The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก-1

Keywords: พจนานุกรมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๓๕

รูปวปิ ริณาม (ความแปรผันของรูป) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๒๐/๓๘๗. ความแปรผันของรูป หมายถึง
กรรมวิญญาณแปรผนั ไปตามความแตกสลายของรูปว่า รปู ของเราแปรผนั ไปแล้ว หรอื รูป
ใดมอี ยู่ รปู นนั้ ของเราไม่มี ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๓๒๐/๑๙.

โลกามิส (โลกามิส) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๕๘/๖๓. โลกามิส ในทีน่ ห้ี มายถงึ กามคุณ ๕ ประการ คือ รูป
เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ อันเปน็ เหยื่อล่อของวัฏฏะ กามและโลก ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๕๘/
๓.

วฏฏฺ ุม (ตอแหง่ วัฏฏะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๗/๒๓๔. ตอแห่งวัฏฏะ หมายถึงกัมมวัฏฝุายกุศลและ
ฝุายอกศุ ล ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๙๗/๑๒.

วิกาลโภชน (ฉันในเวลาวกิ าล) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔/๒๑. ฉนั ในเวลาวิกาล คอื เวลาที่ห้ามไว้เฉพาะ
แตล่ ะเร่อื ง ในทนี่ ้ีหมายถึงผิดเวลาท่ีกาหนดไว้ คือตง้ั แตห่ ลังเท่ยี งวันจนถึงเวลาอรุณขนึ้ ที.
ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๐/๗๕,

วิชฺชา (วชิ ชา) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๒๗/๔๘๖. วิชชา ในท่ีน้หี มายถึงวิชชาคอื อรหัตมรรค ม.อ.ุ อ. (บาลี)
๓/๔๒๖/๒๕.

วิชฺชา (วิชชา) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๓๓/๔๙๓. วิชชา หมายถงึ วชิ ชาคืออรหัตมรรค ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๔๓๓/๒๕.

วิชฺชา (วชิ ฺชา) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๘๗/๔๔๐. วิชชา หมายถึงมรรคปัญญา อีกนัยหน่ึง หมายถึง
สัมมาทฏิ ฐแิ ละ สมั มาสงั กัปปะ

วชิ ฺชาจรณสมฺปนนฺ (เพยี บพร้อมด้วยวชิ ชาและจรณะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๘. เพียบพร้อมด้วย
วิชชาและจรณะ คือ วิชชา ได้แก่ วิชชา ๓ และวิชชา ๘ ดังนี้ วิชชา ๓ คือ ปุพเพ
นวิ าสานสุ สตญิ าณ ความรทู้ ่ใี หร้ ะลึกชาตไิ ด้ จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติ (ตาย) และอุบัติ
(เกดิ ) ของสัตว์ อาสวักขยญาณ ความรู้ท่ีทาให้ส้ินอาสวะ วิชชา ๘ คือ วิปัสสนาญาณ
ญาณท่ีเป็นวิปัสสนา มโนมยิทธิ มีฤทธ์ิทางใจ อิทธิวิธิ แสดงฤทธ์ิได้ต่าง ๆ ทิพพโสต
หูทิพย์ เจโตปริยญาณ กาหนดร้จู ิตผ้อู ่นื ได้ ปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ ความรทู้ ่ีให้ระลึกชาติ
ได้ ทิพพจักขุ ตาทิพย์ หรือเรียกว่าจุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทาให้สิ้น
อาสวะ จรณะ ๑๕ คือ สีลสัมปทา ความถึงพรอ้ มด้วยศีล อินทรยี สังวร การสารวมอนิ ทรีย์
โภชเนมัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค ชาคริยานุโยค การหม่ัน
ประกอบความเพียรเป็นเคร่ืองตื่น มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ เป็นพหูสูต วิริยารัมภะ

๒๓๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

ปรารภความเพยี ร มีสติมั่นคง มีปัญญา ปฐมฌาน ทุตยิ ฌาน ตติยฌาน จตตุ ถฌาน ว.ิ อ.
(บาลี) ๑/๑/๑๐๓-๑๑.

วิชฺชาภาคิย (ท่ีเป็นส่วนแห่งวิชชา) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๕๖/๒๐๓. ท่ีเป็นส่วนแห่งวิชชา ในที่น้ี
หมายถึงธรรมที่สมั ปยตุ ดว้ ยวิชชา ๘ คอื วิปัสสนาญาณ ๑ มโนมยทิ ธิ ๑ อภิญญา ๖ หรือ
เรียกอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ วิชชา ๘ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๕๖/๑๐๓-๑๐.

วินิปาต (ช่อื วา่ วนิ ิบาต) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘/๒๕. ชื่อว่า วินบิ าต เพราะเป็นสถานที่ตกไปของหมู่
สตั วท์ ีท่ าความช่ัว ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๕๓/๓๕.

วิภงฺค (วภิ งั ค)์ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๗๒/๓๑๙. วิภังค์ ในท่ีนี้หมายถงึ การจาแนกเนอ้ื ความให้พิสดาร ม.
อุ.อ. (บาล)ี ๓/๒๗๒/๑๗.

วภิ ชน (การจาแนก) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๑/๔๑๖. การจาแนก หมายถึงการจาแนกประเด็นท่ีเปิด
แลว้ ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๓๗๑/๒๒๓, องฺ.จตุกกฺ . ฏกี า (บาล)ี ๒/๑๗๒/๔๓.

วมิ ตุ ฺติ (วมิ ุตติ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๓๓/๔๙๓. วิมุตติ หมายถึงผลวมิ ตุ ติ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๔๓๓/๒๕.

วิมตุ ฺติ าณทสฺสน (วิมุตติญาณทัสสนะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๙/๒๒๗. วิมุตติญาณทัสสนะ เป็น
ความรู้ข้ันสุดท้าย แยกอธิบายได้ว่า วิมุตติ หมายถึงอรหัตผล ญาณทัสสนะ หมายถึง
ปจั จเวกขณญาณ คือญาณท่ีเกิดข้ึนถดั จากการบรรลุมรรคผลดว้ ยมัคคญาณและผลญาณ
เพอ่ื พจิ ารณามรรคผล พิจารณากิเลสที่ละได้แล้วและเหลืออยู่รวมท้ังพิจารณานิพพาน
องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑/๓๑.

วมิ ุตฺตปิ ริปาจนยี (ธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตติ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๑๖/๔๗๐. ธรรมเป็นเครื่องบ่ม
วมิ ุตติ หมายถงึ ธรรม ๑๕ ประการ คอื เวน้ บุคคล ๕ จาพวก ได้แก่ ผู้ไม่มีศรัทธา ผู้เกียจ
คร้าน ผหู้ ลงลืมสติ ผมู้ จี ติ ไม่มัน่ คง และผู้มปี ัญญาทราม คบบุคคล ๕ จาพวก ได้แก่ ผู้มี
ศรัทธา ผู้ขยัน ผู้มสี ติมนั่ คง ผูม้ ีจติ ตง้ั มน่ั และผู้มีปัญญา พิจารณาธรรม ๕ ประการ คือ
พระสูตรที่นา่ เล่อื มใส สมั มัปปธานสูตร สติปัฏฐานสูตร ฌานและวิโมกข์ และญาณจริยา
อกี นัยหนึ่ง หมายถึงธรรม ๑๕ ประการ คอื อินทรยี ์ ๕ ประการ สัญญาอันเป็นส่วนแห่ง
ธรรม เครอ่ื งตรัสรู้ ๕ ประการ และธรรม ๕ ประการ มีกัลยาณมิตตตาเป็นต้น ม.อุ.อ.
(บาลี) ๓/๔๑๖/๒๔๙, ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๒๑/๔.

วิวฏฺฏกปฺป (วิวัฏฏกัป) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๗/๒๕. วิวัฏฏกัป หมายถึงกัปฝุายเจริญ คือช่วง
ระยะเวลาที่โลกกลับฟ้ืนขึน้ มาใหม่ ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๑๒/๑๕.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๓๗

วิวรณ (การเปิดเผย) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๗๑/๔๑๖. การเปิดเผย หมายถึงการช้ีแจงแสดงเน้ือความ
ตามท่ตี ้งั อุทเทสไว้ โดยการวกกลับมาอธิบายซ้าอีก ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๗๑/๒๒๓, องฺ.
จตกุ ฺก.ฏกี า (บาลี) ๒/๑๗๒/๔๓.

วเิ วกนินฺน (น้อมไปในวเิ วก) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘๗/๒๒๔. นอ้ มไปในวิเวก ในท่ีนี้หมายถึงน้อมไปใน
นิพพาน ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๘๗/๑๑.

วหิ าร (วหิ ารธรรม) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๖๑/๒๐๘. วิหารธรรม ในที่นี้หมายถึงธรรม ๕ ประการ มี
ศรัทธาเป็นต้นท่เี ปน็ ไปกบั ความปรารถนา ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๖๑/๑๐.

วิหาร (วิหารธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๙/๒๒๕. วหิ ารธรรม ในที่นี้หมายถึงสมถะและวิปัสสนา ม.
อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๘๙/๑๑.

วสุ ิตพรฺ หมฺ จริย (อยูจ่ บพรหมจรรย์แล้ว) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๙/๒๖. อยจู่ บพรหมจรรย์แลว้ หมายถึง
กจิ แหง่ การปฏบิ ตั ิเพ่อื ทาลายอาสวกิเลสจบส้นิ บรบิ รู ณ์แลว้ ไมม่ ีกิจท่ีจะต้องทาเพื่อตนเอง
แต่ยังมหี น้าที่เพื่อผอู้ น่ื อยู่ ผู้บรรลุถึงขั้นน้ีได้ ช่ือว่าอเสขบุคคล ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔๘/
๒๐๓, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๕๔/๑๓.

เวร (เวร) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๓๗/๒๗๘. เวร นอกจากจะไมส่ งบระงับแลว้ ยงั กลบั เพมิ่ พูนเวรต่อกันให้
มากขน้ึ เปรยี บเหมือนการใชน้ า้ สกปรกชาระลา้ งส่ิงสกปรก ก็ยงิ่ เพ่มิ พูนความสกปรกมาก
ขึน้ ฉะนนั้ ข.ุ ธ.อ. (บาลี) ๑/๔.

เวฬุวน (เวฬุวนั ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๓๘/๔๙๘. เวฬุวัน ในทนี่ ี้หมายถึงสวนรุกขชาติซึ่งเต็มไปด้วยไม้
ไผ่ (ไม่ใช่พระเวฬวุ นั กรุงราชคฤห์) ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๔๕๓/๒๕.

สกฺกาย (สักกายะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๕/๓๕. สกั กายะ แปลวา่ กายของตน มีความหมายหลายนัย
คือ หมายถงึ ขนั ธ์ ๕ มรี ปู ขนั ธเ์ ป็นต้น ซงึ่ มอี ยู่โดยสภาวะ ขุ.ม.อ. (บาล)ี ๑๓/๑๖. หมายถึง
อปุ าทานขนั ธ์ ๕ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๕/๑๘๖, องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๓๓/๓๓๓, ม.มู.
ฏกี า (บาลี) ๑/๖/๑๑๒, ม.อ.ุ ฏีกา (บาลี) ๓/๒๕/๒๗. หมายถงึ เตภูมิกธรรม ม.อุ.อ. (บาลี)
๓/๒๕/๑๔, อง.ฺ ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๐๕,๖๑/๑๔๗, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๕๔/๒๕๔
อภ.ิ สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๑๒๒๕/๓๔๒,๑๕๕๕/๔๑.

สกฺกายนิโรธ (สักกายนิโรธ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๒๔/๔๘๓. สักกายนิโรธ หมายถึงความดับสักกายะ
คือ วฏั ฏะ ๓ ไดแ้ ก่ กเิ ลสวฏั ฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ อันได้แก่นิพพาน องฺ.จตุกก.อ.
(บาลี) ๒/๑๗๘/๓๙., อง.ฺ จตุกก. (ไทย) ๒๑/๑๗๘/๒๘๑.

๒๓๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

สจฺจมนุรกฺเขยฺย (พึงตามรักษาสัจจะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๔๓/๔๐๓. พึงตามรักษาสัจจะ ในที่นี้
หมายถงึ รกั ษาสัจจะมาแตต่ ้น เพือ่ กระทาปรมัตถสัจจะคือนิพพานให้แจ้ง ม.อุ.อ. (บาลี)
๓/๓๔๓/๒๑.

สญโฺ ชน (สงั โยชน์) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๔๗/๑๘๖. สังโยชน์ หมายถึงกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ธรรมที่
มดั ใจสตั ว์ไวก้ ับทกุ ข์ มี ๑๐ คือ สกั กายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะหรือ
กามราคะ พยาบาทหรือปฏิฆะ รปู ราคะ อรปู ราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ๕ ข้อต้นช่ือ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ สว่ น ๕ ข้อหลังช่ืออุทธัมภาคิยสังโยชน์ พระโสดาบันละสังโยชน์ ๓
ขอ้ ต้นได้ พระสกทาคามที าสังโยชนข์ ้อ ๔ และขอ้ ๕ ใหเ้ บาบาง พระอนาคามีละสังโยชน์
๕ ขอ้ ข้างต้นได้ พระอรหันต์ละสังโยชน์ได้หมด องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑, ม.มู.อ.
(บาล)ี ๑/๖๗-๖๙/๑๗๔-๑๗.

สญฺ วาท (สญั ญวี าทะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๑/๒๘. สัญญีวาทะ หมายถึงลัทธิที่ถือว่าหลังจากตาย
แลว้ อัตตามีสญั ญา มี ๑๖ ลัทธิ ที.สี. (ไทย) ๙/๗๕-๗๖/๓๑-๓๒.

สตตฺ ปท (สัตตบท) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๐๔/๓๖๘. สตั ตบท แปลวา่ ทางดาเนนิ ไปของสัตว์ทั้งหลายที่
อาศยั วัฏฏะและววิ ัฏฏะ ในที่น้ีแบ่งออกเป็น ๒ คือ วัฏฏบท ทางดาเนินไปสู่วัฏฏะ ๑๘
ทางวิวัฏฏบท ทางดาเนินไปสู่วิวัฏฏะ ๑๘ ทาง รวมวัฏฏบทกับวิวัฏฏบทเข้าด้วยกัน
เรยี กว่า สตั ตบท ๓๖ ประการ ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๔/๑๘.

สตฺถ (ศัสตรา) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๘๙/๔๔๓. ศัสตรา ในท่นี ี้หมายถึงศสั ตราสาหรับฆ่าตัวตาย (ชีวิต
หารกสตฺถ) ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๘๙/๒๓.

สตฺถุ (ศาสดา) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๙๓/๒๓๐. ศาสดา ในทน่ี ีห้ มายถึงเจ้าลัทธินอกพุทธศาสนา ม.อุ.อ.
(บาลี) ๓/๑๙๓/๑๑.

สนนตฺ น (เปน็ ธรรมเกา่ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๓๗/๒๗๘. เป็นธรรมเก่า หมายถึงเป็นทางปฏิบัติเพ่ือ
สงบระงับเวรท่ีประพฤติสืบ ๆ กันมาของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระ
ขณี าสพ ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๑/๔.

สมญฺ า (คาพูดสามัญ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๒๗/๓๙๑. คาพูดสามัญ ในที่นี้หมายถึงคาพูดของ
ชาวโลกทกี่ าหนดพดู กนั บญั ญตั ใิ ห้รรู้ ่วมกนั ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๒๓/๑๙.

สมนุปสฺสติ (พิจารณาเหน็ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๒๔/๔๘๒. พิจารณาเห็น ในที่น้ีหมายถึง พิจารณา
เห็นความถือมั่นด้วยอานาจความถือมั่นทั้ง ๓ (ตัณหา มานะ ทิฏฐิ) ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๔๒๔/๒๕.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๓๙

สมนุปสสฺ ติ (พจิ ารณาเห็น) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๒๔/๔๘๓. พิจารณาเห็น ในทีน่ ีห้ มายถึงพิจารณาเห็น
วา่ เปน็ ของไม่เท่ยี ง เปน็ ทกุ ข์ และเป็นอนตั ตา ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๔๒๔/๒๕.

สมายิก (เกดิ ขน้ึ ตามสมยั ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘๖/๒๒๓. เกิดข้ึนตามสมัย ในท่ีนี้หมายถึงรูปฌาน
สมาบัติ ๔ และอรูปฌานสมาบัติ ๔ นี้ เป็นความหลุดพ้นจากกิเลสที่เกิดขึ้นตามสมัย ม.
อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๘๖/๑๑.

สมฺปชาน (มสี ัมปชญั ญะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๘/๒๒๕. มสี ัมปชัญญะ ในที่นี้หมายถึงมีความรู้ตัวว่า
กมั มฏั ฐานของตนยังไม่สาเร็จ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๘๘/๑๑.

สมปฺ ชาน (มสี ัมปชญั ญะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๙/๒๒๖. มีสมั ปชัญญะ ในที่น้ีหมายถึงมีความรู้ตัวว่า
กัมมัฏฐานของตนสาเรจ็ แล้ว ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๘๘/๑๑.

สมฺปชาน (สมั ปชญั ญะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๐/๒๒๘. สัมปชัญญะ ในท่ีน้ีหมายถึงรู้ชัด โดยรู้ว่า
กมั มฏั ฐานของเราสาเรจ็ พร้อมคือภกิ ษุพิจารณาอยวู่ ่า ฉันทราคะในกามคุณ ๕ เราละได้
แล้วหรอื ยงั ละไม่ได้ดังนี้ เมอ่ื ร้วู า่ ยังละไม่ได้ต้องประคองความเพียร จึงจะเพิกถอนฉันท
ราคะไดด้ ว้ ยอนาคามิมรรค ต่อจากนน้ั กพ็ ิจารณาผลสมาบตั ใิ นลาดับแห่งมรรค ออกจาก
ผลสมาบตั แิ ลว้ พิจารณาอยจู่ งึ รวู้ า่ ละไดแ้ ลว้ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๙๐/๑๑.

สมฺปสาท (ความผอ่ งใส) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๖๖/๗๓. ความผ่องใส ในที่นี้หมายถึงความผ่องใส ๒
ประการ คอื ความผ่องใสดว้ ยการน้อมใจเช่ือ คือการน้อมใจเช่ือว่าจะยึดเอาพระอรหันต์
ใหไ้ ด้ในวนั นี้ ความผ่องใสดว้ ยการได้ คอื การได้อรหัตผล หรือ จตุตถฌาน ม.อุ.อ. (บาลี)
๓/๖๖/๔.

สมฺพาธ (เป็นเรือ่ งอดึ อดั ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๙. เป็นเร่อื งอึดอัด เพราะไมม่ ีเวลาว่างที่จะทากุศล
กรรมได้อย่างสะดวก แม้เรือนมีเน้ือที่กว้างขวางถึง ๖๐ ศอก มีบริเวณภายในบ้านต้ัง
๑๐๐ โยชน์ มีคนอยู่อาศัย ๒ คน คือ สามี ภรรยา ก็ยังถือว่าคับแคบ เพราะต้องคอย
หว่ งใยและกังวลตอ่ กนั ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๑๖๓, ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๕๔/๒๐๑, องฺ.
จตกุ ฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๙๘/๔๒.

สมฺโพธิ (สัมโพธิ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๗/๑๘๖. สัมโพธิ ในที่น้ีหมายถึงมรรค ๓ เบื้องสูง (คือ
สกทาคามมิ รรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค) อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔๒, องฺ.ติก.
ฏีกา (บาลี) ๒/๘๗/๒๓.

สมฺโพธิสุข (สัมโพธิสุข) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๖/๒๒๓. สัมโพธิสุข หมายถึงความสุขจากการตรัสรู้
เพราะเปน็ ไปเพือ่ ตรสั รู้มรรค ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๘๖/๑๑.

๒๔๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

สมฺมปฺปญฺ า (ปัญญาอันชอบ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๖/๓๗๒. ปัญญาอันชอบ ในท่ีนี้หมายถึง
วิปัสสนาปญั ญา ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๐๖/๑๙.

สมฺมปฺปญฺ า (ปญั ญาอันชอบ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๐๐/๔๕๔. ปัญญาอนั ชอบ หมายถึงเห็นตามเหตุ
ตามการณ์ ดว้ ยวปิ ัสสนาปัญญาตามความเปน็ จรงิ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๓๙๙/๒๔.

สมฺมาสมาธิ (สัมมาสมาธิ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๔. สัมมาสมาธิ ในที่น้ีหมายถึงสมาธิในองค์
มรรค ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๓๖/๙.

สวฏฺฏกปฺป (สังวัฏฏกัป) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๗/๒๕. สังวัฏฏกัป หมายถึงกัปฝุายเส่ือม คือช่วง
ระยะเวลาทโ่ี ลกกาลงั พนิ าศ วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๑๕.

สหสฺสโี ลกธาตุ (สหัสสโี ลกธาตุ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๖๑/๒๐๘. สหัสสีโลกธาตุ เป็นชื่อของโลกธาตุ
(ระบบสุริยะจักรวาล) ขนาดเลก็ ประกอบด้วยจักรวาล ๑,๐๐๐ จักรวาล โลกธาตุขนาด
กลางช่อื วา่ ๒ สหสั สโี ลกธาตุ ประกอบดว้ ยจักรวาล ๑๐๐,๐๐๐ จักรวาล โลกขนาดใหญ่
ชือ่ ว่า ๓ สหสั สโี ลกธาตุ ประกอบด้วยจักรวาล ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิจักรวาล โลกธาตุแต่ละ
ขนาดมีเป็นจานวนมาก โลกธาตทุ ป่ี รากฏในพระสตู รโดยมาก เป็นโลกธาตุขนาดเล็ก ใน
ท่นี ี้กล่าวถงึ สหสั สีโลกธาตุ โลกธาตขุ นาดเล็ก ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๖๕/๑๐๕, องฺ.ติก. (ไทย)
๒๐/๘๑/๒๒๐-๒๒๒, ๓๑๑/๓๐๕-๓๐๘, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗-๓๒/๑๑-๑.

สหสฺสโี ลกธาตุ (สหสั สีโลกธาตุ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๐๑/๒๓๗. สหัสสีโลกธาตุ บางท่ีใช้ว่าโลกธาตุ
ดังที่ปรากฏในมหาสมยสูตร ที.ม. (บาล)ี ๑๐/๓๓๑/๒๑. ตอนหนึ่งว่า ทสหิ จ โลกธาตูหิ
เทวตา หมายถึงเหล่าเทวดาจาก ๑๐ โลกธาตุ อน่ึง ๑๐ โลกธาตุ ในที่นี้เท่ากับหมื่น
จักรวาลซ่ึงตรงกับ ๑๐ สหัสสโี ลกธาตใุ นพระสูตรน้ี ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓๒/๒๙. องฺ.ติก.
(ไทย) ๒๐/๘๑/๓๒๔-๓๒๖.

สหายตา (คุณเคร่ืองความเป็นสหาย) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๓๗/๒๗๙. คุณเครื่องความเป็นสหาย
หมายถึงคุณธรรมเหล่านี้ คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล กถาวัตถุ ๑๐ ธุดงค์คุณ ๑๓
วปิ ัสสนาญาณ ๙ มรรค ๔ ผล ๔ วิชชา ๓ อภญิ ญา ๖ และอมตมหานพิ พาน ข.ุ ธ.อ. (บาล)ี
๒/๔๔.

สาชีว (สาชีพ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔/๑๙. สาชีพ หมายถึงสิกขาบทท่ีพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
สาหรบั ภิกษุผูอ้ ยู่ร่วมกัน ผู้ดาเนินชีวิตรว่ มกนั มีความประพฤตเิ สมอกัน ม.มู.อ. (บาลี) ๒/
๒๙๒/๑๑๓, องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๘/๔๒. วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓.

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๔๑

สาธุวิหารี (สาธวุ ิหารี) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๓๗/๒๗๙. สาธุวิหารี หมายถึงผู้เพียบพร้อมด้วยพรหม
วหิ ารธรรม ๔ รปู ฌาน ๔ อรปู ฌาน ๔ และสัญญาเวทยติ นิโรธ ๑ ข.ุ จู. (ไทย) ๓๐/๑๓๑/
๔๓.

สาร (แกน่ สาร) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๙๖/๒๓๓. แกน่ สาร หมายถึงมรรคและผล แต่ในที่นแี้ ม้โลกิยคุณก็
ประสงคว์ ่า แกน่ สาร ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๙๖/๑๒.

สาโลหติ (สาโลหติ ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓/๔. สาโลหิต หมายถึงผู้ร่วมสายเลือดเดียวกัน ได้แก่ บิดา
มารดา ปหุู รอื ตา เปน็ ตน้ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๖๕/๑๗๒, ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๖๕/๓๒.

สิกขฺ า (สิกขา) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๔/๑๙. สกิ ขา ในทน่ี หี้ มายถงึ อธสิ ีลสกิ ขาของภิกษุทั้งหลาย ม.มู.อ.
(บาลี) ๒/๒๙๒/๑๑๓, องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๘/๔๒. วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓.

สกิ ขฺ า (สกิ ขา) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๔/๕๓. สิกขา หมายถึงข้อปฏิบัติสาหรับฝึกอบรมมี ๓ ประการ
คือ อธสิ ลี สกิ ขา (การศึกษาอบรม ในเรือ่ งศลี ) อธจิ ิตตสิกขา (การศึกษาอบรมในเร่ืองจิต)
อธปิ ญั ญาสิกขา (การศกึ ษาอบรม ในเรอ่ื งปญั ญา) ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๔๑๓/๓๐.

สลี (ศลี ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๘๗/๔๔๐. ศลี หมายถงึ สมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ และสมั มาอาชวี ะ

สุขเวทนยี (ให้ผลเป็นสุข) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๐/๓๕๙. ให้ผลเป็นสุข หมายความว่ากรรมอันเป็น
ปัจจยั แห่งสุขเวทนา คือกรรมชอื่ วา่ ให้ผลเป็นสขุ เพราะเกิดสุขเวทนาในปฏิสนธิกาลและ
ปวัตติกาลอย่างนค้ี ือ เจตนา ๔ ดวงที่ประกอบด้วยโสมนัสสหคตจิตฝุายกามาวจรกุศล
และเจตนาในฌาน ๓ ข้างตน้ (ปฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตติยฌาน) ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๐๐/
๑๘.

สุญฺ ต (สุญญตา) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘๔/๒๒๑. สุญญตา หมายถึงผลสมาบัติท่ีเกิดจากความว่าง
ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๑๑.

สุญฺ ต (สญุ ญตา) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘๗/๒๒๔. สุญญตา ในท่ีนี้หมายถึงผลสมาบัติ ม.อุ.อ. (บาลี)
๓/๑๘๗/๑๑.

สญุ ฺ ตาวหิ าร (สุญญตาวหิ ารธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๗๖/๒๑๕. สุญญตาวิหารธรรม หมายถึง
การอยดู่ ว้ ยสญุ ญตผลสมาบตั ิ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๔๓๘/๒๕.

สญุ ฺ าคาร (เรอื นว่าง) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๔๘/๑๘๗. เรือนว่าง หมายถึงเสนาสนะ ๗ อย่าง เว้นปุา
และโคนไม้ ได้แก่ ภเู ขา ซอกเขา ถ้าในภเู ขา ปาุ ชา้ ปาุ ละเมาะ ท่ีโล่งแจ้ง ลอมฟาง ที.ม.
(ไทย) ๑๐/๓๒๐/๒๔๘, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๕๐๘/๓๘.

๒๔๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง

เสวติ พฺพ (เสพ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๐๙/๑๓๕. เสพ ในท่ีนี้หมายถึงการนึกหน่วง รู้ เห็น พิจารณา
อธษิ ฐานจิต น้อมใจเช่อื ประคองความเพยี ร ตั้งสติไว้ ตง้ั จิตไว้ กาหนดรู้ด้วยปัญญา รู้ยิ่ง
ธรรมทค่ี วรรยู้ ง่ิ กาหนดรู้ธรรมท่ีควรกาหนดรู้ ละธรรมที่ควรละ เจริญธรรมที่ควรเจริญ
ทาใหแ้ จง้ ธรรมท่คี วรทาใหแ้ จ้ง อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๕๓/๖๑-๖.

โสตาปนนฺ (โสดาบัน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๗/๑๘๖. โสดาบัน หมายถึงผู้ประกอบด้วยอริยมรรคมี
องค์ ๘ เพราะคาว่า โสตะ เป็นชื่อของอริยมรรคมีองค์ ๘ อภิ.ปญฺจ.อ. (บาลี) ๓๑/๔๒
ประกอบใน ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๐๑/๕๑.

หาสปญฺ า (มปี ัญญารา่ เริง) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๙๓/๑๑๐. มปี ัญญารา่ เรงิ ในท่ีนี้หมายถึงมีปัญญาร่า
เริง เพราะเปน็ ผ้ทู าสตปิ ัฏฐาน ๔ สมั มัปปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อินทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์
๗ และอริยมรรคมีองค์ ๘ ใหเ้ จรญิ เปน็ ต้น ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๙๒/๕.

อกิรยิ วาท (อกริ ิยวาทะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๓/๑๘๓. อกิริยวาทะ หมายถึงผู้มีลัทธิว่า เม่ือทาบาป
บาปก็ไม่เปน็ อันทา ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๔๓/๙.

องคฺ ณ (กิเลสเพียงดงั เนนิ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๗/๒๔. กเิ ลสเพียงดงั เนิน หมายถงึ ราคะ โทสะ โมหะ
มลทินหรอื เปอื กตม ในทบ่ี างแห่งหมายถึงพื้นท่ีเปน็ เนินตามที่พดู กนั วา่ เนินโพธ์ิ เนินเจดีย์
เปน็ ตน้ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๕๗/๑๕.

อชฺชธมมฺ (อชั ชธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๗๘/๘๔. อัชชธรรม แปลว่า ธรรมซึ่งมีอยู่ขณะน้ี หมายถึง
ลทั ธิของครทู ้งั ๖ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๗๘/๔.

อชฌฺ าชีว (อาชวี ะอนั เคร่งครัด) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๓/๕๒. อาชีวะอนั เคร่งครัด หรือเรียกว่า อาชีวกา
รณสกิ ขาบท หมายถึงสกิ ขาบทที่ทรงบัญญัติเพราะเหตุแห่งอาชีวะ มี ๖ ข้อ คือ เพราะ
เหตุแห่งอาชีวะ ภิกษุถูกความปรารถนาลามกครอบงาพูดอวดอุตตริมนุสสธรรม ต้อง
อาบัติปาราชกิ เพราะเหตุแห่งอาชีวะ ภิกษุถึงความเป็นผู้ชักส่ือ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
เพราะเหตุแห่งอาชีวะ ภกิ ษกุ ลา่ วว่า ภิกษุรูปใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุรูปนั้นเป็นพระ
อรหันต์ เมื่อผู้ฟังเข้าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เพราะเหตุแห่งอาชีวะ ภิกษุขอโภชนะอัน
ประณตี เพอื่ ประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะเหตุแห่งอาชีวะ ภิกษุณีขอ
โภชนะอันประณตี เพือ่ ประโยชนต์ นมาฉนั ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี ์ เพราะเหตแุ หง่ อาชวี ะ ภกิ ษุ
ไมอ่ าพาธขอแกงหรอื ขา้ วสุกเพอ่ื ประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ วิ.ป. (ไทย) ๘/
๒๘๗/๓๙๒, ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๔๓/๒.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๔๓

อฏฺ าน (เปน็ ไปไมไ่ ด้) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๒๗/๑๖๖. เปน็ ไปไมไ่ ด้ หมายถึงปฏิเสธฐานะ (เหตุ) และ
ปฏเิ สธโอกาส (ปัจจยั ) ทีใ่ หเ้ ป็นไปได้ ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๒๗/๗๔, องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/
๒๖๘/๔๐.

อตมฺมยตา (อตัมมยตา) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๑๐/๓๗๗. อตัมมยตา แปลว่า ความไม่มีตัณหา ในท่ีนี้
หมายถึงวปิ สั สนาทีเ่ ป็นเครือ่ งนาสตั วอ์ อกจากความยึดมน่ั คือตณั หานน้ั ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๓๑๐/๑๙.

อตมฺมยตา (อตัมมยตา) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๐๘/๑๓๒. อตัมมยตา ในที่นี้หมายถึงความไม่มีตัณหา
ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๐๘/๖.

อตีต (สิ่งทล่ี ่วงมาแล้ว) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๗๒/๓๑๙. สิ่งที่ลว่ งมาแลว้ ในทนี่ ้หี มายถงึ ขนั ธ์ ๕ คือ รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในอดตี ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๒๗๒/๑๗.

อทุกฺขมสุขเวทนีย (ให้ผลเป็นอทุกขมสุข) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๐/๓๕๙. ให้ผลเป็นอทุกขมสุข
หมายความวา่ กรรมชือ่ วา่ ใหผ้ ลเป็นอทกุ ขมสุข เพราะเกดิ เวทนาที่ ๓ (อเุ บกขาเวทนา) ใน
ปฏสิ นธกิ าลและปวตั ตกิ าลอยา่ งน้ี คอื เจตนา ๔ ดวงทป่ี ระกอบดว้ ยอเุ บกขาสหคตจติ ฝุาย
กามาวจรกุศล และเจตนาในฌานท่ี ๔ ฝาุ ยรูปาวจรกุศล ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๐๐/๑๘๖-
๑๘.

อธิกรณ (อธิกรณ์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๖/๕๕. อธิกรณ์ หมายถึงเรื่องท่ีเกิดขึ้นแล้วซึ่งสงฆ์ต้อง
ดาเนินการตามพระวนิ ัยเพอ่ื ความสงบด้วยสมถะวิธีระงับท้ัง ๗ ประการ อย่างใดอย่าง
หน่งึ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๔๖/๒๘, กงฺขา.อ. (บาล)ี หนา้ ๓๓.

อธิปาติโมกฺข (ปาติโมกข์อันเคร่งครัด) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๓/๕๒. ปาติโมกข์อันเคร่งครัด หรือ
เรียกว่า อธิปาติโมกข์ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ภิกขุปาติโมกข์ กับภิกขุนีปาติโมกข์
สกิ ขาบททง้ั หลายท่ีพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ เว้นอาชีวการณสิกขาบท ๖ ม.อุ.อ.
(บาล)ี ๓/๔๓/๒๕, กงขฺ า.อ. (บาลี) หนา้ ๑๐.

อนภนิ นทฺ ิต (ไมน่ า่ เพลิดเพลิน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๖๓/๔๑๑. ไมน่ ่าเพลิดเพลิน หมายถึงรู้ชัดว่า ไม่
ควรเพลิดเพลนิ ดว้ ยอานาจตัณหาและทฏิ ฐิ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๖๓/๒๑.

อนมิ ติ ตฺ เจโตสมาธิ (เจโตสมาธอิ นั ไม่มีนิมติ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๒/๒๑๙. เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต
หมายถงึ ความตั้งมัน่ แห่งจิตในวิปสั สนาทเี่ รยี กวา่ ไมม่ นี ิมิต เพราะไม่มีสิ่งท่ีเที่ยงเป็นนิมิต
เป็นต้น ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๘๒/๑๑.

๒๔๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

อนุคคฺ าหก (อนเุ คราะห์) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๗๑/๔๑๗. อนเุ คราะห์ ในที่น้หี มายถึงการอนุเคราะห์ ๒
อยา่ ง คือ การอนุเคราะห์ดว้ ยอามสิ การอนเุ คราะหด์ ว้ ยธรรม ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๓๗๑/๒๒.

อนุตฺตรวิโมกฺข (อนุตตรวิโมกข์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๐๗/๓๗๓. อนุตตรวิโมกข์ ในที่นี้หมายถึง
อรหัตผล คอื การตั้งความปรารถนาในอรหัตผล ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๐๗/๑๙.

อนุตฺตรสงฺคามวิชย (อนุตตรสังคามวิชยะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๒/๑๖๙. อนุตตรสังคามวิชยะ
แปลวา่ ตาราพชิ ยั สงครามอนั ยอดเย่ยี ม ท่เี รยี กธรรมบรรยายน้ีว่า ตาราพิชัยสงครามอัน
ยอดเย่ยี ม เพราะพระโยคาวจรถืออาวุธคือวปิ ัสสนา สามารถกาจัดกองกิเลสจนประสบชัย
ชนะคืออรหัตผลได้ เหมอื นนักรบเข้าสูส่ งครามถืออาวุธ ๕ ประการ กาจัดกองทัพฝุายตรง
ข้ามไดช้ ัยชนะฉะน้ัน ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๘.

อนธุ มมฺ (ธรรมสมควร) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๖๑/๔๑๐. ธรรมสมควร ในท่นี ี้หมายถึงรูปาวจรฌานฝุาย
กุศล ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๓๖๑/๒๑.

อนุปทธมฺมวิปสฺสนา (เห็นแจ้งธรรมตามลาดับบท) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๔/๑๑๑. เห็นแจ้งธรรม
ตามลาดับบท หมายความว่า เห็นแจ้งด้วยอานาจสมาบัติ และอานาจองค์ฌาน ม.อุ.อ.
(บาลี) ๓/๙๒/๕.

อนุปวชชฺ (ไม่ควรถกู ติเตียน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๙๐/๔๔๓. ไมค่ วรถูกติเตียน ในทน่ี หี้ มายถงึ ไม่เกิด
อกี ไม่ปฏิสนธอิ กี ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๓๙๐/๒๓.

อนุปาทาวโิ มกขฺ (หลุดพน้ ได้เพราะไมถ่ ือม่นั ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๓/๔๓. หลุดพ้นได้เพราะไม่ถือม่ัน
แปลจากคาว่า อนุปาทาวิโมกข์ โดยปกติหมายถึงนิพพาน แต่ในที่น้ีหมายถึง อรหัตผล
สมาบตั ิ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๓/๑.

อนุปฺปตฺตสทตฺถ (บรรลุประโยชน์ตน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๘/๑๑๖. บรรลุประโยชน์ตน ในท่ีนี้
หมายถึงบรรลุอรหัตผล อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๓๘/๑๓.

อนุพยฺ ญฺชนคฺคาหี (แยกถอื ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๕/๒๒. แยกถือ หมายถึงมองภาพ ๒ ด้าน คือมอง
แยกแยะเปน็ สว่ น ๆ ไปดว้ ยอานาจกเิ ลส เช่น เห็นมือ เท้า วา่ สวยหรือไม่สวย เห็นอาการ
ยิม้ แย้ม หวั เราะ การพูด การเหลียวซา้ ยแลขวาว่าน่ารักหรอื ไม่น่ารกั ถา้ เห็นว่าสวยนา่ รักก็
เกิดอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา) ถ้าเห็นว่าไม่สวยไม่น่ารักก็เกิดอนิฏฐารมณ์
(อารมณ์ที่ไมน่ ่าปรารถนา) อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.

อนุสาสนฺติ (พรา่ สอน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๔/๑๘๓. พรา่ สอน หมายถงึ พรา่ สอนเก่ียวกบั กัมมัฏฐาน
ตอ่ ไป ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๔๔/๙.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๔๕

อปริตฺต (เปน็ จิตไมเ่ ล็กนอ้ ย) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๖๖/๗๓. เป็นจิตไม่เล็กน้อย ในท่ีน้ีหมายถึงจิตฝุาย
กามาวจร ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๖๖/๓.

อปาย (ช่ือวา่ อบาย) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘/๒๕. ช่อื วา่ อบาย เพราะปราศจากความงอกงาม คือไม่
มีความเจริญหรือความสุข ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๕๓/๓๕.

อปปฺ มาณ (หาประมาณมิได)้ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๖๖/๗๓. หาประมาณมิได้ ในที่น้ีหมายถึงจิตฝุาย
รูปาวจรและฝุายอรปู าวจร ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๖๖/๓.

อปปฺ รชกฺขชาตกิ (ผู้มีกิเลสดจุ ธุลีในดวงตาน้อย) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๘๗/๔๓๙. ผู้มีกิเลสดุจธุลีใน
ดวงตาน้อย หมายถงึ มธี ุลีคือราคะ โทสะ โมหะ เบาบางคือเล็กน้อย ท่ีปิดบังดวงตาคือ
ปญั ญา ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๘๒/๘๕, วิ.อ. (บาล)ี ๓/๘-๙/๑๔-๑.

อปฺเปสกขฺ (มศี กั ดิน์ อ้ ย) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๐๖/๑๒๗. มีศักดิ์น้อย ในที่นี้หมายถึงมีบริวารน้อย ม.
อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๖/๖.

อพโฺ ภกาส (เป็นทางปลอดโปร่ง) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๙. เปน็ ทางปลอดโปร่ง ได้แก่ การบวช ชื่อ
วา่ ปลอดโปร่ง เพราะนักบวชแม้จะอยู่ในเรือนยอด ปราสาทแก้ว หรือเทพวิมาน ซ่ึงมี
ประตหู น้าต่างปิดมิดชิด ก็ยงั ถอื ว่าปลอดโปร่ง เพราะนักบวชไม่มีความยึดติดในสิ่งใด ๆ
ทั้งยังมเี วลาวา่ งท่จี ะทากศุ ลกรรมได้อย่างสะดวกอีกด้วย ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๑๖๓,
อง.ฺ จตุกฺก.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๘/๔๒๑-๔๒.

อภิชาติ (อภิชาติ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๙/๑๓. อภิชาติ หมายถึง อภชิ าติที่ปูรณะ กัสสปะ บัญญัติไว้มี
๖ ประการ คือ ๑. กัณหาภิชาติ ผู้ท่ีมีชาติดา ได้แก่ คนฆ่าแพะ คนฆ่าสุกร คนฆ่านก
พรานเนอื้ ชาวประมง โจร เพชฌฆาต เจ้าหน้าท่ีเรือนจาหรือคนงานช้ันต่าและหยาบช้า
๒. นีลาภิชาติ ผู้ที่มีชาติเขียว ได้แก่ พวกภิกษุท่ีฝักใฝุในธรรมฝุายดา พวกกรรมวาทะ
ตลอดจนพวกกริ ยิ วาทะอ่นื ๆ ๓. โลหิตาภชิ าติ ผู้มชี าติแดง ไดแ้ ก่ พวกนิครนถ์ที่ใช้ผ้าผืน
เดยี ว ๔. หลทิ ทาภิชาติ ผู้มชี าตเิ หลือง ได้แก่ คฤหัสถผ์ ู้สวมใส่ผา้ ขาวซง่ึ เป็นสาวกของพวก
อเจลก (นกั บวช เปลอื ยกาย) ๕. สกุ กาภชิ าติ ผู้มีชาติขาว ได้แก่ นักบวชที่เรียกตัวเองว่า
อาชวี กและอาชีวิกา ๖. ปรมสกุ กาภชิ าติ ผมู้ ีชาติขาวอย่างย่ิง ได้แก่ เจ้าลัทธิช่ือนันทวัจฉ
โคตร, สงั กจิ จโคตร และมกั ขลิโคสาล ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๙/๓๒๙, อง.ฺ ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/
๕๗/๕๕๐-๕๕.

อภิชาติ (อภชิ าติ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙/๑๓. อภชิ าติ หมายถึง อภิชาติที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้มี ๖
ประการ คือ ๑. บุคคลผู้มีชาติดาและประพฤติธรรมดา ได้แก่ ผู้ท่ีเกิดในตระกูลคน

๒๔๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

จัณฑาล เปน็ ต้น แล้วยังประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ คร้ันตายแล้วย่อมบังเกิดใน
อบายภมู ิ ๒. บคุ คลผู้มีชาตดิ าแต่ประพฤติธรรมขาว ได้แก่ ผู้ที่เกิดในตระกูลคนจัณฑาล
เป็นต้น แต่เขาประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ คร้ันตายแล้วย่อมบังเกิดในสุคติภูมิ
๓. บุคคลผูม้ ีชาติดาแต่บรรลนุ พิ พานซง่ึ เปน็ ธรรมไมด่ าไม่ขาว ได้แก่ ผู้ที่เกิดในตระกูลคน
จณั ฑาล แตพ่ วกเขาออกบวชเป็นบรรพชิต ละนิวรณไ์ ด้ เจรญิ สตปิ ัฏฐานและโพชฌงค์จน
ตรสั ร้ธู รรมตามความเปน็ จริง และบรรลนุ ิพพานในทีส่ ุด ๔. บคุ คลผู้มชี าติขาวแตป่ ระพฤติ
ธรรมดา ไดแ้ ก่ ผู้ท่ีเกิดในขัตตยิ ตระกลู เป็นต้น แล้วประพฤติทจุ ริตทางกาย วาจา ใจ ครนั้
ตายแล้วยอ่ มบงั เกิดในอบายภมู ิ ๕. บคุ คลผู้มีชาติขาวและประพฤติธรรมขาว ได้แก่ ผู้ท่ี
เกดิ ในขัตติยตระกูล เป็นต้น แล้วประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ คร้ันตายแล้วย่อม
บงั เกิดในสุคตภิ มู ิ ๖. บุคคลผ้มู ชี าติขาวและบรรลุนพิ พานซ่ึงเป็นธรรมไมด่ าไม่ขาว ไดแ้ ก่ ผู้
ทเ่ี กดิ ในขัตติยตระกูล เปน็ ต้น แล้วออกบวชเป็นบรรพชิตละนิวรณ์ได้ เจริญสติปัฏฐาน
และโพชฌงค์จนตรัสรู้ธรรมตามเป็นจริงและบรรลุนิพพานในที่สุด ที.ปา. (ไทย) ๑๑/
๓๒๙/๓๒๙, องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๕๗/๕๕๐-๕๕.

อภิธมฺม (อภธิ รรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕/๔๔. อภธิ รรม ในที่น้หี มายถึงโพธปิ กั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ
ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๕/๑.

อภวิ าเทตพพฺ (ผทู้ ่ีควรกราบไหว้) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๙๕/๓๕๔. ผู้ท่ีควรกราบไหว้ ในท่ีน้ีหมายถึง
พระพุทธเจา้ พระปจั เจกพุทธเจา้ หรือพระอริยสาวก ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๒๙๕/๑๘.

อมตทุนฺทภุ ี (อมตทนุ ทภุ ี) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๒/๑๖๙. อมตทนุ ทภุ ี แปลวา่ กลองอมตธรรม ที่เรียก
ธรรมบรรยายนวี้ ่า กลองอมตธรรม เพราะพระโยคาวจรศึกษาปฏิบัติวิปัสสนาตามที่กล่าว
ไว้ในสตู รนแี้ ล้วสามารถย่ายีกเิ ลสทั้งหลายจนประสบชยั ชนะคอื อรหัตผลได้ เหมอื นนักรบ
ผ้ทู าหนา้ ทีย่ ่ายีขา้ ศกึ ถอื กลองรบเข้าประจญั บานกับขา้ ศกึ ฝาุ ยตรงข้ามจนประสบชัยชนะ
ฉะนัน้ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๘.

อริย (อันเปน็ อรยิ ะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๔. อันเป็นอริยะ หมายถึงไม่มีโทษ ได้แก่โลกุตตร
ธรรม ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๓๖/๙.

อริยปญฺ า (อรยิ ปัญญา) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๖๕/๗๑. อริยปัญญา ในท่ีนี้หมายถึงวิปัสสนาปัญญาอัน
บรสิ ทุ ธ์ิ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๖๕/๓.

อวินปิ าตธมฺม (ไมม่ ที างตกต่า) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๔๗/๑๘๖. ไม่มีทางตกต่า หมายถึงไม่ตกไปใน
อบาย ๔ คือ นรก กาเนดิ สัตวด์ ริ ัจฉาน เปรต อสูร อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔.

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๔๗

อเวร (การไมจ่ องเวร) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๓๗/๒๗๘. การไม่จองเวร หมายถึงธรรมคือขันติ เมตตา
โยนิโสมนสิการ (การพิจารณาโดยแยบคาย) และปัจจเวกขณะ (การพิจารณา) ขุ.ธ.อ.
(บาลี) ๑/๔.

อสญฺ วาท (สัญญีวาทะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๑/๒๙. อสัญญีวาทะ หมายถึงลัทธิท่ีถือว่าหลังจาก
ตายแล้ว อัตตาไม่มีสญั ญา มี ๘ ลัทธิ ท.ี สี. (ไทย) ๙/๗๘-๗๙/๓๓.

อสทฺธมฺม (อสทั ธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๑/๑๐๕. อสัทธรรม ในท่ีน้ีหมายถึงบาปธรรม ม.อุ.อ.
(บาล)ี ๓/๙๑/๕.

อสปฺปาย (ไม่เป็นสปั ปายะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๖๓/๖๖. ไมเ่ ป็นสัปปายะ ในที่น้ีหมายถึงอารมณ์ที่ไม่
ก่อใหเ้ กิดความเจรญิ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๖๔/๓.

อสามายิก (มิไดเ้ กิดขึน้ ตามสมยั ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๘๖/๒๒๓. มิได้เกดิ ข้นึ ตามสมยั ในท่นี ี้หมายถึง
อริยมรรค ๔ และสามัญญผล ๔ นเ้ี ปน็ ความหลุดพ้นจากกิเลสท่ีมิได้เกิดข้ึนตามสมัย ม.
อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๘๖/๑๑.

อสฺมมิ าน (อสั มิมานะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๑/๒๒๙. อัสมมิ านะ ในทน่ี ้หี มายถงึ ละมานะว่า เรามีใน
รูป ละฉนั ทะวา่ เรามีในรูป ละอนุสัย (ความเคยชิน) ว่า เรามีในรูป ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๑๙๑/๑๑.

อเหตุกวาท (อเหตกุ วาทะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๓/๑๘๓. อเหตกุ วาทะ หมายถึงผู้มีลัทธิว่า ไม่มีเหตุ
ไม่มปี จั จยั เพอ่ื ความหมดจดแห่งสตั วท์ ัง้ หลาย ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๔๓/๙.

อาคติคติ (การมาและการไป) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๙๓/๔๔๖. การมาและการไป หมายถึงการมาด้วย
อานาจปฏิสนธิ การไปด้วยอานาจการจตุ ิ ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๓๙๓/๒๓๗, ส.สฬา.อ. (บาลี)
๓/๘๗/๒๒, ส.ฏกี า (บาลี) ๒/๘๗/๓๕.

อาจาร (อาจาระ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๕/๗๙. อาจาระ หมายถึงความไม่ลว่ งละเมดิ ทางกาย ทางวาจา
และทางใจ ความสารวมระวังในศีลทั้งปวง และการไม่เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาอาชีวะท่ี
พระพุทธเจา้ ทรงตาหนิ อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๕๑๓-๕๑๔/๔๑๓-๔๑. ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๖/
๕๗๑-๕๗๔.

อาจกิ ขฺ น (การบอก) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๗๑/๔๑๖. การบอก หมายถึงการบอกว่า นี้ช่ือว่า ทุกขอริย
สัจ ฯลฯ น้ีช่ือว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๗๑/๒๒๓, องฺ.
จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๑๗๒/๓๙๕, อง.ฺ จตกุ กฺ .ฏกี า (บาล)ี ๒/๑๗๒/๔๓.

๒๔๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

อาทิกลฺยาณ (ความงามในเบ้ืองตน้ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓/๑๙. ความงามในเบ้ืองต้น หมายถึงศีล
สมาธิ และวิปัสสนาปญั ญา

อาทพิ รฺ หมฺ จริยก (เบอื้ งตน้ แห่งการประพฤตพิ รหมจรรย์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๗๖/๓๓๒. เบ้ืองต้น
แหง่ การประพฤติพรหมจรรย์ หมายถึงข้อปฏิบัติเบ้ืองต้นแห่งมรรคพรหมจรรย์ ม.อุ.อ.
(บาลี) ๓/๒๘๐/๑๗.

อาเนญฺช (อาเนญชสมาบัติ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๕๘/๖๔. อาเนญชสมาบัติ หมายถึงสมาบัติอันไม่
หวัน่ ไหว ได้แก่ สมาบัติ ๖ คือ รปู ฌาน ๔ และอรูปฌานท่ี ๑ ท่ี ๒ ซ่ึงเว้นจากการร่ัวรด
ด้วยกเิ ลส ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๕๙/๓.

อาเนญฺช (อาเนญชสมาบัติ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๘/๒๒๕. อาเนญชสมาบัติ ในที่น้ีหมายถึงอรูป
สมาบัติ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๘๘/๑๑.

อาภเิ จตสกิ (อาภิเจตสิก) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๕๙/๒๐๖. อาภิเจตสิก ในท่นี ี้หมายถึงจติ ทห่ี มดจดอย่าง
ยงิ่ หรืออธิจติ เรียกวา่ อภิเจตสกิ คอื จิตผอ่ งใสยิง่ หรือจิตท่ีเกิดในอภิเจตสิกจะมีความนึก
คิดอนั แจม่ ใส อกี อยา่ งหนงึ่ จติ ทีอ่ าศัยอภิเจตสกิ ช่ือว่าจิตของผู้มีความนึกคิดอันแจ่มใส
ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๖๖/๑๗.

อามกธญฺ (ธัญญาหารดบิ ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔/๒๑. ธัญญาหารดิบ ในท่ีนี้หมายถึงธัญชาติ ๗
ชนิด คือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมาน ข้าวฟุาง ลูกเดือย หญ้ากับแก้
ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๒๙๓/๑๑.

อายตน (อายตนะ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๑/๒๙. อายตนะ ในทน่ี ้ีหมายถึงเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ม.
อุ.อ. (บาล)ี ๓/๒๔/๑.

อายตน (อายตนะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๖๖/๗๓. อายตนะ ในท่ีนห้ี มายถงึ เหตุ คือ อรหัตผล การเห็น
แจง้ อรหตั ผล จตุตถฌาน หรอื อุปจารแหง่ จตตุ ถฌาน ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๖๖/๓๙-๔.

อารมฺมณ (อารมณ์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๕๖/๒๐๓. อารมณ์ หมายถึงปัจจัยที่ให้เกิดกิเลส ม.อุ.อ.
(บาล)ี ๓/๑๕๖/๑๐.

อาสว (อาสวะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙/๒๖. อาสวะ หมายถึงกิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน
ไหลซมึ ซาบไปยอ้ มจติ เมอื่ ประสบอารมณต์ ่าง ๆ มี ๔ ประการ คือ กามาสวะ อาสวะคือ
กาม ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ทิฏฐาสวะ อาสวะคอื ทฏิ ฐิ อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา อภิ.
ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๓๗/๖๒๒-๖๒. แต่ในพระสูตรทา่ นจดั อาสวะเปน็ ๓ โดยสงเคราะห์ทิฏฐา
สวะเขา้ ในภวาสวะ ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๔/๖.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๔๙

อสิ ิสฆนเิ วสิต (หมู่ฤาษีพานักอยู่) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๘๗/๔๔๐. หมู่ฤาษีพานักอยู่ ในที่นี้หมายถึง
หมภู่ ิกษอุ าศัยอยู่ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๓๘๗/๒๓.

อจุ เฉท (อุจเฉทวาทะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๑/๒๙. อุจเฉทวาทะ หมายถึง ลัทธิที่ถือว่าหลังจากตาย
แล้ว อตั ตาขาดสูญ มี ๗ ลทั ธิ ที.สี. (ไทย) ๙/๘๔-๙๑/๓๕-๓๗.

อุจฺจากลุ (ตระกลู ใหญ่) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๐๕/๑๒๖. ตระกูลใหญ่ ในท่ีน้ีหมายถึงตระกูลกษัตริย์
ตระกูลพราหมณ์ หรอื ตระกูลแพศย์ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๑๐๕/๖.

อตุ ตฺ านีกมฺม (การทาใหง้ า่ ย) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๑/๔๑๖. การทาใหง้ ่าย หมายถงึ การแสดงประเด็น
ท่จี าแนกไวใ้ ห้ชดั เจนด้วยการช้เี หตแุ ละยกอุทาหรณ์ต่าง ๆ มาประกอบ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๓๗๑/๒๒๓, อง.ฺ จตุกกฺ .อ. (บาลี) ๒/๑๗๒/๓๙๖, อง.ฺ จตุกฺก.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๗๒/๔๓. องฺ.
จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑๗๒/๒๗๓-๒๗๔.

อุทฺเทส (อทุ เทส) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๗๒/๓๑๙. อุทเทส ในทีน่ ห้ี มายถึงบทมาติกาหรอื หวั ข้อธรรม ม.
อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๒๗๒/๑๗.

อุปทฺทว (อปุ ัททวะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๒๔/๑๖๐. อุปทั ทวะ ในที่น้ีหมายถึงภาวะที่จิตฟุูงซ่าน เช่น
เมอ่ื รู้วา่ โจรจะปลน้ กร็ ะสา่ ระสายพยายามจะหนพี ร้อมกับขนของไปด้วยเทา่ ที่พอจะถือติด
มอื ไปได้ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๒๔/๗๑, อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๑/๗.

อุปธิ (อปุ ธิ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๖๕/๗๑. อปุ ธิ ในทีน่ หี้ มายถึงกามคุณ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๖๕/๓.

อปุ ธิ (อุปธิ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๖๕/๗๑. อปุ ธิ ในท่นี ห้ี มายถงึ กิเลส ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๖๕/๓.

อปุ ธิ (อปุ ธทิ ัง้ หลาย) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๖๕/๔๑๒. อปุ ธทิ ั้งหลาย ในทน่ี หี้ มายถงึ อุปธิ ๔ คือ อุปธิคือ
ขนั ธ์ อุปธิคือกเิ ลส อปุ ธิคอื อภิสังขาร อุปธิคอื กามคุณ ๕ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๓๖๗/๒๑.

อุปธิสงขฺ ย (ธรรมเป็นท่สี น้ิ ไปแหง่ อุปธิ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๖๕/๗๑. ธรรมเปน็ ท่สี ้ินไปแห่งอุปธิ ในที่น้ี
หมายถงึ นิพพาน ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๖๕/๓.

อปุ นิส (มีอปุ นิสะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๔. มีอุปนิสะ หมายถึงมีเหตุปัจจัย ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๑๓๖/๙.

อุปสคฺค (อปุ สรรค) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๒๔/๑๖๐. อุปสรรค ในที่นี้หมายถึงอาการท่ีมีความขัดข้อง
เช่น การถกู โจรลอ้ มบ้านจดุ ไฟปดิ ประตไู มใ่ หห้ นไี ปได้และฆ่าแล้วชิงเอาทรัพย์ทั้งหมดไป
ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๒๔/๗๑, อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๑/๗.

๒๕๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

อปุ สมสุข (อุปสมสุข) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๖/๒๒๓. อุปสมสุข หมายถึงความสุขอันสงบเพราะ
เป็นไปเพอื่ การเข้าไปสงบกิเลสมีราคะเป็นตน้ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๘๖/๑๑.

อุปาทาน (อปุ าทาน) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๘/๓๘. อปุ าทาน แปลว่าความยึดมั่นถือม่ัน มี ๔ ประการ
คอื กามปุ าทาน ความยึดมัน่ ในกาม ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฏฐิ หรือหลักคาสอน
ต่าง ๆ สีลพั พตปุ าทาน ความยดึ ม่นั ในศลี วัตร อตั ตวาทุปาทาน ความยึดม่ันในวาทะว่า
ตัวตน ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๓, ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๕, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๗๔/๑๐๙,
อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๒๑๙-๑๒๒๓/๓๔๐-๓๔๒,๑๕๕๓/๔๑๗, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๙๓๘/
๖๒๔-๖๒. แต่ในท่นี ีห้ มายถงึ ทฏิ ฐุปาทาน เพราะความเห็นเชน่ น้จี ดั เป็นมิจฉาญาณทัสสนะ
ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๒๘/๑.

อปุ าทินฺนกรูป (อปุ าทินนกรูป) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๔๘/๔๐๕. อปุ าทินนกรูป หมายถึงรูปมีกรรมเป็น
สมุฏฐาน คาน้เี ปน็ ช่อื ของรปู ทดี่ ารงอยภู่ ายในสรีระ ทย่ี ดึ ถือ จับต้อง ลูบคลาได้ เช่น ผม
ขน ฯลฯ อาหารใหม่ อาหารเกา่ คานีก้ าหนดจาแนกหมายเอาปฐวธี าตุภายใน แต่สาหรับ
อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ก็มีนัยเช่นเดียวกัน พึงทราบความพิสดารในคัมภีร์
วิสทุ ธมิ รรค ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๓๐๒/๑๓.

อเุ ปกฺขา (อุเบกขา) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๐๗/๓๗๔. อุเบกขา ในท่ีน้หี มายถึงอัญญาณุเบกขา (อุเบกขา
คอื ความไมร่ ู้หรือน่งิ เฉยแบบโงเ่ ขลา) ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๐๘/๑๙.

เอกตฺถ (มีอรรถเป็นอนั เดียวกัน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๓๐/๒๕๙. มอี รรถเป็นอันเดียวกัน หมายถึงฌาน
ท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า เป็นเจโตวิมุตติ ท่ีหาประมาณมิได้หรือเจโตวิมุตติที่เป็น
มหคั คตะ เพราะมีจิตเป็นเอกัคคตา (มีอารมณ์เป็นหน่ึง) เหมือนกัน ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๒๓๐/๑๔.

เอกมนฺต (ท่สี มควร) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๕๕/๖๒. ทีส่ มควร ในทน่ี ้หี มายถึงท่ีเหมาะสม คือ เว้นโทษการ
น่งั ๖ ประการ ได้แก่ ไกลเกินไป ใกลเ้ กนิ ไป อยเู่ หนอื ลม สูงเกินไป อยูต่ รงหนา้ เกินไป อยู่
ขา้ งหลังเกนิ ไป องฺ.ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๑๖/๑.

เอกโลกธาตุ (โลกธาตุเดยี วกนั ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๒๙/๑๖๗. โลกธาตุเดียวกัน หมายถึงจักรวาล
เดียวกัน อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๒๗๗/๔๑.

เอกภี าว (ความเปน็ อันเดียวกนั ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๕๔/๕๙. ความเป็นอันเดียวกัน หมายถึงความ
เปน็ เอกภาพ ไม่กอ่ ความแตกแยก ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๙๒/๓๐๒, องฺ.ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/
๑๒/๑๐.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๕๑

เอวธมฺม (ทรงมธี รรมอยา่ งนี้) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๗/๒๓๔. ทรงมธี รรมอยา่ งนี้ หมายถึงทรงมีธรรม
อนั เปน็ ไปเพ่ือสมาธิ คือทรงมีสมาธิทั้งท่ีเป็นโลกิยะและเป็นโลกุตตระ ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/
๑๙๗/๑๒.

เอวปญฺ า (ทรงมีปัญญาอยา่ งน้ี) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๗/๒๓๔. ทรงมปี ญั ญาอยา่ งนี้ หมายถึงทรงมี
ปญั ญาทง้ั ทีเ่ ปน็ โลกยิ ะและเปน็ โลกตุ ตระ ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๓/๑๙๗/๑๒.

เอววมิ ุตฺต (ทรงมีวิมตุ ตอิ ย่างน้ี) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๗/๒๓๔. ทรงมีวิมุตติอย่างนี้ หมายถึงทรงมี
วมิ ุตติ ๕ ประการ คือ วิกขัมภนวิมุตติ ได้แก่ สมาบัติ ๘ เพราะพ้นจากนิวรณ์เป็นต้น
ตทงั ควมิ ุตติ ได้แก่ อนปุ สั สนา ๗ มอี นิจจานุปัสสนาเป็นตน้ เพราะสลดั พ้นจากนิจจสัญญา
เป็นตน้ สมุจเฉทวิมตุ ติ ได้แก่ อรยิ มรรค ๔ เพราะพน้ จากกเิ ลสทัง้ หลายที่ตนถอนข้ึนแล้ว
ปฏิปสั สทั ธวิ มิ ตุ ติ ไดแ้ ก่ สามัญญผล ๔ เพราะเกดิ ขนึ้ ในทส่ี ุดแห่งการสงบระงับกิเลสด้วย
อานุภาพมรรค นสิ สรณวมิ ุตติ ไดแ้ ก่ นิพพาน เพราะเป็นที่สลัดกาจัดออกตั้งอยู่ในที่ไกล
จากกิเลสทั้งปวง ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๙๗/๑๒.

เอววิหารี (ทรงมีวิหารอยา่ งนี้) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๗/๒๓๔. ทรงมวี หิ ารธรรมอยา่ งน้ี ในท่นี ีห้ มายถึง
ทรงมีนิโรธสมาบตั เิ ปน็ วหิ ารธรรม ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๙๗/๑๒.

เอวสมนนฺ าคต (ผ้เู พียบพรอ้ มแลว้ อย่างนี้) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๖๕/๔๑๒. ผู้เพียบพร้อมแล้วอย่างนี้
หมายถึงผ้ปู ระกอบดว้ ยอรหัตผล ปัญญาซ่ึงเป็นอธิษฐานธรรมอนั สูงสดุ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/
๓๖๕/๒๑.

เอวสีล (ทรงมีศลี อย่างนี้) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๙๗/๒๓๔. ทรงมศี ีลอยา่ งน้ี หมายถึงทรงมีศีลทั้งท่ีเป็น
โลกยิ ะและเป็นโลกตุ ตระ ม.อ.ุ อ. (บาลี) ๓/๑๙๗/๑๒.

โอกฺกมน (โอกกมนธรรม) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๗๘/๘๔. โอกกมนธรรม ในที่นี้หมายถึงนิวรณ์ ๕ (คือ
กามฉันทะ พยาบาท ถนี มทิ ธะ อุทธจั จกกุ กจุ จะ และวิจิกิจฉา) องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๙๖/
๒๔.

โอปปาตกิ (โอปปาติกะ) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๑/๑๐๖. โอปปาติกะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดและเติบโต
เต็มท่ที ันที และเมอ่ื จุติ (ตาย) กห็ ายวับไป ไม่ทิง้ ซากศพไว้ เช่น เทวดาและสัตว์นรกเป็น
ต้น ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๔.

โอรมฺภาคยิ สญโฺ ชน (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๗/๑๘๕. โอรัมภาคิยสังโยชน์
หมายถึงสังโยชน์เบอ้ื งต่า ๕ คอื สักกายทิฏฐิ ความเหน็ วา่ เป็นตัวของตน วิจิกิจฉา ความ
ลังเลสงสัย สีลัพพตปรามาส ความถือม่ันศีลพรต กามราคะ ความพอใจในกามคุณ

๒๕๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

พยาบาทหรือปฏฆิ ะ ความกระทบกระทั่งในใจ อันเป็นเหตุให้เกิดในกามภพ องฺ. ทสก.
(ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑, ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๒๔๕/๒.

โอวทนตฺ ิ (ส่งั สอน) ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๔/๑๘๓. สงั่ สอน หมายความว่า สงเคราะห์ด้วยอามิสและ
ธรรมแล้วจงึ สง่ั สอน ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๑๔๔/๙.

โอหิตภาร (ปลงภาระไดแ้ ลว้ ) ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๙๘/๑๑๖. ปลงภาระไดแ้ ล้ว ในท่นี หี้ มายถงึ ปลงขันธ
ภาระได้ ปลงกิเลสภาระได้ และปลงอภสิ งั ขารภาระได้ องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๓๘/๑๓.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๕๓

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก
พระสตุ ตนั ตปฎิ กเลม่ ท่ี ๑๕

กงขฺ า (ความมุ่งหวัง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐๔/๒๙๖. ความมุ่งหวัง ในที่นี้หมายถึงตัณหา ส.ส.อ.
(บาลี) ๑/๒๐๔/๒๕.

กมมฺ (การงาน) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๘/๖๒. การงาน หมายถงึ มรรคเจตนา
กลล (กลละ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๕/๓๓๗. กลละ หมายถึงรูปละเอียดมีลักษณะกลมใส ขนาดเท่า

หยดนา้ มนั ทต่ี ิดอยบู่ นขนแกะซ่งึ เหลือจากการสบัด ๓ คร้งั ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๓๕/๒๘๔,
ส.ฏีกา (บาล)ี ๑/๒๓๕/๓๒.
กลยฺ าณมติ ฺต (มติ รดี) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๙/๑๕๒. มิตรดี หมายถงึ มติ รทม่ี ีคุณธรรม คือศีลเป็นต้น
อง.ฺ จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๒๓/๓๐.
กลยฺ าณสมฺปวงกฺ (เพอ่ื นด)ี ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๙/๑๕๒. เพื่อนดี หมายถงึ เพอื่ นทรี่ ักใคร่สนิทสนมรู้
ใจกนั ซ่ือสตั ย์ต่อกัน อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๗/๓๒.
กลฺยาณสหาย (สหายดี) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๙/๑๕๒. สหายดี หมายถงึ เพือ่ นร่วมงานท่ีดี องฺ.ทสก.อ.
(บาลี) ๓/๑๗/๓๒.
กามคุณ (กามคณุ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๐/๓๔. กามคุณ หมายถึงสิ่งท่ีทาให้เกิดความใคร่ ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๕๔๖/๓๓. สิง่ ท่ีผูกพันสัตว์ไว้ ได้แก่ รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ
กามสญฺ า (กามสญั ญา) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๙๖/๑๐๓. กามสัญญา หมายถึงอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ประการ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๙๖-๙๗/๑๐.
กาล (กาล) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔/๕. กาล ในที่น้หี มายถึงกาลมกี าลกอ่ นภัตรเป็นต้น ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๔/๒.
กาลิกกาม (กามอันมอี ยตู่ ามเวลา) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐/๑๙. กามอันมีอยู่ตามเวลา หมายถึงกาม
คุณ ๕ คือ รปู เสยี ง กล่นิ รส และโผฏฐพั พะ ที่เป็นทิพยแ์ ละเปน็ ของมนุษย์ ส.ส.อ. (บาลี)
๑/๒๐/๔.

๒๕๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

กุณเปสมฺ ตนมิ ุคคฺ (จมอยู่ในซากศพ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๖๖/๓๘๘. จมอยใู่ นซากศพ ในท่ีน้ีหมายถึง
อย่ใู นท้องของมารดา ๑๐ เดือน ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๖๖/๓๓๕, ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๖๖/
๓๖.

ขนตฺ ิโสรจจฺ (ขนั ติและโสรจั จะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๓๕/๑๗๐. ขันตแิ ละโสรัจจะ ได้แก่ ขันติ ในท่ีน้ี
หมายถงึ อธวิ าสนขันติ โสรจั จะ ในทน่ี ้ีหมายถึงพระอรหตั ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๓๕/๑๕.

ขลี (กิเลสดจุ ตะปูตรงึ จติ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๗/๔๙. กิเลสดุจตะปูตรึงจิต หมายถึงกิเลสคือราคะ
โทสะ โมหะ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๓๗/๗.

จตุจกฺก (๔ ล้อ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๙/๓๒. ๔ ลอ้ หมายถงึ อิริยาบถ ๔ (คอื เดนิ ยนื นง่ั นอน) ส.ส.อ.
(บาลี) ๑/๒๙/๕.

จตุรงฺคินีเสนา (จตรุ งคินีเสนา) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๕/๑๔๖. จตรุ งคนิ ีเสนา หมายถึงองค์ ๔ คือ พล
ช้าง พลมา้ พลรถ และพลเดนิ เท้า ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๒๕/๑๔.

จาตุยาม (๔ ยาม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๑/๑๒๕. ๔ ยาม หมายถงึ ส่วน ๔ เหล่านี้ คือ ห้ามน้าเย็นทั้ง
ปวง ประกอบดว้ ยการหา้ มบาปท้ังปวง กาจดั บาปทง้ั ปวง หา้ มบาปท้ังปวงถูกต้อง ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๑๑๑/๑๒๐, ส.ฏกี า (บาลี) ๑/๑๑๑/๑๗๘, ที.สี. (ไทย) ๙/๑๗๗/๕๙-๖.

จติ ตฺ ปญฺ าภาวย (เจริญจิตและปญั ญา) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓/๒๗. เจริญจิตและปัญญา หมายถึง
เจริญสมาธิและวิปสั สนา ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๓/๔.

จุกฺขุมต (พระจักษุ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๗/๕๐. พระจกั ษุ หมายถึงพระจักษุ ๕ คือ มังสจักขุ ตาเนื้อ
คอื มีพระเนตรงาม มีอานาจ เห็นแจ่มใส ไวและเหน็ ไกล ทพิ พจักขุ ตาทพิ ย์ คือทรงมีพระ
ญาณเห็นหมู่สัตว์ผู้เป็นต่าง ๆ กันด้วยอานาจกรรม ปัญญาจักขุ ตาปัญญา คือทรง
ประกอบดว้ ยพระปัญญาคุณอันย่ิงใหญ่ เป็นเหตุให้สามารถตรัสรู้ อริยสัจธรรมเป็นต้น
พทุ ธจักขุ ตาพระพุทธเจ้า คอื ทรงประกอบดว้ ยอนิ ทรียปโรปรยิ ัตตญาณ และ อาสยานุสย
ญาณ เปน็ เหตใุ หท้ รงทราบอธั ยาศยั และอุปนสิ ยั แห่งเวไนยสตั วแ์ ลว้ ทรงสั่งสอนแนะนา ให้
บรรลุคุณวเิ ศษต่าง ๆ ยงั พทุ ธกิจใหบ้ รบิ ูรณ์ สมันตจกั ขุ ตาเหน็ รอบ คือทรงประกอบด้วย
พระสัพพัญญตุ ญาณ อนั หยั่งรธู้ รรมทกุ ประการ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๓๗/๗๔-๗๕, ขุ.ม. (ไทย)
๒๙/๑๕๖/๔๒๔-๔๓๐, ๑๙๑/๕๔๑-๕๔.

ฉฏฺโ ฆ (โอฆะที่ ๖) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๖๑/๒๑๕. โอฆะท่ี ๖ หมายถึงโอฆะคือกิเลสอันเป็นไปทาง
มโนทวาร ได้แก่ กเิ ลสทเ่ี กดิ ขน้ึ ในใจ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๖๑/๑๗.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๕๕

ชมฺโพทน (ทองแท่งชมพนู ุท) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๐/๑๒๓. ทองแท่งชมพูนุท หมายถึงทองคาเน้ือ
บรสิ ุทธ์ิ องฺ.ติก.อ. (บาล)ี ๒/๖๔/๑๙. ทเ่ี รยี กวา่ ชมพูนุท เพราะเป็นทองท่ีเกิดขึ้นในแคว
ของแม่นา้ มหาชมพู อง.ฺ ติก.ฏีกา (บาลี) ๒/๖๔/๑๙.

ชาติกฺขย (ธรรมเป็นท่ีสิ้นความเกิด) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๔/๒๗๔. ธรรมเป็นที่ส้ินความเกิด
หมายถงึ ความเปน็ พระอรหตั ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๙๔/๒๑.

ชีวิตตุ ฺตมสลี (ศลี เปน็ ชวี ิตอันสูงสุด) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๘/๖๒. ศีลเป็นชีวิตอันสูงสุด หมายถึงชีวิต
ของผู้ดารงอยู่ในศีลเปน็ สิง่ สูงสดุ

ฌายาม (เพง่ พนิ ิจอยู่) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐๔/๒๙๖. เพ่งพินิจอยู่ ในที่น้ีหมายถึงเพ่งพินิจอยู่ด้วย
ฌาน ๒ อยา่ ง คือ รูปฌาน อรปู ฌาน ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๐๔/๒๕.

าณทสฺสน (ญาณทสั สนะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๙๕/๑๐๑. ญาณทัสสนะ หมายถึงปัจจเวกขณญาณ
ญาณหย่ังรู้ด้วยการพิจารณา ทบทวน คือสารวจรู้มรรคผล กิเลสที่ละได้แล้ว กิเลสท่ี
เหลืออยู่ และนพิ พาน (เวน้ พระอรหันต์ ไม่มีการพิจารณากิเลสท่ียังเหลืออยู่) องฺ.ติก.อ.
(บาลี) ๒/๑๐๔/๒๕.

าติสาโลหติ (ญาตแิ ละสายโลหติ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๘/๒๖๕. ญาติและสายโลหิต ได้แก่ ญาติ
หมายถึงผทู้ เ่ี กีย่ วขอ้ งกันโดยการแต่งงานกัน ไดแ้ ก่ มารดาบดิ าของสามีและเครือญาติฝุาย
มารดา บดิ าของสามี หรอื มารดาบิดาของภรรยาและเครือญาตฝิ าุ ยมารดาบิดาของภรรยา
สาโลหติ หมายถึงผรู้ ่วมสายเลือดเดียวกนั ไดแ้ ก่ พช่ี าย นอ้ งชาย พ่ีสาว น้องสาว เป็นต้น
อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๗๖/๒๒๗, ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๑๒/๓๖๗, ส.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๐๑๒/
๖๒. หรือญาติฝาุ ยมารดา องฺ.ตกิ .ฏีกา (บาลี) ๒/๗๖/๖.

ติทวิ (ไตรทพิ ย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐๔/๒๙๕. ไตรทพิ ย์ หมายถงึ พรหมโลก ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๐๔/
๒๕.

ติมล (มลทนิ ๓ ประการ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๔/๕๙. มลทนิ ๓ ประการ หมายถึงราคะ โทสะ โมหะ
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๔๔/๘.

ตฏุ ฺ (ความสันโดษ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๗/๙๑. ความสนั โดษ หมายถึงความสันโดษในปัจจัย ๔ (คือ
จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คิลานปจั จยั เภสชั บรขิ าร) ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๘๗/๑๐.

เตวิชฺชา (ไตรเพท) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๔/๒๗๔. ไตรเพท ในท่ีนี้หมายถึงพระเวท ๓ คือ ฤคเวท
ยชรุ เวท สามเวท ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๙๔/๒๑.

๒๕๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง

เตวิชฺชา (วชิ ชา ๓) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๖/๒๔๓. วิชชา ๓ ได้แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพพ
จักขญุ าณ อาสวักขยญาณ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๖/๒๐.

ถาม (กาลงั ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๒/๑๔๒. กาลัง ในท่ีนี้หมายถึงกาลังคือญาณ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๑๒๒/๑๔.

ทกขฺ ิเณยยฺ (ทกั ขิไณยบุคคล) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๔/๒๓๗. ทกั ขไิ ณยบคุ คล หมายถงึ บคุ คลผู้ควรแก่
ทกั ษิณา อกี นัยหน่ึง หมายถงึ ผู้ทาทักษณิ าท่เี ขานามาถวายใหม้ ีผลมาก วิสุทฺธิ. (บาลี) ๑/
๑๕๖/๒๔.

ทิพพฺ โยค (โยคะอนั เปน็ ทพิ ย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๕๐/๖๔. โยคะอันเป็นทิพย์ ในท่ีนี้หมายถึงสังโยชน์
เบอ้ื งสงู ๕ ประการ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๕๐/๘.

ทม (ทมะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๖/๓๕๔. ทมะ ในท่ีนี้มีความหมายว่า ปัญญา เหมือนกัน ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๒๔๖/๓๑๕-๓๑.

ทฺวาทสาวฏฏฺ (หมุนไปได้ทงั้ ๑๒ ดา้ น) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๔/๕๙. หมนุ ไปได้ทั้ง ๑๒ ด้าน หมายถึง
หมนุ ไปในอายตนะ ๑๒ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๔๔/๘.

ทวฺ ริ าวฏฏฺ (วนเวียน ๒ อยา่ ง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๔/๕๙. วนเวียน ๒ อย่าง หมายถงึ สสั สตทิฏฐิและ
อุจเฉททฏิ ฐิ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๔๔/๘๒, ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๔๔/๑๒.

ธมมฺ (ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๒/๒๒๘. ธรรม ในทนี่ ีห้ มายถงึ ธรรมคือสัจจะ ๔ (คือ ทุกข์ สมุทัย
นโิ รธ มรรค) ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๗๒/๑๘.

ธมมฺ (ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๘/๒๖๗. ธรรม ในท่นี ้ีหมายถึงขนั ธ์ ๕ บ้าง สัจจะ ๔ บ้าง ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๑๘๘/๒๑.

ธมมฺ (ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๖/๓๕๒. ธรรม ในที่น้ีหมายถงึ กุศลธรรม ๑๐ ประการ อีกนัยหนึ่ง
หมายถึงธรรมมีทานและศลี เปน็ ตน้ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๖/๓๑.

ธมฺม (ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๘/๖๒. ธรรม หมายถงึ ธรรมทีเ่ ป็นฝุายแหง่ สมาธิ

ธมมฺ (ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๗/๗. ธรรม ในท่ีนีห้ มายถงึ อรยิ สจั ๔ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๗/๒.

ธมมฺ (ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๗๓/๘๐. ธรรม ในที่น้ีหมายถึงกุศลกรรมบถ ๑๐ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๗๓/๙.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๕๗

ธมฺม (ธรรมะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๖/๓๕๔. ธรรมะ ในท่ีน้ีมีความหมายว่า ปัญญา เหมือนกัน
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๖/๓๑๕-๓๑.

ธมมฺ ทสฺสน (การเหน็ ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๖๐/๓๘๑. การเห็นธรรม หมายถึงเห็นสัจธรรม ๔
ประการ (คือ ทกุ ข์ สมุทยั นิโรธ มรรค) อง.ฺ จตกุ ฺก.อ. (บาลี) ๒/๕๒/๓๔.

ธมมฺ ปท (บทแหง่ ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๓/๔๒. บทแห่งธรรม หมายถึงนิพพาน ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๓๓/๖.

ธมฺมลทธฺ (บุคคลผไู้ ดธ้ รรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๓/๔๑. บคุ คลผู้ไดธ้ รรม หมายถึงอริยบุคคลผู้บรรลุ
ธรรม ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๓๓/๖.

ธติ ิม (เป็นผเู้ ฉลยี วฉลาด) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๕/๒๗๖. เป็นผู้เฉลียวฉลาด หมายถึงเป็นผู้รู้เหตุและ
มใิ ชเ่ หตุ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๕/๒๒.

นทฺธิ (ชะเนาะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๙/๓๓. ชะเนาะ หมายถึงความผูกโกรธ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๙/๕.

นวทวฺ าร (๙ ประตู) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๙/๓๒. ๙ ประตู หมายถึงชอ่ งทง้ั ๙ คือ ตา ๒, หู ๒, จมูก ๒,
ปาก ๑, ทวารหนัก ๑, ทวารเบา ๑ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๙/๕.

นาค (นาค) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๘/๕๐. นาค ในทน่ี ี้หมายถึงช้างมหานาค ส.ฏกี า (บาลี) ๑/๓๘/๑๒.

นาม (นาม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓/๒๗. นาม หมายถึงอรูปขันธ์ ๔ (คือ เวทนา สัญญา สังขารและ
วิญญาณ) ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๓/๕.

นามรปู (นามรปู ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๐/๓๔. นามรูป ในที่นีห้ มายถึงนามคือใจ และรูปคอื กามคุณ ๕
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๓๐/๕.

นิโมกฺข (นิโมกข์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑/๓. นิโมกข์ หมายถงึ มรรค ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒/๒.

นิยามคต (นิยามธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๒๐/๓๒๑. นิยามธรรม หมายถึงมรรคและผล ส.ฏีกา
(บาลี) ๑/๒๒๐/๓๑.

นิรพฺพุท (นิรัพพุทกปั ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๐/๒๔๘. นิรัพพุทกัป เป็นจานวนกัปท่ีใช้สังขยา (การ
กาหนดนับ) จา นวน สูง องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓ /๘๙ /๓ ๖. พจน านุกรมฉบับ
ราชบณั ฑติ ยสถาน ให้ความหมายวา่ เท่ากบั ๑ มี ๐ ตามหลงั ๖๓ ตัว บ้างว่า ๑๐๐ ลา้ น

นริ ูปธิก (เปน็ ผ้ไู รอ้ ปุ ธิ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๔/๒๓๖. เป็นผู้ไร้อุปธิ หมายถึงเว้นจากอุปธิคือกิเลส
อภสิ งั ขารและกามคุณ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๗๔/๑๙.

๒๕๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

ปญฺจงคฺ ิกตุริย (ดนตรีเคร่ือง ๕) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๖๕/๒๒๑. ดนตรีเครื่อง ๕ คือ อาตตะ โทน,
วิตตะ ตะโพน, อาตตวิตตะ บัณเฑาะว์, ฆนะ กังสดาล, สุสิระ ปี่หรือสังข์ ขุ.วิ.อ. (บาลี)
๓๔/๓.

ปญฺจธมมฺ (ธรรม ๕ ประการ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๕/๖. ธรรม ๕ ประการ ในท่ีนี้หมายถึงอุทธัมภาคิย
สังโยชน์ (สงั โยชน์เบือ้ งสงู ) ๕ ประการ ไดแ้ ก่ รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรม อรูปราคะ
ความตดิ ใจในอรูปธรรม มานะ ความถอื ตัว อุทธจั จะ ความฟุงู ซ่าน อวิชชา ความไม่รู้จริง
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๕/๒.

ปญฺจธมฺม (ธรรม ๕ ประการ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๕/๖. ธรรม ๕ ประการ ในที่น้ีหมายถึงอินทรีย์
(ธรรมท่เี ป็นใหญ่ในกิจของตน) ๕ ประการ คือ สัทธินทรีย์ ธรรมที่เป็นใหญ่คือศรัทธา
วิริยนิ ทรยี ์ ธรรมที่เปน็ ใหญค่ อื วริ ยิ ะ สตนิ ทรยี ์ ธรรมทเ่ี ป็นใหญ่ คือสติ สมาธินทรีย์ ธรรมท่ี
เป็นใหญ่คอื สมาธิ ปัญญนิ ทรยี ์ ธรรมทเ่ี ป็นใหญค่ ือปัญญา ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๕/๒.

ปญฺจปตถฺ ร (เครอื่ งลาด ๕ ประการ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๔/๕๙. เครื่องลาด ๕ ประการ หมายถึง
กามคณุ ทั้ง ๕ คอื รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๔๔/๘.

ปญฺจมพนธฺ น (เครอ่ื งจองจาทง้ั ๕) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๕๐/๓๖๓. เคร่อื งจองจาท้ัง ๕ ได้แก่ เครื่อง
จองจาอวยั วะ ๕ ส่วน คือ มือ ๒ เท้า ๒ ลาคอ ๑ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๕๐/๓๒.

ปญฺจเวท (เวททง้ั ๕) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๘/๕๓. เวทท้งั ๕ ไดแ้ ก่ พระเวท ๕ คือ อิรุเวทหรือฤคเวท
ยชุรเวท สามเวท อาถรรพเวท อิตหิ าสะ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๓๘/๗๘, ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๓๘/
๑๒.

ปญจฺ สงฺคาติค (ธรรมเป็นเคร่ืองข้อง ๕ ประการ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๕/๖. ธรรมเป็นเคร่ืองข้อง ๕
ประการ คอื ราคะ ความกาหนัด โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง มานะ ความถือตัว
ทฏิ ฐิ ความเหน็ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๕/๒.

ปญจฺ สาขา (ปมุ ๕ ปุม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๕/๓๓๗. ปุม ๕ ปุม หมายถึงในสัปดาห์ท่ี ๕ เกดิ เป็นปุม
๕ ปมุ คอื แขน ๒ เทา้ ๒ ศรี ษะ ๑ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๓๕/๒๘.

ปญฺโจฆ (โอฆะทงั้ ๕) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๖๑/๒๑๔. โอฆะท้ัง ๕ ในที่น้ีหมายถึงโอฆะคือกิเลสอัน
เป็นไปทางทวารทัง้ ๕ (คอื ตา หู จมกู ลนิ้ และกาย) ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๖๑/๑๗.

ปฏิฆสญฺ า (ปฏิฆสัญญา) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓/๒๗. ปฏิฆสัญญา หมายถึงกามภพ รูปสัญญา
หมายถึงรปู ภพ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๓/๕.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๕๙

ปฏโิ สตคามี (พาทวนกระแส) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๒/๒๓๐. พาทวนกระแส ในทนี่ ี้หมายถงึ พาเข้าถึง
นิพพาน วิ.อ. (บาลี) ๓/๗/๑.

ปท (บท) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗/๑๖. บท ในท่นี ีห้ มายถงึ อารมณห์ รืออิรยิ าบถ ผู้ติดขดั ในทุกบท คือ ผู้
ติดขัดอยใู่ นอารมณห์ รืออิริยาบถทจ่ี ะเกิดกเิ ลส ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๗/๓.

ปนนฺ ภาร (ปลงภาระลงแล้ว) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๖๓/๓๘๓. ปลงภาระลงแล้ว หมายถึงปลงขันธภาระ
กิเลสภาระและอภสิ ังขารภาระลงแลว้ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๖๓/๓๓.

ปโมกฺข (ปโมกข์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑/๓. ปโมกข์ หมายถึงผล ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒/๒.

ปรมสุข (ความสขุ อย่างยิ่ง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๖/๔๘. ความสุขอย่างยิ่ง ในที่น้ีหมายถึงนิพพาน
ขุ.ธ.อ. (บาล)ี ๒/๔/๘.

ปญจฺ ธมฺม (ธรรม ๕ ประการ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๕/๖. ธรรม ๕ ประการ ในที่น้ีหมายถึงโอรัมภาคิย
สังโยชน์ (สังโยชนเ์ บือ้ งตา่ ) ๕ ประการ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
วิจิกจิ ฉา ความลังเลสงสยั สลี พั พตปรามาส ความถือมั่น ศีลพรต กามฉันทะ ความพอใจ
ในกามคุณ ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทง่ั ในใจ หรือพยาบาท ความคิดร้าย ส.ม. (ไทย) ๑๙/
๑๘๐/๑๑๔, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑, อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๙๔๐/๖๒.

ปรวาท (วาทะของคนอื่น) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๗/๗. วาทะของคนอ่ืน หมายถึงลัทธิของเดียรถีย์
หรือทิฏฐิ ๖๒ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๗/๒.

ปรญิ ฺ า (กาหนดรู้) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐/๒๒. กาหนดรู้ หมายถงึ กาหนดร้ดู ้วยปริญญา ๓ ประการ
คอื ญาตปรญิ ญา ตีรณปรญิ ญา ปหานปรญิ ญา ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๐/๔.

ปลฆี (กิเลสดจุ ล่ิมสลัก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๗/๔๙. กิเลสดุจลิ่มสลัก หมายถึงกิเลสคือราคะ โทสะ
โมหะ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๓๗/๗.

ปสาท (ความเล่ือมใส) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๖๐/๓๘๑. ความเลอื่ มใส หมายถงึ เล่ือมใสในพระพุทธเจ้า
พระธรรม และพระสงฆ์ อง.ฺ จตุกกฺ .อ. (บาล)ี ๒/๕๒/๓๔.

ปาร (ฝง่ั ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๕/๒๗๘. ฝั่ง ในทน่ี ้หี มายถงึ นิพพาน ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๕/๒๒.

ปารงคฺ ม (จดุ จบ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๘/๕๓. จุดจบ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๓๘/
๗๘, ส.ฏกี า (บาล)ี ๑/๓๘/๑๒.

ปีสาจโยนิ (กาเนดิ ปีศาจ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๐/๓๔๔. กาเนิดปศี าจ ในที่นี้หมายถึงภพภูมิอันเป็น
แดนกาเนดิ ของยักษ์คล้ายกบั แดนกาเนิดของเปรต ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๔๐/๓๓.

๒๖๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

พลปปฺ ตตฺ (ถงึ พลญาณ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๔๘/๑๘๘. ถึงพลญาณ หมายถึงพระญาณอันเป็นกาลัง
ของพระตถาคต ๑๐ ประการ (ทสพลญาณ) ทที่ าให้พระองค์บนั ลือสีหนาท ประกาศพระ
ศาสนาไดม้ ่ันคง คือ ฐานาฐานญาณ ปรชี าหยงั่ รู้กฎธรรมชาติเกีย่ วกับขอบเขตและขีดข้ัน
ของสงิ่ ทั้งหลาย กมั มวิปากญาณ ปรีชาหย่ังรู้ผลของกรรม สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ
ปรีชาหยงั่ รขู้ อ้ ปฏบิ ตั ิทจี่ ะนาไปสขู่ อ้ ปฏิบัติท้งั ปวงหรือสูป่ ระโยชน์ท้ังปวง นานาธาตุญาณ
ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่าง ๆ เป็นอเนก นานาธิมุตติกญาณ
ปรีชาหยั่งรอู้ ธั ยาศยั เปน็ ต้นของสตั ว์ทั้งหลาย อนิ ทรยิ ปโรปริยัตตญาณ ปรีชาหยั่งรู้ความ
ยง่ิ ความหย่อนแห่งอินทรยี ์ของสตั วท์ ้ังหลาย ญาณาทิสังกิเลสาทิญาณ ปรีชาหยั่งรู้ความ
เศร้าหมอง ความผ่องแผว้ เป็นตน้ ปุพเพนวิ าสานสุ สติญาณ ปรชี าหยัง่ รูภ้ พท่ีเคยอยู่ในหน
หลงั ได้ จตุ ปู ปาตญาณ ปรีชาหย่งั รจู้ ุตแิ ละอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย อาสวักขยญาณ ปรีชา
หย่ังร้คู วามสิ้นไปแห่งอาสวะทงั้ หลาย องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๒๑/๔๓-๔.

พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๙/๙๕. พรหมจรรย์ หมายถึงมรรคพรหมจรรย์ ส.ส.อ.
(บาลี) ๑/๘๙/๑๐.

พลปฺปตตฺ (บรรลุพลธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๖/๒๖๑. บรรลุพลธรรม หมายถึงทรงมีพระกาลัง
อันเกิดจากฌาน ๑๐ ท่เี รยี กวา่ ทสพลญาณ หรอื ตถาคตพละ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒๒๐/๒๐.

พุทธฺ จกขฺ ุ (พทุ ธจักษ)ุ ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๒/๒๓๑. พุทธจกั ษุ เปน็ ชื่อของอินทริยปโรปริยัตตญาณ
และอาสยานุสยญาณ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๒/๑๙.

พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๙/๑๕๓. พรหมจรรย์ ในที่นี้หมายถึงมรรค ๔ ผล ๔
วชิ ชา ๓ และอภิญญา ๖ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๒๙/๑๔.

พฺรหฺมจริยปรโิ ยสาน (ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๔/๒๓๕. ที่สุดแห่งพรหมจรรย์
หมายถึงจดุ สุดท้ายของการประพฤตธิ รรม ในทีน่ ีห้ มายเอาพระอรหัตผลอันเป็นจุดสูงสุด
ของมรรคพรหมจรรย์ ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๔๐๔/๓๐.

พฺราหฺมณ (พราหมณ์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๖/๙๐. พราหมณ์ ในท่ีนี้หมายถึงพระขีณาสพ ส.ส.อ.
(บาลี) ๑/๘๖/๑๐.

ภควา (พระผ้มู ีพระภาค) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๙/๓๖๑. พระผมู้ ีพระภาค หมายถึง พระพุทธคุณ ๙
บทน้ี แตล่ ะบทมีอรรถอเนกประการ คือ ๑. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะห่างไกลจาก
กเิ ลส, เพราะกาจัดข้าศึกคอื กเิ ลส, เพราะหักซี่กาแห่งสังสาระ คือการเวียนว่ายตายเกิด,
เพราะเป็นผู้ควรรับไทยธรรม, เพราะไม่ทาบาปในที่ลบั ๒. ชอื่ วา่ ตรสั รู้ดว้ ยพระองค์เองโดย

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๖๑

ชอบ เพราะตรสั รู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง ๓. ชื่อว่าเพียบพร้อมด้วย
วิชชาและจรณะ วชิ ชา ไดแ้ ก่ วชิ ชา ๓ และวิชชา ๘ วิชชา ๓ คือ ปพุ เพนิวาสานุสสติญาณ
ความรทู้ ่รี ะลึกชาตไิ ด้ จตุ ปู ปาตญาณ ความรจู้ ตุ แิ ละอุบตั ิ อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทาให้
สน้ิ อาสวะ วิชชา ๘ คอื วปิ สั สนาญาณ ญาณท่เี ปน็ วิปัสสนา มโนมยทิ ธิ มฤี ทธทิ์ างใจ อิทธิ
วิธิ แสดงฤทธ์ิได้ต่าง ๆ ทิพพโสต หูทิพย์ เจโตปริยญาณ กาหนดรู้จิตผู้อื่น ได้ ปุพเพ
นิวาสานสุ สติญาณ ความรู้ท่ีระลึกชาติได้ ทิพพจักขุ ตาทิพย์ หรือเรียกจุตูปปาตญาณ
อาสวกั ขยญาณ ความร้ทู ท่ี าให้ส้ินอาสวะ จรณะ ๑๕ คือ สีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วย
ศีล อนิ ทรียสงั วร ความสารวมอนิ ทรยี ์ โภชเนมัตตญั ญตุ า ความเปน็ ผรู้ ู้จักประมาณในการ
บริโภค ชาคริยานุโยค การหมั่นประกอบ ความเพียรเป็นเครื่องต่ืน มีศรัทธา มีหิริ มี
โอตตปั ปะ เปน็ พหสู ูต วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร มีสติม่ันคง มีปัญญา ปฐมฌาน
ทตุ ิยฌาน ตตยิ ฌาน จตตุ ถฌาน ๔. ชือ่ ว่าผเู้ สด็จไปดี เพราะทรงดาเนนิ รุดหน้าไปไม่หวน
กลับคนื มาหากเิ ลสทท่ี รงละไดแ้ ล้ว ๕. ชอื่ วา่ ผรู้ แู้ จ้งโลก เพราะทรงรู้แจ้งโลก เหตุเกิดแห่ง
โลก ความดบั โลก วิธปี ฏบิ ัตใิ หล้ ุถึงความดบั โลก (ทกุ ข์ สมุทัย นโิ รธ และมรรค) และทรงรู้
แจ้งโลกทงั้ ๓ คือ สังขารโลก สัตว์โลก และโอกาสโลก ๖. ช่ือว่าสารถีฝึกผู้ท่ีควรฝึกได้
อยา่ งยอดเยีย่ ม เพราะทรงฝกึ ผู้ท่คี วรฝกึ ฝนทง้ั เทวดา มนษุ ย์ อมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน ด้วย
อุบายต่าง ๆ ๗. ชื่อว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะทรงส่ังสอนทั้ง
เทวดาและมนุษย์ ด้วยประโยชน์ ในโลกนี้และประโยชน์ในโลกหน้า ผู้ปฏิบัติตามแล้ว
สาเรจ็ มรรคผลในโลกนี้บ้าง จุตไิ ปเกิดในสวรรคก์ ลบั มา ฟังธรรมแล้วสาเร็จมรรคผลบ้าง
ทรงชว่ ยเหลือหมู่สัตวใ์ หพ้ น้ ความกันดารคือความเกิด ๘. ช่ือว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะ
ทรงรู้ส่งิ ท่ีควรรู้ท้ังหมด ด้วยพระองคเ์ องและทรงสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ๙. ชื่อว่าเป็นพระผู้มี
พระภาค เพราะทรงมีโชค ทรงทาลายข้าศึกคือกิเลส ทรงประกอบด้วยราคธรรม ๖
ประการ (คอื ความเป็นใหญ่เหนือจติ ของตน โลกตุ ตรธรรม ยศ สริ ิ ความสาเร็จประโยชน์
ตามต้องการ และความเพียร) ทรงจาแนกแจกแจงธรรม ทรงเสพอริยธรรม ทรงคาย
ตัณหาในภพทั้ง ๓ ทรงเป็นท่ีเคารพของชาวโลก ทรงอบรมพระองค์ดแี ล้ว ทรงมีส่วนแห่ง
ปจั จยั ๔ เปน็ ตน้ วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑/๑๑๕-๑๑๘, สารตฺถ. ฏีกา (บาล)ี ๑/๑/๒๗๐-๔๐.

ภย (ภยั ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๔/๒๕๕. ภัย ในทีน่ ี้หมายถงึ ภัยในวัฏฏะ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๘๔/๒๐.

มหายญฺ (มหายัญ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๐/๑๓๙. มหายัญ หมายถึงมหายัญ ๕ ประการของ
พราหมณ์ ได้แก่ อัสวเมธ คือการฆ่าม้าบูชายัญ ปุริสเมธ คือการฆ่าคนบูชายัญ สัมมา
ปาสะ คอื การทาบว่ งแลว้ ขว้างไมล้ อดบ่วง ไม้ตกท่ีไหนทาการ บูชายัญท่ีน้ัน วาชเปยยะ
คือการดื่มเพ่ือพลังหรือเพ่ือชัยชนะ นิรัคคฬะ คือยัญไม่มีลิ่มหรือกลอน คือ ทั่วไปไม่มี

๒๖๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง

ขีดค่ันจากดั การฆ่าครบทุกอยา่ งบูชายญั อนึง่ มหายัญ ๕ ประการนี้ เดมิ ทเี ดียวเป็นหลัก
สงเคราะห์ทด่ี ีงาม แต่พราหมณ์สมัยหนง่ึ ดัดแปลงเปน็ การบูชายัญเพื่อผลประโยชน์ในทาง
ลาภสักการะแก่ตน ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๒๐/๑๓๘-๑๓๙, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา (บาลี) ๒/๓๙/
๓๗๑-๓๗.

มานสุ เทห (กายมนุษย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๕๐/๖๔. กายมนษุ ย์ หมายถงึ สังโยชน์เบื้องต่า ๕ ประการ
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๕๐/๘.

มิตฺตามจฺจ (มิตรและอามาตย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๓๐/๑๕๗. มิตรและอามาตย์ ได้แก่ มิตร
หมายถงึ คนรจู้ กั กนั เพราะการใช้ของในเรือนร่วมกนั เชน่ ใหข้ องแก่กนั และกนั หรือรับของ
จากกนั อามาตย์ หมายถงึ ผู้ทากิจรว่ มกนั เช่น ปรึกษาหารอื กนั ไปดว้ ยกนั นงั่ ด้วยกนั เป็น
ต้น ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๑๐๑๖/๓๖๗, ส.ฏีกา (บาลี) ๒/๗๖/๖๒.

มิตฺตามจฺจ (มิตรและอามาตย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๘/๒๖๕. มิตรและอามาตย์ ได้แก่ มิตร
หมายถึงคนร้จู ักกันเพราะการใชข้ องในเรือนร่วมกัน เช่น ใหข้ องแก่กันและกนั หรือรับของ
จากกัน อามาตย์ หมายถึงผทู้ ากจิ รว่ มกัน เชน่ ปรึกษาหารือกนั ไปดว้ ยกัน นั่งด้วยกนั เป็น
ต้น ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๑๖/๓๖๗, ส.ฏกี า (บาล)ี ๒/๗๖/๖๒.

โมน (ความรู้) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๙/๙. ความรู้ ในที่น้ีหมายถึงมรรคญาณ ๔ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๙/๒.

ยกขฺ (ยกั ษ)์ ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐/๒๒. ยักษ์ นี้เป็นคาที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกเทวดา ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๒๐/๔.

รติ (ความยนิ ดี) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๗/๓๔๐. ความยินดี หมายถึงความยินดีในกามคุณ ๕ ขุ.สุ.อ.
(บาลี) ๒/๒๗๓/๑๑.

รปู สญฺโ ชน (รูปสังโยชน์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๙๖/๑๐๓. รปู สงั โยชน์ หมายถึงโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ประการ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๙๖-๙๗/๑๐.

โลก (โลก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑/๒. โลก ในที่นห้ี มายถึงสัตวโลก ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑/๑.

โลก (โลก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๐๗/๑๑๙. โลก หมายถึงทุกขสัจ องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๔๕/๓๔.

โลก (โลก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๖๒/๗๓. โลก ในสูตรน้ีและสูตรต่อ ๆ ไปในวรรคนี้หมายถึงสัตว์โลก
ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๖๗-๖๙/๙.

โลก (โลก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๓/๘๘. โลก ในที่นห้ี มายถงึ สงั ขารโลก ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๘๓/๑๐.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๒๖๓

โลกนิโรธ (ความดบั แห่งโลก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๐๗/๑๑๙. ความดับแห่งโลก หมายถึงนิโรธสัจ องฺ.
จตุกกฺ .อ. (บาลี) ๒/๔๕/๓๔.

โลกนโิ รธคามนีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติท่ีให้ถึงความดับแห่งโลก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๐๗/๑๑๙. ข้อ
ปฏิบัติทีใ่ ห้ถึงความดับแห่งโลก หมายถงึ มัคคสัจ อง.ฺ จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๔๕/๓๔.

โลกสมุทย (ความเกดิ แหง่ โลก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๐๗/๑๑๙. ความเกิดแห่งโลก หมายถึงสมุทัยสัจ
องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๔๕/๓๔.

โลมหส (ความขนพองสยองเกล้า) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๗/๓๔๐. ความขนพองสยองเกล้า หมายถึง
ความสะดุ้งกลัวแหง่ จิตจนขนลกุ ข.ุ ส.ุ อ. (บาล)ี ๒/๒๗๓/๑๑.

วตรฺ ภู (ทา้ ววัตรภู) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๔/๘๙. ท้าววตั รภู ในท่นี ี้หมายถงึ ทา้ วสกั กะ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๘๔/๑๐.

วยคณุ (ชว่ งแหง่ วยั ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔/๕. ช่วงแห่งวัย หมายถึงช่วงแห่งปฐมวัย มัชฌิมวัยและ
ปัจฉมิ วยั ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๔/๒.

วรตฺต (เชือกหนัง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๙/๓๓. เชือกหนัง หมายถึงกิเลสมีทิฏฐิและวิจิกิจฉาเป็นต้น
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๙/๕.

วสิ มูล (มีรากเปน็ พษิ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๗๑/๗๙. มีรากเป็นพิษ หมายถึงมีทุกข์เป็นวิบาก ส.ส.อ.
(บาลี) ๑/๗๑/๙.

วชิ ฺชา (วชิ ชา) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๘/๖๒. วิชชา หมายถึงมรรคปญั ญา

วิชฺชาจรณสมฺปนฺน (ผู้เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๒/๒๕๓. ผู้
เพียบพรอ้ มดว้ ยวิชชาและจรณะ คือ วิชชา หมายถึงวิชชา ๓ มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เปน็ ต้น และวิชชา ๘ คือ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิและอภิญญา ๖ จรณะ หมายถงึ จรณะ
๑๕ คือ ความบริบรู ณใ์ นศีล ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์ ความรู้ประมาณในโภชนะ
การประกอบความเพยี รเครอ่ื งต่ืน พระสทั ธรรม ๗ และรูปาวจรฌาน ๔ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๑๘๒/๒๐.

วญิ ฺ าณ (วิญญาณ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๕๙/๒๐๗. วิญญาณ ในท่ีนี้หมายถึงปฏิสนธิจิต ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๑๕๙/๑๗.

วปิ ฺปมุตตฺ (ผพู้ ้นวิเศษแล้ว) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๖/๓๓๘. ผู้พ้นวิเศษแล้ว หมายถึงผู้พ้นจากภพท้ัง
๓ (คอื กามภพ รปู ภพ อรูปภพ) ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๓๖/๒๘.

๒๖๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

วมิ าน (วมิ าน) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐/๒๓. วมิ าน มี ๒ ความหมาย คือ มานะ ครรภ์มารดา ส.ส.อ.
(บาลี) ๑/๒๐/๔.

วิมตุ ตฺ จติ ฺต (การบรรลุธรรมทีเ่ ปน็ หวั ใจ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๓/๘๘. การบรรลุธรรมท่ีเป็นหัวใจ ใน
ทนี่ ี้หมายถงึ พระอรหตั ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๘๓/๑๐.

วิเวก (วิเวก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑/๓. วิเวก หมายถงึ นิพพาน ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒/๒.

วิสม (ทางทีไ่ มส่ มา่ เสมอ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๗/๙๒. ทางทไ่ี ม่สม่าเสมอ ในท่ีน้หี มายถึงหมู่สัตว์ผู้ไม่
สม่าเสมอ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๘๗/๑๐.

วิสม (ทท่ี ไ่ี ม่สมา่ เสมอ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘/๘. ท่ีทไี่ มส่ ม่าเสมอ หมายถึงโลกสันนิวาส หมู่สัตว์ หรือ
กเิ ลสทไ่ี ม่สมา่ เสมอ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๗/๒.

วสิ ฺสธมฺม (ธรรมผดิ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐๖/๒๙๘. ธรรมผดิ ในทนี่ ี้หมายถึงอกุศลธรรมซึ่งมีกลิ่นช่ัว
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๐๖/๒๕.

วีริย (ความเพยี ร) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๓๕/๑๗๐. ความเพียร ในทีน่ หี้ มายถึงความเพียรทางกายและ
ทางจติ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๓๕/๑๕.

วุสิตพฺรหฺมจริย (อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๔/๒๓๕. อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
หมายถงึ กิจแหง่ การปฏิบตั เิ พื่อทาลายอาสวกิเลสจบสิ้นบริบูรณ์แล้ว ไม่มีกิจที่จะต้องทา
เพือ่ ตนเอง แต่ยังมีหน้าท่เี พอื่ ผ้อู น่ื อยู่ ผู้บรรลุถงึ ขนั้ นี้ได้ชื่อว่า อเสขบุคคล ที.สี.อ. (บาลี)
๒๔๘/๒๐.

สงฺขา (การพิจารณา) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐๖/๒๙๘. การพจิ ารณา ในท่ีน้ีหมายถึงด้วยญาณ ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๒๐๖/๒๕.

สฏฺ สิต (อาศัยทิฏฐิ ๖๐ ประการ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐๖/๒๙๘. อาศัยทิฏฐิ ๖๐ ประการ ในอรรถ
กถาแกเ้ ปน็ อาศัยอารมณ์ ๖ ประการ (ฉอารมมฺ ณนิสฺสติ า) ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๑๐/๒๕.

สงฺขาร (สังขาร) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑/๑๑. สังขาร ในท่ีน้ีหมายถึงสังขารท่ีเป็นไปในภูมิ ๓ คือ
กามาวจรภูมิ รปู าวจรภมู ิ และอรูปาวจรภูมิ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๓.

สจฺจ (สัจจะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๕/๒๗๖. สัจจะ ในที่น้ีหมายถึงปรมัตถสัจจะ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๑๙๕/๒๒.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๖๕

สจฺจ (สัจจะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๕/๒๗๘. สัจจะ ในท่ีนี้หมายถึงวจีสัจจะ ธรรม หมายถึงทิฏฐิ
สงั กัปปะ วายามะ สตแิ ละสมาธิ ความสารวม หมายถึงวาจา กัมมันตะและอาชีวะ ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๑๙๕/๒๒.

สญโฺ ชน (สังโยชน์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๔/๔๓. สังโยชน์ หมายถึงกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์มี
๑๐ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต กามราคะ ความติดใจในกาม ปฏิฆะ ความ
กระทบกระทง่ั ในใจ หรือ พยาบาท ความคิดปองร้าย รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรม
อรปู ราคะ ความติดใจในอรปู ธรรม มานะ ความถือตัว อุทธัจจะ ความฟุูงซ่าน อวิชชา
ความไม่รูจ้ ริง ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๓๔/๖๒, ส.สฬา.อ. (บาล)ี ๓/๕๓-๖๒/๑๔, องฺ.ทสก. (ไทย)
๒๔/๑๓/๒๑.

สตุลฺลปกายิก (สตลุ ลปกายกิ า) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๑/๓๕. สตุลลปกายิกา หมายถึงผู้เทิดทูนธรรม
ของสัตบุรษุ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๓๑/๕.

สทฺธมฺม (สทั ธรรม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๑/๓๕. สทั ธรรม หมายถึงธรรมของสตั บุรุษ ได้แก่ ศีล ๕ ศีล
๑๐ สตปิ ัฏฐาน ๔ เปน็ ตน้ ในที่นี้หมายถึง ศีล ๕ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๓๑/๕.

สนฺติ (สนั ต)ิ ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๖/๒๖๒. สนั ติ ในที่นี้หมายถึงอนุปาทิเสสนิพพาน ส.ส.อ. (บาลี)
๑/๑๘๖/๒๑.

สนฺติ (สนั ต)ิ ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓/๔. สันติ ในทน่ี ี้หมายถงึ นพิ พาน ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๓/๒.

สพพฺ นิวาสน (สถานท่ีอย่อู าศัยของสัตว์ทุกจาพวก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐/๒๓. สถานท่ีอยู่อาศัย
ของสัตวท์ กุ จาพวก หมายถึงภพ ๓ กาเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๐/๔.

สพพฺ าการวรูเปต (มีพระอาการอนั ลา้ เลิศทกุ อยา่ ง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๖/๒๖๑. มีพระอาการอัน
ล้าเลิศทกุ อยา่ ง หมายถึงทรงมเี หตอุ ันล้าเลศิ ทุกอยา่ งมีศีล เป็นต้น ที.ม.อ. (บาลี) ๒๒๓/
๒๐๓, ที.ม.ฏกี า (บาลี) ๒๒๓/๒๓.

สมนตฺ ร (ลาดบั ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๖/๒๖๐. ลาดับ หมายถึงลาดับ ๒ ประการ คือ ลาดับแห่ง
ฌาน ลาดับแห่งการพจิ ารณา ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๘๖/๒๑.

สมาธิ (สมาธิ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๘/๕๒. สมาธิ ในท่ีน้ีหมายถึง อรหัตผลสมาธิ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๓๘/๗.

๒๖๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

สมคุ ฺคต (กา้ วข้ึนไปดีแลว้ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๑/๓๔๖. ก้าวขึ้นไปดีแล้ว หมายถึงก้าวข้ึนไปใน
พระศาสนาดแี ลว้ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๔๑/๒๙.

สมฺพาธ (ที่คบั ขนั ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๘/๙๓. ท่ีคับขัน หมายถึงที่คับขัน ๒ อย่าง คือ ที่คับขันคือ
นิวรณ์ ทคี่ บั ขันคือกามคุณ แตใ่ นท่ีน้ี หมายถึงทีค่ ับขนั คือนิวรณ์ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๘๘/๑๐.

อนตุ ตฺ รสมฺโพธิ (สัมโพธิญาณอันยอดเย่ยี ม) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐๔/๒๙๖. สัมโพธญิ าณอันยอดเยี่ยม
ในทน่ี ีห้ มายถึงพระอรหตั ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๐๔/๒๕.

สโวหาร (การเจรจา) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๒/๑๔๒. การเจรจา มี ๔ ความหมาย คอื การงาน เจตนา
บญั ญตั ิ และการเจรจา ในที่น้หี มายถงึ การเจรจา ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๒๒/๑๔.

สหสฺสเนตฺต (ท้าวสหัสนัยน์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๕๕/๓๗๒. ท้าวสหัสนัยน์ หมายถึงท้าวสักกะจอม
เทพผูท้ รงคดิ เนอื้ ความได้ตง้ั พนั โดยครู่เดยี ว

สามญฺ ปตฺต (บรรลุความเป็นสมณะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๑/๑๒๕. บรรลุความเป็นสมณะ
หมายถึงบรรลุจดุ หมายสูงสดุ แห่งสมณธรรม ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๑๑/๑๒.

สามายิกเจโตวิมุตฺติ (เจโตวิมุตติช่ัวคราว) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๕๙/๒๐๕. เจโตวิมุตติชั่วคราว
หมายถึงโลกิยสมาบตั ิ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๕๙/๑๗.

สจุ ิ (ความสะอาด) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๔/๓๓๖. ความสะอาด ในทนี่ ี้หมายถึงศลี สมาธิ และปัญญา
อันสะอาด ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๓๔/๒๘.

สภุ าสิต (คาสภุ าษิต) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๒/๘๗. คาสภุ าษติ หมายถึงวจีสจุ ริต ๔ อยา่ ง ทอี่ าศัยสัจจะ
๔ อาศัยกถาวตั ถุ ๑๐ (และ) อาศยั โพธปิ กั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๘๒/๙.

สุวมิ ุตตฺ (ให้หลดุ พ้นดีแลว้ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๘/๕๒. ให้หลุดพ้นดีแล้ว หมายถึงให้หลุดพ้นด้วยดี
ดว้ ยผลวิมตุ ติ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๓๘/๗.

โสต (กระแส) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๙/๙๔. กระแส ในท่ีนห้ี มายถึงกระแสแหง่ ตณั หา ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๘๙/๑๐.

โสฬสีกล (เสยี้ วที่ ๑๖) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๒/๓๔๗. เส้ยี วที่ ๑๖ หมายความว่า การก้าวเท้าไปข้าง
หน่ึงนนั้ เมอ่ื แบ่งเปน็ ๑๖ สว่ นแลว้ เอาส่วนท่หี นง่ึ ใน ๑๖ สว่ น น้นั มาแบ่งเป็นอกี ๑๖ ส่วน
แล้วเอาส่วนหน่ึงทแ่ี บง่ เปน็ ๑๖ สว่ นครั้งที่ ๒ น้ันมาแบ่งเปน็ ๑๖ สว่ นอีกคร้ังหน่ึง สว่ น ๑
ใน ๑๖ ส่วนที่แบง่ คร้ังที่ ๓ นจ้ี ัดเป็นเสี้ยวที่ ๑๖ สตั วส์ ิง่ ของอยา่ งละ ๑ แสนยังมีค่าไม่ถึง
เสี้ยวที่ ๑๖ แห่งการก้าวเทา้ ไปก้าวหน่ึงทแี่ บ่งแล้ว ๑๖ ครั้ง ๑๖ เทีย่ ว ๑๖ หน เพราะท่าน

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๖๗

อนาถปณิ ฑิกะก้าวเทา้ ไปถึงพระพทุ ธเจ้าแล้วจะสาเร็จโสดาปัตติผล จักเอาของหอม พวง
มาลา กระทาการบชู า จกั ไหวพ้ ระเจดีย์ จักฟังธรรม จักนมิ นต์พระสงฆแ์ ลว้ ถวายทาน จัก
ตง้ั มัน่ ในสรณะและศลี ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๔๒/๒๙๘, สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๓๐๕/๔๗๔-
๔๗.

อกฺโกธ (ความไม่โกรธ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๗๑/๓๙๕. ความไม่โกรธ ในที่น้ีหมายถึงเมตตาและ
บุพภาคแหง่ เมตตา ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๗๑/๓๓.

อกฺเขยฺยปติฏฺ ต (ติดอยู่ในส่ิงท่ีเรียกขาน) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐/๒๒. ติดอยู่ในส่ิงท่ีเรียกขาน
หมายถงึ ติดอย่ใู นขันธ์ ๕ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ด้วย อาการ ๘ คือ
ราคะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ อนสุ ัย มานะ วิจกิ ิจฉา อุทธัจจะ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๐/๔.

อกเฺ ขยยฺ สญฺ (ส่งิ ทเี่ รยี กขาน) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐/๒๒. สิง่ ท่ีเรียกขาน หมายถึงช่ือท่ีใช้เรียกขันธ์
๕ ในลกั ษณะต่าง ๆ มีเทวดา มนุษย์ สตั ว์ บุคคล เป็นต้น ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๐/๔.

อคคฺ ินี (ไฟ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๕/๒๗๘. ไฟ ในท่นี ี้หมายถงึ ไฟคือญาณ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๙๕/๒๒.

อุจจฺ าวจวณฺณ (มวี รรณะสงู และตา่ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๒/๑๒๘. มีวรรณะสูงและต่า หมายถึงมี
สณั ฐานต่างกนั ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๑๒/๑๒.

อชรส (ไมช่ ารดุ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๕๑/๖๗. ไมช่ ารุด ในทีน่ หี้ มายถงึ ไม่วบิ ัติ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๕๒/๙.

อณฺณว (ห้วงมหรรณพ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๖/๓๕๓. หว้ งมหรรณพ หมายถึงภโวฆะ ส.ส.อ. (บาลี)
๑/๒๔๖/๓๑.

อตฺถชาต (ประโยชน์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๕๓/๖๘. ประโยชน์ ในที่น้ีหมายถึงกิจ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๕๓/๙.

อทสฺสน (ผู้ไม่มีทัสสนะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๘/๕๓. ผู้ไม่มีทัสสนะ หมายถึงผู้ไม่มีความรู้ ส.ส.อ.
(บาลี) ๑/๓๘/๗.

องฺคณ (กเิ ลสเพยี งดังเนนิ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๒/๒๖. กิเลสเพียงดังเนิน หมายถึงกิเลสคือราคะ
โทสะ โมหะ ท่ีช่ือว่า เป็นเนิน เพราะทาจิตให้ลาดต่า โน้มไปสู่ ท่ีต่า เช่นต้องย้อนไปสู่
จตุตถฌานอีก ในท่บี างแห่ง คาวา่ องคฺ ณ หมายถงึ พ้ืนท่ที ี่เป็นเนินตามท่ีพดู กนั วา่ เนนิ โพธิ์
เนนิ เจดยี ์ เป็นต้น ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๕๗/๑๕.

อนายหู (ไมเ่ พียร) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑/๒. ไมเ่ พียร หมายถึงไม่แสวงหาความสุขดว้ ยการทรมานตนให้
ลาบาก ซึง่ จดั อยู่ในอตั ตกิลมถานุโยค ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑/๑.

๒๖๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง

อนฺตทุกขฺ (ที่สุดแหง่ ทกุ ข์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘/๑๖. ที่สุดแห่งทุกข์ หมายถึงบรรลุนิพพานอันเป็น
ท่ีสดุ แห่งวฏั ทุกข์ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๘/๓.

อเนกายตนปปฺ วุตตฺ (ตรัสบอกทางไว้แลว้ ด้วยเหตุหลากหลาย) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๗๕/๘๒. ตรัสบอก
ทางไว้แลว้ ด้วยเหตุหลากหลาย หมายถึงตรัสบอกทางไว้แล้วด้วยเหตุเป็นอันมาก ได้แก่
อารมณ์ ๓๘ ประการ อารมณ์ ๓๘ มาจากอารมณ์กัมมัฏฐาน ๔๐ คือ กสิณ ๑๐ (เว้น
อาโลกกสณิ และอากาสกสิณ) อนุสสติ ๑๐ อสุภะ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ ธาตุววัตถาน ๑
อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑ อรปู ๔ จงึ รวมเป็น ๓๘ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๗๕/๙.

อโนมนาม (ผ้มู พี ระนามไมต่ า่ ต้อย) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๕/๖๐. ผูม้ ีพระนามไมต่ ่าตอ้ ย หมายถึงมีพระ
นามไมบ่ กพรอ่ ง คือมพี ระนามบรบิ รู ณ์ เพราะประกอบด้วยคุณทกุ ประการ ส.ส.อ. (บาลี)
๑/๔๕/๘.

อปฺปติฏฺ (ไม่พัก) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑/๒. ไม่พัก หมายถงึ ไม่แสวงหาความสุขในทางกามารมณ์ ซ่ึง
จัดอย่ใู นกามสุขัลลกิ านโุ ยค ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑/๑.

อปปฺ ตฺตมานส (มีใจยงั ไม่ไดบ้ รรลุ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๕๙/๒๐๖. มใี จยังไม่ได้บรรลุ ในที่นี้หมายถึง
ยังไม่ไดบ้ รรลุพระอรหัต ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๕๙/๑๗.

อผสุ นตฺ (ผู้ไมถ่ กู ต้อง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๒/๒๖. ผู้ไมถ่ กู ตอ้ ง หมายถงึ ผไู้ มถ่ ูกต้องกรรม, ผู้ไมท่ ากรรม
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๒/๔.

อพฺพทุ (อัพพทุ ะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๕/๓๓๗. อพั พทุ ะ หมายถึงรูปละเอียดที่เกิดถัดจากกลละนั้น
ไป ๗ วัน มสี เี หมอื นน้าลา้ งเน้อื มลี ักษณะเหมือนดบี ุกเหลว ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๓๕/๒๘๕,
ส.ฏกี า (บาล)ี ๑/๒๓๕/๓๒.

อภย (ความไมม่ ีภัย) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๔/๒๕๕. ความไม่มีภัย ในท่ีนี้หมายถึงนิพพาน ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๑๘๔/๒๐.

อภชิ าต (ผู้เปน็ อภชิ าติ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๒/๑๒๘. ผ้เู ปน็ อภิชาติ หมายถึงผูเ้ กิดในวรรณะกษัตริย์
ซึ่งสูงกว่าวรรณะท้ัง ๓ (คือวรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร) ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๑๑๒/๑๒.

อมต (อมตะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๗/๒๘๔. อมตะ ในที่น้ีหมายถึงนิพพาน ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๙๗/
๒๔.

พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๖๙

อรติ (ความไม่ยนิ ดี) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๗/๓๔๐. ความไม่ยนิ ดี หมายถึงความไมย่ ินดใี นเสนาสนะท่ี
สงดั หรอื กศุ ลธรรม ขุ.สุ.อ. (บาลี) ๒/๒๗๓/๑๑.

อรยิ กนฺต (ศีลทพ่ี ระอริยะชอบใจ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๖๐/๓๘๑. ศีลทีพ่ ระอริยะชอบใจ หมายถึงศีล
ทป่ี ระกอบด้วยมรรคและผล อง.ฺ จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๕๒/๓๔.

อริยมคฺค (อริยมรรค) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๖/๑๕. อริยมรรค ในที่นี้หมายถึงโลกุตตรมรรค ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๑๖/๓.

อริยมคฺค (อริยมรรค) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๖/๑๕. อริยมรรค ในท่ีนี้หมายถึงโลกิยมรรคและ
โลกตุ ตรมรรค ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๖/๓.

อวสิ ึส (ความไม่เบียดเบียน) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๗๑/๓๙๕. ความไม่เบียดเบียน หมายถึงกรุณาและ
บุพภาคแหง่ กรุณา ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๗๑/๓๓.

อาภา (แสงสว่าง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๖/๓๐. แสงสว่าง ในที่น้ีหมายถึงแสงสว่างของพระพุทธเจ้า
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๖/๕.

อารามโรป (สวนอันน่ารื่นรมย์) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๗/๖๑. สวนอันน่ารื่นรมย์ หมายถึงสวนไม้
ดอกไม้ผลอันน่าร่ืนรมย์ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๔๗/๘.

อาลย (อาลยั ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๒/๒๒๘. อาลยั ในทน่ี ้หี มายถึงกามคณุ ๕ (คือ รปู เสียง กลิ่น รส
โผฏฐพั พะ) ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๒/๑๙.

อนิ ทฺ ขีล (กิเลสดุจเสาเข่ือน) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๓๗/๕๐. กิเลสดุจเสาเข่ือน หมายถึงกิเลสคือราคะ
โทสะ โมหะ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๓๗/๗.

อุชภู ตู (มีความเหน็ ตรง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๖๐/๓๘๑. มีความเห็นตรง หมายถึงเห็นว่าพระขีณาสพ
ไมม่ ีความอดทนทางกายเปน็ ตน้ องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๕๒/๓๔.

อุปธิ (อุปธิ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒/๑๒. อปุ ธิ หมายถงึ ความเศรา้ หมองแห่งจิต มี ๔ อย่าง ได้แก่ กาม
ขันธ์ กเิ ลส อภสิ งั ขาร ในท่นี ห้ี มายถึง กามหรอื กามคณุ ๕ น่ันเอง ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๓.

อุปธิ (อปุ ธิ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๕๖/๒๐๐. อุปธิ ในที่นี้หมายถึงกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส
และโผฏฐพั พะ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๕๖/๑๗.

อุปธิ (อุปธิทง้ั ปวง) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๔๓/๑๘๓. อปุ ธิทงั้ ปวง ในท่ีน้ีหมายถึงขันธ์ กิเลส อภิสังขาร
และกามคุณ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๔๓/๑๖.

๒๗๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุม้ ครอง

อุภโตภาควิมตุ ฺติ (อุภโตภาควมิ ุตติ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๑๕/๓๑๓. อภุ โตภาควิมุตติ หมายถึงพ้นจาก
สว่ นทงั้ ๒ คอื พ้นจากรูปกายด้วยอรูปาวจรสมาบัติ พ้นจากนามกายด้วยมรรคอันเลิศ
ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๑๕/๒๖.

เอกจีวร (มจี วี รผืนเดยี ว) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๐/๑๘. มีจีวรผืนเดียว หมายถึงนุ่งสบงผูกประคตเอว
เรียบร้อยแลว้ ยนื ถือจวี รไว้ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๐/๓.

เอกตฺต (ความมีจิตแน่วแน่) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๙/๙๔. ความมีจิตแน่วแน่ หมายถึงฌาน ส.ส.อ.
(บาล)ี ๑/๘๙/๑๐.

เอกพฺรหมฺ จริย (พรหมจรรยห์ นึง่ ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๔/๒๕๕. พรหมจรรย์หนึ่ง ในท่ีนี้หมายถึง
ธรรมเทศนาหน่ึง ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๘๔/๒๑.

เอกมนฺต (ทีส่ มควร) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑/๑. ที่สมควร หมายถงึ ทเ่ี หมาะสม คือ เว้นโทษ ๖ ประการ
ได้แก่ ไกลเกนิ ไป ใกลเ้ กนิ ไป อยู่เหนือลม สงู เกินไป อยตู่ รงหน้าเกินไป อยู่ข้างหลังเกินไป
ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๕, ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๐/๙๘, อง.ฺ ทุก.อ. (บาลี) ๒/๑๖/๑.

เอกมลู (รากอนั เดยี ว) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๔/๕๙. รากอันเดียว หมายถึงอวิชชา ส.ส.อ. (บาลี) ๑/
๔๔/๘.

เอณิ (ฝัง่ แม่น้าเอณิ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๕/๒๓๙. ฝั่งแม่น้าเอณิ ในท่ีน้ีหมายถึงฝ่ังแม่น้าคงคา
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๕/๒๐๐, ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๗๕/๒๕.

โอกาส (โอกาส) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๘๘/๙๓. โอกาส ในท่นี ห้ี มายถึงฌาน ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๘๘/๑๐.

โอฆ (โอฆะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑/๑. โอฆะ หมายถึงห้วงนา้ คือกิเลส มี ๔ อย่าง คือ กาโมฆะ ห้วงน้า
คือกาม ภโวฆะ ห้วงน้าคือภพ ทิฏโฐฆะ ห้วงน้าคือทิฏฐิ อวิชโชฆะ ห้วงน้าคืออวิชชา
ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๑/๑.

โอฆ (โอฆะ) ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๖/๓๕๓. โอฆะ ในที่น้ีหมายถึงทิฏโฐฆะ ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๒๔๖/
๓๑.

พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๗๑

พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก
พระสุตตันตปิฎกเลม่ ท่ี ๑๖

กฏสวี ฑฺฒิต (เต็มปุาชา้ ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๒๔/๒๑๖. เต็มปุาช้า ในที่นี้หมายถึงซากศพของเหล่า
สตั วท์ ต่ี ายแลว้ มมี ากมาย ทับถมกนั อยูใ่ นปาุ ช้า หรือเต็มแผ่นดิน ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๒๔/
๑๗๖, ข.ุ จ.ู อ. (บาลี) ๖๑/๓.

กนตฺ ารมคฺค (ทางกนั ดาร) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๓/๑๒๐. ทางกันดาร ในท่ีน้ีหมายถึงทางท่ีข้ามยาก
และมภี ัย ๕ อย่าง คอื ภยั จากโจร ภัยจากสัตว์ร้าย ภัยจากอมนุษย์ เช่น พวกยักษ์ ภัย
เพราะไม่มนี า้ ภยั เพราะอาหารนอ้ ย ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๖๓/๑๑.

กายปู ค (เข้าถึงกาย) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๙/๓๓. เขา้ ถึงกาย ในทน่ี ี้หมายถึงการถือปฏิสนธิในกายอ่ืน
ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๙/๔.

กาสิกวตถฺ (ผา้ แคว้นกาสี) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๒๘/๒๑๙. ผ้าแคว้นกาสี เป็นผ้าท่ีทาจากฝูายเนื้อ
ละเอียดมาก ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๒๘/๑๗.

กุมารภตู (เด็กหน่มุ ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๕๔/๒๕๖. เด็กหนุ่ม ในทนี่ หี้ มายถึงภิกษุผู้มีพรรษา ๑ หรือ
พรรษา ๒ ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๔๕/๑๙.

กสุ ลมูล (กุศลมูล) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๘๑/๒๘๓. กุศลมูล คือรากเหง้าแห่งกุศลมีอโลภะ (ความไม่
อยากได)้ เปน็ ต้น ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๘๑/๒๓.

กูฏาคาร (เรือนยอด) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๔/๑๒๕. เรือนยอด ในท่ีนี้หมายถึงเรือนที่มีช่อฟูา ๑ ตัว
ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๖๔/๑๓.

กฏู าคารสาลา (ศาลาเรอื นยอด) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๔/๑๒๕. ศาลาเรอื นยอด ในทีน่ ้หี มายถึงศาลาที่
มชี อ่ ฟูา ๒ ตวั ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๔/๑๓.

ขชุ ฺชุตฺตรา (นางขุชชุตตราอุบาสิกา) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗๓/๒๗๘. นางขุชชุตตราอุบาสิกา เป็น
ชาวเมืองโกสัมพี ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศ (เอตทัคคะ) กว่าอุบาสิกา
ท้งั หลายทางด้านเป็นพหสู ตู องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๖๐/๓.

๒๗๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

เขมาภิกขนุ ี (เขมาภิกษณุ ี) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗๓/๒๗๘. เขมาภิกษุณี ก่อนบวชเคยเป็นพระเทวีของ
พระเจ้าพิมพิสาร เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศ
(เอตทคั คะ) กว่าภิกษุณีทง้ั หลายทางดา้ นเปน็ ผูม้ ีปญั ญามาก องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๓๖/
๓๒, เถรี.อ. (บาล)ี ๔๕๓/๑๖๐-๑๗๒, ข.ุ อป. (ไทย) ๓๓/๒๘๙-๓๘๓/๔๒๖-๔๓.

คททฺ ูหนมตฺต (เพียงขณะการหยดนา้ นมโค) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๒๖/๓๑๕. เพียงขณะการหยดน้านม
โค ในที่น้หี มายถงึ การรดี นา้ นมโคครัง้ เดียว หรือการใชน้ ว้ิ มือ ๒ นิ้วจับก้อนของหอมแล้ว
สูดดมครั้งเดยี ว ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๒๒๖/๒๔.

คหปติกจีวร (คหบดจี ีวร) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๔๘/๒๔๑. คหบดีจีวร ในท่ีน้ีหมายถึงผ้าจีวรที่พวก
คหบดีถวายแกภ่ ิกษุเพ่อื ใชเ้ ป็นผ้าบงั สกุ ลุ สาหรบั นงุ่ หม่ ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๔๘/๑๙.

จกฺขุ (จกั ขุ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔/๑๒. จักขุ ในท่นี ้หี มายถงึ ญาณ ซงึ่ เป็นไวพจน์ของญาณคือปัญญารู้
แจง้ ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔/๒.

จตุมหาภูต (มหาภูตหรือมหาภตู รูป ๔) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๗. มหาภูตหรอื มหาภูตรปู ๔ คือ ธาตุ ๔
ได้แก่ ปฐวีธาตุ คือธาตุดินมีลักษณะแข้นแข็ง อาโปธาตุ คือธาตุน้ามีลักษณะเหลว
เตโชธาตุ คอื ธาตไุ ฟมีลักษณะรอ้ น วาโยธาตุ คอื ธาตุลมมลี กั ษณะพดั ไปมา ที.สี. (ไทย) ๙/
๔๘๗-๔๙๖/๒๒๓-๒๒๕, ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๑/๑๑.

จตเุ วสารชฺช (จตเุ วสารัชชญาณ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๗. จตุเวสารัชชญาณ หมายถึงพระญาณ
อันเป็นเหตุให้ทรงแกล้วกล้า ไม่ครั่นคร้ามมี ๔ ประการคือ สัมมาสัมพุทธปฏิญญา
ขีณาสวปฏญิ ญา อนั ตรายิกธัมมวาทะ นยิ ยานกิ ธัมมเทสนา ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๐/๑๔๘-
๑๕๐, องฺ.จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๘/๑๔-๑๖, ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๒๒/๕๑-๕.

จิตฺตคหปติ (จติ ตคหบดี) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗๒/๒๗๗. จิตตคหบดี เป็นเศรษฐีชาวเมืองมัจฉิกา
สณฑ์ ซึ่งได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศ (เอตทัคคะ) กว่าอุบาสกทั้งหลาย
ทางดา้ นเปน็ ธรรมกถกึ อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๕๐/๓.

ฉตฺตสึ วตถฺ ุ (๓๖ เรอื่ งนี้) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๗/๑๓๗. ๓๖ เรื่องน้ี หมายถึงองค์ปฏิจจสมุปบาททั้ง
๑๒ ซง่ึ แตล่ ะองค์ท่านจาแนกออกเป็น ๓ เหตุ คือ การแสดงธรรมเพื่อความเบ่ือหน่าย
เพอ่ื คายกาหนัด เพอื่ ดบั ชราและมรณะ เรียกว่าคุณของธรรมกถึก การปฏิบัติเพ่ือความ
เบอื่ หน่าย ฯลฯ เรยี กว่า ผปู้ ฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผลการปฏิบัติคือการบรรลุนิพพาน
เพราะความเบอ่ื หนา่ ย ฯลฯ เรยี กว่า ผู้บรรลุนิพพานในปัจจุบัน (๑๒ x ๓ = ๓. ส.นิ.อ.
(บาลี) ๒/๖๗/๑๓.

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๗๓

าณ (ญาณ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔/๑๒. ญาณ ในท่นี ห้ี มายถึง ญาณ ซงึ่ เปน็ ไวพจนข์ องญาณคือปัญญา
รู้แจ้ง ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๔/๒.

าณทสฺสน (ญาณและทัสสนะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๑๕/๒๐๗. ญาณและทัสสนะ ในที่นี้
หมายถึงปจั จเวกขณญาณ คือญาณหยัง่ รูด้ ว้ ยการพจิ ารณาทบทวนมรรคผลกิเลสท่ีละได้
แล้วและนพิ พานซง่ึ พระองค์ได้บรรลุแล้ว ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๑๑๖/๑๗.

ายปฏิปนนฺ (ปฏิบตั ิถกู ทาง) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๑/๘๕. ปฏิบัติถูกทาง ในท่ีน้ีหมายถึงปฏิบัติเพื่อ
บรรลนุ พิ พาน วสิ ุทฺธิ. (บาลี) ๑/๒๕๕/๒๓.

ตถาคต (ตถาคต) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕๕/๒๖๐. ตถาคต ในที่นี้เป็นคาท่ีลัทธิอ่ืน ๆ ใช้กันมาก่อน
พทุ ธกาล หมายถงึ อตั ตา ไมไ่ ดห้ มายถึงพระพุทธเจ้า อนึ่ง อรรถกถาหมายถึง สัตตะ ที.
สี.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๐๘, ข.ุ ม.อ. (บาล)ี ๑๖/๑๙.

ตกิ โภชน (การขบฉัน ๓ หมวด) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕๔/๒๕๖. การขบฉัน ๓ หมวด ในที่น้ีหมายถึง
การขบฉนั ในโภชนวรรค สกิ ขาบทที่ ๑, ๒, ๓ แต่ในที่น้ีพระมหากัสสปะ กล่าวหมายเอา
สกิ ขาบทท่ี ๒ คือ คณโภชนสกิ ขาบท ว่าด้วยการฉันโภชนะเป็นคณะ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๑๕๔/๑๙. ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๐๙-๒๒๐/๓๗๓-๓๘๑.

ตติ ณฺหา (ตณั หา ๓) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๓/๑๒๑. ตัณหา ๓ ได้แก่ กามตัณหา (ความทะยานอยาก
ในกาม) ภวตณั หา (ความทะยานอยากในภพ) วิภวตณั หา (ความทะยานอยากในวิภพ) ส.
นิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๓/๑๒.

ติเวทนา (เวทนา ๓) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๓/๑๒๑. เวทนา ๓ ได้แก่ สุขเวทนา ความรู้สึกเป็นสุข
ทกุ ขเวทนา ความรู้สึกเป็นทุกข์ อทุกขมสขุ เวทนา ความรู้สึกเฉย ๆ หรือเรียกว่าอุเบกขา
เวทนา ท่ีอริยสาวกกาหนดรู้ด้วยปริญญา ๓ ในผัสสาหารที่กาหนดรู้แล้ว ที.ปา. (ไทย)
๑๑/๓๐๕/๒๖๖, ๓๕๓/๓๗๒-๓๗๓, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๗๐/๓๐๖, ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๖๓/๑๒๗

ทิฏฺ ธมมฺ สขุ วหิ าร (การอยู่เป็นสุขในปจั จุบันของตน) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๔๘/๒๔๒. การอยู่เป็นสุข
ในปัจจุบันของตน ในท่ีนี้หมายถึงการอยู่ปุาเป็นวัตรอันเป็นสถานท่ีสัปปายะแก่การ
ประพฤติธรรม เพราะไมม่ ีเสียงรบกวนเหมอื นอยใู่ นบา้ น ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๔๘/๑๙.

ทสพล (ทสพลญาณ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๗. ทสพลญาณ หมายถึงพระญาณอันเป็นกาลังของ
พระตถาคต ๑๐ ประการ ที่ทาให้พระองค์ทรงบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาได้
ม่ันคง คอื ฐานาฐานญาณ ปรีชาหย่ังรู้กฎธรรมชาติเก่ียวกับขอบเขตและขีดขั้นของสิ่ง

๒๗๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

ทงั้ หลาย กมั มวิปากญาณ ปรีชาหยง่ั รูผ้ ลของกรรม สพั พตั ถคามนิ ปี ฏิปทาญาณ ปรชี าหยั่ง
รู้ปฏิปทาที่จะนาไปสู่คติท้ังปวง หรือสู่ประโยชน์ทั้งปวง นานาธาตุญาณ ปรีชาหย่ังรู้
สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่าง ๆ เป็นอเนก นานาธิมุตติกญาณ ปรีชาหยั่งรู้
อัธยาศัยเปน็ ตน้ ของสัตว์ทงั้ หลาย อนิ ทริยปโรปริยตั ตญาณ ปรชี าหยงั่ รู้ความย่ิงหยอ่ นแห่ง
อินทรยี ์ของสตั ว์ทั้งหลาย ฌานาทิสงั กเิ ลสาทญิ าณ ปรชี าหย่ังรู้ความเศร้าหมองแห่งฌาน
เป็นต้น เป็นอาทิ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ปรีชาหยั่งรู้ภพที่เคยอยู่ในหนหลังได้
จุตูปปาตญาณ ปรีชาหย่ังรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย อาสวักขยญาณ ปรีชาหย่ังรู้
ความสนิ้ ไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๘/๑๔๔-๑๔๘, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/
๒๑/๔๓-๔๗, ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๑๒/๕๐-๕.

ทฏิ ฺ สมปฺ นนฺ (ถึงพรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐิ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๗/๕๔. ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ในท่ีนี้หมายถึงถึง
พร้อมดว้ ยมรรค ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๒๗/๖.

ธมฺม าณ (ธัมมญาณ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๓๓/๗๑. ธมั มญาณ ในท่นี ้ีหมายถึงมัคคญาณ คือ ญาณใน
อรยิ มรรค คอื ความหย่ังรู้ทีใ่ ห้สาเร็จภาวะอรยิ บคุ คลแต่ละชนั้ อรรถกถากล่าวว่า เป็นเสข
ภูมิของพระขีณาสพ เปน็ ญาณอันดบั ที่ ๑๔ ในญาณ ๑๖ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๓๓/๗๗, ขุ.ป.
(ไทย) ๓๑/๖๑-๖๒/๙๙-๑๐๒, วิสทุ ฺธิ. (บาลี) ๒/๘๐๖-๘๑๕/๓๕๓-๓๕.

ธมฺมฏฺ ติ าณ (ธัมมฐิติญาณ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๔/๗๔. ธัมมฐิติญาณ ในท่ีนี้หมายถึงความรู้
เก่ียวกบั ความเป็นไปและตั้งอยแู่ ห่งธรรมทง้ั หลาย ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๓๔/๗.

ธมฺมฏฺ ติ าณ (ธัมมฐิติญาณ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๗๐/๑๔๘. ธัมมฐิติญาณ ในท่ีน้ีหมายถึงวิปัสสนา
ญาณ (คอื ความรูท้ ี่ทาให้เกดิ ความเห็นแจ้ง เข้าใจสภาวะของส่ิงทั้งหลายตามความเป็น
จรงิ ) ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๗๐/๑๔.

ธตุ วาท (กลา่ วเรอื่ งธุดงค์) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๙/๑๘๘. กล่าวเร่ืองธุดงค์ ในท่ีนี้หมายถึงการไต่ถาม
เก่ียวกบั การรักษาธุดงค์ อานสิ งส์ การสมาทาน การอธิษฐาน และการขาดธุดงค์ ส.นิ.อ.
(บาลี) ๒/๙๙/๑๕.

นติ (นติ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๔๐/๘๑. นติ ในที่นี้หมายถึงตัณหาคือความปรารถนาในภพ ๓ ส.นิ.อ.
(บาลี) ๒/๔๐/๘๒, ส.น.ิ ฏีกา (บาลี) ๒/๔๐/๑๐.

นนฺทมาตุ (นางนันทมารดาอุบาสกิ า) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗๓/๒๗๘. นางนันทมารดาอุบาสิกา เป็น
ชาวเมืองเวฬุกณั ฑกะ ได้รบั ยกย่องจากพระพุทธเจา้ วา่ เปน็ เลิศ (เอตทัคคะ) กว่าอุบาสิกา
ทง้ั หลายทางด้านเปน็ ผู้อุปฏั ฐาก ขุ.อป. (ไทย) ๓๓/๑๙/๗๒.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๒๗๕

นิจฺจนวก (เป็นผใู้ หมเ่ ป็นนิจ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๔๖/๒๓๗. เป็นผู้ใหม่เป็นนจิ ในทีน่ ้หี มายถึงให้ภิกษุ
ทาตวั เหมือนอาคันตุกะที่เข้าไปสตู่ ระกูล ถา้ เจ้าของบา้ นเลอื่ มใส นิมนต์ให้ฉันก็จงฉัน แต่
ถา้ เจา้ ของบ้านไม่เล่ือมใส ไม่นิมนต์ ก็ไม่ควรเข้าไปทาความคุ้นเคย ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๑๔๖/๑๘.

นิพพฺ สนปสํ กุ ลู สาณ (ผ้าปุานบังสกุ ลุ ท่ใี ช้แล้ว) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๔๘/๒๔๓. ผ้าปุานบังสุกุลท่ีใช้
แล้ว ในทน่ี ี้หมายถึงผ้าที่พระพทุ ธเจา้ ทรงเคยใชน้ งุ่ ห่มมากอ่ น ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๔๘/๑๙.

นพิ พฺ าน าณ (นพิ พานญาณ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๗๐/๑๔๘. นิพพานญาณ ในท่นี ห้ี มายถงึ มรรคญาณ
(คอื ความหย่งั รทู้ ใี่ หส้ าเรจ็ ความเป็นอรยิ บุคคล) ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๗๐/๑๔.

นพิ ฺพทิ า (นพิ พิทา) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๓/๔๑. นิพพิทา ในท่ีนี้หมายถึงนิพพิทาญาณ คือ ญาณที่
พิจารณาเหน็ สังขารว่ามีโทษจนเกิดความเบ่ือหนา่ ย ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๓/๖.

นิสีทน (ผ้านสิ ีทนะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๖๕/๒๗๑. ผ้านิสีทนะ ในที่นี้หมายถึงผ้าปูน่ังสาหรับภิกษุ
พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) : พจนานุกรมฉบับประมวลศพั ท์, ๒๕๓๓ หนา้ ๑๓.

เนวสญฺ านาสญฺ ายตนธาตุ (เนวสัญญานาสัญญายตนธาตุ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๘๐. เนว
สญั ญานาสัญญายตนธาตุ ในทีน่ ี้หมายถึงธาตุท่เี ขา้ ถึงภาวะท่ีมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็
มิใช่ เนวสญั ญานาสัญญายตนธาตุอาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติจึงปรากฏได้ ขุ.ม.อ.
(บาล)ี ๗/๙.

ปญฺ า (ปญั ญา) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๔/๑๒. ปัญญา ในที่น้ีหมายถงึ ญาณ ซ่ึงเป็นไวพจน์ของญาณคือ
ปัญญารูแ้ จง้ ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๔/๒.

ปฏจิ ฺจสมปุ ฺปาท (ปฏิจจสมุปบาท) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑/๒. ปฏิจจสมุปบาท คือ ปัจจยาการ หมายถึง
อาการแหง่ ธรรมทอี่ าศัยกันเกิดขึน้ ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑.

ปณฑฺ ติ (บัณฑิต) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๙/๓๓. บัณฑติ ในทีน่ ้ีหมายถึงพระขีณาสพ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๑๙/๔.

ปริญฺ าต (กาหนดรู้) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๓/๑๒๐. กาหนดรู้ ในทนี่ ้หี มายถงึ กาหนดรู้ด้วยปริญญา ๓
อยา่ ง คือ ญาตปริญญา การกาหนดรู้ขั้นรู้จัก ตีรณปริญญา การกาหนดรู้ขั้นพิจารณา
ปหานปริญญา การกาหนดรูข้ ้นั ละ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๖๓/๑๒.

วาจาปรยิ าปนนฺ (นบั เนอื่ งเขา้ ในวาจา) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๔๑/๓๓๓. นับเน่ืองเข้าในวาจา ในท่ีน้ี
หมายถึงวาจาที่นบั เนอ่ื งในสัจจะ ๔ ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๔๑/๒๖.

๒๗๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

ปริวาส (ปริวาส) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗/๒๙. ปริวาส ในพระสูตรนี้เรียกว่า ติตถิยปริวาส ได้แก่ ข้อ
ปฏบิ ัติสาหรบั นักบวชนอกพระพุทธศาสนาผู้ท่ีเคยเป็นอัญเดียรถีย์เล่ือมใสในพระธรรม
วนิ ัยแลว้ ประสงค์จะบวชเปน็ ภกิ ษุให้ขอปรวิ าสตอ่ สงฆ์แล้วดารงตนอย่างสามเณรครบ ๔
เดือน จนสงฆ์พอใจจึงจะขออุปสมบทเป็นภิกษุได้ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๗/๔๒, ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๔๐๕/๒๙.

ปริสา (บรษิ ัท) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๗. บรษิ ทั หมายถึงหมู่ คณะ ท่ีประชุม ในที่นี้หมายถึงบริษัท
๘ คอื ขัตตยิ บริษัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัท จาตุมหาราชิกาบริษัท
ตาวติงสบริษัท (สวรรค์ชั้นที่ ๒ แห่ง สวรรค์ ๖ ชั้น) มารบริษัท พรหมบริษัท ที.สี.อ.
(บาลี) ๑/๔๐๓/๒๙๗, อง.ฺ ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๒๑/๓๒.

ปสฺสทฺธิ (ปสั สทั ธิ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๓/๔๑. ปัสสทั ธิ หมายถงึ ธรรมทส่ี งบระงับความกระวนกระวาย
อนั เป็นปัจจยั แห่งความสขุ ท่ีเปน็ เบื้องตน้ แหง่ สมาธทิ แ่ี นว่ แน่ ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๓/๖.

ปิยรปู (ปิยรูป) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๖/๑๓๐. ปิยรูป คือรูปทนี่ ่ารัก น่าปรารถนา ข.ุ จู. (ไทย) ๓๐/๕๕/
๒๒๑-๒๒๒, ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๖/๑๓.

ปุญฺ าภิสงฺขาร (ปุญญาภิสังขาร) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๕๑/๑๐๑. ปุญญาภิสังขาร คืออภิสังขารที่เป็น
บุญ สภาพที่ปรงุ แต่งกรรมฝุายดี ไดแ้ ก่ กศุ ลเจตนาที่เป็นกามาวจร และรูปาวจร ส.นิ.อ.
(บาลี) ๒/๕๑/๘๙, ข.ุ ม.อ. (บาล)ี ๒๕/๒๑.

ปุราณธมฺม (กรรมเก่า) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๗/๗๙. กรรมเก่า ในท่ีน้ีเป็นโวหารที่ท่านเรียกกายท่ี
เกิดขนึ้ ดว้ ยอานาจการปรุงแตง่ แห่งปจั จยั ท้งั หลาย (ตามกระแสปฏิจจสมุปบาท) ส.นิ.อ.
(บาล)ี ๒/๓๗/๘.

ปรุ สิ ปุคคฺ ล (บุรุษบุคคล) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๕๑/๑๐๑. บรุ ษุ บคุ คล ในทน่ี ้เี ป็นพระดารัสท่ีพระพุทธเจ้า
ตรัสเรียกตามสมมติของชาวโลก เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีกถา ๒ อย่าง คือ
สมมตกิ ถา ถอ้ ยคาสมมติ ตรสั ตามทโ่ี ลกสมมติ เช่น ตรัสว่า สัตว์ นระ บุรุษ ติสสะ นาค
เป็นต้น ปรมัตถกถา ถ้อยคาโดยปรมัตถ์ตรัสตามสภาวธรรม เช่นตรัสว่า ขันธ์ ธาตุ
อายตนะ เป็นตน้ พระพุทธเจา้ เมื่อจะทรงแสดงปรมัตถกถา ก็ไม่ทรงลืมที่จะตรัสสมมติ
กถา ทง้ั นเ้ี พื่อให้เวไนยสัตว์ไดเ้ ขา้ ใจธรรมะนั่นเอง ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๕๑/๘.

พหทิ ธฺ นามรปู (นามรูปภายนอก) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๙/๓๒. นามรปู ภายนอก ในที่น้ีหมายถึงกายท่ี
มีวญิ ญาณของชนเหล่าอน่ื ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๙/๔.

พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๗๗

พาหิรก (อยู่ภายนอก) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๒๙/๓๑๘. อยู่ภายนอก หมายถึงภายนอก
พระพทุ ธศาสนา อง.ฺ ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๔๘/๕.

พฺยากเรยยฺ (พยากรณ์) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๐๒/๓๐๔. พยากรณ์ หมายถึงเปดิ เผยสู่สาธารณชน

พฺรหฺมจกฺก (พรหมจักร) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๗. พรหมจกั ร หมายถึงธรรมจักรอันประเสริฐ ยอด
เยยี่ ม บริสทุ ธิ์ มี ๒ ประการ คอื ปฏิเวธญาณ ได้แก่ ญาณท่ีแสดงถึงพระปัญญาคุณของ
พระพุทธเจ้า เทสนาญาณ ได้แก่ ญาณที่แสดงถึงพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้า
ญาณท้งั ๒ นี้ชอ่ื วา่ โอรสญาณ (ญาณสว่ นพระองค์) มเี ฉพาะพระพทุ ธเจา้ ทัง้ หลายเท่านั้น
ไม่มแี กค่ นทัว่ ไป องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๒๑/๓๒.

พฺรหฺมจริยปริโยสาน (ท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗/๒๙. ที่สุดแห่งพรหมจรรย์
หมายถึงจุดสุดทา้ ยของการประพฤตธิ รรม ในทีน่ หี้ มายถงึ อรหตั ผลอนั เป็นจุดหมายสูงสุด
แห่งมรรคพรหมจรรย์ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๐๕/๓๐.

ภญุ ชฺ ิ (บรโิ ภค) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕๔/๒๕๙. บริโภค มี ๔ อย่าง คือ เถยยปริโภค บริโภคอย่าง
ขโมย เชน่ ภกิ ษทุ ศุ ีลบริโภค อณิ บริโภค บริโภคอยา่ งเป็นหน้ี เช่น การบริโภคของภิกษุผู้มี
ศีล แต่ไม่พิจารณาในเวลาบริโภค ทายัชชบริโภค บริโภคอย่างเป็นทายาท เช่น การ
บรโิ ภคของพระเสขะ ๗ จาพวก สามบี ริโภค บริโภคอยา่ งเปน็ เจา้ ของ หมายถึงการบริโภค
ของพระขณี าสพ ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๒๕๔/๒๒๑, วิสุทธิ. (บาลี) ๑/๑๙/๔๕-๔.

ภตู (ภตู ะ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๓๑/๕๙. ภูตะ ในที่นีห้ มายถึงขันธ์ ๕ ของสตั ว์ ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๓๑/๖.

มมงฺการ (มมงั การ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๐๐/๓๐๐. มมังการ หมายถึงตณั หา ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๐๐/
๒๓๗, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๓๒/๑๑.

มหาภิญฺ ตา (ความรอู้ ันยิ่งใหญ่) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๓๕/๓๒๖. ความรู้อันย่ิงใหญ่ ในที่นี้หมายถึง
อภญิ ญา ๖ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๒๓๕/๒๕.

มาตุจฺฉา (พระมาตุจฉา) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๒/๓๓๔. พระมาตุจฉา หมายถงึ พระเจา้ นา้ คอื พระนาง
ปชาบดโี คตมี ซง่ึ เปน็ พระภคนิ ขี องพระนางสิรมิ หามายา

มานานสุ ย (มานานุสัย) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๐๐/๓๐๐. มานานุสัย ได้แก่ กิเลสที่นอนเน่ืองอยู่ใน
สันดานคอื ความเหน็ ผิดซ่ึงเป็น ๑ ในบรรดาอนุสัยคือกิเลสท่ีนอนเน่ืองอยู่ในสันดานของ
สัตว์ มี ๗ อย่าง คอื กามราคะ ความกาหนดั ในกาม ปฏิฆะ ความหงุดหงิดขัดเคือง ทิฏฐิ
ความเหน็ ผิด วจิ กิ ิจฉา ความลงั เลสงสยั มานะ ความถือตัว ภวราคะ ความกาหนัดในภพ

๒๗๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง

อวิชชา ความไม่รจู้ รงิ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๗, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๙/๕๙, ส.นิ.อ.
(บาลี) ๒/๒๐๐/๒๓.

มิจฺฉา าณ (มิจฉาญาณ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๑๓/๒๐๕. มิจฉาญาณ ในท่ีน้ีหมายถึงมิจฉาปัจจ
เวกขณญาณ (คือ ญาณหยงั่ รดู้ ้วยการพจิ ารณาทบทวนธรรมที่ไมใ่ ช่มรรคผลและนิพพาน)
ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๑๓/๑๗.

มิจฺฉาปฏิปทา (มิจฉาปฏิปทา) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓/๙. มิจฉาปฏิปทา พระผู้มีพระภาคตรัส
ว่าปฏิจจสมุปบาทสายเกิดทุกข์นเ้ี ปน็ มิจฉาปฏิปทา เพราะเป็นปฏิปทาไม่แน่นอน นาไป
เกิดในภพ ๓ และเปน็ ต้นตอแหง่ วัฏฏะ (วฏฺฏสสี ) ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๓/๒.

เมตฺตาเจโตวิมุตฺติ (เมตตาเจโตวมิ ุตติ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๒๕/๓๑๔. เมตตาเจโตวิมุตติ หมายถึง
เมตตาที่เกิดจากตติยฌานและจตุตถฌานพ้นจากปัจจนีกธรรม (ธรรมท่ีเป็นข้าศึก)
กล่าวคือนิวรณ์ ๕ ประการ ไดแ้ ก่ กามฉนั ทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และ
วิจกิ จิ ฉา องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๑๗/๔๒, องฺ.ฉกกฺ .อ. (บาลี) ๓/๑๓/๑๐๔, อง.ฺ ฉกฺก. (ไทย)
๒๒/๑๓/๔๓.

ยถาภตู าณทสฺสน (ยถาภูตญาณทสั สนะ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๓/๔๑. ยถาภูตญาณทัสสนะ ในที่นี้
หมายถงึ ญาณท่ีพิจารณาเหน็ สังขารตามความเปน็ จริง ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๓/๖.

โยค (โยคะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๔๕/๒๓๖. โยคะ ในท่ีนีห้ มายถึง สภาวะอันประกอบสตั ว์ไว้ในภพมี ๔
ประการ คือ กามโยคะ (โยคะ คือกาม) ภวโยคะ (โยคะ คือภพ) ทิฏฐิโยคะ (โยคะ
คอื ทฏิ ฐิ) อวิชชาโยคะ (โยคะ คอื อวิชชา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๒, อง.ฺ จตุกฺก. (ไทย)
๒๑/๑๐/๑๗-๑๙, อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๓๘/๖๒.

รชาปถ (เป็นทางมาแห่งธุลี) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๕๔/๒๕๘. เป็นทางมาแห่งธุลี หมายถึงชีวิตการ
ครองเรอื นดังกล่าวเปน็ ท่มี า เป็นที่ประชุมกันแห่งธุลีคือกิเลสเป็นต้น ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๑๕๔/๒๐.

รูปฉนฺท (รปู ฉนั ทะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๑/๑๗๔. รูปฉันทะ คือความพอใจในรูปท้ังหลาย ส.นิ.อ.
(บาล)ี ๒/๙๑/๑๔.

รปู ปรเิ ยสนา (รูปปริเยสนา) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๙๑/๑๗๔. รูปปรเิ ยสนา คือการแสวงหารูปท่ีเคยเห็น
เคยคบ ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๙๑/๑๔.

รูปปริฬาห (รูปปริฬาหะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๑/๑๗๔. รูปปริฬาหะ คือความเร่าร้อน เพราะเผา
ผลาญรปู ท้งั หลาย ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๙๑/๑๔.

พจนานกุ รมศัพทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๗๙

รปู สงฺกปปฺ (รูปสงั กปั ปะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๑/๑๗๔. รูปสงั กัปปะ คือความดาริที่ประกอบด้วยจิต
๓ ดวง มสี มั ปฏิจฉนจติ (จิตท่ีรบั รู้อารมณ)์ เปน็ ต้น ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๙๑/๑๔.

รูปสญฺ า (รูปสัญญา) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๑/๑๗๔. รูปสัญญา คือสัญญาที่ประกอบด้วยจักขุ
วิญญาณ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๙๑/๑๔.

ลกุณฺฏกภททฺ ิย (พระลกณุ ฏกภทั ทิยะ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๐/๓๓๒. พระลกุณฏกภทั ทิยะ เป็นภิกษุ
ชาวเมอื งสาวัตถี แคว้นโกศล ซ่ึงได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศ (เอตทัคคะ)
ทางดา้ นมเี สยี งไพเราะ อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๑๙๔/๒๗, ขุ.อป. (ไทย) ๓๓/๑-๓๓/๒๘๙-
๒๙.

ลาภ (ลาภ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕๗/๒๖๕. ลาภ ในทีน่ ้หี มายถงึ ปัจจัย ๔ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๕๗/๒๒.

โลก (โลก) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๔/๑๐. โลก ในทน่ี ีห้ มายถงึ สตั วโ์ ลก ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔/๒.

โลก (โลก) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๔/๙๐. โลก ในทนี่ ้หี มายถึงสงั ขารโลก อันได้แก่ประชุมแห่งสังขารท้ัง
ปวงทจี่ ะตอ้ งเปล่ยี นแปลงไปตามเหตปุ จั จยั ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๔๔/๘.

โลกายติก (คัมภีร์โลกายตะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๘/๙๕. คัมภีร์โลกายตะ หมายถึงคัมภีร์ที่ว่าด้วย
ศลิ ปะแหง่ การเอาชนะผู้อ่นื โดยการอ้างทฤษฎแี ละประเพณี ทางสังคมมาหักล้างสัจธรรม
ม่งุ แสดงให้เหน็ วา่ ตนฉลาดกว่า มิไดม้ งุ่ สจั ธรรมแตอ่ ย่างใด ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๕๖/๒๒๓,
ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๔๘/๘.

วณณฺ พล (ผวิ พรรณและกาลัง) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๓๑/๓๒๑. ผิวพรรณและกาลัง ในท่ีนี้หมายถึง
ผิวพรรณคือคณุ และญาณ ไม่ได้หมายถึงผิวพรรณแห่งสรีระร่างกาย ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๒๓๑/๒๕.

วิชฺชา (วชิ ชา) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔/๑๒. วิชชา ในท่ีน้ีหมายถึง ญาณ ซ่ึงเป็นไวพจน์ของญาณคือ
ปัญญารู้แจ้ง ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๔/๒.

วิญฺ าณญฺจายตนธาตุ (วิญญาณัญจายตนธาตุ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๘๐. วิญญาณัญจายตน
ธาตุ ในท่ีน้ีหมายถึงธาตุท่ีกาหนดวิญญาณเป็นอารมณ์ วิญญาณัญจายตนธาตุอาศัย
อากาสานญั จายตนสมาบตั จิ งึ ปรากฏได้ ข.ุ ม.อ. (บาลี) ๗/๙.

วญิ ฺ าณญฺจายตนธาตุ (วิญญาณัญจายตนธาตุ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๘๐. อากิญจัญญายตนธาตุ
ในทนี่ ี้หมายถึงธาตุที่กาหนดความไม่มีอะไรเหลอื เป็นอารมณ์ อากิญจญั ญายตนธาตุ อาศยั
วิญญาณญั จายตนสมาบตั จิ ึงปรากฏได้ ขุ.ม.อ. (บาลี) ๗/๙.

๒๘๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง

วมิ ุตฺติ (วิมตุ ติ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๓/๔๑. วมิ ุตติ ในท่นี ห้ี มายถึงความหลุดพ้นด้วยอรหัตผล ส.นิ.อ.
(บาล)ี ๒/๒๓/๖.

วิราค (วริ าคะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๓/๔๑. วริ าคะ ในท่ีน้หี มายถงึ มรรค คือ ธรรมเครือ่ งกาจดั กเิ ลส ส.
นิ.อ. (บาล)ี ๒/๒๓/๖.

สกกฺ าร (สักการะ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๕๗/๒๖๕. สักการะ ในทีน่ ้ีหมายถึงลาภท่ีเกิดจากการทางาน
เกดิ จากปัจจัย ๔ นนั้ ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๕๗/๒๒.

สงฺขาตธมฺม (สังขาตธรรม) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๑/๕๙. สังขาตธรรม ในท่ีน้ีหมายถึงธรรมที่พระ
อรหนั ต์ท้ังหลายได้รูแ้ ล้วเทียบเคียงไตรต่ รองแล้ว คือพระอรหันต์ทง้ั หลายรู้แจ้งแทงตลอด
สัจจะ ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๓๑/๖๘, ส.นิ.ฏีกา (บาล)ี ๒/๓๑/๘.

สงฺขาราวเสสสมาปตตฺ ิ (สังขาราวเิ สสสมาบัติ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๘๑. สังขาราวิเสสสมาบัติ
ในท่นี ้ีหมายถงึ สมาบตั ิที่มสี ังขารอนั ละเอียดยังคงเหลอื อยู่ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๙๕/๑๕.

สญฺ าเวทยติ นโิ รธธาตุ (สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๘๐. สัญญาเวทยิตนิโรธ
ธาตุ ในทีน่ ้ีหมายถึงความดบั ขันธ์ ๔ ขนั ธ์ เป็นชอ่ื ของนโิ รธสมาบัติ สญั ญาเวทยติ นิโรธธาตุ
อาศัยนิโรธสมาบัติจงึ ปรากฏได้ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๙๕/๑๕.

สญฺโ ชนยิ (สังโยชน์) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๕๓/๑๐๖. สังโยชน์ หมายถงึ กิเลสอนั ผกู ใจสัตว์หรือธรรมท่ี
มัดสัตว์ไว้กบั ทกุ ขม์ ี ๑๐ ประการ คือ สกั กายทฏิ ฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน) วิจิกิจฉา
(ความลังเลสงสัย) สลี พั พตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต) กามราคะ (ความกาหนัดใน
กาม) พยาบาท (ความคดิ รา้ ย) รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน) อรูปราคะ
(ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน) มานะ (ความถือตัว) อุทธัจจะ (ความฟุูงซ่าน)
อวชิ ชา (ความไมร่ จู้ รงิ ) ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๐-๑๘๑/๑๑๔-๑๑๖, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/
๑๓/๒.

สตตฺ สตตฺ ติ าณวตฺถุ (ญาณวัตถุ ๗๗) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๓๔/๗๓. ญาณวตั ถุ ๗๗ น้ีเป็นการนับญาณ
ในปฏจิ จสมปุ บาท ๑๑ องค์ โดยท่านแบ่งนับเป็นองค์ละ ๗ ญาณ เช่น ความรู้ฝุายเกิด
ฝุายดบั ในปจั จุบัน ๒ ในอดีต ๒ ในอนาคต ๒ และญาณท่ีรู้ความเป็นไปและดารงอยู่
(ธัมมฐิติญาณ) แห่งธรรมท้ังหลาย ๑ รวมเป็น ๗ ญาณ เอา ๑๑ x ๗ จึงเป็น ๗๗ ดัง
ตวั อย่างการนับชดุ แรกและชุดสุดทา้ ย ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๓๔/๗.

สพฺพธมฺม (ธรรมทั้งปวง) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๔/๓๓๗. ธรรมทั้งปวง ในท่ีนี้หมายถึงขันธ์ อายตนะ
ธาตุ และภพ ๓ ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๔๔/๒๖.

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๒๘๑

สมพฺ าธ (เป็นเรือ่ งอดึ อดั ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕๔/๒๕๘. เปน็ เรื่องอึดอัด หมายถึงชีวิตการครองเรือน
ต้องดแู ลกิจการหลายอย่างมขี ้อผกู พนั มากมายและไม่มีโอกาสทากุศล ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๑๕๔/๒๐.

สมภฺ เวสี (สตั ว์ผูแ้ สวงหาทเี่ กดิ ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๑/๑๗. สัตวผ์ ูแ้ สวงหาท่ีเกิด หมายถึงสัตว์ท่ีเกิดใน
กาเนิดทัง้ ๔ ได้แก่ อัณฑชะ (เกิดจากไข)่ ชลาพุชะ (เกิดจากครรภ์) สงั เสทชะ (เกิดในเถ้า
ไคล) โอปปาติกะ (เกิดผุดข้ึน) สัตว์จาพวกที่เป็นอัณฑชะ และชลาพุชะ ท่านเรียกว่า
สัมภเวสี เพราะยงั อยใู่ นไขแ่ ละในครรภ์ ถา้ ออกจากไขแ่ ละครรภ์แล้วไม่เรียกว่า สัมภเวสี
แต่ท่านเรียกว่า สัตว์ผู้เกิดแล้ว สัตว์จาพวกท่ีเป็นสังเสทชะ และ โอปปาติกะน้ัน ท่าน
เรยี กว่า สัมภเวสี ในขณะจิตแรกทเ่ี กดิ ขึ้นตั้งแต่ขณะจิตที่ ๒ ไป ท่านเรียกว่า สัตว์ผู้เกิด
แล้ว ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๑/๒.

สมฺมปฺปญฺ า (ปัญญาอันชอบ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๐/๓๕. ปัญญาอันชอบ ในท่ีนี้หมายถึงมัคค
ปัญญา คอื ปญั ญาในมรรค หรอื ปญั ญาทีร่ ้จู ักมรรคในวิปสั สนา ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๐/๔.

สาตรูป (สาตรปู ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๖/๑๓๐. สาตรปู คือรูปที่น่ายนิ ดี น่าต้องการ ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/
๕๕/๒๒๑-๒๒๒, ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๖/๑๓.

สาตสหคต (ประกอบด้วยความยินดี) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕๔/๒๕๙. ประกอบด้วยความยินดี ในท่ีนี้
หมายถึงกายคตาสติทีป่ ระกอบดว้ ยความสขุ ที่เกิดจากปฐมฌาน ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๕๔/
๒๒.

สาวกภาสติ (สาวกภาษิต) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๒๙/๓๑๘. สาวกภาษิต หมายถึงภาษิตอันเหล่าสาวก
ของเจา้ ลทั ธิคนใดคนหนง่ึ ที่ไมไ่ ดช้ ื่อวา่ เปน็ พระพทุ ธสาวกได้ภาษิตไว้ องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/
๔๘/๕๕, อง.ฺ ทกุ .ฏีกา (บาลี) ๒/๔๘/๕.

สิโลก (ความสรรเสรญิ ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕๗/๒๖๕. ความสรรเสริญ ในที่น้ีหมายถึงเสียงยกย่อง
ชมเชย ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๕๗/๒๒.

สีหนาท (สหี นาท) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๗. สีหนาท หมายถึงตรสั พระวาจาดว้ ยทา่ ทางท่ีองอาจดัง
พญาราชสีห์ ไม่ทรงหว่นั เกรงผู้ใด เพราะทรงมั่นพระทัยในศลี สมาธิ ปัญญาของพระองค์
ที.สี.ฏีกา (บาล)ี ๑/๔๐๓/๔๓.

สภุ ธาตุ (สภุ ธาตุ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๘๐. สุภธาตุ ในที่นห้ี มายถึงฌานพร้อมทัง้ อารมณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะบรกิ รรมโดยเพง่ สุภกสณิ สภุ ธาตุอาศยั ความไมง่ ามจึงปรากฏได้ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๙๕/๑๕.

๒๘๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

หตฺถกอาฬวก (หัตถกอาฬวกอุบาสก) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗๒/๒๗๗. หัตถกอาฬวกอุบาสก เป็น
อุบาสกชาวเมืองอาฬวี ซึ่งได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศ (เอตทัคคะ) กว่า
อบุ าสกท้ังหลายทางดา้ นสงเคราะห์บรษิ ัทด้วยสังคหวัตถุ ๔ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๕๑/๓.

อญฺ าตญุ ฉฺ (โภชนะทร่ี ะคนกัน) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๒/๓๓๕. โภชนะท่ีระคนกัน ในท่ีนี้หมายถึง
โภชนะทผ่ี สมกนั หรอื เจือปนกนั ท่ีภิกษุเท่ยี วบณิ ฑบาตตามลาดบั เรอื น ได้มา ส.นิ.อ. (บาลี)
๒/๒๔๒/๒๖.

อธิคม (การบรรลุ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๘๔/๑๖๘. การบรรลุ ในที่น้ีหมายถึงการบรรลุปฐมมรรค
กล่าวคอื โสดาปัตตมิ รรคนัน่ เอง ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๘๔/๑๔.

อนิสสฺ ิต (ไมอ่ ิงอาศยั ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๔๑/๓๓๓. ไม่อิงอาศยั ในท่ีนห้ี มายถึงไม่อิงอาศัยวัฏฏะ ส.
น.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๔๑/๒๖.

อนุตฺตร (ประโยชนย์ อดเย่ยี ม) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗/๒๙. ประโยชน์ยอดเย่ียม หมายถึง อรหัตผล
หรอื อรยิ ผลอันเปน็ ทส่ี ุดแหง่ มรรคพรหมจรรย์ อง.ฺ ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๕/๗, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/
๘๒/๘.

อนุตฺตร (ประโยชน์ยอดเย่ียม) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๓๘/๓๓๐. ประโยชน์ยอดเยี่ยม หมายถึง
อรหตั ผลหรอื อรยิ ผลอนั เปน็ ทีส่ ดุ แห่งมรรคพรหมจรรย์ องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๕/๗, ม.ม.อ.
(บาลี) ๒/๘๒/๘.

อนูปลติ ตฺ (ไมแ่ ปดเป้ือน) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๔/๓๓๗. ไม่แปดเปื้อน ในที่น้ีหมายถึงไม่แปดเปื้อน
ด้วยตณั หาและทิฏฐิ ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๔๔/๒๖.

อนฺวย าณ (อันวยญาณ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๓๓/๗๑. อันวยญาณ ในที่น้ีหมายถึงปัจจเวกขณญาณ
คอื ญาณหยัง่ รู้ดว้ ยการพิจารณาทบทวนคอื สารวจรู้มรรคผล กเิ ลสที่ละได้แล้ว กิเลสท่ียัง
เหลอื อยู่ และนพิ พาน เวน้ พระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสท่ียังเหลืออยู่ ญาณนี้เป็น
ญาณอันดบั ที่ ๑๖ ในญาณ ๑๖ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๓๓/๗๗, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖-
๑๐.

อปาย (อบาย) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๐/๑๑๓. อบาย ในทนี่ ีห้ มายถงึ นรก กาเนิดสัตว์ดิรจั ฉาน เปตวิสัย
และอสุรกายซงึ่ เป็นสถานทีไ่ ม่มคี วามเจริญ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๖๐/๑๑.

อปุญฺ าภสิ งฺขาร (อปุญญาภิสงั ขาร) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๕๑/๑๐๑. อปุญญาภิสังขาร คืออภิสังขารท่ี
เปน็ ปฏิปักษต์ ่อบญุ คือเปน็ บาป สภาพทป่ี รุงแต่งกรรมฝาุ ยชวั่ ไดแ้ ก่ อกศุ ลเจตนาทัง้ หลาย
ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๕๑/๘๙, ขุ.ม.อ. (บาล)ี ๒๕/๒๑.

พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๒๘๓

อปฺปคพภฺ (ไมค่ ะนอง) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๔๖/๒๓๗. ไม่คะนอง ในท่ีน้ีหมายถึงให้ภิกษุสารวมกาย
วาจา ใจ ในเวลาอย่ทู า่ มกลางหมู่คณะ เป็นต้น ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๑๔๖/๑๘๘-๑๘.

อริย าย (ญายธรรมอันประเสริฐ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๑/๘๓. ญายธรรมอันประเสริฐ ในที่นี้
หมายถงึ ปฏจิ จสมุปบาท และอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๔๑/๘.

อรยิ สาวก (อริยสาวก) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๐/๓๕. อริยสาวก ในท่ีน้ีหมายถึงพระโสดาบัน ส.นิ.อ.
(บาล)ี ๒/๒๐/๔.

อสมาหิต (จติ ไม่มั่นคง) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๐๗/๒๐๐. จิตไม่ม่ันคง ในที่น้ีหมายถึงจิตท่ีปราศจาก
อปุ จารสมาธิ และอปั ปนาสมาธิ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๑๐๗/๑๖.

อสมมฺ าสมฺพทุ ฺธ (บุคคลท่ีมใิ ช่พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๙๗/๑๘๕. บุคคลท่ีมิใช่พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่นี้หมายถึงครูทั้ง ๖ (คือ ครูปูรณะ กัสสปะ ครูมักขลิ โคศาล
ครูอชติ ะ เกสกมั พล ครูปกุธะ กจั จายนะ ครนู คิ รนถ์ นาฏบุตร ครูสัญชัย เวลัฏฐบุตร) ส.
น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๙๗/๑๕.

อสฺสุตวปถุ ชุ ชฺ น (ปุถชุ นผไู้ มไ่ ด้สดับ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๑/๑๑๕. ปุถุชนผ้ไู มไ่ ด้สดับ ในที่นี้หมายถึง
ปุถุชนผู้เว้นจากการศึกษาเล่าเรียน การสอบถาม การวินิจฉัยในขันธ์ ธาตุ อายตนะ
ปจั จยาการ และสติปัฏฐานเป็นตน้ ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๖๑/๑๑.

อหงฺการ (อหังการ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๐๐/๓๐๐. อหังการ หมายถึงทิฏฐิ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๒๐๐/
๒๓๗, อง.ฺ ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๓๒/๑๑.

อากาสานญฺจายตนธาตุ (อากาสานัญจายตนธาตุ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๘๐. อากาสานัญจายตน
ธาตุ ในท่นี ี้หมายถึงธาตทุ กี่ าหนดอากาศ คอื ความวา่ งอันหาทส่ี ดุ มิไดเ้ ป็นอารมณ์ เปน็ ข้ันท่ี
๑ ของอรปู ฌาน อากาสานัญจายตนธาตุอาศัยรปู สมาบตั จิ งึ ปรากฏได้ ข.ุ ม.อ. (บาล)ี ๗/๙.

อาเนญฺชาภสิ งฺขาร (อาเนญชาภิสังขาร) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๕๑/๑๐๑. อาเนญชาภิสังขาร คืออภิ
สังขารท่ีเป็นอาเนญชา สภาพท่ีปรุงแต่งภพอันม่ันคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาท่ี
เป็นอรูปาวจร ๔ หมายเอาภาวะจิตที่ม่ันคงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน ส.นิ.อ.
(บาลี) ๒/๕๑/๘๙, ขุ.ม.อ. (บาล)ี ๒๕/๒๑.

อาภาธาตุ (อาภาธาตุ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๘๐. อาภาธาตุ ในที่นี้หมายถึงธาตุคือแสงสว่าง ซึ่ง
เป็นช่ือของอาโลกกสิณ ได้แก่ ฌานพรอ้ มท้งั อารมณท์ ่ที าให้ปตี ิเกิดขึน้ เพราะบริกรรมโดย
เพ่งแสงสว่างเปน็ อารมณ์ อาภาธาตอุ าศยั ความมดื จงึ ปรากฏได้ ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๙๕/๑๕.

๒๘๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง

อายสนคร (นครที่สร้างด้วยเหล็ก) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๒๙/๒๒๐. นครที่สร้างด้วยเหล็ก ในท่ีน้ี
หมายถงึ กาแพงของนครนีท้ าด้วยเหล็ก ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๑๒๙/๑๗.

อารมฺมณ (อารมั มณปจั จัย) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๓๘/๗๙. อารัมมณปัจจัย ในที่น้ีหมายถึงธรรมชาติมี
เจตนาเปน็ ต้น ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/๓๘/๘.

อารุปฺปวโิ มกฺข (อารปุ ปวโิ มกข์) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๗๐/๑๔๗. อารุปปวิโมกข์ คือ การหลุดพ้นจาก
อรูปฌาน เพราะสงบองค์และอารมณ์แห่งฌานท้ังหลาย อีกอย่างหน่ึง พระฎีกาจารย์
หมายถึงการหลดุ พ้นจากความจาได้หมายรูอ้ รูปฌาน เพราะองค์ฌานทั้งหลายสงบระงับ
โดยภาวะที่ไกลจากธรรมเคร่ืองเน่ินช้ามีนิวรณ์เป็นต้น เพราะสงบอารมณ์ที่ถึงความ
ละเอียดออ่ นโดยปราศจากการจาแนกวา่ เป็นรูป อีกอย่างหนงึ่ ท่านหมายถึงสงบอารมณ์ที่
เปน็ โลกุตตรธรรม ส.น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๗๐/๑๔๓, ส.น.ิ ฏีกา (บาล)ี ๒/๗๐/๑๕.

อาโลก (แสงสว่าง) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๔/๑๒. แสงสว่าง ในท่นี หี้ มายถงึ ญาณ ซึ่งเปน็ ไวพจน์ของญาณ
คอื ปญั ญารแู้ จง้ ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๔/๒.

อาสภฏฺ าน (ฐานะทีอ่ งอาจ) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๗. ฐานะที่องอาจ หมายถึงฐานะท่ีประเสริฐ
ที่สุด ทส่ี ูงสดุ หรอื ฐานะของพระพุทธเจ้าผปู้ ระเสริฐทสี่ ุดในปางก่อน องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/
๒๑/๔๓, อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๑/๓๒.

อาหาร (อาหาร) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๕๒/๑๐๕. อาหาร ในที่น้ีหมายถึงปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดไฟ ส.
น.ิ อ. (บาล)ี ๒/๕๒/๙.

อิสธิ ช (ธงชัยของฤาษี) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๔๑/๓๓๔. ธงชยั ของฤาษี ในท่นี หี้ มายถงึ โลกตุ ตรธรรม ๙
ไดแ้ ก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ส.นิ.อ. (บาล)ี ๒/๒๔๑/๒๖.

อุปธิ (อปุ ธิ) ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๖/๑๓๐. อุปธิ คือกิเลสท่ที าให้ตดิ อยู่ในวัฏฏะ ในท่ีนี้หมายถึงขันธ์ ๕
ของสัตว์ ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๖๖/๑๓.

อุปปฺ ลวณณฺ า (อุบลวรรณาภกิ ษณุ ี) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๗๓/๒๗๘. อุบลวรรณาภิกษุณี เป็นชาวเมือง
สาวตั ถี แควน้ โกศล ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศ (เอตทัคคะ) กว่าภิกษุณี
ท้งั หลายทางดา้ นเป็นผู้มีฤทธม์ิ าก องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๓๗/๓๗, เถรี.อ. (บาลี) ๔๖๕/
๒๓๓-๒๔๘, ข.ุ อป. (ไทย) ๓๓/๓๘๔-๔๖๗/๔๓๘-๔๔.


Click to View FlipBook Version