The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานสมบูรณ์เล่มการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดความซื่อสัตย์สุจริต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sn.siwaporn_kpp2, 2022-10-11 09:39:36

รายงานสมบูรณ์เล่มการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดความซื่อสัตย์สุจริต

รายงานสมบูรณ์เล่มการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดความซื่อสัตย์สุจริต

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดม่นั ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

สารบญั ภาพ (ตอ่ )

แผนภาพท่ี 4-26 พฤติกรรมย่อยในองค์ประกอบท่ี 2 ความละอายและความไมท่ นต่อการ หน้า
แผนภาพที่ 4-27 จาแนกตามแตล่ ะชว่ งวยั 4-30
แผนภาพที่ 4-28 พฤติกรรมย่อยในองคป์ ระกอบท่ี 3 STRONG : จิตพอเพียงตา้ นทุจริต 4-31
แผนภาพท่ี 4-29 จาแนกตามแตล่ ะชว่ งวัย 4-33
พฤติกรรมย่อยในองคป์ ระกอบท่ี 4 พลเมืองกบั ความรับผิดชอบตอ่ สังคม
แผนภาพที่ 4-30 จาแนกตามแต่ละช่วงวัย 4-49
ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซือ่ สตั ยส์ ุจรติ
แผนภาพที่ 4-31 จาแนกตามรปู แบบการนาหลักสตู รการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน 4-50
(รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกันการทจุ ริต) ไปใช้
แผนภาพท่ี 4-32 รอ้ ยละของเด็กและเยาวชนไทยท่ีมีพฤติกรรมยดึ ม่นั ความซอื่ สตั ยส์ จุ ริต 4-52
จาแนกตามรปู แบบการนาหลักสูตรต้านทจุ ริตศึกษา หลักสูตรอุดมศึกษา
แผนภาพท่ี 4-33 (วยั ใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ 4-53
แผนภาพท่ี 4-34 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยท่ีมีพฤติกรรมยดึ ม่นั ความซอ่ื สตั ย์สจุ รติ 4-64
แผนภาพท่ี 4-35 จาแนกตามระดบั ผลสมั ฤทธใ์ิ นการนาหลักสตู รการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 4-65
แผนภาพท่ี 4-36 (รายวชิ าเพ่ิมเตมิ การปอ้ งกนั การทุจริต) ไปใช้ 4-66
แผนภาพท่ี 4-37 รอ้ ยละของเด็กและเยาวชนไทยทม่ี ีพฤติกรรมยึดมัน่ ความซอื่ สัตย์สุจริต 4-67
แผนภาพที่ 4-38 จาแนกตามระดับผลสมั ฤทธ์ใิ นการนาหลักสตู รอุดมศึกษา 4-67
แผนภาพที่ 4-39 (วยั ใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ 4-68
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กปฐมวยั ในประเดน็ การตอ่ แถว 4-69
เข้าคิว ในภาพรวม
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ ปฐมวยั ในประเดน็ การต่อแถว
เข้าควิ จาแนกตามสงั กัดของสถานศกึ ษา
ความคิดเห็นของเดก็ ปฐมวยั ในประเด็น การต่อแถวเข้าควิ จาแนกตาม
พ้นื ทภ่ี มู ิภาคของสถานศึกษา
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1-3 ในประเด็น
อาชีพท่ีอยากเปน็ ในภาพรวม
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1-3 ในประเด็น
อาชีพท่ีอยากเปน็ จาแนกตามสงั กัดของสถานศึกษา
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเดก็ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1-3 ในประเด็น
อาชีพท่ีอยากเปน็ จาแนกตามพน้ื ทีภ่ มู ภิ าคของสถานศึกษา
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเด็กประถมศกึ ษาปที ่ี 1-3 ในประเดน็
ความคดิ อยากทาอะไรใหค้ นอ่ืนในภาพรวม

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยึดมนั่ ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

สารบญั ภาพ (ตอ่ )

แผนภาพที่ 4-40 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1-3 ในประเดน็ หน้า
แผนภาพที่ 4-41 ความคิดอยากทาอะไรให้คนอื่น จาแนกตามสงั กัดของสถานศึกษา 4-70
แผนภาพท่ี 4-42 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเด็กประถมศึกษาปที ี่ 1-3 ในประเด็น 4-70
แผนภาพที่ 4-43 ความคิดอยากทาอะไรให้คนอ่ืน จาแนกตามพ้ืนที่ภมู ภิ าคของสถานศกึ ษา 4-71
แผนภาพท่ี 4-44 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเดก็ ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเดน็ 4-72
แผนภาพท่ี 4-45 คดิ ว่าเพ่ือนมองหนูเปน็ คนอย่างไร ในภาพรวม 4-73
แผนภาพท่ี 4-46 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเด็กประถมศึกษาปที ่ี 4-6 ในประเดน็ 4-74
แผนภาพท่ี 4-47 คดิ ว่าเพื่อนมองหนูเปน็ คนอย่างไร จาแนกตามสงั กดั ของสถานศึกษา 4-74
แผนภาพที่ 4-48 ความคิดเหน็ ของเด็กประถมศึกษาปที ่ี 4-6 ในประเด็น คิดว่าเพ่ือนมองหนู 4-75
แผนภาพท่ี 4-49 เป็นคนอยา่ งไร จาแนกตามพ้ืนท่ีภมู ภิ าคของสถานศกึ ษา 4-76
แผนภาพท่ี 4-50 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเด็กประถมศึกษาปที ่ี 4-6 ในประเดน็ 4-77
แผนภาพที่ 4-51 ตวั หนเู องเคยทาความดเี ร่ืองอะไรมาบ้าง ในภาพรวม 4-78
แผนภาพท่ี 4-52 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กประถมศึกษาปที ี่ 4-6 ในประเดน็ 4-79
แผนภาพที่ 4-53 ตวั หนูเองเคยทาความดีเร่ืองอะไรมาบ้าง จาแนกตามสังกัดของสถานศึกษา 4-80
แผนภาพที่ 4-54 ความคิดเห็นของเด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเดน็ ตัวหนเู องเคยทา 4-80
แผนภาพท่ี 4-55 ความดีเร่ืองอะไรมาบ้าง จาแนกตามพ้นื ทภี่ มู ิภาคของสถานศกึ ษา 4-81
ความคดิ เห็นของเด็กประถมศึกษาปที ี่ 4-6 ในประเดน็ การพัฒนา 4-88
โรงเรยี น ในภาพรวม
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ในประเด็น
การพฒั นาโรงเรยี น จาแนกตามสังกดั ของสถานศึกษา
ความคดิ เห็นของเดก็ ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเดน็ การพฒั นาโรงเรยี น
จาแนกตามพืน้ ที่ภมู ิภาคของสถานศึกษา
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1-3 ในประเด็น
ตวั เองในมุมมองของเพือ่ น ๆ ในภาพรวม
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเด็กมัธยมศกึ ษาปีที่ 1-3 ในประเด็น
ตวั เองในมุมมองของเพอ่ื น ๆ จาแนกตามสงั กัดของสถานศึกษา
การสะท้อนความคดิ ของเด็กมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1-3 ในประเด็น ตัวเองใน
มุมมองของเพื่อน จาแนก ตามพื้นทีภ่ มู ภิ าคของสถานศึกษา
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1-3 ในประเด็น
สังคมในปัจจุบนั ในภาพรวม
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเดก็ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1-3 ในประเด็น
สงั คมในปจั จุบนั จาแนกตามสงั กัดของสถานศึกษา

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ ม่นั ความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

สารบญั ภาพ (ตอ่ )

แผนภาพท่ี 4-56 ความคิดเห็นของเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในประเดน็ สงั คมในปจั จุบัน หนา้
แผนภาพที่ 4-57 จาแนกตามพ้ืนที่ภมู ภิ าคของสถานศึกษา 4-82
แผนภาพท่ี 4-58 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1-3 ในประเด็น 4-83
แผนภาพที่ 4-59 การทาเพื่อสว่ นรวม ในภาพรวม 4-84
แผนภาพท่ี 4-60 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมธั ยมศึกษาปีที่ 1-3 ในประเด็น 4-85
แผนภาพท่ี 4-61 การทาเพอื่ ส่วนรวม จาแนกตามสังกัดของสถานศึกษา 4-86
แผนภาพที่ 4-62 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเด็กมธั ยมศึกษาปที ่ี 1-3 ในประเด็น 4-87
แผนภาพที่ 4-63 การทาเพื่อส่วนรวม จาแนกตามพืน้ ทภ่ี ูมิภาคของสถานศึกษา 4-88
แผนภาพท่ี 4-64 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเดก็ มัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเด็น 4-89
แผนภาพที่ 5-65 การสรา้ งการเปลย่ี นแปลงสงั คมในภาพรวม 4-90
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเด็กมธั ยมศึกษาปที ่ี 4-6 ในประเด็น
แผนภาพท่ี 4-66 การสร้างการเปล่ียนแปลงสงั คม จาแนกตามสงั กัดของสถานศึกษา 4-91
แผนภาพท่ี 4-67 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ในประเด็น 4-91
แผนภาพที่ 4-68 การสรา้ งการเปล่ยี นแปลงสงั คมจาแนกตามพนื้ ทีภ่ มู ิภาคของสถานศกึ ษา 4-92
แผนภาพท่ี 4-69 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเดก็ มธั ยมศึกษาปีที่ 4-6 ในประเดน็ 4-93
แผนภาพที่ 4-70 การแก้ไขปัญหาทจุ รติ ในประเทศไทย ในภาพรวม 4-94
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเด็กมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ในประเดน็ 4-95
การแก้ไขปญั หาทจุ ริตในประเทศไทย จาแนกตามสังกดั ของสถานศึกษา
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ในประเด็น
การแก้ไขปญั หาทุจรติ ในประเทศไทย จาแนกตามพนื้ ที่ภูมิภาคของ
สถานศกึ ษา
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4-6 ในประเดน็
ขอสามคากบั ความซ่ือสัตยส์ จุ ริตในภาพรวม
ความคดิ เห็นของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเด็น ขอสามคากับความ
ซื่อสัตย์สจุ ริตจาแนกตามสังกัดของสถานศึกษา
การสะท้อนความคิดพฤคิกรรมของเด็กมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4-6 ในประเด็น
ขอสามคากับความซ่ือสัตย์สุจริตจาแนกตามพื้นที่ภมู ภิ าคของสถานศกึ ษา
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเยาวชนอดุ มศกึ ษาปีที่ 1-2 ในประเด็น
มคี นขโี้ กงในเมืองไทยเราเยอะหรือไม่
การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเยาวชนอดุ มศกึ ษาปีที่ 3-4 ในประเด็น
มีคนขโี้ กงในเมืองไทยเราเยอะหรือไม่

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มน่ั ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

สารบัญภาพ (ต่อ)

แผนภาพท่ี 4-71 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเยาวชนอุดมศึกษาปที ี่ 1-2 ในประเดน็ หนา้
แผนภาพท่ี 4-72 ถา้ ไม่ใหม้ ีการขี้โกงจะทาอย่างไร 4-95
แผนภาพที่ 4-73 การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเยาวชนอุดมศึกษาปที ่ี 3-4 ในประเดน็ 4-97
แผนภาพที่ 4-74 มคี นข้โี กงในเมืองไทยเราเยอะหรือไม่ 4-97
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเยาวชนอุดมศกึ ษาปีท่ี 3-4 ในประเดน็ 4-98
ถ้าไม่ให้มีการขี้โกง จะทาอยา่ งไร
การสะท้อนความคดิ พฤติกรรมของเยาวชนอุดมศึกษาปที ่ี 3-4 ในประเดน็
ตัวเราเองจะทาอย่างไรถ้าเจอคนขีโ้ กง

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ มนั่ ความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

บทท่ี 1
บทนำ

การประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นช้ีวัดท่ีสาคัญในการ
ขับเคล่ือนการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ภายใต้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นท่ี 21
การต่อตา้ นการทจุ รติ และประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) โดยมุ่งเนน้ การพฒั นา เนน้ การปรบั พฤติกรรม
“คน” ทุกกลุ่มในสังคม ในส่วนเด็กและเยาวชนเน้นการปลูกฝังและหล่อหลอมให้มีจิตสานึกและพฤติกรรม
ยึดมัน่ ความซอื่ สตั ย์สจุ รติ ผา่ นหลักสูตรการศึกษาภาคบงั คบั ทั้งทฤษฎีและปฎิบัติ ต้ังแตป่ ฐมวยั จนถงึ อุดมศึกษา
โดยในระยะแรก (พ.ศ. 2561-2565) กาหนดเป้าหมายให้เด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น
ความซื่อสัตย์สุจริตไม่น้อยกว่า ร้อยละ 46.0 ในการน้ี สานักงาน ป.ป.ช. ได้คัดเลือกมหาวิทยาลัยขอนแก่น
เปน็ ทปี่ รึกษาในการวิจัยและประเมินผลในครง้ั นี้

๑. ขอ้ มลู โครงกำร

การสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต (zero tolerance society) ให้เกิดข้ึนในสังคมไทย ถือเป็น
ประเด็นยุทธศาสตร์ท่ีมีความสาคัญอย่างมากในปัจจุบัน ซ่ึงจาเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนและตระหนัก
ร่วมกันอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน เพราะการที่จะสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตในทุกรูปแบบให้เกิดข้ึน
อย่างย่ังยืนได้ ไม่ใช่การอาศัยเพียงกลไกทางกฎหมายหรือกลไกเชิงสถาบันเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง
การสร้างกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมที่มีความสอดคล้องกับแบบแผนและบริบทเฉพาะของแต่ละสังคม
ตลอดจนการสั่งสมค่านิยมท่ีไม่ทนต่อการทุจริตร่วมกันระหว่างคนในสังคมให้เกิดขึ้นเป็นปึกแผ่น อันจะนาไปสู่
การก่อร่างสร้างตัวของวัฒนธรรมร่วม (collectivistic culture) และวิถีการดาเนินชีวิตท่ีไม่ทนต่อการทุจริต
แบบเป็นธรรมชาติในท่ีสุด เช่นกรณีของประเทศญี่ปุ่นท่ีบทบาทของกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมอย่าง
บรู ณาการมผี ลอย่างมากต่อการเสริมสรา้ งค่านิยมต่อต้านการทุจริตร่วมกันของคนในสังคม (สุริยานนท์ พลสิม,
๒๕๖๓) เป็นต้น

ในยุคท่ีระบบเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และกลไกทางสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพลวัตภายใต้
บริบททางสังคมท่ีมีความซับซ้อนยิ่งสะท้อนให้เห็นความจาเป็นของการเสริมสร้างค่านิยมร่วม (collectivism)
ของคนในสังคมให้เกิดข้ึน (Hresh, ๒๐๑๔ & Chowdhury, ๒๐๑๖) เนื่องจากการจะสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อ
การทุจริตให้เกิดขึ้นได้ ส่ิงสาคัญประการแรกคือ ต้องเปล่ียนกระบวนการตระหนักรู้ร่วมกันของคนในสังคม
สรา้ งการสงั่ สมค่านิยมและวัฒนธรรมดงั กล่าวให้เกิดข้ึนกอ่ น เพราะพฤตกิ รรมของคนในสงั คมหนึง่ ๆ เกิดข้นึ มา
จากการหล่อหลอมค่านิยม และการตระหนักรู้ร่วมกันของสังคมหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ (United Nations
Educational Scientific and Cultural Organization, ๑๙๙๑) ดังน้ัน การจะสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อ
การทุจริตให้เกิดขึ้นจาเป็นจะต้องสร้างกระบวนการหล่อหลอมหรือกล่ อมเกลาชุดแนวคิดดังกล่าวให้กับ
คนในสังคม รวมถึงการส่ังสมค่านิยมและแบบแผนทางวัฒนธรรมดังกล่าวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ซึ่งการจะสร้างสังคมในลักษณะเช่นน้ีได้จะต้องอาศัยกลไกหลาย ๆ กลไกประกอบกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไก
ด้านการศึกษา การเรียนรู้ร่วมกันถึงความรุนแรงจากผลกระทบของการทุจริตทั้งในระดับสังคมและระดับ
ปัจเจกบคุ คล เป็นต้น

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมั่นความซือ่ สัตยส์ จุ รติ ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 1 - ๑

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มน่ั ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

อย่างไรก็ตาม แนวทางในการจัดการกับปัญหาทุจริตในสังคมหนึ่ง ๆ นั้นประสบความสาเร็จแตกต่าง
กันไปข้ึนอยู่กับจุดเน้น กลวิธี หรือยุทธศาสตร์ในการจัดการกับปัญหาทุจริตของแต่ละประเทศ (สุริยานนท์
พลสิม, ๒๕๖๒) ในกรณีของประเทศไทยปัจจุบัน ได้มีการจัดทายุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๔) ข้ึน โดยสานักงานคณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สานักงาน ป.ป.ช.) ซึ่งหน่ึงในยุทธศาสตร์ที่สาคัญที่สุดประการแรก คือ
“การสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต” โดยมุ่งปรับฐานคิดของเด็กและเยาวชน ตลอดจนส่งเสริมให้เกิด
การพฒั นาระบบหรือกระบวนการกลอ่ มเกลาทางสังคม ผา่ นการประยุกต์ใชห้ ลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็น
ฐานคิดหลักในการต้านทุจริต รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนอย่างบูรณาการ กระท่ังนามาสู่
การพัฒนาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้ด้านการป้องกันการทุจริตหรือหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-
Corruption Education) สาหรับนาไปใช้เป็นมาตรฐานกลางในการจัดการเรียนการสอนในระบบการศึกษา
ของประเทศไทยตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา ท้ังสถาบันการศึกษาของรัฐและเอกชน (สานักงาน
ป.ป.ช., ๒๕๖๑) ซึ่งถือเป็นกลวิธีใหม่ทีถ่ ูกนามาใช้เพ่ือเป็นกระบวนการขัดเกลา เสรมิ สร้างความตระหนัก และ
ปลูกฝังค่านิยมต่อต้านการทุจริตผ่านระบบการศึกษา โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนกลายเป็นพลเมืองท่ีไม่ทนต่อ
การทจุ รติ มีจิตพอเพียง และเป็นพลเมืองท่ีรับผิดชอบตอ่ สงั คม

หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาดังกล่าว ถูกพัฒนาขึ้นโดยคณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือ
ชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริตของสานักงาน ป.ป.ช. ตามคาสั่ง ๖๔๖/
๒๕๖๐ ลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัด
การศึกษา การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การพัฒนาสื่อหรือชุดการเรียนรู้ด้านการป้องกันการทุจริต
ท้ังจากภาครัฐและภาคเอกชนมาร่วมพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ขึ้น
เพื่อนาไปใช้ในการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาของประเทศทุกระดับชั้นเรียน ท้ังสถาบันการศึกษา
ภาครัฐและเอกชน อาชีวศึกษา การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย รวมถึงสถาบันการฝึกอบรม
บุคลากรภาครัฐอนื่ ๆ ด้วย โดยหลักสูตรต้านทุจรติ ศึกษาที่พัฒนาขึ้นดังกลา่ ว ประกอบด้วย ๕ หลักสูตร ได้แก่
๑) หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกันการทุจริต) ๒) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส
ใจสะอาด “Youngster with good heart”) ๓) หลักสูตรกลุ่มทหารและตารวจ (ตามแนวทางรับราชการ
กลุ่มทหารและตารวจ) ๔) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้นา
การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต) และ ๕) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) และมีชุด
วิชาที่ใช้ในการเรียนการสอนในแต่ละหลักสตู รประกอบด้วย ๔ ชุดวิชาหลัก ได้แก่ ๑) การคิดแยกแยะระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ๒) ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต ๓) STRONG :
จิตพอเพียงต้านทุจริต และ ๔) พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม โดยในคราวการประชุมของ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. คร้ังที่ ๙๔๘/๒๕๖๑ เม่ือวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรต้าน
ทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ท่ีอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรดังกล่าวได้พัฒนาข้ึน และมีมติให้
เสนอคณะรฐั มนตรเี พอื่ พิจารณาส่งั การใหน้ ่วยงานที่เก่ยี วข้องนาหลักสตู รไปใชก้ บั กลุ่มเปา้ หมายอนื่ ๆ ต่อไป

กระทั่ง คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาดังกลา่ ว ตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช.
เสนอ เมื่อคราวการประชุม วันท่ี ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยมีมติให้กระทรวงศึกษาธิการ สานักงาน
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่าย
เลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ไปพิจารณาดาเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
และประสานงานกับสานักงาน ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด พร้อมท้ังให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงศึกษาธิการ สานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สานักงานตารวจแห่งชาติ และหน่วยงาน

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซื่อสตั ย์สจุ รติ ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 1 - ๒

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ มัน่ ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

ท่ีเกี่ยวข้องหารือร่วมกับสานักงาน ป.ป.ช. เพ่ือพิจารณานาหลักสูตรไปปรับใช้ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร
ขา้ ราชการ บุคลากรภาครัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจที่บรรจุใหม่ด้วย ตลอดจนให้กระทรวงศึกษาธิการเตรียม
ความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพ่ือการนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปปรับใช้ในสถาบันการศึกษา โดยหลักสูตร
ตา้ นทุจริตศึกษาน้ี ได้ถูกนาไปปรับใช้ในการเรียนการสอนอยา่ งจริงจงั ตั้งแต่ ภาคเรียนที่ ๑ ประจาปีการศึกษา
๒๕๖๒ และนาไปใช้ฝกึ อบรมบุคลากรในหนว่ ยงานต่าง ๆ ดว้ ย

ในกรณีของการนาหลักสูตรไปใช้ในสถาบันการศึกษาในหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน (รายวิชา
เพมิ่ เติม การปอ้ งกันการทุจริต) นน้ั มีสถาบันการศึกษานาใชท้ ้ังส้นิ ๕๒,๐๔๐ แห่ง จากท้ังหมด ๕๖,๒๘๓ แห่ง
คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๔๖ สว่ นในกรณีของหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด Youngster with good heart)
มีสถาบันอุดมศึกษานาหลักสูตรไปใช้จานวนทั้งส้ิน ๓๙ แห่ง จากท้ังหมด ๑๕๗ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๘๔
สาหรับหลักสูตรกลุ่มทหารและตารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและตารวจ) มีหน่วยงานท่ีนาไปใช้
ฝึกอบรม ท้ังส้ิน ๒ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ส่วนหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./
บุคลากรภาครัฐและรฐั วิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้นาการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมทไี่ ม่ทนต่อการทุจริต) มีหน่วยงาน
ท่นี าหลักสูตรไปใช้ทั้งสนิ้ ๔๔ หนว่ ยงาน จากท้ังหมด ๗๖ หนว่ ยงาน คิดเป็นรอ้ ยละ ๕๗.๘๙ และหลักสูตรโค้ช
(โค้ชเพ่ือการรูค้ ิดตา้ นทุจรติ ) มจี งั หวัดทน่ี าไปใช้ในการฝกึ อบรมบุคลากร ทง้ั สิน้ ๗๗ แหง่ คดิ เป็นร้อยละ ๑๐๐

กระน้ันก็ตาม สานักงาน ป.ป.ช. ได้รายงานผลการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
(Anti-Corruption Education) ประจาปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๒ ต่อคณะรัฐมนตรี เม่ือวันที่ ๑๕ กรกฎาคม
๒๕๖๓ ดังรายละเอียดที่ได้นาเสนอไปก่อนหน้านี้ ซ่ึงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาดังกล่าวได้ถูกกาหนดเป็น
เครื่องมือท่ีสาคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี ๓
(พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ท่ีมุ่งเน้นการพัฒนาคน เน้นการปรับกระบวนการคิดและพฤติกรรมคนทุกกลุ่ม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเดก็ และเยาวชนใหม้ ีจติ สานึกและพฤตกิ รรมทยี่ ึดมั่นความซื่อสตั ย์สุจริตผ่านหลกั สูตร
การศึกษาภาคบังคับในทุกระดับชั้นการศึกษา อีกทั้ง หลักสูตรต้าน ทุจริตศึกษา (Anti-Corruption
Education) ยังเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการขับเคล่ือนแผนงานด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ภายใต้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นท่ี ๒๑ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ.
๒๕๖๑-๒๕8๐) เปา้ หมายและตวั ช้วี ัดท่ี ๑ ทีไ่ ด้กาหนดเป้าหมายของแผนงาน คือ “ประชาชนมีวัฒนธรรมและ
พฤติกรรมซ่ือสัตย์สุจริต” โดยกาหนดให้มี “การประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์
สจุ ริต” เปน็ ตัวชวี้ ัดที่สาคัญในการขับเคลอ่ื นประเด็นยุทธศาสตรท์ ่ี ๒๑ ดังกล่าวด้วย ซง่ึ เน้นการปรบั พฤติกรรม
“คน” ทุกกลุ่มในสังคม มุ่งปลูกฝังและหล่อหลอมวัฒนธรรมสุจริตและการเป็นพลเมืองท่ีดีในกลุ่มเด็กและ
เยาวชนทุกช่วงวัย ทุกระดับ โดยสาหรับกลุ่มเด็กและเยาวชนน้ันจะเน้นการปลูกฝังและหล่อหลอมให้มี
จิตสานึกและพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สจุ รติ ผ่านหลักสูตรการศึกษาภาคบังคบั ทัง้ ทฤษฎีและปฏิบัติตงั้ แต่
ปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษา โดยในระยะแรก (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) กาหนดค่าเป้าหมายให้เด็กและเยาวชนไทย
มพี ฤติกรรมท่ียึดมัน่ ความซ่ือสัตย์สุจริต ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ระยะท่ีสอง (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ไม่น้อยกว่า
ร้อยละ ๖๐ ระยะท่ีสาม (พ.ศ.๒๕๗๑-๒๕๗๕) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ และระยะที่สี่ (พ.ศ.๒๕๗๖-๒๕๘๐)
ไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ ๘๐

หลังจากท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รายงานผลการดาเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๒ ดังกล่าว
ต่อคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ จึงได้สะท้อนให้เห็นถึงความจาเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมี
การประเมินพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนที่ยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อให้
แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ ๒๑ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ.๒๕๖๑-
๒๕๘๐) ถูกขับเคล่ือนไปอย่างมีประสิทธิภาพน้ัน ในคราวการประชุมเม่ือวันท่ี ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๓

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ ม่ันความซ่ือสตั ยส์ ุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 1 - ๓

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบรายงานผลการขับเคล่ือนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption
Education) ดังกล่าว และให้สานักงาน ป.ป.ช. ประสานกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ
นวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน) กระทรวงศึกษาธิการ สานักงานตารวจ
แห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เก่ียวข้องเพ่ือนาหลักสูตรท่ีได้ปรับปรุงใหม่ไปปรับใช้ รวมถึงให้
สานักงาน ป.ป.ช. รับความเห็นของสานักงบประมาณ สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสานกั งาน ก.พ. ไปพจิ ารณาดาเนินการในสว่ นท่เี กย่ี วข้องตอ่ ไป

ด้วยเหตุน้ี เพ่ือให้เป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ ๒๑ การต่อต้านการทุจริต
และประพฤติมิชอบ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) สานักงาน ป.ป.ช. จึงได้กาหนดให้มีการประเมินผลพฤติกรรมของ
เด็กและเยาวชนที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-
Corruption Education) ท่ีได้มีการนาไปปรับใช้ในการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาดังกล่าวด้วย
โดยกาหนดให้มีการประเมินลักษณะดังกล่าวเป็นปีแรกเร่ิม ซึ่งมุ่งประเมินพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนจาก
สถาบนั การศึกษาทนี่ าหลกั สูตรไปใช้ ไม่น้อยกวา่ ร้อยละ ๑๐ ของจานวนสถานศึกษาทั้งหมด

สาหรบั ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ สานักงาน ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยขอนแกน่ เป็นทปี่ รึกษาในการ
ประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ตลอดจนการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้
หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) โดยมุ่งหวังว่าการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ
หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ในสถาบันการศึกษาจะสามารถปลูกฝังจิตสานึก
และปรับเปล่ียนพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนให้มีความยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตและมีความเป็นพลเมืองท่ี
รบั ผิดชอบต่อสังคมไดอ้ ย่างเป็นรูปธรรม นอกจากน้ียังเป็นการสะท้อนผลสมั ฤทธิ์ของการจัดการเรียนการสอน
ตามหลักสูตรฯ ดังกล่าว อันจะนาไปสู่การปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องหรือพัฒนาต่อยอดหลักสูตรต้านทุจริต
ศึกษา (Anti-Corruption Education) เพ่ือขยายผลการดาเนินงานในการนาหลักสูตรไปปรับใช้ให้เกิด
ประโยชนต์ ่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน พฒั นาพลเมือง หรอื พฒั นาบุคลากรของหนว่ ยงานภาครัฐ ภาคเอกชน
ภาคประชาสังคม ในประเทศไทยในรูปแบบต่าง ๆ สืบต่อไป เพื่อให้ประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมที่ไม่ทนต่อ
การทุจรติ พลเมืองมีคุณภาพและยดึ มน่ั ความซอื่ สัตย์สจุ ริตร่วมกนั ในทส่ี ดุ

ในรายงานฉบับน้ี มุ่งนาเสนอรายงานการวิจัยและประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดม่ัน
ความซื่อสตั ย์สจุ ริต

2. วัตถปุ ระสงค์ของโครงกำร

เพื่อวิจัยประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต (An Evaluation
Research on Thai Youth ‘s Acting for Honesty and Integrity)

3. ขอบเขตกำรดำเนนิ งำน

การวจิ ัยและประเมนิ ผลพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยดึ ม่นั ความซื่อสตั ยส์ ุจรติ มุ่งประเมินเด็กและ
เยาวชนไทย ต้ังแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษา ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาสังกัด สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ใน 77 จังหวัด โดยระยะเวลาการดาเนินโครงการ ตั้งแต่เดือนกันยายน
2563 ถงึ เดอื นเมษายน 2564

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซอื่ สตั ย์สจุ รติ ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 1 - ๔

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมัน่ ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

4. ประโยชน์ทคี่ ำดวำ่ จะได้รับ

4.1 ไดร้ ายงานผลขอ้ มูลการวิจยั ประเมินผลพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดมน่ั ความซอื่ สัตย์สจุ ริต
ทีส่ ามารถใช้ประกอบการประเมินผลความสาเร็จการขบั เคล่ือนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti - Corruption
Education) ๒ หลักสูตร ท้ังในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ รวมถึงใช้ในการวัดความสาเร็จตามเป้าหมาย
และตัวชี้วัดของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ ๒๑ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
(พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕8๐)

4.2 ได้เคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต
ท่ีมีประสิทธิภาพ ถูกต้องตามหลักวิชาการ และมีความเช่ือมโยงกับเนื้อหาสาระของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
4 องค์ประกอบ อันได้แก่ 1) การแยกแยะระหว่างประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ความละอาย
และความไม่ทนต่อการทุจริต 3) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ 4) พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อ
สังคม

5. นยิ ำมศัพทเ์ ฉพำะ/รำยละเอียดพฤตกิ รรม

นยิ ำมศัพท์เฉพำะ
ในการศึกษาวิจัยการประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึ ดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต
(An Evaluation Research on Thai Youth’s Acting for Honesty and Integirty) ในคร้ังนี้ได้กาหนด
นิยามศัพท์เฉพาะหรอื คาจากดั ความท่ีใช้ในการศึกษาไว้ดังน้ี
กำรนำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้ หมายถึง แนวทางในการนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้
ของสถานศึกษา ในลักษณะใดลักษณะหน่ึง ซ่ึงจาแนกออกเป็น 7 รูปแบบ อันได้แก่ 1) เปิดรายวิชาเพิ่มเติม
2) กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3) บูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระการเรียนการสอนสังคมศึกษา 4) บูรณาการ
การเรียนการสอนกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน 5) บูรณาการกับวิถีชีวิตในโรงเรียน 6) กิจกรรมเสริมหลักสูตร
และ 7) ไมไ่ ด้มกี ารนาหลกั สตู รดงั กล่าวมาใช้
พฤติกรรมท่ียึดมั่นควำมซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยำวชน หมายถึง ระดับความรู้ เจตคติ และ
ทักษะเชิงปัญญา พฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน ตามโครงสร้างของพฤติกรรมท่ียึดมั่น
ความซอ่ื สตั ย์สจุ ริต 4 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี

- กำรคิดแยกแยะระหว่ำงผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การแยกแยะ
ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมให้ได้อย่างเด็ดขาด ไม่นามาปะปนกัน ไม่เอาประโยชน์
ส่วนรวมมาเป็นประโยชน์ส่วนตน ไม่เอาผลประโยชน์ส่วนรวมมาทดแทนบุญคุณส่วนตน ไม่เห็นแก่ประโยชน์
ส่วนตนและพวกพ้องเหนือกว่าประโยชน์ส่วนรวม กรณีเกิดผลประโยชน์ขัดกันต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม
เหนอื กวา่ ประโยชน์สว่ นตน (นยิ ามโดยสานกั งาน ป.ป.ช.)

- ควำมละอำยและควำมไม่ทนต่อกำรทุจริต หมายถึง ความละอายและความเกรงกลัวต่อส่ิงที่ไม่ดี
ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เพราะเห็นถึงโทษหรือผลกระทบท่ีจะได้รับจากการกระทาน้ัน จึงไม่กล้าที่จะกระทา
ทาให้ตนเองไม่หลงทาในสิ่งท่ีผิด น่ันคือ มีความละอายใจ ละอายต่อการทาผิด รวมทั้งการแสดงออกต่อ
การกระทาท่ีเกิดข้ึนกับตนเอง บุคคลที่เกี่ยวข้องหรือสังคมในลักษณะที่ไม่ยินยอม ไม่ยอมรับในสิ่งท่ีเกิดขึ้น
ความไม่ทนสามารถแสดงออกได้หลายลักษณะท้งั ในรูปแบบของกริยา ท่าทาง หรือคาพูด (นิยามโดยสานักงาน
ป.ป.ช.)

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดมนั่ ความซ่ือสตั ย์สจุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 1 - ๕

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ดึ มัน่ ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

- STRONG : จิตพอเพียงต้ำนทุจริต หมายถึง การปรับประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงมาใช้ประกอบกับหลักการต่อต้านการทุจริตอ่ืน ๆ เพื่อสร้างฐานคิดจิตพอเพียงต่อต้านการทุจริตให้
เกดิ ขึ้นเปน็ พ้ืนฐานความคิดของปจั เจกบุคคล โดยประยุกตห์ ลัก “STRONG : จติ พอเพียงต้านทุจรติ ” ซ่ึงคิดค้น
โดยรองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒนศิริ ในปี พ.ศ. 2560 มาเป็นแนวทางในการพัฒนาวัฒนธรรม
หนว่ ยงาน (นยิ ามโดยสานักงาน ป.ป.ช.)

- พลเมืองกับควำมรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง พลเมืองท่ีมีคุณลักษณะที่สาคัญ คือ เป็นผู้ที่
ยึดม่ันในหลักศีลธรรมและคุณธรรมของศาสนา มีหลักการทางประชาธิปไตยในการดารงชีวิต ปฏิบัติตนตาม
กฎหมายดารงตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันอันจะก่อให้เกิดการพัฒนาสังคมและ
ประเทศชาติ ใหเ้ ปน็ สงั คมและประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จรงิ (นิยามโดยสานักงาน ป.ป.ช.)

นเิ วศวิทยำครอบครัว หมายถงึ บรรยากาศทีบ่ ้าน ระดับการศึกษาของผู้ปกครอง รายได้ของครอบครัว
การใสใ่ จ ความเครียดของครอบครวั การมสี ่วนรว่ มของพ่อและแม่กบั สถานศึกษา สถานะการสมรส

คุณลักษณะและสภำพแวดล้อมของสถำนศึกษำ หมายถึง คุณลักษณะพ้ืนฐานของสถานศึกษา อาทิ
ที่ต้ังและขนาด งบประมาณ จานวนบุคลากร และสภาพแวดล้อมภาพรวมของพฤติกรรมของนักเรียนใน
สถานศึกษาน้ัน ๆ ในภาพรวมด้าน คุณภาพของนักเรียน พฤติกรรมทางสังคมต่าง ๆ ของนักเรียน การปฏิบัติ
ตามระเบยี บวนิ ยั

สภำพแวดล้อมทำงสังคม หมายถึง บริบทของชุมชน เช่น ชุมชนเมือง ชุมชนชนบท ชุมชน
เกษตรกรรม ชมุ ชนอุตสาหกรรม ความใกลช้ ดิ กันของสมาชกิ ในชมุ ชน อทิ ธพิ ลของศาสนาในชุมชน

ครูและกลุ่มเพ่ือน หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก/เยาวชน และความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก
และเยาวชนกบั กล่มุ เพ่ือน

โครงกำรต้ำนทุจริตอ่ืน ๆ หมายถึง โครงการเสริมสร้างความซื่อสัตย์สุจริต หรือโครงการต้านทุจริต
อื่น ๆ ท่ีนอกเหนือจากการนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษามาใช้ในสถานศึกษา เช่น โครงการโรงเรียนสีขาว
โรงเรียนสจุ รติ โครงการ “โตไปไมโ่ กง” และโครงการบัณฑิตไทยไมโ่ กง เปน็ ตน้

ลักษณะสถำนศึกษำ หมายถึง ขนาดสถานศกึ ษา ประเภทสถานศึกษา สังกัดของสถานศึกษา เขตของ
สถานศกึ ษา ท่ตี ั้งของของสถานศึกษา

ช่วงช้ัน หมายถึง ช่วงชั้นในการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนท่ียึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต
ประกอบด้วย 6 ช่วงชั้น ได้แก่ ปฐมวัย ประถมศกึ ษาตอนตน้ (ประถมศึกษาปีท่ี 1-3) ประถมศึกษาตอนปลาย
(ประถมศึกษาปีที่ 4-6) มัธยมศึกษาตอนต้น (มัธยมศึกษาปีท่ี 1-3) มัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่
4-6) และอุดมศึกษา (ชน้ั ปที ี่ 1-2 และชั้นปีที่ 3-4)

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซื่อสัตยส์ ุจรติ ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 1 - ๖

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดม่ันความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

บทที่ 2
แนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในการวิจยั ประเมนิ ผล

สาระสาคัญท่ีจะนาเสนอในบทนี้ คณะผู้วิจัยจะได้ทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับการพัฒนา
พฤติกรรมของมนุษย์ผ่านกระบวนการทางสังคม กระบวนการเรียนรู้ และทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของ
โคลเบอร์ก (Kohlberg’s Moral Development) จากน้ันทาความเข้าใจความหมายและองค์ประกอบของ
คาว่า “Integrity” ทั้งจากงานวิจัยต่างประเทศและในประเทศ เพ่ือเช่ือมโยงกับองค์ประกอบการเรียนรู้
ทัง้ 4 องคป์ ระกอบของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา

แนวคดิ ทฤษฎีทใี่ ชใ้ นการวิจัยและประเมินผล
เม่ือมนุษย์เกิดข้ึนมาในโลก ก็คงไม่ต่างจากสัตว์ที่เกิดใหม่โดยทั่วไป ท่ีเกิดข้ึนมาพร้อมกับชีวอินทรีย์

และสญั ชาตญาณตามธรรมชาติของสัตว์ อย่างไรก็ตามมนุษยม์ ีความแตกต่างจากสัตว์อ่ืน ๆ ท่ีช่วงที่ยังเป็นเด็ก
สามารถท่ีจะพัฒนาให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์และเป็นท่ียอมรับของสังคม ฉะนั้น ในการพัฒนาเด็กและเยาวชน
ปลูกฝังพฤติกรรมในสังคมของเด็กและเยาวชนไทยให้ยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต เราจะทาความเข้าใจผ่าน
แนวคิด และทฤษฎีหลกั ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องในการพัฒนาพฤติกรรมของมนุษยใ์ นสามส่วนคือ ส่วนแรกเป็นการพฒั นา
พฤตกิ รรมของมนุษยผ์ ่านกระบวนสงั คม (social force) โดยทฤษฎีสงั คมวิทยาท่เี กี่ยวข้องที่นามาอธิบายในท่ีน้ี
คือ ทฤษฎีการขัดเกลาทางสังคม (Socialization Theory) หลังจากนั้นในการเรียนรู้ เพื่อสร้างความรู้ เจตคติ
และพฤติกรรมท่ีซื่อสัตย์สุจริตน้ัน การศึกษา (Education) ก็จะเป็นอีกส่วนหลักท่ีสาคัญยิ่ง ซ่ึงก็เป็นส่วนที่
เก่ียวเน่ืองกับการศึกษาวิจัยในคร้ังนี้ด้วย ทฤษฎีการศึกษาหลักท่ีนามาอธิบายในที่น้ี คือ ทฤษฎีการเรียนรู้
ของบลูม (Bloom’s Taxonomy) เพื่ออธิบายให้เห็นถึงกระบวนการในการสร้าง รวมถึงวัดผล ความรู้
(Khonledge) เจตคติ (Attitude) และการปฏิบัติ (Practice) ในการกระบวนการเรียนรู้ และในส่วนสุดท้าย
ท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาพฤติกรรมที่ยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต คือแนวทฤษฎีทางจิตวิทยา ในการพัฒนา
จริยธรรมของแต่ละบุคคล โดยทฤษฎีที่ยกมาอธิบายในครั้งน้ีจะเป็นทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของ
โคลเบอร์ก (Kohlberg’s Moral Development) เพ่ือให้เข้าใจถึงลาดับขั้นและพัฒนาการทางจริยธรรมของ
มนุษย์ หลังจากน้ันเสริมด้วยแนวคิดแรงผลักดันพ้ืนฐานของความซ่ือสัตย์สุจริต (The Foundational Drives
of Integrity) ของ Barnard และพวก (2008) เพื่ออธิบายถึงพลวัตของแรงผลักดันพ้ืนฐานของความซ่ือสัตย์
สุจริต และในช่วงท้ายเป็นการอธิบายความหมายและองค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริตผ่านการทา
ความเข้าใจจากเอกสารและงานวิจัยอ่ืน ๆ และสรปุ ให้เห็นถึงองค์ประกอบของความซอ่ื สัตย์สุจริตที่จะนามาใช้
ในการวิจัยครัง้ น้ี และนาเสนอกรอบแนวคดิ การวิจยั

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มน่ั ความซื่อสตั ย์สจุ ริต ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 2 - ๑

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดม่นั ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งแนวคิดทฤษฎที ้ัง 3 ดังได้กล่าวไปแล้วขา้ งต้น สามารถสรุปไดด้ งั แผนภาพท่ี 2-1

แผนภาพที่ 2-1 แนวคิดและทฤษฎที ่เี กีย่ วขอ้ งท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย
1. ทฤษฎีการขดั เกลาทางสงั คม (Socialization Theory)
การขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ถือได้วา่ เป็นทฤษฎีหลักในทฤษฎีทางสังคมวิทยา ซึ่งถือว่าเป็น

กระบวนการพื้นฐานของการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ผู้คนจะมีพฤติกรรมที่จาเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
(Gaitan, 2014) มนุษย์มีความพิเศษ ท่ีเรียกได้ว่าเปน็ สัตว์สังคม เพราะมนุษย์มีการปรับตัวและเรียนรู้ท่ีจะอยู่
ร่วมกันกับคนอ่ืนในสังคมได้อย่างราบร่ืนและมีประสิทธิผล แต่ละสังคมย่อมมีความเป็นสังคมที่ยอมรับใน
ส่ิงต่าง ๆ แตกต่างกัน สมาชิกในสังคมนั้น ๆ ได้รับการปลูกฝังแนวปฏิบัติ กฎระเบียบ บรรทัดฐาน และ
วัฒนธรรมในสังคมน้ัน ๆ ท่ีตนเองสังกัดอยู่ เพ่ือหล่อหลอมให้บุคคลน้ัน ๆ มีพฤติกรรมไปในแนวทางท่ีสังคม
น้ัน ๆ คาดหมาย อย่างไรก็ตามส่ิงต่าง ๆ ท่ีสังคมสร้างขึ้นมาให้เป็นท่ียอมรับในสังคมน้ัน ๆ และได้ยอมรับและ
ยอมปฏิบัติร่วมกัน แต่เม่ือมีการเปลี่ยนแปลงส่ิงที่สังคมนั้น ๆ ยอมรับและยอมปฏิบัติน้ีก็สามารถเปล่ียนแปลง
พฤตกิ รรมมนุษย์ในสงั คมนน้ั ๆ ได้ การขัดเกลาทางสงั คมเป็นกระบวนการเพ่ือใหบ้ ุคคลเรยี นรู้และซึมซบั รับเอา
คา่ นิยมและแนวปฏบิ ัตติ ่าง ๆ ไปปฏบิ ัติให้สอดคลอ้ งไปในทิศทางท่สี งั คมท่ีตนเองเป็นสมาชิกต้องการ

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มัน่ ความซ่ือสัตย์สจุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 2 - ๒

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

การขดั เกลาทางสังคมคืออะไร
สาหรับคาวา่ Socialization ไดถ้ ูกนามาแปลเป็นภาษาไทยไวห้ ลายคา ท้งั คาวา่ การขดั เกลาทางสังคม
สงั คมกรณ์ สังคมประกิต การกล่อมเกลาทางสังคม หรือการถา่ ยทอดทางสงั คม แต่ในการศึกษาครั้งน้ีจะขอใช้
คาว่า การขัดเกลาทางสังคม ในภาษาไทยแทนคาว่า Socialization ในภาษาอังกฤษ สาหรับความหมายของ
Socialization นั้น ในภาษาอังกฤษได้มีการให้ความหมายแบบกว้าง ๆ โดยแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
กระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) คือกระบวนการท่ีเกิดข้ึนตลอดชีวิต (a lifelong process)
ท่ีปัจเจกบุคคล ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกันและผ่านสถาบันทางสังคม เรียนรู้บรรทัดฐานทางสังคม
ประเพณี และอดุ มการณ์ท่ีสาคญั ในบริบททางสงั คมเฉพาะ (Clausen, 1968, Billingham, 2007)
ดา้ นบลูมและเซลส์นิค (Broom & Selznick, 1958) ได้อธิบาย กระบวนการขัดเกลาทางสังคมไว้ใน
สองมมุ มอง ในมุมมองสังคม การขัดเกลาทางสังคม หมายถึง การถ่ายทอดวัฒนธรรมและทาให้บุคคลมีวถิ ีชีวิต
ที่เป็นระเบียบ ส่วนในมุมมองของปัจเจก การขัดเกลาทางสังคม เป็นกระบวนการท่ีทาให้คนเปล่ียนจาก
ชีวอินทรีย์มาเป็นมนุษย์ท่ีควบคุมพฤติกรรมตนเองได้และปฏิบัติตามค่านิยม อุดมคติ และระดับความ
ทะเยอทะยานได้
พอล บี ฮอลตัน และ เชสเตอร์ ฮัท (Paul B. Horton & Chester L. Hunt) ได้ให้ความหมายของ
Socialization ไว้ว่า “ Socialization, the learning process which turns a human being form an
animal into a person with a human personality, But formally, socialization is the process
whereby one internalizes the norms of the groups among whom one lives so that a distinct
self emerges, unique to this individual” การขัดเกลาทางสังคม กระบวนการเรียนรู้ท่ีทาให้มนุษย์จากที่
เป็นสัตว์ให้กลายเป็นบุคคลท่ีมีบุคลิกภาพแบบมนุษย์ กล่าวอย่างเป็นทางการว่า การขัดเกลาทางสังคมเป็น
กระบวนการหน่ึงที่ทาให้บรรทัดฐานของกลุ่ม ที่บุคคลที่มีชีวิตอยู่ภายในน้ัน ให้มีตัวตนที่เฉพาะบุคคล” (P.B.
Horton & C.L. Hunt, 1969)
เฮนร่ี เอม จอนสัน (Harry. M. Johnson, 1960) ได้ยกความแตกต่างระหว่าง การขัดเกลาทางสังคม
(Socialization) กับ การเรียนรู้ (learning) เขาได้ให้ความหมายของ Socialization ไว้ว่า “as the process
of learning that enables the learners to perform social roles. Thus, not all learning is
socialization, since presumably some learning is irrelevant to the motivation and ability
necessary for participation in social system” เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทาให้ผู้เรียนมีบทบาททางสังคม
ดงั นั้น การเรียนรู้ทั้งหมดไม่ใช่การขัดเกลาทางสังคม เนื่องจากการเรียนรู้บางอย่างอาจไม่เก่ียวข้องกบั แรงจูงใจ
และความสามารถที่จาเป็นสาหรับการมีส่วนร่วมในระบบสังคม” ดังน้ัน ถึงแม้ว่า กระบวนการขัดเกลาทาง
สังคมจะรวมการเรียนรู้ไปด้วย และกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด ไม่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ
ขัดเกลาทางสังคม การเรียนร้บู างอยา่ งอยูน่ อกเหนือจากความหมายของการขดั เกลาทางสังคม
ในประเทศไทยนนั้ ได้มนี ักวิชาการหลาย ๆ ท่านได้ใหค้ าจากดั ความของการขัดเกลาทางสังคมไวห้ ลาย
ความหมาย อาทิเช่น จานง อติวัฒนสิทธ์ิ และคณะ (2540) ได้ให้ความหมายของการขัดเกลาทางสังคม
ใน 2 นยั ยะ นยั แรกการขัดเกลาทางสังคม คอื การถา่ ยทอดวฒั นธรรมที่ทาให้มนุษยส์ ามารถปฏิบัติตัวใหเ้ ข้ากับ
สังคมได้อย่างถูกต้อง และนัยท่ีสอง การขัดเกลาทางสังคม คือการพัฒนาบุคลิกภาพเพ่ือท่ีจะได้มีบุคลิกภาพ
เช่นเดียวกับคนอ่ืน ๆ ในสังคม ส่วนสุพัตรา สุภาพ (2545) ให้ความหมายไว้ว่า การขัดเกลาทางสังคมเป็น
กระบวนการท้ังทางตรงและทางอ้อมที่มนุษย์จะได้เรียนรู้คุณค่า กฎเกณฑ์และระเบียบที่กลุ่มนั้น ๆ ได้กาหนด
ไว้เพ่ือการปฏิบตั ติ อ่ กนั และเพือ่ พฒั นาบุคลกิ ภาพของตนเอง

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซื่อสตั ยส์ ุจรติ ฉบับสมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 2 - ๓

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ มน่ั ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

จากความหมายท่ีกล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า กระบวนการขัดเกลาทางสังคม คือกระบวนการเรียนรู้
บทบาทของตัวตนในสังคม ผ่านปฏสิ ัมพนั ธ์ซงึ่ กนั และกัน และตวั แทนทางสงั คมหรือสถาบันทางสังคม ขัดเกลา
ให้บุคคลเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ตามแนวปฏิบัติ อุดมการณ์ ค่านิยมของสังคมนั้น ๆ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า
จากความหมายดังกล่าวนี้ ชุดค่านิยม อุดมการณ์ และแนวปฏิบัติของสังคมนั้น ๆ มีความสาคัญมากใน
กระบวนการขัดเกลาทางสังคม เพราะถ้าชุดค่านิยม อุดมการณ์ และแนวปฏิบัติของสังคมนั้น ๆ เป็นเช่นไร
ก็แน่นอนว่าการขัดเกลาทางสังคมในสังคมน้ัน ๆ ก็เป็นไปตามชุดค่านิยม อุดมการณ์ และแนวปฏิบัติน้ัน ๆ
ของสังคมไปด้วย ฉะนั้น การจะเริ่มกระบวนการขัดเกลาทางสังคมท่ีจะทาให้สังคมได้ปัจเจกที่มีพฤติกรรม
ชุดใหม่ ก็ต้องมีการใสช่ ุดคา่ นิยม อุดมการณ์ และแนวปฏบิ ัติที่ตอ้ งการใส่เข้าไปในสังคมน้ัน ๆ ใหม่เป็นการเริ่ม
กระบวนการ

ตวั กระทาการขดั เกลาทางสังคม (The Agents of Socialization)
แน่นอนเวลาเราอธิบายถึงเร่ืองการขัดเกลาทางสังคม เราหลีกเล่ียงไม่ได้ที่จะไม่พูดถึง ตัวกระทาการ
ขัดเกลาทางสังคม ซ่ึงในหนังสือภาษาไทยก็แปลคาว่า The Agents of Socialization หรือ Social Agents
เป็นคาหลายคา อาทิ ตัวแทนทางสังคม ตัวแทนการขัดเกลาทางสังคม หรือตัวแทนที่ทาหน้าท่ีกล่อมเกลาทาง
สังคม ในการศึกษาคร้ังนี้ ผู้วิจัยจะใช้คาว่า ตัวกระทาการขัดเกลาทางสังคม ในความหมายของ The Agents
of Socialization หรือ Social Agents ในภาษาอังกฤษ ในสังคมเด็กเกิดใหม่ มีการติดต่อคร้ังแรกกับสมาชิก
ของสังคมซึ่งแน่นอนจะมีอิทธิพลกับเขา ต่อมา บุคคล กลุ่มคน และสถาบันท่ีสร้างบริบททางสังคม เหตุการณ์
หรือกระบวนการ มีอิทธิพลในการสร้างแบบแผน ตัวกระทาเหล่าน้ี เราเรียกว่า ตัวกระทาการขัดเกลาทาง
สังคม ผ่านตัวกระทาการขัดเกลาทางสังคมเหล่าน้ี เราเรียนรู้ท่ีจะรวมเข้าด้วยกันเป็นค่านิยมและบรรทัดฐาน
ของสังคมเรา พูดง่าย ๆ ก็คือ บุคคล กลุ่มคน หรือสถาบันที่สอนเราว่าอะไรท่ีเราต้องรู้เพ่ือท่ีจะมีส่วนร่วมใน
สงั คม คือตัวกระทาการขดั เกลาทางสังคม (Agents of Socialization) น่นั เอง
เอมี่ โสดาโร่ (Amy Sodaro, 2020) ได้อธบิ ายตัวกระทาการขัดเกลาทางสังคมในสหรฐั อเมริกาหลัก
4 ตวั ได้แก่ ครอบครัว (Family) โรงเรียน (School) เพ่ือน (Peers) สือ่ (Media) ส่วนในประเทศไทย สพุ ัตรา
สุภาพ (2545) ได้แบ่งตัวกระทาการขัดเกลาทางสังคม 6 กลุ่ม คือ กลุ่มท่ี 1 กลุ่มครอบครัว กลุ่มที่ 2
กลุ่มเพื่อน กลุ่มที่ 3 กลุ่มโรงเรียน กลุ่มที่ 4 กลุ่มอาชีพ กลุ่มท่ี 5 กลุ่มตัวแทนทางศาสนา และกลุ่มที่ 6
กลุ่มสื่อมวลชน ซ่ึงไม่ว่าจะจัดแบ่งตัวกระทาการขัดเกลาทางสังคม เป็นอย่างไร ตัวกระทาการขัดเกลาทา ง
สังคม เหล่าน้ี ก็มคี วามสาคัญในกระบวนการขดั เกลาทางสังคม
Crisogen, D. T. (2015) ไดอ้ ธิบายเพิ่มเติมวา่ เราอาจจะสามารถนาเอาตวั กระทาหน้าท่ีขดั เกลาทาง
สังคมมาแบ่งตามประเภทของการขัดเกลาทางสังคม (Types of Socialization) ได้ 2 ประเภท คือ ประเภท
แรก ท่ีเรยี กวา่ การขัดเกลาทางสังคมปฐมภูมิ หรือ Primary Socialization หรือ Basic Socialization ซงึ่ เป็น
พื้นฐานของการขัดเกลาทางสังคม สาคัญมากต่อการพัฒนาทางกาย (physical) และทางจิต (mental)
ของเด็ก ซึ่งตัวกระทาการขัดเกลา ที่สาคัญในประเภทน้ีคือ ครอบครัว ซ่ึงสาคัญมากต่อการขัดเกลาทางสังคม
ของเด็กก่อนวัย 7 ขวบ ส่วนประเภทท่ีสอง เรียกว่า Secondary Socialization หรือ การขัดเกลาทางสังคม
ทุติยภูมิ หมายถึง ช่วงที่เด็กเริ่มท่ีจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมอื่น ๆ นอกเหนือจากครอบครัว
ไปแลว้

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มัน่ ความซ่อื สตั ยส์ ุจริต ฉบับสมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๔

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่ันความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

2. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของบลมู (Bloom’s Taxonomy)
หลักการที่เราได้เข้าใจทฤษฎีในส่วนแรกไปแล้ว ด้านการมองการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ผ่าน
กระบวนการทางสังคม มนุษย์แต่ละคนถูกขัดเกลาให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ผ่านครอบครัว และตัวขัดเกลา
ทางสังคมอ่ืน ๆ ทาให้มีเกิดพฤติกรรมและบุคลิกภาพของบุคคล อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากแรงทางสังคม
(Social Force) ที่เราพูดถึงแล้ว อีกด้านท่ีสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ การศึกษา ถือได้ว่าเด็กและเยาวชน
ใช้ชีวิตมากกว่า 16 ปีในการได้รับการศึกษา เพราะฉะนั้นการศึกษาจึงมีส่วนสาคัญอีกส่วนหนึ่งในการปลูกฝัง
และพัฒนาพฤติกรรมต่าง ๆ รวมถึงพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซื่อสัตยส์ ุจริต การทาความเข้าใจทฤษฎีการเรียนรู้
ซึ่งจะขอยกทฤษฎีท่ีเป็นที่แพร่หลายและได้รับการยอมรับในทฤษฎีการศึกษา คือทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม
(Bloom’s Taxonomy) มาอธิบายให้เห็นถึงกระบวนการในการสร้างรวมถึงวัดผล ความรู้ (Knowledge)
เจตคติ (Attitude) และการปฏบิ ัติ (Practice) ในการพฒั นาพฤติกรรมท่ีเกดิ จากการเรยี นรู้
ทฤษฎีการเรียนรขู้ องบลูม หรือ Bloom’s Taxonomy หรืออนุกรมวิธานของบลูม ถูกใช้อย่างแพร่หลาย
ในการทาความเข้าใจกับการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้และวัดผลตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objectives) บลูมและคณะได้อธิบายถึงการเรียนรู้ไม่ใช่แค่ประกอบไปด้วยความรู้ ความเข้าใจ
แต่ยังต้องมีการเรียนรู้ เจตคติ อารมณ์ ความรู้สึก และทักษะทางกายภาพ ด้วยตัวทฤษฎีการเรียนรู้ของ
บลูม- Bloom’s Taxonomy หรืออนุกรมวิธานของบลูม อธิบายระดับการออกแบบวัตถุประสงค์การเรียนรู้
เป็น 3 ส่วนหรือ 3 Domain คือ พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และทักษะ
พิสัย (Psychomotor Domain) ในทั้ง 3 ส่วน ระดับทักษะที่ถ้าย่ิงสูงก็จะนาไปสู่การเรียนรู้ท่ีลึกข้ึนไป (Nancy
E Adams, 2015)
การตีพิมพ์หนังสือเร่ือง The Taxonomy of Educational Objectives, The Classification of
Education Goals โดย เบนจามิน เอส บลูม (Benjamin S. Bloom) เป็นบรรณาธิการ และคณะผู้เขียน
ซ่ึงประกอบไปด้วย Max D. Engelhart, Wedward J. Furst, Walker H. Hill และ David R. Krathwohl
ถอื ได้ว่าเป็นการเกิดของระบบการจาแนกท่ีเรียกว่า Bloom’s Taxonomy เป็นทฤษฎีคลาสสิคท่ีทรงพลังทาง
วงการศึกษาในการสร้างกรอบแนวคิดของการเรียนรู้ ในแนวคิดของบลูมและคณะเขียนไว้ในช่วงต้นของ
หนังสือดังกล่าววา่ การสร้าง Taxonomy ข้ึนมาเพ่ือช่วยจาแนกหรือการอธิบายถึงวตั ถุประสงค์ทางการศึกษา
ท่ีจะช่วยวางแผนการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ได้ดีขึ้น ปัญหาแรกที่มีการอภิปรายกันในกลุ่มก็คือ
วัตถุประสงค์การศึกษาสามารถจาแนกได้หรือไม่ (whether or not educational objectives could be
classified) ซึ่งบลูมและคณะ มองว่า Taxonomy หรือการจาแนกท่ีวางไว้จะถูกใช้ในการช่วยให้เกิด
ความชัดเจนและเข้าใจมากข้ึนในการวางวัตถุประสงค์การศึกษาโดยหวังว่าระบบจาแนกจะต้องไม่ล่วงละเมิด
หรือทาลายวัตถุประสงค์หลกั (The statement of objective) ของการเรียนรูน้ ั้น ๆ (Bloom et at, 1956)
ในการอธิบายโครงสร้างของ Taxonomy การเรียนรู้ บลูมและคณะ (Bloom et at, 1956)
ได้อธิบายแยกออกเป็น 3 ส่วนหลักซ่ึงพวกเขาเรยี กแต่ละส่วนว่า domain โดยแยกส่วนท่ีอธิบายวัตถุประสงค์
การเรียนร้ทู ี่เกี่ยวข้องกับการจาหรือการระลึกของความรู้ (the recall or recognition of knowledge) และ
การพัฒนาความสามารถและทักษะทางปัญญา (the development of intellectual abilities and skills)
เรียกสว่ นน้ีว่า Cognitive Domain หรอื ส่วนความรูค้ วามเข้าใจ ซ่งึ ตอ่ มาเราใชค้ าในภาษาไทยว่า ด้านพุทธพิ ิสยั

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมัน่ ความซื่อสัตย์สจุ ริต ฉบับสมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๕

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดม่นั ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

ส่วนต่อมาอธิบายเก่ียวกับความสนใจ (interest) เจตคติ (attitudes) และคุณค่า (values) และ
การพัฒนาความชื่นชมและการปรับตัว (the development of appreciations and adequate adjustment)
เราเรียกส่วนน้ีว่า Affective Domain หรอื ส่วนอารมณค์ วามรู้สกึ ตอ่ มาเราใช้คาอธิบายในสว่ นนว้ี ่า ด้านจติ พสิ ัย
และในด้านสุดท้ายที่พวกเขาพยายามอธบิ ายคือด้านท่ีเก่ียวข้องกับดา้ นทกั ษะทางการเคล่ือนไหวทางกลา้ มเนื้อ
(motor-skill area) โดยเรียกกลุ่มนี้ว่า Psychomotor Domain หรือด้านทักษะพิสัย ในความคิดของบลูม
และคณะเห็นว่า ถึงแมพ้ วกเขาจะรูถ้ ึงความมีอยขู่ องทักษะพิสัยนี้ (psychomotor domain) แต่พวกเขาก็รู้สึก
ว่าการเรียนรใู้ นด้านนใ้ี นระดับประถมศึกษาข้ึนไปจนถึงมหาวทิ ยาลัยมีน้อยมาก จึงไมเ่ ห็นความจาเป็นท่ีจะตอ้ ง
พัฒนาระบบจาแนก ดังคาพูดทว่ี า่

“ We find so little done about it in secondary schools or colleges, that we do not
believe the development of a classification of these objectives would be very useful at
present” (Bloom et al, 1956)

ในการนาเสนอครั้งแรกบลูมและคณะ (Bloom et al, 1956) ได้จาแนกด้านความรู้ความเข้าใจหรือ
ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ออกเป็น 6 ระดับจากระดับความสามารถต่าสุดไปถึงสูงสุด โดยเริ่มจาก
(1) ความรู้ (knowledge) คือ การจาได้และความสามารถในการดึงส่ิงท่ีได้เรียนมาก่อนหน้าน้ีมาได้
(2) ความเข้าใจ (Comprehension) คือ ความสามารถในการผูกหรือสร้างความหมายจากสิ่งท่ีได้เรียน
(3) การนาไปใช้ (Application) คือ ความสามารถในการนาสิ่งที่เรียนไปใช้ได้ (4) การวิเคราะห์ (Analysis)
คือ ความสามารถในการแยกแยะออกเป็นส่วนย่อย มองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน
(5) การสังเคราะห์ (Synthesis) คือ ความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยต่าง ๆ เข้าเป็นเร่ืองราวอย่างมี
ระบบเพ่ือให้สมบูรณ์กว่าเดิม และระดับสุดท้าย (6) การประเมินค่า (Evaluation คือ ความสามารถในการตัดสิน
ตรวจหรือวิพากษ์คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ตามจุดประสงค์ของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งในหนังสือของบลูมและคณะ
ท่ีเขียนเม่ือปี ค.ศ. 1959 ยังไม่ไดก้ ล่าวถึงระดับการจาแนกของด้านจติ พิสยั (Affective Domain) แตอ่ ยา่ งใด

แม้การแสดงลาดับข้ันของการเรียนรู้ด้านจิตพิสัยในปี ค.ศ. 1956 ได้เริ่มต้นข้ึน แต่แนวคิด
ของบลูม ซึ่งเดวิด แครทโวทล์ (David R. Krathwohl) ซ่ึงร่วมทางานกับบลูม น่าจะได้รับเครดิตในการ
นาเสนอรูปแบบด้านจิตพิสัย 5 ลาดับ ต่อมาในหนังสือ Taxonomy of Educational Objectives.
Handbook II, Affective Domain แครทโวทล์ และคณะ (Krathwohl et al, 1964) ได้จาแนกจิตพิสัย
ออกเป็น 5 ระดับ โดยเร่ิมต้นจาก (1) การรับรู้ (Receiving) คือเป็นระดับความรู้สึกที่เกดิ ขึ้นต่อส่ิงเร้าอย่างใด
อย่างหน่ีง (2) การตอบสนอง (Responding) เป็นการแสดงออกถึงความเต็มใจ ยินยอม หรือพอใจกับส่ิงเร้า
(3) การเกิดค่านิยม (Valuing) เป็นการยอมรับนับถือในคุณค่านั้น ๆ มีทัศนคติท่ีดีต่อสิ่งน้ัน (4) การจัดระบบ
(Organizing) เป็นการจัดระบบค่านิยมที่เกิดข้ึนถ้าเข้ากันได้ก็ยึดถือต่อไปหรืออาจยอมรับค่านิยมใหม่ และ
ระดับสุดท้าย (5) บุคลิกภาพ (Characterizing by a value) คือ การนาค่านิยมท่ียึดถือมาแสดงเป็นนิสัย
ประจาตวั

หลังจากที่อนุกรมวธิ านของบลูมได้ถูกนามาใชไ้ ด้เกือบสี่ทศวรรษ ในปี ค.ศ. 2000 โลริน แอนเดอร์สัน
(Lorin Anderson) ซ่ึงเป็นลูกศิษย์ของบลูมก็ได้ร่วมมือกับ David Krathwohl ผู้ซึ่งเป็นผู้ร่วมทางานและ
เผยแพร่อนุกรมวิธานฉบับแรกมาต้ังแต่ต้น ก็ได้ดาเนินการปรับปรุงแก้ไขอนุกรมวิธานและได้เผยแพร่
การปรับปรุงอนกุ รมวิธานของบลูม (Bloom’s Revised Taxonomy) (ปรับปรุงเฉพาะในด้านพุทธิพิสัย) ซ่ึงได้
มีการนาเสนอระดับที่ได้จัดแบ่งใหม่เป็น 6 ขั้น ดังนี้ (1) การจา (Remembering) หมายถึง ความสามารถทาง
สมองในการจา ระลึกได้ (2) ความเข้าใจ (Understanding) เป็นความสามารถของสมองในการแปล

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดม่นั ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 2 - ๖

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดม่นั ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

สร้างความหมาย ยกตัวอย่าง สรุปได้ (3) การประยุกต์ใช้ (Applying) คือ การใด้ใชค้ วามรู้ผา่ นสถานการณใ์ หม่
ท่ีคล้ายคลึงกัน (4) การวิเคราะห์ (Analyzing) คือ ความสามารถในการแยกความรู้ออกเป็นส่วนและเข้าใจ
ความสัมพันธ์ (5) การประเมินค่า (Evaluating) คือ ความสามารถของสติปัญญาในการตรวจสอบ ตัดสิน
ควบคุม ทดสอบ วิพากษ์ (6) การคิดสร้างสรรค์ (Creating) คือ ความสามารถของสติปัญญาในการสร้าง
ส่ิงใหม่จากส่ิงท่ีเคยเรียนรู้ โดยในการสร้างเคร่ืองมือประเมินและเกณฑ์การวัดผล พฤติกรรมท้ังสองด้าน
ทั้งพุทธิพิสัยจะถูกนามาเป็นกรอบในการพัฒนา เพ่ือพัฒนาในแต่ละช่วงชั้นต่าง ๆ ตามที่ได้กาหนดไว้ของ
กลุ่มเป้าหมายในการประเมิน ซ่ึงในการกาหนดกรอบ จะนารายละเอียดของหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน
(รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good
heart”) ทั้งสองหลกั สูตรมาเปน็ เกณฑ์ในการกาหนดขั้นของการวัดท้ังดา้ นพทุ ธพิ ิสยั และด้านจติ พิสยั

3. ทฤษฎพี ฒั นาการทางจรยิ ธรรมของโคลเบอร์ก (Kohlberg’s Moral Development)
โคลเบิร์ก (Kohlberg, 1958, 1969, 1971, 1976, 1984) ได้เสนอทฤษฎีน้ีตามพ้ืนฐานจาก
ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของเพียเจต์ (Piagets’s Theory of Moral Development) (Ray,2007)
เช่ือว่าจริยธรรมมีพัฒนาการตามระดับวุฒิภาวะ เพราะจริยธรรมของมนุษย์เกิดจากกระบวนการทางปัญญา
เมื่อมนุษย์มีการเรียนรู้มากขึ้น โครงสร้างทางปัญญาเพิ่มพูนขึ้น จริยธรรมก็พัฒนาตามวุฒิภาวะ จึงมี
ความสัมพันธ์กับอายุ กาลเวลา สถานที่ วัฒนธรรม และสภาพการณ์ (Ray, 2007, สุรางค์ โค้วตระกูล,
2552) โดยเสนอพัฒนาการของเหตุผลเชิงจรยิ ธรรม 3 ระดับ (Level) 6 ขนั้ (Stage) ดังนี้
ระดับที่ 1 ระดับก่อนกฎเกณฑ์ของสังคม (Preconvention level) พบในเด็กอายุ 2 - 10 ปี เด็กจะ
ปฏิบัติตามส่ิงท่ีพ่อแม่บอกให้ทาและเรียนรู้ว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งไม่ดี จากผลท่ีเด็กกระทาแล้วถูกลงโทษทางกายหรือ
ได้รับรางวัล ในระดับนี้แบง่ เป็น 2 ขั้น คือ ขั้นท่ี 1 การลงโทษและการเชือ่ ฟัง (Punishment and Obedience
Orientation) เป็นจริยธรรมของเด็กอายุ 2 - 7 ปี พฤติกรรมใดของเด็กท่ีถูกทาโทษเด็กจะคิดว่าตนเองทาผิด
จะพยายามหลีกเลี่ยง และข้ันท่ี 2 กฎเกณฑ์เป็นเคร่ืองมือเพื่อประโยชน์ของตน (Instrument Relativist
Orientation) เป็นจริยธรรมเด็กอายุ 7 - 10 ปี ขั้นน้ีจะสนใจทาตามกฎข้อบังคับเพื่อรางวัลหรือคาชม
พฤตกิ รรมทที่ าแล้วได้รบั รางวัลหรอื คาชม เดก็ ก็จะกระทาซ้าเพ่ือจะได้รางวลั หรือเนน้ ทเี่ กดิ ประโยชน์แกต่ น
ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑข์ องสงั คม (Conventional level) สว่ นมากพบกบั เด็กอายุ
ระหว่าง 10 - 16 ปี มีผลต่อเหตุผลเชิงจริยธรรมและการแสดงบทบาทตามท่ีสังคมคาดหวัง แบ่งเป็น 2 ข้ัน
คือ ขั้นที่ 3 หลักการทาตามความเห็นชอบของผู้อ่ืน (Interpersonal Concordance of good boy, nice
girl Orientation) เป็นข้ันของความคาดหวังและการยอมรับในสังคม ตามมาตรฐานความคาดหวังของพ่อแม่
เพื่อนวัยเดียวกัน พฤติกรรม "ดี" คือพฤติกรรมท่ีทาให้ผู้อ่ืนชอบและยอมรับ หรือไม่ประพฤติผิดเพราะเกรงว่า
พ่อแม่จะเสียใจหรือเป็นไปตามท่ีบุคคลอ่ืนคาดหวัง พบในเด็กช่วงอายุ 10 - 13 ปี และขั้นที่ 4 หลักการทา
ตามหน้าที่และกฎข้อบังคับในสังคม (Law and Order Orientation) เป็นจริยธรรมของเด็กอายุ 13 - 16 ปี
ขั้นนี้ถือว่าสังคมจะมีความสงบเรียบร้อยและเป็นระเบียบต้องมีกฎหมายและข้อบังคับ เป็นข้ันที่กระทาตาม
กฎระเบียบได้แก่ กฎหมาย กฎเกณฑ์ ข้อปฏิบัติทางศาสนา ไม่คานึงถึงการมีสัมพันธ์เป็นญาติหรือพวกพ้อง
เพอ่ื รักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นระเบียบของสงั คม

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมัน่ ความซือ่ สตั ยส์ จุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๗

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ มน่ั ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

ระดับท่ี 3 ระดับจริยธรรมเหนือกฎเกณฑ์ทางสังคม (Post conventional level) ระดับนี้เป็นของ
บคุ คลท่ีอายุต้ังแต่ 16 ปีข้ึนไป แบ่งได้เป็นอีก 2 ขั้น คือ ข้ันท่ี 5 สัญญาสังคมหรือหลักการทาตามคามั่นสัญญา
(Social Contract Orientation) เน้นความสาคัญของมาตรฐานการปฏิบัติตามท่ีคนส่วนใหญ่หรือสังคม
ยอมรับว่าสมควรปฏิบัติตาม คานึงถึงประโยชน์และสิทธิของบุคคลก่อนจะใช้มาตรฐานทางจริยธรรมโดยใช้
ความคิดและเหตุผลเปรียบเทียบส่ิงถูกผิด ข้ันน้ี ถูกหรือผิด ข้ึนอยู่กับค่านิยมและความคิดเห็นของแต่ละคน
ข้ันท่ี 6 หลักการคุณธรรมสากล (Universal Ethical Principle Orientation) เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรม
เพ่ือความเสมอภาคและความยุติธรรมของทุกคนในสังคม แสดงเหตุผลท่ีเป็นหลักมนุษยธรรมไม่ยึดติดต่อ
กฎเกณฑ์ทางสงั คมของตน

โดยในการสร้างเคร่ืองมือประเมินและการแปลผลตามเกณฑ์การวัดผลในการศึกษาครั้งนี้ จะนาท้ัง
แนวคิดของบลูม และแนวคิดของโคลเบิร์ก มาใช้ในการสร้างเพ่ือให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กแต่ละ
ชว่ งวยั และมคี วามเหมาะสมกับการแปลผลในระดบั พฤตกิ รรมทง้ั ด้านพุทธิพิสัย และดา้ นจติ พสิ ยั

และด้วยการวิจัยในครั้งนี้มีข้อจากัดของเน้ือหาและขอบเขตของการวิจัยท่ีเน้นการประเมินพฤติกรรม
เด็กและเยาวชนทเ่ี ปน็ ผลลัพธท์ ่ีเช่ือมโยงกบั ชุดหลักสตู รตา้ นทจุ รติ ศึกษาทั้งสองหลกั สูตร คือหลักสตู รการศกึ ษา
ข้ันพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster
with good heart”) โดยองิ กับโครงสรา้ งรายวิชา วตั ถปุ ระสงค์การศึกษา และผลลัพธ์การศกึ ษาที่ถกู ออกแบบ
ไว้แล้วในแผนการสอนของหลักสูตรทั้งสองหลักสูตร ดังน้ัน การวิจัยในคร้ังนี้จะเน้นหนักในการวัดพุทธิพิสัย
ด้านความรู้ (khowledge) รู้ เข้าใจ อธิบายได้ และทักษะเชิงปัญญา (Cognitive Skills) ปฏิบัติได้ วิเคราะห์
สงั เคราะห์ ประเมินค่าได้ เป็นหลกั โดยอาจมบี างองค์ประกอบทส่ี ามารถวัดด้านจิตพิสัยได้

4. แนวคิดแรงผลักดนั พ้นื ฐานของความซ่ือสัตยส์ ุจรติ (The Foundational Drives of Integrity)
นอกเหนือจากการทาความเข้าใจปัจจัยตามทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแรงทางสังคมที่มีผลต่อการพัฒนา
พฤติกรรม รวมถึงการได้ทาความเข้าใจทฤษฏ่ีเก่ียวข้องกับการศึกษา ซ่ึงก็เป็นอีกหนี่งส่วนที่มีผลอย่างมากต่อ
การพัฒนาพฤติกรรมของมนุษย์ และก่อนหน้าน้ีได้ทาความเข้าใจกับทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของ
โคลเบอร์กท่ีเป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์ไปแล้ว ในส่วนน้ีคณะผู้วิจัยจะได้ทา
ความเข้าใจกับทฤษฎที ่ีเก่ียวข้องกับพัฒนาการทางจริยธรรมส่วนบุคคล การทาความเข้าใจให้ชัดเจนถึงแนวคิด
แรงผลักดันพ้ืนฐานของความซื่อสัตย์สุจรติ (The Foundational Drives of Integrity) ก็จะทาให้เข้าใจพลวัต
ของความซ่ือสัตยส์ ุจริต หรอื “Integrity” มากขึน้
จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกรอบแนวคิด (conceptual framework) ของ Integrity
ในงานวิจัยพบว่ามีเพียงงานวิจัยของ Barnard และคณะ (2008) เท่านั้นที่ได้อธิบายลงลึกไปจนถึงแรงขับ
ภายในในการเกิดความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) จากการศึกษาของ Barnard, Schurink และ De Beer
(2008) มีแนวคิดการจัดกลุ่มแรงผลักดันพ้ืนฐานของความซ่ือสัตย์สุจริตออกได้เป็นสองแรงผลักดันพื้นฐาน
ที่สาคัญสองประการ กล่าวคือ ประการแรกคือส่ิงที่ Barnard และคณะฯ เรียกว่า Moral Compass หรือ
อาจจะแปลเป็นภาษาไทยได้วา่ คือ เข็มทิศศลี ธรรม หรอื เขม็ ทศิ ทางจริยธรรม ซง่ึ เป็นแรงผลักที่องิ อยู่กบั ค่านยิ ม
คุณค่าและหลักการที่เป็นท่ียอมรับของสังคมหรือสากล ส่วนตัวแรงผลักดันพ้ืนฐานที่สาคัญตัวท่ีสองจาก
การศึกษาของพวกเขาคือ Inner Drive หรือแรงขับภายในของแต่ละบุคคลเอง ท่ีจะส่งผลเป็นแรงผลักดัน
พื้นฐานของความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ (ดแู ผนภาพท่ี 2-2)

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ ม่นั ความซอื่ สตั ย์สุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 2 - ๘

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ ม่นั ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

แผนภาพท่ี 2-2 แรงผลกั ดันพื้นฐานของความซื่อสตั ยส์ จุ ริต (The Foundational Drives of Integrity)
ท่ี ม า, Barnar Barnard, A., Schurink, W., & De Beer, M. (2008). A Conceptual Framework of
Integrity. South African Journal of Industrial Psychology

Moral Compass
Moral Compass หรืออาจจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่าคือ เข็มทิศศีลธรรม หรือเข็มทิศทางจริยธรรม
เป็นความซ่ือสัตย์สุจริตตกทอดมาจากชุดของหลักการ และคุณค่าหรือค่านิยมท่ีทาหน้าที่เสมือนบรรทัดฐาน
และมาตรฐานที่บุคคลคนหน่ึงจะใช้ชีวิตไปในแนวทางนั้น มีการกระทาและการตัดสินใจไปในแนวทางน้ัน ๆ
Barnard และคณะ (2008) ให้ความหมาย Moral Compass ไว้ว่า “having and living according to
a core set of values and principle” คือ “การมีและการดารงชีวิตตามชุดคุณค่าหรือค่านิยมและหลักการ”
แนวคิดน้ีเชื่อว่า ความซ่ือสัตย์สุจริตท้ายท่ีสุดถูกกาหนดจากบริบทธรรมชาติของ Moral Compass และ
พฤติกรรมท่ีมีความซ่ือสัตย์สุจริตก็ขับเคล่ือนโดยเช่ือมโยงกับคุณค่าหรือค่านิยมภายใน ความเช่ือ บรรทัดฐาน
และหลักการทส่ี รา้ ง Moral Campass แตล่ ะคนขึน้ มา (Barnard, Schurink & De Beer, 2008)
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า Moral Compass ที่พูดถึงน้ีจะไม่ได้เช่ือมโยงกับความเป็นเฉพาะของแต่ละ
บุคคลเสียทีเดียว แต่ละบุคคลดูเหมือนจะสร้างชุดคุณค่า/ค่านิยม และหลักการ ตามแบบท่ีสากลยอมรับ
จากงานวิจัยของ Barnard และคณะ ที่ได้สังเคราะห์งานวิจัยหลาย ๆ ชิ้น (Becker, 1998, Cox, Lacaze &
Levine, 1999, lickana, 2001, MacFall, 1987) Barnard และคณะ (2008) สามารถสรุปตัวรากฐาน
สาคญั ของความซ่ือสัตยส์ จุ รติ (fundamental of integrity) ไดด้ งั น้ี

- A people orientation based on the principle of respect and empathy (คนจะเริ่ม
ดว้ ยหลักของความเคารพและการเอาใจใส)่

- The will to live a meaningful and purposeful life ((ทุกคน) มีเจตจานงท่ีจะมีชีวิตท่ีมี
ความหมายและมจี ดุ มุ่งหมาย)

- A disposition to life based on an internal locus of control (การจัดการชีวติ (ของคน)
ต้งั อยบู่ นพ้ืนฐานความสามารถในการควบคุมตนเองภายใน)

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดม่ันความซ่อื สตั ยส์ จุ ริต ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๙

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดมนั่ ความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

- An approache to life facilitated by optimism and enthusiasm (การมองโลกในแง่ดี
และความกระตือรอื รน้ จะอานวยความสะดวกในการดาเนนิ ชีวติ )

ตามแนวคิดน้จี ะเหน็ ไดว้ า่ การทจ่ี ะมี Moral Compass ท่จี ะสามารถเปน็ แรงผลกั ดันทีม่ พี ลงั เหนือกวา่
Inner Drive จะต้องมีการสร้าง Fundamental of Integrity (รากฐานของความซื่อสัตย์สุจริตที่เข้มเข็ง)
ตามแนวรากฐานดังกล่าว ดังนั้น การเคารพและดูแลเอาใจใส่ เจตจานงที่จะมีชีวิตอย่างมีความหมาย
ความสามารถในการควบคุมตัวเอง และมองโลกในแง่ดีและกระตือรือร้น จึงสาคัญมากในแรงผลัก Moral
Compass

Inner Drive
Inner drive หรือ อาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า แรงขับภายใน ในแนวคิดน้ีเชื่อว่ามีความสัมพันธ์
ระหว่างความซ่อื สัตย์สุจริตของคนกบั แรงขับภายในของแต่ละคน ดงั น้ัน ในแนวคิดนี้เช่ือว่าความซ่ือสัตย์สุจริต
ขับเคล่ือนโดยแรงจูงใจและอุดมคติส่วนบุคคลมากพอ ๆ กับการขับเคลื่อนด้วย Moral Compass (ความเช่ือ
คณุ ค่าและหลักการ) ของแต่ละคน ความต้องการสว่ นบุคคล กับความเห็นแก่ตวั โดยส่วนใหญจ่ ะสามารถมีพลัง
เหนือกว่าคุณค่าและหลักการความต้องการที่จะอยู่รอด ความต้องการท่ีจะเอาชนะ ความต้องการอานาจและ
สถานะ และความต้องการทรัพย์สินและความสาเร็จ ซ่ึงแน่นอนว่าถ้าแรงผลักด้าน Inner Drive หรือ
แรงขับภายในนี้สามารถมีอานาจเหนอื กวา่ กจ็ ะทาให้คนไม่มีความซือ่ สัตย์สุจรติ
จากแรงผลักดันพ้ืนฐานทั้ง Moral Compass และ Inner Drive ทั้งสองจะทาหน้าท่ีเป็นฐานรากใน
การผลักดันคุณค่า ค่านิยม และหลักการ ซึ่งจะส่งผลถึงพฤติกรรมท่ีจะแสดงออกท่ีสอดคล้องกันกับคุณค่า
ค่านิยม และหลักการ จะเห็นได้ว่าแรงผลักดันพ้ืนฐานทั้งสองตัวนี้มีการทางานแบบขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา
แต่ละตวั สามารถล้าหนา้ ซง่ึ กันและกนั ได้ตลอดเวลาเชน่ เดยี วกนั
แนวคิด The Foundational Drives of Integrity น้ี สอดคล้องกับแนวคิด Ego Psychology
ตามทฤษฎีทางจิตวิทยาของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ , Sigmund Freud (Malcolm, 1988) ท่ีได้อธิบาย
ส่วนประกอบหลักของ 3 ส่วนของบุคลิกภาพ คือ Id ท่ีมาจากสัญชาตญานดิบ Ego ที่เป็นทัศนคติ ความเช่ือ
ของแต่ละบุคคล และ Superego ที่เป็นหลักการหรือศีลธรรม โดยท้ังสามส่วนก็ทางานขัดแย้งกันอยู่
ตลอดเวลาเช่นกัน การทาความเข้าใจเก่ียวกับแรงผลักดันพ้ืนฐานความซื่อสัตย์ทั้งสองตัวจึงมีความจาเป็นเพ่ือ
วางกรอบในการวจิ ยั พฤติกรรมตอ่ ไป

5. ความหมายและองค์ประกอบของความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ (Integrity)
การที่จะประเมินพฤติกรรมประเมินเด็กและเยาวชนไทยท่ีมีพฤติกรรมยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต
ได้นั้น จาเป็นจะต้องทาความเข้าใจในความหมายและองค์ประกอบของคาว่า “Integrity” เพ่ือนาไปสู่
การพฒั นาเคร่ืองมอื ในการประเมนิ พฤติกรรม
การให้ความหมายของคาว่า Integrity ในงานวิจัยต่างประเทศ Bauman (2013) ได้อธิบายคาว่า
Integrity ว่ า “ integer was first used to describe the following characteristics: fresh, virgin,
whole and complete” มาจากรากศัพท์ภาษาลาตินคาว่า integer ที่ใช้อธิบายคุณลักษณะกล่าวคือ
ความสด บริสุทธิ์ ครบถ้วนและสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาคานี้ใช้คาว่า Integritas ในภาษาลาตินท่ีเพ่ิมความหมายใน
เชิงคุณธรรม (a moral meaning) เพิ่มเข้าไปด้วย ในงานวิจัยของ Palanski กับ Yammarino เมื่อปี 2007
ได้รวบรวมบทความที่เกย่ี วข้องท่ีได้ให้ความหมายของ integrity ไว้และได้ประมวลสรปุ ความหมายแยกได้เป็น

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มั่นความซ่อื สตั ยส์ จุ ริต ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๑๐

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

5 กลุ่มความหมาย “integrity as wholeness” ความสมบูรณ์ ; integrity as consistency between
words and actions” ความสอดคล้องระหว่างคาพูดและการกระทา; “integrity as consistency in
adversity” ความสม่าเสมอแม้ในยามทุกข์ยากลาบาก; “integrity as being true to oneself”ความซื่อสัตย์
ต่อตนเอง; และ “integrity as morality” ความมีศีลธรรม ตามความหมายของ Merriam-Webster
ดิกชันนารี (Merriam-Webster, 2021) ได้ให้ความหมายของคาว่า Integrity ไว้ในสามความหมาย
“1. Firm adherence to a code of especially moral or artistic values” การยึดม่ันในหลักศีลธรรม
จรยิ ธรรมหรอื คณุ ค่า “2. an unimpaired condition” สภาพเงื่อนไขทีไ่ ม่มีข้อบกพรอ่ ง และ “3. the quality
or state of being complete or undivided” คุณภาพหรือสถานะของความสมบูรณ์พร้อมไม่มีแบ่งแยกได้
จะเห็นได้ว่าแนวคิดของคาว่า integrity ถูกแปลและเอาไปใช้ในหลากหลายกรอบแนวคิดในหลายทศวรรษ
ท่ีผ่านมา แต่ไม่ว่าจะเอาไปแปลอย่างไร “integrity has always encompassed the basic meaning of
wholeness and transparency of character” คาว่า integrity จะมีความหมายตีวงอยู่ในความหมาย
เบื้องตน้ ของความสมบูรณแ์ ละความโปร่งใสของคุณลักษณะ (Du Toit, 2015)

ในสังคมไทยคาท่ีถูกนามาสื่อความหมายที่ใกล้เคียงนิยามของ Integrity มากที่สุด คือคาว่า
ความซื่อสัตย์สุจริต ซ่ึงในนิยามของความซื่อสัตย์สุจริต มีผู้ให้ความหมายไว้ในหลายนิยาม กลุ่มยุทธศาสตร์
การวิจัยและพัฒนา สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (2560) กล่าวว่า
ความซ่ือสัตย์สุจริต หมายถงึ การประพฤติปฏิบัติตนในสง่ิ ท่ถี กู ตอ้ ง ละอายเกรงกลวั ต่อการกระทาผดิ ไม่คดโกง
ไม่หลอกลวงผู้อ่ืน มีความจริงใจและไว้วางใจต่อทุกคน ตรงไปตรงมา ท้ังกาย วาจา ใจ ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วย
ความซื่อตรงและทาตนเป็นแบบอย่างท่ีดีด้านความซื่อสัตย์และจริงใจ ไม่ยึดเอาวัตถุสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของ
ตนเอง เช่น การไม่พูดโกหก การไม่ลอกการบ้านเพ่ือน การประพฤติตัวดีท้ังต่อหน้าและลับหลัง การพูดกับ
เพื่อนในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นจริง การชักชวนเพื่อนให้ทาความดี ในขณะท่ีสานักวิชาการและมาตรฐาน
การศึกษา (2560) ระบุว่าความซ่ือสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติทางกาย วาจา ใจ ได้ตรงตามความจริง
ตัวอย่างพฤติกรรมคือ พูดความจริง ปฏิบัติตามคาสัญญา ไม่นาส่ิงของหรือผลงานของผู้อ่ืนมาเป็นของตนเอง
ไม่หาประโยชน์ในทางท่ีไม่ถูกต้อง ส่วนสหประชาชาติ สานักงานประเทศไทย (2561) มองว่าคาว่า
“Integrity” เป็นคานามที่มีความหมายคาบเกี่ยวกับหลาย ๆ คา ไม่สามารถแปลเป็นคาไทยได้ตรงกับ
ความหมายที่แท้จริง และบุคคลทั่วไปมีความเข้าใจความหมายท่ีไม่ตรงกัน ลักษณะของ Integrity เป็นเร่ืองท่ี
ฝังลึกในจิตใจของแต่ละคนซึง่ นาไปสู่พฤติกรรมท่ีถูกต้องทงั้ ตอ่ หน้าและลับหลัง ถ้ากลา่ วถึง “บุคคล” Integrity
อาจเทียบเคียงได้กับคาว่า พฤติกรรมที่สะท้อนถึงความมีจริยธรรม ความมีจรรยาบรรณ และความสานึก
รับผิดชอบ คาน้ี เม่ือใช้กับองค์กร มักหมายถึง ความมีคุณภาพ และความมีมาตรฐานสูง อย่างไรก็ตามจาก
นิยามของท้ังในต่างประเทศและในประเทศไทยก็จะส่ือถึงคุณลักษณะทางศีลธรรมคุณธรรมหรือองค์ประกอบ
ทสี่ มบูรณ์พร้อมทบี่ ุคคลพึงมี เพื่อนาไปสูป่ ระโยชน์สูงสดุ ของสงั คม

ด้านองค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ที่ไดจ้ ากการทบทวนวรรณกรรมในประเทศ ทไ่ี ด้
จากการทบทวนงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า องค์ประกอบความซ่ือสัตย์สุจริต (Integrity) ในต่างประเทศ
ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง Honesty (ความซ่ือตรง ความจริงใจ) Impartiality (ความเป็นกลาง) Fairness หรือ
Equality (ความเท่าเทียมกัน) Trustworthy (ความน่าเช่ือถือ) Responsibility (ความรับผิดชอบ) และ
Benevolent หรือ Kind (ความเมตตา อาทร) ส่วนด้านองค์ประกอบความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity)
ในวรรณกรรมของประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นองค์ประกอบความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองสังคมและประเทศชาติ
ด้านการเห็นประโยชน์ส่วนรวม การประพฤติตรงทางกายวาจาใจ ความซ่ือตรงทางศีลธรรม จากการทบทวน

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซือ่ สัตย์สุจรติ ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๑๑

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ ม่ันความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

คานิยามและองค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ในข้างต้นไม่ว่าจะเป็นในเอกสารและงานวิจัย
ในประเทศและต่างประเทศ จะเห็นได้ว่ามีองค์ประกอบท่ีเด่นชัดอยู่หลายองค์ประกอบ อาทิ ความซ่ือตรง
ความจรงิ ใจ ความรบั ผิดชอบ ความเมตตาอาทร การเสียสละ ความเสมอภาค การละอายยอมรบั ผดิ การรกั ษา
คาพูด การแยกแยะและเห็นแกป่ ระโยชน์สว่ นรว่ ม เชอ่ื ถอื ได้ไมพ่ ูดปด ปฏิบัติตามกฎ กตกิ า เป็นต้น

เนื่องจากการวิจัยในคร้ังนี้เน้นการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนที่เป็นผลลัพธ์ที่เชื่อมโยงกับ
ชุดหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาท้ังสองหลักสูตร คือ หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน
การทุจริต) และหลกั สูตรอดุ มศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) ทถี่ ูกออกแบบไวแ้ ล้ว
ในแผนเรยี นการสอนของหลักสูตรท้ังสองหลักสูตรดังกล่าว ในการพัฒนาองค์ประกอบของความซ่ือสัตย์สุจริต
สาหรับงานวิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยได้วิเคราะห์เนื้อหาในโครงสร้างรายวิชา รวมถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ และ
ผลลัพธ์การเรียนรู้ของชุดหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (รายวิชาเพ่ิมเติม
การป้องกันการทุจริต) และหลกั สูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) โดยใช้วิธี
Eyeballing Technique แล้วนามาจัดกลุ่มโดยเทียบองค์ประกอบความซ่ือสัตย์สุจริตที่ได้ทบทวน พบว่าใน
แต่ละด้านของพฤติกรรมที่ยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต (ซึ่งในการวิจัยในคร้ังนี้จะกาหนดให้เป็นส่ีด้านสอดคล้อง
กับโครงสรา้ งการเรียนรทู้ ่ีได้ออกแบบไว้ในหลกั สูตร)

นอกจากท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้นจากการทบทวนวรรณกรรม พบว่าในการที่จะสร้างคนให้มีพัฒนาการ
ทางจริยธรรมท่ีพึงประสงค์ของสังคม เชน่ พฤติกรรมที่ยึดมน่ั ในความซอ่ื สัตยสจุ ริตนนั้ วรรณกรรมบอกให้เรารู้
ว่าสามารถทาได้โดยผ่านกลไกสองระดับ ท้ังกลไกในระดับปัจเจกและกลไกในระดับสังคม ในระดับปัจเจกนั้น
พัฒนาการทางจริยธรรมขึ้นอยู่กับการพัฒนาการของแต่ละคน เด็กช่วงวัยเดียว อาจจะมีพัฒนาการทาง
จริยธรรมที่แตกต่างกัน หรือแม้กระท่ังลูกพ่อแม่เดียวกัน ก็อาจมีพัฒนาการทางจริยธรรมที่ต่างกันในระดับ
สังคมเอง กลไกทางสังคม อย่างเช่น ครอบครัว โรงเรียน ส่ือต่าง ๆ เพ่ือน และศาสนา ล้วนมีบทบาทและ
อิทธิพลต่อการขัดเกลาให้คนมีพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ ซึ่งในที่นี้คือ พฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต
เชื่อมโยงกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ที่สถานศึกษานาไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบต่าง ๆ
ดังน้ัน ในการประเมินพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตในครั้งนี้ จึงมุ่งประเมินผ่านกรอบ 4 ด้านตาม
ชุดสาระการเรยี นรูข้ องหลักสตู รต้านทุจรติ ศึกษา

เม่ือนาสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในแต่ละด้าน มาวิเคราะห์เนื้อหา วัตถุประสงค์
การเรียนรู้ และผลลัพธ์การเรียนรู้ ทาให้เห็นองค์ประกอบของพฤติกรรมย่อยที่มุ่งประเมิน ดังตัวอย่างเช่น
องค์ประกอบด้านแยกแยะส่วนตนและส่วนรวม จะมีพฤติกรรมย่อยที่ทาให้เราต้องตามประเมิน คือ แยกแยะ
ระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและส่วนรวม ระบบคิดฐานสอง (บอกไดว้ ่าผิดหรือถูก) และเสียสละเหน็ แก่ประโยชน์
ส่วนรวม ด้านอื่น ๆ ก็เช่นกัน จากนั้นนาพฤติกรรมย่อยท่ีมุ่งประเมิน มากาหนดสัดส่วน น้าหนัก ความสาคัญ
ในแต่ละองค์ประกอบ และวิธีการวัดความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม ที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงช้ัน เช่น
เด็กปฐมวัย จะไม่การประเมินเจตคติ แต่จะประเมินพฤติกรรมโดยใช้รูปภาพ ในส่วนของเยาวชนจะมีการเพ่ิม
การวัดการใหค้ าตอบตามความปรารถนาของสังคม (SDR) ซ่ึงสว่ นน้ีเป็นการประเมินเชงิ ปรมิ าณ

องค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริตที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมในประเทศ สรุปได้ดังตารางที่
2-1 ส่วนองค์ประกอบความซ่ือสัตย์สุจริต (Integrity) ท่ีได้จากการทบทวนงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า
องค์ประกอบความซ่ือสัตย์สุจริต (Integrity) ในต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นเรื่อง Honesty (ความซื่อตรง
ความจริงใจ) Impartiality (ความเป็นกลาง) Fairness หรือ Equality (ความเท่าเทียมกัน) Trustworthy

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มัน่ ความซอื่ สัตย์สุจริต ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๑๒

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ มน่ั ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

(ความน่าเช่ือถือ) Reponsiblity (ความรับผิดชอบ) และ Benevelent หรือ Kind (ความเมตตา อาทร)
ดงั ปรากฏในตารางท่ี 2-1

ตารางที่ 2-1 สรุปองค์ประกอบความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ (Integrity) จากการทบทวนวรรณกรรมในต่างประเทศ

scholarly sources Construct of Integrity

State Service Commissioner Fair, Impartial, Responsible, Trustworthy

of New Zealand (2020)

Ministry of Public Legality, Honesty, Loyalty, Impartiality, Efficiency

Administration of Mexico

(2020)

Suyadi & Nisa (2018) Honesty, Keeping Promise, Loyalty, Responsibility,

Persistence, Kindness and Caring, Respect, Fairness,

Citizenship

Barnard, Schurink & De Beer Self-motivation and drive, Moral courage and assertiveness,

(2008) Honesty, Consistency, Commitment, Diligence, Self-

discipline, Responsibility, Trustworthiness

Miller and Schlenker (2011) Being principled, Honest, Benevolent, Dependable,

Religious or spiritual

Kelly O’Donnell (2017). UN Impartiality, fairness, honesty, trustfulness

Core Value: Integrity

Li Sa, Ng (2018). Civil Honesty in Rule of law, Intellectual Honesty, Wholeness

Service College, Singapore (Public Trust)

Moilanen, Timo. (2017). Impartiality and independence, Rule of law and

State of Civil Service Ethics responsibility, trust, Service principle, Openness, Equality,

in Finland Result-orientedness

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดมั่นความซ่อื สัตย์สุจรติ ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 2 - ๑๓

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ มั่นความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

ตารางท่ี 2-2 สรปุ องคป์ ระกอบความซ่ือสัตย์สุจริต (Integrity) จากการทบทวนวรรณกรรมในประเทศ

แหล่งข้อมลู ทางวชิ าการ สรา้ งความซื่อสัตย์

สานักงาน ป.ป.ช. (2563) - การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม

- ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจรติ

- STRONG : จติ พอเพียงต้านทจุ รติ

- พลเมอื งกับความรับผิดชอบต่อสงั คม

กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร - ความซื่อสตั ยต์ อ่ ตนเอง

(2523) - ความซื่อสัตยต์ อ่ หนา้ ท่ีการงาน

- ความซอ่ื สัตยต์ อ่ บคุ คล

- ความซื่อสตั ยต์ อ่ คณะ สังคม และประเทศชาติ

สานักงาน ป.ป.ป. (2534) - ความซ่ือสัตยใ์ นเรอ่ื งเงนิ ทรพั ย์สนิ สง่ิ ของ ไม่ขโมย ไมย่ ักยอก ไม่เบยี ดบัง เกบ็ ของ

ผอู้ น่ื ไดแ้ ล้วคืนเจา้ ของ

- การรกั ษาระเบยี บวินยั ในเร่ืองตา่ ง ๆ และตรงตอ่ เวลา รวมท้งั ไมโ่ กงเวลาการทางาน

- ความซ่ือสัตยต์ ่อหน้าทข่ี องตน

- การรงั เกียจและต่อตา้ นคนโกงหรือคนทาไมถ่ ูกต้อง

- การยกยอ่ งคนดีที่มีความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

สามารถ กลางบุญเรอื ง (2547) - ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ ต่อตนเอง

- ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ตอ่ บุคคล

- ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ตอ่ หน้าที่

- ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ ตอ่ สว่ นรวม

รเิ รอื ง รตั นวไิ ลกลุ (2563) - การใชอ้ านาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชนใ์ ห้ตนเองและพวกพอ้ ง

- การพดู ความจรงิ

- การยอมรับผดิ การกระทาของตนเอง

- การรูจ้ กั หนา้ ท่ขี องตนเอง

- การรักษาคาพูด/คาสญั ญา

- การเหน็ แก่ประโยชนส์ ่วนรวมมากกว่าประโยชนส์ ่วนตวั

กลุ่มยทุ ธศาสตรก์ ารวิจัยและพฒั นา - การประพฤติปฏบิ ัตติ นในส่งิ ท่ถี กู ตอ้ ง

สานักนโยบายและยทุ ธศาสตร์ - ละอายเกรงกลวั ต่อการกระทาผดิ

สานกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร - ไม่คดโกง ไม่หลอกลวงผอู้ ื่น จริงใจและไวใ้ จตอ่ ทุกคน ตรงไปตรงมา

(2560) - ไม่ยึดเอาวตั ถสุ ง่ิ ของผู้อ่นื มาเป็นของตนเอง

สหประชาชาติ สานักงานประเทศไทย - ความสานกึ รบั ผิดชอบ

(2561) - ความซอื่ สตั ยต์ ่อตนเองและผอู้ ืน่

สานักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา - การประพฤตทิ างกาย วาจา ใจ ได้ตรงตามความจริง รกั ษาคาพูด/คาสัญญา

(2560) - ไม่นาส่งิ ของหรือผลงานผอู้ ื่นมาเปน็ ของตนเอง

- ไม่หาผลประโยชน์ในทางทีไ่ มถ่ กู ต้อง

รสิตา กดุ แถลง (2550) - ความซอ่ื สตั ยต์ อ่ ตนเอง

- ความซื่อสัตยต์ ่อหน้าท่ี

- ความซอื่ สัตยต์ อ่ บคุ คลอืน่

- ความซอ่ื สตั ยต์ อ่ หมู่คณะ

สมรืน่ สิทธยิ า (2559) - ความซื่อสัตยส์ ุจรติ ต่อตนเอง

- ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ตอ่ หน้าท่ี

- ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ ตอ่ บคุ คล

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มัน่ ความซอื่ สตั ยส์ ุจริต ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๑๔

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมนั่ ความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

แหล่งข้อมลู ทางวิชาการ สรา้ งความซอ่ื สัตย์
ปนาลี แทนประสาน (2562)
- ความซือ่ สตั ยส์ ุจรติ ตอ่ ชุมชนและสงั คม
หัทยา โกฏริ ตั น์ (2549)
- ความซ่อื ตรงทางศีลธรรม (จรยิ ธรรมด้านความซอ่ื สัตย์ และหริ โิ อตปั ปะ)
สุดารตั น์ สีทองวฒั นา (2549) - ความซ่ือตรงทางสังคม (การปฏบิ ตั ิตามระเบยี บ การยดึ ม่ันในความถูกต้อง

ความรับผิดชอบ และจติ สานกึ ทดี่ )ี
- ความซื่อตรงทางลักษณะส่วนบุคคล (การพงึ่ ตนเอง ความภาคภมู ใิ จในตนเอง

การหย่งั รถู้ งึ ผลในอนาคต การไมด่ ดู าย ความกล้า และการสอื่ สารที่ด)ี

- การยอมรับผดิ เมอื่ ตนเองทาผดิ
- การทาการบา้ นด้วยตนเอง โดยไมล่ อกผ้อู ่นื
- การพูดความจรงิ
- การไมล่ กั ขโมยของผอู้ ื่น
- การเกบ็ เงินหรือสงิ่ ของผอู้ ่นื ไดแ้ ล้วสง่ คืนให้เจา้ ของ

- การพูดความจริง
- การไมล่ ักขโมยของของผู้อนื่
- การไมค่ ดโกงผ้อู น่ื
- การไมท่ ุจรติ ในการสอบ
- การรักษาคาพดู หรือสญั ญาท่ีใหไ้ ว้กับผูอ้ ื่น

จากการทบทวนคานิยามและองค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นใน
เอกสารและงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ จะเห็นได้ว่ามีองค์ประกอบที่เด่นชัดอยู่หลายองค์ประกอบ
อาทิ ความซื่อตรง ความจริงใจ ความรับผิดชอบ ความเมตตาอาทร การเสียสละ ความเสมอภาค การละอาย
ยอมรับผิด การรักษาคาพูด การแยกแยะและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนร่วม เช่ือถือได้ไม่พูดปด ปฏิบัติตามกฎ
กติกา เปน็ ตน้

จากการที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่าการวิจัยในคร้ังน้ีเน้นการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนที่เป็น
ผลลัพธท์ ี่เชอื่ มโยงกับชุดหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทง้ั สองหลักสูตร คือ หลกั สตู รการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (รายวิชา
เพ่ิมเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”)
ท่ีถูกออกแบบไว้แล้วในแผนเรียนการสอนของหลักสูตรทั้งสองหลักสูตรดังกล่าว ในการพัฒนาองค์ประกอบ
ของความซ่ือสัตย์สุจริตสาหรับงานวิจัยในคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์เน้ือหาในโครงสร้างรายวิชา รวมถึง
วตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ และผลลพั ธ์การเรียนรู้ ของชดุ หลักสตู รตา้ นทจุ ริตศึกษา หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
(รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good
heart”) โดยใช้วีธี Eyeballing Technique แล้วนามาจัดกลุ่มโดยเทียบองค์ประกอบความซ่ือสัตย์สุจริตท่ีได้
ทบทวน พบวา่ ในแต่ละด้านของพฤติกรรมท่ียดึ ม่ันความซือ่ สัตย์สุจริต (ซึ่งในการวจิ ัยในครั้งน้ีจะกาหนดใหเ้ ป็น
สด่ี ้านสอดคล้องกับโครงสร้างการเรียนรู้ที่ได้ออกแบบไว้ในหลักสตู ร) ดงั ปรากฏในตารางที่ 2-3 และแผนภาพ
ท่ี 2-3

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซ่อื สตั ยส์ ุจรติ ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๑๕

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ มั่นความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

ตารางที่ 2-3 องค์ประกอบของความซื่อสตั ย์สจุ ริต

ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ ช่อื ดา้ นขององคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบของพฤติกรรมที่ยึดมน่ั
ในโครงสรา้ งรายวชิ า ในโครงสร้างรายวชิ า ของพฤติกรรมท่ียดึ มั่น ความซือ่ สัตยส์ ุจรติ ในแต่ละด้าน*
หลักสตู รการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน หลกั สูตรอดุ มศกึ ษา ความซอื่ สตั ยส์ ุจริต
(รายวิชาเพม่ิ เติม การป้องกัน (วัยใส ใจสะอาด “Youngster - แยกแยะสว่ นตนและส่วนรวม
with good heart”) ในการวิจัยครั้งน้ี - ระบบคดิ ฐานสอง
การทจุ รติ ) - เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์สว่ นรวม
ปรับฐานความคดิ ตา้ นทุจรติ ดา้ นแยกแยะสว่ นตน - มองทจุ รติ เป็นสง่ิ ทนี่ ่ารงั เกยี จ
การคดิ แยกแยะระหว่าง - รบั ผิดชอบต่อตนเอง
ผลประโยชนส์ ว่ นตนกับ สว่ นตนและส่วนรวม และส่วนรวม - ความเสมอภาค ยุติธรรม
ผลประโยชน์สว่ นรวม - ระเบยี บวนิ ัย สัมมาคารวะ
- มีเหตุมผี ล
ความละอายและความไมท่ น สรา้ งสงั คมท่ีไม่ทนตอ่ ดา้ นไม่ทนตอ่ การทุจรติ - ละอายตอ่ การทจุ รติ
- ไม่ทนตอ่ ความทจุ รติ
ต่อการทจุ รติ การทจุ ริต - ซือ่ สัตย์ พูดความจรงิ
- ละอายต่อความผดิ และยอมรับ
STRONG : จิตพอเพียงต้าน ปราบทจุ รติ ดว้ ยจติ พอเพยี ง ดา้ นจิตพอเพียงต้าน การกระทาของตนเอง
ทุจริต ทุจริต - พอประมาณ
- ประหยดั
พลเมืองกับความรบั ผดิ ชอบตอ่ ยกระดบั ดัชนี สร้างพลเมือง ดา้ นพลเมืองและ - ความโปร่งใส
- อดทนอดกลน้ั สติตืน่ รู้
สังคม ดใี นสงั คม ความรับผิดต่อสงั คม - มงุ่ ม่ันทางาน มงุ่ พัฒนา
- ความเมตตา เออ้ื อาทร
- พง่ึ ตนเองได้
- เคารพสิทธิหนา้ ที่ต่อตนเองและผอู้ น่ื
- จิตสานกึ การเปน็ เจา้ ของประเทศ
- รบั ผิดชอบตอ่ สังคม
- จติ สาธารณะ
- การปฏบิ ตั ติ ามกฎ กติกา ข้อตกลง
กฎหมาย

* องค์ประกอบในแต่ละด้านของความซ่ือสัตย์สุจริตท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้มาจากการวิเคราะห์โครงสร้างรายวิชา
วัตถุประสงค์และผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ (ดูรายละเอียดผลลัพธ์การเรยี นรู้ และโครงสร้างรายวิชา ท่ี 5) ของชุดหลักสตู รตา้ นทุจริต
ศึกษา หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน (รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด
“Youngster with good heart”) ท่ีได้ออกแบบไว้แล้ว องค์ประกอบอาจมีการปรับปรุงเปล่ียนแปลง ในขั้นตอนของการ
พฒั นาเคร่ืองมือ

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มน่ั ความซ่อื สัตย์สุจริต ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 2 - ๑๖

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดม่นั ความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

แผนภาพท่ี 2-3 องค์ประกอบพฤติกรรมทยี่ ึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตในงานวิจัย

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมนั่ ความซื่อสัตยส์ จุ รติ ฉบับสมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 2 - ๑๗

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ ม่ันความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

6. งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง
คณะผู้วิจัยได้มีการทบทวนงานวิจัยที่สะท้อนให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนในแต่ละช่วงวัย มีพฤติกรรมท่ี
บ่งชี้ความซ่ือสัตย์สุจริตอย่างไร และมีปัจจยั ใดบ้างที่มีผลต่อพฤติกรรมความซ่ือสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน
ผลทไี่ ดจ้ ากการทบทวนจะนาเสนอตามลาดบั ชว่ งชนั้ ดงั ตอ่ ไปนี้
เด็กวัยก่อนเรียน ก่อนที่จะทาความเข้าใจพฤติกรรมที่บ่งชี้ความซ่ือสัตย์สุจริตของเด็กวัย 3-5 ขวบ
หรือเด็กวัยก่อนเรียน ซ่ึงถือเป็นระยะวัยเด็กตอนต้น คณะผู้วิจัยใคร่ขอนาเสนอพัฒนาการของเด็กวัยก่อนเรียน
ซึ่งเป็นวัยท่ีผู้ท่ีเก่ียวข้องจะต้องมีการเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะเผชิญโลกและสังคมภายนอกบ้าง เป็นระยะท่ีเด็ก
ต้องไดร้ บั การเรยี นรู้ กฎระเบียบตา่ ง ๆ ของสังคม เรียนรู้พฤติกรรมการอยู่ร่วมกับผ้อู น่ื ทงั้ วัยเดียวกันและต่างวัย
พฒั นาการของเด็กวัยกอ่ นเรยี นดงั กลา่ ว จาแนกได้ 3 ดา้ น ได้แก่
1) พัฒนาการทางจิตใจ ซึ่งจะเกิดจากทั้งการเรียนรู้ด้วยตนเอง และการได้รับการอบรมส่ังสอน ในวัยนี้
เด็กจะเร่ิมเก่ียวโยงประสบการณ์ตา่ ง ๆ เข้าด้วยกัน มีความคิดสัมพันธ์กับอารมณ์ เร่มิ เห็นผลดีและผลเสียของ
พฤตกิ รรมต่าง ๆ และเริม่ เรียนรทู้ จ่ี ะควบคุมตนเองไม่ให้ทาพฤติกรรมท่ีไม่ดี
2) พัฒนาการทางสังคม วัยนีถ้ อื เปน็ วัยสาคัญท่จี ะถูกวางรากฐานของลกั ษณะพฤตกิ รรมทางสงั คมของ
แต่ละบคุ คลว่าในอนาคตข้างหน้า วา่ เขาจะมีรูปแบบการเขา้ สงั คม และการสรา้ งสัมพันธภาพกับผอู้ ่ืนอย่างไรบ้าง
พัฒนาการด้านน้ี คือกระบวนการท่ีสืบเนื่องยาวนานตลอดชีวิต ดังนั้น เด็กจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนใน
เรื่องจริยธรรม เช่น เด็กอาจหยิบส่ิงของของผู้อ่ืนไปโดยไม่รู้สึกผิดเลยจนกว่าจะมีผู้แนะนา ดังน้ัน พฤติกรรม
ความมจี ริยธรรมทส่ี ะท้อนความซอื่ สตั ย์ จะประเมินจากการไม่หยิบของผอู้ ่ืนไปเปน็ ของสว่ นตวั เปน็ ตน้
3) พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กวัยน้ีสามารถเช่ือมโยงความคิดของตนเองกับผู้อ่ืนได้ เร่ิมเรียนรู้
การควบคุมก่อนที่จะพูดได้เป็นประโยค สามารถเก่ียวโยงประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ความคิดจะมี
ความสัมพันธ์กับอารมณ์ สามารถเข้าใจในความรู้สึกของผู้อ่ืน เนื่องจากรู้สึกม่ันใจว่าตนเป็นใคร ทาให้เกิด
ความรู้สึกว่าผ้อู ื่นจะรู้สึกอย่างไร การเข้าใจและเห็นใจผู้อืน่ อย่างแท้จริง และการรู้จักความถกู ต้องทางศีลธรรม
จะเกิดหลังจากท่ีบุคคลได้พัฒนาความสามารถในการเชื่อมโยงอารมณ์กับความคิด และนาไปสู่การพัฒนา
ความสามารถในการสะท้อนความรสู้ ึกการกระทาของตนเอง และพัฒนาความรู้สึกภายในจิตใจท่ีมีความม่ันคง
พร้อม ๆ กบั ประสบการณท์ ีเ่ ปล่ียนแปลงไปตลอดเวลา
4) พัฒนาการทางการเรยี นรแู้ ละสติปัญญา วัยน้ีถือว่าเป็นวัย “ขั้นเตรียมตัว” ที่จะพัฒนาไปสู่การเรียนรู้
ในระดับสูงตอ่ ไปได้ เร่ือง การเรียนรู้ของบุคคล มีส่วนสาคัญในการประพฤตปิ ฏิบัติตนในสังคม และเกดิ ขึน้ จาก
หลายช่องทางท้ังจากประสบการณ์ตรง และจากการบริโภคส่ือ และวรรณกรรมต่าง ๆ เช่น นิทานหรือการเล่าเรื่อง
เปน็ ตน้
5) พัฒนาการทางจริยธรรมและค่านิยม เน่ืองจากเด็กวัยนี้ เป็นวัยชอบเลียนแบบและพร้อมท่ีจะ
ปรับเปล่ียนพฤติกรรม การปฏิบัติต่อเด็กวัยน้ีอย่างเหมาะสมทั้งการพัฒนาทางกายภาพและจิตใจ จะเป็นการ
ป้องกันปัญหาด้านคุณธรรมและจริยธรรม เม่ือเด็กเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ซึ่ง ดวงเดือน พันธุมนาวิน
(2539) ไดใ้ ห้เสนอแนะวา่ เด็กวยั น้ี ควรไดร้ ับการเตรียมความพร้อมดา้ นจรยิ ธรรมและพฤติกรรมท่ีเหมาะสม
จริยธรรมด้านความซ่ือสัตย์ ที่ถือว่าเป็นพื้นฐานสาคัญท่ีจะต้องทาให้เด็กวัยนี้ได้รับการปลูกฝัง คือ
การพูดความจริง การไม่พูดปด เพราะการพูดความจริงคือการพูดตรงกับพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้น ดังนั้น การพูด
ความจริงจึงเป็นลักษณะพฤติกรรมข้ันพื้นฐานที่ควรปลูกฝังและสร้างเด็กตั้งแต่วัยเด็กตอนต้นเพื่อนาไปสู่
การพัฒนาพฤติกรรมเชงิ จรยิ ธรรมด้านความซอ่ื สตั ย์สุจรติ พ้นื ฐานในอนาคต

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 2 - ๑๘

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดม่ันความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา พฤติกรรมความซ่ือสัตย์ต่อตนเองของนักเรียนระดับประถมศึกษา
ตอนต้นคือการไม่ลอกการบ้านเพื่อน การไม่พูดเท็จ ไม่เล่ห์เหลี่ยมคดโกงผู้อ่ืน นาส่ิงของมาคืนเม่ือเก็บได้
ไม่หยิบเงินหรอื ส่ิงของผ้อู ่ืน ทาผิดแล้วยอมรบั ผิด ไม่กล่าวโทษผู้อ่ืน มีความจรงิ ใจต่อเพ่ือน และไม่ลาเอียงหรือ
อคติ

โดยพฤตกิ รรมเหล่านี้ได้รับอิทธพิ ลหรือปัจจยั ต่าง ๆ ซ่ึงจากการศึกษาเอกสารวิจัยข้างตน้ พบว่า ปัจจัย
ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมความซ่ือสัตย์ของนักเรียนมากที่สุดคือ ปัจจัยทางด้านสถาบันครอบครัว หมายความ
รวมถึงการอบรมเลี้ยงดู ผู้เล้ียงดูหรือผู้ปกครอง ความคิดทัศนคติต่อความซ่ือสัตย์ของบุคคลในครอบครัวหรือ
แม้สถานภาพด้านเศรษฐกิจของครอบครัว (กาญจนา สุดประเสริฐ, 2558; จตุพร จันทร์ทิพย์วารี และ
กรรณิการ์ ภิรมย์รัตน์, 2551; เกตุม สระบุรินทร์, 2561; ตวงรัตน์ วาสะห์, 2555; เนาวนิต มุขสมบัติ,
2545; มนัสศนิ ี ดาวแดน, 2554; อาภา แสงระวี, 2556; ชายแดน เดชาฤทธ์ิ, 2561) รองลงมาคือ ปจั จัย
ด้านหลักสูตรการศึกษา (กาญจนา คิงและคณะ, 2562; พระมหานฤทธ์ิ วงศ์เมืองแก่น, 2554; พวงพันธ์
โพธ์ิศรี, 2557; พระสรุ ิยน กตทีโป, 2561; มทุ ิตา จีนอ่ิม และวฒุ ิชยั เสวกกลาง, 2562; อดิเรก สรรพประเสริฐ
, 2561) กล่าวคือ การศกึ ษามีหน้าที่การพัฒนาขดั เกลาจิตใจของผู้เรยี นตามหลักสูตรแกนกลางและพัฒนาให้
ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545) และปัจจัยอ่ืน ๆ อาทิ การรับข่าวสารที่
บดิ เบือนของเท็จจรงิ ที่มีผลทางลบตอ่ พฤติกรรมความซ่ือสตั ย์ อิทธิพลทางสังคม การกล่าวชมเชยหรือสรา้ งพลัง
ทางบวก (ปฏิมา โพธิ์วงษ์ และสุปาณี สนธิรัตน์, 2555; Panupat Limchumroon ,2551; อัญชลี ถีระสา,
2562; อะห์ หมัด และคณะ, 2561; Namthip Ongardwanich, 2561)

นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น จากการศึกษาเอกสารวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมด้าน
จริยธรรม ความซื่อสัตย์และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่า
พฤติกรรมท่ีเป็นตัวบ่งช้ีถึงความซื่อสัตย์ของนักเรียน คือ การรู้จักคุณค่าและซื่อสัตย์ต่อตนเอง (กาญจนา
สุดประเสริฐ, 2558; จตุพร จนั ทร์ทพิ ยว์ ารี และเกตุม สระบุรนิ ทร์, 2561; ตวงรัตน์ วาสะห์, 2555; ปฏิมา
โพธ์ิวงษ์ และสปุ าณี สนธิรัตน, 2012; พระสรุ ิยน กตทโี ป, 2561; มนสั ศินี ดาวแดน, 2554; อญั ชลี ถรี ะสา,
2562) การรับผิดชอบต่อสังคมหรือส่วนรวม การมีสว่ นร่วมในกิจกรรมทที่ าประโยชน์แก่สาธารณะ (กาญจนา
คิง และคณะ, 2562; พระมหานฤทธิ์ วงศ์เมืองแก่น, 2554; พวงพันธ์ โพธิ์ศรี, 2557; Panupat
Limchumroon, 2551; มุทิตา จีนอ่ิม และวุฒิชัย เสวกกลาง; 2562, ชายแดน เดชาฤทธ์ิ, 2561;
Namthip Ongardwanich, 2561) และตัวบ่งช้ีพฤติกรรมลาดับสุดท้าย คือ การมีความรับผิดชอบต่อผู้อ่ืน
อาทิ การรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย การไม่คัดลอก ดัดแปลงงานของผู้อ่ืน (กรรณิการ์ ภิรมย์รัตน์ ,
2551; เนาวนิต มุขสมบัติ, 2545; อาภา แสงระวี, 2556; อดิเรก สรรพประเสริฐ, 2561; อะห์หมัด และ
คณะ, 2561)

จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัย พบว่า เด็กและเยาวชนต้องซื่อสัตย์สุจริตท้ังในความคิด และ
การกระทา ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อ่ืน ไม่มักง่าย หยาบคาย ตรงต่อเวลา ต่อหน้าท่ี และต่อวิชาชีพ
มีความจริงใจ ปลอดต่อความรู้สึก เอนเอียง หรืออคติไม่ใช้เล่ห์กลคดโกงท้ังทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าท่ี
ของตนเองปฏิบัติอย่างเต็มท่ีและถูกต้อง การไม่โกหกหลอกลวง พึงปฏิบัติต่อตนเอง ผู้อื่น และต่อสังคม โดยท่ี
สามารถจะเลือกประพฤติปฏิบัติในส่ิงที่ควรกระทา เว้นสิ่งท่ีควรเว้น วัดได้จากการทางานต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
การปฏิบัติตนเป็นผู้มีความซ่ือสัตย์สุจริต การไม่รับทรัพย์สินของผู้อื่นและการไม่ลักขโมย (กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ, 2545; พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542, 2546; ดวงเดือน

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซอื่ สัตยส์ ุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 2 - ๑๙

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมนั่ ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

พันมนาวิน, 2538; วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, 2551; ปรียา ตันวิพัฒน์, 2544; ประภาศรี สีหอาไพ, 2543;
พนม พงษไ์ พบูลย,์ 2554)

การพัฒนาดา้ นคณุ ลักษณะที่ส่งผลต่อความซ่ือสัตย์ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาตอนต้น ได้แก่ อัตมโนทัศน์
สัมพันธภาพในครอบครวั ความเชื่อมัน่ ในตนเอง ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น การทาหน้าทข่ี องเครอื ข่ายทางสังคม
และการเห็นคุณค่าในตนเอง (จานุรัตน์ เก็บบุญเกิด, 2534) จากความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง
ก็ส่งผลต่อความซ่ือสัตย์ค่อนข้างมาก เนื่องจากนักเรียนได้รับการอบรมจากผู้ปกครอง หรือการอบรมเล้ียงดู
ที่ใกล้ชิดของพ่อแม่ ความรับผิดชอบและการพ่ึงตนเองเร็วตั้งแต่วัยเด็ก (สุมาลี ภูผาลา, 2547) นอกจากนี้
พ้ืนฐานเกิดพฤติกรรมของเด็ก ได้แก่ ความขยันหมั่นเพียร ความซ่ือสัตย์ การมีมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดี เกิดขึ้น
เนื่องมาจากบรรยากาศของบ้าน ถ้าทุกคนในบ้านมีความสัมพันธภาพท่ีดีต่อกันก็จะแสดงพฤติกรรมท่ีดี
เปน็ มิตรสามารถสรา้ งความสัมพันธอ์ ันดกี ับบคุ คลอ่ืนดว้ ย (ษมาพร ศรอี หิ ยาจติ , 2548 อ้างอิงจาก Musses &
Conger, 1956) และความเช่ือมั่นในตนเอง ก็มีความสัมพันธ์ทางบวกต่อความซ่ือสัตย์ (พิไลลักษณ์ ทองรอด,
2547) ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความซื่อสัตย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ตอนต้น ยังมีแนวคิดท่ีส่งผลต่อความซ่ือสัตย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (กฤตรินทร์ นิ่มทองคา,
2542) เป็นการทาหน้าที่ของเครือข่ายทางสังคม ซ่ึงได้กล่าวถึงการทาหน้าท่ีของเครือข่ายว่าประกอบด้วย
1) ข้อมูลย้อนกลบั ของสังคม คือ สมาชิกของครือข่ายใหก้ ารตอบสนอง โดยการแสดงความรู้สึก ความคิด และ
พฤติกรรมต่อบุคคล เพ่ือให้บุคคลมีการรับรู้ในการทาหน้าท่อี ย่างถกู ต้องเหมาะสม ซึง่ ข้อมลู ย้อนกลับของสังคม
สามารถเป็นได้ทั้งบวกและลบ 2) การเข้าถึงข่าวสาร ซ่ึงบุคคลได้รับจากสมาชิกของเครือข่าย เช่นการให้
คาแนะนาที่เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน 3) ความเป็นเพ่ือน คือ สมาชิกของเครือข่ายใช้เวลากับบุคคล และมี
ปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เพ่ือลดความรู้สึกโดดเด่ียวของบุคคล 4) การสนับสนุนทางอารมณ์ คือ การแสดงความร้สู ึก
ของสมาชิกในเครือข่ายต่อบุคคล การสนับสนุนชนิดนี้จะส่งเสริมความภาคภูมิใจในตนเอง ทาให้บุคคลแสดง
ความรู้สึกได้อย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์หรือปัญหาของบุคคล 5) การระดมความช่วยเหลือให้กับบุคคลใน
ภาวะวิกฤต คือ สมาชิกในเครือข่ายรวบรวมทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือบุคคลให้ลดความเครียดหรือปัญหา
6) การสนับสนุนทางวัตถุ การที่สมาชิกในเครือข่ายให้การสนับสนุนทางด้านเคร่ืองมือ หรือการให้บริการแก่
บุคคล (Scileppi, Teed, and Torres, 1999)

นอกจากน้ี พฤติกรรมความซ่ือสัตย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา จากการทบทวนงานวิจัยของนุสรา
สุรางคพาณิชย์ (2546) พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนกระทุ่มแบน มีแนวโน้ม
พฤติกรรมความซ่ือสัตย์ในระดับสูงท้ังในด้านความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ความซ่ือสัตย์ต่อหน้าท่ี และความซื่อสัตย์
ต่อผู้อ่ืน เพศหญิง มีแนวโน้มพฤติกรรมความซื่อสัตย์สูงกว่า การอบรมเล้ียงดูของครอบครัวแบบรักและ
สนับสนุนและแบบใช้เหตุผล มีอานาจ ในการอธิบายแนวโน้มพฤติกรรมความซื่อสัตย์มากที่สุด ในขณะท่ี
การศกึ ษาของนลินี สวุ รรณโชติ (2549) พบวา่ เจตคตไิ ม่มีอิทธพิ ลตอ่ ความไมซ่ อื่ สัตย์ทางวชิ าการ

นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ผลจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า พฤติกรรมความไม่ซื่อสัตย์
ทางวิชาการ ของนักศกึ ษาในระดับอดุ มศกึ ษา จากการศกึ ษาของปยิ นันท์ จติ ติกรยทุ ธนา และไพรัตน์ อธกิ พนั ธ์ุ
(2546) ท่ีได้ศึกษาพฤติกรรมการทุจริตการสอบของนักศึกษา ซ่ึงมีหลายลักษณะตั้งแต่แบบง่าย ๆ ไปจนถึง
การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือ เช่น การซ่อนโพยคาตอบ จ้างทารายงาน ใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง จ้างเพ่ือนทา
หรือรับจ้างเพ่ือนทารายงาน การใช้อุปกรณ์ช่วยฟังติดไว้ที่หูเวลาเข้าห้องสอบ และสิ่งท่ีน่าสนใจในการศึกษา
คร้ังนี้ คือ นอกจากจะได้รับรู้กลวิธีโกงแล้วยังได้ข้อค้นพบว่า ผู้ตอบไม่รู้สึกว่าผิด เพราะมองว่าใคร ๆ ก็ทาได้
ความซ่ือสัตย์ทางวิชาการจึงเป็นรากฐานความสาเร็จของสถาบันอุดมศึกษา เน่ืองจากสถาบันอุดมศึกษาเป็น

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 2 - ๒๐

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดมัน่ ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

องค์การที่สังคมคาดหวังว่ามีมาตรฐานด้านน้ีที่โดดเด่น หากสถาบันอุดมศึกษาไม่สามารถจัดการกับปัญหา
ความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการในองค์การได้ก็จะเป็นการทาลายภาพลักษณ์และความเชื่อถือจากสังคม และ
การทุจริตในระหว่างเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยของนักศึกษากับจานวนคร้ังของการทุจริตในที่ทางานมี
ความสัมพันธ์กันค่อนข้างสูง (ปนาลี แทนประสาน และมณฑิรา จารุเพ็ง, 2562; สุปรีญา นุ่นเกล้ียง และ
ศิริลักษณ์ คัมภิรานนท์, 2562) แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ไม่ใช่สถานการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้นใน
มหาวิทยาลยั การทจุ รติ ในมหาวทิ ยาลัยอาจนาไปสู่การทจุ ริตในสงั คม ดังน้นั ในการประเมนิ พฤติกรรมทยี่ ึดม่ัน
ความซื่อสัตย์สุจริตของนักศึกษาระดบั อุดมศึกษา จงึ ประเมินจากพฤติกรรมความไม่ซ่ือสตั ย์เชิงวชิ าการ อาทิเช่น
ลอกแบบฝึกหัด การลอกรายงาน การทุจริตในการสอบ การเปลี่ยนแปลงข้อมูล และไม่ซอ่ื สัตยใ์ นการทารายงาน
เปน็ ต้น

ในขณะที่ สุชาดา กรเพชรปาณี (2549) พบว่า นักศึกษา ร้อยละ 97 เคยกระทาพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์
ทางวิชาการ ส่วนใหญ่เปน็ การลอกแบบฝึกหดั ทรงสิริ วชิ ิรานนท์ (2551) รองลงไปเป็นการทจุ ริตในการสอบ
การเปล่ียนแปลงข้อมูล และไม่ซ่ือสัตย์ในการทารายงาน นักศึกษาชายมีแนวโน้มจะกระทาความไม่ซ่ือสัตย์
ทางวิชาการมากกว่านักศึกษาหญิง ในขณะที่การศึกษาของณัฐพร ศรีสติ (2548) พบว่าบริบททางการศึกษา
ด้านช้ันปีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมที่เก่ียวข้องกับการไม่ซื่อสัตย์สุจริตทางวิชาการ โดยเฉพาะอย่างย่ิง
การขโมยคัดลอกผลงานผู้อ่ืนมาเป็นของตนเองในสื่ออินเทอร์เน็ต (นลินี สุวรรณโชติ, 2549; สุชาดา
กรเพชรปาณี, 2549) ข้อค้นพบน้ียังได้มีความสอดคล้องกับงานของ McCabe, & Trevino (1993) (อ้างถึง
ในนลินี สุวรรณโชติ, 2549) ที่พบว่าพฤติกรรมของเพ่ือนมีอิทธิพลอย่างมากต่อความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการ
และเม่ือนักศึกษาเห็นว่าเพ่ือน ๆ มีการโกงอยู่เสมอ ส่วนการศึกษาของอภิญญา อิงอาจ (2554) พบว่า
นักศึกษาที่มีเพศ สาขาวิชา ระดับการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุน ระดับความใกล้ชิดของครอบครัวต่างกัน
มีพฤติกรรมความซ่ือสัตย์สุจริตแตกต่างกัน และเม่ือควบคุมตัวแปรลักษณะเพ่ือน ชุดของตัวแปรเหล่านี้
สามารถอธิบายพฤติกรรมความซื่อสัตย์ได้สูงข้ึน ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นจะยึดถือเพื่อนเป็นแบบอย่างและ
คล้อยตามลักษณะของเพ่ือนได้โดยง่าย ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาของ ดวงเดือน พันธุมนาวิน และเพ็ญแข
ประจนปัจจนึก (2524) ซ่ึงสะท้อนให้เห็นว่าเพ่ือนมีบทบาทสูงต่อการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมหรือ
ไมเ่ หมาะสม

การศึกษาของดวงเดือน พันธุมนาวิน (2546) (อ้างถึงใน แสงอรุณ ธรรมเจริญ ลินดา สุวรรณดี,
2547; ดวงเดือน พันธุมนาวิน และคณะ, 2540) ระบุว่าสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา
มีความสัมพันธ์และมีบทบาทอย่างมากกับพฤติกรรมความซ่ือสัตย์สุจริตของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งบิดาหรือมารดาผู้ปกครองเด็กใช้ความรักและการยอมรับเด็ก ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม
กบั เด็ก ให้คาแนะนาเมอ่ื เดก็ มีปัญหา เช่นเดียวกนั กับงานวิจัยของ สุภาสินี นุ่มเนียม (2546) ที่ผลศึกษาพบว่า
นักเรียนท่ีได้รับการอบรมเล้ียงดูแบบรักสนับสนุนใช้เหตุผลมาก จะมีแนวโน้มท่ีจะมีพฤติกรรมท่ีรับผิดชอบต่อ
หนา้ ที่ ทง้ั หน้าทใี่ นครอบครวั และหน้าทีใ่ นโรงเรยี น ซ่งึ สะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ การมีพฤติกรรมเชงิ จรยิ ธรรมท่ีดีมากขน้ึ

นอกจากการทบทวนวรรณกรรมเพ่ือทาความเข้าใจในตัวบ่งชี้ความซ่ือสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน
ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษาดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น บทความของ Hubert (2018) ยังได้
สะท้อนให้เห็นถึงความหมายของคาว่า “Integrity” และความสาคัญของความซื่อสัตย์สุจริต หรือ Integrity
โดยเฉพาะอย่างย่ิงความซื่อสัตย์สุจริตของการปกครอง (Government) และการจัดการการปกครอง
(Governance) ในบทความน้ีช้ีให้เห็นว่า “Integrity” กลายเป็นแนวคิดและหัวข้อท่ีมีความโดดเด่นมากข้ึนใน
การวิจัยเกี่ยวกับการรฐั บาล การจัดการการปกครอง ในกระบวนการนโยบาย (Prolicy Process) ในทุกระดับ

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มนั่ ความซือ่ สตั ย์สจุ ริต ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 2 - ๒๑

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมนั่ ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

รวมถึงเป็นการสะท้อนค่านิยม (Moral Values) และบรรทัดฐาน (Norms) ทางศีลธรรมของผู้ปกครอง จึงถือ
เป็นประเด็นสาคัญเพราะการจัดการปกครอง (Government) เก่ียวข้องกับอานาจ (Power) การเมือง
(Politics) นโยบาย (Policy) การบริหารจัดการ (Administration) รัฐบาล (Government) การกากับ
(Steering) การจัดการ (Management) และองค์กร (Organization) นั่นหมายความว่า การที่มีอานาจใน
การกาหนดนโยบายและนานโยบายไปปฏิบัติย่อมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการจัดสรรผลประโยชน์ หรือ
ทีเ่ รยี กว่า “การเมือง” ท่จี ะทาให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ไมใ่ ช่กลมุ่ ใดกลุ่มหนงึ่ ได้รบั ประโยชน์

ส่วนในงานวิจัยของ Afzal Izzaz Zahari (2019) ท่ีได้ทาการศึกษาตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้าง
ของความซอ่ื สัตย์สุจรติ โดยทาการสอบถามเจ้าหนา้ ทท่ี ่ีปฏิบัตงิ านของรฐั บาลทอ้ งถ่ินมาเลเซีย 80 คน ผลจาก
การศึกษาพบว่า องค์ประกอบของ Integrity มี 3 ด้าน ได้แก่ 1. ความซื่อสัตย์ (Hosesty) 2. ความรอบคอบ
(Conscientiousness) และ 3. การยึดมั่นในหลักการ (Principle) โดยท่ีแต่ละด้านประกอบด้วยมิติต่าง ๆ
ดงั ท่ีปรากฏในตารางที่ 4

ตารางท่ี 2-4 องคป์ ระกอบของ Integrity

ความซ่อื สัตย์ ความรอบคอบ การยึดม่นั ในหลักการ

1. การรบั รูอ้ บุ ตั กิ ารณข์ อง 1. ค่านิยมสว่ นบุคคล 1. กฎหมาย กฎหมายและระเบียบ
ความไมซ่ อ่ื สัตย์ (Perceived (Personal Values) ปฏิบัตมิ าตรฐาน (Rules Law and
incidence of dishonesty) Standard Operating
2. การควบคุมพฤติกรรม Procedures)
2. ผอ่ นปรนตอ่ พฤตกิ รรมทีไ่ ม่ซือ่ สตั ย์ (Behavioural Control)
(Leniency toward dishones 2. มอื อาชพี (Professional Code)
behaviour) 3. ความสานึกตอ่ หนา้ ท่ี
(Sense of Duty)
3. การหาเหตผุ ลเข้าขา้ งตวั เอง
(Theft rationalization) 4. ความรับผิดชอบ
(Responsibility)
4. การคดโกงค่าตอบแทน
(Theft and remuneration) 5. พฤติกรรมเส่ียง
(Risk-taking behaviour)
5. บรรทัดฐานเกี่ยวกบั พฤตกิ รรม
ที่ไมซ่ ่อื สตั ย์ (Norms regarding
dishonest behaviour)

6. การควบคุมแรงกระตุ้น
(Impulse Control)

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมน่ั ความซ่ือสัตย์สุจรติ ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๒๒

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดม่ันความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

7. กรอบแนวคดิ การวิจยั
การวิจัยประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดม่ันความซ่ือสตั ย์สจุ รติ ครั้งนี้ คณะผู้วจิ ัยไดก้ าหนด
กรอบแนวคดิ ดงั แสดงไวใ้ นแผนภาพที่ 4 ดงั นี้

แผนภาพที่ 2-4 กรอบแนวคิดในการวิจัย
ในการวิจัยครั้งนี้คณะผู้วิจัยมุ่งศึกษาตัวแปรหลัก คือ พฤติกรรมท่ียึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริตของเด็ก

และเยาวชน โดยพัฒนาเคร่ืองมือเพ่ือวัดระดับความรู้ เจตคติ และทักษะเชิงปัญญาของพฤติกรรมท่ียึดมั่น
ความซ่ือสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทยในช่วงชั้นต่าง ๆ 7 ช่วงชั้น ต้ังแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับ
อุดมศึกษา ในด้านหลัก 4 ด้านองค์ประกอบของพฤติกรรมท่ียึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต คือ ด้านการคิด
แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ด้านความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต
ดา้ น STRONG : จติ พอเพียงต้านทจุ ริต และดา้ นพลเมืองกับความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม

พร้อมทั้งศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร การนาชุดหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (หลักสูตร
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด
“Youngster with good heart”) ไปใช้ ใน 7 รูปแบบ อันได้แก่ 1) เปิดรายวิชาเพิ่มเติม 2) กิจกรรมพัฒนา
ผู้เรียน 3) บูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระการเรียนการสอนสังคมศึกษา 4) บูรณาการการเรียน
การสอนกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น 5) บูรณาการกับวิถีชีวิตในโรงเรียน 6) กิจกรรมเสริมหลักสูตร และ
7) ไม่ได้มีการนาหลักสูตรดังกล่าวมาใช้กับตัวแปรหลัก พฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและ
เยาวชนไทย และรวมถึงศึกษาตัวแปรอ่ืน ๆ ตามกรอบแนวคิด ทฤษฎีที่เก่ียวข้องอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ครูและกลุ่มเพ่ือน
คุณลักษณะและสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา นิเวศวิทยาครอบครัว สภาพแวดล้อมทางสังคม และโครงการ
ตา้ นทุจริตอนื่ ๆ ซึง่ อาจมีผลต่อตัวแปรหลัก พฤติกรรมทย่ี ดึ มั่นความซื่อสัตย์สจุ ริตของเดก็ และเยาวชนไทย

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มัน่ ความซ่ือสตั ยส์ ุจรติ ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๒๓

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยึดมัน่ ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

ด้วยการวิจัยในครั้งนี้มีข้อจากัดของเน้ือหาที่เน้นการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนที่เป็นผลลัพธ์
ทเ่ี ชือ่ มโยงกับชุดหลักสูตรต้านทจุ ริตศึกษาทั้งสองหลักสูตร คือหลักสูตรการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม
การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) โดยอิง
กับโครงสร้างรายวิชา วัตถุประสงค์การศึกษา และผลลัพธ์การศึกษาท่ีถูกออกแบบไว้แล้วในแผนการสอนของ
หลักสูตร ดังน้ัน การวิจัยในคร้ังนี้ในการพัฒนาเคร่ืองมือประเมินพฤติกรรมจะเน้นในการวัดด้านความรู้
(khowledge) รู้ เข้าใจ อธิบายได้ และทักษะเชิงปัญญา (Cognitive Skills) ปฏิบัติได้ วิเคราะห์ สังเคราะห์
ประเมนิ ค่าได้ เปน็ หลัก โดยอาจมบี างองคป์ ระกอบท่สี ามารถวดั ด้านจิตพิสัยได้ดว้ ย

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มัน่ ความซ่ือสัตย์สุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 2 - ๒๔

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ ม่นั ความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

บทที่ ๓
ระเบยี บวิธวี ิจยั

ระเบียบวิธีวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) ท้ังวิธีการเชิงปริมาณ
และวิธีการเชิงคุณภาพในแบบแผนการวิจัยพร้อมกัน (Convergent Parallel Design) ที่จะกล่าวถึงต่อไปน้ี
ประกอบด้วย ๘ ประเด็น ได้แก่ ๑) ประชากรและตัวอย่าง๒) วิธีการสุ่มตัวอย่าง ๓) เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บ
รวบรวมข้อมูล ๔) กระบวนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ี
ยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริต ๕) การออกแบบระบบการประเมิน TYintegrity และ ๖) เกณฑ์การวัดผล
การใหค้ ะแนน การแปลความหมาย ๗) การวิเคราะห์ข้อมลู เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และ ๘) การตรวจสอบ
ความตรงของผลการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญ (Expert Validation) โดยมีวิธีดาเนินการวิจัยประเมินผล
มีรายละเอียด ดังต่อไปน้ี

๑. ประชากรและตวั อย่าง
๑) ประชากร ได้แก่ เด็กและเยาวชนที่อยู่ในโรงเรียนสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษา

ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จานวน ๔,๕๔๒ แห่ง โรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (อปท.) ๑๗๗ แห่ง และ
สถาบนั อุดมศึกษา สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตั กรรม (อว.) จานวน ๕๐ แหง่

๒) ตัวอย่าง ตัวอย่างเด็กและเยาวชนได้มาจากสถานศึกษาในทุกจังหวัด จาแนกได้ดังน้ี ๑) เด็กและ
เยาวชนท่ีอยู่ในสถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จาแนกเป็นโรงเรียนระดับ
ปฐมวัยถึงประถมศึกษา จานวน ๑,๘๓๑ แห่ง โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา จานวน ๒,๔๘๕ แห่ง ๒) เด็กและ
เยาวชนที่อยู่ในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จานวน ๑๗๗ แห่ง จาแนกเป็นสังกัด อบจ.
จานวน ๕๑ แห่ง เทศบาลนคร จานวน ๒๘ แห่ง เทศบาลเมือง จานวน ๕๙ แห่ง กรุงเทพมหานคร จานวน
๒๘ แห่ง และเมอื งพทั ยา จานวน ๑๑ แหง่ และ ๓) นักศึกษาช้ันปีที่ ๑-๔ สถาบันอดุ มศกึ ษาในสังกัดกระทรวง
การศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จานวน ๕๐ แห่ง การได้มาของเด็กและเยาวชนที่จะตกเป็น
ตัวอย่างในการศึกษาคร้งั นี้ คณะผ้วู ิจัยจะใช้วิธีการสุม่ ตวั อย่างท่จี ะไดก้ ลา่ วถงึ ในหัวข้อต่อไป

๒. วิธกี ารสมุ่ ตวั อย่าง
วิธีการได้มาซึ่งเด็กและเยาวชนที่จะตกเป็นตัวอย่างในการประเมินพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์

สจุ ริต ทัง้ ในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จะใช้วิธกี ารสมุ่ ตัวอยา่ งท่ีช่ือวา่ Multi-stages sampling แตก่ ่อนทีจ่ ะ
มีการสุ่มเลือกในแต่ละข้ันตอน คณะผู้วิจัยจะได้มีการจัดทาบัญชีรายช่ือ (Sampling Frame) ซ่ึงเป็นบัญชี
รายชื่อโรงเรียนในสังกัด สพฐ. และ อปท. รวมถึงสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาท่ีมีการนาหลักสูตร
“การศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกันการทุจรติ )” และ “หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด
“Youngster with good heart”) ไปใช้ (จากการศกึ ษาเอกสารกากับติดตามการนาหลักสูตรต้านทุจริตศกึ ษา

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซ่ือสตั ยส์ ุจรติ ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | ๓ - ๑

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดมัน่ ความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

ไปใช้ ประจาปี ๒๕๖๓ พบว่า สถานศึกษาได้มีการนาไปใช้อยู่ ๗ ระดับ อันได้แก่ (๑. เปิดรายวิชาเพ่ิมเติม ๒.
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ๓. บูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ ๔. บูรณาการ
การเรียนการสอนกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ๕. บูรณาการกับวิถีชีวิตในโรงเรียน ๖. จัดเป็นกิจกรรมเสริม
หลักสูตร และ ๗. ไม่ได้มีการจัดนาหลักสูตรดังกล่าวมาใช้) การจัดทาบัญชีรายชื่อน้ี คณะผู้วิจัยได้ประสานให้
สานักงาน ป.ป.ช. ทาการสารวจสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. สงั กดั อปท. และมหาวทิ ยาลยั สังกัด อว. เพื่อให้ได้
ข้อมูลเบื้องต้นเก่ียวกับระดบั ของการนาหลักสูตรไปใช้ ข้อมูลพ้ืนฐานของสถานศึกษาแต่ละแห่ง เช่น ระดับชั้น
จานวนหอ้ งเรียน จานวนนกั เรยี น/นกั ศกึ ษาในแต่ละแห่งในแตล่ ะหลกั สูตร เป็นต้น

จากผลการสารวจระดับของการนาหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน (รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกัน
การทุจริต) ไปใช้ คณะผู้วิจัยจะนาผลดังกล่าวมาจาแนกเป็น ๖ ภูมิภาค คือ กรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ในแต่ละภูมิภาค คณะผู้วิจัยจัดทาบัญชี
รายชอื่ สถานศึกษา จาแนกตามระดบั การนาไปใช้ (๗ ระดบั ซึง่ ในทีน่ ก้ี าหนดสัญลักษณแ์ ทน คือ A, B, C, D, E,
F, G โดยที่ A แทน เปิดรายวิชาเพิ่มเติม B แทน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน C แทน บูรณาการการเรียนการสอน
กับกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ D แทน บูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ E
แทน บูรณาการกับวิถีชีวิตในโรงเรียน F แทน จัดเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร และ G แทน ไม่ได้มีการจัดนา
หลกั สตู รดงั กลา่ วมาใช้) จากนน้ั จะเริม่ ต้นทาการสุม่ ตัวอย่างในขนั้ ตอนท่ี ๑

การสุ่มตวั อยา่ งในขั้นตอนที่ ๑
การเลือกตัวอย่างสถานศึกษาหรือโรงเรียนท่ีอยู่ในสังกัด สพฐ. และ อปท. ท่ีจะตกเป็นตัวอย่าง
จะดาเนินการโดยสุ่มสถานศึกษาทุกจังหวัด รวม ๗๗ จังหวัด โดยสุ่มสถานศกึ ษา จงั หวัดละ ๔๐ แห่ง โดยเป็น
สถานศึกษาท่ีสังกัด สพฐ. และ อปท. ออกเป็น ๒ ประเภท คือ โรงเรียนระดับปฐมวัย/ประถมศึกษา และ
โรงเรียนระดับมัธยมศกึ ษา จากนั้นทาการสุ่มโรงเรียนที่จะตกเป็นตัวอย่างจากแต่ละประเภท หรือแต่ละช้ันภูมิ
(Stratum) (๗ ชั้นภูมิ) ด้วยวิธีการ Simple Random Sampling แต่ท้ังนี้ต้องให้ได้ครบตามช่วงชั้น เพื่อให้ได้
จานวนโรงเรยี น ๓,๑๗๐ แหง่ (จากนน้ั จะเขา้ สกู่ ารสุม่ ตวั อย่างในข้นั ตอนท่ี ๒ ทจ่ี ะกลา่ วถงึ ในหัวขอ้ ต่อไป)

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มัน่ ความซือ่ สัตย์สุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | ๓ - ๒

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดมั่นความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

มหาวทิ ยาลัย
สงั กดั อว.

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดม่ันความซ่ือสัตยส์ จุ ริต ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | ๓ - ๓

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ดึ ม่นั ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

ส่วนมหาวิทยาลัยสังกัด อว. ในแต่ละภูมิภาค คณะผู้วิจัยก็จะทาการแบ่งออกเปน็ ๗ กลุ่ม จาแนกตาม
ระดับการนาไปใช้เช่นกัน จากนั้นจะทาการสุ่มมหาวิทยาลัยท่ีจะตกเป็นตัวอย่างจากแต่ละกลุ่ม ตามสัดส่วน
ของจานวนมหาวทิ ยาลยั ในแตล่ ะกลมุ่ (รวมทงั้ ๗ กลมุ่ จะตอ้ งได้เท่ากับ ๕๐ แหง่ )

จากมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในแต่ละระดับการนาไปใช้ คณะผู้วิจัยจะทาการแบ่งนักศึกษาระดับ
ปริญญาตรีออกตามหลักสูตรต่าง ๆ จากนั้น คณะผู้วิจัยจะทาการสุ่มเลือกหลักสูตรที่จะตกเป็นตัวอย่างด้วย
วิธกี ารจบั สลาก จับสลากไดห้ ลกั สูตรใด หลกั สตู รน้นั จะตกเป็นตัวอย่าง

การสุ่มตัวอยา่ งในข้ันตอนที่ ๒ กรณีที่เป็นสถานศึกษาสังกัด สพฐ. และ อปท. จากสถานศึกษา แต่
ละแห่งท่ีจะตกเป็นตัวอย่างที่ไดใ้ นขั้นที่ ๒ คณะผู้วิจัยจะนานักเรียนมาจาแนกออกเป็นช่วงช้ันต่างๆ ๕ ช่วงชั้น
อันได้แก่ ชั้นปฐมวัย ประถมศึกษาปีท่ี ๑-๓ ประถมศึกษาปีท่ี ๔-๖ มัธยมศึกษาปีท่ี ๑-๓ มัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖
จากน้ันสุ่มห้องเรียน จานวน ๑ ห้องเรียน สุ่มได้ห้องเรียนไหนคณะผู้วิจัยจะจัดทาบัญชีรายช่ือนักเรียนใน
ห้องเรียนนั้น จากน้ันจะดาเนินการในขั้นตอนที่ ๓ ในกรณีที่เป็นมหาวิทยาลัยสังกัด อว.การสุ่มตัวอย่างใน
ขั้นตอนท่ี ๒ คณะผู้วิจัยจะแบ่งรายชื่อนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรท่ีตกเป็นตัวอย่างออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ
นักศึกษาชั้นปีที่ ๑-๒ และนักศึกษาชั้นปีที่ ๓-๔ จากน้ันคณะผู้วิจัยจะได้จัดทาบัญชีรายชื่อนักศึกษาจากท้ัง ๒
กล่มุ เพอ่ื ดาเนนิ การสมุ่ ได้ขัน้ ตอนที่ ๓ ต่อไปเช่นกัน

ขนั้ ตอนท่ี ๓ จากบัญชีรายช่อื ท่ีได้จากข้นั ตอนท่ี ๒ คณะผูว้ ิจัยจะสุ่มเลือกนักเรียนหรอื นกั ศึกษา ส่มุ ได้
ห้องเรียนไหน คณะผู้วิจัยจะสุ่มนักเรียนในห้องนัน้ ด้วยวธิ ีการจับสลาก สุ่มได้นักเรียนคนไหน นักเรียนคนน้ันก็
จะต้องได้รับการประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต หากเป็นโรงเรียนระดับ
ปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น คณะผู้วิจัยจะทาการสุ่มนักเรียนช้ันปฐมวัย ประถมศึกษาปีที่ ๑-๓
ประถมศึกษาปีท่ี ๔-๖ ช่วงช้ันละ ๕ คน แต่ถ้าเป็นโรงเรียนที่มีเฉพาะระดับมัธยมศึกษา คณะผู้วิจัยก็จะสุ่ม
นกั เรียนจากมัธยมศึกษาตอนตน้ (ม.๑-๓) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.๔-๖) ช่วงชนั้ ละ ๕ คน เชน่ กนั

ในกรณีท่ีเป็นสถาบันอุดมศึกษา คณะผู้วิจัยจะสุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี (ชั้นปีที่ ๑-๒ และชั้นปีท่ี
๓-๔ ช่วงชั้นละ ๕ คน รวมสถาบันละ ๑๐ คน) จากหลักสูตรท่ีตกเป็นตัวอย่างท่ีสุ่มได้จากขั้นตอนที่ ๒
นักศึกษาที่จะตกเป็นตัวอย่างจะต้องประเมินตนเองด้วยแบบประเมินผลพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริต
ท้ังท่ีมีลักษณะเป็นเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพท่ีคณะผู้วิจัยได้จัดทาเป็นฐานจาลองในแต่ละโรงเรียน จาแนก
ตามแต่ละช่วงช้นั ในระบบออนไลน์

จากน้ันนักเรียน/นักศึกษาท่ีตกเป็นตัวอย่างท่ีสุ่มได้จะเป็นจุดเช่ือมต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายอีก ๓ กลุ่ม
ที่จะต้องเป็นผ้ปู ระเมินนักเรียน/นักศกึ ษาที่เป็นกลุม่ เปา้ หมาย

กลุ่มที่ ๑ คือ กลุ่มเพ่ือนของนักเรียน/นักศึกษาท่ีตกเป็นตัวอย่างที่สุ่มได้ในขั้นตอนที่ ๓ คณะผู้วจิ ัยจะ
ทาการสุ่มเพื่อนของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้น (ท่ีอยู่ในห้องเรียน/ในหลักสูตรเดียวกัน) อีกจานวน ๕ คน ด้วย
วธิ กี ารจบั สลาก กลุ่มเพอื่ นท่ถี กู ส่มุ ไดจ้ ะเป็นผู้ประเมินนักเรียนท่เี ป็นกลุ่มเปา้ หมายด้วยแบบประเมินพฤติกรรม

กลุ่มที่ ๒ คือ กลุ่มผู้ปกครองของนักเรียน/นักศึกษาท้ัง ๕ คนที่ถูกสุ่มขึ้นมาเป็นตัวอย่าง น่ันหมายถึง
นักเรียน/นักศกึ ษาผู้ใดทตี่ กเป็นตวั อย่าง คณะผวู้ ิจัยกจ็ ะทาการประสานกบั ผ้ปู กครองของนักเรียน/นักศกึ ษาแต่

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซ่ือสตั ย์สจุ ริต ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | ๓ - ๔

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดม่นั ความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

ละคน เป็นผู้ประเมินนักเรียน/นักศึกษาที่อยู่ในการดูแลโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์
สจุ รติ ทีป่ รากฏในระบบออนไลน์

กลุ่มท่ี ๓ คือ ครูผู้สอนผู้ถูกประเมิน การได้มาซ่ึงครูผู้สอนของผู้ถูกประเมิน คณะผู้วิจัยจะทาการ
เจาะจงเลือกครูประจาชั้น หรือครูผู้สอนของผู้ถูกประเมิน ในแต่ละช่วงชั้นๆ ละ ๑ คน และในแต่ละช่วงชั้น
ครผู ้สู อน ๑ คนก็จะเปน็ ผปู้ ระเมินนกั เรียน/นักศึกษาที่ตกเป็นตัวอยา่ งจานวน ๕ คน

ด้วยวิธกี ารส่มุ ตวั อย่างทีไ่ ดก้ ลา่ วไปแล้วข้างต้น จะทาให้ได้ขนาดตัวอยา่ ง และจานวนผูท้ ี่ต้องเกย่ี วข้อง
กับการประเมินเด็กและเยาวชนในครงั้ น้ี ดังท่ปี รากฏในตารางท่ี ๓.๑

ตารางท่ี ๓-๑ ขนาดตัวอยา่ งในการประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทีย่ ึดม่นั ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

ประชากรกลมุ่ ตัวอย่าง (คน) รวม

ลาดบั สังกัด/ระดับ ชว่ งช้ัน จานวน เด็กและ ครูผสู้ อน กลมุ่ เพอ่ื น กลุ่ม ประชากร ฐานการ
สถานศกึ ษา เยาวชนผูถ้ กู ผถู้ กู ผถู้ ูก ผู้ปกครอง กล่มุ จาลอง
ประเมนิ ประเมนิ (ฐาน)
(แห่ง) ประเมนิ ผถู้ กู ตัวอย่าง
ประเมนิ (คน) ๑,๘๓๑

๑ สงั กดั สพฐ.

ระดับปฐมวัย ๑,๘๓๑ ๘,๖๔๙ ๑,๗๕๖ ๘,๖๔๙ ๘,๖๔๙ ๘๔,๗๑๙
ระดบั ประถมศกึ ษา ๘,๘๙๖ ๑,๗๙๙ ๘,๘๙๖ ๘,๘๙๖
๘,๙๐๗ ๑,๘๐๘ ๘,๙๐๗ ๘,๙๐๗
ปฐมวยั ๒๖,๔๕๒ ๕,๓๖๓ ๒๖,๔๕๒ ๒๖,๔๕๒
ประถมศกึ ษาปีที่ ๑-๓
ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔-๖
รวม

ระดับมัธยมศกึ ษา

มัธยมศึกษาปีท่ี ๑-๓ ๒,๔๘๕ ๑๐,๗๖๙ ๒,๑๗๐ ๑๐,๗๖๙ ๑๐,๗๖๙ ๔๕,๖๘๗ ๒,๔๘๕
มธั ยมศึกษาปที ี่ ๔-๖ ๓,๔๙๙ ๗๑๓ ๓,๔๙๙ ๓,๔๙๙
รวม ๑๔,๒๖๘ ๑๔,๒๖๘ ๑๔,๒๖๘
๒,๘๘๓

๒ สังกัด อปท. ๑๗๗ ๕๖๓ ๑๑๓ ๕๖๓ ๕๖๓ ๘,๕๑๗ ๑๗๗
ระดับปฐมวยั ปฐมวยั ๕๗๒ ๑๑๔ ๕๗๒ ๕๗๒
ระดบั ประถมศึกษา ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑-๓ ๖๔๒ ๑๒๐ ๖๔๒ ๖๔๒
ประถมศกึ ษาปีที่ ๔-๖
ระดับมัธยมศกึ ษา ๖๗๕ ๑๓๕ ๖๗๕ ๖๗๕
มัธยมศึกษาปที ่ี ๑-๓ ๒๑๒ ๔๒ ๒๑๒ ๒๑๒
มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๔-๖ ๒,๖๖๔ ๕๒๕ ๒,๖๖๔ ๒,๖๖๔
รวม

สงั กัด อว. ๒๖๖ ๕๑ ๒๖๖ ๒๖๖ ๑,๗๐๒ ๕๐
๓ ระดับอดุ มศึกษา ๒๖๗ ๕๒ ๒๖๗ ๒๖๗ ๑๔๐,๖๒๕ ๔,๕๔๒
๕๓๓ ๑๐๓ ๕๓๓ ๕๓๓
ปีท่ี ๑-๒ ๔๓,๙๑๗ ๘,๘๗๔ ๔๓,๙๑๗ ๔๓,๙๑๗
ปีที่ ๓-๔
รวม ๕๐

รวมทง้ั หมด ๔,๕๔๒

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มัน่ ความซื่อสัตย์สจุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | ๓ - ๕

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ดึ มน่ั ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

มหาวิทยาลยั
สงั กัด อว.
ที่ตกเปน็ ตวั อย่าง

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดมั่นความซือ่ สตั ย์สุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | ๓ - ๖

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ ม่นั ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

๓. เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลในการศึกษาวิจัยในคร้ังน้ี ประกอบด้วย ๑) เครื่องมือท่ีใช้ใน

การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ และ ๒) ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ แต่ละประเภทมีลักษณะ
ดงั ต่อไปน้ี

๓.๑ เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ๑) แบบประเมินพฤติกรรมท่ียึดมั่น
ความซ่ือสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย จานวน ๗ ชุด ๗ ช่วงชั้น สาหรับผู้ประเมิน ๔ กลุ่ม คือ ประเมิน
ตนเอง ผปู้ กครอง เพ่ือน และครผู สู้ อน รวมจานวนท้ังสิ้น ๒๘ ชดุ ดังปรากฏในตารางที่ ๓-๒
ตารางที่ ๓-๒ ชดุ เครื่องมือสาหรบั ประเมนิ พฤติกรรมท่ียดึ มั่นความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ของเด็กและเยาวชนไทย

ชดุ เครอ่ื งมือ ฉบบั ท่ี เครอื่ งมือ หมายเหตุ
ฉบับที่ ก๑
ชุด ก : เครื่องมอื เครอ่ื งมอื ประเมนิ พฤตกิ รรมทีย่ ดึ มน่ั - ในเคร่อื งมอื ฉบับน้ีจะมีทั้งทเี่ ครอื่ งมอื
ประเมินพฤติกรรม
ท่ียดึ มัน่ ความซอ่ื สัตย์ ความซ่ือสัตยส์ ุจริตของเดก็ และเยาวชน ประเมินทเ่ี ปน็ เชงิ ปริมาณและเชงิ
สจุ รติ ของเดก็ และ
เยาวชนในระดับ ในระดบั ปฐมวยั : ประเมินตนเอง คุณภาพ
ปฐมวยั
- เด็กในระดับปฐมวยั อาจจะยงั ไมม่ ี

ความสามารถในการใชเ้ ครื่องมอื

ดว้ ยตนเอง ดงั น้นั เครอื่ งมอื อาจจะ

อยใู่ นลกั ษณะที่มผี ู้ถามแลว้ บันทกึ

ลงในเครอื่ งมือประเมนิ ฯ แทน

ฉบบั ที่ ก๒ เครื่องมอื ประเมินพฤตกิ รรมทย่ี ดึ มนั่ เครอื่ งมอื มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซ่อื สัตย์สจุ รติ ของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดบั ปฐมวยั : ครูผสู้ อนประเมนิ

ฉบับท่ี ก๓ เครอื่ งมือประเมินพฤตกิ รรมท่ยี ดึ มน่ั เครื่องมอื มีลกั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซื่อสตั ย์สจุ รติ ของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดับปฐมวยั : เพ่อื นประเมิน

ฉบบั ท่ี ก๔ เคร่อื งมือประเมนิ พฤติกรรมท่ียดึ มนั่ เครื่องมือมีลกั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซอ่ื สตั ย์สจุ ริตของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดบั ปฐมวยั : ผู้ปกครองประเมิน

ชุด ข : เครอื่ งมอื ฉบบั ที่ ข๑ เครอ่ื งมอื ประเมินพฤตกิ รรมที่ยดึ มน่ั - ในเครอ่ื งมอื ฉบบั น้ีจะมที งั้ ทเี่ ป็น
ประเมนิ พฤติกรรม
ทย่ี ึดมนั่ ความซ่ือสัตย์ ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ ของเดก็ และเยาวชน เครอื่ งมอื ประเมนิ ทีเ่ ปน็ เชงิ ปรมิ าณและ
สุจรติ ของเดก็ และ
เยาวชนในระดับ ในระดบั ประถมศึกษาตอนต้น : เชงิ คณุ ภาพ
ประถมศึกษาตอนตน้
ประเมนิ ตนเอง - เด็กในระดับประถมตน้ โดยเฉพาะ

ระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๑ อาจจะยัง

มีปญั หาในเรือ่ งความสามารถในการใช้

เครื่องมอื ด้วยตนเอง ดังน้ัน เคร่อื งมือ

อาจจะอยู่ใน ๒ ลักษณะ คอื ทัง้ ท่ีเป็น

แบบมผี ู้ถามแลว้ บันทึกลงในเคร่ืองมือ

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซอื่ สัตย์สุจริต ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | ๓ - ๗

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมน่ั ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

ชุดเครือ่ งมอื ฉบับท่ี เคร่ืองมอื หมายเหตุ

ประเมนิ ฯ และในลักษณะที่เดก็

สามารถประเมนิ ไดด้ ว้ ยตนเอง

ฉบับท่ี ข๒ เครอ่ื งมอื ประเมนิ พฤตกิ รรมท่ียดึ มน่ั เครอ่ื งมอื มลี กั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซื่อสัตยส์ จุ ริตของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดับประถมศกึ ษาตอนตน้ :

ครูผสู้ อนประเมิน

ฉบบั ท่ี ข๓ เครอ่ื งมอื ประเมนิ พฤติกรรมท่ียดึ มนั่ เครอ่ื งมือมลี กั ษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ ของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดับประถมศกึ ษาตอนต้น :

เพอื่ นประเมิน

ฉบบั ที่ ข๔ เครอ่ื งมอื ประเมนิ พฤตกิ รรมท่ยี ดึ มนั่ เครื่องมอื มลี ักษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ ของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดบั ประถมศึกษาตอนตน้ :

ผปู้ กครองประเมิน

ชุด ค : เครอื่ งมือ ฉบบั ท่ี ค๑ เครอื่ งมอื ประเมินพฤติกรรมที่ยดึ มน่ั ในเคร่อื งมอื ฉบบั นจี้ ะมที ้งั ทเี่ ป็น
ประเมินพฤติกรรม ฉบบั ที่ ค๒
ทยี่ ดึ ม่ันความซอื่ สัตย์ ความซื่อสตั ย์สจุ ริตของเดก็ และเยาวชน เครอ่ื งมอื ประเมินท่ีเป็นเชงิ ปริมาณและ
สจุ รติ ของเดก็ และ
เยาวชนในระดับ ในระดับประถมศกึ ษาตอนปลาย : เชิงคุณภาพ
ประถมศึกษา
ตอนปลาย ประเมินตนเอง

เครอ่ื งมอื ประเมนิ พฤติกรรมที่ยดึ มน่ั เครอ่ื งมือมีลกั ษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซื่อสัตยส์ จุ รติ ของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดบั ประถมศึกษาตอนปลาย :

ครูผสู้ อนประเมนิ

ฉบบั ที่ ค๓ เครื่องมอื ประเมินพฤติกรรมที่ยดึ มนั่ เครื่องมอื มลี กั ษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดบั ประถมศึกษาตอนปลาย :

เพ่อื นประเมิน

ฉบับที่ ค๔ เครื่องมือประเมินพฤติกรรมที่ยดึ มนั่ เครอ่ื งมอื มีลักษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ ของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดบั ประถมศกึ ษาตอนปลาย :

ผูป้ กครองประเมนิ

ชุด ง : เครอ่ื งมอื ฉบบั ที่ ง๑ เครื่องมอื ประเมนิ พฤตกิ รรมทีย่ ดึ มน่ั ในเครอ่ื งมือฉบบั น้จี ะมีท้ังท่เี ครอื่ งมอื
ประเมินพฤติกรรมท่ี ฉบับที่ ง๒
ยึดม่ันความซอ่ื สัตย์ ความซอ่ื สัตย์สุจรติ ของเด็กและเยาวชน ประเมินทเ่ี ปน็ เชิงปรมิ าณและ
สจุ รติ ของเดก็ และ
เยาวชนในระดบั ในระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ : ประเมิน เชิงคณุ ภาพ

ตนเอง

เครอ่ื งมอื ประเมนิ พฤตกิ รรมท่ียดึ มน่ั เครอื่ งมือมีลกั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดม่นั ความซอื่ สตั ยส์ จุ ริต ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและข้อเสนอแนะ | ๓ - ๘

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดมนั่ ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

ชดุ เครอื่ งมอื ฉบับท่ี เคร่ืองมอื หมายเหตุ
มัธยมศึกษาตอนต้น
ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ ของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น : ครผู ู้สอน

ประเมิน

ฉบับที่ ง๓ เครอื่ งมือประเมนิ พฤติกรรมท่ียดึ มนั่ เครอ่ื งมือมลี กั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซ่ือสัตยส์ ุจริตของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น : เพื่อน

ประเมนิ

ฉบบั ท่ี ง๔ เครอื่ งมือประเมนิ พฤตกิ รรมทย่ี ดึ มน่ั เคร่ืองมือมลี กั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซื่อสตั ย์สจุ ริตของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ :

ผปู้ กครองประเมิน

ชดุ จ : เครอ่ื งมอื ฉบบั ที่ จ๑ เครอื่ งมอื ประเมนิ พฤติกรรมที่ยดึ มน่ั ในเครือ่ งมือฉบบั นี้จะมีทง้ั ทเ่ี ป็น
ประเมินพฤติกรรม
ทยี่ ึดม่นั ความซอ่ื สัตย์ ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ ของเด็กและเยาวชน เครื่องมือประเมินท่ีเป็นเชิงปริมาณและ
สจุ รติ ของเดก็ และ
เยาวชนในระดับ ฉบับท่ี จ๒ ในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย : เชงิ คณุ ภาพ
มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
ประเมินตนเอง
ฉบับท่ี จ๓
เครื่องมือประเมินพฤติกรรมทย่ี ดึ มน่ั เครื่องมอื มีลกั ษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซือ่ สัตย์สจุ ริตของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย :

ครผู สู้ อนประเมนิ

เครอื่ งมือประเมนิ พฤตกิ รรมที่ยดึ มนั่ เครื่องมอื มลี กั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซื่อสัตยส์ จุ ริตของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย : เพ่อื น

ประเมิน

ฉบับท่ี จ๔ เคร่ืองมอื ประเมินพฤตกิ รรมที่ยดึ มนั่ เครอื่ งมอื มีลกั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซอ่ื สตั ยส์ จุ ริตของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย :

ผู้ปกครองประเมนิ

ชุดท่ี ฉ : เคร่ืองมอื ฉบบั ที่ ฉ๑ เคร่ืองมือประเมนิ พฤตกิ รรมท่ยี ดึ มนั่ ในเคร่ืองมอื ฉบับนจ้ี ะมีทั้งท่ีเคร่ืองมือ
ประเมินพฤตกิ รรม ฉบบั ที่ ฉ๒
ท่ียดึ มั่นความซอ่ื สตั ย์ ความซ่ือสัตย์สุจรติ ของเด็กและเยาวชน ประเมินเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพ
สุจรติ ของเดก็ และ
เยาวชนในระดับ ในระดบั อดุ มศกึ ษาปีที่ ๑-๒ :
อดุ มศกึ ษาปีที่ ๑-๒
ประเมนิ ตนเอง

เครอ่ื งมือประเมินพฤตกิ รรมทย่ี ดึ มน่ั เครือ่ งมือมลี กั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบ

ความซื่อสัตย์สุจริตของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดับอุดมศึกษาปีท่ี ๑-๒ :

ครูผสู้ อนประเมนิ

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซือ่ สัตย์สุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | ๓ - ๙

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ ม่นั ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

ชดุ เคร่ืองมือ ฉบบั ที่ เครือ่ งมือ หมายเหตุ
ฉบับท่ี ฉ๓
เครอ่ื งมือประเมนิ พฤตกิ รรมทย่ี ดึ มนั่ เครื่องมอื มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซ่อื สตั ยส์ ุจรติ ของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดับอุดมศกึ ษาปที ่ี ๑-๒ :

เพื่อนประเมิน

ฉบับที่ ฉ๔ เครอ่ื งมือประเมนิ พฤตกิ รรมท่ียดึ มน่ั เครอื่ งมอื มลี กั ษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซื่อสัตยส์ จุ ริตของเด็กและเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดบั อดุ มศกึ ษาปที ี่๑-๒ :

ผู้ปกครองประเมิน

ชดุ ที่ ช : เคร่ืองมอื ฉบับท่ี ช๑ เครื่องมอื ประเมนิ พฤตกิ รรมทย่ี ดึ มน่ั ในเครือ่ งมอื ฉบับน้จี ะมีทั้งทเ่ี ครือ่ งมือ
ประเมนิ พฤติกรรม ฉบบั ท่ี ช๒
ที่ยึดม่นั ความซ่อื สตั ย์ ความซ่ือสตั ย์สุจริตของเด็กและเยาวชน ประเมินทเี่ ปน็ เชิงปรมิ าณและ
สจุ รติ ของเด็กและ
เยาวชนในระดับ ในระดับอดุ มศกึ ษาปที ี่ ๓-๔ : เชงิ คณุ ภาพ
อุดมศึกษาปีที่ ๓-๔
ประเมนิ ตนเอง

เคร่ืองมอื ประเมินพฤตกิ รรมทย่ี ดึ มน่ั เครื่องมือมลี ักษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซอ่ื สัตยส์ ุจริตของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดับอดุ มศกึ ษาปที ่ี ๓-๔ :

ครผู สู้ อนประเมนิ

ฉบับท่ี ช๓ เคร่อื งมอื ประเมินพฤตกิ รรมทย่ี ดึ มนั่ เครื่องมือมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซือ่ สตั ยส์ จุ รติ ของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณค่า

ในระดับอดุ มศึกษาปีท่ี ๓-๔ :

เพื่อนประเมนิ

ฉบับท่ี ช๔ เครื่องมอื ประเมินพฤตกิ รรมที่ยดึ มน่ั เครื่องมือมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบ

ความซ่ือสัตย์สุจริตของเดก็ และเยาวชน รายการและมาตรประมาณคา่

ในระดับอุดมศกึ ษาปีที่ ๓-๔ :

ผู้ปกครองประเมนิ

๓.๒ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ ฐานการจาลองสถานการณ์ ซึ่งเป็นการ
จาลองเชงิ สถานการณ์ในลักษณะการสงั เกตพฤติกรรมที่แสดงออกของเดก็ และเยาวชนไทยในทุกกลุ่มเป้าหมาย
การศกึ ษาวจิ ัยในคร้งั น้ี แบง่ ออกเป็น ๓ ลกั ษณะ เพอื่ ให้สอดคล้องกับกล่มุ เป้าหมายทง้ั ๗ ชว่ งช้นั

๓.๒.๑ ฐานจาลองแรก เรียกว่า Kid’s คิด สาหรับเด็กปฐมวัยที่อาจจะยังไม่มีความสามารถ
ในการใช้เครื่องมือดังกล่าวด้วยตนเอง ดังน้ัน การออกแบบฐานจาลองสาหรับเด็กปฐมวัย เพื่อที่จะให้ได้ข้อมูล
ทส่ี ะท้อนให้เหน็ ได้ว่า เดก็ ปฐมวัยมีความคิด มุมมองอย่างไรที่สามารถสะท้อนให้เห็นวา่ เดก็ ในวันนม้ี ีความยึดม่ัน
ความซื่อสตั ย์สจุ รติ โดยการทาเป็นเร่อื งเลา่ ที่ผคู้ วบคุมการทดสอบจะเป็นผเู้ ล่าใหเ้ ด็กฟงั เมอ่ื เล่าเสร็จผู้ควบคุม
การทดสอบจะตั้งคาถามกับเด็กวา่ หากนกั เรียนเปน็ ตัวละครในเรือ่ งเล่านัน้ จะทาอยา่ งไร

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดม่นั ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | ๓ - ๑๐

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ มน่ั ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

ชื่อเครื่องมอื ฐาน รายละเอยี ดฐานจาลอง ช่วงชั้นกลมุ่ เป้าหมาย
จาลอง
การทดสอบเป็นผู้เลา่ หรอื เป็นภาพการต์ นู ปฐมวยั
Kid’s คดิ

เคล่ือนไหว ผู้ควบคุมการทดสอบจะเป็นผเู้ ปิด VDO

นี้ ใหเ้ ด็กดู เม่ือเดก็ ดจู บ ผคู้ วบคุมการทดสอบ จะ

ต้งั คาถามกับเด็กว่า หากหนูเปน็ ตัวละครในเร่ืองเล่า

หนจู ะทาอย่างไร

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดมัน่ ความซือ่ สัตย์สุจรติ ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | ๓ - ๑๑

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ดึ มั่นความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

๓.๒.๒ ฐานจาลองที่สอง เรียกว่า Kid’s Cast สาหรับเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑-๖
และมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ ซ่ึงเด็กวัยนี้เร่ิมท่ีจะเรียนรู้ความเป็นนามธรรมและเริ่มฉายภาพสิ่งท่ีตนเองรับรู้ได้ว่าสิ่ง
นั้นเป็นอย่างไร มีความเหมาะสม หรือไม่เหมาะสมอย่างไร การสังเกตพฤติกรรมสาหรับเด็กกลุ่มนี้ คณะผู้วิจัย
จะทาเป็นบทสนทนาระหว่างระบบการต้ังคาถามอัตโนมัติ (Bot) กับเด็ก การตอบคาถามของเด็ก มีลักษณะ
เป็นปลายเปิดทเี่ ด็กสามารถตอบตามทเ่ี ด็กคดิ เดก็ รบั รู้ ซ่ึงคณะผู้วิจัยจะได้รวบรวมคาตอบดังกล่าวมาวิเคราะห์
เนอ้ื หาและสร้าง Content ตอ่ ไป

ชื่อเครื่องมือฐานจาลอง รายละเอยี ดฐานจาลอง ช่วงช้นั กล่มุ เป้าหมาย
Kid’s Cast เป็นบทสนทนาระหวา่ งระบบการตั้งคาถามอตั โนมตั ิ (Bot) ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑-๓
กบั เด็ก การตอบคาถามของเด็กมลี ักษณะเปน็ ปลายเปดิ ท่ี ประถมศึกษาปที ี่ ๔-๖
เด็กสามารถตอบตามทเ่ี ด็กคดิ เดก็ รบั รู้ ซ่ึงคณะผู้วจิ ยั จะได้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑-๓
รวบรวมคาตอบดังกล่าวมาวเิ คราะห์เนอ้ื หา และสร้าง
Content ตอ่ ไป

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มัน่ ความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและข้อเสนอแนะ | ๓ - ๑๒

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ มัน่ ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

๓.๒.๓ ฐานจาลองท่ีสาม เรียกว่า Youth’s Voice สาหรับเด็กและเยาวชนท่ีเป็นนักเรียน
ตั้งแต่ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ จนถึงนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา เพ่ือให้เด็กและเยาวชนในฐานะท่ีเป็นอนาคต
ของชาติได้สะท้อนมุมมอง เจตคติเก่ียวกับสถานการณ์การไม่ซื่อสัตย์สุจริตท่ีเกิดขึ้นในระบบสังคมไทย ใน
ปัจจุบันว่ามีความรุนแรงแค่ไหนอย่างไร และที่สาคัญให้กลุ่มท่ีจะเป็นกาลังและอนาคตของประเทศชาติได้
สะท้อนภาพในอนาคตของประเทศไทยว่า เขาอยากเหน็ คนในสังคมไทยมพี ฤติกรรมท่ียดึ มั่นความซือ่ สัตย์สุจริต
อย่างไร จึงจะทาให้ประเทศไทยมีความเป็นศิวิไลซ์อย่างนานาอารยประเทศท่ีพัฒนาแล้วทั้งหลาย ฐานจาลอง
เชงิ สถานการณ์น้ี เปรียบเสมือนพ้ืนที่ท่ีให้เด็กได้แสดงออกทางความคิด เจตคติ อย่างเสรี ไม่มีการปิดกั้น ไม่
มีการเปดิ เผยตวั ตนของเจ้าของตวามคดิ เพ่ือใหค้ นเหลา่ นี้ได้มสี ่วนในการกาหนดอนาคตของประเทศไทย

ช่อื เคร่อื งมอื ฐานจาลอง รายละเอียดฐานจาลอง ชว่ งช้นั กลุ่มเปา้ หมาย
Youth’s Voice เวทีเปดิ โอกาสใหเ้ ยาวชนในสถานศกึ ษาไดส้ ะทอ้ นมมุ มอง มธั ยมศึกษาปที ี่ ๔-๖
เจตคตเิ กี่ยวกบั สถานการณก์ ารไมซ่ อื่ สัตยส์ ุจรติ ทเี่ กิดขึน้ ใน อุดมศกึ ษาปที ่ี ๑-๒
ระบบสงั คมไทย สะทอ้ นภาพในอนาคตของประเทศไทยวา่ อดุ มศึกษาปที ่ี ๓-๔
เขาอยากเห็นคนในสงั คมไทยมพี ฤติกรรมที่ยึดม่นั ความ
ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ ฐานจาลองเชิงสถานการณน์ ี้ เปรียบเสมอื น
พ้นื ท่ีท่ีให้เด็กได้แสดงออกทางความคิด เจตคติ อย่างเสรี
ไมม่ กี ารปดิ กนั้ ไมม่ ีการเปิดเผยตวั ตนของเจ้าของความคดิ

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดมนั่ ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | ๓ - ๑๓

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดม่ันความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

๔. กระบวนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดม่ัน
ความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต

คณะผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือประเมินพฤติกรรมที่ยึดม่ัน
ความซ่ือสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย มีข้ันตอนการดาเนินงานเพ่ือให้เครื่องมือมีความตรงเชิงเนื้อหา
(Content Validity) และความเทีย่ ง (Reliability) ดงั แผนภาพท่ี ๓-๑

๑ • กำหนดจดุ มุ่งหมำยและนยิ ำมศพั ท์ขององคป์ ระกอบพฤติกรรมท่ียึดมน่ั ควำมซ่ือสตั ย์สจุ รติ
๒ • กำรศกึ ษำภำคสนำมเพ่ือรวบรวมพฤตกิ รรมทีย่ ึดม่นั ควำมซอื่ สตั ย์สจุ รติ ของผู้เรียน
๓ • กำรจดั กลุม่ พฤติกรรมรว่ มกับครูผสู้ อน
๔ • จัดทำผังโครงสรำ้ งเครื่องมอื (Blueprint)
๕ • กำรกำหนดวิธีกำรวัดพฤตกิ รรม
๖ • กำรจดั ทำชดุ เครือ่ งมอื ประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยำวชนไทยท่ียดึ มน่ั ควำมซ่อื สตั ย์สจุ รติ
๗ • กำรตรวจสอบคุณภำพชุดเคร่ืองมอื ดำ้ นควำมตรงเชงิ เนื้อหำ (Content Validity) โดยคณะผู้เช่ียวชำญ
๘ • กำรทดลองใชเ้ ครือ่ งมอื ฉบับ Paper pencil
๙ • กำรวเิ ครำะห์และตรวจสอบคุณภำพเครือ่ งมือ

แผนภาพท่ี ๓-๑ การพัฒนาเคร่ืองมือประเมินพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซ่ือสัตยส์ จุ รติ ของเดก็ และเยาวชนไทย

๔.๑ กาหนดจดุ ม่งุ หมายและนิยามศพั ทข์ ององคป์ ระกอบพฤติกรรมที่ยดึ ม่ันความซ่อื สัตย์สจุ รติ
๔.๑.๑ กาหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างเครื่องมอื ซึ่งในทน่ี ้ีคือ เพ่ือประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและ

เยาวชนไทยที่ยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต ที่เป็นผลสัมฤทธ์ิท่ีคาดหวังจะให้เกิดขึ้นจากการใช้หลักสูตรการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster
with good heart”) ท่เี ชือ่ มโยงพฤติกรรมกบั ผลลพั ธ์การเรยี นรขู้ องทง้ั ๒ หลกั สตู รดังกลา่ ว

๔.๑.๒ การทบทวนวรรณกรรมแนวคิดทฤษฎี ตลอดจนงานวิจัยต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับความ
ซ่ือสัตย์สุจริต (Integrity) เพ่ือให้มีความเข้าใจถึงการพัฒนาพฤติกรรมของมนุษย์ (Human Behavioral
Development) ผ่านกระบวนสังคม (social force) ผ่านทฤษฎีการขัดเกลาทางสังคม (Socialization
Theory) ผ่านทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom’s Taxonomy) เข้าใจกระบวนการเรียนรู้ การจาแนกการ
เรียนรู้ และผ่านทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก (Kohlberg’s Moral Development) เพื่อให้
เข้าใจถึงลาดับขั้นและพัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงพลวัตของแรงผลักดัน
พื้นฐานของความซื่อสัตย์สุจริต ผ่านแนวคิด The Foundational Drives of Integrity ของ Barnard และ

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดมั่นความซ่ือสตั ย์สจุ ริต ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | ๓ - ๑๔

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

คณะ (๒๐๐๘) รวมถึงทาความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในคาว่า “ความซ่ือสัตย์สุจริต” ว่าคืออะไร มีความหมาย
อย่างไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง รวมถึงการนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน
การทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) มาวิเคราะห์อย่าง
ละเอียดเพื่อให้ได้รู้วา่ หลักสูตรแต่ละหลกั สูตรได้ให้ความสาคญั ในการกาหนดคณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ ทพ่ี งึ จะ
เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มอย่างไร โดยเน้นไปท่ี ๔ หมวดพฤติกรรม (Domains) ของความซื่อสัตย์
สุจริต อันได้แก่ (๑) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม (๒) ความละอาย
และความไม่ทนต่อการทุจริต (๓) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ (๔) พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อ
สังคม ดงั รายละเอียดนยิ ามเชิงปฏบิ ัติการตอ่ ไปนี้

พฤติกรรมท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน หมายถึง ระดับความรู้ เจตคติ
และทักษะเชิงปัญญา พฤติกรรมความซ่ือสัตยส์ ุจริตของเด็กและเยาวชน ตามโครงสร้างของพฤติกรรมท่ียึดม่ัน
ความซ่ือสัตย์สุจริต ๔ องค์ประกอบ ที่นิยามโดย สานักงาน ป.ป.ช. และปรับมาใช้ในการกาหนดนิยามใน
งานวจิ ยั คร้ังนี้ ดงั น้ี

การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การ
แสดงออกถึงความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
ให้ได้อย่างเด็ดขาด ไม่นามาปะปนกัน ไม่เอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นประโยชน์ส่วนตน ไม่เอาผลประโยชน์
ส่วนรวมมาทดแทนบุญคุณสว่ นตน ไมเ่ ห็นแกป่ ระโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องเหนอื กวา่ ประโยชน์สว่ นรวม กรณี
เกดิ ผลประโยชนข์ ดั กันตอ้ งยึดประโยชนส์ ่วนรวมเหนอื กวา่ ประโยชนส์ ่วนตน

ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต หมายถึง การแสดงออกถึงความรู้ เจตคติ และ
พฤติกรรมที่มีความละอายและความเกรงกลัวต่อสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เพราะเห็นถึงโทษหรือ
ผลกระทบท่ีจะได้รับจากการกระทาน้ัน จึงไม่กล้าที่จะกระทา ทาให้ตนเองไม่หลงทาในสิ่งท่ีผิด น่ันคือ มีความ
ละอายใจ ละอายต่อการทาผิด รวมท้ังการแสดงออกต่อการกระทาท่ีเกิดขึ้นกับตนเอง บุคคลท่ีเกี่ยวข้องหรื อ
สังคมในลักษณะท่ีไม่ยินยอม ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดข้ึน ความไม่ทนสามารถแสดงออกได้หลายลักษณะท้ังใน
รูปแบบของกรยิ า ทา่ ทาง หรือคาพูด

จิตพอเพียงต้านทุจริต (STRONG) หมายถึง การแสดงออกถึงความรู้ เจตคติ และ
พฤติกรรมการปรบั ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประกอบกับหลักการต่อต้านการทุจริตอ่ืน
ๆ เพ่ือสร้างฐานคิดจิตพอเพียงต่อต้านการทุจริตให้เกิดขึ้นเป็นพ้ืนฐานความคิดของปัจเจกบุคคล โดยประยุกต์
หลัก “STRONG: จิตพอเพียงต้านทุจริต” ซ่ึงคิดค้นโดย รองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒนศิริ ในปี
พ.ศ. 2560 มาเปน็ แนวทางในการพฒั นาวฒั นธรรมหนว่ ยงาน

พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง การแสดงออกถึงความรู้ เจตคติ และ
พฤติกรรมของพลเมืองที่มีคุณลักษณะท่ีสาคัญ คือ เป็นผู้ที่ยึดม่ันในหลักศีลธรรมและคุณธรรมของศาสนา มี
หลักการทางประชาธิปไตยในการดารงชีวิต ปฏิบัติตนตามกฎหมายดารงตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยมีการ
ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอันจะก่อให้เกิดการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ให้เป็นสังคมและประเทศประชาธิปไตย
อย่างแท้จรงิ

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดม่ันความซ่อื สัตยส์ จุ ริต ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | ๓ - ๑๕

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดมนั่ ความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

๔.๒ การศึกษาภาคสนามเพือ่ รวบรวมพฤตกิ รรมท่ยี ดึ ม่นั ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ ของผเู้ รยี น
การศึกษาภาคสนาม (Field Study) มีเป้าหมายศึกษาสภาพการณ์ท่ีเป็นจริงของสถานศึกษา
พร้อมทั้งสังเกตพฤติกรรมนักเรียน นักศึกษาในเบื้องต้นเพื่อดูว่า ในแต่ละตัวบ่งช้ีนักเรียน/นักศึกษาใน
สถานศึกษามีการแสดงพฤติกรรมอย่างไรที่จะบ่งบอกว่ามีคุณลักษณะน้ัน เพื่อนาไปเป็นแนวทางในการสร้าง
เคร่ืองมือทั้งที่เป็นเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ สถานศึกษาที่คณะผู้วิจัยจะลงภาคสนามในข้ันตอนนี้ ใช้เกณฑ์
การคัดเลือกให้ครอบคลุมสถานศึกษาที่สังกัด สพฐ. และ อปท. จะพิจารณาสถานศึกษาในเขตเมืองและเขต
ชนบท และให้ครอบคลุมทั้งระดับปฐมวัยถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมท้ังมหาวิทยาลัย สังกัด อว.ซ่ึงใน
การศึกษาครั้งน้ี คณะผ้วู จิ ยั จะใชส้ ถานศึกษาในจังหวัดขอนแกน่ ดงั น้ี
สถานศึกษาในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขน้ั พ้ืนฐาน (สพฐ.) ไดแ้ ก่ โรงเรียนบ้านขามป้อม โรงเรียนบ้านอ่างศิลา
โรงเรยี นหนองนาคาวิทยาคม โรงเรยี นชุมแพศกึ ษา
สถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ได้แก่ โรงเรียนพระยืนวิทยาคาร โรงเรียนพิศาลปุณณวิทยา โรงเรียน
ศรีเสมาวิทยาเสริม โรงเรียนบ้านบะแค โรงเรียนเทศบาลตาบลหนอง
แก โรงเรยี นเทศบาลบ้านสีฐาน โรงเรียนเทศบาลบ้านศรฐี าน
สถาบั นอุ ดมศึ กษาในสั งกั ด กระทรวงการอุ ดมศึ กษ า
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตั กรรม (อว.) ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
นอกจากคณะผู้วิจัยจะได้ลงภาคสนามเพื่อศึกษาสภาพการณ์
ท่ีเป็นจริงของโรงเรียนและสถานศึกษาแล้ว คณะผู้วิจัยได้มีการ
สัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการและการจัดสนทนากลุ่มครู/อาจารย์
ผู้ปกครองนักเรียน กลุ่มนักเรียน เพื่อให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับความคิด
แง่มุม รวมถึงพฤติกรรมเด็กท่ีพึงมีในการสะท้อนถึงความซ่ือสัตย์สุจริต
และความต้องการของผู้ท่ีเก่ียวข้องตามสภาพที่เป็นจริงหรือบริบทของ
สถานศึกษา
จากการศึกษาภาคสนามคณะผู้วิจัยมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ทฤษฎีและข้อมูลเชิงประจักษ์
คณะผู้วิจัยจะนาข้อมูลจากทั้ง ๒ ส่วนมาวิเคราะห์เน้ือหาและสังเคราะห์ข้อมูลเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า พฤติกรรม
บ่งช้ีท่ีพึงประสงค์ในแต่ละตัวบ่งช้ีมีอะไรบ้างตามความต้องการของผู้เกี่ยวข้อง (ซ่ึงจะต้องเป็นผู้ที่ประเมินเด็ก
และเยาวชน อันประกอบด้วย ครู ผู้ปกครอง เพ่ือน ตัวเด็กและเยาวชนท่ีต้องประเมินตนเอง) รวมทั้งมีความ
เหมาะสมกับสภาพบรบิ ทของสถานศึกษาในแต่ละประเภท การกาหนดประเภทของเครือ่ งมอื วิธกี ารวิเคราะห์
ข้อมูลและเกณฑก์ ารตดั สนิ

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มั่นความซ่ือสัตยส์ จุ รติ ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | ๓ - ๑๖


Click to View FlipBook Version