้ดังนี้ คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต ท่าเรือ 2,000 35 - 2,000 50 + 30 4,000 หน้าพระลาน 40 + 3,000 42 - 4,000 45 7,000 แก่งคอย 20 55 6,000 40 6,000 ความต้องการของ คลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 185 ตารางใหม่ที่ได้ คือ คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการ ผลิต ท่าเรือ 2,000 35 - 2,000-2,000 = 0 50 + 0+2,000 = 2,000 30 4,000 หน้าพระลาน 40 + 3,000+2,000 = 5,000 42 - 4,000-2,000 = 2,000 45 7,000 แก่งคอย 20 55 6,000 40 6,000 ความต้องการของ คลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 ต้นทุนการขนส่ง C1,1 2,000 x 35 = 70,000 C1,2 2,000 x 30 = 60,000 C2,2 5,000 x 42 = 210,000 C2,3 2,000 x 45 = 90,000 C3,3 6,000 x 40 = 240,000 รวม 670,000 หาต้นทุนของแต่ละแถวนอนและแถวตั้งอีกครั้ง K1 = 35 K2 = 27 K3 = 30 คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต R1 = 0 ท่าเรือ 2,000 35 50 2,000 30 4,000 R2 = 15 หน้าพระลาน 40 5,000 42 2,000 45 7,000 R3 = 10 แก่งคอย 20 55 6,000 40 6,000 ความต้องการ ของคลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 ค านวณหาต้นทุนของช่องที่ไม่มีการขนส่งเข้าไป โดยน าต้นทุนในช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไปลบ ด้วยค่าของแถวนอนและแถวตั้ง ดังนี้ ช่องที่ไม่มีการขนส่ง สมการ Cij – Ri – Ki ต้นทุน C1,2 50 – 0 – 27 23 C2,1 40 – 15 – 35 - 10 C3,1 20 – 10 – 35 - 25* C3,2 55 – 10 – 27 18


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 186 ช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไปที่มีต้นทุนต่ าสุดคือ C3,1 เท่ากับ – 25 หมายความว่าถ้าขนส่งเข้าไปใน ช่องนี้จะท าให้ต้นทุนลดลง 25 บาท หลังจากนี้ให้ใส่เครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) ในช่องที่เลือกไว้ดังนี้ คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต ท่าเรือ - 2,000-2,000 = 0 35 50 + 2,000+2,000 = 4,000 30 4,000 หน้าพระลาน 40 5,000 42 2,000 45 7,000 แก่งคอย + 2,000+0 = 2,000 20 55 - 6,000+2,000 = 4,000 40 6,000 ความต้องการของ คลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000 ต้นทุนการขนส่ง C1,3 4,000 x 30 = 120,000 C2,2 5,000 x 42 = 210,000 C2,3 2,000 x 45 = 90,000 C3,1 2,000 x 20 = 40,000 C3,3 4,000 x 40 = 160,000 รวม 620,000 หาต้นทุนของแต่ละแถวนอนและแถวตั้งอีกครั้ง K1 = 10 K2 = 27 K3 = 30 คลังสินค้าที่ โรงงานที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบล จังหวัดสงขลา ก าลังการผลิต R1 = 0 ท่าเรือ 35 50 4,000 30 4,000 R2 = 15 หน้าพระลาน 40 5,000 42 2,000 45 7,000 R3 = 10 แก่งคอย 2,000 20 55 4,000 40 6,000 ความต้องการ ของคลังสินค้า 2,000 5,000 10,000 17,000


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 187 ค านวณหาต้นทุนของช่องที่ไม่มีการขนส่งเข้าไป โดยน าต้นทุนในช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไปลบ ด้วยค่าของแถวนอนและแถวตั้ง ดังนี้ ช่องที่ไม่มีการขนส่ง สมการ Cij – Ri – Ki ต้นทุน C1,1 35 – 0 – 10 25 C1,2 50 – 0 – 27 23 C2,1 40 – 15 – 10 15 C3,2 55 – 10 – 27 18 จากการค านวณค่าของช่องที่ยังไม่มีการขนส่งเข้าไปมีค่าเป็นบวกหมดแสดงว่าถ้าหากขนส่งเข้าไปใน ช่องเหล่านี้จะท าให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น (ต้นทุนการขนส่งจะไม่ต่ าไปกว่านี้) ดังนั้นจึงสรุปการจัดสรรการ ขนส่งได้ดังนี้ จากโรงงานท่าเรือไปคลังสินค้าสงขลา 4,000 หน่วย@ 30 บาท เท่ากับ 120,000 บาท จากโรงงานหน้าพระลานไปคลังสินค้าอุบล 5,000 หน่วย@ 42 บาท เท่ากับ 210,000 บาท จากโรงงานหน้าพระลานไปคลังสินค้าสงขลา 2,000 หน่วย@ 45 บาท เท่ากับ 90,000 บาท จากโรงงานแก่งคอยไปคลังสินค้าเชียงใหม่ 2,000 หน่วย@ 20 บาท เท่ากับ 40,000 บาท จากโรงงานแก่งคอยไปคลังสินค้าสงขลา 6,000 หน่วย@ 40 บาท เท่ากับ 160,000 บาท รวมต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 620,000 บาท 3) กรณีความต้องการไม่สมดุล จากการศึกษาที่ผ่านมาเป็นกรณีที่ความต้องการทั้งแถวตั้งและแถวนอนมีค่าเท่ากัน ซึ่งบางครั้งอาจเกิด ปัญหาที่ความต้องการในแต่ละแถวอาจไม่เท่ากัน ในกรณีเช่นนี้จะใช้ดัมมี่ (Dummy) หรือแถวจ าลองช่วยใน การค านวณ โดยสมมติค่าขนส่งในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆมุมขวามือด้านบนของแต่ละช่องเท่ากับ 0 และความ ต้องการของแถวจ าลองจะเท่ากับจ านวนที่ขาดหายไป ซึ่งสังเกตจากผลรวมที่มีค่าน้อยน ามาบวกเพิ่มให้เท่ากับ ผลรวมที่มีค่ามาก เมื่อเพิ่มแถวจ าลองเข้ามาแล้วหลังจากนั้นจึงค านวณหาค่าต่างๆด้วยวิธีที่กล่าวมาแล้ว (1) กรณีค่าแถวนอนมากกว่าแถวตั้ง จ านวนความต้องการของจุดเริ่มต้นมีค่ามากกว่า สามารถ กระท าได้จากตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่างที่ 7.8 กรณีค่าแถวนอนมากกว่าแถวตั้ง บริษัทแห่งหนึ่งได้ว่าจ้างนักศึกษาให้ประเมินต้นทุนการขนส่ง ตารางข้างล่างนี้แสดงความต้องการ ก าลังการผลิตและต้นทุนการขนส่งทางเครื่องบินระหว่างโรงงานแต่ละแห่งกับคลังสินค้าแต่ละแห่ง ดังนี้ ถึง จาก คลังสินค้า 1 คลังสินค้า 2 คลังสินค้า 3 คลังสินค้า 4 ก าลังการผลิตของ โรงงาน โรงงาน 1 4 7 10 12 2,000 โรงงาน 2 7 5 8 11 2,500 โรงงาน 3 9 8 6 9 2,200 ความต้องการ ของคลังสินค้า 1,000 2,000 2,000 1,200 6,700 6,200


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 188 วิธีท า จากตารางตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าก าลังการผลิตของโรงงาน (ผลรวมของแถวนอนทั้งหมด) มีค่า มากกว่าความต้องการของคลังสินค้า เพื่อให้สามารถค านวณหาค าตอบได้จะต้องเพิ่มแถวจ าลองหรือสมมติที่ เรียกว่า Dummy เพิ่มเข้าไปในแถวตั้งเพื่อให้จ านวนขนส่งเกิดความสมดุล โดยค่าขนส่งของแถวจ าลองเท่ากับ 0 และความต้องการที่แถวจ าลองจะเท่ากับจ านวนค่าที่เป็นผลต่างระหว่างความต้องการในแถวตั้งและแถวนอน ถึง จาก คลังสินค้า 1 คลังสินค้า 2 คลังสินค้า 3 คลังสินค้า 4 Dummy ก าลังการผลิต ของโรงงาน โรงงาน 1 4 7 10 12 0 2,000 โรงงาน 2 7 5 8 11 0 2,500 โรงงาน 3 9 8 6 9 0 2,200 ความต้องการ ของคลังสินค้า 1,000 2,000 2,000 1,200 500 6,700 (2) กรณีค่าแถวตั้งมากกว่าแถวนอน จ านวนความต้องการของจุดหมายปลายทางมีค่ามากกว่า สามารถท าได้ดังนี้ ตัวอย่างที่ 7.9 กรณีค่าแถวตั้งมากกว่าแถวนอน สายการประกอบเครื่องเสียงระบบ Stereophonic ที่มีความคมชัดสูงเกิดขึ้นจากโรงงาน 3 แห่ง (W X และ Y) โดยมีการเคลื่อนย้ายระบบที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์ไปจัดเก็บไว้ที่คลังสินค้าตามภูมิภาคต่างๆ 3 แห่ง ก าลังการผลิตที่เกิดขึ้นของฝ่ายผลิต ความต้องการของคลังสินค้าแต่ละแห่ง และต้นทุนการขนส่งต่อ หน่วย อธิบายในตารางต่อไปนี้ ถึง จาก คลังสินค้า 1 คลังสินค้า 2 คลังสินค้า 3 ก าลังการผลิต ของโรงงาน โรงงาน W 6 4 9 200 โรงงาน Y 10 5 6 175 โรงงาน Z 12 7 8 75 ความต้องการ ของคลังสินค้า 250 100 150 450 500 วิธีท า จากตารางตัวอย่างที่ 7.10 แสดงให้เห็นว่าความต้องการของคลังสินค้า (ผลรวมของแถวตั้งทั้งหมด) มีค่ามากกว่าก าลังการผลิตของโรงงาน เพื่อให้สามารถค านวณหาค าตอบได้จะต้องเพิ่มแถวจ าลองหรือแถว สมมติที่เรียกว่า Dummy เพิ่มเข้าไปในด้านแถวตั้งอีก 1 แถว โดยค่าขนส่งจะเท่ากับ 0 และความต้องการที่ แถวจ าลองจะเท่ากับจ านวนค่าที่เป็นผลต่างระหว่างความต้องการในแถวตั้งและแถวนอน (สังเกตจากแถวที่ มีผลรวมมากกว่า)


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 189 ถึง จาก คลังสินค้า 1 คลังสินค้า 2 คลังสินค้า 3 ก าลังการผลิต ของโรงงาน โรงงาน W 6 4 9 200 โรงงาน Y 10 5 6 75 โรงงาน Z 12 7 8 175 Dummy 0 0 0 50 ความต้องการ ของคลังสินค้า 250 100 150 500 7.4 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้ง ธุรกิจที่ด าเนินการอยู่ส่วนใหญ่จะมีโรงงานหรือสถานประกอบการอยู่แล้ว แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลง ท าเลที่ตั้งใหม่ สาเหตุส าคัญของการเปลี่ยนแปลงหรือการโยกย้ายท าเลที่ตั้งมีอยู่ 5 ประการ ได้แก่ 1. การเพิ่มระดับการผลิต การเพิ่มระดับการผลิต หมายถึง การเพิ่มปริมาณที่จะท าการผลิต ซึ่งกระท าได้โดยการเพิ่มจ านวน วัตถุดิบ การเพิ่มจ านวนแรงงาน การเพิ่มก าลังการผลิตของเครื่องจักรและชั่วโมงการท างาน (เอกสารการ สอนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชุดวิชา การบริหารการผลิต หน่วยที่ 1 – 7, 2541 หน้า 237) การเพิ่ม ระดับการผลิตด้วยการกระท าดังกล่าวนี้ส่งผลให้เกิดความจ าเป็นที่ต้องเพิ่มพื้นที่ในการผลิตมากขึ้นจึงต้องมี การขยายโรงงานเพิ่มเติมในบริเวณเดิม หรือก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในท าเลที่ตั้งแห่งใหม่ ซึ่งอาจท าให้ธุรกิจ เปลี่ยนแปลงไปจากธุรกิจที่มีท าเลที่ตั้งเพียงแห่งเดียวมาเป็นธุรกิจที่มีท าเลที่ตั้งหลายแห่งและอาจส่งผล กระทบต่อรูปแบบและวิธีการด าเนินของธุรกิจ 2. การเปลี่ยนแปลงแหล่งวัตถุดิบที่เป็นปัจจัยการผลิต ปัจจัยการผลิต หมายถึง ปัจจัยน าเข้าที่น าเข้าสู่กระบวนการผลิตเพื่อแปรสภาพออกมาเป็นสินค้า หรือบริการ ดังนั้นในสถานการณ์ปัจจุบันอาจท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแหล่งวัตถุดิบที่ใช้เป็นปัจจัยการผลิต ได้ การเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญๆ เช่น (1) ที่ดิน (Land) จากการเติบโตและการขยายตัวของชุมชนและเมืองอาจท าให้ที่ดินบริเวณที่เป็น ที่ตั้งของโรงงานเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น รัฐบาลเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ท าสาธารณประโยชน์ หรือธุรกิจเช่า ที่ดินของบุคคลอื่นด าเนินกิจกรรมแล้วเจ้าของที่ดินยกเลิกสัญญาหรือหมดอายุสัญญา (2) วัตถุดิบ (Material) จากการแข่งขันระหว่างธุรกิจต่างๆ อย่างรุนแรงอาจส่งผลท าให้วัตถุดิบเกิด การขาดแคลนหรือไม่เพียงพอต่อการด าเนินงาน หรือมีการค้นพบแหล่งวัตถุดิบแห่งใหม่ที่มีต้นทุนต่ ากว่า ส่งผลท าให้ธุรกิจจ าเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้ง (3) แรงงาน (Labor) จากการเดินทางอย่างสะดวกและรวดเร็วในปัจจุบัน ส่งผลท าให้แรงงานมีการ อพยพและโยกย้ายได้ง่าย ซึ่งท าให้ธุรกิจขาดแคลนแรงงาน ท าให้ธุรกิจจ าเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงท าเล ที่ตั้ง


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 190 (4) เครื่องจักร (Machine) จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการผลิตท าให้มีการประดิษฐ์และ คิดค้นเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในกระบวนการผลิต ดังนั้นการน าเอา เครื่องจักรที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงมาจะท าให้ธุรกิจต้องใช้เงินลงทุนจ านวนมาก ดังนั้นธุรกิจอาจจ าเป็นต้องมี การเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้งหรือการปรับปรุงท าเลที่ตั้งเดิมเพื่อให้มีค่าใช้จ่ายในการด าเนินงานต่ าลง 3. การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคจะส่งผลท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ เช่น การ เปลี่ยนแปลงรสนิยมของลูกค้า ความล้าสมัยของผลิตภัณฑ์ และการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างธุรกิจภายใน อุตสาหกรรม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของลูกค้ามีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง ซึ่งธุรกิจจะต้องพยายามใช้กิจกรรมด้าน อื่นๆ เข้ามาช่วยเหลือ เช่น การส่งเสริมการตลาด การสร้างการยอมรับและการปรับเปลี่ยนทัศนคติของ ลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ ถ้าหากไม่สามารถแก้ไขได้อาจจ าเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้ง 4. การรวมกิจการ การรวมกิจการ (Merger) หมายถึง การรวมกิจการตั้งสองสองกิจการขึ้นไปเป็นกิจการเดียวกัน ภายใต้ชื่อของกิจการที่เข้าไปรับโอนมา (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2547 หน้า 545) ลักษณะการรวม กิจการเข้าด้วยกันประกอบด้วย 1) การรวมกิจการตามแนวนอน (Horizontal Merger) เช่น การรวมตัวของธุรกิจผู้ผลิตเสื้อผ้าบุรุษ เสื้อผ้าสตรีและเสื้อเด็กเข้าด้วยกัน หรือเป็นการรวมกิจการที่อยู่ในสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน 2) การรวมกิจการตามแนวดิ่ง (Vertical Merger) เช่น การรวมตัวของธุรกิจเสื้อผ้าบุรุษและธุรกิจ ทอผ้า เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นการรวมกิจการที่มีสายผลิตภัณฑ์แตกต่างกัน การรวมกิจการทั้ง 2 แบบ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้งได้ 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 ใช้ท าเลที่ตั้งหรือโรงงานแห่งเดิมที่มีอยู่ของธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นส านักงานใหญ่ ท าเลที่ตั้ง หรือโรงงานแห่งอื่นเป็นสาขา กรณีที่ 2 เปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้งใหม่ทั้งหมด โดยธุรกิจทั้งสองแห่งตกลงกันที่จะยกเลิกสถานที่ ประกอบการหรือโรงงานที่มีอยู่แล้วหาท าเลที่ตั้งแห่งใหม่ 5. การผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ การผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่มักก่อให้เกิดความจ าเป็นต้องใช้ปัจจัยการผลิตแบบใหม่เสมอ เช่น วัตถุดิบที่ จ าเป็นส าหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ แรงงานและเครื่องจักร ซึ่งบางครั้งธุรกิจอาจจ าเป็นต้องเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้ง ที่มีอยู่เพื่อค้นหาท าเลที่ตั้งแห่งใหม่ที่มีความพร้อมมากกว่า นอกจากสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาแล้วยังมีอีกหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลง กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมบริเวณที่ตั้งโรงงาน (Zoning) การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของชุมชน การ เปลี่ยนแปลงระบบการคมนาคม เป็นต้น


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 191 สรุป การเลือกท าเลที่ตั้งเป็นงานที่มีความส าคัญที่จะต้องน ามาพิจารณาตัดสินใจ เพราะท าเลที่ตั้งอาจ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสาเหตุท าให้ต้องค้นหาวิธีการวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือก ท าเลที่ตั้งให้เหมาะสม การเลือกท าเลที่ตั้งเป็นหน้าที่งานที่ส่งผลกระทบต่อองค์การในระยะยาว อีกทั้งยัง เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆที่ส่งผลกระทบโดยตรงมากมาย เช่น ต้นทุน สภาพแวดล้อม การติดต่อสื่อสาร เป็น ต้น ท าเลที่ตั้ง คือ สถานที่ที่ธุรกิจสามารถประกอบกิจกรรมได้สะดวก โดยค านึงถึงก าไร ค่าใช้จ่าย ความสัมพันธ์กับลูกค้า ความสัมพันธ์กับพนักงาน และสภาพแวดล้อมภายนอกอื่นๆ ตลอดระยะเวลาที่ธุรกิจ ประกอบกิจกรรมนั้น การเลือกท าเลที่ตั้งที่ดีมีความส าคัญหลายประการ เช่น ท าให้เกิดข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ประหยัดต้นทุนการด าเนินงาน ช่วยให้การขยายกิจการมีประสิทธิภาพ ท าให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่า และ ช่วยในการก าหนดกลยุทธ์ของธุรกิจ ส่วนใหญ่ในการเลือกท าเลที่ตั้งมักจะพิจารณาจากประเภทของ อุตสาหกรรมว่าเป็นอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมเบา หรืออุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการ ปัญหาในการ เลือกท าเลที่ตั้งที่พบจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ 4 ด้าน คือ 1) ขยายโรงงานเดิมหรือท าเลที่ตั้งเดิมที่มีอยู่ 2) คงสภาพโรงงานหรือท าเลที่ตั้งเดิมที่มีอยู่ แล้วเลือกท าเลที่ตั้งแห่งใหม่ในท าเลที่ตั้งอื่น 3) ไม่ขยายกิจการ แต่ ใช้ผู้รับเหมาช่วง และ 4) ยกเลิกโรงงานหรือท าเลที่ตั้งที่มีอยู่เดิมแล้วพิจารณาหาท าเลที่ตั้งแห่งใหม่เพื่อสร้าง โรงงานใหม่ ปัจจัยที่น ามาใช้ในการพิจารณาเลือกท าเลที่ตั้งมีหลายปัจจัย ทั้งเชิงคุณภาพ (ตลาดหรือลูกค้า แรงงานทัศนคติของชุมชน และสภาพแวดล้อม) และเชิงปริมาณ (วัตถุดิบ ที่ดิน การเช่า การซื้อและการ ก่อสร้าง การขนส่ง แรงงาน พลังงานและสาธารณูปโภค และภาษี) แต่ถ้าหากธุรกิจต้องเลือกท าเลที่ตั้งใน ต่างประเทศจ าเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล กฎระเบียบของรัฐบาล ระบบเศรษฐกิจและการเมืองความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเติบโตอัตราการแลกเปลี่ยน เป็นต้น ขั้นตอนในการเลือกท าเลที่ตั้งประกอบด้วย ก าหนดเกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมินผลเปรียบเทียบเพื่อ เลือกท าเลที่ตั้ง ก าหนดปัจจัยที่มีผลต่อการบริการหรือการผลิต ก าหนดทางเลือกของที่ตั้งโรงงาน และ ประเมินผลและเปรียบเทียบต าแหน่งที่ตั้งโรงงานที่เลือกไว้โดยผู้ตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้งสามารถน าตัวแบบ ทางคณิตศาสตร์มาใช้วิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ เช่น วิธีการประเมินปัจจัยแห่งความส าเร็จ วิธีการหาจุดศูนย์กลาง และตัวแบบการขนส่ง ประการสุดท้ายถ้าธุรกิจต้องการเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้งอาจ พิจารณาได้จากการเพิ่มระดับการผลิต การเปลี่ยนแปลงแหล่งวัตถุดิบที่เป็นปัจจัยการผลิต การเปลี่ยนแปลง ความต้องการของผู้บริโภค การรวมกิจการ และการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 192 ค าถามท้ายบทที่ 7 ข้อ 1 ลักษณะของการเลือกท าเลที่ตั้งตามรูปแบบขอธุรกิจแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง ข้อ 2 จงอธิบายสมมติฐานของวิธีจุดศูนย์กลาง (Center of Gravity) ว่าสามารถใช้จะใช้เป็นโมเดลในการ เลือกท าเลที่ตั้งส าหรับงานด้านบริการได้อย่างไร ข้อ 3 การตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้งสิ่งอ านวยความสะดวกส าหรับการบริการควรท าอย่างไร และมีความ แตกต่างจากการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้งของอุตสาหกรรมการผลิตอย่างไร ข้อ 4 การเลือกท าเลที่ตั้งที่เหมาะสมมีความส าคัญอย่างไรต่อธุรกิจ อธิบาย ข้อ 5 ขั้นตอนในการวิเคราะห์จุดคุ้มทุนของท าเลที่ตั้งมีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง ข้อ 6 ปัญหาของการเลือกท าเลที่ตั้งมีอะไรบ้าง อธิบาย ข้อ 7 ปัจจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Factors) และปัจจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Factors) ที่ต้อง พิจารณาในการเลือกท าเลที่ตั้งมีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อ 8 ปัจจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Factors) ที่ต้องพิจารณาในการเลือกท าเลที่ตั้งมีอะไรบ้าง อธิบาย ข้อ 9 ปัจจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Factors) ที่ต้องพิจารณาในการเลือกท าเลที่ตั้งมีอะไรบ้าง อธิบาย ข้อ 10 การเปลี่ยนแปลงท าเลที่ตั้งมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง อธิบาย แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 7 ข้อ 1 ร้าน Home-based เป็นร้านค้าแบบเครือข่ายที่จัดจ าหน่ายอุปกรณ์ก่อสร้างและปรับปรุงบ้านพักอาศัย ก าลังต้องการ สร้างคลังจัดเก็บสินค้าแห่งใหม่เพื่อให้บริการแก่ร้านค้าที่มีท าเลที่ตั้งอยู่ในกรงุเทพมหานคร คือ อ าเภอล าลูกกา อ าเภอ องครักษ์ อ าเภอวังน้อย อ าเภอบางบัวทอง อ าเภอบางปะกง แลอ าเภอบางพลีจุดประสานของท าเลที่ตั้งเหล่านี้ (หน่วยเป็น กิโลเมตร) ปริมาณการขนส่งโดยรถบรรทุกแสดงในตารางข้างล่างนี้ ล าลูกกา องครักษ์ วังน้อย บางบัวทอง บางปะกง บางพลี x = 15 x = 42 x = 88 x = 125 x = 135 x = 180 y = 85 y = 145 y = 145 y = 140 y = 125 y = 18 w = 160 w = 90 w = 105 w = 35 w = 60 w = 75 ค าสั่ง 4.1 จงระบุท าเลที่ตั้งที่เหมาะสมที่สุดจากวิธีหาจุดศูนย์กลาง 4.2 จงระบุเมืองที่ใกล้ที่สุดจากจุดประสานที่พัฒนาขึ้นในข้อ 4.1 นักศึกษาจะให้เลือกท าเลที่ตั้งใด อธิบาย ข้อ 2 ร้านอาหารแบบเครือข่าย Burger Doodle ซื้อส่วนประกอบส าหรับปรุงอาหารจากผู้ขายปัจจัยการผลิตที่แตกต่างกัน 4 ราย ร้านอาหารแห่งนี้ต้องการสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่เพื่อผลิตและบรรจุส่วนประกอบก่อนจัดส่งให้กับลูกค้าที่ เป็นร้านอาหารหลายแห่ง รายการส่วนประกอบที่จัดส่งจากผู้ขายปัจจัยการผลิตใช้รถหัวลากขนาด 40 ฟุต รถหัวลากแต่ละ คันบรรทุกได้ 38,000 กิโลกรัม ท าเลที่ตั้งของผู้ขายปัจจัยการผลิตทั้ง 4 แห่ง คือ A B C และ D จ านวนรถหัวลากต่อปีที่จะ ขนส่งไปยังศูนย์กระจายสินค้าแสดงในตารางข้างล่างนี้ A B C D xA = 200 XB = 100 xC = 250 xD = 500 yA = 200 yB = 500 yC = 600 yD = 300 wA = 75 wB = 105 wC = 135 wD = 60 ค าสั่ง จงใช้วิธีหาจุดศูนย์กลาง (Center of gravity) ค านวณหาท าเลที่ตั้งที่เป็นไปได้เพื่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่


บทที่ 7 เทคนิคการตัดสินใจเลือกท าเลที่ตั้ง การจัดการการผลิตและการปฏิบัติการ หน้าที่ 193 ข้อ 3 ร้าน Mega-Mart เป็นร้านขายสินค้าลดราคาแบบเครือข่าย ต้องการสร้างห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ในพื้นที่ของ กรุงเทพมหานคร ใกล้กับเมืองขนาดใหญ่ที่มีจ านวนประชากรระหว่าง 8,000 คน ถึง 42,000 คน จุดประสาน (หน่วยเป็น ไมล์) ของเมืองทั้ง 4 แห่งและจ านวนประชากรแสดงในตารางข้างล่างนี้ มีนบุรี ดอนเมือง หนองจอก ลาดกระบัง x = 12 x = 18 x = 30 x = 32 y = 20 y = 18 y = 7 y = 25 w = 26,000 w = 14,000 w = 9,500 w = 12,000 ค าสั่ง จงใช้วิธีหาจุดศูนย์กลาง (Center of gravity) ค านวณหาท าเลที่ตั้งที่เป็นไปได้ ข้อ 4 บริษัท ดี ดี กระบอกสูบ จ ากัด ต้องการสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อผลิตแหวนรองกระบอกสูบ (ใช้ในรถยนต์และ รถบรรทุก) ทีมงานเลือกท าเลที่ตั้งก าลังประเมินทางเลือกของท าเลที่ตั้ง 3 แห่ง โดยได้ให้ค่าคะแนนส าหรับปัจจัยส าคัญของแต่ ละท าเลที่ตั้ง แสดงในตารางข้างล่างนี้ บริษัทฯ ควรเลือกท าเลที่ตั้งแห่งใดเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ปัจจัยส าคัญ น้ าหนัก คะแนน (0 ถึง 100) ท าเลที่ตั้ง 1 ท าเลที่ตั้ง 2 ท าเลที่ตั้ง 3 สหภาพแรงงานและบรรยากาศ 0.30 80 65 90 อยู่ใกล้กับผู้ขายปัจจัยการผลิต 0.20 100 91 75 อัตราค่าจ้างแรงงาน 0.15 60 95 72 สิ่งแวดล้อมในชุมชน 0.15 75 80 80 อยู่ใกล้กับลูกค้า 0.10 65 90 95 วิธีการจัดส่ง 0.05 85 92 65 การบริการจัดส่งทางอากาศ 0.05 50 65 90 ข้อ 5 บริษัท Exotech Computer จ ากัด ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เช่น แผ่นไมโครชิป แผงวงจรไฟฟ้า แผงวงจรหลัก แป้นพิมพ์ แผงไฟฟ้า LCD และอื่นๆ จ าหน่ายทั่วโลก บริษัทแห่งนี้ต้องการสร้างศูนย์กระจายสินค้า/คลังสินค้าแห่งใหม่ใน เอเชียเพื่อให้บริการแก่ตลาดที่เกิดใหม่ในตลาดอาเซียน ท าเลที่ตั้งที่น ามาพิจารณา คือ เซียงไฮ ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดย ก าหนดอันดับความส าคัญของปัจจัยในแต่ละท าเลที่ตั้งในตารางด้านล่างนี้ ปัจจัยส าคัญ น้ าหนัก ค่าคะแนน (0 ถึง 100) เซียงไฮ ฮ่องกง สิงคโปร์ เสถียรภาพทางการเมือง 0.25 50 80 90 การเติบโตทางเศรษฐกิจ 0.18 90 80 75 สิ่งอ านวยความสะดวกของท่าเรือ 0.15 60 95 90 การสนับสนุนด้านการขนส่ง 0.10 50 80 90 ต้นทุนที่ดินและก่อสร้าง 0.08 90 50 30 การกระจายและการขนส่ง 0.08 50 80 70 ภาษีและภาษีศุลกากร 0.07 70 90 90 กฎระเบียบทางการค้า 0.05 70 95 95 การบริการของสายการบิน 0.02 60 80 70 ปริมาณของถนน 0.02 60 70 80 ท าเลที่ตั้งใดควรเลือกเพื่อก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้า/คลังสินค้าแห่งใหม่สร้างศูนย์กระจายสินค้า/คลังสินค้าแห่งใหม่นี้


Click to View FlipBook Version