The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก-1

Keywords: พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก

พจนานุกรมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก

ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
(Asst.Prof.Dr.Viroj koomkrong)

รวบรวมและเรียบรียงโดย: ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง, ป.ธ. ๙, พธ.ม., พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา)
ตรวจทาน: นาวาเอกทองยอ้ ย แสงสนิ ชัย ป.ธ. ๙.
พสิ จู น์อักษร: ดร.ธานี สวุ รรณประทีป
จัดรูปเลม่ : ดร.ธานี สุวรรณประทปี
ออกแบบปก: นายไพฑูรย์ อุทัยคาม
สงวนลขิ สทิ ธ์ิ ลิขสิทธิข์ อง ผศ. ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณากล่ันกรองผลงานทางวิชาการ (Peer Review) วิทยาเขต
บาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ประจาปีการศกึ ษา ๒๕๖๑

พระเทพสุวรรณเมธ,ี รศ. ดร.
ศ. (พิเศษ) ร.ท. ดร.บรรจบ บรรณรุจิ
รศ. ดร.สวุ ิญ รักสตั ย์
รศ. ดร.เวทย์ บรรณกรกลุ

ISBN : 978-616-300-599-1
พิมพเ์ ม่อื : มถิ นุ ายน ๒๕๖๒
จานวนพิมพ์ : ๑๐๐ เล่ม

พิมพท์ ่ี : อกั ขระการพิมพ์
๘๙/๑๔๓๘ ตาบลบางแมน่ าง อาเภอบางใหญ่ จงั หวัดนนทบุรี
มือถอื ๐๙-๖๔๘๒-๓๕๙๕

[ ๒ ] ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

คานา

มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ได้
จดั การเรียนการสอนท้ังในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกตามลาดับ ซ่ึงมีปรัชญา
การศกึ ษาวา่ “บาลีปรยิ ัตกิ า้ วหนา้ พระพุทธศาสนาม่ังคง เสรมิ สง่ วิปสั สนาสู่สังคม” มีเป้าหมายใน
การขยายขอบเขตทางวิชาการทางพระพุทธศาสนา เพื่อการศึกษาภาษาบาลี ความม่ันคงของ
พระพุทธศาสนา และการส่งเสริมวิปัสสนาไปสู่สากล ซึ่งสอดคล้องรองรับปรัชญาและปณิธานของ
มหาวทิ ยาลัย

หนงั สือ พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ฉบับนี้ผเู้ ขยี นไดป้ รารภถงึ ศัพทเ์ ชิงอรรถ
พระไตรปฎิ กท้ังหมด ซึง่ มจี านวนมากและปรากฏแยกกันอย่ใู นพระไตรปิฎกเลม่ ต่าง ๆ ทาให้ไม่สะดวก
ในการศึกษาคน้ คว้า ถา้ หากมีการรวบรวมและเรียบเรียงให้อยู่ในเล่มเดียวกันก็จะเป็นคุณูปการแก่
การศึกษาค้นคว้าเน้ือหาและการอ้างอิงท่ีมาของหลักธรรมได้อย่างถูกต้อง ซ่ึงเหมาะสาหรับนิสิต
นกั ศึกษา และพทุ ธศาสนิกชนทว่ั ไปผมู้ ีความสนใจใครศ่ กึ ษาพระไตรปิฎกในรปู แบบของศพั ท์เชิงอรรถ
ที่ถกู รวบรวมเนือ้ หาไว้อยา่ งครอบถ้วน ผู้เขียนจงึ ได้จัดทาข้ึนเพอ่ื เป็นคูม่ อื ศึกษาพระไตรปิฎกทั้งภาษา
บาลีและภาษาไทยเพ่ือสะดวกต่อการศึกษาค้นคว้าหลักคาสอนของพระพุทธศาสนาเชิงวิชาการ
พระไตรปิฎกถอื เปน็ คัมภรี ์หลกั ของพระพุทธศาสนา เปน็ หลกั ฐานชั้นต้นบรรจุคาสอนของพระพทุ ธเจ้า
และพระสาวกสาคญั บางองค์ท่เี รียกว่า พระไตรปฎิ กซง่ึ ปรากฏอยู่ในรปู ของคัมภีร์ ๔๕ เลม่ คอื เล่มท่ี
๑ - เลม่ ท่ี ๘ เปน็ พระวนิ ยั ปิฎก เลม่ ท่ี ๙ - เลม่ ท่ี ๓๓ เป็นพระสุตตันตปิฎก เล่มท่ี ๓๔ - เล่มที่ ๔๕
เป็นพระอภิธรรมปิฎก

เนื่องจากหนังสือพจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎกนี้ได้รวบรวมเน้ือหาในคัมภีร์
พระไตรปฎิ กซ่งึ มศี ัพทเ์ ชิงอรรถท้ังหมดตัง้ แต่เลม่ ท่ี ๑ ถึง เล่มท่ี ๓๘ โดยเรียงไปตามลาดับเล่มซึ่งมี
ศพั ท์เชงิ อรรถบ้างศัพทท์ ่ีซา้ กันบ้างแตไ่ ม่ซ้าหนา้ กนั ผู้เขยี นเหน็ วา่ มีประโยชน์จึงไม่ตัดศัพท์ชิงอรรถที่
ซ้าๆ กนั ออก แต่คงไว้ตามตน้ ฉบับเดิม ส่วนพระอภิธรรมปิฎกเล่มท่ี ๓๙ ถงึ เลม่ ท่ี ๔๕ ไมป่ รากฏศัพท์
ทเ่ี ปน็ เชงิ อรรถ ผู้เขยี นจึงไม่ไดร้ วบรวมและเรียบเรียงไว้ในหนังสือเล่มนี้ หากหนังสือเล่มน้ีพบว่ามี
ขอ้ บกพรอ่ งหรือผิดพลาดประการใด และยังมีเน้อื หาไม่สมบูรณ์ ขอให้ท่านผู้รู้ท้ังหลายได้ช่วยโปรดชี้
แนะนาแกผ่ ู้เขียนด้วย ก็จะเปน็ อปุ การคณุ อย่างย่ิง เพอ่ื เป็นแนวทางในการแก้ไขให้ดีย่ิงขึ้นในอนาคต
ซงึ่ จะนาความเจรญิ รงุ่ เรอื งและการดารงอยอู่ ยา่ งมั่นคงแก่พระพุทธศาสนาโดยรวม

ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุม้ ครอง
สาขาวชิ าบาลพี ทุ ธศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
วิทยาเขตบาฬศี ึกษาพทุ ธโฆส นครปฐม

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก [ ๓ ]

สารบัญ

คานา [๒]
สารบัญ [๓]
คาอธบิ ายสัญญลักษณ์และคาย่อ [๕]
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎกพระวินัยปฎิ กเล่มท่ี ๑ ๑
พจนานุกรมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ ๑๐
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ กพระวนิ ยั ปิฎกเลม่ ท่ี ๓ ๒๔
พจนานุกรมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎกพระวนิ ยั ปิฎกเล่มท่ี ๔ ๓๒
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระวนิ ยั ปิฎกเล่มที่ ๕ ๔๙
พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎกพระวินยั ปิฎกเล่มท่ี ๖ ๖๐
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ กพระวินัยปิฎกเลม่ ท่ี ๗ ๖๓
พจนานุกรมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระวินัยปฎิ กเลม่ ท่ี ๘ ๗๑
พจนานุกรมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎกพระสตุ ตันตปิฎกเล่มที่ ๙ ๗๕
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสตุ ตนั ตปิฎกเล่มท่ี ๑๐ ๙๐
พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎกพระสุตตนั ตปิฎกเล่มท่ี ๑๑ ๑๑๔
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตนั ตปฎิ กเลม่ ที่ ๑๒ ๑๔๖
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตันตปฎิ กเลม่ ท่ี ๑๓ ๑๘๖
พจนานุกรมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตนั ตปิฎกเล่มท่ี ๑๔ ๒๒๑
พจนานุกรมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ กพระสุตตนั ตปฎิ กเลม่ ที่ ๑๕ ๒๕๓
พจนานุกรมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสตุ ตนั ตปฎิ กเล่มที่ ๑๖ ๒๗๑
พจนานุกรมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสุตตันตปิฎกเลม่ ท่ี ๑๗ ๒๘๕
พจนานุกรมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสุตตันตปฎิ กเลม่ ท่ี ๑๘ ๒๙๗
พจนานุกรมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตนั ตปิฎกเลม่ ที่ ๑๙ ๓๑๖
พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตนั ตปิฎกเล่มท่ี ๒๐ ๓๓๕
พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตันตปิฎกเลม่ ท่ี ๒๑ ๓๗๘
พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสตุ ตันตปฎิ กเล่มที่ ๒๒ ๔๑๘
พจนานุกรมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตันตปิฎกเลม่ ท่ี ๒๓ ๔๘๕
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสุตตนั ตปิฎกเล่มท่ี ๒๔ ๕๓๐
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตันตปิฎกเลม่ ท่ี ๒๕ ๕๕๙
พจนานุกรมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสุตตันตปิฎกเล่มท่ี ๒๖ ๖๔๙

[ ๔ ] ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง ๖๖๓
๖๗๑
พจนานุกรมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ กพระสุตตันตปิฎกเลม่ ท่ี ๒๗ ๖๘๕
พจนานุกรมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสุตตนั ตปฎิ กเล่มท่ี ๒๘ ๗๐๕
พจนานุกรมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ กพระสตุ ตนั ตปฎิ กเล่มที่ ๒๙ ๗๑๙
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎกพระสุตตันตปฎิ กเลม่ ท่ี ๓๐ ๗๓๖
พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสุตตันตปฎิ กเล่มท่ี ๓๑ ๗๕๔
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสุตตันตปิฎกเลม่ ที่ ๓๒ ๗๖๘
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎกพระสุตตันตปิฎกเล่มท่ี ๓๓ ๗๖๙
พจนานุกรมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ กพระอภมิ รรมปฎิ กเล่มท่ี ๓๔ ๗๗๗
พจนานุกรมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎกพระอภิมรรมปิฎกเล่มท่ี ๓๕ ๗๘๔
พจนานุกรมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎกพระอภมิ รรมปฎิ กเลม่ ที่ ๓๖ ๘๐๓
พจนานุกรมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎกพระอภิมรรมปฎิ กเล่มท่ี ๓๗ ๘๐๗
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎกพระอภมิ รรมปฎิ กเลม่ ที่ ๓๘
ประวัตผิ ู้เขยี น

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก [ ๕ ]

คาอธบิ ายสญั ลักษณแ์ ละคาย่อ

การอา้ งอิงคมั ภีร์พระไตรปฎิ กภาษาบาลีและพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย คัมภีร์อรรถกถาภาษาบาลีใช้ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย พระไตรปิฎกท่ีใช้
อ้างอิง ใหใ้ ช้อักษรยอ่ บอกชอ่ื คัมภีรเ์ ปน็ ระบบเดยี วกันหมดตามที่มหาวิทยาลัยกาหนด การอ้างอิงให้
ระบุ เลม่ /ขอ้ /หนา้ หลังอักษรย่อชือ่ คัมภีร์ ให้ใชอ้ ักษรย่อตวั พนื้ ปกติ เช่น ที.สี. (บาลี) ๙/๒๗๖/๙๗,
ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๗๖/๙๘. หมายถึง ทีฆนกิ าย สลี กฺขนฺธวคคฺ ปาลิ ภาษาบาลี เลม่ ๙ ข้อ ๒๗๖ หนา้ ๙๗
ฉบับมหาจุฬาเตปิฏก ๒๕๐๐และ ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค ภาษาไทย เล่ม ๙ ขอ้ ๒๗๖ หน้า ๙๘ ฉบับ
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙

การอา้ งอิงคมั ภรี ์อรรถกถาภาษาบาลีฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเท่าน้ัน โดยให้ยก
คาอธบิ ายการใช้สญั ลักษณ์และอักษรยอ่ ชอ่ื คัมภีร์อรรถกถาส่วนนี้ไปเรียงลาดับต่อจากคัมภีร์ปกรณ
วเิ สส (ถ้าม)ี ตามลาดบั คือ พระไตรปิฎก ปกรณวเิ สส และอรรถกถา ใหอ้ ยู่ในยอ่ หนา้ เดียวกันท้ังหมด
โดยไมต่ อ้ งแยกการอา้ งองิ คมั ภีร์และชี้แจงการใช้อักษรย่อ) ระบบอ้างอิงอรรถกถาให้ระบุช่ือคัมภีร์
ลาดับเล่ม (ถ้ามี)/หน้า เช่น ที.สี.อ.(บาลี) ๑/๒๗๖/๒๔๐ หมายถึง ทีฆนิกายสุมงฺคลวิลาสินี
สลี กขฺ นฺธวคคฺ อฏฺ กถา ภาษาบาลี เล่ม ๑ ข้อ ๒๗๖ หน้า ๒๔๐ ฉบับมหาจฬุ าอฏฺ กถา

การอา้ งอิงคมั ภีรฎ์ กี าใหใ้ ช้ระบบอักษรย่อ ตามที่มหาวทิ ยาลัยกาหนดไว้ โดยระบชุ ื่อคัมภีร์
ตามดว้ ยเล่ม (ถ้าม)ี ขอ้ /หนา้ เช่น ที.ส.ี ฏีกา (บาล)ี ๑/๒๗๖/๓๗๓ หมายถึง ทฆี นิกาย ลีนตฺถปฺปกาสินี
สีลกฺขนฺธวคฺคฏกี า ภาษาบาลี เล่ม ๑ ข้อ ๒๗๖ หน้า ๓๗๓ ฉบับมหาจุฬาฎีกา สาหรับคัมภีร์ฎีกาน้ัน
ภาษาบาลมี คี รบสมบรู ณ์เฉพาะฉบับมหาจฬุ าฎีกา

ก. คาย่อชื่อคมั ภีรพ์ ระไตรปฎิ ก

พระวนิ ยั ปฎิ ก

เล่ม คายอ่ ช่ือคัมภีร์ ภาษา

๑-๒ ว.ิ มหา. (บาล)ี = วินยปฏิ ก มหาวภิ งคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
วิ.มหา. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก มหาวภิ งั ค์ (ภาษาไทย)
(ภาษาบาล)ี
๓ วิ.ภกิ ขฺ นุ ี. (บาลี) = วินยปิฏก ภิกฺขุนวี ภิ งคฺ ปาลิ (ภาษาไทย)
วิ.ภกิ ฺขุนี. (ไทย) = วนิ ยั ปฎิ ก ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค์ (ภาษาบาลี)
(ภาษาไทย)
๔-๕ วิ.ม. (บาลี) = วนิ ยปฏิ ก มหาวคคฺ ปาลิ
ว.ิ ม. (ไทย) = วินยั ปิฎก มหาวรรค

[ ๖ ] ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

๖-๗ ว.ิ จู. (บาล)ี = วินยปิฏก จฬู วคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
วิ.จู. (ไทย) = วนิ ัยปฎิ ก จฬู วรรค (ภาษาไทย)
= วนิ ยปฏิ ก ปริวารวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี
๘ วิ.ป. (บาลี) = วนิ ัยปิฎก ปรวิ ารวรรค (ภาษาไทย)
วิ.ป. (ไทย)

พระสตุ ตันตปฎิ ก

เล่ม คาย่อ ชอื่ คมั ภีร์ ภาษา

๙ ท.ี ส.ี (บาล)ี = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนกิ าย สลี กขฺ นฺธวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)

ท.ี สี. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ทีฆนิกาย สลี ขันธวรรค (ภาษาไทย)

๑๐ ท.ี ม. (บาล)ี = สตุ ตฺ นตฺ ปฏิ ก ทฆี นกิ าย มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)

ท.ี ม. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย)

๑๑ ท.ี ปา. (บาล)ี = สุตตฺ นตฺ ปฏิ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี

ท.ี ปา. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค (ภาษาไทย)

๑๒ ม.ม.ู (บาล)ี = สตุ ตฺ นฺตปิฏก มชฺฌมิ นกิ าย มลู ปณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ม.มู. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปัณณาสก์ (ภาษาไทย)

๑๓ ม.ม. (บาล)ี = สตุ ฺตนฺตปฏิ ก มชฌฺ ิมนกิ าย มชฌฺ มิ ปณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มชั ฌิมนกิ าย มัชฌมิ ปัณณาสก์ (ภาษาไทย)

๑๔ ม.อ.ุ (บาลี) = สตุ ตฺ นฺตปิฏก มชฺฌมิ นกิ าย อปุ ริปณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ม.อุ. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปัณณาสก์ (ภาษาไทย)

๑๕ ส.ส. (บาลี) = สุตฺตนฺตปฏิ ก สยุตตฺ นกิ าย สคาถวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี

ส.ส. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย)

๑๖ ส.นิ. (บาล)ี = สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก สยตุ ตฺ นิกาย นิทานวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)

ส.นิ. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก สงั ยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค (ภาษาไทย)

๑๗ ส.ข. (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก สยุตฺตนิกาย ขนฺธวารวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)

ส.ข. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค (ภาษาไทย)

๑๘ ส.สฬา. (บาล)ี = สุตฺตนฺตปิฏก สยุตตฺ นกิ าย สฬายตนวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)

ส.สฬา. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย)

๑๙ ส.ม. (บาล)ี = สตุ ตฺ นตฺ ปิฏก สยุตตฺ นิกาย มหาวารวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)

ส.ม. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค (ภาษาไทย)

๒๐ อง.ฺ เอกก. (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปิฏก องฺคตุ ตฺ รนกิ าย เอกกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี)

อง.ฺ เอกก.(ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก องั คุตตรนกิ าย เอกกนบิ าต (ภาษาไทย)

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก [ ๗ ]

องฺ.ทกุ . (บาลี) = สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก องฺคตุ ตฺ รนกิ าย ทกุ นิปาตปาลิ (ภาษาบาล)ี
องฺ.ทกุ . (ไทย) = สุตตันตปิฎก องั คตุ ตรนกิ าย ทุกนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ติก. (บาล)ี = สตุ ฺตนตฺ ปิฏก องคฺ ตุ ตฺ รนิกาย ตกิ นิปาตปาลิ (ภาษาบาลี)
องฺ.ตกิ . (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก อังคตุ ตรนิกาย ตกิ นบิ าต (ภาษาไทย)
๒๑ อง.ฺ จตกุ ฺก.(บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปิฏก องคฺ ุตฺตรนิกาย จตุกกฺ นิปาตปาลิ (ภาษาบาลี)
อง.ฺ จตกุ กฺ .(ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก องั คุตตรนกิ าย จตกุ กนบิ าต (ภาษาไทย)
๒๒ อง.ฺ ปญจฺ ก.(บาลี) = สุตตฺ นตฺ ปิฏก องคฺ ุตตฺ รนกิ าย ปญจฺ กนปิ าตปาลิ (ภาษาบาลี)
องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) = สตุ ตันตปิฎก อังคตุ ตรนิกาย ปญั จกนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ฉกฺก. (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก องคฺ ตุ ตฺ รนิกาย ฉกกฺ นปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี
องฺ.ฉกฺก. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก องั คตุ ตรนิกาย ฉักกนบิ าต (ภาษาไทย)
๒๓ อง.ฺ สตตฺ ก.(บาลี) = สุตตฺ นฺตปิฏก องคฺ ุตตฺ รนกิ าย สตตฺ กนปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี
องฺ.สตฺตก.(ไทย) = สตุ ตันตปิฎก องั คุตตรนิกาย สตั ตกนบิ าต (ภาษาไทย)
องฺ.อฏฺ ก.(บาล)ี = สตุ ตฺ นฺตปฏิ ก องคฺ ุตฺตรนกิ าย อฏฺ กนิปาตปาลิ (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ อฏฺ ก.(ไทย) = สุตตนั ตปิฎก อังคตุ ตรนิกาย อัฏฐกนิบาต (ภาษาไทย)
องฺ.นวก. (บาล)ี = สตุ ตฺ นฺตปฏิ ก องคฺ ตุ ตฺ รนิกาย นวกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี)
อง.ฺ นวก. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก อังคตุ ตรนิกาย นวกนบิ าต (ภาษาไทย)
๒๔ องฺ.ทสก. (บาลี) = สุตตฺ นฺตปิฏก องคฺ ตุ ฺตรนกิ าย ทสกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี
องฺ.ทสก. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก องั คตุ ตรนิกาย ทสกนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ เอกาทสก. (บาลี) = สตุ ตฺ นตฺ ปฏิ ก องฺคุตตฺ รนิกาย เอกาทสกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี
องฺ.เอกาทสก. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก องั คุตตรนกิ าย เอกาทสกนบิ าต (ภาษาไทย)
๒๕ ข.ุ ขุ. (บาล)ี = สุตตฺ นตฺ ปฏิ ก ขทุ ทฺ กนิกาย ขทุ ฺทกปา ปาลิ (ภาษาบาล)ี
ขุ.ข.ุ (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ (ภาษาไทย)
ข.ุ ธ. (บาล)ี = สุตตฺ นตฺ ปิฏก ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทปาลิ (ภาษาบาล)ี
ข.ุ ธ. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท (ภาษาไทย)
ขุ.อุ. (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก ขทุ ทฺ กนกิ าย อุทานปาลิ (ภาษาบาล)ี
ข.ุ อุ. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขุททกนิกาย อุทาน (ภาษาไทย)
ขุ.อิต.ิ (บาลี) = สุตตฺ นฺตปิฏก ขุททฺ กนิกาย อิตวิ ุตฺตกปาลิ (ภาษาบาล)ี
ข.ุ อิติ. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย อิติวตุ ตกะ (ภาษาไทย)
ข.ุ สุ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุททฺ กนกิ าย สตุ ตฺ นิปาตปาลิ (ภาษาบาลี)
ข.ุ สุ. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต (ภาษาไทย)
๒๖ ข.ุ ว.ิ (บาลี) = สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ฺทกนกิ าย วมิ านวตฺถปุ าลิ (ภาษาบาล)ี

[ ๘ ] ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

ขุ.วิ. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขุททกนิกาย วมิ านวตั ถุ (ภาษาไทย)

ขุ.เปต. (บาลี) = สุตตฺ นตฺ ปิฏก ขุทฺทกนิกาย เปตวตฺถปุ าลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ เปต. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย เปตวัตถุ (ภาษาไทย)

ขุ.เถร. (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปิฏก ขุททฺ กนิกาย เถรคาถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.เถร. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย เถรคาถา (ภาษาไทย)

ขุ.เถร.ี (บาล)ี = สุตตฺ นฺตปิฏก ขุททฺ กนกิ าย เถรคี าถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.เถรี. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย เถรีคาถา (ภาษาไทย)

๒๗ ขุ.ชา.เอกก.(บาลี)= สตุ ตฺ นฺตปิฏก ขทุ ฺทกนิกาย เอกกนิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.เอกก.(ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย เอกกนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.ทุก.(บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปิฏก ขทุ ทฺ กนิกาย ทุกนิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.ทุก.(ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ทุกกนิบาตชาดก (ภาษาไทย)

ขุ.ชา.ตกิ .(บาล)ี = สตุ ตฺ นฺตปฏิ ก ขุททฺ กนกิ าย ตกิ นิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.ติก.(ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนกิ าย ติกนิบาตชาดก (ภาษาไทย)

ขุ.ชา.จตุกกฺ .(บาลี)= สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก ขุททฺ กนกิ าย จตุกฺกนิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.จตกุ กฺ .(ไทย)= สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนกิ าย จตุกกนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ขุ.ชา.ปญจฺ ก.(บาลี)= สตุ ตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทฺ กนิกาย ปญฺจกนปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.ปญจฺ ก.(ไทย)= สุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย ปญั จกนิบาตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.ฉกฺก.(บาลี) = สตุ ตฺ นตฺ ปิฏก ขุททฺ กนิกาย ฉกกฺ นปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ชา.ฉกฺก.(ไทย) = สตุ ตันตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ฉักกนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.สตฺตก.(บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปิฏก ขทุ ฺทกนิกาย สตฺตกนิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.สตฺตก.(ไทย)= สตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย สัตตกนิบาตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.อฏฺ ก.(บาลี)= สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก ขทุ ทฺ กนกิ าย อฏฺ กนิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.อฏฺ ก.(ไทย)= สตุ ตันตปิฎก ขทุ ทกนิกาย อัฏฐกนิบาตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.นวก.(บาล)ี = สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก ขทุ ฺทกนกิ าย นวกนปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.นวก.(ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย นวกนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.ทสก.(บาลี) = สุตฺตนฺตปฏิ ก ขุททฺ กนกิ าย ทสกนปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.ทสก.(ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทสกนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.เอกาทสก.(บาล)ี = สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก ขุทฺทกนิกาย เอกาทสกนิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.เอกาทสก.(ไทย)= สตุ ตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย เอกาทสกนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ขุ.ชา.ทฺวาทสก.(บาลี)= สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ฺทกนิกาย ทฺวาทสกนิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.ทฺวาทสก.(ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ทวฺ าทสกนิบาตชาดก (ภาษาไทย)

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก [ ๙ ]

ข.ุ ชา.เตรสก.(บาลี) = สตุ ตฺ นฺตปิฏก ขุททฺ กนิกาย เตรสกนิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.เตรสก.(ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย เตรสกนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.ปกณิ ฺณก.(บาล)ี = สตุ ตฺ นฺตปิฏก ขุททฺ กนกิ าย ปกณิ ณฺ กนปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.ปกิณณฺ ก.(ไทย)= สตุ ตันตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ปกิณณกนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ขุ.ชา.วีสต.ิ (บาล)ี = สตุ ตฺ นตฺ ปฏิ ก ขทุ ฺทกนิกาย วีสตนิ ิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.วีสต.ิ (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย วีสตนิ ิบาตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.ตึสติ.(บาลี) = สตุ ตฺ นตฺ ปฏิ ก ขุทฺทกนกิ าย ตสึ ตนิ ปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.ตสึ ต.ิ (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ติงสตินิบาตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.จตตฺ าฬีส.(บาล)ี = สุตตฺ นฺตปฏิ ก ขทุ ฺทกนกิ าย จตฺตาฬีสนปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.จตตฺ าฬีส.(ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย จตั ตารีสนิบาตชาดก (ภาษาไทย)

๒๘ ข.ุ ชา.ปญฺ าส.(บาลี)= สตุ ตฺ นตฺ ปิฏก ขุทฺทกนิกาย ปญฺ าสนปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.ปญฺ าส.(ไทย)= สุตตันตปิฎก ขุททกนกิ าย ปญั ญาสนบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ขุ.ชา.สฏฺ (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก ขทุ ทฺ กนกิ าย สฏฺ นิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.สฏฺ (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขุททกนกิ าย สฏั ฐนิ บิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ขุ.ชา.สตตฺ ติ.(บาลี) = สตุ ฺตนตฺ ปิฏก ขุททฺ กนกิ าย สตตฺ ตินปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.สตตฺ ติ.(ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย สัตตตนิ ิบาตชาดก (ภาษาไทย)

ข.ุ ชา.อสีต.ิ (บาลี) = สุตตฺ นตฺ ปิฏก ขุทฺทกนกิ าย อสีตินิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.อสีติ.(ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย อสตี ินบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

ขุ.ชา.ม. (บาลี) = สตุ ตฺ นฺตปฏิ ก ขทุ ฺทกนิกาย มหานิปาต ชาตกปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.ม. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย มหานบิ าตชาดก (ภาษาไทย)

๒๙ ขุ.ม. (บาลี) = สุตตฺ นฺตปฏิ ก ขุททฺ กนกิ าย มหานิทฺเทสปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ม. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขุททกนกิ าย มหานิทเทส (ภาษาไทย)

๓๐ ข.ุ จ.ู (บาล)ี = สตุ ตฺ นฺตปฏิ ก ขุททฺ กนิกาย จูฬนิทเฺ ทสปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ จู. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนทิ เทส (ภาษาไทย)

๓๑ ข.ุ ป. (บาลี) = สตุ ฺตนฺตปิฏก ขทุ ฺทกนกิ าย ปฏสิ มฺภทิ ามคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ป. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ขุททกนกิ าย ปฏสิ ัมภิทามรรค (ภาษาไทย)

๓๒ ข.ุ อป. (บาลี) = สตุ ตฺ นฺตปฏิ ก ขุททฺ กนิกาย อปทานปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.อป. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย อปทาน (ภาษาไทย)

๓๓ ขุ.อป. (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปิฏก ขุทฺทกนิกาย อปทานปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.อป. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน (ภาษาไทย)

ขุ.พุทฺธ. (บาลี) = สุตฺตนตฺ ปิฏก ขุททฺ กนกิ าย พทุ ธฺ วสปาลิ (ภาษาบาล)ี

[ ๑๐ ] ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

ข.ุ พุทฺธ. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ์ (ภาษาไทย)
ขุ.จรยิ า. (บาล)ี = สตุ ฺตนตฺ ปิฏก ขุทฺทกนิกาย จริยาปิฏกปาลิ (ภาษาบาล)ี
ข.ุ จริยา. (ไทย) = สุตตันตปิฎ ขุททกนกิ าย จริยาปิฎก (ภาษาไทย)

พระอภิธรรมปิฎก ภาษา

เลม่ คาย่อ ชื่อคัมภีร์ (ภาษาบาลี)
(ภาษาไทย)
๓๔ อภ.ิ สง.ฺ (บาล)ี = อภิธมมฺ ปิฏก ธมฺมสงฺคณีปาลิ (ภาษาบาลี)
อภิ.สง.ฺ (ไทย) = อภิธรรมปฎิ ก ธรรมสังคณี (ภาษาไทย)
= อภธิ มฺมปฏิ ก วภิ งฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
๓๕ อภิ.วิ. (บาล)ี = อภธิ รรมปิฎก วิภังค์ (ภาษาไทย)
อภ.ิ วิ. (ไทย) = อภธิ มฺมปฏิ ก ธาตุกถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
= อภิธรรมปฎิ ก ธาตกุ ถา (ภาษาไทย)
๓๖ อภ.ิ ธา. (บาล)ี = อภธิ มมฺ ปฏิ ก ปคุ ฺคลปญฺ ตตฺ ปิ าลิ (ภาษาบาล)ี
อภิ.ธา. (ไทย) = อภิธรรมปฎิ ก ปคุ คลบัญญัติ (ภาษาไทย)
= อภธิ มมฺ ปฏิ ก กถาวตฺถปุ าลิ (ภาษาบาล)ี
๓๗ อภ.ิ ปุ. (บาล)ี = อภธิ รรมปฎิ ก กถาวตั ถุ (ภาษาไทย)
อภ.ิ ปุ. (ไทย) = อภธิ มฺมปฏิ ก ยมกปาลิ (ภาษาบาล)ี
= อภธิ รรมปฎิ ก ยมก (ภาษาไทย)
๓๘ อภิ.ก. (บาล)ี = อภธิ มฺมปฏิ ก ปฏฺ านปาลิ
อภิ.ก. (ไทย) = อภิธรรมปิฎก ปฏั ฐาน ภาษา

๓๘-๓๙ อภ.ิ ย. (บาล)ี (ภาษาบาล)ี
อภิ.ย. (ไทย) (ภาษาไทย)
(ภาษาบาล)ี
๔๐-๔๕ อภ.ิ ป. (บาลี) (ภาษาบาลี)
อภ.ิ ป. (ไทย) (ภาษาไทย)
(ภาษาบาล)ี
ปกรณวิเสส (ภาษาไทย)
คาย่อ ช่ือคัมภีร์

เนตตฺ ิ. (บาล)ี = เนตฺติปกรณ
เนตฺต.ิ (ไทย) = เนตตปิ กรณ์
เปฏโก. (บาล)ี = เปฏโกปเทส
มิลนิ ทฺ . (บาล)ี = มิลินทฺ ปญหฺ ปกรณ
มิลนิ ทฺ . (ไทย) = มลิ นิ ทปญั หปกรณ์
วิสุทธฺ ิ. (บาลี) = วิสทุ ธฺ มิ คคฺ ปกรณ
วสิ ุทฺธิ. (ไทย) = วสิ ทุ ธิมรรคปกรณ์

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก [ ๑๑ ]

ข. คาย่อชือ่ คมั ภีร์อรรถกถา

อรรถกถาพระวินัยปิฎก

คาย่อ ช่ือคัมภีร์ ภาษา

วิ.มหา.อ. (บาลี) = วินยปิฏก สมนตฺ ปาสาทิกา มหาวิภงคฺ อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
ว.ิ ภิกฺขุนี.อ. (บาล)ี = วินยปิฏก สมนฺตปาสาทิกา ภิกขฺ ุนวี ิภงฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
วิ.ม.อ. (บาลี) = วินยปฏิ ก สมนฺตปาสาทกิ า มหาวคคฺ อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
ว.ิ จ.ู อ. (บาล)ี = วนิ ยปิฏก สมนฺตปาสาทิกา จูฬวคฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
วิ.ป.อ. (บาลี) = วนิ ยปิฏก สมนฺตปาสาทกิ า ปรวิ ารวคคฺ อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
กงฺขา.อ. (บาล)ี = กงขฺ าวติ รณีอฏฺ กถาปาลิ
วิ.สงคฺ ห. (บาล)ี = วนิ ยสงฺคหอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
วิ.นิจฉฺ ย. (บาลี) = วนิ ยวนิ จิ ฺฉยปาลิ (ภาษาบาล)ี
อุตฺตรว.ิ (บาล)ี = อุตตฺ รวินิจฺฉยปาลิ (ภาษาบาล)ี
ขทุ ฺทสิกฺขา. (บาล)ี = ขุทฺทสกิ ขฺ าปาลิ (ภาษาบาล)ี
มูลสิกฺขา. (บาล)ี = มูลสกิ ขฺ าปาลิ (ภาษาบาลี)
(ภาษาบาลี)

อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก

คาย่อ ชอ่ื คมั ภีร์ ภาษา

ที.ส.ี อ. (บาลี) =ทีฆนิกาย สุมงฺคลวลิ าสนิ ี สลี กขฺ นธฺ วคคฺ อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ท.ี ม.อ. (บาลี) =ทีฆนิกาย สมุ งฺคลวลิ าสินี มหาวคฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ท.ี ปา.อ. (บาล)ี =ทีฆนิกาย สมุ งฺคลวิลาสินี ปาฏกิ วคคฺ อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ม.ม.ู อ. (บาล)ี =มชฌฺ มิ นกิ าย ปปญฺจสทู นี มูลปณฺณาสกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ม.ม.อ. (บาลี) =มชฌฺ มิ นิกาย ปปญจฺ สทู นี มชฺฌมิ ปณณฺ าสกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ม.อ.ุ อ. (บาล)ี =มชฌฺ มิ นกิ าย ปปญฺจสทู นี อุปริปณฺณาสกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ส.ส.อ. (บาล)ี =สยุตฺตนิกาย สารตฺถปฺปกาสนิ ี สคาถวคฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ส.น.ิ อ. (บาลี) =สยุตฺตนกิ าย สารตฺถปปฺ กาสนิ ี นทิ านวคคฺ อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ส.ข.อ. (บาล)ี =สยตุ ฺตนิกาย สารตฺถปฺปกาสินี ขนฺธวารวคฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ส.สฬา.อ. (บาลี) =สยุตฺตนกิ าย สารตถฺ ปฺปกาสนิ ี สฬายตนวคฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ส.ม.อ. (บาล)ี =สยตุ ตฺ นกิ าย สารตถฺ ปฺปกาสินี มหาวคฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

[ ๑๒ ] ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) =องคฺ ตุ ฺตรนิกาย มโนรถปูรณี เอกกนิปาตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

อง.ฺ ทุก.อ. (บาล)ี =องฺคุตตฺ รนกิ าย มโนรถปูรณี ทุกนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

องฺ.ติก.อ. (บาล)ี =องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี ติกนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

อง.ฺ จตกุ กฺ .อ. (บาลี) =องฺคุตตฺ รนกิ าย มโนรถปรู ณี จตุกฺกนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

องฺ.ปญจฺ ก.อ. (บาล)ี =องฺคตุ ตฺ รนกิ าย มโนรถปรู ณี ปญฺจกนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

องฺ.ฉกฺก.อ. (บาลี) =องคฺ ตุ ฺตรนิกาย มโนรถปูรณี ฉกฺกนิปาตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

องฺ.สตฺตก.อ. (บาล)ี =องฺคุตตฺ รนกิ าย มโนรถปูรณี สตฺตกนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

องฺ.อฏฺ ก.อ. (บาล)ี =องคฺ ุตตฺ รนิกาย มโนรถปูรณี อฏฺ กนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

อง.ฺ นวก.อ. (บาล)ี =องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี นวกนิปาตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี =องคฺ ุตตฺ รนิกาย มโนรถปรู ณี ทสกนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

องฺ.เอกาทสก.อ. (บาลี)=องคฺ ตุ ฺตรนิกาย มโนรถปูรณี เอกทสกนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ขุ.อ. (บาล)ี =ขทุ ทฺ กนิกาย ปรมตถฺ โชติกา ขทุ ทฺ กปา อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ธ.อ. (บาล)ี =ขทุ ทฺ กนิกาย ธมฺมปทอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.อุ.อ. (บาล)ี =ขุทฺทกนิกาย ปรมตฺถทีปนี อุทานอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.อติ .ิ อ. (บาลี) =ขทุ ฺทกนิกาย ปรมตถฺ ทีปนี อิตวิ ตุ ฺตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ส.ุ อ. (บาล)ี =ขทุ ฺทกนิกาย ปรมตฺถโชติกา สตุ ตฺ นปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ว.ิ อ. (บาล)ี =ขุทฺทกนิกาย ปรมตฺถทปี นี วิมานวตถฺ อุ ฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ เปต.อ. (บาลี) =ขุททฺ กนิกาย ปรมตถฺ โชตกา เปตวตถฺ ุอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.เถร.อ. (บาลี) =ขุททฺ กนิกาย ปรมตถฺ ทีปนี เถรคาถาอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.เถรี.อ. (บาล)ี =ขทุ ทฺ กนิกาย ปรมตฺถทีปนี เถรีคาถาอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.เอกก.อ. (บาลี) =ขทุ ฺทกนิกาย เอกกนปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ชา.ทุก.อ. (บาลี) =ขทุ ทฺ กนิกาย ทกุ นปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.ตกิ .อ. (บาลี) =ขทุ ทฺ กนิกาย ติกนปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.จตุกกฺ .อ. (บาลี) =ขทุ ทฺ กนิกาย จตุกฺกนิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.ปญฺจก.อ. (บาลี) =ขทุ ทฺ กนิกาย ปญจฺ กนปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ชา.ฉกฺก.อ. (บาล)ี =ขุททฺ กนิกาย ฉกกฺ นิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ชา.สตฺตก.อ. (บาลี) =ขทุ ฺทกนิกาย สตตฺ กนปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.อฏฺ ก.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย อฏฺ กนิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.นวก.อ. (บาลี) =ขทุ ทฺ กนิกาย นวกนิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ชา.ทสก.อ. (บาล)ี =ขุททฺ กนิกาย ทสกนิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ชา.เอกาทสก.อ.(บาล)ี = ขทุ ฺทกนิกาย เอกาทสกนิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก [ ๑๓ ]

ขุ.ชา.ทฺวาทสก.อ. (บาล)ี = ขุทฺทกนกิ าย ทฺวาทสกนปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.เตรสก.อ. (บาลี) =ขทุ ฺทกนิกาย เตรสกนปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.ปกณิ ฺณก.อ. (บาล)ี =ขุทฺทกนิกาย ปกิณณฺ กนิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ข.ุ ชา.วีสต.ิ อ. (บาลี) =ขทุ ทฺ กนิกาย วสี ตินิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.ตึสติ.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ตสึ ตินิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.จตตฺ าฬีส.อ. (บาลี) = ขทุ ฺทกนกิ าย จตตฺ ารสี นปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.ปญฺ าส.อ. (บาลี) = ขุทฺทกนกิ าย ปญฺ าสนปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.สฏฺ อ. (บาล)ี =ขทุ ทฺ กนิกาย สฏฺ นิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

ขุ.ชา.สตตฺ ติ.อ. (บาลี) =ขทุ ฺทกนิกาย สตฺตตินิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ชา.อสีต.ิ อ. (บาล)ี =ขทุ ทฺ กนิกาย อสตี ินปิ าตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ชา.ม.อ. (บาลี) =ขทุ ฺทกนิกาย มหานิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ขุ.ม.อ. (บาล)ี =ขทุ ฺทกนิกาย สทธฺ มฺมปฺปชฺโชตกิ า มหานิทเฺ ทสอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ จ.ู อ. (บาลี) =ขทุ ทฺ กนิกาย สทธฺ มฺมปฺปชฺโชตกิ า จูฬนทิ เฺ ทสอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ป.อ. (บาลี) =ขทุ ทฺ กนิกาย สทธฺ มฺมปปฺ กาสินี ปฏิสมภฺ ทิ ามคฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ อป.อ. (บาลี) =ขทุ ฺทกนิกาย วิสุทธฺ ชนวิลาสินี อปทานอฏฺ กถา (ภาษาบาลี)

ข.ุ พุทฺธ.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย มธรุ ตฺถวิลาสนิ ี พทุ ธฺ วสอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ จริยา.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนกิ าย ปรมตฺถทีปนี จริยาปฏิ กอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก

คาย่อ ชื่อคมั ภีร์ ภาษา

อภ.ิ สง.ฺ อ. (บาลี) =อภธิ มมฺ ปฏิ ก ธมฺมสงฺคณี อฏฺ สาลนิ ีอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

อภิ.วิ.อ. (บาลี) =อภธิ มมฺ ปิฏก วิภงฺค สมฺโมหวิโนทนอี ฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

อภ.ิ ปญฺจ.อ. (บาล)ี =อภธิ มฺมปฏิ ก ปญจฺ ปกรณอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี

อรรถกถาปกรณวิเสส ภาษา

คายอ่ ช่ือคมั ภีร์ (ภาษาบาลี)
(ภาษาบาลี)
เนตฺต.ิ อ. (บาลี) =ขุททฺ กนิกาย เนตฺตอิ ฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)
สงฺคห. (บาลี) =อภธิ มฺมตฺถสงคฺ หปาลิ
อภิ.วตาร. (บาล)ี =อภธิ มมฺ าวตารปาลิ

[ ๑๔ ] ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

ค. คาย่อช่ือคมั ภรี ฎ์ กี า

ฎกี าพระวนิ ยั ปิฎก

คาย่อ ชือ่ คมั ภรี ์ ภาษา

วชิร.ฏีกา (บาลี) =วชิรพทุ ธฺ ฏิ กี า (ภาษาบาล)ี
(ภาษาบาล)ี
สารตฺถ.ฏีกา (บาล)ี =สารตถฺ ทีปนีฏกี า (ภาษาบาล)ี
(ภาษาบาล)ี
วิมติ.ฏกี า (บาล)ี =วิมตวิ ิโนทนีฏีกา (ภาษาบาลี)
(ภาษาบาลี)
กงฺขา.ฏีกา (บาล)ี =กงขฺ าวติ รณีปรุ าณฏีกา (ภาษาบาลี)
(ภาษาบาลี)
กงขฺ า.อภินวฏีกา (บาลี) =วนิ ยตฺถมญฺชสู า กงขฺ าวติ รณี อภนิ วฏีกา (ภาษาบาลี)
(ภาษาบาลี)
วินย.ฏีกา (บาลี) =วนิ ยาลงฺการฏกี า (ภาษาบาลี)

ว.ิ ฏีกา (บาลี) =วนิ ยวนิ ิจฉฺ ยฏกี า

อตุ ตฺ ร.ฏกี า (บาล)ี =อตุ ฺตรวนิ ิจฉฺ ยฏีกา

ขทุ ฺท.ฏกี า (บาลี) =ขุททฺ สิกฺขาปุราณฏีกา

ขุทฺท.อภนิ วฏีกา (บาล)ี =ขทุ ฺทสกิ ขฺ าอภินวฏกี า

มลู .ฏีกา (บาลี) =มูลสกิ ฺขาฏกี า

ฎกี าพระสุตตนั ตปิฎก

คายอ่ ชอ่ื คัมภรี ์ ภาษา

ที.ส.ี ฏีกา (บาลี) =ทฆี นกิ าย ลนี ตถฺ ปฺปกาสนี สีลกขฺ นฺธวคฺคฏกี า (ภาษาบาลี)

ท.ี ม.ฏีกา (บาล)ี =ทีฆนิกาย ลีนตฺถปฺปกาสนี มหาวคคฺ ฏกี า (ภาษาบาลี)

ที.ปา.ฏีกา (บาล)ี =ทีฆนิกาย ลีนตฺถปปฺ กาสินี ปาฏกิ วคฺคฏกี า (ภาษาบาลี)

ท.ี สี.อภินวฏีกา (บาล)ี =ทฆี นกิ าย สาธุวลิ าสนิ ี สลี กขฺ นฺธวคคฺ อภินวฏกี า (ภาษาบาล)ี

ม.ม.ู ฏีกา (บาล)ี =มชฺฌิมนิกาย ลีนตถฺ ปฺปกาสนี มลู ปณณฺ าสกฏีกา (ภาษาบาล)ี

ม.ม.ฏีกา (บาลี) =มชฺฌิมนกิ าย ลนี ตฺถปปฺ กาสนี มชฺฌมิ ปณฺณาสกฏกี า (ภาษาบาลี)

ม.อุ.ฏีกา (บาล)ี =มชฺฌมิ นกิ าย ลนี ตฺถปปฺ กาสนี อปุ ริปณณฺ าสกฏกี า (ภาษาบาลี)

ส.ส.ฏีกา (บาลี) =สยตุ ตฺ นิกาย ลีนตฺถปปฺ กาสนี สคาถวคคฺ ฏีกา (ภาษาบาลี)

ส.นิ.ฏกี า (บาลี) =สยุตฺตนกิ าย ลีนตฺถปปฺ กาสนี นทิ านวคฺคฏีกา (ภาษาบาล)ี

ส.ข.ฏีกา (บาลี) =สยตุ ฺตนิกาย ลนี ตถฺ ปปฺ กาสนี ขนธฺ วคคฺ ฏีกา (ภาษาบาล)ี

ส.สฬา.ฏีกา (บาลี) =สยตุ ฺตนิกาย ลีนตฺถปปฺ กาสนี สฬายตนวคคฺ ฏีกา (ภาษาบาล)ี

ส.ม.ฏีกา (บาล)ี =สยุตตฺ นิกาย ลีนตถฺ ปปฺ กาสนี มหาวคคฺ ฏีกา (ภาษาบาล)ี

องฺ.เอกก.ฏกี า (บาล)ี =องฺคตุ ฺตรนกิ าย เอกกนิปาตฏีกา (ภาษาบาลี)

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก [ ๑๕ ]

อง.ฺ ทกุ .ฏกี า (บาล)ี =องคฺ ตุ ฺตรนิกาย ทุกนปิ าตฏกี า (ภาษาบาล)ี
องฺ.ติก.ฏีกา (บาลี) =องคฺ ุตตฺ รนกิ าย ติกนิปาตฏีกา (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ จตกุ ฺก.ฏีกา (บาลี) =องคฺ ุตตฺ รนกิ าย จตกุ ฺกนิปาตฏีกา (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ ปญจฺ ก.ฏกี า (บาล)ี =องฺคุตตฺ รนกิ าย ปญจฺ กนปิ าตฏกี า (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ ฉกฺก.ฏีกา (บาล)ี =องคฺ ุตตฺ รนกิ าย ฉกกฺ นปิ าตฏกี า (ภาษาบาล)ี
องฺ.สตตฺ ก.ฏีกา (บาลี) =องฺคุตตฺ รนกิ าย สตตฺ กนิปาตฏีกา (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ อฏ ก.ฏกี า (บาลี) =องคฺ ตุ ฺตรนิกาย อฏฺ กนปิ าตฏีกา (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ นวก.ฏกี า (บาล)ี =องคฺ ุตฺตรนกิ าย นวกนปิ าตฏีกา (ภาษาบาล)ี
องฺ.ทสก.ฏีกา (บาลี) =องฺคุตฺตรนิกาย ทสกนิปาตฏีกา (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ เอกาทสก.ฏีกา (บาล)ี =องคฺ ุตฺตรนิกาย เอกาทสกนิปาตฏีกา (ภาษาบาล)ี
ข.ุ ธ.ฏีกา (บาลี) =ธมฺมปทมหาฏีกา (ภาษาบาลี)

ฎกี าพระอภธิ รรมปิฎก

คายอ่ ชอื่ คัมภีร์ ภาษา

อภ.ิ สง.ฺ มูลฏีกา (บาล)ี =อภธิ มฺมปิฏก ธมมฺ สงคฺ ณมี ูลฏีกา (ภาษาบาลี)
อภ.ิ วิ.มูลฏีกา (บาล)ี =อภธิ มมฺ ปฏิ ก วภิ งคฺ มลู ฏีกา (ภาษาบาลี)
อภ.ิ ปญจฺ .มูลฏกี า (บาลี) =อภธิ มมฺ ปฏิ ก ปญจฺ ปกรณมลู ฏกี า (ภาษาบาลี)
อภิ.สง.ฺ อนฏุ กี า (บาลี) =อภิธมฺมปิฏก ธมมฺ สงคฺ ณีอนุฏกี า (ภาษาบาลี)
อภ.ิ วิ.อนุฏีกา (บาล)ี =อภิธมฺมปฏิ ก วิภงฺคอนฏุ กี า (ภาษาบาลี)
อภิ.ปญจฺ .อนุฏกี า (บาลี) =อภธิ มมฺ ปิฏก ปญฺจปกรณอนฏุ ีกา (ภาษาบาลี)
ม.ฏีกา (บาล)ี =มณิทีปฏกี า (ภาษาบาลี)
มธ.ุ ฏีกา (บาล)ี =มธุสารตฺถทีปนีฏีกา (ภาษาบาลี)

ฎีกาปกรณวเิ สส

คายอ่ ชื่อคัมภรี ์ ภาษา

เนตตฺ ฏิ ีกา (บาล)ี =เนตฺติฏกี า มิลนิ ฺทปญหฺ ฏีกา (ภาษาบาลี)
เนตฺตวิ ิ. (บาลี) =เนตฺติวภิ าวนิ ี วสิ ทุ ธฺ ิมคฺคมหาฏกี า (ภาษาบาลี)
มิลินทฺ .ฏีกา (บาลี) =มธุรตถฺ ปกาสินี วิสทุ ธิมรรคมหาฎกี า (ภาษาบาลี)
วสิ ุทฺธิ.ฏีกา (บาล)ี =ปรมตฺถมญฺชูสา (ภาษาบาล)ี
วิสุทฺธิ.ฏกี า (ไทย) =ปรมตั ถมญั ชูสา (ภาษาไทย)

[ ๑๖ ] ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง (ภาษาบาลี)
(ภาษาบาลี)
อภ.ิ วตารฏกี า (บาลี) =อภิธมมฺ ตฺถวิกาสนิ ี อภิธมฺมาวตารฏีกา (ภาษาไทย)
วิภาวิน.ี (บาลี) =อภธิ มมฺ ตฺถวภิ าวนิ ฏี ีกา
วิภาวิน.ี (ไทย) =อภิธัมมัตถวภิ าวินีฎีกา

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก

พระวินยั ปิฎกเลม่ ที่ ๑

กปฺป (กปั ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๓๒/๒๔๗. กัป หมายถงึ ระยะเวลายาวนานมาก โลกประลัยครั้งหนึ่ง
เปน็ กัปหนงึ่ ท่านให้เขา้ ใจด้วยอุปมาวา่ เปรียบเหมอื นมีภเู ขาศิลาลว้ น กวา้ ง ยาว สูง ด้าน
ละ ๑ โยชน์ ทกุ ๑๐๐ ปี มีผู้นาผา้ เน้อื ละเอยี ดอยา่ งดีมาลูบคร้ังหน่ึง จนกว่าภูเขานั้นจะ
สึกหรอส้ินไป กปั หนงึ่ ยาวนานกวา่ นั้น

กุลทูสก (ประทษุ รา้ ยตระกลู ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๓๔/๔๖๕. ประทุษร้ายตระกลู ในท่นี ห้ี มายถึง การ
ที่ภิกษุประจบคฤหัสถ์เอาใจคฤหัสถ์ ด้วยการกระทาที่ผิดวินัย มุ่งให้เขาชอบตนเป็ น
สว่ นตัว เป็นเหตใุ ห้คฤหสั ถค์ ลายศรทั ธาในพระศาสนาและเสือ่ มจากกุศลธรรมเชน่ ให้ของ
กานัลเหมือนทีพ่ วกคฤหัสถเ์ ขาทากัน ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๓๖-๔๓๗/๑๒.

ขณ (ขณะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๙๘/๑๘๔. ขณะ หมายถงึ ดดี น้ิวมอื ๑๐ ครงั้ เปน็ ๑ ขณะ, ๑๐ ขณะ
เปน็ ๑ ลยะ, ๑๐ ลยะเปน็ ๑ ขณลยะ, ๑๐ ขณลยะเปน็ ๑ ครู่ อภธิ า.ฏกี า คาถา ๖๖-๖.

ขณฺฑจกฺก (ขนั ฑจักร) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๒๔๐/๒๕๗. ขัณฑจักร หมายถึง เวียนขาดตอน หรือหมุน
ขาดตอน คือ หมนุ รอบเดยี วจบ

จกกฺ เภท (ทาลายจักร) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๐๙/๔๔๑. ทาลายจักร คือ ทาลายหลักคาสอน วิ.อ.
(บาล)ี ๒/๔๑๐/๑๐๘, วชริ .ฏกี า (บาล)ี ๓๔๓/๖๘.

เจตโสเอโกทิภาว (ภาวะทจ่ี ติ เปน็ หนึง่ ผุดข้นึ ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๑/๕. ภาวะท่ีจิตเป็นหน่ึงผุดขึ้น
หมายถงึ คาวา่ เอโกทิ เปน็ ชือ่ ของสมาธิ ทุตยิ ฌาน ชื่อว่าเอโกทิภาวะ เพราะทาสมาธิที่
ชอ่ื วา่ เอโกทนิ ี้ให้เกิดเจริญขึ้น พระผมู้ ีพระภาคตรัสวา่ มีภาวะท่ีจิตเป็นหนึ่งผุดข้ึน เพราะ
สมาธชิ ่ือเอโกทินีม้ แี ก่จติ เท่าน้นั ไมม่ แี กส่ ตั ว์ ไม่มแี ก่ชวี ะ วิ.อ. (บาลี) ๑/๑๑/๑๔๓-๑๔๔.

ฉนนฺ (พระฉันนะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๒๔/๔๕๔. พระฉนั นะ หมายถึง เคยเป็นสารถีของเจ้าชาย
สิทธัตถะในวันเสด็จออกบรรพชา ต่อมาเม่ือบวชเป็นภิกษุถือตัวว่าเป็นคนใกล้ชิด
พระพทุ ธเจ้า ใครวา่ กลา่ วก็ไมย่ อมเชอ่ื ฟัง ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๒๔/๑๑๓, ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๑/
๒๐๖/๒๔. เป็นคนละรูปกัน พระฉันนเถระในฉันนสูตร ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๗/๘๐;

๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๘๓/๒.

ตาฬฉทิ ฺท (ชอ่ งดาล) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๖๗/๒๘๔. ช่องดาล หมายถึง รูสาหรับสอดลูกดาลเข้าไป
เข่ียดาลทีข่ ัดบานประตู พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, หนา้ ๓๔.

เถร (เถระ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓. เถระ หมายถงึ พระผใู้ หญ่ ตามวนิ ัยกาหนดวา่ มีพรรษาตั้งแต่
๑๐ ข้นึ ไป วิ.อ. (บาลี) ๑/๔๕/๒๕.

โทณ (โทณะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๕๐/๑๑๙. โทณะ หมายถึง เคร่ืองวัด หรือเคร่ืองนับสมัยโบราณ
ประกอบด้วย ๔ กุฑุวะ หรือ ปสตะ (ฟายมือ) เป็น ๑ ปัตถะ (กอบ) ๔ ปัตถะ เป็น ๑
อาฬหกะ ๔ อาฬหกะ เปน็ ๑ โทณะ ๔ โทณะ เป็น ๑ มาณิกา ๔ มาณิกา เป็น ๑ ขารี
๒๐ ขารี เป็น ๑ วาหะ ๒๐ วาหะ เป็น ๑ ธารณะ ๑๐ ธารณะ เป็น ๑ ปละ ๑๐๐ ปละ
เป็น ๑๒ ตลุ า ๒๐ ตลุ า เปน็ ๑ ภาระ อภิธา.ฏีกา คาถา ๔๘๐-๔๘.

ธมฺม (ธรรม) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๓๓/๒๔๗. ธรรม ในท่ีน้ีหมายถึง อาบัติ (ปาราชิกาติ เอวนามกา.
ธมมฺ าติ อาปตตฺ ิโย) คาวา่ ธรรมคอื ปาราชกิ หมายถงึ อาบัตทิ ่ีมีช่ืออย่างน้ี กงฺขา.อ. (บาลี)
๑๒.

นวก (นวกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓. นวกะ หมายถงึ ภิกษผุ มู้ ีพรรษายังไม่ครบ ๕ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/
๔๕/๒๕.

นวงคฺ สตฺถุสาสน (นวังคสตั ถศุ าสน์) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๙/๑๑. นวังคสัตถุศาสน์ หมายถึง สุตตะ
เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ รวมเรียกว่า
นวงั คสตั ถศุ าสน์ อง.ฺ จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๖/๑๑, วิ.อ. (บาลี) ๑/๒๖.

ปฏญิ ฺ าตกรณ (ปฏญิ ญาตกรณะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๔๖/๔๗๖. ปฏิญญาตกรณะ หมายถึง ชื่ออธิ
กรณสมถะวิธีระงับอธกิ รณ์ อย่างหน่ึงทใี่ หป้ รับอาบตั ิตามปฏญิ ญาของจาเลยคอื รับว่า ต้อง
อาบัติใดกใ็ ห้ปรบั อาบัตินนั้ วิ.จ.ู (ไทย) ๖/๒๐๑/๓๑.

ปณฑฺ ก (บัณเฑาะก์) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๕๖/๔๓. บัณเฑาะก์ หมายถงึ กะเทย (อภิธาน) ในอรรถกถา
ทา่ นกล่าวว่า มี ๕ ประเภท ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๐๙/๘.

ปทกฺขณิ า (ประทกั ษิณ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๕/๘. ประทักษิณ หมายถึง เดินเวียนขวา พราหมณ์
เดินประนมมอื เวยี นไปทางขวาตามเขม็ นาฬกิ า ๓ รอบโดยมีพระผู้มีพระภาคอยู่ทางขวา
เสรจ็ แล้วหนั หน้าไปทางพระผมู้ ีพระภาค เดินถอยหลังจนสุดสายตา คือ จนมองไม่เห็น
พระผมู้ ีพระภาค คกุ เข่าลงกราบดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์แล้วเดินจากไป วิ.อ. (บาลี) ๑/
๑๕/๑๗๖-๑๗๗.

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๓

ปพฺพาชนิยกมมฺ (ปัพพาชนียกรรม) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๓๓/๔๖๔. ปัพพาชนียกรรม หมายถึง การ
ขบั ออกจากหมู่, การไล่ออกจากอาวาส เพราะประทษุ รา้ ยตระกูล และประพฤติเลวทราม
ท่ีรกู้ นั ทวั่ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๓๕/๑๒. ว.ิ จ.ู (ไทย) ๖/๒๓-๒๔/๔๖-๔๘.

ปหูตธนธญฺ า (มที รพั ยแ์ ละขา้ วเปลือกมาก) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๐/๒๑. มีทรัพย์และข้าวเปลือก
มาก หมายถงึ มีทรพั ย์คอื โคเป็นตน้ และมขี ้าว ๗ ชนดิ มาก ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๑๔/๑๓๑, มี
ทรัพย์คือรัตนะ ๗ และข้าวเปลือกอันสงเคราะห์ด้วยบุพพัณชาติและอปรัณชาติมาก
สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๒/๓๐/๘.

ปาราชกิ (เป็นผู้พา่ ยแพ้) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๙/๒๙. เปน็ ผพู้ ่ายแพ้ หมายถึง เป็นผู้เคล่ือน พลัดตก
เหนิ ห่างจากพระสัทธรรม สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๒/๕๕/๑๐๓-๑๐., คาว่า ปาราชิก หมายถึง
สกิ ขาบท อาบัติ และบคุ คล ในท่ีนี้หมายถงึ บคุ คล ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๕๕/๒๗๗-๒๗.

ปพุ พฺ ณณฺ (บพุ พณั ชาติ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๐๔/๘๗. บุพพัณชาติ ได้แก่ ธัญชาติ ๗ อย่าง คือ ข้าว
สาลี ข้าวเจา้ หญ้ากบั แก้ ข้าวละมาน ลูกเดือย ข้าวเหนียว และข้าวฟุาง ส่วนปรัณชาติ
ได้แก่ ถ่ัวเขียว ถั่วราชมาส งา พืชผักที่กินหลังอาหาร วิ.อ. (บาลี) ๑/๑๐๔/๓๖๘,
สารตถฺ .ฏกี า ๒/๑๐๔/๑๗.

ปุราณคณกยิ า (หญงิ มา่ ยผ้เู คยเปน็ ภรรยาโหร) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๙๗/๓๓๘. หญิงม่ายผู้เคยเป็น
ภรรยาโหร หมายถงึ คณยตีติ คณโก ผู้คานวณ, โหร, หมอ อภิธาน.ฏีกา คาถา ๓๔.,
ภรรยาของโหรคนหนึ่ง เม่ือสามียังมีชีวิตเรียกขานกันว่า คณกี พอสามีตายเรียกว่า
ปรุ าณคณกี (หญงิ ม่ายผ้เู คยเป็นภรรยาโหร) วิ.อ. (บาล)ี ๒/๒๙๗/๔.

ปูลก (ข้าวนึ่ง) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๖/๙. ข้าวนึ่ง หมายถึง ข้าวสารเหนียวท่ีเอาแกลบออกแล้วน่ึง
เกบ็ ไว้ จะเรยี กว่า ขา้ วตาก ก็ได้ พวกพอ่ ค้านิยมนาตดิ ตัวไปในเวลาเดินทางไปค้าขายยัง
ต่างเมอื ง เพ่ือเป็นอาหารม้าในถน่ิ ทอ่ี าหารมา้ หายาก ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๑๖/๑๗๙.

ผลกจีร (ผา้ แผ่นกระดานกรอง) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๖๗/๕๕. ผา้ แผ่นกระดานกรอง หมายถึง ผ้าท่ีมี
สณั ฐานดังเสื้อเกราะ คือ ผา้ เปลอื กไม้ทท่ี าขน้ึ โดยเยบ็ แผ่นไมใ้ ห้มรี ูปรา่ งเหมือนเกราะ วิ.อ.
(บาลี) ๑/๖๗/๒๙.

พทธฺ จกกฺ (พทั ธจกั ร) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๔๐/๒๕๗. พัทธจักร หมายถึง เวียนเน่ืองถึงกัน หรือหมุน
เน่อื งถงึ กัน คอื หมุนต่อเนื่องกนั หลายรอบจงึ จบ

พหิทธฺ ารูป (รูปทมี่ ีวญิ ญาณครองหรอื ทีไ่ มม่ วี ิญญาณครองนอกตวั ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๓๘/๒๕๓.
รูปท่ีมีวญิ ญาณครองหรอื ทไี่ ม่มวี ญิ ญาณครองนอกตัว หมายถึง มือเป็นต้นของผู้อ่ืน วิ.อ.

๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

(บาลี) ๒/๒๓๘/๘.

พหสิ ุงกฺ ฆาต (หลีกด่านภาษี) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๑๓/๙๑. หลีกดา่ นภาษี หมายถึง เพราะเดินหลบ
ด่านภาษีไปห่าง ๒ ช่วงก้อนดนิ ตก พระอรรถกถาจารยแ์ ก้ความตามนยั แหง่ มหาอรรถกถา
วา่ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๑๑๓/๓๙.

พชี ก (พีชกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๖/๒๕. พีชกะ หมายถงึ ผู้สบื เชอื้ สาย ที่ตั้งช่ือให้ว่า พีชกะ เพราะ
ยา่ ได้เคยกล่าววา่ พชี กปิ เทหิ จงใหผ้ สู้ ืบเช้ือสาย ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๓๖/๒๒.

พยฺ ากรณ (พยากรณ)์ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๒๘/๒๒๑. พยากรณ์ หมายถึง เปดิ เผยสู่สาธารณชน

พฺรหฺมจรยิ (พรหมจรรย)์ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๔/๗. พรหมจรรย์ในที่น้ีหมายถึง อริยมรรค คือ พระ
อรหันต์อยปู่ ระพฤติอริยมรรคจบแลว้ ส่วนกัลยาณปุถุชนและพระเสขะ ๗ พวก ยังต้องอยู่
ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ต่อไป ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๔/๑๖๙.

พรฺ หมฺ จริย (พรหมจรรย์) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๘/๑๐. พรหมจรรย์ ในทน่ี ้หี มายถึง ศาสนา ว.ิ อ. (บาลี)
๑/๑๘/๑๘๙.

ภควา (พระผู้มพี ระภาค) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑/๑. พระผู้มีพระภาค หมายถึง - พระพุทธคุณ ทั้ง ๙
บทนี้ แตล่ ะบทมอี รรถอเนกประการ คือ ๑. ช่ือว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะห่างไกลจาก
กิเลส, เพราะกาจัดข้าศึกคอื กเิ ลส, เพราะหกั ซีก่ าแหง่ สงั สารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิด,
เพราะเป็นผู้ควรรบั ไทยธรรม, เพราะไม่ทาบาปในท่ีลับ ๒. ชื่อว่า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
โดยชอบ เพราะตรัสร้ธู รรมทั้งปวงโดยชอบและดว้ ยพระองคเ์ อง ๓. ช่อื วา่ เพียบพร้อมด้วย
วชิ ชาและจรณะ เพราะมวี ชิ ชา ๓ และวิชชา ๘ ดังน้ี วิชชา ๓ คือ :- ปุพเพนิวาสานุสติ
ญาณ ความรูท้ ีใ่ หร้ ะลึกชาตไิ ด้ จุตปู ปาตญาณ ความรู้จตุ ิ (ตาย) และอุบตั ิ (เกดิ ) ของสัตว์
อาสวักขยญาณ ความร้ทู ที่ าใหส้ ้นิ อาสวะ วิชชา ๘ คอื วปิ สั สนาญาณ ญาณทเี่ ป็นวิปัสสนา
มโนมยทิ ธิ มีฤทธท์ิ างใจ อิทธวิ ธิ ิ แสดงฤทธิ์ไดต้ ่าง ๆ ทิพพโสต หูทพิ ย์ เจโตปริยญาณรู้จัก
กาหนดจติ ผู้อ่ืนได้ ปุพเพนวิ าสานุสติญาณ ความรู้ท่ีให้ระลึกชาติได้ ทิพพจักขุ ตาทิพย์
(= จตุ ปู ปาตญาณ) อาสวกั ขยญาณ ความรูท้ ที่ าใหส้ ้ินอาสวะ จรณะ ๑๕ คือ สีลสัมปทา
ความถึงพรอ้ มดว้ ยศลี อนิ ทรียสงั วร การสารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้
จกั ประมาณในการบรโิ ภค ชาคริยานุโยค การหม่ันประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่น มี
ศรทั ธา มหี ิริ มีโอตตปั ปะ เป็นพหสู ตู วิรยิ ารมั ภะ ปรารภความเพียร มีสตมิ นั่ คง มีปัญญา
ปฐมฌาน ทตุ ิยฌาน ตตยิ ฌาน จตตุ ถฌาน ๔. ช่อื วา่ เสดจ็ ไปดี เพราะมีการเสด็จไปงาม
เพราะเสด็จไปส่ฐู านะทดี่ ี เพราะเสดจ็ ไปโดยชอบ และเพราะตรสั ไว้โดยชอบ ๕. ช่ือว่า รู้
แจง้ โลก เพราะทรงรู้แจ้งโลก เหตุเกิดโลก ความดับโลก วิธีปฏิบัติให้ลุถึงความดับโลก

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๕

(ทุกข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค) และทรงรู้แจ้งโลกทั้ง ๓ คือ สังขารโลก สัตวโลก โอกาสโลก
๖. ช่ือว่า เปน็ สารถฝี ึกผทู้ ่ีควรฝกึ ได้อยา่ งยอดเยี่ยม เพราะทรงฝึกฝนคนท่ีควรฝึกฝน ทั้ง
เทวดา มนษุ ยอ์ มนษุ ย์ สัตวด์ ิรจั ฉาน ด้วยอุบายต่างๆ ๗. ช่ือว่า เป็นศาสดาของเทวดา
และมนุษยท์ ้ังหลาย เพราะทรงสั่งสอนเทวดาและมนุษย์ดว้ ยประโยชน์ในโลกน้ี ประโยชน์
ในโลกหน้า และประโยชน์อยา่ งยงิ่ คอื พระนพิ พาน ตามสมควรแก่ประโยชน์ที่เทวดาและ
มนุษย์จะพึงได้รับ และเพราะทรงช่วยพาหมู่สัตว์ให้พ้นความกันดารคือความเกิด ดุจ
สตั ถวาหะคือหัวหน้ากองเกวียนพาบริวารข้ามทางกันดาร ๘. ชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้า
เพราะทรงรสู้ ิง่ ที่ควรร้ทู ัง้ หมดดว้ ยพระองค์เองและทรงสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ๙. ช่ือว่า เป็น
พระผู้มพี ระภาค เพราะ ทรงมโี ชค ทรงทาลายขา้ ศกึ คือกิเลส ทรงประกอบด้วยภคธรรม
๖ ประการ (คือ ความเป็นใหญ่เหนือจิตของตน, โลกุตตรธรรม, ยศ, สิริ, ความสาเร็จ
ประโยชนต์ ามต้องการ และความเพียร) ทรงจาแนกแจกแจงธรรม ทรงเสพอรยิ ธรรม ทรง
คายตณั หาในภพทัง้ สาม ทรงเป็นที่เคารพของชาวโลก ทรงอบรมพระองค์ดีแล้ว ทรงมี
สว่ นแหง่ ปจั จัย ๔ เป็นตน้ ตามนัย ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑/๑๐๓-๑๑๘, สารตฺถ.ฏีกา. ๑/๒๗๐-
๔๐๐. - อน่ึง พุทธคุณน้ี ท่านแบ่งเป็น ๑๐ ประการ โดยแยกพุทธคุณข้อ ๖ เป็น ๒
ประการ คือ เปน็ ผ้ยู อดเยยี่ ม เป็นสารถีฝกึ ผู้ทีค่ วรฝึกได้ วิสุทธฺ .ิ ๑/๒๖๕, วิ.อ ๑/๑/๑๑๒-
๑๑๓.

ภตฺตุทเฺ ทสก (ภัตตุเทสกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๘๐/๔๑๓. ภัตตุทเทสกะ หมายถึง ภิกษุผู้ได้รับการ
แต่งต้ังจากสงฆ์ให้มหี น้าทีจ่ ัดภัตตาหารถวายสงฆ์

ภนิ ฺนปฏธร (ทาให้เสยี ราคา) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓. ทาให้เสียราคา หมายถึง ทาผ้าให้เสียราคา
โดยทาใหเ้ สยี สี ๑ โดยใช้ศัสตราตดั เปน็ ชิ้นเล็กชิ้นนอ้ ย ๑ โดยทาให้เป็นตาหนิด้วยการทา
พนิ ทุกัปปะ ๑ วิ.อ. (บาล)ี ๑/๔๕/๒๕๓.

มชฺฌิม (มชั ฌมิ ะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓. มชั ฌิมะ หมายถึง ภิกษุผู้มีพรรษาครบ ๕ แล้วแต่ยัง
ไม่ถึง ๑๐ พรรษา วิ.อ. (บาลี) ๑/๔๕/๒๕.

มนุสสฺ ปาณ (มนุษย์ทม่ี ชี วี ติ ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๑๔/๙๑. มนุษย์ท่ีมีชีวิต หมายถึง ทาสเรือนเบี้ย
ทาสน้าเงนิ ทาสเชลย วิ.อ. (บาลี) ๑/๑๑๔/๓๙.

เลส (เลส) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๓๙๑/๔๓๑. เลศ คือ ขอ้ อ้าง, เรือ่ งเล็กๆ น้อยๆ, เลศนัย กิริยาอาการท่ี
จะยกขนึ้ เป็นข้ออา้ งใสค่ วามได้ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๓๙๑/๙๘-๙.

โลณโสวรี ก (ยาโลณโสวีรกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๙๒/๑๗๖. ยาโลณโสวีรกะ หมายถึง ยาที่ปรุงด้วย
ส่วนประกอบนานาชนิด เช่น มะขามปูอมสด สมอพิเภก ธัญญชาติทุกชนิด ถั่วเขียว ข้าว

๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

สุก ผลกล้วย หน่อหวาย การเกต อนิ ทผลัม หนอ่ ไม้ ปลา เนอื้ นา้ ผงึ้ น้าอ้อย เกลอื โดยใส่
เครอื่ งยาเหล่านใี้ นหมอ้ ปิดฝามิดชดิ เก็บดองไว้ ๑, ๒ หรอื ๓ ปี เม่ือยานส้ี ุกได้ที่แล้วจะมี
รสและสีเหมือนผลหว้า เป็นยาแกโ้ รคลม โรคไอ โรคเรื้อน โรคผอมเหลือง โรคริดสีดวง
เป็นต้น รบั ประทานหลังอาหาร สาหรับผู้ที่ไม่เป็นไข้ ต้องผสมน้าก่อนรับประทาน วิ.อ.
(บาล)ี ๑/๑๙๒/๕๑.

วินยานคุ ฺคห (เอ้ือเฟ้ือวินัย) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๙/๒๙. เอื้อเฟื้อวินัย หมายถึง เพ่ือเชิดชู ค้าจุน
ประคับประคองพระวินัย ๔ อย่าง คอื สังวรวินยั ปหานวินัย สมถวินัย บัญญัติวินัย วิ.อ.
(บาล)ี ๑/๓๙/๒๓๖-๒๓.

เววจน (คาทเ่ี ป็นไวพจน)์ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๓/๔๐. คาที่เป็นไวพจน์ ในที่น้ีหมาย เอาคาที่มีรูป
ตา่ งกัน มคี วามหมายต่างกัน แต่หมายถึงสิ่งเดียวกัน, คาที่ใช้แทนพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ ฯลฯ สมณะ เชื้อสายพระศากยบตุ ร ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๕๓/๒๖.

สงฆฺ เภท (ทาลายสงฆ)์ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๐๙/๔๔๑. ทาลายสงฆ์ คือ ทาสงฆ์ให้แตกจากกัน วิ.อ.
(บาลี) ๒/๔๑๐/๑๐๘, วชริ .ฏีกา (บาลี) ๓๔๓/๖๘.

สงฆฺ าทิเสส (สังฆาทิเสส) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๓๖/๒๕๒. สงั ฆาทิเสส หมายถึง หมู่อาบัติท่ีต้องการ
สงฆ์ท้งั ในระยะเบอ้ื งตน้ และในระยะท่เี หลือ หมายความว่า ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
จะออกจากอาบตั นิ ัน้ ไดต้ อ้ งอาศัยสงฆใ์ หป้ รวิ าส ให้มานัต ชักกลับเข้าหาอาบัติเดิม และ
อัพภาน ในกรรมท้ังหมดนข้ี าดสงฆ์เสียแลว้ ก็ทาไมส่ าเร็จ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๓๗/๖.

สงโฺ ยชน (สงั โยชน์) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๒๓/๒๑๔. สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับ
ทกุ ข์ มี ๑๐ อยา่ ง คอื สักกายทฏิ ฐิ ความเห็นว่าเปน็ ตัวของตน วิจิกจิ ฉา ความลังเลสงสัย
สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต กามราคะ ความติดใจในกามคุณ ปฏิฆะ ความ
กระทบกระทงั่ ในใจ รปู ราคะ ความติดใจในรปู ธรรม อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
มานะ ความถือวา่ ตวั เป็นนั่นเป็นนี่ อุทธัจจะ ความฟูุงซ่าน อวิชชา ความไม่รู้จริง ส.ม.
(ไทย) ๑๙/๑๘๐-๑๘๑/๕๖-๕๗, อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๑๔, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๙๔๐/
๔๖.

สมณกุตฺตก (สมณกุตตกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๖๒/๑๓๔. สมณกุตตกะ หมายถึง ผู้ทรงเพศคล้าย
สมณะ เพียงแต่ศึกษาธรรม โกนผม นุง่ ผา้ กาสายะผนื หนึง่ เอาผืนหนง่ึ พาดบ่า อาศัยอยู่ใน
วัด กินขา้ วกน้ บาตร ประชาชนทัว่ ไปนิยมเรยี กวา่ ตาเถน วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑๖๒/๔๓.

สมนภุ าสน (สมนภุ าสน์) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๑๓/๔๔๖. สมนุภาสน์ คอื การท่ภี ิกษตุ ั้งแต่ ๔ รปู ขนึ้ ไป

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๗

สวดประกาศ ห้ามภกิ ษุไมใ่ ห้ถอื ร้ันการอนั มิชอบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา คือ ญัตติ ๑
จบ กรรมวาจา ๓ จบ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๔๑๑/๑๑.

สมโฺ พธิยปรายน (สาเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๑/๑๔. สาเร็จสัมโพธิในวัน
ข้างหน้า หมายถึง การบรรลุมรรค ๓ คือ สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และ
อรหตั มรรค แนน่ อน วิ.อ. (บาล)ี ๑/๒๑/๒๐๒, สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๑/๒๑/๕๕๙.

สคุ ตวิสตฺถิ (คบื พระสคุ ต) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๔๘/๓๘๓. คบื พระสคุ ต เปน็ ชอ่ื มาตราวัดขนาดสิ่งของ
ทีใ่ ชใ้ นครัง้ พทุ ธกาล ๑ คืบพระสคุ ต เทา่ กับ ๓ คืบของคนสัณฐานปานกลาง วิ.อ. (บาลี)
๒/๓๔๘-๓๔๙/๖.

เสนาสนปญฺ าปก (เสนาสนปัญญาปกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๘๐/๔๑๓. เสนาสนปัญญาปกะ
หมายถงึ ภกิ ษุผ้ไู ดร้ ับการแต่งตง้ั จากสงฆ์ใหม้ หี น้าท่จี ดั เสนาสนะ

อชฺฌตตฺ รูป (รปู ทม่ี ีวญิ ญาณครองในตัว) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๒๓๘/๒๕๓. รูปท่ีมีวิญญาณครองในตัว
หมายถงึ มอื เปน็ ตน้ ของตน วิ.อ. (บาลี) ๒/๒๓๘/๘.

อฏฺ ารสเภทกรวตฺถุ (เรื่องทาให้แตกกนั ๑๘ ประการ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๑๒/๔๔๕. เรื่องทาให้
แตกกนั ๑๘ ประการ คอื ๑. แสดงอธรรมว่าเปน็ ธรรม ๒. แสดงธรรมว่าเป็นอธรรม ๓.
แสดงอวินยั ว่าเปน็ วินัย ๔. แสดงวินัยว่าเปน็ อวนิ ยั ๕. แสดงส่ิงที่พระตถาคตไม่ได้ภาษิต
ไว้ ไมไ่ ด้ ตรสั ไว้ว่าตถาคตไดภ้ าษิตไว้ไดต้ รสั ไว้ ๖. แสดงส่ิงทตี่ ถาคตไดภ้ าษติ ไว้ ได้ตรัสไว้
ว่าตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ ไม่ได้ตรัสไว้ ๗. แสดงจริยาวัตรท่ีตถาคตไม่ได้ประพฤติมาว่า
ตถาคตได้ประพฤติมา ๘.แสดงจริยาวัตรท่ีตถาคตได้ประพฤตมิ าวา่ ตถาคตไม่ได้ประพฤติ
มา ๙.แสดงสง่ิ ทตี่ ถาคตไม่ไดบ้ ัญญัตไิ วว้ า่ ตถาคตได้บัญญัติไว้ ๑๐. แสดงสิ่งที่ตถาคตได้
บัญญัติไวว้ ่าตถาคตไมไ่ ด้บญั ญัติไว้ ๑๑. แสดงอนาบัติว่าเป็นอาบัติ ๑๒. แสดงอาบัติว่า
เปน็ อนาบตั ิ ๑๓. แสดงอาบตั เิ บาทีว่ ่าเป็นอาบตั หิ นกั ๑๔. แสดงอาบัติหนักว่าเป็นอาบัติ
เบา ๑๕. แสดงอาบตั ทิ ่มี สี ่วนเหลือว่าเป็นอาบัติท่ีไม่มีส่วนเหลือ ๑๖. แสดงอาบัติท่ีไม่มี
ส่วนเหลือวา่ เป็นอาบัตทิ ่ีมสี ่วนเหลือ ๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
๑๘. แสดงอาบัตไิ มช่ ่ัวหยาบว่าเป็นอาบัตชิ ว่ั หยาบ วิ.ม. (ไทย) ๕/๔๖๘/๓๖๐-๓๖๒, วิ.ป.
(ไทย) ๘/๒๗๕/๓๖๘,๓๗๙/๕๕๗, อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๓๘/๘.

อณฺฑโกส (ทาลายกระเปาะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๑/๕. กระเปาะ หมายถึง เปลือกไข่ส่วนท่ีมี
สณั ฐานนูนกลม คาวา่ กระเปาะ คือ รูปนูนกลม ส่ิงต่างๆ ท่ีมีสัณฐานคล้ายคลึงเช่นนั้น
เรียกว่า กระเปาะ เช่น กระเปาะไข่ กระเปาะดอกไม้ ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๑๑/๑๔๓-๑๔๔.

๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

อตมิ ญฺ สฺสติ (ดหู ม่นิ ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๖/๙. ดูหม่ิน หมายถึง ในอนาคต เพื่อนพรหมจารีใน
ภายหลัง เช่นพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ จักหม่ินข้าวสุกเจือด้วยเนื้อท่ีเขาถวายเพราะความ
เลือ่ มใสในขอ้ ปฏบิ ตั ิของพวกเธอ ซึง่ ทาไดย้ ากทเ่ี มืองเวรญั ชา ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๑๖/๑๘๔-๕,
สารตฺถ.ฏีกา ๑/๑๖/๕๓๙.

อธิกรณ (อธกรณ์) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๙๒/๔๓๒. อธิกรณ์ คือเรื่องที่สงฆ์จะต้องจัดต้องทาให้
เรยี บรอ้ ย, คดีความ ปัญหา หรือกจิ ธรุ ะของสงฆ์ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๓๙๑/๙.

อพฺโพหาริก (อัพโพหาริกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๙๗/๑๘๓. อพฺโพหาริกะ คือกล่าวไม่ได้ว่ามี มี
เหมือนไมม่ ี มแี ตไ่ มป่ รากฏ จงึ ไมไ่ ดโ้ วหารวา่ มี นามากล่าวอา้ งไม่ได้ ถือเป็นกรณพี เิ ศษท่ไี ม่
สามารถนามากล่าวอ้างได้ วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๖/๕๒.

อรสรูป (เปน็ คนไมม่ ีรส) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓/๓. คนไม่มีรส หมายถึง เป็นคนไม่มีสัมมาคารวะเช่น
การกราบไหว้ การตอ้ นรับ พระผู้มพี ระภาคตรัสตอบว่า พระองค์ละรสได้แล้ว หมายถึง
พระองค์ละอสั สาทะ ความพอใจในรปู เสียง กลน่ิ รส สมั ผสั ได้แลว้ จึงเป็นคนไม่มีรส คือ
ไม่ยนิ ดีในรูป เสยี ง กลิ่น รส สมั ผัส ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๓/๑๒๕-๑๒๖.

อาคตผลา (หญิงผบู้ รรลผุ ล) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๔๕/๔๗๖. หญิงผูบ้ รรลผุ ล หมายถึง หญิงผู้ได้โสดา
ปัตติผลเป็นอย่างตา่ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๔๔-๔๔๕/๑๓.

อาฆตน (ตะแลงแกง) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๙๑/๑๗๕. ตะแลงแกง หมายถึง สถานที่สาหรับฆ่า
นกั โทษ ภาษาโบราณ หมายถงึ ทางสแ่ี พร่ง

อาสวฏฺ านยิ ธมมฺ (ธรรมเป็นที่ต้ังอาสวะ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๑/๑๓. ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ
หมายถึง ความช่ัวต่างๆ เชน่ การกลา่ วใหร้ ้ายคนอืน่ ความเดอื ดรอ้ น และการจองจา วิ.อ.
(บาลี) ๑/๒๑/๑๙๗.

อุทฺเทส (อุทเทส) ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๔. อทุ เทส ในทน่ี หี้ มายถงึ บอกคนื ภิกษุปาติโมกข์ ภิกษุนี
ปาติโมกข์ สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๒/๔๒๕-๔๒๖/๔๔.

อุปปฺ ลคนฺธปจฺจตถฺ กิ (พวกควักหัวใจผู้เป็นศัตรู) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๕๒. พวกควักหัวใจผู้เป็น
ศตั รู หมายถงึ บุคคลทีเ่ ปน็ ศัตรขู องภกิ ษุ พวกท่ไี ม่มอี าชพี อย่างอ่ืน เป็นอยู่ด้วยการฆ่าคน
เดินทางหรือชาวบา้ นเป็นอาหารโดยควกั เอาหัวใจไปบชู าเทวดา เพื่อกรรมสิทธิ์ (มิได้เป็น
การฆ่าสัตว์แบบบูชายัญ) เม่ือไม่มีคนเดินหรือชาวบ้าน พอเห็นภิกษุ ก่อนฆ่า ใช้กาลัง
บังคับให้เสพเมถุนกับ ผู้หญิงเป็นต้น เพื่อให้ขาดจากความเป็นพระจะได้ไม่บาป วิ.อ.
(บาลี) ๑/๖๕/๒๘.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๙

อุภโตพยญชฺ นก (อุภโตพยัชนก) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๖/๔๓. อุภโตพยัชนก แปลว่า คนมี ๒ เพศ คือ
มีสัญลกั ษณท์ ้งั ท่เี ป็นเพศชายและเพศหญิง ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๑๖/๙.

๑๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก

พระวนิ ยั ปฎิ กเลม่ ท่ี ๒

กตฺตกิ โจรก (พวกกตั ติกโจร) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๖๕๒/๑๗๒. พวกกตั ตกิ โจร หมายถึง พวกโจรเดือน
๑๒ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๕๒/๒๔.

กตฺติกเตมาสิปณุ ณฺ ม (วนั เพ็ญเดือน ๑๑ ซ่ึงเป็นวันครบไตรมาส) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๔๘/๑๖๘.
วนั เพญ็ เดอื น ๑๑ ซงึ่ เป็นวนั ครบไตรมาส หมายถึง วันขนึ้ ๑๕ คา่ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันท่ี
ครบ ๓ เดือน นบั แตว่ นั เขา้ พรรษา วิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๔๖-๙/๒๔.

กมฺมธมฺม (กรรมทที่ าถูกตอ้ ง) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๑๐๖/๒๘๙. กรรมท่ที าถูกต้อง ในที่น้ีหมายถึง การ
สมมตภิ กิ ษุให้ทาหน้าที่เปน็ ผู้จัดแจงเสนาสนะเปน็ ต้น วิ.อ. (บาล)ี (บาล)ี -๒/๑๐๖/๒๙.

กาโปตกิ (หัวเชื้อสรุ าช่อื กาโปติกะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๓๒๖/๔๖๓. หัวเช้ือสรุ าช่ือกาโปติกะ หมายถึง
น้าหัวของสรุ า มสี แี ดงเหมือนสขี องเทา้ นกพริ าบ วิ.อ. (บาลี) ๒/๓๒๖/๔๐๔-๔๐., อภิธา.
และ อภธิ า.ฏกี า คาถาที่ ๕๖.

กสุ คฺค (ปลายหญ้าคาแตะ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๔๔/๔๐๑. ปลายหญา้ คาแตะ หมายถึง เกล่ียอาหาร
ทไี่ ด้มาลงในภาชนะใบเดียวกนั คลุกเคล้าให้เข้ากนั จนเป็นรสเดียวกนั แล้วเอาปลายหญ้าคา
แตะเพียงหยดเดยี วแลว้ วางท่ีปลายล้นิ กลนื กิน ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๒๖๐/๓๘.

คณโภชน (คณโภชนะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๐๙/๓๗๑. คณโภชนะ หมายถึง โภชนะของคณะ มี ๒
อยา่ ง คณโภชนะที่ได้มาเพราะการนิมนต์ คณโภชนะท่ีได้มาโดยการออกปากขอ วิ.ป.
(ไทย) ๘/๓๒๒/๔๓. ประการแรก ทายกนิมนต์ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปข้ึนไป พร้อมกันไปฉัน
โดยออกชอ่ื อาหาร ภิกษุไปพร้อมกันตามเวลาที่เขากาหนด รับประเคนพร้อมกนั ฉนั พร้อม
กัน ช่ือวา่ คณโภชนะ ต้องอาบตั ิทุกรูป พวกภิกษุท่ีทายกนิมนต์ไว้พร้อมกัน ไปพร้อมกัน
หรือแยกกัน รับประเคนพร้อมกัน แยกกันฉัน ต้องอาบัติเหมือนกัน เพราะถือการรับ
ประเคนพร้อมกันเป็นประมาณ พวกภิกษุที่ทายกนิมนต์ไว้พร้อมกัน ไปพร้อมกันหรื อ
แยกกนั แยกกนั รับประเคน รวมกันฉันหรือแยกกันฉัน ไม่ต้องอาบัติ ภิกษุไปบริเวณ ๔
แหง่ หรือวหิ าร ๔ แห่ง ทายกแยกกนั นมิ นต์ หรอื ภกิ ษุท้ังหลายยนื อยู่ในท่ีเดียวกัน ทายก
แยกกันนมิ นต์อยา่ งนค้ี อื บุตรนิมนต์รูปหนึ่ง บิดานิมนต์รูปหน่ึง พวกภิกษุไปรวมกันหรือ

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๑

แยกกนั รวมกนั ฉันหรอื แยกกนั ฉัน ถ้ารบั ประเคนรวมกันเปน็ คณโภชนะ ต้องอาบัติทุกรูป
ประการท่ี ๒ คือ ภิกษุต้ังแต่ ๔ รูปขึ้นไป ยืนหรือนั่งอยู่ด้วยกันเห็นอุบาสกแล้วออก
ปากขอว่า ท่านจงถวายภัตตาหารแก่อาตมาท้งั ๔ รปู หรอื เหน็ ตา่ งคราวกนั แล้วต่างออก
ปากขอร่วมกัน หรือตา่ งคราวกนั อยา่ งนวี้ ่า ท่านจงถวายภตั ตาหารแก่อาตมา ท่านจงถวาย
ภัตตาหารแกอ่ าตมา แล้วจะไปพร้อมกันหรือไปแยกกัน จะรับประเคนภัตตาหารแล้วฉัน
พร้อมกัน หรือแยกกันฉันกต็ าม ถ้ารบั ประเคนพรอ้ มกันจัดเป็นคณโภชนะ ต้องอาบัติทุก
รปู วิ.อ. (บาลี) ๒/๒๑๗-๘/๓๔๖.

คทฺธาธิปพุ พฺ (ผู้มบี รรพบรุ ุษเป็นพรานฆา่ นกแร้ง) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๑๗/๕๒๕. ผู้มีบรรพบุรุษเป็น
พรานฆา่ นกแร้ง อรรถกถาอธิบายวา่ คทเฺ ธ พาธยสึ ูติ คทฺธพาธโิ น, คทธฺ พาธโิ น ปุพฺพปุริสา
อสสฺ าติ คทฺธพาธิปุพโฺ พ ...คชิ ฌฺ ฆาฏกกลุ ปฺปสูตสฺส พรานฆา่ นกแร้งเปน็ บรรพบุรุษของเขา
เหตุนัน้ เขาจงึ ชอ่ื ว่าเปน็ ผมู้ ีบรรพบุรุษเปน็ พรานฆ่านกแรง้ หมายความว่า เป็นคนเกิดใน
ตระกลู พรานฆ่านกแร้ง วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๑๗/๔๑.

คลิ านปจฺจยเภสชฺขปรกิ ฺขาร (คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๗๕/๒๖๕. คิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร หมายถงึ เภสชั ทัง้ ๕ ไดแ้ ก่ เนยใส เนยขน้ นา้ มัน น้าผึ้ง น้าอ้อย วิ.อ. (บาลี)
๒/๒๙๐/๔๐, สารตฺถ.ฏีกา (บาล)ี ๒/๒๙๐/๓๙. เป็นส่ิงสัปปายะสาหรับภิกษุผู้เจ็บไข้ จัด
ว่าเป็นบรขิ าร คือบริวารของชวี ติ ดจุ กาแพงลอ้ มพระนคร เพราะคอยปูองกันรักษาไม่ให้
อาพาธทีจ่ ะบนั่ รอนชวี ิตไดช้ อ่ งเกดิ ข้นึ และเปน็ สัมภาระของชีวติ คอยประคับประคองชวี ิต
ใหด้ ารงอยนู่ าน วิ.อ. (บาลี) ๒/๒๙๐/๔๐-๔๑, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๓๙๗, ม.มู.ฏีกา
(บาล)ี ๑/๒๓/๒๑. และเป็นเคร่อื งปอู งกนั โรค บาบัดโรคทีใ่ ห้เกดิ ทุกขเวทนา เนอื่ งจากธาตุ
กาเรบิ ให้หายไป สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๒/๒๙๐/๓๙.

ฉจีวร (จวี ร ๖ ชนิด) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๖๓/๔. จวี ร ๖ ชนดิ คือ โขมะ (จีวรผ้าเปลือกไม้) กัปปาสิ
กะ (จวี รผ้าฝูาย) โกเสยยะ (จีวรผา้ ไหม) กมั พละ (จีวร ผ้าขนสัตว์) สาณะ (จีวรผ้าปุาน)
ภงั คะ (จวี รผา้ ผสม) วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๖๒-๔๖๓/๑๔.

เฉทนก (เฉทนกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๒๒/๖๐๘. เฉทนกะ เป็นช่ือเฉพาะของอาบัติปาจิตตีย์
สิกขาบทน้ี แปลวา่ มกี ารตัดออก คือต้องตัดวัตถุก่อนจึงแสดงอาบัติตก วิ.อ. (บาลี) ๒/
๕๒๒/๔๓.

ตโปทา (แม่น้าตโปทา) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๓๐/๒๑. แม่น้าตโปทา หมายถึง แม่น้าสายท่ีน้ีมีน้าร้อน
เดอื ดพลา่ น ซ่งึ ตน้ กาเนดิ จากแอ่งทะเลสาบใตภ้ ูเขาเวภารบรรพต ไหลตดั ผ่านกรุงราชคฤห์
นา้ ในแอ่งตน้ กาเนิดใสเย็น แต่พอไหลเป็นสายแม่น้าแล้วกลายเป็น น้าร้อน อรรถกถา

๑๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

อธิบายว่า สาเหตทุ น่ี ้าในแมน่ ้ามคี วามรอ้ น เพราะไหลผา่ นมาระหว่างมหานรก ๒ ขุม วิ.
มหา. (ไทย) ๑/๒๓๑/๒๔๕, ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๐/๓.

ตสฺสปาปิยสกิ า (ตสั สปาปยิ สิกา) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๕๕/๗๓๖. ตัสสปาปิยสิกา คือวิธีตัดสินโดย
ปรับโทษแก่ผูท้ าความผดิ วิ.จู. (ไทย) ๖/๑๘๕-๒๑๓/๒๙๕-๓๓.

ติจีวร (ไตรจีวร) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๕๙/๑. ไตรจวี ร คือ อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)
สงั ฆาฏิ (ผ้าห่มซอ้ นนอก) ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๕๙/๑๓.

ติณวตฺถารก (ตณิ วตั ถารกะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๖๕๕/๗๓๖. ติณวัตถารกะ คือวิธีตัดสินโดยวิธียอม
ความ ตามศัพท์แปลวา่ ระเบยี บดงั กลบไว้ดว้ ยหญ้า ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๑๘๕-๒๑๓/๒๙๕-๓๓.

ตณิ ณฺ ฑุปก (เสวียนหญ้า) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๒๐/๑๔๑. เสวียนหญ้า ในที่น้ีหมายถึง เทริดหรือ
เครื่องประดับบนศีรษะ ท่ที าดว้ ยหญา้ บา้ ง ทาด้วยเถาย่านางบ้าง วิ.อ. (บาลี) ๒/๖๒๐/
๒๒๓, วชริ .ฏีกา (บาลี) ๒๓๗, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๒/๒๘๑/๓๘๗, วิมติ.ฏีกา (บาลี) ๑/
๒๘๑/๓๓๖

ตติ ถฺ ยิ (เดียรถยี ์) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๗๒/๔๒๑. เดียรถีย์ หมายถึง ผู้ถือลัทธินอกพระพุทธศาสนา
เป็นนกั บวชผถู้ ือลัทธอิ ื่น วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑๓๒/๑๐.

ติรจฺฉานกถา (ดริ จั ฉานกถา) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๔๔/๓๑๖. ดิรัจฉานกถา หมายถึง ถ้อยคาท่ีขัด
ขวางทางไปสู่สวรรค์เป็นถ้อยคาท่ีไร้ประโยชน์ ภิกษุไม่ควรนามาเป็นข้อถกเถียงหรือ
สนทนากัน ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๔๔/๓๑๕, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๑๔๔/๔. มี ๒๘ อย่าง

ตโู ลนทฺธ (ตัง่ หุ้มนนุ่ ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๒๖/๖๖๑. ตั่งหุ้มนุ่น หมายถึง ต่ังที่ทาโดยใส่นุ่นแล้วหุ้ม
ดา้ นบนด้วยผ้ารองพืน้ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๕๒๖/๔๓.

ทฏิ ฺ วิปตตฺ ิ (ทิฏฐิวบิ ัติ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๖๒/๕๖๓. ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ หมายถึง ความเห็นที่คลาดเคลื่อน
ผดิ ธรรมผิดวนิ ัย วิ.อ. (บาลี) ๓/๘๔/๔๘-๔.

ธมมฺ กี ถา (ธรรมกี ถา) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๑๕/๓๙. ธรรมกี ถา เรียกวา่ ลีลาการสอน หรือ เทศนาวิธี
๔ คอื สันทสั สนา ช้แี จงใหเ้ ห็นชดั สมาทปนา ชวนใจให้ อยากรับไปปฏิบัติ สมุตเตชนา
เร้าใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กล้า สัมปหงั สนา ปลอบชโลมใจให้สดชืน่ ร่าเริง วิ.มหา. (ไทย) ๑/
๒๒-๒๓/๑๕,๒๔/๑๗,๒๙๐/๓๒๘, ว.ิ ภกิ ฺขุนี. (ไทย) ๓/๗๘๓/๑๑๘, วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๙/
๓๗,๘๙/๑๔๔,๙๐/๑๔๖,๑๐๕/๑๖๗,๑๓๒/๒๐๘,๑๓๗/๒๑๕, วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๗๐/
๖๔,๒๗๖/๗๔,๒๘๐/๘๒,๒๘๑/๘๕,๒๘๘/๑๐๕,๒๙๘/๑๒๗,๓๓๗/๑๙๗, วิ.จู. (ไทย) ๖/
๓๓/๖๕,๑๙๒/๓๐๔, ที.สี. (ไทย) ๙/๓๔๔/๑๓๗,๓๕๘/๑๕๐, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๑/

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๓

๑๐๖,๑๖๒/๑๐๘,๑๙๔/๑๔๔, ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔/๒๕, ๒๙๙/๒๔๘, ม.มู. (ไทย) ๑๒/
๒๕๒/๒๗๕,๒๕๕/๒๗๖,๒๕๖/๒๗๗,๒๘๙/๓๒๐, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒/๒๕,๒๘๕/
๓๔๑,๓๗๑/๔๕๖, ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๕๒/๑๙๓,๒๕๓/๑๙๔,๑๕๕/๑๙๖,๑๘๕/๒๕๖,
๒๔๑/๓๔๔, ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๑/๓๓๓, ส.ข. (ไทย) ๑๗/๘๑/๑๓๐, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/
๑๓๓/๑๖๕, องฺ.อฏฺฐก-นวก. (ไทย) ๒๓/๑๒/๒๓๔,๒๔/๒๖๗,๗๘/๓๙๘,๔/๔๓๔,
อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๙๓/๒๑๙, ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๗๑/๓๒๑,๗๕/๓๒๕, ขุ.อิติ. (ไทย) ๒๕/
๑๐๔/๔๘.

นาสน (นาสนะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๒๘/๕๓๘. นาสนะ แปลว่า ให้ฉิบหาย หมายถึง การลงโทษ
ภิกษุ ซ่งึ มี ๓ วธิ ี คอื สงั วาสนาสนะ ยกออก จากหมู่ ลิงคนาสนะ ให้สกึ ทณั ฑกัมมนาสนะ
ไล่ออกจากสานกั สมณทุ เทสชือ่ กณั ฏกะน้ี ถูกลงโทษโดยการไล่ออกจากสานกั วิ.อ. (บาลี)
๒/๔๒๘/๔๒๐-๔๒.

นสิ สฺ คคฺ ยี ปาจติ ตฺ ยิ (นิสสคั คิยปาจติ ตยี ์) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๖๒/๓. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ คืออาบัติ
ปาจิตตียท์ ีภ่ กิ ษผุ ูต้ ้องแล้วเม่ือจะแสดงอาบตั ิ จะต้องทาการสละวตั ถุก่อน จึงจะถอื ว่าเป็นผู้
บริสทุ ธิจ์ ากอาบัตนิ ี้ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๖๒-๔๖๓/๑๔.

ปกฺขกิ ภตฺต (ปักขิกภตั ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๖๙/๖๔๑. ปักขิกภัต คืออาหารที่เขาถวาย ๑๕ วันคร้ัง
หนึ่ง ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๗๗, กงขฺ า.อภินวฏีกา (บาล)ี ๔๕.

ปจฺจุทธฺ รณ (ปจั จทุ ธรณ)์ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๓๗๒/๔๙๓. ปจั จุทธรณ์ แปลว่า ถอนคืน คือถอนผ้าที่
วกิ ปั ไว้ วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๖๒-๓/๑๕.

ปญจฺ ธนุสตกิ (มีระยะ ๕๐๐ ชวั่ ธนู) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๗๓/๖๔๔. มีระยะ ๕๐๐ ช่ัวธนู หมายถึง
เสนาสนะทอี่ ยหู่ า่ งจากหมู่บา้ นประมาณ ๒๕ เส้น อภ.ิ อ. (บาลี) ๒/๕๒๙/๓๙๒-๓๙.

ปญฺจโภชน (โภชนะ ๕ ชนิด) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๙๗/๓๖๐. โภชนะ ๕ ชนดิ ได้แก่ ข้าวสุก ขนมสด
ขา้ วตู ปลา เนื้อ

ปญจฺ มจีวร (จีวรผนื ท่ี ๕ ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๐๘/๓๓. จวี รผืนที่ ๕ หมายถึงผ้ารัดถนั ตามพระวินัย
บญั ญตั ใิ ห้ภกิ ษุณีใชผ้ ้าได้ ๕ ผืน คือ สังฆาฏิ ผ้าห่มซ้อนนอก อุตตราสงค์ ผ้าห่ม อันตร
วาสกผ้านุ่ง อุทกสาฏกิ า ผ้าอาบนา้ สงั กจั จิกา ผา้ รดั ถนั กงขฺ า.อ. (บาล)ี ๓๗.

ปฎิยาโลก (ถ่ินย้อนแสง) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๓๑/๓๘๘. ถ่ินย้อนแสง หมายถึง ถ่ินท่ีอยู่ทางทิศ
ตะวันตก ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๔๐๗/๔๑.

ปฏกิ ฺกมน (โรงอาหาร) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๕๕/๖๓๑. โรงอาหาร แปลจากพระบาลีคือ ปฏิกฺกมน

๑๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

อรรถกถาและฎกี าดังนี้ ปฏิกฺกมน นีหริตฺวาติ อาสนสาล หริตฺวา วิ.อ. (บาลี) ๒/๒๓๓/
๓๕., ปฏกิ ฺกมเนปตี ิ อาสนสาลายมปฺ ิ วิ.อ. (บาล)ี ๒/๒๗๔/๓๙., ปฏกิ กฺ มนนฺติ อาสนสาลา
กงฺขา.ฏีกา (บาล)ี ๔๒. หมายความวา่ ปฏกิ ฺกม = ในท่นี ้ีคืออาสนสาลา นนั่ เอง

ปฏญิ ฺ าตกรณ (ปฏิญญาตกรณะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๖๕๕/๗๓๖. ปฏญิ ญาตกรณะ คือวิธีตัดสินโดย
ปรบั โทษตามคาสารภาพ วิ.จู. (ไทย) ๖/๑๘๕-๒๑๓/๒๙๕-๓๓.

ปรมปฺ รโภชน (ปรมั ปรโภชนะ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๒๑/๓๘๑. ปรัมปรโภชนะ หมายถึง รับนิมนต์ฉัน
ภตั ตาหารของทายกรายหนึง่ แลว้ ไปฉันภตั ตาหารของทายกราย อื่นก่อนแล้วกลับมาฉัน
รายแรกภายหลัง โดยมิไดม้ อบการนิมนต์รายแรกใหภ้ ิกษรุ ปู อน่ื กงฺขา.อ. (บาล)ี ๒๕.

ปรปิ ุจฺฉา (ปริปจุ ฉา) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๑๕๒/๓๒๕. ใหป้ รปิ จุ ฉา หมายถงึ กล่าวคาอธิบายพระบาลี
ครธุ รรม ๘ วิ.อ. (บาล)ี ๒/๑๕๒/๓๓.

ปรโิ ภค (บริโภค) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๘๗/๕๐๔. บริโภค หมายถงึ ด่ืม ใชล้ า้ งบาตร นาบาตรข้าวต้มท่ี
รอ้ นแชล่ งในนา้ เพ่อื ให้เยน็ อาบ หรือแมล้ งไปลยุ น้าในตระพงั ในสระโบกขรณี ทาให้เกิด
คล่นื ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๓๘๗/๔๑.

ปํสกุ ลู ิกธุตงคฺ (ปงั สุกูลิกธดุ งค)์ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๖๗/๙๒. ปังสุกูลิกธุดงค์ คือ ถือผ้าบังสุกุลเป็น
วัตร ไมร่ บั จีวรที่ทายกถวาย วสิ ุทธฺ .ิ (บาลี) ๑/๒๔/๖๕-๖๗, ๒๖/๖๙-๗๐, ๓๑/๗๖-๗.

ปาฎปิ ทกิ (วันปาฏบิ ท) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๒๐/๓๗๘. วันปาฏิบท หมายถึง วันแรม ๑ ค่า โดยปกติ
เป็นวนั ที่ภิกษุหาภตั ตาหารได้ยาก เพราะทานไดถ้ วายในวนั อุโบสถกนั แล้ว ว.ิ อ. (บาลี) ๓/
๓๒๕/๓๗๗-๓๗.

ปาฏิปทิกภตฺต (ปาฏปิ ทกิ ภตั ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๖๙/๖๔๑. ปาฏิปทิกภัต คืออาหารท่ีเขาถวายใน
วนั ขนึ้ -แรม ๑ คา่ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๗๗, กงฺขา.อภนิ วฏีกา (บาล)ี ๔๕.

ปาทุการูฬ (เขียงเทา้ ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๐/๒๑. เขยี งเท้า คอื รองเทา้ ไม้ สาหรบั สวมในบ้าน, เกย๊ี ะ

ปณิ ฑฺ ปาตกิ ธตุ งฺค (บิณฑปาตกิ ธดุ งค)์ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๖๗/๙๒. ปิณฑปาติกธุดงค์ คือ ถือเที่ยว
บิณฑบาตเป็นวตั ร ไม่รับนมิ นต์ ปงั สุกูลิกธุดงค์ ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ไม่รับจีวรที่ทายก
ถวาย วิสทุ ธฺ .ิ (บาลี) ๑/๒๔/๖๕-๖๗, ๒๖/๖๙-๗๐, ๓๑/๗๖-๗.

ปกุ ฺกสุ (คนเทขยะ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๕/๒๐๒. คนเทขยะ แปลจากคาว่า ปุกฺกุส โยชนาอธิบายว่า
หมายถงึ คนเทอจุ จาระ (ปุ วุจจฺ ติ กรีส, ต กสุ ติ อปเนตีติ ปกุ กฺ ุโส, ปปุ ฺผ วุจฺจติ กรีส, กุสุม
วา, ต ฉฑเฺ ฑตีติ ปปุ ฺผฉฑฑฺ โก อุจจาระทา่ นเรียกว่า ปุ ผูท้ นี่ าปุ คืออจุ จาระน้ันไปท้ิง ชื่อว่า

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๕

ปุกกสุ ะ อจุ จาระท่านเรียกว่า ปปุ ผะ(ดอกไม้) ผทู้ ขี่ นดอกไม้คืออุจจาระนั้นทิ้ง ชื่อว่าปุปผ
ฉฑั ฑกะ (ปาจติ ยฺ าทิโยชนา ๔ ม.) ในที่น้ี ปุกกุสศัพทเ์ ป็นไวพจนข์ องปุปผฉัฑฑกศัพท์ (ปุกฺ
กสุ ชาตตี ิ ปปุ ฺผฉฑฑฺ กชาติ วิ.อ. (บาล)ี ๒/๑๕/๒๕. จะแปลวา่ คนเทอุจจาระ กไ็ ด้

ปพุ ฺพณฺณ (บุพพัณชาติ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๓๕/๓๑๑. บุพพัณชาติ หมายถึง ธัญชาติ ๗ อย่าง
ได้แก่ ขา้ วสาลี ข้าวเจ้า หญ้ากับแก้ ข้าวละมาน ลูกเดือย ข้าวเหนียว และข้าวฟุาง วิ.อ.
(บาลี) ๑/๑๐๔/๓๖๘, สารตฺถ. ฏีกา (บาลี) ๒/๑๐๔/๑๗.

ปูค (สมาคม) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๓๐/๒๑. สมาคม หมายถึง หมู่ชนหรือคณะผปู้ ฏบิ ัติธรรม วิ.อ. (บาลี)
๒/๖๕๗/๒๔.

พินทฺ ุกปฺป (พนิ ทุกปั ปะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๓๖๙/๔๙๑. พนิ ทุกัปปะ หมายถึง การทาจุดเป็นวงกลม
อยา่ งใหญเ่ ทา่ แววตานกยูง อย่างเล็กเท่าหลังตัวเรือดท่ีมุมจีวร ด้วยสีเขียว สีตม หรือสี
ดาคล้า เพอื่ ทาใหจ้ วี รเสยี สีหรือมตี าหนิ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๓๖๘-๙/๔๑.

ภตู คาม (ภตู คาม) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๙๐/๒๗๘. ภูตคาม หมายถึง ของเขียวหรือพืชพันธ์ุท่ีเกิดและ
เจริญอยู่กับที่ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๙๐-๙๑/๒๘๓-๒๘๔, ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๐/๗.

เภทนก (เภทนกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๑๗/๖๐๖. เภทนกะ เป็นชื่อเฉพาะของอาบัติปาจิตตีย์
สิกขาบทนี้ แปลว่า มีการทาลาย คือต้องทาลายวัตถุก่อน จึงแสดงอาบัติตก วิ.อ. (บาลี)
๒/๕๑๘/๔๓.

มธุเมหาพาธ (โรคเบาหวาน) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๕/๒๐๔. โรคเบาหวาน บางอาจารย์ว่า โรคอ้วน
(ถูลกายสสฺ มสปู จโยติ เอเก-วชิร.ฏีกา (บาล)ี ๓๗.

มนฺถ (ข้าวต)ู ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๓๒/๓๙๐. ขา้ วตู หมายถึง ข้าวตูผง และข้าวตูก้อนท่ีเขาปรุงด้วย
เนยใส นา้ ผึ้ง และนา้ อ้อย เป็นต้น อพทฺธสตฺตุนา จ สปฺปิมธุผาณิตาทีหิ โยเชตฺวา พทฺธ
สตตฺ ุนา จ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๖/๑. ขา้ วตูผงหรือข้าวสัตตุ ทาด้วยข้าวเจา้ และข้าวเหนยี ว ท่ีเขา
เด็ดรวง ธญั ชาติ ๓ อย่าง คอื ข้าวฟาุ ง ลูกเดอื ย หญ้ากบั แก้ มาตานดิ หน่อยแล้วฝัดแกลบ
ออกแล้ว ตาอีกจนปนุ ซง่ึ ถา้ ยังชุ่มอยู่จะจบั เป็นก้อน นีก้ ็จัดเปน็ ข้าวตเู หมอื นกัน และท่ีเขา
ตาข้าวเปลือกแก่เป็นข้าวสารจนปุน น้ีก็จัดเป็นข้าวตูเช่นกัน สตฺตุ นาม สาลิวีหิยเวหิ
กตสตตฺ ุ. กงฺคุวรกกุทรฺ สู กสีสานิปิ ภชฺชิตฺวา อีสก โกฏฺเฏตฺวา ถุเส ปลาเปตฺวา ปุน ทฬฺห
โกฏฺเฏตวฺ า จุณฺณ กโรนฺติ. สเจปิ ต อลลฺ ตฺตา เอกาพทฺธ โหติ, สตฺตุสงฺคหเมว คจฺฉติ. ขร
ปากภชชฺ ิตาน วหี นี ตณฑฺ ุเล โกฏเฺ ฏตฺวา เทนฺติ, ตมฺปิ จุณฺณ สตฺตุสงฺคหเมว คจฺฉติ. วิ.อ.
(บาลี) ๒/๒๓๒/๓๖.

๑๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

มาติกา (มาตกิ า) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๖๓/๔. มาตกิ า ๘ คอื หัวข้อแห่งการเดาะกฐิน ๘ ประการ คือ
ปกั กมนนั ตกิ า เดาะกฐินกาหนดดว้ ยการท่ีภกิ ษุหลกี ไป ไม่คดิ จะกลับ นฏิ ฐานันติกา เดาะ
กฐนิ กาหนดดว้ ยการท่ีภกิ ษุนาผ้าไปนอกสมี าแลว้ ตดั เย็บจีวร ไม่คดิ จะกลับ สันนิฏฐานันติ
กา เดาะกฐินกาหนดด้วยการที่ภกิ ษุนาผา้ ไปนอกสมี าแลว้ ตกลงใจจะไม่ตดั เยบ็ จวี ร และไม่
คดิ จะกลับ นาสนันติกา เดาะกฐินกาหนดดว้ ยการที่ภิกษุนาผา้ ไปนอกสีมาตดั เย็บเป็นจีวร
ไม่คิดจะกลบั ผ้าทตี่ ดั เย็บเป็นจีวรเสยี หายไป สวนันตกิ า เดาะกฐนิ กาหนดด้วยการท่ีภิกษุ
นาผา้ ไปนอกสมี า คดิ ว่าจะกลบั ตดั เย็บจีวรเสรจ็ แลว้ ได้ฟงั ข่าวว่า กฐินในวัดของตนเดาะ
เสยี แล้ว อาสาวจั เฉทิกา เดาะกฐินกาหนดดว้ ยการที่ภิกษุหลีกไปนอกสมี าดว้ ยหวงั วา่ จะได้
ผ้า รอคอยผ้าจนหมดหวัง สมี าตกิ กนั ตกิ า เดาะกฐินกาหนดดว้ ยการท่ภี ิกษุนาผา้ ไปตดั เย็บ
จวี รอยนู่ อกสีมา คิดจะกลับ แต่อยู่นอกสีมาจนกระทั่งเดาะกฐิน สหุพภารา เดาะกฐิน
กาหนดดว้ ยการท่ภี ิกษนุ าผ้าไปตดั เย็บจวี รอยูน่ อกสีมาคิดว่า จะกลับ จะกลับ แต่สงฆ์ใน
วดั ของตนพรอ้ มใจกันเดาะกฐนิ เสยี กอ่ น ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๑๐/๑๕.

เมตตฺ ิยภุมฺมชก (พระเมตติยะและพระภมุ มชกะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๑๐๓/๒๘๗. พระเมตติยะและ
พระภุมมชกะ หมายถึง พระที่อยู่ในกลุ่มพระ ๖ รูป ซ่ึงเรียกว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ ได้แก่
พระปณั ฑุกะ พระโลหติ กะ พระเมตติยะ พระภุมมชกะ พระอัสสชิ พระปุนัพพสุกะ ม.
ม.อ. (บาลี) ๒/๑๗๕/๑๓.

โมนปถ (ทางแห่งความเป็นมุนี) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๐/๒๑. ทางแห่งความเป็นมุนี หมายถึงโพธิ
ปกั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ หรอื ไตรสิกขา ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๕๓/๓๓.

โมหาโรปนกมฺม (โมหาโรปนกรรม) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๔๗/๕๕๕. โมหาโรปนกรรม หมายถึง กิริยา
ทสี่ วดประกาศยกโทษภิกษวุ ่า แสร้งทาหลง (พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์,
๒๕๓๓ หนา้ ๒๓.

ยภ (การร่วมประเวณ)ี ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๑๕/๒๐๔. การร่วมประเวณี แปลมาจากคาว่า ยกาเรน
ภกาเรน (ยภ เมถุเน. มถิ นุ สฺส ชนทฺวยสสฺ อทิ กมมฺ เมถุน, ตสฺมึ เมถเุ น ยภธาตุ วตตฺ ติ ยภ-
ธาตุใช้ในความหมายว่าเมถุนธรรม คอื ด่าดว้ ยคาว่า ยภ หมายถึง ดา่ ถงึ เรือ่ งของคน ๒ คน
คอื ชายกับหญงิ มีเพศสัมพันธ์กัน นีติธาตุ ๑๖๙, วชิร. ฏีกา (บาลี) ๓๗๐, สารตฺถ. ฏีกา
(บาล)ี ๓/๑๕/๔, วิมติ.ฏกี า (บาลี) ๒/๑๕.

ยานคต (ผ้อู ย่ใู นยาน) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๔๐/๗๑๙. ผู้อยู่ในยาน หมายถึง บุคคลผู้นั่งบนคานหาม
บนวอ ถูกอมุ้ ไป ถูกแบกใส่บ่าไป นงั่ บนยานท่ีไม่ได้เทียมม้า หรือแม้นั่งบนล้อที่แยกส่วน
ออกมา ถือวา่ นัง่ อยใู่ นยานทั้งสิ้น แตถ่ ้าอย่ใู นยานด้วยกนั ทั้งภิกษผุ แู้ สดงธรรมและอุบาสก

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๗

ผรู้ ับธรรมเทศนา ภกิ ษุแสดงธรรมแกค่ นทไี่ ปในยานดว้ ยกนั ได้ ถ้าภิกษุผู้แสดงธรรมน่ังอยู่
ขา้ งหนา้ ในทีส่ งู กวา่ หรือเสมอกนั กับอบุ าสกผูฟ้ ัง ไมต่ ้องอาบตั ิ วิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๔๐/๔๕.

ยามกาลกิ (ช่วั ยาม) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๕๖/๔๐๙. ชั่วยาม คือช่ัวปัจฉิมยาม วิ.อ. (บาลี) ๒/๒๕๖/
๓๗๘.

ยามกาลิก (ยามกาลิก) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๓๙/๓๙๖. ยามกาลกิ หมายถึง ของท่ีภิกษุรับประเคนไว้
แลว้ ฉนั ไดช้ ว่ั วันหนงึ่ กับคืนหนึง่ ก่อนอรุณของวันใหม่ คือ น้าปานะ ได้แก่ น้าค้ันผลไม้ท่ี
ทรงอนญุ าต ๘ อยา่ ง คือ อมั พปานะ น้ามะมว่ ง ชมั พปุ านะ นา้ หว้า โจจปานะ นา้ กลว้ ยมี
เมลด็ โมจปานะ น้ากลว้ ยไมม่ ีเมล็ด มธุกปานะ น้ามะทราง มุททิกปานะ น้าผล จันทน์
หรอื น้าองุ่น สาลูกปานะ น้าเหง้าบัว ผารุสกปานะ น้าผลมะปราง หรือน้าลิ้นจ่ี และน้า
ผลไม้ทกุ ชนิด เวน้ นา้ ต้มเมลด็ ข้าวเปลอื ก, นา้ ใบไมท้ กุ ชนดิ เว้นน้าผักดอง, น้าดอกไม้ ทุก
ชนิด เวน้ น้าดอกมะทราง, น้าออ้ ยสด ฉนั ได้ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๐๐/๑๓๑-๒, วิ.อ. (บาลี) ๒/
๒๕๕-๖/๓๗.

ยามหาวิกต (ยามหาวิกตั ิ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๖๘/๔๑๗. ยามหาวกิ ตั ิ ๔ ได้แก่ คูถ มูตร เถ้า ดิน วิ.
ม. (ไทย) ๕/๒๖๘/๖. ภิกษุอาพาธหรือถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย หยิบฉันได้โดยไม่ต้องรับ
ประเคน ถ้าไมอ่ าพาธก็ควรจะรบั ประเคน ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๖๘/๑๗.

ยาวกาลกิ (ชว่ั กาล) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๕๖/๔๐๙. ช่ัวกาล คอื ช่วั เวลาเทยี่ งวัน ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๕๖/
๓๗.

ยาวชวี ิก (ยาวชีวิก) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๓๙/๓๙๖. ยาวชวี ิก หมายถึง ของท่ีภิกษุรับประเคนไว้แล้ว
ฉนั ได้ตลอดไป ไมจ่ ากัดเวลา คือ ของทใี่ ช้ปรงุ เปน็ ยา ได้แก่ หลิททะ ขมิ้น, สิงคิเวระ ขิง,
วจะ วา่ นน้า, วจตั ถะ ว่านเปราะ, อติวสิ ะ อตุ พิด, กฏุกโรหิณี ข่า, อุสีระ แฝก, ภัททมุตต
กะ แห้วหมู เป็นตน้ วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๖๓/๔.

เยภุยฺยสิกา (เยภยุ ยสิกา) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๖๕๕/๗๓๖. เยภยุ ยสกิ า คอื วิธีตัดสินโดยอาศัยเสียงข้าง
มาก วิ.จู. (ไทย) ๖/๑๘๕-๒๑๓/๒๙๕-๓๓.

รปู ิย (รูปยะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๓/๑๐๘. รูปิยะ หมายถงึ ทองและเงนิ วิ.อ. (บาล)ี ๒/๕๘๖/๒๐.

เลฑฺฑุปาต (เลฑฑุบาต) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๑๑/๒๙๓. เลฑฑุบาต หมายถึง ระยะที่บุรุษผู้มีกาลัง
ปานกลาง ขว้างก้อนดนิ ไปตก วิ.อ. (บาลี) ๑/๙๒/๓๒.

วจฺจกฎุ ี (วจั กุฎี) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๓๑/๒๑๘. วัจกฎุ ี ในท่ีนีห้ มายถึง สถานท่ีสาหรับถ่ายพระบังคน
หนักของพระผมู้ ีพระภาค กฎุ นี ี้ มหี นา้ ตา่ งติดกนั ประดบั ด้วยของหอม มพี วงดอกไม้บานชู

๑๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

ชอ่ ตง้ั อยเู่ หมอื นเจดยี สถาน ไมม่ ใี ครใช้สอย ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๕๐/๒๖.

วตฺถุ (วตั ถ)ุ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๙๙/๒๘๔. วตั ถุ ในทีน่ ีห้ มายถงึ เร่ืองความประพฤติผดิ ของพระฉันนะ
ทีถ่ กู สงฆน์ ามาสอบสวน ( ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๘๑/๔๓๓

วสสฺ าวาสกิ (ผ้าจานาพรรษา) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๔๖/๑๖๗. ผ้าจานาพรรษา หมายถึง ผ้าท่ีทายก
ถวายแกพ่ ระสงฆผ์ ู้อยู่จาพรรษาแล้ว

วาทกขฺ ิตตฺ (นกั โต้วาท)ี ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๑/๑๘๕. นักโต้วาทะ หมายถึง บุคคลผู้ถูกวาทะส่งไปสู่
สานักฝุายตรงกนั ขา้ ม (ปรวาที) เพ่ือโต้วาทะกนั หรือบุคคลผู้มีใจชอบโต้วาทะ ท่ีใดมีการ
โต้วาทะ จะไปปรากฏตวั ทนี่ น้ั วิ.อ. (บาลี) ๒/๑/๒๕.

วิกฺปป (วิกัป) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๗๒/๔๙๓. วิกัป เป็นวินัยกรรม คือวิธีการทางพระวินัย เพ่ือ
ปูองกนั อาบตั ิ ตามปกตภิ กิ ษุจะใช้สอยผา้ นุง่ ห่มเพียง ๓ ผนื คือ ผา้ สงั ฆาฏิ ผ้าอุตตราสงค์
และผา้ อนั ตรวาสก ส่วนผา้ นอกจากน้ีเรียกว่า ผ้าอติเรกจีวร ภิกษุเก็บไว้ใช้สอยได้ไม่เกิน
๑๐ วนั ถา้ ต้องการจะใช้สอยตลอดไป ตอ้ งวิกปั คอื ยกให้แก่ผอู้ ื่น (สหธรรมิก . ให้ผู้อ่ืนมี
กรรมสทิ ธ์ริ ว่ ม ผทู้ ่รี บั ไป ต้องใหค้ ืนไว้ใช้สอย น้ีเป็นวินัยกรรม ในกรณีนี้ถ้าเป็นสมัยจีวร
กาล ไม่ต้องวกิ ัป ใช้ไดต้ ลอดจนกว่าจะหมดจวี รกาล (นิสสัคคีย์ สิกขาบทที่ ๑ ข้อ ๔๖๐-
๔๗๐ หนา้ ๒-๘ ในเล่มนี้ และ วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๕๘/๒๒๙-๒๓๐, วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๖๙/
๑๔๖-๑๕.

วิสรกุ ฺขผลูปม (เปรียบเหมอื นผลไม้คาต้น) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๑๗/๕๒๖. เปรียบเหมือนผลไม้คาต้น
หมายถงึ กามท้งั หลายเปรยี บเหมือนผลไมม้ พี ษิ เพราะบนั่ ทอนร่างกาย ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/
๒๓๔/๑. อีกนัยหน่งึ คนทตี่ ้องการผลไม้ เทยี่ วแสวงหาผลไม้ เม่อื พบตน้ ไมผ้ ลดกจึงปีนข้ึน
ไปเก็บกนิ เก็บใส่ห่อ อกี คนหนึ่งต้องการผลไม้เช่นกนั เที่ยวแสวงหา พบเห็นต้นไม้ผลดก
ต้น เดยี วกนั นน้ั แต่แทนทจี่ ะปีนขน้ึ ไปเก็บผลไม้กิน กลับเอาขวานตัดต้นไม้ผลดกนั้นใน
ขณะที่คนแรกยงั อยบู่ นตน้ ไม้ อันตรายจึงเกิดขนึ้ แก่เขา ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๘/๔๕-๔.

วเิ หสกกมมฺ (วเิ หสกกรรม) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๙๖/๒๘๓. วเิ หสกกรรม หมายถงึ การลงโทษภิกษุผู้ทา
สงฆใ์ ห้ลาบาก กลา่ วคอื ภกิ ษุประพฤติไม่สมควร สงฆ์เรียกตัวมาถามกลับนิ่งเฉยไม่ตอบ
สงฆจ์ งึ สวดประกาศการที่เธอทาตัวเช่นนัน้ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๙๘/๒๙.

วสี ตวิ สฺส (บคุ คลผ้มู ีอายุครบ ๒๐ ปี) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๔๐๒/๕๑๕. บุคคลผู้มีอายุครบ ๒๐ ปี น้ัน
กาหนดนับตัง้ แตว่ นั ที่ถอื ปฏิสนธิ คือเม่ือจิตดวงแรกเกิดในครรภ์มารดา วิ.อ. (บาลี) ๒/
๔๐๔/๔๑๕-.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๙

สญเฺ จตนกิ าสกุ ฺกวิสฏฺฐิ (สัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๙๗/๕๐๙. สัญเจตนิกาสุกก
วสิ ัฏฐิ แปลว่า มคี วามจงใจ ทาน้าอสจุ ิให้เคล่ือน เป็นช่อื สังฆาทเิ สสสิกขาบทที่ ๑

สติวินย (สติวินัย) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๕๕/๗๓๖. สติวินัย คือวิธีตัดสินท่ียกสติข้ึนเป็นหลัก วิ.จู.
(ไทย) ๖/๑๘๕-๒๑๓/๒๙๕-๓๓.

สตตฺ ปติ ามหยคุ (เจ็ดชั่วคน) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๐๕/๒๗. เจ็ดชั่วคน หมายถึงวงศ์สกุลที่สืบสาย
โลหิตกนั มา นบั ต้งั แต่ตัวภิกษขุ นึ้ ไป ๓ ชั้น คือช้ันพ่อ ชั้นปูุ และ ช้ันทวด กับนับจากตัว
ภกิ ษลุ งมาอกี ๓ ช้ัน คือช้ันลูก ชัน้ หลาน และชน้ั เหลน คนทีไ่ มเ่ กยี่ วเนอื่ งต่อกันตลอดเจ็ด
ชว่ั คนเช่นนจ้ี ึงช่อื วา่ ผ้ไู ม่ใชญ่ าติ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๕๐๓-๕/๑๖๕-๑๖.

สตตฺ าหกาลกิ (สัตตาหกาลกิ ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๓๙/๓๙๖. สัตตาหกาลิก หมายถึง ของที่ภิกษุรับ
ประเคนไวแ้ ลว้ ฉันได้ภายใน ๗ วัน คือ เภสัชท้ัง ๕ ได้แก่ สัปปิ เนยใส นวนีตะ เนยข้น
เตละ นา้ มัน มธุ นา้ ผึ้ง ผาณติ น้าออ้ ย ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๖๐/๔.

สมสปู ก (พอเหมาะกับแกง) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๖๐๔/๖๗๘. พอเหมาะกับแกง หมายถึง รับข้าว ๓
สว่ นต่อแกง ๑ สว่ น คือ รบั แกง ของข้าว ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๐๔/๔๕.

สมมฺ ขุ าวินย (สัมมุขาวินัย) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๕๕/๗๓๖. สัมมุขาวินัย คือวิธีตัดสินที่พึงทาในที่
พร้อมหนา้ สงฆ์ ธรรม และวัตถุ ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๑๘๕-๒๑๓/๒๙๕-๓๓.

สคุ ตงฺคุล (นิ้วสคุ ต) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๒๒/๖๐๘. นิ้วสุคต เป็นช่ือมาตราวัดขนาด เท่ากับ ๓ นิ้ว
ของคนปานกลางในบดั นี้ (สคุ ตงฺคล นาม อิทานิ มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ตีณิ องฺคุลานิ กงฺขา.
ฏกี า (บาลี) ๒๙.

สตุ ฺต (สูตร) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๔๗/๓๒๐. สูตร ในที่นี้หมายถึง สูตรท่ีมาจากคัมภีร์ขันธกะและ
บริวารแหง่ พระวนิ ัยปิฎก ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๕๔-๗/๓๑.

หมฺมิย (เรอื นโล้น) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๗๗/๑๓. เรือนโล้ม ได้แก่ ปราสาทหลังคาโล้น มีเรือนยอด
ตัง้ อยู่ทีด่ าดฟาู มชี านชมแสงจันทร์ วิ.อ. (บาล)ี ๒/๔๘๒-๗/๑๕๙, วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๙๔/
๓๑๙, สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๗๑-๗๓/๒๘๕, วิมต.ิ ฏีกา (บาล)ี ๒/๗๑-๗๓/๑๓.

หีนนาม (คนชื่อเลว) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๕/๒๐๒. คนช่ือเลว หมายถึง คนที่มีช่ือท้ัง ๕ นี้ คือ
อวกณั ณกะ ชวกัณณกะ ธนิฏฐกะ สวฏิ ฐกะ กุลวัฑฒกะ เป็นชื่อของพวกทาสถือเป็นชื่อ
ช้ันตา่ เป็นชอื่ ท่เี ลว วิ.อ. (บาล)ี ๒/๑๕/๒๕๗, วชิร.ฏกี า (บาลี) ๑๕/๓๗.

อกฏานุธมฺม (ผู้ที่สงฆย์ ังมิได้ทาธรรมอันสมควร) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๒๓/๕๓๒. ผู้ที่สงฆ์ยังมิได้ทา

๒๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ธรรมอนั สมควร หมายถงึ พระอริฏฐะถูกสงฆ์ลงอกุ เขปนยี กรรม คือ ยกออกจากหมู่ สงฆ์
ยังไม่ไดย้ กเลกิ โทษน้นั วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๒๔-๕/๔๒.

อกาลจวี ร (อกาลจีวร) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๙๗/๑๙. อกาลจีวร หมายถึง ผ้าสาหรับทาจีวรที่เกิดขึ้น
นอกฤดูกาลทาจวี ร โดยกาหนดระยะเวลา ดงั นี้ ต้งั แตแ่ รม ๑ คา่ เดอื น ๑๒ ถึงขึน้ ๑๕ คา่
เดอื น ๑๑ ของปถี ดั ไปสาหรับผู้ไม่ได้กรานกฐิน รวมเป็น ๑๑ เดือน ต้ังแต่แรม ๑๑ ค่า
เดือน ๔ ถึงข้นึ ๑๕ คา่ เดือน ๑๑ ในปเี ดียวกัน สาหรับผู้ได้กรานกฐิน รวมเป็น ๗ เดือน
ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๕๐๐/๑๖.

อจฺเจกจีวร (อจั เจกจวี ร) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๔๖/๑๖๗. อัจเจกจีวร หมายถึง จีวรรีบร้อนหรือผ้า
จานาพรรษาทที่ ายกผู้มเี หตรุ ีบรอ้ นขอถวายก่อนกาหนดเวลาปกติ มีพุทธานุญาตให้ภิกษุ
รบั เกบ็ ไว้ได้ แตต่ ้องรบั ก่อนวันปวารณาไม่เกนิ ๑๐ วนั

อติเรกจวี ร (อติเรกจีวร) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๕๙/๒. อติเรกจวี ร คอื ผ้าส่วนเกินท่ีเขาถวายภิกษุเพ่ิม
เข้ามาจากผา้ ทอ่ี ธษิ ฐานเปน็ ไตรจวี ร ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๖๒-๔๖๓/๑๔.

อติเรกปตตฺ (อตเิ รกบาตร) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๙๘/๑๒๒. อติเรกบาตร หมายถึง บาตรที่ภิกษุไม่ได้
อธษิ ฐาน ไมไ่ ดว้ กิ ัปไวเ้ ป็นบรขิ าร

อนติรติ ฺต (โภชนะทไ่ี มเ่ ป็นเดน) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๓๘/๓๙๕. โภชนะที่ไมเ่ ปน็ เดน หมายถึง โภชนะ
ท่ีไม่เหลือเฟือ, โภชนะท่ียังมิได้ทาอติเรกวินัยคือพระวินัยธรยังมิได้ ทาให้เป็นเดนว่า
อลเมต สพฺพ ทง้ั หมดน่นั พอแลว้ วิ.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖, วชิร.ฏีกา (บาลี) ๔๐., ท่ีเป็นเดน
หมายถงึ เหลือเฟือ ขุ.ป.อ. (บาลี) ๒/๘/๓๐. ทีไ่ ม่เป็นเดน จึงหมายถึงไม่เหลอื เฟอื

อนธิฏฺ ต (ไม่ไดอ้ ธษิ ฐาน) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๖๓/๔. ไม่ไดอ้ ธษิ ฐาน คอื ไม่ได้ตั้งใจกาหนดเอาไว้ว่า
จะเปน็ ของประจาตัวชนดิ น้ันๆ เช่น ไตรจวี ร บาตร วิธีอธิษฐาน ใช้กายคือมือสัมผัส หรือ
เปล่งวาจากไ็ ด้ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓๒๒/๔๓๒, ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๔๖๙/๑๔.

อนปุ สมฺปนนฺ (อนปุ สัมบนั ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๑/๒๑๘. อนุปสัมบัน คือผู้มิได้อุปสมบทเป็นภิกษุ
ไดแ้ ก่ ภกิ ษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา คฤหัสถ์ชาย-หญิง วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๒/
๒๓๙.

อนพุ ฺยญชฺ น (อนพุ ยญั ชนะ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๔๗/๓๒๐. อนุพยัญชนะ หมายถึง บทและอักษร
บรบิ รู ณไ์ ม่ตกหลน่ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๕๔-๗/๓๑.

อปรณฺณ (อปรณั ชาติ) วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๓๕/๓๑๑. อปรัณชาติ ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วราชมาส งา
พืชผกั ที่กินหลังอาหาร วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑๐๔/๓๖๘, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๒/๑๐๔/๑๗.

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๑

อพภฺ นฺตร (อพั ภนั ดร) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๘๙/๑๖. อัพภันดร เป็นช่ือของมาตราวัดในภาษามคธ
เทยี บเท่า ๒๘ ศอก หรือ ๗ วา ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๘๙/๑๕.

อมูฬหวินย (อมูฬหวนิ ยั ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๖๕๕/๗๓๖. อมูฬหวินัย คือวิธีตัดสินที่ให้แก่ภิกษุผู้หาย
เป็นบา้ แล้ว วิ.จู. (ไทย) ๖/๑๘๕-๒๑๓/๒๙๕-๓๓.

อรฏิ ฺ (พระอริฏฐะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๑๗/๕๒๕. พระอรฏิ ฐะ รปู นเ้ี ปน็ พหสู ูต เป็นธรรมกถึก รู้แต่
อันตรายิกธรรมบางสว่ น เพราะเหตุท่ที า่ นไม่ฉลาด เรอื่ งวินัย จงึ ไม่รู้เร่ืองอันตรายิกธรรม
แห่งการลว่ งละเมิดพระวนิ ยั บัญญตั ิ ดงั นน้ั ครัง้ ทีท่ ่านอยใู่ นที่หลีกเร้น จึงได้เกิดความคิด
อยา่ งนี้วา่ พวกคฤหัสถ์ที่ยุ่งเกยี่ วอยู่กบั กามคุณ ท่เี ปน็ โสดาบันก็มี เป็นสกทาคามีก็มี เป็น
อนาคามกี ็มี ส่วนพวกภกิ ษุก็ยงั เห็นรปู ทจี่ ะพงึ รู้ดว้ ยจักษุ ฯลฯ ยังถูกตอ้ งส่ิงสมั ผัสที่จะพึงรู้
ดว้ ยกาย ยังใช้สอยผ้าปูผ้าห่มอ่อนนุ่ม ส่ิงนี้ทั้งหมดถือว่าควร ทาไมรูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัสของหญงิ จะไม่ควร ส่ิงเหล่านัน้ ตอ้ งควรแนน่ อน ทา่ นเกิดทิฏฐิบาปข้ึนมาแล้ว ขัดแย้ง
กบั พระสัพพัญญุตญาณว่า ทาไมพระผู้มีพระภาคจึงบัญญัติปฐมปาราชิกอย่างกวดขัน
ประดจุ กนั้ มหาสมุทรฉะน้นั ในข้อนไ้ี ม่มโี ทษ ตัดความหวังของเหล่าภัพพบุคคล คัดค้าน
พระเวสารัชญาณ ใส่ตอและหนามในอริยมรรค ประหารอาณาจักรของพระชินเจ้าด้วย
กล่าววา่ เมถุนธรรม ไม่มโี ทษ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๑๗/๔๑๘-๔๑๙, ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๓๔/
๙-๑.

อริฏฺ (ยาดองอริฏฐะ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๒๙/๔๖๖. ยาดองอริฏฐะ หมายถึง ยาดองด้วยน้า
มะขามปอู มเปน็ ตน้ ซง่ึ มสี ี กลนิ่ และรสคลา้ ยนา้ เมา แต่ไม่ใช่ นา้ เมา วิ.อ. (บาลี) ๒/๓๒๙/
๔๐.

อวกิ ปฺปิต (ไม่ได้วิกัป) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๖๓/๔. ไม่ได้วิกัป คือ ไม่ได้ทาให้เป็นของสองเจ้าของ
กล่าวคือไม่ได้ขอใหภ้ กิ ษสุ ามเณรรปู อ่ืนรว่ มเปน็ เจ้าของส่ิงที่วิกปั น้นั วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๖๒-
๔๖๓/๑๔.

อาจารวิปตตฺ ิ (อาจารวิบัติ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๖๒/๕๖๓. อาจารวิบัติ หมายถึง มีความประพฤติ
เสยี หาย ต้องอาบัติเลก็ นอ้ ย คอื อาบตั ิถลุ ลัจจัย ปาจติ ตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต
วิ.อ. (บาล)ี ๓/๘๔/๔๘-๔.

อาปทา (เหตุขัดข้อง) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๕๖/๔๘๒. เหตุขัดข้อง ในท่ีนี้หมายถึง อาจจะมีสัตว์ร้าย
เน้อื รา้ ย และอมนุษยม์ าทารา้ ย ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๓๕๖/๔๐.

อารญญฺ ิกธตุ งฺค (อารัญญิกธุดงค์) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๖๗/๙๒. อารัญญิกธุดงค์ คือข้อปฏิบัติขัด

๒๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

เกลากเิ ลสของผถู้ ืออยู่ในปาุ ห่างจากหม่บู ้านอย่างน้อย ๕๐๐ ช่วั ธนู คอื ประมาณ ๒๕ เส้น
วสิ ทุ ธฺ .ิ (บาลี) ๑/๒๔/๖๕-๖๗, ๒๖/๖๙-๗๐, ๓๑/๗๖-๗.

อาวสถ (อาวสถะ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๐๓/๓๖๕. อาวสถะ หมายถึง สถานที่สาหรับคนเดินมาพัก
แรม สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๒๘๕/๓๖., หรอื หมายถงึ ที่พักอาศัยที่มีบานประตู วิ.ภิกฺขุนี.
(ไทย) ๓/๑๐๑๐/๒๕๗, กงขฺ า.อ. (บาลี) ๓๘. ในท่นี ที้ า่ นพรรณนาไว้ว่า มีร้ัวล้อมรอบ มี
หอ้ งพกั หลายหอ้ ง มีหน้ามขุ ตั้งเตยี งและต่ังไว้สาหรบั คนเดินทาง คนไข้ หญงิ มคี รรภ์ และ
บรรพชิต ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๒๐๓/๓๔.

อาวสถปิณฺฑ (ภัตตาหารในท่ีพักแรม) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๐๓/๓๖๖. ภัตตาหารในท่ีพักแรม
หมายถึง อาหารที่ทายกผู้ต้องการบุญจัดไว้ในที่พักแรม สาหรับผู้มาพักแรมที่นั้น วิ.อ.
(บาลี) ๒/๒๐๓/๓๔.

อาสวี สิ (มีพิษที่เข้ยี ว) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๒๖/๔๖๒. มพี ิษที่เขีย้ ว มีความหมาย ๒ อย่าง คือ มีพิษ
ฝังอยทู่ เ่ี คยี้ ว สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๒/๓๙/๒. และมพี ิษแลน่ เรว็ วิ.อ. (บาลี) ๑/๓๙/๒๓.

อิสฺสาส (นักยงิ ธนู) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๓๘๒/๕๐๑. นักยิงธนู คือสมัยท่านเป็นคฤหัสถ์ ท่านเป็นนัก
แม่นธนู เชีย่ วชาญในศิลปะการใช้ธนู และเป็นอาจารย์ของนักแม่นธนู วิ.อ. (บาลี) ๒/
๓๘๒/๔๑๑, สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๓/๓๘๒/๑๐.

อุทฺทาลนก (อุททาลนกะ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๒๗/๖๑๒. อุททาลนกะ เป็นชื่อเฉพาะของอาบัติ
ปาจิตตีย์สิกขาบทนี้ แปลว่า มีการร้ือออก คือ ต้องรื้อออกเสียก่อนจึงแสดงอาบัติตก
กงฺขา.อ. (บาล)ี ๑๕, กงฺขา.อภนิ วฏกี า (บาล)ี ๔๕.

อทุ เฺ ทส (อทุ เทส) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๑๕๒/๓๒๕. อุทเทส หมายถึง ยกพระบาลีครุธรรม ๘ ขึ้นแสดง
ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๕๒/๓๓.

อุปจาร (อปุ จาร) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๗๗/๑๓. อุปจาร คือที่ใกล้เคียงกัน บริเวณรอบๆ ชาน เช่น
อุปจารเรือน คือบริเวณรอบๆ เรือนซึ่งกาหนดจุดท่ีอยู่นอกบริเวณชายคาของตัวเรือน
ออกไปถึงจุดที่แมบ่ ้านยืนอยทู่ ีป่ ระตเู รอื นสาดน้าลา้ งภาชนะออกไปตก วิ.อ. (บาล)ี ๑/๙๒/
๓๒.

อปุ ริเวหาสกุฎิ (กุฎีชัน้ ลอย) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๒๙/๓๐๖. กฎุ ชี นั้ ลอย หมายถึงกุฎีมีพ้ืน ๒ ช้ันหรือ
๓ ช้ัน แตม่ ิได้ปพู ื้นช้นั บน รอดท่ีคานสูงพอพ้นศีรษะ วิ.อ. (บาลี) ๒/๑๒๙-๑๓๑/๓๐๙-
๓๑., ภกิ ษเุ อาเตียงซึง่ มิได้ใสเ่ ดอื ยสลักเท้าเตยี งวางพาด เมื่อนงั่ อย่างแรง เท้าเตียงจึงหลุด
ใสศ่ รี ษะภกิ ษุทอ่ี ยูช่ ั้นลา่ ง สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๓/๑๒๙-๑๓๑/๓๙, กงขฺ า.อภนิ วฏกี า (บาลี)

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๓

๓๙.

อุปสมปฺ นนฺ (อปุ สมั บัน) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๓๔/๑๕๕. อุปสัมบัน หมายถึง ภิกษุผู้ได้รับอุปสมบท
ด้วยญัตตจิ ตุตถกรรมแลว้ วิ.อ. (บาล)ี (บาลี) ๑/๔๕/๒๕.

อุโปสถิกภตตฺ (อุโปสถกิ ภตั ) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๖๙/๖๔๑. อโุ ปสถกิ ภตั คอื อาหารที่เขาถวายในวัน
อโุ บสถ คือวนั พระน้ันเอง วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๗๗, กงขฺ า.อภินวฏกี า (บาล)ี ๔๕.

อุพฺภตก น (เดาะกฐิน) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๖๒/๓. เดาะกฐิน ในที่น้ีหมายถึง ยกเลิกอานิสงส์กฐินที่
ภิกษพุ งึ ได้รบั

อูนปญฺจมพนธฺ (มีรอยซ่อมหย่อนกวา่ ๕ แห่ง) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๖๑๒/๑๓๐. มีรอยซ่อมหย่อนกว่า
๕ แหง่ หมายถงึ บาตรรา้ วท่ีใช้เหล็กเจาะแลว้ เอาเชือกด้าย หรือลวดเย็บผูกแล้วอุดด้วย
ดีบกุ หรอื ยางไม่ถงึ ๕ แหง่ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๖๑๒-๓/๒๒.

อญฺ วาทกกมฺม (อัญญวาทกกรรม) ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๙๔/๒๘๒. อัญญวาทกกรรม หมายถึง การ
ลงโทษภกิ ษุผ้แู กลง้ ยกเรอ่ื งอ่นื ๆ มาพดู กลบเกล่ือนข้อกล่าวหา ไม่ให้การตามตรงเมื่อถูก
สงฆส์ อบสวน เชน่ ถูกพระวินยั ธรถามว่า ท่านต้องอาบัตินี้หรือ กลับกล่าวว่า กระผมไป
กรุงปาฏลบี ตุ รมา เมอื่ พระวินัยธรกลา่ วอีกว่า ไมไ่ ดถ้ ามท่านเร่อื งไปกรงุ ปาฏลบี ุตร แต่ถาม
เรอ่ื งอาบัติ กก็ ลา่ วตอ่ ไปว่า ตอ่ จากกรุงปาฏลีบุตร กระผมก็ไปกรุงราชคฤห์ วิ.อ. (บาลี)
๒/๙๔/๒๙๓, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๙๔-๙๘/๒๘-๒.

เอกทวิ สกิ (ม้อื เดยี ว)ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๐๕/๓๖๗. มื้อเดียว ท่านอธิบายไว้ว่า ในวันหน่ึงฉันได้ครั้ง
เดยี ว กงขฺ า.อ. (บาลี) ๒๕๓, สารตฺถ.ฏีกา (บาล)ี ๓/๒๐๖/๖๕, กงฺขา.ฏกี า (บาลี) ๔๐.

เอกูปจาร (มอี ุปจารเดยี วกนั ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๗๘/๑๔. มอี ุปจารเดียวกัน หมายถึง หมู่บ้านของ
ตระกลู เดยี วกันหรอื ตา่ งตระกลู กนั ท่ีมีร้วั ล้อมไว้ด้วยกัน วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๗๗-๔๗๘,๔๗๙/
๑๕๗,๑๕.

เอฬกโลม (ขนเจียม) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๔๗/๗๕. ขนเจยี ม ในที่น้ีหมายถึง ขนแพะหรือขนแกะ วิ.
มหา. (บาลี) ๒/๕๔๗/๔.

๒๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก

พระวินัยปฎิ กเล่มที่ ๓

ก นุทฺธาร (เดาะกฐนิ ) วิ.ภิกขฺ นุ ี. (ไทย) ๓/๙๒๓/๒๐๘. เดาะกฐิน หมายถึง ยกเลิกอานสิ งสก์ ฐนิ ที่
ภิกษแุ ละภิกษุณพี ึงได้รับ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๕๑/๔๖๓.

กส (กังสะ) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๗๘๔/๑๑๙. กังสะ เป็นมาตราเงินสมัยน้ัน ๑ กังสะ เท่ากับ ๔
กหาปณะ ๔ กังสะ จึงเทา่ กับ ๔x. ๑๖ กหาปณะ กงขฺ า.อ. (บาล)ี ๓๖.

การกสงฺฆ (การกสงฆ์) วิ.ภิกขฺ ุน.ี (ไทย) ๓/๖๙๔/๔๒. การกสงฆ์ คือสงฆ์ผู้ดาเนินการในกิจสาคัญ
เช่น การสังคายนาหรอื สงั ฆกรรมตา่ งๆ ในทน่ี ี้หมายถงึ สงฆ์จานวน ๒๐ รูป ผู้ร่วมกันทา
อกุ เขปนยี กรรม กงฺขา.อ. (บาล)ี ๑๐.

โกฏฺ ฬกิ า (พ้อม) ว.ิ ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๘๔๔/๑๕๙. พ้อม คือภาชนะสานขนาดใหญ่สาหรับบรรจุ
ข้าวเปลือก เป็นต้น กระพ้อมก็ว่า พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒, หน้า
๗๗๗.

ครธุ มมฺ (ครธุ รรม) ว.ิ ภกิ ขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๑๐๕๕/๒๘๔. ครุธรรม ๘ ประการนี้ พระผู้มีพระภาคพุทธ
เจา้ ขณะทีป่ ระทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ปุามหาวัน ได้ประทานแก่พระนางมหาปชาบดี
โคตมีผเู้ ดินทางไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อพระนาง
ยอมรบั ปฏิบัตติ าม กถ็ ือว่าไดบ้ วชเป็นภิกษุณที ันที นบั เปน็ การบวชในกรณีพเิ ศษ คุณธรรม
๘ ประการ ใน วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๔๙/๓๒๔-๓๒๕, วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๐๓/๓๑๖-๓๑๙

ครปุ าปรุ ณ (ผา้ ห่มชนดิ หน่ึงท่ีใช้ห่มในฤดูหนาว) วิ.ภกิ ฺขนุ ี. (ไทย) ๓/๗๘๕/๑๑๙. ผ้าห่มชนิดหนึ่งท่ี
ใช้ห่มในฤดูหนาว หมายถึงผา้ หม่ เนอ้ื หนาสาหรับหม่ ในฤดูหนาว สีตกาเล หิ มนุสฺสา ถูล
ปาวุรณ ปารุปนฺติ -ปาจิตยฺ าทิโยชนา (บาล)ี ๗๘๔/๑๕๘.

จตุราธกิ รณ (อธกิ รณ์ ๔ อยา่ ง) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๗๑๗/๖๐. อธิกรณ์ ๔ อย่าง คือ ๑. วิวาทาธิ
กรณ์ ได้แก่ การเถียงกันว่า น้เี ป็นธรรมวนิ ยั น้ีไม่ใช่ธรรมวนิ ยั เป็นต้น ๒. อนุวาทาธิกรณ์
ไดแ้ ก่ การโจทกนั ดว้ ยศีลวบิ ตั ิ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ หรืออาชีววิบัติ ๓. อาปัตตาธิกรณ์
ไดแ้ ก่ การต้องอาบัติ การปรับอาบตั ิและแก้ต่างให้พน้ อาบัติ ๔. กิจจาธกิ รณ์ ไดแ้ ก่ กจิ ธรุ ะ
ของสงฆ์ เชน่ อปโลกนกรรม ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติจตุตถกรรม มีการสวด

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๕

ปาติโมกขเ์ ปน็ ต้น ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓๔๘/๕๓๗-๕๓.

จตุปญฺจาห ( ๔-๕ วนั ) ว.ิ ภกิ ฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๘๙๓/๑๙๐. ๔-๕ วัน หมายถึง ล่วงเลย ๕ วัน นับจาก
วนั ที่เลาะจวี รนน้ั สารตฺถ.ฏกี า (บาล)ี ๓/๘๙๓/๑๕.

จวี รกาลสมย (สมยั แห่งจีวรกาล) วิ.ภิกขฺ นุ ี. (ไทย) ๓/๙๒๐/๒๐๖. สมัยแห่งจีวรกาล คือเม่ือไม่ได้
กรานกฐินนับเอาต้ังแต่แรม ๑ ค่าเดอื น ๑๑ ถึงข้ึน ๑๕ ค่าเดือน ๑๒ รวมเวลา ๑ เดือน
เมื่อไดก้ รานกฐนิ แลว้ นบั เอาตั้งแต่แรม ๑ คา่ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่า เดอื น ๔ รวมเวลา
๕ เดอื น ระยะเวลาในช่วงนีเ้ รยี กว่า สมัยแหง่ จีวรกาล วิ.ภิกฺขนุ .ี ๓/๙๓๖/๒๑๔.

ฉจวี ร (จวี ร ๖ ชนิด) .ภกิ ฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๗๔๕/๘๗. จวี ร ๖ ชนดิ คือ โขมะ (จีวรผ้าเปลือกไม้) กัปปา
สกิ ะ (จวี รผ้าฝาู ย) โกเสยยะ (จีวรผ้าไหม) กมั พละ (จีวรผ้าขนสัตว์) สาณะ (จีวรผ้าปุาน)
ภงั คะ (จีวรผ้าผสม) ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๔๖๒- ๔๖๓/๑๔.

เฉทนก (เฉทนกะ) ว.ิ ภกิ ฺขุน.ี (ไทย) ๓/๘๘๘/๑๘๗. เฉทนกะเป็นชื่อเฉพาะของสิกขาบทน้ี หมายถึง
อาบัติท่ีเม่อื ต้องเข้าแล้วจาเปน็ ต้องตดั หรอื เฉอื น ผ้าอาบนา้ ที่เกินขนาดออกเสียก่อนจึงจะ
สามารถแสดงอาบัติตกไปได้

ตตฺ ิ (ญัตติ (วิ.ภกิ ขฺ ุน.ี (ไทย) ๓/๖๗๑/๑๗. ญัตติ คือการประกาศให้สงฆ์ทราบเพื่อทากิจร่วมกัน
กงฺขา.อ. (บาล)ี ๑๐.

ติรจฺฉานวชิ ฺชา (ดิรัจฉานวิชา) วิ.ภกิ ฺขุนี. (ไทย) ๓/๑๐๑๓/๒๕๙. ดิรัจฉานวิชา แปลว่า วิชาท่ีขัด
ขวางทางไปส่สู วรรค์ นพิ พาน อรรถกถาพระวินัยอธิบายวา่ เป็นวชิ าที่ไม่มีประโยชน์ เป็น
วิชาทเ่ี บยี ดเบยี นผอู้ ืน่ มีหลายชนิด เชน่ วิชาฝึกช้าง วิชาฝึกม้า วิชาการขับรถ วิชายิงธนู
วชิ าฟนั ดาบ ร่ายมนต์ทารา้ ยผูอ้ ื่นดว้ ยพิธีอาถรรพณร์ า่ ยมนตเ์ สกตะปูฝังดนิ ฆ่าคนหรือเสก
เข้าท้อง ร่ายมนต์ทาผู้อื่นให้อยู่ในอานาจ หรือให้เป็นบ้า ร่ายมนต์ทาผู้อื่นให้เนื้อเลือด
เหอื ดแหง้ ปล่อยสัตวม์ ีพิษ วิ.อ. (บาลี) ๒/๑๐๑๕/๕๑๑, กงฺขา.อ. (บาลี) ๓๘. ส่วนในพระ
สูตร อธิบายว่า ได้แก่ การทานายอวัยวะ ทานายตาหนิ ทานายโชคลาง ทานายฝัน
ทานาย ลกั ษณะ ทานายหนกู ดั ผา้ ทาพิธบี ูชาไฟ พธิ เี บิกแวน่ เวียนเทียน พิธีซัดแกลบบูชา
ไฟ พธิ ีซัดราบูชาไฟ พธิ ซี ดั ข้าวสารบูชาไฟ พธิ เี ติมเนยบูชาไฟ พิธเี ติมน้ามันบชู าไฟ พิธีพ่น
เคร่ืองเซน่ บูชาไฟ ฯลฯ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๑-๒๗/๙-๑.

ทพุ ฺพจจวี รปจฺจาสา (ความหวงั ในจีวรทเ่ี ลือ่ นลอย) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๙๒๐/๒๐๖. ความหวังใน
จีวรท่เี ลือ่ นลอย หมายถึงความหวังท่ีภิกษุณีตั้งไว้เพราะได้ฟังเพียงคาของทายกว่า ถ้า
สามารถกจ็ ะถวาย เปน็ ความหวงั ที่เลื่อนลอย ไมแ่ น่นอน กงขฺ า.อ. (บาลี) ๓๗.

๒๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

นพิ พฺ ฏิ ฺ ราชภฏ (ผ้เู กบ็ ส่วยส่งหลวง) ว.ิ ภิกขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๘๒๔/๑๔๖. ผู้เก็บส่วยส่งหลวง คือผู้น้ีได้
แต่งตั้งเป็นข้าราชการมีหน้าท่ีเก็บส่วยส่งพระราชา และได้รับรายได้จากตา แหน่งนั้น
ต่อมาเขาตอ้ งการตาแหน่งนายดา่ น จึงนาส่วยไปส่งพระราชาเพ่ือจะทูลขอตาแหน่งนาย
ดา่ น วิ.อ. (บาลี) ๒/๘๒๔/๔๙๓, สารตฺถ.ฏกี า (บาล)ี ๓/๘๒๔/๑๕.

นิสฺสคฺคียปาจิตฺติย (ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๗๓๔/๗๘. ต้องอาบัติ
นิสสัคคยี ปาจติ ตีย์ หมายถึง บาตรนั้นเปน็ นสิ สคั คีย์ คอื ต้องสละ ภกิ ษณุ ตี ้องปาจติ ตยี ์

บรกิ ฺขาร (บรขิ าร) วิ.ภกิ ขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๗๕๘/๙๘. บรขิ าร หมายถึงกัปปิยภัณฑ์ คือของท่ีสมควรแก่
ภกิ ษุณสี งฆ์ กงฺขา.อ. (บาล)ี ๓๖.

ปกขฺ มานตฺต (ปกั ขมานตั ) วิ.ภิกฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๗๓๒/๗๔. ปกั ขมานัต คือระเบียบปฏิบัติในการออก
จากอาบตั ิหนกั สาหรับภกิ ษุณี ใชเ้ วลา ๑๕ วัน กงขฺ า.อ. (บาลี) ๑๗๔-๑๗.

ป มาปตฺติกนิสฺสารณีย (ปฐมาปัตติกนิสสารณียะ) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๖๗๙/๒๗. ปฐมาปัตติก
นสิ สารณยี ะ เป็นช่อื เฉพาะของอาบตั สิ ังฆาทิเสสที่ต้องในทันทีท่ีล่วงละเมิด โดยไม่มีการ
สวดสมนุภาสน์ และภิกษุณีที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสต้องถูกไล่ออกจากภิกษุณีสงฆ์ วิ.อ.
(บาล)ี ๒/๖๗๙/๔๗.

ปรภิ าส (บริภาษ) ว.ิ ภกิ ฺขุน.ี (ไทย) ๓/๘๒๔/๑๔๗. บริภาษ คือปรามพวกภิกษณุ ีวา่ อย่ากระทาอย่าง
นอ้ี ีก ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๘๒๔/๔๙.

ปลณฑฺ ุก (กระเทยี มเหลอื ง) วิ.ภิกฺขุน.ี (ไทย) ๓/๗๙๗/๑๓๐. กระเทียมเหลือง หรือกระเทียมชนิด
อ่นื ๆ มีลกั ษณะตา่ งจากกระเทียมมาคธกิ ะ เฉพาะสีและเยื่อเทา่ นั้น วิ.อ. (บาลี) ๒/๗๙๗/
๔๘.

ปาปสทฺท (มชี ือ่ เสียงไม่ดี) ว.ิ ภกิ ขฺ นุ .ี (ไทย) ๓/๗๒๑/๖๓. มีช่ือเสียงไม่ดี คือมีความเป็นอยู่ท่ีเสื่อม
เสยี มีอาชพี ไม่เหมาะสม วิ.อ. (บาล)ี ๒/๗๒๓/๔๘.

ปาริวาสกิ จฺฉนฺททาน (การให้ปาริวาสกิ ฉนั ทะ) ว.ิ ภิกฺขนุ ี. (ไทย) ๓/๑๑๖๖/๓๕๑. การให้ปาริวาสิก
ฉนั ทะ หมายถึง ให้ฉันทะคา้ ง คือภิกษทุ งั้ หลายประชมุ กันทาสงั ฆกรรมทม่ี กี ารล้มเลิกสละ
ฉันทะเสียแลว้ เพราะเหตุบางอย่าง ถา้ จะทาสงั ฆกรรมน้ันใหม่ ต้องนาฉันทปาริสุทธิของ
ภกิ ษุผคู้ วรใหฉ้ นั ทปาริสทุ ธคิ ือภิกษเุ ถระที่รบั นิมนต์ไวก้ อ่ นน้ันมาจึงทาสงั ฆกรรมนั้นได้ ถ้า
ภกิ ษทุ ัง้ หลายลม้ เลกิ สละฉันทะใน สังฆกรรมแล้วภิกษุณีจัดการให้ทาสังฆกรรมน้ันใหม่
โดยไม่นาฉันทปารสิ ทุ ธมิ า ชอ่ื วา่ ให้ทาไปดว้ ยการใหฉ้ ันทะคา้ ง กงขฺ า.อ. (บาล)ี ๔๐๓-๔๐.

มาคธกิ (มาคธกิ ะ) วิ.ภกิ ขฺ นุ .ี (ไทย) ๓/๗๙๕/๑๒๙. มาคธิกะ เป็นชื่อของกระเทียมที่เกิดในแคว้น

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๗

มคธ กระเทียมชนิดนี้ ต้นหน่ึงจะมีหลายหวั ติดกนั เปน็ พวง ไม่ใช่หัวเดียว วิ.อ. (บาลี) ๒/
๗๙๕/๔๘.

มิคารนตตฺ า (มิคารมาตา) วิ.ภิกฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๖๕๖/๑. มิคารมาตา แปลได้ ๒ นัย ในที่น้ี แปลว่า
หลานของนางวสิ าขามิคารมาตา ตามอธิบายในอรรถกถาพระวินยั วิ.อ. (บาลี) ๒/๖๕๖/
๔๖๒, สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๓/๖๕๖/๑๓. สว่ นในพระสตุ ตนั ตปิฎก แปลวา่ หลานของมิคาร
เศรษฐี, อง.ฺ ติก. (ไทย) ๒๐/๖๗/๒๘๑ ตามอธิบายในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย องฺ.ติก.อ.
(บาล)ี ๒/๖๗/๒๐.

ลหปุ าปุรณ (ผ้าห่มชนดิ หนึ่งทใ่ี ช้ในฤดูรอ้ น) วิ.ภกิ ฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๗๙๐/๑๒๓. ผา้ ห่มชนิดหน่ึงท่ีใช้ใน
ฤดูร้อน หมายถึงผ้าห่มเนื้อบางสาหรับหม่ ในฤดูร้อน อุณฺหกาเล หิ มนุสฺสา สุขุมปาวุรณ
ปารุปนฺติ -ปาจติ ยฺ าทิโยชนา (บาล)ี ๗๘๙/๑๕๘.

วชฺชปฏิจฺฉาทิกา (ปกปิดโทษ) ว.ิ ภกิ ฺขุนี. (ไทย) ๓/๖๖๕/๑๑. วัชชปฏิจฉาทิกา แปลว่า ปกปิดโทษ,
ปกปดิ ความผดิ เป็นชอื่ เรียกอาบตั ปิ าราชกิ สกิ ขาบทนี้ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๖๕/๔๖.

วฏุ ฺ านสมฺมติ (วุฏฐานสมมติ) ว.ิ ภกิ ขฺ นุ ี. (ไทย) ๓/๑๐๘๒/๒๙๙. วุฏฐานสมมติ แปลว่า สมมติการ
บวช หมายถงึ การรับรองใหบ้ วชได้ กรรมชนิดน้ี ภิกษุณีสงฆ์จะให้แก่ สิกขมานาผู้ศึกษา
ประพฤติตามธรรม ๖ ข้อ ครบ ๒ ปี โดยไม่ทาให้ข้อใดขอ้ หน่งึ ขาด ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๐๘๔/
๕๑. วุฏฐานสมมติ หมายถึง มตอิ นญุ าตให้ออกจากความเปน็ สิกขมานาเพื่ออปุ สมบทเป็น
ภิกษุณี พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์, ๒๕๒๘, หน้า ๒๘.

วฏุ ฺ าปนสมฺมติ (วุฏฐาปนสมมติ) วิ.ภิกฺขนุ ี. (ไทย) ๓/๑๑๔๐/๓๓๕. วุฏฐาปนสมมติ แปลว่า สมมติ
ใหเ้ ป็นผู้บวชใหก้ ุลธิดา คอื การแตง่ ตง้ั ให้ทาหน้าท่ีเป็นอปุ ัชฌาย์

สงฺฆาฏิ (สังฆาฏิ) วิ.ภิกขฺ ุน.ี (ไทย) ๓/๘๙๘/๑๙๔. สังฆาฏิ ในท่นี ห้ี มายถงึ จีวร ๕ ผืนของภกิ ษณุ ี คือ
สังฆาฏิ อุตตราสงค์ อนั ตรวาสก ผา้ อาบนา้ ผา้ รัดถัน ภกิ ษณุ ตี อ้ งนาผ้า ๕ ผืนน้ีออกมาใช้
สอยหรือผ่ึงแดด ห้ามเก็บไว้เกิน ๕ วัน ถ้าเก็บผืนใดผืนหนึ่งไว้เกิน ๕ วัน ต้องอาบัติ
ปาจติ ตยี ์ : เกบ็ ไว้ ๑ ผนื ต้องอาบัติ ๑ ตัว เกบ็ ไว้ ๕ ผืน ตอ้ งอาบัติ ๕ ตวั ว.ิ อ. (บาล)ี ๒ /
๓๙๘-๙/๕๐๐-๕๐๑, กงขฺ า.อ. (บาล)ี ๓๗๕, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๘๙๘/๑๕.

สงฺฆาทิเสส (สังฆาทิเสส) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๖๘๐/๒๘. สังฆาทิเสส นี้เป็นช่ือเรียกกองอาบัติ
แปลวา่ หมอู่ าบัตทิ ีต่ ้องการสงฆ์ทั้งในระยะเบื้องต้นและในระยะที่เหลือ หมายความว่า
ภกิ ษุณผี ูต้ อ้ งอาบตั สิ ังฆาทิเสสจะออกจากอาบัติน้ันได้ต้องอาศยั สงฆใ์ ห้มานตั (ปกั ขมานัต)
ชักเข้าหาอาบตั เิ ดมิ และอัพภาน (เรียกเข้าหม)ู่ ในกรรมท้งั หมดน้ี ขาดสงฆ์เสียแล้ว ก็ทา

๒๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

ไม่ไดส้ าเร็จ ภิกษณุ ผี จู้ ะออกจากอาบตั สิ ังฆาทิเสสน้นั แม้จะปิดอาบัตไิ วก้ ไ็ มต่ ้องอยู่ปริวาส
ประพฤตปิ ักขมานตั ในสงฆ์ ๒ ฝุายเลยทเี ดียว กงฺขา.อ. (บาลี) ๓๕๕, วิ.มหา. (ไทย) ๑/
๒๓๗/๒๕.

สตตฺ าหกรณยี (สัตตาหกรณยี ะ) วิ.ภิกฺขุน.ี (ไทย) ๓/๙๗๒/๒๓๕. สตั ตาหกรณยี ะ หมายถึง ธุระที่พึง
ทาเสรจ็ ได้ในเวลา ๗ วนั หมายถึงธรุ ะเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดไปค้างคืนท่ีอื่นได้ แต่
ต้องกลับมาภายในเวลา ๗ วัน เป็นธุระท่ีภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี
อุบาสก อุบาสิกาส่งข่าวมานิมนต์ไป เช่นไปเพื่อพยาบาลภิกษุและภิกษุณีเป็นต้น
(สหธรรมิก) หรือมารดาบิดา ไปเพ่อื ระงับเพือ่ นภกิ ษเุ ป็นตน้ ผกู้ ระสันจะสึก ไปเพือ่ กิจของ
สงฆ์ เช่นสรา้ งวิหารหรือซอ่ มวิหารชารุด ไปกิจนิมนต์ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๙๘-๒๐๒/๒๑๓-
๒๒.

สมานสวาสกสีมา (สมานสังวาสสมี า) วิ.ภิกฺขุน.ี (ไทย) ๓/๖๙๖/๔๓. สมานสังวาสสมี า หมายถึง อยู่
ในเขตท่กี าหนดไวเ้ ปน็ พเิ ศษสาหรบั สงฆ์เพ่อื เปน็ สถานทท่ี าสงั ฆกรรมรว่ มกนั

สมานสวาสก (มสี งั วาสเสมอกนั ) ว.ิ ภกิ ขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๖๗๐/๑๖. มีสังวาสเสมอกัน คือมีกรรมท่ีทา
ร่วมกนั มอี ุทเทสทสี่ วดร่วมกัน และมีสกิ ขาเสมอกนั ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๖๙-๖๗๐/๔๖.

สสฏฺ (คลกุ คลีกนั ) ว.ิ ภกิ ฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๗๒๑/๖๓. คลุกคลกี นั ในทน่ี ี้หมายถงึ อยู่คลุกคลีกันกับพวก
คฤหัสถ์ทงั้ ทางกาย เช่น การตาขา้ ว หุงขา้ ว บดของ หอม ร้อยดอกไม้ เป็นต้น และทาง
วาจา เช่น การช่วยส่งขา่ วสาร การชักส่ือ เปน็ ตน้ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๗๒๓/๔๘.

สหชวี นิ ี (สหชีวนิ ี) ว.ิ ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๙๔๖/๒๒๐. สหชีวนิ ี คือภิกษณุ ีผทู้ ี่ตนเป็นอปุ ชั ฌาย์บวชให้

สิกฺขาสมฺมติ (สกิ ขาสมมติ) วิ.ภกิ ฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๑๐๗๗/๒๙๗. สกิ ขาสมมติ.อรรถกถาอธิบายว่า เหตุ
ท่ีตอ้ งให้สกิ ขาสมบตั ิเน่ืองจากมาตุคามเปน็ คนโลเล ถา้ ไมไ่ ด้ศึกษาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒
ปี จะบาเพญ็ ศลี ใหบ้ ริบูรณ์ได้ยาก ต่อเม่ือไดศ้ กึ ษาแลว้ ก็จะไม่ได้ยากจะชว่ ยเหลอื ตนเองได้
ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๐๗๗/๕๑.

สคุ ตวิทตฺถิ (คบื สุคต) ว.ิ ภิกฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๘๘๘/๑๘๗. คืบสุคต เป็นชื่อมาตราวัดขนาด ๑ คืบสุคต
เทา่ กับ ๓ คืบ ของคนสัณฐานปานกลาง เทา่ กับ ๑ ศอกคร่งึ โดยศอกช่างไม้ แตใ่ นปัจจุบัน
ใหถ้ อื ตามไม้เมตร คือเท่ากับ ๒๕ เซนติเมตร วิ.อ. (บาล)ี ๒/๓๔๘-๓๔๙/๖.

อกาลจีวร (อกาลจวี ร) ว.ิ ภกิ ขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๗๔๐/๘๓. อกาลจวี ร หมายถึงจีวรที่เกิดข้ึนนอกฤดูกาล
คอื ในเม่ือไม่ได้กรานกฐนิ จวี รทีเ่ กดิ ข้นึ ในระหว่างแรม ๑ ค่า เดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่า
เดือน ๑๑ ของปถี ดั ไป (ตามจันทรคต)ิ รวมเป็น ๑๑ เดอื น ช่อื วา่ อกาลจวี ร ในเมอ่ื ได้กราน

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๙

กฐินแล้ว จีวรท่ีเกิดขึ้นในระหว่างแรม ๑ ค่า เดือน ๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ในปี
เดียวกัน (ตามจันทรคติ) รวมเป็น ๗ เดอื น ชือ่ วา่ อกาลจีวร สว่ นจีวรทีเ่ กดิ ข้นึ นอกเวลา ท้งั
๒ กรณดี งั กลา่ วนี้ ช่ือว่ากาลจีวร กงขฺ า.ฏกี า (บาลี) ๓๑.

อกฺโกสวตฺถุ (อักโกสวตั ถุ) วิ.ภิกฺขุน.ี (ไทย) ๓/๑๐๓๐/๒๖๙. อักโกสวัตถุ คาท่ีใช้ด่า ๑๐ อย่าง ใน
วนิ ยั ไดแ้ ก่ โอมสวาท คือคากล่าวเสียดสี ๑๐ อย่าง วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๕/๒๐๒, วิ.ป.
(ไทย) ๘/๓๓๐/๒๙๗, วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๓๐/๔๗๓, สว่ นในธรรมบทอรรถกถา หมายถึงคาท่ี
ใชด้ ่า ๑๐ อย่าง คอื คาด่าวา่ เจ้าเป็นโจร เปน็ คนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นลา
เป็นสัตว์นรก เปน็ สัตวด์ ิรัจฉาน เปน็ คนไม่มีสคุ ติ เปน็ คนหวงั ไดเ้ ฉพาะทุคติ ข.ุ ธ.อ. (บาลี)
๒/๑๕/๔.

อฏฺ ปาราชิกธมมฺ (ธรรมคอื ปาราชิก ๘ สกิ ขาบท) วิ.ภกิ ขฺ นุ ี. (ไทย) ๓/๖๗๗/๒๔. ธรรมคือปาราชิก
๘ สิกขาบท หมายถึงปาราชิกของภิกษุณีอีก ๔ สิกขาบทเป็นสาธารณสิกขาบท มี
เนอื้ ความเหมอื นกบั ปาราชิก ๔ สกิ ขาบทของภกิ ษุ จึงรวมเป็น ๘ สกิ ขาบท วิ.มหา. (ไทย)
๑/๔๔/๓๒,๙๑/๘๐,๑๗๑/๑๔๑,๑๙๗/๑๘๓, กงฺขา.อ. (บาลี) ๔๘-๕.

อธกฺขก (ใต้รากขวัญ) ว.ิ ภิกขฺ นุ .ี (ไทย) ๓/๖๕๗/๕. ใตร้ ากขวญั คอื ใตส้ ่วนของร่างกายท่ีเรียกว่า ไห
ปลาร้า วิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๕๗/๔๖.

อธกิ รณ (อธกิ รณ์) วิ.ภิกขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๙๙๖/๒๔๘. อธกิ รณ์มี ๔ อย่าง คือ วิวาทาธกิ รณ์ ได้แก่ การ
เถียงกนั วา่ นเ้ี ป็นธรรมวินยั น้ไี มใ่ ช่ธรรมวินยั เป็นต้น อนุวาทาธิกรณ์ ได้แก่ การโจทกัน
ด้วยสลี วบิ ตั ิ อาจารวิบัติ ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ หรอื อาชวี วิบัติ อาปัตตาธิกรณ์ ได้แก่ การต้องอาบัติ
การปรับอาบตั ิและแกต้ า่ งให้พน้ อาบตั ิ กจิ จาธิกรณ์ ได้แก่ กิจธุระของสงฆ์ เช่น อปโลก-
นกรรม ญตั ตกิ รรม ญัตตทิ ตุ ิยกรรม ญตั ตจิ ตตุ ถกรรม มีการสวด ปาติโมกข์เป็นต้น วิ.ป.
(ไทย) ๘/๓๔๘/๕๒๗-๕๓.

อนนฺตรายกิ ินี (ไมม่ ีอนั ตราย) วิ.ภกิ ฺขุน.ี (ไทย) ๓/๘๙๓/๑๙๐. ไม่มีอันตราย หมายถึง ไม่ตกอยู่ใน
อันตรายอยา่ งใดอย่างหนงึ่ ในอนั ตราย ๑๐ อย่าง คือ พระราชา เสด็จมา โจรมาปล้น ไฟ
ไหม้ นา้ หลากมา คนมามาก ผีเข้าภิกษุ สัตว์ร้าย เขา้ มาในวดั งเู ลอ้ื ยเข้ามา ภิกษุเป็นโรค
ร้าย เกิดอันตรายแก่พรหมจรรย์ เช่นมีคนมาจบั ภิกษณุ ีสึก วิ.อ. (บาลี) ๒/๘๙๓-๔/๕๐๐,
ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๔๕๐/๒๒.

อโนกาสกต (ยังไม่ไดข้ อโอกาส) ว.ิ ภกิ ฺขุน.ี (ไทย) ๓/๑๑๒๐/๓๗๙. ยังไม่ได้ขอโอกาส หมายถึง ยังไม่
ระบุเร่อื งทจี่ ะถาม เช่น ขอโอกาสทจี่ ะถามปัญหาพระสูตรแล้ว ไปถามพระวินัยหรือพระ
อภิธรรม หรอื ขอโอกาสที่จะถามปัญหาพระวินัยแตถ่ ามปัญหาพระสูตรหรือพระอภิธรรม

๓๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

หรอื ขอโอกาสทจี่ ะถามปญั หาพระอภิธรรมแตถ่ ามปัญหาพระสตู รหรือพระวนิ ัย ตอ้ งอาบัติ
ปาจติ ตีย์ กงขฺ า.อ. (บาล)ี ๔๐.

อปปฺ ทีป (ไม่มีประทปี ) ว.ิ ภิกฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๘๓๘/๑๕๕. ไม่มีประทีป หมายถึง ไมม่ แี สงสว่างอย่างใด
อยา่ งหนง่ึ ในบรรดาแสงตะเกยี ง แสงจันทร์ แสงอาทติ ย์ และแสงไฟ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๘๓๙/
๔๙.

อพฺรหฺมจริย (อนั มิใช่พรหมจรรย์) ว.ิ ภิกขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๑๐๗๙/๒๙๘. อันมิใช่พรหมจรรย์ หมายถึง
การเสพเมถนุ ธรรม (การร่วมสังวาส) ข.ุ ข.ุ อ. (บาลี) ๑.

อภกิ ฺขุกาวาส (อาวาสท่ไี ม่มีภิกษุ) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๑๐๔๖/๒๗๙. อาวาสที่ไม่มีภิกษุ หมายถึง
สานักภิกษุณีที่ไม่มีภิกษุผู้จะให้โอวาทอยู่ภายในระยะกึ่งโยชน์ หรือเส้นทางท่ีจะไปยัง
สานักภิกษุณีน้ัน ไม่ปลอดภัย ไม่สะดวก ภิกษุไม่สามารถเดินทางไปให้โอวาทได้ วิ.อ.
(บาลี) ๒/๑๔๙/๓๒๑, กงขฺ า.อ. (บาล)ี ๓๙.

อสทฺธมมฺ (อสทั ธรรม) ว.ิ ภิกขฺ นุ ี. (ไทย) ๓/๖๗๕/๒๑. อสัทธรรม ในท่ีน้ีหมายถึง การถูกต้องกันทาง
กาย ไมใ่ ชเ่ มถนุ ธรรม ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๗๕/๔๖.

อฏฺ วตถฺ กุ (วตั ถุ ๘ ประการ) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๓๐/๒๑. วัตถุ เหตุ หรือกรณี ๘ อย่าง เป็นช่ือ
อาบัตปิ าราชิกสิกขาบทน้ี เม่อื ทาครบ ๘ อยา่ ง คือ ยนิ ดีการจบั มอื ยนิ ดีการจบั มุมสังฆาฏิ
ยืนเคียงคู่ สนทนากนั ไปทีน่ ัดหมาย ยินดีที่เขามาหา เดนิ ตามเข้าไปสู่ท่ีลับ น้อมกายเข้า
ไปเพอ่ื จะเสพอสัทธรรมกับชายผูก้ าหนัด ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๗๖/๔๖.

อาชวี ก (อาชวี ก) วิ.ภิกขฺ นุ ี. (ไทย) ๓/๓๐/๒๑. อาชีวก หมายถึง นักบวชชีเปลือยพวกหนึ่งในครั้ง
พทุ ธกาล เปน็ สาวกของมกั ขลิโคสาล ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๗-๑๖๙/๕๕-๕.

อกุ ฺขิตฺตานวุ ตฺตกิ (ประพฤติตามผ้ถู ูกสงฆ์ยกวตั ร) ว.ิ ภกิ ขฺ ุน.ี (ไทย) ๓/๖๖๙/๑๕. ประพฤติตามผู้ถูก
สงฆ์ยกวตั ร ถูกสงฆ์ลงโทษโดยการไล่ออกจากหมู่ หมายถึง ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม
น่นั เอง คาน้เี ป็นช่อื อาบัติปาราชกิ สกิ ขาบทน้ี กงฺขา.อ. (บาล)ี ๓๔.

อุพฺภชาณมุ ณฺฑลิกา (บริเวณเหนอื หวั เขา่ ) ว.ิ ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๖๕๗/๕. บรเิ วณเหนือเข่า แม้บริเวณ
เหนือข้อศอกก็รวมอยู่ในคา อุพภชาณุมัณฑลิกา นี้ด้วย คานี้เป็นชื่ออาบัติปาราชิก
สกิ ขาบทน้ี ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๕๗-๖๕๘/๔๖.

อฬุ ารสมภฺ าวิต (มคี ณุ สมบัตยิ ่งิ กวา่ ) ว.ิ ภกิ ขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๙๔๑/๒๑๗. มีคุณสมบัติย่ิงกว่า หมายถึง
บวชจากตระกูลที่ใหญ่หรือประเสริฐกว่าและเป็นผู้ประเสริฐกว่าโดยคุณท้ังหลาย วิ.อ.
(บาลี) ๒/๙๔๑/๕๐.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๓๑

อูนทฺวาทสวสฺส (มีอายุไม่ครบ ๑๒ ปี) วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๑๐๙๐/๓๐๕. มีอายุไม่ครบ ๑๒ ปี
หมายถงึ หญงิ ทีจ่ ะได้บวชเป็นภิกษุณีน้ัน นอกจากจะต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ตาม
ข้ันตอนแล้ว ยังต้องมีอายุครบ ๒๐ ปี แต่ในกรณีน้ี เป็นข้อยกเว้นสาหรับหญิงที่มี
ครอบครัวแลว้ หรอื เคยผ่านการแต่งงานมีครอบครัวมาแล้ว แม้เธอจะมีอายุเพียง ๑๒ ปี
ถา้ ผ่านการศกึ ษาสกิ ขาในธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปี และสงฆ์ให้การสมมติคือรับรองแล้ว ก็
สามารถบวชเป็นภกิ ษุณีได้ กงฺขา.อ. (บาลี) ๓๙๘-๔๐.

โอวาท (โอวาท) วิ.ภิกฺขนุ .ี (ไทย) ๓/๑๐๔๘/๒๘๐. โอวาท หมายถึงครุธรรม ๘ ธรรมอันเป็นเหตุอยู่
ร่วมกัน หมายถึงการสอบถามอุโบสถและปวารณา วิ.อ. (บาลี) ๒/๑๐๔๘/๕๑๓, วิ.จู.
(ไทย) ๗/๔๐๓/๓๑๖-๓๑๗, องฺ.อฏฺฐก. (ไทย) ๒๓/๕๑/๓๔.

๓๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก

พระวินัยปฎิ กเลม่ ที่ ๔

กริ ยิ วาที (กิรยิ วาที) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘๗/๑๔๒. กิรยิ วาที หมายถึง ผู้มคี วามเห็นวา่ กรรมมีอยู่ ผลของ
กรรมมีอยู่ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๘๗/๕.
กสิ โกวทาน (ชฎิลผผู้ อม) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕๕/๖๖. ชฎิลผูผ้ อม หมายถึงหมู่ดาบสท่ีได้นามว่า ผู้ผอม

เนือ่ งจากเปน็ ผูม้ รี ่างกายผอม เพราะบาเพญ็ วตั รของดาบส ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๕๕/๒.
โกลิต (โกลิตะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๒/๗๗. โกลิตะ หรือพระโมคคัลลานะหลังจากบวชได้ ๗ วัน ไปพัก

อาศยั อยู่ ณ บ้านกลั ลวาฬคาม (กลั ลวาฬมุตตคาม) บาเพญ็ สมณธรรม ฟงั ธรรมวา่ ด้วยธาตุ
กัมมฏั ฐานจากพระพุทธเจ้า บรรลุอรหัตผลถึงท่ีสุดแห่งสาวกบารมีญาณตามท่ีตั้งความ
ปรารถนาไว้
คณปรู ก (คณปูรกะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙๐/๑๔๖. คณปรู กะ หมายถงึ ภิกษุผู้เป็นที่ครบจานวนในคณะ
นนั้ ๆ เช่น สังฆกรรมทตี่ ้องมภี ิกษุ ๔ รปู หรอื ยง่ิ ขึ้นไปเปน็ ผ้ทู า ยังขาดอยู่เพียงจานวนใด
จานวนหนึง่ มีภิกษุอ่นื มาสมทบทาให้ครบองค์สงฆ์ในสังฆกรรม น้ันๆ ภิกษุท่ีสมทบน้ัน
เรียกวา่ คณปูรกะ พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พุทธศักราช ๒๕๔๖ หน้า
๒.
ครธุ มฺม (ครธุ รรม) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๙๓/๓๐๓. ครุธรรม ในทน่ี หี้ มายถงึ อาบัตสิ ังฆาทเิ สส อง.ฺ อฏฺ ก.อ.
(บาล)ี ๓/๕๑/๒๖.
ครุธมมฺ (อาบัตหิ นกั ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๕. อาบัติหนัก ในทนี่ ้หี มายถงึ อาบัติสังฆาทเิ สส
คิรพิ พฺ ช (คิริพชนคร) วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๓/๗๘. คิริพชนคร หมายถึง กรุงราชคฤห์ บางทีเรียกว่า
เบญจคิรนี คร ทีช่ ่อื ว่าคริ พิ ชนคร เพราะเปน็ เมอื งทล่ี อ้ มรอบดว้ ยภเู ขา ๕ ลูก คือ ปัณฑวะ
คชิ ฌกฏู เวภาระ อิสคิ ลิ ิ เวปุลละ สารตถฺ . ฏกี า (บาล)ี ๓/๖๓/๒๘.
จกฺขุ (จกั ษุ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓/๒๐. จกั ษุ ในท่ีนหี้ มายถึง ปญั ญาจักษุ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๓/๑.
จตูโปสถกมมฺ (การทาอุโบสถ ๔ อย่าง) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๔๙/๒๒๗. การทาอโุ บสถ ๔ อย่าง ในอรรถ
กถาอธิบายวา่ ถ้าในวดั หน่งึ มภี กิ ษุ ๔ รปู ภิกษุ ๓ รปู นาฉันทะและปาริสุทธิของภิกษุรูป

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๓๓

หนึ่งมาทาปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ หรือมภี ิกษอุ ยู่ ๓ รูป ภิกษุ ๒ รูป นาฉันทะและปาริสุทธิของ
ภกิ ษรุ ูปหนงึ่ มายกปาติโมกข์ขึ้นแสดง น้ีชื่อว่า การทาอุโบสถแบ่งพวกโดยไม่ชอบธรรม
ภิกษุ ๔ รปู ประชมุ กันทาปารสิ ทุ ธิอุโบสถ ภกิ ษุ ๓ หรือ ๒ รูป ยกปาตโิ มกขข์ ึ้นแสดง น้ชี ่อื
ว่า การทาอุโบสถพรอ้ มเพรยี งกนั โดยไมช่ อบธรรมมีภกิ ษุ ๔ รูป ภิกษุ ๓ รูป นาปาริสุทธิ
ของภกิ ษรุ ูปหน่ึงมายกปาติโมกขข์ น้ึ แสดง หรือมภี กิ ษุ ๓ รูป ภิกษุ ๒ รูปนาปาริสุทธิของ
ภิกษุรูปหน่งึ มา ทาปารสิ ุทธิอโุ บสถ นช้ี อ่ื วา่ การทาอโุ บสถแบง่ พวกโดยชอบธรรม ภิกษุ ๔
รูป อย่ใู นวดั หนึ่งท้งั หมดประชมุ กนั ยกปาติโมกข์ข้นึ แสดง ภิกษุ ๓ รูป ทาปาริสุทธิอุโบสถ
ภกิ ษุ ๒ รปู ทาปาริสุทธิอุโบสถต่อกันและกัน นี้ชื่อว่าการทาอุโบสถพร้อมเพรียงกันโดย
ชอบธรรม ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๔๙/๑๓๐-๑๓.

ฉวกฏุ ิกา (กระท่อมผ)ี วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๐๔/๓๒๑. กระทอ่ มผี หมายถึง กระท่อมที่เขาสร้างไว้ในปุา
ชา้ เปน็ ที่เกบ็ ศพ หรือเตียงตัง่ ทีเ่ ขาตงั้ ไวใ้ นปุาช้าและเทวสถาน เรอื นที่สรา้ งกอ่ แผ่นศิลา ๔
ด้าน วางแผ่นศิลาทบั ไวข้ า้ งบน (โกดังเกบ็ ศพ) ทรงหา้ มเขา้ จาพรรษาในสถานท่ดี ังกล่าวน้ี
แต่จะสร้างกุฎีหรอื กระท่อมอื่นในปุาช้าแลว้ เข้าจาพรรษาไม่ทรงห้าม วิ.อ. (บาล)ี ๓/๒๐๔/
๑๕๑-๑๕๒, สารตฺถ. ฏีกา (บาล)ี ๓/๒๐๔/๓๔.

ชาตสฺสร (ชาตสระ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔๗/๒๒๕. ชาตสระ หมายถึง สระที่เกิดเอง ไม่มีใครขุดไว้น้า
ไหลมาจากรอบข้างขังอยจู่ นเตม็ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๔๗/๑๒.

ชีวติ นฺตราย (ภกิ ษุจะถงึ แกช่ วี ติ ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๕๐/๒๓๐. ภิกษุจะถึงแก่ชีวิต หมายถึง ภิกษุเป็น
ไข้ หรอื จะมรณภาพ หรอื คนผจู้ องเวร ประสงค์จะฆา่ จงึ จบั ภิกษุน้นั ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๕๐/
๑๓.

ชุณฺห (ชุณหปักษ์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๘๖/๒๙๔. ชณุ หปกั ษ์ หมายถงึ เดือนต่อไป ในทีน่ ้ีหมายถึงข้ึน ๑
คา่ ของอีกเดือนหนึง่ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๘๖/๑๔.

ญาณทสฺสน (ญาณทัสสนะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๓. ญาณทัสสนะ หมายถึง สัจจญาณ กิจจญาณ
กตญาณ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๘๑/๓๘๐, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๑๖/๒๑.

ตชฺชนีย (ตัชชนยี กรรม) วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๖. ตัชชนยี กรรม คือ การขู่ การปราม วิ.ม. (ไทย) ๕/
๔๐๗-๔๐๘/๒๙๕-๒๙.

ตจิ ีวราวิปปฺ วาส (แดนไมอ่ ยูป่ ราศจากไตรจวี ร) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๔๓/๒๒๑. แดนไมอ่ ยูป่ ราศจากไตร
จวี ร หมายถึง สถานที่ที่สงฆ์กาหนด เป็นเขตที่ภิกษุอยู่ห่างจากไตรจีวรได้โดยไม่ต้อง
อาบัติ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๗๓-๔๗๔/๑๐-๑๑, วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๗๓/๑๕.

๓๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

ติปริวฏฺฏทฺวาทสาการ (๓ รอบ ๑๒ อาการ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๓. ๓ รอบ ๑๒ อาการ หมายถึง
สจั จญาณ กิจจญาณ กตญาณ เกิดขน้ึ เวียนไปในอริยสจั ๔ ข้อ ข้อละ ๓ รอบ (๔ x ๓ =
๑. รวมเปน็ ๑๒ รอบ ดงั น้ี ก. น้ที กุ ข์ ทุกขน์ ้คี วรกาหนดรู้ ทกุ ข์นี้ กาหนดร้แู ล้ว ข. น้ีสมทุ ัย
สมุทยั นคี้ วรละ สมุทัยนล้ี ะแล้ว ค. น้ีนิโรธ นิโรธ น้ีควรทาให้แจ้ง นิโรธนี้ทาให้แจ้งแล้ว
ง. น้ีมรรค มรรคนี้ควรทาให้เจริญ มรรคนี้ ทาใหเ้ จริญแล้ว ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๘๑/๓๘๐,
สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๑๖/๒๑.

ตมิ ณฺฑล (มณฑล ๓) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๒. มณฑล ๓ คือ ถ้าเป็นผา้ อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม) ต้องห่ม
ปดิ หลมุ คอและทาชายจวี รทงั้ ๒ ข้างใหเ้ สมอกนั ถา้ เป็นอันตรวาสก ตอ้ งนุ่งปดิ สะดอื และ
ปิดเขา่ ทั้ง ๒ ข้าง วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๗๖-๕๗๗/๖๕๓-๖๕๕ และ วิ.อ. (บาลี) ๒/๕๗๖-
๕๗๗/๔๔๗-๔๔.

ตริ จฉฺ านคต (สตั ว์ดิรัจฉาน) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘๓/๒๘๘. สัตวด์ ริ ัจฉาน หมายถึง สัตว์ดิรัจฉานที่พระ
ผมู้ พี ระภาคทรงหา้ มอุปสมบท ว.ิ สงฺคห. (บาล)ี ๑๗๘/๒๔๕, กงฺขา.อ. (บาลี) ๑๑.

ติสรณคมน (ไตรสรณคมน์) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๐๕/๑๖๕. ไตรสรณคมน์ หมายถึง พระพุทธเจ้าทรง
อนญุ าตให้ภิกษุสงฆท์ าการบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ ภกิ ษสุ งฆไ์ ดใ้ ช้วิธีนี้ให้
กุลบตุ รอุปสมบทเป็นภิกษเุ ร่ือยมา แตย่ ังไม่เคยใหบ้ รรพชาเป็นสามเณร พระสารีบุตรคิด
วา่ ควรแยกการบรรพชาและการอุปสมบทออกจากกัน เพื่อมิให้เกิดข้อกังขาในอนาคต
ฉะนน้ั เมือ่ พระพุทธเจา้ รับส่งั ให้ทา่ นบรรพชาพระราหลุ กุมารเป็นสามเณร ทา่ นจงึ ทูลถาม
ว่า จะใหบ้ รรพชาอยา่ งไร พระพุทธองคจ์ งึ ทรงอนุญาตให้บรรพชาเป็นสามเณรด้วยไตร
สรณคมน์ ซึ่งต่อมา เมื่อราธพราหมณ์ขออุปสมบท ทรงอนุญาตให้อุปสมบทด้วยญัตติ
จตุตถกรรมวาจา ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๐๕/๗.

เถยยฺ สวาส (ไถยสงั วาส) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๖๔/๒๔๗. ไถยสังวาส แปลว่า คนลักเพศ คือ ไม่ใช่ภิกษุ
แต่ปลอมบวชเปน็ ภกิ ษุ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๑๐/๘๒.

เถยฺยสวาสก (คนลักเพศ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑/๑. คนลักเพศ หมายถึง คนปลอมบวชเป็นภิกษุ มี ๓
จาพวก คือ คนลกั เพศ คนลักสงั วาส คนลักทั้งเพศและสังวาส ๑. คนท่ีบวชเองแล้วไปอยู่
ในวัด ไมค่ านึงพรรษาของภิกษุ ไมย่ นิ ดกี ารไหว้ตามลาดับพรรษา ไม่ห้ามอาสนะ ไม่เข้า
ร่วมอโุ บสถและปวารณาเปน็ ตน้ น้ีช่อื วา่ คนลกั เพศ ๒. คนทภี่ กิ ษทุ ัง้ หลายบวชให้ ขณะยัง
เปน็ สามเณร ไปต่างถนิ่ พดู เทจ็ ว่า ผมบวชมาแล้ว ๑๐ พรรษา หรือ ๒๐ พรรษา คานึง
พรรษาของภกิ ษุ ยนิ ดกี ารไหว้ตามลาดับพรรษา หา้ มอาสนะ เข้าร่วมอุโบสถ และปวารณา
เปน็ ตน้ เพียงเท่านั้น นีช้ ื่อว่าคนลกั สังวาส คาวา่ สังวาส หมายถึง กริ ยิ าทุกประเภทมีการ


Click to View FlipBook Version