พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๘๕
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก
พระสตุ ตนั ตปิฎกเล่มที่ ๑๗
กตกรณยี (กจิ ทีค่ วรทาทาเสร็จแล้ว) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๒/๒๗. กิจที่ควรทาทาเสร็จแล้ว ในที่น้ี
หมายถงึ กจิ ในอริยสัจ ๔ คือ การกาหนดรู้ทุกข์ การละเหตุแห่งทุกข์ การทาให้แจ้งซึ่ง
ความดับทุกข์ และการอบรมมรรคมอี งค์ ๘ ใหเ้ จรญิ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/๒๐.
กมมฺ (กรรม ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๓/๒๙๓. กรรม หมายถึงกายกรรมและวจีกรรมรวมกัน ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔๗, ท.ี สี.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๖๘/๒๗๓, ท.ี สี.ฏีกา (อภินว) (บาล)ี ๒/๑๖๘/
๕๑, ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๗๔, ส.ข.ฏีกา (บาล)ี ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๑.
ขตตฺ ยิ ปณฺฑิต (กษัตรยิ ผ์ เู้ ปน็ บณั ฑติ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๗. กษัตริยผ์ ้เู ป็นบณั ฑติ หมายถึงพระราชา
ผ้เู ป็นบณั ฑติ ทั้งหลายมีพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าโกศลเป็นต้น ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒/
๒๘.
คหปตปิ ณฺฑิต (คหบดผี ้เู ปน็ บณั ฑิต) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๗. คหบดีผู้เป็นบัณฑิต หมายถึงคหบดีผู้
เป็นบณั ฑติ ทัง้ หลายมจี ิตตคหบดีและสุทัตตคหบดี (อนาถบิณฑิกเศรษฐี) เป็นต้น ส.ข.อ.
(บาล)ี ๒/๒/๒๘.
จตุวิญฺ าณฏฺ ติ (วิญญาณฐติ ิ ๔) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๕๔/๗๗. วิญญาณฐิติ ๔ ได้แก่ ขันธ์ ๔ คือ รูป
เวทนา สญั ญา สงั ขาร ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๕๔/๒๙.
เจตโสเอโกทภิ าว (ภาวะทีจ่ ิตเปน็ หนึง่ ผดุ ขน้ึ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๓๓/๓๔๓. ภาวะที่จิตเป็นหน่ึงผุด
ขน้ึ คาวา่ เอโกทิ เป็นชือ่ ของสมาธิ ทุติยฌานชื่อว่า เอโกทิภาวะ เพราะทาสมาธิท่ีช่ือว่า
เอโกทนิ ี้ให้เกิดเจริญขน้ึ พระผูม้ ีพระภาคตรสั วา่ มีภาวะท่จี ติ เป็นหน่ึงผุดขึ้น เพราะสมาธิ
ช่อื เอโกทินมี้ แี ก่จติ ไม่มีแก่สตั ว์ วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๑๔๓-๑๔.
ฉนฺท (ความพอใจ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๖/๑๐๖. ความพอใจ ในทน่ี ้ีหมายถึงความพอใจด้วยอานาจ
ตณั หา ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๖๕/๓๐.
ฉนทฺ ราค (ฉนั ทราคะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๘. ฉนั ทราคะ หมายถึงความกาหนัดท่ีไม่รุนแรง (ฉันทะ)
และความกาหนัดทีร่ ุนแรง (ราคะ) วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๒๙/๕๗๒, ขุ.ม.อ. (บาล)ี ๑/๘/๑๐.
๒๘๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
ฉนฺทราคปฺปหาน (ธรรมเปน็ ที่ละฉนั ทราคะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๖/๓๘. ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะ ใน
ที่นห้ี มายถงึ นิพพาน องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๑๐๔/๒๕.
ฉนฺทราควนิ ย (ธรรมเปน็ ท่ีกาจดั ฉนั ทราคะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๖/๓๘. ธรรมเป็นที่กาจัดฉันทราคะ
ในที่นี้หมายถึงนิพพาน อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๑๐๔/๒๕.
ชีว (ชีวะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๒/๒๙๐. ชีวะ หมายถึงพวกพืชทุกชนิด ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๒/
๓๗๒-๓๗๓, ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.
ชวี (ชวี ะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๘/๒๙๙. ชีวะ ในท่ีนี้หมายถึงวิญญาณอมตะ หรืออาตมัน (Soul)
อภ.ิ ปญฺจ.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๒.
าณทสฺสน (ญาณทัสสนะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๖/๓๙. ญาณทัสสนะ หมายถึงปัจจเวกขณญาณ
ญาณหยง่ั รูด้ ว้ ยการพิจารณาทบทวน คอื สารวจรู้มรรคผล กิเลสท่ีละได้แล้ว และนิพพาน
องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๑๐๔/๒๕.
ตถาคต (ตถาคต) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๘/๑๑๙. ตถาคต คานี้ท่านกลา่ วอธบิ ายไวโ้ ดยเหตุ ๘ อย่าง คือ
เรียกว่าตถาคต เพราะเสดจ็ มาแล้วอย่างน้นั เรียกวา่ ตถาคต เพราะเสด็จไปแล้วอย่างน้ัน
เรียกวา่ ตถาคต เพราะเสดจ็ มาสู่ลกั ษณะอันแท้ เรียกวา่ ตถาคต เพราะทรงเห็นสิ่งแท้จริง
เรยี กวา่ ตถาคต เพราะตรสั วาจาจริง เรยี กว่า ตถาคต เพราะทรงทาจริง เรียกว่าตถาคต
เพราะอรรถว่าครอบงา ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๘/๓๑๕, องฺ.จตกุ ฺก.ฏกี า (บาล)ี ๒/๓๓/๓๕.
ตถาคต (ตถาคต) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๘๕/๑๔๘. ตถาคต ในท่ีนี้เป็นคาท่ีลัทธิอ่ืน ๆ ใช้กันมาก่อน
พุทธกาล หมายถึงอัตตา (อาตมัน) ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า อรรถกถาอธิบายว่า
หมายถึงสัตว์ ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๘๕/๓๓๙, ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๐.
ติกมมฺ (กรรม ๓) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๓/๒๙๓. กรรม ๓ หมายถงึ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔๗, ที.สี.ฏกี า (บาลี) ๑/๑๖๘/๒๗๓, ที.สี.ฏีกา (อภินว) (บาลี)
๒/๑๖๘/๕๑, ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๗๔, ส.ข.ฏีกา (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๑.
ตริ จฺฉานวิชฺชา (เดรัจฉานวิชา) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๑/๓๔๘. เดรจั ฉานวชิ า หมายถงึ วิชาท่ีขวางทาง
ไปส่สู วรรค์ และนพิ พาน ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๗/๘.
ทนฺตภูมิ (ทนั ตภมู ิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๖/๑๑๗. ทนั ตภูมิ หมายถึงภมู ขิ องทา่ นผูไ้ ดร้ ับการฝึกตนแล้ว
ไดแ้ ก่ พระอรหัต ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๖/๓๑.
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๘๗
ทฺวยการี (ผู้มีปกติทากรรมทั้ง ๒) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๔/๓๕๑. ผู้มีปกติทากรรมท้ัง ๒ ในท่ีน้ี
หมายถงึ กุศลกรรมและอกุศลกรรม ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๓๔๓-๒๙๑/๓๘.
เทเสติ (แสดง) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๙. แสดง หมายถึงการให้อุทเทส (คาเริ่มต้น) จบลง องฺ.
จตกุ ฺก.ฏีกา (บาล)ี ๒/๑๗๒/๔๓.
ธมมฺ (ธรรม) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔๗/๖๖. ธรรม ในท่ีน้หี มายถงึ ธรรมารมณ์ ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๔๗/๒๙.
ธมมฺ จกฺก (ธรรมจักร) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๘/๑๒๐. ธรรมจกั ร หมายถึงญาณ ๒ ประการ คือ ปฏิเวธ
ญาณ คือญาณท่เี ปน็ เหตุให้พระองคท์ รงแทงตลอดอรยิ สจั ๔ เทสนาญาณ คือญาณที่เป็น
เหตุให้พระองค์ทรงประกาศธรรมจกั ร ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๘/๓๑.
ธมฺมานุสารี (ธัมมานุสารี) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๐๒/๓๒๐. ธัมมานุสารี หมายถึงผู้แล่นไปตามธรรม
ท่านผู้ปฏบิ ัตเิ พือ่ โสดาปัตติผล มีปัญญาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ องฺ.
ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตฺตก.อ. (บาล)ี ๓/๑๔/๑๖.
นตถฺ กิ วาท (นตั ถิกวาทะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๒/๑๐๒. นัตถิกวาทะ หมายถึงลัทธิท่ีถือว่าไม่มีเหตุ
ปัจจยั ทท่ี าให้สตั วบ์ ริสทุ ธ์ิหรือเศร้าหมอง ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๖๒/๓๐๗, ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๑๖๘/๑๔.
นาปรติ ฺถตตฺ (ไม่มีกจิ อืน่ เพื่อความเปน็ อยา่ งนี้อีกตอ่ ไป) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๒/๒๗. ไม่มีกิจอ่ืนเพ่ือ
ความเป็นอย่างนี้อกี ตอ่ ไป หมายถึงไม่มีหน้าที่ในการบาเพญ็ มรรคญาณ เพ่อื ความหมดส้ิน
แห่งกเิ ลสอกี ต่อไป เพราะพระพุทธศาสนาถอื ว่าการบรรลุอรหัตผล เป็นจุดหมายสูงสุด
ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๘/๒๐.
นิคณฺฐคี พภฺ (นคิ ัณฐคี รรภ์) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๓/๒๙๓. นิคัณฐีครรภ์ หมายถึงที่งอกซ่ึงอยู่ท่ีข้อ
หรือตา เชน่ อ้อย ไมไ้ ผ่ และไม้อ้อ เป็นต้น ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๗๕, ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.
เนกขฺ มฺม (เนกขัมมะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๒๒/๓๓๕. เนกขัมมะ ในท่ีนี้หมายถึงโลกุตตรธรรม ๙
ประการ (คือ มรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน) ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๓๒๒/๓๗.
ปญจฺ กมมฺ (กรรม ๕) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๓/๒๙๓. กรรม ๕ หมายถงึ อนิ ทรยี ์ ๕ อันได้แก่ ตา หู จมูก
ลิน้ และกาย ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔๗, ที.สี.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๖๘/๒๗๓, ที.สี.ฏีกา
(อภินว) (บาล)ี ๒/๑๖๘/๕๑, ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๗๔, ส.ข.ฏีกา (บาลี) ๒/
๒๑๓-๒๑๕/๓๑.
๒๘๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
ปญฺ เปติ (บญั ญตั )ิ ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๙. บัญญัติ หมายถึงประกาศใหร้ ถู้ ึงเน้ือความตามท่ีตั้ง
อุทเทสไว้โดยประการต่าง ๆ ตามทย่ี กแสดงไว้ อง.ฺ จตกุ กฺ .ฏีกา (บาลี) ๒/๑๗๒/๔๓.
ปฏฺ เปติ (กาหนด) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๙. กาหนด หมายถงึ การใหเ้ นื้อความน้ันดาเนินไปโดย
ประการตา่ ง ๆ องฺ.จตุกฺก.ฏกี า (บาล)ี ๒/๑๗๒/๔๓.
ปรกิ ฺขีณภวสญโฺ ชน (สิน้ ภวสงั โยชน์แลว้ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๐๙/๒๐๕. ส้ินภวสังโยชน์แล้ว ในที่น้ี
หมายถึงบรรลุอรหัตผล อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๓๘/๑๓.
ปรชิ าน (กาหนดรู้) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๔/๓๖. กาหนดรู้ ในท่ีน้ีหมายถึงตีรณปริญญา (กาหนดรู้ข้ัน
พจิ ารณา) ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๒๕-๓๐/๒๙.
ปาฏกิ งขฺ า (พึงหวงั ได้) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๑๐. พึงหวงั ได้ ในทีน่ ้ีหมายถึงจาตอ้ งปรารถนา จาต้องมี
แนน่ อนหรอื จาตอ้ งเกดิ ในคตนิ ้ันแนน่ อน อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๗๐/๒๑.
ปาณ (ปาณะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๒/๒๙๐. ปาณะ หมายถึงสตั ว์ทม่ี ี ๑ อนิ ทรีย์ ๒ อินทรีย์ เป็นต้น
ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๒/๓๗๒-๓๗๓, ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔.
ปถุ ุชฺชน (ปุถชุ น) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑/๓. ปุถุชน หมายถึงคนท่ียังมีกิเลสหนา ท่ีเรียกเช่นนี้ เพราะ
บคุ คลประเภทนีย้ งั มีเหตุกอ่ ใหเ้ กิดกิเลสอยา่ งหนานานัปการ ปถุ ชุ นมี ๒ ประเภท คือ อันธ
ปุถุชน คนท่ีไม่ได้รับการศึกษาอบรมทางจิต และกัลยาณปุถุชน คนที่ได้รับการศึกษา
อบรมทางจิตแลว้ ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๗/๕๘-๘.
ปุรสิ ภูมิ (ปุรสิ ภูมิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๓/๒๙๓. ปรุ ิสภมู ิ หมายถึงข้ันตอนแห่งการเจริญเติบโตและ
พัฒนาการของบุคคลนบั ตั้งแตค่ ลอดไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แบ่งเป็น ๘ ข้ัน คือ
มันทภูมิ (ระยะไร้เดยี งสา) ขฑิ ฑาภมู ิ (ระยะรู้เดียงสา) ปทวมี งั สภูมิ (ระยะตงั้ ไข)่ อุชคุ ตภูมิ
(ระยะเดนิ ตรง) เสขภมู ิ (ระยะศึกษา) สมณภมู ิ (ระยะสงบ) ชินภูมิ (ระยะมีความรอบรู้)
ปนั นภูมิ (ระยะแกห่ งอ่ ม) ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๗๕, ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.
พฺรหฺมจริยปริโยสาน (ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๕/๔๙. ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์
หมายถึงจดุ สดุ ทา้ ยของการประพฤตธิ รรม ในทีน่ ีห้ มายถึง อรหตั ผลอนั เปน็ จดุ หมายสูงสุด
แห่งมรรคพรหมจรรย์ ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๔๐๕/๓๐.
พรฺ าหมฺ ณปณฺฑติ (พราหมณผ์ เู้ ป็นบณั ฑติ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๗. พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต หมายถึง
พราหมณผ์ เู้ ปน็ บัณฑติ ท้งั หลายมีจังกีพราหมณ์และตารกุ ขพราหมณเ์ ปน็ ตน้ ส.ข.อ. (บาลี)
๒/๒/๒๘.
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๘๙
ภควา (เป็นพระผมู้ ีพระภาค) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๘/๑๑๙. เป็นพระผู้มีพระภาค เพราะทรงมีโชค
ทรงทาลายข้าศึกคือกิเลส ทรงประกอบด้วยภคธรรม ๖ ประการ (คือ ความเป็นใหญ่
เหนือจิตของตน, โลกุตตรธรรม, ยศ, สริ ิ, ความสาเร็จ ประโยชน์ตามต้องการ และความ
เพียร) ทรงจาแนกแจกแจงธรรม ทรงเสพอรยิ ธรรม ทรงคายตัณหาในภพท้งั ๓ ทรงเป็นที่
เคารพของชาวโลก ทรงอบรมพระองคด์ แี ลว้ ทรงมสี ่วนแหง่ ปจั จัย ๔ เป็นต้น วิ.อ. (บาลี)
๑/๑/๑๑๕-๑๑.
ภูต (ภูตะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๒/๒๙๐. ภตู ะ หมายถึงสัตว์ทุกจาพวกท่ีเกิดจากฟองไข่และเกิดใน
ครรภม์ ารดา ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๒๑๒/๓๗๒-๓๗๓, ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.
มญฺ มาน (กาหนดหมาย) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๔/๑๐๔. กาหนดหมาย ในท่ีน้ีหมายถึงกาหนดหมาย
ดว้ ยตณั หา มานะ และทฏิ ฐิ ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๖๔/๓๐.
มมงกฺ าร (มมังการ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๑/๑๑๑. มมังการ หมายถึงตณั หา องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๓๒/
๑๓.
มหากปฺป (มหากปั ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๓/๒๙๓. มหากัป หมายถงึ กาหนดระยะเวลายาวนานมาก
อรรถกถาเปรียบว่ามสี ระนา้ ใหญ่แหง่ หนงึ่ เต็มด้วยนา้ บคุ คลเอาปลายหญ้าคาจุ่มลงไปนา
หยดน้าออกมา ๑๐๐ ปี ต่อ ๑ คร้ัง จนนา้ ในสระน้ันแห้ง กระทาเช่นนี้ไปจนครบ ๗ ครั้ง
นัน่ คอื ระยะเวลา ๑ มหากัป ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๗๖, ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/
๑๔.
มารธมฺม (ธรรมของมาร) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๘๓/๒๗๐. ธรรมของมาร ในทน่ี ี้หมายถึงมรณธรรม ซึ่ง
เป็นสภาวะแหง่ ความพนิ าศย่อยยับ ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๑๗๐-๑๘๑/๓๖๘, ส.ฏกี า (บาลี) ๒/
๑๗๐-๑๘๑/๓๑.
รโชธาตุ (รโชธาตุ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๓/๒๙๓. รโชธาตุ หมายถึงที่ที่ฝุนจับเกาะ เช่น หลังฝุามือ
หลงั ฝาุ เทา้ เปน็ ตน้ ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๗๕, ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔.
รตฺติ (ราตร)ี ส.ข. (ไทย) ๑๗/๘๗/๑๖๐. ราตรี ในท่นี ้หี มายถงึ ปฐมยาม ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๓, องฺ.
ติก.อ. (บาลี) ๒/๑๒๘/๒๖.
โลกธมฺม (โลกธรรม) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๙. โลกธรรม ในทีน่ หี้ มายถงึ ขันธ์ ๕ ประการ (คือ รูป
เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ) ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๙๔/๓๔.
วตถฺ ุวิชฺชา (วชิ าพ้ืนท่ี) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๑/๓๔๘. วชิ าพ้ืนท่ี หมายถึงความรู้เร่ืองอันเป็นคุณเป็น
โทษของทาเลทต่ี ง้ั บ้านเรือนและเรอื กสวนไรน่ าเป็นต้น ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๑/๘.
๒๙๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
วิชฺชา (วิชชา) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔๗/๖๖. วิชชา ในท่ีนี้หมายถึงอรหัตตมัคควิชชา (ความรู้แจ้ง
อรหัตมรรค) ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๔๗/๒๙๗, องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๓๔/๑๓.
วธิ (ส่วน) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๖/๑๑๗. สว่ น ในทน่ี ้ีหมายถงึ สว่ นแหง่ มานะ ๓ อย่าง ส.ข.อ. (บาลี) ๒/
๗๖/๓๑.
วิภชติ (จาแนก) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๙. จาแนก หมายถึงการจาแนกประเด็นที่เปิดแล้ว องฺ.
จตกุ กฺ .ฏีกา (บาลี) ๒/๑๗๒/๔๓.
วิมรยิ าทกี ตเจต (มใี จปราศจากแดน) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๘/๔๒. มใี จปราศจากแดน ในท่ีน้ีหมายถึง
กิเลสหรือวัฏฏะ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๗-๑๘/๔, ส.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๗-๑๘/๓๓.
วิราชย (คายกาหนัด) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๔/๓๖. คายกาหนัด ในท่ีนหี้ มายถึงปหานปริญญา (กาหนด
รู้ขนั้ ละ) ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๕-๓๐/๒๙.
ววิ รติ (เปดิ เผย) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๙. เปิดเผย หมายถงึ การชี้แจงเนือ้ ความตามท่ีตง้ั อุทเทสไว้
โดยการวกกลับมาอธิบายซ้าอีก อง.ฺ จตุกกฺ .ฏีกา (บาลี) ๒/๑๗๒/๔๗.
วีมสก (ใครร่ ู้) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๗. ใคร่รู้ ในที่นี้หมายถึงแสวงหาประโยชน์ สนใจธรรม ส.ข.อ.
(บาล)ี ๒/๒/๒๘.
วสุ ติ พรฺ หฺมจริย (อยูจ่ บพรหมจรรย์แลว้ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๒/๒๗. อยจู่ บพรหมจรรยแ์ ลว้ หมายถึง
กจิ แห่งการปฏิบัติเพือ่ ทาลายอาสวกเิ ลสจบส้นิ สมบูรณ์ ไม่มีกจิ ท่จี ะตอ้ งทาเพ่ือตนเอง แต่
ยงั มีหน้าทีเ่ พอื่ ผู้อน่ื อยู่ ผู้อยู่จบพรหมจรรย์นี้ได้ช่อื วา่ อเสขบคุ คล ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/
๒๐.
เวลามกิ า (นางเวลามกิ า) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๖/๑๘๖. นางเวลามิกา หมายถึงหญิงท่ีถือกาเนิดจาก
กษัตรยิ ์กบั นางพราหมณ์ หรือถอื กาเนิดจากพราหมณ์กับนางกษัตริย์ ส.ข.อ. (บาลี) ๒/
๙๖-๙๘/๓๕.
สกกฺ าย (สกั กายะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔๔/๖๑. สักกายะ ในท่ีน้ีหมายถึงอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ
ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๘/๓๑๖, องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๓๓/๓๓.
สกฺกาย (สักกายะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๘/๑๑๙. สักกายะ ในท่ีน้ีหมายถึงขันธ์ ๕ ประการ (คือ รูป
เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ) ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๘/๓๑๖, องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๓๓/
๓๓.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๙๑
สญฺโ ชน (สังโยชน์) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๕/๑๘๓. สังโยชน์ หมายถึง กิเลสทผี่ กู มัดใจสัตว์กับทุกข์ มี
๑๐ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต กามราคะ ความติดใจในกามคุณ ปฏิฆะ ความ
กระทบกระท่ังในใจ หรือพยาบาท ความคิดร้าย รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรม อรูป
ราคะ ความติดใจในอรปู ธรรม มานะ ความถอื ตัว อทุ ธัจจะ ความฟุูงซ่าน อวชิ ชา ความไม่
ร้จู รงิ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๕๓-๖๒/๑๔, อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/
๙๔๐/๖๒.
สตตฺ (สัตว์) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๒/๒๙๐. สัตว์ หมายถึงสัตว์ทุกจาพวก เช่น อูฐ โค ลา ส.ข.อ.
(บาลี) ๒/๒๑๒/๓๗๒-๓๗๓, ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๖๘/๑๔.
สตฺตรตนสมฺปนฺน (ถึงพรอ้ มดว้ ยรัตนะ ๗ ประการ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๖/๑๑๖. ถึงพรอ้ มด้วยรัตนะ
๗ ประการ หมายถึงโพชฌงค์ ๗ ประการ คือ สติ ความระลึกได้ ธัมมวิจยะ ความเฟูน
ธรรม วิรยิ ะ ความเพยี ร ปตี ิ ความอ่ิมใจ ปสั สทั ธิ ความสงบกายสงบใจ สมาธิ ความมีจิต
ต้งั มน่ั อเุ บกขา ความมใี จเป็นกลาง ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๗๖/๓๑.
สตฺตสทธฺ มฺมโคจร (มีสัทธรรม ๗ ประการเป็นโคจร) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๖/๑๑๖. มีสัทธรรม ๗
ประการเปน็ โคจร หมายถึงมสี ัทธรรม ๗ ประการเป็นอารมณ์ สัทธรรม ๗ ประการนั้น
ได้แก่ สทั ธา ความเชอื่ หิริ ความละอาย โอตตปั ปะ ความเกรงกลัวบาป พาหุสจั จะ ความ
เปน็ ผมู้ ีสุตะมาก อารทั ธวริ ยิ ตา ความปรารภความเพียร อปุ ฏั ฐติ สั สตติ า ความมีสติมั่นคง
ปัญญา ความรอบรู้ ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๖/๓๐.
สทธฺ านสุ ารี (สทั ธานุสารี) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๐๒/๓๒๐. สัทธานุสารี คือผู้แล่นไปตามศรัทธา ท่านผู้
ปฏิบัติเพ่ือโสดาปัตติผล มีศรัทธาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต องฺ.ทุก.อ.
(บาลี) ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖.
สปริฬาห (เร่าร้อน) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๑๑. เร่าร้อน ในท่ีนี้หมายถึงเร่าร้อนทางกายและใจ
องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๗๕/๑๕.
สมณปณฑฺ ิต (สมณะผู้เปน็ บณั ฑติ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๗. สมณะผู้เป็นบัณฑิต หมายถึงปริพาชกผู้
เป็นบณั ฑิตทงั้ หลายมสี ภยิ ปริพาชกและปิโลตกิ ปริพาชกเปน็ ตน้ ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๒/๒๘.
สมาธิกลลฺ ติ กุสล (ฉลาดในความพร้อมในสมาธิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๖๕/๓๘๘. ฉลาดในความพร้อม
ในสมาธิ หมายถึงสามารถทาจติ ให้มคี วามรา่ เริงได้ องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาลี) ๓/๒๔/๑๐.
๒๙๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
สมาธโิ คจรกุสล (ฉลาดในโคจรในสมาธิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๖๗/๓๙๐. ฉลาดในโคจรในสมาธิ
หมายถึงฉลาดในการเว้นธรรมที่ไม่เป็นอุปการะแก่สมาธิแล้วเลือกเจริญแต่ธรรมท่ี
เปน็ สัปปายะและเป็นอปุ การะโดยรวู้ ่า นคี้ ือกามารมณ์ทีเ่ ปน็ นิมิต (เครื่องหมาย) สาหรับ
ทาใหจ้ ิตกาหนดั นี้คอื อารมณท์ ่เี ป็นไตรลกั ษณ์ องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๒๔/๒๐.
สมาธิ ติกุสล (ฉลาดในการตัง้ อย่ใู นสมาธิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๖๓/๓๘๖. ฉลาดในการต้ังอยูใ่ นสมาธิ
หมายถึงสามารถตั้งจติ ใหเ้ ป็นสมาธไิ ด้ องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาลี) ๓/๒๔/๑๐.
สมาธวิ ฏุ ฺ านกุสล (ฉลาดในการออกจากสมาธิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๖๔/๓๘๗. ฉลาดในการออก
จากสมาธิ ในท่ีน้ีหมายถึงกาหนดเวลาทจ่ี ะออกจากสมาธิได้ อง.ฺ ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๒๔/๑๐.
สมาธิสมาปตตฺ ิกสุ ล (ฉลาดในการเข้าสมาธิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๖๒/๓๘๕. ฉลาดในการเข้าสมาธิ
หมายถึงฉลาดในการเลือกอาหารและฤดูท่เี หมาะแก่การเจรญิ สมาธิ องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาลี) ๓/
๒๔/๑๐.
สมาธอิ ภนิ ีหารกสุ ล (ฉลาดในอภินิหารในสมาธิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๖๘/๓๙๑. ฉลาดในอภินิหารใน
สมาธิ หมายถงึ ฉลาดในการเจรญิ สมาธขิ ้ันปฐมฌาน ทุตยิ ฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน
ตามลาดับจนเกิดความชานาญแล้วเขา้ สมาธขิ นั้ สงู ขนึ้ ไป อง.ฺ ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๒๔/๑๑.
สมาหิต (มีจิตต้ังม่ัน) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๖/๑๑๗. มีจิตต้ังม่ัน หมายถึงต้ังม่ันด้วยอุปจารสมาธิ
และอปั ปนาสมาธิ ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๖/๓๑.
สมฺโพธิ (สัมโพธิ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๐๙/๒๐๕. สัมโพธิ ในที่น้ีหมายถึงมรรค ๓ เบ้ืองสูง (คือ
สกทาคามมิ รรค อนาคามมิ รรค และอรหัตมรรค องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔๒, องฺ.ติก.
ฏีกา (บาล)ี ๒/๘๗/๒๓.
สวิฆาต (เดือดร้อน) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๑๑. เดือดร้อน ในท่ีน้ีหมายถึงมีอุปสรรค มีอันตราย
(อปุ ัททวะ) อง.ฺ ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๓๕/๑๕.
สาหารวญิ ฺ าณ (วญิ ญาณพร้อมดว้ ยอาหาร) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๕๔/๗๗. วิญญาณพร้อมด้วยอาหาร
หมายถงึ กรรมวิญญาณ ได้แก่ วิญญาณท่ีสหรคตด้วยตัณหาและทฏิ ฐิท่ีมีความแปรผันเป็น
อารมณ์พร้อมด้วยปัจจยั มีอวชิ ชาและอโยนิโสมนสกิ ารเป็นต้น ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๕๓/๒๙๙,
ส.ฏีกา (บาลี) ๒/๗/๒๕๒, ๕๔/๒๖.
สขุ ี (มีความสุข) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๖/๑๑๖. มีความสุข หมายถึงมีความสุขด้วยสุขในฌาน มรรค
และผล ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๖/๓๐.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๙๓
โสตาปนนฺ (โสดาบัน) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๐๙/๒๐๕. โสดาบัน หมายถึงผู้ประกอบด้วยอริยมรรคมี
องค์ ๘ เพราะคาวา่ โสตะ เปน็ ชอื่ ของอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ อภิ.ปญฺจ.อ. (บาลี) ๓๑/๕๓ ส.
ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๐๑/๕๑.
อกิรยิ วาท (อกริ ิยวาทะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๒/๑๐๒. อกิริยวาทะ หมายถึงลัทธิท่ีถือว่าการกระทา
ทกุ อย่างไมม่ ีผล ทาดีก็ไมไ่ ด้ดี ทาชัว่ กไ็ ม่ไดช้ ว่ั เปน็ ความเห็นท่ปี ฏเิ สธกฎแห่งกรรม ส.ข.อ.
(บาลี) ๒/๖๒/๓๐๗, ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๖๖/๑๔.
อจฺจนฺตนิฏฺ (มีความสาเร็จข้ันสูงสุด) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔/๑๖. มีความสาเร็จขั้นสูงสุด ในท่ีน้ี
หมายถึงพ้นความพินาศคือกเิ ลสไป ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖/๓๕.
อจฺจนตฺ ปริโยสาน (มีจุดหมายข้ันทีส่ ดุ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔/๑๖. มีจดุ หมายขน้ั ที่สุด ในท่ีน้ีหมายถึง
พระนิพพาน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖/๓๕.
อจจฺ นฺตพรฺ หฺมจรยิ (มีพรหมจรรย์ข้นั สงู สุด) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔/๑๖. มีพรหมจรรย์ข้ันสูงสุด ในที่น้ี
หมายถึงอริยมรรค ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖/๓๕.
อจฺจนตฺ โยคกเฺ ขม (มีความเกษมจากโยคะข้ันสูงสุด) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔/๑๖. มีความเกษมจาก
โยคะข้ันสูงสุด ในทนี่ ้ีหมายถึงพระนพิ พาน ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๖๖/๓๕.
อจจฺ ุต (บทอนั ไม่จุติ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๕/๑๘๓. บทอนั ไม่จุติ ในที่น้ีหมายถึงพระนิพพาน ส.ข.อ.
(บาลี) ๒/๙๕/๓๕.
อญฺ ถตฺต (ความแปร) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๗/๕๑. ความแปร ในที่น้ีหมายถึงความเปล่ียนกลายไป
จากลกั ษณะหรือภาวะเดมิ ไดแ้ ก่ชรา อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๔๗/๑๕.
อฑฺฒกมมฺ (กรรมก่งึ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๓/๒๙๓. กรรมก่ึง หมายถึง มโนกรรม ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๑๖๘/๑๔๗, ที.สี.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๖๘/๒๗๓, ที.สี.ฏีกา (อภินว) (บาลี) ๒/๑๖๘/๕๑,
ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๗๔, ส.ข.ฏกี า (บาลี) ๒/๒๑๓-๒๑๕/๓๑.
อตรี ทสสฺ ี (มองไม่เหน็ ฝั่งนี้) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๑๗/๒๑๑. มองไม่เห็นฝั่งน้ี ในท่ีน้ีหมายถึงวัฏฏะ
ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๑๑๗-๑๒๑/๓๖.
อตตฺ ทีป (มตี นเปน็ เกาะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔๓/๕๙. มีตนเปน็ เกาะ หมายถงึ ทาตนให้พ้นจากห้วงน้า
คือ โอฆะ ๔ เหมือนกับเกาะกลางมหาสมุทรที่น้าท่วมไม่ถึง ฉะนั้น ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๑๖๕/๑๕๐, ท.ี ม.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๖๕/๑๘.
๒๙๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง
อนภิสงฺขจจฺ (ไม่ปรงุ แตง่ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๕๓/๗๖. ไมป่ รงุ แตง่ ในท่นี ้ีหมายถึงไม่ปรุงแต่งปฏิสนธิ
ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๕๓/๒๙.
อนิเกตสารี (ไม่เท่ียวซ่านไปหาท่ีอาศัย) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓/๑๑. ไม่เที่ยวซ่านไปหาท่ีอาศัย
หมายถงึ อารมณ์ ๖ (คอื รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์) ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๓/
๒๘๕-๒๘.
อนคุ คฺ าหก (เป็นผู้อนเุ คราะห์) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒/๗. เป็นผู้อนุเคราะห์ หมายถึงเป็นผู้อนุเคราะห์
ด้วยอามสิ และธรรม ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๒/๒๘.
อนตุ ตฺ ร (ประโยชน์ยอดเย่ียม) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓๕/๔๙. ประโยชน์ยอดเย่ียม หมายถึง อรหัตผล
หรืออรยิ ผลอันเปน็ ท่ีสุดแห่งมรรคพรหมจรรย์ อง.ฺ ทุก.อ. (บาล)ี ๒/๕/๗, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๘๒/๘.
อเนชนฺต (ความไมห่ วน่ั ไหว) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๖/๑๑๖. ความไม่หวั่นไหว หมายถึงพระอรหัตผล
ซึ่งเปน็ เหตุละตณั หาคอื ความหว่นั ไหวไดเ้ ด็ดขาด ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๗๖/๓๐.
อปารทสสฺ ี (มองไม่เห็นฝ่งั โนน้ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๑๗/๒๑๑. มองไม่เห็นฝั่งโน้น ในที่น้ีหมายถึง
นพิ พาน ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๑๑๗-๑๒๑/๓๖.
อปปฺ ฏปิ ุคฺคล (หาบุคคลเปรยี บเทียบมไิ ด้) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๘/๑๒๐. หาบุคคลเปรียบเทียบมิได้
หมายถงึ ไมม่ ีค่แู ขง่ คือไมม่ ีใครอืน่ ทีจ่ ะกล้าปฏิญญาว่า เราเป็นพระพุทธเจา้ ได้เหมือนพระ
ตถาคต องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๑๗๔/๑๐.
อภิชาติ (อภชิ าติ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๒/๒๙๐. อภชิ าติ หมายถึงการกาหนดหมายชนชั้น เช่น โจร
เปน็ กณั หาภชิ าติ (สีดา) นักบวชเปน็ นลี าภชิ าติ (สเี ขยี ว) นิครนถ์เป็นโลหติ าภชิ าติ (สีแดง)
คฤหสั ถ์เป็นหลทิ ทาภิชาติ (สีเหลือง) อาชวี กเป็น สกุ กาภิชาติ (สีขาว) นักบวชที่เคร่งวัตร
ปฏบิ ตั ิเป็นปรมสุกกาภิชาติ (สีขาวย่ิงนัก) ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๑๒๓-๒๑๕/๓๗๔, ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔.
อภิชาน (รู้ย่ิง) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๔/๓๖. รยู้ ิ่ง ในที่น้ีหมายถงึ ญาตปริญญา (กาหนดรูข้ ั้นรู้จัก) ส.ข.อ.
(บาล)ี ๒/๒๕-๓๐/๒๙.
อภินนฺทมานา (เพลดิ เพลิน) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๕/๑๐๕. เพลดิ เพลนิ ในทีน่ ีห้ มายถึงเพลิดเพลินด้วย
ตณั หา มานะ และทิฏฐิ ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๖๕/๓๐.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๙๕
อวิชฺชาธาตุ (อวิชชาธาตุ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๔๗/๖๖. อวชิ ชาธาตุ ในท่นี ้หี มายถงึ อวิชชาในขณะแห่ง
ชวนจิต ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๔๗/๒๙.
อวนิ ิปาต (ไมม่ ที างตกตา่ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑๐๙/๒๐๕. ไมม่ ที างตกต่า หมายถึงไม่ตกไปในอบาย ๔
คือ นรก กาเนดิ สตั ว์ดิรจั ฉาน แดนเปรต และพวกอสรู องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔.
อสฺสาท (คุณ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๖/๓๘. คุณ หมายถึงสภาวะทอี่ ร่อยหรอื สภาวะท่ีสุขกายและสุขใจ
ท่เี กย่ี วข้องกามคณุ อง.ฺ จตกุ ฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๐/๒๘๘, องฺ.จตุกกฺ .ฏกี า (บาลี) ๒/๑๐/๒๘.
อสฺสตุ ว (ผ้ไู ม่ได้สดบั ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑/๓. ผู้ไม่ได้สดับ ในที่นี้หมายถึงผู้ไม่มีปริยัติ ปฏิบัติ และ
ปฏเิ วธ องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๕๑/๕.
อเสกฺข าณ (อเสขญาณ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๖/๑๑๗. อเสขญาณ หมายถึง อรหัตผลญาณ ส.ข.อ.
(บาลี) ๒/๗๖/๓๑.
อหงฺการ (อหังการ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๑/๑๑๑. อหังการ หมายถึงทิฏฐิ องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๓๒/
๑๓.
อเหตกุ วาท (อเหตุกวาทะ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๒/๑๐๒. อเหตุกวาทะ หมายถึงลัทธิที่ปฏิเสธเหตุ
ปัจจยั ทที่ าให้สตั วบ์ รสิ ุทธ์ิ หรือเศร้าหมอง ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๖๒/๓๐.
อาจกิ ฺขติ (บอก) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๙. บอก หมายถึงกล่าวคาเร่ิมต้น แสดงคาเริ่มต้น องฺ.
จตกุ ฺก.ฏกี า (บาลี) ๒/๑๗๒/๔๓.
อาทีนว (โทษ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๖/๓๘. โทษ หมายถงึ สภาวะท่ไี มอ่ รอ่ ย หรอื สภาวะท่ีทุกข์กายและ
ทุกขใ์ จซึ่งมธี รรมเปน็ เหตุ อง.ฺ จตุกกฺ .อ. (บาล)ี ๒/๑๐/๒๘๘, องฺ.จตกุ กฺ .ฏีกา (บาล)ี ๒/๑๐/
๒๘.
อาสนทฺ ิปญฺจม (มีเตียงเป็นที่ ๕) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๐/๒๘๕. มีเตียงเป็นที่ ๕ หมายถึงเวลาหาม
ศพจะให้คน ๔ คนหามเตียงนอนไป ฉะน้ัน จึงชื่อว่ามีเตียงเป็นท่ี ๕ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๑๗๑/๑๕.
อุตฺตานีกโรติ (ทาให้ง่าย) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๙. ทาให้ง่าย หมายถึงการแสดงประเด็นท่ี
จาแนกไว้ให้ชัดเจนด้วยการชี้เหตุและยกอุทาหรณ์ต่าง ๆ มาประกอบ องฺ.จตุกฺก.ฏีกา
(บาล)ี ๒/๑๗๒/๔๗.
อปุ ย (ความเข้าถึง) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๕๓/๗๕. ความเข้าถึง ในที่น้ีหมายถึงเข้าถึงขันธ์ ๕ ด้วย
อานาจตณั หา มานะ และทิฏฐิ ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๕๓/๒๙.
๒๙๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง
อปุ าทยิ มาน (ยึดมนั่ ) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๖๓/๑๐๓. ยึดม่ัน ในท่ีนี้หมายถึงยึดม่ันด้วยอานาจตัณหา
มานะ และทฏิ ฐิ ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๖๓/๓๐.
เอกมนตฺ (ที่สมควร) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑/๑. ท่ีสมควร ในท่ีนี้หมายถึงที่เหมาะสม คือ เว้นโทษ ๖
ประการ ไดแ้ ก่ ไกลเกินไป ใกล้เกนิ ไป อยเู่ หนอื ลม สูงเกินไป อยู่ตรงหน้าเกินไป อยู่ข้าง
หลงั เกนิ ไป ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๖๐/๙๘, องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๑๖/๑.
โอก (ทอ่ี ยู่) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๓/๑๑. ทอ่ี ยู่ หมายถงึ ขันธ์ ๕ (คอื รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ)
ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๓/๒๘๕-๒๘.
โอปปาติก (โอปปาตกิ สตั ว์) ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๑๐/๒๘๕. โอปปาติกสัตว์ หมายถึงสัตว์ท่ีเกิดและ
เตบิ โตเต็มที่ทันที และเม่อื จุติ (ตาย) ก็หายวับไปไมท่ ง้ิ ซากศพไว้ เชน่ เทวดาและสัตว์นรก
เปน็ ต้น ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๔.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๙๗
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก
พระสตุ ตันตปฎิ กเล่มท่ี ๑๘
กตกรณยี (กิจท่ีควรทาทาเสร็จแล้ว) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑/๒. กิจท่ีควรทาทาเสร็จแล้ว ในที่น้ี
หมายถึงกิจในอริยสัจ ๔ คือ การกาหนดรู้ทุกข์ การละเหตุแห่งทุกข์ การทาให้แจ้งซ่ึง
ความดับทกุ ข์ และการอบรมมรรคมอี งค์ ๘ ใหเ้ จรญิ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/๒๐.
กปปฺ (กปั ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๖๑/๔๑๓. กปั หมายถงึ ระยะเวลาอันนานเหลือเกิน โบราณถือว่า
โลกประลัยครั้งหน่ึงเป็นส้ินกัปหนึ่ง องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๕๖/๓-๔, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา
(บาล)ี ๒/๑๕๖-๑๕๘/๔๒๑, วิสทุ ธิ. (บาล)ี ๒/๔๐๖/๕๕.
กสมฺพกุ ชาต (หยากเยื่อ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๑/๒๔๔. หยากเย่ือ ในที่น้ีหมายถึงหยากเยื่อคือ
กิเลสมีราคะเป็นต้น ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๔๑/๑๐๑, องฺ.ติก. อ. (บาล)ี ๒/๑๓/๘.
กามคณุ (กามคุณ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๗/๑๓๔. กามคุณ หมายถึงกาม (ส่ิงที่ทาให้เกิดความ
ใคร่) และคณุ (เครอื่ งผกู พนั หรอื พนั ธนาการ) ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๕๔๖/๓๓. ฉะนั้นกามคุณ
จึงหมายถึงส่งิ ท่ีผูกพนั สัตว์ไว้คอื กาม ไดแ้ ก่ รปู เสียง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ
กามโภคี (กามโภคบี คุ คล) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๖๔/๔๒๑. กามโภคบี คุ คล หมายถึงผู้บริโภคกาม, ผู้
ครองเรือน, คฤหัสถ์ ในที่น้ีมี ๓ จาพวก แต่ในท่ีอื่นมี ๑๐ จาพวก คือ จาพวกท่ี ๑-๒
แบง่ ย่อยเปน็ ๓ จาพวก จาพวกท่ี ๓ แบง่ ย่อยเปน็ ๔ จาพวก อง.ฺ จตกุ ฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๕/
๒๙.
กามสหคต (ประกอบดว้ ยกาม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๓๒/๓๕๐. ประกอบด้วยกาม ในท่ีน้ีหมายถึง
ประกอบด้วยนิวรณ์ ๕ ประการ คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
วิจิกิจฉา ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๓๓๒-๓๓๙/๑๕.
กายสงฺขาร (กายสังขาร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๒. กายสังขาร หมายถึงสภาพปรุงแต่งการ
กระทาทางกายหรอื กายสัญเจตนา คือ ความจงใจทางกาย ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๘/
๑๕๔, อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๒๓/๑๐.
๒๙๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง
กมุ ฺมาส (ขนมกมุ มาส) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๓/๑๑๕. ขนมกุมมาส หมายถึงขนมที่เก็บไว้นาน
เกินไปจะบดู เช่น ขนมดว้ ง ขนมครก ขนมกล้วย ขนมถว้ ย ขนมตาล เปน็ ตน้ พระพทุ ธเจา้
หลังบาเพญ็ ทกุ รกิริยากเ็ สวยขา้ วสุกและขนมกุมมาส พระธรรมปิฎก : พจนานุกรมพุทธ
ศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์, ๒๕๓๘, หนา้ ๒.
โกตุหลสาลา (ศาลาถกแถลง) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๔๑๘/๔๙๑. ศาลาถกแถลง อรรถกถาแก้ว่า
กุตูหลายนฺติ กุตูหลสาลา นาม ปจฺเจกสาลา นตฺถิ ยตฺถ ปน นานาติตฺถิยา สมณ -
พฺราหมฺ ณา นานาวธิ กถ ปวตฺเตนฺติ, สา พหนุ นฺ อย กึ วทติ, อย กึ วทตีติ กุตหู ลปุ ฺปตฺติฏฺ-
านโต กตุ หู ลสาลาติ วุจฺจติ. ไม่มีศาลาท่ีมีชื่ออย่างนี้โดยเฉพาะ แต่เป็นสถานที่ท่ีสมณ
พราหมณ์ผเู้ ป็นเดยี รถีย์ตา่ งพวกมาแสดงทรรศนะตามลัทธิของตน ชื่อกุตูหลสาลา เพราะ
เปน็ ที่เกิดการโต้เถียงกันว่า ท่านน้ีพูดอย่างไร ท่านนี้พูดอย่างไร ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๔๑๘/๑๗.
คณก (นักคานวณ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๔๑๐/๔๖๘. นักคานวณ หมายถึงผู้ฉลาดในการนับ
ตดิ ต่อกันไปไมข่ าดสาย ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๔๑๐/๑๗๕, ส.ฏีกา (บาล)ี ๒/๔๑๐/๔๕.
เคหสิต (อาศยั เรือน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๔/๙๙. อาศัยเรือน ในท่ีนี้ได้แก่ กามคุณ ๕ (รูป เสียง
กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ) ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๙๔/๓.
จกฺขุ (จักษุ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๖๔/๔๒๐. จักษุ ในทนี่ ห้ี มายถงึ ปญั ญาจักษุ วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑๓/๑.
จกขฺ ุภตู (มีพระจกั ษุ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๑. มีพระจักษุ หมายถึงมีพระปัญญาจักษุโดย
ทรงเป็นผูน้ าของชาวโลกในการเห็นธรรมด้วยพระสยัมภูญาณ องฺ.ทสก.ฏีกา (บาลี) ๓/
๑๑๓-๑๑๖/๔๓.
จตุราสีวสิ (อสรพิษ ๔ จาพวก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๘/๒๓๖. อสรพิษ ๔ จาพวก ในท่ีน้ีได้แก่
กฏั ฐมขุ ะ รา่ งกายท่ีถกู งูกฏั ฐมุขะกดั จะแข็งกระด้างเหมือนไม้แห้ง ปตู มิ ขุ ะ ร่างกายท่ีถูกงู
ปูตมิ ขุ ะกดั จะมนี ้าเหลืองไหลเย้มิ เหมือนขนนุ สกุ เน่า อัคคิมุขะ ร่างกาย ท่ีถูกงูอัคคิมุขะ
กัด จะไหม้กระจายไป เป็นเหมือนกาขี้เถ้าและกาแกลบ สตั ถมุขะ รา่ งกายที่ถูกงูสัตถมุขะ
กดั ย่อมขาดเป็นช่อง เปน็ เหมือนทีท่ ถี่ กู ฟาู ผา่ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๓๘/๖๑-๖.
จิตฺตสงฺขาร (จติ ตสังขาร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๒. จิตตสงั ขาร หมายถึงสภาพปรุงแต่งการ
กระทาทางใจ ไดแ้ ก่ สัญญาและเวทนาหรือมโนสัญเจตนา คือความจงใจทางใจ ส.สฬา.อ.
(บาลี) ๓/๓๔๘/๑๕๔, องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๒๓/๑๐.
พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๙๙
จิตฺตสมาธิ (จิตตสมาธิ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๖๕/๔๓๙. จติ ตสมาธิ หมายถงึ มรรค ๔ และวิปัสสนา
หรอื จิตเตกคั คตา ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๓๖๕/๑๗๑-๑๗.
เจตโสเอโกทภิ าว (ภาวะทจ่ี ิตเป็นหน่ึงผดุ ข้ึน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๓๓/๓๕๑. ภาวะที่จิตเป็นหนึ่ง
ผดุ ข้นึ คือ คาวา่ เอโกทิ เป็นช่อื ของสมาธิ ทุติยฌานช่ือว่า เอโกทิภาวะ เพราะทาสมาธิที่
ชือ่ ว่าเอโกทนิ ี้ให้เกิดเจริญข้นึ พระผู้มพี ระภาคตรสั ว่า มีภาวะท่ีจิตเป็นหน่ึงผุดข้ึน เพราะ
สมาธชิ ่ือเอโกทนิ ี้ มีแก่จติ ไมม่ แี กส่ ัตว์ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๑๔๓-๑๔.
เจโตวมิ ุตฺติ (เจโตวิมุตติ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๓. เจโตวิมุตติ หมายถึงผลอันเกิดจากสมาธิ
คอื ความหลดุ พน้ ดว้ ยสมถกมั มัฏฐาน ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๑๓๒/๕๑, องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/
๘๘/๖.
ฉนฺท (ฉันทะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๖/๒๕๙. ฉนั ทะ ในที่น้ีหมายถึงตัณหาท่ีมีกาลังอ่อน แรกเกิด
ไม่สามารถทาใหก้ าหนดั ได้ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๔๖/๑๒.
ฉนฺทราค (ฉนั ทราคะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓/๑๑. ฉันทราคะ หมายถึงความกาหนัดท่ีไม่รุนแรง
(ฉันทะ) และความกาหนดั ทีร่ นุ แรง (ราคะ) วิ.อ. (บาล)ี ๓/๓๒๙/๔๗๑, ส.สฬา.อ. (บาลี)
๓/๑๓-๑๖/๓-๔, ข.ุ ม.อ. (บาล)ี ๘/๑๐.
ฉนฺทราคปปฺ หาน (ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓/๑๑. ธรรมเป็นที่ละฉันท
ราคะ หมายถงึ นพิ พาน องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๑๐๔/๒๕.
ฉนทฺ ราควนิ ย (ธรรมเปน็ ทก่ี าจดั ฉนั ทราคะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓/๑๑. ธรรมเป็นที่กาจัดฉันท
ราคะ หมายถึงนพิ พาน องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๑๐๔/๒๕.
ฉนทฺ สมาธิ (ฉันทสมาธิ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๗๗/๔๕๖. ฉันทสมาธิ หมายถงึ สมาธิทเ่ี กิดจากฉันทะ
ปธานสังขาร หมายถึงความเพียรท่ีมุ่งม่ัน (ปธาน) คาว่า ฉันทสมาธิปธานสังขาร จึง
หมายถงึ สมาธิทเ่ี กิดจากฉนั ทะและความเพียรที่มุ่งมั่น วีริยสมาธิ จิตตสมาธิ และวีมังสา
สมาธิ กม็ ีอรรถาธิบายเชน่ เดยี วกนั องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๓๘๙/๔๔.
ฉนนฺ (พระฉนั นะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๗/๘๐. พระฉันนะ ในฉันนสูตรน้ี เป็นคนละรูปกับพระ
ฉันนะท่ีนาม้ากัณฐกะส่งเสด็จเม่ือคร้ังเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๘๗/๒. ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๘๙-๓๙๔/๔๔๖-๔๕๑.
ฉินฺนปปญฺจ (ผู้ตัดธรรมเครื่องเน่ินช้า) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๓/๗๖. ผู้ตัดธรรมเคร่ืองเน่ินช้า
หมายถงึ ตณั หา ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๘๓/๑.
๓๐๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
ฉินนฺ วฏุม (ผตู้ ัดทางได้แลว้ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๓/๗๖. ผูต้ ัดทางไดแ้ ล้วหมายถึงตัณหา ส.สฬา.อ.
(บาลี) ๓/๘๓/๑.
ชีว (ชีวะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๕/๓๗๔. ชีวะ ในที่นี้หมายถึงวญิ ญาณอมตะ หรืออาตมัน (soul)
อภิ.ปญจฺ .อ. (บาลี) ๑/๑/๑๒.
าณทสฺสน (ญาณทสั สนะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓/๑๒. ญาณทัสสนะ หมายถึงปัจจเวกขณญาณ
ญาณหย่งั รดู้ ้วยการพจิ ารณาทบทวน คอื สารวจรู้
าติ (ญาติ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๔/๒๕๔. ญาติ หมายถึงผู้เกี่ยวข้องกันโดยการแต่งงาน ได้แก่
บิดามารดาของสามี และเครอื ญาติฝุายบิดามารดาของสามี หรือบิดามารดาของภรรยา
และเครือญาติฝุายบิดามารดาของภรรยา ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๑๒/๓๖๗, ส.ฏีกา ๒/
๑๐๑๒/๖๒๙, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๗๖๒๒.
ตถาคต (ตถาคต) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๕/๓๗๔. ตถาคต ในท่ีน้ีเปน็ คาท่ีลัทธิอ่ืน ๆ ใช้กันมาก่อน
พุทธกาล หมายถึงอัตตา (อาตมัน) ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า อรรถกถาอธิบายว่า
หมายถึงสตั ตะ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๐.
ตติ ถฺ ยิ (เดียรถีย์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๓/๕๔. เดยี รถีย์ หมายถึงผ้ถู ือลทั ธนิ อกพระพุทธศาสนา เป็น
นักบวชผ้ถู อื ลทั ธิอนื่ ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๑๓๒/๑๐.
โตรณ (เชงิ เทิน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๕/๒๕๘. เชิงเทิน คือท่ีท่ีทาไว้เพ่ือประดับเมืองหรือเพ่ือ
ปูองกนั โจร สงู ประมาณ ๑ ชว่ งตัวบรุ ษุ หรือหมายถงึ บานประตกู ็ได้ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๒๔๕/๑๒.
ทมปู สม (ความข่มใจและความสงบใจ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๗/๘๗. ความข่มใจและความสงบใจ
แยกอธิบายดังน้ี ความข่มใจ (ทมะ) ในทีน่ ้หี มายถึงขนั ติ (ความอดทน) ส่วนความสงบใจ
(อปุ สมะ) เปน็ ไวพจนข์ องความขม่ ใจ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๘๘-๘๙/๒.
ทสสฺ น (ทศั นะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๕/๒๕๕. ทัศนะ ในที่นี้เป็นช่ือของปฐมมรรค (โสดาปัตติ
มรรค) ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๔๕/๑๑.
ทกุ ขฺ (ทกุ ข์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๖/๑๑๙. ทุกข์ ในที่น้ีหมายถึงทุกข์ในวัฏฏะ ส.สฬา.อ. (บาลี)
๓/๑๐๕-๑๑๓/๓.
ทกุ ขฺ ธมฺม (ทกุ ขธรรม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๔/๒๕๑. ทุกขธรรม หมายถึงขันธ์ ๕ ท่ีเป็นเหตุเกิด
แหง่ ทกุ ข์ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๔๔/๑๑.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๓๐๑
ทคุ ฺคติ (ทคุ ติ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๙/๒๑๘. ทุคติ หมายถึงสถานท่ีที่มีแต่ความทุกข์ องฺ.เอกก.อ.
(บาล)ี ๑/๔๓/๕.
ทพุ ฺพล (มกี าลงั ทราม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๒/๒๗๓. มีกาลังทราม ในที่น้ีหมายถึงมีกาลังแห่ง
ญาณอนั โทษประทุษร้ายแล้ว ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๕๒/๑๓.
ทสุ สฺ ีล (ทุศีล) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๑/๒๔๔. ทุศีล หมายถึงไม่มีศีล ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๔๑/
๑๐๐, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๑๓/๘.
ทฺวาสฏฺ ทิฏฺ คต (ทฏิ ฐิ ๖๒) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๕/๓๗๕. ทิฏฐิ ๖๒ คือ ทฤษฎที างอภปิ รัชญาที่
มีอยู่ในอนิ เดยี ท้ังกอ่ นและร่วมสมัยกับพระพุทธองค์ มีอยู่ท้ังหมด ๖๒ ทฤษฎี พระพุทธ
องค์ทรงยกมาแสดงเพอื่ ยนื ยนั วา่ พระองคท์ รงรู้ทฤษฎีดังกล่าวอย่างแจ่มแจ้ง และ ทรง
แสดงพรหมชาลสูตรครอบคลุมทฤษฎีเหล่านั้นท้ังหมด เปรียบเหมือนชาวประมงใช้แห
ทอดคลุมปลา ไว้ไดท้ ัง้ หมด ที.สี. (ไทย) ๙/๑๔๖/๔๖-๔๗.
เทเสตุ (แสดง) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๔/๒๒๙. แสดง หมายถึงการให้อุทเทส (คาเริ่มต้น) จบลง
อง.ฺ จตกุ ฺก.ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓.
ธมฺม (ธรรม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๕/๒๗๗. ธรรม ในท่ีนี้หมายถึงนิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕
อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ โพชฌงค์ ๗ และอริยสัจ ๔ องฺ.เอกก.อ. (บาลี)
๑/๓๙๐/๔๔.
ธมฺม (ธรรม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๗๗/๔๕๕. ธรรม ในท่ีนี้หมายถึงนิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕
อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ โพชฌงค์ ๗ และอริยสัจ ๔ องฺ.เอกก.อ. (บาลี)
๑/๓๙๐/๔๔.
ธมมฺ (ธรรม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๗/๑๐๗. ธรรม หมายถึงสมถะและวปิ ัสสนา ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๙๗/๓.
ธมฺม (ธรรมารมณ์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๔/๔. ธรรมารมณ์ ในท่ีน้ีหมายถึงอารมณ์ที่เกิดกับใจท่ี
เปน็ ไปในภูมิ ๓ (กามาวจรภมู ิ รูปาวจรภูมิ และ อรูปาวจรภูม)ิ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๔-๖.
ธมมฺ จกฺขุ (ธรรมจักษุ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๑/๑๔๗. ธรรมจักษุ ในที่นี้หมายถึงมรรค ๔ ผล ๔
ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๒๑/๔.
๓๐๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง
ธมฺมจกฺขุ (ธรรมจกั ษุ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๗๔/๖๘. ธรรมจกั ษุ หมายถึงการเห็นอริยสจั ๔ และการ
บรรลุมรรค ๓ เบ้อื งต้น แต่โดยทั่วไปหมายถงึ การบรรลุโสดาปตั ติมรรค ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/
๒๕๓/๒๑๔, ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๘๑/๓๘.
ธมฺมฌาน (ธรรมและฌาน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๑. ธรรมและฌาน ในที่นี้หมายถึงกุศล
กรรมบถ ๑๐ ประการ และสมาบตั ิ ๘ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๕.
ธมมฺ ปรยิ าย (ธรรมบรรยาย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๔/๑๑๗. ธรรมบรรยาย หมายถึงเหตุแห่งธรรม
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๔/๓.
ธมมฺ ภตู (มีพระธรรม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๑. มีพระธรรม หมายถึงทรงแสดงธรรมให้
ปรยิ ตั ิธรรมเป็นไปได้ หรอื ทรงให้โพธิปักขิยธรรม (ธรรมอันเป็นฝุายแห่งการตรัสรู้) ๓๗
ประการ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อินทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗
มรรคมอี งค์ ๘ องฺ.ทสก.ฏีกา (บาลี) ๓/๑๑๓-๑๑๖/๔๓.
ธมฺมสมาธิ (ธรรมสมาธิ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๖๕/๔๓๙. ธรรมสมาธิ หมายถึงกุศลกรรมบถ ๑๐
ประการ ธรรม ๕ ประการ (คอื ปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สขุ และสมาธ)ิ หรอื พรหมวหิ าร ๔
ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๖๕/๑๗๑-๑๗.
ธมมฺ สามี (เป็นเจ้าของธรรม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๒. เป็นเจ้าของธรรม หมายถึงเป็น
เจา้ ของพระโพธิปักขยิ ธรรม ๓๗ ประการ องฺ.ทสก.ฏีกา (บาล)ี ๓/๑๑๓-๑๑๖/๔๓.
นติ (ความน้อมไป) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๗/๘๓. ความน้อมไป ในท่ีนี้อรรถกถาแก้ว่าความ
เพลิดเพลนิ คือตัณหา ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๘๗/๒.
นนฺทิ (ความเพลิดเพลิน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๓/๕๓. ความเพลิดเพลิน ในท่ีน้ีหมายถึงความ
เพลดิ เพลนิ คือตณั หา ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๖๓/๑๕, ส.ฏีกา (บาล)ี ๒/๖๓/๓๔.
นิรย (นรก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๕/๑๖๙. นรก ในทน่ี ้ีหมายถึงอเวจีมหานรก ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๑๓๕/๕.
นาปรติ ถฺ ตตฺ (ไม่มกี ิจอน่ื เพอ่ื ความเป็นอยา่ งนอี้ กี ต่อไป) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑/๒. ไม่มีกิจอื่นเพ่ือ
ความเป็นอยา่ งนอ้ี กี ตอ่ ไป หมายถงึ ไม่มีหน้าทใี่ นการบาเพญ็ มรรคญาณ เพอ่ื ความหมดส้ิน
แหง่ กเิ ลสอกี ต่อไป เพราะพระพุทธศาสนาถอื ว่าการบรรลุอรหตั ผลเป็นจุดหมายสูงสุด ที.
ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/๒๐.
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๓๐๓
นิมติ ตฺ คฺคาหี (รวบถือ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๐/๑๔๒. รวบถอื หมายถึงมองภาพรวมเห็นเป็นหญิง
เปน็ ชาย เหน็ วา่ รปู สวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผสั ทอ่ี ่อนน่มุ เป็นอารมณ์ท่ีน่า
ปรารถนาดว้ ยอานาจฉันทราคะ อภิ.สง.ฺ อ. (บาล)ี ๑/๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.
นิรามิสทุกขฺ เวทนา (ทกุ ขเวทนาเจืออามิส) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๒/๒๘๘. ทุกขเวทนาไม่เจือ
อามิส หมายถึงโทมนัสสเวทนาอันเกิดข้นึ แกภ่ กิ ษุผเู้ ข้าไปตั้งความปรารถนาไว้ ในวิโมกข์
อนั ยอดเยีย่ ม เพราะความปรารถนาเป็นปจั จยั ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๖๒/๑๔.
นิรามสิ สขุ เวทนา (สขุ เวทนาไมเ่ จอื อามสิ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๒/๒๘๘. สุขเวทนาไม่เจืออามิส
หมายถึงเวทนาอันเกิดข้ึนด้วยสามารถแห่งปฐมฌานเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา
และดว้ ยสามารถแหง่ อนุสสติ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๖๒/๑๔.
นิรามิสาทุกฺขมสุขเวทนา (อทุกขมสุขเวทนาไม่เจืออามิส) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๒/๒๘๘.
อทกุ ขมสขุ เวทนาไม่เจืออามิส หมายถึงอทุกขมสุขเวทนาอันเกิดข้ึนด้วยสามารถจตุตถ
ฌาน ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๖๒/๑๔.
นสิ ีทน (นิสีทนะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๑/๑๔๔. นิสที นะ หมายถงึ ผ้าปนู ่งั สาหรับภิกษุ วิ.อ. (บาลี)
๒/๕๓๑-๕๓๔/๔๔๐, พระธรรมปิฎก : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ,
๒๕๓๘, หนา้ ๑๓.
ปญฺจกงฺค (ชื่อว่าปญั จกังคะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๗/๒๙๓. ชื่อว่าปัญจกงั คะ เพราะประกอบด้วย
องค์ ๕ ไดแ้ ก่ มดี ขวาน สิ่ว คอ้ น และกระปุกเสน้ ดา้ ย บรรทัด ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๖๗-
๒๖๘/๑๔.
ปญฺ ตตฺ าสน (พทุ ธอาสน์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๗๔/๖๖. พุทธอาสน์ หมายถึงอาสนะที่ปูลาดไว้
อนั ดับแรก เพราะสมัยพุทธกาลแม้ในที่อยู่ของภิกษุรูปเดียวก็จะปูอาสนะไว้ แม้จะเป็น
แผ่นกระดานหรอื เครือ่ งลาดใบไม้กต็ าม เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเวลาพระองค์เสด็จมา
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๗๓/๗.
ปญฺ เปตุ (บัญญตั ิ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๔/๒๒๙. บัญญัติ หมายถึงประกาศให้รู้ถึงเน้ือความ
ตามท่ตี ั้งอุทเทสไวโ้ ดยประการต่าง ๆ ตามทีย่ กแสดงไว้ อง.ฺ จตุกกฺ .ฏกี า ๒/๑๗๒/๔๓.
ปญฺ าวิมุตฺติ (ปญั ญาวิมตุ ติ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๓. ปัญญาวมิ ุตติ หมายถึงผลอันเกิดจาก
ปัญญา คือความหลุดพ้นด้วยวิปัสสนากัมมัฏฐาน ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๕๑, องฺ.
ทุก.อ. (บาลี) ๒/๘๘/๖.
๓๐๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
ปฏสิ ลฺลาน (ท่หี ลกี เร้น) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๗/๘๐. ท่หี ลีกเรน้ ในที่นี้หมายถึงผลสมาบัติ ส.สฬา.อ.
(บาลี) ๓/๘๗/๒.
ปฏฺ เปตุ (กาหนด) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๔/๒๒๙. กาหนด หมายถึงการให้เน้ือความน้ันดาเนินไป
โดยประการตา่ ง ๆ อง.ฺ จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓.
ปท (บท) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๖/๑๗๒. บท ในท่ีน้ีหมายถึงพระนิพพาน ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๑๓๖/๕.
ปทหติ (ม่งุ ม่นั ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๗๗/๔๕๕. มุ่งม่ัน หมายถึงทาความเพียรเป็นหลักใหญ่ องฺ.
เอกก.อ. (บาลี) ๑/๓๙๔/๔๔. ได้แกส่ ัมมปั ปธาน ๔ ประการ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๖๙/
๑๒๔-๑๒๕
ปริกขฺ ีณภวสญฺโ ชน (ส้ินภวสังโยชน์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๔/๑๖๘. ส้ินภวสังโยชน์ ในท่ีน้ี
หมายถงึ บรรลุอรหตั ผล องฺ.ติก.อ. (บาล)ี ๒/๓๘/๑๓.
ปริชาน (กาหนดรู้) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖/๒๕. กาหนดรู้ ในท่ีน้ีหมายถึงตีรณปริญญา (กาหนดรู้
ขน้ั พิจารณา) ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๖.
ปริตตฺ เจต (ปรติ ตจติ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๒. ปริตตจิต หมายถึงอกุศลจิต หรือจิตที่เป็น
กามาวจรที่ยังมกี ิเลสอยู่ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๐๙/๒๑๘, ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๑๓๒/๕.
ปรยิ าย (บรรยาย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๗/๒๙๕. บรรยาย ในที่นหี้ มายถึงเหตุ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๒๖๗-๒๖๘/๑๔.
ปรหิ านธมฺม (ปรหิ านธรรม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๖/๑๐๖. ปริหานธรรม หมายถึงธรรมท่ีมีความ
เส่อื มไปเป็นสภาพ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๙๖/๓.
ปวตตฺ (ทรงให้เป็นไปได้) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๒. ทรงให้เป็นไปได้ หมายถึงตรัสบอกให้รู้
แจ้งอริยสัจ ๔ องฺ.ทสก.ฏีกา (บาล)ี ๓/๑๑๓-๑๑๖/๔๓.
ปสฺสทฺธิ (ความสงบ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๗/๘๓. ความสงบ ได้แก่ กายปัสสัทธิ (สงบกาย) และ
จติ ตปสั สทั ธิ (สงบจติ ) ในทีน่ ้หี มายถงึ กิเลสปสั สัทธิ (สงบกิเลส) ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๘๗/
๒.
ปาตาล (บาดาล) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๒/๒๗๒. บาดาล ในท่ีน้ีหมายถึงสถานท่ีท่ีไม่ควรตกไป
เพราะไม่มที ่ีอาศยั ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๕๒/๑๓.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๓๐๕
ปาร (ฝั่ง) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. ฝงั่ ในท่นี ้ไี ด้แก่ พระนิพพาน ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๒๘/
๕.
ปุถุชฺชน (ปถุ ุชน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. ปุถชุ น หมายถงึ คนที่ยงั มีกิเลสหนา ที่เรียกเช่นนี้
เพราะบุคคลประเภทนยี้ ังมเี หตกุ อ่ ใหเ้ กิดกิเลสอย่างหนานานัปการ ปุถุชนมี ๒ ประเภท
คือ อันธปุถุชน คนที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรมทางจิต และกัลยาณปุถุชน คนที่ได้รับ
การศึกษาอบรมทางจิตแลว้ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๗/๕๘-๘.
ปถุ ุชฺชน (ปถุ ชุ น) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๕/๓๗๖. ปุถชุ น หมายถึงคนทย่ี งั มีกิเลสหนา ที่เรียกเช่นนี้
เพราะบคุ คลประเภทน้ียังมีเหตกุ อ่ ให้เกิดกิเลสอย่างหนานานัปการ ปุถุชนมี ๒ ประเภท
คือ อันธปุถุชน คนที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรมทางจิต และกัลยาณปุถุชน คนที่ได้รับ
การศึกษาอบรมทางจติ แลว้ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๗/๕๘-๕.
ผสฺสายตน (ผัสสายตนะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๗๑/๖๑. ผัสสายตนะ หมายถึงที่เกิดแห่งผัสสะ
ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๗๑/๑.
พหุสสฺ ตุ (พหสู ูต) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๔๑๐/๔๖๖. พหูสูต ในท่ีน้ีได้แก่ผู้ประกอบด้วยความเป็น
พหสู ูต ทงั้ ทางปริยตั ิและปฏิเวธ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๔๑๐/๑๗.
พฺรหฺมจริยปรโิ ยสาน (ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๔/๕๖. ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์
หมายถงึ จุดสดุ ทา้ ยของการประพฤติธรรม ในท่นี ห้ี มายถึง อรหัตผลอันเปน็ จุดหมายสูงสุด
ของมรรคพรหมจรรย์ ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๔๐๕/๓๐.
พรฺ หมฺ ภูต (เป็นผู้ประเสริฐ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๑. เป็นผู้ประเสริฐ หมายถึงการบรรลุ
พระสยมั ภูญาณแลว้ แสดงอรยิ ธรรมแก่ชาวโลก อง.ฺ ทสก.ฏกี า (บาล)ี ๓/๑๑๓-๑๑๖/๔๓.
ภารตก (ภารตะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๐. ภารตะ ในที่น้ีหมายถึงพวกกุฎุมพี ส.สฬา.อ.
(บาล)ี ๓/๑๓๒/๔.
มน (มโน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔/๒๓. มโน ในท่นี ี้หมายถึงภวังคจิต ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๔.
มนสุ ฺสธมฺม (ธรรมของมนุษย์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๕๑/๓๙๐. ธรรมของมนุษย์ หมายถึงกุศล
กรรมบถ ๑๐ ประการ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๕๑/๑๖๒, อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๔๕/๕.
มโนวญิ ฺ าณ (มโนวญิ ญาณ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔/๒๓. มโนวิญญาณ ในท่ีน้ีหมายถึงชวนจิตที่
เกดิ ร่วมกบั อาวชั ชนจติ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๔.
๓๐๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
มโนสมฺผสฺส (มโนสัมผัส) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔/๒๓. มโนสมั ผสั ในท่ีน้หี มายถึงผัสสะท่ีเกิดพร้อม
กับภวังคจิต ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๔.
มมงฺการ (มมงั การ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๘/๕๙. มมงั การ หมายถงึ ตณั หา องฺ.ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๓๒/
๑๑.
มาร (มาร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๔/๕๖. มาร ในที่นห้ี มายถงึ มรณะ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๖๕-๖๗/๑.
มิตตฺ (มิตร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๔/๒๕๔. มิตร หมายถึงคนรู้จักกัน เพราะการใช้ของในเรือน
รว่ มกนั เชน่ ให้ของแก่กนั และกัน หรอื รบั ของจากกนั ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๑๒/๓๖๗, ส.
ฏกี า ๒/๑๐๑๒/๖๒.
มตุ ตฺ (มตู ร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๗/๑๕๓. มตู ร หมายถึงน้าปัสสาวะท่ีมีอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
ขุ.ขุ.อ. (บาล)ี ๓/๕.
มุทฺทกิ (นกั ประเมนิ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๔๑๐/๔๖๘. นกั ประเมิน หมายถงึ ผู้ฉลาดในการนับด้วยนิ้ว
มือ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๔๑๐/๑๗๕, ส.ฏกี า (บาล)ี ๒/๔๑๐/๔๕.
โยค (โยคะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๔/๑๑๗. โยคะ หมายถึงสภาวะอันประกอบสัตว์ไว้ในภพมี ๔
อย่าง (คือ กามโยคะ สภาวะอันประกอบสัตว์ไว้ในภพคือกาม , ภวโยคะ สภาวะอัน
ประกอบสัตว์ไวใ้ นภพคือภพ, ทิฏฐิโยคะ สภาวะอนั ประกอบสัตว์ไว้ ในภพคือทิฏฐิ, อวิชชา
โยคะ สภาวะอันประกอบสตั ว์ไวใ้ นภพคืออวชิ ชา) ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๐๔/๓๘, ส.ฏีกา
(บาล)ี ๒/๑๐๔/๓๖.
โยคกเฺ ขม (ธรรมเปน็ แดนเกษมจากโยคะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๔/๑๖๘. ธรรมเป็นแดนเกษม
จากโยคะ หมายถงึ อรหตั ผลหรอื นิพพาน อง.ฺ ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๕.
โยคกเฺ ขมี (ความเพยี รทค่ี วรประกอบ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๔/๑๑๗. ความเพียรที่ควรประกอบ
หมายถึงสมถะและวิปัสสนาหรอื อรยิ สัจ ๔ ส.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๐๔/๓๖.
รตฺติ (ราตร)ี ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๓/๒๔๗. ราตรี ในที่นี้หมายถึงยาม ๒ ต้ังแต่ ๔ ทุ่ม ถึง ตี ๒
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๔๓/๑๑.
ราค (ราคะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๖/๒๕๙. ราคะ ในท่ีน้ีหมายถึงตัณหาที่มีกาลังที่เกิดขึ้นต่อมา
ทาให้เกดิ ความกาหนัดได้ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๔๖/๑๒.
โลก (โลก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๗/๑๒๑. โลก ในที่น้ีหมายถึงสังขารโลก ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๑๐๕-๑๑๓/๓.
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๓๐๗
โลก (โลก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๐. โลก ในที่น้ีหมายถึงโลกจักรวาล ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๑๑๖/๓.
โลก (โลก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๐. โลก ในท่ีน้ีหมายถึงสังขารโลก ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๑๑๖/๓.
โลก (โลก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๘. โลก ในท่ีน้ีได้แก่ สังขารโลก โลกคือสังขาร หรือ
สภาวธรรมท่ีมกี ารปรงุ แตง่ ตามเหตปุ ัจจัย ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๒๘/๕.
โลก (โลก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๘/๕๘. โลก ในท่นี ้ีหมายถึงสภาพท่จี ะต้องแตกสลายไป ส.สฬา.อ.
(บาล)ี ๓/๖๘/๑.
วจสี งฺขาร (วจสี งั ขาร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๒. วจีสงั ขาร หมายถึงสภาพปรุงแตง่ การกระทา
ทางวาจา ไดแ้ ก่ วติ กวจิ ารหรอื วจีสัญเจตนา คอื ความจงใจทางวาจา ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/
๓๔๘/๑๕๔, อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๒๓/๑๐.
วตฺต (บอกได้) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๒. บอกได้ หมายถึงตรัสบอกอริยสัจ ๔ ได้ องฺ.ทสก.
ฏีกา (บาลี) ๓/๑๑๓-๑๑๖/๔๓.
วายมติ (พยายาม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๗๗/๔๕๕. พยายาม หมายถึงทาความเพียรบากบั่น องฺ.
เอกก.อ. (บาลี) ๑/๓๙๔/๔๔. ไดแ้ ก่สัมมปั ปธาน ๔ ประการ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๖๙/
๑๒๔-๑๒๕.
วิชฺชา (วิชชา) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๕๓/๔๕. วิชชา หมายถึงความรู้แจ้งอรหัตมรรค ส.สฬา.อ.
(บาลี) ๓/๕๓-๖๒/๑.
วิญฺ าณญจฺ ายตนฌาน (วิญญาณัญจายตนฌาน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๙/๒๘๕. วิญญาณัญ
จายตนฌาน หมายถึงฌานทก่ี าหนดวญิ ญาณอันหาที่สุดมไิ ด้เป็นอารมณ์ เป็นขั้นท่ี ๒ แห่ง
อรูปฌาน ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๔๑๔/๓๐.
วินิปาต (วินิบาต) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๙/๒๑๘. วินิบาต หมายถึงสถานที่ที่สัตว์ผู้ทาความช่ัว
จะตอ้ งตกไป อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๔๓/๕.
วภิ ชตุ (จาแนก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๔/๒๒๙. จาแนก หมายถึงการจาแนกประเด็นที่เปิดเผย
แล้ว อง.ฺ จตุกฺก.ฏกี า ๒/๑๗๒/๔๓.
วิมริยาทิกตเจต (มีใจปราศจากแดน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๗/๑๗. มีใจปราศจากแดน ในที่น้ี
หมายถึงกเิ ลสหรือวัฏฏะ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๗-๑๘/๔, ส.ฏกี า (บาล)ี ๒/๑๗-๑๘/๓๓.
๓๐๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
วิมุตตฺ ิปริปาปาจนิย (ธรรมเป็นเครอื่ งบม่ วมิ ตุ ติ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๑/๑๔๓. ธรรมเป็นเคร่ือง
บม่ วมิ ตุ ติ หมายถงึ ธรรม ๑๕ ประการ คอื เว้นบุคคล ๕ จาพวก ไดแ้ ก่ คนไม่มศี รัทธา คน
เกียจครา้ น คนหลงลมื สติ คนมจี ิตไม่มัน่ คง และคนมีปัญญาทราม คบบุคคล ๕ จาพวก
ได้แก่ คนมีศรัทธา คนขยัน คนมสี ติมน่ั คง คนมีจติ ตัง้ มนั่ และคนมปี ัญญา พิจารณาธรรม
๕ ประการ คอื พระสตู รทนี่ ่าเลอ่ื มใส สมั มัปปธานสูตร สติปัฏฐานสูตร ฌานและวิโมกข์
และญาณจรยิ า อกี อย่างหน่ึง หมายถึงธรรม ๑๕ ประการ คอื อินทรยี ์ ๕ ประการ สญั ญา
อนั เปน็ ส่วนแห่งธรรม เครื่องตรสั รู้ ๕ ประการ และธรรม ๕ ประการมกี ัลยาณมิตตตาเปน็
ตน้ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๑๒๑/๔.
วริ ช (ปราศจากธุลี) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๗๔/๖๘. ปราศจากธุลี หมายถึงปราศจากธุลีคือราคะ
โทสะ และโมหะ อง.ฺ ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๕๘/๑๖.
วริ าค (วริ าคะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๔/๑๒๐. วริ าคะ หมายถึงมรรค วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑.
วิราชย (คายกาหนัด) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖/๒๕. คายกาหนัด ในที่น้ีหมายถึงปหานปริญญา
(กาหนดรู้ขั้นละ) ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๖.
ววิ รตุ (เปดิ เผย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๔/๒๒๙. เปิดเผย หมายถึงการช้ีแจงแสดงเนื้อความตาม
ท่ีต้ังอุทเทสไวโ้ ดยการวกกลับมาอธบิ ายซา้ อีก องฺ.จตกุ กฺ . ฏกี า ๒/๑๗๒/๔๓.
วเิ วก (วเิ วก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๙/๓๘๔. วิเวก ในทน่ี ห้ี มายถึงพระนิพพาน ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๓๔๘/๑๕.
วุสติ พรฺ หฺมจริย (อยจู่ บพรหมจรรยแ์ ล้ว) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑/๒. อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว หมายถึง
กิจแหง่ การปฏบิ ตั ิเพ่อื ทาลายอาสวกเิ ลสจบสน้ิ สมบรู ณ์ ไมม่ กี ิจทจ่ี ะตอ้ งทาเพื่อตนเอง แต่
ยงั มหี นา้ ทีเ่ พ่ือผ้อู ่นื อยู่ ผูอ้ ย่จู บพรหมจรรย์นี้ได้ชอ่ื ว่าอเสขบคุ คล ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/
๒๐.
เวทยิต (ความเสวยอารมณ์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔/๒๓. ความเสวยอารมณ์ ในทนี่ ห้ี มายถึงเวทนา
ที่เกดิ พร้อมกบั ชวนจิต ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๔.
สคาห (สัตวร์ ้าย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. สัตว์รา้ ย ในท่ีน้ีไดแ้ ก่ มาตุคาม ส.สฬา.อ. (บาลี)
๓/๒๒๘/๕.
สคคฺ (สวรรค)์ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๕/๑๗๐. สวรรค์ ในท่นี หี้ มายถงึ สวรรคช์ นั้ ดาวดึงส์ ส.สฬา.อ.
(บาลี) ๓/๑๓๕/๕.
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๓๐๙
สงฺขยาก (นกั ประมวล) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๔๑๐/๔๖๘. นักประมวล หมายถึงผู้ฉลาดในการนับ
ประมวล ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๔๑๐/๑๗๕, ส.ฏีกา (บาล)ี ๒/๔๑๐/๔๕.
สญฺโ ชน (สงั โยชน์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๕๔/๔๖. สังโยชน์ คือกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ มี
๑๐ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
สีลัพพตปรามาส ความถือม่ันศีลพรต กามราคะ ความติดใจในกาม ปฏิฆะ ความ
กระทบกระทง่ั ในใจ รูปราคะ ความตดิ ใจในรูปธรรม อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
มานะ ความถือตวั อทุ ธัจจะ ความฟุูงซา่ น อวิชชา ความไม่รจู้ ริง ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-
๖๒/๑๔,ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๐-๑๘๑/๑๑๔-๑๑๕, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑, อภิ.วิ.
(ไทย) ๓๕/๙๔๐/๖๒.
สปฺปาย (เป็นสปั ปายะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๑/๓๒. เป็นสัปปายะ หมายถึงมีประโยชน์ก่อให้เกิด
ความเจริญ องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๒๒/๙.
สพพฺ มญฺ ต (ความกาหนดหมายท้ังปวง) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๐/๓๐. ความกาหนดหมายท้ังปวง
ในท่ีนีห้ มายถึงตณั หา มานะ และทฏิ ฐิ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๐/๑๒, ส.ฏกี า (บาลี) ๒/๓๐/
๓๔.
สพพฺ ุปาทานปรญิ ฺ า (กาหนดรู้อปุ าทานทัง้ ปวง) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๐/๔๙. กาหนดรู้อุปาทาน
ท้งั ปวง หมายถึงเพ่อื รชู้ ดั อปุ าทานท้งั ๔ (กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม, ทิฏฐุปาทาน
ความยดึ ม่นั ในทิฏฐิ, สลี พั พตุปาทาน ความยึดมน่ั ในศลี พรต และอัตตวาทุปาทาน ความ
ยดึ ม่นั ในวาทะวา่ อัตตา) ด้วยปริญญา ๓ (ญาตปริญญา กาหนดรู้ข้ันรู้จัก, ตีรณปริญญา
กาหนดรู้ขัน้ พิจารณา, ปหานปริญญา กาหนดรขู้ น้ั ละ) ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-๖๒/๑.
สมุทฺท (สมทุ ร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. สมุทร ในที่น้ีได้แก่ อายตนะ ที่ช่ือว่าสมุทรเพราะ
ใหเ้ ต็มได้ยาก หรือเพราะเปน็ ทีผ่ ุดขึ้นแห่งกเิ ลส ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๒๘/๕๗-๕๘, ส.ฏกี า
๒/๒๒๘/๓๗๙-๓๘.
สรกฺขส (ผีเส้อื นา้ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. ผเี ส้ือน้า ในทน่ี ี้ไดแ้ ก่ มาตคุ าม ส.สฬา.อ. (บาลี)
๓/๒๒๘/๕.
สอูมิ (มีคลน่ื ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. มีคลื่น ในที่น้ีได้แก่ ความโกรธและความคับแค้น
ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๒๘/๕.
สามิสทกุ ขฺ เวทนา (ทุกขเวทนาเจอื อามสิ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๒/๒๘๘. ทุกขเวทนาเจืออามิส
หมายถงึ ทกุ ขเวทนาท่มี อี ามิสคอื กาม ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๖๒/๑๔.
๓๑๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
สามิสสุขเวทนา (สุขเวทนาเจืออามิส) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๒/๒๘๘. สุขเวทนาเจืออามิส
หมายถึงเวทนาอันประกอบดว้ ยอามิสคือกาม ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๖๒/๑๔.
สามสิ าทุกขฺ มสขุ เวทนา (อทกุ ขมสขุ เวทนาเจืออามิส) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๒/๒๘๘. อทุกขม
สุขเวทนาเจืออามสิ หมายถึงอทกุ ขมสุขเวทนาที่มอี ามสิ คือกาม ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๖๒/
๑๔.
สาโลหิต (สาโลหิต) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๔/๒๕๔. สาโลหติ หมายถึงผู้รว่ มสายเลือดเดยี วกัน เช่น
พ่ีชาย น้องชาย พ่ีสาว นอ้ งสาว ลุง ปาู เป็นต้น องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๗๖/๒๒. หรือญาติ
ฝุายมารดา องฺ.ตกิ .ฏกี า ๒/๗๖/๒๒.
สวฏฏฺ (วังวน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. วังวน ในท่ีน้ไี ด้แก่ กามคุณ ๕ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๒๒๘/๕.
สีวก (สวี กะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๙/๓๐๑. สีวกะ เปน็ ชือ่ ตัว สว่ นโมฬกิ ะ เป็นช่ือเล่น เพราะชอบ
ไวผ้ มจกุ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๖๙/๑๔.
สุราเมรย (สุราและเมรัย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๙๓/๓๒๐. สรุ าและเมรยั หมายถึงสรุ า ๕ อย่าง คือ
สุราแปงู สุราขนม สุราขา้ วสุก สุราใสเ่ ช้อื สรุ าผสมเครื่องปรุง เมรัย ๕ อย่าง คือ เคร่ือง
ดองดอกไม้ เคร่ืองดองผลไม้ เคร่ืองดองน้าอ้อย เคร่ืองดองน้าผึ้ง เครื่องดองผสม
เครอื่ งปรุง ขุ.ข.ุ อ. (บาล)ี ๒/๑๗-๑.
อกาลิก (ไม่ประกอบด้วยกาล) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๗๐/๕๙. ไม่ประกอบด้วยกาล หมายถึงให้ผลไม่
จากดั กาล คือไม่ขึ้นกับกาลเวลา ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติทุกเวลา ทุกโอกาส ปฏิบัติเม่ือใด ก็
ได้รบั ผลเมือ่ นนั้ อง.ฺ ทุก.อ. (บาลี) ๒/๕๔/๑๕.
อคฺคปท (บทท่ีสาคัญ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๔๑๐/๔๗๒. บทท่ีสาคัญ ในที่นี้หมายถึงเทศนา
ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๔๑๐/๑๗.
อฏฺ ปุริสปคุ คฺ ล (๘ บุคคล) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๑/๓๕๙. ๘ บคุ คล ได้แก่ พระผู้บรรลุโสดาปัตติ
ผล พระผู้ดารงอยู่ในโสดาปัตติมรรค พระผู้บรรลุสกทาคามิผล พระผู้ดารงอยู่ใน
สกทาคามมิ รรค พระผู้บรรลุอนาคามิผล พระผู้ดารงอยู่ในอนาคามิมรรค พระผู้บรรลุ
อรหัตผล พระผูด้ ารงอย่ใู นอรหตั มรรค อภิ.ปุ. (ไทย) ๓๖/๒๐๗/๒๒.
อตฺถนินฺเนต (ทรงแสดงประโยชน์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๒. ทรงแสดงประโยชน์ หมายถึง
ทรงให้สรรพสัตว์พ้นจากความทุกข์ ความบีบค้ันโดยให้บรรลุพระนิพพานอันเป็น
ประโยชน์ยอดเย่ยี ม อง.ฺ ทสก.ฏีกา (บาล)ี ๓/๑๑๓-๑๑๖/๔๓.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๓๑๑
อมตทาต (ประทานอมตธรรม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๒. ประทานอมตธรรม หมายถึง ทรง
แสดงข้อปฏิบัติเพ่ือบรรลุ เพ่ือรู้แจ้งอมตธรรมแก่สรรพสัตว์ องฺ.ทสก. ฏีกา (บาลี) ๓/
๑๑๓-๑๑๖/๔๓.
อนต (ความไมน่ ้อมไป) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๗๘/๔๖๐. ความไม่น้อมไป อรรถกถาแก้ว่า อนตนฺติ
ตณหฺ านตยิ า อภาเวน อนต ท่ชี อื่ ว่าอนตะ เพราะไม่มีความน้อมไปคือตัณหา ส.สฬา.อ.
(บาลี) ๓/๓๗๗-๔๐๙/๑๗.
อนนฺเตวาสิก (ไมม่ อี นั เตวาสิก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๕๑/๑๘๔. ไม่มีอนั เตวาสิก ในที่น้ีหมายถึงไม่
มีกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ภายใน ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๑๕๑-๑๕๒/๕.
อนวสฺสุตปรยิ าย (อนวสั สุตบรรยาย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๓/๒๔๗. อนวัสสุตบรรยาย หมายถึง
เหตแุ หง่ ความเป็นผไู้ มช่ ุ่มดว้ ยกิเลส ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๔๓/๑๑๓, ส.ฏีกา ๒/๒๔๓/๔๐.
อนาจรยิ (ไม่มอี าจารย์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๕๑/๑๘๔. ไม่มีอาจารย์ ในที่น้ีหมายถึงไม่มีกิเลสที่
ฟุูงขนึ้ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๕๑-๑๕๒/๕.
อนิมติ ฺตเจโตสมาธิ (อนิมติ ตเจโตสมาธิ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๐/๓๕๕. อนิมิตตเจโตสมาธิ ในที่น้ี
หมายถงึ วปิ ัสสนาสมาธิ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๐/๑๕.
อนิมิตฺตเจโตวิมตุ ฺติ (อนมิ ิตตาเจโตวิมุตติ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๙/๓๘๕. อนิมิตตาเจโตวิมุตติ
ไดแ้ ก่ ธรรม ๑๓ ประการ คอื วิปสั สนา ๑ อรูป ๔ มรรค ๔ ผล ๔ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๓๔๙/๑๖.
อนุตตฺ ร (ประโยชนย์ อดเยยี่ ม) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๔/๕๖. ประโยชนย์ อดเยยี่ ม หมายถึง อรหัตผล
หรืออรยิ ผลอันเปน็ ที่สุดแห่งมรรคพรหมจรรย์ องฺ.ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๕/๗, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๘๒/๘.
อนุปฺปตฺตสทตฺถ (บรรลุประโยชน์ตนโดยลาดับแล้ว) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๔/๑๖๘. บรรลุ
ประโยชนต์ นโดยลาดบั แล้ว ในท่นี ี้หมายถึงบรรลุอรหตั ผล องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๓๘/๑๓.
อนพุ ฺยญฺชนนิมิตฺตคฺคาหี (การถอื นมิ ิตโดยอนุพยัญชนะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๕/๒๓๑. การถือ
นมิ ติ โดยอนพุ ยญั ชนะ หมายถงึ การแยกถอื วา่ มอื งามเทา้ งามเปน็ ต้น ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/
๒๓๕/๕.
อนพุ ยฺ ญฺชนคฺคาหี (แยกถือ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๐/๑๔๒. แยกถือ หมายถึงมองภาพแยกแยะ
เป็นส่วน ๆ ไปดว้ ยอานาจกิเลส เช่น เห็นมือเท้าว่าสวยหรือไม่สวย เห็นอาการย้ิมแย้ม
๓๑๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
หัวเราะ การพดู การเหลียวซา้ ย แลขวา วา่ น่ารักหรือไม่น่ารัก ถ้าเห็นว่าสวยน่ารักก็เกิด
อิฏฐารมณ์ (อารมณท์ ่ีนา่ ปรารถนา) ถา้ เห็นวา่ ไม่สวยไม่น่ารักกเ็ กิดอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่
ไมน่ ่าปรารถนา) อภ.ิ สงฺ.อ. (บาล)ี ๑/๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.
อนุสย (อนุสัย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๕๘/๔๘. อนสุ ัย ในท่ีนี้ได้แก่ อนสุ ัย ๗ (กามราคะ ความติดใจใน
กาม, ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ, ทิฏฐิ ความเห็นผิด, วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย,
มานะ ความถอื ตวั , ภวราคะ ความติดใจในภพ, อวิชชา ความไม่รู้จริง) ส.สฬา.อ. (บาลี)
๓/๕๓-๖๒/๑.
อปาย (อบาย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๙/๒๑๘. อบาย หมายถึงสถานที่ท่ีปราศจากความเจริญงอก
งามหรือความสุข องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๔๓/๕.
อปฺปฏิวภิ ตตฺ (ไมแ่ บง่ แยก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๕๒/๓๙๔. ไมแ่ บง่ แยก หมายถึงไม่แบ่งแยกว่าจะ
ถวายภิกษุสว่ นหนงึ่ จะใช้สอยเองส่วนหน่งึ แตจ่ กั ใช้เป็นของสาธารณะกับผู้มีศีลคือภิกษุ
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๓๕๒/๑๖.
อปปฺ ถามก (เรย่ี วแรงน้อย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๒/๒๗๓. เร่ียวแรงน้อย หมายถึงมีกาลังแห่ง
ญาณนอ้ ย ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๕๒/๑๓.
อปฺปมตตฺ (ไม่ประมาท) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๔/๕๕. ไมป่ ระมาท หมายถึงไมล่ ะสติในกมั มัฏฐาน ม.
ม.อ. (บาลี) ๒/๘๒/๘.
อปฺปมาณเจต (อปั ปมาณจิต) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๓. อัปปมาณจิต หมายถึงโลกุตตรจิต
หรือจติ ท่ีไมม่ ปี ระมาณซึ่งไมม่ ีกิเลส ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๒/๔๑๐-๔๑๔/๒๑๙, ส.สฬา.อ. (บาลี)
๓/๑๓๒/๕.
อพฺรหฺมจารีพฺรหฺมจารีปฏิญฺ า (ไม่ใช่พรหมจารีแต่ปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี) ส.สฬา. (ไทย)
๑๘/๒๔๑/๒๔๔. ไม่ใช่พรหมจารี แต่ปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี หมายถึงตนเองไม่มีศีล
หมดสภาพความเปน็ ภกิ ษุ แต่ยังเรียกตนว่า เปน็ ภิกษุ แลว้ รว่ มอยู่ร่วมฉันกบั ภิกษอุ น่ื ผู้มีศีล
ใช้สทิ ธิ์ถือเอาลาภทเ่ี กิดข้นึ ในสงฆ์ องฺ.ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๑๓/๘.
อภชิ าน (รยู้ ง่ิ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖/๒๕. รู้ยิ่ง ในที่นี้หมายถึงญาตปริญญา (กาหนดรู้ขั้นรู้จัก)
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๖.
อมจจฺ (อามาตย์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๔/๒๕๔. อามาตย์ หมายถึงผู้ร่วมงานกัน ทาประโยชน์
รว่ มกัน เชน่ ปรึกษาหารอื กนั ไปมาด้วยกันเปน็ ตน้ ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๑๒/๓๖๗, ส.ฏีกา
๒/๑๐๑๒/๖๒.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๓๑๓
อรญฺ วนปตฺถ (ปาุ โปรง่ และปาุ ทบึ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๓/๕๔. ปุาโปร่งและปุาทึบ มีอธิบายว่า
ปุาโปร่ง (อรญฺ หมายถงึ สถานทท่ี ่ีอยนู่ อกเสาเขตเมืองออกไป อย่างน้อย ๕๐๐ ลูกธนู
ปุาทึบ (วนปตฺถ) หมายถึงสถานที่ท่ีไม่มีคนอยู่อาศัย เลยเขตหมู่บ้านออกไป ส.สฬา.อ.
(บาล)ี ๓/๖๓/๑๕, อง.ฺ ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๓๑/๓.
อริย าณทสฺสนวิเสส (ญาณทัสสนะท่ีประเสริฐอันสามารถ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๕๑/๓๙๐.
ญาณทสั สนะท่ีประเสริฐอนั สามารถ หมายถงึ มหคั คตโลกุตตรปญั ญา (ปญั ญาชนั้ โลกตุ ตระ
ที่ถึงความเป็นใหญ่) อนั ประเสรฐิ บรสิ ุทธิ์ สงู สดุ สามารถกาจดั กิเลสได้ องฺ.ทสก.อ. (บาลี)
๓/๔๘/๓๕.
อวสฺสตุ ปรยิ าย (อวสั สุตบรรยาย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๓/๒๔๗. อวัสสุตบรรยาย หมายถึงเหตุ
แหง่ ความเป็นผชู้ มุ่ ดว้ ยกิเลส ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๔๓/๑๑๓,ส.ฏีกา ๒/๒๔๓/๔๐.
อวชิ ฺชา (อวชิ ชา) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๕๓/๔๕. อวชิ ชา หมายถงึ ความไม่รู้อริยสัจ ๔ (ทุกข์, สมุทัย,
นิโรธ และมรรค) ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๕๓-๖๒/๑.
อวสิ ย (ส่ิงอันมิใชว่ ิสัย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓/๒๒. ส่ิงอันมิใช่วิสัย ในท่ีนี้หมายถึงการทาในสิ่งที่
เปน็ ไปไมไ่ ด้ เช่น การเทินศิลาขนาดเท่าเรือนยอดข้ามน้าลึก และการฉุดดวงจันทร์ดวง
อาทิตย์ลงมาเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๒๓.
อสุจิ (ไมส่ ะอาด) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๑/๒๔๔. ไม่สะอาด ในท่ีนี้หมายถึงกายกรรม วจีกรรม
และมโนกรรมไมส่ ะอาด องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๑๓/๘.
อสฺสาท (คุณ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓/๑๑. คุณ หมายถงึ สภาวะที่อร่อยหรือสภาวะท่ีสุขกายและ
สุขใจท่เี กี่ยวข้องกบั กามคุณ องฺ.จตุกฺก. อ. (บาล)ี ๒/๑๐/๒๘๘, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา (บาลี) ๒/
๑๐/๒๘.
อสฺสุตว (ผู้ไม่ได้สดับ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. ผู้ไม่ได้สดับ ในท่ีนี้หมายถึงผู้ไม่มีปริยัติ
ปฏบิ ตั ิ และปฏิเวธ องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๕๑/๕.
อหงฺการ (อหังการ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๘/๕๙. อหังการ หมายถึงทิฏฐิ องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๓๒/
๑๑.
อากิญฺจญฺ าเจโตวิมุตฺติ (อากญิ จญั ญาเจโตวมิ ตุ ติ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๙/๓๘๕. อากิญจัญญา
เจโตวิมุตติ ได้แก่ ธรรม ๙ ประการ คือ อากิญจัญญายตนะ ๑ มรรค ๔ ผล ๔
อากิญจัญญายตนะช่ือว่าอากญิ จัญญะ เพราะไมม่ ีกเิ ลสเคร่ืองกงั วลเป็นอารมณ์ มรรคและ
๓๑๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
ผลช่ือว่า อากญิ จัญญะ เพราะไม่มกี ิเลสเครอ่ื งกงั วลคือกเิ ลสเครื่องยา่ ยแี ละกิเลสเครื่องผูก
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๙/๑๖.
อากาสานญฺจายตนฌาน (อากาสานญั จายตนฌาน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๙/๒๘๕. อากาสานัญ
จายตนฌาน หมายถึงฌานทก่ี าหนดอากาศ คอื ชอ่ งว่างอันหาท่สี ดุ มไิ ดเ้ ปน็ อารมณ์ เป็นขัน้
ที่ ๑ แหง่ อรูปฌาน ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๔๑๔/๓๐.
อากิญฺ จญฺ ายตนฌาน ( อากิญจัญญายตนฌาน ) ส. สฬ า. ( ไทย) ๑๘/๒๕๙/๒๘๕.
อากิญจัญญายตนฌาน หมายถงึ ฌานท่ีกาหนดภาวะอันไมม่ อี ะไร (ความวา่ ง) เปน็ อารมณ์
เรยี กอีกอย่างหนึ่งว่า สัญญัคคะ (ท่ีสุดแห่งสัญญา) เพราะเป็นภาวะสุดท้ายแห่งการมี
สัญญา กล่าวคือ ผู้บรรลุอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ข้ันต่อไปจะเข้าถึงเนวสัญญานา
สญั ญายตนฌานบา้ ง เขา้ ถงึ สญั ญาเวทยติ นิโรธบา้ ง ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๑๔/๓๐.
อาคติคติ (การมาและการไป) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๗/๘๓. การมาและการไป หมายถึงการมาด้วย
อานาจปฏิสนธิ การไปดว้ ยอานาจการจตุ ิ ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๘๗/๒๒, ส.ฏีกา (บาลี) ๒/
๘๗/๓๕.
อาจกิ ขฺ ตุ (บอก) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๔/๒๒๙. บอก หมายถึงกลา่ วคาเริม่ ต้น แสดงคาเริ่มต้น องฺ.
จตกุ กฺ .ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓.
อาทีนว (โทษ ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓/๑๑. โทษ หมายถึงสภาวะทีไ่ มอ่ ร่อย มีทุกข์กายและทุกข์ใจ
ซงึ่ มธี รรมเปน็ เหตุ อง.ฺ จตกุ กฺ .อ. (บาลี) ๒/๑๐/๒๘๘, องฺ.จตุกกฺ .ฏีกา (บาลี) ๒/๑๐/๒๘.
อารทธฺ วีรยิ (ปรารภความเพียร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๔/๑๖๙. ปรารภความเพียร หมายถึงมี
ความเพียรท่ีบรบิ ูรณ์ และมีความเพียรทปี่ ระคับประคองไว้สม่าเสมอ ไม่หย่อนนัก ไม่ตึง
นัก ไม่ใหจ้ ติ ปรงุ แต่งในภายใน ไมใ่ หฟ้ งูุ ซ่านไปภายนอก คาว่า ความเพียร หมายเอาท้ัง
ความเพียรทางกาย เชน่ เพยี รพยายามทางกายตลอดคืนและวนั ดจุ ในประโยควา่ ภิกษใุ น
ธรรมวนิ ยั นชี้ าระจิตใหบ้ ริสทุ ธ์ิจากธรรมที่ก้นั จิตไมใ่ ห้บรรลคุ วามดีด้วยการเดินจงกรมด้วย
การนั่งตลอดวนั อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๕๑๙/๓๙. และความเพียรทางจติ เชน่ เพยี รพยายาม
ผกู จติ ไวด้ ว้ ยการกาหนดสถานที่เป็นต้น ดจุ ในประโยควา่ เราจะไม่ออกจากถ้าน้จี นกวา่ จิต
ของเราจะหลุดพน้ จากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๑๘/๔.
อารมฺมณ (อารมณ์) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๓/๒๔๘. อารมณ์ ในท่ีน้ีหมายถึงปัจจัย ส.สฬา.อ.
(บาล)ี ๓/๒๔๓/๑๑.
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๓๑๕
อาสว (อาสวะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๕๖/๔๗. อาสวะ ในท่ีนี้ได้แก่ อาสวะ ๔ (กามาสวะ อาสวะคือ
กาม, ภวาสวะ อาสวะคือภพ, ทฏิ ฐาสวะ อาสวะ คือทิฏฐิ, อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา)
ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-๖๒/๑.
อาฬหก (อาฬหกะ) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๔๑๐/๔๖๘. อาฬหกะ คอื มาตราตวงอย่างหนง่ึ ที่ใช้ในสมัย
พทุ ธกาล ไดแ้ ก่ ๔ กฑุ ุวะ หรอื ปสตะ (ฟายมอื ) เปน็ ๑ ปตั ถะ ๔ ปตั ถะ เปน็ ๑ อาฬหกะ
๔ อาฬหกะ เป็น ๑ โทณะ ๔ โทณะ เปน็ ๑ มาณิกา ๔ มาณกิ า เป็น ๑ ขารี ๒๐ ขารี
เปน็ ๑ วาหะ ๒๐ วาหะ เปน็ ๑ ธารณะ ๑๐ ธารณะ เป็น ๑ ปละ ๑๐๐ ปละ เป็น ๑๒
ตุลา ๒๐ ตลุ า เปน็ ๑ ภาระ อภิธา.ฏีกา (บาลี) คาถา ๔๘๐-๔๘.
อิติ (ทศิ เบอ้ื งบน) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๙/๓๘๕. ทิศเบ้ืองบน หมายถึงเทวโลก วิสุทฺธิ.มหาฏีกา
(บาล)ี ๑/๒๕๕/๔๓.
อุตตฺ านกี โรตุ (ทาให้ง่าย) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๔/๒๒๙. ทาให้ง่าย หมายถึงการแสดงประเด็นท่ี
จาแนกไว้ใหช้ ดั เจนด้วยการชี้เหตแุ ละยกอุทาหรณ์ตา่ ง ๆ มาประกอบ องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/
๑๗๒/๔๓.
อุทฺเทส (อุทเทส) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๖/๑๓๐. อุทเทส หมายถึงบทมาติกาหรือหัวข้อธรรม
อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๑๕/๓๗.
อุทฺธมธ (ทิศเบ้อื งลา่ ง) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๙/๓๘๕. ทิศเบ้อื งลา่ ง หมายถึงนรกและนาค วิสุทฺธิ.
มหาฏกี า (บาลี) ๑/๒๕๕/๔๓.
อุปธารณ (ลูกบิด) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๖/๒๖๑. ลูกบิด หมายถึงอุปกรณ์ปิดช่องหรือขดสาย
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีดหรือเคร่ืองสีให้ตึงหรือหย่อน มักทาด้วยไม้หรืองา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หน้า ๗๓.
เอกมนตฺ (ทีส่ มควร) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๕๓/๔๕. ท่ีสมควร หมายถึงที่เหมาะสม คือ เว้นโทษ ๖
ประการ ได้แก่ ไกลเกินไป ใกลเ้ กนิ ไป อยเู่ หนอื ลม สูงเกินไป อยู่ตรงหน้าเกินไป อยู่ข้าง
หลังเกนิ ไป
เอช (ความหว่ันไหว) ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๐/๙๐. ความหวน่ั ไหว ในท่นี ้ีหมายถึงตัณหา ส.สฬา.อ.
(บาลี) ๓/๙๐-๙๑/๓.
๓๑๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก
พระสตุ ตนั ตปิฎกเลม่ ที่ ๑๙
กณฺหธมมฺ (ธรรมดา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๔. ธรรมดา หมายถึงอกศุ ลธรรม ไดแ้ ก่ กายทุจริตเป็น
ต้น ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๑-๔๐/๑๙๖, ข.ุ ธ.อ. (บาล)ี ๔/๔๕-๔.
กปปฺ (กปั ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๖. กปั ในทีน่ ีห้ มายถึงอายุกัปของมนุษย์ที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น
ๆ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๘๒๒/๓๒.
กมฺม (ธรรม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๐๗/๑๓๙. กรรม ในทน่ี ี้หมายถึงละกรรมที่มีตัณหาเป็นมูล ส.ม.อ.
(บาล)ี ๓/๒๐๗-๒๐๘/๒๑.
กรณยี (กิจที่ควรทา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๖/๑๑๙. กิจทค่ี วรทา ในท่ีนีห้ มายถึงกิจในอริยสัจ ๔ คือ
การกาหนดรู้ทกุ ข์ การละเหตุแห่งทุกข์ การทาให้แจ้ง ซึ่งความดับทุกข์ และการอบรม
มรรคมอี งค์ ๘ ใหเ้ จรญิ ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๘/๒๐.
กลฺยาณมิตตฺ (มิตรดี) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑/๓. มติ รดี หมายถงึ มติ รท่ีดีทีเ่ พียบพร้อมด้วยคุณธรรม คือ
ศีลเปน็ ต้น องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๗/๓๒.
กลยฺ าณสมฺปวงกฺ ต (เพ่ือนดี) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑/๓. เพอ่ื นดี หมายถึงเพอื่ นท่ีรักใคร่สนิทสนมรู้ใจกัน
ซื่อสัตย์ตอ่ กัน องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๗/๓๒.
กลฺยาณสหาย (สหายดี) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑/๓. สหายดี หมายถึงเพ่อื นร่วมงานทดี่ ี อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี)
๓/๑๗/๓๒.
กมุ ฺมาส (ขนมกมุ มาส) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๑๗/๕๒๒. ขนมกุมมาส หมายถงึ ขนมทเี่ ก็บไวน้ านเกินไป
จะบดู เช่น ขนมดว้ ง ขนมครก ขนมถ้วย ขนมตาล เป็นต้น พระพุทธเจ้าหลังบาเพ็ญทุกร
กิริยาก็เสวยข้าวสุกและขนมกุมมาส พระธรรมปิฎก : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ
ประมวลศพั ท์, ๒๕๓๘, หนา้ ๒.
กุสลสีล (ศีลที่เปน็ กศุ ล) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๘๗/๒๔๕. ศีลที่เปน็ กุศล หมายถึงศีลท่ีไม่มีโทษ เป็นไป
เพื่อความไม่เก้อเขนิ ไม่รอ้ นใจ องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๑/๓๑. ในทนี่ ห้ี มายถึงปารสิ ุทธิศีล ๔
ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๓๘๗-๓๘๘/๓๐.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๓๑๗
กสุ ลาภสิ นฺทา (ห้วงบุญกุศล) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๒๗/๕๔๘. ห้วงบญุ กศุ ล ในทีน่ ้ีหมายถึงผลวิบากที่
เกดิ ขึ้นแหง่ บุญกศุ ล ซงึ่ หลงั่ ไหลนาสขุ มาสูผ่ ูบ้ าเพญ็ ไมข่ าดสาย ส.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๐๒๗/
๖๓๒, องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๕๑/๓๔๘, องฺ.จตกุ ฺก.ฏีกา (บาล)ี ๒/๕๑/๓๘.
โกลโกล (โกลงั โกลโสดาบัน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๙๔/๓๐๕. โกลังโกลโสดาบัน หมายถึงผู้ไปจาก
ตระกลู สู่ตระกูล คือเกดิ ในตระกลู สูงอีก ๒-๓ ครงั้ หรอื เกิดในสุคติภพอีก ๒-๓ คร้ัง ก็จัก
บรรลุอรหตั ผล ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๙๔/๓๑.
คิมหฺ ปจฺฉมิ มาส (เดอื นท้ายฤดรู ้อน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๕๖/๘๕. เดือนท้ายฤดูร้อน ในท่ีน้ีหมายถึง
เดือนอาสาฬหะ หรือเดอื น ๘ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๕๖-๑๕๗/๒๐.
จุนฺทสมณทุ ฺเทส (จุนทะ สมณุทเทส) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๙/๒๓๒. จุนทะ สมณุทเทส สามเณร
จนุ ทะ) เป็นน้องชายคนเลก็ ของท่านพระสารบี ตุ ร ขณะเป็นสามเณร พวกภิกษุเรียกท่าน
วา่ จุนทะ สมณุทเทส จนติดปาก เมื่อเป็นพระเถระแลว้ กย็ งั เรยี กเหมือนเดิม ส.ม.อ. (บาลี)
๓/๓๗๙/๒๘.
เจโตวิมตุ ฺติ (เจโตวิมุตติ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๑๙/๓๘๒. เจโตวิมุตติ หมายถึงผลอันเกิดจากสมาธิ คือ
ความหลดุ พน้ ดว้ ยสมถกมั มัฏฐาน องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๘๘/๖๒, ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๑๓๒/
๕.
ฉนทฺ สมฺปทา (ฉนั ทสัมปทา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๕๔/๔๔. ฉันทสัมปทา (ความถงึ พร้อมด้วยฉันทะ) ใน
ทีน่ ีห้ มายถงึ ความพอใจคือความตอ้ งการทจี่ ะทาความดี ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๙-๖๒/๑๙.
ฉนทฺ สมาธิปปฺ ธานสังขาร (ฉันทสมาธิปธานสังขาร) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๑๓/๓๗๗. ฉันทสมาธิปธาน
สังขาร จงึ หมายถึงสมาธิท่ีเกิดจากฉันทะและความเพียรท่ีมุ่งมั่น วิริยสมาธิ จิตตสมาธิ
และวิมังสาสมาธิ กม็ อี รรถาธบิ ายเชน่ เดียวกนั องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๓๙๘/๔๔๕, ส.ม.อ.
(บาลี) ๓/๘๑๓/๓๒.
ชนปทกลยฺ าณี (นางงามในชนบท) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๘๖/๒๔๓. นางงามในชนบท หมายถึงหญิง
ท่ีงดงามกว่าหญงิ อื่นในชนบท เพราะประกอบด้วยความงาม ๕ อย่าง คอื มีผิวพรรณงาม
มเี นื้องาม (มมี ือ เท้า และรมิ ฝปี ากแดงงาม) มีเล็บงาม มีฟันงาม มีวัยงาม (แม้จะมีอายุ
๑๒๐ ปี กย็ ังงดงามเหมือนหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี) ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๒๖/๓๑๔, ส.ม.อ.
(บาล)ี ๓/๓๘๖/๓๐๑-๓๐.
ชีว (ชีวะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๗๘/๕๘๘. ชีวะ ในท่ีน้ีหมายถึงวิญญาณอมตะหรืออาตมัน อภิ.
ปญจฺ ก.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๒.
๓๑๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
ฌานกฺข (มีฌานเป็นเพลา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔/๗. มีฌานเป็นเพลา ในท่ีนี้หมายถึงฌาน ๕
(ปฐมฌาน, ทตุ ิยฌาน, ตติยฌาน, จตุตถฌาน, ปญั จมฌาน) ท่ีสัมปยตุ ดว้ ยวิปัสสนา ส.ม.อ.
(บาล)ี ๓/๔/๑๘.
าณทสฺสน (ญาณทัสสนะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗/๔๑. ญาณทัสสนะ หมายถึงปัจจเวกขณญาณ
ญาณหย่งั รูด้ ้วยการพิจารณาทบทวน คือ สารวจรู้มรรคผล กิเลสท่ีละได้แล้ว กิเลสท่ียัง
เหลืออยู่ และนพิ พาน (เว้นพระอรหันต์ ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่) องฺ.ติก.อ.
(บาล)ี ๒/๑๐๔/๒๕.
าณทสฺสน (ญาณทสั สนะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๙๑/๓๐๒. ญาณทัสสนะ หมายถึงปัจจเวกขณญาณ
ญาณหย่ังรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน คือ สารวจรู้มรรค ผล กิเลสที่ละได้แล้ว กิเลสที่
เหลืออยู่และนิพพาน (เว้นพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่) องฺ.ติก.อ.
(บาล)ี ๒/๑๐๔/๒๕.
าติ (ญาติ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๐/๘๙. ญาติ หมายถึงผู้เก่ียวข้องกันโดยการแต่งงานกัน ได้แก่
มารดาบดิ าของสามแี ละเครือญาตฝิ าุ ยมารดาบิดาของสามี หรือมารดาบิดาของภรรยา
และเครอื ญาติฝุายมารดาบดิ าของภรรยา องฺ.ติก.อ. (บาล)ี ๒/๗๖/๒๒๗, ส.ม.อ. (บาลี) ๓/
๑๐๑๒/๓๖๗, ส.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๐๑๒/๖๒.
าย (ญายธรรม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๔/๒๕. ญายธรรม ในที่น้ีหมายถึงธรรมคืออริยมรรค ส.ม.อ.
(บาลี) ๓/๒๑-๓๐/๑๙.
าน (ฐานะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๑/๑๖. ฐานะ ในทน่ี ห้ี มายถึงบรรลุเหตแุ ห่งอรหัตผลน้ันด้วยอานาจ
การปรารภความเพียรชอบอันเปน็ เหตุให้ได้บรรลุอรหัตผล ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๑/๑๙๔,
ส.ฏกี า (บาล)ี ๒/๑๑/๔๗.
ตถาคต (ตถาคต) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๗๘/๕๘๘. ตถาคต ในท่ีนี้เป็นคาท่ีลัทธิอื่น ๆ ใช้มาก่อน
พุทธกาล หมายถึงอัตตา (อาตมัน) ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า อรรถกถาอธิบายว่า
หมายถึงสตั ว์ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๐.
ตริ จฺฉานกถา (ดิรจั ฉานกถา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๐/๕๘๙. ดิรจั ฉานกถา คือถ้อยคาอันขวางทาง
ไปสู่สวรรค์หรือนพิ พาน หมายถงึ เรื่องราวท่ไี ม่ควรนามาเป็นขอ้ ถกเถียงสนทนากัน เพราะ
ทาให้เกิดฟุูงซา่ น และหลงเพลนิ เสยี เวลา ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๗/๘.
ติรยิ (ทิศเฉียง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๕/๑๗๔. ทศิ เฉียง หมายถึงทิศย่อยของทิศใหญ่หรือทิศรอบ ๆ
วสิ ุทฺธ.ิ มหาฏกี า (บาลี) ๑/๒๕๔/๔๓.
พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๓๑๙
ถามว (มคี วามเขม้ แข็ง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๙/๒๘๘. มคี วามเขม้ แข็ง ในที่นี้หมายถึงมีกาลังความ
เพยี ร อง.ฺ ปญจฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๒.
ทสฺสน (การเห็น) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๔. การเห็น หมายถึงการเหน็ ๒ อยา่ ง คอื การเหน็ ด้วย
ตาและการเห็นด้วยญาณ ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๐.
ทิฏฺ (ความเห็น) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๘๑/๒๓๖. ความเห็น ในท่ีน้ีหมายถึงกัมมัสสกตทิฏฐิ ส.ม.อ.
(บาลี) ๓/๓๘๐-๓๘๑/๒๙.
ทฏิ ฺ สมฺปทา (ทิฏฐิสมั ปทา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๕๔/๔๔. ทิฏฐิสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ) ใน
ท่ีน้หี มายถึงความถึงพรอ้ มด้วยญาณ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๙-๖๒/๑๙.
ทุกฺข (ทกุ ข์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๐๗/๑๓๙. ทกุ ข์ ในทนี่ ี้หมายถงึ ละทุกข์ในวัฏฏะที่มีกรรมเป็นมูล ส.
ม.อ. (บาล)ี ๓/๒๐๗-๒๐๘/๒๑.
เทว (เทพ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๓๐/๕๕๐. เทพ ในที่น้ีหมายถึงบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล และ อรหตั ผล ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๓๐/๓๗.
เทเสสเฺ สนฺติ (แสดง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๘. แสดง หมายถึงการให้อทุ เทส (คาเริ่มต้น) จบลง
องฺ.จตกุ กฺ .ฏกี า ๒/๑๗๒/๔๓.
ธมมฺ (ธรรม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๑๑/๑๔๓. ธรรม ในที่น้ีหมายถึงวิปัสสนาธรรม ส.ม.อ. (บาลี) ๓/
๒๑๑/๒๑.
ธมฺม (ธรรม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘/๑๓. ธรรม ในที่นี้หมายถึงนิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ อายตนะ
ภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ โพชฌงค์ ๗ และอริยสัจ ๔ องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๓๙๐/
๔๔.
ธมฺมจกฺขุ (ธรรมจกั ษุ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๕. ธรรมจักษุ หมายถึง ดวงตาเห็นธรรม คือ
โสดาปตั ติมัคคญาณ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๕๖/๒.
ธมฺมทสฺสน (การเหน็ ธรรม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๒๒/๕๔๐. การเห็นธรรม ในที่นี้หมายถึงเห็นสัจ
ธรรม ๔ (คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค) อง.ฺ จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๕๒/๓๔๙ อง.ฺ จตกุ กฺ . (ไทย)
๒๑/๕๒/๙๖-๙.
ธุรสมาธิ (ทูบ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔/๗. ทูบ แปลมาจากคาว่า ธรุ สมาธิ (ที่ยึดแอก) หมายถึงส่วนท่ีทา
ใหแ้ อกหยดุ ขยับไปมา ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔/๑๘. พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
๒๕๒๕ หน้า ๔๐๖ ใหค้ านยิ าม คาวา่ ทูบ ไว้วา่ ไมแ้ มแ่ คร่เกวียนทยี่ ่ืนออกไปติดกับแอก
๓๒๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง
นาปรติ ฺถตฺต (ไมม่ กี จิ อน่ื เพอื่ ความเป็นอยา่ งน้ีอีกตอ่ ไป) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๖/๑๑๙. ไม่มีกิจอื่น
เพ่ือความเป็นอย่างน้ีอกี ต่อไป หมายถงึ ไม่มีหน้าทใ่ี นการบาเพ็ญมรรคญาณเพือ่ ความหมด
สน้ิ แหง่ กเิ ลสอีกต่อไป เพราะพระพุทธศาสนาถือว่าการบรรลุพระอรหัตผลเป็นจุดหมาย
สูงสดุ ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/๒๐.
นิพฺพานธาตุ (นิพพานธาตุ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๗/๑๐. นิพพานธาตุ หมายถึงภาวะแห่งนิพพาน;
นิพพาน หรือนิพพานธาตุมี ๒ คือ สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสมีเบญจขันธ์เหลือ ๑
อนุปาทเิ สสนพิ พาน ดับกิเลสไมม่ ีเบญจขันธ์เหลือ ๑ พระธรรมปิฎก : พจนานุกรมพุทธ
ศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ ๒๕๓๘, หน้า ๑๒.
นิยฺยานิก (นยิ ยานิกธรรม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๐๐/๑๓๓. นิยยานิกธรรม หมายถึงธรรมที่ตัดมูลราก
แหง่ วฏั ฏะ ทานพิ พานให้เป็นอารมณ์แล้วนาสัตว์ออกจากวัฏฏะ อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๘๓-
๑๐๐/๙.
นิสีทน (ผ้านิสที นะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๖. ผ้านสิ ีทนะ ในที่นห้ี มายถึงทอ่ นหนังสาหรับใช้เป็น
ผา้ รองนง่ั ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๘๒๒/๓๒.
เนปกกฺ (ปญั ญาเป็นเครื่องรักษาตน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๙/๒๘๙. ปัญญาเป็นเคร่ืองรักษาตน อรรถ
กถาอธบิ ายว่า เปน็ ชอ่ื ของปัญญาที่เป็นอปุ การะแก่สติ องฺ.ปญจฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๑๔.
ปจฺฉา (ขา้ งหลงั ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๕/๒๒๗. ข้างหลัง ในที่น้ีมีความหมาย ๓ นัย คือ ความเป็น
พระอรหตั กะโหลกศรี ษะ หรอื มันสมอง ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๗๖/๒๗.
ปญฺ า (ปัญญา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๑๙/๑๔๙. ปัญญา ในท่ีนี้หมายถงึ ปัญญาที่เกิดข้ึนในระหว่างท่ี
จิตมนี วิ รณเ์ กดิ ขึ้น ปัญญายอ่ มถกู ทอนกาลัง ทาใหม้ ปี ญั ญานอ้ ยและมปี ญั ญาไม่แกล้วกล้า
ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๒๑๙/๒๑.
ปญฺ เปสสฺ นตฺ ิ (บญั ญตั ิ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๘. บัญญัติ หมายถึงประกาศให้รู้ถึงเนื้อความ
ตามทตี่ ้ังอทุ เทสไวโ้ ดยประการตา่ ง ๆ ตามทย่ี กแสดงไว้ อง.ฺ จตกุ ฺก.ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓.
ปญฺ ากขฺ นฺธ (ปญั ญาขันธ์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๙/๒๓๓. ปัญญาขันธ์ หมายถึง ปัญญาที่เป็นขันธ์
ระดับโลกยิ ะและโลกตุ ตระ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๗๙/๒๙.
ปญฺ าวมิ ตุ ฺติ (ปัญญาวมิ ตุ ติ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๑๙/๓๘๒. ปัญญาวิมุตติ หมายถึงผลอันเกิดจาก
ปญั ญา คอื ความหลุดพน้ ด้วยวปิ สั สนากัมมัฏฐาน อง.ฺ ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๘๘/๖๒, ส.สฬา.อ.
(บาล)ี ๓/๑๓๒/๕.
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๓๒๑
ปฏิฆนิมิตฺต (ปฏิฆนิมิต) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๓/๑๑๐. ปฏิฆนิมิต หมายถึงปฏิฆะ (ความ
กระทบกระทงั่ ในใจ) หรืออารมณ์ทเี่ กดิ จากความกระทบกระทั่งในใจ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/
๑๘๓/๒๐.
ปฏิสลฺลาน (ที่หลีกเร้น) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๙/๑๒๔. ท่ีหลีกเร้น ในที่นี้หมายถึงผลสมาบัติ
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๘๗/๒.
ปฏฺ เปสสฺ นฺติ (กาหนด) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๘. กาหนด หมายถึงการให้เนื้อความนั้นดาเนิน
ไปโดยประการตา่ ง ๆ อง.ฺ จตกุ ฺก.ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓.
ปทหติ (มุง่ มั่น) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘/๑๒. มุ่งม่ัน หมายถึงทาความเพียรเป็นหลักใหญ่ องฺ.เอกก.อ.
(บาลี) ๑/๓๙๔/๔๔. ได้แก่สัมมัปปธาน ๔ ประการ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๖๙/๑๒๔-
๑๒๕.
ปยริ ปุ าสน (การเข้าไปนั่งใกล้) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๔. การเข้าไปนั่งใกล้ หมายถึงการเข้าไป
นง่ั ใกล้เพอ่ื สอบถามปญั หา ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๐.
ปรปปฺ วาท (ปรับปวาท) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๘. ปรับปวาท ในท่ีนี้หมายถึงวาทะ หรือลัทธิ
ต่าง ๆ ของเจ้าลทั ธิอ่ืนนอกพระพทุ ธศาสนา ที.ม.ฏีกา ๓๗๔/๓๗๕, ขุ.ม.อ. (บาลี) ๓๑/
๒๓.
ปรกิ ขฺ ีณภวสญโฺ ชน (สิ้นภวสังโยชน์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๔/๒๘๔. สนิ้ ภวสังโยชน์ ในท่ีนี้หมายถึง
ส้ินกิเลสเป็นเครอ่ื งผกู สตั ว์ไว้ในภพทงั้ หลาย อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๓๘/๑๓.
ปสาท (ความเล่ือมใส) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๒๒/๕๔๐. ความเลื่อมใส หมายถึงเลื่อมใสใน
พระพทุ ธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาลี) (ไทย) ๒/๕๒/๓๔.
ปาร (ฝ่ังนี้) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๓. ฝ่งั นี้ ในท่ีน้หี มายถึงวัฏฏะ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๑-๔๐/๑๙.
ปุร (ข้างหนา้ ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๕/๒๒๗. ข้างหน้า ในที่น้ีมีความหมาย ๓ นัย คือ ความยึดมั่น
กัมมฏั ฐาน ปลายนิว้ เท้า หรืออาสภิวาจา หมายถึงวาจาท่ีแสดงถึงความเป็นผู้องอาจ ไม่
หว่นั ไหว ไม่สะทกสะท้าน ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๗๘/๒๘๑, ส.ฏีกา (บาลี) ๒/๓๗๘/๕๖.
ผลานสิ ส (ผลานิสงส์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๕. ผลานสิ งส์ แปลมาจากคาว่า ผล และ อานิสส
ท้งั ๒ คานี้ โดยใจความเปน็ อนั เดียวกนั ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๑.
๓๒๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง
พหทิ ธฺ กามจฉฺ นฺท (กามฉนั ทะในภายนอก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๓/๑๖๙. กามฉันทะในภายนอก
หมายถึงความพอใจและความกาหนัดท่ีเกิดข้ึนเพราะปรารภขันธ์ ๕ ของผู้อ่ืน ส.ม.อ.
(บาลี) ๓/๒๓๓/๒๓.
พหิทฺธพฺยาปาท (พยาบาทในภายนอก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๓/๑๗๐. พยาบาทในภายนอก
หมายถงึ ปฏฆิ ะท่เี กดิ ขน้ึ เพราะมอื และเทา้ เปน็ ต้นของผู้อนื่ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๒๓๓/๒๓.
พหุเภรว (มสี ิ่งที่นา่ กลัวมาก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๓๗/๕๖๑. มีสิ่งท่ีน่ากลัวมาก หมายถึงมีสิ่งท่ีมี
วิญญาณ เชน่ ปลาตัวใหญ่ จระเข้ ยักษ์ ผเี ส้อื น้า พญานาค และทานพ (อสูรบางจาพวก)
และสง่ิ ทีไ่ มม่ วี ิญญาณ เช่น บาดาลท่มี ีปากทางกว้างใหญ่ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๓๗/๓๗๑,
อง.ฺ จตุกกฺ .ฏกี า (บาลี) ๒/๕๑/๓๘. และคาน้ีแปลมาจากคาว่า พฬวามุข คือสถานที่เป็น
ปาก (อ่าว) กลม (สะดอื ทะเล) กว้างใหญ่กลางมหาสมทุ ร ข.ุ เถร.อ. (บาล)ี ๒/๕๑.
พีชคาม (พชื คาม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๕๐/๘๐. พืชคาม คือพืชพันธุ์จาพวกท่ีถูกพรากจากท่ีแล้วยัง
สามารถงอกขึ้นไดอ้ กี ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๗. ในท่ีนี้หมายถึงพืช ๕ ชนิด ได้แก่ พืชเกิด
จากเหงา้ เช่น ขงิ ขมน้ิ พชื เกดิ จากลาตน้ เช่น ต้นโพธ์ิ ต้นไทร พืชเกิดจากตา เช่น อ้อย
ไม้ไผ่ พชื เกดิ จากยอด เช่น ผักชี พืชเกิดจากเมล็ด เช่น ถ่ัว ข้าว ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๔๕/
๒๙๙, ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๕๐/๑๙.
พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑/๓. พรหมจรรย์ ในท่นี ี้หมายถงึ อริยมรรค ส.ส.อ. (บาลี)
๑/๑๒๙/๑๔.
พฺรหมฺ จริย (พรหมจรรย์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๑/๙๑. พรหมจรรย์ ในท่ีนี้หมายถงึ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ส.ม.อ.
(บาลี) ๓/๑๖๑/๒๐.
พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๙. พรหมจรรย์ ในท่ีน้ีหมายถึงศาสน
พรหมจรรย์ คอื คาสง่ั สอนในพระพทุ ธศาสนาท้ังสนิ้ ท่ีสงเคราะห์เข้าในไตรสิกขา ส.ม.อ.
(บาล)ี ๓/๘๒๒/๓๓๐, องฺ,อฏฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๗๐/๒๗.
พฺรหมฺ ญฺ ผล (พรหมญั ญผล) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๗/๓๖. พรหมัญญผล หมายถึงนิพพาน ส.ม.อ.
(บาลี) ๓/๓๑-๔๐/๑๙.
ภวเนตฺติ (ภวเนตติ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๙๑/๖๐๕. ภวเนตติ เป็นชื่อของตัณหา หมายถึงเชือกผูก
สตั วไ์ ว้ในภพ (ภวรชชฺ ุ) องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๑/๒๗.
ภตู คาม (ภตู คาม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๕๐/๘๐. ภตู คาม คอื ของเขยี วหรือพืชพันธุ์อันเกิดอยู่กับที่ ที.
สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๗๘, ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๕๐/๑๙.
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๓๒๓
มคคฺ (มรรค) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๑๑/๑๔๓. มรรค ในท่ีนหี้ มายถึงวิปัสสนามรรค ส.ม.อ. (บาลี) ๓/
๒๑๑/๒๑.
มจฺจุเธยฺย (จุดจบแห่งความตาย) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๘๒/๒๓๘. จุดจบแห่งความตาย ในที่นี้
หมายถงึ นิพพานอันเป็นท่ีสุดแห่งวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ (กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ
อรปู าวจรภมู ิ) ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๘๒/๒๙.
มหคคฺ ต (มหคั คตะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๓/๓๙๓. มหัคคตะ แปลว่า ถึงความเป็นใหญ่ หมายถึง
รูปาวจรกศุ ลจติ และอรูปาวจรกุศลจติ ข.ุ ป.อ. (บาลี) ๑/๑๐๔/๓๖๖ อภ.ิ สงฺ. (ไทย) ๓๔/
๑๖๐-๒๖๘/๕๗-๘.
มหตฺถ (ประโยชน์มาก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๘/๑๙๐. ประโยชน์มาก ในท่ีนห้ี มายถึงมรรค ๔ อีกนัย
หนึง่ หมายถึงสามัญญผล ๔ อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๕๖๔-๕๗๐/๔๗.
มหาโยคกเฺ ขม (ธรรมเปน็ แดนเกษมจากโยคะมาก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๘/๑๙๑. ธรรมเป็นแดน
เกษมจากโยคะมาก หมายถึงสามัญญผล ๔ อีกนัยหน่ึง หมายถึงนิพพาน องฺ.เอกก.อ.
(บาลี) ๑/๕๖๔-๕๗๐/๔๗.
มหาสเวค (สงั เวชมาก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๘/๑๙๑. สังเวชมาก ในที่นี้หมายถึงวิปัสสนา อีกนัย
หนง่ึ หมายถึงมรรคแหง่ วิปสั สนา องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๕๖๔-๕๗๐/๔๗.
มติ ตฺ (มิตร) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๐/๘๙. มติ ร หมายถึงคนรูจ้ กั กัน เพราะการใช้ของในเรือนร่วมกัน
เชน่ ให้ของแก่กันและกัน หรือรับของจากกัน ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๑๒/๓๖๗, ส.ฏีกา
(บาลี) ๒/๑๐๑๒/๖๒.
มตุ ฺต (มตู ร) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๓๒/๔๐๘. มูตร หมายถึงน้าปัสสาวะท่ีมีอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
ขุ.ขุ.อ. (บาล)ี ๓/๕.
รถ (รถ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔/๗. รถ ในทีน่ ีห้ มายถึงอรยิ มรรคมีองค์ ๘ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔/๑๘.
เลป (ตัง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๓/๒๑๙. ตัง ไดแ้ ก่ ยางไมท้ ปี่ ระสมกับส่ิงอื่นแล้วทาให้เหนียวสาหรับ
ดักนกเป็นต้น พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ หนา้ ๓๓.
วฏฏฺ (วัฏฏะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๓. วฏั ฏะ ในท่ีน้ีหมายถึงวัฏฏะ ๓ คือ กิเลสวัฏฏะ วงจรกิเลส
ประกอบดว้ ยอวชิ ชา ตณั หา อุปาทาน กัมมวัฏฏะ วงจรกรรม ประกอบด้วยสังขารและ
กรรมภพ วิปากวัฏฏะ วงจรวิบาก ประกอบด้วยวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ
๓๒๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
เวทนา ซง่ึ แสดงออกในรูปอุปปัตติภพ ชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/
๑๑๗-๑๑๘/๓๗.
วายมติ (พยายาม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘/๑๒. พยายาม หมายถึงทาความเพียรบากบ่ัน องฺ.เอกก.อ.
(บาล)ี ๑/๓๙๔/๔๔. ได้แก่สัมมัปปธาน ๔ ประการ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๖๙/๑๒๔-
๑๒๕
วิชฺชา (วชิ ชา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑/๒. วิชชา ในท่ีนหี้ มายถงึ กัมมสั สกตาญาณ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑-๒/
๑๗.
วิชฺชาวิมุตฺติผล (ผลแห่งวิชชาและวิมุตติ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗/๔๐. ผลแห่งวิชชาและวิมุตติ
หมายถงึ อรหตั ผล องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๕๖๔-๕๗๐/๔๗.
วภิ ชิสฺสนตฺ ิ (จาแนก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๘. จาแนก หมายถงึ การจาแนกประเด็นที่เปิดแล้ว
อง.ฺ จตกุ กฺ .ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓.
วิมุตฺติ (วิมตุ ติ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๔. วมิ ตุ ติ ในทนี่ ี้หมายถึงผลวิมุตติซึ่งเป็นโลกุตตระอย่าง
เดียว ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๐.
วิมุตฺติกฺขนฺธ (วิมุตติขันธ์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๙/๒๓๓. วิมุตติขันธ์ หมายถึงวิมุตติที่เป็นขันธ์
ระดับโลกตุ ตระอยา่ งเดยี ว ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๗๙/๒๙.
วิมตุ ฺติ าณทสฺสน (วมิ ตุ ติญาณทสั สนะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๔. วิมุตติญาณทัสสนะ ในที่นี้
หมายถึงปจั จเวกขณญาณซึง่ เป็นโลกยิ ะเท่าน้ัน ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๐.
วิมตุ ฺติ าณทสฺสนกขฺ นฺธ (วมิ ตุ ติญาณทัสสนขนั ธ์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๙/๒๓๓. วิมุตติญาณทัสสน
ขันธ์ หมายถงึ ปัจจเวกขณญาณที่เปน็ ขันธ์ระดับโลกิยะอย่างเดียว ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๗๙/
๒๙.
วริ ทฺธ (พลาด) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๓/๓๒. พลาด หมายถงึ ทาพลาดไปเพราะไม่ได้บรรลุ วิสุทฺธิ.มหา-
ฏกี า (บาลี) ๑/๑๗๘/๓๕.
วิวรสิ สฺ นฺติ (เปดิ เผย) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๘. เปิดเผย หมายถึงการช้ีแจงเน้ือความตามท่ีตั้ง
อุทเทสไว้ โดยการวกกลบั มาอธิบายซ้าอีก องฺ.จตกุ กฺ .ฏกี า ๒/๑๗๒/๔๓.
วิเวก (วิเวก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๔. วิเวก หมายถึงวิเวก ๓ มีกายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก ท่ี
ยินดไี ด้ยากยง่ิ ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๔/๑๘๕, อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๑๗-๑๑๘/๓๗.
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๓๒๕
วิเวก (วเิ วก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔/๘. วเิ วก ในท่นี ี้หมายถึงวิเวก ๓ มีกายวิเวกเป็นต้น ส.ม.อ. (บาลี)
๓/๔/๑๘.
วุสิตพฺรหฺมจริย (อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๖/๑๑๙. อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
หมายถงึ กจิ แหง่ การปฏิบตั เิ พื่อทาลายอาสวกิเลสจบส้ินสมบูรณ์ ไม่มีกิจที่จะต้องทาเพื่อ
ตนเอง แตย่ ังมีหน้าทีเ่ พ่อื ผอู้ น่ื อยู่ ผูอ้ ยู่จบพรหมจรรย์นไ้ี ด้ชือ่ วา่ อเสขบคุ คล ที.สี.อ. (บาลี)
๑/๒๔๘/๒๐.
เวยยฺ ากรณ (เวยยากรณะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๕. เวยยากรณะ ในท่ีน้ีหมายถึงพระสูตรที่
ไมม่ ีคาถา ประกอบดว้ ยคาถาม คาตอบ สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๑๖/๒๒. เป็นองค์อันหนึ่ง
ในนวงั คสตั ถศุ าสน์ วิ.อ. (บาลี) ๑/๒.
สกฺกาย (สักกายะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๕๐/๕๗๖. สักกายะ ในที่นี้หมายถึงอุปาทานขันธ์ ๕
ประการ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์
วิญญาณูปาทานขันธ์ อง.ฺ จตุกกฺ .อ. (บาลี) ๒/๓๓/๓๓.
สญโฺ ชน (สงั โยชน์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗/๔๐. สังโยชน์ หมายถงึ กิเลสผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดใจ
สตั ว์ไวก้ บั ทุกข์ มี ๑๐ อย่าง คอื สักกายทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะหรือ
กามราคะ พยาบาทหรอื ปฏฆิ ะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธัจจะ อวชิ ชา ส.ม.อ. (บาล)ี
๓/๑๗๖-๑๘๑/๒๐๓, ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-๖๒/๑๔, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒.
สตตฺ กฺขตฺตปุ รม (สตั ตกั ขัตตุปรมโสดาบนั ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๙๔/๓๐๕. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน
หมายถึงผู้เกดิ ๗ ครงั้ เป็นอยา่ งย่งิ คือ เวียนเกดิ ในสุคติภพอกี อย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จัก
บรรลุอรหตั ผล ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๔๙๔/๓๑.
สนฺธาวิตสสริต (เทยี่ วเรร่ อ่ นไป) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๙๑/๖๐๕. เท่ียวเร่ร่อนไป หมายถึงไปจากภพ
หนงึ่ สอู่ ีกภพหนงึ่ กลบั ไปกลบั มาครงั้ แลว้ ครั้งเล่า องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาลี) ๒/๑/๒๗.
สปรกิ ฺขาร (บริขาร) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๘/๒๘. บรขิ าร ในทีน่ ้ีหมายถึงบรวิ าร ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๒๑-
๓๐/๑๙.
สปฺปญฺ (ผู้มีปัญญา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๕๐/๕๗๔. ผู้มีปัญญา ในที่นี้หมายถึงอุบาสกท่ีเป็น
โสดาบนั ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๕๐/๓๗.
สมถนมิ ิตฺต (สมถนมิ ติ ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๓/๑๑๓. สมถนมิ ติ หมายถึงความสงบหรืออารมณ์ที่
เกดิ จากความสงบ ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๓/๒๐.
๓๒๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุม้ ครอง
สมถวิปสฺสนา (สมถะและวิปัสสนา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๕๙/๘๘. สมถะและวิปัสสนา หมายถึง
เอกัคคตาจติ (จติ ท่ีมอี ารมณเ์ ดียว) และสังขารปรคิ คหวิปสั สนาญาณ (ปญั ญาเหน็ แจ้งการ
กาหนด สังขารว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เปน็ อนตั ตา) อง.ฺ จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๒๕๔/๔๔.
สมาธิกฺขนฺธ (สมาธิขันธ์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๙/๒๓๓. สมาธขิ นั ธ์ หมายถึง สมาธิท่ีเป็นขันธ์ระดับ
โลกยิ ะและโลกตุ ตระ ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๓๗๙/๒๙.
สมปุ ปฺ าท (เหตุการณ์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๑๙/๕๒๗. เหตุการณ์ ในที่นห้ี มายถึงเหตุที่จะก่อให้เกิด
กรณีพพิ าทกันขน้ึ ส.ฏกี า (บาลี) ๒/๑๐๑๙/๖๓.
สมฺโพธิ (สัมโพธิ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๒/๒๘๓. สัมโพธิ ในท่ีนี้หมายถึงมรรคเบื้องสูง ๓
(สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค ) ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๓๗๗/๒๘๑, องฺ.
ติก.อ. (บาล)ี ๒/๘๗/๒๔.
สมฺมาทกฺขาต (ธรรมที่พระผูม้ พี ระภาคตรสั ไว้โดยชอบ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๓. ธรรมที่พระผู้มี
พระภาคตรัสไวโ้ ดยชอบ หมายถึงโลกุตตรธรรม ๙ ประการ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน
๑ องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๑๗-๑๑๘/๓๗.
สวน (การได้ยิน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๔. การได้ยิน หมายถึงการได้ยินได้ฟังด้วยหูว่า พระ
ขีณาสพช่อื โนน้ อาศยั อยใู่ นแวน่ แควน้ คาม นิคม วิหาร หรือในถ้าชื่อโน้น ส.ม.อ. (บาลี)
๓/๑๘๔/๒๐.
สสงฺขารปรินิพฺพายี (สสังขารปรินิพพายี) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๖. สสังขารปรินิพพายี
หมายถึงพระอนาคามผี ู้เกดิ ในสทุ ธาวาสภพใดภพหนึ่งบรรลุพระอรหัตผล ปรินิพพานโดย
ตอ้ งใช้ความเพยี รมาก ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๘๔/๒๑๐, องฺ.ตกิ .อ. (บาล)ี (บาล)ี ๒/๘๘/๒๔.
สหธมฺม (สหธรรม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๙๑/๖๐๕. สหธรรม หมายถึงความมีเหตุผล ส.ม.อ. (บาลี)
๓/๘๘๒/๓๓.
อุปนสิ (อุปนิสะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๘/๒๘. อุปนิสะ หมายถึงอุปนิสัย หมวดธรรมที่เป็นเหตุทา
หน้าทร่ี ่วมกัน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๒๙๐/๒๕. ในท่ีนี้หมายถึงปัจจัย ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๒๑-
๓๐/๑๙.
สามญฺ ตฺถ (ประโยชน์แห่งสามัญญะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๖/๓๕. ประโยชน์แห่งสามัญญะ
หมายถงึ นพิ พาน ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๓๑-๔๐/๑๙.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๓๒๗
สาโลหติ (สาโลหิต) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๐/๘๙. สาโลหิต หมายถึงผู้ร่วมสายเลือดเดียวกัน เช่น
พช่ี าย นอ้ งชาย พส่ี าว น้องสาว ลงุ ปูา อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๗๖/๒๒๗, ส.ม.อ. (บาลี) ๓/
๑๐๑๒/๓๖. หรอื ญาติฝุายมารดา อง.ฺ ติก.ฏกี า (บาล)ี ๒/๗๖/๒๒.
สีล (ศลี ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๔๙/๗๘. ศลี ในที่นี้หมายถึงดารงอยู่ในปาริสุทธิศีล ๔ ได้แก่ ๑. ปาติ
โมกขสงั วรศีล คือการสารวมระวังในพระปาติโมกข์ เว้นจากข้อห้าม ประพฤติตามข้อ
อนุญาตอยา่ งเครง่ ครัดในสกิ ขาบททั้งหลาย ๒. อริยสังวรศีล คือสารวมระวังอินทรีย์ ๖
ไมใ่ หบ้ าปอกศุ ลธรรมครอบงา ๓. อาชีวปาริสุทธิศีล คือความบรสิ ทุ ธแิ์ หง่ อาชีวะ เล้ยี งชีวิต
โดยทางท่ชี อบ ไมห่ ลอกลวงเขาเลยี้ งชีพ ๔. ปัจจยสันนิสติ ศีล คอื พจิ ารณาใช้สอยปัจจัย ๔
ให้เปน็ ประโยชนเ์ หมาะสม ไม่บรโิ ภคดว้ ยตณั หา ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๔๙/๑๙.
สลี กฺขนฺธ (สีลขนั ธ์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๙/๒๓๓. สีลขันธ์หมายถึง ศีลท่ีเป็นขันธ์ระดับโลกิยะ
และโลกุตตระ ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๓๗๙/๒๙.
สลี ปรกิ ขฺ าร (มีศลี เปน็ เคร่ืองประดับ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔/๗. มีศีลเปน็ เคร่ืองประดับ ในที่น้ีหมายถึง
ปาริสุทธศิ ลี ๔ ไดแ้ ก่ ปาติโมกขสังวรศลี อนิ ทรยี สังวรศีล อาชีวปารสิ ุทธศิ ลี ปัจจยสันนิสิต
ศลี ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๔/๑๘.
สีลสมฺปทา (สีลสัมปทา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๕๔/๔๔. สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ในท่ีนี้
หมายถึงปาริสทุ ธิศีล ๔ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๙-๖๒/๑๙.
สีหนาท (บันลือสหี นาท) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๘/๒๓๐. สีหนาท ในท่ีน้ีหมายถึงอาการที่เปล่งวาจา
อยา่ งองอาจดุจพญาราชสีห์ท่คี ารามอย่ใู นปุา ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๗๘/๒๘๑, ส.ฏีกา (บาลี)
๒/๓๗๘/๕๖.
สกุ ฺกธมฺม (ธรรมขาว) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๔. ธรรมขาว หมายถึงกุศลธรรม ได้แก่ กายสุจริตเป็น
ตน้ ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๓๑-๔๐/๑๙๖, ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๔/๔๕-๔.
สุคตวนิ ย (วินัยของพระสุคต) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๕/๑๙. วินัยของพระสุคต หมายถึงธรรมท่ีพระ
สุคตทรงแสดง ซ่งึ มีความงามในเบือ้ งต้น มคี วามงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้ังอรรถและพยัญชนะบริสุทธ์ิ บริบูรณ์ครบถ้วน และคาว่า
สุคต เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า มีความหมายหลายนัย ดังน้ี คือ เสด็จไปงามคือ
บรสิ ทุ ธิ์ ไดแ้ ก่ ดาเนินไปด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เสด็จไปยังสถานท่ีดี คือ อมตนิพพาน
เสดจ็ ไปชอบ คือ ไมก่ ลบั มาหากิเลสทท่ี รงละได้แล้ว ตรสั ไว้โดยชอบ คือ ตรัสพระวาจาท่ี
ควรในฐานะทคี่ วรเท่าน้นั วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑/๑๐. อง.ฺ จตกุ ฺก (ไทย) ๒๑/๑๖๐/๒๕๑-๒๕๓.
๓๒๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
สุภนมิ ติ ฺต (สภุ นิมติ ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๓/๑๑๐. สภุ นมิ ิต หมายถึงสิ่งท่ีงดงามหรืออารมณ์ที่เกิด
จากสิ่งทงี่ ดงาม ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๘๓/๒๐.
เสกขฺ สมมฺ าทิฏฺ (สัมมาทิฏฐอิ นั เปน็ ของพระเสขะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๓/๑๘. สัมมาทิฏฐิอันเป็น
ของพระเสขะ ในทน่ี ีห้ มายถึงสัมมาทฏิ ฐทิ ี่เกดิ พรอ้ มกบั ผล ๓ และมรรค ๔ ส.ม.อ. (บาลี)
๓/๑๓-๑๗/๑๙.
โสตาปตฺตยิ งฺค (องคเ์ ครอื่ งบรรลโุ สดา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๙๙/๔๙๒. องค์เคร่ืองบรรลุโสดา ในที่นี้
หมายถึงคณุ สมบตั ขิ องพระโสดาบนั ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๗๘/๓๐.
โสตาปนนฺ (โสดาบัน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๒/๒๘๓. โสดาบัน หมายถึงผู้ประกอบด้วยอริยมรรคมี
องค์ ๘ เพราะคาว่า โสตะ เปน็ ชอื่ ของอริยมรรคมอี งค์ ๘ อภ.ิ ปญฺจ.อ. (บาล)ี ๓๑/๕๓.
อสฺสาสปสสฺ าส (ลมอัสสาสะและลมปสั สาสะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๗๗/๔๕๓. ลมอัสสาสะและลม
ปสั สาสะ ตามอรรถกถาพระสตู ร อสั สาสะ หมายถงึ หายใจเข้า ปัสสาสะ หมายถึงหายใจ
ออก (อสฺสาโสติ อนโฺ ตปวสิ นนาสกิ วาโต. ปสฺสาโสติ พหนิ ิกฺขมนนาสกิ วาโต. ม.ม.อ. (บาลี)
๒/๓๐๕/๑๓. ส่วนอรรถกถาพระวินัยกลับกนั คือ อัสสาสะ หมายถึงหายใจออก ปัสสาสะ
หมายถึงหายใจเข้า (อสสฺ าโสติ พหินกิ ขฺ มนวาโต. ปสสฺ าโสติ อนฺโตปวสิ นวาโต. วิ.อ. (บาลี)
๑/๑๖๕/๔๔.
อกาลิก (ไม่ประกอบด้วยกาล) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๙๗/๔๘๙. ไม่ประกอบดว้ ยกาล หมายถึงให้ผลไม่
จากัดกาล คอื ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ใหผ้ ลแกผ่ ู้ปฏบิ ัตทิ ุกเวลาทุกโอกาส ปฏิบัติเมื่อใดก็ได้รับ
ผลเม่ือนนั้ องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๕๔/๑๕๘, ม.ม.อ. (บาลี) ๓๙๙/๒๙.
อชฺฌตฺตกามจฺฉนฺท (กามฉันทะในภายใน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๓/๑๖๙. กามฉันทะในภายใน
หมายถึงความพอใจและความกาหนดั ท่ีเกดิ ขน้ึ เพราะปรารภขนั ธ์ ๕ ของตน ส.ม.อ. (บาลี)
๓/๒๓๓/๒๓.
อชฺฌตฺตพฺยาปาท (พยาบาทในภายใน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๓/๑๗๐. พยาบาทในภายใน หมายถึง
ปฏิฆะ (ความกระทบกระท่ังในใจ) ที่เกิดข้ึนเพราะมือและเท้าเป็นต้นของตน ส.ม.อ.
(บาลี) ๓/๒๓๓/๒๓.
อญฺ ติตฺถิย (อัญเดียรถีย์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๑/๓๙. อัญเดียรถีย์ คือ ผู้ถือลัทธินอก
พระพทุ ธศาสนา เป็นนกั บวชผถู้ ือลัทธิอนื่ วิ.อ. (บาล)ี ๓/๑๓๒/๑๐.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๓๒๙
อตตฺ ทีป (มตี นเป็นเกาะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๕/๒๒๔. มตี นเปน็ เกาะ หมายถึงทาตนให้พ้นจากห้วง
น้าคอื โอฆะ ๔ เหมือนกับเกาะกลางมหาสมุทรที่น้าท่วม ไม่ถึง ฉะนั้น ส.ม.อ. (บาลี) ๓/
๓๗๕/๒๗๗, ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๕/๑๕๐, ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๖๕/๑๘.
อตฺตสมฺปทา (อตั ตสัมปทา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๕๔/๔๔. อัตตสมั ปทา (ความถึงพร้อมด้วยตน) ในท่ีนี้
หมายถงึ ความเป็นผมู้ จี ิตสมบูรณ์ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๙-๖๒/๑๙.
องคฺ ณ (กิเลสเพยี งดังเนิน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๖/๒๐. กิเลสเพียงดังเนิน หมายถึงกิเลส คือ ราคะ
โทสะ และโมหะ ม.ม.อ. (บาลี) ๑/๕๗/๑๕. ท่านเรียกว่า กิเลสเพียงดังเนิน (อังคณะ)
เพราะยงั จติ ใหล้ าดต่า โน้มเอียงไปสู่ที่ต่า เช่น ต้องย้อนกลับไปสู่จตุตถฌานอีกเป็นต้น
ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๑๕.
อนนตฺ ราพาหิร (ไม่มใี นไมม่ ีนอก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๕/๒๒๓. ไม่มีในไมม่ นี อก หมายถงึ ไม่แบ่งเป็น
๒ ฝาุ ย ไม่ว่าจะเปน็ การแบง่ ธรรมหรอื แบ่งบคุ คล (ผู้ฟงั ) เชน่ ผูท้ คี่ ดิ ว่า เราจะไมแ่ สดงธรรม
ประมาณเท่าน้ีแก่บุคคลอ่ืน ชื่อว่าทาธรรมให้มีใน แต่จะแสดงธรรมประมาณเท่าน้ีแก่
บคุ คลอนื่ ชื่อว่าทาธรรมให้มีนอก ส่วนผู้ทคี่ ดิ วา่ เราจะแสดงแกบ่ ุคคลนี้ ชื่อว่าทาบุคคลให้
มีใน ไม่แสดงแก่บุคคลน้ี ชื่อวา่ ทาบุคคลให้มีนอก ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๗๕/๒๗๖, ที.ม.อ.
(บาลี) ๑/๑๖๕/๑๔.
อนิมติ ฺตเจโตสมาธิ (เจโตสมาธอิ ันไมม่ นี ิมิต) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๕/๒๒๔. เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต
หมายถงึ วปิ สั สนาสมาธิ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๐/๑๕.
อนุปพฺพชฺชา (การบวชตาม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๔. การบวชตาม หมายถึงการทาจิตให้
เลื่อมใสในพระอริยะแล้วออกจากเรอื นบวชเปน็ บรรพชิตในสานักของท่าน ส.ม.อ. (บาลี)
๓/๑๘๔/๒๐.
อนุปฺปตฺตสทตฺถ (บรรลุประโยชน์ตน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๔/๒๘๔. บรรลุประโยชน์ตน ในที่น้ี
หมายถงึ บรรลุอรหตั ผล อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๓๘/๑๓.
อนุสย (อนุสัย) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗/๔๐. อนุสัย ได้แก่ อนุสัย ๗ คือ กามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐิ
วิจิกจิ ฉา มานะ ภวราคะ อวชิ ชา ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๗, ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-
๖๒/๑๔, องฺ.สตตฺ ก. (ไทย) ๒๓/๑๑/๑.
อนุสฺสติ (การระลกึ ถึง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๔. การระลกึ ถงึ หมายถงึ การระลึกถึงพระอริยะที่
อย่ใู นที่พกั กลางคืนและกลางวัน หรือการระลึกถงึ โอวาทของทา่ น ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๘๔/
๒๐.
๓๓๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง
อนฺตราปรินพิ ฺพายี (อนั ตราปรนิ พิ พายี) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๖. อันตราปรินิพพายี หมายถึง
พระอนาคามีผปู้ รินพิ พานในระหวา่ ง คือ เกิดในสทุ ธาวาสภพใดภพหนงึ่ แลว้ เมื่ออายุยังไม่
ถงึ กึ่งของอายุผเู้ กดิ ในชนั้ สุทธาวาสกป็ รินพิ พานเสยี ในระหว่าง เช่น ในช้ันอวิหาภพมีอายุ
๑,๐๐๐ กปั มี ๓ จาพวก ดังน้ี -พวกท่ี ๑ บรรลุพระอรหัตผลในวันท่ีเกิด ถ้าไม่บรรลุใน
วันที่เกดิ กบ็ รรลุไม่เกินภายใน ๑๐๐ กัป -พวกที่ ๒ เมื่อไม่สามารถบรรลุพระอรหัตผล
ในวันที่เกิดหรือบรรลุภายใน ๑๐๐ กัปได้ก็บรรลุภายใน ๒๐๐ กัป -พวกท่ี ๓ เมื่อไม่
สามารถบรรลุพระอรหัตผลภายใน ๒๐๐ กัป ก็บรรลุไม่เกินภายใน ๔๐๐ กัป ส่วนใน
สทุ ธาวาสชั้นอืน่ ๆ คอื อตัปปาภพท่มี อี ายุ ๒,๐๐๐ กัป ชนั้ สทุ สั สาภพทม่ี ีอายุ ๔,๐๐๐ กัป
ชั้นสุทัสสีภพท่ีมีอายุ ๘,๐๐๐ กัป ช้ันอกนิฏฐาภพที่มีอายุ ๑๖,๐๐๐ กัป ก็มีนัย
เชน่ เดียวกนั ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๘๔/๒๑๐, อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๘/๒๔.
อนฺธการ (ทม่ี ืด) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐/๑๕. ท่ีมดื ในทนี่ ้หี มายถึงความมืดมอี งค์ ๔ คอื ความมดื ในวัน
แรม ๑๔ คา่ ความมดื ในเวลา เทยี่ งคืน ความมืดในปุาทึบ ความมืดในเวลาเมฆปกคลุม
อง.ฺ ทุก.อ. (บาลี) ๒/๑๖/๑.
อโนก (ทไี่ ม่มนี ้า) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๔. ท่ไี มม่ นี า้ หมายถงึ วิวฏั ฏะ คอื นิพพาน ส.ม.อ. (บาลี) ๓/
๓๑-๔๐/๑๙๖, อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๗-๑๑๘/๓๗.
อปายทุคคฺ ติวินิปาต (อบาย ทุคติ และวินิบาต) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๗๗/๔๕๓. อบาย ทุคติ และ
วินิบาต ท้ัง ๓ คานีเ้ ป็นไวพจน์ของนรก องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๔๓/๕.
อปาร (ฝั่งโนน้ ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๓. ฝง่ั โน้น ในทนี่ ี้หมายถึงพระนพิ พาน ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๓๑-
๔๐/๑๙๖, อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๑๗-๑๑๘/๓๗.
อปปฺ ฏิวตฺตยิ (ใคร ๆ ในโลกให้หมุนกลับไม่ได้) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๕. ใคร ๆ ในโลกให้
หมนุ กลบั ไม่ได้ หมายถึง ใคร ๆ ในโลกปฏิเสธไม่ได้ เพราะพระผู้มีพระภาคผู้เป็นเจ้าของ
ธรรมตรสั ร้มู าโดยชอบ และเพราะธรรมจักรเปน็ ธรรมยอดเยี่ยม เนตฺติ.อ. (บาลี) ๙/๖๓,
เนตตฺ .ิ ว.ิ (บาลี) ๙/๙.
อปปฺ ฏิวิภตตฺ (ไมแ่ บ่งแยก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๐๒/๕๐๐. ไม่แบ่งแยก หมายถึงไม่แบ่งแยกว่าจะ
ถวายภิกษสุ ว่ นหน่งึ จะใช้สอยเองส่วนหน่งึ แตจ่ ักใช้เปน็ ของสาธารณะกับภิกษุหรือผู้มีศีล
ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๓๕๒/๑๖.
อปฺปตตฺ (ธรรมท่ียังไมบ่ รรลุ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๑/๑๖. ธรรมทีย่ งั ไม่บรรลุ ในทน่ี ี้หมายถงึ อรหัตผล
ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๑/๑๙.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๓๓๑
อปฺปมาทสมฺปทา (อัปปมาทสมั ปทา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๕๔/๔๔. อัปปมาทสัมปทา (ความถึงพร้อม
ด้วยความไมป่ ระมาท) ในทนี่ หี้ มายถงึ ความถึงพรอ้ มด้วยความไม่ประมาทอันเป็นเหตุให้
บรรลุธรรม ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๙-๖๒/๑๙.
อพฺยคคฺ นมิ ติ ฺต (อัพยคั คนิมิต) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๓/๑๑๓. อพั ยัคคนิมิต (นิมิตแห่งจิตท่ีมีอารมณ์
ไมฟ่ ุูงซา่ น) เปน็ ไวพจนข์ องสมถนิมิต ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๓/๒๐.
อมจจฺ (อามาตย์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๐/๘๙. อามาตย์ หมายถงึ ผ้รู ว่ มงานกัน ทาประโยชน์ร่วมกัน
เช่นปรกึ ษาหารือกัน หรือไปมาดว้ ยกนั ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๑๒/๓๖๗, ส.ฏีกา (บาลี) ๒/
๑๐๑๒/๖๒.
อริยกนฺตสีล (ศลี ทีพ่ ระอรยิ ะชอบใจ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๙๗/๔๘๙. ศีลทพี่ ระอริยะชอบใจ หมายถึง
ศลี ทป่ี ระกอบดว้ ยมรรคและผล องฺ.จตุกกฺ .อ. (บาล)ี ๒/๕๒/๓๔.
อริย าย (อรยิ ญายธรรม) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๒๔/๕๔๔. อริยญายธรรม หมายถึงมรรคพร้อมท้ัง
วิปสั สนา อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๙๑-๙๒/๓๖.
อวนิ ปิ าต (ไมม่ ีทางตกต่า) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๒/๒๘๓. ไมม่ ีทางตกตา่ หมายถึงไม่ตกไปในอบาย ๔
คือ นรก กาเนดิ สตั วด์ ิรจั ฉาน แดนเปรต และพวกอสรู อง.ฺ ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๘๗/๒๔.
อวสิ ย (สิ่งอนั มิใช่วิสัย) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๓/๑๖๙. สงิ่ อันมใิ ช่วสิ ยั หมายถึงการทาในส่ิงท่ีเป็นไป
ไม่ได้ เช่น การเทินศลิ าขนาดเท่าเรอื นยอด ข้ามนา้ ลกึ และการฉุดดวงจันทร์ดวงอาทิตย์
ลงมา เป็นสิ่งทีเ่ ปน็ ไปไม่ได้ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๒๓/.
อสงฺขารปรินิพฺพายี (อสังขารปรินิพพายี) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๖. อสังขารปรินิพพายี
หมายถงึ พระอนาคามีผ้บู รรลพุ ระอรหัตผล ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรมาก ส.
ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๑๐, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๘๘/๒๔.
อาคนฺตุกาคาร (เรือนพักคนเดินทาง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๕๙/๘๗. เรือนพักคนเดินทาง ในที่นี้
หมายถงึ เรือนพักสาหรบั อาคนั ตกุ ะ ทเี่ หลา่ ชนผู้ต้องการบุญพากันสร้างไว้กลางเมือง ซ่ึง
พระราชาและมหาอามาตยข์ องพระราชากส็ ามารถเข้าไปพักได้ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๕๙-
๑๖๐/๒๐.
อาจริยมฏุ ฺ (อาจริยมุฏฐิ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๗๕/๒๒๓. อาจริยมุฏฐิ แปลว่า กามือของอาจารย์
อธบิ ายว่า มือท่กี าไว้ ใช้เรยี กอาการของอาจารย์ภายนอกพุทธศาสนาที่หวงวิชาไม่ยอม
บอกแก่ศิษย์ขณะที่ตนเองยังหนุ่ม แต่จะบอกแก่ศิษย์ท่ีตนรัก ขณะที่ตนใกล้จะตาย
๓๓๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
เท่าน้ัน แต่พระผู้มีพระภาคไมท่ รงถอื ตามคตเิ ชน่ นี้ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๗๕/๒๗๖, ที.ม.อ.
(บาล)ี ๒/๑๖๕/๑๕.
อาจกิ ขฺ ิสสฺ นฺติ (บอก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๘. บอก หมายถึงกล่าวคาเริ่มต้น แสดงคาเริ่มต้น
องฺ.จตกุ ฺก.ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓.
อารทฺธ (ปรารภ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๓/๓๒. ปรารภ หมายถึงทาจนให้สาเร็จได้ วิสุทฺธิ.มหาฏีกา
(บาลี) ๑/๑๗๘/๓๕.
อารทฺธวีรยิ (เปน็ ผู้ปรารภความเพียร) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๙/๒๘๘. เปน็ ผู้ปรารภความเพียร ในท่ีนี้
หมายถึงประคองความเพยี รทางกายและทางใจไว้ อง.ฺ ปญฺจก.อ. (บาล)ี ๓/๒.
อาสว (อาสวะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗/๔๐. อาสวะ ไดแ้ ก่ อาสวะ ๔ คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐา
สวะ อวชิ ชาสวะ อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๙๔/๒๘๔, ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๕๓-๖๒/๑.
อาฬหก (อาฬหกะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๓๗/๕๖๐. อาฬหกะ เป็นชอ่ื มาตราตวงในบาลี คือ ๔ นาฬี
(ทะนาน) เป็น ๑ อาฬหกะ
อิติ (เบอื้ งบน) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๕/๑๗๔. เบื้องบน หมายถึงเทวโลก วิสุทฺธิ.มหาฏีกา (บาลี) ๑/
๒๕๔/๔๓.
อิทฺธิปาท (ฤทธ์บิ รบิ รู ณ์) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๑๘/๓๘๑. ฤทธ์ิบริบูรณ์ ในทีนี้หมายถึง อรหัตผล ส.
ม.อ. (บาล)ี ๓/๘๑๘/๓๒๗, ส.ฏกี า ๒/๘๑๘/๕๙.
อทิ ฺธปิ ฺปเภท (ฤทธิบ์ างอยา่ ง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๑๗/๓๘๐. ฤทธิ์บางอย่าง ในท่ีนี้หมายถึงมรรค ๓
(โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค และอนาคามิมรรค) และผล ๓ (โสดาปัตติผล
สกทาคามิผล และอนาคามผิ ล) ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๘๑๗/๓๒๗, ส.ฏกี า ๒/๘๑๗/๕๙.
อุชุภูต (มีความเห็นตรง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๒๒/๕๔๐. มีความเห็นตรง หมายถึงเห็นว่าพระ
ขีณาสพไมม่ คี วามคดทางกาย เปน็ ต้น องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๕๒/๓๔.
อุตานกี ริสฺสนตฺ ิ (ทาให้งา่ ย) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒๒/๓๘๘. ทาให้ง่าย หมายถึงการแสดงประเด็นที่
จาแนกไวใ้ หช้ ดั เจนด้วยการชเี้ หตุและยกอทุ าหรณต์ า่ ง ๆ มาประกอบ องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/
๑๗๒/๔๓.
อทุ ธฺ มธ (เบ้ืองล่าง) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๕/๑๗๔. เบอื้ งลา่ ง หมายถึงนรกและนาคภพ วิสุทฺธิ.มหา-
ฏีกา (บาล)ี ๑/๒๕๔/๔๓.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๓๓๓
อทุ ฺธโสโตอกนิฏฺ คามี (อทุ ธังโสโตอกนฏิ ฐคามี) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๗. อุทธังโสโตอกนิฏฐ
คามี หมายถึงพระอนาคามีผู้มีกระแสสงู ขึน้ ไปไปจนถึงชนั้ อกนิฏฐภพ คือ เกิดในสทุ ธาวาส
ภพใดภพหนึง่ แล้วก็จะเกดิ เลอื่ นขึน้ ไปจนถึงช้นั อกนฏิ ฐภพ แลว้ จงึ ปรนิ ิพพานในภพน้ัน ส.
ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๑๐, องฺ.ติก.อ. (บาล)ี ๒/๘๘/๒๔.
อปุ สงฺกมน (การเขา้ ไปหา) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๔. การเข้าไปหา หมายถึงการเข้าไปหาพระ
อริยะด้วยความตง้ั ใจอยา่ งนีว้ ่า เราจักถวายทาน จักถามปัญหา จักฟังธรรม หรือจักทา
สกั การะ ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๐.
อปุ หจฺจปรนิ พิ ฺพายี (อุปหจั จปรินพิ พายี) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๔/๑๑๖. อุปหจั จปรินิพพายี หมายถึง
พระอนาคามผี ้เู กดิ อยใู่ นสทุ ธาวาสภพใดภพหนงึ่ แล้ว มีอายพุ ้นกึ่งจึง ปรินิพพาน เช่น ใน
ช้นั อวหิ าภพซ่งึ มีอายุ ๑,๐๐๐ กปั พระอนาคามีจาพวกน้ีมีอายุพ้นก่ึง คือ พ้น ๕๐๐ กัป
แล้วจึงปรินิพพาน ส่วนในสุทธาวาสชั้นอื่นที่เหลือซึ่งมีอายุแตกต่างกันไป ก็มี นัย
เช่นเดียวกันน้ี ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๑๐, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๘๘/๒๔.
อุมมฺ งฺค (ปัญญาใฝรุ ู้) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘/๒๑. ปญั ญาใฝรุ ู้ มคี วามหมายว่า ความใฝุรู้ท่ีโผล่ขึ้น คือ
ปัญญาท่ีเกดิ ขน้ึ จากการทดลอง การเสาะแสวงหา ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๘-๒๐/๑๙๕, องฺ.
จตุกกฺ .อ. (บาลี) ๒/๑๘๘/๔๐.
เอกธมมฺ (ธรรมอนั เปน็ เอก) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๖๓/๔๘. ธรรมอันเป็นเอก ในที่น้ีหมายถึงธรรมที่มี
สภาวะเปน็ หน่งึ (เอกสภาวะ) ศัพทว์ า่ ธรรม นี้มีความหมายวา่ สภาวะ ดุจในคาว่า กุสลา
ธมฺมา (สภาวะที่เป็นกุศล) เป็นต้น องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๒๙๖/๔๑๘, องฺ.เอกก.ฏีกา
(บาลี) ๑/๒๙๖/๒๗.
เอกพีชี (เอกพีชีโสดาบนั ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๙๔/๓๐๔. เอกพชี โี สดาบนั หมายถึงผู้มีพืชคืออัตภาพ
อันเดียว คอื เกดิ อกี คร้งั เดยี วกจ็ กั บรรลุอรหตั ผล ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๙๔/๓๑.
เอกายน (ทางเดียว) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๖๗/๒๑๐. ทางเดียว หมายถึง เป็นทางที่บุคคลผู้ละการ
เกย่ี วขอ้ งกบั หมู่คณะไปประพฤติธรรมอยูแ่ ตผ่ ู้เดียว เปน็ ทางสายเดยี ว ท่ีพระพุทธเจ้าทรง
ทาใหเ้ กิดขน้ึ เป็นทางของผูเ้ ดยี ว คือพระผู้มีพระภาค เพราะทรงทาให้เกิดข้ึน เป็นทาง
ปฏิบตั ใิ นศาสนาเดียว คือพระพุทธศาสนา เป็นทางดาเนินไปสู่จุดหมายเดียว คือพระ
นิพพาน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๓/๓๕.
เอฬมคู (คนเซอะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๒๕/๑๕๗. คนเซอะ ในที่นี้หมายถึงคนท่ีใช้ปากพูดได้ แต่พูด
ไมช่ ัด ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๒๒๕-๒๓๑/๒๒.
๓๓๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
โอก (ทมี่ ีนา้ ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๔/๓๔. ท่มี นี ้า หมายถึงวัฏฏะ ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๑-๔๐/๑๙๖, องฺ.
ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๗-๑๑๘/๓๗.
โอปปาตกิ (โอปปาตกิ ะ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๙๙/๔๙๓. โอปปาติกะ คือสัตว์ท่ีเกิดและเติบโตเต็มที่
ทนั ทแี ละเมอื่ จุติ (ตาย) กห็ ายวบั ไปไมท่ ้งิ ซากศพไว้ เชน่ เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น ที.
สี.อ. (บาลี) ๑/๑๗๑/๑๔.
โอหติ ภาร (ปลงภาระไดแ้ ล้ว) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๗๔/๒๘๔. ปลงภาระได้แล้ว ในที่นี้หมายถึงปลง
ขันธภาระได้ ปลงกิเลสภาระได้ และปลงอภิสังขารภาระได้ องฺ.ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๓๘/๑๓.