The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก-1

Keywords: พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๓๕

สุกกฺ วปิ าก (มีวบิ ากขาว) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๕/๘๕. มีวิบากขาว ในที่น้ีหมายถึงมีผลเป็นสุข ที.
ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๑๕/๔.

สุขลฺลิกานุโยค (สุขลั ลกิ านโุ ยค) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๓/๑๔๑. สุขัลลิกานุโยค ในท่ีน้ีหมายถึงการ
หมกมุน่ ในการเสพสขุ (เป็นคตนิ ยิ มอยา่ งหนึง่ ในปรชั ญาอินเดยี เรยี กวา่ จารวาก เทียบได้
กับคติสขุ ารมณ์ (hedonism) ของปรัชญาตะวันตก) ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๓/๑๐.

สคุ ตาปทาน (แบบพระสุคต) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๘/๒๓. แบบพระสคุ ต ในทีน่ ีห้ มายถงึ ไตรสิกขา คือ
ศีล สมาธิ ปัญญา อนั เป็นคาสอนของพระสคุ ต ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๘/๑.

สุต (สตุ ะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๒๕/๑๘๓. สตุ ะ ในทีน่ ี้หมายถงึ การศึกษาที่นาประโยชน์สุขมาให้แก่
สตั ว์ทงั้ หลาย ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๒๕/๑๒๗, ที.ปา.ฏกี า (บาล)ี ๒๒๕/๑๔.

สตุ (เสยี งท่ไี ดฟ้ ัง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. เสยี งท่ีได้ฟัง หมายถึงสัททายตนะ (อายตนะคือ
เสยี ง) ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๘/๑๐๔, องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาลี) ๒/๒๓/๓๐.

สภุ วิโมกฺข (สภุ วิโมกข์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๔๗/๓๔. สุภวิโมกข์ ในที่นี้หมายถึงวัณณกสิณ (กสิณที่ใช้
เพ่งประเภทที่มีสี) มี ๔ อย่าง คือ นีล (สีเขียว) ปีต (สีเหลือง) โลหิต (สีแดง) โอทาต
(สขี าว) ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๔๗/๑.

สภุ กิ ฺข (มีภกั ษาหารสมบูรณ์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๖/๗๗. มีภักษาหารสมบูรณ์ ในที่นี้หมายถึง
สมบูรณ์ดว้ ยอาหารท่คี วรเคี้ยวและอาหารท่คี วรบรโิ ภค ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๑๐/๑๙.

โสเจยฺย (ความสะอาด) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๓/๑๖๕. ความสะอาด ในที่น้ีหมายถึงสุจริต ๓
ประการ คอื กายสุจรติ (ประพฤติชอบทางกาย) วจสี จุ รติ (ประพฤติชอบทางวาจา) มโน
สุจริต (ประพฤตชิ อบทางใจ) ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๐๓/๑๑.

อกสริ ลาภี (ได้โดยไม่ลาบาก) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๒. ได้โดยไม่ลาบาก หมายถึง สามารถ
ออกจากฌานได้ตามท่กี าหนดไว้ ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๑๖๐/๑๐.

อกาปุริส (มิใช่บุรุษช่ัว) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๕/๓๘๔. มิใช่บุรุษชั่ว ในที่น้ีหมายถึงมหาบุรุษมี
พระพุทธเจา้ เป็นตน้ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๕๕/๒๖.

อกาลิก (ไม่ประกอบดว้ ยกาล) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๖/๖. ไมป่ ระกอบด้วยกาล หมายถึงให้ผลไม่จากัด
กาล คือไมข่ ึ้นกบั กาลเวลา ใหผ้ ลแก่ผู้ปฏบิ ตั ทิ ุกเวลาทกุ โอกาส บรรลุเม่ือใดก็ได้รับผลเมื่อ
น้นั อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๕๔/๑๕.

๑๓๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

อกิจฺฉาลาภี (ได้โดยไม่ยาก) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๒. ได้โดยไม่ยาก หมายถึง สามารถ
เข้าฌานตัดปัจจนีกธรรมได้ง่าย ท.ี ปา.ฏกี า (บาล)ี ๑๖๐/๑๐.

อกโฺ กธน (ไม่มคี วามโกรธ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๑๔/๑๗๘. ไม่มีความโกรธ ในท่ีนี้ไม่ได้หมายถึงละ
ความโกรธได้เดด็ ขาดดว้ ยอนาคามมิ รรค แต่หมายถึงสามารถบรรเทาความโกรธที่เกิดข้ึน
ได้เรว็ พลนั ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๑๘/๑๒๔, ท.ี ปา.ฏกี า (บาลี) ๒๑๘/๑๔.

อกฺโกส (ดา่ ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๓/๘๔. ด่า ในทีน่ ้ีหมายถึงดา่ ดว้ ยอักโกสวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ เจ้า
เปน็ โจร เจา้ เป็นคนพาล เจ้าเป็น คนหลง เจา้ เป็นอฐู เจา้ เปน็ โค เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์
นรก เจา้ เป็นสัตวด์ ริ จั ฉาน เจา้ ไม่ได้สุคติ เจ้าหวังได้แต่ทุคติเท่านั้น ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/
๑๑๓/๔.

อคคฺ ญฺ (ทฤษฎวี ่าดว้ ยต้นกาเนดิ ของโลก) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๕/๔. ทฤษฎีว่าด้วยต้นกาเนิดของ
โลก ในทนี่ ้ีหมายถึงทฤษฎที ่ีกล่าวถงึ การเกิดขึ้นของโลกว่า นี้เป็นดินแดนเริ่มต้นของโลก
ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๕/๓, ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๕.

อคคฺ ญฺ (อัคคัญญะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๖/๒๗. ช่ือว่า อัคคัญญะ เพราะเป็นความรู้เก่ียวกับต้น
กาเนิดของโลก หมายถึงววิ ัฒนาการการเกดิ ขึน้ และประวัติความเป็นไปของโลก (โลกสฺส
อคคนฺติ ชานิตพฺพ ต อคฺค, โส ปน โลกสฺส อุปฺปตฺติกฺกโม ปวตฺติปเวณี จาติ) ที.ปา.อ.
(บาลี) ๓/๓๖/๑๔, ท.ี ปา.ฏีกา (บาล)ี ๓/๓๖/๑.

อคฺคปฺปตตฺ สารปฺปตฺต (ถงึ ยอดและถงึ แก่น) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๗๓/๕๓. ถึงยอดและถึงแก่น ในที่นี้
หมายความวา่ ถึง ยอดและถึงแก่นตามลทั ธเิ ดียรถีย์ ซึ่งมีอปุ มาว่า ลาภสักการะ เหมือนก่ิง
ไม้และใบไม้ ศีล ๕ เหมือนสะเก็ดไม้ สมาบัติ ๘ เหมือนเปลือกไม้ ปุพเพนิวาสานุสสติ
ญาณ (ญาณ ที่ทาใหร้ ะลึกชาติได)้ และอภิญญาอันเปน็ ท่สี ดุ เปน็ กระพไ้ี ม้ ทิพพจกั ขุ (ญาณ
ทที่ าให้มตี าทพิ ย์) เหมอื นแก่นไม้ ส่วนความหมายตามพระพุทธศาสนามีอุปมาว่า ลาภ
สักการะเหมือนกิ่งไม้และใบไม้ ปาริสุทธิศีล ๔ เหมือนสะเก็ดไม้ ฌานสมาบัติเหมือน
เปลอื กไม้ อภิญญาท่เี ปน็ โลกิยะเหมอื นกระพี้ไม้ มรรคผลเหมือนแก่นไม้ ที.ปา.อ. (บาลี)
๓/๗๔/๒๕, ท.ี ปา.ฏีกา (บาล)ี ๗๔/๒.

อจฉฺ ทิ ฺทวุตตฺ ิ (ประพฤติไม่ขาดตอน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗๓/๒๑๗. ประพฤติไม่ขาดตอน ในที่นี้
หมายถึงประพฤติตอ่ เนือ่ งกันไปไม่ขาดสาย ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๗๓/๑๕.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๓๗

อชฌฺ ตฺตรปู สญฺ (มีรูปสัญญาภายใน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๘/๓๔๘. มรี ูปสัญญาภายใน หมายถึง
มีความหมายรู้รูปภายในโดยการบริกรรมรูปภายใน ที.ม.อ. (บาลี) ๑/๑๗๓/๑๖๔,
อง.ฺ อฏฺฐก.อ. (บาล)ี ๓/๖๕/๒๗.

อชฺฌตฺตารูปสญฺ (มีอรูปสัญญาภายใน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๘/๓๔๘. มีอรูปสัญญาภายใน
หมายถงึ มคี วามหมายรู้รปู ภายใน คือเว้นจากสัญญาโดยการบริกรรมรูปภายใน ที.ม.อ.
(บาล)ี ๒/๑๗๓/๑๖๕, องฺ.อฏฺฐก.อ. (บาล)ี ๓/๖๕/๒๗.

อชฺฌาสย (เปน็ ท่ีพ่ึงชั้นสูง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๕๒/๓๖. เป็นท่ีพึ่งช้ันสูง หมายถึง เป็นที่อาศัยช้ัน
สงู สดุ ประเสริฐทส่ี ดุ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๕๔/๑๙, ท.ี ปา.ฏีกา (บาล)ี ๕๔/๑.

อตฺตกิลมถานุโยค (อัตตกิลมถานุโยค) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๒. อัตตกิลมถานุโยค ในท่ีนี้
หมายถึง การหมกมุ่นที่เป็นเหตุให้ตนเดือดร้อน เร่าร้อน เช่น การบาเพ็ญตบะ แบบ
ทรมานตน ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๐/๘.

อตตฺ ทปี (มตี นเป็นเกาะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๘๐/๕๙. มีตนเป็นเกาะ ในที่น้ีหมายถึงทาตนให้พ้นจาก
หว้ งน้าคือโอฆะ ๔ เหมอื นกับเกาะกลางมหาสมุทรทนี่ า้ ท่วมไม่ถงึ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๕/
๑๕๐, ที.ม.ฏกี า (บาล)ี ๑๖๕/๑๘.

อตตฺ าโลก (อัตตาและโลก) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๙๑/๑๕๐. อตั ตาและโลก แยกอธิบายได้ดังนี้ คาว่า
อัตตา และ โลก มคี วามหมาย ๕ นัย คอื นยั ท่ี ๑ ท้งั อตั ตา และโลก หมายถงึ ขนั ธ์ ๕ คอื
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ นยั ที่ ๒ อตั ตา หมายถงึ อหังการวัตถุ หรือเหตุให้เกิด
มานะวา่ เป็นเรา โลก หมายถงึ มมังการวตั ถุ คอื เหตุ ให้เกิดตัณหาว่าเป็นของเรา นัยที่ ๓
อัตตา หมายถึงตนเอง โลก หมายถึงผู้อื่น นัยที่ ๔ อัตตา หมายถึงขันธ์ใดขันธ์หน่ึง ใน
อุปาทานขนั ธ์ ๕ โลก หมายถงึ สงิ่ อ่ืนนอกจากขนั ธ์ ๕ นัยท่ี ๕ อัตตา หมายถึงขันธสันดาน
ที่มีวญิ ญาณ โลก หมายถงึ ขันธสนั ดานทไ่ี มม่ ีวญิ ญาณ คาว่า อัตตาและโลกเที่ยง ในที่นี้
ทรงมุ่งแสดงสัสสตวาทะ ๔ ประการ ส่วนคาว่า อัตตาและโลก ไม่เท่ียง ทรงมุ่งแสดง
อุจเฉทวาทะ ๗ ประการ ข.ุ อุ.อ. (บาลี) ๕๕/๓๖.

อตถฺ ปฏิสเวที (รแู้ จง้ อรรถ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๒/๓๑๓. รู้แจ้งอรรถ ในที่น้ีหมายถึงรู้ความหมาย
แห่งบาลนี นั้ วา่ ศีลมาในที่น้ี สมาธิมาในที่นี้ ปัญญามาในที่นี้ ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๓๒๒/
๓๑๖, องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๔๓/๑๕๒-๑๕๓, อง.ฺ ปญฺจก.อ. (บาล)ี ๓/๒๖.

อตฺถวาที (อตั ถวาที) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. อัตถวาที หมายถึง ตรัสปรมัตถนิพพาน ขุ.
จ.ู อ. (บาล)ี ๘๓/๖.

๑๓๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

อธมฺมราค (อธัมมราคะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๑/๗๒. อธัมมราคะ แปลว่า ความกาหนัดท่ีผิดธรรม
หมายถึงความกาหนดั ในบุคคลท่ไี มส่ มควรกาหนดั เช่น แม่ พอ่ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๐๑/
๓.

อธิกรณ (อธิกรณ์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๘. อธกิ รณ์ หมายถึงเร่อื งท่ีสงฆ์ต้องดาเนินการ มี ๔
อยา่ ง คอื วิวาทาธกิ รณ์ การถกเถยี งกันเกี่ยวกับพระธรรมวินัย อนุวาทาธิกรณ์ การโจท
หรอื กลา่ วหากนั ด้วยอาบัติ อาปัตตาธกิ รณ์ การต้องอาบัติ การปรับอาบัติ และการแก้ไข
ตัวเองใหพ้ ้นจากอาบัติ กจิ จาธิกรณ์ กิจธุระต่าง ๆ ท่ีสงฆ์จะตอ้ งทา เช่น การให้อุปสมบท
การให้ผ้ากฐนิ เป็นต้น องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๑๕/๑. ว.ิ จ.ู (ไทย) ๖/๒๑๕/๓๓๑-๓๓.

อธกิ สุ ล (กุศลธรรมอนั ย่ิง) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๑/๑๖๓. กุศลธรรมอันย่ิง มีความหมายต่อไปนี้
คือ กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล สาวกบารมีญาณ ปัจเจกโพธิญาณ
สพั พัญญุตญาณ ในทน่ี หี้ มายถึงสพั พญั ญตุ ญาณ ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๐๑/๑๑.

อนตถฺ (สง่ิ ทไี่ มเ่ ปน็ ประโยชน์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๐/๓๕๒. สงิ่ ท่ีไม่เปน็ ประโยชน์ ในท่ีน้ีหมายถึง
ความพินาศ เสยี หาย ไม่เจรญิ องฺ.ฉกฺก.อ. (บาล)ี ๓/๘๘-๘๙/๑๕.

อนตฺถสญฺหิต (ไม่ประกอบด้วยประโยชน์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๖/๑๓๗. ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ในที่น้ีหมายถึงไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๓ อย่าง คือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ
(ประโยชนใ์ นโลกนี)้ สัมปรายิกตั ถะ (ประโยชนใ์ นโลกหนา้ ) ปรมัตถะ (ประโยชน์สูงสุดคือ
พระนพิ พาน) ที.ปา.ฏีกา (บาล)ี ๑๖๐/๑๐๐-๑๐.

อนย (ความเสอ่ื ม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๖/๒๗. ความเสือ่ ม ในท่นี หี้ มายถึงไม่ประสบความทุกข์ คือ
ทุกข์เพราะไม่ไดบ้ รรลุนพิ พาน ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๖/๑๕, ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๓๖/๑.

อนสน (อนสนะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๖/๗๗. อนสนะ ในท่ีนีห้ มายถึงความเฉื่อยชาทางกายของผู้
กนิ อาหารอม่ิ แลว้ ตอ้ งการจะนอนเพราะเมาอาหาร ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๖/๔.

อนิมติ ฺตาเจโตวิมุตฺติ (อนิมติ ตาเจโตวิมุตติ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๖/๓๒๕. อนิมิตตาเจโตวิมุตติ
หมายถึง พลววิปัสสนาวิปัสสนาท่ีมีพลัง) คือ อรหัตผลสมาบัติ ท่ีช่ือว่า อนิมิต (ไม่มี
เคร่ืองหมาย) เพราะไม่มรี าคนิมิต (นิมิตคอื ราคะ) ไม่มีโทสนิมิต (นิมิตคือโทสะ) ไม่มีโมห
นมิ ิต (นิมิตคือโมหะ) ไม่มีรูปนมิ ติ (นิมิตคือรปู ) ไม่มนี จิ จนิมิต (นิมติ คอื ความเทีย่ ง) เปน็ ตน้
ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๒๖/๒๓๔, อง.ฺ ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๑๓/๑๐. อีกอย่างหนึ่ง อนิมิตตา
เจโตวมิ ุตติ เป็นช่ือของญาณ ๔ คือ ภยตุปฏั ฐานญาณ (ญาณในการเหน็ สังขารปรากฏโดย
ความเป็นภยั ) อาทนี วานุปัสสนาญาณ (ญาณในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็น

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๓๙

โทษ) มุญจิตุกัมมยตาญาณ (ญาณหยั่งรู้อันทาให้ต้องการจะพ้น) ภังคญาณ (ญาณท่ี
พิจารณาเห็นความดับ) อง.ฺ ฉกฺก.ฏกี า (บาลี) ๓/๑๓/๑๑.

อนุตฺตร (เท่าเทียมกัน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๗/๘๗. เท่าเทียมกัน เป็นคาเปรียบเทียบที่พระเจ้า
ปเสนทโิ กศลทรงใช้เพอ่ื ยกยอ่ งศากยตระกลู ว่าเสมอกับราชตระกูลของพระองค์ ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๑๑๗/๔๙, ที.ปา.ฏีกา (บาล)ี ๑๑๗/๔.

อนุนย (ความยินดี) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๘. ความยินดี ในที่น้ีหมายถึง กามราคะ องฺ.
สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๘/๑๖.

อนพุ ฺยญชฺ นคฺคาหี (แยกถอื ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๐/๒๘๔. แยกถือ คือ มองแยกแยะเป็นส่วน ๆ
ไป ดว้ ยอานาจกิเลส เชน่ เหน็ มือ เท้า วา่ สวยหรอื ไม่สวย เห็นอาการยมิ้ แย้ม หัวเราะ การ
พูด การเหลียวซา้ ย แลขวา วา่ น่ารกั หรือไม่นา่ รกั ถ้าเห็นว่าสวยน่ารัก ก็เป็นอิฏฐารมณ์
ถ้าเหน็ ว่าไม่สวยไมน่ า่ รกั กเ็ ป็นอนฏิ ฐารมณ์ อภ.ิ สงฺ.อ. (บาลี) ๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.

อนโุ ยค (ความหมั่นประกอบ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๙/๑๐๙. ความหมั่นประกอบ หมายถึงการ
ประกอบความเพยี รสม่าเสมอ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๔๙/๗๕, ที.ปา. ฏีกา (บาล)ี ๑๔๙/๘.

อนสุ ฺสตฏิ ฺ าน (อนุสสตฏิ ฐาน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๗/๓๒๘. อนุสสตฏิ ฐาน แปลวา่ ฐานคืออนุสสติ
หมายถงึ เหตุคอื อนสุ สติ ไดแ้ ก่ ฌาน ๓ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๒๓/๒๓๕, องฺ.ฉกฺก.อ. (บาลี)
๓/๒๕/๑๑๐,๒๙/๑๑. อนสุ สติ ที่เรยี กว่า ฐาน เพราะเป็นเหตุให้ได้รับประโยชน์เกื้อกูล
และความสขุ ทั้งในภพน้ีและภพหน้า เช่น พุทธานุสสติ ย่อมเป็นเหตุให้บรรลุคุณวิเศษ
เพราะเม่ือบุคคลระลึกถงึ พทุ ธคุณอยู่ ปตี ิ (ความอมิ่ ใจ) ยอ่ มเกดิ จากน้ันจึงพจิ ารณาปตี ิให้
เห็นความสิ้นไปเสอ่ื มไปจนได้บรรลอุ รหัตผล อนสุ สตฏิ ฐานนี้จัดเป็นอปุ จารกัมมัฏฐาน แม้
คฤหสั ถก์ ็สามารถบาเพ็ญได้ ข.ุ อป.อ. (บาล)ี ๑/๒๕/๑๓๗, อง.ฺ ฉกฺก.ฏีกา (บาล)ี ๓/๙/๑๐.

อนโฺ ตชน (ชนภายใน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๘๔/๖๒. ชนภายใน ในท่ีน้ีหมายถึง พระมเหสี พระราช
โอรส และพระราชธิดา อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๑๔/๘.

อเนลก (ปราศจากโทษ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๒๐/๘๙. ปราศจากโทษ ในท่ีนี้หมายถึงไม่มีตัวอ่อนใน
รัง ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๒๐/๕.

อปฺปฏิวิภตตฺ โภคี (ไม่แบ่งแยก) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๒๑. ไม่แบ่งแยก หมายถึงไม่แบ่งแยก
บุคคลโดยคดิ วา่ จะใหแ้ กค่ นน้ัน ไม่ให้แก่คนน้ี องฺ.ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๑๑/๙๙, องฺ.ฉกฺก.
ฏกี า (บาล)ี ๓/๑๑/๑๑.

อปปฺ มาท (ความไม่ประมาท) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๙/๑๐๙. ความไม่ประมาท หมายถึงความไม่

๑๔๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

หลงลมื สติขณะปฏิบตั ิธรรม คอื มีสติกากบั อยตู่ ลอดเวลา ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๔๙/๗๕, ที.
ปา.ฏกี า (บาลี) ๑๔๙/๘.

อภิชาติ (อภชิ าติ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๙/๓๒๙. อภิชาติ ในท่นี ้ีหมายถึงการกาหนดหมายชนเป็น
ชนั้ เปน็ กลมุ่ เช่น หมคู่ นท่ีประพฤตอิ ยา่ งน้ี ๆ กาหนดเรียกอย่างนี้ ๆ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๑๖๘/๑๔. หรอื หมายถงึ ชาติกาเนิด อง.ฺ ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๕๗/๑๓๙, องฺ.ฉกฺก.ฏีกา (บาลี)
๓/๕๗/๑๕.

อภธิ มฺม (พระอภธิ รรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๖๐. พระอภิธรรม ในท่ีนี้หมายถึงสัตตัปปกรณ
ธรรม คอื พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ หรืออกี นัยหน่ึง คอื มรรค ๔ และผล ๔ ที.ปา.อ. (บาลี)
๓/๓๔๕/๒๔๗, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๗/๓๒.

อภิภายตน (อภิภายตนะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๘/๓๔๘. อภิภายตนะ หมายถึงเหตุครอบงา เหตุท่ี
มีอทิ ธพิ ล ไดแ้ ก่ฌาน หรือฌานทีเ่ ป็นเหตุครอบงานิวรณ์ ๕ และอารมณ์ท้ังหลาย คาว่า
อภิภายตนะ มาจากคาวา่ อภิภู + อายตนะ ที่ช่ือวา่ อภภิ ู เพราะครอบงาอารมณ์ และชื่อ
ว่า อายตนะ เพราะเป็นท่ีเกิดความสุขอันวิเศษแก่พระโยคีทั้งหลาย แต่ในท่ีน้ีหมายถึง
มนายตนะและธัมมายตนะ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๗๓/๑๐๔, องฺ.อฏฺฐก.อ. (บาลี) ๓/๖๕/
๒๗๐, องฺ.อฏฺฐก.ฏกี า (บาลี) ๓/๖๑-๖๕/๓๐.

อภวิ ินย (พระอภิวินยั ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๖๐. พระอภวิ นิ ัย หมายถงึ ขันธกะและบริวาร หรือ
อีกนัยหนึ่ง หมายถึงธรรมท่ีเป็นเครื่องระงับกิเลส ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๔๗,
องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๗/๓๒.

อมฬู หวนิ ย (อมฬู หวนิ ยั ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๙. อมูฬหวินัย หมายถึงวิธีระงับอธิกรณ์โดย
ยกประโยชน์ให้แกภ่ กิ ษทุ ี่หายเปน็ บ้าแลว้ ในกรณีท่ีมีผู้โจทภิกษุด้วยอาบัติที่ต้องในขณะ
เป็นบา้ สงฆ์จะสวดประกาศสมมตเิ พอ่ื มใิ ห้ใคร ๆ โจทเธอด้วยอาบตั ิ

อรญฺ (ปุาละเมาะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๕๒/๓๖. ปุาละเมาะ หมายถึง ปุาที่มีคนอาศัยทามาหากิน
สัญจรไปมา ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๕๒/๑.

อริยวส (อริยวงศ์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๙/๒๘๒. อริยวงศ์ แปลว่าวงศข์ องพระอริยะ แบบแผนของ
พระอริยะ และประเพณขี องพระอริยะ หมายถงึ วงศข์ องพระพุทธเจ้า พระปจั เจกพุทธเจ้า
และพระสาวกของพระพุทธเจา้ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๙/๒๐๔, องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/
๒๘/๓๑. องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๒๘/๔๘-๕๐.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๔๑

อรปู (อรูป) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๔/๓๗๔. อรูป ในที่นี้หมายถึงอรหัตมรรคในอรูปภพ ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๓๕๓/๒๕.

อโรค (ยงั่ ยืน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๙๔/๑๕๕. ยง่ั ยนื แปลจากคาว่า อโรค อรรถกถาอธิบายว่า นิจฺจ
แปลวา่ เที่ยง ย่ังยืน คงท่ี เพราะไม่แตกดบั ไป ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๗๖-๗๗/๑๐๙, ที.สี.ฏีกา
(บาลี) ๗๖-๗๗/๒๐.

อลมตฺต (ผู้มคี วามสามารถ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗๓/๒๑๗. ผู้มีความสามารถ ในท่ีนี้หมายถึงผู้มี
ความสามารถท่ีจะครองเรือน คือเล้ียงบุตรและภรรยาให้เป็นสุขได้ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/
๒๗๓/๑๕.

อลสก (โรคอลสกะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗/๘. โรคอลสกะ หมายถึงโรคทีเ่ กดิ จากอาหารไม่ย่อย ได้แก่
ท้องอดื ท้องเฟอู ท.ี ปา.ฏีกา (บาลี) ๗.

อวจ (งานตา่ ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๖๐. งานตา่ หมายถึงงานเล็กน้อย มีล้างเท้า และนวดเท้า
เป็นต้น ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๔๖, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๗/๓๒.

อวิชชฺ า (อวชิ ชา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๕๒. อวชิ ชา หมายถึงความไม่รู้แจ้งในสัจจะ ๔ มีทุกข์
เปน็ ตน้ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๔/๑๗.

อสญฺ สตฺต (อสัญญสี ตั ว์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๔๖/๓๓. อสัญญีสตั ว์ หมายถึงสัตว์จาพวกไม่มีสัญญา
ไมเ่ สวยเวทนา เม่อื มีสญั ญาเกิดขน้ึ กเ็ คลอ่ื นจากภพนั้นทันที

อสฺมิมานสมุคฺฆาต (สภาวะที่ถอนอัสมิมานะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๖/๓๒๕. สภาวะที่ถอน
อสั มิมานะ ในที่นี้หมายถงึ อรหตั มรรค ทีเ่ รยี กว่าสภาวะที่ถอนอัสมิมานะ เพราะเมื่อเห็น
นิพพาน ดว้ ยอานาจผลทเ่ี กดิ จากอรหัตมรรค อสั มมิ านะจงึ ไม่มี ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๒๖/
๒๓๕, อง.ฺ ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๑๓/๑๐.

อเสกฺขธมมฺ (อเสขธรรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๘/๓๖๕. อเสขธรรม หมายถึงธรรมที่เป็นผลและ
ธรรมที่สัมปยุตด้วยธรรมเป็นผลน้ัน เป็นธรรมระดับโลกุตตระของพระอเสขะ คือพระ
อรหันตขีณาสพ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๘/๒๕๒, ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๓๔๘/๓๔๙,
อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๑๒/๓๒๐, ๑๑๒/๓๗.

อากิญฺจญฺ ายตนฌาน (อากิญจญั ญายตนฌาน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๖. อากิญจัญญายตน
ฌาน หมายถึงฌานที่กาหนดภาวะอนั ไมม่ อี ะไร (ความว่าง) เป็นอารมณ์ ฌานน้ีเรียกอีก
อย่างหนึ่งว่า สัญญัคคะ (ที่สุดแห่งสัญญา) เพราะเป็นภาวะสุดท้ายของการมีสัญญา

๑๔๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

กลา่ วคือผูบ้ รรลอุ ากิญจญั ญายตนฌานแล้ว ชั้นต่อไปจะเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌานบา้ ง เขา้ ถึงสญั ญาเวทยติ นิโรธบ้าง ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๔๑๔/๓๐.

อากาสานญฺจายตนฌาน (อากาสานัญจายตนฌาน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๖. อากาสานัญ
จายตนฌาน หมายถงึ ฌานทก่ี าหนดอากาศ คือช่องว่างอนั หาที่สดุ มิได้เปน็ อารมณ์ เป็นข้ัน
ท่ี ๑ ของอรปู ฌาน ๔ ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๔๑๔/๓๐.

อาฆาต (ความอาฆาต) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๓/๗๔. ความอาฆาต หมายถงึ ความโกรธท่ีทาให้ผูกใจ
เจบ็ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๓/๓.

อาชวี (อาชพี ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๗๘/๕๗. อาชพี ในทนี่ ี้หมายถึง การดารงชีพ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/
๗๘/๒๗, ท.ี ปา.ฏีกา (บาลี) ๗๘/๒.

อาตปฺป (ความเพียรเครื่องเผากิเลส) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๙/๑๐๙. ความเพียรเคร่ืองเผากิเลส
หมายถงึ ความเพียรท่ีกาจัดความเกยี จคร้านท่เี ปน็ สังกเิ ลส ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๔๙/๗๕,
ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๑๔๙/๘.

อาทีนวทสสฺ าวี (มองเหน็ โทษ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๙/๒๘๒. มองเห็นโทษ ในที่นี้หมายถึงมองเห็น
การต้องอาบัติเพราะการแสวงหาไม่สมควร และการบริโภคลาภท่ีติดใจ องฺ.จตุกฺก.อ.
(บาลี) ๒/๒๘/๓๑.

อาภิเจตสิก (อันมีในจิตยิ่ง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๒. อันมีในจิตยิ่ง หมายถึง อยู่เหนือ
กามาวจรจิต ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๖๐/๘.

อามิส (อามสิ ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๕/๓๘๔. อามิส ในท่ีนี้หมายถึงกาม วัฏฏะ และโลก ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๓๕๕/๒๖๑, อง.ฺ ปญฺจก.อ. (บาล)ี ๓/๒๗.

อารทฺธวีริย (ปรารภความเพียร) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๑. ปรารภความเพียร หมายถึง
ประคองความเพียร มีความเพยี รไม่ย่อหย่อน ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๐/๘๔, ที.ปา.ฏีกา
(บาล)ี ๓/๑๖๐/๑๐.

อาวิรห (ทง้ั ในทแี่ จง้ และในท่ีลบั ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๖/๓๘๗. ท้ังในที่แจ้งและในที่ลับ ในท่ีน้ี
หมายถึงทั้งตอ่ หนา้ และลับหลงั ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๔๑/๑๓.

อาวธุ (อาวุธ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๑. อาวุธ แปลว่าเคร่ืองมือท่ีใช้ปูองกันหรือต่อสู้ ในท่ีน้ี
หมายถงึ อาวุธในทางธรรม ๓ ประการ คือ สตุ ะ หมายถึงพระพทุ ธพจน์ ปวิเวกะ หมายถึง
วเิ วก (ความสงดั ) ๓ ประการ คือ กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก ปัญญา หมายถึง

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๔๓

ปัญญาท้งั ทีเ่ ป็นโลกยิ ะและโลกตุ ตระ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๕/๑๙๗-๑๙๘, ที.ปา.ฏีกา.
(บาลี) ๓๐๕/๒๖.

อาสว (อาสวะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๑/๓๑๑. อาสวะ ในที่นี้หมายถึงอาสวะ ๔ คือ กามาสวะ
(อาสวะคือกาม) ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ) ทฏิ ฐาสวะ (อาสวะคือทฏิ ฐ)ิ อวิชชาสวะ (อาสวะ
คืออวชิ ชา) ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-๖๒/๑๔, องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๕๘/๑๔.

อจิ ฺฉา (อิจฉา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๖/๗๗. อจิ ฉา ในทนี่ ้หี มายถึงตณั หาท่ีทาให้เกิดคาพูดอย่างนี้ว่า
ท่านจงให้อาหารแก่เรา ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๐๖/๔.

อจิ ฺฉาวินย (การกาจดั ความอยาก) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๑/๓๓๔. การกาจัดความอยาก หมายถึง
การกาจัดหรือข่มตัณหาได้ดว้ ยอานาจภงั คานปุ ัสสนาญาณ (ญาณท่พี จิ ารณาเห็นความดับ)
องฺ.ปญฺจก.อ. (บาลี) ๓/๒๐/๑๖๕, องฺ.สตฺตก.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๐/๑๙. หรือด้วยอานาจ
วิปัสสนาญาณมวี ริ าคานุปสั สนา เป็นต้น ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๓๑/๒๓๙, ท.ี ปา.ฏกี า (บาลี)
๓๓๑/๓๒.

อิทธฺ (บรบิ รู ณ์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๔/๑๓๔. บริบูรณ์ ในท่ีน้ีหมายถึง เจริญโดยชอบด้วยอานาจ
ความสุขในฌานอันภิกษเุ หลา่ นบี้ รรลแุ ลว้ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๘/๑๕.

อิพฺภ (เป็นคนรับใช้) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๓/๘๔. เป็นคนรับใช้ ในท่ีน้ีหมายถึง คหบดีซึ่งพวก
วรรณะพราหมณถ์ อื ว่าเปน็ คนชั้นต่า เพราะยงั ถูกเครื่องผูกคือเรือนผูกไว้ ที.ปา.อ. (บาลี)
๓/๑๑๓/๔๗, ท.ี ปา.ฏกี า (บาล)ี ๑๑๓/๔.

อสิ สฺ า (ความริษยา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๖๒/๔๓. ความริษยา ในที่น้ีหมายถึง การทาลายสักการะ
เปน็ ต้น ของคนอื่น ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๖๑/๒.

อุจจฺ (งานสงู ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๖๐. งานสูง ในที่น้ีหมายถึงงานย้อมจีวร หรืองานโบกทา
พระเจดีย์ ตลอดถึงงานทจ่ี ะต้องชว่ ยกนั ทาท่ีโรงอโุ บสถ เรือนพระเจดยี ์ เรือนต้นโพธ์ิ เป็น
ต้น

อตุ ตฺ ริตร (รูช้ ัดยง่ิ กวา่ นนั้ ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๖/๒๗. รู้ชัดย่ิงกว่านั้น ในท่ีนี้หมายถึงรู้ชัดต้ังแต่ศีล
สมาธิ ปญั ญา จนถึงสัพพญั ญุตญาณ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๖/๑.

อุทายี (พระอทุ ายี) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๒/๑๒๔. พระอุทายีมี ๓ องค์ คือ พระโลฬุทายี พระกาฬุ
ทายี พระมหาอทุ ายี ในท่ีน้ีหมายถึง พระมหาอทุ ายี ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๖๒/๙.

อทุ ฺเทส (อุทเทส) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗๘/๕๗. อุทเทส ในที่น้ีหมายถึงแบบแผนแห่งธรรม ที.ปา.อ.

๑๔๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

(บาล)ี ๓/๗๘/๒๗, ที.ปา.ฏกี า (บาลี) ๗๘/๒.

อุทธฺ คฺคกิ (มีผลสงู ข้นึ ไป) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๗๑/๖๘. มผี ลสงู ขึ้นไป ในทนี่ หี้ มายถึง ส่งผลใหไ้ ปเกิดใน
สวรรคช์ ้นั กามาวจร ๖ คือ จาตมุ หาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นมิ มานรดี ปรนิมมติ วสวัตดี
ท.ี ปา.ฏีกา (บาลี) ๙๑/๓.

อุปายโกสลฺล (อุปายโกสัลละ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๔. อุปายโกสัลละ หมายถึงปัญญาท่ี
สามารถรูว้ ิธีจัดการกบั ปัญหาหรอื ภยั ที่เกิดขนึ้ เฉพาะหน้าได้ หรือปัญญาท่ีรู้จักวิธีทาการ
งานทั้งฝาุ ยเสอื่ มและฝาุ ยเจรญิ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๕/๒๐๑, ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๓๐๕/
๒๗.

อภุ โตภาควิมุตฺติ (อภุ โตภาควมิ ตุ ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๐/๑๑๑. อภุ โตภาควิมุต หมายถึงผู้บาเพ็ญ
สมถกมั มัฏฐานจนไดอ้ รปู สมาบตั ิ และใชส้ มถะเปน็ ฐานในการบาเพ็ญวปิ ัสสนาจนได้บรรลุ
อรหตั ผล อง.ฺ สตตฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๐, องฺ.นวก.อ. (บาล)ี ๓/๔๕/๓๑.

เอกจจฺ เทว (เทพบางพวก) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๕. เทพบางพวก หมายถึงเทพในสวรรค์ช้ัน
กามาวจรภมู ิ ๖ คือ ช้นั จาตมุ หาราช ชัน้ ดาวดงึ ส์ ชน้ั ยามา ชนั้ ดุสติ ช้นั นิมมานรดี ช้ันปร
นิมมิตวสวัตดี ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๒๗/๑๐.

เอกจจฺ วนิ ปิ าติก (วินปิ าตกิ ะบางพวก) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๕. วินิปาติกะบางพวก หมายถึง
พวกเวมานิกเปรตทพี่ น้ จากอบายภมู ิ ๔ เช่น ยกั ษณิ ีผู้เป็นมารดาของอตุ ตระ ยักษิณีผู้เป็น
มารดาของปิยังกระ ยักษณิ ผี ู้เป็นมารดาของผุสสะ ร่างกายของเปรตเหล่าน้ีแตกต่างกัน
คือ มีท้ังอ้วน ผอม เตย้ี สูง มผี ิวขาว ผิวดา ผิวสที อง และสนี ลิ มีลกั ษณะ มีสัญญาต่างกัน
ด้วยตเิ หตุกะ ทุเหตุกะ และอเหตุกะ เหมอื นของมนุษย์ เวมานิกเปรตเหล่านี้ไม่มีศักด์ิมาก
เหมือนพวกเทพบางพวก ไดร้ บั ทกุ ข์ในขา้ งแรม ไดร้ บั สขุ ในขา้ งขน้ึ แต่เวมานิกเปรตท่ีเป็น
ติเหตกุ ะสามารถบรรลุธรรมได้ เช่น การบรรลธุ รรมของยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระ
เปน็ ตน้ ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๒๗/๑๐.

อภิโยคี (เปน็ อภิโยค)ี ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๒๙/๑๘๗. เป็นอภิโยคี ในที่นห้ี มายถึงผู้ร้ใู นลักษณศาสตร์
ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๒๙/๑๒.

เอฬมูค (เป็นคนเซอะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๘/๔๑๔. เป็นคนเซอะ ในอรรถกถาอธิบายไขความว่า
ปคฆฺ ริตเขฬมูโค แปลว่า เป็นใบม้ นี า้ ลายไหล องฺ.ปญฺจก.อ. (บาลี) ๓/๑๑๒/๔. หมายถึงใช้
ปากพูดได้บ้าง พูดไมช่ ัด ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๒๒๕-๒๓๑/๒๒. แต่ในอภิธานปฺปทีปิกาฎีกา
อธิบายวา่ หมายถึงผไู้ มฉ่ ลาดพูด ไมฉ่ ลาดฟัง และ ไมฉ่ ลาดในภาษาที่จะพูด (วตฺตุ โสตุ จ

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๔๕

อกสุ โล, วจเน จ อกสุ โล) ท่านแยกอธิบายไว้ว่า เอโฬ หมายถึง พธิโร (คนหูหนวก) มูโค
หมายถงึ อวจโน (พูดไม่ได)้ หรอื หมายถึงคนโอ้อวด (สเจปิ เอฬมโู ค) (อภิธา : ฏีกา (บาลี)
คาถา ๗๓.

โอฆ (โอฆะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๗๖/๕๕. โอฆะ หมายถึง กิเลสดุจน้าท่วมพาผู้ตกไปให้พินาศ มี ๔
ประการ คือ กาโมฆะ (โอฆะคือกาม) ภโวฆะ (โอฆะคือภพ) ทิฏโฐฆะ (โอฆะคือทิฏฐิ)
อวิชโชฆะ (โอฆะคืออวชิ ชา) ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๑๒/๒๒๑, อง.ฺ จตุกกฺ .อ. (บาลี) ๒/๑๙๖/
๔๑.

โอปปาตกิ (เป็นโอปปาติกะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๔/๑๑๕. เป็นโอปปาติกะ ในท่ีน้ีหมายถึง เป็น
พระอนาคามีทีเ่ กดิ ในภพชัน้ สทุ ธาวาส (ท่อี ยูข่ องท่านผบู้ ริสุทธิ์) ๕ ช้นั มีช้ันอวิหา เป็นต้น
แลว้ ดารงภาวะในช้นั นั้น ๆ ส้ินกเิ ลสปรินิพพานในภพชนั้ สุทธาวาสน่ันเอง ไม่กลับมาเกิด
เป็นมนษุ ยอ์ กี อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๘๗-๘๘/๒๔๒-๒๔.

โอปปาตกิ (โอปปาตกิ สตั ว์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๒/๓๕๖. โอปปาติกสตั ว์ คือสัตว์ท่ีเกิดและเติบโต
เตม็ ทท่ี ันที และเม่ือจตุ ิ (ตาย) ก็หายวับไป ไม่ท้ิงซากศพไว้ เช่น เทวดาและสัตว์นรก ที.
ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๔๙, ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๑๒/๒๒.

โอหิตภาร (ปลงภาระไดแ้ ลว้ ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๖/๘๗. ปลงภาระได้แล้ว หมายถึง ปลงกิเลส
ภาระ (ภาระคือกิเลส) ขันธภาระ (ภาระคือร่างกาย) และอภิสังขารภาระ (ภาระคืออภิ
สงั ขาร) ลงแลว้ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๑๖/๔. ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๑๔๙/๓๙๘.

๑๔๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก

พระสุตตันตปฎิ กเล่มท่ี ๑๒

กตกรณีย (กจิ ทคี่ วรทาเสรจ็ แล้ว) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๔/๔๓. กจิ ทคี่ วรทาเสรจ็ แลว้ ในที่นีห้ มายถึงกิจ
ในอริยสจั ๔ คือ การกาหนดรทู้ ุกข์, การละเหตุเกิดแห่งทุกข์, การทาให้แจ้งซ่ึงความดับ
ทุกข์ และการอบรมมรรคมอี งค์ ๘ ใหเ้ จริญ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๕๔/๑๓๘, ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/
๒๔๘/๒๐.

กลนฺทกนวิ าป (กลันทกนวิ าปสถาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๓. กลันทกนิวาปสถาน หมายถึง
เป็นสถานที่สาหรบั พระราชทานเหยือ่ แก่กระแต ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๕๒/๔๑-๔.

กามวิตกฺก (กามวิตก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๐๖/๒๑๘. กามวิตก หมายถึงความตรึกในเรื่องกาม
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๒๐๖/๔๐.

กามาสว (กามาสวะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๗/๑๙. กามาสวะ หมายถึงความกาหนัดในกามคุณ ๕
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๗/๗.

กามุปาทานปริญฺ า (ความรอบรู้กามุปาทาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๔/๑๓๙. ความรอบรู้
กามุปาทาน หมายถึงทรงบัญญัติความรอบรู้การละ การล่วงพ้นกามุปาทานด้วย
อรหตั มรรค บัญญัตคิ วามรอบรู้อปุ าทาน ๓ นอกน้ีด้วยโสดาปัตติมรรค ม.มู.อ. (บาลี) ๑/
๑๔๔/๓๓.

กายภาวนา (กายภาวนา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๖๕/๔๐๑. กายภาวนา หมายถึงวิปัสสนาภาวนา
(ภาวนาขอ้ ท่ี ๒ ในภาวนา) คอื การฝึกอบรมปญั ญาให้เกิดความรู้แจ้งตามความเป็นจริง
แตส่ ัจจกะ นิครนถบุตรกล่าวหมายเอาอตั ตกิลมถานุโยคของพวกนิครนถ์ ม.มู.อ. (บาลี)
๒/๓๖๕/๑๙.

กายสงฺขาร (กายสังขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๗/๑๐๓. กายสังขาร หมายถึงผ่อนคลายลมหายใจ
หยาบให้ละเอียดขึน้ ไปโดยลาดับจนถงึ ขัน้ ท่ีจะตอ้ งพสิ ูจนว์ ่า มลี มหายใจอยูห่ รือไม่ เปรียบ
เหมือนเสยี งเคาะระฆังครัง้ แรกจะมีเสียงดังกังวานแล้วแผ่วลงจนถึงเงียบหายไปในท่ีสุด
วิสุทฺธิ. (บาลี) ๑/๒๙๙-๓๐.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๔๗

กายสงฺขาร (กายสงั ขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๗/๔๙๕. กายสังขาร หมายถึงลมหายใจเข้าออก วจี
สงั ขาร หมายถงึ วิตกวจิ าร จิตตสังขาร หมายถงึ สญั ญาเวทนา ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๕๗/๒๕.

กายสงฺขาร (กายสังขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๓/๕๐๓. กายสังขาร หมายถึงสภาพปรุงแต่งการ
กระทาทางกาย ไดแ้ ก่ ลมหายใจ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๖๓/๒๗๒, องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๒๓/
๑๐.

กายานุปสฺสี (พิจารณาเห็นกาย) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๙/๑๐๕. พจิ ารณาเหน็ กาย หมายถึงพิจารณา
เห็นอิรยิ าบถยอ่ ยในกายของตนดว้ ยสัมปชญั ญะ ๔ ประการ คอื สาตถกสมั ปชัญญะ (รู้ชัด
วา่ มีประโยชน)์ สปั ปายสัมปชัญญะ (รูช้ ัดวา่ เป็นสปั ปายะ) โคจรสัมปชัญญะ (รู้ชัดว่าเป็น
โคจร) อสมั โมหสัมปชญั ญะ (รู้ชัดโดยไม่หลง) ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๖/๓๘๓, ม.มู.อ. (บาลี)
๑/๑๐๙/๒๖๙-๒๘.

กติ ฺตาวตา นุ โข (เพราะเหตุไรหนอแล) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๔๙/๔๘๘. เพราะเหตุไรหนอแล เป็น
คาถามหาเหตุ แทจ้ ริงการถามนน้ั มี ๕ อย่าง คอื อทฏิ ฐโชตนาปุจฉา - การถามให้แสดง
เรอื่ งท่ีตนไมเ่ คยเห็นไมเ่ คยรู้มากอ่ น ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา - การถามให้ช้ีแจงเร่ืองท่ีเคย
ทราบมาแล้ว เพ่อื เทียบกันกับเร่ืองท่ีตนรู้มา วิมติเฉทนาปุจฉา - การถามเพื่อให้คลาย
ความสงสัย อนุมตปิ ุจฉา - การถามเพ่อื ใหม้ ีความคดิ เหน็ คลอ้ ยตาม กเถตุกามยตาปจุ ฉา -
การถามเพอ่ื มุง่ จะกล่าวชแี้ จงตอ่ เป็นลักษณะของการถามเอง ตอบเอง ในท่ีน้ีพระมหา
โกฏฐิกะถามในลกั ษณะของทฏิ ฐสังสนั ทนาปุจฉา ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๔๔๙/๒๔๒-๒๔.

คติ (มีคติ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๖๑/๑๖๔. ท่ีช่อื ว่ามีคติ เพราะสามารถทรงจาและรวบรวมเรยี บเรียงไว้
ได้ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๖๑/๓๗.

คทธฺ าธิปุพพฺ (ผูม้ ีบรรพบุรุษเป็นพรานฆา่ นกแรง้ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๔/๒๔๕. ผู้มีบรรพบุรุษเป็น
พรานฆ่านกแรง้ อรรถกถาอธบิ ายว่า คทฺเธ พาธยึสตู ิ คทธฺ พาธโิ น, คทธฺ พาธิโน ปุพฺพปุริสา
อสฺสาติ คทฺธพาธิปุพฺโพ. ... คิชฌฺ ฆาฏกกุลปฺปสตู สฺส (พรานฆ่า นกแร้งเป็นบรรพบุรุษ ของ
เขา เหตนุ ัน้ เขาจึงชือ่ ว่าเป็นผมู้ ีบรรพบรุ ุษเป็นพรานฆ่านกแร้ง) หมายความว่า เป็นคน
เกิดในตระกูลพรานฆ่านกแรง้ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔๑๗/๔๑.

คนธฺ พฺพ (คันธพั พะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๐๘/๔๔๓. คนั ธัพพะ ในท่ีน้ีหมายถงึ สัตวผ์ จู้ ะมาเกิดในครรภ์
น้นั (ปฏิสนธิวิญญาณ) ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๐๘/๒๑.

คาถา (คาถา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. คาถา ได้แก่ ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถา
ล้วนในสตุ ตนิบาตที่ไมม่ ชี อ่ื ว่าเปน็ สูตร

๑๔๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

คิลานปจฺจยเภสชฺชปรกิ ฺขาร (คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓/๒๓. คิลานปัจจัย
เภสัชบรขิ าร คือเภสชั ๕ ชนดิ ได้แก่ เนยใส เนยขน้ น้ามัน นา้ ผึง้ นา้ อ้อย วิ.อ. (บาลี) ๒/
๒๙๐/๔๐, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๒/๒๙๐/๓๙. เปน็ สิ่งสัปปายะสาหรับภิกษุผู้เจ็บไข้ จัดว่า
เปน็ บริขาร คอื บริวารของชีวิต ดุจกาแพงล้อมพระนคร เพราะคอยปูองกันรักษาไม่ให้
อาพาธที่จะบ่ันรอนชวี ติ ไดช้ ่องเกิดขึน้ และเปน็ สัมภาระของชีวิต คอยประคับประคองชีวิต
ให้ดารงอยู่นาน ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๙๐/๔๐-๔๑, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๓๙๗, ม.มู.ฏีกา
(บาล)ี ๑/๒๓/๒๑. เปน็ เครอื่ งปูองกันโรค บาบัดโรคท่ีให้เกิดทุกขเวทนา เนื่องจากธาตุ
กาเรบิ ใหห้ ายไป สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๒/๒๙๐/๓๙.

เคยฺย (เคยยะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. เคยยะ ได้แก่ พระสูตรท่ีมีคาถาท้ังหมด โดยเฉพาะ
สคาถวรรคในสังยุตตนิกาย

เคหสติ (อาศัยเรือน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๒๔/๒๓๕. อาศัยเรือน หมายถึงอาศัยกามคุณ ๕ (คือ รูป
เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ) ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๒๔.

จกฺขุนฺทฺรยิ (จักขนุ ทรยี ์) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๒/๒๒. จักขุนทรีย์ หมายถึงจักขุท่ีเป็นปสาทรูป อาศัย
มหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพท่เี หน็ ไม่ไดแ้ ต่กระทบได้ เคยกระทบ กาลังกระทบ จัก
กระทบ หรือพึงกระทบ อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๕๙๗/๒๐. ทช่ี ่ือว่า จักขนุ ทรยี ์ เพราะทาหน้าท่ี
เป็นใหญใ่ นจกั ขุทวาร อภ.ิ ว.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๑๙/๑๓. โสตนิ ทรยี ์เปน็ ตน้ ก็มีนยั เช่นเดยี วกัน

จตุตฺถสมณ (สมณะที่ ๔) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๙/๑๓๓. สมณะ ที่ ๔ หมายถึงพระอรหันต์ ผู้ทาให้
แจง้ เจโตวมิ ุตติ ปญั ญาวมิ ุตติอันไมม่ ีอาสวะเพราะอาสวะสิน้ ไปดว้ ยปัญญาอนั ย่งิ เองเข้าถึง
อยใู่ นปจั จบุ นั ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๓๙/๓๒๓-๓๒.

จติ ฺตภาวนา (จติ ตภาวนา) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๖๕/๔๐๑. จิตตภาวนา หมายถงึ สมถภาวนา (ภาวนา
ขอ้ ท่ี ๑ ในภาวนา คือการฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ (ฝึกสมาธิ) ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๓๖๕/๑๙. ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๒/๓๖๙, องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๓๒/๘๐, องฺ.ปญฺจก. (ไทย)
๒๒/๗๙/๑๔๖.

จิตฺตสงฺขาร (จิตตสังขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๓/๕๐๓. จิตตสังขาร หมายถึงสภาพปรุงแต่งการ
กระทาทางใจ ไดแ้ ก่ สญั ญาและเวทนา หรอื มโนสญั เจตนา คือ ความจงใจทางใจ ม.มู.อ.
(บาลี) ๒/๔๖๓/๒๗๒, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๒๓/๑๐.

เจโตวมิ ตุ ฺติ (เจโตวมิ ุตติ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๖๙/๒๙๐. เจโตวิมุตติ ในท่นี ้ีหมายถึงเพียงอัธยาศัย คือ
การสละทรพั ย์ ละการครองเรอื นแลว้ ออกมาอย่ปู าุ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๖๘/๗.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๔๙

เจโตวมิ ุตฺติ (เจโตวมิ ตุ ติ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๙/๖๑. เจโตวมิ ุตติ หมายถึงสมาธิทสี่ ัมปยุตด้วยอรหัตผล
ทช่ี ื่อว่าเจโตวมิ ตุ ติ เพราะพ้นจากราคะที่เป็นปฏปิ กั ขธรรมโดยตรง แต่มิได้หมายความว่า
จะระงับบาปธรรมอน่ื ไม่ได้ ม.ม.ู ฏีกา (บาลี) ๑/๖๙/๓๓. ในท่ีนี้หมายถงึ ความหลดุ พ้นด้วย
มสี มถกมั มฏั ฐานเป็นพ้นื ฐาน ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๖๙/๑๗.

ฉนทฺ ราคปปฺ หาน (การกาจดั ฉนั ทราคะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๗๐/๑๗๑. การกาจัดฉันทราคะ หมายถึง
นิพพาน ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๐/๓๘.

ฉนทฺ สมาธิปธานสงฺขาร (ฉนั ทสมาธิปธานสงั ขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๘๙/๒๐๓. ฉันทสมาธิปธาน
สงั ขาร แยกอธิบายดงั น้ี คาว่า ฉันทสมาธิ หมายถึงสมาธิท่ีเกิดจากฉันทะ คาว่า ปธาน
สังขาร หมายถึงความเพียรทมี่ งุ่ ม่ัน (ปธาน) วิริยสมาธิ จิตตสมาธิ และวิมังสาสมาธิ ก็มี
อรรถาธิบายเช่นเดยี วกนั เป็นทงั้ โลกิยะและโลกุตตระ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๘๙/๓๙.

ฉผสสฺ ายตนกิ นิรย (ฉผัสสายตนิกนรก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๑๒/๕๕๐. ฉผัสสายตนิกนรก หมายถึง
นรกที่มผี สั สายตนะ ๖ เป็นเหตุเกดิ ทกุ ขเวทนาอนั เผ็ดรอ้ น ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๕๑๒/๓๒.

ชาตก (ชาตกะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. ชาตกะ ไดแ้ ก่ ชาดก ๕๕๐ เรือ่ ง มอี ปัณณกชาดก เป็น
ต้น

ชาติสงฺขาร (สงั ขารคือชาติ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๔๕/๒๖๒. สังขารคือชาติ หมายถึงกัมมาภิสังขาร
อนั เปน็ ปจั จยั แห่งขนั ธท์ เี่ กดิ ในภพใหม่ เพราะเกิดและท่องเที่ยวไปในชาติต่าง ๆ ม.มู.อ.
(บาลี) ๒/๒๔๕/๒.

ฌานวโิ มกฺขสมาธสิ มาปตฺติ (ฌาน วโิ มกข์ สมาธิ และสมาบตั ิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๖. ฌาน
วโิ มกข์ สมาธิ และสมาบัติ คือ ฌาน หมายถึงฌาน ๔ (ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
และจตุตถฌาน) องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๑/๓๒. วิโมกข์ หมายถึงวิโมกข์ ๘ องฺ.ทสก.อ.
(บาลี) ๓/๒๑/๓๒. องฺ.อฏฺ ก. (ไทย) ๒๓/๑๑๙/๔๓๑ สมาธิ หมายถึงสมาธิ ๓ คือ
สวติ ักกสวจิ ารสมาธิ (สมาธทิ ่ีมีวิตกและวิจาร) อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ (สมาธิท่ีไม่มีวิตกมี
เพยี งวจิ าร) อวิตักกาวิจารสมาธิ (สมาธิ ท่ไี ม่มีทง้ั วติ กและวิจาร) ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๓/๖๕-
๖. สมาบัติ หมายถึงอนุปพุ พสมาบัติ ๙ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิต
นิโรธ ๑ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๔๘/๓๕๑, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๑/๓๒. องฺ.นวก. (ไทย)
๒๓/๓๒/๕๐๓, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๘๒๘/๕๖๑-๕๖๔.

าณทสฺสน (ญาณทสั สนะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๑๐/๓๔๔. ญาณทสั สนะ ในทน่ี ้ีหมายถึงอภิญญา ๕
ประการ คือ อทิ ธิวิธิ ความรทู้ ที่ าให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ ทิพพโสต ญาณที่ทาให้มีหูทิพย์

๑๕๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

เจโตปริยญาณ ญาณทท่ี าให้กาหนดใจคนอ่ืนได้ ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณท่ีทาให้ระลึก
ชาติได้ ทพิ พจักขุ ญาณทที่ าใหม้ ีตาทิพย์ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๓๑๐/๑๓.

าณวาท (ญาณวาทะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๗๗/๓๐๐. ญาณวาทะ หมายถึงลัทธิที่ว่า ข้าพเจ้ารู้
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๗๗/๗.

าติสาโลหิต (ญาติสาโลหิต) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๕/๕๗. ญาติสาโลหิต แยกอธิบายดังน้ี ญาติ
หมายถงึ บิดามารดาของสามี หรือบิดามารดาของภรรยาและเครือญาติของทั้ง ๒ ฝุาย
สาโลหติ หมายถึงผรู้ ว่ มสายเลอื ดเดยี วกนั ได้แก่ ปูุหรือตา เปน็ ต้น ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๕/
๑๗๒, ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๖๕/๓๒.

าย (ญายธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๖/๑๐๑. ญายธรรม หมายถึงอริยมรรค ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๒๑๔/๑๙๗, ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๐๖/๒๕.

าน (ฐานะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๔. ฐานะ ในที่น้ีหมายถึงเหตุและปัจจัยที่เรียกว่า ฐานะ
เพราะเป็นแดนต้ังข้ึน เกิดข้ึน และเป็นไปแห่งผล ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๔๘/๓๔๙,
องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๒๑/๓๒.

าน (ฐานะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๑/๓๐. ฐานะ ในที่นหี้ มายถึงเหตุ คาว่า ฐานะ มีความหมาย ๔ นัย
คอื อิสสริยะ (ตาแหนง่ , ความเปน็ ใหญ่) ฐิติ (เปาู หมาย,ท่ีตงั้ ) ขณะ (กาล) การณะ (เหตุ)
ในทน่ี ห้ี มายถึงเหตุ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๓๑/๑๑.

ตณหฺ าสงฺขยวมิ ตุ ฺติ (ตัณหาสงั ขยวมิ ตุ ติ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๑๔/๔๕๐. ตัณหาสงั ขยวิมุตติ หมายถึง
เทศนาเปน็ เหตหุ ลดุ พน้ เพราะความส้ินไปแหง่ ตณั หา ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๑๔/๒๑.

ตติยสมณ (สมณะท่ี ๓) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๓๙/๑๓๓. สมณะท่ี ๓ หมายถงึ พระอนาคามี ผู้หมดสิ้น
สงั โยชนเ์ บ้ืองต่า ๕ ประการ เกดิ ในภูมชิ ัน้ สทุ ธาวาสแลว้ จะนิพพานในภูมินัน้

ตถาคต (ตถาคต) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๒/๑๕. ตถาคต ในทน่ี หี้ มายถึงพระผมู้ พี ระภาค บัณฑิตเรียกว่า
ตถาคต เพราะเหตุ ๘ ประการ คือ เพราะเสด็จมาแลว้ อยา่ งน้ัน เพราะเสด็จไปแล้วอย่าง
น้นั เพราะเสด็จมาสู่ลกั ษณะอันแทจ้ รงิ เพราะตรสั รูธ้ รรมที่แท้ตามความเป็นจริง เพราะ
ทรงเหน็ จรงิ เพราะตรัสวาจาจรงิ เพราะทรงทาจริง เพราะทรงครอบงา (ผู้ที่ถือลัทธิอื่น
ทง้ั หมดในโลกพร้อมทั้งเทวโลก) ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๕.

ตถาคต (ตถาคต) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๔๖/๒๖๓. ตถาคต ในข้อนี้มีความหมาย ๒ นัย คือ นัยท่ี ๑
ตถาคต ในคาวา่ วญิ ญาณของตถาคตอาศยั ส่ิงน้ี หมายถึงสัตว์ผู้สิ้นอาสวะ ทรงมุ่งใช้เพื่อ
ตรสั เรยี กแทนพระขีณาสพผู้ไม่มีปฏิสนธิปรินิพพานแล้ว นัยที่ ๒ ตถาคต ในคาว่า ถ้า

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๕๑

บุคคลเหล่าอน่ื ด่าบริภาษ ... กระทบกระท่ังตถาคต ... หมายถึงพระผู้มีพระภาคอรหันต
สมั มาสมั พุทธเจ้า ผู้สิ้นอาสวะ ทรงมุ่งใช้เพ่ือตรัสเรียกแทนพระองค์เอง แต่เม่ือว่าโดย
สภาวธรรมแลว้ ทง้ั ๒ นยั นัน้ มคี วามหมายเดยี วกนั คือสภาวะท่ีสิน้ อาสวะ และปรินิพพาน
จิตของผู้สนิ้ อาสวะปรนิ ิพพานแลว้ เทวดา มาร พรหม ไม่สามารถจะค้นพบได้ไม่สามารถ
จะรไู้ ด้วา่ อาศยั อารมณ์อะไรเปน็ ไป ม.ม.ู ฏีกา (บาลี) ๒/๒๔๖/๑๒.

ตถาคตนิเสวติ (ตถาคตนิเสวติ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๙๗/๓๒๖. ตถาคตนิเสวิต หมายถึงฐานที่ซ่ีโครง
คอื ญาณของพระตถาคตเสยี ดสแี ล้ว ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๙๗/๑๒.

ตถาคตปท (ตถาคตบท) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๙๗/๓๒๖. ตถาคตบท หมายถึงทางแห่งญาณ หรือ
รอ่ งรอยแห่งญาณของพระตถาคต ไดแ้ ก่ ฐานท่ีญาณเหยียบแล้ว กล่าวคอื ฌานท้ังหลายมี
ปฐมฌานเปน็ ตน้ เป็นพ้นื ฐานแห่งญาณช้นั สงู ๆ ข้นึ ไปของพระตถาคต ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๒๙๗/๑๒.

ตถาคตารญฺชติ (ตถาคตารญั ชิต) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๙๗/๓๒๖. ตถาคตารัญชิต หมายถึงฐานที่พระ
เขี้ยวแก้วคือญาณของพระตถาคตกระทบแลว้ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๙๗/๑๒.

ติณณฺ (ข้ามพน้ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๖๑/๓๙๙. ข้ามพ้น หมายถึงข้ามพน้ โอฆะ ๔ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๓๖๑/๑๘.

เถรวาท (เถรวาทะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๗๗/๓๐๐. เถรวาทะ หมายถึงลัทธิท่ีว่า ข้าพเจ้าเป็นใหญ่
ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๗๗/๗.

ทนฺต (ฝกึ พระองค์) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๖๑/๓๙๙. ฝึกพระองค์ หมายถึงปราศจากกิเลส ม.มู.อ.
(บาล)ี ๒/๓๖๑/๑๘๙, ม.ม.ู ฏีกา (บาล)ี ๒/๓๖๑/๒๕.

ทสฺสน (ทัสสนะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๖/๑๘. ทสั สนะ หมายถงึ โสดาปตั ติมรรค ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒๑/
๘๑, ม.ม.ู ฏกี า (บาล)ี ๑/๑๖/๑๙.

ทสฺสนมูลิก (มีทัสสนะเป็นมูล) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๙๐/๕๒๙. มีทัสสนะเป็นมูล ในท่ีน้ีหมายถึงมี
โสดาปตั ติมรรคเปน็ มลู เหตุ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๙๐/๒๙.

ทฏิ ฺ (รปู ที่ตนเหน็ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕/๗. รูปที่ตนเหน็ หมายถึงสิ่งทตี่ นเหน็ ทางมงั สจักขุ หรือทิพพ
จักขุ คานี้เปน็ ชอื่ แหง่ รูปายตนะ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๕/๔.

ทิฏฺ (ทิฏฐ)ิ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๙๖/๔๒๗. ทฏิ ฐิ ในทนี่ ี้หมายถึงสัสสตทิฏฐิ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๙๖/
๒๑.

๑๕๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ทฏิ ฺ ฏฺ าน (ทฏิ ฐฏิ ฐาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๔๐/๒๕๖. ทิฏฐิฏฐาน เป็นชื่อของทิฏฐิ เพราะเป็นเหตุ
แหง่ สักกายทิฏฐทิ ี่ยงิ่ กวา่ ทิฏฐิเกิดขึ้นก่อน และเป็นเหตุแห่งสัสสตทิฏฐิบ้าง เป็นชื่อของ
อารมณ์ คือ ขนั ธ์ ๕ และรูปารมณเ์ ป็นต้นบ้าง เป็นชื่อของปจั จยั คอื อวิชชา ผัสสะ สญั ญา
เปน็ ตน้ บ้าง ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๔๑/๑๖, ม.ม.ู ฏีกา (บาลี) ๒/๒๔๑/๑๑.

ทิฏฺ นิสฺสย (ทิฏฐินิสสัย) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๔๓/๒๖๐. ทิฏฐินิสสัย หมายถึงทิฏฐิ ๖๒ ประการ
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๔๓/๑.

ทิวาทิว (แตย่ งั วัน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๘/๓๑๗. แตย่ งั วนั ในท่ีน้หี มายถึงเวลาช่วงเช้า ม.ม.ู อ. (บาลี)
๒/๒๘๘/๑๐.

ทคุ คฺ ติ (ทุคต)ิ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๘/๖๑. ท่ีชื่อว่าทุคติ เพราะเป็นคติ คือเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ ม.มู.อ.
(บาลี) ๑/๑๕๓/๓๕.

ทคุ คฺ ติ (ทุคต)ิ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๗๐/๖๒. ทุคติมี ๒ อย่าง คือ ปฏปิ ตั ตทิ ุคติ หมายถึงคติคือการปฏิบตั ิ
ชว่ั ดว้ ยอานาจกเิ ลสแบง่ เปน็ ๒ อย่าง ได้แก่ อาคารยิ ปฏปิ ตั ติทคุ ติ คือทคุ ตขิ องคฤหัสถ์ผู้มี
จติ เศร้าหมองฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤตอิ กุศลกรรมบถ ๑๐ แล อนาคาริยปฏิปัตติทุคติ
คอื ทุคติของบรรพชติ ผมู้ ีจิตเศร้าหมอง ตะเกียกตะกายทาลายสงฆ์ ทาลายเจดีย์ ประพฤติ
อนาจาร คติทุคติ หมายถึงคติหรือภูมิเป็นท่ีไปอันเป็นทุกข์แบ่งเป็น ๒ อย่าง ได้แก่
อาคาริยทคุ ติ คือทุคตขิ องคฤหสั ถผ์ ตู้ ายแล้วไปเกิดในนรกบ้าง กาเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง
เปรตวิสัยบา้ ง และ อนาคาริยทคุ ติ คือทุคติของบรรพชิตผู้มรณภาพแล้ว ไปเกิดในนรก
เป็นตน้ เปน็ สมณยักษ์ เป็นสมณเปรต มกี ายลุกโชติช่วงเพราะผ้าสังฆาฏิเป็นต้น ม.มู.อ.
(บาลี) ๑/๗๐/๑๘๐, ม.มู.ฏกี า (บาลี) ๑/๗๐/๑๘.

ทุตยิ สมณ (สมณะที่ ๒) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๙/๑๓๓. สมณะที่ ๒ หมายถงึ พระสกทาคามี ผู้หมดสิ้น
สังโยชน์เบื้องตา่ ๓ ประการ มีราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง กลับมาสู่โลกมนุษย์คราวเดียว
แลว้ จะตรัสรู้ตามได้

ธมมฺ (ธรรม) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๐๖/๒๑๘. ธรรม ในท่ีนหี้ มายถึงธรรมคือสมถะและวปิ ัสสนา ม.มู.อ.
(บาลี) ๑/๒๑๐/๔๑.

ธมฺม (ธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๔๐/๒๕๖. ธรรม ในท่ีน้ีหมายถึงสมถะและวิปัสสนา ม.มู.อ. (บาลี)
๒/๒๔๐/๑.

ธมมฺ (ธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๑๕/๔๕๒. ธรรม หมายถงึ ไตรลักษณ์ คอื อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา
และอธปิ ญั ญาสกิ ขา แต่ในท่นี ี้ทรงมุ่งแสดงหิรแิ ละโอตตัปปะ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๔๑๕/๒๒.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๕๓

ปริยาปุณนตฺ ิ (เล่าเรียน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๙/๒๕๓. เล่าเรียน ในท่ีนี้หมายถึงเล่าเรียนนิตถรณ
ปริยัติ แท้จริงปรยิ ัตมิ ี ๓ นยั คอื อลคทั ทูปรยิ ตั ติ การเลา่ เรยี นเปรยี บด้วยงพู ษิ ไดแ้ ก่ การ
เล่าเรียนม่งุ ลาภสกั การะด้วยคดิ ว่า เราเล่าเรียนแล้วจักได้จีวร หรือคนอื่นจะรู้จักเราใน
ทา่ มกลางบริษัท ๔ นติ ถรณปรยิ ตั ติ การเล่าเรียนมุง่ ประโยชนค์ ือการออกจากวฏั ฏะ ไดแ้ ก่
การเลา่ เรยี นด้วยตัง้ ใจวา่ เราเลา่ เรยี นพุทธพจนแ์ ล้วจกั บาเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ให้ได้ สมาธิ
เรม่ิ เจรญิ วิปัสสนาแล้ว จักอบรมมรรค จักทาผลใหแ้ จง้ ภณั ฑาคาริกปริยัตติ การเล่าเรียน
ประดุจขุนคลงั ได้แก่ การเลา่ เรียนของพระขณี าสพ เพราะท่านกาหนดรู้ขนั ธแ์ ล้วละกิเลส
ได้ อบรมมรรค ทาให้แจง้ ผล เมือ่ เลา่ เรียนพทุ ธพจน์ เป็นผู้ทรงแบบแผน รักษาประเพณี
ตามรักษาอริยวงศ์ ดังนั้นในท่นี ้ี จงึ หมายเอานยั ที่ ๒ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๓๙/๑.

ธมฺมสมาทาน (การสมาทานธรรม) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๖๘/๕๐๘. การสมาทานธรรม หมายถึงลัทธิ
หรอื ข้อวัตรปฏิบัติ ได้แก่ จริยาท่ีตนยึดถือ คาว่า สมาทาน หมายถึงถือปฏิบัติ ม.มู.อ.
(บาลี) ๒/๔๖๘/๒๗.

ธมฺมานสุ ารี (ธัมมานุสารี) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๔๘/๒๖๖. ธัมมานุสารี ในที่น้ีหมายถึงผู้แล่นไปตาม
ธรรม ท่านผู้ปฏิบัตเิ พอื่ บรรลโุ สดาปตั ตผิ ล มีปัญญาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิ
ปัตตะ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๔๘/๒๖, อง.ฺ ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/
๑๔/๑๖.

ธมฺมานสุ ารี (ธมั มานสุ ารี) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๕๒/๓๘๗. ธัมมานุสารี หมายถึงผู้แล่นไปตามธรรม
ทา่ นผูป้ ฏิบตั ิเพอ่ื บรรลุโสดาปัตติผล มปี ัญญาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ
(ผบู้ รรลุธรรมด้วยความเห็นถูกตอ้ ง) องฺ.ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๔๙/๕๕, อง.ฺ สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/
๑๔/๑๖๒, ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๓๕๒/๑๗.

ธมมฺ ีกถา (การสนทนาธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๗๓/๒๙๖. การสนทนาธรรม หมายถึงสนทนาเรื่อง
กถาวัตถุ ๑๐ ประการ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๗๓/๗.

ธติ ิ (มีธติ ิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๖๑/๑๖๔. ทีช่ ่อื วา่ มีธิติ เพราะมคี วามเพยี รท่ีสามารถทาการสาธยายส่ิง
ทเ่ี ลา่ เรียนมา ทรงจามาไวไ้ ด้ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๖๑/๓๗.

นนฺทิ (นันท)ิ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๐๔/๕๔๓. นันทิ ในท่ีนี้หมายถงึ ภวตัณหา ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๕๐๔/
๓๒.

๑๕๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

นลกฺขณกุสล (ไมฉ่ ลาดในลักษณะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๔๗/๓๗๘. ไม่ฉลาดในลักษณะ หมายถึงคน
พาลและบณั ฑติ มกี รรมเป็นเคร่อื งหมายเหมือนกนั แตต่ ่างกันที่คนพาลมีอกุศลกรรมเป็น
เคร่อื งหมาย บณั ฑติ มีกศุ ลกรรมเป็นเครือ่ งหมาย ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๓๔๗/๑๖.

นานาธาตุ (ธาตทุ ี่แตกต่างกัน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๕. ธาตุท่ีแตกต่างกัน หมายถึงธาตุท่ีมี
ลกั ษณะตา่ งกัน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๔๘/๓๕๐, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๑/๓๒๙, อภิ.วิ.อ.
(บาลี) ๗๖๐/๔๒.

นาปริตฺถตฺต (ไมม่ ีกิจอืน่ เพือ่ ความเป็นอยา่ งน้ีอีกต่อไป) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๔/๔๓. ไม่มีกิจอ่ืนเพ่ือ
ความเป็นอย่างนอี้ กี ต่อไป หมายถงึ ไม่มีหน้าท่ีในการบาเพ็ญมรรคญาณเพ่ือความหมดสิ้น
แหง่ กเิ ลสอีกต่อไป เพราะพระพุทธศาสนาถือว่า การบรรลุพระอรหัตผลเป็นจุดหมาย
สูงสุด ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๕๔/๑๓๘, ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๘/๒๐.

นริ ย (นรก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๘/๖๑. ที่ชอ่ื วา่ นรก เพราะปราศจากความยินดี เหตุเป็นที่ไม่มีความ
สบายใจ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๕๓/๓๕.

นกิ ขฺ ิตตฺ ธุร (ทอดธรุ ะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๑/๒๙. ทอดธุระ ในที่น้ีหมายถึงไม่บาเพ็ญอุปธิวิเวกให้
บริบูรณ์, อนึง่ หมายถงึ ทอดทิ้งหนา้ ที่ในวิเวก ๓ ประการ คือ กายวิเวก จิตตวิเวก และ
อุปธวิ ิเวก ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๓๑/๑๑๐, อง.ฺ ทุก.อ. (บาลี) ๒/๔๕/๕.

นคิ นฺถนาฏปุตตฺ (นิครนถ์ นาฏบุตร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑๒/๓๔๙. นิครนถ์ นาฏบุตร แยกอธิบาย
ดงั น้ี คาวา่ นคิ รนถ์ เป็นช่ือของเขา ที่มีช่ืออย่างนั้นเพราะเขามักกล่าวว่า เราไม่มีกิเลส
เครื่องรอ้ ยรัด คาวา่ นาฏบตุ ร เปน็ อีกชื่อหนงึ่ ของเขา เพราะเขาเป็นบุตรของนักฟูอน ที.
ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๕๖/๑๓๒, ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๓๑๒/๑๔.

นิฏฺ (จุดมุ่งหมาย) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๔๑/๑๓๕. จุดมุ่งหมาย ในท่ีน้ีหมายถึงจุดหมายของความ
เล่อื มใส ซ่งึ แต่ละลัทธิตา่ งกม็ ีจุดหมายทแ่ี ตกตา่ งกันไป และมีเพียงจุดมงุ่ หมายเดียวเทา่ นัน้
เช่น พวกพราหมณ์ก็มีพรหมโลกเป็นจุดมุ่งหมาย พวกดาบสก็มี อาภัสสรพรหมเป็น
จดุ มุง่ หมาย แต่ในพุทธศาสนานมี้ ีจดุ ม่งุ หมายเดยี ว คืออรหัตผล ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๔๐/
๓๒.

นิพพฺ าน (นิพพาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖/๙. นิพพาน ในท่ีนี้หมายถึงนิพพานท่ีปุถุชนเข้าใจผิด ด้วย
อานาจตัณหา มานะ และทฏิ ฐิ คอื เข้าใจวา่ อัตตาท่ีพร่ังพร้อม เพียบพร้อม บาเรอด้วย
กามคุณ ๕ เปน็ นพิ พานในปัจจุบัน, นิพพานเป็นอัตตา อัตตาเป็นอย่างอื่นจากนิพพาน

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๕๕

ความสขุ เป็นนิพพาน หรอื นิพพานเป็นของเรา ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๖/๔๒, ม.มู.ฏีกา (บาลี)
๑/๖/๑๑.

นิมติ ฺต (นิมิต) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๕๐/๑๔๘. นิมิต ในท่ีน้ีหมายถึงท้ังบุคคลและธรรมท่ีเป็นเหตุ
สนับสนนุ การทักท้วง ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๕๐/๓๕๔, อง.ฺ จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๘/๒๘๕, องฺ.
จตุกฺก.ฏีกา (บาล)ี ๒/๘/๒๘.

นิมิตตฺ คคฺ าหี (รวบถอื ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๔๗/๓๗๘. รวบถือ หมายถึงมองภาพด้านเดียว คือมอง
ภาพรวมโดยเห็นเป็นหญิงหรือชาย เห็นว่ารูปสวย เสียง ไพเราะ กล่ินหอม รสอร่อย
สัมผัสที่อ่อนนุ่ม เป็นอารมณ์ท่ีน่าปรารถนาด้วยอานาจฉันทราคะ อภิ.สงฺ.อ. (บาลี)
๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.

นิยยฺ านิก (นิยยานกิ ธรรม) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๙๒/๕๓๒. นิยยานิกธรรม หมายถึงธรรมท่ีตัดมูลราก
แหง่ วฏั ฏะ ทานพิ พานให้เป็นอารมณ์แล้วนาสัตว์ออกจากวัฏฏะ อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๘๓-
๑๐๐/๙.

นิสฺสรณ (ธรรมเคร่อื งสลัดออกจากกเิ ลส) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๗๘/๖๗. ธรรมเคร่ืองสลัดออกจากกิเลส
ในท่นี ีห้ มายถงึ นิพพาน ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๗๘/๑๘.

นิสสฺ รณปญฺ า (ปัญญาเครื่องสลัดออก) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๘๗/๓๑๕. ปัญญาเคร่ืองสลัดออก ใน
ที่นีห้ มายถึงปจั จเวกขณญาณ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๘๗/๑๐.

เนกฺขมฺมวิตกฺก (เนกขมั มวิตก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๐๖/๒๑๘. เนกขัมมวิตก หมายถึงความตรึกใน
เรอื่ งออกจากกเิ ลส ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒๐๖/๔๐.

ปกธุ กจฺจายน (ปกธุ ะ กจั จายนะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑๒/๓๔๙. ปกุธะ กัจจายนะ แยกอธิบายดังนี้
คาวา่ ปกุธะ เปน็ ช่ือของเขา คาวา่ กัจจายนะ เป็นช่ือโคตร เรียกรวมท้ังช่ือและโคตรว่า
ปกุธกจั จายนะ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๔/๑๓๒, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๓๑๒/๑๔.

ปจฺจตฺตเวทนีย (ปัจจตั ตเวทนยี นรก) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๕๑๒/๕๕๐. ปัจจัตตเวทนียนรก หมายถึง
นรกทสี่ ตั ว์นรกกอ่ ทุกขเวทนาใหเ้ กิดแก่ตนเอง ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๕๑๒/๓๒.

ปชาปติ (ปชาบดี) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓/๔. ปชาบดี หมายถึงผูย้ ิง่ ใหญก่ ว่าปชาคือหมู่สัตว์ ได้แก่ มาร
ช่ือว่า ปชาบดี เพราะปกครองเทวโลกชัน้ ปรนมิ มติ วสวตั ดี ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๓/๓.

ปญฺ า (ปัญญา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๔๙/๔๘๙. ปัญญา ในที่น้ีหมายถึงมัคคปัญญา (ปัญญาใน
อริยมรรค) (ม.ู มู.อ. (บาล)ี ๒/๔๕๐/๒๕.

๑๕๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ปญฺ าจกฺขุ (ปญั ญาจักษุ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๑/๔๙๑. ปัญญาจักษุ ในท่ีนี้หมายถึงสมาธิปัญญา
และวปิ ัสสนาปญั ญา สมาธปิ ัญญาทาหน้าทก่ี าจัดโมหะ วปิ สั สนาปัญญาทาหนา้ ทพี่ จิ ารณา
ไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๑/๒๕.

ปญฺ าวมิ ุตฺติ (ปัญญาวิมุตติ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๙/๖๑. ปญั ญาวิมุตติ หมายถงึ ปญั ญาท่ีสหรคตด้วย
อรหตั ผลนัน้ ชื่อว่าปญั ญาวิมตุ ติ เพราะหลุดพ้นจากอวิชชาทเ่ี ป็นปฏิปกั ขธรรมโดยตรง แต่
มิได้หมายความว่าจะระงับบาปธรรมอ่ืนไม่ได้ ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๖๙/๓๓๔ ในที่นี้
หมายถึงความหลดุ พ้นด้วยมวี ปิ สั สนากมั มฏั ฐานเปน็ พื้นฐาน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๙/๑๗.

ปฏิธาเวยฺยาถ (กลบั ระลกึ ถึง) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๗/๔๔๒. กลบั ระลึกถงึ หมายถึงการแล่นไปตาม
อานาจตณั หาและทิฏฐิดว้ ยอานาจวจิ กิ ิจฉา ที่ทรงมุ่งจะตรสั ถามวา่ เมอื่ รู้เห็นถงึ ปจั จัยแห่ง
การเกิดครบองค์ ๑๒ แล้ว มีความสงสัยอยอู่ ีกหรือไม่ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๐๗/๒๑๖, ม.มู.
ฏีกา (บาลี) ๒/๔๐๗/๒๗.

ปฏิภาค (คเู่ ปรยี บ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๖/๕๐๗. คเู่ ปรยี บ ในท่นี ม้ี ี ๒ ความหมาย หมายถงึ คู่เปรียบ
ทขี่ ัดแยง้ กนั เช่น สุขกับทุกข์ หมายถึง คู่เปรยี บที่คล้อยตามกันคือวิมุตติและนิพพานอัน
เปน็ โลกุตตรธรรม ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๖๖/๒๗.

ปฏิสลฺลาน (ทีห่ ลีกเรน้ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘๑/๗๐. ที่หลีกเร้น ในที่น้ีหมายถึงผลสมาบัติช้ันสูงสุด
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๘๑/๑๙.

ปฏโิ สตคามี (พาทวนกระแส) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๑/๓๐๕. พาทวนกระแส ในท่ีน้ีหมายถึง อนิจฺจ
(ไม่เที่ยง) ทกุ ขฺ (เป็นทุกข)์ อนตฺตา (เปน็ อนตั ตา) อสภุ (ไม่งาม) อนั ทวนกระแสแหง่ ธรรมมี
ความเท่ยี งเป็นต้น ในพระวินัยปิฎกหมายถงึ พาเข้าถึงนพิ พาน ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๘๑/๘๔,
วิ.อ. (บาลี) ๓/๗/๑.

ป มสมณ (สมณะที่ ๑) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๓๙/๑๓๓. สมณะท่ี ๑ หมายถึงพระโสดาบันผู้หมดส้ิน
สังโยชน์เบ้ืองต่า ๓ ประการไม่มีทางตกต่า มีความแน่นอนท่ีจะสาเร็จสัมโพธิในวัน
ข้างหนา้

ป วี (ปฐวี) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒/๒. ปฐวี มี ๔ ชนิด คือ ลักขณปฐวี เป็นส่ิงที่แข็งกระด้าง หยาบ
เฉพาะตนในตวั มนั เอง สสมั ภารปฐวี เปน็ ส่วนแหง่ อวัยวะมผี มเปน็ ต้น และวัตถุภายนอกมี
โลหะเปน็ ต้น พร้อมทั้งคุณสมบัติมีสีเป็นต้น อารัมมณปฐวี เป็นปฐวีธาตุที่นามากาหนด
เป็นอารมณข์ องปฐวกี สณิ นิมิตตปฐวี ก็เรียก สัมมติปฐวี เป็นปฐวีธาตุท่ีปฐวีเทวดาผู้ได้

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๕๗

ฌานด้วยอานาจปฐวีกสิณแล้วมาเกิดในเทวโลก ในที่นี้ ปฐวี หมายถึงท้ัง ๔ ชนิด ม.มู.อ.
(บาลี) ๑/๒/๒.

ปณฺณรสงฺคสมนฺนาคต (ผู้มีองค์ ๑๕) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๘๙/๒๐๓. ผูม้ อี งค์ ๑๕ คือ มีการละกิเลส
เครือ่ งตรงึ จิตดจุ ตะปู ๕ ประการ มีการตัดกิเลสเครื่องผูกใจ ๕ ประการ มีอิทธิบาท ๔
ประการ และมคี วามเพียรอันยิ่ง ๑ รวมเปน็ ๑๕ ประการ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๘๙/๓๙.

ปปญฺจสญฺ าสงขฺ (แง่ต่างแหง่ ปปัญจสัญญา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๐๑/๒๑๐. แง่ต่างแห่งปปัญจ
สญั ญา แปลจากคาวา่ ปปญจฺ สญฺ าสงฺขา แยกอธิบายศัพท์ได้ดังน้ี คาว่า ปปญฺจสญฺ า
หมายถงึ สญั ญาอันประกอบด้วยกิเลสเป็นเหตุเน่ินช้า คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ คาว่า
สงขฺ า หมายถึงแงต่ า่ ง ปปญจฺ สญฺ าสงฺขา จึงแปลว่า แง่ต่างแห่งสัญญาอันประกอบด้วย
กิเลสเปน็ เหตเุ น่นิ ช้า ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๒๐๑/๔๐.

ปรโตโฆส (ปรโตโฆสะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๒/๔๙๑. ปรโตโฆสะ ในทีน่ ี้หมายถึงการฟังธรรมเป็นที่
สบายเหมาะสมแก่ตน เชน่ พระสารีบุตรเถระไดฟ้ ังธรรม จากพระอัสสชิเถระว่า ธรรมเหล่า
ใดเกดิ แต่เหต.ุ .. ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖๐/๗. ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๒/๒๕.

ปรกิ ขฺ ีณภวสโยชน (สิ้นภวสังโยชน์แล้ว) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘/๑๑. สิ้นภวสังโยชน์แล้ว หมายถึง
สังโยชน์ ๑๐ ประการ คือ กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ภวราคะ อิสสา มัจฉริยะ อวชิ ชา สงั โยชน์เหล่านี้ เรียกว่า ภวสังโยชน์ เพราะผูกพันหมู่
สัตว์ไว้ในภพนอ้ ยภพใหญ่ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๘/๔.

ปรติ ฺตเจต (จติ เป็นกามาวจร) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๐๙/๔๔๔. จิตเป็นกามาวจร ในทน่ี ้ีหมายถึงจิตฝุาย
อกศุ ล ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๐๙/๒๑.

ปริสา (บรษิ ทั ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๔. บรษิ ัท หมายถึงหมู่, คณะ, ท่ีประชุม ในท่ีน้ีหมายถึง
บรษิ ทั ๘ คอื ขัตตยิ บริษทั พราหมณบรษิ ัท คหบดีบริษัท สมณบรษิ ัท จาตุมหาราชบริษัท
ดาวดึงสบรษิ ทั (สวรรคช์ น้ั ที่ ๒ แห่งสวรรค์ ๖ ช้นั ) มารบริษัท พรหมบริษทั ม.มู.อ. (บาลี)
๑/๑๔๘/๓๔๘, ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๔๐๓/๒๙๗, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๑/๓๒.

ปรสิ ทุ ธฺ กายสมาจาร (มกี ายสมาจารบรสิ ทุ ธ์ิ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๑๗/๔๕๓. มีกายสมาจารบริสุทธ์ิ
หมายถงึ ภกิ ษุไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลกั ทรัพย์ ไม่ประพฤตผิ ดิ ในกาม ไม่ใช้ฝุามือ ก้อนดิน ท่อนไม้
หรอื ศสั ตราทบุ ตีเบียดเบียนผู้อืน่ หรือไม่เงอื้ มือหรือท่อนไม้ไล่กาท่ีกาลังดื่มน้าในหม้อน้า
หรอื จิกกินขา้ วสุกในบาตร ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๑๗/๒๒.

๑๕๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง

ปริสุทฺธมโนสมาจาร (มีมโนสมาจารบรสิ ทุ ธ์ิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๑๙/๔๕๔. มีมโนสมาจารบริสุทธิ์
หมายถงึ ภิกษไุ มม่ ีอภชิ ฌา ไม่มจี ิตพยาบาท ไมม่ ีความเห็นผิด ไม่ยินดที องและเงิน หรือไม่
ตรกึ ถึงกามวิตก พยาบาทวติ ก หรอื วหิ ิงสาวติ ก ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๑๙/๒๒.

ปริสุทฺธวจีสมาจาร (มีวจีสมาจารบริสุทธ์ิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๑๘/๔๕๓. มีวจีสมาจารบริสุทธิ์
หมายถงึ ภิกษไุ มพ่ ูดเทจ็ ไม่พดู คาหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่กล่าวหม่ินใครๆ หรือไม่กล่าว
ถากถางเยาะเยย้ ภกิ ษใุ ดๆ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๑๘/๒๒.

ปริสทุ ฺธาชวี (มีอาชวี ะบรสิ ทุ ธ์ิ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๒๐/๔๕๔. มอี าชวี ะบริสทุ ธ์ิ หมายถงึ ภิกษุไม่เลี้ยง
ชีพด้วยกรรมทีไ่ มส่ มควร เช่น การรักษาไข้ การให้น้ามันทาเท้า การหุงน้ามัน พูดเลียบ
เคยี งขอผอู้ ่ืน หรอื การสะสมปัญจโครสมีเนยใสเปน็ ตน้ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๒๐/๒๒๓-๒๒.

ปวิวิตตฺ (เป็นผไู้ มค่ ลุกคลี) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๔. เป็นผู้ไม่คลุกคลี หมายถึงไม่คลุกคลีด้วย
การคลุกคลี ๕ ประการ คือ การคลกุ คลดี ้วยการฟัง การคลกุ คลีดว้ ยการเห็น การคลุกคลี
ด้วยการสนทนาปราศรัย การคลุกคลีด้วยการอยู่ร่วมกัน การคลุกคลีทางกาย ม.มู.อ.
(บาล)ี ๒/๒๕๒/๕.

ปวิวิตฺต (เป็นผู้สันโดษ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๔. เป็นผู้สันโดษ หมายถึงความสันโดษ ๓
ประการ คอื ยถาลาภสันโดษ เป็นผสู้ นั โดษตามมีตามได้ท้ังดแี ละไมด่ ี ยถาพลสนั โดษ เป็น
ผู้สนั โดษตามกาลังทั้งกาลังของตนและของทายก ยถาสารุปปสันโดษ เป็นผู้สันโดษตาม
สมควรแก่สมณภาวะ สันโดษ ๓ ประการ ในปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคลิ านปัจจัยเภสัชบรขิ ารจงึ เป็นสันโดษ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๕๒/๔๘-๕.

ปวเิ วก (ปวเิ วก) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๑/๓๐. ปวิเวก หมายถึงอุปธิวิเวก คือสภาวะอันเป็นท่ีตั้งท่ีทรง
ไว้แห่งทุกข์ ได้แก่ กาม กิเลส เบญจขันธ์ และ อภิสังขาร กล่าวคือนิพพาน องฺ.ทุก.อ.
(บาล)ี ๒/๔๕/๕.

ปาปกากสุ ล (บาปอกศุ ลธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๖/๒๕. บาปอกุศลธรรม หมายถึงสภาวธรรมที่
เป็นอกุศล มี ๖ ประการ คอื ญาตวิ ติ ก ความตรึกถงึ ญาติ วิตก ความตรึกถึงบ้านตัวเอง
อมรวิตก ความตรึกทีม่ ที ิฏฐซิ ัดส่ายไมแ่ น่นอน ปรานทุ ทยตาปฏิสงั ยุตวิตก ความตรึกเรื่อง
อนุเคราะหผ์ อู้ น่ื ลาภสักการสโิ ลกปฏสิ งั ยุตวติ ก ความตรึกถึงลาภสักการะและสรรเสริญ
อนวิญญตั ปิ ฏสิ ังยตุ วิตก ความตรกึ เร่ืองเกรงผอู้ นื่ จะหม่นิ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๒๖/๙.

ปีติสุขฌาน (ฌานที่มีปีติและสุข) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๗๗/๑๗๗. ฌานท่ีมีปีติและสุข หมายถึง
ปฐมฌานและทุตยิ ฌาน ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๗/๓๘.

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๕๙

ปุถุชฺชน (ปุถุชน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒/๒. ปุถุชน หมายถึงคนที่ยังมีกิเลสหนา ที่เรียกเช่นนี้เพราะ
บคุ คลประเภทนี้ยงั มเี หตุกอ่ ให้เกดิ กิเลสอยา่ งหนานานปั การ ปุถุชนมี ๒ ประเภท คอื อนั ธ
ปุถุชน คนที่ไม่ไดร้ บั การศึกษาอบรมทางจติ กัลยาณปุถชุ น คนทไ่ี ด้รบั การศกึ ษาอบรมทาง
จิตแล้ว ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๒/๒๒, ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๗/๕๘-๕.

ปูรณกสฺสป (ปูรณะ กสั สปะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๑๒/๓๔๙. ปูรณะ กัสสปะ แยกอธิบายดังน้ี คาว่า
ปูรณะ เปน็ ช่อื ของเขา เหตุท่ีมีช่ืออย่างนั้นเพราะเขาเป็นทาสคนที่ครบร้อยพอดี คาว่า
กัสสปะ เป็นชือ่ โคตร รวมทงั้ ชอ่ื และโคตรเรียกว่า ปูรณกัสสปะ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๑/
๑๓๐, ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๑๒/๑๔.

ผคคฺ ุ (ผคั คุณฤกษ์) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๗๙/๖๘. ผคั คุณฤกษ์ หมายถงึ งานนักขัตฤกษ์ประจาเดือน ๔ ที่
พราหมณ์ถือวา่ ผ้ทู ี่ชาระหรืออาบน้าวันข้างขึ้น เดือน ๔ ได้ชื่อว่าชาระบาปที่ทามาแล้ว
ตลอดปไี ด้ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๗๙/๑๙.

พหิทธฺ กาย (กายภายนอก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๗/๑๐๓. กายภายนอก ในท่นี ้หี มายถึงลมหายใจเข้า
ออกของผ้อู ื่น ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๗๔/๓๗๙, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๐๗/๒๖.

พหิทฺธธมฺม (ธรรมภายนอก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๑๖/๑๑๔. ธรรมภายนอก หมายถึงขันธ์ ๕ ของ
ผอู้ ืน่ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๘๓/๓๙๘, ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๑๖/๓๐.

พหทิ ฺธเวทนา (เวทนาภายนอก) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๑๓/๑๑๐. เวทนาภายนอก หมายถึงสุขเวทนา
เป็นตน้ ของผ้อู น่ื ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๐/๓๙๐, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๑๓/๒๙.

พหุสฺสุต (พหสู ตู ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๓๓/๓๖๗. พหูสูต หมายถงึ ได้ศึกษาเล่าเรียนนวังคสัตถุศาสน์
(คาสอนของพระศาสดามอี งค์ มาครบถ้วนโดยบาลี และอนสุ นธิ

พชี คาม (พชื คาม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๙๓/๓๒๔. พืชคาม หมายถึงพืชพันธุ์จาพวกที่ถูกพรากจากท่ี
แลว้ ยงั สามารถงอกขึ้นได้อกี ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๙๓/๑๑๖, ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๗.

พทุ ฺธ (ตรสั ร)ู้ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๖๑/๓๙๙. ตรัสรู้ หมายถงึ ตรัสรู้อรยิ สัจ ๔ ประการ ม.มู.อ. (บาลี)
๒/๓๖๑/๑๘.

พุทฺธจกฺขุ (พุทธจกั ษุ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๓/๓๐๗. พุทธจักษุ หมายถึง อินทริยปโรปริยัตตญาณ
คือปรชี าหยัง่ รู้ความยง่ิ และความหยอ่ นแห่งอินทรยี ข์ องสตั วท์ ัง้ หลาย คอื รู้ว่าสตั ว์น้ัน ๆ มี
ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา แคไ่ หน เพยี งใด มกี ิเลสมาก กิเลสน้อย มีความพร้อมที่
จะตรสั รู้หรือไม่ อาสยานสุ ยญาณ คอื ปรีชาหย่ังรูอ้ ัธยาศยั ความมงุ่ หมาย สภาพจิตที่นอน
เน่อื งอยู่ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๘๓/๘๗, วิ.อ. (บาล)ี ๓/๙/๑.

๑๖๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง

พฺยาปาทวิตกฺก (พยาบาทวติ ก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๐๖/๒๑๘. พยาบาทวิตก หมายถึงความตรึกใน
เรือ่ งปองรา้ ยผูอ้ ื่น ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒๐๖/๔๐.

พฺรหมฺ กายกิ (เทพผนู้ บั เนอื่ งในหมพู่ รหม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๔๒/๔๗๙. เทพผู้นับเนื่องในหมู่พรหม
(เทพชัน้ พรหมกายิกา) หมายถึงเทวดาผู้เคยได้บรรลุฌาน มีฌานช้ันปฐมฌาน เป็นต้น
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๔๒/๒๔.

พฺรหมฺ จกฺก (พรหมจักร) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๔. พรหมจักร หมายถึงธรรมจักรอันประเสริฐ
ยอดเยี่ยม บริสทุ ธ์ิ มี ๒ ประการ คือ ปฏิเวธญาณ ได้แก่ ญาณระดับโลกุตตระ แสดงถึง
พระปญั ญาคณุ ของพระพทุ ธเจา้ เทสนาญาณ ไดแ้ ก่ ญาณระดบั โลกยิ ะ แสดงถึงพระมหา
กรณุ าคุณของพระพุทธเจ้า ญาณทั้ง ๒ นีช้ ่ือว่าโอรสญาณ (ญาณส่วนพระองค์) มีเฉพาะ
พระพทุ ธเจา้ ทั้งหลายเท่านน้ั ไม่มแี กค่ นทว่ั ไป ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๔๘/๓๔๘, องฺ.ทสก.อ.
(บาล)ี ๓/๒๑/๓๒.

พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๕๕/๑๕๗. พรหมจรรย์ หมายถึงความประพฤติ
ประเสริฐ มีนยั ๑๒ ประการ คอื ทาน การให้ ไวยาวัจจะ การขวนขวายช่วยเหลือ ปัญจ
สิกขาบท ศีลห้า พรหมวิหาร การประพฤติพรหมวหิ าร ธรรมเทศนา เมถุนวิรตั ิ การงดเว้น
จากการเสพเมถนุ สทารสันโดษ ความยินดเี ฉพาะค่คู รองของตน อุโปสถังคะ องค์อุโบสถ
อริยมรรค ทางอันประเสริฐ ศาสนาทร่ี วมไตรสกิ ขา อธั ยาศัย วริ ิยะ ความเพียร แต่ในท่ีนี้
หมายถงึ วิรยิ ะ เหตทุ ต่ี รัสพรหมจรรย์น้ี เพราะสุนักขตั ตะโอรสเจ้าลิจฉวีเป็นผู้มีความเช่ือ
ว่า บุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยการประพฤติทุกกรกิริยา ทรงมุ่งขจัดความเช่ือน้ัน ม.มู.อ.
(บาล)ี ๑/๑๕๕/๓๖๒-๓๖.

พฺรหฺมส าน (พรหมสถาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๐๑/๕๓๗. พรหมสถาน หมายถึงพกพรหมมี
ความเห็นวา่ พรหมสถานพร้อมทงั้ รา่ งกายเป็นภาวะท่ีเทยี่ ง ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๕๐๑/๓๑.

ภชติ พพฺ ธมมฺ (ธรรมท่คี วรคบ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๗๔/๕๑๕. ธรรมท่คี วรคบ ในที่น้ีหมายถึงธรรมที่
บาเพ็ญมที านเป็นต้น ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๗๔/๒๘๓, ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๒/๔๗๔/๓๕.

ภวทิฏฺ (ภวทฏิ ฐิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๒/๑๓๖. ภวทิฏฐิ หมายถึงสัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๔๒/๓๓.

ภวาสว (ภวาสวะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๗/๑๙. ภวาสวะ หมายถงึ ความกาหนดั ด้วยอานาจความพอใจ
ในรปู ภพและอรปู ภพ ความติดใจในฌานท่สี หรคตด้วยสสั สตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ รวมทั้ง
ทิฏฐาสวะ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๗/๗.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๖๑

ภูต (ภตู ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓/๔. ภตู หมายถงึ ขันธ์ ๕ อมนุษย์ ธาตุ สิ่งที่มีอยู่ พระขีณาสพ สัตว์ และ
ต้นไม้เป็นต้น แตใ่ นทีน่ ห้ี มายถึงสตั ว์ ทง้ั หลายผ้อู ย่ตู ่ากว่าชั้นจาตุมหาราช ม.มู.อ. (บาลี)
๑/๓/๓.

ภตู คาม (ภตู คาม) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๙๓/๓๒๔. ภูตคาม หมายถึงของเขียว หรือพืชพันธุ์อันเกิดอยู่
กบั ท่ีมี ๕ ชนิด คอื ที่เกิดจากเหงา้ เชน่ กระชาย, เกิดจากต้น เช่น โพ, เกิดจากตา เช่น
ออ้ ย, เกดิ จากยอด เชน่ ผักชี, เกดิ จากเมล็ด เช่น ข้าว ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๙๓/๑๑๖, ที.
สี.อ. (บาลี) ๑/๑๑/๗.

มกฺขลิโคสาล (มักขลิ โคสาล) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๑๒/๓๔๙. มักขลิ โคสาล แยกอธิบายดังนี้ คาว่า
มักขลิ เปน็ ชอื่ ท่ี ๑ ของเขา เหตุท่ีมชี ื่ออย่างน้นั เพราะเขาเป็นคนถือ หม้อน้ามันเดินตาม
ทางทีม่ เี ปือกตม มักจะได้รับคาเตือนจากนายวา่ มา ขลิ (อยา่ ลื่นนะ) คาว่า โคสาล เป็นช่ือ
ที่ ๒ เพราะเขาเกิดในโรงโค ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๕๒/๑๓๑, ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๓๑๒/๑๔.

มณฑฺ น (ประดับ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓/๒๓. ประดับ ในท่ีนี้หมายถึงเพื่อให้ร่างกายอ้วนพี อวบอิ่ม
เหมอื นหญงิ แพศยา ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๓/๒๑๑, องฺ.ฉกฺก.ฏีกา (บาลี) ๓/๕๘/๑๕๕,
วสิ ุทธฺ ิ. (บาลี) ๑/๑๘/๓.

มตช (อาวธุ ทชี่ อ่ื มตชะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๓๖/๔๖๕. อาวุธที่ช่ือมตชะ หมายถึงอาวุธท่ีทาจากผง
ตะไบเหล็กกล้าซ่ึงช่างเหลก็ คลกุ เนอ้ื ให้นกกระเรียนกินแล้วถ่าย ไม่ได้ตายเองหรือฆ่าให้
ตายแล้วนาผงน้ันมาลา้ งนา้ คลุกเนอื้ ให้นกกระเรียนอน่ื ๆ กินอกี ทาอย่างน้ีจนครบ ๗ ครั้ง
ชอื่ วา่ มตชะ เพราะเกดิ จากนกทีต่ ายแลว้ อาวุธน้ันเป็นอาวุธคมกล้าย่ิงนัก ม.มู.อ. (บาลี)
๒/๔๓๖/๒๓.

มนสิการ (มนสกิ าร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๕๘/๓๙๔. มนสิการ ในทนี่ ี้หมายถึงการพิจารณาไตร่ตรอง
แล้วทรงจาไวใ้ นใจ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๓๕๘/๑๘.

มนสุ สฺ ธมฺม (ธรรมของมนษุ ย์) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๖/๑๔๑. ธรรมของมนุษย์ ในท่ีนี้หมายถึงกุศล
กรรมบถ ๑๐ ประการ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๔๖/๓๔๒, อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๔๕/๕.

มโนวญิ ฺ าณ (มโนวิญญาณ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๑/๔๙๐. มโนวญิ ญาณ ในที่นีห้ มายถงึ จติ ในฌาน
ที่ ๔ อนั เปน็ ไปในรูปาวจรภมู ิ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๕๑/๒๕.

มหคคฺ ต (มหัคคตะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๘/๖๐. มหัคคตะ หมายถึงอารมณ์ท่ีถึงความเป็นใหญ่ช้ัน
รปู าวจรและชัน้ อรูปาวจร เพราะมีผลที่สามารถข่มกเิ ลสได้ และหมายถึงฉันทะ วิริยะ จิต
ตะ และปญั ญาอนั ยิ่งใหญ่ อภิ.สงฺ.อ. (บาล)ี ๑๒/๙.

๑๖๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

มหาชานยิ (มีความเส่ือมจากคณุ อนั ย่ิงใหญ่) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๔/๓๐๙. มีความเส่ือมจากคุณ
อันยิง่ ใหญ่ หมายถงึ มีความเสอ่ื มมาก เพราะเสื่อมจากมรรคและผลที่จะพึงบรรลุ เพราะ
เกดิ ในอกั ขณะ คือ อาฬารดาบสตายไปเกิดในอากิญจัญญายตนภพ ส่วนอุทกดาบสตายไป
เกิดในเนวสญั ญานาสัญญายตนภพ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๘๔/๙๔, ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๐/๑.

มหาวิกฏโภชน (โภชนมหาวกิ ัฏ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๕๖/๑๖๐. โภชนมหาวิกัฏ หมายถึงอาหารที่
สกปรก ไม่สะอาด คือผิดปกติอย่างมาก ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๖/๓๖๘, ม.มู.ฏีกา (บาล)ี ๒/
๑๕๖/๔.

มารเธยยฺ (ธรรมอันเป็นที่อยู่แห่งมาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๕๐/๓๘๔. ธรรมอันเป็นท่ีอยู่แห่งมาร
หมายถงึ ธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๕๐/๑๗. อกี นัยหน่ึง หมายถึง มาร ๕
จาพวก คอื กเิ ลสมาร ขันธมาร อภิสงั ขารมาร เทวปตุ ตมาร มัจจมุ าร ม.ม.ู ฏีกา (บาลี) ๒/
๓๕๐/๒๔.

มุต (อารมณท์ ่ตี นทราบ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๕/๗. อารมณ์ท่ตี นทราบ หมายถึงอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว
และรู้แล้วจงึ รับเอา คือ เข้าไปกระทบรับเอา มีคาอธิบายว่า ท่ีตนรู้แจ้งแล้วเพราะการ
กระทบกนั ระหวา่ งอนิ ทรีย์กับอารมณ์ทั้งหลาย คานี้เป็นช่ือแห่งคันธายตนะ รสายตนะ
และโผฏฐพั พายตนะ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๕/๔.

มทุ ธฺ าวสิตตฺ (มูรธาภิเษก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๕๗/๓๙๓. มูรธาภิเษก ในที่น้ีหมายถึงพิธีหล่ังน้ารด
พระเศียรในการพระราชพิธรี าชาภเิ ษก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕
หน้า ๖๕.

เมตฺตากายกมฺม (เมตตากายกรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๙๒/๕๓๑. เมตตากายกรรม หมายถึง
กายกรรมท่พี งึ ทาด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ก็มี
อรรถาธบิ ายเช่นเดียวกันนี้ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๙๒/๓๐๒, องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๑๑/๙.

เมถุน (เมถุนธรรม) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๙๒/๓๒๓. เมถุนธรรม หมายถึงการร่วมประเวณี การร่วม
สังวาส กลา่ วคือการเสพอสัทธรรมอนั เป็นประเวณี ของชาวบ้านมีน้าเป็นที่สุด เป็นกิจที่
จะตอ้ งทาในท่ลี บั เปน็ การกระทาของคนทเี่ ป็นคู่ ๆ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔๒-๔.

โยนโิ สมนสิการ (โยนโิ สมนสกิ าร) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕/๑๘. โยนโิ สมนสกิ าร หมายถงึ การทาไว้ในใจ
โดยถูกอบุ าย โดยถกู ทาง กลา่ วคอื การนกึ การนอ้ มนกึ การผูกใจ การใฝุใจ การทาไวใ้ นใจ
ในสงิ่ ท่ไี ม่เท่ยี งว่าไมเ่ ทย่ี ง ในสิ่งทเี่ ปน็ ทุกขว์ ่าเป็นทุกข์ ในสิ่งท่ีเป็นอนัตตาว่าเป็น อนัตตา
หรอื โดยสัจจานโุ ลมิกญาณ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕/๗.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๖๓

รชาปถ (เปน็ ทางแหง่ ธลุ ี) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๗๑/๔๐๕. เป็นทางแห่งธุลี เพราะเป็นท่ีเกิดและเป็น
ทตี่ ัง้ แห่งกเิ ลสอันทาจติ ให้เศรา้ หมอง เช่น ราคะ เป็นต้น ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๑/๑๖.

รตฺติ (ราตร)ี ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๔๙/๒๖๗. ราตรี ในท่ีน้ีหมายถึงปฐมยาม ความน้ีมีความหมายว่า
เม่ือสน้ิ ปฐมยามกาลงั อยู่ในชว่ งมัชฌมิ ยาม เทวดากป็ รากฏ ข.ุ ข.ุ อ. (บาล)ี ๙.

รุกขฺ เทวตา (รุกขเทวดา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๙/๕๑๐. รุกขเทวดา หมายถึงเทวดาผู้สถิตอยู่ที่ต้น
สะเดาเป็นตน้ ซงึ่ เขารักษาไว้อยา่ งดี ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๖๙/๒๗.

รุกขฺ ผลูปม (เปรียบเหมือนผลไม้คาต้น) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๕/๒๔๗. เปรียบเหมือนผลไม้คาต้น
หมายถงึ กามท้งั หลาย เปรยี บเหมือนผลไม้มีพษิ เพราะบน่ั ทอนรา่ งกาย ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๒๓๔/๑. อกี นัยหน่งึ คนท่ีต้องการผลไม้ เที่ยวแสวงหาผลไม้ เม่ือพบตน้ ไม้ผลดกจึงปีนขึ้น
ไปเก็บกิน เกบ็ ใสห่ อ่ อีกคนหนงึ่ ก็ต้องการผลไมเ้ ช่นกัน เทย่ี วแสวงหา พบเห็นต้นไม้ผลดก
ตน้ เดยี วกันน้นั แต่แทนท่จี ะปนี ข้ึนไป เก็บผลไม้กิน กลับเอาขวานตัดต้นไม้ผลดกนั้นใน
ขณะที่คนแรกยงั อยบู่ นตน้ ไม้ อันตรายจึงเกดิ ขึน้ แกเ่ ขา ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๘/๔๕-๔.

โลก (โลกธาต)ุ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๓๕/๓๖๘. โลกธาตุ ในที่น้ีหมายถึงโลกธาตุขนาดเล็กที่เรียกว่า
สหสั สโี ลกธาตุ ประกอบด้วยจักรวาล ๑,๐๐๐ จกั รวาล ๑,๐๐๐ โลกธาตุ = ๑,๐๐๐,๐๐๐
จักรวาล (๑,๐๐๐ โลกธาตุ x ๑,๐๐๐ จักรวาล) ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๓๕/๑๖๑, องฺ.ติก.อ.
(บาลี) ๒/๘๑/๒๓. ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๘/๑๑, อง.ฺ ตกิ . (ไทย) ๒๐/๘๑/๓๒๕.

โลกวาท (โลกวาทะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๘๑/๗๐. โลกวาทะ หมายถงึ มจิ ฉาทิฏฐิท่ีปรารภโลก เช่น เห็น
ว่า อัตตาและโลกเทยี่ งเป็นต้น ( ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๘๑/๑๙.

วจีสงฺขาร (วจีสังขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๓/๕๐๓. วจีสังขาร หมายถึงสภาพปรุงแต่งการกระทา
ทางวาจา ไดแ้ ก่ วติ กและวิจาร หรอื วจีสญั เจตนา คอื ความจงใจทางวาจา ม.มู.อ. (บาลี)
๒/๔๖๓/๒๗๒, อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๒๓/๑๐.

วชริ ปาณียกฺข (ยกั ษว์ ชิรปาณี) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๕๗/๓๙๔. ยกั ษว์ ชริ ปาณี ในทีน่ ้ีหมายถึงท้าวสักก
เทวราช ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๓๕๗/๑๘.

วตโกตหู ลมงคฺ ล (การตื่นลัทธิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๗/๔๔๓. การตื่นลัทธิ หมายถึงความยึดม่ัน
ความเหน็ ของตนว่า นีจ้ ริง อย่างอืน่ ไมจ่ รงิ การถอื มงคล หมายถึงการยึดถือรูปหรือเสียง
เป็นตน้ วา่ เป็นมงคล ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๐๗/๒๑๖-๒๑๗, ม.ม.ู ฏีกา (บาล)ี ๒/๔๐๗/๒๗.

วตฺต (ขอ้ วตั ร) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๐๗/๔๔๓. ข้อวัตร ในท่ีนี้หมายถึงวัตรเป็นคนใบ้ วัตรเย่ียงช้าง
วตั รเยย่ี งมา้ วัตรเยีย่ งโค เป็นตน้ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๒๗/๑๑.

๑๖๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

วนกมฺมกิ (คนทางานในปุา) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๖/๑๖๐. คนทางานในปุา หมายถึงคนหาฟืน ราก
ไม้ และผลไม้ในปุาเปน็ ตน้ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๖/๓๖.

วนเทวตา (วนเทวดา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๙/๕๑๐. วนเทวดา หมายถึงเทวดาผู้สถิตอยู่ในปุาอันธ
วันและปุาสุภควนั เป็นตน้ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๖๙/๒๗.

วาท (วาทะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๘/๓๑๘. วาทะ ในที่น้ีหมายถึงการกล่าวโทษ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๒๘๙/๑๐.

วกิ าลโภชน (ฉันในเวลาวิกาล) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๙๓/๓๒๔. ฉันในเวลาวิกาล คือเวลาที่ห้ามไว้
เฉพาะแต่ละเร่ือง เวลาวิกาลในที่นี้หมายถึงผิดเวลาท่ีกาหนดไว้ คือตั้งแต่หลังเท่ียงวัน
จนถึงเวลาอรุณขน้ึ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๙๓/๑๑๖, ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๐/๗.

วิชติ สงคฺ าม (ผูช้ นะสงคราม) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๘๒/๓๐๗. ผู้ชนะสงคราม หมายถึงชนะเทวปุตต
มาร มจั จุมาร และกเิ ลสมาร ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๘๒/๘.

วิญฺ าณ (วิญญาณ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๔๙/๔๘๙. วิญญาณ ในท่ีน้ีหมายถึงวิปัสสนาวิญญาณ
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๑/๒๕.

วิญฺ าณ (วญิ ญาณ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๗/๔๙๕. วิญญาณ หมายถึงจิต ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๕๗/
๒๕.

วญิ ฺ าต (อารมณ์ท่ตี นรู้แจง้ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕/๘. อารมณท์ ี่ตนรู้แจ้ง หมายถึงอารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง
ทางใจ คานเ้ี ปน็ ชอ่ื แห่งอายตนะที่เหลอื อกี อยา่ งหนึง่ เป็นชื่อ แหง่ ธรรมารมณ์ แต่ในที่นี้ได้
เฉพาะอารมณ์ที่นับเนอ่ื งในกายของตน ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๕/๔.

วติ กฺกสงฺขารสณฺ าน (วิตักกสังขารสัณฐาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๑๙/๒๒๙. วิตักกสังขารสัณฐาน
หมายถึงท่ตี ้ังแห่งเหตุของวติ ก ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒๑๙/๔๒.

วินิปาต (วินบิ าต) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๘/๖๑. ทช่ี ือ่ ว่าวินิบาต เพราะเป็นสถานท่ีตกไปของหมู่สัตว์ท่ี
ทาความช่ัว ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๕๓/๓๕.

วิปสฺสนา (วิปัสสนา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๔/๕๖. วิปัสสนา หมายถึงอนุปัสสนา ๗ ประการ คือ
อนิจจานุปัสสนา (พจิ ารณาเหน็ ความไม่เทย่ี ง) ทุกขานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความเป็น
ทุกข์) อนตั ตานุปสั สนา (พจิ ารณาเห็นความไม่มีตวั ตน) นิพพิทานุปัสสนา (พิจารณาเห็น
ความนา่ เบอื่ หนา่ ย) วิราคานปุ ัสสนา (พิจารณาเหน็ ความ คายกาหนัด) นิโรธานุปัสสนา

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๖๕

(พจิ ารณาเห็นความดบั กเิ ลส) ปฏินิสสัคคานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความสลัดท้ิงกิเลส)
ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๖.

วิปสฺสนานุคฺคหิต (มีวิปัสสนาสนับสนุน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๒/๔๙๒. มีวิปัสสนาสนับสนุน
หมายถึงอนุปัสสนา ๗ ประการ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๒/๒๕.

วิภวทฏิ (วิภวทฏิ ฐิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๒/๑๓๖. วิภวทิฏฐิ หมายถงึ อจุ เฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาด
สูญ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๔๒/๓๓.

วิภสู น (ตกแต่ง) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓/๒๓. ตกแตง่ ในท่นี ห้ี มายถงึ เพ่อื ประเทืองผิวให้งดงาม เหมือน
หญิงนักฟอู น มุ่งถึงความมีผิวพรรณงาม ม.มู. ฏีกา (บาลี) ๑/๒๓/๒๑๑, องฺ.ฉกฺก.ฏีกา
(บาลี) ๓/๕๘/๑๕๕, วสิ ุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๑๘/๓.

วิราค (วิราคะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๔/๔๓๗. วิราคะ ในท่นี ี้หมายถงึ มรรค ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๐๔/
๒๑๖, วิ.อ. (บาลี) ๓/๑.

วิโรธ (ความยินรา้ ย) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๙/๔๔๕. ความยินร้าย หมายถึงโทสะ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๔๐๙/๒๑.

ววิ ฏฺฏกปปฺ (ววิ ัฏฏกปั ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๓/๔๒. ววิ ฏั ฏกัป หมายถงึ กปั ฝาุ ยเจรญิ คือช่วงระยะเวลา
ท่โี ลกกาลงั ฟ้ืนข้นึ มาใหม่ ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๑๒/๑๕.

วเิ วก (วิเวก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑/๒๙. วเิ วก (ความสงดั ) ในทน่ี ีห้ มายถึงวเิ วก ๓ ประการ คือ กาย
วิเวก สงดั กาย จิตตวิเวก สงดั จติ อปุ ธิวิเวก สงดั กเิ ลส ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๓๑/๑๐.

วิเวก (วเิ วก) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๔/๓๔. วิเวก ในทีน่ ้หี มายถึงกายวเิ วก (สงดั กาย) ม.มู.อ. (บาลี) ๑/
๓๔/๑๒๒, องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๙๙/๓๗.

วเิ วกนสิ ฺสิต (อาศัยวิเวก) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๗/๒๕. อาศัยวิเวก ในทีน่ ี้หมายถึงวิเวก ๕ ประการ คือ
วกิ ขมั ภนวเิ วก (ความสงดั ด้วยการข่มไว)้ ตทงั ควเิ วก (ความสงัดด้วยองค์น้ัน ๆ) สมุจเฉท
วิเวก (ความสงดั ด้วยการตัดขาด) ปัสสัทธิวิเวก (ความสงัดด้วยการสงบระงับ) นิสสรณ
วเิ วก (ความสงดั ด้วยการสลดั ออกได้) ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๒๗/๙.

วิสมจรยิ า (ความประพฤติไมส่ มา่ เสมอ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๓๙/๔๗๒. ความประพฤติไม่สม่าเสมอ
คอื ความประพฤตอิ ธรรม (อธัมมจรยิ า) หมายถึงอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ องฺ.ทสก.อ.
(บาลี) ๓/๔๗/๓๔. วสิ มจริยา + อธัมมจริยา = กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ

๑๖๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

วิหาร (วิหารธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๗๙/๔๑๔. วิหารธรรม ในท่นี ีห้ มายถงึ สมาบัติ ๘ กล่าวคือ รูป
ฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อนั เปน็ โลกิยะ องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๑/๕๓๓-๕๓.

วหิ ารสมาปตฺติ (วิหารสมาบตั ิ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๓๘/๓๗๐. วหิ ารสมาบัติ ในท่ีนี้หมายถึงสมาบัติ
เป็นเครอ่ื งอยู่อันเป็นโลกยิ ะหรอื เปน็ โลกุตตระ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๓๓๘/๑๖.

วหิ ึสาวติ กฺก (วหิ ิงสาวติ ก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๐๖/๒๑๘. วิหิงสาวิตก หมายถึงความตรึกในเร่ือง
เบยี ดเบยี นผูอ้ ่ืน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒๐๖/๔๐.

วตี มิ สิ สฺ (เจือกนั ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๘๘/๕๒๖. เจือกัน หมายถึงเป็นสิ่งผสมกัน กล่าวคือบางครั้ง
เป็นธรรมดา บางคราวเปน็ ธรรมขาว ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๘๘/๒๘.

วมี สก (ผตู้ รวจสอบ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๘๗/๕๒๕. ผู้ตรวจสอบ มี ๓ จาพวก คือ อัตถวีมังสกะ
หมายถึงผพู้ จิ ารณาประโยชนต์ นและประโยชนผ์ ู้อ่ืน สังขารวีมังสกะ หมายถึงผู้พิจารณา
สงั ขารธรรม โดยลกั ษณะของธรรมน่ัน โดยสามัญญลักษณะ และโดยวิภาคธรรม สัตถุ
วมี ังสกะ หมายถึงผพู้ จิ ารณาตรวจสอบพระศาสดา เช่น พจิ ารณาวา่ ขน้ึ ชื่อว่า ศาสดาต้อง
มีคณุ เช่นน้ี ๆ ในสตู รน้ี หมายเอาสัตถุวีมังสกะ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๘๗/๒๘๖, ม.มู.ฏีกา
(บาล)ี ๒/๔๘๗/๓๖.

วสุ ติ พฺรหฺมจริย (อยจู่ บพรหมจรรย์แลว้ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๔/๔๓. อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว หมายถึง
กิจแห่งการปฏิบัติเพื่อทาลายอาสวกิเลส จบส้ินสมบูรณ์แล้ว ไม่มีกิจ ที่จะต้องทาเพ่ือ
ตนเอง แตย่ ังมหี นา้ ทเ่ี พ่อื ผอู้ นื่ อยู่ ผูบ้ รรลุถงึ ขน้ั น้ีได้ ชื่อว่าอเสขบุคคล ม.มู.อ. (บาลี) ๑/
๕๔/๑๓๘, ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๘/๒๐.

วุสติ พฺรหมฺ จรยิ (อยจู่ บพรหมจรรย์แลว้ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘/๑๑. อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว หมายถึง
อยจู่ บธรรมเปน็ เครือ่ งอยรู่ ่วมกบั ครูบา้ ง ธรรมเป็นเคร่ืองอยู่ร่วมคือ อริยมรรคบ้าง ธรรม
เป็นเครือ่ งอยูข่ องพระอริยะ ๑๐ ประการบา้ ง ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๘/๔.

เวทนียธมฺม (เวทนยี ธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๗/๔๙๕. เวทนยี ธรรม หมายถึงเวทนาธรรม ม.มู.อ.
(บาลี) (บาลี ๒/๔๕๗/๒๕.

เวทลฺล (เวทลั ละ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. เวทลั ละ ได้แก่ พระสูตรแบบถาม-ตอบ ซ่ึงผู้ถามได้
ทั้งความรู้และความพอใจ เชน่ จูฬเวทัลลสตู ร มหาเวทัลลสตู ร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญห
สูตร สังขารภาชนยี สูตร และมหาปุณณมสตู ร ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๓๘/๑.

เวยยฺ ากรณ (เวยยากรณะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. เวยยากรณะ ได้แก่ พระอภิธรรมปิฎก
ทั้งหมด พระสูตรท่ไี ม่มคี าถา และพทุ ธพจน์อนื่ ทไี่ ม่จัดเข้าใน องค์ ๘ ทีเ่ หลือ

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๖๗

โวทาน (ความผ่องแผ้ว) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๖. ความผ่องแผ้ว หมายถึงธรรมฝุายเจริญ
ไดแ้ ก่ การสงัดจากกาม การระงับวิตกวิจาร การจางคลายไปแหง่ ปีตเิ ป็นตน้ ซ่งึ เป็นคุณค่า
ต่อการเจริญฌานให้ย่ิงข้ึนไปของผู้ท่ีมีฌานคล่องแคล่ว ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๔๘/๓๕๑,
อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๑/๓๒๙, องฺ.ทสก.ฏกี า (บาลี) ๓/๒๑/๓๙. องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/
๔๑/๕๓๓-๕๔๐.

สกิเลส (ความเศรา้ หมอง) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๖. ความเศร้าหมอง หมายถึงธรรมฝุายเสื่อม
ได้แก่ กาม วติ ก วจิ าร และปีติ เป็นต้น ทเี่ ปน็ อปุ สรรคตอ่ การเจริญฌานตามลาดับขัน้ ของ
ผ้ทู มี่ ีฌานยังไม่คลอ่ งแคลว่ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๔๘/๓๕๑, อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๑/๓๒๙,
องฺ.ทสก.ฏีกา (บาล)ี ๓/๒๑/๓๙. องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๑/๕๓๓-๕๔๐.

สกฺกาย (สักกายะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖/๙. สักกายะ หมายถึงอุปาทานขันธ์ ๕ (คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วญิ ญาณ) ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๕/๑๘๖, ข.ุ ม.อ. (บาลี) ๑๓/๑๖.

สงฺฆาฏิ (ผา้ ซ้อน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๓๗/๔๖๕. ผ้าซ้อน หมายถึงผ้าท่ีใช้ผ้าเก่าฉีกเป็นชิ้น ๆ เย็บ
ซอ้ นกนั ใช้เป็นผา้ นุ่งและห่ม เปน็ ข้อวตั รของลัทธินอกศาสนา มิได้หมายถึงสังฆาฏิที่เป็น
เครอื่ งบรขิ ารของภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๓๗/๒๓๓, ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๒/
๔๓๗/๒๙.

สงฺกสุ มาหต (สังกสุ มาหตนรก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๑๒/๕๕๐. สังกุสมาหตนรก หมายถึงนรกท่ีสัตว์
นรกตอ้ งถกู แทงด้วยขอเหล็ก ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๕๑๒/๓๒.

สงฺขต (สงั ขตธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๒/๕๐๒. สังขตธรรม หมายถงึ ธรรมทม่ี ีปจั จัยปรงุ แตง่ ไดแ้ ก่
ขันธ์ ๕ อภิ.สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๑๐๘๙/๓๐.

สญชฺ ยเวลฏฺ ปุตฺต (สัญชัย เวลัฏฐบุตร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑๒/๓๔๙. สัญชัย เวลัฏฐบุตร แยก
อธบิ ายดังนี้ คาว่า สัญชยั เปน็ ช่ือของเขา คาวา่ เวลฏั ฐบุตร เป็นช่ือที่ ๒ เพราะเป็นบุตร
ของช่างสาน ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๕๕/๑๓๒, ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๓๑๒/๑๔.

สญฺ าคต (สัญญา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๗๘/๖๗. สัญญา ในที่น้ีหมายถึงพรหมวิหารสัญญา ม.มู.อ.
(บาลี) ๑/๗๘/๑๘.

สติ (มีสติ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๖๑/๑๖๔. ที่ชื่อว่ามสี ติ เพราะสามารถเล่าเรียนต้ัง ๑๐๐ บท ๑,๐๐๐
บท ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๖๑/๓๗.

๑๖๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

สตปิ ฏฺ าน (สติปัฏฐาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๖/๑๐๑. สติปัฏฐาน แปลว่า ธรรมเป็นท่ีตั้งแห่งสติ
หรือการปฏบิ ัติมีสติเปน็ ประธาน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๓/๓๖๘, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๐๖/
๒๕๓, อภ.ิ วิ.(ไทย) ๓๕/๓๕๕-๓๘๙/๓๒๓-๓๔.

สติสมฺโพชฺฌงฺค (สตสิ ัมโพชฌงค์) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๗/๒๕. สติสัมโพชฌงค์ หมายถึงธรรมท่ีเป็น
องคแ์ ห่งการตรัสรู้ มี ๗ ประการ คอื สติ ความระลกึ ได้ ธัมมวิจยะ ความเลือกเฟูนธรรม
วิริยะ ความเพยี ร ปตี ิ ความอ่มิ ใจ ปัสสทั ธิ ความสงบ กายสงบใจ สมาธิ ความมีใจต้ังมั่น
อเุ บกขา ความมใี จเป็นกลางเพราะเห็นตามเป็นจริง แต่ละข้อมีสัมโพชฌงค์ต่อท้ายเช่น
สตสิ ัมโพชฌงค์ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๑,๓๕๗/๓๙๗-๓๙๘, อภ.ิ วิ.(ไทย) ๓๕/๔๖๘/
๓๘๒, ม.ม,ู อ. (บาลี) ๑/๒๗/๙๑-๙.

สตฺถวาห (ผ้นู าหมู่) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๘๒/๓๐๗. ผ้นู าหมู่ หมายถึงสามารถนาสตั ว์ข้ามท่ีกันดารคือ
ชาติ (ความเกดิ ) และสามารถเปน็ ผูน้ าของหมสู่ ตั ว์คือ เวไนยสตั ว์ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๘๒/
๘.

สทธฺ านสุ ารี (สทั ธานสุ ารี) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๔๘/๒๖๖. สัทธานุสารี หมายถึงผู้แล่นไปตามศรัทธา
ท่านผู้ปฏิบัตเิ พื่อบรรลุโสดาปัตติผล มีศรัทธาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๔๘/๒๖-๗, อง.ฺ ทุก.อ. (บาลี) ๒/๔๙/๕๕,องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/
๑๖.

สทธฺ านสุ ารี (สทั ธานสุ ารี) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๕๒/๓๘๗. สทั ธานุสารี หมายถึงผู้แล่นไปตามศรัทธา
ท่านผปู้ ฏิบัติเพอ่ื บรรลุโสดาปัตติผลมีสัทธาแก่กล้า บรรลุ ผลแล้ว กลายเป็นสัทธาวิมุต
(ผู้หลุดพน้ ดว้ ยศรัทธา) เรียกว่า มัคคสมังคีบุคคลช้ันต้น (ปฐมมัคคสมังคี) หรือ ผู้พรั่ง
พรอ้ มดว้ ยโสดาปัตตมิ รรค อง.ฺ ทุก.อ. (บาล)ี ๒/๔๙/๕๕, อง.ฺ สตตฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๒,
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๓๕๒/๑๗.

สนตฺ (สงบ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๖๑/๓๙๙. สงบ หมายถงึ สงบระงบั กเิ ลสทั้งปวงได้ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๓๖๑/๑๘.

สปปฺ ฏิปุคคฺ ล (บุคคลผเู้ สมอกัน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๐/๔๙. บุคคลผู้เสมอกัน หมายถึงภิกษุผู้ต้อง
อาบตั ิโจทภกิ ษผุ ตู้ อ้ งอาบตั ิข้อเดียวกนั ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๐/๑๕.

สปฺปุริส (สัตบุรุษ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒/๒. สัตบุรุษ โดยทั่วไป หมายถึงคนกตัญญูกตเวที เป็น
นักปราชญ์ เป็นกัลยาณมิตร เป็นผู้มีความภักดีม่ันคง กระทาการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๖๙

ยากดว้ ยความเต็มใจ แตใ่ นทน่ี ี้ หมายถงึ พระพทุ ธเจา้ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธ
สาวก ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๗๘-๗๙/๖๖๖, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒/๒.

สพพฺ ภูมิ (ภมู ิท้ังปวง) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๕. ภูมิทั้งปวง ในท่ีน้ีหมายถึงคติท่ีควรไป (คติ)
และคตทิ ่ีไม่ควรไป (อคติ) ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๔๘/๓๕๐, องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๒๑/๓๒.

สพพฺ ธมมฺ (ธรรมทัง้ ปวง) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๙๐/๔๒๑. ธรรมทั้งปวง หมายถึงขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒
และธาตุ ๑๘ เปน็ ธรรมทีไ่ ม่ควรยึดม่ันด้วยอานาจตัณหา และทิฏฐิ เพราะเป็นภาวะไม่
ดารงอยูโ่ ดยอาการทบ่ี คุ คลจะยึดถอื ได้ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๓๙๐/๒๐๕-๒๐.

สพพฺ ธมมฺ มูลปริยาย (มลู เหตแุ หง่ ธรรมทั้งปวง) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑/๑. มูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวงมี
อธิบายเฉพาะคาดังน้ี คาว่า มูล ในท่ีน้ีหมายถึงเหตุที่ไม่ท่ัวไป คาว่า เหตุ (ปริยาย)
หมายถงึ เทศนา เหตุ และวาระ แต่ในที่นี้หมายถึงเหตุหรือเทศนา คาว่า ธรรมท้ังปวง
หมายถงึ ปรยิ ตั ิ อรยิ สจั สมาธิ ปญั ญา ปกติ สภาวะ สุญญตา ปุญญะ อาบัติ และเญยยะ
เปน็ ตน้ แต่ในทนี่ หี้ มายถงึ สภาวะ ดังน้ันคาวา่ มลู เหตุแห่งธรรมทั้งปวง จงึ หมายถงึ เทศนา
ว่าดว้ ยเหตุให้เกดิ สภาวะท้งั ปวง ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๘-๑.

สพฺพนิมติ ตฺ (นมิ ติ ทงั้ ปวง) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๘/๔๙๖. นิมิตท้ังปวง ในท่ีนี้หมายถึงอารมณ์มีรูป
เป็นตน้ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๘/๒๖.

สพพฺ ปุ าทนปริญฺ าวาท (ปฏิญญาลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๓/๑๓๗.
ปฏิญญาลทั ธวิ า่ รอบรู้อุปาทานทกุ อย่าง หมายถงึ ปฏิญญาว่า เราทง้ั หมดกล่าวความรอบรู้
คอื ความ ขา้ มพ้นอปุ าทานท้งั สิน้ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๔๓/๓๓.

สมถานุคคฺ หติ (มีสมถะสนบั สนนุ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๒/๔๙๒. มสี มถะสนับสนุน หมายถึงสมาบัติ
ทเี่ ปน็ พื้นฐานแห่งวิปัสสนา ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๕๒/๒๕.

สมล (คนท่มี มี ลทนิ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๒/๓๐๖. คนท่ีมมี ลทิน ในทีน่ ้หี มายถงึ ครทู ง้ั ๖ วิ.อ. (บาลี)
๓/๘/๑.

สมาธิ (สมาธิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๔/๓๔. สมาธิ ในที่น้ีหมายถึงอุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิ
ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๓๔/๑๒๒, องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๙๙/๓๗.

สมาธิสมฺปนฺน (เปน็ ผสู้ มบรู ณ์ด้วยสมาธิ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๔. เป็นผ้สู มบูรณ์ด้วยสมาธิ คา
วา่ สมาธิ ในท่ีน้ีหมายถึงสมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อันเป็นบาทแห่ง
วปิ สั สนา ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๕๒/๕.

๑๗๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

สมฺพาธฆราวาส (การอยู่ครองเรือนเป็นเรื่องอึดอัด) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๗๑/๔๐๕. การอยู่ครอง
เรือนเป็นเร่ืองอึดอัด เพราะไม่มีเวลาว่างเพื่อจะทากุศลกรรม แม้เรือนจะมีเน้ือที่
กวา้ งขวางถึง ๖๐ ศอก มบี ริเวณภายในบา้ นตัง้ ๑๐๐ โยชน์ มีคนอยู่อาศยั เพียง ๒ คน คือ
สามีและภรรยา กย็ งั ถือว่าอึดอัด เพราะมีความห่วงกังวลกันและกัน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๑๙๑/๑๖.

สมฺโพธิ (สัมโพธิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๗/๕๙. สัมโพธิ ในที่นี้หมายถึงมรรค ๓ เบ้ืองสูง
(สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค) องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔๒, องฺ.
ตกิ .ฏกี า (บาลี) ๒/๘๗/๒๓.

สมฺมาทิฏฺ (สัมมาทิฏฐิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๒/๔๙๒. สัมมาทิฏฐิ ในท่ีนี้หมายถึงอรหัตมัคค
สมั มาทฏิ ฐิ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๕๒/๒๕.

สมฺมาทิฏฺ (สัมมาทิฏฐิ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘๙/๘๑. สัมมาทิฏฐิ มี ๒ อย่าง คือ โลกิยสัมมาทิฏฐิ
หมายถึงกมั มสั สกตาญาณ (ญาณหยั่งรวู้ า่ สตั วม์ ีกรรม เป็นของตน) และสจั จานโุ ลมกิ ญาณ
(ญาณหยัง่ รูโ้ ดยสมควรแก่การกาหนดรู้อริยสัจ) โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ หมายถึงปัญญาท่ี
ประกอบดว้ ยอริยมรรค และอริยผล ในที่นี้หมายถึงโลกตุ ตรสัมมาทิฏฐิ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/
๘๙/๒๐.

สโยชน (สังโยชน์) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๗/๕๘. สังโยชน์ หมายถึงกิเลสท่ีผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดใจ
สัตวไ์ วก้ ับทุกข์ มี ๑๐ ประการ คอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ ิกิจฉา สีลพั พตปรามาส กามฉนั ทะหรอื
กามราคะ พยาบาทหรือปฏิฆะ รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ๕ ข้อต้นช่ือ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ขอ้ หลังชอื่ อุทธมั ภาคยิ สังโยชน์ พระโสดาบันละสังโยชน์ ๓ ข้อต้น
ได้ พระสกทาคามที าสงั โยชน์ท่ี ๔ และที่ ๕ ใหเ้ บาบาง พระอนาคามลี ะสังโยชน์ ๕ ข้อต้น
ได้หมด พระอรหนั ตล์ ะสงั โยชน์ไดห้ มดท้งั ๑๐ ขอ้ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๓/๒.

สวฏฺฏกปฺป (สังวัฏฏกัป) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๓/๔๒. สังวัฏฏกัป หมายถึงกัปฝุายเสื่อม คือช่วง
ระยะเวลาทโี่ ลกกาลังพนิ าศ วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๑๕.

สวร (สังวร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๖/๑๘. สงั วร เป็นชือ่ ของสติ หมายถึงการระวังการปิดการกั้น ม.มู.
ฏกี า (บาล)ี ๑/๑๖/๑๙. อง.ฺ ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๕๘/๕๕๔.

สหธมมฺ (คาพดู ทม่ี เี หตุ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๐/๑๔๘. คาพูดที่มีเหตุ หมายถึงคาพูดที่อ้างอิงพยาน
บุคคล พยานหลักฐานมาเป็นเหตุสนับสนุนให้การทักท้วงสาเร็จประโยชน์น่าเชื่อถือ
ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๕๐/๓๕๔, อง.ฺ จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๘/๒๘๕, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา (บาลี) ๒/

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๗๑

๘/๒๘.

สากจฉฺ านุคฺคหติ (มีสากัจฉาสนบั สนนุ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๒/๔๙๒. มสี ากัจฉาสนับสนุน หมายถึง
การปรบั กมั มฏั ฐานใหเ้ กิดความเหมาะสม ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๕๒/๒๕.

สาถิลิกา (ย่อหย่อน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑/๒๙. ย่อหย่อน หมายถงึ ยึดถอื ปฏบิ ตั ติ ามคาส่ังสอนหย่อน
ยาน ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๓๑/๑๑๐, องฺ.ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๔๕/๕.

สามญฺ ตฺถ (ประโยชน์จากความเป็นสมณะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๑๖/๔๕๒. ประโยชน์จากความ
เปน็ สมณะ มีหลายนัย ดังน้ี หมายถึงอริยมรรคมีองค์ ๘ บ้าง หมายถึงความสิ้นราคะ
ความสิ้นโทสะ และความสิ้นโมหะบ้าง ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๖/๓๗ แตใ่ นที่น้ีหมายถึงมรรค
๔ และผล ๔ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๑๖/๒๒.

สารชฺชติ (กาหนัด) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๙/๔๔๔. กาหนัด ในท่ีนี้หมายถึงให้เกิดราคะขึ้น ม.มู.อ.
(บาลี) ๒/๔๐๙/๒๑.

สาวก (เป็นสาวก) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๘๙/๓๑๙. เป็นสาวก ในท่นี หี้ มายถึงเป็นสาวกด้วยการถึงพระ
รตั นตรยั เป็นสรณะ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๘๙/๑๐.

สิกฺขาสาชีวสมาปนฺน (ผถู้ งึ พร้อมด้วยสิกขาและสาชีพ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๙๒/๓๒๓. ผู้ถึงพร้อม
ด้วยสิกขาและสาชีพ แยกอธิบายดังนี้ สิกขา หมายถึงไตรสิกขา คือ อธิสีลสิกขา อธิ-
จิตตสกิ ขา และอธิปญั ญาสกิ ขา แตใ่ นทีน่ ้ีหมายเอาอธสิ ีลสิกขา สาชีพ หมายถึงสิกขาบทที่
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสาหรับภิกษุผู้อยู่ร่วมกัน ผู้ดาเนินชีวิตร่วมกัน มีความ
ประพฤตเิ สมอกัน ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๙๒/๑๑. และ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓, องฺ.ทสก.
(ไทย) ๒๔/๙๙/๒๓๘.

สลี สมฺปนฺน (เปน็ ผสู้ มบูรณ์ด้วยศลี ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๔. เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล คาว่า ศีล
ในท่นี ้ีหมายถึงปาริสทุ ธศิ ลี ๔ ประการ คือ ศีลคือการสังวร ในพระปาติโมกข์ ศีลคือการ
สารวมอินทรีย์ ๖ ศีลคือการพิจารณาใช้สอยปัจจัย ๔ ศีลคือ การเลี้ยงชีวิตด้วยความ
บรสิ ุทธิ์ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๕๒/๕.

สีลานุคฺคหิต (มีศลี สนบั สนุน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๒/๔๙๒. มีศีลสนับสนุน ในท่ีนี้หมายถึงปาริสุทธิ
ศีล ๔ เพราะปารสิ ทุ ธศิ ีล ๔ เป็นปทฏั ฐานแหง่ การบรรลอุ ริยมรรค ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๔๕๒/
๒๕๔, ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๒/๔๕๒/๓๒.

สีหนาท (สีหนาท) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๓๙/๑๓๓. สีหนาท ในทน่ี ี้หมายถงึ การประกาศอย่างอาจหาญ
ของภิกษุผู้กล่าววา่ สมณะเหล่าน้มี ีในธรรมวินัยนี้เท่าน้ัน ชื่อว่าการบันลือที่ประเสริฐคือ

๑๗๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

การบันลอื สหี นาททไ่ี ม่มีความเกรงกลวั ไมต่ ิดขดั เพราะเจา้ ลัทธิอ่ืนไม่สามารถคัดค้านได้
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๓๙/๓๒.

สหี นาท (สีหนาท) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๔. สีหนาท ในที่นี้หมายถึงตรัสพระวาจาด้วยท่าที
องอาจดังพญาราชสหี ์ ไม่ทรงหวน่ั เกรงผู้ใด เพราะทรง ม่ันพระทัยในศีล สมาธิ ปัญญา
ของพระองค์ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๔๘/๓๔๘,ท.ี สี.ฏกี า (บาล)ี ๑/๔๐๓/๔๕.

สุคติ (สุคต)ิ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๗๐/๖๓. สุคติ มี ๒ อยา่ ง คือ ปฏิปัตตสิ ุคติ หมายถึงคติ คอื การปฏิบัติ
ดีด้วยจิตบรสิ ทุ ธ์ิแบ่งเป็น ๒ อยา่ ง ไดแ้ ก่ อาคาริยปฏิปตั ตสิ คุ ติ คอื สุคติของคฤหัสถ์ผู้มีจิต
บริสทุ ธ์ิงดเวน้ จากการฆ่าสัตว์บ้าง จากการลักทรัพย์บ้าง บาเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้
บริบรู ณ์ อนาคารยิ ปฏิปตั ติสุคติ คอื สคุ ตขิ องบรรพชติ ผู้มีจติ บริสุทธิ์ รักษาปาริสุทธิศีล ๔
ใหบ้ ริสุทธ์ิ สมาทานธุดงค์ ๑๓ ข้อ เรียนกัมมฏั ฐานในอารมณ์ ๓๘ ประการ กระทากสิณ
บริกรรม ทาฌานสมาบตั ใิ หเ้ กดิ ข้ึน เจริญโสดาปัตติมรรค ฯลฯ อนาคามิมรรค คติสุคติ
หมายถึงคตหิ รือภมู ิเป็นท่ไี ปอันเป็นสขุ แบง่ เปน็ ๒ อย่าง ได้แก่ อาคารยิ สคุ ติ คอื สุคติของ
คฤหสั ถผ์ ตู้ ายแลว้ ไปเกดิ เปน็ มนุษย์ท่ีมีชาติตระกูลสูง มั่งคั่งด้วยทรัพย์ เพียบพร้อมด้วย
เกยี รติยศบ้าง เป็นเทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่บ้าง และอนาคาริยสุคติ คือสุคติของบรรพชิตผู้
มรณภาพแล้วไปเกิดในตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ และตระกลู คหบดี หรือไปเกิดใน
กามาวจรเทวโลก ๖ ชัน้ บา้ ง ในพรหมโลก ๑๐ ช้ัน ในสุทธาวาสภูมิ ๕ ช้ัน หรือในอรูป
พรหม ๔ ชัน้ บา้ ง ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๗๐/๑๘.

สญุ ฺ ตาเจโตวมิ ตุ ฺติ (สุญญตาเจโตวิมตุ ติ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๙/๔๙๗. สุญญตาเจโตวิมุตติ ได้แก่
ความหลุดพน้ โดยว่างจากราคะ โทสะ โมหะ เพราะพจิ ารณานามรปู โดยความเป็นอนัตตา
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๙/๒๖๓, ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๙/๑๖.

สุญฺ าคาร (เรือนว่าง) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๐๗/๑๐๒. เรือนว่าง หมายถึงที่ที่สงัด คือ เสนาสนะ ๗
อย่าง เวน้ ปาุ และโคนไม้ ได้แก่ ภูเขา ซอกเขา ถ้า ปุาช้า ปุาชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ที.ม.
(ไทย) ๑๐/๓๒๐/๒๕๐, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๕๐๘/๔๑.

สตุ (เสยี งทต่ี นไดย้ นิ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๕/๗. เสยี งทต่ี นไดย้ นิ หมายถงึ สิง่ ทตี่ นฟังทางมังสโสตะ หรือ
ทพิ พโสตะ คานเี้ ปน็ ช่ือแหง่ สัททายตนะ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๕/๔.

สตุ ธร (ทรงสตุ ะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๓๓/๓๖๗. ทรงสตุ ะ หมายถึงสามารถทรงจานวังคสัตถุศาสน์
น้นั ไวไ้ ด้แมน่ ยา แมเ้ วลาผา่ นไป ๑๐ ปี ๒๐ ปี ก็ไม่ลมื เลือน เมอ่ื ถกู ถาม ก็สามารถตอบได้

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๗๓

สุตสนนฺ ิจย (ส่ังสมสตุ ะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๓๓/๓๖๗. สง่ั สมสุตะ หมายถงึ จดจานวังคสตั ถศุ าสน์น้ัน
ไวไ้ ด้ จนข้ึนใจ ดจุ รอยขดี ที่หนิ คงอยไู่ ม่ลบเลอื น ฉะน้ัน ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๓๓๓/๑๕.

สุตานุคคฺ หิต (มีสตุ ะสนบั สนุน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๒/๔๙๒. มีสุตะสนับสนุน ในที่นี้หมายถึงการฟัง
ธรรมทีเ่ ป็นสปั ปายะ มคี วามหมายเทา่ กับปรโตโฆสะ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๕๒/๒๕.

สตุ ตฺ (สตุ ตะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. สุตตะ ไดแ้ ก่ อภุ โตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะ ปริวาร มงคล
สตู ร รตนสูตร นาฬกสตู ร ตุวฏั ฏกสูตร ในสุตตนิบาต และพุทธวจนะอืน่ ๆ ทมี่ ชี ือ่ วา่ สตุ ตะ

เสข (เสขบุคคล) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๗/๑๐. เสขบุคคล หมายถึงบุคคลผู้ท่ียังต้องศึกษา ๓ จาพวก
ไดแ้ ก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามีผู้ยังต้องฝึกอบรมในไตรสิกขา คือ
อธิสีลสกิ ขา ฝึกอบรมในเร่ืองศีล อธิจิตตสิกขา ฝึกอบรมในเร่ืองจิต (สมาธิ) อธิปัญญา
สิกขา ฝึกอบรมในเรอ่ื งปัญญา ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๗/๔๔, องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๘๖/๓๑.

เสวติ (เสพ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๗๔/๕๑๕. เสพ ในท่นี หี้ มายถึงการประพฤติ การเจริญให้เกิดข้ึน ขุ.
จู.อ. (บาล)ี ๑๖๑/๑๔.

เสวิตพพฺ ธมมฺ (ธรรมท่ีควรเสพ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๗๔/๕๑๕. ธรรมทีค่ วรเสพ ในที่น้ีหมายถึงธรรมที่
ควรให้เกดิ ข้นึ ในสนั ดานของตน ไดแ้ ก่ การคบสัตบรุ ุษ การฟังสทั ธรรม และการพิจารณา
โดยแยบคาย ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๗๔/๒๘๓, ม.มู.ฏกี า (บาลี) ๒/๔๗๔/๓๕.

โสตาปนฺน (พระโสดาบัน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๗/๕๘. พระโสดาบัน หมายถงึ ผู้ประกอบด้วยอริยมรรค
มีองค์ ๘ เพราะคาวา่ โสตะ เป็นช่ือของอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ อภ.ิ ปญจฺ .อ. (บาลี) ๓๑/๕. ส.
ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๐๑/๔๙๕.

อคฺคปณิ ฑฺ ปาต (บณิ ฑบาตท่ีดเี ลิศ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๐/๕๐. บิณฑบาตท่ีดีเลิศ หมายถึงบิณฑบาต
ทีถ่ วายแกพ่ ระเถระผ้เู ป็นประธานในสงฆ์ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๖๐/๑๕.

อคฺคาสน (อาสนะท่ีดีเลิศ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๐/๕๐. อาสนะที่ดีเลิศ หมายถึงที่นั่งซึ่งอยู่หัวแถว
ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๐/๑๕.

อคฺโคทก (นา้ ท่ีดเี ลศิ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๐/๕๐. นา้ ทีด่ ีเลศิ หมายถึงน้าทักษิณา ม.มู.อ. (บาลี) ๑/
๖๐/๑๕.

องฺคณ (กิเลสเพียงดังเนิน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๒/๔๑. กเิ ลสเพียงดังเนิน หมายถึงกิเลสเพียงดังเนิน
คือราคะ โทสะ โมหะ มลทิน หรอื เปือกตม ในที่บางแหง่ หมายถึงพ้ืนท่ีเป็นเนินตามที่พูด

๑๗๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

กันวา่ เนนิ โพธิ์ เนนิ เจดยี ์ เป็นตน้ แต่ในท่ีน้ี ทา่ นพระสารีบตุ ร ประสงคเ์ อากิเลสอย่างเผ็ด
ร้อนนานัปการวา่ กเิ ลสเพยี งดงั เนิน ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๕๗/๑๕.

อจฺจนฺตนฏฺ (มคี วามสาเร็จสงู สุด) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๙๐/๔๒๑. มีความสาเร็จสูงสุด หมายถึงผ่าน
ที่สุดกล่าวคือความส้ินไปและเสื่อมไปเพราะไม่มีธรรมเครื่องกาเริบอีก ได้แก่ ถึงพระ
นพิ พาน ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๓๙๐/๒๐๕, องฺ.เอกาทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๐/๓๘๓, ม.มู.ฏีกา
(บาล)ี ๒/๓๙๐/๒๖.

อจฺจนฺตปรโิ ยสาน (มที ่ีสดุ อันสูงสดุ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๙๐/๔๒๑. มีที่สุดอันสูงสุด หมายถึงมีที่สุด
แหง่ พรหมจรรยท์ ี่อยจู่ บแลว้ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๙๐/๒๐๕, ม.ม.ู ฏีกา (บาล)ี ๒/๓๙๐/๒๖.
อง.ฺ เอกาทสก. (ไทย) ๒๔/๑๐/๔๑๕

อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี (ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๙๐/๔๒๑. ประพฤติ
พรหมจรรย์ถึงที่สุด หมายถงึ อยู่จบพรหมจรรย์ แลว้ มีสภาวะทไี่ ม่เสือ่ มอีก ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒
/๓๙๐/๒๐๕, ม.ม.ู ฏีกา (บาลี) ๒/๓๙๐/๒๖.

อจจฺ นฺตโยคกฺเขมี (มคี วามเกษมจากโยคะสูงสุด) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๙๐/๔๒๑. มีความเกษมจาก
โยคะสงู สุด หมายถึงบรรลุธรรมท่สี งู สุดอนั ปราศจากโยคะ ๔ คือ กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา
หมายถงึ บรรลุพระนพิ พาน ชื่อว่าผู้มีความปลอดโปร่งจากโยคกิเลส ที.ปา. (ไทย) ๑๑/
๓๑๒/๒๙๒, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๐/๑๗, องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๐/๒๘๘-๒๘.

อิจฉฺ าวจร (อจิ ฉาวจร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๐/๔๘. อิจฉาวจร หมายถึงการประพฤติตนในทางต่า
ทรามตามอานาจความปรารถนา ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๐/๑๕๕, ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๖๐/
๓๑.

อชิตเกสกมฺพล (อชติ ะ เกสกมั พล) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑๒/๓๔๙. อชิตะ เกสกัมพล แยกอธิบายดังนี้
คาวา่ อชิตะ เป็นชื่อของเขา และได้ชื่อว่าเกสกัมพล ก็เพราะนุ่งห่มผ้าท่ีทาด้วยผมของ
มนุษย์ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๓/๑๓๑, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๓๑๒/๑๔.

อชฌฺ ตฺตกาย (กายภายใน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๐๗/๑๐๓. กายภายใน ในท่ีน้ีหมายถึงลมหายใจเข้า
ออกของตน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๔/๓๗๙, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๐๗/๒๖.

อชฌฺ ตฺตกาย (กายภายใน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๘/๑๐๔. กายภายใน ในที่น้หี มายถงึ อิรยิ าบถ ๔ คือ
ยนื เดนิ นง่ั นอน ในกายของตน ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๕/๓๘๓, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๐๘/
๒๖.

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๗๕

อชฌฺ ตตฺ กาย (กายภายใน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๑๐/๑๐๖. กายภายใน ในที่นี้หมายถึงอาการ ๓๒ มี
ผมเป็นต้นในกายของตน ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๗๗/๓๘๔, ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๑๐/๒๘.

อชฌฺ ตตฺ ธมฺม (ธรรมภายใน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๑๖/๑๑๔. ธรรมภายใน หมายถึงขันธ์ ๕ ของตน ที.
ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๘๓/๓๙๘, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๑๖/๓๐.

อชฌฺ ตฺตเวทนา (เวทนาภายใน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๑๓/๑๑๐. เวทนาภายใน หมายถึงสุขเวทนา
เปน็ ต้นของตน ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๘๐/๓๙๐, ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๑๓/๒๙.

อฏฺ ปรสิ ปคุ คฺ ล (๘ บุคคล) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๗๔/๖๖. ๘ บุคคล ได้แก่ บุคคลผู้เป็นพระโสดาบัน
บคุ คลผูป้ ฏิบตั เิ พอื่ ทาใหแ้ จง้ โสดาปตั ตผิ ล บคุ คลผ้เู ปน็ พระสกทาคามี บุคคลผู้ปฏิบัติเพ่ือ
ทาใหแ้ จ้งสกทาคามผิ ล บคุ คลผเู้ ปน็ พระอนาคามี บุคคลผู้ปฏิบัตเิ พื่อทาใหแ้ จง้ อนาคามิผล
บคุ คลผูเ้ ป็นพระอรหันต์ บคุ คลผปู้ ฏิบัติเพอ่ื ทาให้แจง้ อรหัตผล อภิ.ปุ. (ไทย) ๓๖/๒๐๗/
๒๒.

อตฺต (ตน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๗/๔๔. ตน ในที่นี้หมายถึงจิตตสันดาน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๕๗/
๑๕๑,๖๕/๑๖.

อตฺตวาท (อัตตวาทะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๘๑/๗๐. อัตตวาทะ หมายถึงมิจฉาทิฏฐิท่ีปรารภอัตตา เช่น
เหน็ ว่ารูปเปน็ อตั ตาเปน็ ต้น ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๘๑/๑๙.

อตฺตวาทุปาทาน (อัตตวาทุปาทาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๔๓/๒๕๙. อัตตวาทุปาทาน หมายถึง
สักกายทฏิ ฐิ ๒๐ ประการ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๔๓/๑.

อตตฺ านุมานติ พพฺ (ควรอนุมานตนเอง) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๗๗/๑๗๗. ควรอนุมานตนเอง หมายถึง
ภกิ ษุควรอนุมาน เปรยี บเทยี บ พจิ ารณาตนด้วยตนเองเทา่ นัน้ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๘๓/๓๙.

อธกิ รณ (อธิกรณ์) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๒๒/๒๓๓. อธิกรณ์ หมายถึงเรื่องทส่ี งฆ์จะตอ้ งดาเนินการ มี ๔
อยา่ ง คอื ววิ าทาธกิ รณ์ การเถียงกนั เกี่ยวกบั พระธรรมวินยั อนวุ าทาธิกรณ์ การโจทหรือ
กล่าวหากนั ด้วยอาบัติ (ละเมิดสิกขาบท) อาปัตตาธิกรณ์ การต้องอาบัติ การปรับอาบัติ
และการแก้ไขตัวให้พ้นจากอาบัติ กิจจาธิกรณ์ กิจธุระต่าง ๆ ท่ีสงฆ์จะต้องทา เช่น ให้
อุปสมบท ให้ผ้ากฐนิ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๗๕/๓๗๖, วิ.อ. (บาลี) ๓/๓๒๕/๔๖๕, องฺ.ทุก.อ.
(บาลี) ๒/๑๕/๑. แตใ่ นท่ีนีห้ มายถงึ อนุวาทาธิกรณ์ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๒๒.

อธจิ ติ ฺต (อธิจิต) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๑๖/๒๒๖. อธิจิต หมายถึงจิตมีสมาบัติ ๘ อันเป็นพ้ืนฐานแห่ง
วปิ สั สนา เปน็ จิตทยี่ ิง่ กว่าจติ ที่เกดิ ขึ้นดว้ ยอานาจกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ม.ม.ู อ. (บาลี)
๑/๒๑๖/๔๑.

๑๗๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

อนณ (ผไู้ มม่ ีหน้ี) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๒/๓๐๗. ผู้ไม่มีหน้ี หมายถึงไม่มีหน้ีคือกามฉันทะ ม.มู.อ.
(บาล)ี ๒/๒๘๒/๘.

อนตฺตมน (มิได้มีใจยินดีชื่นชม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓/๑๗. มิได้มีใจยินดีชื่นชม หมายถึงภิกษุ
เหล่านน้ั ไมร่ ู้คอื ไม่เข้าใจเนือ้ ความของพระสูตรน้ี เหตยุ งั มมี านะทฏิ ฐิมาก เพราะมัวเมาใน
ปริยัติ และเพราะพระภาษิตน้ันลึกซึ้งด้วยนัยที่ ๑ คือ ปุถุชน จนถึงนัยที่ ๘ คือ พระ
ตถาคต ท่านเหลา่ นั้นจึงไมร่ แู้ จ้งอรรถแห่งพระพุทธพจน์ จงึ มิได้มใี จยินดีชน่ื ชมพระภาษิต
นน้ั ภายหลังไดส้ ดับโคตมกสตู รซึง่ พระผมู้ พี ระภาคตรัสทโี่ คตมกเจดียแ์ ลว้ จงึ ไดบ้ รรลุเป็น
พระอรหันต์พร้อมท้ังปฏิสมั ภทิ าทงั้ หลาย ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๓/๖๒-๖.

อนนุภูต (ที่สัตว์เสวยไม่ได้) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๐๔/๕๔๑. ท่ีสัตว์เสวยไม่ได้ หมายถึงท่ีสัตว์
ครอบครองไมไ่ ด้บรรลไุ มไ่ ดโ้ ดยความทีด่ ินเปน็ ดนิ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๕๐๔/๓๒.

อนนฺต (อนนั ตะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๕๐๔/๕๔๒. อนันตะ หมายถึงไม่มีท่ีสุด เพราะไม่มีการเกิดข้ึน
และการดับไป ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๕๐๔/๓๒.

อนวกาส (เปน็ ไปไม่ไดเ้ ลย) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑๑/๓๔๗. เป็นไปไม่ได้เลย หมายถึงปฏิเสธฐานะ
(เหต)ุ และปฏิเสธโอกาส (ปจั จัย) ที่ใหเ้ ป็นไปได้ อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๒๖๘/๔๐.

อนิทสฺสน (อนิทัสสนะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๕๐๔/๕๔๒. อนิทัสสนะ หมายถึงสภาวะที่มองไม่เห็น
เพราะอยเู่ หนอื จกั ขุวิญญาณ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๕๐๔/๓๒.

อนิมิตตฺ (ไมม่ ีนมิ ติ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๘/๔๙๖. ไม่มีนิมิต ในความหมายนี้หมายถึงการออกจาก
นิโรธสมาบัติด้วยผลสมาบัติ ซง่ึ เป็นผลเกิดจากวปิ สั สนา ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๔๕๘/๒๖.

อนมิ ิตฺตาเจโตวิมตุ ฺติ (อนมิ ติ ตาเจโตวิมตุ ติ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๙/๔๙๗. อนิมิตตาเจโตวิมุตติ ได้แก่
ธรรม ๑๓ ประการ คือ วปิ ัสสนา ๑ อรปู ๔ มรรค ๔ ผล ๔ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๙/๒๖๓,
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๙/๑๖.

อนุตฺตร (อนุตตรธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๕/๕๐๗. อนุตตรธรรม หมายถึงมรรค ๔ ผล ๔
นพิ พาน ๑ อภ.ิ สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๓๐๐/๓๖.

อนุปาทาปรินิพฺพาน (อนุปาทาปรินิพพาน) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๗/๒๗๙. อนุปาทาปรินิพพาน
หมายถงึ ปรินิพพานทหี่ าปัจจยั ปรงุ แตง่ มิได้ แตใ่ นทนี่ ี้ พระเถระหมายเอาสภาวะ เป็นท่ีสุด
เปน็ เงือ่ นปลาย เป็นทจี่ บการประพฤติพรหมจรรยข์ องท่านผู้ถอื อปจั จยปรินิพพาน ม.มู.อ.
(บาล)ี ๒/๒๕๘/๖๓-๖.

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๗๗

อนพุ ฺยญชฺ นคคฺ าหี (แยกถอื ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๔๗/๓๗๘. แยกถือ หมายถึงมองภาพ ๒ ด้าน คือ
มองแยกแยะเป็นส่วน ๆ ไปด้วยอานาจกิเลส เช่น เห็นมือเท้าว่าสวยหรือไม่สวย เห็น
อาการย้มิ แยม้ หัวเราะ การพดู การเหลียวซ้ายแลขวาว่านา่ รักหรอื ไม่น่ารัก ถ้าเหน็ ว่าสวย
น่ารักก็เกิดอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา) ถ้าเห็นว่าไม่สวย ไม่น่ารัก ก็เกิด
อนฏิ ฐารมณ์ (อารมณ์ทไ่ี มน่ า่ ปรารถนา) อภ.ิ สงฺ.อ. (บาลี) ๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.

อนุโรธ (ความยินดี) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๙/๔๔๕. ความยินดี หมายถึงราคะ

อนฺตรายกิ ธมฺม (ธรรมกอ่ อันตราย) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๔/๒๔๕. ธรรมก่ออันตราย หมายถึงธรรม
ก่ออนั ตราย ๕ อย่าง คอื กรรม ไดแ้ ก่ อนันตรยิ กรรม ๕ กิเลสได้แก่ นยิ ตมจิ ฉาทฏิ ฐิ วิบาก
ไดแ้ ก่ การเกิดเปน็ บณั เฑาะก์ สตั ว์ดิรจั ฉาน และสัตว์ ๒ เพศ อรยิ ปุ วาท ไดแ้ ก่ การว่าร้าย
พระอรยิ เจา้ อาณาวตี กิ กมะ ไดแ้ ก่ อาบตั ิ ๗ กองท่ภี ิกษุจงใจล่วงละเมดิ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/
๒๓๔/.

อนฺตรายิกธมฺม (อนั ตรายกิ ธรรม) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๐/๑๔๙. อันตรายิกธรรม หมายถึงธรรมท่ี
เปน็ อันตรายตอ่ การบรรลุมรรคผล ได้แก่ อาบตั ิ ๗ กอง ซงึ่ เป็นโทษสาหรบั ปรบั ภิกษุผู้ล่วง
ละเมดิ โดยที่สุดแม้ทุกกฏหรือทุพภาสิต ในที่น้ีหมายเอาเมถุนธรรม ม.มู.อ. (บาลี) ๑/
๑๕๐/๓๕๔,อง.ฺ จตกุ ฺก.อ. (บาลี) ๒/๘/๒๘.

อเนกธาตุ (ธาตหุ ลายชนิด) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๕. ธาตหุ ลายชนิด ในที่น้ีหมายถึงธาตุ ๑๘ มี
จกั ขุธาตุเป็นต้น ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๔๘/๓๕๐, องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๕๗๗/๔๗. อภิ.วิ.
(ไทย) ๓๕/๑๘๕/๑๕๔. วิสทุ ธฺ .ิ (บาล)ี ๒/๕๑๗/๑๒.

อปฺปมาณาเจโตวิมตุ ฺติ (อปั ปมาณาเจโตวมิ ุตติ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๙/๔๙๗. อปั ปมาณาเจโตวิมุตติ
ได้แก่ ธรรม ๑๒ ประการ คือ พรหมวิหาร ๔ มรรค ๔ ผล ๔ พรหมวิหาร ช่ือว่าอัปป
มาณะ เพราะแผ่ไปหาประมาณมิได้ ธรรมที่เหลือชื่อว่าอัปปมาณะ เพราะไม่มีกิเลสเป็น
เครอื่ งวัด ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๕๙/๒๖๒, ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๙/๑๖.

อปริญฺ าต (ไม่ได้กาหนดรู้) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒/๓. ไม่ได้กาหนดรู้ หมายถึงไม่ได้กาหนดรู้ด้วย
ปรญิ ญา ๓ ประการ คอื ญาตปริญญา ได้แก่ รู้ว่า น้ีเป็นปฐวีธาตุภายใน น้ีเป็นปฐวีธาตุ
ภายนอก นีเ้ ปน็ ลกั ษณะ กจิ เหตเุ กิด และท่ีเกดิ แห่งปฐวีธาตุ หรือได้แก่กาหนดนามและ
รูป ตีรณปรญิ ญา ไดแ้ ก่ พิจารณาเหน็ วา่ ปฐวีธาตุมีอาการ ๔๐ คือ อาการไม่เท่ียง เป็น
ทกุ ข์ เปน็ โรค เปน็ ต้น หรอื ได้แก่ พิจารณากลาปะ (ความเป็นกลุม่ กอ้ น)เป็นต้น พิจารณา
อนุโลมญาณ เป็นท่ีสดุ ปหานปรญิ ญา ได้แก่ เมื่อพิจารณาเห็นอย่างน้ันแล้ว จึงละฉันท
ราคะ (ความกาหนัดดว้ ยอานาจความพอใจ) ในปฐวีธาตุด้วยอรหัตผล หรือได้แก่ ญาณใน

๑๗๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

อรยิ มรรค เพราะปรญิ ญา ๓ ประการนีไ้ ม่มีแก่ปุถุชน เขาจึงกาหนดหมายและยินดีปฐวี
ธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒/๓๑-๓.

อปาย (อบาย) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๘/๖๑. อบาย ท่ีช่ือว่าอบาย เพราะปราศจากความงอกงาม คือ
ความเจริญหรอื ความสขุ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๓/๓๕.

อปฺปฏวิ ิภตตฺ โภคี (ปริโภคโดยไม่แบ่งแยก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๙๒/๕๓๒. ปริโภคโดยไม่แบ่งแยก
หมายถงึ ไมแ่ บง่ แยกอามิสโดยคิดว่า จะให้เท่านี้ ๆ และไม่แบ่งแยกบุคคลโดยคิดว่า จะ
ให้แก่คนนนั้ ไมใ่ หแ้ กค่ นนี้ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๙๒/๓๐๓, องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๑๑/๙.

อปฺปมาณเจต (มีจติ หาประมาณมิได้) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๑๔/๔๕๐. มจี ิตหาประมาณมไิ ด้ หมายถึงผู้
มโี ลกตุ ตรจติ หาประมาณมิได้ คือผู้พร่งั พร้อมด้วยมรรคจิต ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๑๔/๒๑.

อปฺปรชกฺขชาติก (ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๒/๓๐๖. ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย
หมายถงึ มีธุลคี อื ราคะ โทสะ โมหะเบาบางคือเล็กน้อย ปิดบังดวงตาคือปัญญา ม.มู.อ.
(บาลี) ๒/๒๘๒/๘๕, วิ.อ. (บาล)ี ๓/๘-๙/๑๔-๑.

อปฺปิจฺฉ (เป็นผู้มักน้อย) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๓. เป็นผู้มักน้อย หมายถึงความมักน้อย ๔
ประการ คือ เปน็ ผู้มักนอ้ ยในปัจจยั ๔ เป็นผู้มักน้อยในธุดงค์ ได้แก่ ไม่ประสงค์ให้ผู้อื่นรู้
ความท่ีตนสมาทานธดุ งค์ เปน็ ผมู้ ักน้อยในการเล่าเรียน ไดแ้ ก่ ไมป่ รารถนาให้ผู้อื่นรู้ความ
ท่ีตนเป็นพหูสตู เปน็ ผ้มู ักน้อยในการบรรลุธรรม ได้แก่ ไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นรู้ความท่ีตน
เป็นพระโสดาบนั เปน็ ตน้ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๑๕๒/๔๗-๔.

อพฺภตู ธมมฺ (อัพภตู ธรรม) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. อัพภูตธรรม ได้แก่ พระสูตรท่ีว่าด้วยเรื่อง
อัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏทั้งหมดท่ีตรัสโดยนัยว่า ภิกษุ ทั้งหลาย ข้ออัศจรรย์ไม่เคยมี ๔
อยา่ งนี้ หาไดใ้ นอานนท์ ดงั นี้เป็นต้น

อพโฺ ภกาสปพฺพชฺชา (การบวชเป็นทางปลอดโปรง่ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๗๑/๔๐๕. การบวชเป็นทาง
ปลอดโปรง่ เพราะนกั บวชแมจ้ ะอยใู่ นเรือนยอด ปราสาทแก้วและเทพวิมาน ซึ่งมีประตู
หน้าต่างมิดชิด ก็ยงั ถอื วา่ ปลอดโปรง่ เพราะนักบวชไมม่ ีความยึดตดิ ในสง่ิ ใด ๆ เลย ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๑๙๑/๑๖.

อพฺยาปาทวิตกฺก (อพยาบาทวติ ก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๐๖/๒๑๘. อพยาบาทวิตก หมายถึงความ
ตรกึ ในเรื่องไมป่ องรา้ ยผู้อืน่ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๒๐๖/๔๐.

อภินนฺทติ (เพลดิ เพลนิ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๐๙/๔๔๕. เพลิดเพลิน หมายถึงมีตัณหาทะยานอยาก
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๐๙/๒๑.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๗๙

อภินิพภฺ ทิ า (ความเบื่อหน่ายยิ่ง) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๘๙/๒๐๓. ความเบื่อหน่ายยิ่ง หมายถึงการ
ทาลายกิเลสดว้ ยญาณ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๘๙/๓๙.

อภภิ ู (อภภิ สู ตั ว์) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓/๕. อภิภสู ัตว์ หมายถงึ ผู้ครอบงา (มอี านาจเหนอื ) อรูปขันธ์ ๔
เป็นไวพจน์ของอสญั ญี ซงึ่ หมายถงึ สัตวผ์ ้ไู ม่มีสญั ญา สถิตอยู่ในชนั้ เดยี วกับเวหัปผลพรหม
บงั เกดิ ดว้ ยอริ ยิ าบถใดกส็ ถติ อย่ดู ้วยอริ ิยาบถนัน้ ตราบสน้ิ อายุขัย ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๓/๓.

อภิวทติ (บน่ ถงึ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๙/๔๔๕. บน่ ถงึ หมายถึงพรา่ เพอ้ วา่ สุขหนอ ๆ ม.มู.อ. (บาลี)
๒/๔๐๙/๒๑.

อภสิ งฺขาร (อภสิ ังขาร) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕๘/๔๙๖. อภิสงั ขาร หมายถึงการกาหนดระยะเวลาอยู่
ในสมาธิ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๘/๒๖.

อมตทฺวาร (ประตแู ห่งอมตะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๕๒/๓๘๘. ประตูแห่งอมตะ หมายถึงอริยมรรค
ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๕๒/๑๗.

อมารเธยยฺ (ธรรมอนั ไม่เป็นท่ีอยู่แหง่ มาร) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๕๐/๓๘๕. ธรรมอันไม่เป็นท่ีอยู่แห่ง
มาร หมายถึงโลกุตตรธรรม ๙ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๐/๑๗.

อโยนโิ สมนสกิ าร (อโยนิโสมนสิการ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๕/๑๘. อโยนิโสมนสิการ หมายถึงการทาไว้
ในใจโดยไมถ่ กู อุบาย โดยไม่ถูกทาง กลา่ วคอื การทาไว้ในใจในสิง่ ที่ไม่เท่ียงวา่ เที่ยง ในสิ่งท่ี
เป็นทุกขว์ า่ เปน็ สขุ ในสง่ิ ที่เปน็ อนตั ตาว่าเป็นอัตตา หรือการนึก การน้อมนึก การผูกใจ
การใฝุใจ การทาไวใ้ นใจถึงความคดิ โดยนัยที่กลบั กันกับสัจธรรม ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๕/๗.

อรญฺ วนปตถฺ (ปุาโปรง่ และปุาทึบ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๔/๓๔. ปุาโปร่งและปุาทึบ คือ ปุาโปร่ง
(อรญฺ ) หมายถึงปุาอยู่นอกเสาเขตเมืองออกไปอย่างน้อยช่ัว ๕๐๐ ลูกธนู ปุาทึบ
(วนปตฺถ) หมายถงึ สถานทท่ี ่ีไม่มีคนอยู่อาศัย เลยเขตหมู่บ้านไป ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๓๔/
๑๒๑, องฺ.ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๓๑/๓.

อริฏฺ (ภกิ ษุอริฏฐะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๔/๒๔๕. ภิกษุอริฏฐะ รูปนเ้ี ปน็ พหูสตู เป็นธรรมกถึก รู้แต่
อนั ตรายิกธรรมบางส่วน แต่ไม่รเู้ รอื่ งอันตรายิกธรรมแห่งการล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติ
เพราะเหตทุ ท่ี ่านไม่ฉลาดเรอื่ งวินยั ดงั นนั้ ท่านจงึ เกดิ ความคดิ อย่างนี้ ว่า พวกคฤหัสถ์ท่ียุ่ง
เก่ียวอยกู่ ับกามคณุ ทเ่ี ปน็ โสดาบนั ก็มี เปน็ สกทาคามกี ม็ ี เป็นอนาคามีก็มี แม้พวกภิกษุก็
ยังเห็นรปู ทน่ี า่ ชอบใจที่จะพงึ รูด้ ้วยจักษุ ฯลฯ ยงั ถูกตอ้ งสิ่งสัมผัสที่จะพึงรู้ด้วยกาย ยังใช้
สอยผ้าปผู า้ ห่มอ่อนนมุ่ สิ่งนนั้ ทง้ั หมดยังถอื ว่าควร เพราะเหตไุ ร รปู เสียง กล่ิน รส สัมผัส
ของหญิงจงึ จะไมค่ วร ส่ิงเหลา่ นั้นตอ้ งควรแน่นอน คร้ันเกดิ ทิฏฐิชวั่ ขึน้ มาแลว้ กโ็ ต้แยง้ พระ

๑๘๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

สพั พญั ญตุ ญาณ คดั คา้ นเวสารชั ชญาณ ใสต่ อและหนามในอรยิ มรรคว่า ไฉนพระผู้มีพระ
ภาคจึงทรงบัญญัติปฐมปาราชิกอย่างกวดขัน ประดุจก้ันมหาสมุทร ในข้อน้ีไม่มีโทษ
ประหารอาณาจักรของพระชินเจา้ ด้วยกล่าววา่ เมถนุ ธรรม ไมม่ ีโทษ วิ.อ. (บาลี) ๒/๔๑๗/
๔๑๘-๔๑๙, ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๒๓๔/๙-๑.

อรยิ (พระอรยิ ะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒/๒. พระอรยิ ะ หมายถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ
พระพทุ ธสาวก ท่ีช่ือว่าพระอริยะ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลส ไม่ดาเนินไปในทางเส่ือม
ดาเนินไปแตใ่ นทางเจริญ เป็นผ้ทู ีช่ าวโลกและเทวโลกควรดาเนนิ ตาม ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๒/
๒.

อรยิ (พระอริยะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๕/๓๔. พระอริยะ ในที่นี้หมายถึงพระพุทธเจ้าและพระพุทธ
สาวก ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๓๕/๑๒.

อริย าณทสสฺ นวิเสส (ญาณทัสสนะทปี่ ระเสริฐอันสามารถ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๖/๑๔๑. ญาณ
ทัสสนะที่ประเสรฐิ อันสามารถ หมายถึงมหคั คตโลกตุ ตรปญั ญา (ปญั ญาชั้นโลกุตตระที่ถึง
ความเป็นใหญ่) อันประเสริฐ บริสุทธิ์ สูงสุด สามารถกาจัดกิเลสได้ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/
๑๔๖/๓๔๒, อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๔๘/๓๕.

อริยตุณหฺ ภี าว (การเปน็ ผู้น่งิ อย่างพระอรยิ ะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๗๓/๒๙๖. การเป็นผู้น่ิงอย่างพระ
อรยิ ะ หมายถึงการเขา้ ฌานสมาบัติ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๗๓/๗.

อวชิ ฺชาสว (อวชิ ชาสวะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๗/๑๙. อวิชชาสวะ หมายถึงความไม่รู้ในอริยสัจ ๔
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๗/๗.

อวินิปาตธมฺม (ไมม่ ที างตกตา่ ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๗/๕๙. ไมม่ ีทางตกต่า หมายถึงไม่ตกไปในอบาย
๔ คือ นรก กาเนดิ สตั วด์ ริ ัจฉาน แดนเปรต และพวกอสูร องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔.

อวิหสึ าวิตกฺก (อวิหิงสาวิตก) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๑๐/๒๒๒. อวิหิงสาวิตก หมายถึงความตรึกใน
เรื่องไมเ่ บยี ดเบียนผอู้ ืน่ ท้ังหลายหรือไม่ ต้ังแต่มีเมตตาเป็นส่วนเบ้ืองต้นจนถึงปฐมฌาน
ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒๐๖/๔๐.

อสงฺขต (อสังขตธรรม) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๒/๕๐๒. อสังขตธรรม หมายถึงธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุง
แตง่ ได้แก่ นิพพาน อภ.ิ สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๑๐๙๐/๓๐.

อสมยวโิ มกฺข (อสมยวโิ มกข์) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๑๑/๓๔๗. อสมยวิโมกข์ หมายถึงโลกุตตรธรรม ๙
คือ อรยิ มรรค ๔ สามญั ญผล ๔ และนิพพาน ๑ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๓๑๑/๑๓. ขุ.ป. (ไทย)
๓๑/๒๑๓/๓๕๓.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๘๑

อสสฏฺ (เป็นผสู้ งดั ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๔. เป็นผู้สงัด หมายถึงมีวิเวก ๓ ประการ คือ กาย
วเิ วก สงดั กาย ได้แก่ อย่ผู ู้เดยี วทกุ อิรยิ าบถ จติ ตวเิ วก ได้แก่ ไดส้ มาบัติ ๘ อุปธิวิเวก ได้แก่
บรรลนุ พิ พาน ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๕๒/๕.

อากิญฺจญฺ าเจโตวิมุตฺติ (อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๙/๔๙๗. อากิญจัญญา
เจโตวิมุตติ ได้แก่ ธรรม ๙ ประการ คือ อากิญจัญญายตนะ ๑ มรรค ๔ ผล ๔
อากิญจัญญายตนะ ช่อื ว่าอากิญจัญญะ เพราะไม่มีกิเลสเครื่องกังวลเป็นอารมณ์ มรรค
และผล ชอ่ื ว่า อากิญจัญญะ เพราะไม่มีกิเลสเครื่องกังวลคือกิเลสเคร่ืองย่ายีและกิเลส
เคร่อื งผกู ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๙ /๒๖๒, ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๙/๑๖.

อาจารโคจรสมปฺ นฺน (เพียบพรอ้ มดว้ ยอาจาระและโคจร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๔/๕๖. เพียบพร้อม
ด้วยอาจาระและโคจร แยกอธิบายดงั น้ี อาจาระ หมายถงึ ความไมล่ ่วงละเมดิ ทางกาย ทาง
วาจา และทางใจ ความสารวมระวงั ในศีลทงั้ ปวง และความที่ภิกษุไม่เล้ียงชีวิตด้วยมิจฉา
อาชีวะท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงตาหนิ คาว่า โคจร หมายถึงการไม่เที่ยวไปยังสถานท่ีไม่ควร
เทยี่ วไป เช่น ที่อยขู่ องหญิงแพศยา การไมค่ ลกุ คลกี บั บุคคลท่ีไม่สมควรคลุกคลีด้วย เช่น
พระราชา การไมค่ บหากับตระกูลท่ีไม่สมควรคบหา เชน่ ตระกูลท่ีไม่มีศรัทธา ไม่มีความ
เลื่อมใสภิกษุผู้ประกอบด้วยอาจาระและโคจรดังกล่าวมาน้ี ชื่อว่าผู้เพียบพร้อมด้วย
อาจาระและโคจร อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๕๑๓-๕๑๔/๔๑๓-๔๑.

อาภิเจตสิก (อภเิ จตสิก) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๖๖/๕๘. อภิเจตสิก หมายถึงอุปจารสมาธิ ม.มู.อ. (บาลี)
๑/๖๖/๑๗.

อามกธญฺ (ธญั ญาหารดิบ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๙๓/๓๒๔. ธญั ญาหารดิบ ในทีน่ ้ีหมายถึงธัญชาติ ๗
ชนดิ คือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมาน ข้าวฟุาง ลูกเดือย หญ้ากับแก้
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๒๙๓/๑๑.

อายุ (อายุ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๖/๔๙๔. อายุ ในทีน่ ีห้ มายถงึ รูปชวี ิตนิ ทรยี ์ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๕๖/
๒๕๗-๒๕.

อายุสงฺขาร (อายสุ ังขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๗/๔๙๕. อายุสังขาร หมายถึงอายุนั่นเอง ม.มู.อ.
(บาล)ี ๒/๔๕๗/๒๕.

อารทฺธวีริย (ปรารภความพียร) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๕/๓๘. ปรารภความเพียร ในทน่ี ีห้ มายถงึ มีความ
เพยี รทีบ่ รบิ ูรณ์ และมีความเพียรท่ีประคับประคองไว้สม่าเสมอ ไม่หย่อนนัก ไม่ตึงนัก
ไม่ใหจ้ ติ ปรุงแต่งภายใน ไมใ่ ห้ฟงูุ ซา่ นภายนอก คาวา่ ความเพียร ในท่นี ห้ี มายเอา ทงั้ ความ

๑๘๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

เพียรทางกาย เชน่ เพยี รพยายามทางกายตลอดคืนและวัน ดุจในประโยคว่า ภกิ ษุในธรรม
วินัยนี้ ชาระจิตใหบ้ รสิ ทุ ธ์จิ ากธรรมที่กัน้ จติ ไม่ใหบ้ รรลคุ วามดีด้วยการเดินจงกรม ด้วยการ
นัง่ ตลอดวนั อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๕๑๙/๔๑. และ ความเพียรทางจิต เช่น เพียรพยายามผูก
จติ ไวด้ ้วยการกาหนดสถานทเ่ี ปน็ ตน้ ดจุ ในประโยคว่า เราจะไม่ออกจากถ้าน้ีจนกว่าจิต
ของเราจะหลุดพน้ จากอาสวะ ไม่ถอื ม่ันด้วยอปุ าทาน องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๑๘/๔.

อารทฺธวีริย (เป็นผู้ปรารภความเพียร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร
หมายถงึ การทาความเพียรทางกายและทางจติ ใหบ้ ริบูรณ์ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๕๒/๕.

อารามเจติย (อารามเจดยี ์) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๙/๔๐. อารามเจดยี ์ หมายถึงสถานทท่ี ี่งดงามด้วยไม้
ดอกและไม้ผล ท่ีเรียกวา่ เจดยี ์ เพราะเป็นสถานท่ีกระทาให้วิจิตรทาให้น่าบูชา วนเจดีย์
หมายถงึ ชายปุาที่ตอ้ งนาเครอ่ื งพลีกรรมไปสังเวย ปาุ สุภควันและปุาที่ ต้ังศาลเป็นท่ีสถิต
ของเทวดาเปน็ ต้น รกุ ขเจดีย์ หมายถึงต้นไม้ใหญ่ท่คี นเคารพบชู าใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้าน
หรอื นิคมเปน็ ตน้ โดยเข้าใจวา่ เปน็ ที่อยูข่ องเทวดาผมู้ ีฤทธ์ิ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๔๙/๑๒.

อารามเทวตา (อารามเทวดา) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๙/๕๑๐. อารามเทวดา หมายถงึ เทวดาผู้สถิตอยู่
ในสวนไมด้ อกและไม้ผล ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๖๙/๒๗.

อาลย (อาลัย) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๑/๓๐๕. อาลัย คือกามคุณ ๕ ที่สัตว์พัวพัน ยินดี เพลิดเพลิน
วิ.อ. (บาล)ี ๓/๗/๑. เปน็ ช่ือเรียกกิเลส ๒ อย่าง คือกามคุณ ๕ และตัณหาวิจริต ๑๐๘
ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๘๑/๘๒, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๗/๑๘๔, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๙๗๓-
๙๗๖/๖๖๒-๖๗.

อาวาส (อาวาส) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๖๐/๑๖๓. อาวาส ในที่น้ีหมายถึงขันธ์ท้ังหลาย ม.มู.อ. (บาลี)
๑/๑๖๐/๓๗.

อาวุโส (อาวโุ ส) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๘๖/๓๑๑. อาวุโส แปลว่า ผู้มีอายุ เดิมใช้เป็นคาเรียกกันเป็น
สามญั คอื ภกิ ษผุ ูแ้ กก่ วา่ เรียกภิกษุผู้อ่อนกว่าหรือ ภิกษุผู้อ่อนกว่าเรียกภิกษุผู้แก่กว่าก็ได้
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๑๖/๑๙.

อาสภฏฺ าน (ฐานะท่ีองอาจ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๔. ฐานะที่องอาจ อรรถกถาอธิบายว่า
หมายถึงฐานะท่ีประเสรฐิ ที่สุด ที่สูงสดุ หรือฐานะของพระพทุ ธเจา้ ผู้ประเสริฐท่ีสุดในปาง
กอ่ น อนึ่ง คาวา่ อาสภะ มาจากคาวา่ อุสภะ เป็นชื่อโคจ่าฝูงของโคจานวนมากตั้ง ๑๐๐
ตัว ๑,๐๐๐ ตัว ๑๐๐ คอก ๑,๐๐๐ คอก มีสีขาว นา่ ดู มีกาลงั สามารถนาภาระหนักยิ่งไป
ได้ ยืนหยดั ดว้ ยเทา้ ทัง้ ๔ ไม่หวั่นไหวต่อเสียงฟูาร้องต้ัง ๑๐๐ คร้ัง พระตถาคตเปรียบ

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๘๓

เหมือนโคอสุ ภะ คือ ประทบั ยนื ข่มบริษทั ทั้ง ๘ ได้อย่างม่ันคงด้วยพระบาท (ฐานะ) คือ
เวสารัชชญาณ ๔ ประการ ไม่มปี ัจจามิตรใดในโลกและเทวโลก ที่สามารถทาให้พระองค์
หวั่นไหวได้ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๔๘/๓๔๗, องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๒๑/๓๒.

อาสว (อาสวะ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๔/๑๗. อาสวะ หมายถึงกิเลสท่ีหมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน
ไหลซมึ ซ่านไปยอ้ มจิตเม่ือประสบอารมณ์ต่าง ๆ มี ๔ อย่าง คอื กามาสวะ อาสวะคือกาม
ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ทิฏฐาสวะ อาสวะคือทฏิ ฐิ อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา ตามนัย
อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๓๗/๖๒๒-๖๓. แตพ่ ระสตู รจดั เป็น ๓ เพราะสงเคราะห์ทิฏฐาสวะเข้า
ในภวาสวะ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๔/๖.

อาเสวน (การเสพ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๒/๕๐๓. การเสพ ในท่ีนี้หมายถึงการเสพท่ีเป็นไปช่ัวขณะ
จิตเดียว ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๖๒/๒๗.

อาหารนโิ รธ (ความดบั แห่งอาหาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๙๐/๘๔. ความดับแห่งอาหาร จะปรากฏได้ก็
ต่อเม่ือดับตัณหาที่เป็นปัจจัยแห่งอาหารท้ังที่เป็นอุปาทินนกะและ อนุปาทินนกะได้
กลา่ วคอื เมอ่ื เหตดุ บั ไปโดยประการทงั้ ปวง แมผ้ ลก็ยอ่ มดบั ไปโดยประการท้ังปวง ม.มู.อ.
(บาล)ี ๑/๙๐/๒๒๘, ม.มู.ฏกี า (บาลี) ๑/๙๐/๓๙.

อิตวิ ุตฺตก (อิติวตุ ตกะ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. อิติวุตตกะ ได้แก่ พระสูตร ๑๑๐ สูตร ที่ตรัส
โดยนยั วา่ วุตตฺ มิท ภควตา เป็นตน้

อิทฺธาภสิ งฺขาร (อทิ ธาภสิ งั ขาร) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๙๓/๔๒๔. อิทธาภิสังขาร หมายถึงการแสดง
ฤทธิ์ ในทีน่ ี้พระมหาโมคคลั ลานเถระเข้าอาโปกสิณแล้วอธิษฐานว่า ขอให้โอกาส (พื้นท่ี)
อันเป็นท่ีต้งั เฉพาะปราสาท จงเปน็ นา้ แล้วใช้หัวแม่เทา้ กดลงที่ชอ่ ฟาู ปราสาท ปราสาทนั้น
สั่นสะเทือนหวั่นไหวไปมา เหมือนบาตรวางไว้บนหลังน้า เอานิ้วเคาะท่ีขอบบาตร ก็
หวน่ั ไหวไปมาอยูน่ ิง่ ไมไ่ ดฉ้ ะนน้ั ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๓๙๓/๒๑.

อินทฺ ฺรยิ าคตุ ฺตทวฺ าร (ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๓/๕๕. ไม่คุ้มครองทวารใน
อินทรยี ์ หมายถงึ ไมส่ ารวมกรรมทวาร (คือ กาย วาจา ใจ) ในอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก
ลิ้น กาย และใจ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๖๓/๑๖. อง.ฺ ปญจฺ ก. (ไทย) ๒๒/๑๖๗/๒๘๕-๒๘๖.

อุทาน (อุทาน) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. อทุ าน ได้แก่ พระสูตร ๘๒ สูตรที่เก่ียวด้วยคาถาท่ีทรง
เปลง่ ดว้ ยพระหฤทัยสหรคตด้วยโสมนัสญาณ

๑๘๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

อปุ กฺกิเลส (อุปกิเลส) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๗๑/๖๓. อุปกิเลส หมายถึงกิเลสท่ีจรมาด้วยอานาจโลภะ
โทสะ และโมหะ แล้วทาจติ เดิม (ภวงั คจิต) ที่แม้ปกติก็บริสุทธิ์อยู่แล้วให้ต้องเศร้าหมอง
ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๗๑/๑๘๑, อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๔๙/๕.

อปุ ธิ (อุปธิ) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๗๔/๒๙๗. อุปธิ ในที่น้ีหมายถึงกามคุณ ๕ ประการ (คือ รูป เสียง
กล่ิน รส โผฏฐัพพะ) ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๗๔/๗.

อปุ าทานกขฺ นฺธ (อุปาทานขนั ธ์) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๙๑/๘๖. อุปาทานขันธ์ หมายถึงอุปาทาน + ขันธ์
คาว่า อุปาทาน แปลว่า ความถือมน่ั (อุป = มั่น + อาทาน = ถอื ) หมายถึงชอ่ื ของราคะท่ี
ประกอบดว้ ยกามคณุ ๕ บ้าง ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๑/๑๖, อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑๒๑๙/๔๔๒
หมายถึงความถอื มั่นด้วยอานาจตณั หา มานะ และทิฏฐิบ้าง ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๖๓/๓๐.
หมายถึงตณั หาบ้าง ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๔๑/๓๓. คาว่า ขันธ์ แปลว่า กอง อภิ.สงฺ.อ.
(บาล)ี ๕/๑๙. ดังนั้น อปุ าทานขนั ธ์ จงึ หมายถงึ กองอันเปน็ อารมณแ์ ห่งความถอื มั่น ไดแ้ ก่
รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๕/๒๙๙-๓๐๐, ขุ.ป. (ไทย)
๓๑/๓๓/๕๓, อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๐๒/๑๗๔, อภ.ิ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒๐๒/๑๑๗, ส.ข.ฏีกา (บาลี)
๒๒/๒๕๔, วสิ ุทธฺ .ิ (บาลี) ๒/๕๐๕/๑๒๒.

อุปาทนิ ฺนกรปู (อุปาทนิ นกรปู ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๐๒/๓๓๐. อปุ าทินนกรปู หมายถึงรูปมีกรรมเป็น
สมฏุ ฐาน คาน้ีเปน็ ช่อื ของรูปท่ดี ารงอย่ภู ายในสรีระ ทย่ี ึดถือ จับต้อง ลูบคลาได้ เช่น ผม
ขน ฯลฯ อาหารใหม่ อาหารเก่า คานีก้ าหนดจาแนกหมายเอาปฐวธี าตุภายใน แต่สาหรับ
อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ก็มีนัยเช่นเดียวกัน พึงทราบความพิสดารในคัมภีร์
วสิ ุทธมิ รรค ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๓๐๒/๑๓.

อุสฺม (ไออนุ่ ) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๖/๔๙๔. ไออุน่ หมายถึงเตโชธาตุท่ีเกิดจากกรรม ม.มู.อ. (บาลี)
๒/๔๕๖/๒๕๗-๒๕.

เอกายน (ทางสายเดียว) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๖/๑๐๑. ทางสายเดียว ในท่ีนี้มคี วามหมาย ๔ นัย คือ
ทางทีบ่ ุคคลผู้ละการเก่ยี วขอ้ งกับหมู่คณะไปประพฤติธรรมอยู่แต่ผู้เดียว ทางสายเดียวท่ี
พระพทุ ธเจ้าทรงทาให้เกิดข้นึ เปน็ ทางของบุคคลผเู้ ดียว คือ พระผู้มพี ระภาค ขอ้ ปฏิบัตใิ น
ศาสนาเดียว คือพระพทุ ธศาสนา ทางดาเนินไปสู่จุดหมายเดียว คือพระนิพพาน ที.ม.อ.
(บาล)ี ๒/๓๗๓/๓๕๙, ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๐๖/๒๔.

เอกาสนโภชน (ฉันอาหารมอ้ื เดยี ว) ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๒๔/๒๓๕. ฉันอาหารมื้อเดียว หมายถึงการ
ฉนั อาหารในเวลาเช้า คอื ตั้งแตด่ วงอาทิตย์ขึ้นจนถงึ เวลาเที่ยงวัน แม้ภิกษุฉันอาหาร ๑๐
ครัง้ ในชว่ งเวลานีก้ ป็ ระสงคว์ ่า ฉนั อาหารม้อื เดียว ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๒๕.


Click to View FlipBook Version