The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานสมบูรณ์เล่มการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดความซื่อสัตย์สุจริต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sn.siwaporn_kpp2, 2022-10-11 09:39:36

รายงานสมบูรณ์เล่มการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดความซื่อสัตย์สุจริต

รายงานสมบูรณ์เล่มการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดความซื่อสัตย์สุจริต

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่นั ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสังคมในปัจจุบัน ผ่านข้อคาถามบทสนทนาท่ี 2 สังคมท่ีพวกเราอยู่
อาศัยร่วมกันตอนน้ี นักเรียนคดิ วา่ สภาพเป็นอย่างไรบ้าง ? พบว่าการสะท้อนความคิด แบ่งออกเป็น 3 มุมมอง
โดยมุมมองในด้านบวกและดา้ นลบ มพี อ ๆ กนั กล่าวคอื

1) มองในดา้ นบวก มองวา่ น่าอยู่ ดมี าก เปน็ สงั คมท่ีชว่ ยเหลอื กันดี มีนา้ ใจ อบอุน่
“เปน็ สังคมทีม่ นี า้ ใจ คอยช่วยเหลอื กัน”
“ เปน็ สงั คมทดี่ ีนา่ อยู่ ทกุ คนจะช่วยเหลือกันเวลาทตี่ อ้ งการความช่วยเหลือ”
“เป็นสงั คมทน่ี ่าอยู่ สามารถดาเนินชีวิตไปได้” “อบอุ่นแบบพี่นอ้ ง”
2) มองในด้านลบ มองว่า เห็นว่าสังคมในปัจจุบัน มีคนเห็นแก่ตัว วุ่นวาย ไม่ค่อยมีน้าใจ
ไม่สามัคคีกนั นา่ กลวั นอกจากน้สี ่วนน้อยทีแ่ สดงความคดิ วา่
“บา้ นเมืองวุ่นวายมากตอนนี้” “วนุ่ วายเพราะเร่อื งการเมอื ง”
“มีความหลากหลายมากในสังคม รวมถึงมกี ารทุจริตด้วย”
“ขาดความซ่อื สัตย์ ชอบโกหก ไม่คดิ ถงึ ใจคน”
“ผ้คู นไมค่ ่อยรักสามคั คกี นั มคี นเห็นแกต่ ัวในสงั คม”

3) แบบกลาง ๆ คอื ดบี ้างไมด่ บี า้ ง คอ่ นข้างดี ปานกลาง เปน็ ต้น
“ไม่ค่อยดี มีความวุ่นวายเปน็ บ้างคร้ัง เเตก่ ็ดีเป็นบา้ งครง้ั ”
“เจอคนดีบา้ งไม่ดีแลว้ ปะปนกันไป”
“ดีในระดบั ปานกลาง สงั คมของเราชอบช่วยเหลือกัน มีน้อยมากทีจ่ ะไมท่ าความดี”

แผนภาพท่ี 4-54 การสะทอ้ นความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 ในประเดน็ สงั คมในปจั จุบัน
ในภาพรวม

เมื่อวิเคราะห์การสะท้อนความคิดเกี่ยวกับสังคมในปัจจุบัน จาแนกตามสังกัดของสถานศึกษา ได้แก่
สถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน สังกัด
กรุงเทพมหานคร และสงั กัดเมืองพัทยา พบวา่ สถานศกึ ษาสงั กัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
มองว่าสังคมปัจจุบัน ปกติดี มีบางส่วนแย่มาก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมองว่าสังคมปัจจุบัน น่าอยู่
อบอุ่น สังกัดกรงุ เทพมหานครและสังกัดเมืองพัทยา มองว่าสังคมปจั จบุ นั ปกติดี

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดม่ันความซื่อสัตยส์ ุจรติ ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 4 - ๘๑

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดม่ันความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

สถานศึกษาสังกดั สพฐ. สถานศึกษาสงั กดั อปท.

สถานศึกษาสงั กดั กทม. สถานศึกษาสงั กดั เมืองพทั ยา

แผนภาพที่ 4-55 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 ในประเด็น สังคมในปัจจุบัน
จาแนกตามสังกดั ของสถานศกึ ษา

เม่ือวิเคราะห์การสะท้อนความคิดเก่ียวกับสังคมในปัจจุบัน จาแนกตามพื้นท่ีภูมิภาคของสถานศึกษา
ได้แก่ สถานศึกษาในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า สถานศึกษาแต่ละ
ภูมภิ าค มองวา่ สังคมปัจจุบนั นา่ อยู่ ดีมาก ชว่ ยเหลือกนั

ภาคเหนอื ภาคใต้

ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ

แผนภาพท่ี 4-56 ความคิดเห็นของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 ในประเด็น สังคมในปัจจุบัน จาแนกตามพื้นที่
ภูมิภาคของสถานศกึ ษา

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดม่ันความซ่ือสตั ย์สุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๘๒

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดม่นั ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

การสะท้อนความคิดพฤติกรรมเก่ียวกับการทาเพื่อสว่ นรวม ผ่านข้อคาถามบทสนทนาท่ี 3. บ้านเมือง
เรา ประเทศชาติเราต้องเดินหน้า มาช่วยกันมองกันไหมว่า เราควรทาอะไรให้บ้านเมืองเราบ้าง พบว่า การทา
เพือ่ ส่วนรวมของกลุ่มตวั อย่าง คอื การเป็นคนดี เป็นคนดีตอ่ สังคม ตัง้ ใจเรียน ทาความดี ช่วยเหลอื กนั ช่วยเหลือ
สงั คม ซ่ือสัตยไ์ ม่ทจุ ริต ทาตวั เปน็ บุคคลทด่ี ีในสังคม สามคั คีกัน เป็นต้น

“เป็นคนดี ซื่อสัตย์ ไมเ่ ห็นแก่ตวั ไม่เอาเปรียบคนอนื่ ”
“ตั้งใจเรียนเพ่อื กลับมาพฒั นาบ้านเมอื ง ต้ังใจเรยี น ทาตวั เป็นคนดี”
“เป็นคนดีของพอ่ เเม่ บ้านเมืองสงั คม ไม่ทจุ ริต ไมร่ ังเเกคนอืน่ ต้ังใจเรียนหนงั สือ”
“เปน็ คนดี ไมท่ จุ ริตฉ้อโกง ไม่ใชส้ ารเสพตดิ ร่วมมือกนั พัฒนาประเทศชาติ”
“รักสามคั คีกนั มนี ้าใจต่อกัน”
“ปฏิบตั ิตนเป็นพลเมืองที่ดี ประหยัดอดออม ช่วยเหลอื สังคมตามกาลัง ไม่เห็นแก่ประโยช่น์สว่ นตน”
“เปน็ คนดีของสงั คม ไม่สรา้ งความเดอื ดร้อนให้กับผอู้ ่ืน”
“ไม่คดิ ทจุ ริต ซื่อสตั ย์ ไม่คดโกง”

แผนภาพท่ี 4-57 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1-3 ในประเด็น การทาเพือ่
สว่ นรวม ในภาพรวม

เม่ือวิเคราะห์ความคิดเกี่ยวกับการทาเพื่อส่วนรวม จาแนกตามสังกัดของสถานศึกษา ได้แก่
สถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สังกัด
กรุงเทพมหานคร และสังกัดเมืองพัทยา พบว่า สถานศกึ ษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
มองว่าการทาเพื่อสว่ นรวม คอื เปน็ คนดี สังกดั องคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ มองว่าการทาเพื่อส่วนรวม คอื ต้ังใจ

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่ันความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๘๓

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ มน่ั ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

เรียน ทาความดี สังกัดกรุงเทพมหานครและสังกัดเมืองพัทยามองว่าการทาเพ่ือส่วนรวม คือ ทาความดี
เป็นพลเมืองดี

สถานศกึ ษาสงั กดั สพฐ. สถานศกึ ษาสงั กดั อปท.

สถานศึกษาสงั กดั กทม. สถานศึกษาสังกัดเมืองพัทยา

แผนภาพที่ 4-58 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 ในประเด็น การทาเพ่ือ
สว่ นรวม จาแนกตามสงั กดั ของสถานศึกษา

เม่ือวิเคราะห์การสะท้อนความคิดเก่ียวกับการทาเพ่ือส่วนรวม จาแนกตามพื้นที่ภูมิภาคของ
สถานศึกษา ได้แก่ สถานศึกษาในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า
สถานศึกษาแต่ละภูมภิ าคมองการทาเพ่อื สว่ นรวมในลักษณะคลา้ ยกนั คือ เปน็ คนดี

ภาคเหนอื ภาคใต้

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซ่อื สัตย์สุจรติ ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๘๔

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดม่ันความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื

แผนภาพท่ี 4-59 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในประเด็น การทาเพ่ือ
สว่ นรวม จาแนกตามพ้นื ที่ภมู ภิ าคของสถานศึกษา

การสะท้อนความคิดในบทสนทนาช่วงขั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 ในภาพรวม พบว่าคาตอบมีความ
คล้ายคลึงกับบทสนทนาเดียวกันในช่วงชั้นก่อนหน้า คือช่วงช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 ส่วนใหญ่ตอบว่าเพ่ือน
มองตนเองว่าเป็นคนดี (มีน้าใจ) เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ตลก เฮฮา อารมณด์ ี และเป็นคนเงียบ ๆ ที่เพิ่มเติม
ของคาตอบในช่วงชั้นนี้ คือคาตอบจะมีการกระจายตัวมาก และจะมีลักษณะคาตอบของมุมมองท่ีเป็นมิติ
อารมณ์หลากหลาย เช่น มองว่า เป็นคนอารมณ์ร้อน บ้า ๆ บอ ๆ แต่รักเพื่อน ลักษณะของคาตอบ ในด้าน
ฐานคิดตอ่ สังคมในเวลานี้ (ผา่ นข้อคาถามบทสนทนาท่ี 2) นอกเหนือจากคาตอบว่าดี ท่ีดูเหมอื นจะเปน็ คาตอบ
ตามความคาดหวงั ของสังคมแล้ว พบว่าคาตอบท่เี หลือมคี วามหลากหลายสูงมาก กระจายตัวในลกั ษณะคาตอบ
ขนาดเดียวกนั ทงั้ ระนาบ ดีเยี่ยม ดีมาก ดี สงบสุข ปกติ เฉย ๆ พอใช้ แข่งขนั ไม่น่าอยู่ ไม่ดี วุน่ วาย เห็นแกต่ ัว
ถงึ แย่มาก คาตอบเหล่าน้ีสะท้อนการกระจายและความหลากหลายทางอารมณ์และความคิดของเด็กในช่วงวัย
นี้ ในบทสนทนาเก่ียวกับการทาอะไรได้บ้างเพื่อส่วนรวม พบว่า การทาเพ่ือส่วนรวมของกลุ่มตัวอย่าง คือ การ
เป็นคนดี เป็นคนดีต่อสังคม ช่วยเหลือกัน ช่วยเหลือสังคม ซ่ือสัตย์ไม่ทุจริต เคารพกฎหมาย ทาหน้าที่ของ
ตนเองให้ดี สามคั คี การทีเ่ ดก็ ส่วนใหญ่ตอบวา่ เปน็ คนดี ซ่งึ กน็ า่ สนใจว่าในความหมายของเด็ก ๆ การเปน็ คนดีมี
พฤติกรรมเปน็ อย่างไร

4.8.3 ฐานจาลอง Youth Voice
ฐานจาลองสุดท้าย Youth Voice สาหรบั ช่วงชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 ช่วงชนั้ อดุ มศกึ ษาปีท่ี 1-2 และ
ช่วงชั้นอุดมศกึ ษาปีที่ 3-4 มีบทสนทนาอยู่ใน 2 รปู แบบ โดยบทสนทนาแรกใช้เฉพาะช่วงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี
4-6 และบทสนทนาที่สองใช้ในช่วงชั้นระดับอุดมศึกษา ช่วงชั้นอุดมศึกษาปีที่ 1-2 และช่วงชั้นอุดมศึกษาปีที่
3-4 ผลการวิเคราะห์ มีรายละเอยี ดในแตล่ ะบทสนทนาแยกตามชว่ งช้ันในฐานจาลอง ดงั ต่อไปนี้

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 4 - ๘๕

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมั่นความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

4.8.3.1 ช่วงช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6
ในช่วงชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4-6 จะมีข้อคาถามในการสนทนาประกอบดว้ ย 1. หากนักเรียนได้
เป็นผู้นาประเทศและสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ นักเรียนจะเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้เป็นอย่างไร
2. นักเรียนคิดว่า ในอนาคตมีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ทุจริตคอรัปชั่นในประเทศไทยจะลดน้อยลง และ 3. ขอ
สามคา เกย่ี วกบั ความซอ่ื สตั ย์สจุ ริตในประเทศไทย
ในมุมมองการสร้างการเปล่ียนแปลงสังคม ผ่านข้อคาถามบทสนทนาข้อ 1 เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
สังคมไทย พบว่า การสะท้อนความคิด คอื พฒั นาประเทศให้ดีขึ้น โดยต้องไม่ทุจริต สามคั คีกนั สร้างความเท่า
เทียมกันสรา้ งผูน้ าทีด่ ี เป็นแบบอยา่ งทดี่ ี ในขณะเดียวกัน ต้องพฒั นาเรื่องการศึกษา เปลี่ยนแปลงระบบการศกึ ษา
เป็นตน้
“ให้ความรู้และฝึกให้คนเป็นคนดีไม่ทุจริต” “จะปลูกฝังให้เด็กไม่ทุจริตแม้ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ ก็ตาม
และจดั กจิ กรรมตอ่ ต้านทุจริต”
“เร่ิมจากตัวเองก่อน คือ จะไม่ทุจริตให้คนในประเทศเช่ือใจเเละเห็นเราเป็นเเบบอย่าง ต่อมาก็เลือก
คนที่ถนัดในด้านไหนกใ็ ห้บริหารด้านนั้น ไม่ใช่นาใครมาเป็นผ้นู าก็ได้”
“เปล่ียนค่านิยมของสังคมไทยในเร่ืองการศึกษา ให้เลิกมองคนท่ีเกรดเฉลี่ย เลิกเอาตัวเลขมาวัดค่า
ของคน เพราะคนทุกคนมีความถนดั ไมเ่ หมือนกัน”
“อยากจะเปล่ยี นให้สงั คมไทยคนจนกับคนรวยมคี วามเสมอภาคกัน ไม่แบง่ ชนชน้ั กนั ”

แผนภาพที่ 4-60 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในประเด็น การสร้างการ
เปลยี่ นแปลงสงั คมในภาพรวม

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่ันความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๘๖

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ดึ ม่นั ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

เม่ือวิเคราะห์การสะท้อนความคิดเก่ียวกับการสร้างการเปล่ียนแปลงสังคม จาแนกตามสังกัดของ
สถานศึกษา ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดองค์กรปกครองส่วน
ท้องถ่ิน สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดเมืองพัทยา พบว่า สถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน มองว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม คือ ไม่ทุจริต สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน
มองว่าการสร้าง การเปลี่ยนแปลงสังคม คือ การพัฒนา ไม่คอร์รัปชัน สังกัดกรุงเทพมหานครและสังกัดเมือง
พัทยา มองว่า การสรา้ งการเปล่ียนแปลงสงั คม คอื ปรับระบบการศกึ ษา

สพฐ อปท.

กทม. เมอื งพัทยา
แผนภาพที่ 4-61 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเด็น การสร้างการ
เปลี่ยนแปลงสังคม จาแนกตามสงั กัดของสถานศึกษา

เมื่อวิเคราะห์การสะท้อนความคิดเก่ียวกับการสร้างการเปล่ียนแปลงสังคม จาแนกตามพื้นท่ีภูมิภาค
ของสถานศึกษา ได้แก่ สถานศึกษาในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า
สถานศกึ ษาแต่ละภมู ภิ าคมองวา่ คอื การไมท่ ุจริต ไม่คดโกง

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 4 - ๘๗

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยึดม่นั ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

ภาคเหนือ ภาคใต้

ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ

แผนภาพท่ี 4-62 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเด็น การสร้างการ
เปลีย่ นแปลงสังคมจาแนกตามพ้ืนท่ภี ูมภิ าคของสถานศึกษา

การสะท้อนมุมมองเรื่องปัญหาทุจริต ผ่านข้อคาถามบทสนทนาข้อ 2 เกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ในการ
แกไ้ ขปัญหาทุจรติ ในประเทศไทย พบวา่ โดยส่วนใหญม่ องวา่

1) การแก้ไขปัญหาทุจริตในประเทศไทย มีความเป็นไปได้ หากทุกคนร่วมมือกัน ถ้ามีผู้นาดี
สรา้ งจติ สานึกใหป้ ระชาชน เห็นแกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวมมากขน้ึ มีกฎหมายท่ีเข้มงวด

“เปน็ ไปได้ ถ้าไดร้ ับการปลูกฝงั ให้เป็นคนซ่ือสัตยส์ ุจริต เป็นไปได้ ถ้าทุกคนรว่ มมือกนั ”
“มคี วามเปน็ ไปได้ หากทุกคนเห็นความสาคญั ในการทาสง่ิ ท่ีสจุ ริต ถกู ต้องตามหลกั ศีลธรรม”
“เป็นไปได้ ถ้าสามารถตรวจสอบการทางานของหน่วยงานน้ัน ๆ ได้ มีบทลงโทษต่อผู้กระทาผิด
อยา่ งเหมาะสม”

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซ่ือสัตยส์ จุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 4 - ๘๘

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มนั่ ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

“มคี วามเป็นไปได้ ถา้ การตรวจสอบของฝา่ ยต่าง ๆ มีความยตุ ิธรรม”
“เป็นไปได้ ถา้ กฎหมายมีความสาคญั มากพอ”
“เปน็ ไปได้ ถา้ ทุกคนมีจติ สานึกทดี่ ี”
2) นอกจากน้ี มีบางส่วนมองว่าการแก้ไขปัญหาทุจริตในประเทศไทยเป็นเร่ืองที่เป็นไปไม่ได้
หรือเปน็ ไปได้น้อย เพราะปัจจุบนั ยังมีการทุจริต แล้วกฎหมายมีบทลงโทษท่ีไม่เด็ดขาด ไม่มีการตรวจสอบที่ดพี อ
การมีผู้นาที่ไม่โปร่งใส ถ้าผู้ใหญ่ในสังคมไม่มีความคิดจะลดจะงดการทุจริต ก็ค่อนข้างยากท่ีการทุจริต
คอรร์ ัปชนั จะลดลง
“เป็นไปไมไ่ ด้ เพราะส่วนมากคนเราเห็นตวั เองเปน็ หลัก อะไรท่ไี ด้ประโยชน์กจ็ ะทา”
“ไม่ไดแ้ นน่ อน ประเทศไทยทุจรติ กนั เป็นธรรมเนยี ม”
“ไม่มีทางเปน็ ไปได้ เพราะทุกวันนี้นักการเมืองยังโกงอยเู่ ลย”
“ไม่นา่ จะเป็นไปได้เลย ขนาดเร่ืองเล็กน้อยยังทจุ ริตกัน”
“มีความเป็นไปได้ค่อนข้างยากมาก เพราะปัจจุบัน การทุจริตคอร์รัปชันมีให้เห็นเหมือนเป็น
เรื่องปกติ”
“เป็นไปไดย้ าก ถ้าหากยงั มผี ู้นาท่ไี มม่ ีประสิทธิภาพมากพอในการบริหารประเทศให้ไปในทาง
ทด่ี ขี ึ้นได”้

แผนภาพท่ี 4-63 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเด็น การแก้ไขปัญหา
ทจุ ริตในประเทศไทย ในภาพรวม

เมอ่ื วเิ คราะห์การสะทอ้ นความคิดเกีย่ วกับการแกไ้ ขปัญหาทจุ รติ ในประเทศไทย จาแนกตามสงั กดั ของ
สถานศึกษา ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน สังกัดองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถ่ิน สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดเมืองพัทยา พบว่า คิดเห็นเก่ียวกับการแก้ไขปัญหาทุจริตใน
ประเทศไทยเหมอื นกนั คอื เปน็ ไปได้

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดมน่ั ความซ่ือสัตยส์ ุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 4 - ๘๙

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ มั่นความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

สพฐ. อปท.

กทม. เมืองพทั ยา
แผนภาพท่ี 4-64 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 ในประเด็น การแก้ไขปัญหา
ทุจริตในประเทศไทย จาแนกตามสังกดั ของสถานศึกษา

เมื่อวิเคราะห์การสะท้อนความคิดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทุจริตในประเทศไทย จาแนกตามพื้นท่ี
ภูมภิ าคของสถานศึกษา ไดแ้ ก่ สถานศึกษาในภาคเหนอื ภาคใต้ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า
คิดเห็นเก่ยี วกับการแก้ไขปัญหาทจุ รติ ในประเทศไทยเหมือนกนั คือ เปน็ ไปได้

ภาคเหนือ ภาคใต้

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ ม่ันความซื่อสตั ยส์ ุจรติ ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 4 - ๙๐

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มนั่ ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แผนภาพที่ 5-65 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในประเด็น การแก้ไขปัญหา
ทจุ รติ ในประเทศไทย จาแนกตามพื้นทภ่ี ูมิภาคของสถานศึกษา

ขอสามคากบั ความซอ่ื สัตย์สุจรติ ในข้อคาถามบทสนทนาขอ้ 3 พบวา่ มีการสะท้อนความคิดไป 2
ประเด็นคือ

1) มีความเปน็ ไปได้ ปัจจบุ นั มีอยูแ่ ลว้ 2) ความซ่ือสตั ย์สุจรติ ในสงั คมไทยมนี ้อย
“ไม่มีจรงิ ” “มนี ้อยมาก” “ไม่เคยม”ี “ไมน่ า่ เช่ือ” “มีอยูน่ ้อย” “หาไม่เจอ” ไม่โกงกนิ
“ไม่คดโกง” “จาเป็นยงิ่ ” “มีความหวงั ” “จงทาดี” “ตรวจสอบได้” “เยีย่ มจริงจรงิ ” “เราทาได้”

แผนภาพท่ี 4-66 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเดก็ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4-6 ในประเด็น ขอสามคากบั ความ
ซ่ือสัตยส์ จุ รติ ในภาพรวม

เมื่อวิเคราะห์การสะท้อนความคิดเกี่ยวกับขอสามคากับความซ่ือสัตย์สุจริต จาแนกตามสังกัดของ
สถานศึกษา ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน สังกัดองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น สังกดั กรุงเทพมหานคร และสังกัดเมืองพัทยา พบว่า ขอสามคากับความซ่อื สตั ย์สุจรติ ไม่คดโกง ไมม่ ีเลย
มนี ้อยมาก

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซื่อสตั ย์สุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๙๑

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดม่ันความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

สพฐ. อปท.

กทม. เมอื งพทั ยา
แผนภาพท่ี 4-67 ความคิดเห็นของเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในประเด็น ขอสามคากับความซื่อสัตย์สุจริต
จาแนกตามสังกัดของสถานศกึ ษา

เม่ือวิเคราะห์การสะท้อนความคิดเกี่ยวกับขอสามคากับความซ่ือสัตย์สุจริต จาแนกตามพ้ืนท่ีภูมิภาค
ของสถานศึกษา ได้แก่ สถานศึกษาในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ขอ
สามคากบั ความซ่ือสตั ยส์ ุจรติ ของสถานศกึ ษาแต่ละภมู ิภาค คือ ไมค่ ดโกง

ภาคเหนอื ภาคใต้

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่ันความซื่อสตั ย์สุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๙๒

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดม่นั ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื

แผนภาพท่ี 4-68 การสะท้อนความคดิ พฤคิกรรมของเด็กมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4-6 ในประเด็น ขอสามคากบั ความ
ซ่อื สตั ยส์ จุ ริตจาแนกตามพน้ื ท่ภี มู ิภาคของสถานศึกษา

ฐานจาลอง Youth Voice ช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายบทสนทนาชักชวนให้เยาวชนมองถึงการ
เปลี่ยนแปลงสังคม และความคาดหวังต่ออนาคตเก่ียวกับความซื่อสัตย์ในประเทศไทย คาตอบในบทสนทนาน้ี
พบว่า เยาวชนส่วนใหญ่อยากเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีข้ึน โดยมองด้านการเปล่ียนแปลงค่านิยม แนวคิดด้าน
ความเสมอภาค ในสังคมมากที่สุด และอยากให้ลดความเหลื่อมล้าทางสังคม ลดการคดโกงไม่มีคอรัปชั่น เป็น
ประชาธิปไตย เพ่ิมการรับฟังความเห็นประชาขน และมีเศรษฐกิจการศึกษาที่ดี ในข้อสนทนาเกี่ยวกับความ
เป็นไปได้ในการลดลงของปัญหาทุจริตคอรัปช้ันในประเทศไทย คร่ึงหน่ึงมองว่าเป็นไปได้ แต่อีกครึ่งหนึ่งก็มอง
ว่าเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามในกลุ่มท่ีมองว่าเป็นไปได้ก็มีอยู่เป็นจานวนมากที่ระบุว่าเป็นไปได้แต่ยาก ใน
ประเด็นบทสนทนาการสะท้อนอารมณ์เกี่ยวกับความซ่ือสัตย์สุจริตของคนในสังคม (ผ่านบทสนทนา
ขอสามคา..) พบว่า ส่วนใหญ่มองว่าความซ่ือสัตย์สุจริตยังไม่ค่อยมีหรือมีอยู่น้อยมาก ต้องมีการปรับปรุง
ในขณะทบี่ างส่วนมีมุมมองท่ีน่าสนใจว่าความซือ่ สตั ย์สุจริตไม่มอี ยจู่ ริง ในการตอบการสนธนาเยาวชนส่วนใหญ่
ตอบในลักษณะ sarcastic หรือประชดประชัน อาทิ ไม่คดโกง มีน้อยมาก ไม่มีเลย สุดยอดครับ แทบไม่มี เป็น
ต้น

4.8.3.2 ชว่ งช้นั อุดมศกึ ษาปีท่ี 1-2
ฐานจาลอง Youth Voice สาหรับช่วงช้ันอุดมศึกษาปีท่ี 1-2 จะมีข้อคาถามในการสนทนา
3 ข้อประกอบด้วย 1. มีคนขี้โกงในเมืองไทยเราเยอะหรือไม่ เห็นได้จากอะไร 2. ถ้าจะทาไม่ใหม้ ีการขี้โกงจะทา
อย่างไร และข้อ 3. ตัวเราเองจะทาอยา่ งไรถ้าเจอคนข้ีโกง ผลการวเิ คราะห์แยกเป็นรายข้อคาถามในการสนทนา

ดงั ต่อไปน้ี
ให้ข้อคาถามในการสนทนาที่ 1 เก่ียวกับการทุจริตในประเทศไทย ผ่านคาถามที่ว่า มีคนขี้โกงใน

เมืองไทยเราเยอะหรือไม่ เห็นได้จากอะไร ? พบว่ากลุ่มตัวอย่างสะท้อนความคิดไปในแนวทางเดียวกันคือ มี
การทจุ รติ เยอะ เห็นไดจ้ าก ขา่ วหรอื คดีจากสอ่ื จากเศรษฐกจิ ไทยในปัจจบุ นั จากประสบการณท์ พี่ บเห็นเอง

“เยอะ ดูจากงบประมาณกบั คณุ ภาพงานที่ไมเ่ หมาะสมกนั ”
“เยอะ จะเห็นไดจ้ ากการปกครองในรปู แบบของคนท่ีมีอานาจมโี อกาสมากกวา่ คนด้อยโอกาส”

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซอ่ื สตั ย์สุจริต ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๙๓

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

“เยอะ เหน็ ได้จากสถานการณ์ในปจั จบุ ัน”
“เยอะ จากสภาพปัญหาสงั คม เศรษฐกจิ ความเป็นอยขู่ องประชาชน ทีแ่ ยล่ ง ลาบากมากขึน้ ”

แผนภาพที่ 4-69 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเยาวชนอุดมศึกษาปีที่ 1-2 ในประเด็น มีคนข้ีโกงใน
เมืองไทยเราเยอะหรือไม่

ให้ข้อคาถามในการสนทนาท่ี 2 เกี่ยวกับการทุจริตในประเทศไทย ผ่านคาถามที่ว่า ถ้าไม่ให้มีการขี้
โกงจะทาอย่างไร ? พบว่า กลุ่มตัวอย่างสะท้อนความคิดคือ 1) ปลูกฝังจิตสานึก 2) การมีกฎหมายท่ีชัดเจน
เด็ดขาด การให้การศึกษาเพื่อพัฒนาปลูกฝังจิตสานึกที่ดี มีคุณธรรม มีความซ่ือสัตย์ 3) การกระจายอานาจ
การปกครอง 4) การทาให้เหน็ วา่ คนโกงเปน็ ปัญหาสาคญั ควรไดร้ บั การลงโทษ

“ต้องมกี ารปลกู ฝังจติ สานึกทด่ี ีต้ังแต่บุคคลผู้น้ันยังเปน็ เด็ก ฝกึ ให้เค้าละอายเกรงกลวั ต่อการทจุ ริตข้ีโกง”
“ต้องมีการปลูกฝังจิตสานึกท่ีดีต้ังแต่บุคคลผู้นั้นยังเป็นเด็ก ฝึกให้เค้าละอายเกรงกลัวต่อการทุจริต
ขโ้ี กงตา่ ง ๆ และปลกู ฝงั จิตสานกึ ที่ดีใหแ้ กเ่ ขา”
“รณรงคต์ อ่ ต้านการโกง ปรบั บทกฎหมายให้เด็ดขาดกวา่ น้ี”
“ปลูกฝังจิตสานกึ ต้องบังคับใช้กฎหมายและบทลงโทษท่ีจริงจงั และเข้มงวด เสมอหนา้ ”
“ผูน้ าเปน็ แบบอยา่ งท่ดี ี และกฎหมายตอ้ งจริงจงั มากกว่านี้”

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซือ่ สตั ย์สจุ ริต ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 4 - ๙๔

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดมัน่ ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

แผนภาพที่ 4-70 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเยาวชนอดุ มศึกษาปีท่ี 1-2 ในประเด็น ถ้าไม่ให้มีการข้ี
โกงจะทาอยา่ งไร

การสะท้อนความคิดเก่ียวกบั การทุจริตในประเทศไทย ผ่านขอ้ คาถามในบทสนทนา 3 ท่ีว่า ตัวเราเอง
จะทาอย่างไรถ้าเจอคนขี้โกง ? พบว่า กลุ่มตัวอย่างสะท้อนความคิด คือ 1) แจ้งเจ้าหน้าที่ หรือ สานักงาน
ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ 2) ตกั เตอื น

“หากเป็นเรื่องที่เราสามารถตักเตือนได้หรือห้ามได้ ก็จะชี้แจงเหตุผล เแจ้งผลเสียท่ีตามมา
หากเกินกาลังทจี่ ะตกั เตือนจะแจง้ ไปยัง สานักงาน ป.ป.ช.”

“ตกั เตอื น หรอื รอ้ งเรียนหนว่ ยงานท่ีเกี่ยวข้อง”

แผนภาพที่ 4-71 การสะทอ้ นความคิดพฤติกรรมของเยาวชนอุดมศึกษาปีท่ี 1-2 ในประเดน็ ถา้ ไมใ่ ห้มีการข้ี
โกงจะทาอย่างไร

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมนั่ ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๙๕

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ มนั่ ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณในภาพรวมของฐานจาลอง Youth Voice ช่วงชั้นอุดมศึกษาปีท่ี
1-2 พบว่า ส่วนใหญ่มองว่าประเทศไทยมีการทุจริตคอรัปช่ันอยู่มาก เห็นได้จาก ข่าวหรือคดีจากสื่อ จาก
เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ผลงานที่เป็นอยู่ และจากประสบการณ์ที่พบเห็นเอง วิธีแก้ไขส่วนใหญ่ยัง มองเร่ือง
การใช้กฎหมายเป็นหลัก การจัดการอย่างเด็ดขาด กับนักการเมืองและข้าราชการ จัดการกับคนโกง และการ
ปลูกฝังจิตสานึกที่ดี เม่ือวิเคราะห์ถึงบทสนทนาท่ีจะต้องทาอย่างไรถ้าเยาวชนเจอกับการทุจริตคอรัปช่ัน
เยาวชนที่ตกเป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ แจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบ นาไปร้องเรียน ทาเท่าเราทาได้ และมี
มุมมองอยู่มากพอสมควรเหมือนกันที่มองว่า ต้องดูก่อนว่ามันจะนามาซึ่งความเดือดร้อนหรือไม่ หนีออกมา
หลีกเล่ียงหรือ อยู่เฉย ๆ ไปเลยทาอะไรไม่ได้ คาตอบเหล่านี้ก็สะท้อนเช่นกันว่า เยาวชนส่วนใหญ่มองการ
จดั การกับปัญหาไปที่หนว่ ยงาน แตไ่ มไ่ ด้มองทตี่ นเอง ว่าจะมีสว่ นทาอยา่ งไรกบั ปญั หาเหล่าน้ี

4.8.3.3 ช่วงช้นั อดุ มศึกษาปที ่ี 3-4
ฐานจาลอง Youth Voice สาหรบั ช่วงช้ันอุดมศึกษาปีท่ี 3-4 จะมขี ้อคาถามในการสนทนา 3
ขอ้ ชดุ เดยี วกนั กับ ฐานจาลอง Youth Voice สาหรบั ช่วงช้ันอุดมศึกษาปีท่ี 1-2 ประกอบด้วย 1. มคี นขี้โกงใน
เมืองไทยเราเยอะหรือไม่ เห็นได้จากอะไร 2. ถ้าจะทาไม่ให้มีการขี้โกงจะทาอย่างไร และข้อ 3. ตัวเราเองจะทา
อย่างไรถ้าเจอคนขโี้ กง ผลการวเิ คราะห์แยกเป็นรายข้อคาถามในการสนทนา ปรากฏผลว่า
การสะทอ้ นความคดิ ผ่านขอ้ คาถามบทสนทนาท่ี 1 ทว่ี ่า มคี นข้ีโกงในเมืองไทยเราเยอะหรอื ไม่ เหน็ ได้
จากอะไร ? พบว่ากลุ่มตัวอย่างแสดงความคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกันกับฐานจาลอง Youth Voice สาหรับ
ช่วงช้ันอุดมศึกษาปีที่ 1-2 คือ มีการทุจริตเยอะ เห็นได้จาก ข่าวหรือคดีจากสื่อ จากเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
จากประสบการณ์ทีพ่ บเหน็ เอง
“เยอะ เห็นได้จากงบประมาณไม่ไดม้ ีการนาไปใช้จริง ๆ”
“เยอะมาก เหน็ ได้จากผคู้ นกลา่ วถึงบนโลกออนไลน์”
“มีคนโกงเยอะเห็นได้จาก การทางานร่วมกันมีคนต่างความคิด มีคนชิงดีชิงเด่น อยากรวยก็
จะมีการขี้โกงกันในเรื่องต่าง ๆ โกงเงิน ขโมยงาน การข้ีโกงเป็นสิ่งท่ีพบเห็นได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
ไม่วา่ จะเป็นเรือ่ งเล็กหรือใหญถ่ า้ คนเราคิดน้อยก็จะทาใหเ้ กดิ การขีโ้ กงกนั ได้”
“เยอะมาก เห็นจากโครงการท่ีจะสร้างอะไรสักอย่างแต่ของบเกิน ยังมีอุปกรณ์โครงสร้าง
ทไ่ี ม่ไดม้ าตรฐาน”

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซ่ือสตั ย์สจุ รติ ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๙๖

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

แผนภาพที่ 4-72 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเยาวชนอุดมศึกษาปีที่ 3-4 ในประเด็น มีคนข้ีโกงใน
เมืองไทยเราเยอะหรอื ไม่

ในทานองเดียวกัน ในการสะท้อนความคิดเก่ียวกับการทุจริตในประเทศไทย ผ่านคาถามท่ี 2 ว่า ถ้า
ไม่ให้มีการขี้โกง จะทาอย่างไร? พบว่า กลุ่มตัวอย่างสะท้อน คือ 1) การมีกฎหมายท่ีเด็ดขาด 2) การให้
การศึกษา เพ่ือพัฒนาปลูกฝังจิตสานึกที่ดี มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ 3) การกระจายอานาจการปกครอง 4)
การทาให้เห็นวา่ คนโกงเป็นปญั หาสาคัญควรได้รับการลงโทษ

“ปลูกฝงั จติ สานกึ ท่ดี ี มคี ุณธรรม มคี วามซื่อสัตย์”
“มีการอบรมเรื่องการทจุ ริต”
“สร้างวินยั ให้แก่เยาวชน ตง้ั แตเ่ รม่ิ ”
“แก้กฎหมายให้รา้ ยแรงขน้ึ สรา้ งจิตสานึกให้คนรุน่ ใหม่”

แผนภาพที่ 4-73 การสะทอ้ นความคิดพฤติกรรมของเยาวชนอดุ มศึกษาปีที่ 3-4 ในประเดน็ ถ้าไม่ให้มกี ารขี้
โกง จะทาอย่างไร

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มัน่ ความซอื่ สัตยส์ ุจรติ ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๙๗

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ มนั่ ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

และในการสะทอ้ นความคดิ พฤตกิ รรม เก่ยี วกบั การทจุ รติ ในประเทศไทย ผา่ นคาถามที่ว่า ตัวเราเองจะ
ทาอย่างไรถ้าเจอคนข้ีโกง ? พบว่า กลุ่มตัวอย่างสะทอ้ นความคดิ คือ 1) แจ้งเจ้าหนา้ ท่ี หรือ สานักงาน ป.ป.ช.
ให้ตรวจสอบ 2) ตกั เตือน

“ถ้าเป็นคนสนิทก็จะเข้าไปตักเตือนโดยตรงว่า ทาแบบนี้มันไม่ดีนะ อธิบายเค้าด้วยเหตุผล ถ้าหาก
ไมร่ จู้ ักกอ็ าจนาเรอื่ งไปแจง้ ทางบคุ คลหรือหน่วยงานทีเ่ ก่ียวขอ้ ง”

“ตกั เตือน หรอื ร้องเรยี นหน่วยงานท่เี กยี่ วข้อง”
“แจ้ง ป.ป.ช. พรอ้ มหลักฐาน”

แผนภาพท่ี 4-74 การสะท้อนความคิดพฤติกรรมของเยาวชนอุดมศึกษาปีท่ี 3-4 ในประเด็น ตัวเราเองจะทา
อยา่ งไรถ้าเจอคนขโ้ี กง

Youth Voice ช่วงชั้นอุดมศึกษาปีท่ี 3 – 4 จากการวิเคราะห์คาตอบจากบทสนทนา พบว่า คาตอบ
ของทั้งสองชว่ งชั้นในระดับอดุ มศึกษา เปน็ ไปในแนวทางเดียวกนั คือส่วนใหญ่เกือบท้งั หมดมองว่าประเทศไทย
มีการทุจริตคอรัปช่ันอยู่มาก ในส่วนของบทสนธนาเก่ียวกับวิธีแก้ไข เยาวชนส่วนใหญ่ยังมองเร่ืองการใช้
กฎหมายเป็นหลัก การจัดการอย่างเด็ดขาด กับนักการเมืองและข้าราชการ จัดการกบั คนโกง และการปลูกฝัง
จิตสานึกที่ดี คาตอบในทานองเดียวกันนี้ของท้ังสองช่วงช้ันในระดับอุดมศึกษาเป็นท่ีน่าสนใจว่า คาตอบที่ได้
มองในมุมการจัดการกับคนอ่ืน ๆ (นิ้วชี้ไปท่ีคนอื่น) แต่แทบจะไม่มีเลยท่ีจะให้คาตอบท่ีต้องจัดการกับตนเอง
(ในทีนี้มีเพียงเล็กน้อยที่ให้คาตอบว่าต้อง “ทาใจ” กับตนเองในปัญหานี้เสียแล้ว ไม่มีความหวัง) เม่ือวิเคราะห์
ถึงบทสนทนาท่ีจะต้องทาอยา่ งไรถ้าเยาวชนเจอกับการทุจริตคอรัปช่นั เยาวชนท่ีตกเป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่
แจ้งหน่วยงานท่ีรับผิดชอบ นาไปร้องเรียน ทาเท่าเราทาได้ และมีมุมมองอยู่มากพอสมควรเหมือนกันที่มองว่า
ต้องดูก่อนว่ามันจะนามาซึ่งความเดือดร้อนหรือไม่ หนีออกมา หลีกเลี่ยงหรือ อยู่เฉย ๆ ไปเลยทาอะไรไม่ได้
คาตอบเหล่านกี้ ็สะท้อนเช่นกันวา่ เยาวชนส่วนใหญ่มองการจดั การกับปัญหาไปที่หน่วยงาน (เป็นหน้าทข่ี องคน
อืน่ เปน็ หน้าทีข่ องหนว่ ยงานที่รับผิดชอบ) แต่ไม่ไดม้ องทตี่ นเองว่าจะมสี ว่ นทาอย่างไรกับปญั หาเหล่าน้ี

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่นั ความซอื่ สตั ย์สุจริต ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 4 - ๙๘

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ดึ มั่นความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

ในภาพรวมของการวิเคราห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากฐานจาลองทั้ง 3 ฐานจะเห็นได้ว่าในช่วงช้ันปฐมวัย
และประถมศึกษาชั้นปีที่ 1-3 นั้น การเอาใจใส่สั่งสอนและการเปน็ ตัวอย่างท่ีดีจากพ่อ-แม่ ผู้ปกครองและครูท่ี
ใกล้ชิด มีผลมาก นอกจากน้ียังตอกย้าถึงความสาคัญของการับรู้ของเด็ก ๆ ผ่านการรับรู้ต่าง ๆ ท่ีสร้างความ
เป็นฮีโร่ในตัวละครของอาชีพในสังคม ทาให้เด็กมีความต้องการอยากจะเป็นตามในบทบาทนั้น ๆ เมื่อสนทนา
ถึงการช่วยเหลือผู้อ่ืน ในช่วงวัยนี้ยังมีความนึกคิดการช่วยเหลือผู้อ่ืน ตามระบบสอนของพ่อ-แม่ ครู ตาม
บรรทัดฐานของสังคม ท่ีเน้นให้แบ่งบัน ช่วยทางานบ้าน ช่วยเหลือผู้อน่ื ช่วยเพื่อน เด็กในช่วงวัยนี้แสดงว่าเด็ก
ส่วนใหญ่ยังปฏิบตั ิตามตามคาสั่งสอน เพ่ือให้พอ่ -แม่ ครู ยอมรับ และหรอื ไม่ถูกลงโทษ เดก็ ในช่วงวัยนี้จะยังมี
ความซื่อตรงอยู่มากจะปฏิบัติตามคาบอกและคาสอนของพ่อ-แม่ ผู้ปกครองและครู การดูแลเอาใจในและการ
อบรมสง่ั สอนอย่างใกลช้ ิด มภี าพการเป็นฮีโร่ในใจชองเด็ก มีผลมากตอ่ การสร้างฐานในการพฒั นาความซื่อสตั ย์
สจุ ริตใหด้ ีของแต่ละบุคคลต่อไป อย่างไรก็ตามจากผลการศึกษาทีพ่ บว่าในเขตชนทท เกินครง่ึ เดก็ จะอยู่กบั ปยู่ ่า
ตายาย ถึงแม้เด็กในเมืองจะอาศัยอยู่กับพ่อ-แม่ แต่เวลาของพ่อ-แม่ที่ให้กับเด็กมีน้อยลง ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันก็
ตาม เพราะต้องทางานหาเงิน ทาใหเ้ ด็กในวยั น้ีเริม่ มชี ีวติ กับสือ่ ออนไลนม์ ากขนึ้ จะมีผลอะไรอยา่ งไร

ในช่วงชั้นประถมศึกษาตอนปลายเด็กนักเรียนในช่วงวัยน้ี ยังมีมุมมองต่อตนเอง ตามความคาดหวัง
ของ พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง และหรอื ครู เป็นการแสดงพฤติกรรมเพื่อให้พอ่ -แม่ ผู้ปกครอง ครู ยอมรับและหรือเพ่ือ
ไม่ต้องถูกลงโทษ ยังคล้ายกับพัฒนาการในช่วงชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-3 เพียงเรื่องการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน
เข้ามามอี ิทธิพลมากขนึ้ ผลจากการวเิ คราะห์ในช่วงชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1-3 กล่มุ เพ่ือนและสื่อเข้ามามีบทบาท
มากข้ึนในการสร้างมุมมองและการปฏิบัติตามเกณฑ์ของสังคม การเริ่มไม่ม่ันใจว่าเพื่อน ๆ จะมองตนเป็นคน
อย่างไรหรือในมุมมองของเพ่ือน ๆ อาจจะไม่ได้เป็นมุมมองในมิติเดียว สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการค้นหาตัวตนท่ี
ยงั ไม่ตกผลกึ ของเด็กในช่วงวัยน้ี ในด้านฐานคิดต่อสังคมในเวลาน้ี นอกเหนือจากคาตอบว่าดี ทดี่ ูเหมือนจะเป็น
คาตอบตามความคาดหวังของสังคมแล้ว พบว่าคาตอบที่เหลอื มีความหลากหลายสงู มาก กระจายตัวในลักษณะ
คาตอบขนาดเดียวกัน ทั้งระนาบ ดีเย่ียม ดีมาก ดี สงบสุข ปกติ เฉย ๆ พอใช้ แข่งขัน ไม่น่าอยู่ ไม่ดี วุ่นวาย
เห็นแก่ตัว ถึงแย่มาก คาตอบเหล่าน้ีสะท้อนการกระจายและความหลากหลายทางอารมณ์และความคิดของ
เด็กในช่วงวัยน้ี ในบทสนทนาเก่ียวกับการทาอะไรได้บ้างเพื่อส่วนรวม พบว่า การทาเพื่อส่วนรวมของกลุ่ม
ตัวอย่าง คือ การเป็นคนดี เป็นคนดีต่อสังคม ช่วยเหลือกัน ช่วยเหลือสังคม ซื่อสัตย์ไมท่ ุจริต เคารพกฎหมาย
ทาหน้าที่ของตนเองให้ดี สามัคคี จะเห็นได้ว่าในช่วงชั้นน้ีตอกย้าความสาคัญของตัวหล่อหลอมทางสังคมกลุ่ม
เพื่อนหรือกลุ่มใด ๆ ท่ีเยาวชนเข้าไปเก่ียวข้อง ในช่วงเวลาน้ีเป็นช่วงรอยต่อระหว่างความมีเสาหลักของตัวตน
การมตี ้นแบบ เปา้ หมาย คา่ นิยม ตวั ตนทช่ี ัดเจน ซงึ่ จะสาคัญมากในการปลกู ฝงั ความซอื่ สตั ยส์ จุ ริต

ผลการวเิ คราะห์บทสนธนาแบบเปดิ ในช่วงชั้นระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศกึ ษา พบว่า
เยาวชนอยากเปล่ียนแปลงสังคมให้ดีขึ้น โดยมองด้าน ความเสมอภาค ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ในสังคมมาก
ที่สุด เยาวชนเกือบทั้งหมดมีความตระหนักรู้ถึงปัญหาการทุจริตคอรัปช่ันและการขาดความซ่ือสัตย์สุจริตของ
คนสังคม แตย่ ังไม่มนั่ ใจวา่ ปัญหาเล่านจี้ ะสามารถลดลงได้หรอื ไมใ่ นอนาคต ด้านมุมมองกับปัญหาและการแกไ้ ข
ส่วนใหญ่มองไปท่ีผู้อื่นหรือหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ท่ีเป็นปัญหาและจะต้องเป็นผู้แก้ไข แต่จะไม่มองในมุมมอง
ของเยาวชนเองวา่ มีสว่ นกบั ปัญหาและจะมีสว่ นกับการแก้ไขปญั หานี้อย่างไร

จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากเคร่ืองมือฐานจาลองดังกล่าวจะเห็นความเช่ือมโยงกับ
ผลจากข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากเครื่องมือแบบประเมินพฤติกรรม จากผลการประเมินพฤติกรรมที่พบว่าร้อย
ละของเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดม่ันความซื่อสัตย์ ค่าผลร้อยละมีลักษณะเป็นตัวอักษรตัววีในภาษาอังกฤษ (V
shape) กลา่ วคือ ในชว่ งชั้นปฐมวยั มีสัดส่วนของเดก็ ทม่ี ีพฤติกรรมยึดมัน่ ความซือ่ สตั ย์สุจรติ สูง และมีแนวโน้ม

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มนั่ ความซ่ือสัตย์สุจรติ ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 4 - ๙๙

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดมนั่ ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

ลดลง เม่ือเด็กเข้าสู่ช่วงช้ันท่ีสูงข้ึน โดยเฉพาะเม่ืออยู่ในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นมีสัดส่วนต่าสุด และสัดส่วนน้ี
คอ่ ย ๆ เพม่ิ สูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงชัน้ ท่ีสูงข้ึนจนกระท่ังถึงระดับอุดมศกึ ษา สอดคล้องกับผลการวิเคราห์ข้อมูลเชิง
คุณภาพจากฐานจาลอง ทพ่ี บวา่ ในฐานจาลอง Kid’s คดิ ในช่วงชนั้ ปฐมวัย และในฐานจาลอง Kid’s Cast ของ
บทสนทนาในช่วงชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1-3 ผลท่ีได้จากการสะท้อนความคิดพฤติกรรม เด็กจะมีพฤติกรรมตาม
การสั่งสอน ตามบรรทัดฐานของสังคมได้สูง มีความซื่อตรงอยู่ค่อนข้างสูง ต่อมาผลการประเมินของ Kid’s
Cast ชองบทสนธนาในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 และช่วงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 ท่ีพบว่า เด็กในช่วงวัยน้ี
สะท้อนถึงการค้นหาตัวตนท่ียังไม่ตกผลึกของเด็กในช่วงวัย ค่านิยม ความเชื่อ ความคิด อารมณ์ สามารถโน้ม
เอียง ไปได้ในทิศทางใด ๆ ได้ง่าย สอดคลอ้ งกับผลการศึกษาที่พบในเชิงพฤติกรรมท่ีพบว่าร้อยละของเด็กและ
เยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต มีค่าลดลงเมื่อเข้าสู่ช่วงช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 และเมื่ออยู่ในช่วง
มัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) มีสัดส่วนต่าสุด ในลักษณะเดียวกันการเพ่ิมขึ้นของร้อยละของเด็กและเยาวชน
ไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ท่ีค่อย ๆ เพ่ิมสูงขึ้นเม่ือเข้าสู่ช่วงช้ันสูงขึ้นจนกระทั่งถึงระดับอุดมศึกษา
สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงคุณภาพที่พบว่า เด็กจะเรมิ่ มองและเร่ิมคาดหวังต่ออนาคตมากขึ้น
มีความคิด ที่สะท้อนความยากเปลียนแปลงสังคม ไปในแนวทางที่ตนเองต้องการมากข้ึน มองด้านการ
เปลี่ยนแปลงด้านความเสมอภาค ความเท่าเทียมกันในสังคม ซ่ึงการทุจริตคอรัปชั่นถูกมองว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่
ทาใหเ้ กิดความเหล่ือมล้าทางสังคม

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซ่ือสตั ย์สจุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 4 - ๑๐๐

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ มนั่ ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

บทท่ี 5
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

5.1 สรุป
การวิจัยประเมินผลพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซื่อสตั ย์สุจริตในคร้ังนี้ มีวตั ถุประสงค์

เพื่อประเมินระดับความรู้ความเข้าใจ เจตคติ และพฤติกรรมท่ียึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน
ไทย ซ่ึงสะท้อนผ่านค่าร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยท่ีมพี ฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สจุ ริตศึกษาผลสมั ฤทธิ์
ในการใช้หลกั สูตรต้านทุจริตศึกษาท่มี ตี ่อระดับความรู้ ความเข้าใจ เจตคติ และพฤติกรรมทยี่ ดึ มัน่ ความซื่อสตั ย์
สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย ตลอดจนศึกษาสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมที่ยึดม่ันความ
ซ่อื สตั ย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย

เครื่องมือวิจัยประกอบไปด้วยเคร่ืองมือเชิงปริมาณและเคร่ืองมือเชิงคุณภาพ เครื่องมือเชิงปริมาณ
เป็นแบบประเมินจานวนทั้งส้ิน 28 แบบ มีลักษณะการประเมินครอบคลุม 360 องศา ผ่าน Collaborative
Digital Evaluation Platform ที่มีช่ือว่า“TYintegrity” โดยที่เด็กและเยาวชนท่ีเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่
เด็กและเยาวชน 7 ช่วงวัย คือ 1) ปฐมวัย 2) ประถมศึกษาตอนต้น 3) ประถมศึกษาตอนปลาย 4)
มัธยมศึกษาตอนต้น 5) มัธยมศึกษาตอนปลาย 6) อุดมศึกษาปีท่ี 1-2 และ 7) อุดมศึกษาปีที่ 3-4 ที่อยู่ใน
สถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน (สพฐ.) จานวน 4,316 แหง่ องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถ่ิน จานวน 177 แห่ง และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จานวน 50
แห่ง รวมท้ังสิ้นจานวน 4,542 แห่ง กระจายอยู่ใน 77 จังหวัด รวมท้ังกรุงเทพมหานคร โดยผู้ที่จะต้อง
ประเมินเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ 1) เด็กและเยาวชนต้องประเมินตนเอง 2) ครู/อาจารย์
ผู้สอนหรืออาจารย์ท่ีปรึกษา 3) เพ่ือนของเด็กและเยาวชน และ 4) ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชน รวมท้ัง 4
กลุ่ม มีจานวนท้ังสิ้น 140,625 คน และมีการจัดทาฐานสถานการณ์จาลองเพ่ือสะท้อนพฤติกรรมเด็กและ
เยาวชนอีกจานวน 4,542 ฐานเพ่อื ใหไ้ ด้ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ

ฐานสถานการณ์จาลอง ซ่ึงเป็นการประเมินเชิงคุณภาพที่ให้เด็กและเยาวชนได้สะท้อนมุมมอง
ความคดิ อารมณ์ ความร้สู ึก ท่ีมตี ่อสถานการณ์บางอยา่ ง ในการศกึ ษานี้ได้จัดทาฐานจาลอง 3 ลักษณะ มีชื่อว่า
1) Kid’s คดิ 2) Kid’s Cast และ 3) Youth’s Voice โดยเคร่ืองมือทุกประเภทที่ได้กลา่ วไปแล้วข้างต้นได้มี
กระบวนการพัฒนาให้มีความสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีและการทบทวนวรรณกรรมทั้งของไทยและ
ต่างประเทศ ในสาระสาคัญของคาว่า “Integrity” ประกอบกับการศึกษาภาคสนามเพื่อให้สอดรับกับบริบท
สังคมไทย โดยองค์ประกอบพฤติกรรมทย่ี ึดมั่นความซ่ือสตั ยส์ ุจริต (Components of Integtrity) เช่ือมโยงกับ
องค์ประกอบของเนือ้ หาสาระทเี่ ชือ่ มโยงกับหลักสูตรต้านทจุ รติ ศกึ ษา 2 หลักสตู ร อนั ประกอบด้วย 1) การคิด
แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต
3) STRONG : จิตพอเพียงต้านทจุ รติ และ 4) พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม การตรวจสอบคณุ ภาพของ
เครื่องมือทั้งความตรงเชงิ เนอ้ื หาและความนา่ เช่ือถือ โดยผเู้ ชี่ยวชาญและวิธีการทางสถิติ

วิธีการได้มาซง่ึ เด็กและเยาวชนท่ีตกเป็นตัวอย่างในการประเมินพฤตกิ รรมทยี่ ึดมั่นความซื่อสัตย์สจุ ริต
ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายช้ันตอน (Multi-stages sampling)
คะแนนดิบจากข้อมูลเชิงปริมาณท่ีได้ จากแต่ละกลุ่มผู้ประเมินจะนามาวิเคราะห์แปลความหมายในลักษณะ
คะแนนองิ กลุ่ม (Norm referenced score) ของแตล่ ะช่วงชนั้ โดยในการแปลความหมาย ถ้าคะแนนดิบท่ีได้มี
ค่าคะแนนสูงกว่าค่าเฉล่ียของช่วงชั้นน้ัน ๆ หมายถึง เด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมท่ียึดมั่นในความซ่ือสัตย์
สุจริต ช้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติพื้นฐานและใช้สถิติอ้างอิงในการการวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลเชิงคุณภาพนามา

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มัน่ ความซ่อื สัตยส์ ุจรติ ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๑

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ ม่นั ความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

วิเคราะห์แก่นสาระ (Thematic analysis) และวิเคราะห์ผ่านการทาเมฆของกลุ่มคา (word cloud/tag
cloud) แล้วสรุปเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในแง่ต่างๆ ตามข้อเท็จจริง ท้ังในเชิงเหตุและผลในลักษณะของการ
พรรณนานาไปสคู่ าตอบในการศกึ ษา

5.2 สรุปผลการศึกษา
สรุปผลการศกึ ษาท่ีจะนาเสนอประกอบด้วย 1) ผลการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ัน

ความซื่อสัตย์สุจริตในภาพรวม 2) ค่าคะแนนผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดม่ันความ
ซ่ือสัตย์สุจริตในภาพรวมของประเทศ จาแนกตามองค์ประกอบ และจาแนกตามช่วงวัย 3) การนาหลักสูตร
ต้านทุจริตศึกษาไปใช้กับรัอยละของเด็กและเยาวชนไทยมพฤติกรรมที่ยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต 4)
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับผลสมั ฤทธใิ์ นการนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใชก้ ับร้อยละของเด็กและเยาวชนที่
มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต 5) โครงการต้านทุจริตศึกษาอ่ืน ๆ ที่ดาเนินการในสถานศึกษา
นอกเหนือจากหลักสูตรต้านทุจรติ ศึกษากับรัอยละของเด็กและเยาวชนไทยทีม่ ีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซ่ือสัตย์
สุจริต และ 6) ข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีได้จากฐานจาลองสถานการณ์สะท้อนพฤติกรรมเด็กและเยาวชนที่ยึดมั่น
ความซ่อื สัตย์สุจรติ

5.2.1. ผลการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มน่ั ความซื่อสัตย์สจุ รติ ในภาพรวม
ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยในภาพรวมของประเทศ เทียบกับเปา้ หมายทไี่ ด้กาหนด
ไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ ๒๑ การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ และประพฤติมิชอบ (พ.ศ. ๒๕๖๑-
๒๕8๐) พบว่า สูงกว่าคา่ เป้าหมาย อยู่ร้อยละ 6.1 กล่าวคอื ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ตวั ชว้ี ัดท่ี
1.1 กาหนดคา่ เปา้ หมายไว้รอ้ ยละ 46.0 (พ.ศ. 2561-2565) แตผ่ ลการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชน
ไทยท่ยี ดึ มั่นความซ่อื สัตย์สจุ รติ มคี ่าเทา่ กับร้อยละ 52.1
หากวิเคราะห์จาแนกตามช่วงชั้น พบว่า ในทกุ ช่วงชัน้ มรี ้อยละของเดก็ และเยาวชนไทยท่ีมีพฤตกิ รรมยึด
ม่ัน ความซ่ือสัตย์สุจริต สูงกว่าค่าเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ท่ีร้อยละ 46.0 ท้ังน้ี ช่วงช้ันท่ีเด็กและเยาวชนไทยมี
พฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตสูงท่ีสุด คือ ระดับปฐมวัย คิดเป็นร้อยละ 55.6 ส่วนสัดส่วนต่าสุด คือ
ระดบั มธั ยมศกึ ษา (ร้อยละ 49.9)
เมอ่ื จาแนกตามเพศของเดก็ และเยาวชน ในแตล่ ะช่วงชั้น พบวา่ เพศหญิงมีสดั ส่วนของผู้ท่ีมีพฤตกิ รรม
ยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตสูงกว่าเพศชาย ซึ่งมีความแตกต่างกันถึงร้อยละ 17 ผ่านค่าเป้าหมายในทุกช่วงชั้น
โดยเพศหญงิ ในชว่ งชัน้ ปฐมวัยมีสดั ส่วนสงู สุด คือ ร้อยละ 63.4 และมีร้อยละต่าสุดอยใู่ นช่วงช้นั อุดมศกึ ษาปีท่ี
1-2 อยู่ท่ีร้อยละ 55.6 แต่ในทางกลับกันพบว่า เพศชายมีผู้ที่มีพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต ต่ากว่าใน
ทุกช่วงช้ัน และยังพบว่ามีช่วงช้ันท่ีมีค่าร้อยละ 40 หรือต่ากว่าถึง 4 ช่วงชั้น คือ ช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น
ทรี่ ้อยละ 40.3 มัธยมศึกษาตอนปลายท่ีร้อยละ 39.0 อดุ มศึกษาปีที่ 1-2 ท่ีร้อยละ 32.3 และอุดมศึกษาปีท่ี
3-4 ทเ่ี พียงร้อยละ 37.9
เมื่อพิจารณาจาแนกตามภูมิภาค พบว่า ในทุกภูมิภาคมีร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยท่ีมีพฤติกรรม
ยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต สูงกว่าค่าเป้าหมายที่กาหนดไว้ที่ร้อยละ 46.0 ท้ังน้ี ภูมิภาคท่ีมีสัดส่วนเด็กและ
เยาวชนไทยท่ีมีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตสูงที่สุด คือ ภาคกลาง คิดเป็นร้อยละ 53.9 ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนอื มสี ดั สว่ นต่าสดุ คือ รอ้ ยละ 50.9

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซอื่ สัตย์สุจริต ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๒

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดม่ันความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

เมอื่ พิจารณาจาแนกตามภาคของสานักงาน ป.ป.ช. พบวา่ สานักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 มสี ดั ส่วนเดก็
และเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมยึดมนั่ ความซ่ือสัตยส์ จุ รติ สงู ท่ีสดุ คดิ เป็นรอ้ ยละ 55.7 ส่วนสานกั งาน ป.ป.ช.
ภาค 3 มสี ัดสว่ นตา่ สุด คือ ร้อยละ 48.6

เมอื่ พิจารณาคา่ รอ้ ยละของเดก็ และเยาวชนไทยที่มพี ฤติกรรมยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจรติ จาแนกตามเขต
พ้ืนท่ีการศึกษาทั้ง 209 เขต พบว่า เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาท่ีมีสัดส่วนเด็กและเยาวชนไทย
มพี ฤติกรรมยดึ มน่ั ความซอ่ื สตั ย์สจุ ริตสูงสุด คอื สานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษา เลย เขต 3 (ร้อยละ
84.0) รองลงมาคอื สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 (ร้อยละ 80.0) ส่วนเขตพ้นื ที่
การศึกษาที่มีสดั ส่วนเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซอื่ สัตย์สจุ ริตต่าสุด คอื สานกั งานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษา บุรีรัมย์ เขต 4 (ร้อยละ 13.3) (ในเขตพื้นท่ีการศึกษานี้มีโรงเรียนตกเป็นตัวอย่างใน
การประเมินเพียง 1 แห่ง เท่าน้ัน) ในส่วนเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาท่ีมีสัดส่วนเด็กและเยาวชนไทยท่ีมี
พฤติกรรมยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริตสูงสุด คือ สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยม เขต 2 (ร้อยละ 70.0)
รองลงมาคือ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 35 (ร้อยละ 67.8) ส่วนเขตพ้ืนที่การศึกษาท่ีมี
สัดส่วนเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตต่าสุด คือ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มธั ยมศกึ ษา เขต 24 (ร้อยละ 24.2)

เม่ือพิจารณาจาแนกตามสังกัด พบว่า ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยท่ีมีพฤติกรรมยึดมั่นความ
ซื่อสตั ย์สุจรติ ในสังกดั สพฐ. สังกดั กทม. สังกัด อปท. และสังกัด อว. มีสัดสว่ นสูงกว่าคา่ เปา้ หมายท่กี าหนดไว้ที่
ร้อยละ 46.0 ยกเว้นเด็กและเยาวชนไทยท่ีอยู่ในสถานศึกษาสังกัดเมืองพัทยา มีผู้ที่มีพฤติกรรมยึดม่ันความ
ซื่อสตั ยส์ จุ ริต เพยี งร้อยละ 40.1 เท่านัน้ ซึ่งต่ากว่าคา่ เป้าหมายท่กี าหนดไว้ร้อยละ 6.1

เมื่อพิจารณาจาแนกตามขนาดของสถานศึกษาที่เด็กและเยาวชนศึกษาอยู่ในสถานศึกษาสังกัด สพฐ.
จานวน 40,720 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ขนาดคือ สถานศึกษาขนาดเล็กท่ีมีนักเรียนต้ังแต่ 1 - 499 คน
สถานศึกษาขนาดกลางที่มีนักเรียนตั้งแต่ 500 – 1,499 คน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ท่ีมีนักเรียนตั้งแต่
1,500 คนขึ้นไป พบว่า สถานศึกษาขนาดใหญ่กว่าจะมีสัดส่วนของเด็กที่มีพฤติกรรมยึดมั่นในความซื่อสัตย์
สุจรติ สูงกว่าในสถานศึกษาทม่ี ีขนาดเล็กกว่า เด็กและเยาวชนที่ศกึ ษาอยใู่ นสถานศึกษาขนาดใหญ่มีร้อยละของ
ผู้ท่ีมีพฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตสูงท่ีสุด (ร้อยละ 63.3) รองลงมาคือกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ศึกษาอยู่
ในสถานศึกษาขนาดกลางร้อยละ 53.5 และเด็กและเยาวชนท่ีศึกษาอยู่ในสถานศึกษาขนาดเล็กที่ร้อยละ
51.5 ตามลาดบั

เม่ือพิจารณาจาแนกตามประเภทท่ีอยู่อาศัยที่แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ บ้านเช่า บ้านตนเอง
และอาศัยอยู่กับผู้อื่น พบว่า เด็กและเยาวชนไทยที่มีท่ีอยู่อาศัยเป็นบ้านของตนเอง มีสัดส่วนของผู้ท่ีมี
พฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 52.6 รองลงมา คือ ผู้ท่ีอาศัยอยู่บ้านเช่า ร้อยละ 50.6 และต่า
ท่สี ุด คอื ผู้ท่อี าศยั อย่กู บั ผอู้ ่นื รอ้ ยละ 49.1

เม่ือพิจารณาจาแนกตามสถานะการเงินของครอบครัวท่แี ยกเปน็ ครอบครัวท่ีไม่มีหนี้สิ้น ครอบครัวที่มี
หน้ีสินน้อยกว่าทรัพย์สิน และมหี น้ีสินมากกว่าทรพั ยส์ ิน พบว่า เด็กและเยาวชนไทยทอ่ี ย่ใู นครอบครัวท่ีไม่มีหนี้
สิ้น มีสัดส่วนของผู้ท่ีมีพฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตสูงสุด คือ เกือบร้อยละ 60 รองลงมา คือ ผู้ที่อยู่ใน
ครอบครัวที่มีหนี้สินน้อยกว่าทรัพย์สิน ร้อยละ 53.1 ต่าสุด คือ เด็กและเยาวชนท่ีอยู่ในครอบครัวที่มีหน้ีสิน
มากกวา่ ทรพั ยส์ ิน รอ้ ยละ 45.2 ซ่ึงกลุ่มหลงั น้ี มีสดั ส่วนตา่ กวา่ คา่ เปา้ หมายกาหนดไวท้ ี่รอ้ ยละ 46.0

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดมัน่ ความซือ่ สัตยส์ ุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๓

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มั่นความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

เมอ่ื พจิ ารณาจาแนกตามลกั ษณะครอบครวั หรือประเภทครอบครัว พบว่า เดก็ และเยาวชนไทยทอ่ี ย่ใู น
ครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) ทม่ี ีลกั ษณะการอยู่รว่ มกันเฉพาะพ่อแมล่ ูก มีสัดส่วนของผู้ที่มีพฤติกรรมยึด
มั่นความซ่ือสัตย์สุจริตสูงสุด คือ ร้อยละ 53.9 รองลงมา คือ ผู้ท่ีอาศัยอยู่ในครอบครัวขยาย (Extended
Family) ท่ีมีลักษณะอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่มีสมาชิกครอบครัวที่มีหลากหลายรุ่นวัยอย่างน้อยท่ีสุด 3
ร่นุ วัย ร้อยละ 53.3 ส่วนผู้ท่ีอาศัยอยู่กับพ่อหรือแม่ตามลาพัง หรืออยู่กับผู้สูงอายุตามลาพังรวมถึงผู้ที่อยู่อาศัย
ในรูปแบบอ่ืน ๆ อาทิเช่น ผู้อยู่อาศัยตามลาพัง หรืออยหู่ อพักเป็นต้นมสี ัดส่วนต่ากวา่ ค่าเป้าหมาย ท่ีกาหนดไว้ที่
ร้อยละ 46.0

เม่ือพิจารณาจาแนกตามภาระของครอบครัว (ต้องดูแลเด็กเล็ก ผู้พิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยเรื้อรัง)
พบว่า เด็กและเยาวชนไทยผู้ท่ีอาศัยอยู่ในครอบครัวท่ีไม่มีภาระมีสัดส่วนของผู้ที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความ
ซ่อื สัตยส์ จุ ริตสงู กว่าผทู้ ี่อาศัยอยใู่ นครอบครวั ท่มี ภี าระ ร้อยละ 53.0 และรอ้ ยละ 50.9

เมอื่ พจิ ารณาจาแนกตามความรักในครอบครัว พบวา่ เด็กและเยาวชนไทยผู้ท่ีอยู่ในครอบครวั ท่ีมีความ
รกั และความใกล้ชิดตอ่ กนั มาก มีสัดส่วนของผู้ท่ีมพี ฤติกรรมยดึ ม่ันความซ่ือสัตย์สุจริตสงู กว่าผทู้ อ่ี ยใู่ นครอบครัว
ท่ีมคี วามรักความใกลช้ ดิ ตอ่ กันน้อย รอ้ ยละ 56.6 และรอ้ ยละ 50.2 ตามลาดบั

เม่ือพิจารณาจาแนกตามปัจจัยนิเวศวิทยาท่ีเก่ียวข้องกับครูและกลุ่มเพ่ือน พบว่า ปัจจัยในเร่ืองการ
ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยความเสมอภาคในการดูแลเอาใจใส่จากครู/อาจารย์ คิดเป็นร้อยละ 57.06 และ
ปัจจัยในเร่ืองการช่วยเหลือเกื้อกูลมีความสัมพันธ์กันอย่างดีกับกลุ่มเพ่ือน คิดเป็นร้อยละ 55.3 ซึ่งท้ังสอง
ปจั จัยฯ มสี ัดส่วน สงู กวา่ คา่ เป้าหมายท่กี าหนดไวท้ ี่ร้อยละ 46.0

เม่ือพิจารณาจาแนกตามปัจจัยนิเวศวิทยาด้านสังคม ชุมชน พบว่า เด็กและเยาวชนไทยท่ีใช้เวลา
ในการท่องโลกออนไลน์ไม่มากในแต่ละวัน มีสัดส่วนของพฤติกรรมยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริต (คิดเป็นร้อยละ
59.6) ซ่งึ มีค่าสงู กว่าเด็กและเยาวชนทใ่ี ชเ้ วลากับออนไลน์ในแตล่ ะวนั มากกวา่ ส่วนผทู้ มี่ ีกจิ กรรมรว่ มกับชุมชน
นอ้ ยกว่ากลบั มีผูท้ มี่ ีพฤตกิ รรมยดึ มัน่ ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ ในสดั สว่ นสูงกวา่ ผูท้ ร่ี ่วมกิจกรรมกับชุมชนเปน็ ประจา

โดยสรุปตัวแปรสภาพแวดล้อมทางสังคมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ปัจจัยทาง
ประชากรศาสตร์ สภาพแวดล้อมทางสังคมต่าง ๆ ขนาดของสถานศึกษา (เฉพาะท่ีอยู่ในสังกัด สพฐ.)
ประเภทที่อยู่อาศัย สถานครอบครัว ภาระของครอบครัว ความรักในครอบครัว ปัจจัยครู/อาจารย์ ปัจจัยกลุ่ม
เพ่ือน กิจกรรมกับชุมชน และการใช้เวลาในสังคมออนไลน์ ต่างก็มีผลต่อพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต
ของเดก็ และเยาวชนไทยดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้

5.2.2. ค่าคะแนนผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตใน
ภาพรวมของประเทศ จาแนกตามองคป์ ระกอบ และจาแนกตามช่วงชนั้

เมอ่ื พิจารณาแต่ละองคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบท่ี 1 การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับ
ผลประโยชน์ส่วนรวม ซ่ึงมีพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือกลุ่มพฤติกรรมย่อย 3 พฤติกรรม อันได้แก่ 1) แยกแยะ
ระหวา่ งส่วนตนและส่วนรวม 2) ระบบคดิ ฐานสอง และ 3) เสยี สละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ผลการประเมิน
มีดังนี้

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มนั่ ความซ่ือสัตย์สุจริต ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 5 - ๔

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดมนั่ ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

แยกแยะระหว่างส่วนตนและส่วนรวม ในเด็ก
ปฐมวัยมีค่าคะแนนสูงสุด (84.3 คะแนน) และ
คะแนนนี้ มีค่าลดน้อยลง เม่ือเด็กอยู่ในช่วงวัยที่โต
ขึ้น จนกระทั่งถงึ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีคา่ ต่าสุด
จา กน้ั นมี ค่ าค ะแ นน เ พิ่ม ขึ้น เล็ ก น้อ ยเ มื่อ ถึ ง
ระดับอุดมศึกษาปีที่ 1-2 ก่อนท่ีจะเร่ิมลดลงอีกครั้ง
เม่อื อยู่ในระดับอุดมศึกษาปีที่ 3-4

ระบบคิดฐานสอง (ในเด็กปฐมวัย ไม่ได้มีการ
ประเมินพฤติกรรมย่อยข้อนี้) จากผลการประเมิน
พบว่า เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น มีค่า
คะแนนสูงสุด (97.0) และคะแนนนี้มีค่าลดลงอย่าง
ต่อเนื่องเมื่อเด็กและเยาวชนอยู่ในช่วงวัยท่ีสูงขึ้น
จนกระท่ังต่าที่สุดในระดับอุดมศึกษาปีท่ี 1-2 มีค่า
คะแนนเพียง 65.0 คะแนน และเพิ่มข้ึนเป็น 67.1
เมอ่ื อยูใ่ นระดบั อุดมศึกษาปีท่ี 3-4

เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม (พฤติกรรมมุ่ง
ประเมินนี้ จะประเมินเฉพาะเด็กและเยาวชนทีอ่ ยู่ใน
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไปถึงระดับอุดมศึกษา)
ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่า ค่าคะแนนสาหรบั ชั้น
มัธยมศึกษาตอนต้นมีค่าต่าสุด (65.5) และค่า
คะแนนเพิ่มข้ึนตามช่วงวัย จนกระท่ังถึง 71.5
คะแนน ซ่ึงมีค่าสูงสุด เมื่ออยู่ในระดับอุดมศึกษาปีที่
3-4

องค์ประกอบที่ 2 ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต ซ่ึงมีพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือกลุ่ม
พฤตกิ รรมย่อย 6 พฤติกรรม ไดแ้ ก่ 1) รับผิดชอบตอ่ ตนเอง 2) ระเบียบวินัย 3) ละอายต่อการทจุ ริต 4) ไม่ทน
ต่อการทุจริต 5) ซ่ือสัตย์ พูดความจริง และ 6) ยอมรับการกระทาของตนเอง ผลการประเมินในแต่ละพฤติกรรม
ย่อย มดี งั น้ี

รับผิดชอบต่อตนเอง เด็กปฐมวัยมีค่าคะแนนความ
รบั ผดิ ชอบต่อตนเองสูงสุด (85.0) ซงึ่ คาถามเนน้ ไปที่
ความรับผิดชอบพื้นฐาน เช่น สามารถแต่งกายด้วย
ตนเองได้ หรอื เกบ็ ของเลน่ เข้าท่ีเป็นตน้ รองลงมา คือ
กลมุ่ มธั ยมศึกษาตอนปลาย (80.7) ส่วนประถมศึกษา
ตอนต้น ประถมศึกษาตอนปลาย และมัธยมศึกษา

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มน่ั ความซ่อื สัตย์สุจรติ ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๕

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดมั่นความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

ตอนต้น มีค่าคะแนนพอ ๆ กัน คือ ประมาณ 70 -
71 คะแนน
ระเบียบวินัย (กลุ่มเด็กปฐมวัยไม่ได้มีการประเมิน
พฤติกรรมน้ี) ผลการประเมิน พบว่า กลุ่มที่มี
ร ะ เ บี ย บ วิ นั ย สู ง สุ ด คื อ นั ก ศึ ก ษ า ใ น
สถาบันอุดมศึกษา รองลงมา คือ กลุ่มประถมศึกษา
ตอนต้น (74.3) และต่าท่ีสุด คือ กลุ่มมัธยมศึกษา
ตอนปลาย (67.2)

ละอายต่อการทุจริต เปน็ ที่น่าสนใจที่เด็กปฐมวัยมีค่า
คะแนนสูงสุด (89.2) (โดยการใช้คาถามท่ีว่า หาก
เพื่อน ๆ กาลังต่อแถวรับขนมแล้ว เด็กที่ถูกประเมิน
มาทีหลังจะรอได้หรือไม่ได้) รองลงมาคือ เด็กท่ีอยู่ใน
ชน้ั ประถมศึกษาตอนต้น ต่าสุด คือ ระดับมัธยมศกึ ษา
ทั้งตอนต้นและตอนปลายมีค่าคะแนนพอ ๆ กัน ส่วน
นักศึกษาช้ันอุดมศึกษาปีที่ 3-4 มีค่าคะแนนสูงกว่า
ชนั้ อดุ มศกึ ษา ปที ่ี 1-2

ไมท่ นตอ่ การทุจรติ กล่มุ ท่ีถอื วา่ ไม่ทนตอ่ การทุจริต
มากที่สุด (ถ้าพิจารณาจากค่าคะแนนท่ีสูงสุด) คือ
กลุ่มเด็กปฐมวัย ช่วงวัยอื่น ๆ ต้ังแต่ระดับ
ประถมศึกษาตอนต้น จนกระท่ังถึงระ ดับ
อุดมศึกษามคี ่าคะแนนพอ ๆ กนั คอื ระหว่าง 72 -
75 คะแนน

ซื่อสัตย์ พูดความจริง เด็กประถมศึกษาตอนต้นมีค่า
คะแนนความซ่ือสัตย์ พูดความจริงสูงสุด (82.2)
รองลงมา คือ กลุ่มเด็กประถมศึกษาตอนปลาย
(77.0) ส่วนเด็กปฐมวัย มัธยมศึกษาตอนต้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย อุดมศึกษาปีที่ 1-2 และ
อุดมศึกษาปีที่ 3-4 มีค่าคะแนนอยู่ระหว่าง 73 -
76 คะแนน

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มั่นความซื่อสัตย์สจุ ริต ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 5 - ๖

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ดึ มั่นความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

ยอมรับการกระทาของตนเอง (พฤติกรรมมุ่ง
ประเมินนี้ จะประเมินเฉพาะเด็กและเยาวชนที่อยู่
ในชั้นปฐมวัย และระดับอุดมศกึ ษา) ผลการประเมิน
แสดงให้เห็นว่า การยอมรับการกระทาของตนเอง
แปรผันไปตามอายุที่เพ่ิมข้ึน โ ดยนักศึกษา
อุดมศึกษาปีท่ี 3-4 มีค่าคะแนนการยอมรับการ
กระทาของตนเองสูงสุด (85.0) รองลงมา คือ
นักศึกษาอุดมศึกษาปีท่ี 1-2 มีค่าคะแนน 83.4
ส่วนชน้ั ปฐมวัยมคี ่าคะแนน 80.0

องค์ประกอบที่ 3 STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต ซ่ึงมีพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือกลุ่มพฤติกรรม
ย่อย 6 พฤติกรรม อันได้แก่ 1) พอประมาณ 2) โปร่งใสและตรวจสอบได้ 3) มุ่งม่ันทางานมุ่งพัฒนา 4) เอ้ือ
อาทร และ 5) อดทนอดกลั้น ผลการประเมนิ ในแต่ละพฤติกรรมย่อยมดี ังนี้

พอประมาณ ในเด็กปฐมวัยมีค่าคะแนนสูงสุด
(97.4 คะแนน) รองลงมา คอื เดก็ กลมุ่ ประถมศึกษา
ตอนต้นมีค่าคะแนน 79.8 และคะแนนนี้มีค่าลด
น้อยลง เมื่อเด็กอยู่ในช่วงวัยท่ีโตขึ้น จนกระทั่งถึง
ระดับอุดมศึกษาปีที่ 3-4 มีค่าคะแนนต่าสุด คือ
59.4 คะแนน

โปร่งใสและตรวจสอบได้ (กลุ่มเด็กปฐมวัยไม่ได้มี
การประเมินพฤติกรรมน้ี) ผลการประเมินพบว่า
เด็กประถมศึกษาตอนต้นมีค่าคะแนนโปร่งใสและ
ตรวจสอบได้สูงสุด (96.3) รองลงมา คือ กลุ่มเด็ก
ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า ต อ น ป ล า ย ( 8 7. 0) ส่ ว น เ ด็ ก
มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย
อุดมศึกษาปีที่ 1-2 และอุดมศึกษาปีที่ 3-4 มีค่า
คะแนนอยู่ระหว่าง 61 - 66 คะแนน

มุ่ ง มั่ น ท า ง า น มุ่ ง พั ฒ น า ( ก ลุ่ ม เ ด็ ก ป ฐ ม วั ย
ประถมศึกษาตอนต้น และประถมศึกษาตอนปลาย
ไม่ได้มีการประเมินพฤติกรรมนี้) ผลการประเมิน
พบว่า นักศกึ ษาอุดมศึกษาปที ี่ 1-2 มีค่าคะแนนการ
มุ่งมั่นทางานมุ่งพัฒนาสูงสุด (83.5) รองลงมา คือ
นักศึกษาอุดมศึกษาปีท่ี 3-4 มีค่าคะแนน 79.4
ส่วนเด็กมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอน
ปลาย มีคา่ คะแนนอยูร่ ะหว่าง 64 - 74 คะแนน

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดม่ันความซอ่ื สัตยส์ จุ ริต ฉบับสมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 5 - ๗

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ มั่นความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

เอ้ืออาทร เด็กปฐมวัยมีค่าคะแนนความเอ้ือ
อาทรสูงสุด (84.7 คะแนน) รองลงมา คือ นักศึกษา
อดุ มศึกษาปีที่ 1-2 มีค่าคะแนน 82.7 ส่วนกลุ่มที่มี
คะแนนความเอื้ออาทรต่าสุด คือ นักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาตอนปลาย มีคา่ คะแนน 74.0

อดทนอดกล้ัน (พฤติกรรมมุ่งประเมินนี้ จะประเมิน
เฉพาะเด็กและเยาว ช นท่ีอยู่ในช้ันปฐ มวัย )
ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่า เดก็ และเยาวชนท่ีอยู่
ในชั้นปฐมวัยมีความอดทนอดกลั้นสูง โดยมีค่า
คะแนนเทา่ กบั 81.2 คะแนน

องค์ประกอบที่ 4 พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งมีพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือกลุ่ม
พฤติกรรมย่อย 5 พฤตกิ รรม อันได้แก่ 1) เคารพสิทธิหน้าที่ต่อตนเองและผู้อ่ืน 2) จิตสานึกความเป็นเจ้าของ
ประเทศ 3) รับผิดชอบต่อสังคม 4) จิตสาธารณะ และ 5) ปฏิบัตติ ามกฎ กติกาข้อตกลง ผลการประเมินในแต่
ละพฤตกิ รรมย่อยมีดงั น้ี
เ ค า ร พ สิ ท ธิ ห น้ า ท่ี ต่ อ ต น เ อ ง แ ล ะ ผู้ อื่ น เ ด็ ก
ประถมศึกษาตอนต้นมีค่าคะแนนการเคารพสทิ ธิหน้าที่
ต่อตนเองและผู้อื่นสูงสุด (85.2 คะแนน) รองลงมา
คอื เด็กและเยาวชนในชั้นประถมศกึ ษาตอนปลายมีค่า
คะแนน 81.9 ส่วนกลุ่มท่ีมีคะแนนการเคารพสิทธิ
หน้าที่ตอ่ ตนเองและผูอ้ ื่นตา่ สดุ คอื เด็กและเยาวชนชั้น
ประถมศกึ ษาตอนตน้ มคี า่ คะแนน 74.4

จิตสานึกความเป็นเจ้าของประเทศ (พฤติกรรม
มุ่งประเมินน้ี จะประเมินเฉพาะเด็กและเยาวชนที่
อยู่ในชั้นประถมศึกษาตอนต้น ประถมศึกษาตอน
ปลาย อุดมศึกษาปีที่ 1-2 และอุดมศึกษาปีที่ 3-
4) ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่า การมีจิตสานึก
ความเป็นเจ้าของประเทศลดลงตามช่วงวัย เด็ก
และเยาวชนที่อยู่ในชั้นประถมศึกษาตอนต้นมี
คะแนนจิตสานึกความเป็นเจ้าของประเทศสูงสุด

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซ่อื สัตยส์ ุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 5 - ๘

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ดึ ม่นั ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

(86.2 คะแนน) รองลงมา คือ เด็กและเยาวชนท่ี
อยู่ในชั้นประถมศึกษาตอนต้นมีคะแนน 74.5
ส่วนเด็กและเยาวชนที่มคี ะแนนจิตสานึกความเป็น
เจ้าของประเทศต่าสุด คือ นักศึกษาอุดมศึกษาปีท่ี
3-4 มคี า่ คะแนนเทา่ กับ 64.3

รับผิดชอบต่อสังคม เด็กประถมศึกษาตอนต้นมีค่า
คะแนนความรับผิดชอบต่อสังคม สูงสุด (79.3
คะแนน) รองลงมา คือ เด็กและเยาวชนในช้ัน
ประถมศึกษาตอนปลายมีค่าคะแนน 76.9 ส่วนกลุ่มท่ี
มคี ะแนนความรับผิดชอบต่อสังคม ต่าสุด คอื เด็กและ
เยาวชนช้นั ปฐมวยั มีคา่ คะแนน 65.7

จิตสาธารณะ เด็กปฐมวัยมีค่าคะแนนการมีจิต
สาธารณะสูงสุด (98.3 คะแนน) รองลงมา คือ
เดก็ และเยาวชนในช้นั ประถมศึกษาตอนปลายมคี ่า
คะแนน 76.0 ส่วนกลุ่มท่ีมีคะแนนการมีจิต
สาธารณะต่าสุด คือ นักศึกษาระดับอุดมศึกษาปีท่ี
3-4 มคี า่ คะแนน 64.9

ปฏิบัติตามกฎ กติกาข้อตกลง เด็กประถมศึกษา
ตอนต้นมีค่าคะแนนการปฏิบัติตามกฎ กติกาข้อตกลง
สูงสุด (86.1 คะแนน) รองลงมา คือ เด็กและเยาวชน
ในช้ันปฐมวัยมีค่าคะแนน 83.4 ส่วนกลุ่มที่มีคะแนน
การปฏิบัติตามกฎ กติกาข้อตกลงต่าสุด คือ เด็กและ
เ ย า ว ช น ใ น ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ต อ น ป ล า ย มี ค่ า ค ะ แ น น
70.8

สาหรับผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต เม่ือพิจารณา
แนวโน้มองค์ประกอบย่อยหรือพฤติกรรมมุ่งประเมินในท้ัง 4 องค์ประกอบฯ และแนวโน้มในช่วงช้ันต่าง ๆ
พบว่ามีองค์ประกอบย่อย ระบบคิดฐานสอง พอประมาณ โปร่งใสตรวจสอบได้ จิตสานึกความเป็นเจ้าของ
ประเทศ และจิตสาธารณะมีแนวโน้มคา่ คะแนนพฤติกรรมที่ยดึ มั่นความซ่ือสตั ย์สุจริตของเดก็ และเยาวชนลดลง
ชัดเจนอย่างต่อเนื่องเม่ือเด็กและเยาวชนอยู่ในช่วงวัยที่สูงข้ึน และพบว่าองค์ประกอบย่อย แยกแยะระหว่าง
ส่วนตนและส่วนรวม และเคารพสิทธิหน้าที่ต่อตนเองและผู้อ่ืน ก็มีแนวโน้มค่าคะแนนลดลงแต่ไม่ชัดเจน
ในทางตรงกันข้ามพบว่าองค์ประกอบย่อย เสียสละเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมและยอมรับการกระทา
ของตนเอง มีค่าคะแนนเพ่ิมข้ึนเมื่อเด็กและเยาวชนอยู่ในช่วงวัยท่ีสูงขึ้น และพบว่ามี 3 องค์ประกอบย่อยท่ีมี
คา่ คะแนนมีลักษณะเป็นรปู ตวั วี ซง่ึ ได้แก่ องค์ประกอบยอ่ ย ความรับผิดชอบต่อตนเอง ระเบยี บวนิ ัย ละอายต่อ

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มั่นความซือ่ สตั ย์สจุ รติ ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 5 - ๙

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

การทุจริต และการปฏิบัติตามกฎ กติกา ข้อตกลง ที่ค่าคะแนนจะมีค่าต่าในช่วงมัธยมต้นและมัธยมปลาย
องค์ประกอบย่อยท่ีเหลืออื่น ๆ มีค่าคะแนนท่ีไม่แตกต่างกันในแต่ละช่วงช้ัน จากผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า
องค์ประกอบย่อยที่ต้องได้รับการมุ่งเน้นเข้มข้นเพ่ิมมากข้ึนตามช่วงชั้นที่สูงข้ึนคือ ระบบคิดฐานสอง
พอประมาณ โปร่งใสตรวจสอบได้ จิตสานึกความเปน็ เจ้าของประเทศ และจิตสาธารณะ ส่วนองค์ประกอบ
ย่อยที่ต้องมุ่งเน้นเข้มข้นในช่วงวัยประถมศึกษาปลาย มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย คือ
ความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเอง ส่วนองคป์ ระกอบย่อย ระเบยี บวินัย ละอายต่อการทุจรติ และการปฏิบตั ิตามกฎ
กตกิ า ข้อตกลง ต้องไดร้ บั การปลูกฝังอย่างเข้มข้นในช่วงชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้นและมัธยมศกึ ษาตอนปลาย

ตารางท่ี 5-1 แนวโน้มพฤติกรรมที่ยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต จาแนกตามองค์ประกอบย่อยหรือพฤติกรรมมุ่ง
ประเมินขององค์ประกอบพฤติกรรมท่ียึดมัน่ ความซื่อสตั ย์สจุ รติ

องคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบยอ่ ย/ ชว่ งชั้นทป่ี ระเมนิ แนวโน้มคะแนนพฤตกิ รรม
พฤติกรรม พฤตกิ รรมมงุ่ ประเมนิ ท่ยี ดึ มนั่ ความซ่อื สตั ย์สจุ รติ
ท่ยี ดึ มน่ั ความ ประเมินทุกช่วงชั้น
ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ  แยกแยกระหว่าง ลดลงแต่ไม่ชัดเจน มีคา่ คะแนนแตกต่างกันเพียง
1.การคดิ ส่วนตนและสว่ นรวม ปฐมวยั ไมไ่ ด้ประเมิน เลก็ นอ้ ยในแต่ละช่วงชน้ั
แยกแยะระหว่าง ลดลงอย่างชดั เจนจากช่วงขั้นปฐมวยั ถึงชว่ งชั้น
ผลประโยชน์  ระบบคดิ ฐานสอง ประถมต้น ประถมปลาย อดุ มศกึ ษาปี 3-4
ส่วนตนกับ ไมไ่ ดป้ ระเมนิ เพ่ิมข้ึนอย่างชดั เจนจากชว่ งชัน้ ปฐมวัยถงึ ช่วงช้นั
ผลประโยชน์  เสียสละเหน็ แก่ อดุ มศึกษาปี1-2 อุดมศึกษา อุดมศึกษาปีที 3-4
ส่วนรวม ประโยชน์สว่ นรวม ปี3-4 ไม่ไดป้ ระเมิน มลี ักษณะเป็นรูปตวั วี ช่วงคา่ คะแนนลดต่าอยู่ในชว่ ง
2.ความละอาย ปฐมวัยไมไ่ ด้ประเมิน ประถมตน้ ถงึ มัธยมตน้
และความไมท่ น  ความรับผดิ ชอบต่อ มีลักษณะเป็นรูปตัววี ช่วงค่าคะแนนลดตา่ อยู่ในช่วง
ต่อการทุจรติ ตนเอง ประเมินทุกช่วงชนั้ มธั ยมต้นและมธั ยมปลาย
มีลกั ษณะเป็นรูปตวั วี ชว่ งค่าคะแนนลดต่าอยูใ่ นช่วง
3.STRONG: จิต  ระเบียบวินยั ประเมินทุกช่วงชั้น มัธยมต้นและมัธยมปลาย
พอเพยี งต้าน ประเมนิ ทุกช่วงชั้น คา่ คะแนนไมแ่ ตกต่างกันในแต่ละช่วงชั้น
ทุจรติ  ละอายตอ่ การทุจรติ ประถมปลาย มัธยมต้น ค่าคะแนนไม่แตกตา่ งกันในแต่ละชว่ งชน้ั
มัธยมปลาย ไม่ได้ประเมิน มแี นวโนม้ เพ่มิ ขึ้นจากช่วงขั้นปฐมวัยถงึ อดุ มศึกษา
 ไม่ทนตอ่ การทุจรติ ประเมนิ ทุกช่วงชน้ั ปที ี่ 3-4
 ซื่อสตั ย์ พดู ความจริง ลดลงอย่างชดั เจนจากช่วงขั้นปฐมวยั ถึงช่วงชน้ั
 ยอมรบั การกระทา ปฐมวยั ไม่ได้ประเมิน อดุ มศกึ ษาปี 3-4
ลดลงอยา่ งชดั เจนจากชว่ งขั้นปฐมวยั ถึงชว่ งชนั้
ของตนเอง ปฐมวยั ประถมตน้ ประถม อดุ มศกึ ษาปี 3-4
 พอประมาณ ปลาย ไม่ได้ประเมิน คา่ คะแนนไม่แตกตา่ งกันในแต่ละชว่ งช้นั
ประเมนิ ทุกช่วงชน้ั
 โปรง่ ใสและ ประเมนิ ปฐมวัยเพยี งชว่ งชัน้ ค่าคะแนนไมแ่ ตกตา่ งกนั ในแต่ละชว่ งชัน้
ตรวจสอบได้ เดยี ว ประเมนิ เพียงช่วงขั้นเดยี ว
ประเมนิ ทุกช่วงชน้ั
 ม่งุ มนั่ ทางาน มุ่ง ลดลงแต่ไม่ชัดเจน มีคา่ คะแนนแตกต่างกันเพียง
พฒั นา เล็กนอ้ ยในแตล่ ะช่วงช้นั

 เอ้อื อาทร
 อดทนอดกล้ัน

 เคารพสิทธิหน้าที่ตอ่
ตนเองและผูอ้ ืน่

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มนั่ ความซ่ือสัตย์สุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๑๐

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดมั่นความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

องคป์ ระกอบ องค์ประกอบยอ่ ย/ ชว่ งชัน้ ทป่ี ระเมนิ แนวโนม้ คะแนนพฤตกิ รรม
พฤตกิ รรม พฤติกรรมมุง่ ประเมนิ ทย่ี ดึ มน่ั ความซือ่ สตั ย์สจุ รติ
ทย่ี ดึ มนั่ ความ ปฐมวัย มธั ยมต้น มัธยม
ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ  จิตสานึกความเปน็ ปลาย ไม่ได้ประเมนิ ลดลงอย่างชัดเจนจากช่วงข้ันปฐมต้นถงึ ช่วงช้นั
เจา้ ของประเทศ ประเมนิ ทุกช่วงชั้น อดุ มศึกษาปี 3-4
4.พลเมืองกับ ประเมนิ ทกุ ช่วงชั้น คา่ คะแนนไม่แตกต่างกันในแต่ละชว่ งชนั้
ความรับผดิ ชอบ  รับผดิ ชอบตอ่ สังคม ลดลงอยา่ งชดั เจนจากชว่ งข้ันปฐมวัยถงึ ชว่ งชั้น
ต่อสังคม  จติ สาธารณะ อุดมศึกษาปี 3-4
มีลักษณะเป็นรูปตัววี ช่วงคา่ คะแนนลดตา่ อย่ใู นช่วง
 ปฏบิ ตั ิตามกฎ กติกา ประเมนิ ทกุ ช่วงชัน้ มัธยมตน้ และมธั ยมปลาย
ข้อตกลง

5.2.3. การนาหลักสตู รต้านทจุ ริตศกึ ษาไปใช้กบั รอั ยละของเด็กและเยาวชนไทยมพฤตกิ รรมท่ียดึ
ม่ันความซ่ือสัตยส์ ุจรติ

รูปแบบการนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ โดยจาแนกออกเป็น 2 หลักสูตร ได้แก่หลักสูตร
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด
“Youngster with good heart”) โดยหลักสูตรการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน (รายวิชาเพ่มิ เติม การปอ้ งกันการทุจรติ )
มีรปู แบบการนาไปใช้ 6 รูปแบบ คือ 1) บรู ณาการกับวถิ ีชวี ิตในโรงเรียน 2) จดั เป็นกจิ กรรมเสริมหลกั สตู ร 3)
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4) บูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระอื่น ๆ 5) บูรณาการการเรียนการสอนกับ
กลุ่มสาระสังคมศึกษา และ 6) เปิดรายวชิ าเพมิ่ เติม และในหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster
with Good Heart”) สถาบันอุดมศึกษาได้มีการนาไปใช้ใน 4 รูปแบบ คือ 1) จัดทาเป็นวิชาเลือก 2) บูรณา
การหรือสอดแทรกเนื้อหากับรายวิชาอ่ืน ๆ 3) จัดเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร และ 4) เปิดเป็น 1 รายวิชา
จานวน 3 หน่วยกิต

เมื่อวิเคราะห์เด็กและเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต จาแนกตามรูปแบบการนา
หลกั สูตรไปใช้ พบว่า ในหลักสูตรการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน (รายวชิ าเพิ่มเติม การปอ้ งกนั การทุจรติ ) สถานศึกษาที่
มีรูปแบบการนาหลักสูตรไปใช้ในลักษณะเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มีสัดส่วนของเด็กและเยาวชนท่ีมี
พฤติกรรมท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตร้อยละ 56.2 สูงกว่าการนาไปใช้ในรูปแบบอ่ืน ๆ รองลงมาคือ
การบูรณาการการเรียนการสอนกบั กล่มุ สาระอื่น ๆ หรือบูรณาการกับกลุ่มสาระสังคมศึกษามสี ัดสว่ นพอ ๆ กัน
คอื ร้อยละ 54.0 ส่วนต่าสดุ คือ บูรณาการกับวิถีชีวิตในโรงเรียน ร้อยละ 51.6 แต่ในท้ัง 6 รปู แบบ ก็ถือว่า
มีจานวนเด็กและเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริตสูงกว่าค่าเป้าหมายร้อยละ 46.0 และเม่ือ
จาแนกพิจารณารายภาค พบว่า ภาคกลางรปู แบบการนาหลักสูตรไปใช้ในลักษณะการบูรณาการการเรียนการ
สอนกับกลุ่มสาระอนื่ ๆ มีสัดส่วนของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สจุ ริตร้อยละ 59.5
สูงกว่าการนาไปใช้ในรูปแบบอื่น ๆ รองลงมาคือ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่ร้อยละ 57.7 และพบว่าในทุกภาค
รูปแบบการนาหลักสูตรไปใช้ในลักษณะการบูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสังคมสาระศึกษา มีสัดส่วน
ของเด็กและเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริตค่าใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 53.5-54.5) และเม่ือ
วิเคราะห์เด็กและเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต จาแนกตามรูปแบบท่ีสถาบันอุดมศึกษา
นาไปใช้ ผลการประเมินพบว่า การเปิดเป็น 1 รายวิชา จานวน 3 หน่วยกิต มสี ัดส่วนของเด็กและเยาวชนท่ีมี
พฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตสูงสุด (ร้อยละ 75) ต่าสุด คือ จัดเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร ร้อยละ
43.9

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มั่นความซอ่ื สตั ย์สุจริต ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 5 - ๑๑

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ดึ ม่ันความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

5.2.4. ความสัมพนั ธร์ ะหว่างระดบั ผลสัมฤทธิ์ในการนาหลักสตู รต้านทจุ ริตศกึ ษาไปใช้กับรอ้ ยละ
ของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยดึ มน่ั ความซ่ือสัตย์สุจริต

เม่ือนาระดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ในการนาหลักสูตรการศึกษาไปใช้ในสถานศึกษาในภาพรวม
ที่มี 5ระดับ คือ 1) มีศักยภาพและความพร้อมมาก (A) 2) มีศักยภาพและความพร้อมปานกลาง (B)
3) มีศักยภาพและความพร้อมน้อย (C) 4) มีศักยภาพและความพร้อมน้อยมาก (D) และ 5) ไม่มีศักยภาพ
และความพร้อม (E) มาวิเคราะห์รว่ มกบั ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมยึดม่นั ความซื่อสตั ย์สุจริต
ผลการประเมินช้ีให้เห็นว่า สถานศึกษาท่ีมีระดับคะแนนผลสัมฤทธ์ิในการนาหลักสูตรไปใช้สูง คือ มีศักยภาพ
และความพรอ้ มสูง เดก็ และเยาวชนในสถานศึกษานั้น มสี ัดส่วนของผ้ทู ี่มพี ฤตกิ รรมยึดมั่นความซอ่ื สตั ย์สจุ ริตสูง
และเมื่อระดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ในการนาหลักสูตรไปใช้ลดลง สัดส่วนของเด็กและเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมท่ีพึง
ประสงค์ มีคา่ ลดนอ้ ยลงเชน่ กนั ความสัมพันธก์ นั น้ี มีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ 0.05

เม่ือนาผลมาแยกวิเคราะห์รายหลักสูตร พบว่า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพ่ิมเติม
การป้องกันการทุจริต) สถานศึกษาที่มีระดับผลสัมฤทธ์ิในการนาหลักสูตรไปใช้สูง คือ มีศักยภาพและความ
พร้อมสูง เด็กและเยาวชนในสถานศึกษานนั้ มีสัดส่วนของผ้ทู ี่มีพฤติกรรมยึดมน่ั ความซ่ือสัตยส์ ุจรติ สงู และเม่ือ
ระดับผลสัมฤทธ์ิในการนาหลักสูตรไปใช้ลดต่าลง สัดส่วนของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์
มีค่าลดน้อยลงเช่นกัน และความแตกต่างนี้ มนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 ส่วนในหลกั สูตรอดุ มศึกษา (วัย
ใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ผลของการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า ไม่สามารถสรุปได้อย่าง
ชดั เจนวา่ ศักยภาพและความพร้อมในการนาหลักสตู รไปใช้มีความสมั พันธก์ ับร้อยละของเยาวชนท่ีมีพฤติกรรม
ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ดังจะเห็นได้จาก กลุ่มท่ีถือว่า ไม่มีศักยภาพและความพร้อม (เกรด E) มีร้อยละ
ของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สูงกว่ากลุ่มท่ีมีศักยภาพและความพร้อม (เกรด D) แต่
กลุ่มท่ีมีศักยภาพและความพร้อมอยู่ในระดับ C มีสัดส่วนของผู้ท่ีมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตสูง
กว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาดูภาพรวมทั้งหมด โดยแบ่งเป็นกลุ่มท่ถี ือว่า มีศกั ยภาพและความพร้อม (กลุ่ม
C และกลุม่ D) กับกลุ่มท่ีไม่มีศักยภาพและความพร้อม ถือว่า มีความแตกต่างกัน

5.2.5. โครงการตา้ นทุจริตอื่น ๆ ทด่ี าเนนิ การในสถานศกึ ษานอกเหนือจากหลกั สูตรตา้ นทจุ รติ
ศึกษากบั รอ้ ยละของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยดึ ม่นั ความซ่ือสตั ย์สจุ รติ

เมื่อนาโครงการต้านทุจริตศึกษาอื่น ๆ ที่สถานศึกษาระบุว่าได้ดาเนินการ ได้แก่ 1) โรงเรียนสีขาว
2) โรงเรียนคุณธรรม 3) โรงเรียนสุจริต 4) โรงเรียนวิถีพุทธ 5) โรงเรียนศีลห้า 5 6) บริษัทสร้างการดี
7) โตไปไม่โกง 8) สถานศึกษาพอเพียง 9) ส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียน และ 10) โครงการอื่น ๆ คือ
โครงการต้านทุจริตอ่ืน ๆ ท่ีสถานศึกษาได้ริเร่ิมดาเนินการเอง เม่ือวิเคราะห์ร้อยละของเด็กและเยาวชนใน
สถานศึกษาทีด่ าเนนิ การโครงการต้านทุจริตศกึ ษาตา่ ง ๆ เหลา่ นพ้ี บว่า เด็กและเยาวชนทศี่ กึ ษาอย่ใู นโรงเรยี นท่ี
ดาเนินโครงการโตไปไม่โกงมีค่าร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤตกิ รรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตสูงท่ีสุด
(ร้อยละ 59.0) รองลงมาได้แก่ เด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานศึกษาท่ีดาเนินโครงการส่งเสริมประชาธิปไตยใน
โรงเรียนที่รอ้ ยละ 54.3 โครงการโรงเรียนศีล 5 ที่ร้อยละ 53.8 โครงการโรงเรียนสขี าวและโครงการอื่น ๆ
ท่ีโรงเรียนดาเนินการเองสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ร้อยละ 53.1 โรงเรียนคุณธรรมท่ีร้อยละ 52.5 ตามลาดับ
ส่วนเด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานศึกษาที่ดาเนินโครงการบริษัทสร้างการดี มีร้อยละของเด็กและเยาวชนไทย
ทมี่ พี ฤตกิ รรมยึดม่นั ความซือ่ สัตย์สจุ ริตต่าสุดทร่ี ้อยละ 49.8

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ดึ มัน่ ความซื่อสตั ยส์ จุ ริต ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๑๒

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยึดมัน่ ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

5.2.6. การวิเคราะห์ร้อยละของเด็กและเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต จาแนก
ตามตวั แปรสาคญั โดยการวเิ คราะห์การจาแนกพหุ (Multiple Classification Analysis หรอื MCA)

เม่ือนาตัวแปรสาคัญ ๆ ได้แก่ ภูมิภาค รูปแบบการนาหลักสูตรไปใช้ ขนาดของสถานศึกษา และ
โครงการต้านทุจริตศึกษาอื่น ๆ ที่ได้มีการดาเนินการในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. นามาวิเคราะห์โดยการ
วิเคราะห์การจาแนกพหุ (Multiple Classification Analysis) โดยนารูปแบบการนาหลักสูตรไปใช้ มาจัดกลุ่ม
ใหมเ่ ปน็ 2 กลุ่ม คอื 1) เปิดรายวิชาเพมิ่ เตมิ และ 2) รปู แบบอื่น ๆ และนาโครงการตา้ นทจุ รติ ศึกษาอืน่ ๆ ได้
นาสถานศึกษาท่ีไม่ได้มีการดาเนินโครงการต้านทุจริตศึกษาอ่ืนใดเลยแบ่งเป็นกลุ่มที่ “ไม่มีโครงการ” ส่วน
โครงการต้านทุจริตศึกษาอ่ืน ๆ ที่ดาเนินการ (10 โครงการ) จัดเป็นกลุ่มท่ี “มีโครงการ” จากการวิเคราะห์
พบว่า รอ้ ยละของเด็กและเยาวชนไทยทมี่ ีพฤตกิ รรมยึดมน่ั ความซอ่ื สัตยส์ ุจริตก่อนและหลงั ปรับ มีคา่ ทงั้ เพ่มิ ขึ้น
และลดลง แต่ความแตกต่างท่ีเพ่ิมข้ึนหรือลดลงมีไม่ถึงร้อยละ 1 โดยภาคกลางยังคงมีสัดส่วนสูงสุด (ร้อยละ
54.1) รองลงมา คือ ภาคเหนือและภาคใต้มีสัดส่วนพอ ๆ กัน (ร้อยละ 52.3) ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประมาณร้อยละ 51.1 การเปิดรายวชิ าเพม่ิ เติม เมือ่ เทียบกับรูปแบบการนาไปใช้รูปแบบอ่ืน ๆ พบว่า แม้จะมี
ค่าสูงกว่า แต่ความแตกต่างน้ี ก็ไม่มีนัยสาคัญทางสถิติแต่อย่างใด ในส่วนร้อยละฯ ตามขนาดของสถานศึกษา
สถานศึกษาท่ีมีขนาดต่างกัน สัดส่วนของเด็กที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ
โดยขนาดของสถานศึกษาแปรผันโดยตรงกับสัดส่วนของเด็กท่ีมีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ส่วน
โครงการต้านทจุ ริตศึกษาอ่ืน ๆ ท่ีสถานศึกษาได้มีการดาเนินการ เม่อื เปรียบเทียบกับสถานศกึ ษาทร่ี ะบวุ ่า ไม่มี
การดาเนินโครงการใด ๆ เลย พบว่า สัดส่วนของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริตไม่
ต่างกันอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ แมว้ ่า จะมีสดั สว่ นสูงกวา่

5.2.7. สรุปผลข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีได้จากเคร่ืองมือฐานจาลองสถานการณ์สะท้อนพฤติกรรมเด็ก
และเยาวชนที่ยึดมัน่ ความซ่อื สัตย์สจุ ริต

ฐานจาลองสถานการณ์ 3 ลักษณะ มีชื่อว่า Kid’s คิด, Kid’s Cast และ Youth voice สอดคล้องกับ
กลุ่มเป้าหมายทั้ง 7 ช่วงช้ัน พัฒนาข้ึนเพ่ือเป็นเคร่ืองมือในการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ มีลักษณะเป็นพ้ืนท่ี
ทางความคิดแบบเปิด เพื่อให้เด็กและเยาวชน สะท้อนฐานคิด อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ของพฤติกรรมยึดมั่น
ความซ่ือสัตย์สุจริตได้อย่างเต็มท่ีผ่านการสนทนาปลายเปิด ผ่านระบบ TYintegrity โดยฐานจาลอง Kid’s คิด
สาหรับช่วงช้ันปฐมวัย จะเป็นการเล่าเรื่องจากภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวต่อด้วยบทสนทนา ฐานจาลอง Kid’s
Cast สาหรับช่วงช้ันประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นบทสนทนาระหว่างระบบการต้ังคาถามอัตโนมัติ
(Bot) กับเด็ก เปิดโอกาสให้เด็กตอบตามที่คิด และรับรู้ ให้เด็กได้สะท้อนมุมมองต่อตนเอง สังคมใกล้ตัว
และฐานจาลอง Youth voice สาหรับช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายและช่วงช้ันระดับอุดมศึกษา เป็นบท
สนทนาปลายเปิดผ่านระบบ TYintegrity เช่นกัน เปรียบเสมือนพ้ืนที่ให้เยาวชนได้แสดงความคิดอย่างเสรี
สะทอ้ นสถานการณ์การไม่ซือ่ สัตย์ท่เี กดิ ขน้ึ สะทอ้ นภาพภาพในอนาคต และสะท้อนบทบาทของเดก็ แยะเยาวชน
ต่อการสร้างอนาคตประเทศ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลฐานจาลองสถานการ์ Kid’s คิด เด็กในช่วงช้ันปฐมวัยหรือระดับอนุบาล
สะท้อนฐานคิดผ่านภาพการ์ตูนเคลื่อนไหว โดยมีเนื้อหาเก่ียวกับการตัดสินใจต่อแถวเข้าคิวเพื่อซื้อขนม พบว่า
เด็กปฐมวัยท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่าง ทั้งในภาพรวม จาแนกตามสังกัดของสถานศึกษาและในระดับภูมิภาค มีการ
แสดงความคดิ เห็นที่คล้ายกัน คือ สามารถเข้าแถวรอ จนกว่าจะถงึ คิวของตนเองเพ่ือซ้ือขนม มเี พียงสว่ นน้อยท่ี
ไม่รอต่อคิว ส่วนหนึ่ง คือ มากินในวันอื่น หรือรอจนกว่าคนน้อยจึงมาซ้ือ คาตอบที่ได้ดังกล่าวน้ันเป็นไปตามท่ี

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมัน่ ความซื่อสัตยส์ จุ ริต ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๑๓

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดมนั่ ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

คาดหมายเพราะการออกแบบบทสนทนาเป็นลักษณะเชิงปลูกฝัง ในช่วงช้ันปฐมวัย เด็กจะยังอยู่ในช่วงเร่ิมคิด
และความรู้สึกผิด จะเป็นช่วงที่สามารถสอนและเด็กจะปฏิบัติตาม ดังน้ันผลที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการปลูกฝัง
คุณลักษณะพฤติกรรมการรอคอยของเด็กผ่านครอบครัวและระบบโรงเรียนของไทยมีอยู่ค่อนข้างสูง ทาให้
คาตอบทไี่ ด้บ่งบอกว่าเดก็ ส่วนใหญ่สามารถแสดงพฤติกรรมการรอคอยได้

ฐานจาลองสถานการณ์ Kid’s Cast จะมีบทสนทนาอยู่ใน 3 รูปแบบแตกต่างกันไปตามช่วงชน้ั โดย
ในชว่ งชั้นประถมศึกษาตอนตน้ (ป.1-3) บทสนทนาออกแบบเพื่อให้เด็กสะท้อนพัฒนาการการเรียนรู้โดยการ
เลียนแบบ หัวข้อในบทสนทนา ซ่ึงจะให้เด็กสะทอ้ นว่า โตขึ้น เขาอยากเป็นเหมือนกับใคร แล้วทาไมถึงอยาก
เป็นเหมือนคนนั้น แล้วให้เด็กสะท้อนเพิ่มเติมว่า เด็กอยากทาอะไรให้คนอืน่ บ้าง ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู Kid’s
Cast ของบทสนทนาในช่วงชั้นประถมศึกษาตอนต้น พบว่า บุคคลที่เด็กอยากเปน็ และเป็นแบบอย่าง ส่วนใหญ่
จะเป็นผู้ท่ีอยู่ใกล้ตัวของเด็กๆ ได้แก่ พ่อ แม่ หรอื ครู โดยเด็กๆให้เหตุผลว่า ใจดี ขยัน สอนนักเรียนให้มีความรู้
ทางานเกง่ เด็ก ๆ บางสว่ นอยากเป็น แพทย์ พยาบาล ทหาร ตารวจ เหตุผลเพราะจะไดช้ ่วยเหลือคนอน่ื แสดง
ให้เห็นว่าเด็กในช่วงช้ันน้ีมีความคิดท่ีอยากช่วยเหลือคนอ่ืน ดูแลคนอื่น การที่เด็กอยากเป็นเหมือนคนใกล้ตัว
คือ พ่อ แม่ หรือครู แสดงให้เห็นว่าในช่วงขั้นนี้พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง และครูที่ใกล้ชิด มีผลต่อการหล่อหลอม
พฤติกรรมของเด็ก ๆ มากในช่วงวยั นี้ นอกจากนี้ยงั ตอกย้าถึงความสาคัญของการรบั รู้ของเดก็ ๆ ผ่านส่ือตา่ ง ๆ
ที่สร้างความเป็นพระเอก (ฮีโร่) ในตัวละคร ทาให้เด็กมีความต้องการอยากจะเป็นในบทบาทน้ัน ๆ เมื่อสนทนา
ถึงการช่วยเหลือผู้อื่น ในช่วงวัยนี้ยังมีความนึกคิดการช่วยเหลือผู้อ่ืน ตามระบบสอนของพ่อ-แม่ ครู ท่ีต้องให้
แบ่งบัน ช่วยทางานบ้าน ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเพ่ือน แสดงว่าเด็กส่วนใหญ่ยังปฏิบัติตามตามคาส่ังสอน เพ่ือให้
พ่อ-แม่ ครู ยอมรบั หรอื ไม่ถูกลงโทษ

ข้อมูลจากสถานการณ์จาลอง Kid’s Cast ช่วงช้ันประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) บทสนทนา
ออกแบบเพ่ือให้เด็กได้สะท้อนถึงมุมมองของเพื่อนว่า มองตัวเด็กเป็นอย่างไรและมุมมองที่เด็กมีต่อตนเอง
ซึ่งในช่วงวัยนี้ถือได้ว่ากลุ่มเพื่อนและมุมมองที่มีต่อตนเองจะมีบทบาทในการหล่อหลอมการมีทัศนคติต่อ
พฤติกรรมที่จะกระทาหรือไม่กระทา ผลการศึกษา พบว่า มีความหลากหลาย ส่วนใหญ่ตอบว่า เพื่อนมอง
ตนเองว่าเป็นคนดี (มีน้าใจ) เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ตลก เฮฮา อารมณ์ดี และเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูด
คาตอบท่ีได้จากเด็กกลุ่มนี้ ค่อนข้างตอกย้านิสัยโดยส่วนใหญ่ของคนไทย ที่มองว่าเป็นคนมีน้าใจ และเป็นคน
ย้ิมง่าย สนุกสนานร่าเริง เม่ือสอบถามถึงมุมมองต่อตนเองว่าเคยทาความดีอะไรบ้าง พบว่ามี 3 ลักษณะ คือ
การทาความดีตอ่ ตนเอง เช่น ตง้ั ใจเรียน เชื่อฟังพ่อแม่ ส่งงานตรงเวลาทุกครง้ั การทาความดตี ่อผู้อ่ืน เชน่ ช่วย
ครูถือของ ชว่ ยพอ่ แม่ทางานบ้าน และการทาความดตี ่อส่วนรวม เช่น เก็บขยะ ทาความสะอาดบรเิ วณโรงเรยี น
เป็นต้น คาตอบยังคงสะท้อนว่าเด็กนักเรียนในช่วงวัยนี้ ยังมีมุมมองในความดีของตนเอง ตามความคาดหวัง
ของ พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง และหรือครู เป็นการแสดงพฤติกรรมเพ่ือให้พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ครู ยอมรับและไม่ถูก
ลงโทษ ยังคลา้ ยกับพฒั นาการในช่วงช้ันประถมต้น เพยี งแต่เพมิ่ เรอื่ งการยอมรบั จากกลุม่ เพ่ือนเข้ามา

ฐานจาลองสถานการณ์ Kid’s Cast ในช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) บทสนทนายังคง
ตอ้ งการให้เด็กสะท้อนฐานคิดว่าเพ่ือนมองเด็กเป็นคนเช่นไร ต่อด้วยการให้เด็กสะท้อนสภาพสังคมในเวลานี้ใน
ความคิดของเด็ก และเขาจะทาอย่างไรได้บ้าง ผลการศึกษาพบวา่ ฐานคิดเกี่ยวกบั ตนเองในมุมมองของเพอ่ื น ๆ
คาตอบมีความคล้ายคลึงกับบทสนทนาเดียวกันในช่วงช้ันประถมศึกษาตอนปลาย ที่มีความหลากหลาย ส่วน
ใหญ่ตอบว่าเพื่อนมองตนเองว่าเป็นคนดี (มีน้าใจ) เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ตลก เฮฮา อารมณ์ดี และเป็นคน
เงียบ ๆ ที่เพ่ิมเติมของคาตอบในช่วงช้ันนี้ คือคาตอบจะมีการกระจายตัวมาก และจะมีลักษณะคาตอบของ

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มน่ั ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๑๔

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ ม่ันความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

มุมมองท่ีเป็นมิติอารมณ์หลากหลาย เช่น มองว่า เป็นคนอารมณ์ร้อน บ้า ๆ บอ ๆ แต่รักเพื่อน ลักษณะของ
คาตอบ เช่นนี้ แสดงถึง การเร่ิมไม่ม่ันใจว่าเพื่อน ๆ จะมองตนเป็นคนอย่างไรหรือในมุมมองของเพ่ือน ๆ
อาจจะไม่ได้เป็นมุมมองในมิติเดียว สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการค้นหาตัวตนท่ียังไม่ตกผลึกของเด็กในช่วงวัยนี้
ในดา้ นฐานคดิ ต่อสงั คมในเวลาน้ี

นอกเหนือจากคาตอบว่าดี ที่ดูเหมือนจะเปน็ คาตอบตามความคาดหวังของสังคมแล้ว พบว่าคาตอบที่
เหลือมีความหลากหลายสูงมาก กระจายตัวในลักษณะคาตอบขนาดเดียวกัน ทั้งระนาบ ดีเย่ียม ดีมาก ดี
สงบสุข ปกติ เฉย ๆ พอใช้ แข่งขัน ไม่น่าอยู่ ไม่ดี วุ่นวาย เห็นแก่ตัว ถึงแย่มาก คาตอบเหล่านี้สะท้อนการ
กระจายและความหลากหลายทางอารมณ์และความคิดของเด็กในช่วงวัยนี้ ในบทสนทนาเกี่ยวกับการทาอะไร
ไดบ้ า้ งเพื่อสว่ นรวม พบว่า การทาเพือ่ สว่ นรวมของกลมุ่ ตัวอย่าง คือ การเป็นคนดี เป็นคนดตี ่อสังคม ชว่ ยเหลือ
กนั ช่วยเหลือสังคม ซ่ือสตั ยไ์ ม่ทจุ ริต เคารพกฎหมาย ทาหนา้ ทข่ี องตนเองใหด้ ี สามคั คี เปน็ ตน้

ฐานจาลองสถานการณ์สุดท้าย Youth Voice สาหรับช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-6)
และระดับอุดมศึกษามีบทสนทนาอยู่ใน 2 รูปแบบใน 3 ช่วงช้ัน ในช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย บทสนทนา
ชักชวนให้เยาวชนมองถึงการเปลีย่ นแปลงสังคม และความคาดหวังต่ออนาคตเกยี่ วกับความซื่อสตั ยใ์ นประเทศ
ไทย คาตอบในบทสนทนานี้พบว่า เยาวชนส่วนใหญ่อยากเปล่ียนแปลงสังคมให้ดีขึ้น โดยมองด้าน
ความเสมอภาค ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ในสังคมมากที่สุด และอยากให้ลดความเหล่ือมล้าทางสังคม
ลดการคดโกงไม่มีคอรัปช่ัน เป็นประชาธิปไตย เพ่ิมการรับฟังความเห็นประชาขน และมีเศรษฐกิจ
การศกึ ษาทด่ี ี

ในข้อสนทนาเก่ียวกับความซ่ือสัตย์สุจริตในประเทศไทย ส่วนใหญ่มองว่า ความซื่อสัตย์สุจริตของคน
ในสงั คมยังไม่ค่อยมีหรือมีอยู่น้อยมาก ต้องมีการปรบั ปรงุ ในขณะทีบ่ างสว่ นมมี มุ มองทน่ี ่าสนใจวา่ ความซ่ือสัตย์
สจุ ริตไม่มีอยู่จริง ส่วนข้อสนทนาในด้านความคาดหวังต่ออนาคตเก่ียวกับปัญหาทุจริตคอรัปช่ัน เยาวชนมีฐาน
คิดแยกกันเป็น 3 กลุ่มความคิด กลุ่มแรกมองว่า เป็นไปได้ที่การทุจริตคอรัปช่ันในประเทศจะลดน้อยลงได้
ในกลุ่มท่ีสองจะมองว่า สังคมสามารถลดการทุจริตคอรัปชั่นได้เช่นกันแต่ไม่ง่าย ต้องร่วมมือกัน และในกลุ่ม
สดุ ท้ายมองว่า เป็นไปไมไ่ ด้เลยที่การทุจริตคอรัปช่นั ในประเทศจะลดน้อยลงได้ สะทอ้ นให้เห็นถึงความแตกต่าง
กันในความเชื่อ ความคิด ของเยาวชนในช่วงชน้ั

ข้อมูลจากฐานจาลองสถานการณ์ Youth Voice ช่วงชั้นอุดมศึกษาปีท่ี 1 – 2 และช่วงชั้น
อดุ มศึกษาปีท่ี 3 – 4 บทสนทนาออกแบบเพ่ือให้เป็นพ้ืนท่ีเปิดให้เยาวชนสะทอ้ นฐานคิดมุมมอง ปัญหาทุจริต
คอรัปชัน่ หรือในบทสนทนาใช้คางา่ ย ๆ ว่า สถานการณค์ นขีโ้ กงตอนนข้ี องสงั คมไทยเปน็ อยา่ งไร ถา้ เราเจอแล้ว
จะทาอย่างไร และถ้าจะไม่ให้มีการขี้โกงในสังคมเราจะทาอย่างไร จากการวิเคราะห์บทสนทนาพบว่า คาตอบ
ของท้ังสองช่วงชั้นในระดับอุดมศึกษา เป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือ ส่วนใหญ่มองว่าประเทศไทยมีการทุจริต
คอรัปชั่นอยู่มาก เห็นได้จาก ข่าวหรือคดีจากสื่อ จากเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ผลงานที่เป็นอยู่ และจาก
ประสบการณ์ท่ีพบเหน็ เอง วิธแี ก้ไขสว่ นใหญย่ ัง มองเร่อื งการใชก้ ฎหมายเป็นหลัก การจดั การอย่างเด็ดขาด กับ
นักการเมืองและข้าราชการ จัดการกับคนโกง และการปลูกฝังจิตสานึกที่ดี ในคาตอบนี้เป็นท่ีน่าสนใจว่า
คาตอบที่ได้เป็นการจัดการกับคนอ่ืน ๆ (น้ิวชี้ไปท่ีคนอื่น) แต่แทบจะไม่มีเลยที่จะให้คาตอบที่ต้องจัดการกับ
ตนเอง (มีเพยี งเลก็ น้อยท่ีให้คาตอบวา่ ต้อง “ทาใจ” กบั ตนเองในปัญหาน้)ี

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มัน่ ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 5 - ๑๕

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

เมื่อวิเคราะห์ถึงบทสนทนาว่า เด็กและเยาวชนจะต้องทาอย่างไร ถ้าเจอกับการทุจริตคอรัปช่ัน
เยาวชนที่ตกเป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ระบุว่า แจ้งหนว่ ยงานทร่ี ับผดิ ชอบ นาไปร้องเรียน ทาเท่าเราทาได้ และ
มีมุมมองอยู่มากพอสมควรเหมือนกันที่มองว่า ต้องดูก่อนว่ามันจะนามาซึ่งความเดือดร้อนหรือไม่ หนีออกมา
หลีกเลี่ยงหรือ อยู่เฉย ๆ ไปเลยทาอะไรไม่ได้ คาตอบเหล่านี้ก็สะท้อนเช่นกันว่า เยาวชนส่วนใหญ่มองการ
จดั การกบั ปญั หาไปท่หี นว่ ยงาน แต่ไม่ไดม้ องทตี่ นเอง ว่าจะมสี ่วนทาอยา่ งไรกับปญั หาเหลา่ นี้

5.3 อภปิ รายผล

จากผลการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนท่ียึดมน่ั ความซ่ือสตั ย์สุจรติ ในภาพรวมของประเทศไทย
พบว่า เด็กและเยาวชนไทยมีค่าเฉล่ียพฤติกรรมท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความ ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต
สูงกว่าค่าเปา้ หมายที่กาหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นท่ี 21 การต่อต้านการทุจริตและ
ประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ซ่ึงสูงกว่าค่าเป้าหมายอยู่ร้อยละ 6.1 โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ท่ี
รอ้ ยละ 52.1

เมื่อวิเคราะห์โดยจาแนกตามช่วงชั้นทั้ง 7 ช่วงช้ัน พบว่า มีช่วงช้ันท่ีมีผลประเมินเกินค่าเป้าหมายที่
ร้อยละ 46.0 และเมื่อเปรียบเทียบท้ัง 7 ช่วงชั้นแล้ว พบว่า ค่าร้อยละมีลักษณะเป็นตัวอักษรตัววีใน
ภาษาอังกฤษ (V shape) กล่าวคือ ในช่วงช้ันปฐมวัย มีสัดส่วนของเด็กที่มีพฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต
สูง และมีแนวโน้มลดลง เม่ือเด็กเข้าสู่ช่วงชั้นท่ีสูงขึ้น โดยเฉพาะเม่ืออยู่ในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นมีสัดส่วน
ต่าสุด และสัดส่วนน้ีค่อย ๆ เพิ่มสูงข้ึนเม่ือเข้าสู่ช่วงชั้นที่สูงข้ึนจนกระทั่งถึงระดับอุดมศึกษา การท่ีผลของค่า
ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริตของช่วงชั้น ออกมาในลักษณะ V shape น้ี
น่าจะสามารถอธิบายได้ตามแนวทางทฤษฎีทางจิตวิทยาและทฤษฎีทางพัฒนาการ คือ ทฤษฎีพัฒนาการทาง
จิตสังคมของแอริคสัน (Erik Erikson’s state of Psychosocial Development) ทฤษฎีพัฒนาการของ
Piaget และทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก (Kohlberg’s Stages of Moral Development)
กล่าวคอื ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจติ สงั คมของแอริคสนั นนั้ อริ ิคสัน (Erikson, 1950) เชื่อวา่ พฒั นาการทาง
บุคลิกภาพเกิดจากบุคคลปรับตัวต่อสังคมโดยจะเกิดข้ึนและเปลี่ยนแปลงได้ตามธรรมชาติ การปรับตัวของ
สังคม ทฤษฎีนี้เช่ือว่ามนุษย์เป็นผลผลิตของชีววิทยา จิตวิทยาสังคม โดยมีธรรมชาติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
ในแต่ละข้ันของพัฒนาการทางบุคลิกภาพ ตามท่ีผลการประเมินในช่วงช้ันปฐมวัย ซึ่งอยู่ในช่วงวัยก่อนเรียน
(Preschool) ตามทฤษฎีน้ี เด็กจะเร่ิมมีความเร่ิมคิดและความรู้สึกผิด ในวัยน้ีผู้ใหญ่สามารถสอนจริยธรรมแก่
เด็กได้ และเด็กจะปฏิบัติตาม ดังนั้น ในช่วงปฐมวัยค่าร้อยละของพฤติกรรมฯ จึงออกมาค่อนข้างสูงเพราะ
ลักษณะแบบทดสอบ มลี ักษณะเป็นการปลกู ฝังพฤติกรรมไปด้วย

ในช่วงช้ันต่อ ๆ มา เด็กจะเร่ิมมีพัฒนาการการเป็นสมาชิกของสังคม แต่เริ่มมีความสับสนไม่รู้จัก
ตนเอง ซ่ึงเกิดข้ึนในช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นผลประเมินท่ีออกมาต่าจึงสะท้อนถึงพัฒนาการท่ีมีความสับสน
ท้ังความไว้วางใจ ไม่ไว้วางใจ ความรู้สึกผิดถูก ความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าความละอายใจและความสงสัย
อีกทั้งยังไม่เกิดความเข้าใจในตน และกาลังเร่ิมปรับตัว โดยอิริกสันเรียกช่วงนี้ว่า Identify Crisis หรือช่วง
วิกฤติในการค้นหาเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตาม ในพัฒนาการขั้นต่อมา ข้ันวัยรุ่น (Adolescence) ซึ่งบุคคลเร่ิม
สามารถกาหนดตัวตน เร่ิมมีการปฏิบัติตัว ตามสังคมในฐานะสมาชิก และเริ่มมีความตรงหรือความสัตย์ที่มาก
ขน้ึ สะท้อนถึงผลของรอ้ ยละของเด็กและเยาวชน ในชว่ งช้ันระดบั อุดมศึกษาทก่ี ลับเพ่ิมขึ้นมา

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดมัน่ ความซื่อสตั ย์สุจรติ ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 5 - ๑๖

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมน่ั ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

ในทานองเดียวกัน ทฤษฎีพัฒนาการของ Piaget และทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
(Kohlberg’s Stages of Moral Development) ก็สามารถอธิบายผลที่ออกมาในลักษณะ V shape
ได้เช่นกัน กล่าวคือ ในช่วงวัยก่อนอายุ 10 ปี จะอยู่ในระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม ท่ีการถูกผิดของพฤติกรรม
จะอยูท่ ก่ี ารลงโทษและการเช่ือฟัง เพราะวา่ ถ้าได้รับคาชม เด็กก็จะคิดว่าส่งิ ท่ีตนทาถกู สาเหตุท่ผี ลการประเมิน
ในช่วงชั้นปฐมวัยมีค่าร้อยละที่สูงน่าจะมาจากการเชื่อฟังตามบททดสอบ แต่ต่อมาเด็กเร่ิมสนใจทาตามกฎ
ข้อบังคับเพื่อประโยชน์ของตน ผลการประเมินในช่วงช้ันต่อมาจึงลดต่าลง จนถึงช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น
(13-15 ปี) ท่ีผลการประเมินมีค่าร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตต่าสุด ในช่วงนี้
เด็กจะเลือกปฏิบัติตามการยอมรับและความชื่นชอบของเพ่ือน ไมเ่ ป็นตัวของตัวเอง งานวจิ ัยชอง Jensen et al.
(2004) พบว่าเด็กมัธยมร้อยละ 30-70 เคยโกหกพ่อแม่ อีกทั้งในพัฒนาการขั้นต่อมาระดับจริยธรรมเริ่ม
ได้รับการขัดเกลาจากสังคมมากข้ึน มีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมและทาในสิ่งท่ีสังคมยอมรับว่าเป็น
ส่ิงท่ีควร เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้ผลการประเมินมีค่าสูงขึ้นในช่วงช้ันอุดมศึกษา ซึ่งก็ตรงกับผลการศึกษาของ
Buciol & Povesan (2011) ที่พบว่า ย่ิงอายุมากขึ้น เด็กย่ิงมีความสามารถในการควบคุมตนเองให้ซ่ือสัตย์
มากขึน้

เมื่อเปรียบเทียบร้อยละของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริต ระหว่างภูมิภาคที่
แตกต่างกัน 4 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ น้ันผลการประเมิน พบว่า
ทุกภูมิภาคมีร้อยละของเด็กและเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริตสูงกว่า ค่าเป้าหมาย โดย
ภูมิภาคท่ีมีร้อยละของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริตสูงที่สุด คือ ภาคกลาง
(กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) อาจเป็นไปได้ เนื่องจากโอกาสในการเข้าถึงคุณภาพทางการศึกษาของ
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในด้านทรัพยากรการเรียนรู้ และค่าใช้จ่ายเพ่ือการศึกษาของรัฐ สูงกว่า
โรงเรียนในส่วนภูมิภาค สอดคล้องกับงานวิจัยของธัญลักษณ์ สัมพันธ์ (2556) ที่พบว่า ผลสัมฤทธิ์ท่ีแตกต่าง
กัน น่าจะมาจากความเหลื่อมล้าด้านทรัพยากรการเรียนรู้ ทาให้ไม่น่าแปลกใจที่ค่าร้อยละเด็กและเยาวชนท่ีมี
พฤตกิ รรมยึดมัน่ ความซ่ือสัตยส์ จุ ริตจะมีค่าสูงสุด

ในทานองเดียวกัน จากข้อค้นพบว่า เด็กนักเรียนท่ีอยู่ในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. โดยในสถานศึกษา
ขนาดใหญก่ ว่าจะมีสัดสว่ นของเดก็ ท่ีมีพฤติกรรมยึดมั่นในความซอื่ สตั ย์สุจริตสูงกวา่ ในสถานศึกษาท่ีมขี นาดเล็ก
กว่า เม่ือนาช่วงช้ันมาพิจารณาร่วมด้วย หรือถ้าจาแนกตามประเภทที่อยู่อาศัยก็พบว่า เด็กและเยาวชนไทยท่ี
ครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านตนเอง มีรอ้ ยละพฤติกรรมทีย่ ึดมั่นความซื่อสัตยส์ ุจริตสูงกว่าครอบครัวท่ีอาศัยอยู่ใน
บ้านเช่าหรือที่อาศัยอยู่กับผู้อ่ืน รวมถึงเม่ือพิจารณาสถานะการเงินของครอบครัว ก็พบว่าครอบครัวท่ีไม่มี
หนี้สิน มีร้อยละพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริตสูงกว่า ทั้งหมดน้ี ก็น่าจะเป็นผลมาจากความไม่เท่าเทียม
กันด้านเศรษฐกิจและสังคม ท่เี ปน็ ตวั ตอกยา้ ถึงผลของปัจจัยเหลา่ นี้กบั พฤตกิ รรมทย่ี ดึ ม่ันความซ่อื สตั ยส์ จุ ริต

ข้อค้นพบเมื่อจาแนกร้อยละเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต ตามสังกัดของ
สถานศึกษา คือ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ
สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พบว่า ร้อยละเด็กและเยาวชนไทยที่มี
พฤตกิ รรมยดึ มนั่ ความซื่อสตั ย์สุจรติ ของสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน หรอื อปท. มจี านวน
รอ้ ยละต่าท่ีสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานศึกษาสังกัดเมอื งพัทยา ซ่ึงมีค่าต่ากว่าเปา้ หมาย ผลที่ออกมาดงั กล่าว
นี้ อาจจะเนื่องมาจาก ความสามารถในการจดั สรรทรัพยากรทางการเรียนรู้ ท่ีแต่ละแห่งมีความแตกต่างกันสูง
ขน้ึ อยกู่ บั สถานะขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ท่ีสถานศกึ ษาแต่ละแห่งสงั กัด รวมถึงระดับฐานะทางเศรษฐกิจ
และสังคมของ ครอบครัวเด็กนกั เรียนที่ศึกษาอย่ใู นสถานศกึ ษาสงั กดั อปท. ทอี่ าจจะสง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรม

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ มั่นความซอื่ สตั ย์สจุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๑๗

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ ม่ันความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในบริบทด้านนิเวศวิทยาในระดับครัวเรือนจะพบว่า ระดับการศึกษาของ
ผู้ปกครองที่จบการศึกษาระดับสูงหรือไม่จบการศึกษาเลย ไม่ได้มีผลต่อการหล่อหลอมพฤติกรรมของเด็กและ
เยาวชนให้ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตโดยตรง หรือไม่มีอิทธิพลมากนักเม่ือเทียบกับความอบอุ่นในระดับ
ครัวเรือน โดยพบว่าเด็กและเยาวชนที่อาศัยอยู่ในครอบครัวเด่ียวที่อยู่ร่วมกันกับพ่อแม่ (nuclear family)
และครอบครวั ขยาย (extended family) มีพฤติกรรมยึดมั่นความซือ่ สตั ยส์ ุจริตในระดบั ท่ีสูงกว่าร้อยละ 46.0
ในขณะท่ีกลุ่มเด็กและเยาวชนทอ่ี ยู่กับพ่อหรอื อยู่กบั แม่ หรือผู้สูงอายตุ ามลาพังมีค่าเฉลีย่ น้อยกว่า ดังน้ัน ความ
อบอุ่นและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างผู้ปกครองกับเด็กและเยาวชนจึงเป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพลสูงต่อการ
หลอ่ หลอมและขัดเกลาพฤตกิ รรมยึดมน่ั ต่อความซื่อสตั ย์สุจริต

นอกจากนี้ ในบริบทของความเป็นเพศ (sexuality) งานวิจัยชิ้นนี้พบว่าเด็กและเยาวชนเพศหญิง
มพี ฤติกรรมท่ียึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริตมากกว่าเพศชาย ซึ่งมีความแตกต่างกันถึงร้อยละ 17% โดยท่ีเด็กและ
เยาวชนเพศชายนั้นมคี ่าเฉล่ียต่าสดุ และตา่ กว่าเกณฑ์เป้าหมายที่กาหนดไว้ ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้น
ท่ีพบผลการศึกษาในทานองเดียวกัน อาทิ Grosch & Rau (2016) ศึกษาเร่ืองความต่างทางเพศในด้าน
ความซ่ือสัตย์สุจริต “Gender Difference in Honesty: The Role of Social Value Orientation” พบว่า
ผชู้ ายโกงมากกว่าผู้หญงิ อย่างมีนัยสาคัญ เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Zenger & Folkman (2019) ศึกษาผู้นา
หญิงท่ีเป็น CEO บริษัทพบว่า CEO women displaying high integrity and honesty คือผู้บริหารที่เป็น
หญิงเป็นผู้มีความยึดม่ันในความซ่ือสัตย์สุจริตอยู่ในระดับสูง หรืองานศึกษาของ วีนัส ภักด์ินรา (2559)
ในไทยท่ีศึกษาการพัฒนาจริยธรรมทางเพศวิธีของนักศึกษา ของนักศึกษาช้ันปีที่ 1 คณะครุศาสตร์หรือ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ก็พบวา่ นักศึกษาชายมคี ่าคะแนนต่ากว่าเพศ
หญิงโดยรวมและในทุกด้าน ด้วยเหตุนี้ คาถามเพ่ือการพัฒนางานวิจัยและพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่
สาคัญจึงไม่ได้ต้ังอยู่กับคาถามที่ว่าทาไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่จะทาอย่างไรให้เด็กและเยาวชนไม่ว่าจะเป็นเพศ
ใดก็ตามมีพฤตกิ รรมท่ยี ึดมนั่ ตอ่ ความซื่อสัตย์สุจรติ ในระดบั ท่สี งู ใกลเ้ คยี งกันอยา่ งสมดลุ

ด้านนิเวศวิทยาครอบครัว ครู และกลุ่มเพื่อน ผลการศึกษาพบว่า ความรักความใกล้ชิดในครอบครัว
การได้รับการดูแลอย่างดีด้วยความเสมอภาคในการดูแลเอาใจใส่จากครู/อาจารย์ และปัจจัยในเรื่องการ
ชว่ ยเหลือเกื้อกูลมีความสัมพันธก์ ันอย่างดกี ับกลมุ่ เพื่อน กส็ ่งผลต่อพฤติกรรมยดึ ม่ันความซื่อสัตย์สุจริตของเด็ก
และเยาวชนไทย รวมไปถึงข้อค้นพบท่ีน่าสนใจว่า การใช้เวลาออนไลน์ที่มากเกินไป อาจจะสง่ ผลต่อพฤติกรรม
ยึดม่นั ความซอ่ื สัตย์สจุ ริตด้วยเชน่ กนั

นอกจากน้ีจากในส่วนของอธิบายความแตกต่างและการทานายพฤติกรรม่ีเกิดขึ้นจากทัศนคติตาม
การศกึ ษาในครงั้ นสี้ ามารถอธบิ ายไดด้ ้วยทฤษฎีการกระทาด้วยเหตผุ ล (Theory of Reasoned Action: TRA)
ของ Icek Ajzen กับ Martin Fishbein ( Ajzen & Fishbein, 1980; Fishbein & Ajzen, 1975) ที่อธิบาย
ตามแนวทฤษฏีจิตวิทยาสังคม ว่า ตัวพฤติกรรมของมนุษย์ (Human Behavior) ควบคุมด้วยความสมัครใจ
(voluntary control) ของแต่ละบุคคล โดยแตล่ ะบุคคลจะคิดถึงผลลพั ธ์ (consequences) และสิ่งทีจ่ ะเกดิ ขึ้น
(implications) ดังน้ันก่อนมีพฤติกรรมใด ๆ การมีเจตนา (Intention) ของพฤติกรรมเกิดขึ้น แล้วทาให้เกิด
พฤติกรรม (Behavior) ตัวเจตนาท่ีจะมีพฤติกรรม (Behavioral Intention) น้ี มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม
(behavior) โดยตรง ตามทฤษฎีการกระทาด้วยเหตุผลจะมี 2 องค์ประกอบท่ีจะมีผลต่อ เจตนาที่จะมี
พฤติกรรม (Behavioral Intention) ซึ่งก็จะส่งผลต่อพฤติกรรม (behavior) 2 องค์ประกอบที่ว่านี้คือ
องค์ประกอบแรก องค์ประกอบท่ีเป็นเจตคติ (Attitude) ซ่ึงเป็นปัจจัยบุคคล กับองค์ประกอบท่ีสอง
องค์ประกอบที่เป็นความคล้อยตามกับกลุ่มหรือความคล้อยตามปทัสถานกลุ่ม (Subjective Norm) ซ่ึงจะเป็น

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ดึ ม่นั ความซอ่ื สตั ยส์ ุจริต ฉบับสมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๑๘

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

ปจั จัยระดับสังคม โดยบุคคลจะมแี นวโน้มจะทาพฤติกรรมใด ๆ (Behavioral Intention) จะข้ึนอย่กู ับ 2 องค์
กระกอบน้ี ในการศึกษาในคร้ังนี้จะเห็นได้ว่า ในระดับบุคคลนอกเหนิอจากความรู้และเจตคติเก่ียวกับ
พฤติกรรมท่ีได้ถูกปลูกฝังในระดับบุคคลของเด็กและเยาวชนแต่ละคนแล้ว การท่ีเด็กและเยาวชนจะมี
พฤติกรรมหรือไม่ตามทฤษฎี ผู้กระทาจะประเมินผลลัพธ์ ผลดี และผลเสียในด้านต่าง ๆ ก่อน หากผลรวมกัน
เป็นบวกหรือลบก็จะส่งผลต่อเจตนาในการกระทาพฤติกรรมต่อไป น้ีอาจจะเป็นตัวอธิบายได้ว่า ถึงแม้ว่า
ผลสัมฤทธ์ของการนาหลักสูตรไปใช้ที่วัดจากความสามารถในการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่จะปลูกฝังความรู้และ
ทศั นคติที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมที่ยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริตอาจจะได้ผลดีหรือมผี ลสมั ฤทธิท่ีดี แต่อย่างไรก็ตาม
ในทางปฏิบัติจริงการที่เด็กและเยาวชนแต่ละคนจะมีพฤติกรรมหรือไม่ข้ึนอยู่กับการ คิดถึงผลลัพธ์
(consequences) และสิ่งที่จะเกิดข้ึน (Implications) เป็นหลัก ในการศึกษาคร้ังนี้ ในส่วนขององค์ประกอบ
ที่สอง จะเห็นได้ชัดว่าร้อยละของพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตในการศึกษาครั้งน้ี มีความแตกต่างกัน
จากความคล้อยตามกับกลุ่ม (Subjective Norm) จากความต้องการให้เด็กและเยาวชนกระทาพฤติกรรม
นั้น ๆ ไม่ว่า โดยระดับความสาคัญของคนรอบข้างของเด็กและเยาวชนและคน อาทิ เพ่ือน ครอบครัว
ครู/อาจารย์ ที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว ท่ีแตกต่างกัน ในแต่ละครอบครับ ในแต่ละ
สถานศึกษา ในแต่ละภมู ภิ าค ซ่ึงแน่นอน ส่งผลตอ่ ค่าร้อยละของพฤติกรรมท่ียึดมนั่ ความซอื่ สัตย์สุจรติ ที่มคี วาม
แตกตา่ งกนั ตามทฤษฎกี ารกระทาด้วยเหตุผล

ดงั น้ัน ในข้อค้นพบเก่ียวกับความแตกต่างของร้อยละพฤติกรรมยึดมนั่ ความซื่อสัตย์สจุ ริตในมิติต่าง ๆ
จึงสะท้อนให้เห็นถงึ สภาพความแตกต่างในมิติต่าง ๆ มีส่วนทาให้เด็กและเยาวชนไทยมพี ฤตกิ รรมยึดมั่น ความ
ซ่ือสัตย์สุจริตแตกต่างกัน อันเน่ืองมาจากบริบทความแตกต่างในมิติต่าง ๆ ท่ีกล่าวมา สอดคล้องกับงานวิจัย
ของ Chiu & Chow (2015) ท่ีพบว่า มีความเก่ยี วข้องกันอย่างสูงในหลายมติ ิ พฤติกรรมหรือความสาเร็จของ
นกั เรียนกับสิ่งแวดล้อมของครอบครัวและโรงเรียน รวมถึงคณุ ลักษณะของครอบครัว โครงสร้างของครอบครัว
ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ทรัพยากรในการเรียนรู้ที่บ้าน เพื่อนร่วมชั้น คุณลักษณะและทรัพยากรใน
โรงเรียน คณุ ลักษณะของครู/อาจารย์ ลว้ นเช่อื มโยงกบั พฤตกิ รรมหรือความสาเร็จของนักเรียน

จากผลการศึกษาที่พบว่า ค่าร้อยละของเด็กและเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริต
ในช่วงช้ันปฐมวัย จะมีค่าสูงสุดหรือสูงกว่าช่วงชั้นอื่น ๆ ในหลาย ๆ พฤติกรรมมุ่งประเมินหรือพฤติกรรมย่อย
ทงั้ น้ี อาจจะเนื่องมาจากการพัฒนาเคร่ืองมือประเมนิ เพ่ือให้เหมาะสาหรบั ช่วงชั้นปฐมวัย จึงเปน็ การพฒั นาข้อ
คาถามในเชิงปลูกฝังพฤติกรรม มากกว่าการประเมินพฤติกรรมนั้น ๆ แตกต่างเป็นอย่างมากกับพัฒนา
เครื่องมือในช่วงช้ันอ่ืน ๆ ที่เหลือ การพัฒนาเคร่ืองมือประเมินในเชิงปลูกฝังเช่นน้ี เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนา
ทางจรยิ ธรรมและพฒั นาการเก่ียวกับความซอ่ื สัตย์ของเด็กของลีและผูว้ ิจัย Lee et al, (2014) ศึกษาเด็กอายุ
3-7 ปี โดยใช้การเล่านิทานที่เก่ียวข้องกับความซื่อสัตย์และคุณธรรม 3 เร่ือง ได้แก่เร่ือง พินอคคิโอ
(Pinocchio) เด็กเลี้ยงแกะจอมโกหก (The Boy Who Cried Wolf) และขวานไม้กับต้นเชอรี่ (George
Washigton and the Cherry Tree) พบว่า การเล่าเร่ือง พินอคคิโอ และเด็กเล้ียงแกะจอมโกหก ไม่สามารถ
ทาให้การโกหกของเด็กลดลง แต่การเล่าเร่ือง ขว้านไม่กับต้นเชอรี่ ทาให้การโกหกของเด็กลดลง เพราะเร่ือง
ขวานไม้กบั ต้นเชอร่ี เน้นการให้ผลกรรมเชงิ บวก (positive consequence) แก่พฤติกรรมซ่ือสตั ย์ แต่ 2 เรื่อง
แรก เน้นการให้ผลกรรมเชิงลบแก่พฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ ดงั นั้น ในหลาย ๆ การวิเคราะหจ์ ึงไม่แปลกใจท่ีค่าร้อย
ละของเด็กและเยาวชนมีพฤติกรรมยดึ ม่ันความซื่อสัตยส์ ุจรติ ในช่วงชัน้ ปฐมวยั จะมีค่าสูง

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทยี่ ึดมน่ั ความซ่อื สตั ย์สจุ รติ ฉบับสมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๑๙

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ มั่นความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

นอกจากนี้ หากพิจารณาความต่างระหว่างช่วงช้ัน เทียบกับองค์ประกอบการประเมินพฤติกรรมเด็ก
และเยาวชนท้ัง 4 ด้าน จะพบว่า เด็กและเยาวชนไทย ไม่ว่าจะเป็นระดับปฐมวัย มัธยมศึกษาตอนต้นและ
ตอนปลาย รวมถึงระดับอุดมศึกษา มีค่าเฉลี่ยในด้านพฤติกรรม STRONG: จิตพอเพียงต้านทุจริต ในระดับ
สูงสุดทั้งสิ้น ยกเว้นนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้นและตอนปลายซ่ึงมีค่าเฉล่ียพฤติกรรมท่ีโดดเด่น
ในด้านการเป็นพลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเม่ือวิเคราะห์ย่อยตามพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือ
พฤติกรรมย่อยในแต่ละด้านองค์ประกอบ พบว่า มีพฤติกรรมมุ่งประเมินหลาย ๆ พฤติกรรมที่มีค่าคะแนนสูง
ในช่วงชั้นต้น ๆ ท่ีเป็นเด็ก และคะแนนจะลดลงเมื่ออยู่ในช่วงช้ันที่โตข้ึนเป็นเยาวชน พฤติกรรมมุ่งประเมิน
เหล่านี้ได้แก่ พฤติกรรมแยกแยะส่วนตนส่วนรวม และพฤติกรรมระบบคิดฐานสอง ในองค์ประกอบที่ 1
ด้านการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม พฤติกรรมซือ่ สัตย์พูดความจริง ใน
องค์ประกอบท่ี 2 ด้านความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต พฤติกรรมพอประมาณ และพฤติกรรม
โปร่งใสและตรวจสอบได้ ในองค์ประกอบที่ 3 ด้าน STRONG: จิตพอเพียงต้านทุจริต พฤติกรรมจิตสานึกการ
เป็นเจ้าของประเทศ และพฤติกรรมจิตสาธารณะ ในองค์ประกอบที่ 4 ด้านพลเมืองกับความรับผิดชอบต่อ
สังคม การท่ีพฤติกรรมมุ่งประเมินเหล่านี้ มีค่าคะแนนสูงในช่วงช้ันเด็กและคะแนนจะลดลงเม่ืออยู่ในช่วงชั้นท่ี
โตข้ึน น่าจะสามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก ( Kohlberg’s Moral
Devlopment) ได้เช่นกัน หลาย ๆ พฤติกรรมมุ่งประเมิน มีค่าคะแนนสูงสุดในช่วงช้ันเด็ก เพราะพฤติกรรม
ท่กี ระทาได้รับรางวัลหรือคาชม เน้นการเกิดประโยชน์กับตน แต่พอเด็กอายุมากขี้น เริ่มไม่คานึงถึงรางวัลและ
คาชม แต่เป็นการมีพฤติกรรมที่คาดหวังการยอมรับจากสังคม ซึ่งแน่นอน ก็ขึ้นอยู่กับการคาดหวังของพ่อแม่
หรือเพื่อนในวัยเดียวกัน และพฤติกรรมก็จะขึ้นอยู่กับค่านิยมและความคิดเห็นของแต่ละคนในช่วงช้ันที่เป็น
เยาวชน ค่าคะแนนพฤติกรรมที่ลดน้อยลง สะท้อนว่าความคาดหวังและการยอมรับของสังคม สะท้อนถึง
กฎเกณฑ์ทางสังคม รวมถึงความคิดเห็นและค่านิยมของสังคมในพฤติกรรมเหล่าน้ีในสังคมไทยที่มีผลทาให้
ค่าคะแนนลดน้อยลง พฤตกิ รรมเหล่านี้สะท้อนถึงความจาเปน็ เร่งดว่ นในการสร้างระบบนเิ วศทางสงั คมของไทย
ให้เอื้อต่อค่านิยมในเชิงพฤตกิ รรมเหล่าน้ีให้เกดิ ข้นึ

ข้อค้นพบของพฤติกรรมมุ่งประเมิน ในทางกลับกัน มีพฤติกรรมมุ่งประเมินหลายพฤติกรรมเช่นกัน
ท่มี ีค่าคะแนนต่าในช่วงชนั้ ที่เป็นเด็ก และคะแนนจะเพิ่มสูงขึ้นเม่อื อยู่ในช่วงชั้นที่เพิ่มข้ึน พฤตกิ รรมมุ่งประเมิน
ในกล่มุ น้ีไดแ้ ก่ พฤติกรรมเสียสละเหน็ แก่ประโยชน์ส่วนรวม ในองค์ประกอบที่ 1 ดา้ นการคิดแยกแยะระหว่าง
ผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม พฤตกิ รรมยอมรับการกระทาของตนเอง ในองค์ประกอบท่ี 2 ดา้ น
ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต พฤติกรรมมุง่ ม่ันมุ่งพัฒนา ในองคป์ ระกอบท่ี 3 ด้าน STRONG: จิต
พอเพียงต้านทุจริต ข้อค้นพบนส้ี ะท้อนให้เหน็ ว่าพฒั นาการจากขน้ั แรกสดุ ของพัฒนาการ พฤติกรรมจากรางวัล
และคาชม เป็นพฤติกรรมจากความคาดหวังและการยอมรับของสังคม เป็นพฤติกรรมจากค่านิยมและความ
คดิ เห็น ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก เป็นไปในแนวทางที่ปลูกฝังพฤติกรรมมุ่งประเมินที่
สร้างพฤตกิ รรมยดึ มนั่ ความซื่อสัตยส์ ุจรติ ไว้ใดด้ แี ล้วในระดับพฒั นาการทางจริยธรรมของเด็กและเยาวชนไทย

ส่วนพฤติกรรมที่น่าสนใจอีกหน่ึงตัวในพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือกลุ่มพฤติกรรมย่อยคือ พฤติกรรม
ละอายต่อการทุจริต ในองค์ประกอบท่ี 2 ด้านความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต ซึ่งน่าจะถือได้ว่า
พฤติกรรมน้ีเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นได้ชัด ในพื้นฐานของพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์ของเด็กและ
เยาวชนไทย ผลของค่าคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมนี้ ตอกย้าความชัดเจนน้ี กล่าวคือ มีลักษณะเป็น V shape
สอดคล้องกับผลของค่าร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตของช่วงช้ัน ออกมาใน

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มัน่ ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ ฉบบั สมบูรณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๒๐

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มั่นความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

ลักษณะ V shape เช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสาคัญของพฤติกรรมมุ่งประเมินตัวน้ีต่อพฤติกรรมเด็ก
และเยาวชนท่ียึดม่นั ความซอ่ื สัตย์สุจรติ

ในส่วนของข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากเครื่องมือฐานจาลองสถานการณ์ ตอกย้าความสาคัญของ
“ครอบครัว” ตัวกระทาการขัดเกลาของสังคม (The Agents of Socialization) ข้ันปฐมภูมิ - Primary
Socialization หรอื Basic Socializtiaon (Crisogen, 2015) ซ่ึงสาคญั มากตอ่ การพัฒนาทางกาย (physical)
และทางจิต (mental) ของเด็ก จากข้อมูลในช่วงชั้นปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น บ่งชี้ว่าการเอาใจใส่ส่ัง
สอนและการเป็นตัวอย่างท่ีดีจากพ่อ-แม่ ผู้ปกครองและครูท่ีใกล้ชิด มีผลมากต่อการหล่อหลอมความซื่อสัตย์
สุจริต เด็กในช่วงวัยน้ีจะยังมีความซื่อตรงอยู่มากจะปฏิบัติตามคาบอกและคาสอน (ทั้งทางตรงและทางอ้อม
จากการเป็นต้นแบบพฤติกรรม) ของพ่อ-แม่ ผู้ปกครองและครู อย่างไรก็ตามจากข้อมูลการสารวจที่พบว่า ใน
ปัจจุบัน ถ้าในเขตชนบทเด็กและเยาวชนจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ แต่จะอยู่กับปู่ย่าตายายที่ค่อนข้าง
เลี้ยงดูแบบเอาใจเด็ก ส่วนในเขตเมืองถึงแม้จะอยู่กับพ่อแม่ แต่ด้วยสภาวะการทางานและเศรษฐกิจทาให้ไม่มี
เวลาอยู่กับลูก ทาให้ภาระหนกั ต้องตกอยู่กับครใู นระดบั ชั้นอนุบาลและประถมศึกษาตอนต้น ทีจ่ ะรับหนา้ ท่ีเป็น
ทงั้ ครแู ละผู้ปกครองในเวลาเดียวกัน ปรากฎการณ์ทพ่ี อ่ แม่ไม่มีเวลาใหล้ ูกและเด็ก ๆ ใช้เวลาออนไลนม์ ากขึน้ จะ
เปล่ยี นแปลงอทิ ธิพลของตวั ขดั เกลาครอบครัวหรือไมใ่ นอนาคต

ในช่วงช้ันประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนต้นเช่นกัน กลุ่มเพื่อนและส่ือเข้ามามีบทบาท
มากข้ึนในการสร้างมุมมองและการปฏิบัติตามเกณฑ์ของสังคม เพ่ือนหรือกลุ่มใด ๆ ท่ีเยาวชนเข้าไปเก่ียวข้อง
ในช่วงเวลาน้ีเป็นช่วงรอยต่อระหว่างความมีเสาหลักของตัวตน การมีต้นแบบ เป้าหมาย ค่านิยม ตัวตนที่
ชัดเจน ซึ่งจะสาคัญมากในช่วงวัยนี้ ในช่วงวัยน้ีครูและเพื่อนจะมีบทบาทมากในการหล่อหลอมแนวคิดทาง
สงั คม แต่อย่างไรก็ตามการที่ช่วงวัยน้ีให้ขอ้ มูลการใช้เวลาออนไลนม์ ากขน้ึ พูดคุยปรกึ ษากับเพื่อนผ่านไลนห์ รือ
แชทมากกว่าครูที่เคยมีบทบาทสาคัญมากในการให้คาปรึกษา จะทาให้อิทธิพลของครูเปลี่ยนแปลงหรือไม่
อยา่ งไรในฐานะปจั จยั หน่งึ ในตวั ขัดเกลาทางสงั คมประเภทสถาบนั การศกึ ษา

ในระดับช่วงชั้นระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศึกษา พบว่า เยาวชนอยากเปลี่ยนแปลง
สังคมให้ดีขึน้ โดยมองด้าน ความเสมอภาค ทกุ คนมสี ิทธเ์ิ ทา่ เทียมกัน ในสังคมมากที่สดุ เยาวชนเกอื บทั้งหมดมี
ความตระหนักรู้ถึงปัญหาการทุจริตคอรัปช่ันและการขาดความซ่ือสัตย์สุจริตของคนสังคม แต่ยังไม่ม่ันใจว่า
ปญั หาเหล่านี้จะสามารถทาให้ลดลงได้หรือไม่ในอนาคต ด้านมุมมองกับปญั หาและการแก้ไขส่วนใหญ่มองไปท่ี
ผู้อื่นหรือหนว่ ยงานท่ีเกี่ยวข้อง ที่เป็นปัญหาและจะต้องเป็นผู้แก้ไข แต่จะไม่มองในมุมมองของเยาวชนเองว่ามี
ส่วนกับปัญหาและจะมีส่วนกับการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เยาวชนในช่วงวัยน้ีเริ่มมีการรับรู้ค่านิยมที่เป็นสากล
(universal value) ในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากข้ีนจากสื่อต่าง ๆ และเริ่มจะมีการ
เปรียบเทียบกับค่านิยมของไทย ทาใหเ้ กิดความขดั แย้งของค่านิยมทั้งสองในช่วงวัยนี้ การตกผลึกทางความคิด
ของคนในสังคม ผ่านกลไกการสนทนาที่มากข้ึน เพ่ือให้เกิดการตกผลึกทางสังคมว่า ค่านิยมของสากลที่รับเข้า
มาและจะตอ้ งเสยี คา่ นิยมของไทยทเ่ี คยมีอะไรไป เพื่อให้เกิดส่ิงท่ีเรียกวา่ เสน้ เร่ืองของสังคมหรือส่ิงที่สงั คมเห็น
พ้องต้องกัน จากบทสนทนาเยาวชนมองว่า การท่ีจะสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต เป็นสังคมที่คนสังคมมี
พฤตกิ รรมซื่อสัตย์สจุ ริตสูง จะเป็นไปได้ก็ตอ่ เมื่อ ค่านิยมประชาธิปไตยท่ีมองด้านความเสมอภาพและความเท่า
เทยี มกัน ไดร้ ับการเห็นพอ้ งจากสังคมและกลายเปน็ เสน้ เรือ่ งของสังคมไทย

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซอ่ื สัตย์สจุ รติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 5 - ๒๑

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มั่นความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ

5.4 ขอ้ จากดั ในการวจิ ยั

ในการวจิ ัยเพ่ือประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซื่อสัตย์สุจรติ ปีงบประมาณ พ.ศ.
2563 ในครงั้ น้ีมขี ้อจากดั ในการวจิ ยั ในสองประเดน็ หลกั ดงั ตอ่ ไปน้ี

1. เนื่องจากงานวิจัยในคร้ังนี้มีจุดมุ่งหมายเพ่ือมุ่งประเมินร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มี
พฤติกรรมที่ยดึ มั่นความซื่อสัตย์สจุ ริตในภาครวมในระดับประเทศ โดยมีการออกแบบการวจิ ัยให้มกี ารกระจาย
กลุ่มตัวอย่างให้ครอบคลุม ทุกระดับสถานศึกษา ทุกเขตพ้ืนท่ีการศึกษา และทุกจังหวัดในประเทศ ซ่ึงกลุ่ม
ตัวอย่างในการศึกษาคร้ังนี้ คือเด็กและเยาวชนที่ศึกษาในสถานศึกษาที่ได้นาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้
ครู/อาจารย์ผู้สอน กลุ่มเพ่ือน และผู้ปกครองของเด็กและเยาวชน อย่างไรก็ตามในแต่ละสถานศึกษาที่ตกเป็น
ตวั อย่าง จะมีการเกบ็ ข้อมูลกลุม่ ตวั อยา่ งเพียงชว่ งช้ันละ 5 คน ประกอบกบั แต่ละสถานศกึ ษามีจานวนชว่ งชนั้ ที่
แตกต่างกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การมีจานวนตัวอย่างในจานวนท่ีจากัดของแต่ละสถานศึกษา จึงอาจจะส่งผล
ต่อความสามารถเป็นตวั แทนของผลในระดบั สถานศึกษา หรอื ในระดับเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา

2. จากมติคณะรัฐมนตรีที่ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยให้หน่วยงานต่างๆ ที่
เกี่ยวข้องไปดาเนินการ ในคราวการประชุม วันที่ 22 พฤษภาคม 2561 ซึ่งในการขับเคล่ือนหลักสูตร
หน่วยงานต่าง ๆ ส่วนใหญ ได้เริ่มให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในปีการศึกษา
ถัดมาคือ เริ่มในปีการศกึ ษา 2562 ซ่ึงบางสถานศึกษาท่ีมีความพร้อมก็อาจจะเร่ิมจัดการเรียนการสอนในภาค
การศึกษาต้น ในรูปแบบอ่ืน ๆ ส่วนในการเปิดเป็นรายวิชาเพ่ิมเติม สถานศึกษาส่วนใหญ่น่าจะสามารถเร่ิม
ได้ในภาคการศึกษาปลายของปีการศึกษา 2562 และต่อมาเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อ
ไวรัสโคโรนา 2019 และกระทรวงศึกษาธกิ ารได้มกี ารดาเนนิ การป้องกันการแพร่ระบาด โดยได้มีการประกาศ
ปิดสถานศึกษาทุกระดับทุกประเภท ท้ังของรัฐและเอกชน ต้ังแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา
รวมถึงการมีมาตรการต่าง ๆ ในระดับต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
Covid-19 ซ่ึงในการดาเนินการวิจัยในครั้งนี้ มีการเก็บข้อมูลการวิจัยอยู่ระหว่างวันท่ี 12 มกราคม 2564
ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จากสถานการณ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า สถานศึกษา ไม่ได้มีโอกาสท่ีจะได้
ดาเนินการอย่างเต็มที่ในการจดั การเรียนการสอนในหลักสตู รต้านทจุ รติ ศึกษา ยิ่งโดยเฉพาะในรูปแบบการเปิด
เป็นรายวิชาเพ่ิมเติม ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน และการเปิดเป็นรายวิชา 3 หน่วยกิตในหลักสูตร
ระดับอุดมศึกษา จากสถานการณ์ดังท่ีกล่าวมา จะเห็นได้ว่ารูปแบบของการนาหลักสูตรต้านทุจริตไปใช้
อาจจะยงั ไมส่ ่งผลท่ีเห็นไดช้ ดั ถึงพฤตกิ รรมที่ยึดม่นั ความซ่ือสตั ย์สจุ รติ ของเด็กและเยาวชนไทย

5.5 ขอ้ เสนอแนะ

การศึกษาวิจัยในคร้ังนี้ให้ข้อมูลที่หยั่งลึกและละเอียดเป็นอย่างมากในหลาย ๆ ด้าน หลาย ๆ ปัจจัย
หลาย ๆ องค์ประกอบ ท่ีประกอบกันขึ้นเป็นพลวตั เบอื้ งหลังพฤติกรรมที่ยึดม่ันความซ่ือสตั ย์สุจริตของเด็กและ
เยาวชนไทยในทุกช่วงช้ัน ต้ังแตร่ ะดับปฐมวยั จนถึงระดบั อดุ มศึกษา ทาให้สามารถเหน็ ภาพของความเกี่ยวเนื่อง
ต่าง ๆ ที่มีผลต่อการหล่อหลอมขัดเกลา รวมไปถึงกดดัน (ทางสังคม) ให้บุคคลมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น
ความซ่ือสัตย์สุจริต จากผลการศกึ ษาจะเห็นได้วา่ ในการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจรติ และเพ่ือให้ประเทศไทย
ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในท้ายที่สุด นอกเหนือจากแนวทางการปลูกและปลุกจิตสานึก การเป็น
พลเมืองที่ดี มีวัฒนธรรมสุจริต และการปลูกฝังและหล่อหลอมวัฒนธรรมในกลุ่มเด็กและเยาวชนทุกช่วงวัย
ทุกระดับ และระบบนิเวศทางสังคม ก็ควรได้รับการกล่าวถึงด้วยเช่นกัน ในการอธิบายข้อเสนอแนะ ผู้วิจัยจะ
ขอนาเสนอ โดยอธิบายให้เห็นภาพการมองพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริต โดยให้เป็นการมองเป็น

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดม่นั ความซ่ือสตั ยส์ ุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 5 - ๒๒

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดม่ันความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

ลักษณะของความต่อเน่ือง มีลักษณะคล้าย ๆ กับการปลูกฝัง เล้ียงดู บารุงรักษา (nurture) และสร้างระบบ
นิเวศให้ “integriry” หรือ พฤติกรรมยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตสามารถเติบโต และอยู่ได้ในนิเวศทางสังคมท่ี
เออื้ ต่อการยดึ ม่นั ความซือ่ สัตยส์ จุ ริต

ในการให้ข้อเสนอแนะจากการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยจะนาเสนอข้อเสนอแนะแยกออกเป็น 3 ประเด็น
ประเด็นแรกเปน็ ข้อเสนอแนะในการพัฒนาเคร่ืองมอื การประเมิน ประเด็นต่อมาเป็นการนาเสนอข้อเสนอแนะ
ในการปลูกฝังเด็กและเยาวชนไทย และในประเด็นข้อเสนอแนะสุดท้าย เป็นข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบ
ประเมนิ

5.4.1 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อสานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ

ผลการวิจัยประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริตชิ้นน้ี สานักงาน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติสามารถใช้ในการวัดความสาเร็จตามเป้าหมายและ
ตัวช้ีวัดของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ.
2561-2580) ซึ่งผลการประเมินปี 2563 มีค่าร้อยละอยู่ท่ีระดับ 52.1 ซึ่งเป็นค่าร้อยละท่ีสูงกว่าค่า
เป้าหมายอยู่ร้อยละ 6.1 ถือได้ว่าประสบความสาเร็จตามเป้าหมายและตัวชี้วัดที่กาหนด ผลการวิจัยช้ินน้ียัง
สามารถใช้ประกอบการประเมินผลความสาเร็จในการขับเคล่ือนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 2 หลักสูตร ท้ังใน
ระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ โดยคณะผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะต่อสานักงานคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ ดงั ตอ่ ไปนี้

1. จากผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียดึ มั่นความซื่อสัตย์สุจริต เม่ือจาแนกตามช่วง
ชน้ั จะพบว่า ค่ารอ้ ยละมีลักษณะเป็นตัววีในภาษาองั กฤษ (V-shape) กล่าวคอื ในชว่ งชน้ั ปฐมวยั มสี ดั สว่ นของ
เด็กท่ีมีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจรติ สูง และมแี นวโนม้ ลดลง เม่อื เด็กเขา้ สูช่ ่วงช้ันท่สี ูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ
อยใู่ นช่วงมธั ยมศกึ ษาตอนต้นมสี ัดส่วนตา่ สดุ และสดั ส่วนนค้ี ่อย ๆ เพิ่มสงู ขนึ้ เม่ือเขา้ สู่ชว่ งช้ันท่ีสูงขึ้นจนกระท่ัง
ถึงระดับอุดมศึกษา ผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในการปลูกฝังความซ่ือสัตย์สุจริต สานักงานคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติควรเน้นไปยังช่วงชั้นมัธยมศึกษา โดยเฉพาะมัธยมศึกษาตอนต้น ที่
ตอ้ งได้รบั การปลูกฝงั และเสรมิ แรงอยา่ งมนี ยั สาคัญแตกต่างจากช่วงชัน้ อนื่ ๆ

2. จากการศึกษาในครั้งนีท้ ่ีพบวา่ ผลสมั ฤทธิ์ในการใช้หลกั สตู รต้านทุจริตศึกษาทม่ี ีผลต่อระดับความรู้
ความเข้าใจ เจตคติ และพฤติกรรมที่ยึดม่นั ความซ่ือสัตย์สจุ รติ ของเด็กและเยาวชนไทย ซ่ึงในการศึกษาวิจัยครั้ง
นี้ เน่ืองด้วยข้อจากัดของข้อมูลระดับการนาหลักสูตรไปใช้ของสถานศึกษาที่มีหลากหลายถึง 6 รูปแบบและ
เพื่อสามารถสุ่มสถานศึกษาให้ได้อย่างทั่ว ถึงสามารถนาผลการประเมินใช้ในการวัดความสาเร็จตามเป้าหมาย
และตัวชี้วัดของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ การประเมินจึงมุ่งเน้นประเมินผลสัมฤทธิ์ในมิติศักยภาพใน
การนาหลักสูตรไปใช้ของสถานศึกษาเพียงมิติเดียว ดังนั้นเพื่อให้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้าน
ทุจริตศึกษาที่มีผลต่อระดับความรู้ความเข้าใจ เจตคติ และพฤติกรรมท่ียึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและ
เยาวชนไทยอย่างแท้จริง สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ควรจัดการ
ประเมินผลสัมฤทธ์ิในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเฉพาะกับสถานศึกษาท่ีมีรูปแบบการนาหลักสูตรต้าน
ทุจริตศึกษาไปใช้เต็มรูปแบบกล่าวคือ เปิดรายวิชาเพ่ิมเติม การป้องการทุจริต สาหรับหลักสูตรการศึกษาขั้น
พน้ื ฐาน และ เปิดเป็น 1 รายวิชาจานวน 3 หน่วยกิต สาหรับหลักสูตรอดุ มศึกษา รวมถึงพจิ ารณาประเมินให้
ครอบคลุมทงั้ 5 หลักสูตร

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซือ่ สัตยส์ ุจรติ ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๒๓

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซอื่ สัตยส์ ุจรติ

3. การที่ค่าเฉลี่ยร้อยละพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริต ของ
สถาบันการศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พัทยา และกรุงเทพมหานคร มีค่าน้อยกว่า
สถาบันการศึกษาท่ีสังกัดสานักงานการศึกษาขึน้ พื้นฐานในทกุ องค์ประกอบ อาจจะมาจากหลายปัจจยั ไม่วา่ จะ
เป็นปัจจัยด้านการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีลักษณะของการกระจายอานาจ แตกต่าง
จากการจัดการแบบรวมศูนย์อานาจ รวมถึงปัจจัยสภาพแวดลอ้ มอ่ืน ๆ อาทิ นิเวศครอบครัว ภูมเิ ศรษฐกิจ ภูมิ
สงั คม ของเด็กและเยาวชนในสถานศกึ ษาองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น ท่ีอาจจะมีเศรษฐฐานะท่ีตา่ กว่า ส่งผลต่อ
คา่ ร้อยละพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียดึ มัน่ ความซ่อื สตั ย์ ดังน้ันในการขบั เคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
อาจจะต้องมีการดาเนินการที่แตกต่างกันระหว่างสถาบันการศึกษาท่ีสังกัดสานักงานการศึกษาข้ึนพ้ืนฐาน
กับสถาบันการศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท่ีต้องการโครงสร้างการประสานงานท่ีมีประสิทธิภาพ
สงู เน่อื งด้วยโครงสร้างการจัดการศึกษาของสถานศึกษาเหล่านัน้ อยู่ในรูปแบบการกระจายอานาจการส่ังการ

4. จากการวิเคราะห์ในรายละเอียดองค์ประกอบย่อยหรือพฤติกรรมบ่งช้ีขององคป์ ระกอบพฤติกรรม
ท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต จะเห็นว่าพฤติกรรมบ่งชี้ ระบบคิดฐานสอง พอประมาณ โปร่งใสตรวจสอบได้
จิตสานึกความเป็นเจ้าของประเทศ และจิตสาธารณะ มีแนวโน้มค่าคะแนนพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์
สุจริตของเด็กและเยาวชนลดลงชัดเจนอย่างต่อเนื่องเมื่อเด็กและเยาวชนอยู่ในช่วงวัยที่สูงขึ้น ดังน้ันในการ
ปรับปรุงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติอาจจะ
ต้องมีการปรับปรุงเน้ือหาที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างพฤติกรรมเหล่านี้ให้เข้มข้นและต่อเน่ืองในทุกช่วงช้ัน และ
เช่นเดียวกันจากผลการวิจัยท่ีพบว่าพฤติกรรมมุ่งประเมิน ความรับผิดชอบต่อตนเอง มีค่าต่าในช่วงช้ัน
ประถมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย และพฤติกรรม ระเบียบวินัย ละอาย
ต่อการทุจริต และการปฏบิ ัติตามกฎ กติกา ข้อตกลง ทพี่ บค่าคะแนนต่าในมัธยมศึกษาตอนต้นและมธั ยมศึกษา
ตอนปลาย ในการปลกู ฝงั พฤตกิ รรมยึดมั่นความซ่ือสตั ยส์ ุจริตในเด็กและเยาวชนไทยในชว่ งชน้ั มธั ยมศกึ ษา ควร
ให้ความสาคัญ อย่างย่ิงยวดกับพฤตกิ รรมแกน ซ่ึงในทีน่ ี้ก็คือ พฤติกรรมละอายต่อการทุจริต ในองค์ประกอบท่ี
2 ซ่ึงมีค่าคะแนนที่ต่ามากในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย ดังนั้น ถ้าจะต้องเลือกเพียง
พฤติกรรมเดียวในการพัฒนา พฤติกรรมละอายต่อการทุจริต คือพฤติกรรมท่ีต้องปลูกฝังเน้นย้าเป็นอย่างย่ิง
ในชว่ งชั้นมธั ยมศึกษา

5. ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากเคร่ืองมือฐานจาลองสถานการณ์สะท้อนพฤติกรรมเด็ก
และเยาวชนที่ยึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต ตอกย้าความสาคัญของการเอาใจใส่ส่ังสอนและการเป็นตัวอย่างที่ดี
จากพ่อ-แม่ ผู้ปกครองและครูที่ใกล้ชิด ในช่วงช้ันปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น กลุ่มเพ่ือนและส่ือเข้ามามี
บทบาทมากข้ึน นอกเหนือจากโรงเรยี นในช่วงช้ันประถมศึกษาตอนปลายและมธั ยมศึกษาตอนตน้ และมุมมอง
ความตอ้ งการ ความเสมอภาค สิทธิ์เท่าเทียมกัน ของคนในสังคม ของเยาวชนในช่วงช้ันระดับมัธยมศึกษาตอน
ปลายและระดับอุดมศึกษา จากผลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในช่วงช้ันปฐมวัยถึงประถมศกึ ษาตอนต้น การปลูกฝัง
พฤติกรรมที่ได้ผล ต้องมาจากทั้งฝั่งผู้ปกครองและครูท่ีใกล้ชิดที่ต้องหล่อหลอมแนวคิดพฤติกรรมให้เป็นไปใน
แนวทางเดียวกัน หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในช่วงช้ันเหล่าน้ี อาจจะต้องเน้นย้าการมีส่วนร่วมของพ่อ-แม่
ผ้ปู กครองในการจัดการศกึ ษา

ในช่วงชั้นประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษาตอนต้น นอกเหนือจากการเรียนในเน้ือหา การ
รวมกลุ่มกันของเด็กเยาวชนในกิจกรรมร่วมกับชุมชนควรได้รับการสนับสนุน รวมถึงการสนับสนุนสื่อที่ดี และ
ควรมีเนื้อหาการเรียนรู้สื่อ (Media Literacy) เพื่อสร้างการรับรู้ การคิดวิเคราะห์และแยกแยะ เน้ือหา
จากสือ่ ตา่ ง ๆ ได้

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ึดมั่นความซือ่ สัตย์สุจริต ฉบับสมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 5 - ๒๔

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทีย่ ึดมัน่ ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ

ส่วนในการเสริมสร้างความยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตในช่วงช้ันเยาวชน (มัธยมปลายถึงอุดมศึกษา)
เป็นโจทย์ท่ีท้าทาย เพราะในช่วงช้ันน้ีการเรียนการสอนทางด้านสังคมในห้องเรียนในสถาบันการศึกษาจะไม่มี
ผลเท่ากับมุมมอง ความเช่ือม่ัน ศรัทธา และเส้นเรื่องของสังคมหรือค่านิยมความเช่ือแกนท่ีกลุ่มหรือสังคมเห็น
พ้อง จากผลการวิจัยน่าจะสรุปได้ว่า ในความคิดของเยาวชนในระดับช่วงช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายถึง
อุดมศึกษาในปัจจุบัน ความเชื่อม่ัน ศรัทธาในความซื่อสัตย์สุจริต และความเป็นไปได้ในการจะแก้ไขปัญหา
ทุจริตคอรัปชั้นจะสามารถเกิดข้ึนได้ ถ้าเส้นเรื่องของสังคมไทย ให้ค่ากับความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน
เป็นเสน้ แกนของสงั คมมากขึ้น

6. จากผลการประเมินจาแนกตามเพศและภูมิภาค ท่ีพบว่า เด็กและเยาวชนในช่วงช้ันเดียวกัน แต่มี
คา่ คะแนนร้อยละพฤติกรรมท่ียึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต แตกต่างกัน และจากผลการศึกษาสภาพแวดล้อมทาง
สงั คมต่าง อาทิ ขนาดของสถานศึกษา ประเภททอี่ ยู่อาศยั สถานครอบครัว ภาระพึงพงิ ของครอบครัว ความรัก
ในครอบครวั ปัจจยั คร/ู อาจารย์ ปัจจัยกล่มุ เพือ่ น สงั คมออนไลน์ พบวา่ ปัจจยั เหลา่ นี้มีผลต่อพฤติกรรมท่ียดึ ม่ัน
ความซ่ือสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย ดังนั้น ในการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อาจะต้องออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสม
ให้ความสาคัญกับความแตกต่างกับปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ อาจจะต้องเปิดโอกาสให้สถานศึกษาหรือเขตพ้ืนที่
การศึกษาและชุมชน ได้มีโอกาสออกแบบเน้ือหาและกิจกรรมได้เอง เพื่อสร้างความตระหนักและการมี่ส่วน
รว่ มของการเป็นสว่ นหนึ่งของสงั คม ร่วมสร้างวฒั นธรรมความซอ่ื สัตย์สจุ รติ ใหช้ มุ ชนและสังคม

5.4.2 ข้อเสนอแนะในการปลูกฝงั เด็กและเยาวชนไทย
ในส่วนของข้อเสนอแนะสาหรับการนาผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยท่ียึดม่ัน
ความซอื่ สัตย์สุจรติ ไปใช้ในการปลกู ฝังเดก็ และเยาวชนไทย ทางคณะผวู้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะ ดงั น้ี
1. ถึงแม้จากทฤษฎีการขัดเกลาทางสังคม อธิบายถึงความสาคัญต่าง ๆ ครอบครัว บ้าน โรงเรียน
สังคมและชุมชน ท่ีร่วมกันพัฒนา หลอ่ หลอมพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ของเด็กและเยาวชน ผ่านปฏิสัมพันธ์ของ
พวกเขากับตัวขัดเกลาทางสังคมเหล่าน้ี ซ่ึงทุกตัวขัดเกลาทางสังคมล้วนมีบทบาทท่ีสาคัญในการพัฒนา
พฤติกรรมทยี่ ึดม่ันความซื่อสัตย์สุจรติ อย่างไรก็ตาม จากขอ้ คน้ พบจะเหน็ ได้ว่า ชว่ งชน้ั ของเด็กและเยาวชนไทย
ท่ีต้องไดร้ ับการสนใจ คือ ช่วงชั้นในระดับมธั ยมศึกษา โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ต้องมีการใส่ใจ
และเน้นย้าในการปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าในเด็กและเยาวชนแต่ละปัจเจกได้รับ
การขัดเกลาพฤติกรรมมาในระดับหน่ึงจากครอบครัว บ้าน และจากการเรยี นรู้ในช่วงชั้นที่ผ่านมา แต่พฒั นาการ
ทางจริยธรรมยังเป็นอยู่ในระดับก่อนกฎเกณฑ์ทางสังคม ท่ียังเป็นไปตามการลงโทษการเช่ือฟัง รางวัลหรือ
คาชมจากตัวขัดเกลาทางสังคมต่าง ๆ แต่ในระดับพัฒนาการในช่วงวัยรุ่นนี้ ท่ีน่าจะเร่ิมต้ังแต่เมื่อเด็กและ
เยาวชนเริ่มเข้าส่วู ัยรุ่น พัฒนาการทางจริยธรรมจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางสังคม ที่เด็กจะเรียนร้ผู า่ นกฎเกณฑ์
ทางสังคมต่าง ๆ ผ่านมาตรฐานความคาดหวังจากพ่อแม่ มาตรฐานการยอมรับจากครู กลุ่มเพื่อน หรือในโลก
ปัจจุบันท่ีกลุ่มเพื่อนเสมือนจริง ท่ีอยู่ในโลกออนไลน์ ก็เข้ามามีผล ในช่วงชั้นนี้ข้อมูลย้อนกลับทางสังคม
มีความสาคัญมาก ถ้าเด็กและเยาวชนได้รับข้อมูลย้อนกลับทางสังคมที่ถูกต้อง ก็จะสร้างการรับรู้หน้าที่
สร้างความรับผิดชอบ และสร้างความเช่ือม่ันในตนเอง ในการพัฒนาพฤติกรรมที่ยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต
ดังนั้น ในช่วงช้ันน้ีถือได้ว่าเป็นช่วงชั้นที่สาคัญในการสร้างพฤติกรรมที่ยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริต ผ่านข้อมูล
ย้อนกลับทางสังคมท่ีถูกต้อง การทาประโยชน์ให้สังคมชุมชน ตามโมเดลการพัฒนาพฤติกรรมที่พึงประสงค์
แบบญี่ปุ่น มีความน่าสนใจ ทจี่ ะถูกหยิบยกมาใช้ในการพัฒนาพฤติกรรมในช่วงช้ันระดับวัยรุ่นเหล่าน้ี แทนการสอน

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทยี่ ึดม่ันความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ ฉบบั สมบรู ณ์

พร้อมบทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ | 5 - ๒๕

รายงานการประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ ม่ันความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

ในช้นั เรียน ซ่ึงก็สอดคล้องกับประเดน็ การค้นพบในงานวิจยั ทพ่ี บว่า ในหลกั สตู รการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชา
เพ่ิมเติม การป้องกันการทุจริต) สถานศึกษาท่ีมีรูปแบบการนาไปใช้ในลักษณะเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
มีสดั ส่วนของเดก็ และเยาวชนทีม่ พี ฤตกิ รรมยึดมัน่ ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ สูงกว่าการนาไปใช้ในรปู แบบอื่น ๆ

2. จากแนวคิด “Build” สู่แนวคิด “Nurture” แนวคิดเล้ียงดูบารุงรักษาพฤติกรรมที่ยึดมั่น
ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ (Nurturing Ingerity)

แผนภาพที่ 5-1 แนวคิดการเลย้ี งดูบารงุ รักษาพฤติกรรมท่ยี ดึ ม่นั ความซ่ือสัตยส์ ุจรติ (Nurturing Ingerity)

จากแผนภาพที่ 5-1 แนวคิดการปลูกฝังบารุงรักษาพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซ่ือสตั ย์สุจริต (Nurturing
Ingerity) จะเห็นได้ว่า ในการมองแนวคิดน้ี จะต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ ที่จะต้องประกอบกันใน
แนวคิด Nurturing Integrity กล่าวคือ ตัวการปลูกฝังวัฒนธรรมสุจริตเอง ที่ตัวหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
ก็ได้นามาเป็นกลไกและเครื่องมือหน่ึงในการปลูกฝัง ส่ิงท่ีเรียกว่า “integrity as a personal value”
คือการปลูกฝังค่านิยมและพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซ่ือสัตย์สุจริต แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะต้องมีการสร้างระบบ
นเิ วศทางสังคมขึน้ มา สง่ิ ที่เรียกวา่ “integrity culture” เพ่อื ให้เกดิ การมีวฒั นธรรมท่ยี ึดมั่นความซือ่ สัตย์สจุ ริต
นั่นเอง

ในการมองแนวคิดนี้ ให้คิดเปรียบเทียบถึง เวลามีคนกล่าวว่าทาไมหลาย ๆ ครั้ง ที่เราเดินทางไปใน
ต่างประเทศ ท่ีมีวัฒนธรรมที่ยึดม่ันต่อส่ิงใดแล้ว เช่น คนไทยหลาย ๆ คนก็สามารถปฏิบัตตนให้สามารถมี
พฤติกรรมเช่นน้ันได้ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ากลับมาอยู่ในวัฒนธรรมการปฏิบัติดังเดิมแล้ว ก็ปฏิบัติเช่นเดิม
ตามที่เราได้ยินและรับรู้กันได้บ่อย ๆ น่ันก็แสดงว่า การท่ีพฤติกรรมยึดม่ันความซ่ือสัตย์สุจริตจะเติบโตได้
ต้องอยู่ในระบบนิเวศทางสังคมท่ีเอ้ือแล้วด้วยนั้นเอง การมองสองแนวปัจจัยที่กล่าวมาถึงเป็นปัจจัย “ผลัก”
และปัจจยั “ดงึ ” ในการสร้างสังคมทีไ่ ม่ทนต่อการทุจริต กว็ า่ ได้

สาหรับข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกฝัง “integrity as a personal value” ค่านิยมสุจริต
ผ่านตัวกระทาทางสังคม (social agent) ที่เป็นการศึกษา ซึ่งในท่ีนี้คือการใช้กลไกหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
ในการปลูกฝัง จากผลการประเมินจะเห็นได้ว่า มีข้อค้นพบท่ีน่าสนใจคือ ช่วงท่ีน่าสนใจ ท่ีน่าจะมีผลต่อ

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดม่นั ความซือ่ สัตย์สจุ รติ ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 5 - ๒๖

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยที่ยดึ มั่นความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ

พัฒนาการทางจริยธรรม หรือพัฒนาการไปสู่การสร้างค่านิยมสุจริต เพ่ือให้นาไปสู่พฤติกรรมท่ียึดมั่นต่อ
ความซ่ือสัตย์สุจริตอย่างได้ผลดี เป็นช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นคาบเกี่ยวไปถึงช่วงต้นของมัธยมศึกษาตอนปลาย
ท่ีตามทฤษฎีพัฒนาการของ Piagent และทฤษฎีพัฒนาการทางจริยรรมของ Kohlberg ได้อธิบายไว้ว่า
อยู่ในช่วง “คล้อยตาม” ทั้งผู้มีอานาจมากกว่าและคล้อยตามสังคม ในช่วงน้ี จะเป็นช่วงวัยที่สาคัญมากในการ
หล่อหลอมความมีค่านิยมสุจริต และพฤติกรรมซ่ือสัตย์สุจริตในเด็กและเยาวชน จากข้อเสนอแนะดังกล่าวน้ี
จะเห็นได้ว่า ตัวกระทาทางสังคมท่นี า่ จะมีผลทสี่ ดุ ในช่วงชัน้ ระดับนีจ้ ะไม่ใช่ตัวกระทาทางสังคมท่ีเป็นผู้ปกครอง
และครอบครัวอีกต่อไป แต่จะเป็น การศึกษา ส่ือ และสังคม ต่างหากท่ีมีบทบาทมากข้ึน อย่างไรก็ตาม
จากแนวคิดท่ีอธิบายไว้ในข้างต้นเกี่ยวกับ Nurturing Integrity ท่ีมองวา่ “Integrity” หรือ พฤติกรรมท่ียึดมั่น
ความซ่ือสัตย์สุจริต จะต้องมีการปลูกฝงั ผา่ นกระบวนการทางสงั คมต่าง ๆ แล้วจะตอ้ งถกู Nurture เล้ียงดู ดแู ล
บารุงรักษา จากตัวกระทาทางสังคม และมีชีวิตอยู่เติบโตในระบบนิเวศทางสังคมที่มี “Integirty Culture”
จงึ จะสามารถยนื ต้น “Ingegrity” นไ้ี ว้อยูไ่ ด้ ทงั้ สองส่วนในแนวคิด Nurturing integrity ทัง้ การปลูกฝงั คา่ นยิ ม
สุจริต และการสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต (Integrity culture) จึงเป็นเหมือนการพัฒนาท่ีต้องกระทา
คูข่ นานกนั ไป

5.4.3 ข้อเสนอแนะในการพัฒนาเครอื่ งมอื
เพ่ือให้ชุดเคร่ืองมือประเมินพฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดม่ันความซื่อสัตย์สุจริต ใช้ได้ผลอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพดยี ง่ิ ขน้ี ผูว้ ิจัยมขี ้อเสนอแนะในการพัฒนาเครือ่ งมือ ดังน้ี
1. พัฒนาชดุ เครอ่ื งมือท่ีใช้ประเมินชว่ งชั้นปฐมวยั ให้เป็นชุดเคร่ืองมือท่ีเป็น fully interactive ท่ีเด็ก
สามารถประเมินได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้คุณครูพี่เล้ียงหรือผู้ดูแลเป็นผู้ควบคุมการทดสอบ (proctor)
แต่ปรับบทบาทเปน็ ผู้ควบคุมดูแลการประเมนิ (supervisor) แทน เพ่ือที่จะใหเ้ ด็กในช่วงชั้นปฐมวัยได้สามารถ
กาหนดการตอบ ทส่ี ามารถสะทอ้ นความเข้าใจของเดก็ เองไดม้ ากย่งิ ขน้ึ
2. ในการทาแบบประเมิน ในชุดเครื่องมือช่วงช้ันประถมศึกษาตอนต้น และช่วงชั้นมัธยมศึกษา
ตอนตน้ โดยเฉพาะในกรณีท่ีสุ่มเลอื กไดน้ กั เรียนในช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 1 และนักเรียนในช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1
ให้พิจารณาถึงความสามารถในการอ่านของผู้เรียน ในบางสถานการณ์อาจจะต้องมีการพัฒนาเป็น audio
question เพอ่ื เปน็ ทางเลือกใหก้ บั เดก็ นกั เรยี นท่มี คี วามสามารถในการอา่ นจากัด
3. พิจารณาจัดทาข้อคาถามที่มีความหลากหลายหรืออาจจะมีการสร้างคลังคาถาม (Question
Bank/Item bank) เพื่อให้ระบบประเมินสามารถสุ่มเลือกข้อคาถามในการเก็บรวมรวมข้อมูล เพ่ือวิเคราะห์
และรายงานผลทไ่ี ด้ให้ครอบคลมุ

5.3.4 ขอ้ เสนอแนะในการพัฒนาระบบ
ตามท่ีได้มีการพัฒนาระบบการประเมินในรูปแบบ Collaborative Digital Evluation ที่มีช่ือว่า
TYintegrity เพ่ือใช้ในการประเมินในงานวิจยั ครั้งน้ี คณะผ้วู ิจัยมีขอ้ เสนอแนะในการพัฒนาระบบ ดงั น้ี
1. ควรปรับปรุงการเข้ารหัสเพื่อเข้าใช้งานระบบ TYintegrity จากระบบ email based ท่ีค่อนข้าง
จะมคี วามสลบั ซบั ซ้อนสาหรับผู้ใช้ มาเป็นใช้วธิ ีการเข้ารหสั ผา่ นเบอรโ์ ทรศัพท์ mobile authentication ท่ผี ู้ใช้
จะมีการยืนยันตัวตนผ่านการใช้โทรศัพท์แทน เพ่ือง่ายต่อการเข้าระบบกว่าระบบที่ใช้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
โดยใชก้ ารสมัครผ่านอเี มล ลดปญั หาการจาชื่อผูใ้ ช้และการจารหสั ผ่านเข้าระบบไม่ได้

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มัน่ ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ ฉบับสมบูรณ์

พร้อมบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 5 - ๒๗

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยทย่ี ดึ มน่ั ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

2. ควรปรับปรุงวิธีการใช้งานระบบ ให้ง่ายต่อการเรียนรู้และการใช้ โดยจะมีการนา A Wizard หรือ
กระบวนการเป็นข้ันเป็นตอน (step-by-step process) มาใช้โดยเฉพาะในกระบวนการสุ่มตัวอย่างเด็กและ
เยาวชนของผู้ประสานงานสถานศึกษา เพื่อให้ผู้ประสานงานสถานศึกษาสามารถสุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชน
ในสถานศกึ ษาได้งา่ ยและรวดเร็วยิ่งขึน้ ลดคาถามทจ่ี ะเกดิ ข้นึ จากการใชร้ ะบบ

3. การปรับเปลี่ยนรูปแบบการนาเสนอคาถาม และข้อเลือกในการตอบคาถามให้เป็น mobile
friendly มากข้ึน เน่ืองจากในข้อคาถามบางข้อ ใช้การสไลด์ตัวเลขในการตอบข้อคาถามในการประเมิน ทาให้
เกดิ ความย่งุ ยากในการสไลด์กับผู้ใช้ระบบบางท่านท่ีมีเลบ็ ยาว หรือในตัวเลอื กบางข้อคาถามทีเ่ ป็นการประเมิน
โดยการให้ดาว การแสดงผลดาวที่ให้ไม่ปรากฏทั้งหมดในหน้าเดียวกัน ซึ่งอาจจะทาผู้ประเมินเข้าใจ
คลาดเคลอ่ื นในการให้คะแนนการประเมินได้

4. ในการพัฒนาระบบประเมิน เพื่อให้เกิดการพัฒนาให้ดีย่ิงขึ้น ในครั้งต่อไปผู้วิจัยควรมีการทา
การศึกษาการใช้งานได้ง่าย (usability study) ระบบ TYIntegrity กับกลุ่มเด็กและเยาวชนผู้ใช้จริง ในแต่ละ
ช่วงชัน้ เพอ่ื ทีจ่ ะไดน้ าเราขอ้ ค้นพบมาปรับแก้ เพ่ือใหเ้ กิดการใชง้ านระบบประเมินได้งา่ ยข้นึ

5. ควรมีการพัฒนาระบบบตดิ ตามประเมนิ พฤติกรรมของเด็กและเยาวชน เปน็ รายบุคคลในระยะยาว
เพื่อให้ได้ข้อมูลสารสนเทศในการวางแผน โดยอาจจะบูรณาการกับระบบท่ีมีอยู่แล้ว หรือพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้
ในการพัฒนาผู้เรียนในระยะยาว เพื่อให้ทราบพัฒนาการของผู้เรียนในแต่ละช่วงช้ัน โดยอาจจะรวมถึง
การบูรณาการขอ้ มูลรว่ มกับสมุดบันทึกความดี หรือขอ้ มูลอน่ื ๆ ที่ทางสถานศกึ ษาหรอื ตน้ สังกัดได้มีการบนั ทึกไว้

รายงานการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ มั่นความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ ฉบบั สมบูรณ์

พรอ้ มบทสรุปและข้อเสนอแนะ | 5 - ๒๘

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ียึดมัน่ ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ

เอกสารอ้างอิง

Gaitan L. (2014) Socialization and Childhood in Sociological Theorizing. In, Ben-Arieh A., Casas
F., Frones I., Korbin J. (eds) Handbook of Child Well-Being. Springer, Dordrecht. เขา้ ถึงได้
จาก , https,//doi.org/10.1007/978-90-481-9063-8_180

Clausen JA. (1968) Socialization and Society. Boston, MA, Little Brown and Company
Billingham M. (2007) Sociological perspectives. In, Stretch B and Whitehouse M (eds) Health

526 and social care. Oxford, UK, Heinemann, 301-334.
Horton, P.B. and Hunt, C.L., 1982, Sociology, McGraw Hil! Kogakusha, USA., p 92
Johnson, H. M. , ( 1 9 6 0 ) . Sociology, A system. atic Introduction, Harcout, Brace and World,

Nev.'York. p. 110.
Afzal Izzaz Zahari, Jamaliah Said and Roshayani Arshad. (2019). Educational Psychology &

Counselling. Cogent Psychology.
Amy Sodaro, (2021) Understanding Socializaiton in Sociology in Action, Sage retrieved,

https,//us.sagepub.com/sites/default/files/upm-assets/107837_book_item_107837.pdf

Bloom, B.S. (Ed.). Engelhart, M.D., Furst, E.J., Hill, W.H., Krathwohl, D.R.(1956).Taxonomy of
educational objectives, Handbook I, Cognitive Domain. New York, Longmans, Green
and Co. Ltd.

Chowdhury, M. (๒๐๑๖). Emphasizing Morals, Values, Ethics, And Character Education In
Science Education And Science Teaching. The Malaysian Online Journal of Educational
Science, ๔(๒),๑-๑๖.

Crisogen, D. T. ( 2015) . Types of socialization and their importance in understanding the
phenomena of socialization. European Journal of Social Science Education and
Research, 2(4), 331-336.

Hresh, M.A., (๒๐๑๔). Science, Technology, and Values, Promoting Ethics and Social Responsibility.
AI and Society,๒๙(๒), ๑๖๗-๑๘๓.

Krathwohl, D. R. , Bloom, B. S. , Masia, B. B. (1964). Taxonomy of Educational Objectives.
Handbook II, Affective Domain. New York, David McKay Co.

United Nations Educational Scientific and Cultural Organization. (๑๙๙๑). Values and ethics
and the science and technology curriculum. Bangkok, Thailand, Asia and the Pacific
Programme of Educational Innovation for Development.

Huberts, L. W. J. C. (2018). Integrity, What it is and Why it is Important. Public Integrity.
เขา้ ถงึ ได้จาก , https,//doi.org/10.1080/10999922.2018.1477404

Zahari, A. I., Said, J., & Arshad, R. (2019). Integrity climate questionnaire. Cogent Psychology,
6(1). เข้าถึงได้จาก , https,//doi.org/10.1080/23311908.2019.1626541

Barnard, A., Schurink, W., & De Beer, M. (2008). A Conceptual Framework of Integrity. South
African Journal of Industrial Psychology, 40-49.

รายงานการประเมินพฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ดึ ม่นั ความซอ่ื สัตย์สุจรติ ฉบับสมบรู ณ์

พรอ้ มบทสรปุ และข้อเสนอแนะ | 6 - ๑

รายงานการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ และเยาวชนไทยท่ยี ึดม่นั ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

Becker, T.E. (1998). Integrity in organisations, Beyond honesty and conscientiousness.
Academy of Management Review, 23, 154-161

OECD. (2020). OECD Public Integrity Handbook. OECD Publishing, Paris.
Suryadi, B., Nisa, Y. F., & Sumiati, N. T. (2018). DEVELOPMENT OF PERSONAL INTEGRITY SCALE,

Construct Validity. 1st International Conference on Educational Research (ICERE).
McCabe, D. L., & Trevino, L. K. (1993). Academic dishonesty, Honor codes and other

contextual influences. Journal of Higher Education, 64(5), 522-538.
Barnar Barnard, A., Schurink, W., & De Beer, M. (2008). A Conceptual Framework of Integrity.

South African Journal of Industrial Psychology
Janet Malcolm, Psychoanalysis, The Impossible Profession (1988) p. 29-36
Miller, M.L. & Schlenker, B.R. (2011). Integrity and Identity: Moral identity differences and

preferred interpersonal reactions. European Journal of Personality, 25, 2-15
O’Donnel, Kelly. (2017). Integrity and Accountability for UN Staff. Retrieved October 29,

2020, from http://membercareassociates.org/wp-
content/uploads/2017/04/Integrity-and-Accountability-parts-1-and-2-UN-Special-
March-and-April-2017-ODonnell.pdf
Li Sa, Ng., Toon Hui, Ong., & Wong, James. (2018). Integrity: Fundamentals for Singapore's
Governance Success. Civil Service College Singapore. Volume 19
Timo, M. (2017). State of Civil Service Ethics in Finland.
Chiu, M. M., & Chow, B. W. Y. (2015). International comparisons of student achievement.
Progress in Education, 32, 93-108.
Ajzen, I., & Fishbein, M. (1980). Understanding attitudes and predicting social behavior.
Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.
Fishbein, M., & Ajzen, I. (1975).. Belief, attitude, intention, and behavior. Reading, MA:
Addison-Wesley.
กล่มุ ยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนา สานกั นโยบายและยุทธศาสตร์ สานกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร.
(2560). รายงานการวิจัยเรื่อง การศึกษาคุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียนในสถานศึกษาสังกัด
กระทรวงศึกษาธิการ. โครงการพฒั นาแหง่ สหประชาชาติ สานกั งานประเทศไทย. กรงุ เทพ ฯ
ปนาลี แทนประสาน. (2562). การศึกษาความซ่ือตรงทางการศกึ ษาระดับปรญิ ญาตร.ี สาขาการวิจยั และ
พัฒนาศกั ยภาพมนษุ ย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
สหประชาชาติ สานกั งานประเทศไทย. (2561). หนงั สอื คาศัพทใ์ นการสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ ด้านความซื่อสัตย์
ต่อตนเองและมีการสานึกต่อสังคม เพ่ือต้านการทุจริตแบบยั่งยืน. กรุงเทพฯ. ค้นเมื่อ 17 ตุลาคม
2563.
รสิตา กุดแถลง. (2550). ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการอบรมเลี้ยงดกู บั ความซือ่ สตั ย์ของนกั เรยี นระดับ
มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนองครักษ์ จังหวัดนครนายก. กรุงเทพมหานคร, สานักหอสมุดกลาง
มหาวิทยาลัยรามคาแหง.

รายงานการประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กและเยาวชนไทยทย่ี ึดม่ันความซอื่ สัตย์สจุ ริต ฉบับสมบรู ณ์

พร้อมบทสรุปและขอ้ เสนอแนะ | 6 - ๒


Click to View FlipBook Version