The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก-1

Keywords: พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๘๕

เอกีภาว (ความเป็นอันเดียวกัน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๙๒/๕๓๑. ความเป็นอันเดียวกัน หมายถึง
ความเปน็ เอกภาพ ไม่กอ่ ความแตกแยก ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๙๒/๓๐๒, องฺ.ฉกฺก.อ. (บาลี)
๓/๑๒/๑๐.

โอกฺกมน (โวกกมนธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑/๒๙. โวกกมนธรรม ในที่น้ีหมายถึงนิวรณ์ ๕
ประการ คอื กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม) พยาบาท (ความคดิ ร้าย) ถนี มิทธะ (ความหด
หแู่ ละเซ่ืองซึม) อทุ ธจั จกกุ กุจจะ (ความฟงูุ ซ่านและร้อนใจ) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๓๑/๑๑๐, อง.ฺ ทุก.อ. (บาล)ี ๒/๔๕/๕.

โอปปาติก (โอปปาตกิ ะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๗/๕๙. โอปปาตกิ ะ หมายถึงสัตว์ท่ีเกิดและเติบโตเต็มที่
ทันที และเม่ือจุติ (ตาย) กห็ ายวับไปไม่ท้งิ ซากศพไว้ เช่น เทวดาและสัตว์นรกเป็นต้น ที.
สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๔. แต่ในทน่ี ี้หมายถึงพระอนาคามีที่เกิดใน สุทธาวาส (ท่ีอยู่ของ
ท่านผู้บรสิ ทุ ธ)์ิ ๕ ชั้น มีชั้นอวิหาเป็นต้น แล้วดารงภาวะอยู่ในช้ันน้ัน ๆ ปรินิพพานสิ้น
กิเลสในสุทธาวาสนั่นเอง ไมก่ ลับมาเกดิ เปน็ มนษุ ย์อกี อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗-๘๘/๒๔๒-
๒๔.

โอรมฺภาคิยสญฺโ ชน (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๔๕/๒๖๓. โอรัมภาคิยสังโยชน์
หมายถงึ สังโยชน์เบ้ืองตา่ ๕ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นอัตตา วิจิกิจฉา
ความลงั เลสงสยั สลี ัพพตปรามาส ความถือมน่ั ศีลและวตั ร กามราคะ ความติดใจในกาม
คณุ ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ อันเป็นเหตุให้เกิดในกามภพ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๒๔๕/๒.

๑๘๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก

พระสตุ ตนั ตปิฎกเล่มที่ ๑๓

กณฺหกมมฺ (กรรมดา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. กรรมดา หมายถึงอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ
กณฺหวปิ าก (มวี ิบากดา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. มวี ิบากดา หมายถึงเป็นเหตุให้เกิดในอบาย ม.

ม.อ. (บาลี) ๒/๘๑/๗.

กณฺหสุกกฺ วปิ าก (มีวบิ ากทงั้ ดาและขาว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. มีวบิ ากท้ังดาและขาว หมายถึง
กรรมมวี ิบากทงั้ เปน็ สขุ และเปน็ ทุกข์ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๘๑/๗.

กตกรณีย (ทากิจท่ีควรทาเสร็จแล้ว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒/๓. ทากิจที่ควรทาเสร็จแล้ว ในท่ีน้ี
หมายถึงกจิ ในอริยสจั ๔ คอื การกาหนดร้ทู กุ ข์ การละเหตเุ กดิ แหง่ ทุกข์ การทาให้แจ้งซ่ึง
ความดบั ทกุ ข์ และการอบรมมรรคมอี งค์ ๘ ใหเ้ จรญิ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/๒๐.

กปปฺ ิย (กปั ปยิ ะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖๓/๑๘๓. กัปปิยะ หมายถึงสิ่งท่ีถูกต้องเหมาะสมตามพุทธ
บัญญตั ิ เช่น นา้ ปานะ ๘ ชนิด คอื นา้ มะมว่ ง น้าหว้า น้ากล้วยมีเมล็ด น้ากล้วยไม่มีเมล็ด
นา้ มะทราง นา้ ผลจันทน์หรือน้าองนุ่ นา้ เหงา้ บัว น้าผลมะปรางหรอื นา้ ลนิ้ จ่ี เภสชั ๕ ชนิด
คือ เนยใส เนยขน้ น้ามัน น้าผึ้ง นา้ อ้อย โภชนะ ๕ ชนดิ คอื ข้าวสกุ ขนมสด ข้าวตู ปลา
เน้ือ รวมทั้งสิ่งท่ีเป็นยามกาลิก (ส่ิงท่ีบริโภคได้ตั้งแต่เช้าถึงเท่ียง) สัตตาหกาลิก (ส่ิงท่ี
บรโิ ภคไดภ้ ายใน ๗ วนั ) และยาวชวี กิ (สง่ิ ที่บรโิ ภคได้ตลอดชีวิต คือ เกลือ มูตร คูถ เถ้า
ดนิ ) วิ.มหา. (ไทย) ๒/๒๓๘-๒๕๖/๓๙๕-๔๐๙

กมฺม (กรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๕๕/๕๗๔. กรรม หมายถงึ กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ ม.ม.อ. (บาลี)
๒/๔๕๕/๓๑.

รติ (ความยนิ ดี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๕๙/๕๘๐. ความยินดี หมายถึงความพอใจอย่างย่ิง ความยินดี
ความสงบเยน็ ในเสนาสนะทส่ี งดั หรือในสภาวธรรมท่ีเป็นอกุศล เทยี บกบั นยั ของความยิน
รา้ ย

กมมฺ วปิ าก (วบิ ากกรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๒. วิบากกรรม ในท่ีน้ีหมายถึงมรรคเจตนา ม.
ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๒/๒๔.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๘๗

กสิณายตน (กสิณายตนะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๕๐/๒๙๖. กสิณายตนะ หมายถึงที่เกิดหรือที่เป็นไป
แหง่ ธรรมทง้ั หลายโดยบริกรรมกสณิ เป็นอารมณ์ คาว่า กสณิ หมายถึงวัตถสุ าหรับเพ่งเพ่ือ
จูงใจให้เปน็ สมาธิทัง้ หมดหรือส้ินเชิง กล่าวคือวัตถุสาหรับแผ่ไปไม่เหลือ ไม่ปักใจอยู่ใน
อารมณ์กมั มัฏฐานเพียงอารมณเ์ ดียว อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๒๕/๓๓๓, องฺ.ทสก.ฏกี า (บาลี)
๒/๒๕/๓๙.

กามคฺคสขุ (สุขอนั เลศิ กว่ากาม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๘๐/๓๓๔. สุขอันเลิศกว่ากาม ในท่ีน้ีหมายถึง
นพิ พาน ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๘๐/๒๐.

กามสญฺ า (สัญญาในกาม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๖๖/๓๑๔. สัญญาในกาม หมายถงึ กามสัญญาที่เกิด
พรอ้ มกบั จิตทส่ี หรคตด้วยโลภจิต ๘ ดวง กามสญั ญา ๒ ดวง นอกจากนี้ยังเกิดพร้อมกับ
จิต ๒ ดวงทส่ี หรคตด้วยโสมนสั ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๖๖/๑๙.

กามาทีนวกถา (กามาทนี วกถา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๙/๖๕. กามาทีนวกถา หมายถึงกถาท่ีพรรณนา
กามวา่ มโี ทษมากมีคณุ นอ้ ย มีความเลวทรามมาก มีความดนี อ้ ย มีความเศรา้ หมองมาก มี
ความผ่องแผว้ นอ้ ย มที กุ ข์มาก มสี ุขน้อย เปน็ ตน้ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๖๙/๖๙-๗.

กาย (กาย) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๒/๒๐๘. กาย ในทนี่ ีห้ มายถงึ นามกาย คือกองแห่งนามธรรม ได้แก่
เจตสกิ ทัง้ หลาย องฺ.ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๔๙/๕๔, องฺ.ปญฺจก.อ. (บาลี) ๓/๒๖/๘, องฺ.ทุก.ฏีกา
(บาล)ี ๒/๔๙/๕.

กายกมมฺ (กายกรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๗/๕๕. กายกรรม ได้แก่ เจตนา ๒๐ เป็นฝุายกามาวจร
กุศล ๘ และเปน็ ฝุายอกุศล ๑๒ ที่ถึงการยดึ ถือ การรบั การปล่อย และการเคล่ือนไหวใน
กายทวาร

กายสกฺขี (กายสกั ขี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๖/๑๕๓. กายสักขี หมายถึงผู้มีศรัทธาแก่กล้า ได้สัมผัส
วโิ มกข์ ๘ ด้วยนามกาย และอาสวะบางอย่างก็สิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระ
อรยิ บุคคลผบู้ รรลุโสดาปตั ตผิ ลข้ึนไปจนถึงท่านผปู้ ฏบิ ตั เิ พ่อื อรหัตผล องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/
๔๙/๕๕, อง.ฺ สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖.

กายสงฺขาร (กายสงั ขาร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. กายสงั ขาร หมายถงึ สภาพปรุงแต่งการกระทา
ทางกายหรือกายสัญเจตนา คือ ความจงใจทางกาย องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๒๓/๑๐.

กาล (กาล) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖๓/๑๘๔. กาล หมายถึงเวลาตั้งแต่อรุณขึ้นถึงเที่ยงวัน ส.ส.อ. (บาลี)
๑/๔/๒.

๑๘๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

กุกฺกุรวติก (ผู้ประพฤติกุกกุรวัตร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๗๘/๗๕. ผู้ประพฤติกุกกุรวัตร หมายถึงผู้
ประพฤตเิ ลยี นแบบสนุ ขั หรอื ทากริ ิยาอาการเหมือนสนุ ขั ทุกอย่าง ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๗๘/
๗.

กตุ หู ลสาลา (ศาลาถกแถลง) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓๘/๒๘๐. ศาลาถกแถลง อรรถกถาแก้ว่า ไม่มี
ศาลาท่ีมชี ือ่ อยา่ งน้ีโดยเฉพาะ แตเ่ ปน็ สถานที่ที่สมณพราหมณ์ผู้เป็นเดียรถีย์ต่างพวกมา
แสดงทรรศนะตามลัทธิของตน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๑๑/๓๐. อีกนัยหน่ึง หมายถึงการ
ประชมุ สนทนาประกาศลัทธิทาใหป้ ระชาชนทราบว่า คนน้ีพูดอะไร คนนี้ประกาศอะไร
เปน็ ต้น ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๓๘/๑๗.

กสุ ล (กุศล) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๐. กุศล ในท่นี ีห้ มายถงึ กศุ ลในองคม์ รรค ทาใหก้ รรมน้ันหยุด
ให้ผล ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๒/๒๔.

เกฏภุ (เกฏภุ ศาสตร์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๓/๔๗๑. เกฏุภศาสตร์ หมายถึงคัมภีร์ที่ว่าด้วยกฏเกณฑ์
การใชถ้ อ้ ยคาให้เหมาะสมแก่การประกอบพิธีกรรม ต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของกัลปะ ซึ่ง
เป็น ๑ ในเวทางคศาสตร์ ๖ ของศาสนาพราหมณ์ ภาษาสันสกฤต เรยี กวา่ ไกฏภะ

โกสกาหาร (อาหารเพยี ง ๑ โกสะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๒/๒๘๖. อาหารเพียง ๑ โกสะ หมายถึง
ถว้ ยเล็ก หรอื ขนั เล็ก ท่ีทายกผู้เป็นทานบดบี รรจุอาหารชั้นเลิศเก็บไว้ถวายบรรพชิตผู้มา
บิณฑบาต ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๔๒/๑๗๔-๑๗.

คนธฺ พฺพ (คนั ธพั พะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๐๑/๕๑๔. คนั ธพั พะ ในท่ีนี้หมายถงึ สัตวผ์ ูจ้ ะมาเกดิ ในครรภ์
น้นั (ปฏิสนธวิ ญิ ญาณ) ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๐๘/๒๑.

ครเหยฺย (ติเตยี นได้) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓/๓๘. ติเตียนได้ หมายถึงตนเองติเตียนตนเองไดว้ ่า เราบวช
ในศาสนาของผู้ไมป่ ลงชวี ติ สัตว์แม้แตม่ ดดา มดแดง ยังไมอ่ าจงดเวน้ แมเ้ พียงปาณาติบาต
ได้ จะบวชไปทาไมกัน ผรู้ ู้ใคร่ครวญแลว้ ตเิ ตียนได้ว่า เขาบวชในศาสนาเหน็ ปานน้ีแล้ว ยัง
ไมอ่ าจงดเวน้ แมเ้ พยี งปาณาตบิ าตได้ เขาจะบวชไปทาไม ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๓/๓.

คลิ านปจฺจยเภสชฺชปรกิ ฺขาร (คิลานปัจจยั เภสชั บริขาร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๒๒/๓๘๙. คิลานปัจจัย
เภสชั บรขิ าร คือ เภสัช ๕ ชนดิ ได้แก่ เนยใส เนยข้น นา้ มนั นา้ ผง้ึ น้าออ้ ย ว.ิ อ. (บาลี) ๒/
๒๙๐/๔๐, สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๒/๒๙๐/๓๙. เป็นส่ิงสัปปายะสาหรับภิกษุผู้เจ็บไข้จัดว่า
เป็นบริขาร คือบริขารของชีวิต ดุจกาแพงล้อมพระนคร เพราะคอยปูองกันรักษาไม่ให้
อาพาธที่จะบั่นรอนชีวติ ได้ช่องเกดิ ขนึ้ และเปน็ สัมภาระของชวี ิต คอยประคับประคองชีวิต
ใหด้ ารงอยู่นาน ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๙๐/๔๐-๔๑, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๓๙๗, ม.มู.ฏีกา

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๘๙

(บาล)ี ๑/๒๓/๒๑. เปน็ เคร่อื งปูองกันโรค บาบัดโรคที่ให้เกิดทุกขเวทนา เน่ืองจากธาตุ
กาเรบิ ใหห้ ายไป สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๒/๒๙๐/๓๙.

าณวาท (ญาณวาทะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๒๗/๓๙๕. ญาณวาทะ หมายถึงลัทธิท่ีว่า ข้าพเจ้ารู้
ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๗๗/๗.

คิหสิ ญโฺ ชน (สังโยชน์ของคฤหัสถ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๕/๒๑๗. สังโยชน์ของคฤหัสถ์ ในที่น้ี
หมายถงึ ทรพั ย์สมบัติ บตุ ร ภรรยา ขา้ ทาส บริวาร และกามคุณ ๕ ประการอันเป็นเหตุ
ผูกพันและรกั ใคร่ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๘๖/๑๔.

โควติก (ผู้ประพฤติโควัตร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๗๘/๗๕. ผู้ประพฤติโควัตร หมายถึงผู้ประพฤติ
เลยี นแบบโค คอื ผูกเขา ผกู หางเที่ยวไปกับฝงู โค ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๗๘/๗.

จงฺกพี ฺราหมฺ ณ (จังกพี ราหมณ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๕๘/๕๗๒. จังกพี ราหมณ์ อยูท่ ี่หมู่บา้ นโอปาสาทะ
เปน็ พราหมณป์ ุโรหิตของพระเจ้าเสนทิโกศล ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๕๑๙/๓๓๒, ม.ม.อ. (บาลี)
๒/๔๕๔/๓๐.

จมฺปา (กรุงจัมปา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑/๑. กรุงจัมปา เป็นพระนครที่น่ารื่นรมย์ เพราะมีต้นจัมปา
(จาปา) ๕ สี มีดอกหอม ข้นึ อยหู่ นาแน่นตามรมิ สระโบกขรณี ซงึ่ มอี ยูท่ ัว่ ไปในพระนครน้ัน
ณ ทไี่ ม่ไกลจากพระนครมีสระโบกขรณีอยู่สระหนง่ึ มีชื่อว่าคัคครา ที่มีช่ือเช่นน้ันก็เพราะ
พระมเหสีพระนามว่าคัคครา ทรงให้ขดุ ไว้ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑.

จรณ (จรณะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๙/๓๒. จรณะ หมายถึงธรรมเป็นเคร่ืองประพฤติของภิกษุผู้มีศีล
เช่น จรณะ ๑๕ ประการมีศีลเป็นตน้ แต่ในที่น้ีหมายถึงการไปสูท่ ิศท่ยี ังไม่เคยไป (หรอื การ
บรรลุธรรมท่ียังไมเ่ คยบรรลุ) ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๙/๒.

เจตนา (เจตนา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๘๑. เจตนา ในท่ีนี้หมายถึงเจตนาในอริยมรรค ท่ีเป็นข้อ
ปฏบิ ัตใิ ห้ถึงววิ ัฏฏะคอื พระนพิ พาน องฺ.จตุกกฺ .อ. (บาล)ี ๒/๒๓๓/๔๔.

เจโตวมิ ตุ ฺต (เจโตวิมุต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๓/๑๔๙. เจโตวิมุต หมายความว่า บรรดาภิกษุผู้ดาเนิน
ไปดว้ ยสมถกมั มฏั ฐาน ภกิ ษพุ วกหน่ึงมจี ิตเตกคั คตา (ความทีจ่ ิตมีอารมณ์เดียว) เป็นหลัก
จงึ ชอ่ื วา่ เป็นเจโตวมิ ตุ (หลุดพ้นดว้ ยสมาธิ) ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓๓/๑๑.

เจโตวิมุตฺติ (เจโตวิมุตติ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๘/๓๒. เจโตวิมุตติ หมายถึงสมาธิที่สัมปยุตด้วย
อรหัตผล ท่ีชื่อว่าเจโตวิมุตติ เพราะพ้นจากราคะที่เป็นปฏิปักขธรรมโดยตรง แต่มิได้
หมายความวา่ จะระงบั บาปธรรมอ่ืนไมไ่ ด้ ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๖๙/๓๓. ในที่น้ี หมายถึง

๑๙๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

ความหลดุ พ้นด้วยมีสมถกัมมัฏฐานเป็นพื้นฐาน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๙/๑๗๗, องฺ.ทุก.อ.
(บาลี) ๒/๘๘/๖.

ฉนทฺ (ฉนั ทะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๓๒/๕๔๓. ฉันทะ ในท่นี ้ีหมายถึงความพอใจด้วยความปรารถนา
จะทาใหย้ ่งิ ข้นึ อีก ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๔๓๒/๓๐.

ฉาภชิ าติ (อภิชาตทิ ง้ั ๖) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐๐/๑๐๖. อภิชาตทิ ง้ั ๖ ได้แก่ กณั หาภิชาติ (ผ้มู ีชาติดา)
หมายถงึ ผทู้ างานนา่ กลวั เชน่ เปน็ โจร เปน็ เพชฌฆาต นีลาภชิ าติ (ผ้มู ชี าตเิ ขียว) หมายถึง
ภิกษุผเู้ ป็นนักบวชพวกหนง่ึ ผู้เลือกกนิ แต่เน้ือปลา โลหิตาภิชาติ (ผู้มีชาติแดง) หมายถึง
นิครนถผ์ ูถ้ ือผ้าผืนเดยี วเป็นวัตร หลิททาภิชาติ (ผู้มีชาติเหลือง) หมายถึงคฤหัสถ์ผู้เป็น
สาวกของชเี ปลือย ผู้ประเสริฐกว่าพวกนิครนถ์ สกุ กาภชิ าติ (ผูม้ ีชาติขาว) หมายถึงเจ้าลัทธิ
ชอื่ นนั ทะ วจั ฉะ สังกจิ จะ ดีกวา่ ๔ จาพวกข้างต้น ปรมสุกกาภิชาติ (ผู้มีชาติขาวท่ีสุด)
หมายถงึ พวกอาชีวกผู้มลี ัทธิดกี ว่า ๕ จาพวกข้างต้น ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๐๐/๙๐, ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔.

ชาณสุ ฺโสณิพฺราหฺมณ (ชาณสุ โสณิพราหมณ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๕๘/๕๗๒. ชาณุสโสณิพราหมณ์
อยทู่ ีก่ รงุ สาวตั ถี เป็นพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าเสนทิโกศล ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๕๑๙/
๓๓๒, ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๕๔/๓๐.

ชีว (ชีวะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐๐/๑๐๖. ชีวะ หมายถงึ พวกพืชทกุ ชนิด ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔.

ชีว (ชวี ะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๗/๒๑๙. ชีวะ ในที่นี้หมายถึงวิญญาณอมตะ หรืออาตมัน (Soul)
อภิ.ปญจฺ .อ. (บาล)ี ๑/๑/๑๒.

ตป (ชื่อวา่ ตบะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๖๑/๕๘๒. ชื่อว่าตบะ เพราะมธี ุดงค์เป็นตบะ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๔๖๐/๓๑.

าณทสฺสน (ญาณทัสสนะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๕/๒๑๖. ญาณทัสสนะ หมายถึงความรู้และ
ความเห็นตรงตามความเป็นจริง อาจเรียก มรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ
ปัจจเวกขณญาณ หรือวปิ ัสสนาญาณก็ได้ ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๓๔/๑๙.

าติสาโลหติ (ญาติสาโลหิต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒๖/๑๓๗. ญาติสาโลหิต แยกอธิบายดังน้ี ญาติ
หมายถงึ บิดามารดาของสามีหรือบิดามารดาของภรรยาและ เครือญาติของท้ัง ๒ ฝุาย
สาโลหิต หมายถงึ ผู้ร่วมสายเลอื ดเดยี วกัน ได้แก่ ปหูุ รอื ตา เป็นต้น ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๕/
๑๗๒, ม.ม.ู ฏีกา (บาลี) ๑/๖๕/๓๒.

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๙๑

าย (ญายธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓/๔. ญายธรรม ในทน่ี ีห้ มายถงึ ธรรมคอื อรยิ มรรค ส.ม.อ. (บาลี)
๓/๒๑-๓๐/๑๙.

าน (เป็นไปได้) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๐/๕๘. เปน็ ไปได้ ในที่น้หี มายถงึ ยอมรบั ฐานะ (เหต)ุ ท่ีใหเ้ ป็นไป
ได้ อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๒๖๘/๔๐.

ตกฺกี (นกั ตรรกะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓๑/๒๗๒. นักตรรกะ ผู้ที่ใช้เหตุผลตามแนวของตรรกศาสตร์
(Logic) มี ๔ จาพวก คือ อนุสสติกะ อนุมานจากข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ ชาติสสระ
อนมุ านโดยการระลกึ ชาติ ลาภติ กั กกิ ะ อนุมานจากประสบการณ์ภายในของตน และสุทธิ
ตกั กิกะ อนมุ านโดยใชเ้ หตุผลลว้ น ๆ ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๓๔/๙๘-๙.

ตณฑฺ ุลปาลิทฺวาร (ประตูตณั ฑุลปาลิ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๔๕/๕๕๘. ในท่นี ้หี มายถึงประตูเล็กประตู
หนึ่ง เพราะกรุงราชคฤห์มีประตูใหญ่ ๓๒ ประตู มีประตูเลก็ ๖๔ ประตู ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๔๔๕/๓๐.

ตถาคต (ตถาคต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐/๑๐. ตถาคต ในที่นห้ี มายถึงพระผู้มีพระภาค บณั ฑิตเรยี กว่า
ตถาคต เพราะเหตุ ๘ ประการ คอื เพราะเสด็จมาแลว้ อยา่ งนั้น เพราะเสด็จไปแล้วอย่าง
นั้น เพราะเสดจ็ มาส่ลู ักษณะอนั แทจ้ รงิ เพราะตรสั ร้ธู รรมที่แท้ตามความเป็นจริง เพราะ
ทรงเหน็ จริง เพราะตรสั วาจาจริง เพราะทรงทาจริง เพราะทรงครอบงา (ผู้ท่ยี ึดถอื ลัทธอิ ่ืน
ทั้งหมดในโลกพร้อมทง้ั เทวโลก) ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๒/๕.

ตถาคต (ตถาคต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒๒/๑๓๓. ตถาคต เป็นคาที่ลัทธิอ่ืน ๆ ใช้มาก่อนพุทธกาล
หมายถึงอัตตา (อาตมนั ) ไม่ได้หมายถงึ พระพทุ ธเจ้า ในทีน่ ห้ี มายถึงสตั ว์ ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/
๖๕/๑๐๘, ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๒๒/๑๐.

ตถาคต (ตถาคต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙๒/๒๒๖. ตถาคต ในที่นี้เป็นคาท่ีพระพุทธเจ้าตรัสหมายถึง
พระองค์เอง แทนคาวา่ เรา (อตุ ตมบรุ ุษ) ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๗/๒๘/๙.

ตาทิ (ผ้คู งที่) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๑. ผ้คู งท่ี ในทนี่ ห้ี มายถึงความคงท่ี ๕ ประการ คือ ความ
คงทใี่ นอฏิ ฐารมณ์ และอนฏิ ฐารมณ์ ความคงท่เี พราะคายอามิสคือกาม ความคงที่เพราะ
สละกิเลสมีราคะเปน็ ต้น ความคงทเ่ี พราะข้ามพ้น หว้ งนา้ คือกามเปน็ ต้น ความคงที่เพราะ
ถูกอ้างถึงตามความจริงด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๕๒/๒๔๘, ม.ม.ฏีกา
(บาล)ี ๒/๓๕๒/๑๘.

๑๙๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

ตารกุ ขฺ พฺราหมฺ ณ (ตารกุ ขพราหมณ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๕๘/๕๗๒. ตารุกขพราหมณ์ อยู่ท่ีหมู่บ้าน
อิจฉานงั คละ เปน็ พราหมณป์ โุ รหิตของพระเจ้าเสนทิโกศล ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๕๑๙/๓๓๒,
ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๔๕๔/๓๐.

ติรจฺฉานกถา (ดริ ัจฉานกถา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒๓/๒๖๐. ดิรัจฉานกถา คือ ถ้อยคาอันขวางทาง
ไปสู่สวรรค์ นิพพาน หมายถงึ เรื่องราวที่ภิกษุไม่ควรนามาเป็นข้อถกเถียงสนทนากัน ที.
ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๗/๘๔, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๒๓/๑๖.

ติเวท (ไตรเพท) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๓/๔๗๑. ไตรเพท หมายถงึ คมั ภีร์ ๓ ข้างต้น คือ ฤคเวท (อิรุ
เวท) ยชรุ เวท และสามเวท (สว่ นอาถรรพเวท ปรากฏภายหลังจากการปรากฏของพระ
สตู รน)้ี ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๘๓/๒๖๒, ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๕๖/๒๒.

ตุณหฺ ภี ูต (นัง่ นิ่งเงยี บอยู่) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑/๒. น่ังน่ิงเงียบอยู่ หมายถึงการนั่งด้วยอาการสารวม
กาย วาจา และใจ ด้วยความเคารพพระผู้มีพระภาค ประการหนึ่ง ด้วยความที่ได้รับ
การศึกษามาแลว้ อยา่ งดีประการหนึง่ ภกิ ษทุ ุกรูปสารวมกายไม่โยกไหว ไม่คะนองมือและ
เทา้ สารวมวาจา ไมพ่ ูดคุย ไมก่ ระแอมไอ และสารวมใจไมฟ่ งุู ซา่ น เปรียบเหมอื นเสาเข่ือน
ท่ฝี งั ไวอ้ ย่างดี และเปรยี บเหมือนมหาสมทุ รที่ปราศจากลม ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑.

โตเทยยฺ พฺราหมฺ ณ (โตเทยยพราหมณ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๕๘/๕๗๒. โตเทยยพราหมณ์ อยู่ท่ีหมู่บ้าน
ตทุ ิ เปน็ พราหมณ์ปโุ รหติ ของพระเจ้าเสนทิโกศล ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๕๑๙/๓๓๒, ม.ม.อ.
(บาลี) ๒/๔๕๔/๓๐.

เถรวาท (เถรวาทะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๒๗/๓๙๕. เถรวาทะ หมายถึงลัทธิที่ว่า ข้าพเจ้าเป็นใหญ่
ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๗๗/๗.

ทม (ชอ่ื ว่าทมะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๖๑/๕๘๒. ช่ือว่าทมะ เพราะฝึกอินทรีย์แล้ว ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๔๖๐/๓๑.

ทาน (ทาน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๙๙/๓๕๗. ทาน ในท่ีน้ีหมายถึงไทยธรรม ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๐๐/
๒๑.

ทานกถา (ทานกถา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๙/๖๕. ทานกถา หมายถงึ กถาที่พรรณนาคุณของทานหลาย
นยั เชน่ ทานเป็นเหตุแหง่ ความสขุ เปน็ มูลราก แห่งสมบัติท้ังหลาย เป็นท่ีก่อให้เกิดโภค
สมบตั ิท้ังปวง อปุ มาด้วยส่ิงต่าง ๆ ตามความหมายทีม่ งุ่ ถงึ เช่น ถา้ มงุ่ ถงึ ความหมายว่าเป็น
ที่ตง้ั กอ็ ปุ มาด้วยแผ่นดนิ ใหญ่ มงุ่ ถงึ ความหมายว่าหนว่ งเหน่ียว ก็อุปมาด้วยเชือกโยง ม.
ม.อ. (บาล)ี ๒/๖๙/๖.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๙๓

ทฏิ ฺ ธมฺม (ทฏิ ฐธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๐. ทิฏฐธรรม พระดารัสนี้พระผู้มีพระภาคตรัส
หมายถึงทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมทใ่ี หผ้ ลในปัจจุบันคือภพนี้) เพราะเจตนาในปฐม
ชวนจิตท่ีเป็นกุศลหรืออกุศลในจิต ๗ ดวง ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมซึ่งให้ผลใน
อัตภาพนี้ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๒/๒๔.

ทฏิ ฺ ธมฺมสุขวิหาร (ธรรมเครื่องอยู่เปน็ สขุ ในปัจจบุ นั ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖๐/๑๘๑. ธรรมเครื่อง
อยู่เป็นสขุ ในปจั จุบนั ในท่ีนีห้ มายถงึ ผลสมาบตั ิ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๐/๑๓.

ทิฏฺ มส (เน้อื ทต่ี นเห็น) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๒/๔๙. เนื้อที่ตนเห็น หมายถึงเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาท่ี
ภิกษเุ หน็ ทายกฆ่า (นามาปรงุ อาหาร) ถวายหมภู่ กิ ษุ เนอ้ื ทต่ี นไดย้ นิ และเน้อื ทีต่ นสงสัยก็มี
นัยเดยี วกนั ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๕๒/๓.

ทิฏฺ ปฺปตตฺ (ทิฏฐปิ ตั ตะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๖/๑๕๓. ทิฏฐิปตั ตะ หมายถึงผบู้ รรลสุ ัมมาทฏิ ฐิ เข้าใจ
อริยสจั ถูกต้อง กิเลสบางส่วนสิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา มีปัญญาแก่กล้า หมายถึงผู้
บรรลุโสดาปัตติผลจนถงึ ผู้ปฏบิ ตั ิเพื่ออรหัตผล องฺ.สตตฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๑๔/๑๖.

ทีฆตปสฺสี (ทีฆตปัสสี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๖/๕๓. ทฆี ตปัสสี หมายถึงนิครนถ์ผู้มีชื่ออย่างนั้นเพราะ
เป็นผบู้ าเพ็ญตบะมานาน ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๕๖/๓.

กมมฺ วาที (กมฺมวาที) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๖/๒๑๘. กรรมวาที หมายถึงลัทธิที่ถือว่า สรรพสัตว์มี
กรรมเป็นของตน ผทู้ ากรรมดยี อ่ มไดร้ บั ผลดี ผู้ทากรรมช่ัวย่อมไดร้ ับผลชั่ว

กิรยิ วาที (กริ ยิ วาที) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๖/๒๑๘. กิริยวาที หมายถึงลัทธิที่ถือว่า การกระทาทุก
อย่างมผี ล เมือ่ เหตุดผี ลก็ต้องดี เมื่อเหตุชว่ั ผลก็ต้องชว่ั ยอมรับผลกรรม

ทกุ ฺขสฺสนตฺ กร (กระทาที่สุดแห่งทุกข์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๖/๒๑๘. กระทาที่สุดแห่งทุกข์ ในท่ีนี้
หมายถงึ พระอรหัตผล ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๘๖/๑๔.

ทุคฺคติ (ทุคติ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕/๑๘. ชื่อว่าทุคติ เพราะเป็นคติ คือเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๓/๓๕.

เทวทตู (เทวทตู ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๘/๓๗๒. เทวทูต ในท่ีน้ีหมายถึงทูตแห่งความตาย เพราะ
บุคคลเมื่อมีผมหงอกแล้วกเ็ หมอื นยืนอยู่ใกล้พระยามจั จรุ าช ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๐๙/๒๒.

ธมฺม (ธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙/๒๐. ธรรม ในทีน่ ้หี มายถึงสมถะและวิปัสสนา ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๑๙/๑.

๑๙๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ธมมฺ (ธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๓๒/๕๔๓. ธรรม ในท่ีนี้หมายถึงเทศนาธรรม ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๔๓๒/๓๐.

ธมฺม (ธรรมน้ี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙๐/๒๒๔. ธรรม ในท่ีน้ีหมายถึงธรรมคือปจั จยาการ ๑๒ ประการ
คือ ๑.อวชิ ชา ความไม่รู้ในอริยสัจ ๒.สังขาร สภาพท่ีปรุงแต่ง ๓.วิญญาณ ความรู้แจ้ง
อารมณ์ ๔.นามรปู เวทนา สญั ญา เจตนา ผสั สะ มนสิการ + รูป ๕.สฬายตนะ อายตนะ
ภายใน ๖. ผัสสะ ความกระทบ ๗.เวทนา ความเสวยอารมณ์ ๘.ตัณหา ความทะยาน
อยาก ๙.อปุ าทาน ความยดึ มน่ั ๑๐.ภพ ภาวะท่ีดารงชวี ติ ๑๑. ชาติ ความเกิด ๑๒. ชรา
มรณะ (ความแกแ่ ละความตาย) ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๙๐/๑๔.

ธมมฺ จารี (ประพฤติธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๔๘/๕๖๓. ประพฤติธรรม หมายถงึ การกระทากสกิ รรม
และวาณิชยกรรมเป็นตน้ ท่ชี อบธรรม ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๔๘/๓๐.

ธมมฺ เจตยิ (ธรรมเจดีย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๗๔/๔๕๘. ธรรมเจดีย์ หมายถึงพระวาจาเคารพธรรม
เพราะเมือ่ กระทาความเคารพในรัตนะหน่ึง ก็ย่อมเปน็ อันกระทาความเคารพรัตนะท้งั สาม
ฉะน้นั เมื่อกระทาความเคารพในพระผูม้ พี ระภาค ก็ย่อมเป็นอันกระทาความเคารพพระ
ธรรมและพระสงฆด์ ้วย ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๔/๒๕.

ธมมฺ ฏฺฐติ (ผู้ตัง้ มัน่ ในธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๘/๓๗๒. ผู้ต้ังมั่นในธรรม หมายถึงต้ังมั่นในกุศล
กรรมถ ๑๐ ประการ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๐๘/๒๒.

ธมฺมธาตุ (ธรรมธาตุ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๗/๘๙. ธรรมธาตุ ในท่ีนี้หมายถึงสภาวธรรม เป็นชื่อของ
พระสพั พญั ญุตญาณ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๘๗/๘.

ธมมฺ นวฺ ย (ความเห็นคล้อยตามธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๖๗/๔๕๒. ความเห็นคล้อยตามธรรม
หมายถงึ ความเหน็ คล้อยตามธรรมคือญาณเครื่องเห็นประจักษ์ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๗/
๒๕.

ธมฺมสสฺ านธุ มฺม (ธรรมอนั สมควรแกธ่ รรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๕/๔๙๐. ธรรมอันสมควรแก่ธรรม
ในพระสูตรนอี้ ธิบายวา่ ธรรมอันสมควรหมายถึงอรหตั มรรค แก่ธรรม หมายถึงอริยมรรค
๓ (คือ โสดาปตั ติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามริ รค) และสามญั ญผล ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๓๙๕/๒๘.

ธมฺมานสุ ารี (ธมั มานุสารี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๖/๑๕๓. ธัมมานุสารี หมายถึงผู้แล่นไปตามธรรม
ท่านผ้ปู ฏบิ ัตเิ พ่ือบรรลุโสดาปตั ติผล มปี ัญญาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ
อง.ฺ ทุก.อ. (บาล)ี ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตตฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๑๔/๑๖.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๙๕

ธมมฺ ีกถา (ธรรมีกถา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๘๕/๓๔๑. ธรรมกี ถา ในที่น้ีหมายถึงธรรมีกถาท่ีเก่ียวข้อง
กับขนั ธท์ ่เี คยอยูอ่ าศัยในชาติก่อนเพ่ือการได้สติ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๘๕/๒๐.

นิรย (นรก) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕/๑๘. ชอ่ื ว่านรก เพราะปราศจากความยินดี เหตุเป็นที่ไม่มีความ
สบายใจ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๓/๓๕.

นาปรติ ฺถตฺต (ไมม่ กี จิ อ่นื เพอ่ื ความเปน็ อยา่ งนอ้ี ีกต่อไป) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖/๑๘. ไม่มีกิจอ่ืนเพ่ือ
ความเป็นอยา่ งนีอ้ ีกต่อไป หมายถึงไม่มีหนา้ ท่ีในการบาเพ็ญมรรคญาณเพื่อความหมดสิ้น
แหง่ กิเลสอีกต่อไป เพราะพระพุทธศาสนาถือว่า การบรรลุอรหัตผลเป็นจุดหมายสูงสุด
ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๕๔/๑๓๘, ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/๒๐.

นิคณฺ คพภฺ (นิคณั ฐีครรภ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒๘/๒๖๗. นิคัณฐีครรภ์ หมายถึงที่งอกซ่ึงอยู่ท่ีข้อ
หรือตา เช่น อ้อย ไมไ้ ผ่ และไมอ้ ้อ เปน็ ตน้ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๒๘/๑๗๐, ที.สี.อ. (บาลี)
๑/๑๖๘/๑๔.

นิจฺฉาต (เปน็ ผไู้ ม่หิว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔/๕. เป็นผู้ไม่หิว ในที่น้ีหมายถึงเป็นผู้ไม่มีตัณหา เพราะ
ตณั หาท่านเรยี กวา่ ความหวิ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔.

นิมิตฺตคคฺ าหี (รวบถือ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒/๑๕. รวบถือมองภาพด้านเดียว คือ มองภาพรวมโดย
เหน็ เปน็ หญิงหรอื ชาย เห็นว่ารูปสวย เสียงไพเราะ กล่ินหอม รสอร่อย สัมผัสที่อ่อนนุ่ม
เป็นอารมณ์ทนี่ า่ ปรารถนาดว้ ยอานาจฉนั ทราคะ อภ.ิ สงฺ.อ. (บาล)ี ๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.

เนกขฺ มฺมานสิ สกถา (เนกขมั มานสิ ังสกถา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๙/๖๕. เนกขมั มานสิ ังสกถา หมายถึง
กถาท่พี รรณนาคุณความดีของการไมต่ ิดใจเพลดิ เพลนิ อยูใ่ นกาม ความปลอดโปรง่ จากส่ิง
ลอ่ เรา้ เยา้ ยวน การออกบวช เพอ่ื ให้มฉี นั ทะที่จะแสวงหาความดงี าม และความสุขอันสงบ
ท่ีประณตี ย่งิ ขึน้ ไปกว่าน้นั ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๖๙/๗.

ปกขฺ (ปักษ)์ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๘/๓๗๒. ปักษ์ ในท่ีนีห้ มายถงึ ปาฏหิ ารกิ ปกั ษ์ คอื วัน ๗ ค่า และวัน
๙ ค่า ดว้ ยการรบั และสง่ อโุ บสถศลี วัน ๘ คา่ , วนั ๑๓ คา่ และวัน ๑ ค่า ด้วยการรับและ
ส่งอุโบสถศลี วนั ๑๔ ค่า ในวันเดือนขาด, วัน ๑๔ ค่าและวัน ๑ ค่า ด้วยการรับและส่ง
อุโบสถศีลวัน ๑๕ ค่า ในวนั เดอื นเตม็ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๐๘/๒๒.

ปญฺ า (ปัญญา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๓/๒๑๒. ปญั ญา ในท่ีนี้หมายถึงมรรคปัญญา ม.ม.อ. (บาลี)
๒/๑๘๓/๑๔.

ปญฺ าวมิ ุตฺต (ปญั ญาวมิ ุต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๖/๑๕๓. ปญั ญาวิมุต หมายถึงผู้บาเพ็ญวิปัสสนา
ลว้ น ๆ จนบรรลุอรหัตผล องฺ.สตตฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๑๔/๑๖.

๑๙๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ปญฺ าวมิ ตุ ฺต (ปญั ญาวิมุต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๓/๑๔๙. ปญั ญาวมิ ุต หมายความว่า บรรดาภิกษุผู้
ดาเนินไปด้วยวิปัสสนากมั มัฏฐาน ภิกษุพวกหน่ึงมีปัญญาเป็นหลัก จึงชื่อว่าเป็นปัญญา
วิมุต (หลุดพน้ ด้วยปัญญา) ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓๓/๑๑.

ปญฺ าวิมุตฺติ (ปัญญาวมิ ตุ ติ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๘/๓๒. ปัญญาวิมุตติ หมายถึงปัญญาท่ีสหรคต
ด้วยอรหัตผลนั้น ท่ีชื่อว่าปัญญาวิมุตติ เพราะหลุดพ้นจากอวิชชาท่ีเป็นปฏิปักขธรรม
โดยตรง แตม่ ไิ ด้หมายความวา่ จะระงับบาปธรรมอน่ื ไมไ่ ด้ ม.ม.ู ฏกี า (บาลี) ๑/๖๙/๓๓. ใน
ท่ีนี้หมายถงึ ความหลุดพน้ ดว้ ยมีวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นพ้ืนฐาน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๙/
๑๗๗, องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๘๘/๖.

ปฏิสลลฺ าน (ทห่ี ลกี เร้น) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐๗/๑๑๗. ท่หี ลีกเรน้ ในท่ีน้ีหมายถึงผลสมาบัติ ม.ม.อ.
(บาลี) ๒/๑๐๗/๙.

ปฏสิ ลฺลาน (ทห่ี ลีกเรน้ ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๐๘/๒๔๖. ทีห่ ลกี เร้น ในที่น้ีหมายถึงผลสมาบัติ ม.ม.อ.
(บาล)ี ๒/๒๐๘/๑๕.

ปฏสิ ลฺลาน (ท่หี ลีกเร้น) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒๓/๒๖๐. ที่หลีกเร้น ในท่ีน้ีหมายถึงวิเวก ๓ ประการ
(คือ กายวเิ วก สงดั กาย จิตตวิเวก สงดั จติ อปุ ธวิ ิเวก สงัดกิเลส) ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๒๓/
๑๖.

ปฏิโสตคามี (พาทวนกระแส) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๗/๔๐๗. พาทวนกระแส ในที่นี้หมายถึงพา
เข้าถึงนิพพาน วิ.อ. (บาลี) ๓/๗/๑.

ป มฌาน (ปฐมฌาน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๖๖/๓๑๔. ปฐมฌาน ในท่ีน้ีหมายถึงปฐมฌานของผู้ได้
อนาคามิผล ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๖๖/๑๙.

ปณฺฑิต (เฉลยี วฉลาด) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖/๗. เฉลยี วฉลาด หมายถึงฉลาดในการบาเพ็ญสติปัฏฐาน
๔ ประการ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๖.

ปมาณ (เปน็ ประมาณ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๗๑/๕๙๖. เปน็ ประมาณ ในทีน่ ี้หมายถึงกรรมท่ีเป็นฝุาย
กามาวจร ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๗๐/๓๒.

ปรมสจจฺ (สจั จะอนั ยอดเยยี่ ม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๓/๒๑๒. สัจจะอันยอดเย่ียม ในท่ีนี้หมายถึง
นพิ พานสัจจะ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๘๓/๑๔.

ปรมสนฺติ (ความสงบอย่างยง่ิ ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๑. ความสงบอย่างยิ่ง ในทนี่ ีห้ มายถึงพระ
นิพพาน ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๒/๒๔.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๙๗

ปริกขฺ ณี ภวสญโฺ ชน (สน้ิ ภวสงั โยชน์แล้ว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒/๓. ส้ินภวสังโยชน์แล้ว หมายถึง
สังโยชน์ ๑๐ ประการ คอื กามราคะ ปฏฆิ ะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ภว
ราคะ อิสสา มัจฉริยะ อวชิ ชา สงั โยชนเ์ หลา่ น้ี เรยี กว่า ภวสงั โยชน์ เพราะผูกพันหมู่สัตว์
ไวใ้ นภพนอ้ ยและภพใหญ่ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๘/๔.

ปรจิ ิณฺณ (ขา้ พระองค์ได้ปรนนิบตั ิ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙๘/๒๓๖. ข้าพระองค์ได้ปรนนิบัติ ในที่นี้
หมายถึงพระเถระพยากรณ์อรหัตผลโดยสังเขป เพราะผู้เป็นพระขีณาสพช่ือว่าได้
ปรนนิบัติพระผ้มู ีพระภาคแล้ว ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๐๐/๑๔.

ปริโภค (บริโภค) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๒. บริโภค หมายถึงการบริโภค ๔ อย่าง คือ การ
บริโภคของผู้ทุศลี ช่ือว่าเถยยบริโภค บริโภคอยา่ งขโมย การบรโิ ภคโดยไม่พิจารณาของผู้มี
ศีล ช่ือว่าอิณบริโภค บริโภคอย่างเป็นหนี้ การบริโภคของพระเสขะ ๗ จาพวก ช่ือว่า
ทายัชชบริโภค บริโภคอย่างทายาท การบริโภคของพระขีณาสพ ชื่อว่า สามิบริโภค
บรโิ ภคอย่างเปน็ เจา้ ของ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๒/๒๔.

ปริยาย (ปรยิ าย) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๘/๙๑. ปรยิ าย ในทนี่ หี้ มายถงึ เหตุ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๖๗-
๒๖๘/๑๔.

ปริวาส (ปริวาส) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๒/๘๓. ปริวาส ในพระสูตรนี้เรียกว่า ติตถิยปริวาส ได้แก่
ข้อบังคบั นกั บวชนอกพระพทุ ธศาสนาทหี่ นั มาเล่อื มใสพระธรรมวินัยแล้วประสงค์จะบวช
เป็นภิกษุ ให้ขอปริวาสต่อสงฆ์ และดารงตนอย่างสามเณรครบ ๔ เดือน จนสงฆ์พอใจจึง
จะขออุปสมบทเปน็ ภิกษไุ ด้ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๔๐๕/๒๙.

ปววิ ิตฺต (เปน็ ผสู้ งัด) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๑/๒๘๕. เป็นผ้สู งัด หมายถึงมีวิเวก ๓ ประการ คือ กาย
วเิ วก สงดั กาย ไดแ้ ก่ อยูผ่ เู้ ดยี วทุกอิรยิ าบถ จติ ตวิเวก ได้แก่ ไดส้ มาบัติ ๘ อุปธิวเิ วก ไดแ้ ก่
บรรลุนิพพาน ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๕๒/๕.

ปสวติ (ประสพ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๕/๕๒. ประสพ หมายถึงได้รับผลตอบ (ปฏิลภติ) องฺ.ติก.อ.
(บาล)ี ๒/๔๑/๑๔.

ปหาตพพฺ (สิง่ ทีค่ วรละ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๙/๔๙๗. สงิ่ ที่ควรละ ในท่นี ีห้ มายถึงสมทุ ยสัจ ม.ม.อ.
(บาลี) ๒/๓๙๙/๒๙๐-๒๙.

ปาณ (ปาณะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐๐/๑๐๖. ปาณะ หมายถึงสัตว์ทมี่ ี ๑ อินทรีย์ ๒ อนิ ทรยี ์ เปน็ ต้น

ปาปกากุสลธมฺม (บาปอกศุ ลธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๗/๒๙๑. บาปอกุศลธรรม ในท่ีนี้หมายถึง
อาสวะ คือ กามาสวะ (อาสวะคอื กาม) ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๔๗/๑๘.

๑๙๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ปาวจน (ปาพจน์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙๒/๒๒๗. ปาพจน์ หมายถึงคาเปน็ ประธานคือพระธรรมวินัย
ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก รวมเป็นธรรมขันธ์ได้
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๑๖/๑๙๘-๑๙๙, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๔.

ปุถุชฺชน (ปุถชุ น) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๓/๘๔. ปถุ ุชน หมายถึงคนทีย่ งั มีกเิ ลสหนา ทเี่ รียกเช่นนี้เพราะ
บุคคลประเภทนี้ยังมีเหตุก่อให้เกดิ กิเลสอย่างหนานานัปการ ปุถุชนมี ๒ ประเภท คือ อนั ธ
ปถุ ชุ น คนทไ่ี ม่ไดร้ ับการศกึ ษาอบรมทางจติ กลั ยาณปถุ ชุ น คนทไี่ ดร้ บั การศึกษาอบรมทาง
จิตแลว้ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๒/๒๒, ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๗/๕๘-๕.

ปุริสภมู ิ (ปรุ ิสภมู ิ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒๘/๒๖๗. ปรุ ิสภมู ิ หมายถึงข้ันตอนแห่งการเจริญเติบโตและ
พฒั นาการของบุคคล นับต้งั แต่คลอดไปจนถงึ วาระสุดท้ายของชีวิต แบ่งเป็น ๘ ข้ัน คือ
มนั ทภูมิ (ระยะไรเ้ ดียงสา) ขฑิ ฑาภมู ิ (ระยะรูเ้ ดียงสา) ปทวมี งั สภูมิ (ระยะต้ังไข่) อุชุคตภูมิ
(ระยะเดนิ ตรง) เสขภูมิ (ระยะศกึ ษา) สมณภูมิ (ระยะสงบ) ชินภูมิ (ระยะมีความรอบรู้)
ปันนภูมิ (ระยะแกห่ ง่อม) ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๒๘/๑๖๙-๑๗๐, ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/
๑๔๗-๑๔.

ปรู ณกสฺสป (ปรู ณะ กัสสปะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓๘/๒๘๐. ปรู ณะ กสั สปะ อธบิ ายว่า คาว่า ปูรณะ
เปน็ ชือ่ ของเขา เหตุท่ชี ่ืออย่างนน้ั เพราะเขาเป็นทาสคนท่ีครบร้อยพอดี คาวา่ กัสสปะ เป็น
ช่อื โคตร รวมทัง้ ชอ่ื และโคตรเรียกว่า ปรู ณกสั สปะ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๑/๑๓๐, ม.มู.อ.
(บาล)ี ๒/๓๑๒/๑๔.

โปกฺขรสาติพรฺ าหฺมณ (โปกขรสาติพราหมณ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๕๘/๕๗๒. โปกขรสาติพราหมณ์
อยทู่ เ่ี มืองอุกกฏั ฐะ เปน็ พราหมณป์ โุ รหิตของพระเจ้าเสนทิโกศล ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๕๑๙/
๓๓๒, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๔๕๔/๓๐.

พนฺธกุ โรค (โรคพันธุกรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๖๙/๔๕๔. โรคพันธุกรรม หมายถึงโรคท่ีเกิดจาก
สายเลือดฝาุ ยมารดาหรือฝาุ ยบดิ า เช่น โรคโลหิตจาง โรคจติ ฟ่ันเฟือน โรคเบาหวาน เป็น
ต้น อกี นัยหน่ึง เรยี กวา่ โรคประจาตระกลู ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๖๙/๒๕๕-๒๕.

พาหติ กิ า (ผ้าพาหิติกา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๖๒/๔๔๘. ผ้าพาหิติกา หมายถึงผ้าท่ีทอมาจากต่าง
แคว้น ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๖๒/๒๕.

พาหสุ จฺจ (เป็นพหูสูต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๔๕/๑๖๑. เป็นพหูสูต ในท่ีน้ีหมายถึงได้เรียนพุทธพจน์
โดยตรงจากพระผมู้ ีพระภาค ตัง้ อยู่ในฐานะ ขนุ คลงั ปรยิ ตั ิ ในศาสนาของพระทศพล องฺ.
เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๒๑๙-๒๒๓/๒๕.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๙๙

พชี คาม (พชื คาม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑/๑๓. พืชคาม หมายถึงพชื พันธจุ์ าพวกท่ีถูกพรากจากท่ีแล้ว
ยงั สามารถงอกขน้ึ ได้อีก ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๙๓/๑๑๖, ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๗.

พุทธฺ จกฺขุ (พทุ ธจักษุ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๙/๔๐๙. พุทธจักษุ หมายถงึ อนิ ทริยปโรปริยตั ตญาณ คือ
ปรีชาหย่งั รคู้ วามยงิ่ และความหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือรู้ว่าสัตว์น้ัน ๆ มี
ศรัทธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปัญญา แคไ่ หน เพยี งใด มกี เิ ลสมาก มกี ิเลสน้อย มีความพร้อมท่ี
จะตรสั รหู้ รอื ไม่ อาสยานสุ ยญาณ คอื ปรีชาหยั่งรู้อธั ยาศัย ความม่งุ หมาย สภาพจิตท่ีนอน
เนือ่ งอยู่ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๘๓/๘๗, วิ.อ. (บาลี) ๓/๙/๑. ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๑๑-๑๑๕/
๑๗๒-๑๗๗.

พฺรหฺมจรยิ (พรหมจรรย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑/๑๒. พรหมจรรย์ มีความหมายหลายนัย ในท่ีน้ี
หมายถึงเมถนุ วิรัติ หรือการงดเวน้ จากเมถนุ ธรรม ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๘๙/๑๖.

พฺรหฺมจริย (ช่ือว่าพรหมจรรย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๖๑/๕๘๒. ช่ือว่าพรหมจรรย์ เพราะงดเว้นจาก
เมถนุ ธรรม ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๔๖๐/๓๑.

พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐/๑๑. พรหมจรรย์ หมายถึงความประพฤติประเสริฐ
มนี ยั ๑๒ ประการ คือ ทาน การให้ ไวยาวัจจะ การขวนขวายช่วยเหลือ ปัญจสิกขาบท
ศีลหา้ พรหมวิหาร การประพฤติพรหมวิหาร ธรรมเทศนา เมถุนวิรัติ การงดเว้นจากการ
เสพเมถุน สทารสันโดษ ความยินดีเฉพาะคู่ครอง ของตน อุโปสถังคะ องค์อุโบสถ
อริยมรรค ทางอันประเสรฐิ ศาสนาท่รี วมไตรสิกขา อัธยาศัย วริ ิยะ ความเพียร แต่ในทน่ี ้ี
หมายถงึ เมถนุ วริ ตั ิ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๕๕/๓๖๒-๓๖๔, ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๘๙/๑๖.

พฺรหฺมจริยปริโยสาน (ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๒/๘๓. ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์
หมายถงึ จดุ สุดทา้ ยของการประพฤติธรรม ในท่นี ห้ี มายเอาพระอรหัตผลอันเป็นจุดหมาย
สงู สดุ ของมรรคพรหมจรรย์ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๘๒/๘๐, ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๐๕/๓๐.

พฺรหฺมเทยฺย (พรหมไทย) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๒๒/๕๓๐. พรหมไทย หมายถึงสิ่งท่ีให้แก่บุคคลผู้
ประเสรฐิ , รางวัลทีป่ ระกอบดว้ ยอานาจเต็มเหนอื บ้านน้นั ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๔๒๒/๒๙.

โพธิ (ปัญญาเครอ่ื งตรัสรู้) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๗๙/๔๖๓. ปัญญาเคร่ืองตรัสรู้ หมายถึงมัคคญาณ
(ญาณในอรยิ มรรคคอื ความหย่ังรู้ท่ีให้สาเร็จภาวะอริยบุคคลแต่ละช้ัน) ๔ ประการ องฺ.
ปญฺจก.อ. (บาล)ี ๓/๕๓/๒.

ภควา (เปน็ พระผมู้ พี ระภาค) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐/๑๐. เปน็ พระผู้มพี ระภาค เพราะทรงมีโชค ทรง
ทาลายขา้ ศกึ คอื กเิ ลส ทรงประกอบดว้ ยภคธรรม ๖ ประการ (คอื ความเป็นใหญ่เหนือจิต

๒๐๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ของตน, โลกตุ ตรธรรม, ยศ, สิริ, ความสาเร็จประโยชน์ตามต้องการและความเพียร) ทรง
จาแนกแจกแจงธรรม ทรงเสพอริยธรรม ทรงคายตณั หา ในภพทัง้ ๓ ทรงเป็นท่เี คารพของ
ชาวโลก ทรงอบรมพระองค์ดีแล้ว ทรงมีส่วนแห่งปัจจัย ๔ เป็นต้น วิ.อ. (บาลี) ๑/๑/
๑๐๓-๑๑.

ภวนิโรธ (ความดับสนิทแห่งภพ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐๔/๑๑๑. ความดับสนิทแห่งภพ ในท่ีนี้
หมายถึงนพิ พาน ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๐๔/๙.

ภาเวตพฺพ (ส่ิงที่ควรเจริญ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๙/๔๙๗. สง่ิ ท่ีควรเจริญ ในท่นี หี้ มายถงึ มรรคสัจ ม.
ม.อ. (บาลี) ๒/๓๙๙/๒๙.

ภูต (ภูตะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐๐/๑๐๖. ภตู ะ หมายถงึ สัตว์ทุกจาพวกท้ังที่เกิดจากฟองไข่และเกิด
ในครรภม์ ารดา

ภูตคาม (ภูตคาม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑/๑๓. ภตู คาม หมายถงึ ของเขียว หรอื พืชพันธุ์อันเกดิ อยู่กับท่ี
มี ๕ ชนดิ คอื ที่เกิดจากเหงา้ เชน่ กระชาย, เกิดจากต้น เช่น โพธิ์, เกิดจากตา เช่น อ้อย.
เกิดจากยอด เชน่ ผกั ชี. เกิดจากเมล็ด เช่น ข้าว ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๙๓/๑๑๖, ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๑๑/๗.

มกฺขลโิ คสาล (มักขลิ โคศาล) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓๘/๒๘๐. มกั ขลิ โคศาล อธิบายว่า คาว่า มักขลิ
เป็นชื่อที่ ๑ ของเขา เหตุท่มี ีช่อื อย่างน้นั เพราะเขาเป็นคนถือหม้อน้ามันเดินตามทางที่มี
เปือกตม มกั จะไดร้ ับคาเตอื นจากนายว่า มา ขลิ (อย่าลื่นนะ) คาว่า โคสาล เป็นช่ือท่ี ๒
เพราะเขาเกดิ ในโรงโค ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๕๒/๑๓๑, ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๑๒/๑๔.

มชฺฌิมทวฺ ารสาล (ซมุ้ ประตกู ลาง) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๙๙/๓๕๖. ซมุ้ ประตูกลาง ในท่ีนี้หมายถึงซุ้ม
ประตทู ่ี ๔ ของเรอื นท่มี ี ๗ ซุ้มประตู ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๙๙/๒๑.

มนสุ ฺสธมมฺ (ธรรมของมนษุ ย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๗/๑๕๔. ธรรมของมนุษย์ ในท่ีน้ีหมายถึงกุศล
กรรมบถ ๑๐ ประการ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๔๖/๓๔๒, อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๔๕/๕.

มโนกมฺม (มโนกรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๗/๕๕. มโนกรรม ได้แก่ เจตนา ๒๙ ทง้ั ฝาุ ยกศุ ลและอกุศล
ท่ไี มเ่ กี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางทวารทั้ง ๒ (กายทวารและวจีทวาร) ที่เกิดขึ้นทางมโน
ทวาร

มโนสงฺขาร (มโนสงั ขาร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. มโนสังขาร หมายถงึ สภาพปรุงแต่งการกระทา
ทางใจ ได้แก่ สัญญาและเวทนา หรือมโนสัญเจตนา คือ ความจงใจทางใจ องฺ.ติก.อ.
(บาลี) ๒/๒๓/๑๐.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๐๑

มมการ (มมังการ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๙/๒๒๓. มมงั การ หมายถึงตัณหา ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๘๙/
๑๔.

มหคฺคต (มหคั คตะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๐/๒๑. มหัคคตะ หมายถึงอารมณ์ที่ถึงความเป็นใหญ่ช้ัน
รปู าวจรและชั้นอรูปาวจร เพราะมีผลที่สามารถขม่ กิเลสได้ และหมายถึงฉันทะ วิริยะ จิต
ตะ และปญั ญาอันยิง่ ใหญ่ อภิ.สง.ฺ อ. (บาลี) ๑๒/๙.

มหากปฺป (มหากัป) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒๘/๒๖๗. มหากัป คือ กาหนดระยะเวลา ๑ มหากัป
ยาวนานมาก อรรถกถาเปรยี บว่า มีสระน้าใหญ่แห่งหนึ่งเต็มด้วยน้า บุคคลเอาปลายใบ
หญ้าคาจุม่ ลงไปนาหยดน้าออกมา ๑๐๐ ปีตอ่ ๑ ครงั้ จนน้าในสระน้นั แห้ง กระทาเช่นน้ี
ไปจนครบ ๗ คร้ัง น่ันคือระยะเวลา ๑ มหากัป ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๒๘/๑๗๐, ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔. ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๒๘-๑๓๑/๒๒๑-๒๒๔.

มหาชานยิ (มคี วามเสือ่ มจากคุณอันย่งิ ใหญ่) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๔๐/๔๑๑. มีความเสื่อมจากคุณอัน
ยงิ่ ใหญ่ หมายถงึ มีความเสื่อมมากเพราะเสื่อมจากมรรคและผลทีจ่ ะพึงบรรลุ เพราะเกิดใน
อกั ขณะ คอื อาฬารดาบส ตายไปเกิดในอากญิ จญั ญายตนภพ ส่วนอุทกดาบสตายไปเกิด
ในเนวสัญญานาสญั ญายตนภพ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๘๔/๙๔, วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑๐/๑.

มหาปญฺ า (มีปัญญามาก) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖/๗. มีปัญญามาก หมายถึงมีปัญญามาก เพราะ
ประกอบด้วยปัญญาท่ีกาหนดทรงจาสติปฏั ฐาน ๔ ประการนนั้ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๖.

มหาปรุ สิ ลกฺขณ (ลักษณะมหาบุรุษ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๓/๔๗๑. ลักษณะมหาบุรุษ หมายถึง
ศาสตรว์ ่าดว้ ยลกั ษณะของบคุ คลสาคัญมีพระพุทธเจ้าเปน็ ต้น อันมีอยู่ในคัมภีร์พราหมณ์
ซ่ึงเรียกว่ามนตร์ เฉพาะส่วนที่ว่าด้วยผู้เป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่า พุทธมนตร์ มีอยู่
๑๖,๐๐๐ คาถา ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๘๓/๒๖๒, ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๕๖/๒๒.

มานานสุ ย (มานานุสยั ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๙/๒๒๓. มานานุสัย หมายถึงมานะ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๑๘๙/๑๔.

มทุ ฺธาวสติ ฺต (มรู ธาภิเษก) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๙/๙. มรู ธาภิเษก หมายถงึ การรดนา้ ศกั ด์สิ ิทธ์ิเหนือพระ
เศยี รในงานราชาภเิ ษกหรืองานพระราชพิธี ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๙.

เมถนุ (เมถนุ ธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑/๑๒. เมถนุ ธรรม หมายถึงการร่วมประเวณี การเสพสังวาส
กล่าวคอื การเสพอสัทธรรมอนั เปน็ ประเวณีของชาวบา้ น มีนา้ เป็นท่ีสุด เปน็ กิจทจ่ี ะต้องทา
ในทลี่ ับ เปน็ การกระทาของคนทีเ่ ปน็ คู่ ๆ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔.

๒๐๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

ยกขฺ (ยกั ขะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๗๖/๗๔. ยกั ขะ ในทนี่ ี้หมายถงึ ทรงแสดงอานุภาพได้ และทรงทาพระ
กายไมใ่ ห้ปรากฏได้ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๗๖/๗.

รชาปถ (เปน็ ทางมาแหง่ ธลุ ี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐/๑๑. เปน็ ทางมาแหง่ ธุลี เพราะเป็นทเี่ กิดและเป็น
ท่ีตั้งแหง่ กเิ ลสอันทาจิตใหเ้ ศรา้ หมอง เช่นราคะเปน็ ต้น ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๑/๑๖.

รโชธาตุ (รโชธาตุ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒๘/๒๖๗. รโชธาตุ (ฝุนละออง) ในทน่ี ห้ี มายถึงทท่ี ฝ่ี ุนจับเกาะ
เชน่ หลงั ฝุามือ ฝาุ เทา้ เปน็ ต้น ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๒๘/๑๗๐, ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.

รตฺตญฺญุตา (รัตตัญญู) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๔๕/๑๖๒. รัตตัญญู ในที่นี้เป็นตาแหน่งเอตทัคคะท่ี
พระอญั ญาโกณฑัญญะได้รบั ยกยอ่ งจากพระพทุ ธเจ้า มคี วามหมายวา่ ร้รู าตรีนาน คอื บวช
แลว้ รูแ้ จง้ ธรรม และเป็นพระขีณาสพก่อนพระสาวกทัง้ หลาย อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๑๘๘/
๑๒.

รตฺติ (ราตร)ี ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒/๒๕. ราตรี ในที่น้หี มายถึงเวลาท่ีล่วงปฐมยามไปมากแล้ว ม.ม.อ.
(บาล)ี ๒/๒๒/๒๐-๒.

ลาภ (ลาภ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓๘/๒๘๐. ลาภ ในที่น้ีหมายถึงการได้เห็น การได้ถามปัญหา หรือ
การได้ฟังธรรมกถาจากสมณพราหมณท์ ง้ั หลาย ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๓๘/๑๗.

โลกยต (โลกายตศาสตร์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๓/๔๗๑. โลกายตศาสตร์ ในท่ีนี้หมายถึงวิตัณฑวาท
ศาสตร์ คือศิลปะแห่งการเอาชนะผอู้ นื่ ในเชงิ วาทศิลป์โดยการอา้ งทฤษฎแี ละประเพณีทาง
สังคมมาหักลา้ งสัจธรรม ม่งุ แสดงให้เห็นว่าตนฉลาดกว่า มิได้มุ่งสัจธรรมแต่อย่างใด ม.
ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๓/๒๖๒, ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๕๖/๒๒.

วจีกมฺม (วจีกรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๗/๕๕. วจีกรรม ได้แก่ เจตนา ๒๐ เหล่านั้นแหละ ที่ไม่
เกี่ยวกบั การยึดถือเปน็ ตน้ ทางกายทวาร แตเ่ ก่ยี วกับการเปลง่ วาจาท่เี กิดขน้ึ ทางวจที วาร

วจสี งฺขาร (วจสี ังขาร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. วจสี ังขาร หมายถึงสภาพปรุงแต่งการกระทาทาง
วาจา ไดแ้ ก่ วิตกและวิจาร หรอื วจีสัญเจตนา คอื ความจงใจทางวาจา องฺ.ติก.อ. (บาลี)
๒/๒๓/๑๐.

วณฺณ (เรอ่ื งวรรณะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๐๒/๕๐๓. เรื่องวรรณะ ในที่นี้หมายถึงชนช้ันที่จัดแบ่ง
ออกไปตามหลักศาสนาพราหมณเ์ รยี กวา่ วรรณะ ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร

วตถฺ คุยฺห (พระคุยหฐาน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๕/๔๗๓. พระคุยหฐาน หมายถึงพระองคชาตมี
วรรณะเหมอื นทองคาท่ีเรน้ อยู่ในฝกั เหมือนฝกั ดอกปทมุ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๕/๒๖.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๐๓

วกิ าล (เวลาวกิ าล) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑/๑๓. เวลาวิกาล หมายถึง เวลาที่ห้ามไว้เฉพาะแต่ละเร่ือง
เวลาวกิ าล ในท่นี ้หี มายถงึ ผดิ เวลาทกี่ าหนดไว้ คือ ต้ังแต่หลังเที่ยงวันจนถึงเวลาอรุณขึ้น
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๙๓/๑๑๖, ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๐/๗.

วชิ ิตสงคฺ าม (ผู้ชนะสงคราม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๘/๔๐๙. ผู้ชนะสงคราม หมายถึงชนะเทวปุตต
มาร มัจจมุ าร และกิเลสมาร ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๘๒/๘.

วชิ ฺชา (วชิ ชา ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๓. วิชชา ในทีน่ ีห้ มายถึง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การ
ระลกึ ชาตกิ ่อนได้หลายชาติ ทิพพจักขุ การได้ทิพยจักษุ อาสวักขยปัญญา การมีปัญญา
เครื่องทาลายอาสวะกเิ ลสให้ส้นิ ไป ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๒/๒๔.

วชิ ฺชาจรณสมปฺ นนฺ (เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐/๑๐. เพียบพร้อมด้วย
วิชชาและจรณะ มีอธบิ ายว่า วชิ ชา ได้แก่ วชิ ชา ๓ และวชิ ชา ๘ ดังนี้ วิชชา ๓ คือ ปุพเพ
นิวาสานสุ สติญาณ ความรูท้ ่ใี หร้ ะลึกชาตไิ ด้ จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติ (ตาย) และอุบัติ
(เกดิ ) ของสัตว์ อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทาให้ส้ินอาสวะ วิชชา ๘ คือ วิปัสสนาญาณ
ญาณที่เป็น วิปัสสนา มโนมยิทธิ มีฤทธ์ิทางใจ อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ ทิพพโสต
หูทพิ ย์ เจโตปรยิ ญาณ รจู้ ักกาหนดจติ ผูอ้ ืน่ ได้ ปพุ เพนิวาสานสุ สติญาณ ความรู้ท่ีให้ระลึก
ชาติได้ ทิพพจกั ขุ ตาทพิ ย์ หรือเรียกว่าจุตปู ปาตญาณ อาสวักขยญาณ ความรู้ท่ีทาให้ส้ิน
อาสวะ จรณะ ๑๕ คือ สลี สัมปทา ความถงึ พร้อมด้วยศลี อินทรียสงั วร การสารวมอินทรีย์
โภชเนมัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค ชาคริยานุโยค การหม่ัน
ประกอบความเพียรเป็นเคร่ืองต่ืน มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ เป็นพหูสูต วิริยารัมภะ
ปรารภความเพยี ร มีสตมิ นั่ คง มปี ัญญา ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑/๑๐๓-๑๑.

วินิปาต (วินิบาต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕/๑๘. ชื่อวา่ วินิบาต เพราะเปน็ สถานท่ีตกไปของหมู่สัตว์ที่ทา
ความชว่ั ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๓/๓๕.

วนิ ิปาติก (วินิปาติกะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๘๑. วนิ ิปาตกิ ะ หมายถึงเวมานกิ เปรต ได้แก่ เปรตผู้อยู่
ในวมิ าน เสวยสขุ และทุกขส์ ลับกันไป บางตนขา้ งแรมเสวยทุกข์ ข้างขึ้นเสวยสุข บางตน
กลางคนื เสวยสขุ กลางวันเสวยทุกข์ เวลาเสวยสขุ อยใู่ นวิมานมีร่างสวยเป็นทิพย์สวยงาม
แตเ่ วลาจะเสวยทกุ ขก์ ็ตอ้ งออกจากวิมานนี้ไป และร่างกายก็กลายเป็นร่างท่ีน่าเกลียด น่า
กลัว องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาลี) ๒/๒๓๓/๔๔.

วิปริณามญฺ ถาภาว (แปรผันเป็นอย่างอน่ื ไป) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๗/๔๓๙. แปรผันเป็นอย่างอื่น
ไป ในทีน่ ้หี มายถึงความตาย หรอื การหนตี ามไปกบั ใคร ๆ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๗/๒๕.

๒๐๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

วมิ ชชฺ ชกขฺ ม (ไม่ควรพจิ ารณา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๙/๖๕. ไม่ควรพจิ ารณา หมายความวา่ พระพุทธ
พจน์เป็นสิ่งลึกซึ้งเปรียบเหมือนมหาสมุทร คนเขลาไม่สามารถหย่งั ถงึ ได้ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๗๕/๗.

วิเวก (วเิ วก) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๗/๔๗๙. วเิ วก ในทนี่ ้ีหมายถึงพระนิพพาน ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๘๗/
๒๘.

วหิ าร (วิหารธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๔/๔๐๓. วหิ ารธรรม ในที่นี้หมายถึงสมาบตั ิ ๘ กล่าวคือ รูป
ฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อนั เปน็ โลกิยะ อง.ฺ นวก. (ไทย) ๒๓/๔๑/๕๓๑-๕๔.

วีตราค (จิตท่ีปราศจากราคะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๖๔/๓๑๑. จิตที่ปราศจากราคะ หมายถึง
กามาวจรกศุ ลจิต ๘ ดวง เป็นเหตเุ กดิ ขึน้ แหง่ ศีลท่ีเป็นกศุ ล ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๖๕/๑๙.

วีมสี (นักอภปิ รัชญา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓๑/๒๗๒. นักอภิปรัชญา ผู้ที่ใช้เหตุผลโดยการคาดคะเน
ความจรงิ เอาจากการเทยี บเคียงจนพอใจถูกใจแล้วยึดถือเป็นทฤษฎี เชน่ คาดคะเนในเร่ือง
ทเ่ี ก่ยี วกับปฐมเหตุของโลกและจักรวาล ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๓๔/๙.

วสุ ติ วนตฺ (อยู่จบพรหมจรรยแ์ ล้ว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒/๓. อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว หมายถึงกิจแห่ง
การปฏบิ ตั ิเพ่อื ทาลายอาสวกิเลสจบส้ินสมบรู ณแ์ ล้ว ไมม่ กี ิจท่ีจะต้องทาเพ่ือตนเอง แตย่ งั มี
หน้าที่เพ่ือผู้อนื่ อยู่ ผู้อยจู่ บพรหมจรรย์นี้ ไดช้ อ่ื ว่าอเสขบคุ คล ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๘/๒๐.

โวหาร (โวหาร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๒/๓๗. โวหาร มีความหมายหลายนัย คือ การเรียกช่ือ การ
บญั ญตั ิ คาพดู และเจตนา ในทน่ี ห้ี มายถงึ เจตนาโวหาร ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๒/๓.

สคคฺ กถา (สคั คกถา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๙/๖๕. สคั คกถา หมายถงึ กถาท่ีพรรณนาคุณของสวรรค์ว่า
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ และอ่ืน ๆ อีกเป็นอันมาก ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๖๙/๖.

สจฺฉกิ ิริยาเหตุ (มงุ่ จะทาใหแ้ จ้ง) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๗๖/๓๒๘. มุ่งจะทาให้แจ้ง ในท่ีนี้หมายถึงการ
ทาให้แจง้ ๒ อย่าง คอื การทาใหแ้ จ้งดว้ ยการได้เฉพาะ เช่น การบาเพ็ญตติยฌานจนมี
ฌานไม่เสื่อม ตายไปเกดิ เป็นผู้มีอายุและผิวพรรณเสมอกับเทพช้ันสุภกิณหะ การทาให้
แจง้ ด้วยการเห็นประจักษ์ เชน่ การบาเพญ็ จตตุ ถฌาน (จนเป็นวสี) แล้วใช้อานาจฤทธ์ิไป
ถงึ เทวโลกชัน้ สภุ กิณหะ อยูร่ ว่ มกันและสนทนาธรรมกับเทพเหล่านั้น ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๒๗๖/๒๐.

สญฺ ม (ชอื่ ว่าสัญญมะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๖๑/๕๘๒. ช่อื ว่าสัญญมะ เพราะมศี ลี ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๔๖๐/๓๑.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๐๕

สญโฺ ชน (สงั โยชน์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖๙/๑๙๐. สังโยชน์ หมายถึงกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่
มดั ใจสตั วไ์ ว้กับทุกข์ มี ๑๐ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กาม
ฉันทะหรอื กามราคะ พยาบาทหรอื ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
๕ ข้อต้นชอ่ื วา่ โอรมั ภาคิยสงั โยชน์ ๕ ข้อหลงั ชื่อว่า อุทธัมภาคยิ สังโยชน์ พระโสดาบันละ
สงั โยชน์ ๓ ข้อต้นได้ พระสกทาคามีทาสังโยชนข์ ้อ ๔ และขอ้ ๕ ใหเ้ บาบาง พระอนาคามี
ละสังโยชน์ ๕ ขอ้ ต้นได้ พระอรหนั ต์ละสงั โยชนไ์ ดห้ มดทั้ง ๑๐ ข้อ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/
๑๓/๒๑, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๖๗/๑๗๔-๑๗.

สญฺโยชนนีวรณ (เปน็ สังโยชน์ เป็นนิวรณ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓/๓๘. เป็นสังโยชน์ เป็นนิวรณ์ใน
ท่ีนไ้ี มไ่ ดห้ มายถึงสังโยชน์ ๑๐ ประการ หรือนิวรณ์ ๕ ประการ แต่หมายถึงธรรมเป็น
เครอ่ื งปิดกัน้ ๘ ประการขา้ งตน้ ตรสั ไวด้ ้วยอานาจเทศนา ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓/๓.

สตอิ ายตน (เหตุ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙๘/๒๓๖. เหตุ ในทน่ี หี้ มายถึงอภิญญา ฌานท่ีมีอภิญญาเป็น
ฐานพระอรหตั หรอื การเหน็ แจง้ พระอรหัต ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๙๘/๑๔.

สตฺต (สัตว์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐๐/๑๐๖. สัตว์ หมายถงึ สตั วท์ กุ จาพวก เช่น อฐู โค ลา

สตฺตุสฺสท (ที่ ๗ แห่ง) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๖/๔๗๖. ที่ ๗ แห่ง ในที่น้ี คือ หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้าง
หลงั พระบาททั้ง ๒ ข้าง และลาพระศอ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๕/๔๓, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๓๘๖/๒๗.

สตฺถวาห (ผนู้ าหมู่) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๘/๔๐๙. ผู้นาหมู่ หมายถงึ สามารถนาสตั ว์ขา้ มท่ีกันดารคือ
ชาติ (ความเกดิ ) และสามารถเป็นผ้นู าของหมู่สัตว์คือ เวไนยสัตว์ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๘๒/
๘.

สทุกฺข (มคี วามทุกข์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๙/๒๒๒. มคี วามทุกข์ ในทนี่ ้ีหมายถึงทุกข์ท่ีเกิดจากกิเลส
และทุกขท์ ่ีเกดิ จากผลของกรรมชวั่ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๘๙/๑๔.

สทฺธ (เปน็ ผู้มศี รทั ธา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๔๔/๔๑๗. เปน็ ผู้มศี รทั ธา หมายถึงศรัทธา ๔ ประการ คือ
อาคมนสัทธา ได้แก่ ความเชื่อต่อพระสัพพญั ญูโพธิสตั ว์ เพราะศรทั ธานั้นมีมาแต่ตั้งความ
ปรารถนา อธิคมนสัทธา ได้แก่ ความเชื่อต่อการบรรลุอมตธรรมของพระอริยสาวก
ทัง้ หลาย โอกปั ปนสทั ธา ได้แก่ ความปลงใจเช่ือโดยไม่หวั่นไหว เมื่อกล่าวว่า พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ปสาทสัทธา ได้แก่ การเกิดข้ึนแห่งความเล่ือมใส แต่ในที่นี้ประสงค์
เอาโอกปั ปนสทั ธา ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๔๔/๒๓.

๒๐๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

สทฺธมฺม (สัทธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๔๕/๑๖๑. สัทธรรม ในท่นี ้ีหมายถงึ ธรรมอันดี หรือศาสนา มี
๓ ประการ คอื ปริยัติสทั ธรรม ปฏิบตั สิ ัทธรรม และอธิคมสทั ธรรม วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๓๘/
๔๒.

สทฺธมฺม (สัทธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓/๒๖. สทั ธรรม หมายถึงธรรมอันงาม หรือธรรมของสัตบุรุษ
ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๓/๒.

สทธฺ านสุ ารี (สทั ธานุสารี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๖/๑๕๓. สัทธานุสารี คือผู้แล่นไปตามศรัทธา ท่านผู้
ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล มีศรัทธาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต องฺ.
ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตตฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖.

สทฺธาวิมุตฺต (สัทธาวิมตุ ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๖/๑๕๓. สัทธาวิมุต หมายถึงผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา
เข้าใจอรยิ สัจถูกตอ้ ง กเิ ลสบางสว่ นสน้ิ ไปเพราะเห็นดว้ ยปัญญา มีศรัทธาแก่กล้า หมายถึง
ผู้บรรลโุ สดาปตั ตผิ ลจนถึงผูป้ ฏบิ ตั เิ พ่อื อรหัตผล องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตฺตก.อ.
(บาล)ี ๓/๑๔/๑๖๑-๑๖.

สโทส (จติ ทมี่ โี ทสะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๖๔/๓๑๑. จิตที่มีโทสะ ได้แก่ จิตท่ีสัมปยุตด้วยปฏิฆะ ๒
ดวง ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๖๔/๑๙.

สนิฆณฺฑุ (นิฆณั ฑศุ าสตร์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๓/๔๗๑. นิฆัณฑุศาสตร์ คัมภีร์ประเภทศัพทมูล
วิทยา (Etymology) คลังศัพท์ (Lexicon) หรืออภิธานศัพท์ (Glossary) ท่ีรวบรวม
คาศพั ท์ในพระเวทซึ่งเปน็ คายาก หรือคาท่ีเลิกใช้แล้วนามาอธิบายความหมายเป็นส่วน
หนง่ึ ของนิรุกติ ซ่ึงเป็น ๑ ในเวทางคศาสตร์ ๖ ของศาสนาพราหมณ์ ภาษาสันสกฤต
เรียกวา่ นฆิ ัณฏุ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๓/๒๖๒, ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๕๖/๒๒.

สนฺตวิโมกฺข (สันตวิโมกข์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๗๓/๑๙๙. สันตวโิ มกข์ หมายถงึ อรปู ฌานทีพ่ น้ ได้อย่าง
สิน้ เชิง เพราะพน้ จากธรรมทีเ่ ป็นขา้ ศึกกล่าวคอื นวิ รณ์ ๕ ประการ และเพราะไม่เก่ียวข้อง
ในอารมณ์ เป็นตน้ อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๙/๓๒.

สพฺพามิตฺต (อมิตรทั้งหมด) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๙/๔๙๗. อมิตรทั้งหมด ในท่ีน้ีหมายถึงมาร ๕
จาพวก คือ กเิ ลสมาร (มารคอื กเิ ลส) ขนั ธมาร (มารคือเบญจขันธ์) อภิสงั ขารมาร (มารคือ
อภิสงั ขาร) เทวปตุ ตมาร (มารคอื เทพบุตร)

สพฺยาปชฌฺ (มคี วามเบยี ดเบียน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. มีความเบียดเบยี น หมายถงึ มีทุกข์ องฺ.
จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๒๓๓/๔๔.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๐๗

สพยฺ าปชฌฺ (ความเบียดเบียน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๐/๔๖๗. ความเบียดเบียน ในท่ีน้ีหมายถึงมี
ทุกข์ คือทกุ ขท์ างใจที่ยงั ละไมไ่ ด้เด็ดขาดด้วยสมุจเฉทปหาณ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๐/๒๖.

สพฺยาปชฺฌ (มคี วามเบยี ดเบียน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๖๐/๔๔๕. มีความเบียดเบยี น ในท่ีน้ีหมายถึงมี
ทกุ ข์ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๖๐/๒๕.

สมนุปสสฺ ติ (พิจารณาเหน็ ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๓/๑๔๗. พิจารณาเห็น ในท่ีน้ีหมายถึงเห็นด้วย
วิปสั สนาอันแรงกล้า อง.ฺ นวก.อ. (บาล)ี ๓/๓๖/๓๐.

สมล (คนท่ีมมี ลทนิ ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๘/๔๐๘. คนท่มี มี ลทนิ ในท่ีนหี้ มายถึงครูท้ัง ๖ ว.ิ อ. (บาลี)
๓/๘/๑.

สมสุ สฺ ิต (ทค่ี ุมกันอยู่) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๒/๓๕๙. ทค่ี ุ้มกันอยู่ หมายถงึ คุมกนั อย่ดู ว้ ยกระดูก ๓๐๐
ท่อน ด้วยเสน้ เอน็ ๙๐๐ เสน้ ปกคลุมด้วยกล้ามเน้ือ ๙๐๐ มัด ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๐๒/
๒๑.

สมพฺ าธฆราวาส (การอยู่ครองเรือนเป็นเรือ่ งอึดอดั ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐/๑๑. การอยู่ครองเรือน
เป็นเรื่องอดึ อดั เพราะไมม่ เี วลาว่างเพือ่ จะทากุศลกรรม แม้เรือนจะมีเนื้อที่กว้างขวางถึง
๖๐ ศอก มบี ริเวณภายในบา้ นตัง้ ๑๐๐ โยชน์ มคี นอยู่อาศยั เพียง ๒ คนคอื สามีภรรยา ก็
ยงั ถอื ว่าอดึ อัด เพราะมคี วามหว่ งกังวลกันและกนั ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๑๖.

สมฺมา าณ (สัมมาญาณะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๖๘/๓๑๗. สัมมาญาณะ ในที่นี้หมายถึงสัมมาทิฏฐิ
นัน่ เอง ท่านตรัสไว้เพ่ือให้องค์ธรรมบริบูรณ์ และธรรมท้ังหมดน้ีเป็นธรรมชั้นอรหัตผล
อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๑/๓๗.

สโมห (จิตท่ีมีโมหะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๖๔/๓๑๑. จิตทม่ี ีโมหะ ได้แก่ จิตทสี่ หรคตด้วยวจิ กิ จิ ฉาและ
อุทธจั จะ ๒ ดวงกถ็ ูก แม้อกศุ ลจติ ทุกดวงกถ็ กู ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๖๔/๑๙.

สราค (จติ ทีม่ ีราคะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๖๔/๓๑๑. จิตที่มีราคะ ไดแ้ ก่ จิตทส่ี หรคตดว้ ยโลภะ ๘ ดวง
ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๖๔/๑๙.

สวฏฺฏกปฺป (สังวัฏฏกัป) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๔/๑๗. สังวัฏฏกัป หมายถึงกัปฝุายเสื่อม คือช่วง
ระยะเวลาที่โลกกาลงั พินาศ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๑๕.

สากขฺ รปฺปเภท (อกั ษรศาสตร์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๓/๔๗๑. อักษรศาสตร์ หมายถึงคัมภีร์ว่าด้วย
สกิ ขา (การเปลง่ เสยี ง,การออกเสียง) และนิรุตติ (การอธิบายศัพท์โดยอาศัยประวัติและ
กาเนิดของคา) ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๘๓/๒๖๒, ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๕๖/๒๒.

๒๐๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

สามกุ ฺกสิกเทสนา (สามกุ กังสิกเทศนา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๕/๔๘๘. สามุกกังสิกเทศนา หมายถึง
พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจา้ ทรงยกขึ้นแสดงเอง โดยไม่มีผทู้ ูลอาราธนาหรือทูลถาม ที.
สี.อ. (บาลี) ๑/๒๙๘/๒๕.

สิกขฺ า (สิกขา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๔/๑๕๑. สกิ ขา ในที่นหี้ มายถึงอธิสีลสิกขา (การศึกษาอบรมใน
เร่ืองศีล) อธิจิตตสกิ ขา (การศึกษาอบรมในเรื่องสมาธิ) และอธิปัญญาสิกขา (การศึกษา
อบรมในเรื่องปัญญา) ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๑๓/๓๐.

สกิ ขฺ าสาชีวสมาปนนฺ (ถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑/๑๒. ถึงพร้อมด้วย
สิกขาและสาชีพ คือ สิกขา หมายถึงไตรสิกขา คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิ
ปญั ญาสกิ ขา แต่ในทนี่ ีห้ มายถงึ อธสิ ีลสกิ ขา สาชีพ หมายถึงสิกขาบทท่ีพระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติสาหรับภกิ ษุผู้อยู่รว่ มกัน ผดู้ าเนินชีวติ ร่วมกัน มคี วามประพฤติเสมอกนั ม.มู.อ.
(บาลี) ๒/๒๙๒/๑๑. วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๙๙/๒๓๘.

สีล (ศลี ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๒๕/๕๓๔. ศลี ในที่นี้หมายถึงปาริสุทธิศีล ๔ ประการ คือ ปาติโมกข
สงั วรศลี (ความสารวมในพระปาตโิ มกข)์ อินทรียสังวรศีล (ความสารวมอินทรีย์) อาชีว
ปารสิ ุทธิศลี (ความบรสิ ทุ ธิแ์ หง่ อาชวี ะ) ปัจจยั สันนิสติ ศลี (ศลี ที่อาศัยการพิจารณาใช้สอย
ปัจจยั ) ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๒๕/๓๐.

สลี กถา (สีลกถา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๙/๖๕. สีลกถา หมายถงึ กถาท่ีพรรณนาคณุ ของศีลว่าเป็นท่ีพ่ึง
ทอ่ี าศยั ทตี่ ั้ง ทหี่ นว่ งเหน่ียว ท่ีปอู งกนั ที่เรน้ ทไ่ี ป ท่ีไปเบื้องหน้า เช่น สมบัติทั้งหลายใน
โลกนแี้ ละโลกอืน่ ล้วนอาศยั ศลี เปน็ ทพี่ งึ่ ทอ่ี าศยั เป็นต้น จึงได้มา ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๖๙/๖.

สีหเสยยฺ (สหี ไสยา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒/๒๖. สหี ไสยา หมายถงึ พระผูม้ ีพระภาคทรงสาเร็จสีหไสยา
เพราะมพี ระประสงคจ์ ะทรงใช้ทอ้ งพระโรงดว้ ยพระอริ ยิ าบถทัง้ ๔ ตามความดาริของพวก
เจา้ ศากยะ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๒/๒.

สุกกฺ กมฺม (กรรมขาว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. กรรมขาว หมายถึงกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ

สกุ ฺกวปิ าก (มวี บิ ากขาว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. มวี บิ ากขาว หมายถึงเป็นเหตุให้เกิดในสวรรค์
ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๘๑/๗.

สตุ ธร (ทรงสตุ ะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๕/๒๙. ทรงสุตะ ในทีน่ ีห้ มายถึงทรงจาไว้ได้ซ่ึงนวังคสัตถุศาสน์
คอื สตุ ตะ ได้แก่ อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะ ปริวาร มงคลสูตร รตนสูตร นาฬกสูตร
ตุวัฏฏกสูตร ในสุตตนิบาต และพุทธวจนะอืน่ ๆ ทีม่ ชี อื่ วา่ สุตตะ เคยยะ ได้แก่ พระสูตรที่
มคี าถาท้งั หมด โดยเฉพาะสคาถวรรคในสังยุตตนิกาย เวยยากรณะ ได้แก่ พระอภิธรรม

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๐๙

ปิฎกท้ังหมด พระสูตรท่ีไม่มคี าถา และพุทธพจน์อื่นที่ไม่จัดเข้าในองค์ ๘ ท่ีเหลือ คาถา
ได้แก่ ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนในสุตตนิบาตท่ีไม่มีช่ือว่าเป็นสูตร
อุทาน ไดแ้ ก่ พระสตู ร ๘๒ สตู รทเ่ี กี่ยวด้วยคาถาท่ีทรงเปล่งด้วยพระหฤทัยสหรคตด้วย
โสมนสั ญาณ อติ วิ ตุ ตกะ ไดแ้ ก่ พระสตู ร ๑๑๐ สตู ร ทต่ี รัสโดยนัยวา่ วตุ ฺตมทิ ภควตา เป็น
ต้น ชาตกะ ไดแ้ ก่ ชาดก ๕๕๐ เรื่อง มีอปัณณกชาดก เป็นต้น อัพภูตธรรม ได้แก่ พระ
สตู รท่ีว่าด้วยเรื่องอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏ ทั้งหมด ท่ีตรัสโดยนัยว่า ภิกษุท้ังหลาย ข้อ
อัศจรรย์ไมเ่ คยปรากฏมี ๔ อยา่ งน้ี หาได้ในอานนท์ ดงั นเ้ี ปน็ ต้น เวทลั ละ ได้แก่ พระสูตร
แบบถาม-ตอบ ซงึ่ ผูถ้ ามได้ท้งั ความรู้ และความพอใจ เช่น จูฬเวทัลลสูตร มหาเวทลั ลสูตร
สมั มาทิฏฐิสูตร สกั กปัญหสูตร สังขารภาชนยี สูตร และมหาปุณณมสูตร ที่กลุ บุตรเลา่ เรียน
สืบ ๆ กนั มาโดยบาลแี ละอนุสนธิ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๓๘/๑๓, ๓๓๓/๑๕.

เสข (เสขบคุ คล) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒/๓. เสขบคุ คล หมายถึงบคุ คลผู้ทย่ี งั ต้องศึกษา ๓ จาพวก ได้แก่
พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ผู้ยังต้องฝึกอบรมในไตรสิกขา คือ อธิ-
สีลสิกขา ฝึกอบรมในเรอ่ื งศีล อธจิ ิตตสกิ ขา ฝกึ อบรมในเรื่องจิต (สมาธิ) อธิปัญญาสิกขา
ฝึกอบรมในเร่ืองปญั ญา ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๗/๔๔, อง.ฺ ตกิ . (ไทย) ๒๐/๘๖/๓๓.

เสขปฏปิ ทา (เสขปฏิปทา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒/๒๕. เสขปฏิปทา หมายถงึ ปฏปิ ทาท่เี ป็นมงคล เป็น
ปฏิปทาของผู้เจริญในพระพุทธศาสนา เพื่อมุ่งหวังความเป็นมงคลแก่ท้องพระโรง
(สนั ถาคารศาลา) หลังใหม่ และเพราะมีพระเสขบุคคลเป็นอันมากนง่ั อยใู่ นบริษัท เม่ือตรสั
ปฏิปทาข้อนีแ้ ลว้ พระเสขบคุ คลเหลา่ น้ันจักกาหนดได้อย่างไม่ลาบาก ทั้งเป็นปฏิปทาที่
รวมไว้ซ่งึ ไตรสกิ ขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา ซึ่งเปน็ หวั ใจ เป็นข้อปฏิบัติหลักในพระศาสนา
เพราะเหตุดังกลา่ วมาน้ี พระผู้มีพระภาคจึงทรงกาหนดตรัสเสขปฏิปทาสูตรในกาลน้ี ม.
ม.อ. (บาลี) ๒/๒๒/๒.

เสขวิชฺชา (วชิ ชาของพระเสขะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙๗/๒๓๕. วชิ ชาของพระเสขะ ในท่ีนี้หมายถึง
สามญั ญผล ๓ เบือ้ งต่า (คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล และ อนาคามิผล) อีกนัยหน่ึง
หมายถงึ มรรคปญั ญาอันถึงลักษณะของพระเสขะ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๗/๑๔๘, ม.ม.ฏีกา
(บาล)ี ๑/๑๙๗/๑๑.

เสฏฺ ธมฺม (ธรรมอันประเสริฐสุด) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๓. ธรรมอันประเสริฐสุด ในท่ีน้ี
หมายถงึ นิพพาน ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๕๒/๒๔.

เสวิตพฺพ (เสพ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕๖/๑๗๔. เสพ ในที่นี้หมายถึงการนึกหน่วง รู้ เห็น พิจารณา
อธษิ ฐานจิต นอ้ มใจเชือ่ ประคองความเพยี ร ต้งั สตไิ ว้ ตง้ั จิตไว้ กาหนดรู้ด้วยปัญญา รู้ยิ่ง

๒๑๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

ธรรมที่ควรรยู้ ่ิง กาหนดรธู้ รรมท่ีควรกาหนดรู้ ละธรรมท่ีควรละ เจริญธรรมท่ีควรเจริญ
ทาให้แจ้งธรรมทคี่ วรทาให้แจ้ง อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๕๓/๖.

โสตฺติสินาน (จุรณถูตัว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๘๓/๓๓๙. จุรณถูตัว หมายถึงเคร่ืองหอมที่เป็นผง
ละเอียด อาจทาให้เป็นกอ้ นเก็บไปใช้ได้ทุกเวลา ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๙/๓๘.

หีนสขุ (ความสุขขั้นต่า) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๑๒/๒๔๙. ความสุขข้ันต่า หมายถึงความสุขท่ีเกิดจาก
กามคุณ ๕ ประการอันเป็นของมนุษย์ (คอื รูป เสียง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ) ม.ม.อ. (บาลี)
๒/๒๑๒/๑๖.

อกณฺหอสุกฺกวปิ าก (มวี ิบากทัง้ ไม่ดาและไม่ขาว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. มีวิบากท้ังไม่ดาและไม่
ขาว หมายถงึ เจตนากรรมในมรรคทง้ั ๔ ซ่งึ ทาใหส้ ิ้นกรรม ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๘๑/๗.

อกปปฺ ิย (อกัปปิยะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖๓/๑๘๓. อกัปปิยะ หมายถึงสิ่งท่ีไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม
ตามพทุ ธบัญญตั ิ ซึ่งตรงกนั ข้ามกับสิ่งทีเ่ ปน็ กปั ปิยะ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๕๘๖/๒๐.

องฺคณ (กเิ ลสเพียงดงั เนิน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๔/๑๗. กเิ ลสเพียงดังเนิน หมายถึงกิเลสเพียงดังเนิน
คือ ราคะ โทสะ โมหะ มลทิน หรอื เปือกตม ในทบี่ างแหง่ หมายถงึ พืน้ ทเี่ ป็นเนินตามที่พูด
กนั วา่ เนินโพธ์ิ เนินเจดยี ์ เป็นต้น แต่ในที่น้ี ท่านพระสารีบุตรประสงค์เอากิเลสอย่างเผ็ด
รอ้ นนานัปการว่า กเิ ลสเพยี งดังเนิน ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๕๗/๑๕.

อชิตเกสกมฺพล (อชิตะ เกสกัมพล) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓๘/๒๘๑. อชิตะ เกสกมั พล อธิบายว่า คาว่า
อชติ ะ เปน็ ชอ่ื ของเขา และไดช้ ื่อว่าเกสกมั พล ก็เพราะน่งุ ผา้ ทท่ี าด้วยผมของมนษุ ย์ ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๑๕๓/๑๓๑, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๓๑๒/๑๔.

อชฺฌตฺตรปู สญฺ (มรี ปู สญั ญาภายใน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๙/๒๙๕. มีรูปสัญญาภายใน หมายถึงจา
ไดห้ มายรู้รูปภายในโดยการบริกรรมรูปภายในทีย่ ังไมถ่ งึ อปั ปนา องฺ. อฏฺ ก.อ. (บาลี) ๓/
๖๕/๒๗๐, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๔๙/๑๘.

อชฺฌตฺตารูปสญฺ (มีอรูปสัญญาภายใน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๙/๒๙๖. มีอรูปสัญญาภายใน
หมายถึงปราศจากการบริกรรมในรูปภายใน เพราะไม่ให้รูปสัญญาเกิดขึ้น องฺ. อฏฺ ก.อ.
(บาล)ี ๓/๖๕/๒๗๑, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๔๙/๑๘.

อฏฺ าน (เป็นไปไมไ่ ด้เลย) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๐/๕๘. เป็นไปไม่ได้เลย หมายถึงปฏิเสธฐานะ (เหตุ)
และปฏิเสธโอกาส (ปจั จัย) ท่ีใหเ้ ป็นไปได้ องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๒๖๘/๔๐.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๑๑

อตฺต (อัตตา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๗๓/๓๒๒. อัตตา ในท่ีน้ีหมายถึงขันธ์ที่บังเกิดในเทวโลกชั้น
สุภกิณหะ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๗๒/๑๙.

อตตฺ จตุตฺถ (มีพระองค์เปน็ ท่ี ๔) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๔/๘๕. มพี ระองค์เป็นท่ี ๔ หมายถึงนิมนต์พระ
ผู้มีพระภาคพร้อมกับภกิ ษอุ นื่ อกี ๓ รูป ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๘๔/๘.

อธมฺมจารี (ประพฤตอิ ธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๔๗/๕๕๙. ประพฤติอธรรม หมายถึงประพฤติ
กรรมคือความทศุ ีล ๕ ประการ หรอื กรรมคือความทุศีล ๑๐ ประการ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๔๔๗/๓๐.

อธิกรณ (อธิกรณ์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๔๐/๑๕๘. อธกิ รณ์ หมายถงึ เรือ่ งท่สี งฆ์จะตอ้ งดาเนินการ มี ๔
อย่าง คอื ววิ าทาธกิ รณ์ การเถยี งกันเกี่ยวกับ พระธรรมวินยั อนวุ าทาธิกรณ์ การโจทหรือ
กล่าวหากันดว้ ยอาบตั ิ (ละเมิดสิกขาบท) อาปัตตาธิกรณ์ การต้องอาบัติ การปรับอาบัติ
และการแกไ้ ขตวั ให้พ้นจากอาบัติ กิจจาธิกรณ์ กิจธุระต่าง ๆ ท่ีสงฆ์จะต้องทา เช่น ให้
อุปสมบท ให้ผ้ากฐิน แต่ในท่ีนี้หมายถึงอนุวาทาธิกรณ์ องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๑๕/๑๒,
ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๒๒.

อธิปญฺ า (อธิปัญญา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๓/๒๘๙. อธปิ ญั ญา หมายถึงปัญญาในมรรค ๔ และผล
๔ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๗๗๐/๕๓๔ อกี นัยหน่งึ หมายถงึ วปิ ัสสนาปัญญาและมรรคปัญญา
อภ.ิ ว.ิ อ. (บาล)ี ๗๗๐/๔๔.

อธิสลี (อธศิ ีล) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๓/๒๘๘. อธิศลี ในที่น้ีหมายถึงศีลอนั ยอดเยย่ี ม ที.สี. (ไทย) ๙/
๔๐๒/๑๗๕

อนณ (ผไู้ ม่มีหน้ี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๘/๔๐๙. ผู้ไม่มีหน้ี หมายถึงผู้ไม่มีหนี้คือกามฉันทะ ม.มู.อ.
(บาล)ี ๒/๒๘๒/๘.

อนาคนฺตาร (ไม่มา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๐/๔๖๗. ไม่มา หมายถงึ ไม่มาอุบัติ (เกดิ ) อกี ม.ม.อ. (บาล)ี
๒/๓๘๐/๒๖.

อนิจฺจสญฺ า (อนิจจสัญญา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒๑/๑๓๑. อนจิ จสญั ญา ในทน่ี ้ีหมายถงึ การหมายรู้
ที่เกดิ ร่วมกันโดยพจิ ารณาเห็นเป็นความไม่เท่ยี ง ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๒๐/๑๐.

อนคุ ฺคณฺหาตุ (อนุเคราะห์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕๘/๑๗๙. อนุเคราะห์ ในท่นี ห้ี มายถึงการอนุเคราะห์
๒ อยา่ ง คอื การอนเุ คราะหด์ ้วยอามิส การอนเุ คราะห์ ด้วยธรรม ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๕๙/
๑๒.

๒๑๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

อนุปุพฺพีกถา (อนปุ ุพพกิ ถา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๙/๖๕. อนุปุพพกิ ถา หมายถึงเทศนาท่ีแสดงไปโดย
ลาดับ เพอ่ื ฟอกอัธยาศัยของสตั ว์ใหห้ มดจดเป็นชน้ั ๆ จากง่าย ไปหายาก เพื่อเตรียมจิต
ของผฟู้ งั ให้พร้อมท่ีจะรบั ฟังอรยิ สจั ต่อไป ดุจผ้าทซ่ี กั ฟอกสะอาดแลว้ ควรรบั น้าย้อมต่าง ๆ
ไดด้ ว้ ยดี ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๖๙/๖.

อนุพฺยญชฺ นคฺคาหี (แยกถือ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒/๑๕. แยกถอื มองภาพ ๒ ด้าน คือ มองแยกแยะ
เป็นส่วน ๆ ไปดว้ ยอานาจกเิ ลส เช่น เห็นมือ เท้า ว่าสวยหรือไม่สวย เห็นอาการยิ้มแย้ม
หัวเราะ การพดู การเหลียวซา้ ยแลขวา ว่าน่ารักหรือไม่น่ารัก ถ้าเห็นว่าสวยน่ารักก็เกิด
อิฏฐารมณ์ ถ้าเห็นว่าไม่สวยไม่น่ารักก็เกิดอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา)
อภิ.สง.ฺ อ. (บาลี) ๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.

อนโุ ลมกิ (ท่สี มควร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๑/๒๐๗. ทีส่ มควร ในทน่ี ห้ี มายถึงที่สมควรต่อการปฏิบัติ
ธรรม เหมาะแก่การเจริญกมั มัฏฐาน ภกิ ษุเมื่ออาศยั อยู่อาจบรรลมุ รรคผลได้ ม.ม.อ. (บาลี)
๒/๑๘๑/๑๓.

อปณฺณก (อปัณณกธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๙๓/๙๗. อปณั ณกธรรม หมายถึงธรรมที่ไม่ผิด ไม่เป็น
สองแง่ เปน็ เอกภาพ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๙๓/๘.

อปาย (อบาย) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕/๑๘. ช่ือวา่ อบาย เพราะปราศจากความงอกงาม กลา่ วคือความ
เจรญิ หรือความสุข ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๓/๓๕.

อปปฺ รชกขฺ ชาตกิ (มธี ุลใี นดวงตานอ้ ย) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๘/๔๐๘. มธี ุลีในดวงตาน้อย หมายถึงมี
ธลุ ีคอื ราคะ โทสะ โมหะ ปดิ บังดวงตาคอื ปญั ญาเบาบาง วิ.อ. (บาลี) ๓/๘-๙/๑๔-๑.

อพโฺ ภกาสปพฺพชฺชา (การบวชเป็นทางปลอดโปร่ง) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐/๑๑. การบวชเป็นทาง
ปลอดโปร่ง หมายความว่า นักบวชแมจ้ ะอยใู่ นเรือนยอด ปราสาทแก้วและเทพวิมาน ซึ่งมี
ประตูหน้าต่างปิดมิดชดิ ก็ยงั ถอื วา่ ปลอดโปรง่ เพราะนักบวชไม่มีความยึดติดในสิ่งใด ๆ
เลย ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๑๖.

อพยฺ าปชฌฺ (ไม่มคี วามเบียดเบยี น) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๐/๔๖๗. ไมม่ คี วามเบียดเบยี น หมายถึงตัด
ทุกข์ได้เดด็ ขาด ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๐/๒๖.

อภชิ าติ (อภิชาติ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒๘/๒๖๗. อภิชาติ คือ การกาหนดหมายชนชั้น เช่น โจร
เป็นกณั หาภิชาติ (สีดา) นกั บวชเป็นนลี าภิชาติ (สีเขยี ว) นคิ รนถเ์ ปน็ โลหิตาภิชาติ (สีแดง)
คฤหัสถ์เป็นหลิททาภิชาติ (สเี หลือง) อาชีวกเป็นสุกกาภิชาติ (สีขาว) นักบวชที่เคร่งวัตร
ปฏบิ ตั เิ ป็นปรมสกุ กาภิชาติ ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๑๓

อภิญฺ าโวสานปารมปิ ปฺ ตฺต (ที่สดุ แห่งอภิญญาและอภิญญาบารมี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๗/๒๙๑.
ทส่ี ุดแหง่ อภิญญาและอภิญญาบารมี ในทนี่ ้หี มายถึงพระอรหัตผลอันมีอภิญญาเป็นท่ีสุด
และมี อภญิ ญาเปน็ บารมี ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๔๗/๑๗.

อภิญฺ าโวสานปารมิปฺปตตฺ (บรรลทุ ี่สุดแหง่ อภิญญาและอภิญญาบารมี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๙/
๒๙๖. บรรลุที่สดุ แห่งอภญิ ญาและอภิญญาบารมี ในที่นห้ี มายถงึ เหล่าสาวกเจรญิ ธรรมใน
สตปิ ัฏฐานเป็นตน้ กอ่ น จากนั้นจึงบรรลุอรหัตผล หรือเป็นผู้อบรมวสีในอภิภายตนะ ๘
ประการน้ี ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๔๙/๑๘.

อภิญเฺ ยยฺ (ส่ิงทค่ี วรรู้) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๙/๔๙๗. สงิ่ ทคี่ วรรู้ ในที่น้ีหมายถงึ วิชชาและวิมุตติ ม.
ม.อ. (บาลี) ๒/๓๙๙/๒๙.

อภภิ ายตน (อภิภายตนะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๙/๒๙๕. อภภิ ายตนะ หมายถงึ เหตุครอบงา เหตุที่มี
อิทธพิ ล ไดแ้ ก่ ญาณหรือฌานท่ีเปน็ เหตคุ รอบงานิวรณ์ ๕ และอารมณ์ทั้งหลาย คานี้มา
จาก อภิภู + อายตนะ ทชี่ อ่ื วา่ อภภิ ู เพราะครอบงาอารมณ์ และช่ือว่า อายตนะ เพราะ
เปน็ ที่เกดิ ความสขุ อันวิเศษแก่พระโยคีทั้งหลาย เพราะเป็นมนายตนะและธัมมายตนะ
องฺ.อฏฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๖๕/๒๗๐, อง.ฺ อฏฺ ก.ฏกี า (บาลี) ๓/๖๑-๖๕/๓๐๒, ที.ม.อ. (บาลี)
๒/๑๗๓/๑๖๔, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๔๙/๑๘.

อภิสงขฺ โรติ (ปรงุ แตง่ ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙. ปรุงแต่ง ในท่ีน้ีหมายถึงการส่ังสมพอกพูน องฺ.
จตุกกฺ .อ. (บาลี) ๒/๒๓๓/๔๔.

อรติ (ความยินร้าย) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๕๙/๕๘๐. ความยินร้าย หมายถึงความไม่ยินดีอย่างยิ่ง
ความกระสัน ความดิ้นรนในเสนาสนะท่ีสงัด หรือในสภาวธรรมทีเ่ ปน็ อธกิ ศุ ล อภ.ิ วิ (ไทย)
๓๕/๙๒๖/๖๑.

อริยจกฺขุ (อริยจักขุ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๑๘/๒๕๖. อรยิ จักขุ ในทน่ี หี้ มายถึงวปิ สั สนาญาณและมรรค
ญาณอันบริสุทธิ์ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๑๘/๑๖.

อริย าณทสสฺ นวิเสส (ญาณทสั สนะที่ประเสริฐอันสามารถ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๗/๑๕๔. ญาณ
ทสั สนะท่ปี ระเสริฐอนั สามารถ หมายถึงมหัคคตโลกุตตรปัญญา (ปัญญาช้ันโลกุตตระท่ีถึง
ความ เป็นใหญ่) อนั ประเสริฐ บริสุทธ์ิ สูงสุด สามารถกาจัดกิเลสได้ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/
๑๔๖/๓๔๒, องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๔๘/๓๕.

๒๑๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

อรุกาย (มีกายเปน็ แผล) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๒/๓๕๙. มกี ายเป็นแผล หมายถึงแผลทั้ง ๙ แห่ง คือ
ดวงตา ๒ ช่องหู ๒ ชอ่ งจมกู ๒ ช่องปาก ๑ ช่องปัสสาวมรรค ๑ ช่องอุจจารมรรค ๑ ม.
ม.อ. (บาลี) ๒/๓๐๒/๒๑.

อวโิ รธ (ความไมโ่ กรธ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๕๒/๔๓๑. ความไม่โกรธ ในท่นี ีห้ มายถึงความมเี มตตา ม.
ม.อ. (บาลี) ๒/๓๕๒/๒๔.

อสภุ ภาวนา (อสุภภาวนา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒๑/๑๓๑. อสุภภาวนา ในที่นี้หมายถึงท้ังอุปจาร
ภาวนาและอัปปนาภาวนาในซากศพทอ่ี ืดพองขน้ึ ท่านกลา่ วอธิบายไวโ้ ดยพิสดารในคัมภีร์
วสิ ทุ ธิมรรค ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๒๐/๑๐.

อสฺสชิปนุ พฺพสุก (ภกิ ษุชอื่ อสั สชแิ ละภกิ ษุชื่อปุนัพพสุกะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๗๕/๒๐๑. ภิกษุช่ือ
อสั สชแิ ละภกิ ษุช่ือปุนพั พสกุ ะ คอื ทา่ นทัง้ สองเป็นคณาจารย์ในหมู่ภิกษุฉัพพัคคีย์ ได้แก่
ท่านพระปัณฑกุ ะและท่านพระโลหิตกะ ปกครองบริษัทในกรุงสาวัตถี ท่านพระเมตติยะ
และท่านพระภมุ มชกะปกครองบริษัทอยูใ่ นกรุงราชคฤห์ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๗๕/๑๓.

อสฺสทฺธ (บุคคลไม่มีศรัทธา) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๗๙/๔๖๕. บุคคลไม่มีศรัทธา หมายถึงบุคคล ๔
จาพวก คอื ปถุ ชุ นผูเ้ ขา้ ไม่ถงึ ศรัทธาของพระโสดาบนั พระโสดาบันผู้เข้าไม่ถึงศรัทธาของ
พระสกทาคามี พระสกทาคามผี เู้ ข้าไมถ่ ึงศรัทธาของพระอนาคามี พระอนาคามผี ูเ้ ขา้ ไม่ถึง
ศรทั ธาของพระอรหันต์ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๙/๒๕.

อหการ (อหงั การ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๙/๒๒๓. อหังการ หมายถึงทิฏฐิ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๘๙/
๑๔.

อาการวติปฏิปทา (ข้อปฏิบัติที่มีเหตุ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๗๔/๓๒๕. ข้อปฏิบัติท่ีมีเหตุ ในท่ีน้ี
หมายถงึ ลทั ธิของอเจลก คอื การงดเวน้ จากการดม่ื นา้ เมา (สุรา) ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๗๔/
๑๙.

อาจารโคจร (อาจาระและโคจร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔/๒๖. อาจาระและโคจร แยกอธิบายดังนี้
อาจาระ หมายถงึ ความไม่ลว่ งละเมิดทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความสารวมระวังใน
ศลี ทงั้ ปวง และความที่ภกิ ษุไม่เลีย้ งชีวิตดว้ ยมิจฉาอาชีวะที่พระพุทธเจ้าทรงตาหนิ คาว่า
โคจร หมายถงึ การไม่เที่ยวไปยงั สถานทไี่ มค่ วรเท่ียวไป เชน่ ทอี่ ยูข่ องหญิงแพศยา การไม่
คลุกคลีกับบุคคลท่ีไม่สมควรคลุกคลีด้วย เช่น พระราชา การไม่คบหากับตระกูลท่ีไม่
สมควรคบหา เช่น ตระกูลที่ไม่มีศรทั ธา ไม่มีความเล่ือมใส ภิกษุผู้ประกอบด้วยอาจาระ
และโคจรดงั กล่าวมาน้ี ชอ่ื ว่า ผู้เพยี บพร้อมดว้ ยอาจาระและโคจร อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๕๑๓-

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๑๕

๕๑๔/๔๑๓-๔๑.

อาจาริยปาจริย (เป็นอาจารย์และปาจารย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๒๕/๕๓๔. เป็นอาจารย์และ
ปาจารย์ หมายความว่า ด้วยพระธรรมเทศนาครั้งเดียวของพระผู้มีพระภาค หมู่สัตว์
จานวน ๘๔,๐๐๐ เทวดาและมนษุ ย์นับประมาณไม่ได้ย่อมด่ืมอมตธรรมคือมรรคและผล
เพราะฉะนัน้ จงึ ทรงเปน็ อาจารย์ของหมู่สัตว์ และทรงเปน็ ปาจารย์ของพระสาวกผู้ที่ทรง
แนะนาได้ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๒๕/๓๐.

อาตุร (กระสับกระส่าย) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๒/๓๕๙. กระสับกระส่าย หมายถึงความ
กระสบั กระส่ายอยูเ่ ปน็ นจิ เพราะความแก่ โรคภัย และกิเลส ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๐๒/๒๑.

อาทกิ ลฺยาณ (ธรรมมคี วามงามในเบ้ืองต้น) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐/๑๑. ธรรมมีความงามในเบ้ืองต้น
หมายถงึ ศีล ธรรมมคี วามงามในท่ามกลาง หมายถึงอริยมรรค และธรรมมีความงามใน
ทส่ี ุด หมายถงึ พระนพิ พาน ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๐/๑๕.

อาทิพฺรหมฺ จริย (อาทิพรหมจรรย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๗๑/๕๙๖. อาทิพรหมจรรย์ หมายถึงหลัก
เบอื้ งตน้ แห่งพรหมจรรย์ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๗๔/๓๒.

อาทพิ ฺรหมฺ จริยก (อาทพิ รหมจรรย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๗๔/๔๕๙. อาทิพรหมจรรย์ ในที่น้ีหมายถึง
ธรรมอันเปน็ เบือ้ งต้นแหง่ มรรคพรหมจรรย์ ไดแ้ ก่ ข้อปฏบิ ตั ิเปน็ เคร่อื งอบรมกาย วาจา ใจ
ตามลาดบั ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๗๔/๒๕.

อาภิสมาจาริก (อภสิ มาจารกิ ธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๗๓/๑๙๖. อภิสมาจาริกธรรม หมายถึงอภิ
สมาจาริกศีล คือ ศีลที่บัญญัติว่าด้วยเร่ืองวัตรอันเป็นระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียม
ช้ันสูง ได้แก่ ขนั ธกวัตร ๘๒ มหาวัตร ๑๔ เชน่ เจตยิ ังคณวัตร (ระเบียบปฏิบัติที่ลาน พระ
เจดยี )์ โพธิยังคณวัตร (ระเบียบปฏิบัติที่ลานต้นโพธิ์) อุปัชฌายวัตร (ระเบียบปฏิบัติที่
สทั ธิวหิ ารกิ พึงปฏบิ ตั ติ อ่ พระอุปชั ฌาย์) อาจริยวัตร (ระเบยี บปฏบิ ัติท่ีอนั เตวาสกิ พึงปฏิบัติ
ตอ่ พระอาจารย์) ชันตาฆรวัตร (ระเบียบปฏิบัติท่ีเรือนไฟ) อุโปสถาคารวัตร (ระเบียบ
ปฏบิ ัตทิ โ่ี รงอโุ บสถ) อง.ฺ ปญฺจก.อ. (บาล)ี ๓/๒๑/๖, ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๖๕/๔๕. วิ.จู. (ไทย)
๖/๕๑/๙๖, ๗๕-๘๒/๑๕๗-๑๖๓, วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๕๖-๓๘๒/๒๒๓-๒๖๗ สารตฺถ.ฏีกา
(บาลี) ๒/๑๖๕/๒๔๑-๒๔๒

อามกธญฺ (ธัญญาหารดิบ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑/๑๓. ธัญญาหารดิบ หมายถึงธัญชาติที่มีเมล็ดมี
เปลอื กสมบูรณพ์ รอ้ มทจ่ี ะงอกขน้ึ ได้ เชน่ ข้าวเปลือก ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๐/๗. อีกนัยหน่ึง

๒๑๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

หมายถงึ ธญั ชาติ ๗ ชนดิ คอื ข้าวสาลี ขา้ วเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมาน ข้าวฟุาง ลูก
เดือย หญ้ากบั แก้ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๙๓/๑๑.

อารทฺธวรี ยิ (ปรารภความเพียร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๕/๒๙. ปรารภความเพียร ในที่นี้หมายถึงมี
ความเพยี รทีบ่ ริบูรณแ์ ละมคี วามเพียรที่ประคบั ประคองไวส้ มา่ เสมอ ไมห่ ย่อนนัก ไมต่ งึ นัก
ไมใ่ หจ้ ิตปรงุ แตง่ ภายใน ไม่ให้ฟุูงซ่านภายนอก คาวา่ ความเพยี ร ในท่นี ้ีหมาย เอาท้ังความ
เพยี รทางกาย เช่น เพียรพยายามทางกายตลอดคืนและวัน ดุจในประโยคว่า ภิกษุใน
ธรรมวนิ ยั น้ี ชาระจิตให้บรสิ ุทธิ์จากธรรมท่ีกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดีด้วยการเดินจงกรม
ดว้ ยการน่ังตลอดวนั อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๕๑๙/๔๑. และความเพยี รทางจติ เช่นความเพียร
พยายามผกู จิตไวด้ ว้ ยการกาหนดสถานทเี่ ปน็ ตน้ ดุจในประโยควา่ เราจะไม่ออกจากถ้าน้ี
จนกวา่ จติ ของเราจะหลดุ พ้นจากอาสวะไมถ่ อื ม่นั ดว้ ยอปุ าทาน อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๑๘/
๔.

อาลย (อาลยั ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๗/๔๐๗. อาลัย คือกามคุณ ๕ ท่ีสัตว์พัวพัน ยินดี เพลิดเพลิน
วิ.อ. (บาลี) ๓/๗/๑. เป็นช่ือเรียกกิเลส ๒ อย่าง คือ กามคุณและตัณหาวิจริต ๑๐๘
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๘๑/๘๒, สารตถฺ .ฏกี า (บาลี) ๓/๗/๑๘.

อาสนทฺ ิปญฺจม (มีเตียงนอนเป็นที่ ๕) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒๕/๒๖๒. มเี ตียงนอนเป็นท่ี ๕ หมายถึง
เวลาหามศพจะใชบ้ รุ ษุ ๔ คน เดนิ หามเตียงนอนไป ฉะนั้น จึงชื่อว่ามีเตียงนอนเป็นท่ี ๕
ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๕.

อาสว (อาสวะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖/๑๘. อาสวะ หมายถงึ กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน
ไหลซึมซาบไปย้อมจติ เมอ่ื ประสบอารมณต์ า่ ง ๆ มี ๔ อย่าง คือ กามาสวะ อาสวะคือกาม
ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ทิฏฐาสวะ อาสวะคือทิฏฐิ อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา อภิ.วิ.
(ไทย) ๓๕/๙๓๗/๖๒๒-๖๒. แต่พระสตู รจดั เป็น ๓ เพราะสงเคราะห์ทิฏฐาสวะเข้าในภวา
สวะ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๔/๖.

อาสวฏฺ านยิ ธมฺม (อาสวัฏฐานิยธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๔๕/๑๖๑. อาสวัฏฐานิยธรรม หมายถึง
ธรรมเป็นท่ีตงั้ แหง่ อาสวะ คอื การกล่าวร้ายผู้อ่ืน การฆา่ การจองจา เป็นต้น และทุกข์ใจ
ในอบายชนดิ ต่าง ๆ รวมทง้ั การลว่ งละเมิดสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ ม.
ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๔๕/๑๑.

อาสววิฆาตปริฬาห (อาสวะและความเร่าร้อนท่ีทาความคับแค้น) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓/๓๘.
อาสวะและความเร่าร้อนทที่ าความคับแค้น มีอธิบายว่า คาว่า อาสวะ หมายถึงอวิชชา
สวะซึง่ เกดิ เพราะปาณาตบิ าตเปน็ ต้นเหตุ ความเร่ารอ้ น หมายถึงความเรา่ ร้อนเพราะกิเลส

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๑๗

และความเร่าร้อนท่ีเป็นวิบาก ความคับแค้น หมายถึงทุกข์เพราะกิเลส และทุกข์ที่เป็น
วิบาก ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓/๓.

อิตรีตรจวี รสนตฺ ฏุ ฺ (สนั โดษด้วยจวี รตามมีตามได้) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๑/๒๘๕. สันโดษ หมายถึง
ความสันโดษ ๓ ประการ คอื ยถาลาภสันโดษ เป็นผู้สันโดษตามมีตามได้ทั้งดีและ ไม่ดี
ยถาพลสันโดษ เปน็ ผู้สันโดษตามกาลังท้งั กาลงั ของตนและของทายก ยถาสารุปปสันโดษ
เป็นผู้สันโดษตามสมควรแก่สมณภาวะ สันโดษ ๓ ประการ ในปัจจัย ๔ คือ จีวร
บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปจั จยั เภสชั บริขาร จึงเปน็ สันโดษ ๑๒ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๒๕๒/๔๘-๕.

อติ ิหาส (ประวัตศิ าสตร์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๓/๔๗๑. ประวตั ิศาสตร์ หมายถงึ พงศาวดารเล่าเร่ือง
เกา่ ๆ มกั จะมีคาวา่ สงิ่ นไี้ ด้เปน็ มาอยา่ งนี้ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๓/๒๖๒, ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/
๒๕๖/๒๒๒ และ Dawson, John. A classical Dictionary of Hindu Mythology
(London : Routledge and Kegan Paul, 1957) p.222.

อทิ ฺธาภสิ งฺขาร (อิทธาภสิ ังขาร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๔๘/๔๒๓. อิทธาภิสังขาร ในที่น้ีหมายถึงทรง
บันดาลฤทธโ์ิ ดยประการต่าง ๆ เช่น ยอ่ หนทางให้สั้นเพ่อื ทรงดาเนนิ ได้เร็ว บนั ดาลให้มหา
ปฐพีเปน็ ลูกคล่ืนใหญ่ ขวางองคลุ มิ าลไมใ่ หต้ ามพระองค์ทัน หรือบันดาลให้มีเถาวัลย์ก้ัน
พระองค์ไว้เปน็ ต้น ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๔๘/๒๔.

อทิ ฺธาภิสงฺขาร (อทิ ธาภสิ งั ขาร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๘๕/๔๗๕. อทิ ธาภิสังขาร หมายถึงการแสดงฤทธิ์
ได้หลายอย่าง เช่น คนเดียวแสดงเป็นหลายคนก็ได้ หลายคน แสดงเป็นคนเดียวก็ได้
แสดงให้ปรากฏหรือให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กาแพง และภูเขาเหมือนไปในที่ว่าง ... ใช้
อานาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกกไ็ ด้ ที.สี. (ไทย) ๙/๒๓๘/๘.

อนิ ฺทริยคุตตฺ ทฺวาร (คมุ้ ครองทวารในอนิ ทรีย์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๓/๒๖. คุ้มครองทวารในอินทรีย์
หมายถงึ การสารวมกรรมทวาร (คือ กาย วาจา ใจ) ในอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย
และใจ อง.ฺ ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๖๗/๒๘๑.

อนิ ฺทรฺ ิยเวมตฺตต (มอี ินทรยี ต์ ่างกัน) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๓/๑๔๙. มีอินทรีย์ต่างกัน หมายความว่า
มีหลักปฏิบัติต่างกัน เช่น ท่านพระอานนท์ บาเพ็ญบารมี ๑๐ แล้วยังไม่บรรลุพระ
สัพพญั ญตุ ญาณ เหตุน้ันพระสัพพัญญุตญาณจึงไม่ปรากฏแก่ท่าน แต่พระตถาคตแทง
ตลอดแล้ว เหตุนั้นพระสัพพัญญุตญาณจึงปรากฏแก่พระองค์ ทั้งน้ีเป็นเพราะอินทรีย์
ตา่ งกัน หรือในเวลาบาเพญ็ สมถกัมมฏั ฐานภกิ ษุรปู หนง่ึ มุ่งความที่จิตมีอารมณ์เดียวเป็น
หลกั ก็จะหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุตติ ภิกษุอีกรูปหนึ่งมุ่งปัญญาเป็นหลัก ก็จะหลุดพ้นด้วย

๒๑๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

ปัญญาวิมตุ ติ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๓/๑๐.

อสิ สิ ตตฺ ม (พระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระองค์ท่ี ๗) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๗๖/๗๓. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ที่ ๗ หมายถึงพระโคดมสมั มาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
หนง่ึ บรรดาพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ คือ พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสิขีสัมมา-
สมั พุทธเจ้า พระเวสสภูสมั มาสัมพุทธเจา้ พระกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคมน-
สัมมาสัมพุทธเจา้ พระกสั สปสัมมาสมั พทุ ธเจ้า พระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ที.ปา. (ไทย)
๑๑/๒๗๗/๑๗.

อุตฺตรมิ นสุ ฺสธมฺม (อุตตรมิ นสุ สธรรม) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๗๓/๑๙๙. อุตตริมนุสสธรรม หมายถึง
ฌาน วปิ สั สนา มรรคและผล มหัคคตโลกตุ ตรปญั ญาทสี่ ามารถกาจดั กิเลสได้ เป็นธรรมที่
ยง่ิ กวา่ ธรรมของมนุษย์ กลา่ วคอื กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๔๕/
๕๑, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๗/๔๘/๓๕. แต่ในที่นีห้ มายถึงโลกุตตรธรรม (คือ มรรค ๔ ผล ๔
และนิพพาน) ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๗๓/๑๓.

อปุ ธิ (อุปธิ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕๔/๑๗๑. อุปธิ ในที่น้ีหมายถึงอุปธิ ๔ อย่าง คือ ขันธ์ กิเลส อภิ
สงั ขาร และกามคณุ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๕๔/๑๒.

อปุ ธิ (อปุ ธิ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕๔/๑๗๓. อุปธิ ในที่น้ีหมายถึงขันธ์ ๕ ประการ (คือ รูป เวทนา
สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ) ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๕๔/๑๒.

อุปธิวิเวก (อปุ ธวิ เิ วก) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๓/๑๔๗. อปุ ธวิ เิ วก ในทีน่ ีห้ มายถงึ ความสงัดจากกามคุณ
๕ ประการ (คือ รปู เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ) ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๓/๑๐.

อุปธิสงขฺ ย (ธรรมเปน็ ทส่ี น้ิ อุปธิ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕๔/๑๗๓. ธรรมเปน็ ทสี่ นิ้ อปุ ธิ หมายถงึ นิพพาน
เปน็ ท่สี ้นิ ตณั หา ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๕๔/๑๒.

อปุ หตินทฺ รฺ ิย (มีอินทรีย์ถูกกามกาจัดแล้ว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๑๒/๒๔๙. มีอินทรีย์ถูกกามกาจัดแล้ว
ในทีน่ หี้ มายถึงปญั ญินทรยี ์ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๑๔/๑๖.

อุปาทนิ ฺน (อปุ าทินนกรูป) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๐๔/๑๒๖. อุปาทินนกรูป หมายถึงรูปมีกรรมเป็น
สมุฏฐาน และคานย้ี ังเปน็ ชอ่ื ของรูปทดี่ ารงอยู่ในสรรี ะโดยที่ยดึ ถือ จับต้อง ลูบคลาได้ เช่น
ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม่ อาหารเกา่ คานี้กาหนด จาแนกไว้โดยเป็นปฐวีธาตทุ ีเ่ ป็นภายใน
สาหรับกุลบตุ รผู้บาเพ็ญธาตุกัมมัฏฐาน (ท่ีกาหนดจาแนกเป็นอาโปธาตุ เตโชธาตุ และ
วาโยธาต)ุ กเ็ ช่นเดียวกนั พึงทราบความพิสดารในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๓๐๒/๑๓.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๑๙

อภุ โตภาควิมตุ ฺต (อุภโตภาควิมุต) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๖/๑๕๓. อุภโตภาควิมุต หมายถึงผู้บาเพ็ญ
สมถกมั มฏั ฐานจนได้อรปู สมาบัติ และใช้สมถะเป็นพื้นฐานในการบาเพ็ญวิปัสสนาจนได้
บรรลุอรหตั ผล องฺ.สตตฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๐, อง.ฺ นวก.อ. (บาล)ี ๓/๔๕/๓๑.

เอกจจฺ เทว (เทวดาบางพวก) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๘๑. เทวดาบางพวก ในท่ีน้ีหมายถึงกามาวจร
เทวดา ๖ ชนั้ คอื จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนมิ มิตวสวัตดี องฺ.
จตุกกฺ .อ. (บาล)ี ๒/๒๓๓/๔๔.

เอกตฺตุเปกฺขา (อุเบกขาที่มีอารมณ์เดียว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๒/๔๓. อุเบกขาท่ีมีอารมณ์เดียว
หมายถงึ อเุ บกขาในฌานท่ี ๔ ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๒/๓.

เอกนตฺ สขุ ี (มีสุขโดยส่วนเดยี ว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๗๕/๓๒๖. มสี ุขโดยส่วนเดียว อรรถกถาอธิบาย
วา่ สกลุ ทุ ายีปรพิ าชกถามปัญหานี้เพราะคิดว่า เราจะกลา่ วถงึ อตั ตาวา่ มสี ุขโดย ส่วนเดียว
จะกล่าวข้อปฏิบัตวิ า่ มีสขุ บางคราว มีทกุ ข์บางคราว แม้ข้อปฏบิ ตั ขิ องอัตตาท่ีมีสุขโดยส่วน
เดียว จะพึงเป็นโลกทม่ี สี ุขโดยสว่ นเดยี ว กถาของเราไม่อาจนาสตั วอ์ อกจากทุกข์ กถาของ
พระศาสดาเท่านั้น นาสัตว์ออกจากทุกข์ได้ เขาคิดต่อไปว่า บัดนี้ เราถามพระศาสดา
เท่านนั้ จะรคู้ าตอบได้ จึงถามปัญหา ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๗๕/๑๙.

เอกมนฺต (ทส่ี มควร) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑/๑. ทส่ี มควร ในท่นี ีห้ มายถงึ ที่เหมาะสม คือ เว้นโทษการนั่ง
๖ ประการ ไดแ้ ก่ ไกลเกินไป ใกล้เกนิ ไป อยู่เหนอื ลม สูงเกินไป อย่ตู รงหนา้ เกนิ ไป อยู่ขา้ ง
หลังเกินไป องฺ.ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๑๖/๑.

เอกาสนโภชน (ฉนั อาหารมื้อเดียว) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓๔/๑๕๐. ฉนั อาหารมื้อเดียว หมายถึงการ
ฉนั อาหารในเวลาเช้า คือต้ังแตด่ วงอาทิตย์ข้ึนจนถึงเวลาเทยี่ งวัน แมภ้ ิกษุ ฉันอาหาร ๑๐
คร้ัง ในชว่ งเวลาน้กี ป็ ระสงคว์ ่า ฉนั อาหารมอ้ื เดียว ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๒๕.

เอตฺตาวตา (เพียงเทา่ นี้) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๗๕/๓๒๗. เพียงเท่านี้ ในท่ีนี้หมายถึงตติยฌาน เพราะ
ปรพิ าชกผนู้ ้ียดึ ถอื ว่าตตยิ ฌานเปน็ โลกทีม่ สี ขุ โดยสว่ นเดียว ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๗๕/๑๙.

เอวธมมฺ (ผมู้ ีธรรมอย่างน้ี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖๙/๑๙๐. ผู้มีธรรมอย่างน้ี ในที่น้ีหมายถึงธรรมอัน
เปน็ ไปเพ่อื สมาธิ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๙/๑๓.

เอวสลี (ผู้มศี ีลอย่างน้ี) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๖๙/๑๙๐. ผู้มีศีลอย่างน้ี ในท่ีน้ีหมายถึงศีลที่เป็นทั้ง
โลกิยะและโลกตุ ตระ ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๙/๑๓.

โอปปาตกิ (โอปปาตกิ ะ) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙/๒๐. โอปปาติกะ ในทีน่ ้ีหมายถึงสตั ว์ท่ีเกิดและเติบโต
เต็มทีท่ นั ที และเม่อื จตุ ิ (ตาย) ก็หายวบั ไปไมท่ ง้ิ ซากศพไว้ เชน่ เทวดาและสัตว์นรกเป็นตน้

๒๒๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๔. แต่ในที่นห้ี มายถงึ พระอนาคามีที่เกิดในสุทธาวาส (ที่อยู่ของ
ท่านผบู้ รสิ ุทธ)์ิ ๕ ชัน้ มชี ้นั อวิหาเปน็ ตน้ แล้วดารงภาวะอยู่ในชนั้ นน้ั ๆ ปรนิ ิพพานส้นิ กเิ ลส
ในสุทธาวาสนั่นเอง ไม่กลบั มาเกิดเป็นมนุษย์อีก องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗-๘๘/๒๔๒-๒๔.

โอรมฺภาคยิ สญฺโ ชน (โอรัมภาคยิ สงั โยชน์) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙/๒๐. โอรัมภาคยิ สังโยชน์ หมายถึง
สังโยชนเ์ บอื้ งต่า ๕ ประการ (คือ สกั กายทิฏฐิ ความเหน็ ว่าเป็นอตั ตา วจิ ิกิจฉา ความลังเล
สงสัย สลี พั พตปรามาส ความถอื มั่นศลี และวัตร กามราคะ ความติดใจในกามคุณ ปฏิฆะ
ความกระทบกระทงั่ ในใจ อนั เป็นเหตใุ ห้เกิดในกามภพ) ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๔๕/๒.

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๒๑

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก

พระสตุ ตนั ปิฎกเลม่ ที่ ๑๔

กตกรณยี (กจิ ทีค่ วรทาเสร็จแลว้ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙/๒๖. กิจที่ควรทาเสร็จแล้ว ในท่ีนี้หมายถึง
กิจในอริยสัจ ๔ คอื การกาหนดรทู้ ุกข์ การละเหตเุ กดิ แหง่ ทุกข์ การทาให้แจ้งซ่ึงความดับ
ทุกข์ และการอบรมอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้เจริญ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/๒๐๓, ม.มู.อ.
(บาลี) ๑/๕๔/๑๓.

กมฺม (การงาน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๘๗/๔๔๐. การงาน หมายถึงมรรคเจตนา

กาม (กาม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๖๖/๗๒. กาม ในที่นี้หมายถึงวัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กล่ิน รส
โผฏฐัพพะ และกิเลสกาม (คอื ความพอใจ ความกาหนัด เป็นตน้ ) ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๖๖/
๓. ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑/๑-๒.

กามสญฺโ ชน (กามสังโยชน์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐/๓๙. กามสงั โยชน์ ในท่ีนี้หมายถึงความทะยาน
อยากในกามคุณ ๕ (คือ รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะทนี่ า่ ใคร)่ ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๓๐/๑.

กายทุจจฺ รติ สมงคฺ ี (เพยี บพรอ้ มด้วยกายทุจรติ ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๑/๑๖๘. เพียบพร้อมด้วยกาย
ทุจริต ในท่ีนี้หมายถงึ ความเพยี บพร้อม ๕ ประการ คอื เพยี บพรอ้ มด้วยการส่ังสม เพราะ
ส่ังสมกศุ ลกรรมและอกุศลกรรม เพียบพร้อมด้วยเจตนา เพราะจงใจในการก่อกุศลกรรม
และอกศุ ลกรรม เพียบพร้อมด้วยกรรม เพราะกรรมท่ีสัตว์สั่งสมไว้ตราบเท่าท่ียังไม่ได้
บรรลอุ รหัตผล เพยี บพรอ้ มดว้ ยวบิ าก เพราะเสวยผลของกรรมทส่ี ่งั สมไว้ เพียบพร้อมด้วย
การอุบัติ เพราะเกิดในนรก ครรภม์ ารดา หรอื เทวโลก ตราบเท่าท่ยี งั ไมบ่ รรลุอรหัตผล ม.
อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๓๑/๘๗-๘.

กายสงฺขาร (กายสังขาร) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๕๔/๑๙๗. กายสังขาร หมายถึงผ่อนคลายลมหายใจ
หยาบให้ละเอยี ดขึน้ ไปโดยลาดบั จนถงึ ขนั้ ทจ่ี ะตอ้ งพิสจู นว์ า่ มีลมหายใจอยหู่ รอื ไม่ เปรียบ
เหมือนเสยี งเคาะระฆงั ครัง้ แรกจะมีเสียงดงั กังวาน แล้วแผ่วลงจนถึงเงียบหายไปในที่สุด
วสิ ทุ ธฺ .ิ (บาลี) ๑/๒๒๐-๒๒๑/๒๙๘-๓๐.

๒๒๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

กุกฺกุลนริ ย (กุกกุลนรก) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๖๙/๓๑๖. กุกกุลนรก ในท่ีนี้หมายถึงนรกที่มีเถ้าร้อน
ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ภายในเตม็ ด้วยเปลวไฟและถ่านเพลิงขนาดเท่าเรือนยอด ม.อุ.อ.
(บาล)ี ๓/๒๖๙/๑๗.

คลิ านปจฺจยเภสชฺชปรกิ ฺขาร (คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๘๒/๙๐. คิลานปัจจัย
เภสชั บรขิ าร คอื เภสชั ๕ ชนดิ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ามนั น้าผ้ึง นา้ อ้อย ว.ิ อ. (บาลี) ๒/
๒๙๐/๔๐, สารตฺถ.ฏกี า (บาลี) ๒/๒๙๐/๓๙. คิลานปัจจัยเภสัชบริขารน้ีมีประโยชน์ ๒
อย่าง คอื เปน็ สง่ิ สัปปายะสาหรับภิกษุผู้เจ็บไข้ จัดว่าเป็นบริขารคือบริวารของชีวิต ดุจ
กาแพงลอ้ มพระนครเพราะคอยปูองกนั รักษาไมใ่ ห้อาพาธทจี่ ะบั่นทอนชีวิตได้ช่องเกิดขึ้น
และเปน็ สมั ภาระของชวี ติ คือคอยประคับประคองชีวิตให้ดารงอยู่นาน วิ.อ. (บาลี) ๒/
๒๙๐/๔๐-๔๑, ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๓๙๗, ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๓/๒๑. เป็นเครื่อง
ปูองกนั โรค บาบัดโรคท่ีให้เกดิ ทุกขเวทนา เนื่องจากธาตุกาเริบให้หายไป สารตฺถ. ฏีกา
(บาล)ี ๒/๒๙๐/๓๙.

เคหสติ (ปกตทิ ย่ี ังผกู พันอยกู่ บั เรอื น) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๑๙/๒๕๓. ปกติท่ียังผูกพันอยู่กับเรือน ใน
ท่นี ี้หมายถึงปกติท่อี าศยั กามคุณ ๕ (คือ รปู เสยี ง กลิน่ รส และโผฏฐัพพะ) ม.อุ.อ. (บาลี)
๓/๒๑๙/๑๔.

เคหสติ (อนั อาศยั เรือน) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๕๔/๑๙๗. อันอาศัยเรอื น หมายถงึ อาศยั กามคุณ ๕ (คือ
รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๕๓-๑๕๔/๑๐.

เคหสิตโสมนสฺส (โสมนัสอาศัยเรือน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๖/๓๗๑. โสมนัสอาศัยเรือน หมายถึง
โสมนัสอาศัยกามคุณ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๓๐๖/๑๙.

เคหสิตุเปกฺขา (อุเบกขาอาศัยเรือน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๗/๓๗๔. อุเบกขาอาศัยเรือน ในที่น้ี
หมายถึงอเุ บกขาทีไ่ มล่ ว่ งพ้นรปู ารมณ์เปน็ ต้น ในเมื่ออารมณ์ท่ีน่าปรารถนาไปสู่คลองใน
ทวารทั้ง ๖ ก็ยังคงติดอยู่ในรูปารมณ์เป็นต้นน้ันดุจแมลงจับท่ีงบน้าอ้อยติดอยู่ ม.อุ.อ.
(บาล)ี ๓/๓๐๘/๑๙๑-๑๙.

โคจร (โคจร) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๕/๗๙. โคจร หมายถงึ การไมเ่ ทีย่ วไปยังสถานทีท่ ีไ่ มส่ มควรเที่ยวไป
เชน่ ท่อี ยขู่ องหญงิ แพศยา การไม่คลกุ คลีกับบคุ คลท่ีไม่สมควรคลกุ คลีด้วยเช่น พระราชา
การไมค่ บหากับตระกูลที่ไมส่ มควรคบหา เช่น ตระกลู ทีไ่ ม่มศี รัทธา ไมม่ คี วามเลอื่ มใส อภิ.
ว.ิ (ไทย) ๓๕/๕๑๓-๕๑๔/๔๑๓-๔๑. ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๖/๕๗๑-๕๗๔.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๒๓

จตุเทวปตุ ตฺ (เทพบุตร ๔ องค)์ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๐๒/๒๓๗. เทพบุตร ๔ องค์ ในที่นี้หมายถึงท้าว
มหาราช ๔ องค์ คือ ท้าวธตรฐ จอมคนธรรพ์ครองทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก จอม
กมุ ภณั ฑ์ครองทศิ ใต้ ทา้ ววิรูปักษ์ จอมนาคครองทศิ ตะวนั ตก ท้าวเวสสวณั จอมยกั ษ์ครอง
ทิศเหนอื ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒๙๔/๒๖๐, ท.ี ม.ฏกี า (บาลี) -/๑๙/๓.

จตปุ ริวฏฏฺ (จตุปรวิ ฏั ฏะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๒/๑๖๙. จตปุ รวิ ัฏฏะ แปลวา่ วงเวียน ๔ วงเวียน ที่
เรยี กธรรมบรรยายน้วี ่า วงเวียน เพราะอธิบายวงเวียน ๔ คือ ธาตุ อายตนะ ปฏิจจสมุป
บาท และฐานะกับอฐานะ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๘.

จาคมนพุ ฺรเู หยยฺ (พึงเพ่มิ พนู จาคะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๔๓/๔๐๓. พงึ เพมิ่ พนู จาคะ หมายถึงเพ่ิมพูน
การสละกเิ ลส (อย่างหยาบ) มาแต่ต้น เพื่อทาการสละกิเลสทั้งหมดด้วยอรหัตมรรค ม.
อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๓๔๓/๒๑.

จนุ ฺทสมณุทฺเทส (พระจนุ ทะสมณุทเทส) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๒/๕๑. พระจุนทะสมณุทเทสรูปนี้เป็น
ภิกษชุ าวเมืองราชคฤห์ บิดาของท่านชื่อวังคันตพราหมณ์ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านนาลกะ
(บางแห่งเรียกนาลนั ทะ) มารดาช่ือสารีพราหมณี ท่านมพี น่ี อ้ งร่วมสายโลหติ อีก ๖ คน คือ
พระสารีบุตรเถระผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระวังคันตอุปเสนเถระ พระขทิย -
เรวตเถระ พระจาลาเถรี พระอปุ จาลาเถรี พระสีสุปจาลาเถรี ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๔๒/๒๓,
ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๑/๑๗๙/๑๖๘, ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๒/๓๗๕/๒๒๔, ขุ.เถรี.อ. (บาลี) ๔๖๐/
๒๐.

เจโตวิจารณสปฺปาย (เปน็ สัปปายะแกค่ วามเป็นไปแหง่ จติ ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘๙/๒๒๗. เป็นสัป
ปายะแกค่ วามเปน็ ไปแห่งจิต หมายถงึ เปน็ ที่สบายและเปน็ อุปการะแก่การชักนาจิตเข้าสู่
สมถะและวิปสั สนา อง.ฺ นวก.อ. (บาลี) ๓/๑/๒๘. ในทน่ี ีบ้ าลเี ปน็ เจโตวจิ ารณสปฺปายา แต่
ในฉบับภาษาอังกฤษเป็น เจโตวิวรณสปฺปายา และฉบับฉัฏฐสังคีติ เป็นเจโตวินีวรณ
สปฺปายา, และสปั ปายะท่ีควรเสพ ๗ ประการ คือ อาวาส โคจร การพดู คุย บคุ คล โภชนะ
ฤดู อริ ยิ าบถ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๘๙/๑๑.

เจโตวมิ ตุ ฺติ (เจโตวิมตุ ติ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๖/๒๒๓. เจโตวิมุตติ ในท่นี ้หี มายถึงความหลุดพ้นแห่ง
จิตฝาุ ยรูปาวจรและฝุายอรปู าวจร ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๘๖/๑๑.

เจโตวิมุตฺติ (เจโตวิมุตติ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๘๑/๙๒. เจโตวิมุตติ หมายถึงสมาธิท่ีสัมปยุตด้วย
อรหัตผล ที่ช่ือว่าเจโตวิมุตติ เพราะพ้นจากราคะท่ีเป็นปฏิปักขธรรมโดยตรง แต่มิได้
หมายความว่าจะระงับบาปธรรมอ่ืนไม่ได้ ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๖๙/๓๓๔-๓๓. ในที่นี้

๒๒๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

หมายถึงความหลุดพน้ ดว้ ยมสี มถกัมมฏั ฐานเปน็ พ้ืนฐาน ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๖๙/๑๗๗, องฺ.
ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๘๘/๖.

ฉธาตุ (ธาตุ ๖) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๔๓/๔๐๓. ธาตุ ๖ โดยทั่วไปหมายถึงข้อปฏิบัติเป็นส่วนเบื้องต้น
ของกุลบุตรมี ๖ ประการ คือ ความสารวม ในศลี ความคุม้ ครองทวารในอินทรีย์ ๖ ความ
เป็นผรู้ ู้ประมาณในโภชนะ การประกอบซึ่งธรรมเป็นเคร่ืองต่ืนอย่างต่อเน่ืองสัทธรรม ๗
รปู ฌาน ๔ แต่ในท่ีน้ีผฟู้ ังมีข้อปฏิบัติเหล่าน้ีแล้วจึงทรงแสดงข้อปฏิบัติแนวกัมมัฏฐานท่ี
สงู ขนึ้ ไป ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๓๔๓/๒๑.

ฉนทฺ มลู ก (มีฉันทะเป็นมูลเหตุ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๘๕/๙๗. มีฉันทะเป็นมูลเหตุ ในที่น้ีหมายถึงมี
ตัณหาเปน็ มลู เหตุ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๘๖/๕.

ฉนฺทราค (ฉนั ทราคะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๐/๒๒๘. ฉันทราคะ ในที่นี้หมายถึงความกาหนัดท่ีไม่
รุนแรง(ฉนั ทะ) และความกาหนัดท่ีรุนแรง (ราคะ) วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๒๙/๕๗๒, ขุ.ม.อ.
(บาล)ี ๘/๑๐.

ฉนนฺ (พระฉนั นะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๘๙/๔๔๒. พระฉันนะ ในสูตรนี้ เป็นคนละรูปกับพระฉันนะที่
นาม้ากัณฐกะสง่ เสด็จเมื่อครัง้ เจา้ ชายสทิ ธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ม.อุ.อ. (บาลี)
๓/๓๘๙/๒๓๗, ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๘๗/๒.

ชยเสน (พระราชกมุ ารนามวา่ ชยเสน) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๑๓/๒๔๖. พระราชกุมารนามว่าชยเสน
เปน็ พระราชโอรสองคห์ นงึ่ ของพระเจ้าพิมพสิ าร ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๒๑๓/๑๔.

ชวนปญฺ า (มปี ญั ญารวดเร็ว) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๙๓/๑๑๐. มปี ญั ญารวดเรว็ ในทีน่ ห้ี มายถงึ มีปัญญา
รวดเรว็ เพราะแลน่ ไปเร็วในรปู ท่ีเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน และแล่นไปเร็วในพระ
นพิ พานอนั เปน็ ทดี่ ับชาติ ชรา มรณะ โดยพิจารณาทาใหแ้ จม่ แจ้ง ทาใหเ้ ดน่ ชดั ว่า รปู ฯลฯ
ชรา มรณะ ไม่เท่ยี ง ถกู ปจั จัยปรงุ แต่ง อาศยั กนั เกดิ ข้นึ มีความเสื่อมไป มีความส้ินไป มี
ความคายกาหนัด และมีความดบั ไปเป็นธรรมดาเป็นต้น ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๙๒/๕๗-๕.

ชีวิตุตตฺ ม (ชวี ติ อันสงู สุด) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๘๗/๔๔๐. ชีวิตอนั สูงสุด หมายถึงชีวติ ของผู้ดารงอย่ใู น
ศีล ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๘๗/๒๓๖, ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๔๘/๘๖, ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๔๘/๑๓.

าณทสฺสน (ญาณทสั สนะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔/๖. ญาณทัสสนะ หมายถงึ ความรูแ้ ละความเห็นตรง
ตามเป็นจรงิ อาจเรียกวา่ มรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ ปัจจเวกขณญาณ หรือ
วปิ ัสสนาญาณก็ได้ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๓๔/๑๙.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๒๕

าติ (ญาติ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓/๔. ญาติ หมายถึงบดิ ามารดาของสามี หรือบิดามารดาของภรรยา
และ เครือญาติของทัง้ ๒ ฝุาย ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๗๒, ม.มู.ฏกี า (บาลี) ๑/๖๕/๓๒.

าย (ญายธรรม) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๑๙/๒๕๓. ญายธรรม ในท่นี ้หี มายถงึ อรยิ มรรคมีองค์ ๘ ม.อุ.อ.
(บาล)ี ๓/๒๑๙/๑๔.

าน (เปน็ ไปได้) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๒๗/๑๖๖. เป็นไปได้ ในท่ีน้ีหมายถึงยอมรับฐานะ (เหตุ) ที่ให้
เปน็ ไปได้ ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๒๗/๗๔, องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๒๖๘/๔๐.

ตณหฺ า (ตณั หา) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๒๐/๔๗๖. ตณั หา ในที่นี้หมายถึง ตัณหาท่ีเกิดขึ้นในขณะแห่ง
ชวนจิตทม่ี ีวิบากเวทนาเป็นปัจจยั ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๔๒๐/๒๕.

ตณหฺ า (ตัณหา) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๒๑/๔๗๙. ตัณหา ในท่ีนี้หมายถึง ตัณหาที่เกิดขึ้นในขณะแห่ง
ชวนะทมี่ วี ิบากเวทนาเปน็ ปจั จยั ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๔๒๐/๒๕.

ตถาคต (ตถาคต) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๘. ตถาคต ในท่ีนห้ี มายถงึ พระผ้มู พี ระภาค บัณฑติ เรยี กว่า
ตถาคต เพราะเหตุ ๘ ประการ คือ เพราะเสดจ็ มาแล้วอย่างน้นั เพราะเสด็จไปแล้วอย่าง
น้นั เพราะเสด็จมาสลู่ ักษณะอันแทจ้ รงิ เพราะตรัสร้ธู รรมท่ีแท้ตามความเป็นจริง เพราะ
ทรงเหน็ จรงิ เพราะตรัสวาจาจรงิ เพราะทรงทาจรงิ เพราะทรงครอบงา (ผู้ทีย่ ึดถือลทั ธิอ่นื
ท้งั หมดในโลกพรอ้ มท้ังเทวโลก) ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๒/๕.

ตถาภตู (ผมู้ ธี รรมอย่างนนั้ ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๓๑/๔๙๐. ผู้มีธรรมอย่างนั้น หมายถึงผู้เพียบพร้อม
ด้วยสขุ ทางจิตทีป่ ระกอบดว้ ยกุศลจิต ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๔๓๑/๒๕.

ติกฺขปญฺ า (มีปัญญาเฉียบแหลม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๓/๑๑๐. มีปัญญาเฉียบแหลม ในที่นี้
หมายถึงมีปัญญาเฉียบแหลม เพราะไม่ให้กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก และ
อุปกิเลส ๑๖ ท่ีเกิดขึ้นแล้วอาศัยอยู่ และเพราะบรรลุอริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔
ปฏิสัมภิทา ๔ และอภญิ ญา ๖ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๙๒/๕.

ตจุ ฉฺ (เปน็ ของว่างเปล่า) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๖๖/๗๒. เป็นของว่างเปล่า ในที่นี้หมายถึงเป็นของว่าง
เปล่าเพราะเว้นจากแก่นสาร คือ ความเที่ยง ความยั่งยืน และความเป็นอัตตา ม.อุ.อ.
(บาลี) ๓/๖๖/๓.

ทม (ความข่มใจ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๙๖/๔๕๐. ความข่มใจ ในที่น้เี ป็นชื่อแห่งความสารวมอินทรีย์
เปน็ ต้น อนงึ่ ความสารวมอนิ ทรีย์ ทา่ นอธบิ ายว่า ถกู ขม่ ไว้ด้วยสจั จะแล้วจึงเข้าถึงการข่ม
ใจ ผู้ประกอบด้วยความขม่ ใจและสงบใจช่ือว่าผู้ถึงที่สุดพระเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว

๒๒๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

ส่วนความสงบใจ (อุปสมะ) เป็นไวพจน์ของความข่มใจ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๙๖/๒๓๙,
ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๘๘-๘๙/๒.

ทฏิ ฺ ธมมฺ เวทนยี (ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗/๙. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือกรรม
ทใ่ี หผ้ ลในชาตปิ จั จบุ ัน จะเป็นกรรมดีหรือกรรมช่ัวก็ตาม ถ้ากระทาในขณะแห่งชวนจิต
ดวงแรก ในบรรดาชวนจิตท้ัง ๗ แหง่ ชวนวถิ ีหนง่ึ ๆ ได้แก่ ปฐมชวนเจตนา กรรมน้ีให้ผล
เฉพาะในชาตินี้เทา่ นนั้ ถา้ ไม่มีโอกาสใหผ้ ลในชาติน้ี จะกลายเป็นอโหสิกรรม เหตุท่ีให้ผล
ได้เฉพาะในชาตินี้ เพราะเป็นเจตนาที่ประกอบกับชวนะดวงแรก ยังไม่ถูกกรรมอื่น ๆ
ครอบงา เพ่งิ เริ่มต้นการปรุงแต่งจึงมีกาลงั แรงแต่ให้ผลเฉพาะในชาตินีเ้ ทา่ นั้น ไม่ให้ผลใน
ชาตหิ น้า คอื ถ้าทากรรมนีใ้ นปฐมวัย กรรมน้ีกจ็ ะให้ผลในปฐมวัย มชั ฌมิ วัย หรอื ในปัจฉิม
วัย ถา้ ทาในมชั ฌมิ วัย กรรมนี้จะให้ผลในมัชฌิมวัย หรือในปัจฉิมวัย ถ้าทาในปัจฉิมวัย
กรรมนี้ก็จะให้ผลในปัจฉิมวัยนั้นเอง ทั้งน้ีเพราะขาดอาเสวนปัจจัย ทิฏฐธรรมเวทนีย-
กรรมนีจ้ งึ จัดวา่ มีผลเพียงเล็กน้อย เปรียบเหมือนนายพรานพอเห็น เนื้อก็หยิบธนูยิงไป
ทนั ที ถา้ ถูกเนือ้ ก็ล้มลงในท่นี ั้น ถา้ ไม่ถกู เนอ้ื กร็ อดไปได้ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๗/๓, องฺ.ติก.อ.
(บาลี) ๒/๓๔/๑๑๗, วิสทุ ฺธ.ิ (บาล)ี ๒/๖๘๕/๒๖๖, วิสุทธฺ ิ.ฏกี า (บาลี) ๒/๖๘๕/๔๑.

ทฏิ ฺ ธฺมมนิพฺพาน (ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๑/๒๙. ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ
หมายถึง ลัทธิที่ถือวา่ มีสภาพบางอยา่ งเป็นนิพพานในปจั จุบนั มี ๕ ลทั ธิ ที.สี. (ไทย) ๙/
๙๓-๙๘/๓๘-๓๙.

ทิฏฺ สมฺปนฺน (ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๒๗/๑๖๖. ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ในท่ีนี้
หมายถึงพระอริยบุคคลชน้ั โสดาบนั ข้นึ ไป เป็นผู้ถงึ พร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิ คอื ความเห็นชอบ
ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๒๗/๗๔, องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๒๖๘/๔๐.

ทุกฺกฏกมฺมการี (ชอบทาแตก่ รรมช่ัว) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๔๖/๒๙๑. ชอบทาแต่กรรมช่ัว หมายถึง
ประกอบกายทุจริ ต ๓ คือ ปาณาติบาต ( ฆ่าสัตว์) อทินนา ทาน (ลักทรัพย์)
กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤตผิ ิดในกาม) ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๒๔๖/๑๕๒, องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/
๓/๗.

ทุกฺขเวทนีย (ให้ผลเป็นทุกข์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๐/๓๕๙. ให้ผลเป็นทุกข์ หมายความว่า
อกุศลเจตนาช่อื วา่ ให้ผลเปน็ ทุกข์ เพราะทาให้ทุกข์เท่านั้นเกิดในปฏิสนธิกาลและปวัตติ
กาลนัน้ เอง ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๐๐/๑๘.

ทคุ คฺ ติ (ช่ือว่า ทคุ ติ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘/๒๕. ช่ือวา่ ทุคติ เพราะเป็นคตคิ ือเปน็ ทีต่ งั้ แห่งความทุกข์
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๓/๓๕.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๒๗

ทุจฺจินฺติตจนฺตี (ชอบคิดแต่เรื่องช่ัว) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๔๖/๒๙๑. ชอบคิดแต่เร่ืองช่ัว หมายถึง
ประกอบมโนทุจริต ๓ คือ อภิชฌา (เพ่งเลง็ อยากได้ของของเขา) พยาบาท (ความคิดปอง
ร้าย) มิจฉาทิฏฐิ (ความเหน็ ผดิ ) ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๒๔๖/๑๕๒, อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๓/๗.

ทุพฺภาสิตภาสี (ชอบพูดแต่เร่ืองชั่ว) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๔๖/๒๙๑. ชอบพูดแต่เร่ืองช่ัว หมายถึง
ประกอบวจที ุจรติ ๔ คือ มสุ าวาท (พดู เทจ็ ) ปสิ ุณาวาจา (พดู สอ่ เสียด) ผรุสวาจา (พูดคา
หยาบ) สมั ผัปปลาปะ (พดู เพ้อเจอ้ ) ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๒๔๖/๑๕๒, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๓/
๗.

เทวทูต (เทวทูต) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๖๒/๓๑๐. เทวทูต ในที่น้ีหมายถึงส่ือแจ้งข่าวมฤตยู เป็น
สญั ญาณเตือนใหร้ ะลกึ ถึงคติธรรมดาของชีวิตไม่ให้ประมาท ได้แก่ ความแก่ ความเจ็บ
และความตาย ปรากฏเสมอื นเทวดาทรงเคร่ืองมาประทับยืนในอากาศเตือนว่า วันโน้น
ทา่ นจะตาย อง.ฺ ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๓๖/๑๓.

เทสนา (การแสดง) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๑/๔๑๖. การแสดง หมายถงึ การใหอ้ ุทเทส (คาเร่ิมต้น) จบ
ลง องฺ.จตุกกฺ .ฏีกา (บาล)ี ๒/๑๗๒/๔๓.

ธมมฺ (ธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๘๗/๔๔๐. ธรรม หมายถึงธรรมที่เป็นฝุายแห่งสมาธิ อีกนัยหน่ึง
หมายถงึ สมั มาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ

ธมมฺ (ธรรม) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๐/๔๘. ธรรม ในทน่ี หี้ มายถงึ ธรรมเปน็ เหตุทะเลาะและบาดหมางกนั
ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๔๐/๒.

ธมฺม (ธรรม) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๐/๔๙. ธรรม ในท่ีนี้หมายถึงสารณียธรรม คือ ธรรมเป็นเหตุให้
ระลกึ ถึงกัน

ธมมฺ (ธรรม) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๙/๘๖. ธรรม ในท่นี ห้ี มายถงึ พระสพั พญั ญตุ ญาณ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๗๙/๔.

ธมมฺ (ธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๑/๒๒๙. ธรรม ในท่นี ี้หมายถึงสมถะ วิปัสสนา มรรค และผล ม.
อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๙๑/๑๑.

ธมฺม (ธรรมารมณ์) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๘๒/๓๓๗. ธรรมารมณ์ ในท่นี ี้หมายถงึ ธรรมารมณท์ ี่เป็นไปใน
ไตรภมู ิ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๒๘๒/๑๗.

ธมมฺ จกฺขุ (ธรรมจกั ษุ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๑๙/๔๗๕. ธรรมจกั ษุ ในท่ีน้ีหมายถึงมรรค ๔ และผล ๔
ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๔๑๙/๒๕๐, ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๒๑/๔.

๒๒๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ธมฺมาทาส (ธัมมาทาสะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๒/๑๖๙. ธมั มาทาสะ แปลว่า แว่นส่องธรรม ท่ีเรียก
ธรรมบรรยายน้ีว่า แว่นส่องธรรม เพราะใช้ส่องธรรมได้ เหมือนใช้กระจกส่องเงาหน้า
ฉะนนั้ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๘.

ธมมฺ กิ สขุ (สขุ ท่เี กิดขน้ึ โดยธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๐/๑๕. สุขทเ่ี กดิ ขนึ้ โดยธรรม หมายถงึ ความสุข
ท่ีเกดิ จากปัจจยั ๔ คือ อาหารบิณฑบาต เครอื่ งนุ่งห่ม ทอ่ี ยู่อาศัย ยารักษาโรค ท่ีเกิดขึ้น
จากสงฆ์ หรือจากคณะ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๐/.

นติ (ความน้อมไป) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๙๓/๔๔๖. ความน้อมไป ในท่ีนี้หมายถึงความน้อมไปด้วย
ตณั หาและทิฏฐิ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๓๙๓/๒๓๗,ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๘๗/๒.

นตฺถิกวาท (นตั ถิกวาทะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๔๓/๑๘๓. นัตถิกวาทะ หมายถึงผู้มีลัทธิว่า ทานท่ีให้
แล้วยอ่ มไมม่ ีผล ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๔๓/๙.

นริ ย (ชื่อว่า นรก) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘/๒๕. ช่ือวา่ นรก เพราะปราศจากความยินดี เหตุเป็นท่ีไม่มี
ความสบายใจ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๕๓/๓๕.

นานฺวาคเมยยฺ (ไม่ควรคานึงถึง) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๗๒/๓๑๙. ไม่ควรคานึงถึง ในที่น้ีหมายถึงไม่
ปรารถนาขนั ธ์ ๕ ดว้ ยตัณหาและทฏิ ฐิ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๒๗๒/๑๗.

นิคนถฺ (นิครนถ์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑/๒. นคิ รนถ์ หมายถงึ นักบวชนอกพุทธศาสนาพวกหน่ึงมีนิครนถ์
นาฏบตุ รเปน็ เจ้าลทั ธิ ที.สี. (ไทย) ๙/๑๗๖/๕. นักบวชเหล่าน้เี รยี กตวั เองวา่ นคิ รนถ์ เพราะ
ปฏญิ าณตนวา่ เปน็ ผู้ไม่มกี ิเลสเครือ่ งผกู พนั ไว้ในวัฏฏสงสาร ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๓๑๒/๑๔๑,
ม.มู.ฏีกา (บาล)ี ๒/๓๑๒/๒๒. นกั บวชเหลา่ นี้ เมือ่ เจ้าลัทธิตายแล้วก็แตกเป็น ๒ พวก ที.
ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๑/๒๔๙, ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๔/๙๔, ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๔๑/๒.

นิพเฺ พธิกปญฺ า (มปี ญั ญาชาแรกกเิ ลส) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๙๓/๑๑๐. มีปัญญาชาแรกกิเลส ในที่นี้
หมายถึงมปี ญั ญาชาแรกกเิ ลส เพราะเจาะ คือทาลายกองโลภะ กองโทสะ กองโมหะ กอง
อุปกิเลส ๑๖ และกรรมท่ีจะนาไปสู่ภพทั้งหมดที่ยังไม่เคยเจาะทาลายมาก่อน ม.อุ.อ.
(บาลี) ๓/๙๒/๕.

นิมิตฺตคฺคาหี (รวบถือ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๕/๒๒. รวบถือ หมายถึงมองภาพด้านเดียว คือมอง
ภาพรวมโดยเห็นเป็นหญงิ หรอื ชาย เหน็ ว่ารูปสวย เสียงไพเราะ กลน่ิ หอม รสอร่อย สัมผัส
ท่อี ่อนนุ่มเปน็ อารมณ์ที่นา่ ปรารถนาดว้ ยอานาจฉนั ทราคะ อภ.ิ สง.ฺ อ. (บาลี) ๑๓๕๒/๔๕.

นิยยฺ านิก (อนั เปน็ เคร่ืองนาออก) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๕๔/๖๐. อนั เป็นเครอ่ื งนาออก หมายถึงมรรค ๔
(โสดาปตั ติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค) อันเป็นธรรมที่ตัดมูล

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๒๙

รากแหง่ วัฏฏะทานิพพานให้เปน็ อารมณ์ แล้วนาสตั ว์ออกจากวัฏฏะ อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/
๑๒๙๕/๓๖๑, อภิ.สง.ฺ อ. (บาลี) ๘๓-๑๐๐/๙.

นิรยปาล (นายนิรยบาล) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๖๒/๓๑๐. นายนิรยบาล หมายถึงผู้ทาหน้าท่ีลงโทษสัตว์
นรก องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๓๖/๑๓.

นสิ สฺ รณ (ธรรมทสี่ ลดั ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๘๔/๙๔. ธรรมท่ีสลัด มี ๓ ประการ คือ ธรรมท่ีสลัดด้วย
การข่มไว้ หมายถึงปฐมฌานที่มีอสุภกัมมัฏฐานเป็นอารมณ์ ธรรมท่ีสลัดด้วยองค์น้ัน
หมายถึงวิปัสสนากัมมัฏฐาน ธรรมที่สลัดด้วยการถอนขึ้น หมายถึงอรหัตมรรค องฺ.
ปญจฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๑๙๓/๗๓-๗.

เนกขฺ มฺม (เนกขมั มะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๑๓/๒๔๗. เนกขัมมะ ในที่น้ีหมายถึงคุณคือการบรรพชา
อนั เป็นเครื่องสลัดออกจากกาม ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๒๑๔/๑๔.

เนกฺขมฺมสิตโสมนสฺส (โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๖/๓๗๑. โสมนัสอาศัย
เนกขัมมะ หมายถึงโสมนสั อาศยั วปิ สั สนา ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๐๖/๑๙.

เนกขฺ มฺมสิตุเปกฺขา (อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๗/๓๗๕. อุเบกขาอาศัยเนกขัม
มะ ในทีน่ ้ีหมายถึงอุเบกขาประกอบดว้ ยวิปัสสนาญาณเกดิ ขนึ้ แกบ่ คุ คลผู้ไม่ยนิ ดี ยนิ รา้ ยใน
อารมณท์ ่ีนา่ ปรารถนาและไมน่ ่าปรารถนา ผู้ไม่ลุ่มหลงในเพราะการไม่พิจารณา ในเม่ือ
อารมณ์ ที่นา่ ปรารถนาเปน็ ต้นไปสคู่ ลองในทวารทงั้ ๖ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๐๘/๑๙.

เนกฺขมฺมสขุ (เนกขมั มสขุ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๖/๒๒๓. เนกขัมมสุข หมายถึงความสุขของผู้ออก
จากกามไดแ้ ล้ว ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๘๖/๑๑.

เนกฺขมฺมสขุ (เนกขมั มสขุ ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘๖/๒๒๓. ปวเิ วกสขุ หมายถึงความสุขท่ีสงัดจากกาม
ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๘๖/๑๑.

เนวสญฺ นาสญฺ (เนวสัญญีนาสญั ญีวาทะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๑/๒๙. เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ
หมายถงึ ลทั ธทิ ่ถี ือวา่ หลงั จากตายแลว้ อตั ตามสี ญั ญากม็ ใิ ช่ ไมม่ ีสญั ญาก็มใิ ช่ มี ๘ ลัทธิ ท.ี
สี. (ไทย) ๙/๘๑-๘๒/๓๔-๓๕.

ปจฺจตฺต าณ (ญาณเฉพาะตน) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๘/๓๗. ญาณเฉพาะตน หมายถึงความรปู้ ระจักษ์
หรือความรู้แจ้งเฉพาะตน ในที่น้ีหมายถึงวิปสั สนาญาณ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๒๘/๑.

ปญฺ าปน (การบัญญตั ิ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๑/๔๑๖. การบัญญัติ หมายถึงการตั้งสัจจะ มีทุกขสัจ
เป็นตน้ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๗๑/๒๒.

๒๓๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

ปญฺ าวิมตุ ฺติ (ปญั ญาวมิ ุตติ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๘๑/๙๒. ปัญญาวิมตุ ติ หมายถงึ ปญั ญาที่สหรคตด้วย
อรหัตผลนั้น ช่อื ว่าปญั ญาวมิ ตุ ติ เพราะหลดุ พ้นจากอวิชชาที่เปน็ ปฏิปกั ขธรรมโดยตรง แต่
มิไดห้ มายความว่าจะระงบั บาปธรรมอนื่ ไมไ่ ด้ ม.ม.ู ฏีกา (บาล)ี ๑/๖๙/๓๓. ในที่นหี้ มายถึง
ความหลดุ พน้ ดว้ ยมีวิปัสสนากมั มัฏฐานเปน็ พื้นฐาน ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๖๙/๑๗. องฺ.ทุก.อ.
(บาล)ี ๒/๘๘/๖๒

ปฏิสลลฺ าน (ท่หี ลีกเรน้ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๘๙/๔๔๒. ทหี่ ลีกเร้น ในท่ีนี้หมายถึงผลสมาบัติ ม.อุ.อ.
(บาลี) ๓/๓๘๙/๒๓.

ปฏสิ ลลฺ าน (ออกจากท่ีหลกี เรน้ ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๗๖/๓๒๔. ออกจากท่ีหลีกเร้น ในท่ีนี้หมายถึง
ออกจากผลสมาบตั ิ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๒๗๖/๑๗.

ปฏฺ ปน (การกาหนด) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๑/๔๑๖. การกาหนด หมายถึงการให้เนื้อความนั้น
ดาเนนิ ไปโดยประการต่าง ๆ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๗๑/๒๒๓, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา (บาลี) ๒/
๑๗๒/๔๓.

ปณฺฑิต (เปน็ บัณฑิต) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๓/๑๑๐. เป็นบัณฑิต ในท่ีนห้ี มายถงึ เปน็ บัณฑิตเพราะเหตุ
๔ ประการ คือ เปน็ ผ้ฉู ลาดในธาตุ เป็นผฉู้ ลาดในอายตนะ เป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท
เป็นผู้ฉลาดในฐานะและอฐานะ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๙๒/๕. ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๘/๘๕.

ปปญฺจ (ปปญั จธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๗/๒๓๔. ปปญั จธรรม หมายถงึ กเิ ลส ๓ อยา่ ง คือ ตัณหา
มานะ ทิฏฐิ ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๙๗/๑๒.

ปรกิ ฺขาร (มีปริขาร) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๔. มีปริขาร หมายถึงมีองค์ประกอบ ม.อุ.อ. (บาลี)
๓/๑๓๖/๙.

ปรกิ ขฺ ณี ภวสญฺโ ชน (สนิ้ ภวสงั โยชนแ์ ล้ว) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๖/๘๑. สิ้นภวสังโยชน์แล้ว หมายถึง
ส้นิ สงั โยชน์ ๑๐ ประการ คอื กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ภวราคะ อสิ สา มัจฉรยิ ะ อวชิ ชา สังโยชน์เหล่าน้ี เรียกว่า ภวสังโยชน์ เพราะผูกพันหมู่
สัตวไ์ วใ้ นภพนอ้ ยภพใหญ่ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๘/๔.

ปริตสฺสนธมมฺ สมุปฺปาท (ความสะดุ้งและความเกิดขึ้นแห่งธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๒๐/๓๘๗.
ความสะดงุ้ และความเกิดข้ึนแห่งธรรม ในท่นี ี้หมายถงึ ความสะดงุ้ เพราะตณั หา และความ
เกดิ ขน้ึ แหง่ อกุศลธรรม ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๒๐/๑๙.

ปรโิ ยสานกลยฺ าณ (ความงามในทส่ี ุด) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๙. ความงามในท่ีสุด หมายถึงอริยผล
และนิพพาน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๙๐/๑๕.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๓๑

ปรสิ ทุ ฺธ (บริสทุ ธ์ิ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘๔/๒๒๑. บรสิ ทุ ธ์ิ หมายถึงไม่มีกิเลส ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๘๔/
๑๑.

ปสสฺ ทฺธิ (ความสงบ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๙๓/๔๔๖. ความสงบ ในท่นี ีห้ มายถึงกายปัสสทั ธิ (สงบกาย)
และจติ ตปัสสัทธิ (สงบจิต) โดยความก็คือกิเลสปัสสัทธิ (สงบกิเลส) ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๓๙๓/๒๓๗, ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๘๗/๒.

ปถุ ุชฺชน (ปุถุชน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๘๗/๙๙. ปถุ ชุ น หมายถึงคนที่ยงั มกี เิ ลสหนา ทีเ่ รียกเช่นนี้เพราะ
บุคคลประเภทนีย้ งั มีเหตุก่อให้เกดิ กเิ ลสอย่างหนานานปั การ ปถุ ชุ นมี ๒ ประเภท คือ อันธ
ปถุ ชุ น คนทไี่ มไ่ ดร้ บั การศึกษาอบรมทางจติ กัลยาณปถุ ุชน คนท่ีได้รบั การศกึ ษาอบรมทาง
จิต ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๒/๒๒, ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๗/๕๘-๕.

ปุถชุ ชฺ นสีลวนฺต (ปถุ ชุ นผู้มีศีล) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๗๙/๔๒๘. ปุถุชนผมู้ ีศีล ในท่ีน้ีหมายถึง ปุถุชนผู้
มีศลี โดยช่อื ว่าเป็นผมู้ ศี ลี เปน็ พน้ื ไม่โออ้ วด ไมม่ ีมารยา ไม่เบียดเบยี นผู้อื่น เลี้ยงชีวิตด้วย
กสิกรรมหรอื พาณิชยกรรมโดยธรรม โดยชอบธรรม ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๗๙/๒๒.

ปถุ ปุ ญฺ า (มปี ญั ญากว้างขวาง) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๓/๑๑๐. มปี ญั ญากว้างขวาง ในท่ีน้ีหมายถึงมี
ปัญญากว้างขวาง เพราะญาณทีเ่ ป็นไปในธาตุ อายตนะ ปฏจิ จสมปุ บาท สุญญตา เป็นไป
ในอรรถ ธรรม นริ ุตติ ปฏิภาณ และเป็นไปในศลี สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณ-
ทัสสนะเปน็ ต้น ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๙๒/๕.

ปุพพฺ งคฺ มสมฺมาทฏิ ฺ (สมั มาทิฏฐิเปน็ หวั หนา้ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๕. สัมมาทฏิ ฐิเป็นหัวหน้า
ในทนี่ ีห้ มายถงึ สมั มาทิฏฐิ ๒ คอื วปิ สั สนาสมั มาทิฏฐิ ที่กาหนดพจิ ารณาสงั ขารทเ่ี ปน็ ไปใน
ไตรภมู โิ ดยเปน็ ส่งิ ไมเ่ ที่ยงเปน็ ต้น มคั คสมั มาทิฏฐิทถี่ อนสงั ขารขนึ้ ดว้ ยไม่ให้เป็นไปอีกเพ่ือ
การกาหนดพจิ ารณา เพราะเปน็ สง่ิ ไม่เท่ยี งเปน็ ตน้ เกิดข้นึ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๓๖/๙.

ผสฺสายตน (ผสั สายตนะ ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๓/๔๓. ผัสสายตนะ หมายถึงความประจวบกันแห่ง
อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกมี ๖ คือ จักขุสัมผัส ความกระทบกันทางตา โสต
สัมผสั ความกระทบกันทางหู ฆานสัมผัส ความกระทบกันทางจมูก ชิวหาสัมผัส ความ
กระทบกนั ทางล้นิ กายสมั ผสั ความกระทบกันทางกาย มโนสัมผสั ความกระทบกนั ทางใจ
ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๓/๓๑๖, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๙๘/๙๓, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, ขุ.ม.
(ไทย) ๒๙/๑๓/๖.

๒๓๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

พหุธาตุก (พหุธาตกุ ะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๒/๑๖๙. พหุธาตกุ ะ แปลวา่ ธาตุมากอยา่ ง ท่ีเรียกธรรม
บรรยายน้วี ่า ธาตมุ ากอย่าง เพราะอธิบายเกยี่ วกบั ธาตุ ๑๘ บ้าง ธาตุ ๖ บ้าง เป็นต้น ม.
อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๓๒/๘.

พชี คาม (พืชคาม) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๔/๒๑. พชื คาม หมายถึงพชื พนั ธจุ์ าพวกที่ถูกพรากจากที่แล้ว
ยังสามารถงอกขน้ึ ได้อกี ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๑/๗๘, ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๙๓/๑๑.

พฺรหมฺ จริย (พรหมจรรย์) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๔/๒๐. พรหมจรรย์ แปลว่าความประพฤติประเสริฐ มี
๑๒ ประการ คอื ทาน การให้ ไวยาวัจจะ การขวนขวายช่วยเหลือ ปัญจสิกขาบท ศีล ๕
พรหมวหิ าร การประพฤติพรหมวิหาร ธรรมเทศนา เมถุนวิรัติ การงดเว้นจากการเสพ
เมถุน สทารสนั โดษ ความยนิ ดเี ฉพาะคคู่ รองของตน อุโปสถังคะ องค์อุโบสถ อริยมรรค
ทางอนั ประเสริฐ ศาสนาทีร่ วมไตรสกิ ขา อธั ยาศัย วิริยะ ความเพียร แต่ในที่น้ีหมายถึง
เมถุนวิรตั ิ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๙๐/๑๖๐, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๕๕/๓๖๒-๓๖.

พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๒๐/๔๗๖. พรหมจรรย์ หมายถึงความประพฤติ
ประเสรฐิ มีนัย ๑๐ ประการ คือ ทาน (การให้) เวยยาวัจจะ (การขวนขวายช่วยเหลือ)
ปญั จสลี ะ (ศีล) อปั ปมัญญา (การประพฤติพรหมวหิ ารอย่างไมม่ ขี อบเขต) เมถุนวิรัติ (การ
งดเวน้ จากการเสพเมถนุ ) สทารสนั โดษ (ความยินดีเฉพาะคู่ครองของตน) วิริยะ (ความ
เพียร) อุโปสถังคะ (องค์อุโบสถ) อริยมรรค (ทางอันประเสริฐ) และศาสนา
(พระพทุ ธศาสนา) ในที่นห้ี มายถงึ ศาสนา ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๐/๑๖๐-๑๖.

โพธิสตฺต (โพธิสตั ว์) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๙๙/๒๓๕. โพธิสัตว์ หมายถึงผู้ฉลาด ผู้จะตรัสรู้ ผู้บาเพ็ญ
มรรค ๔ เพื่อบรรลโุ พธิ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๗/๒.

ภควา (เป็นพระผู้มพี ระภาค) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๘. เป็นพระผู้มีพระภาค เพราะทรงมีโชค ทรง
ทาลายข้าศึกคอื กเิ ลส ทรงประกอบด้วย ภคธรรม ๖ ประการ (คือ ความเปน็ ใหญ่เหนอื จิต
ของตน โลกุตตรธรรม ยศ สิริ ความสาเร็จประโยชน์ตามต้องการและความเพียร) ทรง
จาแนกแจกแจงธรรม ทรงเสพอริยธรรม ทรงคาย ตัณหาในภพทัง้ ๓ ทรงเป็นทเี่ คารพของ
ชาวโลก ทรงอบรมพระองค์ดีแล้ว ทรงมีส่วนแห่งปัจจัย ๔ เป็นต้น วิ.อ. (บาลี) ๑/๑/
๑๐๓-๑๑.

ภทเฺ ทกรตฺต (ผู้มีราตรีเดยี วเจริญ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๗๒/๓๑๙. ผู้มีราตรีเดียวเจริญ หมายถึงผู้ใช้
เวลากลางคนื ให้หมดไปดว้ ยการเจริญวิปสั สนากัมมัฏฐานเทา่ นัน้ ไมค่ านึงถึงเร่ืองอื่น ๆ ม.
อุ.อ. (บาล)ี ๓/๒๗๒/๑๗๔, ม.อ.ุ ฏีกา (บาล)ี ๒๗๒/๔๓.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๓๓

ภย (ภยั ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๒๔/๑๖๐. ภยั ในทีน่ ้ีหมายถงึ ความสะด้งุ กลวั แห่งจิต เชน่ การได้ทราบ
ขา่ วว่าโจรจะปลน้ แล้วเกิดความสะดุง้ กลวั ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๒๔/๗๑, องฺ.ติก.อ. (บาลี)
๒/๑/๗.

ภตู คาม (ภตู คาม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔/๒๑. ภตู คาม หมายถึงของเขียว หรือพชื พนั ธ์อุ ันเกิดอยู่กับท่ี
มี ๕ ชนดิ คอื พชื ทเ่ี กิดจากเหง้า เชน่ กระชาย พชื ที่เกิดจากตน้ เชน่ โพธ์ิ พืชทเ่ี กดิ จากตา
เชน่ ออ้ ย พืชท่ีเกดิ จากยอด เช่น ผกั ชี พชื ที่เกดิ จากเมล็ด เชน่ ขา้ ว ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๑/
๗๘, ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๙๓/๑๑.

ภูมิช (ทา่ นพระภูมิชะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๒๓/๒๕๖. ท่านพระภูมิชะนี้ เป็นพระเจ้าลุงของชยเสน
ราชกมุ าร ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๒๒๓/๑๔.

มชฺเฌกลฺยาณ (ความงามในทา่ มกลาง) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๙. ความงามในท่ามกลาง หมายถึง
อริยมรรค

มญฺ สฺสว (ความกาหนดหมาย) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๖๙/๔๑๓. ความกาหนดหมาย หมายถึงความ
กาหนดหมาย ๓ ประการ คือ ความกาหนดหมายดว้ ยอานาจตณั หา ความกาหนดหมาย
ดว้ ยอานาจมานะ ความกาหนดหมายดว้ ยอานาจทิฏฐิ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๓๖๙/๒๒.

มน (มโน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๘๒/๓๓๗. มโน ในทีน่ ้หี มายถึงภวงั คจิต ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๒๘๒/๑๗.

มโนปวจิ าร (มโนปวิจาร) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๐๔/๓๖๘. มโนปวิจาร แปลว่า ความนึกหน่วงทางใจ
หมายถงึ วิตกและวจิ าร ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๐๔/๑๘.

มหคคฺ ต (มหัคคตะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๖๖/๗๓. มหัคคตะ หมายถึงอารมณ์ท่ีถึงความเป็นใหญ่ ช้ัน
รปู าวจรและช้นั อรปู าวจร เพราะมีผลท่ีสามารถข่มกิเลสได้ และหมายถึง ฉันทะ วิริยะ
จิตตะ และปญั ญาอนั ยง่ิ ใหญ่ อภิ.สง.ฺ อ. (บาลี) ๑๒/๙.

มหากลุ (ตระกลู สงู ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๐๕/๑๒๖. ตระกูลสูง ในที่นี้หมายถึงตระกูลกษัตริย์ หรือ
ตระกลู พราหมณ์ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๐๕/๖.

มหาจตฺตารีสก (มหาจัตตารีสกะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๓/๑๘๒. มหาจัตตารีสกะ หมายถึงธรรม
บรรยาย ๔๐ ประการ ท่ีเป็นฝุายกุศลและฝุายอกุศล มีผลมากที่พระผู้มีพระภาคทรง
ประกาศไว้แล้ว ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๔๒/๙.

๒๓๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

มหาปญฺ า (มีปญั ญามาก) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๓/๑๑๐. มีปัญญามาก ในท่ีนี้หมายถึงมีปัญญามาก
เพราะกาหนดถอื เอาขนั ธ์คอื ศลี ขนั ธค์ ือสมาธิ ขันธค์ ือปัญญา ขันธ์คือวิมุตติ และขันธ์คือ
วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๙๒/๕.

มหาปุริส (มหาบุรุษ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๓๘/๔๙๘. มหาบุรุษ ในที่น้ีหมายถึงพระพุทธเจ้า พระ
ปัจเจกพุทธเจา้ พระตถาคต และพระมหาสาวกทัง้ หลาย ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๔๓๘/๒๕.

มหาสาล (มหาศาล) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๖๐/๓๐๘. มหาศาล หมายถงึ ผู้มีทรัพย์มาก คือ ขัตติยมหา
ศาลมีพระราชทรัพย์ ๑๐๐-๑,๐๐๐ โกฏิ พราหมณมหาศาลมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ คหบดี
มหาศาลมที รพั ย์ ๔๐ โกฏิ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๑๐/๑๙.

มุทฺธาวสติ ฺต (มรู ธาภเิ ษก) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๑๗/๒๕๐. มูรธาภิเษก หมายถึงการรดน้าศักดิ์สิทธ์ิ
เหนือพระเศียรในงานราชาภเิ ษกหรืองานพระราชพิธี ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๙.

เมตฺตากายกมมฺ (เมตตากายกรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๕๔/๕๙. เมตตากายกรรม หมายถึงกายกรรมที่
พงึ ทาดว้ ยจติ ประกอบด้วยเมตตา เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ก็มีอรรถาธิบาย
เชน่ เดยี วกันนี้ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๔๙๒/๓๐๒, อง.ฺ ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๑๑/๙.

เมถนุ (เมถุนธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔/๒๐. เมถนุ ธรรม หมายถงึ การรว่ มประเวณี การเสพสังวาส
กลา่ วคือ การเสพอสทั ธรรมอนั เปน็ ประเวณขี องชาวบ้าน มีน้าเป็นที่สุด เป็นกิจท่ีจะต้อง
ทาในที่ลบั เป็นการกระทาของคนที่เป็นคู่ ๆ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔.

ยมราช (พญายม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๖๒/๓๑๐. พญายม หมายถึงพญาเวมาณิกเปรต ซึ่งบางครั้ง
เสวยสมบัติในวมิ านทิพย์ บางคราวเสวยวิบากกรรม และพญายมน้ันมิใช่มีตนเดียว แต่มี
ถึง ๔ ตนประจาประตูนรก ๔ ประตู องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๓๖/๑๓.

ยสสสฺ ี (มียศ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๐๖/๑๒๗. มียศ ในทนี่ ้หี มายถึงสมบูรณ์ด้วยบริวาร ม.อุ.อ. (บาลี)
๓/๑๐๖/๖.

รชาปถ (เป็นทางมาแห่งธุลี) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๙. เปน็ ทางมาแห่งธุลี เพราะเป็นที่เกิดและเป็น
ทต่ี ั้งแห่งกเิ ลสอนั ทาจิตใหเ้ ศร้าหมอง เชน่ ราคะ เป็นต้น ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๑๖๓, ส.
น.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๕๔/๒๐๑, องฺ.จตุกฺก.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๘/๔๒.

ราชการาม (ราชการาม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๙๘/๔๕๒. ราชการาม หมายถึงวิหารท่ีพระเจ้าปเสนทิ
โกศลทรงใหก้ ่อสรา้ งไว้เหมอื นกับถูปาราม ในด้านทิศใต้แห่งพระนคร ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๓๙๘/๒๔.


Click to View FlipBook Version