The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก-1

Keywords: พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๓๕

นับพรรษาของภิกษเุ ป็นตน้ เพือ่ อยูร่ ่วมกบั ภกิ ษุทั้งหลาย ๓. คนที่บวชเองแล้วไปอยู่ในวัด
คานงึ ถึงการนับพรรษาของภิกษุ ยินดีการไหว้ตามลาดับพรรษา ห้ามอาสนะ เข้าร่วม
อุโบสถและปวารณาเป็นตน้ เพือ่ ลักเพศและสังวาส น้ชี ื่อวา่ คนลักท้ังเพศและสังวาส วิ.อ.
(บาลี) ๓/๑๑๐/๘๒-๘.

ทสธมฺม (ธรรม ๑๐ ประการ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๕๘/๗๐. ธรรม ๑๐ ประการ ในท่ีน้ีหมายถึง อเสข
ธรรม ๑๐ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๕๘/๒. ได้แก่ สัมมัตตะ ๑๐ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาญาณ
สมั มาวิมตุ ติ สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๓/๕๘/๒๗., ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๘/๓๖๕-๓๖๖,๓๖๐/
๔๓๗.

ทิฏฺ ธมฺม (เห็นธรรมแล้ว) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๖/๔๖. เห็นธรรมแล้ว หมายถึง ได้ธรรมจักษุ คือ บาง
พวกได้บรรลุโสดาปัตติมรรค บางพวกได้บรรลุสกทาคามิมรรค บางพวกได้บรรลุ
อนาคามิมรรค มรรคทั้ง ๓ นี้ เรียกวา่ ธรรมจกั ษุ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๖/๒.

ทฏิ ฺ วิปนฺน (มีทิฏฐิวิบัติ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๒๖. ทิฏฐิวิบัติ หมายถึง เป็นผู้ละสัมมาทิฏฐิแล้ว
ยึดถอื อนั ตคั คาหิกทิฏฐิ วิ.อ. (บาลี) ๓/๘๔/๔๘-๔๙, สารตฺถ. ฏกี า (บาล)ี ๓/๘๔/๒๙.

ทิส (ตา่ งถิน่ ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๗. ตา่ งถิน่ หมายถึง ไปอยทู่ ีอ่ นื่ สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๓/๘๓/๒๙.

ธมมฺ (ธรรม) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑/๓. ธรรม ในทีน่ หี้ มาย ถงึ โพธิปักขยิ ธรรมที่ใหส้ าเรจ็ การตรัสรู้ปัจจยา
การ (หรือปฏิจจสมปุ บาท) โดยอนโุ ลม (และปฏิโลม) ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑/๕.

ธมมฺ (ธรรม) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑/๓. ธรรม ในท่ีน้ีหมายถึง ธรรมคือกองทุกข์ทั้งส้ินมีสังขารเป็นต้น
พรอ้ มทั้งเหตุคืออวชิ ชาเปน็ ต้น ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑.

ธมมฺ จกฺขุ (ธรรมจกั ษุ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๔. ธรรมจักษุ หมายถึง ดวงตาเหน็ ธรรม คอื โสดาปัตติ-
มัคคญาณ วิ.อ. (บาลี) ๓/๕๖/๒.

นหตุ (นหุต) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕๕/๖๖. นหุต เป็นช่ือมาตรานับ ๑ นหุต เท่ากับ ๑๐,๐๐๐ คน ๑๒
นหุต เท่ากบั ๑๒๐,๐๐๐ คน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๕๕/๒.

นานาสวาสก (นานาสังวาส) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๘๐/๒๘๓. นานาสังวาส หมายถึง ภิกษุผู้มีสังวาส
ต่างกนั หรอื ตา่ งพวกกนั มี ๒ กลุ่ม คอื เป็นนานาสงั วาสเพราะลัทธิ เช่นประพฤตติ ามภิกษุ
ทถ่ี ูกสงฆล์ งอกุ เขปนยี กรรม และเป็นนานาสงั วาสเพราะกรรมเช่นถูกลงอุกเขปนียกรรม
เป็นตน้ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๔๒๙/๕๑๘, สารตฺถ.ฏีกา (บาล)ี ๓/๓๘๙/๔๑.

นาสน (นาสนะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๐๘/๑๗๒. นาสนะ แปลวา่ การฆา่ , การทาลาย, การทาให้ฉิบหาย

๓๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

หมายถงึ ลงโทษดว้ ยการขบั ไล่ มี ๓ อย่าง คือ สังวาสนาสนะ ไลอ่ อกจากการรว่ มกิจกรรม
ลิงคนาสนะ ให้สกึ ทณั ฑกรรม ลงโทษไล่ให้พ้นจากสังกัด ในท่นี ี้ หมายเอาลิงคนาสนะ คือ
ให้สึก ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๒๘/๔๒๐ วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๘/๗.

นิมนฺตน (นิมันตนภัต) วิ.ม. (ไทย) ๔/๗๓/๑๐๑. นิมันตนภัต คือ ภัตตาหารที่นิมนต์แล้วถวาย
สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๓/๗๑-๗๓/๒๘.

นิมิตตฺ (นมิ ิต) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๗๙/๒๘๑. นมิ ติ หมายถึง เคร่ืองเสนาสนะมีเตียงต่ังเป็นต้นท่ีจัดไว้
เรยี บรอ้ ยดี ซึง่ พอเหน็ แลว้ เป็นเหตุให้กาหนดรู้ได้ว่า มีภิกษุทั้งหลายอยู่ วิ.อ. (บาลี) ๓/
๑๗๙/๑๔๒, สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๓/๑๗๙/๓๔.

นยิ สฺส (นิยสกรรม) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๖. นยิ สกรรม คือ การถอดยศ การปลดออกจากตาแหน่ง
ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๔๑๒/๓๐๐,๔๒๓/๓๐.

ปกขฺ (ปักษ)์ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓๖/๒๑๓. ปกั ษ์ หมายถงึ กึ่งหนึ่งของเดือนทางจันทรคติ ปักษ์หน่ึงมี
๑๔ วันบ้าง ๑๕ วันบา้ ง : ๑ ปีมี ๓ ฤดู คือ ฤดูร้อน ตั้งแต่แรม ๑ คา่ เดือน ๔ ถึงข้ึน ๑๕
ค่าเดอื น ๘ ฤดฝู น ตงั้ แตแ่ รม ๑ คา่ เดอื น ๘ ถึงข้นึ ๑๕ คา่ เดือน ๑๒ ฤดหู นาว ตงั้ แต่แรม
๑ ค่าเดือน ๑๒ ถึงข้ึน ๑๕ ค่าเดอื น ๔, ๑ ฤดู มี ๘ ปกั ษ์ ปกั ษ์ ๑๔ วัน มี ๒ ครง้ั คือปักษ์
ท่ี ๓ และปกั ษท์ ี่ ๗ ปกั ษ์ ๑๕ วนั มี ๖ คร้งั ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๓๖/๑๐.

ปฏสิ ารณยี (ปฏสิ ารณยี กรรม) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๖. ปฏสิ ารณียกรรม คือ การให้ระลึกความผิด
วิ.ม. (ไทย) ๕/๔๑๔/๓๐.

ปฏสิ ฺสวทุกฺกฏ (ต้องอาบัติทกุ กฎเพราะรับคา) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๐๗/๓๒๔. ต้องอาบัติทุกกฏเพราะ
รบั คา เรียกวา่ ปฏิสสวทกุ กฏ ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๙๔/๓๓.

ปฏิโสตคามี (พาทวนกระแส) วิ.ม. (ไทย) ๔/๗/๑๑. พาทวนกระแส ในท่ีนี้หมาย ถึงพาเข้าถึง
นิพพาน ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๗/๑.

ปณฺฑกวตฺถุ (ปัณฑกวัตถุ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๐๙/๑๗๓. ปัณฑกวัตถุ ว่าด้วยเร่ืองบัณเฑาะก์ ๕
ประเภท คอื ๑. คนทด่ี ับความใคร่เร่าร้อน (เพราะกาม) ของตนโดยใชป้ ากอมองคชาตของ
ผ้อู น่ื ใหน้ ้าอสจุ ริ าดตวั เอง ช่ือวา่ อาสติ ตบณั เฑาะก์ ๒. คนทเี่ มอื่ เห็นผู้อื่นร่วมประเวณีกัน
เกดิ ความรษิ ยาขนึ้ ความเรา่ รอ้ นจึงระงับไป ช่ือว่าอสุ ูยบณั เฑาะก์ ๓. คนที่ถูกตัดองคชาต
ชอ่ื ว่าโอปักกมิกบณั เฑาะก์ ๔. คนท่เี ปน็ บัณเฑาะก์ในเวลาขา้ งแรมด้วยอานาจอกุศลวิบาก
แต่ในเวลาข้างข้ึน ความเร่าร้อนย่อมระงับไป ชื่อว่าปักขบัณเฑาะก์ ๕. คนท่ีเป็น
บณั เฑาะก์โดยกาเนิดไม่มีองคชาต ชือ่ วา่ นปุงสกบัณเฑาะก์ ในบัณเฑาะก์ ๕ ประเภทนี้

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๓๗

อาสิตตบัณเฑาะก์ และอสุ ูยบณั เฑาะก์ ไมห่ ้ามบรรพชา ส่วนบัณเฑาะก์อีก ๓ ประเภทท่ี
เหลือห้ามบรรพชา อน่งึ ในกรุ ุนทีกล่าวว่า ปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาเฉพาะในปักษ์ท่ี
เปน็ บัณเฑาะก์ (ข้างแรม) ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๐๙/๘๑-๘.

ปพพฺ าชนยี (ปพั พาชนยี กรรม) วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๖. ปัพพาชนียกรรม คือ การไล่ออกจากหมู่
การไลอ่ อกจากวดั ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๔๑๓/๓๐๐-๓๐.

ปรทิ ูสก (คนมรี ปู ร่างไม่สมประกอบ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๑๙/๑๘๕. คนมรี ปู รา่ งไมส่ มประกอบ เรียกว่า
คนประทุษรา้ ยบริษทั คือ คนมีรูปรา่ งผิดปกติ เชน่ สูงเกินไป เต้ียเกินไป ดาเกินไป ขาว
เกินไป จมกู ใหญ่เกินไป จมกู เล็กเกนิ ไป วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๙/๙๖-๙.

ปริปุจฺฉา (ปริปุจฉา) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘๗/๑๔๐. ปริปจุ ฉา หมายถงึ อรรถกถา วิ.อ. (บาล)ี ๓/๘๗/๕.

ปวารณา (ปวารณา) วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๑๒/๑. ปวารณา มีวธิ กี ารทาปวารณาแต่ละอย่างมีคาอธิบาย
เพม่ิ เตมิ ดังน้ี ๑. ถ้าในวัดหน่ึง มีภิกษุอยู่ ๕ รูป ภิกษุ ๔ รูปนาปวารณาของรูปหนึ่งมา
ต้ังคณญัตติแล้วปวารณา หรือถา้ มภี กิ ษุ ๔ รูปอยู่ในวัด ภิกษุ ๓ รูป นาปวารณาของรูป
หน่ึงมา ตงั้ สังฆญตั ติแล้วปวารณา หรอื ถา้ มภี กิ ษุ ๓ รูปอยู่ในวัด ภิกษุ ๒ รูปนาปวารณา
ของรปู หนึ่งมา ตั้งสังฆญัตติแล้วปวารณา นี้ชื่อว่าการทาปวารณาแบ่งพวกโดยไม่ชอบ
ธรรม ๒. ถา้ ภิกษุท้งั หมด ๕ รูป ประชุมร่วมกัน ต้งั คณญตั ตแิ ล้วปวารณา ถ้าภกิ ษุ ๔ รปู ๓
รูป หรือ ๒ รูป อยูป่ ระชุมร่วมกนั ตัง้ สังฆญัตติแลว้ ปวารณา น้ีชอื่ ว่าการทาปวารณาพร้อม
เพรียงโดยไมช่ อบธรรม ๓. ถา้ มีภกิ ษุ ๕ รูปอยู่ในวัด ภิกษุ ๔ รูปนาปวารณาของรูปหนึง่ มา
ต้งั สังฆญัตติแลว้ ปวารณา หรือถ้ามีภิกษุ ๔ รูปอยู่ในวัด ภิกษุ ๓ รูปนาปวารณาของรูป
หนงึ่ มา ต้งั คณญัตตแิ ล้วปวารณา หรอื ถา้ มีภกิ ษุ ๓ รูปอยู่ในวัด ภิกษุ ๒ รูปนาปวารณา
ของรปู หนงึ่ มา ต้ังคณญัตตแิ ลว้ ปวารณา น้ชี ื่อว่าการทาปวารณาแบ่งพวกโดยชอบธรรม
๔. ถ้าภิกษุท้งั หมด ๕ รปู ประชมุ ร่วมกนั ตัง้ สงั ฆญตั ตแิ ลว้ ปวารณา ถา้ ภกิ ษุ ๔ รูป หรอื ๓
รปู ประชมุ ร่วมกนั ตัง้ คณญตั ติแลว้ ปวารณา หรอื ถ้าภิกษุ ๒ รูป ปวารณาต่อกัน ภิกษุ ๑
รูป ทาอธษิ ฐาน ปวารณา น้ชี ือ่ วา่ การทาปวารณาพร้อมเพรียงโดยชอบธรรม วิ.อ. (บาลี)
๓/๒๑๒/๑๕.

ปสสุ วาส (อยู่รว่ มกันอย่างปศสุ ตั ว์) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๐๙/๓๓๔. อยู่ร่วมกันอย่างปศุสัตว์ หมายถึง
อย่รู ่วมกันโดยไมม่ ีการถามสุขทุกข์ของกันและกนั เพราะปศุสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่บอกสุข
ทุกข์ทเ่ี กดิ ขน้ึ แกต่ นให้ใครทราบ และไม่ทาปฏสิ ันถารต่อกนั วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๐๙/๑๕.

ปกฺขกิ (ปกั ขกิ ภัต) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๗๓/๑๐๑. ปักขิกภัต คือ ภัตตาหารถวายปักษ์ (๑๕ วัน) ละ ๑
คร้ัง สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๓/๗๑-๗๓/๒๘.

๓๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

ปาฏิปทกิ (ปาฏิปทกิ ภัต) วิ.ม. (ไทย) ๔/๗๓/๑๐๑. ปาฏิปทิกภัต คือ ภัตตาหารถวายในวันแรม ๑
คา่ สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๗๑-๗๓/๒๘.

ปารวิ าสกิ ปาริสุทฺธิทาน (ใหป้ ารวิ าสกิ ปาริสทุ ธิ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๘๓/๒๘๘. ให้ปาริวาสิกปาริสุทธิ
ได้แก่ ใหป้ าริสุทธคิ ้าง หมายถงึ ภกิ ษทุ ้ังหลายน่งั ประชมุ กันดว้ ยประสงค์จะทาอโุ บสถ ขณะ
นั้นเอง ไดม้ ีภิกษุรปู หนง่ึ กล่าววา่ วันน้ี ไม่ควรทาอุโบสถ เพราะฤกษไ์ มด่ ี ดังนเี้ ป็นต้น ภิกษุ
ทัง้ หลาย จึงสละเลกิ ปารสิ ุทธิแลว้ ลุกข้ึน มภี ิกษรุ ปู หน่งึ กลา่ ววา่ ประโยชน์ไดล้ ่วงเลยบุคคล
ผู้มวั แต่รอฤกษ์ยามอยู่ พวกทา่ นจะได้ประโยชน์อะไรจากดวงดาว ภิกษุท้ังหลายจึงตกลง
จะทาสังฆกรรมตอ่ ไป โดยไมต่ ้องนาปารสิ ทุ ธมิ าใหม่ อย่างน้ีไมส่ มควร เพราะปาริสุทธทิ ่ใี ห้
ไวก้ ่อน เปน็ ปาริวาสกิ ปาริสทุ ธิ คือ ปาริสุทธิค้างท่ีให้แล้ว แต่งดไว้ก่อน กงฺขา.อ. (บาลี)
๔๐๓-๔๐.

ปาส (บว่ ง) วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. บว่ ง ในท่ีน้ี หมายถงึ โลภะ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๒/๑.

ปพุ ฺพกรณ (บุพพกรณ์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๕๙/๒๔๑. บพุ พกรณ์ หมายถึง การเตรียมการก่อนที่จะมี
การประชมุ สงฆ์ บุพพกรณ์ของการทาอุโบสถ คือ ๑. กวาดโรงอุโบสถ ๒. จุดประทีป
เตรยี มแสงสวา่ ง ๓. จัดเตรียมนา้ ฉนั น้าใชไ้ ว้ ๔. ปอู าสนะ

ปุพฺพกิจฺจ (บพุ พกิจ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๕๙/๒๔๑. บพุ พกจิ หมายถงึ กจิ เบอื้ งตน้ บุพพกจิ ของการทา
อุโบสถ คอื ๑. นาฉันทะและปารสิ ทุ ธิของภิกษุผู้เป็นไข้ คือ ถ้ามีภิกษุผู้เป็นไข้อยู่ในสีมา
เดยี วกัน ตอ้ งนาความยินยอมและคาปฏญิ ญาว่าตัวเองเปน็ ผูบ้ รสิ ุทธ์ิจากอาบัติของภิกษุผู้
เปน็ ไข้น้นั มาแจง้ ให้สงฆ์ทราบ ๒. บอกฤดู ๓. บอกจานวนภิกษทุ เี่ ขา้ ร่วมประชุม ๔. แจ้ง
การใหโ้ อวาทภกิ ษณุ ี วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑๖๘/๑๓๙, กงฺขา.อ. (บาลี) ๑๑๘-๑๒.

เปยฺยาลมุข (เปยยาลมุข) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๗๗/๒๗๙. เปยยาลมุข หมายถึงนาเลข ๗ คือ ภิกษุ
ประชุมกนั ๔ รปู บา้ ง เกินกวา่ บ้างเป็นตน้ ไปคณู ๒๕ ติกะ ในขอ้ ๑๗๖ เท่ากับ ๑๗๕ ติกะ
แลว้ นาเลข ๔ คือ ภิกษุท่ีอยู่ในอาวาสกับภิกษุที่อยู่ในอาวาสเป็นต้นไปคูณ ๑๗๕ ติกะ
เทา่ กับ ๗๐๐ ตกิ ะ

พทุ ธฺ จกฺขุ (พทุ ธจกั ษุ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔. พุทธจกั ษุ หมายถงึ อนิ ทริยปโรปรยิ ัตตญาณ คือ ปรีชา
หย่งั รคู้ วามย่ิงและความหยอ่ นแห่งอนิ ทรยี ์ของสตั วท์ ั้งหลาย คือ รู้ว่า สัตว์น้ันๆ มีศรัทธา
วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ไหน เพียงใด มีกเิ ลสมาก กเิ ลสน้อย มีความพร้อมที่จะตรัสรู้
หรือไม่ อาสยานสุ ยญาณ คือ ปรชี าหยัง่ ร้อู ัธยาศัย ความมุ่งหมาย สภาพจิตที่นอนอยู่ ขุ.ป.
(ไทย) ๓๑/๑๑๑/๑๗๒,๑๑๓/๑๗.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๓๙

พฺรหฺมจริยนตฺ ราย (อันตรายตอ่ พรหมจรรย์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๕๐/๒๓๐. อันตรายต่อพรหมจรรย์
หมายถึงคนทง้ั หลาย ประสงคจ์ ะใหภ้ กิ ษรุ ูปเดียว หรือหลายรูป เคลื่อนจากพรหมจรรย์
(จะใหส้ ึก) จึงจบั ภิกษเุ หลา่ นัน้ ไว้ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๕๐/๑๓.

พฺราหฺมณ (พราหมณ์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๓๗/๒๑๔. พราหมณ์ ในท่ีน้ีหมายถึงภิกษุขีณาสพ วิ.อ.
(บาล)ี ๓/๑.

พฺราหฺมณ (พราหมณ)์ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑/๓. พราหมณ์ ในที่นี้หมายถึง พระขีณาสพผู้ลอยบาปธรรม
เสยี ได้ วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑/๕.

โพธิรุกฺขมูล (ควงต้นโพธิพฤกษ์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑/๑. ควงต้นโพธิพฤกษ์ ฎีกาอธิบายว่า อภิ-
สมฺพทุ โฺ ธ หุตวฺ า สพฺพป ม โพธิรุกขฺ มูเล วหิ รติ ตรสั รแู้ ลว้ ประทับนั่ง ณ ควงตน้ โพธิพฤกษ์
กอ่ นทอ่ี ื่นทง้ั หมด วมิ ติ.ฏีกา (บาลี) ๒/๑/๑๐.

มนสิการปฏจิ ฺจสมุปฺปาท (มนสิการปฏิจจสมุปบาท) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑/๑. มนสิการปฏิจจสมุปบาท
แปลวา่ พิจารณาโดยถ้วนถี่ ใส่ใจโดยถ้วนถี่ พิจารณาโดยแยบคายซึ่งปฏิจจสมุปบาท คือ
ธรรมทอี่ าศัยกนั และกันแล้วยังธรรมทีเ่ กดิ ร่วมกนั ให้เกิดขน้ึ วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑/๓.

มหาชานยิ (มคี วามเสื่อมมาก) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๑/๑๕. มีความเส่ือมมาก หมายถงึ มคี วามเสื่อมมาก
เพราะเสอ่ื มจากมรรคและผลท่จี ะพงึ บรรลุ เพราะเกิดในอักขณะ คือ อาฬารดาบสตายไป
เกดิ ในอากิญจัญญายตนภพ สว่ นอุททกดาบสตายไปเกิดในเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๐/๑.

มานตฺต (มานัต) วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๖. มานตั เปน็ ชอ่ื วุฏฐานวิธี คือระเบยี บปฏิบัติในการออกจาก
อาบตั สิ งั ฆาทิเสส แปลว่า นบั หมายถึงนบั ราตรี ๖ ราตรี ภกิ ษผุ ูต้ อ้ งอาบัติสังฆาทิเสส ถ้า
ปกปิดไว้ ต้องอยู่ปริวาสเท่าวันท่ีปกปิดก่อน จึงจะขอมานัตได้ แต่ถ้าไม่ได้ปกปิดไว้
สามารถขอมานัตได้แล้วประพฤตมิ านัต ๖ ราตรี กงฺขา.อ. (บาล)ี ๑๗.

มารเสน (มารและเสนา) วิ.ม. (ไทย) ๔/๔/๗. มารและเสนา ในที่นี้หมาย ถึงกามทั้งหลาย วิ.อ.
(บาลี) ๓/๓/.

มุจลินฺท (ต้นมุจลินท์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๕/๘. ต้นมุจลินท์ คือ ต้นจิก พจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๓ หนา้ ๘๖. ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่าTheTree Barringtonia
Acutangula ต้นมุจลนิ ทน์ ้เี ป็นเจา้ แห่งตน้ มุจละ (PALI-ENGLISH DICTIONARY, P.535,
COL. 1, Edited by T.W. RHYS DAVIDS and WILLIAM STEDE)

มคู สูกร (เหมือนสุกรใบ้) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓๒/๒๐๘. เหมอื นสุกรใบ้ หมายถึง สุกรอ้วน วิ.อ. (บาลี)

๔๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

๓/๑๓๒/๑๐.

ยตตฺต (สารวมตน) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๔/๗. สารวมตน หมายถึง มจี ติ มุง่ มน่ั อยู่ในภาวนาหรือสารวมด้วย
ศีลสังวร ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๔/๙.

ยถาธมมฺ (ตามธรรม) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙๙/๑๕๔. ตามธรรม คือ ตามความผดิ ,ตามโทษานุโทษ ในท่ีนี้
ปรบั อาบัติปาจติ ตยี ต์ ามความแห่งสิกขาบทที่ ๕ แห่งสัปปาณกวรรค วิ.มหา. (ไทย) ๒/
๔๐๓-๔๐๔/๕๑๓-๕๑.

ราชภฏ (ราชภฏั ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๙๐/๑๔๕. ราชภัฏ หมายถึงอามาตย์ มหาอามาตย์ ข้าราชการใน
ราชสานกั ผูไ้ ด้รับฐานันดรบางอย่างแล้วหรือยงั ไม่ได้รบั เป็นผ้ทู ี่พระราชาทรงเลีย้ งดว้ ยขา้ ว
และเงินเดือน ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๙๐/๕๗-๕.

ราชายตน (ต้นราชายตนะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖/๙. ต้นราชายตนะ แปลกนั วา่ ไมเ้ กด พจนานุกรม ฉบบั
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ หน้า ๙๕.ชื่อภาษาอังกฤษว่า Buchanania Latifolia
และอธบิ ายเพิม่ เตมิ ว่า เป็นตน้ ไม้หลวง เปน็ ท่ีสิงสถิตของเทพแห่งนางไม้ท้ังหลาย (PALI-
ENGLISH DICTIONARY, P.569, COL. 2, Edited by T.W. RHYS DAVIDS and
WILLIAM STEDE)

ราชายตนกถา (ราชายตนกา) วิ.ม. (ไทย) ๔/๖/๑๐. ราชายตนถกา หมายถึง การสรุปสถานท่ี
สาคัญท่ีพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับหลังจากตรัสรู้แล้วตามนัยแห่งอรรถกถา ดังนี้
สัปด า ห์ ท่ี ๑ ป ร ะทั บอ ยู่ ณ ค วง ต้ น โ พ ธ์ิสั ปด า ห์ท่ี ๒ ปร ะทั บอยู่ ทา ง ทิ ศ
ตะวันออกเฉียงเหนือของต้นโพธิ์ เรียกว่า อนิมิสสเจดีย์สัปดาห์ท่ี ๓ เสด็จจงกรมไปมา
ระหว่างตน้ โพธ์ิกับอนมิ ิสสเจดยี ์ เรียกบรเิ วณนั้นวา่ รตนจงกรมเจดยี ์ สปั ดาหท์ ่ี ๔ ประทับ
อยทู่ างทิศตะวันตกเฉยี งเหนือของตน้ โพธิ์ เรียกบริเวณน้ันว่า รตนฆรเจดีย์ สัปดาห์ที่ ๕
ประทบั อยู่ ณ ตน้ อชปาลนิโครธ อยูห่ ่างไกลออกไป ต้ังอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นโพธิ์
สัปดาหท์ ่ี ๖ ประทบั อยู่ ณ ต้นมจุ ลินท์ อยหู่ ่างไกลออกไป ตั้งอยทู่ างทิศตะวนั ออกเฉียงใต้
ของตน้ โพธ์ิ สปั ดาห์ที่ ๗ ประทบั อยู่ ณ ตน้ ราชายตนะ อย่หู ่างไกลออกไป ตั้งอยู่ทางทิศใต้
ของต้นโพธิ์ วิ.อ. (บาล)ี ๓/๔-๖/๘-๑๒, ข.ุ พทุ ธฺ .อ. (บาล)ี ๔๑๙-๔๒.

ลิงฺค (ลิงค์) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๗๙/๒๘๑. ลิงค์ หมายถึง เครื่องเสนาสนะมีเตียงตั่งเป็นต้นท่ีจัดไว้
เรียบร้อยดี ซงึ่ ทาให้รู้ว่า มีภิกษหุ ลีกเรน้ อยู่ แม้จะไมป่ รากฏกายให้เห็นก็ตาม วิ.อ. (บาลี)
๓/๑๗๙/๑๔๒, สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๑๗๙/๓๔.

วช (คอกโค) วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๐๓/๓๐๙. คอกโค ในที่นี้หมายถึง สถานที่ซ่ึงคนเลี้ยงโคพักอาศัย

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๔๑

ในขณะท่ีต้อนโคไปเลี้ยง ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงคอกโคท่ีประจาอยู่ตาม
หมบู่ ้าน วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๐๓/๑๕.

วิราค (วริ าคะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑/๒. วริ าคะ ในทนี่ ีห้ มายถงึ มรรค วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑/๔.

วิเวก (วเิ วก) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕/๘. วเิ วก ในทนี่ ้ีหมายถึงนิพพานที่สงัดจากอุปธิกิเลส วิ.อ. (บาลี) ๓/
๕/๑.

วุสิตพรฺ หมฺ จริย (อยู่จบพรหมจรรย์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๔/๗. อยู่จบพรหมจรรย์ หมายถึง จบมรรค
พรหมจรรย์ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๔/๙.

เวทนฺตคู (เรียนจบเวท) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๔/๗. เรยี นจบเวท หมายถงึ บรรลุมรรคญาณ ๔ (โสดาปัตติ
มรรค, สกทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค, อรหตั มรรค ) หรือเรียนจบเวท ๓ วิ.อ. (บาลี) ๓/
๔/๙.

เวยยฺ ากรณ (เวยยากรณะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๔. เวยยากรณะ ในท่ีน้ีหมายถึง พระสูตรที่ไม่มี
คาถา ประกอบด้วยคาถามคาตอบ สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๑๖/๒๒. เป็นองค์อันหน่ึงใน
นวังคสัตถุศาสน์ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๒.

เวสิยาโคจร (มหี ญงิ แพศยาเปน็ โคจร) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘๗/๑๓๙. มีหญิงแพศยาเป็นโคจร หมายถึง
ไปมาหาสหู่ ญิงแพศยาด้วยปรารถนาความเป็นมิตร มีความคุ้นเคยกับหญิงแพศยา วิ.อ.
(บาล)ี ๓/๘๗/๕๑, สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๓/๘๗/๒๙.

สฆภตตฺ (สงั ฆภัต) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๗๓/๑๐๑. สงั ฆภตั คือ ภัตตาหารถวายสงฆ์ท้ังหมด สารตฺถ.ฏีกา
(บาล)ี ๓/๗๑-๗๓/๒๘.

สตตฺ าหกรณีย (สตั ตาหกรณยี ะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๘๗/๒๙๖. สตั ตาหกรณียะ แปลว่า ธุระท่ีจะพึงทา
ใหเ้ สรจ็ ไดภ้ ายใน ๗ วัน หมายถึง ธรุ ะเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดไปค้างแรมที่อื่นได้ใน
ระหว่างพรรษา เป็นเวลา ๗ วนั วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๗/๑๔.

สทฺธวิ ิหาริก (สัทธวิ หิ าริก) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๕/๘๑. สัทธวิ หิ ารกิ แปลว่า ผอู้ ยู่ดว้ ยกัน เป็นคาเรียกผู้ที่
ได้รบั อุปสมบท ถ้าอปุ สมบทตอ่ พระอุปชั ฌายะรปู ใด กเ็ ปน็ สทั ธิวหิ าริกของพระอุปัชฌายะ
รูปนน้ั พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์ พุทธศกั ราช ๒๕๔๖ หน้า ๒๗.

สนตฺ ปท (บทอนั สงบ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๕๕/๖๗. บทอันสงบ ในท่ีน้ีหมายถึง บทคือพระนิพพานท่ีมี
สภาพสงบ ท่ีชอ่ื ว่าไมม่ ีอุปธิ เพราะไม่มีกิเลสุปธิ (อุปธิคือกิเลสท้ังหลาย) ท่ีช่ือว่าไม่แปร
เปน็ อยา่ งอน่ื เพราะไมม่ ีชาติ ชรา และมรณะ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๕๕/๒๗, สารตถฺ .ฏกี า (บาลี)

๔๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

๓/๕๕/๒๖.

สพพฺ ปาส (บว่ งทงั้ ปวง) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๓/๔๑. บ่วงทัง้ ปวง ในท่ีน้ีหมายถึง กามคุณทั้งปวง บ่วงที่
เป็นของทิพย์ หมายถึง กามคุณของเทพ บ่วงที่เป็นของมนุษย์ หมายถึง กามคุณของ
มนุษย์ สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๓๓/๒๔.

สภาคาปตฺติ (สภาคาบัติ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖๙/๒๕๖. สภาคาบัติ แปลว่า อาบัติท่ีมีวัตถุเสมอกัน
หมายถงึ ต้องอาบัตอิ ยา่ งเดียวกนั เช่นภิกษุ ๒ รูปต้องอาบัติปาจติ ตยี ์ เพราะฉนั โภชนาหาร
ในเวลาวกิ าลเหมือนกัน อาบัติท่ีภิกษุต้องเพราะความผิดเดียวกันอย่างนี้ เรียกว่า สภา
คาบตั ิ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๖๙/๑๔.

สภกิ ขกุ าวาส (อาวาสทีม่ ีภิกษุ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘๑/๒๘๔. อาวาสทีม่ ีภิกษุ หมายถึง ในอาวาสใด มี
ภิกษุพอท่ีจะทาอุโบสถอยู่ ไม่พึงออกจากอาวาสนั้นไปสู่อาวาสที่ไม่มีภิกษุพอที่จะทา
อโุ บสถ วิ.อ. (บาลี) ๓/๑๘๑/๑๔.

สมล (คนทม่ี มี ลทนิ ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘/๑๒. คนท่ีมมี ลทิน ในทีน่ หี้ มายถึงครูท้ัง ๖ วิ.อ. (บาลี) ๓/๘/
๑.

สมานวสฺสิก (ปรารณามีพรรษาเท่ากัน) วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๓๔/๓๗๔. ปวารณามีพรรษาเท่ากัน
หมายถงึ ให้ภิกษทุ ่ีมีพรรษาเท่ากนั ปวารณาพร้อมกัน ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๓๔/๑๕.

สมานสวาสสีมา (สมานสงั วาสสีมา) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔๐/๒๑๖. สมานสังวาสสีมา หมายถึง เขต
แดนท่ีมสี งั วาสเสมอกนั , เขตแดนท่ีสงฆ์สมมติเพื่อเข้าร่วมอุโบสถปวารณาและสังฆกรรม
อืน่ ด้วยความพร้อมเพียงกัน วิ.อ. (บาล)ี ๑/๕๕/๒๗๘, กงขฺ า.ฏีกา (บาลี) ๑๕๒,๑๕.

สมฺปชานมุสาวาท (สัมปชานมสุ าวาท) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓๔/๒๑๐. สัมปชานมุสาวาท คือ พูดเท็จ
ทง้ั ทร่ี ู้ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒-๓/๑๘๖-๑๘.

สรณ (สรณะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๔/๔๓. สรณะ หมายถึง ส่ิงท่ที าลาย ขจัดปัดเปุา บรรเทาทุกขภ์ ยั และ
กเิ ลส การถอื พระรตั นตรยั วา่ เป็นสรณะก็เพ่ือเป็นเครื่องช่วยทาลายขจัดปัดเปุาทุกข์ภัย
และกิเลสต่างๆ ในจิตใจใหห้ มดส้นิ ข.ุ ขุ.อ. (บาล)ี ๖.

สลากภตฺต (สลากภตั ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๗๓/๑๐๑. สลากภัต คือ ภัตตาหารที่นิมนต์ให้จับสลากแล้ว
ถวาย (ตามสลาก) สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๓/๗๑-๗๓/๒๘.

สามนฺตภิกฺขุ (ภกิ ษใุ กลเ้ คยี ง) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๗๐/๒๕๗. ภิกษุใกลเ้ คยี ง หมายถึง ภิกษุที่ชอบพอกัน
วิ.อ. (บาลี) ๓/๑๗๐/๑๔.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๔๓

สามกุ ฺกสิกธมมฺ เทสนา (สามกุ กังสิกธรรมเทศนา) วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๖/๓๓. สามุกกังสิกธรรมเทศนา
หมายถงึ พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงรู้ด้วยพระองค์เอง ทรงเห็นด้วย
สยมั ภญู าณ ไม่ท่วั ไปแกผ่ ้อู ่ืน คือมิได้รบั คาแนะนาจากผู้อื่น ทรงรู้ลาพังพระองค์เองก่อน
ใครในโลก วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๙๓/๑๘๑, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๖/๒๓๗, ที.สี.ฏีกา
(อภินว.) (บาล)ี ๒/๒๙๘/๓๕.

สลี วิปนฺน (มีสลี วิบัติ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๒๖. มีสีลวิบัติ หมายถึง เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิกและ
อาบตั ิสังฆาทิเสส ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๘๔/๔๘-๔๙, สารตถฺ . ฏกี า (บาลี) ๓/๘๔/๒๙.

สุขมุ าล (สุขมุ าลชาติ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๕/๓๑. สขุ ุมาลชาติ หมายถึง ผไู้ ม่มที ุกข์ องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/
๓๙/๒๑๑, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๓๙/๑๔.

สตุ (สุตบท) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๕๐/๒๒๘. สุตบท แปลว่า ได้ฟังแล้ว เช่น สุตา เตรส สงฺฆาทิเสสา
ธมมฺ า : ธรรมคือสังฆาทเิ สส ๑๓ ทา่ นได้ฟังแล้ว ใช้ในการสวดปาติโมกข์ย่อ ๕ แบบ ใน
แบบที่ ๑ เม่ือยกนิทานขึ้นแสดงสอบถามย้าถึงความบริสุทธิ์ของแต่ละท่าน ในธรรม
เหล่านัน้ ๆ แล้วประกาศอุทเทสท่ีเหลอื โดยสตุ บทอยา่ งนั้นว่า ธรรม คือปาราชิก ๔ ธรรม
คอื สังฆาทเิ สส ๑๓ ธรรมคอื อนิยต ๒ ธรรมคอื นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ธรรมคือปาจิตตีย์
๙๒ ธรรมคือปาฏเิ ทสนียะ ๔ ธรรมคือเสขยิ ะ ๗๕ ธรรมคอื อธกิ รณสมถะ ๗ ท่านท้ังหลาย
ได้ฟังแลว้ สิกขาบทของพระผู้มีพระภาค นั้นมีเท่านี้ มาในสตู ร นบั เนื่องในสตู ร มาส่วู าระที่
จะยกขึน้ แสดงเป็นขอ้ ๆ ตามลาดับทุกก่ึงเดอื น พวกเราทั้งหมดพึงพร้อมเพรียงกันร่วมใจ
กนั ไมว่ ิวาทกนั ศึกษาในสูตรน้ันเทอญ สตุ บทในอกี ๔ วิธีที่เหลือ มีนัยเหมือนกับวิธีที่ ๑
เพยี งแต่ยกข้นึ แสดงจบตอนใดแล้ว ก็ไม่ตอ้ งประกาศตอนน้ันไว้ในสุตบทอีก วิ.อ. (บาลี)
๓/๑๕๐/๑๓.

เสข าณ (ญาณอันเป็นเสขะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๘/๓๕. ญาณอันเปน็ เสขะ หมายถงึ ญาณของบุคคล
ระดบั พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๓๖/๗๙ องฺ.ทุก.อ.
(บาลี) ๒/๓๖/๓.

โสส (โรคมองคร่อ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๘/๑๔๒. โรคมองคร่อ คือโรคหลอดลมโปุงพอง มีเสมหะแห้งอยู่
ในชอ่ งหลอดลม ทาใหม้ อี าการไอเรื้อรัง ห้ามผู้ทเี่ ป็นโรคนบี้ วชเปน็ ภกิ ษุ พจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หน้า ๘๔.

หุหุกชาติก (พราหมณห์ ุหกุ ชาติ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๔/๗. พราหมณ์หุหุกชาติ คือ ชอบตวาดผู้อื่นวา่ หึ หึ
พราหมณ์นี้มที ิฏฐิว่า ส่ิงทเี่ หน็ แลว้ เปน็ มงคล ชอบเที่ยวตวาดผอู้ น่ื ว่า หึ หึ เพราะความถือ
ตวั และเพราะความโกรธ ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๔/๑๗๖-๑๗.

๔๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุม้ ครอง

อชปาลนิโครฺธ (ต้นอชปาลนโิ ครธ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๔/๗. ต้นอชปาลนิโครธ แปลว่า ต้นไทร ตรงกับ
ภาษาอังกฤษวา่ Banyan หรือ Indian Fig-tree ไมจ้ าพวกไทรหรือกร่างของอนิ เดีย พวก
คนเลีย้ งแพะชอบมาน่ังท่ีร่มเงาของต้นนโิ ครธน้ี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าอชปาลนิโครธ วิ.อ.
(บาลี) ๓/๔/๘.

อญฺ ติตฺถิย (อัญเดียรถีย์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๓๒/๒๐๖. อัญเดียรถีย์ หมายถึง ผู้นับถือลัทธิอื่น
นอกจากพระพุทธศาสนา ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๑๐.

อฏฺ งฺคกิ มคฺค (มรรคท่ีประกอบด้วยองค์ ๘) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๓/๒๑. มรรคที่ประกอบด้วยองค์ ๘
หมายถึงองค์มรรคแตล่ ะข้อมนี ัยพสิ ดาร ดงั น้ี ๑. สัมมาทฏิ ฐิ หมายถึงเห็นอริยสัจ ๔ เห็น
ไตรลกั ษณ์ หรอื เหน็ ปฏิจจสมุปบาท ๒. สมั มาสงั กัปปะ หมายถึงความนึกคิดในทางสละ
ปลอดจากกาม ความนึกคิดปลอดจากพยาบาท และ ความนึกคิดปลอดจากการ
เบยี ดเบยี น ๓. สัมมาวาจา หมายถึงพดู คาสัตย์ ไม่พดู คาสอ่ เสยี ด พดู คาออ่ นหวาน พูดสิ่ง
มีสาระ ๔. สัมมากัมมันตะ หมายถึงไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย ไม่ลักทรัพย์ ไม่
ประพฤติผิดในกาม ๕. สัมมาอาชีวะ หมายถึงเว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาอาชีพ
๖. สัมมาวายามะ หมายถงึ เพียรระวงั ไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น เพียรกาจัดความช่ัวที่เกิดข้ึน
แลว้ เพียรทา ความดีใหเ้ กิด เพยี รรักษาความดีไว้ ๗. สมั มาสติ หมายถงึ พจิ ารณาเหน็ กาย
ในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม (สติปัฏฐาน) ๘. สมั มาสมาธิ หมายถงึ
ฌาน ๔ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๒๙/๒๖๐,๔๐๒/๓๓๗, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๒๕/๓๙๖,๓๗๕/
๔๒๕-๔๒๖, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๙-๑๘๑,๔๘๖/๓๙๕,๔๘๘-๔๙๒/๓๙๗-
๔๐๐,๔๙๘-๔๙๙/๔๐๒,๕๐๔/๔๐.

อนฺตมิ วตฺถุ (อันตมิ วตั ถุ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖๔/๒๔๖. อันตมิ วตั ถุ หมายถงึ อาบตั ปิ าราชิก กงฺขา.ฏีกา
(บาลี) ๑๖.

อโนตตฺทห (สระอโนดาต) วิ.ม. (ไทย) ๔/๔๓/๕๓. สระอโนดาต มีขนาดยาว กว้าง และลึก ๕๐
โยชน์ มอี าณาบรเิ วณโดยรอบ ๑๕๐ โยชน์ ตั้งอย่ใู นปาุ หมิ พานต์แวดล้อมด้วยยอดเขา ๕
ยอด คือ สุทัสสนกฏู จติ รกูฏ กาฬกูฏ คันธมาทนกูฏ และเกลาสกูฏ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๑/
๒.

อปรปปฺ จฺจย (ไม่ตอ้ งเชอื่ ผ้อู นื่ ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘/๒๕. ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น หมายถึงไม่ต้องอาศัยผู้อ่ืน
คอยแนะนาพร่าสอนในคาสอนของพระศาสดา ไม่ได้หมายถึงว่า ไม่ต้องเช่ือใครเลย
(อปรปฺปจจฺ โย-ไม่มใี ครอน่ื อกี เป็นปจั จัย) สารตฺถ.ฏีกา (บาล)ี ๓/๑๘/๒๒.

อปโลกน (อปโลกน์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๙๘/๑๕๒. อปโลกน์ หมายถึง การบอกกล่าวแก่ที่ประชุมเพื่อให้

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๔๕

รบั ทราบร่วมกัน หรอื การสอบถามขอความเห็นชอบร่วมกันในกิจของสงฆ์เช่นสอบถาม
การปลงผม การอุปสมบท การบรรพชา ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๙๘-๙๙/๖.

อปฺปฏิวตฺตยิ (ใครๆ ในโลกให้หมุนกลับไม่ได้) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๗/๒๔. ใครๆ ในโลกให้หมุนกลับ
ไม่ได้ หมายความวา่ ธรรมนั้นไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าไม่จริง เพราะพระผู้มีพระภาคผู้เป็น
เจ้าของธรรมตรัสรู้มาโดยชอบ ธรรมนั้นเป็นธรรมยอดเยยี่ มไมม่ ธี รรมใดเทียบได้ เนตฺติ.อ.
(บาลี) ๙/๖๓, เนตฺต.ิ ว.ิ (บาล)ี ๙/๙.

อปฺปรชกขฺ ชาตกิ (ผ้มู ีธุลีในดวงตานอ้ ย) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘/๑๒. ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย หมายถึง มีธุลี
คือราคะ โทสะ โมหะ ปิดบงั ดวงตาปญั ญามเี บาบาง วิ.อ. (บาล)ี ๓/๘-๙/๑๔-๑.

อพฺภาน (อพั ภาน) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๖. อัพภาน เป็นช่ือวุฏฐานวิธีท่ีเป็นขั้นตอนสุดท้าย ภิกษุผู้
ประพฤตมิ านัตครบ ๖ ราตรแี ล้ว ขออัพภานจากสงฆ์ ๒๐ รูป เมื่อสงฆ์สวดอัพภานแล้ว
ถอื วา่ ภิกษผุ ตู้ อ้ งอาบตั ิสังฆาทิเสสน้ันบริสุทธิ์ สมควรอยู่ร่วมกับภิกษุสงฆ์ต่อไป กงฺขา.อ.
(บาล)ี ๑๗๘-๑๗.

อภิธมฺม (อภิธรรม) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๒๘. อภธิ รรม หมายถงึ หลักการท่ีว่าด้วยการกาหนดนาม
รปู ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๘๔/๔.

อภวิ นิ ย (อภวิ ินยั ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๒๘. อภวิ นิ ัย หมายถงึ หลักการในพระวินัยปิฎกทั้งส้ิน วิ.อ.
(บาลี) ๓/๘๔/๔.

อภิสมาจารกิ สิกฺขา (อภสิ มาจาริกาสิกขา) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๒๘. อภิสมาจาริกาสิกขา หมายถึง
หลกั การศกึ ษาเกี่ยวกบั ขอ้ วตั รปฏบิ ัติ ท่ีแสดงไว้ในหมวดขนั ธกวัตร วิ.อ. (บาลี) ๓/๘๔/๔.

อวกกฺ ารปาติ (ถาดสาหรบั ใส่อาหารที่เหลือ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๐๙/๓๓๑. ถาดสาหรับใส่อาหารที่
เหลอื หมายถงึ ภาชนะสาหรับใส่อาหารส่วนที่เหลือซึ่งนาออกจากบาตร สารตฺถ. ฏีกา
(บาลี) ๓/๔๖๖/๔๓.

อเสขสลี กฺขนฺธ (สีลขันธ์อันเป็นอเสขะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๒๓. สีลขันธ์อันเป็นอเสขะเป็นต้น
หมายถงึ สีล สมาธิ ปญั ญา ผล และปจั จเวกขณญาณของพระอรหันต์ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๘๔/
๔.

อาการ (อาการ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๗๙/๒๘๑. อาการ หมายถึง อาจารสัณฐาน คอื มีอาจาระ ซ่ึงทาให้
รู้ว่ามีขอ้ วัตรมนั่ คง เช่นจดั เครื่องเสนาสนะมีเตยี ง ตงั่ เปน็ ต้นไวเ้ รยี บรอ้ ยดี วิ.อ. (บาลี) ๓/
๑๗๙/๑๔๒, สารตฺถ.ฏกี า (บาล)ี ๓/๑๗๙/๓๔.

๔๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง

อาจารวิปนฺน (อาจารวบิ ัติ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๒๖. อาจารวบิ ตั ิ หมายถงึ เปน็ ผู้ต้องอาบัติ ๕ กอง
ทีเ่ หลือ (คืออาบตั ิถลุ ลัจจัย อาบตั ิปาจติ ตยี ์ อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติทุกกฏ และอาบัติ
ทุพพาสติ ) และยังมิได้พ้นจากอาบตั ิ วิ.อ. (บาลี) ๓/๘๔/๔๘-๔๙, สารตถฺ . ฏีกา (บาลี) ๓/
๘๔/๒๙.

อาทพิ ฺรหมฺ จริยกสกิ ฺขา (อาทิพรหมจรยิ กาสกิ ขา) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๒๘. อาทิพรหมจริยกาสิกขา
หมายถึง หลักการศึกษาเก่ียวกบั บญั ญัติเป็นเบ้อื งตน้ แห่งพรหมจรรย์ ไดแ้ ก่ สกิ ขาบทท่ีมา
ในภิกขุปาติโมกข์และภิกขุนีปาติโมกข์ เป็นเสกขบัญญัติท่ีสงฆ์ต้องยกขึ้นแสดงทุกครึ่ง
เดือน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๘๔/๔๙, สารตฺถ.ฏีกา (บาล)ี ๓/๘๔/๒๙.

อารามวตฺถุ (อารามวัตถุ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๘๘/๒๙๗. อารามวัตถุ หมายถงึ พื้นที่ท่ีมิได้ปลูกพืชหรือ
ไมก้ อ แต่ปรบั เป็นพืน้ ที่ไว้ อาจลอ้ มร้ัวไวห้ รอื มไิ ด้ล้อม กาหนดไว้เป็นสถานที่สวนดอกไม้
เป็นต้น วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑๐๕/๓๗.

อาลย (อาลัย) วิ.ม. (ไทย) ๔/๗/๑๑. อาลัย คอื กามคุณ ๕ ทส่ี ตั วพ์ ัวพนั ยินดี เพลิดเพลิน วิ.อ. (บาลี)
๓/๗/๑. เป็นช่ือเรียกกิเลส ๒ อย่างคอื กามคุณ ๕ ตัณหาวจิ ริต ๑๐๘ สารตฺถ.ฏกี า (บาลี)
๓/๗/๑๘., อภิ.วิ. (ไทย)๓๕/๙๗๓-๙๗๖/๖๖๒-๖๖๓.

อาวุโส (อาวุโส) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๒/๑๘. อาวุโส ในคร้ังพุทธกาล เป็นคาที่คนทั่วไปใช้กล่าวนา
ทักทายร้องเรยี กกัน ไม่แสดงความเคารพ เปน็ พิเศษ ก่อนจะเสดจ็ ดับขนั ธปรินิพพาน พระ
ผมู้ ีพระภาคพทุ ธเจ้ารบั ส่ังห้ามพระผนู้ ้อยเรียกพระผู้ใหญ่ โดยใชค้ าว่า อาวโุ ส และหา้ มพูด
กับผู้ใหญ่โดยออกช่ือท่านน้ันท่านน้ี แต่ควรเรียกพระผู้ใหญ่โดยใช้คาว่า ภันเต หรือ
อายสั มา ส่วนพระผู้ใหญ่ควรเรยี กพระผู้น้อยว่า อาวุโส หรือโดยการระบุช่ือนั้นช่ือนี้ ที.ม.
(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖.

อณิ ายิก (ลูกหน้ี) วิ.ม. (ไทย) ๔/๙๖/๑๕๐. ลูกหน้ี ในท่ีน้ีหมายเอา ท้ังหนี้ที่บุคคลนั้นๆ ยืมมาเอง
และหน้ีทบ่ี ิดาและปูุของบุคคลนั้นยืมไวก้ อ่ นแล้ว บคุ คลผูม้ หี นี้เช่นนี้ไม่พึงให้บรรพชา แต่
ถา้ มีญาตแิ ละคนมีสายสัมพนั ธร์ บั ภาระหนีแ้ ทนจงึ ให้บรรพชาได้ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๙๖/๖.

อกุ ฺเขปนยี (อุกเขปนียกรรม) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๖/๘๖. อกุ เขปนียกรรม คือ การกันออกจากหมู่ การ
ยกออกจากหมู่ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๔๑๕-๔๑๗/๓๐๒-๓๐.

อุตฺติฏฺ ปตฺต (ยื่นบาตรสาหรับเที่ยวบิณฑบาต) วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๔/๗๙. ยื่นบาตรสาหรับเที่ยว
บิณฑบาต หมายถงึ อาการท่ียืนยื่นบาตรออกไปซึ่งคนสมัยนั้นถือว่า ไม่มีมารยาทและ
บาตรที่ยนื่ ไปเหนอื อาหารและนา้ ดื่มน้ันเปน็ ของเดน คอื เคยใช้เป็นภาชนะฉันข้าวมาแล้ว

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๔๗

ถอื ว่าสกปรกจงึ ตาหนิ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๖๔-๕/๓๒, ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๖๔-๕/๓., สารตฺถ.ฏีกา
(บาล)ี ๓/๖๔/๒๘๑, วมิ ต.ิ ฏกี า (บาลี) ๒/๖๔/๑๓๐-๑๓๑.

อุทเฺ ทส (อทุ เทส) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๗๙/๒๘๑. อทุ เทส หมายถึง เครอ่ื งเสนาสนะมเี ตียงตั่งเป็นตน้ ท่ีจัด
ไว้เรยี บร้อยดี ซงึ่ เปน็ เหตุใหอ้ ้างไดว้ า่ ภกิ ษเุ หล่านนั้ มีบริขารอยา่ งนี้ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๗๙/
๑๔๒. สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๓/๑๗๙/๓๔๐. ปาจิตฺยา-ทิโยชนา. (บาลี) ๑๗๙/๓๑๓.

อทุ ฺเทส (อทุ เทส) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๘๗/๑๔๐. อทุ เทส หมายถึง การเรยี นบาลี วิ.อ. (บาล)ี ๓/๘๗/๕.

อทุ ฺเทสภตฺต (อุทเทสภัต) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๗๓/๑๐๑. อุทเทสภตั คอื ภัตตาหารถวายภิกษุ ๒ - ๓ รูป
สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๓/๗๑-๗๓/๒๘.

อุปชฺฌายสโมธานคต (ไปเข้าร่วมกับอุปชั ฌาย์) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๓/๑๒๒. ไปเข้าร่วมกับอุปัชฌาย์
หมายถึง นิสสัยของสทั ธิวิหาริกระงับจากอาจารย์ เพราะได้เห็นหรือได้ยินเสียงอุปัชฌาย์
เชน่ ได้เหน็ อุปชั ฌายก์ าลงั บณิ ฑบาตรและอุปชั ฌาย์ก็เห็นสัทธิวิหาริกนั้นด้วย หรือได้ยิน
พระอปุ ชั ฌายแ์ สดงธรรมอยู่ จาไดว้ า่ เป็นเสียงของอุปัชฌาย์ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๘๓/๔.

อุปติสสฺ (อุปติสสะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๒/๗๗. อปุ ติสสะ หรือพระสารีบตุ ร หลงั จากบวชได้ ๑๕ วัน ไป
พักอาศยั อยู่ ณ ถ้าสกู รขาตา เขตกรงุ ราชคฤห์ พร้อมกับพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์
ทรงแสดงเวทนาปรคิ คหสูตรแกห่ ลานชายของท่าน ช่ือทีฆนขปริพาชก พระสารีบุตรส่ง
ญาณไปตามแนวพระสูตร บรรลุอรหัตผล ถึงท่ีสุดแห่งสาวกบารมีญาณตามท่ีต้ังความ
ปรารถนาไว้ สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๖๒/๒๗๗-๒๗.

อปุ ธิ (อุปธิ) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕๕/๖๗. อุปธิ ในท่นี ี้หมายถงึ ขันธปู ธิ (อุปธคิ ือขันทั้งหลาย) ซ่ึงเป็นท่ีตั้ง
แห่งทุกข์ สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๓/๕๕/๒๖.

อปุ สมฺปทาเปกฺข (อุปสมั ปทาเปกขะ) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๒๓/๑๙๐. อปุ สมั ปทาเปกขะ คือ ผู้มุ่งจะบวช
เป็นภกิ ษุ ผปู้ ระสงค์จะบวช กงขฺ า.ฏีกา (บาล)ี ๑๖.

อุปสมฺปนฺน (อุปสมบท) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๐๐/๑๗๕. อุปสมบท ในท่ีนี้หมายถึงรวมถึงบรรพชาด้วย
คอื ห้ามบรรพชาและอุปสมบทแกอ่ นปุ สมั บนั ที่ไปเขา้ รีตเดยี รถยี ์ วิ.อ. (บาลี) ๓/๑๑๐/๘.

อุโปสถิก (อโุ ปสถิกภัต) วิ.ม. (ไทย) ๔/๗๓/๑๐๑. อุโปสถิกภัต คือ ภัตตาหารถวายในวันอุโบสถ
สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๗๑-๗๓/๒๘.

อภุ โตพยญฺชนก (อภุ โตพยญั ชนก) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖๔/๒๔๗. อภุ โตพยัญชนก แปลว่า คน ๒ เพศ
คอื มีสัญลักษณเ์ พศชาย และเพศหญิง วิ.อ. (บาลี) ๒/๒๘๕/๓.

๔๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง

อภุ โตพยฺชนก (อภุ โตพยัญชนก) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๑๖/๑๘๐. อุภโตพยัญชนก หมายถึง คนมี ๒ เพศ
คอื สญั ลักษณเ์ พศหญิง และสัญลักษณ์เพศชาย เพราะผลกรรมท่ีทาไว้ วิ.อ. (บาลี) ๓/
๑๑๖/๙.

อุภยปาติโมกฺข (ปาติโมกข์ทั้งสอง) วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๕/๑๓๖. ปาติโมกข์ทั้งสอง หมายถึง ภิกขุ
ปาติโมกข์และภิกขุนปี าตโิ มกข์ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๘๕/๕.

เอกปลลฺ งกฺ (บัลลังกเ์ ดยี ว) ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑/๑. บัลลงั ก์เดียว หมายถึง น่ังขัดสมาธิโดยไม่ลุกข้ึนเลย
ตลอด ๗ วนั ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑.

เอหิภิกขุ (จงมาเป็นภิกษุเถิด) วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๘/๒๕. จงมาเป็นภิกษุเถิด หมายถึงคาประกาศ
อนุมัติการบรรพชาอุปสมบทแก่ผู้ขอบวชคือเท่ากับประกาศว่า จงมารับการบรรพชา
อปุ สมบทตามทข่ี อ สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๓/๑๘/๒๒.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๔๙

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก

พระวนิ ัยปฎิ กเล่มที่ ๕

กปปฺ ยิ การก (กัปปิยการก) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๗๔/๗๒. กัปปิยการก หมายถึง ผู้ทาหน้าที่จัดของท่ี
สมควรแก่ภิกษุบรโิ ภค, ผูป้ ฏบิ ตั ิภกิ ษุ, ลกู ศษิ ย์พระ วิ.อ. (บาลี) ๒/๕๓๘-๕๓๙/๑๘๒-๑๘.

กามโภคี (ผู้บรโิ ภคกาม) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๔๖/๑๔. ผู้บริโภคกาม หมายถึง ผู้ครองเรือน องฺ.จตุกฺก.อ.
(บาลี) ๒/๑๕/๒๙.

กาลกิ (กาลกิ ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๐๕/๒๔๐. กาลกิ แปลว่า เน่ืองดว้ ยกาล ข้ึนกับกาล เป็นช่ือของส่ิงที่
จะกลืนกินให้ล่วงลาคอเข้าไปซึ่งพระวินัยบัญญัติให้ภิกษุรับประเคนเก็บไว้ และฉันได้
ภายในเวลาท่ีกาหนด แบง่ เป็น ๔ อยา่ ง คอื ๑. ยาวกาลิก รบั ประเคนไว้และฉันได้ช่วั เวลา
เชา้ ถึงเทีย่ งของวนั นนั้ เช่น ข้าว ปลา เนื้อ ผัก ผลไม้ ขนมต่างๆ ๒. ยามกาลิก ของรับ
ประเคนไว้และฉันได้ชว่ั วนั หนึ่งกบั คืนหนึ่ง คือ ปานะ (น้าดื่ม) ๘ ชนิด หรือน้าอัฏฐบาน
ได้แก่ น้ามะม่วง นา้ หว้า น้ากลว้ ยมเี มลด็ น้ากลว้ ยไม่มเี มล็ด น้ามะซาง นา้ ลกู จันทน์ (หรอื
องนุ่ ) นา้ เหง้าอุบล นา้ มะปราง (หรือล้ินจ)่ี ๓. สัตตาหกาลกิ ของรบั ประเคนไว้แล้ว ฉันได้
ภายในเวลา ๗ วัน คอื เภสชั ท้ัง ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น นา้ มนั น้าผ้งึ นา้ ออ้ ย ๔. ยาวชีวกิ
ของรับประเคนแลว้ ฉนั ไดต้ ลอด ไม่จากัดเวลา คอื สิ่งของที่เป็นยารักษาโรค วิ.อ. (บาลี)
๒/๒๕๖/๓๗๘-๓๗.

กาสยิ (กาสยิ ะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๓๘/๑๙๙. กาสยิ ะ หรอื กาสี เป็นชื่อมาตราเงิน ๑ กาสิยะหรือกาสี
เท่ากับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ครึง่ กาสยะหรือก่ึงกาสี จึงเท่ากบั ๕๐๐ กหาปณะ วิ.อ. (บาลี)
๓/๓๓๘/๒๐๘, วมิ ติ.ฏกี า (บาล)ี ๒/๓๓๘-๓๓๙/๒๕.

กสุ ิ (ผา้ กุสิ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผา้ กุสิ คือ ผา้ ยาวท่ตี ิดขอบจีวรทั้งด้านยาวและด้านกว้าง
(อนุวาต) วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๑.

ก ินุทฺธาร (กฐินเดาะ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๑๐/๑๕๐. กฐนิ เดาะ หมายถงึ การรื้อไม้สะดึงท่ีทาจีวร เป็น
การสิ้นสุดการทาจวี ร โดยอรรถซึ่งเปน็ ความหมายในท่ีนี้ หมายถึงการสิ้นสุดสิทธิท่ีจะได้
อานิสงส์กฐิน ๕ ประการของภิกษุ ด้วยมาติกาสาเหตุประการใดประการหน่ึงใน ๘
ประการตามพระพทุ ธบญั ญัติในขอ้ นี้ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๑๐-๓๑๑/๑๒๘-๒๐.

๕๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

โกเสยยฺ (ผา้ โกเชาว์) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๓๗/๑๙๙. ผ้าโกเชาว์ คือ ผ้าทาด้วยขนแพะ ผ้าโกเชาว์ผืน
ใหญไ่ มค่ วร ส่วนผ้าโกเชาว์ปกติท่วั ไปจึงควร วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๓๗/๒๐.

คมกิ ภตฺต (คมิกภัต) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๕๐/๒๒๑. คมิกภตั คือ อาหารสาหรับภกิ ษทุ เ่ี ตรียมจะเดนิ ทาง
ไป วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๒๕/๓๗๘-๓๘.

คลิ านภตฺต (คิลานภตั ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๕๐/๒๒๑. คลิ านภตั คอื อาหารสาหรับภิกษุไข้ วิ.อ. (บาลี)
๓/๓๒๕/๓๗๘-๓๘.

คลิ านเภสชชฺ (คิลานเภสชั ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๕๐/๒๒๑. คิลานเภสัช คือ เภสัชสาหรับภิกษุไข้ วิ.อ.
(บาลี) ๓/๓๒๕/๓๗๘-๓๘.

คลิ านุปฏฺ ากภตฺต (คิลานุปัฏฐากภัต) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๕๐/๒๒๑. คิลานุปัฏฐากภัต คือ อาหาร
สาหรบั ภกิ ษผุ พู้ ยาบาลภิกษุไข้ วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๒๕/๓๗๘-๓๘.

คิหิวกิ ต (คหิ วิ ิกตั ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๕๖/๓๐. คิหิวิกัต หมายถึง เคร่ืองใช้สอยของพวกคฤหัสถ์ วิ.อ.
(บาล)ี ๓/๒๕๒/๓๐.

คีเวยฺยก (ผ้าคีเวยยกะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผา้ คีเวยยกะ คือ ผ้าท่ีเอาด้ายเย็บเล็มทาบเข้า
มาทีหลังเพื่อทาให้แน่นหนา บรเิ วณทีพ่ ันรอบคอ วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๕/๒๑.

โคจร (ทางโคจร) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๘๐/๒๖๐. ทางโคจร หมายถึง หนทางท่ีจะไปบิณฑบาต สถานท่ี
เทีย่ วไปเพ่ือก้อนข้าว วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๕๗/๓๙.

ฆรทินฺนกาพาธ (อาพาธโดนยาแฝด) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๖๙/๖๑. อาพาธโดนยาแฝด หมายถึง โรคท่ี
เกิดขนึ้ เพราะนา้ หรอื ยาที่หญิงแมเ่ รอื นให้ ซงึ่ ดม่ื กินเขา้ ไปแล้วจะตกอยใู่ นอานาจของหญิง
น้นั วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๖๙/๑๗๕, สารตฺถ. ฏีกา (บาลี) ๓/๒๖๙/๓๖๗, วิมต.ิ ฏีกา (บาลี) ๒/
๒๖๙/๒๔.

จตุกปฺปิยภูมิ (กัปปิยภูมิ ๔) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๙๖/๑๒๐. กัปปิยภูมิ ๔ เป็นช่ือเรียกสถานท่ีเก็บ
โภชนาหารสาหรับภิกษุสงฆ์มี ๔ ประการคือ ๑ อุสสาวนันติกา แปลว่า กัปปิยภูมิท่ี
ประกาศใหไ้ ดย้ นิ กัน ไดแ้ ก่ กฎุ ีท่ภี กิ ษุทัง้ หลายตั้งใจจะให้เป็นกปั ปิยกุฎี เป็นเรือนที่ใช้เป็น
ห้องครวั มาตั้งแต่แรก คอื เมอื่ ขณะทากช็ ว่ ยกันทาโดยประกาศให้ได้ยินทั่วกัน ๓ คร้ังว่า
กปฺปิยกุฏึ กโรม แปลว่า เราท้ังหลายทากัปปิยกุฎี ๒. โคนิสาทิกา แปลว่า กัปปิยภูมิ
เหมือนกับท่ีโคจ่อม ได้แก่ สถานท่ีไม่มรี ้วั ล้อม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ วัดท่ีไม่มีร้ัว
ลอ้ ม เรยี กวา่ อารามโคนสิ าทิกา กฎุ ที ่ไี มม่ รี ัว้ ลอ้ ม เรียกว่า วิหารโคนิสาทิกา โดยความก็
คอื เรอื นครวั เลก็ ๆ ทไ่ี ม่ลงหลกั ปักฐานม่ันคง สามารถเคลื่อนย้ายได้ ๓. คหปติกา เรือน

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๕๑

ของคหบดี ได้แก่ เรือนของพวกชาวบ้าน เขาถวายให้ภิกษุสงฆ์เพ่ือใช้เป็นกัปปิยกุฎี
สถานที่นน้ั อาจเคยเป็นทอี่ ยู่ของภกิ ษุมาก่อน โดยสวดประกาศให้สงฆท์ ราบด้วยญัตติทุติย
กรรมวาจาว่า จะใชท้ แี่ หง่ นเี้ ป็นกปั ปิยกุฎีหรอื กปั ปยิ ภมู ิ ๔. สัมมติกา แปลว่า กัปปิยภูมิที่
สงฆส์ มมติ ไดแ้ ก่ สถานทห่ี รอื กฎุ ที ่ภี ิกษทุ ้ังหลายตกลงกันเลือกใช้เป็นกัปปิยกุฎี สถานที่
น้ันอาจเคยเป็นท่ีอยู่ของภิกษุมาก่อน โดยสวดประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติย -
กรรมวาจาว่า จะใช้ท่ีแห่งนเ้ี ป็นกัปปยิ กฎุ ีหรือเป็นกัปปิยภูมิ วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๙๕/๑๘๒-
๑๘.

จาตุทฺทปี กิ (ทวปี ทงั้ ๔) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๙/๒๑๙. ทวีปทั้ง ๔ ได้แก่ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป
อตุ ตรกรุ ทุ วีป และปุพพวเิ ทหทวปี อง.ฺ ตกิ . (ไทย) ๒๐/๘๑/๓๒.

ฉฏฺ าน (ฐานะ ๖) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๔๔/๙. ฐานะ ๖ หมายถึง พระอรหัตผล พระอรหัตผล ช่ือว่า
การออกจากกาม (เนกขมั มะ) เพราะออกไปจากกิเลสทุกอย่าง ชื่อว่าความสงัด (ปวิเวก)
เพราะสงัดจากกิเลสเหลา่ นั้น ชื่อวา่ ความไม่เบียดเบียน (อัพยาปัชชะ) เพราะไม่มีความ
เบยี ดเบียน ช่ือวา่ ความส้นิ อุปาทาน (อปุ าทานักขยะ) เพราะเกิดข้ึนในท่ีสุดแห่งความสิ้น
อปุ าทาน ชอ่ื วา่ ความส้นิ ตัณหา (ตัณหกั ขยะ) เพราะเกิดขึ้นในที่สดุ แห่งความสนิ้ ตณั หา ช่อื
วา่ ความไม่ลุ่มหลง (อสัมโมหะ) เพราะไมม่ คี วามลุ่มหลง ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๒๔๓/๑๖๔-๑๖.

ชงฺเฆยฺยก (ผ้าชังเฆยยกะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผา้ ชงั เฆยยกะ คอื ผ้าทีเ่ อาด้ายเย็บทาบเข้าที
หลัง บริเวณทปี่ ดิ แข้ง วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๑.

ติณณฑฺ ปู ก (เสวียนหญา้ ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๗๑/๖๖. เสวียนหญ้า คือของใช้ชนิดหนง่ึ ทาด้วยหญ้า ถัก
หรือมดั เปน็ วงกลมมกั มีหู ๒ ข้างสาหรับหวิ้ ใช้รองก้นหมอ้ ที่หุงต้มด้วยเตาฟืนหรือเตาถ่าน
พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน ๒๕๒.

เถยฺยสวาสก (คนเถยยสงั วาส) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๗๓/๒๕๐. คนเถยยสงั วาส มี ๓ จาพวก คือ ๑. คน
ลักเพศ คอื คนที่ปลอมบวชเปน็ ภิกษุ เข้าไปอยู่ในวัดแต่ไม่ปฏิบัติวัตรของภิกษุ ๒.คนลัก
สงั วาส คือคนทีบ่ วชเป็นสามเณร ไปพูดเทจ็ ในตา่ งถิ่นว่า ตนบวชเปน็ ภิกษมุ า ๑๐ พรรษา
๒๐ พรรษา แล้ว และปฏิบตั วิ ตั รของภกิ ษุ ๓.คนลักทง้ั เพศและสังวาส คือคนที่ปลอมบวช
เป็นภิกษุ เขา้ ไปอยใู่ นวัดและปฏิบัติวัตรของภิกษุ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๑๐/๘๒-๘.

ทมถสมถ (ทมถะและสมถะ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๕๗/๓๔. ทมถะและสมถะ หมายถึงปัญญาและสมาธิ
และหมายถึงความสงบกายและความสงบจิตบ้าง วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๕๗/๑๗. ทมถะและ
สมถะสงู สดุ หมายถงึ ปญั ญาวมิ ุตติและเจโตวิมตุ ติอันเปน็ โลกุตตระ สารตฺถ. ฏีกา. (บาลี)
๓/๒๕๗/๓๖.

๕๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

ทิฏ ธมฺมิกตฺถ (ประโยชน์ในปัจจุบัน) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๔๒/๒. ประโยชน์ในปัจจุบัน หมายถึง
ประโยชนใ์ นโลกน้ี เชน่ การทาไร่ไถนา การค้าขายท่ีสุจริตชอบธรรม ตลอดถึงการเลี้ยง
มารดาบิดาโดยถกู ตอ้ งชอบธรรม วิ.อ. (บาล)ี ๓/๒๔๒/๑๖.

ทสิ าปาโมกฺข (ทศิ าปาโมกข์) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๒๙/๑๘๑. ทิศาปาโมกข์ หมายถึง มีช่ือเสียงปรากฏ
เป็นท่ีรูจ้ ัก หรอื เป็นหวั หน้าอยใู่ นทิศทง้ั ปวง ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๒๙/๒๐.

ธมมฺ ปฏริ ูปก (ธรรมปฏิรูป) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๘๒/๒๖๖. ธรรมปฏริ ูป แปลว่า ธรรมปลอม, ธรรมเทียม
, ธรรมท่ีไม่แท้ ในคัมภีร์อรรถกถา กล่าวถึงสัทธรรมท่ีไม่แท้ ที่ช่ือว่าสัทธรรมปฏิรูป ๒
อยา่ ง คือ ๑. อธิคมสทั ธรรมปฏริ ปู คอื ธรรมท่เี ปน็ เหตุเศร้าหมองแหง่ วิปัสสนาญาณ เช่น
โอภาส ญาณ ปตี ิ ปสั สทั ธิ สขุ เป็นตน้ ทเ่ี ปน็ เหตใุ หจ้ ิตหว่นั ไหว ๒. ปรยิ ัตติสทั ธรรมปฏิรูป
หมายถึง สิ่งท่ไี ม่ใช่พระพุทธพจน์ ได้แก่คัมภีร์ต่อไปน้ี คือ คัมภีร์ คุฬหวินัย คัมภีร์คุฬห
เวสสนั ดรชาดก คัมภีรค์ ฬุ หมโหสธชาดก คัมภีร์วรรณปิฎก คัมภีร์องคุลิมาลปิฎก คัมภีร์
เวทลั ลปิฎก คัมภีร์รฏั ฐปาลคชั ชติ ะ คมั ภรี ์อาฬวกคัชชิตะ ท่ีไมไ่ ดย้ กขึ้นสู่การสังคายนา ๓
ครัง้ อยู่นอกเหนอื จากกถาวัตถุ ๕ เหล่าน้ี ธาตุกถา อารัมมณกถา อสุภกถา ญาณกถา
วชิ ชากรณั ฑกะ ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๕๖/๒๒๓-๒๒. เปน็ คาสอนของอธรรมวาทีนิกายต่างๆ
ทแี่ สดงชว่ งก่อนสงั คายนาครั้งที่ ๓ และมีการสอบถามเม่ือคราวสังคายนาครั้งท่ี ๓ ช่ือ
คมั ภีรเ์ หลา่ นม้ี กี ล่าวถงึ ในอรรถกถาประกอบ ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๕๔-๕.

ธุวยาคุ (ธุวยาค)ู ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๕๐/๒๒๑. ธุวยาคู คือ ขา้ วต้มที่ถวายเป็นประจา วิ.อ. (บาลี) ๓/
๓๒๕/๓๗๘-๓๘.

นตถฺ กุ มฺม (การนัตถ์ุ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๖๖/๕๓. การนัตถ์ุ หมายถึง การใช้น้ามันที่ปรุงเป็นยาหยอด
จมูก ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๗/๙๑, ม.ม.อ. (บาลี) ๓.

นหาปิตปุพพฺ (ชา่ งกัลบก) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๐๓/๑๓๖. ช่างกัลบก คือ ช่างตัดผม ช่างโกนผม องฺ.
เอกกฺ .อ. (บาลี) ๑/๒๒๘/๒๗.

นิพฺพฏฺฏพีช (ผลไม้ท่ีใช้เพาะพันธุ์ไม่ได้) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๗๘/๗๘. ผลไม้ที่ใช้เพาะพันธ์ุไม่ได้
หมายถงึ ผลไม้ที่มีเมลด็ อ่อน ไมส่ ามารถใหเ้ กิดหน่อได้ วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๗๙/๑๗.

เนกขฺ มฺมานสิ ส (อานสิ งส์แหง่ การออกจากกาม) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๔๒/๔. อานิสงส์แห่งการออกจาก
กาม ในทีน่ หี้ มายถึง อานิสงส์แห่งการออกจากกามสัญญา การออกจากกาม วิตก การ
ออกจากกามปรฬิ าหะ (ความเรา่ รอ้ นเพราะกาม) การออกจากความขวนขวาย ได้แก่คุณ
ในการบรรพชาและในฌานเป็นตน้ สารตถฺ . ฏกี า (บาลี) ๓/๒๖/๒๓๖-๒๓.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๕๓

ปกตตฺต (ปกตัตตภิกษ)ุ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๙๔/๒๘๒. ปกตัตตภิกษุ ในท่ีนี้หมายถึงภิกษุผู้มีศีลไม่วิบัติ
ไม่ตอ้ งอาบัติปาราชิก ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๙๔/๒๔.

ปญฺจกมฺม (กรรมทั้ง ๕ อย่าง) วิ.ม. (ไทย) ๕/๔๑๗/๓๐๕. กรรมทั้ง ๕ อย่าง เรียกโดยรวมว่า
นิคคหกรรม ความหมายและสาเหตุท่ีทาให้ภิกษุถูกลงนิคคหกรรมแต่ละอย่างคือ
๑. ตชั ชนียกรรม แปลว่า กรรมอนั สงฆ์พึงทาแก่ภิกษผุ คู้ วรขู่ เชน่ สงฆ์ลงตัชชนียกรรมแก่
ภกิ ษผุ กู้ อ่ ความบาดหมาง กอ่ ความทะเลาะ ก่อความววิ าท ก่อเร่ืองอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ใน
สงฆ์ ๒. นิยสกรรม แปลว่า กรรมคือการถอดยศ สงฆ์ลงนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้โง่เขลา ไม่
ฉลาด มีอาบตั ิมาก ไม่มมี ารยาท ๓. ปพั พาชนยี กรรม แปลว่า กรรมอนั สงฆ์พึงทาแก่ภิกษุ
ผู้ควรขับไล่ เช่น สงฆ์ลงปัพพาชนียกรรม แก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายตระกูล มีมารยาทเลว
ทราม ๔. ปฏสิ ารณยี กรรม แปลว่า กรรมอนั สงฆ์พึงทาแกภ่ กิ ษุผคู้ วรให้กลับระลึกได้ เช่น
สงฆ์ทาปฏสิ ารณียกรรมแกภ่ ิกษผุ ดู้ ่าบริภาษคฤหัสถ์ ๕. อกุ เขปนียกรรม แปลว่า กรรมอัน
สงฆพ์ งึ ทาแกภ่ ิกษผุ ้คู วรยกเสียจากหมู่ สงฆ์ลงอกุ เขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้แม้ต้องอาบัติก็ไม่
ปรารถนาจะเหน็ วา่ เป็นอาบัติ แม้ตอ้ งอาบัติแลว้ ก็ไม่ปรารถนา จะทาคืน (แสดง) อาบัติ
แมม้ ีทฏิ ฐิบาปกไ็ มป่ รารถนาจะสละทิฏฐบิ าปนั้น ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๑-๗๔/๑-๑๕.

ปณฑฺ ก (บัณเฑาะก์) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๗๓/๒๔๙. บัณเฑาะก์ ในท่ีน้ีหมายถึงบัณเฑาะก์ ๕ ประเภท
คอื ๑. คนที่ดบั ความใคร่เรา่ รอ้ น (เพราะกาม) ของตนโดยการใช้น้าอสุจิผู้อื่นราดตัวเอง
ช่อื ว่าอาสติ ตบณั เฑาะก์ ๒. คนท่เี มอื่ เกดิ ความริษยาข้ึน ถ้าเห็นผู้อ่ืนประพฤติล่วงเกินกัน
ความเร่าร้อนจึงระงับ ช่ือว่าอุสูยบัณเฑาะก์ ๓. คนท่ีถูกตัดองคชาต ช่ือว่าโอปักกมิก
บณั เฑาะก์ ๔. คนท่ีเปน็ บัณเฑาะก์ในเวลาข้างแรมด้วยอานุภาพอกุศลวิบาก แต่ในเวลา
ข้างขึ้น ความเร่าร้อนย่อมระงับไป ชื่อว่าปักขบัณเฑาะก์ ๕. คนท่ีเป็นบัณเฑาะก์โดย
กาเนดิ ช่ือวา่ นปุงสกบณั เฑาะก์ ในบัณเฑาะก์ ๕ ประเภทนี้ อาสิตตบัณเฑาะก์ และอุสูย
บัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา ส่วนบัณเฑาะกอ์ กี ๓ ประเภทท่ีเหลือ ห้ามบรรพชา อนึ่งใน
กุรุนทีกล่าววา่ ปกั ขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาเฉพาะในปักษ์ท่ีเป็นบัณเฑาะก์ (ข้างแรม)
ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๐๙/๘๑-๘.

ปณฺฑุโรคาพาธ (โรคผอมเหลือง) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๖๙/๖๒. โรคผอมเหลือง คือ โรคดีซ่าน วิ.อ.
(บาล)ี ๗/๑๙๒/๕๑.

ปริปณุ ณฺ โกสโกฏฺ าคาร (มีโภคสมบัติมาก) วิ.ม. (ไทย) ๕/๔๕๘/๓๔๓. มีโภคสมบัติมาก หมายถึง
มีคลังสมบตั ิ คลงั ธญั ชาติ คลงั ผา้ บรบิ ูรณ์ มกี าลงั มาก หมายถึง มีกองทัพ ๔ คือ กองทัพ
ช้าง กองทพั ม้า กองทพั รถ พลเดนิ เท้า สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๓/๔๖๓/๔๒.

๕๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง

ปลิโพธ (ปลโิ พธ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๒๕/๑๗๓. ปลิโพธ หมายถึง ความกังวลที่เป็นเหตุให้กฐินยังไม่
เดาะ คอื ยงั รักษาอานสิ งส์กฐินและเขตแห่งจวี รกาล ตามกาหนดไวไ้ ด้ ถ้าภิกษุหลกี ไปโดย
คดิ ว่า จะไมก่ ลับมาอกี จีวรปลโิ พธขาดก่อน ในขณะทอี่ ยู่ภายในสมี านน่ั เอง อาวาสปลิโพธ
ขาดในขณะเมื่อกา้ วล่วงสีมาไปแล้ว วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๑๑/๑๙.

ปวตตฺ มส (เนือ้ สัตว์ท่มี ีขาย) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๘๐/๘๑. เน้อื สตั ว์ทมี่ ีขาย หมายถงึ เนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว
ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๒๘๐/๑๗.

ปสาทนีย (เปน็ ท่ตี ั้งแห่งความเลื่อมใส) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๕๗/๓๔. เป็นท่ีต้ังแห่งความเลื่อมใส ใน
อรรถกถาอธิบายวา่ เหตทุ ่ีพระผู้มพี ระภาคทรงเปน็ ท่ีต้ังแห่งความเลื่อมใส เพราะทรงถึง
พรอ้ มดว้ ยพระรัศมีแหง่ พระสรีระอนั นาความเล่อื มใสมารอบด้าน เพราะประดับด้วยมหา
ปุริสลกั ษณะ ๓๒ ประการ อนพุ ยัญชนะ ๘๐ ประการ และพระเกตุมาลามีพระรัศมีแผ่
ออกขา้ งละวา นาความเลื่อมใสมาแก่ชนผู้ทัสสนาและเพราะถึงพร้อมด้วยกองธรรมอัน
ประกอบด้วยหมู่แห่งคุณที่ประมาณมิได้ เป็นต้นว่า พลญาณ ๑๐ เวสารัชชญาณ ๔
อสาธารณญาณ ๖ และพุทธธรรมเฉพาะอยา่ ง ๑๘ ประการ วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๕๗/๑๗๐,
ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๕/๑๘๘-๑๘๙, ขุ.อุ.อ. (บาลี) ๑๐/๙๐, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/
๒๕๗/๓๖.

ปาเ ยฺยก ชาวเมอื งปาฐา วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๐๖/๒๔๕. ชาวเมอื งปาฐา หมายถึง ผูอ้ ยูใ่ นเมืองปาฐา ใน
อรรถกถาใชว้ ่า ปาเ ยยกะ หมายถึงผอู้ ยู่ในเมืองปาฐา ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้น
โกศล คาน้ีเปน็ ช่ือเรียกภทั ทวัคคียเ์ ถระทั้งหลาย ซ่ึงเป็นพ่ีน้องร่วมบิดาเดียวกับพระเจ้า
โกศล ในบรรดาทา่ นเหล่าน้ัน ผ้เู ปน็ พี่ใหญ่ เปน็ พระอนาคามี คนท่ีเป็นน้องสุดท้อง เป็น
พระโสดาบัน ไมม่ ีใครเปน็ พระอรหันต์หรือปุถุชน วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๖/๑๙.

ปาปณิก (ผ้าทต่ี กตามร้าน) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๐๙/๑๔๙. ผ้าทต่ี กตามรา้ น คอื ผา้ เกา่ ที่ตกอยู่ข้างประตู
ร้านตลาด ซง่ึ มีผูเ้ กบ็ มาถวาย ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๐๙/๑๙.

ปาวาร (ผ้าปาวาร) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๓๗/๑๙๘. ผ้าปาวาร หมายถงึ ผ้าห่มใหญ่ อาจเป็นผ้าฝูายมีขน
หรอื ผ้าชนดิ อ่ืนก็ได้ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๓๗/๒๐.

ปรุ ิสยตุ ตฺ (ท่ีเทยี บโคเพศผู้) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๕๓/๒๖. ทเ่ี ทียบโคเพศผู้ อรรถกถาอธิบายว่า ภิกษุท่ีใช้
ภาชนะทเ่ี ทียบโคเพศผู้ คนที่ขบั ยานพาหนะจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ ไม่ต้องอาบัติ วิ.อ.
(บาล)ี ๓/๒๕๓/๑๖.

พาหนฺต (ผ้าพาหันตะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผ้าพาหันตะ คือ ผ้าท้ัง ๒ ด้าน (ของจีวร) ท่ี

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๕๕

ภกิ ษเุ ม่อื ห่มจีวรขนาดพอดี จะม้วนมาพาดไวบ้ น วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๕/๒๑.

ภงฺโคทก (นา้ ต้มใบไม้ชนิดตา่ งๆ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๖๗/๕๗. น้าต้มใบไม้ชนิดต่างๆ คือ น้าต้มใบไม้
นานาชนิด พงึ ใชใ้ บไม้และนา้ ราดตวั ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๒๖๗/๑๗.

โภชชฺ ยาคุ (ข้าวต้มข้น) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๘๓/๙๐. ข้าวต้มข้น ในที่น้ีหมายถึง ข้าวต้มท่ีมีลักษณะ
อยา่ งขา้ วสกุ สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๒๘๓/๓๖.

มณฺฑล (ผ้ามณฑล) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผ้ามณฑล คอื ผา้ มบี ริเวณกว้างใหญ่ในแต่ละตอน
ของจีวร ๕ ตอน (จีวร ๕ ขณั ฑ)์ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๔๕/๒๑.

มหาเสท (การรมใหญ่) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๖๗/๕๗. การรมใหญ่ หมายถงึ เอาถ่านเพลิงใส่หลุมจนเต็ม
เอาดนิ ร่วนและทรายเปน็ ตน้ ปดิ ไว้ ลาดใบไม้นานาชนดิ ทับลงไป เอาน้ามันทาตัวนอนบน
หลมุ นน้ั รมรา่ งกายโดยการพลกิ กลบั ไปมา ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๖๗/๑๗๔-๑๗.

มาตคุ าม (มาตุคาม) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๕๐/๒๒๓. มาตคุ าม คอื ผ้หู ญิง ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๒๘๕/๓๑.

มุตตฺ หรฏี ก (น้ามตู ร) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๖๙/๖๒. น้ามตู ร ในทนี่ หี้ มายถงึ มูตรโค วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๖๙/
๑๗.

โลณโสวรี ก (ยาดองโลณโสวรี กะ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๗๓/๖๙. ยาดองโลณโสวรี กะ ได้แก่ ยาท่ีปรุงด้วย
สว่ นประกอบนานาชนิด เชน่ มะขามปอู มสด สมอพเิ ภก ธัญชาตทิ ุกชนดิ ถั่วเขียว ข้าวสุก
ผลกลว้ ย หน่อหวาย การะเกต อินทผลัม หน่อไม้ ปลา เนื้อ น้าผึ้ง น้าอ้อย เกลือ โดยใส่
เครอื่ งยาเหลา่ นใ้ี นหมอ้ ปิดฝามิดชิด เก็บดองไว้ ๑ วัน ๒ วัน หรอื ๓ วัน เมื่อ ยานสี้ กุ ได้ที่
แลว้ จะมีรสและสีเหมอื นผลหวา้ เป็นยาแก้โรคลม โรคไอ โรคเร้ือน โรคผอมเหลือง (ดี
ซา่ น) โรครดิ สีดวงเป็นตน้ ในกาลภายหลงั ภัต คือเทีย่ งวนั ไปกฉ็ นั ได้ วิ.อ. (บาลี) ๑/๑๙๒/
๕๑๘-๕๑.

วสฺสิกสาฎิก (ผา้ วัสสิกสาฎก) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๕๐/๒๒๑. ผ้าวัสสิกสาฎก คือ ผ้าอาบน้าฝน วิ.อ.
(บาลี) ๓/๓๒๕/๓๗๘-๓๘.

วตถฺ กิ มฺม (วัตถิกรรม) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๗๙/๗๙. วัตถิกรรม ในที่น้ีหมายถึงการใช้หนังหรือผ้าผูกรัด
หวั รดิ สดี วงทท่ี วารหนัก ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๒๗๙/๑๗.

วิวฏฺฏ (ผ้าววิ ัฏฏะ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผ้าววิ ัฏฏะ คือ ตอน (ขัณฑ)์ ของผา้ ท่อี ยู่ตรงกลางซึ่ง
เยบ็ ผ้ามณฑลและอฑั ฒมณฑลเขา้ ด้วยกัน วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๑.

สตถฺ กมฺม (สตั ถกรรม) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๗๙/๗๘. สตั ถกรรม คือการผา่ ตัดดว้ ยศัสตรา การบง่ ดว้ ยเข็ม

๕๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

หรอื หนาม การตัดดว้ ยกรรไกร สะเกด็ หนิ หรอื ใชเ้ ล็บหยิกในท่ีลับ วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๗๙/
๑๗.

สนถฺ าคาร (สันถาคาร) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๙๐/๑๐๘. สันถาคาร มีความหมาย ๒ นัย คือ หมายถึง
อาคารท่สี ร้างขึ้นเพอ่ื เปน็ ท่ีพักผ่อนสาหรับมหาชน สรา้ งขึ้นทใี่ จกลางเมือง คนที่อยู่รอบๆ
ทง้ั ๔ ทิศสามารถมองเหน็ ได้ คนท่มี าจากทิศทั้ง ๔ จะพักผ่อนทอี่ าคาร นี้ก่อนที่จะไปพัก
ในทส่ี บายสาหรับตน นัยท่ี ๒ หมายถงึ อาคารท่ีสร้างขนึ้ เพ่อื ใช้เปน็ ที่ประชุมพิจารณาราช
กจิ สาหรับราชตระกูล ในที่นี้หมายถึงนัยท่ี ๒ องฺ.อฏฺฐก.อ. (บาลี) ๓/๑๒/๒๒๙-๒๓๐,
อง.ฺ อฏฺฐก. (ไทย) ๒๓/๑๒/๒๓๐-๒๓. เขยี นว่า สัณฐาคาร ก็มี เช่น ที.ม. (บาล)ี ๑๐/๘๑๑/
๑๓.

สมพฺ าธ (วนุ่ วาย) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๕๘/๓๗. วุ่นวาย ในท่นี ี้หมายถึง วุ่นวายอยู่กับกรณียกิจน้อยใหญ่
ข.ุ อุ.อ. (บาลี) ๔๖/๓๓.

สาธวุ ิหารี (สาธุวิหารี) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๔๖๔/๓๕๕. สาธุวิหารี หมายถึงผู้เพียบพร้อมด้วยปฐมฌาน
ฯลฯ ด้วยผลสมาบัติ ขุ.จ.ู (ไทย) ๓๐/๑๓๒/๔๓.

สามเณร (สามเณร) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๓/๒๐๘. สามเณร ในท่ีน้ี หมายเอาสามเณรท่ีอวดตัวเองว่า
เป็นใหญ่ ไมช่ ่วยทากจิ ทพี่ งึ ทาแกภ่ กิ ษุเหล่าอื่นมุ่งแต่จะเรียนบาลีและอรรถกถา ทาวัตร
ปฏบิ ตั ิแกอ่ ุปชั ฌาย์อาจารยเ์ ท่านัน้ ไม่ทาแก่คนอื่น สามเณรเหล่านี้ ควรให้ส่วนแบ่งคร่ึง
เดยี ว ส่วนสามเณรที่ทากิจของสงฆ์ทั้งก่อนและหลังภัตร ควรแบ่งให้เท่ากับภิกษุ อน่ึง
กรณีท่กี ล่าวถึงนเี้ ปน็ เรอ่ื งอกาลจีวรทีเ่ ก็บไว้ในเรือนคลังเท่าน้ัน ส่วนกาลจีวรมีพระพุทธ
บัญญตั ิให้แบง่ ใหเ้ ท่ากับภกิ ษุ วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๔๓/๒๑.

สามกุ ฺกสกิ ธมมฺ เทสนา (สามุกกงั สกิ ธรรมเทศนา) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๔๒/๔. สามุกกังสิกธรรมเทศนา
หมายถงึ ธรรมเทศนาทพี่ ระพุทธเจ้าท้ังหลายทรงรู้ด้วยพระองค์เอง ทรงเห็นด้วยสยัมภู
ญาณ ไมท่ ่วั ไปแก่ผู้อ่นื คอื มไิ ดร้ ับการแนะนาจากผอู้ ่ืน ทรงร้ลู าพังพระองค์เองก่อนใครใน
โลก วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๙๓/๑๘๑, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๖/๒๓๗, ที.สี.ฏีกา (อภินว)
(บาลี) ๒/๒๙๘/๓๕.

สารทิกาพาธ (อาพาธที่เกิดในฤดูสารท) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๖๐/๔๓. อาพาธที่เกิดในฤดูสารท
หมายถึง ไขเ้ หลือง (หรือโรคดีซ่าน) เพราะในฤดูสารท (ฤดใู บไม้รว่ ง) ภิกษุท้ังหลายเปียก
ชุ่มด้วยนา้ ฝนบา้ ง เดินย่าโคลนบ้าง แสงแดดแผดกลา้ บ้าง ทาให้น้าดขี องภกิ ษุทั้งหลายขัง
อยูแ่ ตใ่ นถุงน้าดี ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๖๐/๑๗.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๕๗

สเิ วยฺยก (ผ้าสไิ วยกะ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๓๕/๑๙๔. ผา้ สิไวยกะ เป็นผ้าที่ชาวแคว้นอุตตรกุรุใช้ห่อศพ
ไปทงิ้ ไวใ้ นปุาชา้ พวกนกหัสดลี งิ ค์คาบซากศพพร้อมท้ังผ้านั้นไปท่ียอดเขาหิมาลัย ดึงผ้า
ออกแล้วกินซากศพ พวกนายพรานเหน็ ผา้ นัน้ จึงนามาถวายพระเจ้าปัชโชต วิ.อ. (บาลี)
๓/๓๓๕/๒๐.

สีลพฺพตปรามาส (สีลัพพตปรามาส) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๔๔/๑๐. สีลัพพตปรามาส คือความยึดถือว่า
บคุ คลจะบรสิ ทุ ธ์หิ ลุดพน้ ได้ดว้ ยศลี และพรต เปน็ เพียงความยึดถือที่อิงอาศัยศีลและพรต
วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๔๓/๑๖.

สจุ ิ (คนบรสิ ุทธ์ิ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๕๘/๓๗. คนบริสทุ ธ์ิ ในท่นี ้ีหมายถงึ คนผู้มีความประพฤติทางกาย
เปน็ ตน้ บริสุทธ์ิสม่าเสมอ ขุ.อ.ุ อ. (บาลี) ๔๖/๓๓.

สสุ ุกาวส (มนั เหลวปลาฉลาม) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๖๒/๔๕. มันเหลวปลาฉลาม บางอาจารย์ว่า จระเข้
สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๒๖๒/๓๖. ฉบบั PALI TEXT SOCIETY แปลว่า จระเข้ (Book of
the discipline past 4 P. 271) มหาวรรคฉบับภาษาพมา่ ว่า ปลาโลมา

อกปปฺ กต (ทาพินทุ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๐๘/๑๔๘. ทาพนิ ทุ คือการทาจุดเปน็ วงกลมอยา่ งใหญ่เท่าแวว
ตานกยงู อย่างเล็กเทา่ หลงั ตัวเลอื ด ที่มุมจีวรด้วยสีเขยี ว สตี มหรอื สีดาคล้า เพ่ือทาให้จีวร
เสียหรือทาตาหนิ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๓๖๘-๓๖๙/๔๑. ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๓๖๘-๓๖๙/๔๙๔.

อกปฺปยิ (อกัปปิยะ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๗๔/๗๑. อกัปปิยะ ในท่ีน้ีหมายถึง ของที่ภิกษุไม่สมควรจะ
บรโิ ภค วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๒๑/๓๔.

อจจฺ าลทธฺ วรี ยิ (ปรารภความเพียรอย่างยิ่ง) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๔๓/๖. ปรารภความเพียรอย่างยิ่ง
หมายถงึ ประกอบความเพียรในสัมมัปปธาน สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๘๔/๒๙. คือระดม
ความเพยี รอย่างเต็มท่ี สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๓/๒๔๓/๓๕.

อฑฺฒกสุ ิ (ผา้ อัฑฒกุสิ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผา้ อฑั ฒกสุ ิ คอื ผ้าส้ันทแี่ ทรกอยู่เป็นตอนๆ ใน
ระหวา่ งผ้ายาว วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๑.

อฑฺฒมณฺฑล (ผ้าอฑั ฒมณฑล) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผ้าอัฑฒมณฑล คือ ผ้ามีบริเวณเล็กๆ
วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๑.

อตถฺ ตก น (กรานกฐนิ ) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๐๖/๑๔๖. กรานกฐิน แปลว่า ขึงไม้สะดึง (กราน = ขึง +
กฐิน = ไมส้ ะดงึ ) ในที่นหี้ มายถึงกรรมวิธีทาจวี รเพ่ือครองกฐนิ โดยภกิ ษุทงั้ หลายผพู้ ร้อมใจ
กันมอบผ้าทจ่ี ะทาจีวรให้แกภ่ กิ ษรุ ูปหนึ่งในนามของสงฆ์ ภิกษุรปู นน้ั ขึงสะดงึ แล้วนาผ้านั้น
ทาบลงบนไมส้ ะดึงตดั เย็บเป็นจวี รเสรจ็ แล้วและอธษิ ฐานเป็นจีวรครอง แล้วบอกให้ภิกษุ

๕๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

เหลา่ น้นั ทราบเพ่ืออนโุ มทนา ภิกษุผทู้ าเช่นน้ีเรียกวา่ ผู้กรานกฐนิ ภกิ ษผุ ู้อนโุ มทนาก็จะได้
อานสิ งส์กฐนิ ๕ ประการ เช่นเดยี วกบั ผูก้ รานกฐนิ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๐๖/๑๙๔-๑๙.

อธมมฺ วาที (อธรรมวาที) วิ.ม. (ไทย) ๕/๔๕๗/๓๔๒. อธรรมวาที ในท่ีนี้หมายถึง ภิกษุผู้ประพฤติ
ตามภกิ ษผุ ูถ้ ูกสงฆล์ งอุกเขปนยี กรรม วิ.อ. (บาล)ี ๓/๔๕๗/๒๔.

อธมิ ตุ ตฺ (น้อมไป) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๔๔/๙. น้อมไป หมายถึง บรรลุอย่างประจักษ์ชัด สารตฺถ.ฏีกา
(บาล)ี ๓/๒๔๔/๓๕.

อนธิฏฺ ต (ไม่ต้ังใจ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๑๕/๑๕๕. ไม่ตั้งใจ คือมิได้กาหนดว่า จะกลับ จะไม่กลับ
สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๓/๓๑๒/๔๐.

อนุปนตี (มิได้นอ้ มตนเขา้ ไป) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๔๕/๑๓. มไิ ด้น้อมตนเขา้ ไป ในที่นหี้ มายถึง มิได้น้อม
ตนเขา้ ไปด้วยการแสดงใหป้ รากฏวา่ เราเปน็ พระอรหันต์ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๔๕/๑๖.

อนวุ าต (อนุวาต) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๐๘/๑๔๘. อนวุ าต คือผ้าขอบจีวรท้ังด้านยาวทั้งด้านกว้าง วิ.อ.
(บาล)ี ๓/๓๔๕/๒๑.

อนวุ วิ ฏฺฏ (ผา้ อนุวิวฏั ฏะ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔. ผา้ อนวุ วิ ฏั ฏะ คอื ผา้ ๒ ตอน (ขณั ฑ์) ที่อยู่ ๒
ดา้ นของจีวร วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๕/๒๑.

อนฺติมวตฺถุ (อันตมิ วัตถุ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๗๓/๒๔๙. อนั ตมิ วตั ถุ ไดแ้ ก่ อาบัตปิ าราชิก กงฺขา.อภินว-
ฏกี า (บาลี) ๑๖๐, อง.ฺ เอกก.ฏกี า (บาลี) ๑/๕๓/๑๓.

อาคนฺตุกภตฺต (อาคนั ตกุ ภัต) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๕๐/๒๒๑. อาคันตุกภัต คือ อาหารสาหรับภิกษุท่ีมา
ขอพกั อาศัย ไมใ่ ชอ่ ยปู่ ระจา ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๒๕/๓๗๘-๓๘.

อาชีวก (อาชวี ก) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๔๙/๒๒๐. อาชีวก หมายถึง พวกนักบวชเปลือย วิ.อ. (บาลี) ๓/
๑๑๐/๘.

อายตนปุ ปฺ าท (ความเกดิ แห่งอายตนะ) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๔๔/๑๒. ความเกิดแห่งอายตนะ ในที่นี้
หมายถึง ความเกิดและความดับแห่งอายตนะท้ังหลาย วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๔๔/๑๖๕,
สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๔๔/๓๕.

อนิ ฺทฺริยสมต (ปรับอินทรยี ์ใหเ้ สมอกัน) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๔๓/๘. ปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน หมายถึง
ปรับศรทั ธาใหเ้ สมอกับปัญญาและปรับปัญญาให้เสมอกับศรัทธา ปรับวิริยะให้เสมอกับ
สมาธิ และปรับสมาธิให้เสมอกับวริ ิยะ สว่ นสตินน้ั ยิ่งมีเท่าไรก็ย่ิงดี วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๔๓/
๑๖๔, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๔๔๓/๓๕๒-๓๕.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๕๙

อุจฺจาสยนมหาสยน (ท่ีนอนสูงใหญ่) วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๕๕/๒๗. ท่ีนอนสูงใหญ่ หมายถึง เตียงเกิน
ขนาดและเครือ่ งลาดท่ไี ม่สมควร วิ.อ. (บาล)ี ๓/๒๕๔/๑๖.

อุตกุ าล (ฤดูฝน) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๖๓/๒๓๕. ฤดูฝน ในท่นี ีห้ มายถึง อยู่ในช่วงฤดูฝน ๔ เดือน วิ.อ.
(บาลี) ๓/๓๖๒/๒๑.

อภุ โตพยญฺชนก (อภุ โตพยัญชนก) วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๗๓/๒๕๐. อุภโตพยัญชนก หมายถึงคนมี ๒
เพศ คอื สญั ลกั ษณ์เพศหญงิ และสัญลกั ษณเ์ พศชาย เพราะผลกรรมที่ทาไว้ วิ.อ. (บาลี)
๓/๑๑๖/๙.

เอกเสยยฺ (นอนผเู้ ดียว) ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๕๗/๓๒. นอนผูเ้ ดียว ในที่น้ีมิได้หมายถึงแต่เพียงอิริยาบถ
นอนอย่างเดยี ว แตห่ มายถงึ อิริยาบถอกี ๓ อิรยิ าบถด้วย คือ ยืนผู้เดียว เดินผู้เดียว นั่งผู้
เดียว ซ่ึงจัดเปน็ กายวเิ วก สารตฺถ.ฏีกา (บาล)ี ๓/๒๕๗/๓๖.

๖๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก

พระวินัยปิฎกเลม่ ท่ี ๖

การกสงฺฆ (การกสงฆ์) วิ.จู. (ไทย) ๖/๒๙/๖๐. การกสงฆ์ คือ ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เป็น
ผ้ดู าเนินการในกจิ การสาคัญอันเปน็ สังฆกรรม ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๔๑/๔๙.

ขียนกปาจิตฺติย (ขียนกปาจิตตีย์) วิ.จู. (ไทย) ๖/๒๒๘/๓๔๖. อาบัติปาจิตตีย์ที่ติเตียน เรียกว่า
ขยี นกปาจิตตยี ์ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๐๕/๒๙๕, สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๑๐๕/๓.

คิหิปฏิสยุตฺต (อาบัติเน่ืองด้วยคฤหัสถ์) วิ.จู. (ไทย) ๖/๒๑๒/๓๒๗. อาบัติเน่ืองด้วยคฤหัสถ์ คือ
อาบัตทิ ี่ต้องเพราะดา่ , ขคู่ ฤหัสถ์และเพราะรบั คาของคฤหัสถ์ (แลว้ ไม่ทาตาม) วิ.อ. (บาลี)
๓/๒๐๓/๒๙.

ถลุ ลฺ วชฺช (อาบัตทิ ี่มีโทษหยาบ) วิ.จู. (ไทย) ๖/๒๑๒/๓๒๗. อาบัติที่มีโทษหยาบ คืออาบัติปาราชิก
และอาบตั สิ ังฆาทเิ สส ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๑๓/๒๙.

เทสนาคามนิ ี (อาบัติท่ีเป็นเทสนาคามินี) วิ.จู. (ไทย) ๖/๕/๑๐. อาบัติท่ีเป็นเทสนาคามินี ได้แก่
อาบัตเิ บา ๕ อยา่ ง คือ ถุลลจั จัย ปาจติ ตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต ท่ีพ้นได้ด้วย
การแสดง วิ.อ. (บาลี) ๓/๔๗๕/๕๒.

ปกตตฺตภิกฺขุ (ปกตัตตภิกษุ) วิ.จู. (ไทย) ๖/๗/๑๖. ปกตัตตภิกษุ หมายถึง ภิกษุผู้มีศีลและอาจาระ
เสมอกับภกิ ษทุ งั้ หลาย หรอื ภิกษุโดยปกตทิ ี่ไม่ถูกลงโทษ หรือไม่ต้องอาบัติปาราชิก วิ.อ.
(บาล)ี ๓/๓๙๔/๒๔๐,๗๕/๒๕๖,๑๐๒/๒๗.

ปณฑฺ ุกโลหติ ก (พระปัณฑุกะและพระโลหติ กะ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๖/๑/๑. พระปัณฑกุ ะและพระโลหิตกะ
แต่ในที่น้ี ท่านหมายเอาพวกภิกษุ ผู้เป็นนิสิตของพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ วิ.อ.
(บาลี) ๓/๑/๒๕๑, สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๑/๔๓.

มานตฺต มานัต วิ.จู. (ไทย) ๖/๙๗/๑๙๒. มานัต แปลว่า นับ หมายถึงนับราตรี ๖ ราตรี คืออยู่
ประพฤติมานตั ในเขตที่สงฆ์กาหนดใหเ้ ป็นเวลา ๖ ราตรี แล้วสงฆ์จึงสวดระงับอาบัติให้
วิ.อ. (บาลี) ๒/๙๗/๒๖.

มิสฺสก (อาบตั เิ จือกัน) วิ.จ.ู (ไทย) ๖/๑๘๑/๒๘๐. อาบตั ิเจือกัน หมายถึง เจือกันกับอาบัติถุลลัจจัย

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๖๑

เปน็ ตน้ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๘๑/๒๙.

รตฺตจิ ฺเฉท (รัตตเิ ฉท) วิ.จู. (ไทย) ๖/๘๓/๑๖๔. รตั ตเิ ฉท แปลวา่ ความขาดราตรี หมายถึงเหตุให้ขาด
ราตรี นับราตรีที่อยู่ปริวาสไมไ่ ด้ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้สาหรับภิกษุผู้อยู่ปริวาส
และภกิ ษุผู้ประพฤติมานัต ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๔๗๕/๕๒.

วิปปฺ วาส (วปิ ปวาสะ) วิ.จู. (ไทย) ๖/๘๓/๑๖๔. วิปปวาสะ การอยู่ปราศ หมายถึงการที่ภิกษุผู้อยู่
ปรวิ าสน้นั อย่รู ปู เดยี ว

สญเฺ จตนิกาสกุ ฺกวิสฏฺ (สญั เจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ) วิ.จู. (ไทย) ๖/๙๗/๑๙๒. สัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ
หมายถงึ อาบัตทิ ่ีภกิ ษตุ ้องเพราะจงใจทานา้ อสุจิใหเ้ คลื่อน วิ.อ. (บาล)ี ๒/๒๓๗/.

สมฺโภค (สมโภค) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๖/๔๖/๘๖. สมโภค หมายถึง การคบหากันและการให้หรือรับอามิส
กินรว่ มกนั อยู่รว่ มกนั นอนร่วมกัน สารตฺถ. ฏีกา (บาล)ี ๓/๑๓๐/๓๒๔-๓๒.

สหวาส (สหวาสะ) ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๘๓/๑๖๔. สหวาสะ หมายถึง การอยู่รว่ มกนั หมายถึงการอยู่ในท่ี
มุงบงั เดียวกันกบั ปกตตั ตภกิ ษุ

อเทสนาคามนิ ี (อาบัติที่เป็นอเทสนาคามนิ ี) ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๔/๖. อาบัติที่เป็นอเทสนาคามินี ได้แก่
อาบตั ิปาราชกิ และอาบตั ิสังฆาทิเสส ที่ชื่อว่าอเทสนาคามินี เพราะเป็นอาบัติที่ไม่อาจพ้น
ได้ด้วยการแสดง วิ.อ. (บาลี) ๓/๔/๒๕.

อนปทาน (ต้องอาบตั กิ าหนดไมไ่ ด้) วิ.จู. (ไทย) ๖/๖/๑๔. ต้องอาบัติกาหนดไม่ได้ หมายถึง ต้อง
อาบัตโิ ดยไมม่ ขี อบเขตจากัด ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๔๐๗/๒๔.

อนาโรจนา (อนาโรจนา) ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๘๓/๑๖๔. อนาโรจนา การไม่บอก หมายถึงการไม่บอกแก่
พวกภิกษุอาคนั ตุกะเป็นต้น วิ.อ. (บาล)ี ๓/๘๓/๒๖.

อพฺภาน (อัพภาน) ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๑๐๐/๑๙๔. อัพภาน แปลวา่ การเรียกเข้าหมู, การรับกลับเข้าหมู่
เปน็ ขน้ั ตอนสุดทา้ ยแห่งการออกจากอาบัติสงั ฆาทิเสส วิ.อ. (บาล)ี ๒/๑๐๐/๒๗.

อสมมฺ ขุ า (ลบั หลงั ) วิ.จ.ู (ไทย) ๖/๔/๖. ลับหลัง หมายถึง ลงโดยท่ีสงฆ์ ธรรมวินัย และบุคคลไม่อยู่
พรอ้ มหน้ากัน วิ.อ. (บาล)ี ๓/๔/๒๕.

อุกฺโกฏนกปาจิตฺติย (อุกโกฏนกปาจิตตีย์) วิ.จู. (ไทย) ๖/๒๒๘/๓๔๖. อาบัติปาจิตตีย์ที่ร้ือฟ้ืน
เรยี กวา่ อุกโกฏนกปาจิตตีย์ วิ.อ. (บาลี) ๒/๓๙๒/๔๑๓, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๓๙๒/
๑๐๓-๑๐.

อุพฺพาหิกวิธิ (อพุ พาหิกวิธี) ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๒๓๑/๓๔๙. อพุ พาหิกวิธี หมายถึง วธิ ีระงับวิวาทาธิกรณ์

๖๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

ในกรณีท่ีท่ปี ระชุมสงฆ์มคี วามไม่สะดวกดว้ ยเหตุบางอย่าง สงฆ์จึงเลือกภิกษุบางรูปในท่ี
ประชมุ นัน้ ตง้ั เปน็ คณะแลว้ มอบเรื่องใหน้ าไปวินิจฉัย ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๒๓๑/๒๙.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๖๓

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก
พระวนิ ัยปิฎกเล่มท่ี ๗

กปปฺ ยิ กฎุ ิ (กัปปิยกุฎี) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๐๗/๑๑๙. กัปปิยกุฎี คือสถานที่เก็บอาหาร วิ.ม. (ไทย) ๕/
๒๙๕/๑๑๖-๑๑. พระผู้มีพระภาคทรงอนญุ าตกปั ปิยกฎุ ีเพ่อื ให้ภิกษุสงฆ์ไม่ข้องเก็บของไว้
เองและหุงต้มเอง (บาลี) วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๙๕/๑๘.

กมฺม (กรรม) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๐๙/๓๒๖. กรรม ในทีน่ ้ี หมายถึงการลงโทษทางพระวินัย เช่นตัชช-
นียกรรมเป็นตน้ วิ.อ. (บาลี) ๓/๔๐๙/๔๐.

กมฺม (ทากรรม) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๙. ทากรรม หมายถงึ ลงโทษ
กมมฺ ปปฺ ตฺต (ทเี่ ขา้ กรรม) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๑๐/๓๒๘. ที่เข้ากรรม ในท่ีนี้หมายถึงผู้ควรแก่กรรมคือ

ควรถกู ลงโทษ กมฺมปฺปตตฺ าโยปตี ิ กมมฺ ารหาปิ สารตฺถ. ฏกี า (บาล)ี ๓/๕๓.
กายคตาสติ (กายคตาสติ) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๓๘/๓๗๘. กายคตาสติ แปลว่า สตอิ ันไปในกาย คอื ใช้สติ

กาหนดพิจารณากายนีใ้ ห้เห็นว่า ประกอบดว้ ยส่วนตา่ ง ๆ ไมส่ ะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ
กสุ ิ (กสุ ิ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๒๘/๑๕๘. กุสิ คือ ผ้ายาวท่ีต้ังติดขอบจีวรทั้ง ๒ ด้าน คั่นระหว่างขัณฑ์

กับขัณฑ์ของจีวร
คนฺธพพฺ หตถฺ ก (มอื ท่ีทาดว้ ยไม้) วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๔๓/๕. มือท่ีทาด้วยไม้ ได้แก่ มือท่ีทาด้วยไม้ซ่ึง

เขาวางไวท้ ท่ี ่าอาบนา้ คนทง้ั หลายใช้มือน้ันตักจรุ ณขัดสีกาย วิ.อ. (บาล)ี ๓/๒๔๓/๓๐.
จกกฺ เภท (ทาลายจกั ร) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๔๓/๑๙๘. ทาลายจักร หมายถึงทาลายหลักคาสอน วิ.อ.

(บาลี) ๒/๔๑๐/๑๐๘, วชริ .ฏีกา (บาลี) ๓๔๓/๖๘.
ฉนฺทส (ภาษาสันสกฤต) วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๘๕/๗๑. ภาษาสันสกฤต (ฉนฺทโส) หมายถึง ภาษา

สนั สกฤต (สกกฺ ตภาสา) สกฺกตภาสาย = ภาษาสนั สกฤต วิ.อ. (บาล)ี ๓/๒๘๕/๓๑.
ฉพพฺ คคฺ ยิ (พวกภิกษุฉัพพคั คีย์) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๒๔๓/๑. พวกภกิ ษฉุ พั พัคคีย์ ได้แก่ พวกภิกษุผู้ชอบ

ประพฤติผดิ มี ๖ รูป คือ พระปณั ฑุกะ พระโลหิตกะ อยู่ในกรงุ สาวัตถี พระเมตติยะ พระ
ภุมมชกะ อยใู่ นกรุงราชคฤห์ พระอสั สชิ พระปนุ ัพพสกุ ะ เปน็ คณาจารย์อยู่ประจาในกีฏา
คริ ีชนบท แคว้นกาสี ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๗๕/๑๓.

๖๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุม้ ครอง

เฉทนก (เฉทนกะ) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๕๗/๔๑๘. เฉทนกะ แปลวา่ มกี ารตัดออก เป็นช่ือเฉพาะอาบัติ
ปาจติ ตีย์สกิ ขาบทท่ี ๕, ๗-๙ แห่งรตนวรรค ที่ว่าด้วยการทาของใช้สอยเกินขนาด ภิกษุ
ทงั้ หลายทาเตียงตง่ั ผ้าปนู ั่ง ผา้ ปดิ ฝี หรือผ้าอาบน้าฝนเกนิ ขนาด ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตียท์ ชี่ ื่อ
วา่ เฉทนกะ ตอ้ งตัดวัตถุน้ันให้ได้ขนาดก่อนจึงแสดงอาบัติตก วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๒๒/
๖๑๒,๕๓๓/๖๑๙,๕๓๘/๖๒๒,๕๔๓/๖๒.

ตชฺชนีย (ตัชชนยี กรรม) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๙. ตัชชนียกรรม คือการขู่,การปราม วิ.ม. (ไทย)
๕/๔๐๗-๔๑๑/๒๙๕-๒๙.

ตินิสสฺ ย (นิสยั ๓) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๒๕/๓๕๓. นสิ ยั ๓ คือ เทย่ี วบณิ ฑบาต ถือผ้าบังสุกุล ฉันยาดอง
ด้วยน้ามตู รเนา่ พระผู้มพี ระภาคทรงห้ามภิกษุณีอยู่ปุา ภิกษุณีจึงไม่ต้องถือนิสสัยข้อว่า
อย่โู คนไม้

ติมณฺฑล (มณฑล ๓) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๕. มณฑล ๓ คือ ถา้ เป็นผ้าอตุ ตราสงค์ (ผ้าห่ม) ต้อง
ห่มปิดหลุมคอ และทาชายจวี รท้ัง ๒ ขา้ งให้เสมอกนั ถ้าเป็นอันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ต้องนุ่ง
ปิดสะดือ และปิดเข่าท้ัง ๒ ข้าง วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๗๖-๕๗๗/๖๕๓-๖๕๕, และ วิ.อ.
(บาลี) ๒/๕๗๖-๕๗๗/๔๔๗-๔๔.

ทณฑฺ สมฺมติ (ทณั ฑสมมติ) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๒๗๐/๕๖. ทัณฑสมมติ หมายถงึ คาประกาศของสงฆ์เพ่ือ
อนุญาตให้ภกิ ษุไขใ้ ชไ้ ม้เท้าได้เป็นกรณพี เิ ศษ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๗๐/๓๑.

ทิส (ต่างถ่ิน) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๕๐. ต่างถิ่น หมายถึงไปอยู่ที่อ่ืน สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๘๓/
๒๙.

ทฏุ ฺฐลุ ฺลาปตตฺ ิ (อาบัตชิ ว่ั หยาบ) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๕๒/๒๑๕. อาบัติช่ัวหยาบ คืออาบัติปาราชิกและ
อาบตั สิ งั ฆาทิเสส

นคฺค (เปลอื ยกาย) วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๖๑/๓๗. เปลือยกาย ในที่นี้หมายถึงการเปลือยกายอย่างพวก
อาชวี ก ไมม่ ผี ้าติดกายเลย วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๑๗/๔๑-๔.

นมตก (สนั ถตั ขนเจยี ม) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๒๖๔/๔๒. สนั ถัตขนเจียม หมายถงึ ผ้าปนู ง่ั ทาด้วยขนแกะ ใช้
อยา่ งแผ่นหนงั ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๖๔/๓๑.

นวกมฺม (นวกรรม) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๒๓/๑๔๖. นวกรรม หมายถึง นวกรรมสมมติ คืออนุมัติการ
กอ่ สร้าง หรืออนญุ าตใหก้ ่อสร้าง วมิ ติ.ฏีกา (บาล)ี ๒/๓๒๓/๓๒.

นิยสฺ ก (นยิ สกรรม) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๙. นยิ สกรรม คอื การถอดยศ,การปลดออกจากตาแหน่ง

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๖๕

วิ.ม. (ไทย) ๕/๔๑๒/๓๐๐,๔๒๓/๓๐.

ปญจฺ นกิ าย (นิกาย ๕) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๐/๓๘๑. นกิ าย ๕ ได้แก่ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตต
นิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย พระอภิธรรมปิฎก ก็จัดเป็นขุททกนิกาย วิ.อ.
(บาล)ี ๑/๒.

ปฏิสารณีย (ปฏสิ ารณียกรรม) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๙. ปฏสิ ารณียกรรม คอื การลงโทษแก่ภิกษุผู้
ด่าวา่ คฤหัสถโ์ ดยให้ไปขอขมาคฤหสั ถ์ วิ.ม. (ไทย) ๕/๔๑๔/๓๐.

ปฏสิ ารณยี กมฺม (ปฏิสารณียกรรม) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๔๖/๓๙๓. ปฏิสารณียกรรม หมายถึงการ
ลงโทษใหภ้ กิ ษุผดู้ า่ วา่ คฤหัสถ์โดยให้ไปขอขมาคฤหัสถ์ ว.ิ ม. (ไทย) ๔๑๓/๓๐๐-๓๐.

ปพพฺ าชนีย (ปพั พาชนยี กรรม) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๙. ปพั พาชนียกรรม คือการไล่ออกจากหมู่,
การไล่ออกจากวดั ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๔๑๓/๓๐๐-๓๐.

ปรกิ มมฺ ภิตตฺ ิ (ฝาท่ีทาบรกิ รรม) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๒๔/๑๕๓. ฝาที่ทาบริกรรม หมายถึงฝาสีขาว หรือ
ฝาทม่ี ีลวดลายจติ รกรรม ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๒๔/๓๕.

ปวตตฺ ินี (ปวัตตนิ ี) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๒๓/๓๔๖. ปวัตตินี คือ ภิกษุณีผู้เป็นอุปัชฌาย์ ผู้จะเป็นภิกษุณี
ตอ้ งบวชจากสงฆ์ ๒ ฝุาย คือ ฝุายภิกษณุ ีสงฆแ์ ละฝุายภิกษุสงฆ์ มีครธุ รรมขอ้ ๖

ผาตกิ มมฺ (ผาตกิ รรม) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๒๔/๑๕๑. ผาติกรรม หมายถึงการทาให้เพิ่มพูนโดยนาไป
แลกเปลี่ยนกับเตียงตั่งเป็นต้นท่ีมีราคาเท่ากันหรือมีราคามากกว่า ไม่ให้ต่ากว่าราคา
ของเดิม ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๒๔/๓๕๕, วิมต.ิ ฏกี า (บาล)ี ๒/๓๒๔/๓๒.

มกสกุฏิ (กุฎีกันยุง) วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๕๙/๓๓. กุฎีกันยุง คือกุฎีที่ทาด้วยจีวรเพื่อปูองกันยุง วิ.อ.
(บาลี) ๓/๒๕๙/๓๑.

มณฺฑล (มณฑล) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๒๘/๑๕๘. มณฑล คือ ผ้ามีบริเวณกว้างใหญ่ในแต่ละขัณฑ์ของ
จวี ร ๕ ขณั ฑ์

มโนมยกาย (กายมโนมยั ) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๓๓/๑๗๕. กายมโนมัย หมายถึง กายแห่งพรหมท่ีบังเกิด
ด้วยฌาน สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๓๓๓/๔๙.

มโนสิลา (มโนศลิ า) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๒๔๗/๑๐. มโนศิลา คือหนิ อ่อนทีย่ อ่ ยให้ละเอียดประสมเป็นสีทา
ส่งิ อ่ืนได้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ หน้า ๘๓๓.

มลฺลมุฏฺ ิกา (พวกนักมวยปล้า) วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๔๓/๑. พวกนักมวยปล้า วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๔๓/
๓๐๒.

๖๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

มานตฺต (มานตั ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๘. มานัต เปน็ ช่อื วฏุ ฐานวิธี คือระเบียบการปฏิบัติในการ
ออกจากอาบัติสังฆาทิเสส แปลว่า นับ หมายถึงนับราตรี ๖ ราตรี ภิกษุผู้ต้องอาบัติ
สงั ฆาทิเสส ถ้าปกปดิ ไว้ ต้องอยู่ปริวาสเท่ากับวันที่ปกปิดก่อน จึงจะขอมานัตได้ แต่ถ้า
ไม่ได้ปกปิดไว้ สามารถขอมานัตได้แล้วประพฤตมิ านตั ๖ ราตรี กงฺขา.อ. (บาลี) ๑๗.

มิฑฒฺนต (ตง่ั ไม้) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๒๕๔/๒๑. ตงั่ ไม้ ได้แก่ ต่ังท่มี รี ูปทรงคลา้ ยแท่นบูชา ทาด้วยไม้หรือ
ดนิ เหนียวเหมือนเตยี ง วางไว้อยู่ตามระเบยี ง วิ.อ. (บาล)ี ๓/๒๕๔/๓๐๖, วิมต.ิ ฏีกา (บาลี)
๒/๒๙๖/๓๐.

โลกายต (โลกายตั ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๒๘๖/๗๒. โลกายตั หมายถึง ติตถิยศาสตร์ คือ ศาสตร์ของพวก
เจ้าลทั ธติ ่างๆ ซ่ึงสอนเรอ่ื งไรป้ ระโยชน์ ไมท่ าใหข้ วนขวายในการทาบญุ ทากุศล เช่น สอน
ว่า สง่ิ ท้งั ปวงไม่สะอาด เพราะเหตนุ ี้ สงิ่ ทัง้ ปวงสะอาด เพราะเหตนุ ี้ กามีสีขาว เพราะเหตุ
นี้ นกยางมสี ีดา เพราะเหตุนี้ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๘๖/๓๑.

วาทานุวาท (คากล่าวที่เหมาะแก่วาทะ) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๔๘/๓๙๘. คากล่าวท่ีเหมาะแก่วาทะ
หมายถงึ คาเดิมของพระพุทธองค์สมเหตุสมผลกับเหตุที่ผู้อื่นกล่าว หรือคากล่าวตามคา
ของพระองค์นน้ั ตอ่ ๆ กัน แม้มีประมาณนอ้ ยจะไม่ถูกวิญญูชนตาหนไิ ด้หรือ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/
๒๙๐/๑๘๐, สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๓/๒๙๐/๓๙๔, วิมติ.ฏีกา (บาลี) ๒/๒๙๐/๒๔.

วฆิ าตปรฬิ าห (ความเรา่ รอ้ นทกี่ อ่ ให้เกิดความคับแค้น) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๔๙/๒๑๐. ความเร่าร้อนท่ี
ก่อใหเ้ กิดความคับแค้น หมายถึงความเร่ารอ้ นคอื กเิ ลส ความเร่าร้อนคอื วิบาก ซง่ึ ก่อความ
ทุกข์ทางกายและใจเป็นผลท่ีเกิดจากอาสวะ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-๖๒-๖๓/๑๔,
องฺ.ฉกฺก.อ. (บาล)ี ๓/๕๘/๑๔๐, อง.ฺ ฉกฺก.ฏกี า (บาล)ี ๓/๕๘/๑๕๔-๑๖.

วญิ ฺญตุ า (รูเ้ ดียงสา) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๓๒/๓๖๑. รู้เดียงสา หมายถึง สามารถจะเค้ียว จะกิน จะ
อาบน้า จะแตง่ ตวั ไดด้ ว้ ยตนเอง ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๔๓๒/๔๑.

วถิ (ลกู ถวนิ ) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๒๗๘/๖๖. ลกู ถวิน คือ หว่ งร้อยสายประคดเอว

วิหาร (วิหาร) วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๙๔/๙๐. วหิ าร หมายถึงเสนาสนะท่ีอยู่อาศัย วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๙๔/
๓๑๙,๓๒๑/๓๔๓, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๙๔/๔๖.

สกนริ ตุ ตฺ ิ (ภาษาของตน) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๒๗๙/๖๗. ภาษาของตน หมายถึง ภาษามคธซ่ึงมีสานวน
โวหารตามแบบทีพ่ ระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ตรสั ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๒๘๕/๓๑. พระวินัยปิฎกฉบับ
สมาคมบาลปี กรณ์ แปล คา สกา นิรุตตฺ ิ ว่า “dialect คือภาษาถิ่น (The Book of The
Discipline volume V/194)

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๖๗

สฆเภท (ทาลายสงฆ์) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๔๓/๑๙๘. ทาลายสงฆ์ หมายถึงทาสงฆ์ให้แตกจากกัน วิ.อ.
(บาลี) ๒/๔๑๐/๑๐๘, วชิร.ฏกี า (บาล)ี ๓๔๓/๖๘.

สพฺพปสํ กุ ลู ิก (ของทกุ อย่างเปน็ ของบังสุกลุ ) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๒๕๕/๒๔. ของทกุ อยา่ งเป็นของบังสุกุล
หมายถึง ถือเคร่อื งใช้สอย เชน่ จวี ร เตยี ง ตั่ง ไมไ่ ด้หมายถงึ ของเค้ียวของฉัน เพราะของ
เคย้ี วของฉันตอ้ งเปน็ ของที่เขาถวายแลว้ เทา่ นน้ั จึงควรถือเอา วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๕๕/๓๐.

สาธารณ (สาธารณบัญญัติ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๐๕/๓๒๒. สาธารณบญั ญัติ ไดแ้ ก่ บทบัญญัติที่พระผู้มี
พระภาคทรงปรารภภิกษุสงฆ์บญั ญัติไว้ เปน็ ข้อปฏิบัติสาหรับ ภกิ ษสุ งฆ์และภิกษุณสี งฆ์พึง
รักษาด้วย จานวน ๑๗๔ สกิ ขาบท ดังทแ่ี สดงไว้แลว้ ในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑
และภาค ๒.

สามุกฺกสิกธมฺมเทสนา (สามุกกังสิกธรรมเทศนา) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๐๕/๑๑๔. สามุกกังสิกธรรม
เทศนา หมายถึง ธรรมเทศนาท่ีพระพุทธเจ้าทัง้ หลายทรงตรสั รู้ด้วยพระองค์เอง ทรงเห็น
ดว้ ยพระสยัมภูญาณ ไม่ท่ัวไปแก่ผู้อ่ืน คือมิได้รับการแนะนาจากผู้อ่ืน ทรงตรัสรู้ลาพัง
พระองคเ์ องกอ่ นใคร ในโลก วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๙๓/๑๘๑, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๒๖/๒๓๗,
ที.สี.ฏกี า (อภินว) (บาลี) ๒/๒๙๘/๓๕.

สิกฺกาสมฺมติ (สกิ กาสมมติ) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๒๗๑/๕๗. สิกกาสมมติ หมายถงึ คาประกาศของสงฆ์เพื่อ
อนุญาตใหภ้ ิกษุไข้ใชส้ าแหรกไดเ้ ป็นกรณพี ิเศษ วิ.อ. (บาล)ี ๓๓/๒๗๓/๓๑.

สิงฺคิ (เขนง) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๔๖/๓๙๓. เขนง แปลว่า เขาสัตว์ หมายถึง กลักหรือกระบอกเขา
ควายทีน่ ยิ มใช้บรรจุดนิ ปืน หรือสงิ่ ของอ่นื บางทใี ช้เปาุ บอกอาณตั สิ ญั ญาณ

สุญฺ าคาร (สุญญาคาร) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๐๖/๑๑๗. สุญญาคาร คอื สถานทว่ี ่าง โอกาสท่ีเงียบสงัด
สถานท่ีเหมาะแกก่ ารบาเพญ็ อานาปานสติกมั มัฏฐาน ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๖๕/๔๔.

เสกฺขสมฺมต (ตระกูลท่ีเป็นเสกขสมมติ) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๕๗/๒๒๓. ตระกูลท่ีเป็นเสกขสมมติ
หมายถงึ ตระกูลท่มี ีศรัทธามาก ใหท้ านวตั ถุมากจนหมดทนุ ทรัพย์ เพ่ือไม่ใหต้ ระกูล เช่นน้ี
เดือดรอ้ นจากการถวายสง่ิ ของแกภ่ ิกษุสงฆ์ หรือเพ่ือไม่ให้ภิกษุสงฆ์รบกวนตระกูลเช่นนี้
สงฆ์จึงประกาศสมมติ (แต่งตั้ง) ตระกูลเชน่ นใี้ หเ้ ป็นเสกขสมมติ วิ.อ. (บาล)ี ๒/๕๖๒/๔๔.

โสสนฺตร (มีจิตมุ่งร้าย) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๐๑/๓๐๕. มีจิตมุ่งร้าย อรรถกถาและฎีกาอธิบายว่า
หมายถงึ ทฏุ ฺ จติ ฺโต จึงแปลวา่ มจี ิตมุ่งร้าย ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๔๐๐/๔๐., สารตฺถ.ฏีกา (บาลี)
๓/๔๐๐/๕๑๙, วมิ ต.ิ ฏกี า (บาลี) ๒/๔๐๐/๓๔.

โสฬสีกล (เส้ียวท่ี ๑๖) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๐๕/๑๑๓. เสี้ยวท่ี ๑๖ ในท่ีน้ีหมายความว่า เมื่อแบ่งเป็น

๖๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

๑๖ ส่วนแล้วเอาส่วน ๑ ใน ๑๖ ส่วนนั้นมาแบ่งเป็นอีก ๑๖ ส่วน แล้วเอาส่วนหน่ึงท่ี
แบ่งเปน็ ๑๖ ส่วนคร้งั ท่ี ๒ นนั้ มาแบ่งเป็น ๑๖ ส่วนอีกครั้งหน่ึง ส่วน ๑ ใน ๑๖ ส่วนที่
แบง่ ครัง้ ท่ี ๓ นีจ้ ดั เปน็ เส้ยี วท่ี ๑๖ สตั ว์ส่งิ ของอยา่ งละ ๑ แสน ยังมีค่าไม่ถึง เส้ียวท่ี ๑๖
แห่งการก้าวเท้าไปก้าวหน่ึงท่ีแบ่งแล้ว ๑๖ คร้ัง ๑๖ เท่ียว ๑๖ หน เพราะท่านอนาถ
บิณฑกิ ะกา้ วเท้าไปถงึ พระพุทธเจ้าแลว้ จะสาเร็จโสดาปัตติผล จักเอาของหอมพวงมาลา
กระทาการบูชา จกั ไหวพ้ ระเจดยี ์ จกั ฟงั ธรรม จกั นิมนตพ์ ระสงฆ์แลว้ ถวายทาน จักต้ังม่ัน
ในสรณะและศีล ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๒/๒๙๘, สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๓๐๕/๔๗๔-๔๗.

หตฺถวฏฏฺ ก (ยานพาหนะทใ่ี ชม้ อื ลาก) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๒๙/๓๕๗. ยานพาหนะทใ่ี ชม้ ือลาก หมายถึง
ยานพาหนะทใ่ี ชค้ นลากซง่ึ จะเป็นบรุ ษุ หรอื สตรกี ไ็ ด้ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๒๕๓/๑๖.

หมฺมิยคพฺภ (หอ้ งบนเรือนโล้น) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๐๐/๑๐๔. ห้องบนเรือนโล้น หมายถึง ห้องเรือน
ยอดบนดาดฟูา หรอื ห้องทม่ี หี ลังคาทรงกระโจม ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๐๐/๓๒.

อกปฺปิย (อกัปปิยะ) วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๕๕/๒๔. อกัปปิยะ หมายถึงน้าที่มีส่ิงมีชีวิต ได้แก่ สัตว์ท่ียังมี
ชีวิต วมิ ต.ิ ฏีกา (บาลี) ๒/๒๕๘-๒๕๙/๓๐๒

องคฺ ุลิ (องคลุ ี) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๒๗๘/๖๖. องคลุ ี หมายถึงมาตราวัดโบราณ ยาวเท่ากับข้อปลายของ
นิว้ กลาง พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. หน้า ๑๓.

อฏฺ ากรณีย (อกรณยี กิจ ๘) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๒๕/๓๕๓. อกรณียกิจ ๘ คือ ข้อท่ีทรงห้ามไว้ ตาม
ความในปาราชิกของภิกษณุ ีสงฆ์ ๘ สกิ ขาบท

อฏฺ าน (ท่ไี ม่สมควร) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๒๔๓/๕. ทีไ่ ม่สมควร ในท่นี ห้ี มายถงึ เสาถตู วั คอื ต้นไม้ที่เขาถาก
เรียบคล้ายแผ่นกระดาน สกดั เปน็ รอยเหมอื นกระดานหมากรกุ ปกั ฝังไว้ทที่ ่าอาบน้า พวก
ชาวบ้านนาจุรณมาโรยที่เสาถูตัวน้ันแล้วถูกายท่ีเสาน้ัน วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๔๓/๓๐๒,
วิ.สงฺคห. (บาลี) ๒๑/๔๙.

อฑฺฒกุสิ (อัฑฒกุสิ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๒๘/๑๕๘. อัฑฒกสุ ิ คอื ผา้ สั้นทีแ่ ทรกอยู่เป็นตอนๆ ในระหว่าง
ผ้ายาว ดจุ คนั นาขวาง

อฑฺฒปลฺลงฺก (นง่ั กึง่ ขดั สมาธิ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๓๕/๓๖๔. นัง่ กึง่ ขดั สมาธิ หมายถึง น่ังขัดสมาธิคู้ขา
เข้าข้างเดยี ว วิ.อ. (บาล)ี ๓/๔๓๔/๔๑.

อฑฺฒมณฺฑล (อฑั ฒมณฑล) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๒๘/๑๕๘. อัฑฒมณฑล คือ ผ้าชิ้นส่วนของจีวรท่ีมี
บริเวณเลก็ ๆ

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๖๙

อนุวาต (อนวุ าต) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๒๘/๑๕๘. อนวุ าต คือ ผา้ ขอบจีวร คาอธบิ ายศัพท์เหล่านี้มาจาก
วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๑.

อนฺติมวตฺถุ (อันติมวัตถุ) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๒๓/๑๔๘. อันติมวัตถุ ได้แก่ ต้องอาบัติปาราชิก องฺ.
เอกก.ฏกี า (บาลี) ๑/๕๓/๑๓.

อพฺภาน (อัพภาน) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๘. อัพภาน เป็นชื่อวุฏฐานวธิ ีท่ีเปน็ ขั้นตอนสุดท้าย ภิกษุ
ผู้ประพฤตมิ านตั ครบ ๖ ราตรแี ลว้ ขออพั ภานจากสงฆ์ ๒๐ รปู เม่ือสงฆ์สวดอัพภานแล้ว
ถอื ว่าภิกษผุ ู้ต้องอาบตั ิสงั ฆาทเิ สสนั้นบริสุทธิ์ สมควรอยู่ร่วมกับภิกษุสงฆ์ต่อไป กงฺขา.อ.
(บาล)ี ๑๗๘-๑๗.

อภกิ ขฺ กุ าวาส (อาวาสทีไ่ ม่มีภิกษุ) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๐๓/๓๑๗. อาวาสท่ไี ม่มภี ิกษุ หมายถงึ สานักของ
ภิกษุณีท่ีไม่มีภิกษุผู้จะให้โอวาทอยู่ภายในระยะ ๑ โยชน์ หรือมีภิกษุผู้จะให้โอวาทอยู่
ภายในระยะ ๑ โยชน์ แตเ่ ส้นทางที่จะไปยังสานักภกิ ษุณีนัน้ ไม่ปลอดภัย วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย)
๓/๑๐๔๘/๒๘๗, กงฺขา.อ. (บาลี) ๓๙.

อลลฺ วตถฺ อลฺลเกส (มผี า้ เปียกผมเปยี ก) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๒๖๖/๔๗. มีผา้ เปียกผมเปียก คือ การสรงน้า
ดาเกลา้ จนผ้าเปยี กผมเปียกนี้ เปน็ เครอื่ งแสดงความเศร้าโศกก่อนเข้าขอขมา เช่น พระ
เจ้าอุเทนไปขอขมานางสามาวดี พระองคท์ รงดาลงในนา้ จนพระพักตร์และพระเกสาเปียก
แล้วไปหมอบแทบเทา้ ขอขมา องฺ.อฏฺ ก.อ. (บาล)ี ๑/๓๘.

อวนฺทยิ (ไม่ควรไหว้) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๑๑/๓๒๙. ไม่ควรไหว้ อรรถกถาอธิบายว่า ภิกษุณีสงฆ์พึง
ประชุมกันในสานกั ภกิ ษณุ ี ประกาศ ๓ คร้ังว่า พระคุณเจ้ารูปโน้น แสดงอาการท่ีไม่น่า
เลื่อมใสต่อภิกษุณีท้ังหลาย ภิกษุณีสงฆ์พอใจท่ีจะไม่กราบไหว้พระคุณเจ้ารูปนั้น วิ.อ.
(บาลี) ๓/๔๑๑/๔๐.

อสาธารณ (อสาธารณบญั ญตั ิ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๐๕/๓๒๓. อสาธารณบัญญัติ ได้แก่ บทบัญญัติที่
พระผมู้ ีพระภาคทรงปรารภภิกษุสงฆ์บัญญัติไว้ซึ่งภิกษุณีสงฆ์ไม่ต้องรักษาจานวน ๔๖
สิกขาบท และท่ีทรงปรารภภิกษุณีสงฆ์บัญญัติไว้เฉพาะสาหรับภิกษุณีสงฆ์ฝุายเดียว
จานวน ๑๓๐ สกิ ขาบท ตามท่ีแสดงไว้แลว้ ในพระวนิ ัยปิฎก ภกิ ขนุ วี ิภงั ค์ เลม่ ๓.

อโหคงฺคปพพฺ ต (อโหคงั คบรรพต) วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๕๐/๔๐๐. อโหคังคบรรพต อยู่ในอินเดียตอน
เหนอื บรเิ วณแมน่ า้ คงคาตอนบน

อาวิญฺฉนจฺฉิททฺ (ช่องสาหรบั ชัก) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๒๙๖/๙๓. ช่องสาหรับชัก หมายถึงช่องท่ีสอดน้ิว
มอื เขา้ ไปแล้วจับบานประตดู ึงปิดจนสนิท

๗๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

อาวญิ ฉฺ นรชฺชุ (เชือกสาหรบั ชกั ) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๒๙๖/๙๓. เชอื กสาหรับชัก หมายถึงเชือกท่ีสอดเข้า
ทางช่องประตูทเ่ี จาะแลว้ ผกู ไว้เพื่อใช้ชักประตใู ห้ปดิ ไดส้ นิท สารตถฺ . ฏีกา (บาล)ี ๓/๒๙๖/
๔๗.

อาสว (อาสวะ) ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๔๙/๒๑๐. อาสวะ ในท่นี ห้ี มายถงึ อาสวะ ๔ คอื กามาสวะ ภวาสวะ
ทฏิ ฐาสวะ อวิชชาสวะ

อาฬกมนทฺ (ลานโล่ง) วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๐๐/๑๐๓. ลานโล่ง หมายถึงพื้นที่มีลานต่อเนื่องเป็นอัน
เดยี วกนั มผี คู้ นพลกุ พลา่ น วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๐/๓๒.

อกุ ฺเขปนีย (อกุ เขปนยี กรรม) ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๗๖/๒๔๙. อุกเขปนียกรรม คือการกันออกจากหมู่,
การยกออกจากหมู่ วิ.ม. (ไทย) ๕/๔๑๕/๓๐.

อุพฺพาหกิ (อุพพาหิกวธิ ี) วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๕๖/๔๑๒. อุพพาหิกวิธี หมายถึง วิธีระงับอธิกรณ์ ใน
กรณีท่ีท่ีประชุมสงฆ์มีความไม่สะดวกด้วยเหตุบางอย่าง สงฆ์จึงเลือกภิกษุบางรูปในท่ี
ประชมุ น้ัน ต้ังเปน็ คณะทางานแล้วมอบเรอื่ งใหน้ าไปวนิ จิ ฉยั วิ.อ. (บาลี) ๓/๒๓๑/๒๙.

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๗๑

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก

พระวนิ ัยปฎิ กเล่มท่ี ๘

กมฺพล (ผ้ากัมพล) วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๑๗/๒๒๒. ผา้ กัมพล หมายถงึ ผ้าทอดว้ ยขนสัตว์ เชน่ สกั หลาด

การกสฆ (การกสงฆ์) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๒๙/๒๘๙. การกสงฆ์ ในที่นี้หมายถึงสงฆ์จานวน ๒๐ รูป ผู้
ร่วมกันทาอกุ เขปนยี กรรม กงขฺ า.อ. (บาลี) ๑๐.

จตุวิปตตฺ ิ (วบิ ตั ิ ๔ อย่าง) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๑๘๒/๑๖๗. วิบัติ ๔ อย่าง คือ สีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิ
วบิ ัติ อาชวี วิบัติ

ตริ จฺฉานคตมนสุ ฺสวคิ คฺ ห (สัตวด์ ิรัจฉานมกี ายเป็นมนษุ ย์) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๑๗๑/๑๔๘. สตั ว์ดิรัจฉาน
มีกายเป็นมนุษย์ หมายถงึ สัตวด์ ิรจั ฉาน เช่น นาคและครฑุ ทแ่ี ปลงร่างเป็นมนุษย์ สารตฺถ.
ฏีกา (บาล)ี ๒/๑๗๖/๓๒๖, กงฺขา.ฏีกา (บาล)ี ๒๓.

ทุกกฺ ฏ (อาบตั ทิ ุกกฏ) วิ.ป. (ไทย) ๘/๑๖๑/๑๒๔. อาบตั ิทกุ กฏ หมายถึง อาบัติทุกกฏในสุกกวิสัฏฐิ
สิกขาบทซ่งึ ปรากฏในคัมภรี ์มหาวิภังค์ ๒ แห่ง คือ ๑. ภิกษุจับองคชาตของสามเณร ผู้
หลับอยู่ แลว้ นา้ อสุจขิ องภกิ ษุเคลื่อน ต้องอาบัติทุกกฏ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๖๕/๒๘. ๒.
ภิกษุมีความกาหนดั เพ่งองค์กาเนิดของมาตคุ าม ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๒๖๖/
๒๘. ในอรรถกถา กล่าวถงึ อาบตั ทิ กุ กฏในสกุ กวิสัฏฐสิ ิกขาบทไว้ ๒ แหง่ คือ ๑. ภิกษุยินดี
ในเมถนุ ธรรม จับต้องมาตคุ ามด้วยความกาหนัดในเมถนุ น้าอสจุ ิเคลือ่ นเพราะพยายามจับ
ตอ้ ง แตเ่ พราะเป็นข้นั ตอนแห่งเมถุนธรรม จงึ ตอ้ งอาบตั ทิ ุกกฏ วิ.อ. (บาล)ี ๒/๒๔๐/๑. ๒.
ภิกษุมีความกาหนดั พยายามเพ่งนิมติ ของมาตคุ ามต้องอาบตั ิทุกกฏ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๖๖/
๑.

ธมมฺ (ธรรม) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓๓๙/๕๑๘. ธรรม ในท่นี ห้ี มายถึง สังขตธรรมท้ังหลายซึ่งมีความเสื่อม
ความพนิ าศเป็นคติ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๓๓๙/๔๘.

ธุรนิกฺเขป (ธุรนิกเขปะ) วิ.ป. (ไทย) ๘/๑๘๒/๑๖๗. ธุรนิกเขปะ เป็นช่ือกลลุ่มอาบัติท่ีเกิดด้วย
สมฏุ ฐานที่ ๖ คอื กาย วาจากบั จติ ซ่ึงเปน็ กล่มุ เก่ยี วกบั สมนภุ าสนสมุฏฐาน ที่เรียกว่า ธุร
นกิ เขปสมฏุ ฐาน เพราะต้องด้วยการทอดธุระโดยแสดงอาการทางกายหรือทางวาจาว่า
เราสละเร่ืองนั้น ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๑๕/๑๑๒, ๖๖๖/๔๖๖, ๖๖๙-๖๗๐/๔๖๗, สารตถฺ . ฏีกา

๗๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

(บาล)ี ๒/๖๖/๑๑๖, วมิ ติ.ฏกี า (บาลี) ๑/๖๖/๑๙๐

ปโยค (พยายาม) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๑๖๒/๑๒๘. พยายาม คอื ตอ้ งอาบตั ิเพราะกลา่ วเสยี ดสี ได้แก่ต้อง
อาบตั ิปาจิตตยี ์ เพราะกล่าวเสยี ดสตี ามสิกขาบทท่ี ๒ แห่งมสุ าวาทวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์
วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๔/๒๐.

ปโยค (พยายาม) วิ.ป. (ไทย) ๘/๑๖๒/๑๒๘. พยายาม แปลจากคาว่า ปโยค ทุกแห่งหมายถึง
ในขณะพยายามทา หรือใช้ให้ทาส่งิ นน้ั ๆ ก่อนสาเรจ็ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๓๕๓/๖๔-๖.

ปปุ ผฺ นาม (พระมหาปทมุ ะ) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓/๖. พระมหาปทุมะ แปลมาจากคาว่า ปุปฺผนาโม ซ่ึง
ตามตวั อกั ษรแปลวา่ พระเถระช่ือว่าบุปผะ ในที่น้ี พระธรรมสังคาหกาจารย์ท่านใช้คา
ปรศิ นาให้นึกเดา ปุปฺผ ดอกไม้ หมายถึงดอกปทุม คือเป็นคาแทนช่ือ พระมหาปทุมะ
นั่นเอง วชริ .ฏกี า (บาลี) ๓๕, สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๑/๑๘๖, วิมติ.ฏีกา (บาลี) ๑/๔.

สมุ น (พระสมุ นะ) วิ.ป. (ไทย) ๘/๓/๖. พระสมุ นะ แปลมาจากคาวา่ ปุปผฺ นาโม (ปุสสฺ นาโม) ท่านใช้
คาปริศนาอกี เชน่ กนั สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๑/๑๘๖, วิมต.ิ ฏกี า (บาลี) ๑/๔. ดุจคาว่า ชล-
ชุตฺตมนามโก ขุ.อป. (บาลี) ๓๒/๒๘/๘๐, ขุ.อป. (บาลี) ๓๓/๓๔/๑๐๖,๑๐๕/๒๗.
หมายถงึ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ พระนามว่า ปทุมุตตระ ขุ.อป.อ. (บาลี) ๒/๒๘/๗,๑๘๓/
๓๗.

โภคุปฆาตกิ (การทาลายโภคะ) วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๒๒/๔๓๑. การทาลายโภคะ หมายถึง การท่ีภิกษุใช้
สอยของสงฆห์ รือของส่วนบุคคลให้เสยี หาย วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๒๒/๔๔.

มหาวกิ ฏ (ยามหาวิกัฏ) วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๒๔/๔๕๕. ยามหาวกิ ฏั คือ คูถ มูตร เถ้า ดิน ภิกษุอาพาธ
ฉนั ไดโ้ ดยไมต่ ้องรับประเคน ไม่ต้องอาบัตเิ พราะขาดประเคน วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๖๘/๖.

เลฑฺฑุปาต (เลฑฑบุ าต) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๑๖๖/๑๓๗. เลฑฑบุ าต หมายถงึ ระยะที่บุรุษผู้มีกาลังปาน
กลางขว้างกอ้ นดนิ ไปตก ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๙๒/๓๒.

วณฺณมนุปปฺ ทาน (การใช้คาชกั ชวน) วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๗๕/๕๕๖. การใช้คาชักชวน หมายถึงการทา
หนา้ ท่ชี ักสื่อ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๓๗๕/๕๐.

วณณฺ าวณฺณ (สมี ิใช่สี) วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๗๕/๕๕๖. คาวา่ สมี ใิ ช่สี แยกเปน็ พงึ รู้สี คือพึงรู้สีของอสุจิ
มิใช่สี คือพึงร้วู า่ ไม่เกี่ยวกับสีอสจุ ิ แต่ภิกษุพยายามเพอ่ื ความหายโรค น้าอสุจิเคลื่อน วิ.อ.
(บาล)ี ๓/๓๗๕/๕๐๗, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๓๗๕/๕๘๐. ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๒๔๐/๒๕๕-
๒๕.

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๗๓

วกิ าล (เวลาวิกาล) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๑๗๓/๑๕๓. เวลาวกิ าล ในที่นี้หมายถงึ เวลาตั้งแต่เที่ยงวันจนถึง
อรณุ ข้ึน วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๑๓/๖๐.

วกิ าล (เวลาวกิ าล) วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๑๙/๒๓๒. เวลาวิกาล ในท่นี ีห้ มายถึงเวลาตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตก
ไปจนถึงอรณุ ขน้ึ วิ.ภิกขฺ ุนี. (ไทย) ๓/๘๖๖/๑๗.

วภิ ตตฺ ิ (การจาแนก) วิ.ป. (ไทย) ๘/๒/๓. การจาแนก หมายถึงบทภาชนีย์,สิกขาบทวิภังค์ วิ.อ.
(บาล)ี ๓/๒/๔๑.

สหชีวินี (สหชวี ินี) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๒๑/๒๔๐. สหชีวินี หมายถึงภิกษุณีผู้เป็นสัทธิวิหารินีท่ีตนเป็น
ปวตั ตนิ ีคอื อปุ ัชฌาย์บวชให้ วิ.ภกิ ฺขุน.ี (ไทย) ๓/๙๔๘/๒๒.

สามเณรี (สามเณรผูห้ ญิง) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๒๖/๒๖๙. สามเณรผี ู้หญิง ผู้หญิงผู้ได้รบั การบรรพชาใน
สานกั ภกิ ษุณถี ือสิกขาบท ๑๐ เหมือนสามเณร

สิกฺขมานา (สิกขมานา) วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๒๔/๒๕๕. สิกขมานา คือ มาตุคามบวชกาลังศึกษา
สิกขาบท ๖ ข้อ หรือ สามเณรีผู้มีอายถุ ึง ๑๘ ปีแล้ว อีก ๒ ปี จะครบบวชเป็นภิกษุณีต้อง
ขอสมาทานสกิ ขาบท ๖ ข้อตลอด ๒ ปี โดยไม่บกพร่องจึงทรงอนุญาตให้ บวชได้ วิ.อ.
(บาลี) ๒/๑๐๗๗/๕๑.

สกิ ฺขปู ฆาติก (การทาลายสิกขา) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓๒๒/๔๓๑. การทาลายสิกขา หมายถึง การท่ีภิกษุ
ไม่ศึกษาสกิ ขา วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๒๒/๔๔.

หตถฺ ปาส (ช่วงแขน) วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๒๘/๒๘๒. ชว่ งแขน คอื หัตถบาส ได้แก่ ระยะท่ีเหยียดแขน
ออกไปจบั ตวั อกี คนหนึง่ ได้

อาชีวเหตุ (เหตแุ ห่งอาชีวะ) วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๓๖/๕๑๐. เหตุแห่งอาชีวะ คือมุ่งเล้ียงชีวิต วิสุทฺธิ.
มหาฏีกา (บาลี) ๑/๑๑๖/๖.

อาปาณโกฏิก (อาปาณโกฏิกศีล) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒/๔. อาปาณโกฏิกศีล หมายถึงศีลที่สมาทานแล้ว
ประพฤติตามนน้ั จนตลอดชวี ติ วสิ ทุ ธฺ .ิ (บาล)ี ๑/๑๑/๑.

อามกธญฺ (ข้าวเปลือกดิบ) วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๑๘/๒๒๖. ข้าวเปลือกดิบ หมายถึงออกปากขอ
ข้าวเปลือกมาค่วั หรือตาหุงแลว้ ฉนั วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๘๒๑/๑๔.

อุกขฺ ติ ฺตานุวตตฺ ิก (ผู้ประพฤติตามภกิ ษผุ ูถ้ ูกสงฆล์ งอุกเขปนิยกรรม) วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๒๘/๒๘๒. ผู้
ประพฤตติ ามภกิ ษุผถู้ กู สงฆล์ งอุกเขปนิยกรรม หมายถึงผ้ถู ูกสงฆล์ งอกุ เขปนยี กรรมตดั สิทธิ
ชว่ั คราวโดยยกออกจากหมู่ ห้ามสมโภคกบั สงฆ์ คอื ไม่ให้ฉนั รว่ ม ไมใ่ ห้อยู่ร่วม ไม่ให้มีสิทธิ์

๗๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

เสมอกับภิกษุท้งั หลาย จนกวา่ สงฆ์จะยอมระงับกรรมน้นั
อุพฺพาหกิ (อพุ พาหิกสมมุติ) ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓๓๐/๔๙๒. อุพพาหกิ สมมุติ หมายถึง การแต่งตั้งคณะ

ผวู้ นิ ิจฉยั ววิ าทาธิกรณ์ เพือ่ ระงับอธกิ รณน์ ้ันด้วยอพุ พาหิกวิธี วิ.จ.ู (ไทย) ๖/๒๓๑/๓๔๙.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๗๕

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก

พระสตุ ตนั ตปิฎกเลม่ ที่ ๙

กณฺณกิ ลกฺขณ (ตมุ้ หู) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๐๖/๗๐. ตุม้ หู อีกความหมายหน่งึ หมายถึงยอดเรือน ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๒๒/๘.

กตกรณยี (ทากจิ ทคี่ วรทาเสรจ็ แล้ว) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๔๗๙/๒๑๑. ทากิจที่ควรทาเสร็จแล้ว หมายถึง
ไม่มีหน้าท่ีในการบาเพ็ญมรรคญาณเพ่ือความหมดส้ินแห่งกิเลสอีกต่อไป เพราะ
พระพุทธศาสนาถือว่า การบรรลพุ ระอรหัตผลเป็นจดุ หมายสูงสุด ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/
๒๐.

กรณยี (กิจทคี่ วรทา) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๔๘/๘๔. กจิ ทคี่ วรทา ในทน่ี ้หี มายถึงกิจในอริยสัจ ๔ คือ การ
กาหนดรู้ทกุ ข์, การละเหตุเกิดแห่งทุกข์, การทาให้แจ้งซึ่งความดับทุกข์ และการอบรม
มรรคมีองค์ ๘ ใหเ้ จรญิ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/๒๐.

กามคณุ (กามคุณ) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๕๔๖/๒๓๙. กามคุณ ในที่น้ีหมายถึง สิ่งท่ีผูกพันสัตว์ไว้ คือกาม
ได้แก่ รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ โดยแยก อธิบายว่า กาม คือส่ิงที่ทาให้เกิดความใคร่
คณุ คอื เครือ่ งผูกพันหรอื พนั ธนาการ ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๕๔๖/๓๓.

กามาวจร (กามาวจร) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๘๖/๓๕. กามาวจร ในท่ีน้หี มายถงึ เทวดาชั้นกามาวจร ๖ ช้ัน
คือ จาตมุ หาราชิกา ดาวดงึ ส์ ยามา ดสุ ิต นมิ มานรดี ปรนมิ มิตวสวัตดี ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๘๖/๑๑.

กสุ จรี (ผ้าคากรอง) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๓๙๖/๑๖๕. ผา้ คากรอง หมายถึง ผา้ ท่ถี กั ทอดว้ ยหญา้ คา เป็นผ้า
ทพี่ วกฤาษีใชน้ ุ่งหม่ ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๓๙๖/๒๙.

โกตหุ ลสาล (ศาลาถกแถลง) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๔๑๑/๑๗๖. ศาลาถกแถลง อรรถกถาอธิบายว่า ไม่มี
ศาลาที่มีช่ืออย่างน้โี ดยเฉพาะ แตเ่ ปน็ สถานที่ท่ีสมณพราหมณ์ผู้เป็นเดียรถีย์ต่างพวกมา
แสดงทรรศนะตามลัทธิของตน ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๑๑/๓๐.

คนฺธารี (คันธารี) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๔๘๔/๒๑๔. คันธารี หมายถึง วิชาทฤ่ี าษีคันธาระเป็นผู้สอน อีกนัย
หน่งึ หมายถงึ วชิ าที่เกิดข้ึนในแคว้นคันธาระ ซึ่งมีฤาษีพานักอยู่มาก ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๔๘๔/๓๒. ฏกี าอธบิ ายวา่ วิชาคันธารี มี ๒ อยา่ ง คือ จฬู คันธารี สามารถรทู้ ี่เกิดของคนที่

๗๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

ตายไปแล้ว ๓ ปีได้ มหาคันธารี สามารถร้ทู ่ีเกิดของคนท่ีตายไปนานกว่าน้ันได้ เพราะมี
อทิ ธิวิธญาณดว้ ย ที.สี.ฏีกา (บาล)ี ๒/๔๘๓-๔๘๔/๕๑.

จตปุ ริสา (บริษทั ๔) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๐๔/๑๑๕. บรษิ ัท ๔ ในที่นี้หมายถึง ผู้เข้าเฝูาโดยทั่วไป มีอยู่
๔ จาพวก คือ ขัตติยบรษิ ัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัทและสมณบริษัท ที.ม. (ไทย)
๑๐/๑๗๒/๑๑๙, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๗/๓๔๘.

จตุรงฺคินี (กองทพั ๔ เหลา่ ) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๔๐/๑๓๓. กองทัพ ๔ เหล่า ได้แก่ พลช้าง พลม้า พล
รถ และพลเดินเทา้ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๑๔/๔๕๖, ข.ุ ม.อ. (บาล)ี ๑/๑.

จิตฺตหตฺถิสารีปตุ ฺต (จติ ตหัตถสิ ารีบุตร) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๔๒๒/๑๘๕. จิตตะ หัตถิสารีบุตร เป็นบุตร
นายควาญชา้ งกรงุ สาวตั ถี บวชๆ สึกๆ จนครบ ๗ ครัง้ ในตอนเกิดพระสูตรนี้ ที.ส.ี อ. (บาล)ี
๑/๔๒๒/๓๑.

เจโตสมาธิ (เจโตสมาธิ) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๑/๑๒. เจโตสมาธิ คือสมาธิแห่งจิต หมายถึง สมาธิใน
รปู า วจรจตตุ ถฌาน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๓๑/๙.

ชนปทกถา (เรื่องชนบท) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๗/๗. เร่ืองชนบท ในที่นี้หมายถึง เขตปกครองที่
ประกอบดว้ ยเมือง (นคร) หลาย ๆ เมือง ตรงกับคาว่าแคว้นหรือรัฐในปัจจุบัน ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๑๗/๘.

ชนปทกลฺยาณี (หญิงงามแห่งชนบท) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๒๖/๑๘๗. หญิงงามแห่งชนบท ในที่น้ี
หมายถงึ หญงิ ท่ีมีผวิ พรรณ ทรวดทรง และกิริยามารยาทงดงามกว่าหญิง ท่ัวไปในแคว้น
นน้ั ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๒๖/๓๑.

ชวี (ชีวะ) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. ชวี ะ หมายถึง พวกพืชทกุ ชนดิ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.

ชวี (ชวี ะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๗๖/๑๕๗. ชีวะ ในท่ีน้ีหมายถึง วิญญาณอมตะ หรือ อาตมัน (Soul)
อภ.ิ ปญฺจ.อ. (บาล)ี ๑/๑๒.

ชีวกโกมารภจฺจ (ชีวก โกมารภัจ) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๕๐/๔๘. ชีวกโกมารภัจ คือแพทย์ประจาองค์
พระพทุ ธเจ้า ที่ชื่อวา่ ชวี ก เพราะเมื่อคลอดออกมาวนั แรกถูกแมน่ าไปทิง้ แต่มีชีวิตรอดมา
ได้ ที่ช่ือว่า โกมารภัจ เพราะอภัยราชกุมารทรงนาไปเล้ียงไว้อย่างราชกุมาร เขาจบ
การศกึ ษาทางแพทย์ เปน็ คนแรกทผี่ า่ ตัดสมองเป็นผลสาเร็จ ว.ิ มหา. (ไทย) ๕/๓๒๘/๑๒.

ญาณทสฺสน (ญาณทสั สนะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๓๔/๗๘. ญาณทัสสนะ ในท่ีนี้หมายถึง ความรู้และ
ความเหน็ ตรงตามเป็นจรงิ อาจเรยี กวา่ มรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญตุ ญาณ ปัจจเวกขณ

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๗๗

ญาณ หรือวิปัสสนาญาณก็ได้ ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๓๔/๑๙.

ญาณทสฺสน (ญาณทสั สนะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๗๒/๒๐๕. ญาณทัสสนะ ในที่นี้หมายถึงความรู้และ
ความเห็นตรงตามความเปน็ จริง อาจเรยี กวา่ มรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ ปัจจ
เวกขณญาณ หรือวิปัสสนาญาณกไ็ ด้ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๓๔/๑๙.

ตกกฺ ี (นกั ตรรกะ) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๓๔/๑๕. นกั ตรรกะ ผู้ท่ีให้เหตุผลตามแนวของตรรกศาสตร์ (Logic)
มี ๔ จาพวก คือ อนสุ สติกะ อนุมานจากขอ้ มูลที่เป็นประสบการณ์ ชาติสสระ อนุมานโดย
การระลึกชาติ ลาภติ ักกกิ ะ อนุมานจากประสบการณ์ ภายในของตน และ สุทธิตักกิกะ
อนมุ านโดยใชเ้ หตุผลล้วน ๆ ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๓๔/๙.

ตถาคต (ตถาคต) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๘๑/๖๐. ตถาคต ในท่ีนเ้ี ปน็ คาทีล่ ทั ธิอื่น ๆ ใช้กนั มากอ่ นพทุ ธกาล
หมายถึง อัตตา (อาตมัน) ไม่ได้หมายถงึ พระพุทธเจ้า อรรถกถาอธิบายว่า หมายถงึ สัตตะ
ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๐.

ตถาคต (ตถาคต) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๘/๑๑. ตถาคต ในที่นี้ เป็นคาท่ีพระพทุ ธเจา้ ตรัสหมายถงึ พระองค์
เอง แทนคาว่า เรา (อตุ ตมบุรุษ) ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๘/๙.

ตถาคต (ตถาคต) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๒๐/๑๘๓. ตถาคต ในท่ีน้ีเป็นคาที่ลัทธิอื่น ๆ ใช้กันมาก่อน
พุทธกาล หมายถึง อัตตา (อาตมัน) ไม่ได้หมายถึง พระพุทธเจ้า อรรถกถาอธิบายว่า
หมายถึง สัตตะ ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๖๕/๑๐.

ตถาคต (ตถาคต) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๖๕/๒๗. ตถาคต ในทน่ี ้ีเปน็ คาทลี่ ัทธิอ่ืน ๆ ใช้กันมาก่อนพุทธกาล
หมายถงึ อตั ตา (อาตมัน) ไม่ได้หมายถึง พระพุทธเจา้ อรรถกถาอธบิ ายว่า หมายถงึ สตั ตะ
ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๐.

ตริ จฺฉานกถา (ดิรัจฉานกถา) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๗/๗. ดิรัจฉานกถา คือ ถ้อยคาอันขวางทางไปสู่
สวรรค์ นพิ พาน หมายถงึ เร่ืองราวทภ่ี ิกษุไม่ควรนามาเป็นข้อถกเถียงสนทนากัน ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๑๗/๘.

ตริ จฺฉานวิชชฺ า (เดรจั ฉานวชิ า) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๑/๘. เดรจั ฉานวิชา หมายถึง วิชาที่ขวางทางไปสู่
สวรรค์ นิพพานใช้วา่ ดิรัจฉานวิชา กม็ ี ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๗/๘.

ทิฏฺ ธมฺมนิพฺพานวาท (ทฏิ ฐธัมมนิพพานวาทะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๙๓/๓๗. ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ
หมายถงึ ลัทธทิ ่ีถอื วา่ สามารถบรรลนุ ิพพาน หรอื สามารถดบั ทุกข์ได้โดยง่าย ในอัตภาพน้ี
เป็นความเข้าใจของพวกท่ีเห็นความเพลิดเพลินจากกามคุณว่าเป็นนิพพาน หรือเห็น
ความสุขจากฌานว่าเปน็ นพิ พาน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๙๗/๑๑.

๗๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

ทานปติ (ทรงเปน็ ทานบดี) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๓๔๐/๑๓๓. ทรงเปน็ ทานบดี หมายถงึ ผู้เป็นนายแห่งทาน
ไม่ใชเ่ ป็นทาสหรือเป็นสหายของทาน กล่าวคือ ตนเองใช้สอยตามมีตามเกิด แต่บริจาค
ของดขี องประณีตใหแ้ กค่ นอืน่ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๓๔๐/๒๖.

ทายก (ทรงเป็นทายก) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๓๔๐/๑๓๓. ทรงเป็นทายก หมายถึงผู้ที่ไม่ใช่มีเพียงศรัทธา
อยา่ งเดยี ว แตเ่ ป็นผู้ทสี่ ามารถบรจิ าคได้ด้วย ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๓๔๐/๒๖.

ทิฏฺ ชาล (ข่ายแห่งทิฏฐิ) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๔๘/๔๗. ที่ชื่อว่าข่ายแห่งทิฏฐิ เพราะพระองค์ทรงแจก
แจงทฏิ ฐิ ๖๒ อนั เป็นดุจตาข่ายที่ผูกมัดผู้ที่มีความเชื่อลัทธิเหล่าน้ีไว้ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๑๔๘/๑๑.

ทฺวาสฏฺ ทฏิ ฺ (ทิฏฐิ ๖๒) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๔๖/๔๖. ทิฏฐิ ๖๒ คือทฤษฎีทางอภิปรัชญาท่ีมีอยู่ใน
อนิ เดยี ท้ังก่อนและรว่ มสมยั กับพระพุทธองค์ มอี ยู่ท้งั หมด ๖๒ ทฤษฎี พระพุทธองค์ทรง
ยกมาแสดงเพื่อยืนยนั ว่า พระองคท์ รงรู้ทฤษฎดี ังกล่าวอยา่ งแจม่ แจ้ง และทรงแสดงพรหม
ชาลสูตรครอบคลมุ ทฤษฎีเหลา่ น้ันทั้งหมด เปรยี บเหมือนชาวประมงใชแ้ หทอดคลมุ ปลาไว้
ได้ ท้งั หมด ฉะน้นั ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๔๖/๑๑.

ธมมฺ จกฺขุ (ธรรมจกั ษุ) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๕๓/๘๖. ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรม โดยทั่วไปหมายถึง
การเหน็ อรยิ สัจ ๔ และการบรรลมุ รรค ๓ เบ้อื งตน้ แต่ในที่น้หี มายถึงการบรรลุโสดาปัตติ
มรรค ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๕๓/๒๑.

ธมฺมชาล (ข่ายแห่งธรรม) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๔๘/๔๗. ที่ช่ือว่าข่ายแห่งธรรม เพราะพระองค์ตรัสถึง
แบบแผน และลัทธธิ รรมเนยี มอันเปน็ ดุจตาข่ายไว้ ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๔๘/๑๑.

ธมมฺ ฏฺ ตตา (ธรรมฐติ ิ) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๔๒๑/๑๘๕. ธรรมฐติ ิ หมายถึง สภาวะท่ีดารงอยู่เอง เป็นอยู่
เองตามธรรมดา อรรถกถาหมายเอา สภาวะทีด่ ารงอยู่ในโลกุตตรธรรม ๙ ที.สี.อ. (บาลี)
๑/๔๒๑/๓๑.

ธมมฺ นิยามตา (ธรรมนิยาม) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๔๒๑/๑๘๕. ธรรมนิยาม ได้แก่ กฏที่แน่นอนแห่งสภาวะ
อนั มอี ยูจ่ ริงแท้ และแนน่ อนหลบเล่ียงไมไ่ ด้ ตอ้ งเปน็ ไปตามทีม่ นั เป็น หรอื อาจเรยี กว่า กฏ
ธรรมชาติก็ได้ อรรถกถาหมายเอากฏทีแ่ นน่ อนแหง่ โลกุตตรธรรม ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๒๑/
๓๑.

นตฺถิกวาท (นัตถิกวาทะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๔. นัตถิกวาทะ หมายถงึ ลัทธิทถ่ี อื ว่า ไม่มีเหตุไม่มี
ปจั จยั ทที่ าให้สตั วบ์ ริสุทธห์ิ รอื เศร้าหมอง ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔. และมีนัยว่า สัตว์
บรสิ ทุ ธิ์เองดว้ ยการเวียนว่ายตายเกดิ ที่เรียกว่า สงั สารสุทธิ

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๗๙

นิคณฺ นาฏปุตฺต (ครูนิครนถ์ นาฏบุตร) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๕๖/๖๐. ครูนิครนถ์ นาฏบุตร ในท่ีน้ี
หมายถึงนิครนถ์ ผเู้ ปน็ บตุ รของนกั ฟูอน ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๕๖/๑๓.

นคิ ณฺ คพฺภ (นคิ ณั ฐคี รรภ์) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. นิคณั ฐีครรภ์ หมายถึง ที่งอกซง่ึ อย่ทู ่ีขอ้ หรือตา
เชน่ ออ้ ย ไม้ไผ่ และไม้ออ้ เป็นตน้ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.

นมิ ิตฺตคฺคาหี (รวบถอื ) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๑๓/๗๒. รวบถอื หมายถึง มองภาพรวมโดยไม่พิจารณาลง
ไปในรายละเอียด เชน่ มองว่า รูปนั้นสวย รูปน้ีไม่สวย อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑๓๕๒/๔๕๖-
๔๕๗

บรสิ า (บรษิ ัท) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๐๓/๑๗๒. บรษิ ทั ในทนี่ หี้ มายถงึ กลุ่มของบุคคลหลายสถานะที่มา
เข้าเฝูาพระพุทธเจ้า เพ่ือต้องการจะฟังพระธรรมเทศนา มี ๘ กลุ่ม คือ ขัตติยบริษัท
พราหมณบรษิ ัท คหบดบี ริษัท สมณบริษัท จาตุมหาราชิกาบริษัท ตาวติงสบริษัท มาร
บรษิ ทั และพรหมบรษิ ัท ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๕๑/๑๕๐, ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๐๓/๒๙.

ปกธุ กจฺจายน (ครูปกธุ ะ กจั จายนะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๕๔/๔๙. ครูปกุธะ กัจจายนะ ในท่ีน้ีหมายถึง
เจ้าลทั ธชิ ่ือปกธุ ะ กจั จายนโคตร ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๕๔/๑๓.

ปจฺฉาสมณ (ปจั ฉาสมณะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๔๘/๑๙๘. ปัจฉาสมณะ หมายถึงพระผู้ติดตาม พระ
อานนท์ก็เคยเปน็ ปัจฉาสมณะของพระผมู้ ีพระภาค วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๒๖/๓๙.

ปริวาส (ปริวาส) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๐๕/๑๗๓. ปริวาส ในพระสูตรนี้เรียกว่า ติตถิยปริวาส ได้แก่
ข้อบงั คับนกั บวชนอกพระพุทธศาสนาที่หันมาเลือ่ มใส พระธรรมวนิ ยั แล้วประสงค์จะบวช
เปน็ ภกิ ษุ ให้ขอปริวาสต่อสงฆ์ แลว้ ดารงตนอย่างสามเณรครบ ๔ เดือน จนสงฆ์พอใจจึง
จะขออุปสมบทเปน็ ภิกษุได้ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๐๕/๒๙.

ปาณ (ปาณะ) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. ปาณะ หมายถึง สัตว์ท่มี ี ๑ อินทรีย์ ๒ อินทรีย์เปน็ ต้น

ปถุ ชุ ฺชน (ปถุ ชุ น) ที.สี. (ไทย) ๙/๗/๓. ปุถุชน หมายถึง คนที่ยังมีกิเลสหนา ท่ีเรียกเช่นน้ี เพราะ
บุคคลประเภทนย้ี งั มีเหตุก่อใหเ้ กิดกเิ ลสอย่างหนานานัปการ ปถุ ชุ นมี ๒ ประเภท คอื อนั ธ
ปุถุชน คนที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรมทางจิต และกัลยาณปุถุชน คนที่ได้รับการศึกษา
อบรมทางจิตแล้ว ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๗/๕๘-๕.

ปรุ ิสภูมิ (ปุริสภมู ิ ๔) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. ปุริสภูมิ หมายถงึ ข้นั ตอนแหง่ การเจริญเตบิ โตและ
พัฒนาการของบคุ คล นบั ตัง้ แตค่ ลอดไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แบ่งเป็น ๘ ขั้น คือ
มนั ทภูมิ (ระยะไร้เดยี งสา) ขฑิ ฑาภูมิ (ระยะรู้เดียงสา) ปทวีมังสภมู ิ (ระยะต้ังไข่) อชุ คุ ตภมู ิ
(ระยะเดนิ ตรง) เสขภมู ิ (ระยะศึกษา) สมณภูมิ (ระยะสงบ) ชินภูมิ (ระยะมีความรอบรู้)

๘๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

ปนั นภมู ิ (ระยะแกห่ งอ่ ม) ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔๗-๑๔.

ปรู ณกสฺสป (ปูรณะ กัสสปะ) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๒/๔๘. ครปู ูรณะ กัสสปะ ในทนี่ ี้หมายถึงเจ้าลัทธิช่ือ
ปรู ณะ กัสสปโคตร ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๕๑/๑๓.

โปกฺขรสาติ (พราหมณ์โปกขรสาติ) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๕๕/๘๗. พราหมณ์โปกขรสาติ หมายถึง
พราหมณ์ผนู้ มี้ ผี วิ กายเหมอื นดอกบวั ขาว งดงามดุจเสาระเนียดเงิน ศีรษะสีดาดุจมรกต
หนวดดุจปยุ เมฆดาในดวงจันทร์ ลูกตาทั้ง ๒ ข้างเหมือนดอกบัวเขียว จมูกกลมเกลี้ยง
เกลา ฝุามือฝุาเท้าและชอ่ งปากงดงามดังไล้ทาดว้ ยสีคร่งั เขาเปน็ คนท่มี รี ่างกายงดงามมาก
ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๕๕/๒๑.

ผสสฺ (สมั ผัส) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๔๔/๔๕. สมั ผัส ในทนี่ หี้ มายถงึ การกระทบกนั ระหว่างอายตนะภายใน
กบั อายตนะภายนอก เช่น ตากระทบรปู พระพทุ ธเจา้ ตรัสว่า ทิฏฐิ ๖๒ เริ่มต้นจากผัสสะ
นาไปสเู่ วทนา สุดทา้ ยก็คือความทกุ ข์ ดังนั้นจึงไมอ่ าจนาไปสู่ความดับทุกข์ได้แต่อย่างใด
ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๔๔/๑๑.

พชี คาม (พชื คาม) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๑/๕. พืชคาม ได้แก่ พืชพันธุ์จาพวกท่ีถูกพรากจากท่ีแล้ว ยัง
สามารถงอกข้ึนไดอ้ กี ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๑/๗.

พทุ ธฺ (พระพุทธเจ้า) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๕๗/๕๐. ที่ชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้า เพราะทรงรู้ส่ิงท่ีควรรู้
ทง้ั หมดดว้ ยพระองค์เองและทรงสอนใหผ้ ู้อืน่ รตู้ าม ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๕๗/๑๓.

พฺรหมฺ จริย (พรหมจรรย์) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๙๐/๖๔. พรหมจรรย์ หมายถึงความประพฤติประเสริฐ มี
นัย ๑๐ ประการ คือ ทาน (การให้) ไวยาวัจจะ (การขวนขวายช่วยเหลือ) ปัญจสีละ (ศีล
ห้า) อปั ปมัญญา (การประพฤติพรหมวิหารอยา่ งไม่มีขอบเขต) เมถุนวิรัติ (การงดเว้นจาก
การเสพเมถุน) สทารสันโดษ (ความยินดีเฉพาะคู่ครองของตน) วิริยะ (ความเพียร)
อุโปสถังคะ (องค์อุโบสถ) อริยมรรค (ทางอันประเสริฐ) และ ศาสนา (พระพุทธศาสนา)
ในทน่ี ีห้ มายถงึ ศาสนา ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๙๐/๑๖๐-๑๖.

พรฺ หมฺ จรยิ (พรหมจรรย์) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๗/๓. พรหมจรรย์ ในทน่ี ี้หมายถงึ เมถนุ วิรัติ หรือการงดเว้น
จากเมถนุ ธรรม ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๘๙/๑๖.

พฺรหฺมจริยปริโยสาน (ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๐๕/๑๗๔. ที่สุดแห่งพรหมจรรย์
หมายถึงจุดหมายสุดท้ายของการประพฤติธรรม ในท่ีน้ีหมายเอา อรหัตผล อันเป็น
จุดหมายสงู สุดของมรรคพรหมจรรย์ ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๔๐๕/๓๐.

พฺรหฺมญฺ สงขฺ าต (พรหมัญคณุ ) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๙๔/๑๖๔. พรหมญั คณุ หมายถึง พราหมณกรรม

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๘๑

ไดแ้ กข่ ้อปฏิบตั ิท่ที าให้ความเป็นพราหมณส์ มบูรณ์ ตามความเข้าใจของคนยุคนั้น ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๓๙๔/๒๙.

พฺราหฺมณการก (ธรรมที่ทาให้เป็นพราหมณ์) ที.สี. (ไทย) ๙/๕๔๔/๒๓๙. ธรรมที่ทาให้เป็น
พราหมณ์ ในท่ีน้ีหมายถึง ศีล ๕ ศลี ๑๐ และกุศลกรรมบถ ๑๐ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๕๔๔-
๕๔๕/๓๓.

ภควา (พระผ้มู ีพระภาค) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๗/๕๐. ทชี่ ่ือวา่ เปน็ พระผู้มีพระภาค เพราะทรงมีโชค
ทรงทาลายข้าศึกคือกิเลส ทรงประกอบด้วยภคธรรม ๖ ประการ (คือ ความเป็นใหญ่
เหนอื จติ ของตน, โลกตุ ตรธรรม, ยศ, สริ ิ, ความสาเร็จประโยชน์ ตามต้องการ และความ
เพยี ร) ทรงจาแนกแจกแจงธรรม ทรงเสพอริยธรรม ทรงคาย ตัณหาในภพท้ังสาม ทรง
เปน็ ท่เี คารพของชาวโลก ทรงอบรมพระองคด์ แี ล้ว ทรงมีส่วนแห่งปัจจัย ๔ เป็นต้น วิ.อ.
(บาล)ี ๑/๑/๑๐๓-๑๑๘, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๑/๒๗. อนึ่ง พุทธคุณนี้ ท่านแบ่งเป็น ๑๐
ประการ โดยแยกพทุ ธคณุ ข้อ ๖ เป็น ๒ ประการ คือ เป็น ผู้ยอดเย่ียม เป็นสารถีฝึกผู้ที่
ควรฝกึ ได้ วสิ ทุ ฺธิ. (บาลี) ๑/๑๔๓-๑๔๔/๒๒๙-๒๓๑, วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑/๑๑๒-๑๑.

ภูต (ภตู ะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. ภูตะ หมายถึง สตั ว์ทกุ จาพวกท้ังท่ีเกิดจากฟองไข่และเกิดใน
ครรภ์มารดา

ภูตคาม (ภตู คาม) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๑/๕. ภูตคาม ได้แก่ ของเขียว หรือพืชพันธ์ุอันเกิดอยู่กับท่ี มี ๕
ชนิด คือ ทีเ่ กดิ จากเหง้า เช่นกระชาย, เกดิ จากตน้ เชน่ โพ, เกิดจากตา เช่นอ้อย, เกิดจาก
ยอด เช่นผกั ชี, เกดิ จากเมลด็ เชน่ ข้าว ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๗.

มกฺขลโิ คสาล (ครมู ักขลิ โคศาล) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๒/๔๘. ครมู ักขลิ โคศาล ในท่ีนีห้ มายถึงเจ้าลัทธิ
ช่ือมกั ขลิ ผเู้ กิดในโรงโค ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๒/๑๓.

มณิกา (มณิกา) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๔๘๕/๒๑๕. มณกิ า ไดแ้ ก่ วิชาจนิ ดามณี ผ้รู ู้วชิ าจนิ ดามณี สามารถรู้
ใจคนอืน่ ได้ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๔๘๕/๓๒.

มณฑฺ ลมาฬ (หอนั่ง) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๓/๒. หอนั่ง หมายถึง อาคารทรงกลม ใชเ้ ป็นทีพ่ กั รอ้ น โดยปกติ
มสี ระนา้ และสวนดอกไมล้ ้อมรอบ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๓/๔.

มนฺต (มนตร์) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๕๖/๘๘. มนตร์ คือ บทสวด (มนั ตระ) ในคัมภีร์พระเวท หมายถึงบท
สวดสรรเสริญเทพเจ้า ซง่ึ รวบรวมเปน็ หมวดๆ เรยี กช่ือว่า ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และ
อาถรรพเวท

มหคฺคต (มหัคคตะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๔๒/๘๑. มหัคคตะ แปลว่า ถึงความเป็นใหญ่ มหัคคตจิต

๘๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

หมายถงึ จิตท่ีถงึ ฌานสมาบัติ ข.ุ ป.อ. (บาล)ี ๑/๑๐๔/๓๖๖, อภิ.สง.ฺ อ. (บาล)ี ๑๒/๙.

มหคคฺ ต (มหคั คตะ) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๔๗๖/๒๐๘. มหัคคตะ แปลว่า ถึงความเป็นใหญ่ มหัคคตจิต
หมายถึงจิตที่ถึงฌานสมาบัติ ข.ุ ป.อ. (บาล)ี ๑/๑๐๔/๓๖๖, อภ.ิ สงฺ.อ. (บาล)ี ๑๒/๙.

มหากปฺป (มหากัป) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. มหากัป หมายถึง กาหนดระยะเวลา ๑ มหากัป
ยาวนานมาก อรรถกถาเปรียบว่า มีสระนา้ ใหญ่ แห่งหน่ึงเต็มด้วยน้า บุคคลเอาปลายใบ
หญ้าคาจ่มุ ลงไปนาหยดน้าออกมา ๑๐๐ ปีต่อ ๑ ครัง้ จนน้าในสระน้ันแห้ง กระทาเช่นนี้
ไปจนครบ ๗ ครง้ั นน่ั คอื ระยะเวลา ๑ มหากัป ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.

เม (ข้าพเจ้า) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑/๑. ข้าพเจ้า ในตอนเริ่มต้นของพระสตู รนี้และพระสูตรอ่นื ๆ ท้ังหมด
หมายถงึ พระอานนท์ ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๑/๓.

เมถุน (เมถนุ ธรรม) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๗/๓. เมถนุ ธรรม คอื กจิ ของคนคู่ หมายถงึ การร่วมประเวณีหรือ
การเสพสงั วาสกัน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๘/๗.

รโชธาตุ (รโชธาตุ) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. รโชธาตุ คือ ฝุนละออง ในท่ีนี้หมายถึง ท่ีท่ีฝุนจับเกาะ
เช่นหลงั ฝาุ มือ ฝาุ เทา้ เป็นตน้ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.

รโชปถ (ทางแห่งธุลี) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๙๑/๖๔. ทางแห่งธุลี หมายถึงเป็นท่ีเกิดและเป็นที่ต้ังแห่ง
กิเลสอันทาจติ ให้เศรา้ หมอง เชน่ ราคะโทสะ ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๑๖.

โลก (โลก) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๑๗/๗๔. โลก ในที่นี้หมายถงึ สภาพทต่ี อ้ งแตกสลายคอื อุปาทานขันธ์ ๕
ได้แก่ ความยึดตดิ วา่ รปู เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ มีตัวตนและเป็นของตน อัน
เป็นเหตุให้เกดิ ทุกข์ ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๑๗/๑๙.

โลกยตมหาปุริสลกฺขณ (การทานายลักษณะมหาบุรุษ) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๔๖/๘๘. การทานาย
ลกั ษณะมหาบุรษุ หมายถงึ ศาสตรว์ ่าดว้ ยลักษณะของบคุ คลสาคัญมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
อันมีอยู่ในคัมภีร์พราหมณ์ ซึ่งเรียกว่า มนตร์ เฉพาะส่วนท่ีว่าด้วยผู้เป็นพระพุทธเจ้า
เรยี กวา่ พทุ ธมนตร์ มีอยู่ ๑๖,๐๐๐ คาถา ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๕๖/๒๒.

โลกายต (โลกายตศาสตร์) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๕/๑๐. โลกายตศาสตร์ ในท่ีน้ีหมายถึง วิตัณฑวาท
ศาสตร์ คอื ศลิ ปะแหง่ การเอาชนะผ้อู นื่ ในเชงิ วาทศิลป์ โดยการอ้างทฤษฎีและประเพณี
ทางสังคมมาหกั ลา้ งสจั ธรรม ม่งุ แสดงใหเ้ หน็ ว่าตนฉลาดกวา่ มิได้มุ่งสัจธรรม แต่อย่างใด
ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๕๖/๒๒.

วตฺถวุ ิชฺชา (วชิ าพื้นท่ี) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๑/๘. วิชาพ้ืนท่ี หมายถึง ความรู้เร่ืองลักษณะอันเป็นคุณ

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๘๓

เป็นโทษของทาเลท่ตี ้งั บา้ นเรือน และเรอื กสวนไรน่ าเป็นตน้ ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๑/๘.

วกิ าล (เวลาวกิ าล) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๐/๔. เวลาวิกาล ในทน่ี หี้ มายถึง ผิดเวลาท่ีกาหนดไว้ คือต้ังแต่
หลังเทย่ี งวันจนถงึ เวลาอรณุ ข้ึน ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๐/๗.

วิญฺ าณ (วญิ ญาณ) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๔๙๙/๒๒๐. วิญญาณ ในที่นี้หมายถึงจริมกวิญญาณบ้าง อภิ
สงั ขารวญิ ญาณบ้าง ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๙๙/๓๒.

วิญฺ าณ (วิญญาณ) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๙๙/๒๒๐. วิญญาณ ในที่น้ีหมายถึงพระนิพพาน ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๔๙๙/๓๒.

วิญฺ าณญฺจายตนฌาน (วิญญาณัญจายตนฌาน) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๔๑๓/๑๗๙. วิญญาณัญจายตน
ฌาน หมายถงึ ฌานทกี่ าหนดวิญญาณอันหาท่สี ุดมิได้เป็นอารมณ์ เป็นข้ันที่ ๒ ของอรูป
ฌาน ๔ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๔๑๔/๓๐.

วมี สี (นกั อภปิ รชั ญา) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๓๔/๑๕. นกั อภิปรชั ญา ผู้ท่ีให้เหตุผลโดยการคาดคะเนความ
จรงิ เอาจากการเทียบเคียงจนพอใจถกู ใจแลว้ ยดึ ถือเป็นทฤษฎี เช่น คาดคะเนในเร่ืองที่
เกีย่ วกบั ปฐมเหตขุ องโลกและจกั รวาล ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๓๔/๙.

วุสิตพฺรหฺมจริย (อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๐๕/๑๗๔. อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
หมายถึง กจิ แห่งการปฏบิ ัติเพอื่ ทาลายอาสวกเิ ลสจบสน้ิ สมบูรณ์แล้ว ไม่มีกิจที่จะต้องทา
เพ่ือตนเอง แตย่ ังมหี น้าท่ีเพื่อผอู้ ืน่ อยู่ ผ้บู รรลุถึงข้ันนี้ได้ชื่อว่า อเสขบุคคล ที.สี.อ. (บาลี)
๑/๒๔๘/๒๐.

เวเทหิปุตตฺ (เวเทหิบุตร) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๐/๔๘. เวเทหิบุตร หมายถึง เป็นพระราชโอรสของพระ
เจา้ พิมพิสารกบั พระนางเวเทหิ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๕๐/๑๒.

โวทานยิ (โวทานยิ ธรรม) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๒๙/๑๙๐. โวทานิยธรรม หมายถึงธรรมท่ีทาให้จิตผ่อง
แผว้ ได้แก่ สมถะและวปิ สั สนา ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๔๒๙/๓๑.

สกสญฺ (สกสัญญา) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๔๑๔/๑๘๐. สกสญั ญา ในทนี่ ้ีหมายถึงความสาคัญว่าเป็นของ
ตน, นกึ วา่ เปน็ ของตนเอง ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๔๑๔/๓๐.

สกิเลสกิ (สังกเิ ลสกิ ธรรม) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๒๙/๑๙๐. สงั กเิ ลสิกธรรม หมายถึงธรรมที่ทาให้จิตเศร้า
หมอง ได้แก่ อกศุ ลจิต ๑๒ โลภมูลจติ ๘ โทสมูลจิต ๒ และโมหมลู จติ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๔๒๙/๓๑.

สงฺคามวิชย (ตาราพิชัยสงคราม) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๔๘/๔๗. และทชี่ อื่ ว่าตาราพิชัยสงคราม เพราะผู้

๘๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

ทฟ่ี งั สตู รน้แี ล้ว สามารถพิชิตเทวปุตตมาร ขันธมาร มัจจุมาร หรือกิเลสมารได้ ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๑๔๘/๑๑.

สจจฺ สญฺ า (สัจสญั ญา) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๑๓/๑๗๘. สัจสัญญา คือความสาคัญหรือความรู้สึกว่ามี
ปีตแิ ละสุขเป็นตน้ ท่ชี ื่อวา่ สจั สญั ญา เพราะเป็นส่ิงที่มีอยูจ่ ริง ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๔๑๓/๓๐.

สญชฺ ยเวลฏฺ ปตุ ตฺ (ครูสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๕/๔๙. ครูสัญชัย เวลัฏฐบุตร ในที่น้ี
หมายถงึ เจา้ ลัทธิช่อื สญั ชัย ผู้เป็นบตุ รของชา่ งสาน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๕/๑๓.

สญฺ วาท (สญั ญวี าทะ) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๗๕/๓๐. สัญญีวาทะ หมายถึง ลัทธิที่ถือว่า หลังจากตาย
แล้วอัตตายังมีสัญญาเหลืออยู่ คาว่า สัญญา ในที่น้ี ไม่ได้หมายถึงความจาได้หมายรู้
ธรรมดา แตห่ มายถงึ ภาวะที่เปน็ ความรสู้ ึกรขู้ ัน้ ละเอยี ด ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๗๕/๒๐.

สญฺโ ชน (สงั โยชน์) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๗๓/๑๕๖. สังโยชน์ หมายถงึ กเิ ลสท่ีผูกมัดใจสัตว์, ธรรมท่ีมัด
ใจสตั วไ์ ว้กับทกุ ข์ มี ๑๐ อย่าง คือ สกั กายทฏิ ฐิ , วจิ ิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส, กามฉันทะ
หรือกามราคะ, พยาบาทหรือปฏิฆะ, รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจะ, อวิชชา
องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒.

สตฺต (สตั ว)์ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. สตั ว์ หมายถึง สัตว์ชน้ั สูง เช่น อฐู ม้า ลา

สตตฺ มปติ ามหยคุ (เจด็ ช่วั บรรพบุรุษ) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๓๐๓/๑๑๓. เจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ในท่ีน้ีหมายถึง
วธิ นี ับลาดับบรรพบุรษุ แบบหน่งึ เพอ่ื แสดงความบริสทุ ธิ์ของวงศ์สกลุ โดยนับจากปัจจุบัน
ขึน้ ไป ๗ ชัน้ ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๓๐๓/๒๕๒-๒๕.

สพพฺ โตปภ (ท่าข้าม) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๔๙๙/๒๒๐. ทา่ ขา้ ม ในทนี่ ี้หมายถึงกมั มัฏฐาน ๓๘ ประการ ที.
ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๙๙/๓๒.

สมณพรฺ าหฺมณ (สมณพราหมณ์) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๘/๑๑. สมณพราหมณ์ เป็นคาเรียกพราหมณ์
พวกหน่ึงที่เป็นสมณะ ช่ือว่าเป็นสมณะโดยการบวช และชื่อว่าเป็นพราหมณ์โดยชาติ
กาเนดิ ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๙/๙.

สมพฺ าธฆราวาส (การอยูค่ รองเรอื นเป็นเรื่องอึดอัด) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๙๑/๖๔. การอยู่ครองเรือน
เปน็ เรือ่ งอดึ อดั หมายถึงไม่มเี วลาว่างเพื่อจะทากุศลกรรม แมเ้ รอื นจะมีเนอื้ ทกี่ วา้ งขวางถึง
๖๐ ศอก มีบริเวณภายในบ้านต้งั ๑๐๐ โยชน์ มีคนอยอู่ าศยั เพียง ๒ คนคือสามีภรรยาก็
ยังถอื ว่า อดึ อัด เพราะมีความหว่ งกังวลกนั และกัน ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๑/๑๖.

สมฺโพธิ(สัมโพธิ) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๗๓/๑๕๖. สัมโพธิ ในท่ีน้ีหมายถึง มรรค ๓ เบื้องสูง


Click to View FlipBook Version