พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๘๕
(สกทาคามมิ รรค อนาคามมิ รรค และอรหัตมรรค) ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๓๗๓/๒๘.
สวฏฺฏวิวฏฺฏ (สังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัป) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๒/๑๓. สังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัป แยก
อธบิ ายว่า สังวัฏฏกปั คอื กปั ฝุายเสือ่ ม, ชว่ งระยะวลาทโ่ี ลกกาลังพินาศ วิวัฏฏกัป คือ กัป
ฝุายเจรญิ , ชว่ งระยะเวลาทโ่ี ลกกลับฟ้นื ขนึ้ มาใหม่ วิ.อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๑๕.
สามญฺ สงฺขาต (สามญั คณุ ) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๓๙๔/๑๖๔. สามญั คณุ หมายถงึ สมณกรรม ได้แก่การ
บาเพญ็ ตบะ ทท่ี าใหค้ วามเป็นสมณะสมบูรณ์ ตามความเขา้ ใจของคนยคุ น้นั ท.ี สี.อ. (บาล)ี
๑/๓๙๔/๒๙.
สามุกฺกสิกธมฺมเทสนา (สามุกกังสิกธรรมเทศนา) ที.สี. (ไทย) ๙/๒๙๘/๑๐๙.สามุกกังสิกธรรม
เทศนา ในทีน่ ห้ี มายถึงพระธรรมเทศนาทพ่ี ระพทุ ธองค์ทรงยกขึ้นแสดงเอง โดยไม่มีผู้ทูล
อาราธนาหรอื ทูลถาม ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๙๘/๒๕.
สิกขฺ า (การศกึ ษา) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๔๑๒/๑๗๗. การศึกษา หมายถึง การสาเหนียก หรือข้อปฏิบัติ
สาหรับฝึกอบรม มี ๓ อยา่ ง คอื อธิสีลสิกขา (การศึกษาอบรมในเรื่องศีล) อธิจิตตสิกขา
(การศกึ ษาอบรมในเรือ่ งจติ เรยี กง่ายๆ วา่ สมาธิ) และ อธิปัญญาสิกขา (การศึกษาอบรม
ในเร่ืองปัญญา) เป็นเหตใุ หสั ัญญาดบั และเกดิ ได้ เชน่ พอจิตบรรลปุ ฐมฌาน กามสัญญาก็
ดบั ไป สจั สัญญาอนั ละเอียดมปี ตี ิและสขุ อันเกิดจากวิเวกก็เกิดขึ้นมาแทน ที.สี.อ. (บาลี)
๑/๔๑๓/๓๐.
สิววชิ ชฺ า (วชิ าทาเสนห่ ์) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๑/๘. วิชาทาเสน่ห์ ในท่นี ้หี มายถงึ วชิ าการรู้เสียงร้องของ
สุนัขจิง้ จอก ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๑/๘.
สหี นาท (สหี นาท) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๔๐๓/๑๗๒. สีหนาท หมายถึง คาพูดท่ีตรัสด้วยท่าทีองอาจดัง
พญาราชสีห์ ไมท่ รงหว่นั เกรงผใู้ ด เพราะทรงมัน่ พระทัยในศีล สมาธิ ปัญญาของพระองค์
ท.ี ส.ี ฏีกา (บาล)ี ๔๐๓/๔๓.
สหี สมณทุ เฺ ทส (สามเณรสีหะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๖๑/๑๕๒. สามเณรสีหะ หมายถึงสามเณรผู้เป็น
หลานชายของท่านพระนาคิตะ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๓๖๒/๒๗.
สุปปฺ ิย (สุปปิยปรพิ าชก) ที.สี. (ไทย) ๙/๑/๑. สุปปิยปริพาชก หมายถึงสาวกของครูสัญชัย เวลัฏฐ
บุตร เปน็ นักบวชปริพาชกนกิ ายหน่งึ ที่นุ่งผา้ ขาว ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑/๓.
สุภมาณว (สุภมาณพ) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๔๔/๑๙๗. สุภมาณพ เปน็ บุตรของโตเทยยพราหมณ์หัวหน้า
หมู่บา้ นตทุ ิ เขตกรงุ สาวตั ถี ผมู้ ีทรัพยถ์ ึง ๔๕ โกฏิแต่ตระหน่ีจัด ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๔๔/
๓๑๘, ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๖๘๙/๓๕.
๘๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
อกริ ิยวาท (อกิรยิ วาทะ) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๕/๕๓. อกิริยวาทะ หมายถึง ลัทธิท่ีถือว่า การกระทา
ทกุ อยา่ งไม่มผี ล ทาดีก็ไมไ่ ด้ดี ทาชวั่ ก็ไม่ได้ช่ัว เป็นความเห็นท่ปี ฏเิ สธกฎแหง่ กรรม ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๑๖๖/๑๔.
อชิตเกสกมฺพล (ครูอชติ ะ เกสกัมพล) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๓/๔๙. ครอู ชิตะ เกสกัมพล ในทน่ี ้ีหมายถึง
เจ้าลทั ธิช่ืออชิตะ ผูน้ งุ่ ห่มผ้าทท่ี าดว้ ยผมของมนุษย์ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๓/๑๓.
อตฺต (อตั ตา) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๐/๑๑. อตั ตา ในทน่ี ี้หมายถึงวญิ ญาณอมตะหรอื อาตมนั ท.ี สี.อ. (บาล)ี
๑/๓๐/๙.
อตฺตปฏลิ าภ (การได้อัตภาพ) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๔๒๘/๑๙๐. การได้อัตภาพ อรรถกถาอธิบายว่า การ
ได้อัตภาพ ๓ อยา่ ง คอื การไดอ้ ัตภาพท่ีหยาบ ได้แก่ กามภพ, การได้อตั ภาพท่ีสาเร็จด้วย
ใจ ไดแ้ ก่ รปู ภพ, การได้อตั ภาพท่ไี มม่ รี ูป ไดแ้ ก่ อรปู ภพ ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๔๒๘/๓๑.
อตฺถชาล (ขา่ ยแหง่ ประโยชน์) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๔๘/๔๗. ทีช่ อื่ ว่า ข่ายแหง่ ประโยชน์ เพราะเหตุท่ีใน
พรหมชาลสตู ร พระพทุ ธองค์ทรงแจกแจงประโยชน์ในโลกน้ี และประโยชน์ในโลกหน้าอัน
เป็นดุจตาข่ายไว้ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๔๘/๑๑.
อนงคฺ ณ (ไมม่ กี เิ ลสเพียงดงั เนนิ ) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๓๔/๗๗. ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ในท่ีน้ีหมายถึง
กิเลสมีราคะเป็นต้น ทีเ่ รียกว่า กิเลสเพียงดังเนิน (อังคณะ) เพราะทาจิตให้ลาดต่า โน้ม
เอยี งไปส่ทู ีต่ า่ เชน่ ตอ้ งยอ้ นกลับไปสูจ่ ตตุ ถฌานอกี อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๒๔/๖๑๓
อนงฺคณ (ไมม่ กี ิเลสเพียงดงั เนิน) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๔๗๒/๒๐๕. ไมม่ ีกเิ ลสเพียงดงั เนิน หมายถึงที่กิเลส
มรี าคะเป็นตน้ ทีย่ ังจิตใหล้ าดต่า โนม้ เอยี งไปสู่ทต่ี ่า เชน่ ต้องยอ้ นกลับไปสู่จตุตถฌานอีก
อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๒๔/๕๗.
อนาวฏทฺวาร (มไิ ดท้ รงปดิ ประตู) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๓๔๐/๑๓๓. มิได้ทรงปิดประตู หมายถึง ไม่ทรง
ตระหน่ี แต่ยินดีตอ้ นรบั คนอนาถาตลอดเวลาหรือเปิดประตตู อ้ นรบั หมูพ่ ระอรยิ ะผู้มาจาก
ทิศทัง้ ๔ ส.ส.อ. (บาล)ี ๑/๒๔๒/๒๙๗.
อนุพยฺ ญชฺ นคคฺ าหี (แยกถือ) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๑๓/๗๒. แยกถือ หมายถึง มองแยกพิจารณาเป็นส่วน
ๆ ไป เช่น ตาสวย แต่จมูกไม่สวย อภ.ิ สง.ฺ อ. (บาลี) ๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕๗.
อนโุ ยคมนยุ ตุ ตฺ (ถือ) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๓๙๔/๑๖๕. ถอื หมายถึง การยดึ มั่นในวัตรปฏบิ ตั ิอย่างใดอย่าง
หนึ่ง ท.ี ส.ี (บาลี) ๙/๓๙๔/๑๖.
อนตฺ (ที่สุด) ที.สี. (ไทย) ๙/๕๓/๒๑. ท่ีสุด ในที่น้ีหมายถึงขอบเขตของโลก ทั้งเบ้ืองบน เบ้ืองล่าง
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๘๗
และตามขวาง ซงึ่ เปน็ ขอ้ ที่ยกขึน้ โตแ้ ย้งกันว่า โลกมขี อบเขตกาจดั หรือไมม่ ขี อบเขตจากัด
ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๕๔/๑๐.
อนตฺ ราย (อนั ตราย) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๕/๒. อนั ตราย ในท่นี หี้ มายถงึ อุปสรรคต่อการบรรลุธรรมช้ันสูง
ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๖/๕.
อเนกสกิ (อเนกงั สิกธรรม) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๔๒๓/๑๘๖. อเนกังสิกธรรม ในท่ีน้ีหมายถึง ส่ิงท่ีไม่อาจ
ตอบได้วา่ ใชห่ รือไม่ใช่เพียงอย่างเดียว เช่น ไม่อาจตอบว่า โลกเที่ยงหรือไม่เท่ียง ที.อ.
(บาล)ี ๑/๔๒๓/๓๑.
อปฺปาฏิหรี กต (เล่อื นลอย) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๔๒๕/๑๘๗. เลอ่ื นลอย หมายถึง เป็นคาท่ีไม่มีปาฏิหาริย์
ขาดเหตุผล ที่จะจูงใจฝุายตรงขา้ มใหเ้ ช่อื ถือหรอื ยินยอมได้ ท.ี ส.ี ฏีกา (อภินว.) (บาลี) ๒/
๔๒๕/๔๙.
อปปฺ าฏิหรี กต (เลอ่ื นลอย) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๕๒๘/๒๓๔. เล่อื นลอย หมายถึง เป็นคาท่ีไม่มีปาฏิหาริย์
ขาดเหตผุ ลที่จะจงู ใจฝาุ ยตรงกันขา้ มใหเ้ ชอ่ื ถอื หรือยินยอมได้ ที.สี.ฏีกา (บาลี) ๒/๔๒๕/
๔๙.
อพฺโภกาสปพฺพชฺชา (การบวชเป็นทางปลอดโปร่ง) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๙๑/๖๔. การบวชเป็นทาง
ปลอดโปร่ง คือ นักบวชแม้จะอยู่ในเรือนยอด ปราสาทแก้วและเทพวิมาน ซ่ึงมีประตู
หน้าตา่ งปดิ มิดชิด ก็ยังถอื ว่าปลอดโปรง่ เพราะนักบวชไมม่ คี วามยึดตดิ ในส่งิ ใด ๆ เลย ที.
ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๙๑/๑๖.
อภิชาติ (อภิชาติ) ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๖๗/๕๕. อภิชาติ คือ การกาหนดหมายชนช้ัน เช่น โจรเป็น
กัณหาภชิ าติ (สดี า) นักบวชเป็นนีลาภิชาติ (สีเขียว) นิครนถ์เป็นโลหิตาภิชาติ (สีแดง)
คฤหัสถ์เป็นหลทิ ทาภิชาติ (สีเหลอื ง) อาชวี กเป็นสุกกาภิชาติ (สีขาว) นักบวชท่ีเคร่งวัตร
ปฏิบตั ิเปน็ ปรมสกุ กาภิชาติ (สีขาวยิ่งนกั ) ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๖๘/๑๔.
อภิสญฺ านิโรธ (อภิสัญญานิโรธ) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๑๑/๑๗๖. อภิสัญญานิโรธ หมายถึง หัวข้อ
สนทนาว่าด้วยการดบั ของสญั ญา ซ่ึงอรรถกถาอธิบายว่า ได้แก่ จิตตนิโรธหรือความดับจิต
อันเป็นการดับชว่ั คราว ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๔๑๑/๓๐๔-๓๐.
อมราวิกฺเขปวาท (อมราวกิ เขปวาทะ) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๖๑/๒๔. อมราวิกเขปวาทะ ในท่ีน้ีหมายถึง
ลทั ธทิ มี่ คี วามเห็นหลบเล่ยี งไม่แน่นอนว่าใช่หรือไม่ใช่ เป็นความเห็นท่ีล่ืนไหลจับได้ยาก
เหมือนปลาไหล ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๖๑/๑๐.
อากาสานญฺจายตนฌาน (อากาสานัญจายตนฌาน) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๑๓/๑๗๙. อากาสานัญจาย
๘๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง
ตนฌาน หมายถึง ฌานทก่ี าหนดอากาศคือช่องว่างอนั หาท่ีสุดมิได้เป็นอารมณ์ เป็นข้ันที่
๑ ของอรูปฌาน ๔ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๔๑๔/๓๐.
อากิญฺจญฺ ายตนฌาน (อากิญจัญญายตนฌาน) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๑๓/๑๗๙. อากิญจัญญายตน
ฌาน หมา ยถึง ฌา นที่กา หนด ภา วะอัน ไม่มีอะไ ร (ความว่า ง) เป็น อา รมณ์
อากญิ จญั ญายตนฌาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สัญญัคคะ (ท่ีสุดแห่งสัญญา) เพราะเป็น
ภาวะสดุ ท้ายของการมีสัญญา กล่าวคอื ผ้บู รรลุอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ข้ันต่อไปจะ
เข้าถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌานบ้าง เขา้ ถึงสญั ญานโิ รธบา้ ง ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๑๔/
๓๐.
อาทิกลยฺ าณ (ธรรมมคี วามงามในเบอ้ื งต้น) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๙๐/๖๔. ธรรมมีความงามในเบ้ืองต้น
หมายถงึ ศีล ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๐/๑๕.
อามกธญฺ (ธัญญาหารดิบ) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๐/๔. ธัญญาหารดิบ หมายถึง ธัญญชาติท่ีมีเมล็ดมี
เปลอื กสมบรู ณ์ พรอ้ มท่จี ะงอกได้ เช่นข้าวเปลือก ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๐/๗.
อามิส (อามิส) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๒/๖. อามิส คอื วตั ถเุ คร่ืองลอ่ ใจ เช่นเงินทองเป็นต้น ในที่นี้หมายถึง
เครอ่ื งปรุงอาหาร ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๘.
อาสนทฺ ิปญจฺ ม (มีเตียงนอนเป็นที่ ๕) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๗๑/๕๗. มเี ตียงนอนเปน็ ท่ี ๕ หมายถึง เวลา
หามศพจะใชบ้ รุ ษุ ๔ คนเดินหามเตียงนอนไป ฉะน้ัน จึงชื่อว่า มีเตียงเป็นที่ ๕ ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๕.
อินฺทฺรยิ (อนิ ทรยี ์) ที.สี. (ไทย) ๙/๑๙๓/๖๕. อนิ ทรยี ์ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๑๙๓/๑๖.
อุจฺเฉทวาท (อจุ เฉทวาทะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๘๔/๓๔. อุจเฉทวาทะ ในที่นี้หมายถึงลัทธิท่ีถือว่าตาย
แลว้ ไมเ่ กดิ อีก เปน็ แนวคิดเชงิ วตั ถนุ ิยม ลัทธนิ ท้ี าให้หมกมุ่นใน กามสุข ที.สี.อ. (บาลี) ๑/
๘๔/๑๑.
อุตฺตริมนุสฺสธมฺม (อุตตรมิ นุสสธรรม) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๘๑/๒๑๒. อตุ ตรมิ นุสสธรรม คือธรรมยวดยิ่ง
ของมนุษย์, ธรรมของมนษุ ย์ผู้ยอดย่ิง ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ
มรรคภาวนา การทาผลให้แจ้ง การละกิเลส ความที่จิตปลอดจากนิวรณ์ ความยินดีใน
เรือนว่าง วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๙๘/๑๘.
อุทยภทฺทกมุ าร (อทุ ัยภัทรกุมาร) ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๑/๕๑. อทุ ยั ภทั รกุมาร หมายถึงพระโอรสของ
พระเจา้ อชาตศัตรู ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๖๑/๑๓.
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๘๙
อปุ ฏฺ าก (พระพุทธอุปฏั ฐาก) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๓๖๐/๑๕๑. พระพุทธอุปัฏฐาก หมายถึงพระผู้รับใช้
พระพุทธเจา้ อรรถกถาอธบิ ายว่า คร้ังปฐมโพธิกาลไม่มีพระพุทธอุปัฏฐากประจา ฉะนั้น
บางคราวทา่ นพระนาคสมาละทาหน้าท่ี บางคราวท่านพระนาคิตะทาหน้าที่ บางคราว
ท่านพระอปุ วาณะทาหนา้ ท่ี บางคราวท่านพระสุนกั ขตั ตะทาหน้าท่ี บางคราวสามเณรจุน
ทะทาหน้าที่ บางคราวทา่ นพระสาคตะทาหน้าที่ บางคราวท่านพระเมฆิยะทาหน้าที่ ขุ.
อุ.อ. (บาลี) ๓๑/๒๓.
เอกสิก (เอกังสิกธรรม) ที.สี. (ไทย) ๙/๔๒๓/๑๘๖. เอกังสิกธรรม ในที่น้ีหมายถึงธรรมที่มีความ
ชดั เจน แน่นอน สามารถบอกได้ว่าเป็นอย่างน้ัน ไม่เป็นอย่างอื่น เช่นเหตุของทุกข์คือ
ตัณหาเทา่ นัน้ ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๒๓/๓๑.
โอปปาตกิ (สัตวท์ ่เี กดิ ผดุ ขน้ึ ) ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๑/๕๖. สัตว์ท่ีเกิดผุดข้ึน ในที่น้ีหมายถึงสัตว์ที่เกิด
และเตบิ โตเต็มท่ีทนั ที และเม่ือจตุ ิ (ตาย) ก็หายวับไป ไม่ทิ้งซากศพไว้ เช่น เทวดา สัตว์
นรก ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๔.
โอปปาติก (สัตวท์ ่ีผดุ เกดิ ) ที.สี. (ไทย) ๙/๖๕/๒๗. สตั วท์ ่ีผดุ เกิด ในที่น้ีหมายถึงโอปปาติกะ คือสัตว์
ทเ่ี กดิ และเติบโตเตม็ ที่ทนั ที และเมื่อจตุ ิ(ตาย) ก็หายวับไปไมท่ ้ิงซากศพไว้ เช่น เทวดาและ
สตั ว์นรก เป็นตน้ ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๗๑/๑๔.
โอปปาตกิ (โอปปาติกะ) ที.สี. (ไทย) ๙/๓๗๓/๑๕๖. โอปปาติกะ ในที่นี้หมายถึงไปเกิดในสุทธาวาส
ภพใดภพหนง่ึ ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๓๗๓/๒๘.
๙๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก
พระสุตตนั ตปฎิ กเล่มที่ ๑๐
กฏฺ ก (กฏั ฐกะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๗๐. กัฏฐกะ เรยี กอกี ช่ือหนึ่งว่า กถกะ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๓๔๐/๓๐.
กณฺหสกุ กฺ สปฺปฏภิ าค (ส่งิ ขาวสิ่งดาและส่ิงมสี ว่ นเปรยี บ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๘/๒๒๑. ส่ิงขาวส่ิง
ดาและสง่ิ มีส่วนเปรียบ ในที่นี้หมายถึงสิ่งท้ังหลายยกเว้นนพิ พาน เรียกว่า ส่ิงมีสว่ นเปรียบ
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๘๘/๒๕.
กทรยิ ตา (กทริยตา) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๑๒/๒๔๓. กทรยิ ตา ในที่นี้หมายถึงความตระหนี่จัด ที.ม.อ.
(บาลี) ๒/๓๒๐/๒๗.
กปฺป (กปั ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๗/๑๑๒. กัป ในท่นี ห้ี มายถงึ อายกุ ัป คือช่วงอายขุ องคนแต่ละยุค ใน
ยุคของพระพุทธเจา้ ของเรา อายุกปั ของคน = ๑๐๐ ปี ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๖๗/๑๕.
กรณุ าฌาน (กรุณาฌาน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๒๐/๒๔๘. กรุณาฌาน หมายถึงฌานที่ประกอบด้วย
วิหารธรรม ๔ ประการ อนั บคุ คลเจรญิ โดยมกี รณุ าเปน็ ตวั นา ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๑๗/๒๗.
กเรริกุฎิก (กเรริกฎุ ี) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑/๑. กเรรกิ ฎุ ี เป็นชื่อของกุฎีใหญ่หลังหนึ่งในพระเชตวัน ใน
บรรดากุฎีใหญ่ ๔ หลัง คือ กเรริกุฎี โกสัมพกุฎี คันธกุฎี สฬลฆรกุฎี ที่ชื่อว่ากเรริกุฎี
เพราะตัง้ อยู่ใกลก้ เรรมิ ณฑป ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑.
กเรรมิ ณฺฑปมาฬ (กเรรมิ ณฑป) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑/๑. กเรริมณฑป หมายถึงเรือนยอดส่ีเหลี่ยมท่ี
สร้างด้วยไม้กุ่มน้า ตั้งอยู่ระหว่างพระคันธกุฎีกับหอน่ัง หอนั่ง แปลจากคาว่า กเร
ริมณฺฑลมาเฬ ในทีน่ ี้หมายถึงศาลาสาหรับน่ัง (นิสีทนสาลา) เป็นศาลาทรงกลมที่สร้าง
ย่อส่วนจากเรือนยอด ไมม่ ีฝา บางทีคาว่า มณฑฺ ลมาฬ ท่านใช้รวมถึงบริเวณพระคันธกุฎี
กเรรกิ ฎุ ีและหอนั่ง ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๒/๑.
กามตณฺหา (กามตัณหา) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๒/๖๔. กามตัณหา (ความทะยานอยากในกาม) ในที่น้ี
หมายถงึ ราคะทเ่ี น่อื งด้วยกามคณุ ๕ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๑๒/๙.
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๙๑
กามพนฺธน (กามพนั ธน์) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๔/๒๘๒. กามพันธน์ หมายถึงกามราคะ ซ่ึงมชี ื่อต่าง ๆ
เชน่ โยคะ คันถะ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๔/๓๒. และ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๒/๔.
กามสญฺโ ชน (กามสังโยชน์) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๔/๒๘๒. กามสังโยชน์ หมายถึงกามราคะ ซ่ึงมี
ชอ่ื ต่าง ๆ เชน่ ฉันทะ ราคะ ฉนั ทราคะ ท.ี ม.ฏีกา (บาล)ี ๓๕๔/๓๑.
กายสงฺขาร (กายสงั ขาร) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๘/๒๒๐. กายสังขาร แปลว่าสภาพปรุงแต่งกาย คือ
ลมหายใจเขา้ -ออก ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๔๕๗/๒๕.
กุโตมุข (หันหน้าไปทางไหน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๓/๒๘๐. หันหน้าไปทางไหน หมายถงึ ใจลอยหรือ
นอนหลับในขณะท่พี ระพทุ ธเจา้ แสดงธรรมเฉพาะหน้า ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๕๓/๓๒.
กุสล (กุศล) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐. กุศล หมายถงึ กศุ ลท่ีเป็นไปในภูมิ ๔ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๙๐/
๗๖, ท.ี ม.ฏกี า (บาล)ี ๙๐/๙.
ขีณาสว (พระขีณาสพ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๐/๔. พระขีณาสพ หมายถึงผู้สิ้นอาสวะ ๔ คือ กามา
สวะ (อาสวะคือกาม) ภวาสวะ (อาสวะคือภพ) ทิฏฐาสวะ (อาสวะคือทิฏฐิ) อวิชชาสวะ
(อาสวะคืออวิชชา) ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๖/๔.
ขลี (กเิ ลสดังตะปู) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๓๒/๒๖๐. กิเลสดังตะปู ในท่ีน้ีหมายถึงราคะ โทสะ และ
โมหะ กเิ ลสดังล่มิ สลัก และกิเลสดงั เสาเขื่อน ก็มนี ัยเชน่ เดียวกัน ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓๒/
๒๙.
ขุททฺ านขุ ทุ ทฺ กสิกฺขาปท (สกิ ขาบทเล็กน้อย) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๕. สิกขาบทเล็กน้อย พระ
สงั คีตกิ าจารย์ในทปี่ ระชมุ สงั คายนาครั้งแรกมคี วามเหน็ ตา่ งกันเป็น ๕ พวก คอื พวกที่ ๑
เห็นว่า นอกจากปาราชิก ๔ สิกขาบทอื่นจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย พวกที่ ๒ เห็นว่า
นอกจากปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ สิกขาบทอื่นจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พวกที่ ๓ เหน็ ว่า นอกจากปาราชกิ ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐
สกิ ขาบทอ่ืนจัดเป็นสกิ ขาบทเล็กนอ้ ย พวกท่ี ๔ เหน็ ว่า นอกจากปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส
๑๓ อนิยต ๒ นสิ สคั คยี ปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตยี ์ ๙๒ สกิ ขาบทอื่นจดั เปน็ สิกขาบทเล็กน้อย
พวกที่ ๕ เห็นว่า นอกจากปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐
ปาจติ ตยี ์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบทอื่นจดั เปน็ สิกขาบทเลก็ น้อย ในบรรดาความเห็น
เหล่าน้ี ไม่มคี วามเห็นใดไดร้ บั การยอมรบั เปน็ เอกฉันท์ ฉะนั้น ที่ประชุมจึงมีมติไม่ให้ถอน
ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๑๖/๒๐.ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๑/๓๘๒.
๙๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง
คติ (คติ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๓/๑๕. คติ มีความหมายหลายนยั คอื ทที่ ส่ี ัตว์จะไปเกิด อัธยาศัย ที่พ่ึง
ความสาเรจ็ ในทนี่ ้ีหมายถงึ ความสาเรจ็ คือบรรลผุ ลตามจุดหมาย ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓/
๓.
คมฺภรี (ลกึ ซึ้ง) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๕/๕๗. ลึกซง้ึ หมายถงึ ลกึ ซ้ึงโดยอาการ ๔ คือ อรรถ (ผล) ธรรม
(เหตุ) เทศนา (วธิ กี ารแสดง) ปฏิเวธ (การบรรล)ุ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๙๕/๙.
โควินฺท (โควินทะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๐๕/๒๓๘. โควินทะ ไม่ใชช่ อื่ ตัว เปน็ ชอ่ื ตาแหนง่ หรอื ฐานันดร
ศกั ดข์ิ องผดู้ ารงตาแหนง่ ปโุ รหติ เช่นเดยี วกบั ชาณุโสณิ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๐๔/๒๗.
จกขฺ ุม (มพี ระจกั ษุ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๓๒/๒๖๐. มีพระจักษุ หมายถึงมีพระจักษุ ๕ คือ มังสจักขุ
(ตาเน้ือ) ทพิ พจักขุ (ตาทพิ ย์) ปัญญาจกั ขุ (ตาปัญญา) พุทธจกั ขุ (ตาพระพุทธเจ้า) สมันต
จกั ขุ (ตาเห็นรอบ) ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๑/๕๕, ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๘๖/๑๖๙, ๓๓๔/๓๐๐-
๓๐.
จตเุ ทวปตุ ฺต (เทพบุตร ๔ องค์) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๙/๑๑. เทพบุตร ๔ องค์ ในท่ีน้ีหมายถึงท้าว
มหาราช ๔ องค์ คือ ท้าวธตรฐ จอมคนธรรพ์ครองทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก จอม
กมุ ภณั ฑ์ครองทิศใต้ ท้าววริ ูปักษ์ จอมนาคครองทศิ ตะวันตก ท้าวเวสวัณ จอมยักษ์ครอง
ทิศเหนอื ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๒๙๔/๒๖๐, ท.ี ม.ฏีกา (บาล)ี ๑๙/๓.
จติ ฺตสงฺขาร (จิตตสงั ขาร) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๘/๒๒๐. จติ ตสังขาร แปลว่าสภาพปรุงแต่งจิต คือ
เวทนา สญั ญา ม.ม.ู อ. (บาลี) ๒/๔๕๗/๒๕.
จิตฺตเสน (จิตตเสนะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๓๗/๒๖๕. จติ ตเสนะ เป็นชือ่ เทวบุตรพวกคนธรรพ์ ๓ องค์
คือ จติ ตะ เสนะ จิตตเสนะ ท.ี ม.ฏกี า (บาล)ี ๓๓๗/๓๐.
จณุ ฺณ (จุรณ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๑๕/๓๔๗. จุรณ ในท่ีนี้หมายถงึ เครอ่ื งหอมทเี่ ปน็ ผงละเอียดอาจทา
เป็นก้อนเก็บไวใ้ ชไ้ ด้ทกุ เวลา ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๗๙/๓๘.
เจโตปริย าณ (เจโตปรยิ ญาณ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๔๕/๙๑. เจโตปรยิ ญาณ หมายถึงปรีชากาหนดรู้
ใจผู้อื่นได้ คือ รู้ใจผอู้ ่ืน อา่ นความคิดของเขาได้ เช่นรวู้ า่ เขากาลังคิดอะไรอยู่ ใจเขาเศร้า
หมองหรอื ผ่องใส เป็นต้น ที.สี. (ไทย) ๙/๒๔๒/๘๑, ๔๗๖/๒๑๓-๒๑.
ฉนทฺ นิทาน (มีฉนั ทะเปน็ ต้นเหตุ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๘/๒๘๖. มีฉันทะเป็นต้นเหตุ คือความพอใจ
แตใ่ นทน่ี ห้ี มายถงึ ความไมร่ ูจ้ ักอม่ิ คอื ตัณหา มี ๕ อยา่ งคือ ปรเิ ยสนฉนั ทะ (ความไม่อิ่มใน
การแสวงหา) ปฏลิ าภฉนั ทะ (ความไมอ่ ิ่มในการไดม้ า) ปริโภคฉนั ทะ (ความไม่อ่ิมในการใช้
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๙๓
สอย) สันนิธิฉันทะ (ความไม่อิ่มในการกักตุน) วิสัชชนฉันทะ (ความไม่อิ่มในการจ่าย
ทรัพย์) ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓๘/๓๓๕-๓๓.
ฉนิ ฺนปปญฺจ (ธรรมเครือ่ งเนิน่ ชา้ ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓/๖. ธรรมเคร่ืองเน่ินช้า ได้แก่ กิเลส ๓ คือ
ตัณหา มานะ ทิฏฐิ หรือกเิ ลสวฏั ฏะ (วงจรกเิ ลส) ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓/๒.
ฉินนฺ วฏุม (ผตู้ ัดทางได้แลว้ ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓/๖. ผู้ตัดทางไดแ้ ลว้ คือ ทางแหง่ กศุ ลกรรม (กรรม
ด)ี และ อกศุ ลกรรม (กรรมช่วั ) หรอื กรรมวัฏฏะ (วงจรกรรม) ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓/๒.
ชนตา (ผู้นาหมู่) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๐/๔๐. ผู้นาหมู่ หมายถึงสามารถนาเวไนยสัตว์ข้ามทางกันดาร
คือชาติเป็นต้นได้ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๗๐/๖.
ชนวสภ (ชนวสภะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๐/๒๑๐. ชนวสภะ แปลว่าผเู้ จริญทสี่ ดุ ในหมู่ชน เพราะเป็น
ผู้นาประชาชนฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้วบรรลุพระโสดาบัน จานวน
๑๑๐,๐๐๐ คน ยักษน์ ี้ คือพระเจ้าพมิ พิสาร ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๘๐/๒๔.
ชุติมนฺต (มีความรุ่งเรือง) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๓๕/๒๖๒. มีความรุ่งเรือง หมายถึงประกอบด้วย
อานุภาพ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓๕/๓๐.
ฌายี (เข้าฌาน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๗/๒๗๔. เข้าฌาน หมายถึงการเพ่งพินิจด้วยจิตที่เป็นสมาธิ
แน่วแน่ ในทีน่ ้ีมุง่ ถงึ ฌาน ๒ คือ อารมั มณูปนิชฌาน (การเพ่งอารมณ์ ไดแ้ ก่ สมาบัติ ๘ คอื
รปู ฌาน ๔ และอรปู ฌาน ๔) ลักขณปู นิชฌาน (การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค
และผล) ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๔๗/๓๑.
ญาณทสฺสน (ญาณทสั สนะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๙/๒๒๓. ญาณทัสสนะ ในทนี่ ี้หมายถึงความรู้และ
ความเห็นตามความเป็นจริง อาจเรียกว่า มรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ
ปจั จเวกขณญาณ หรอื วิปัสสนาญาณ กไ็ ด้ ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๒/๒๓๔/๑๙.
ญาย (ญายธรรม) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. ญายธรรม หมายถึงอริยมรรค ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๒๑๔/๑๙.
ตกิ ขฺ ินทฺ ฺรยิ (มีอนิ ทรยี แ์ กก่ ล้า) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๖๙/๓๙. มีอินทรีย์แก่กล้า หมายถึงมีอินทรีย์ ๕
บริบรู ณ์ คือ สทั ธา (ความเช่อื ) วิรยิ ะ (ความเพยี ร) สติ (ความระลกึ ได)้ สมาธิ (ความต้ังจิต
ม่นั ) ปญั ญา (ความรูท้ ว่ั ) ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๖๙/๖.
ติรยิ (ทศิ เบอื้ งล่าง) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๖๑/๑๙๔. ทศิ เบ้ืองลา่ ง หมายถึงนรกและนาค วิสุทฺธิ.มหา-
ฏีกา (บาลี) ๑/๒๕๔/๔๓.
๙๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
เถร (เปน็ เถระ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๖/๘๒. เป็นเถระ ในท่นี ี้หมายถงึ เปน็ ผมู้ ีความม่ันคง (ถิรภาวะ)
ในพระศาสนา ไม่หวนคืนไปส่เู พศคฤหสั ถอ์ กี ประกอบดว้ ยคุณธรรมทีใ่ หเ้ ป็นพระเถระคือ
ศลี เป็นต้น
ทสโลกธาตุ (๑๐ โลกธาตุ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗/๑๑. ๑๐ โลกธาตุ ในที่นี้เท่ากับหมื่นจักรวาล ซึ่ง
ตรงกบั ๑๐ สหัสสโี ลกธาตุ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓๑/๒๙.
ทสสหสฺสีโลกธาตุ (๑๐ สหัสสโี ลกธาตุ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗/๑๑. ๑๐ สหัสสีโลกธาต บางทีใช้ว่า
โลกธาตุ ดังท่ปี รากฏในมหาสมยสตู ร (บาลี) ที.สี. ๑๐/๓๓๑/๒๑๖ ตอนหนึ่งว่า ทสหิ จ
โลกธาตหู ิ เทวตา หมายถึงเหลา่ เทวดาจาก ๑๐ โลกธาตุ
ทวฺ าทสโปริส (๑๒ ชั่วบรุ ษุ ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๔๒/๑๘๒. ๑๒ ชั่วบุรษุ ในท่ีน้ีหมายถึงช่ือมาตราวัด
โบราณ ๑ ชัว่ บุรษุ เท่ากบั ๕ ศอก ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๔๑-๒๔๒/๒๒.
ธมฺม (ธรรม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๔/๑๑๐. ธรรม ในที่น้ีหมายถึงสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น ที.ม.อ.
(บาลี) ๒/๑๖๔/๑๔.
ธมมฺ (ธรรม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๗/๒๙๕. ธรรม ในที่นี้หมายถึงวัตตบท ได้แก่ ข้อท่ีถือปฏิบัติ
ประจาที่ทาให้มฆมาณพได้เป็นท้าวสกั กะจอมเทพ มี ๗ อย่าง คือ มาตาเปติภโร (เล้ียง
มารดาบดิ า) กุเลเชฏาฺ ปจายี (เคารพผ้ใู หญใ่ นตระกลู ) สณหฺ วาโจ (พูดคาสภุ าพออ่ นหวาน)
อปิสณุ วาโจ หรอื เปสุเณยยฺ ปฺปหายี (ไม่พูดส่อเสียด พูดสมานสามัคคี) ทานสวิภาครโต
หรือ มจฺเฉรวินโย (ยนิ ดีในการแจกทาน ปราศจากความตระหน่ี) สจจฺ วาโจ (มีวาจาสัตย์)
อโกธโน หรอื โกธาภิภู (ไมโ่ กรธ ระงับความโกรธได้) ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๗/๓๕.
ธมมฺ ทาส (แวน่ ธรรม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๘/๑๐๓. แว่นธรรม หมายถึงหลักธรรมเป็นเคร่ืองส่อง
ตนเองจนสามารถพยากรณต์ นได้ ในทีน่ ี้ ไดแ้ ก่ อริยมรรคญาณ ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๑๕๘/
๑๗. ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๐๔/๕๒๘-๕๒๙.
ธมมฺ ธร (ทรงธรรม) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๗/๑๓๕. ทรงธรรม หมายถึงพระสุตตันตปิฎกและพระ
อภิธมั มปิฎก องฺ.ตกิ .อ. (บาลี) ๒/๒๐/๙๘, องฺ.ตกิ .ฏีกา (บาล)ี ๒/๒๐/๑๑.
ธมฺมมยปาสาท (ปราสาทคือธรรม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๐/๔๐. ปราสาทคือธรรม ในที่นี้หมายถึง
ปัญญา หรอื โลกุตตรธรรม ท.ี ม.อ. (บาลี) ๗๐/๖๖, ที.ม.ฏีกา. (บาลี) ๗๐/๘.
ธมฺมสมย (ธรรมสมยั ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๓๑/๒๕๙. ธรรมสมัย ในทนี่ ี้หมายถึงสถานที่ท่ีประชุมเพื่อ
ฟงั ธรรม ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๓๒/๒๙.
พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๙๕
ธมฺมานธุ มมฺ ปฏิปนฺน (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๙๙/๑๔๘. ปฏิบัติธรรม
สมควรแกธ่ รรม หมายถึงการปฏิบัติหลักเบื้องต้นมีศีลเป็นต้น ให้สอดคล้องกับโลกุตตร
ธรรม ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๙๙/๑๘.
นกมฺมาราม (ไม่ชอบการงาน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๗/๘๓. ไม่ชอบการงาน ในที่นี้หมายถึงไม่
เพลดิ เพลินอยู่ด้วยการทางานท้ังวัน เช่น การทาจีวร การทาผ้ากรองน้า จนไม่มีเวลา
บาเพญ็ สมณธรรม ถา้ ท่านรจู้ กั แบ่งเวลา ถงึ เวลาเรียนก็เข้าเรียน ถึงเวลาสวดมนต์ก็สวด
ถงึ เวลาเจรญิ ภาวนาก็เจริญ ไมถ่ อื วา่ ชอบการงาน ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๗/๑๒.
นภสสฺ ราม (ไม่ชอบการพูดคุย) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๗/๘๓. ไม่ชอบการพูดคุย หมายถึงไม่ชอบ
พดู คยุ เรอ่ื งนอกธรรมนอกวินยั ตลอดท้งั วัน เชน่ เรอื่ งผ้หู ญิง ถา้ สนทนาธรรมเพอ่ื แก้ปัญหา
ไม่ถอื วา่ ชอบการพูดคุย ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๗/๑๒.
นาค (พระนาคะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๗๐. พระนาคะ เป็นพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า
เพราะไมท่ าความชว่ั ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๔๐/๓๐.
นาคาปโลตกิ (อยา่ งช้างมอง) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๖/๑๓๒. อย่างช้างมอง หมายถึงทรงหนั พระองค์
กลบั หลงั อย่างทพ่ี ญาช้างมอง คอื พญาชา้ งไมอ่ าจจะเอ้ียวคอ มองข้างหลัง ต้องหันกลับ
ท้ังตัวฉนั ใด พระผ้มู พี ระภาคก็ฉันน้นั เพราะพระอัฏฐิกา้ นพระศอเป็นชิ้นเดียวกัน ไม่มีข้อ
ต่อจึงไม่อาจจะเอ้ยี วพระศอมองขา้ งหลังได้ แตจ่ ะไม่เหมือนกับช้างมอง เพราะมีพุทธานุ
ภาพ จึงทาให้แผ่นดนิ น้ีหมนุ ไปเหมอื นกับแปูน (กุลาลจกฺก) โดยทาพระผู้มีพระภาคให้มี
หนา้ ตรงต่อกรุงเวสาลี ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๘๖/๑๖.
นามกาย (นามกาย) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๔/๖๕. นามกาย หมายถึงนามขันธ์ ๔ คือ เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สงั ขารขันธ์ วิญญาณขนั ธ์ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๑๔/๙.
นมิ ิตฺต (นมิ ติ ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๔/๖๕. นิมิต หมายถึงเคร่ืองหมายแสดงถึงลักษณะเฉพาะของ
นามขนั ธ์แต่ละอยา่ ง ที.ม.ฏีกา (บาล)ี ๑๑๔/๑๒.
นฺหาตกพฺราหฺมณ (พราหมณ์นหาดก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๑๑/๒๔๓. พราหมณ์นหาดก ในท่ีน้ี
หมายถึงพราหมณท์ ี่สาเรจ็ การศกึ ษา และได้ผ่านพิธีอาบน้าเสรจ็ แลว้ (พน้ จากอาศรมท่ี ๑
คอื พรหมจารแี ลว้ เข้าสอู่ าศรมที่ ๒ คือคฤหสั ถ์ ตามคติของพราหมณ์) ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๓๑๑/๒๗.
ปญฺจงคฺ ิกตรุ ยิ (ดนตรเี คร่ืองห้า) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๔๒/๑๘๒. ดนตรีเคร่ืองห้า คือ อาตฏะ กลองที่
ห้มุ หนงั หน้าเดียว (เช่น กลองยาว) วิตฏะ กลองหุม้ ทงั้ ๒ หน้า (เชน่ ตะโพน) อาตฏวิตฏะ
๙๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
กลองหุ้มหนังโดยรอบ (เช่น บัณเฑาะว์) สสุ ริ ะ เคร่ืองเปุา (เช่น ป่ีและสังข์) ฆนะ เคร่ือง
ประโคม (เช่น ฉาบฉง่ิ ) ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๔๒/๒๒.
ปญฺจสิขคนฺธพฺพปุตตฺ (ปญั จสขิ ะ คันธรรพบุตร) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๕/๒๗๓. ปัญจสิขะ คันธรรพ
บตุ ร เป็นเทพบตุ รองคห์ นง่ึ ในพวกคนธรรพ์ ซง่ึ เปน็ บริวารของทา้ วธตรฐมหาราช และเป็น
ผูร้ ับใช้พระทศพล สามารถเข้าเฝูาทูลถามปัญหา ขอสดับพระธรรมเทศนาได้ทุกขณะท่ี
ตอ้ งการท้าวสกั กะ จอมเทพจงึ ชวนท่านไปพร้อมกนั เพือ่ จะได้ทลู ขอพระวโรกาสกับพระผู้
มีพระภาคแล้วทลู ถามปัญหาตอ่ ไป ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๔๕/๓๑.
ปฏิจฺจสมปุ ฺปาท (ปฏิจจสมปุ บาท) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๖๔/๓๖. ปฏิจจสมุปบาท หมายถึงสภาวธรรมที่
เป็นปัจจัย และสภาวธรรมท่ีอาศัยปัจจัยเกิดข้ึนอันเป็นกระบวนการทางปัจจัยภาพ
(causality) ซ่งึ เปน็ สภาวะท่ีดารงอยูอ่ ยา่ งนน้ั แมว้ า่ พระตถาคตจะเสด็จอุบัติขึ้นหรือไม่ก็
ตาม เชน่ ชรามรณะมี เพราะชาตเิ ปน็ ปัจจยั ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๘, ส.นิ.อ. (บาลี) ๒/
๒๐/๔๖-๔.
ปฏิสลลฺ าน (การหลกี เรน้ ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๔/๗. การหลีกเร้น ในท่ีนี้หมายถึงผลสมาบัติ ที.ม.อ.
(บาลี) ๒/๑๔/๒๑, อง.ฺ จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๓๐/๓๒.
ปฏิสลลฺ ีน (หลกี เร้น) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๕๖/๓๑. หลกี เรน้ หมายถึงจิตตวิเวก ที.ม.ฏีกา (บาล)ี ๕๗/๕.
ปฏโิ สตคามี (พาทวนกระแส) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๖๕/๓๗. พาทวนกระแส ในพระวินัยหมายถึงพา
เข้าถงึ พระนพิ พาน ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๗/๑.
ปฐวปี วีสญฺ นี (กาหนดแผ่นดินข้นึ บนแผ่นดนิ ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๐๑/๑๕๐. กาหนดแผ่นดินขึ้น
บนแผ่นดิน หมายถึงเนรมิตแผ่นดินข้ึนบนแผ่นดินปกติ เพราะแผ่นดินปกติหยาบไม่
สามารถจะรองรับเทวดาซึง่ มรี า่ งกายละเอยี ดได้ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๐๑/๑๘.
ปธานสงฺขาร (ปธานสังขาร) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๗/๒๑๘. ปธานสังขาร ได้แก่สังขารซึ่งเป็น
ประธาน เปน็ ช่อื หนึ่งของสมั มัปปธานท่ีให้สาเร็จกิจ ๔ ประการ คือ สังวรปธาน ปหาน
ปธาน ภาวนาปธาน อนรุ กั ขนาปธาน ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๘๗/๒๕๒-๒๕.
ปปญฺจสญฺ าสงฺขานิทาน (มีแงต่ า่ งแห่งปปัญจสัญญาเป็นต้นเหตุ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๘/๒๘๖.
มแี งต่ า่ งแห่งปปัญจสัญญาเปน็ ต้นเหตุ แยกอธิบายตามศพั ทไ์ ดด้ งั น้ี แงต่ า่ ง แปลจากคาว่า
สงขฺ า คือส่วนต่าง ๆ หมายถึงส่วนต่าง ๆ แห่งปปัญจสัญญา ปปัญจะ หมายถึงปปัญจ
ธรรม ซ่งึ แปลว่า ธรรมเคร่ืองเนน่ิ ช้า ได้แก่ ตณั หาวจิ ริต ๑๐๘ มานะ ๙ และทิฏฐิ ๖๒ ซึ่ง
เปน็ เหตใุ ห้มีความประมาทมัวเมา มีความประมาท มวั เมาในความเป็นหนุ่มสาว ในความ
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๙๗
ไม่มโี รค และในชีวติ ปปญั จสัญญา หมายถึงสญั ญา (ความกาหนดหมาย) ที่ประกอบด้วย
ปปญั จธรรม คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ แต่ในท่ีนห้ี มายเอาเพียงตณั หาเท่านั้น ดงั นนั้ คา
ว่า แงต่ ่างแหง่ ปปัญจสญั ญา จึงหมายถงึ การคิดปรุงแต่งอารมณต์ ่าง ๆ ดว้ ยอานาจตัณหา
มานะ และทิฏฐิของตน ๆ จึงเกิดแง่ต่าง ๆ หรือมุมมองที่แตกต่างกันท้ัง ๆ ที่คิดเรื่อง
เดยี วกนั ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๕๘/๓๓๖, ที.ม.ฏกี า (บาล)ี ๓๕๘/๓๒๑-๓๒.
ปรปฺปวาท (ปรัปวาท) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๘/๑๑๔. ปรัปวาท ในท่นี ้หี มายถึงวาทะ หรือลัทธิต่าง ๆ
ของเจา้ ลทั ธิอนื่ นอกพระพทุ ธศาสนา ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๓๗๔/๓๗๕, ข.ุ ม.อ. (บาลี) ๑/๓๑/
๒๓.
อภภิ ายตน (อภภิ ายตนะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗๓/๑๒๐. อภิภายตนะ หมายถึงเหตุครอบงาเหตุที่มี
อทิ ธพิ ล ไดแ้ ก่ญาณหรอื ฌานทเ่ี ป็นเหตุครอบงานิวรณ์ ๕ และอารมณ์ท้ังหลาย คานี้มา
จาก อภิภู + อายตนะ ท่ีช่ือวา่ อภิภู เพราะครอบงาอารมณ์ และที่ชื่อว่าอายตนะ เพราะ
เปน็ ทเ่ี กดิ ความสุขอันวเิ ศษแก่พระโยคีทัง้ หลาย เพราะเปน็ มนายตนะ และธมั มายตนะ ที.
ม.อ. (บาลี) ๒/๑๗๓/๑๖๔.
ปรินิพฺพตุ (ปรินพิ พาน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๖/๑๓๓. ปรินิพพาน ในท่นี ี้หมายถึงดับกิเลสได้สิ้นเชิง
ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๘๖/๑๖.
ปริยาทินนฺ วฏฺฏ (ผู้ตัดวัฏฏะไดแ้ ลว้ ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๓/๖. ผู้ตัดวัฏฏะได้แล้ว หมายถึงสังสารวัฏ
คือการเวียนวา่ ยตายเกดิ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๑๖/๑๐.
ปรโิ ยทาต (ผดุ ผ่องยงิ่ นัก) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๙๕/๑๔๔. ผดุ ผอ่ งยงิ่ นกั หมายถงึ พระฉวีวรรณผุดผ่อง
ใน ๒ คราวน้ันเกดิ จากเหตุ ๒ อยา่ ง คือ อาหารพเิ ศษ โสมนสั อยา่ งแรงกล้า ที.ม.อ. (บาลี)
๒/๑๙๕/๑๗.
ปหติ ตฺต (อทุ ศิ กายและใจ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๕/๑๖๔. อุทิศกายและใจ ในท่ีน้ีหมายถึงมุ่งท่ีจะ
บรรลอุ รหัตผล โดยไมห่ ว่ งอาลยั ตอ่ รา่ งกายและชวี ิตของตน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๒๐๔/๑๙๐,
สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๒๔๓/๓๕.
ปญฺ าวมิ ุตตฺ (ผเู้ ปน็ ปัญญาวิมุต) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๘/๗๕. ผู้เป็นปัญญาวิมุต หมายถึงหลุดพ้น
ด้วยกาลังปัญญา โดยไม่ไดบ้ รรลสุ มาธิชน้ั สูงคอื วโิ มกข์ ๘ ท.ี ม.ฏีกา (บาล)ี ๑๒๘/๑๔.
ปาติโมกฺข (ปาติโมกข์) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐. ปาติโมกข์ ในที่นี้มิได้หมายถึงอาณาปาติโมกข์
(ประมวลพุทธบญั ญัตทิ ี่ทรงตั้งขน้ึ เป็นพุทธอาณา ได้แก่ อาทิพรหมจริยกสิกขา ที่มีพระ
พุทธานุญาตให้สวดในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน) แต่หมายถึงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่ง
๙๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
ประกอบด้วยคาถา ๓ คาถามี ขนฺตี ปรม ตโป ตีติกฺขา เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าแต่ละ
พระองคท์ รงแสดงเอง ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๙๐/๗๖, ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๑๙/๑๙๐-๑๙.
ปาป (บาป) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐. บาป หมายถึงกรรมทม่ี ีโทษซ่ึงสหรคตด้วยอกุศลจิต ๑๒ ดวง
ที.ม.ฏกี า (บาล)ี ๙๐/๙.
ปกุ กฺ สุ (ปุกกุสะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๙๒/๑๔๑. ปุกกุสะ หมายถึง เจ้าปุกกุสะประกอบอาชีพเป็น
พอ่ คา้ เพชรพลอย ซ่งึ ถอื เปน็ ประเพณอี ย่างหน่งึ ของพวกเจา้ มัลละ ที่มีการผลัดเปล่ียนกัน
ครองราชย์ตามวาระ ส่วนผู้ท่ยี ังไม่ถึงวาระจะประกอบอาชีพทางการคา้ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๑๙๒/๑๗.
ปุญฺญภาค (เป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๐/๒๒๕. เป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ หมายถึง
บังเกิดแลว้ ดว้ ยสว่ นแหง่ บุญ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๙๐/๒๕.
ปณุ ฑฺ รกี มลู (ควงตน้ แคฝอย) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๘/๓. ควงต้นแคฝอย หมายถึงภายใต้บริเวณร่ม
แคฝอย ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๘/.
ปุตฺต (บุตร) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๗๐. บุตร ในที่น้ีหมายถึงพุทธบุตรผู้ที่เป็นอริยสาวกผู้เป็น
พรหม ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๔๑/๓๐.
ปุพเฺ พนวิ าส (ปุพเพนิวาส) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑/๑. ปุพเพนิวาส หมายถึงชีวิตในชาติก่อน คือการสืบ
ต่อของขันธท์ เ่ี คยเปน็ อยใู่ นชาตกิ อ่ นอาจ ๑ ชาติบา้ ง ๒ ชาติบา้ ง ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑.
ปรุ ินทฺ ท (ปุรินททะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๖๘. ปุรินททะ ตามคติของฮิน เป็นช่ือหนึ่งของพระ
อินทร์ แปลวา่ ผู้ทาลายเมอื ง (ปุรททะ) ตามคติพุทธศาสนา เป็นช่ือหน่ึงของพระอินทร์
แปลวา่ ผใู้ หท้ านในกาลก่อน (ปเุ ร ทาน ททาตีติ ปรุ ินฺทโท)
โปราณวชฺชิธมฺม (วัชชีธรรมที่วางไว้เดิม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๔/๗๙. วัชชีธรรมที่วางไว้เดิม
หมายถึงประเพณที ่สี ืบต่อกนั มานาน เชน่ จับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นโจร ผู้จับจะไม่สอบสวน
เอง แต่จะสง่ ให้ฝุายสอบสวน ฝาุ ยสอบสวนสืบสวนแล้วรู้ว่าไม่ใช่ก็ปล่อย ถ้ายังสงสัยก็ส่ง
ต่อขึ้นไปตามลาดบั ชนั้ บางกรณีอาจสง่ ถงึ เสนาบดี บางกรณีอาจส่งถึงพระราชาเพื่อทรง
วินิจฉยั ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๔/๑๑.
พลปปฺ ตตฺ (บรรลพุ ลธรรม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๒๐/๑๖๘. บรรลุพลธรรม หมายถึงมีพระกาลังอัน
เกิดจากฌาน ๑๐ ทเ่ี รียกว่า ทสพลญาณ หรอื ตถาคตพละ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๒๐/๒๐.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๙๙
พหิทฺธากาย (กายภายนอก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๔/๓๐๓. กายภายนอก ในที่นี้หมายถึงลมหายใจ
เขา้ ออกของผอู้ ่ืน ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๔/๓๗.
พหทิ ธฺ ากาย (กายภายนอก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. กายภายนอก ในท่นี ี้หมายถึงอิริยาบถ ๔
คือ ยืน เดนิ นั่ง นอน ในกายของผู้อน่ื ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๕/๓๘.
พหทิ ธฺ ากาย (กายภายนอก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๖/๓๐๕. กายภายนอก ในท่นี ้หี มายถึงสัมปชัญญะ
๔ ในกายของผู้อื่น ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๗๖/๓๘.
พหิทฺธากาย (กายภายนอก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๗/๓๐๗. กายภายนอก ในที่นี้หมายถึงอาการ ๓๒
มผี มเปน็ ตน้ ในกายของผ้อู ืน่ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๗/๓๘.
พหทิ ธฺ าธมฺม (ธรรมภายนอก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๓/๓๓๗. ธรรมภายนอก หมายถึงอริยสัจ ๔
ของผอู้ ืน่ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๐๓/๔๒.
พหทิ ธฺ าธมมฺ (ธรรมภายนอก) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๓/๓๑๙. ธรรมภายนอก หมายถึงขันธ์ ๕ ของ
ผูอ้ นื่ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๓/๓๙.
พหุสฺสุต (พหูสตู ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๘/๘๕. พหูสูต แปลว่า ผู้ฟังมามาก มี ๒ อย่าง คือ ปริยัตติ
พหูสูต (แตกฉานในพระไตรปิฎก) ปฏิเวธ พหูสูต (บรรลุสัจจะทั้งหลาย) พหูสูตในที่น้ี
หมายถงึ ปรยิ ัตตพิ หสู ูต ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๘/๑๓.
พาฬฺหเวทนา (ทกุ ขเวทนา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๔/๑๐๙. ทุกขเวทนา ในท่ีนี้หมายถึงความรู้สึก
เจ็บปวด เปน็ อาการของทุกขใ์ นไตรลักษณ์ซ่ึงเกดิ ขน้ึ ไดแ้ มแ้ ก่ผทู้ ่ีเป็นพระอรหนั ต์ มิใช่ทุกข์
ในปฏิจจสมปุ บาทหรือในอริยสัจ พระผมู้ พี ระภาคทรงขม่ ทกุ ขเวทนานดี้ ้วยความเพียร ที.
ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๔/๑๔๘-๑๔.
พทุ ฺธจกฺขุ (พระพทุ ธจกั ษุ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๖๙/๓๙. พระพุทธจกั ษุ หมายถึงอนิ ทริยปโรปรยิ ตั ิญาณ
คอื ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือ รู้ว่า สัตว์นั้น ๆ มี
ศรทั ธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา แค่ไหน เพยี งใด มกี ิเลสมาก กิเลสน้อย มีความพร้อมท่ี
จะตรสั ร้หู รอื ไม่ และอาสยานสุ ยญาณ คือปรชี าหย่ังรอู้ ธั ยาศัย ความมงุ่ หมาย สภาพจิต ท่ี
นอนอยู่ ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๑๑/๑๗๒-๑๗๓, ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๖๙/๖.
พฺรหมฺ กายิก (พวกเทพช้ันพรหมกายิกา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๗/๗๓. พวกเทพช้ันพรหมกายิกา
หมายถึงพรหมช้นั ปฐมฌาน ๓ ชัน้ คอื พรหมปาริสัชชา (พวกบริษัทบริวาร มหาพรหม)
พรหมปโุ รหิตา (พวกปโุ รหติ มหาพรหม) มหาพรหมา (พวกท้าวมหาพรหม) ที.ม.อ. (บาลี)
๒/๑๒๗/๑๐.
๑๐๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง
พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๘/๑๑๕. พรหมจรรย์ ในท่ีน้ีหมายถึงศาสน
พรหมจรรย์ คือ คาสง่ั สอนในพระพทุ ธศาสนาทั้งสิ้นที่รวมลงในไตรสิกขา ที.ม.อ. (บาลี)
๒/๑๖๘/๑๕.
พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๑/๒๒๖. พรหมจรรย์ ในท่ีนี้หมายถึงไตรสิกขา คือ
ศีล สมาธิ ปัญญา ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๙๒/๒๕.
พฺรหฺมเทยฺย (พรหมไทย) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๖/๓๔๑. พรหมไทย แปลว่า การให้อันประเสริฐ
หมายถึงส่งิ ที่พระราชาพระราชทานแล้ว จักไม่ยึดกลับคืนมาอีก ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๒๙/
๒๒.
โพธสิ ตตฺ (โพธิสัตว์) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗/๑๑. โพธิสัตว์ หมายถึงผู้บาเพ็ญมรรค ๔ เพื่อบรรลุโพธิ
ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๗/๒.
พหทิ ธฺ าเวทนา (เวทนาภายนอก) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๔. เวทนาภายนอก หมายถึงสุขเวทนา
เป็นต้นของผ้อู น่ื ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๐/๓๙๐, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๑๓/๒๙.
ภทฺทกปฺป (ภัทรกัป) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔/๒. ภทั รกัป คือ กปั ทเ่ี จรญิ หรอื ดีงาม เน่ืองจากเป็นกัปเดียว
ทมี่ ีพระพทุ ธเจา้ มาอบุ ัตถิ ึง ๕ พระองค์ ในท่นี ้ี หมายถึงกัปปจั จบุ นั นี้ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔.
ภวตณฺหา (ภวตัณหา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๒/๖๔. ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ) ในท่ีนี้
หมายถงึ ราคะในรปู ภพและอรปู ภพ, ราคะท่ีประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๑๑๒/๙.
ภวเนตฺติ (ภวเนตติ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๕/๙๙. ภวเนตติ หมายถึงตณั หานาไปส่ภู พ ตัณหาประดุจ
เชอื กซ่งึ สามารถนาสตั ว์ออกจากภพไปสู่ภพ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๕๕/๑๔๔, องฺ.จตุกฺก.อ.
(บาลี) ๒/๑/๒๗.
ภชุ สิ สฺ (เปน็ ไท) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๔๓/๘๙. เป็นไท ในที่นี้หมายถึงไม่เป็นทาสของตัณหา ที.ม.อ.
(บาล)ี ๒/๑๔๑/๑๓.
ภตู (ภตู ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๓/๒๗๒. ภูต ในทีน่ ีห้ มายถงึ พระอริยะในศาสนาของพระทศพล ท.ี ม.อ.
(บาล)ี ๒/๓๔๓/๓๑.
ภูริปญฺ า (พระผู้มีพระปญั ญากวา้ งขวางดุจแผ่นดนิ ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๒/๒๑๓. พระผู้มีพระ
ปัญญากว้างขวางดจุ แผน่ ดนิ ในทีน่ ี้หมายถึงพระพทุ ธเจ้า ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๕๕.
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๐๑
มกฏุ พนฺธนเจตยิ (มกุฏพันธนเจดีย์) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๒๘/๑๗๒. มกุฏพันธนเจดีย์ เป็นชื่อเรียก
ศาลามงคลซ่งึ เปน็ สถานทปี่ ระดบั เครอ่ื งทรงพระวรกายของพวกเจ้ามัลละ ในพระราชพิธี
ราชาภิเษก ท่เี รยี กวา่ เจดยี ์ เพราะเป็นสถานท่ีควรเคารพยาเกรง ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๒๘/
๒๐๔, ท.ี ม.ฏกี า (บาล)ี ๒๒๘/๒๓.
มคฺค (ทาง) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. ทาง หมายถึงทางดาเนินไปสู่พระนิพพาน หรือ ทางท่ีผู้
ต้องการพระนิพพานควรดาเนินไป ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๓/๓๖.
มญจฺ ก (เตยี ง) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๙๘/๑๔๗. เตียง ในทน่ี ีห้ มายถึงเตยี งสาหรับพักผ่อนของพวกเจ้า
มัลละ ที่มอี ยู่ในสาลวันนน่ั เอง ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๘/๑๗.
มนฺทวลาหก (เทพพวกมนั ทวลาหกะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๖๘. เทพพวกมันทวลาหกะ ในท่ีน้ี
หมายถงึ เทพ ๓ องค์ คือ วาตวลาหกเทพบุตร อัพภวลาหกเทพบตุ ร อณุ หวลาหกเทพบุตร
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๓๙/๓๐.
มหคคฺ ต (มหคั คตะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๖๑/๑๙๔. มหคั คตะ หมายถึงอารมณ์ท่ีถึงความเป็นใหญ่ชั้น
รูปาวจรและอรปู าวจร เพราะมผี ลท่ีสามารถข่มกิเลสได้ และหมายถงึ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ
และปญั ญาอันยง่ิ ใหญ่ อภ.ิ สงฺ.อ. (บาล)ี ๑๒/๙.
มหาวน (ปุามหาวนั ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๓๑/๒๕๙. ปุามหาวัน เป็นปุาท่ีเกิดเองตามธรรมชาติ อยู่
ติดกบั เทอื กเขาหมิ าลัย ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๓๑/๒๘.
มหาวิยูห (มหาวิยูหะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๕๗/๑๙๑. มหาวิยูหะ เปน็ ชื่อเรือนยอดหลังใหญ่ที่ทาด้วย
เงิน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๒๖๐/๒๔.
มหาสาล (มหาศาล) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๐/๑๕๘. มหาศาล หมายถึงผู้มีทรพั ย์มาก ขตั ตยิ มหาศาลมี
พระราชทรัพย์ ๑๐๐-๑,๐๐๐ โกฏิ พราหมณมหาศาล มที รพั ย์ ๘๐ โกฏิ คหบดมี หาศาลมี
ทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๑๐/๑๙.
มาติกาธร (ทรงมาติกา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๗/๑๓๕. ทรงมาติกา หมายถึงมาติกา ๒ คือ ภิกขุ
วภิ งั ค์ และภกิ ขนุ ีวภิ งั ค์ อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๒/๒๐/๙.
เมตฺตากรุณากายิก (นับเนื่องด้วยเมตตาและกรุณา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๖๗. นับเน่ืองด้วย
เมตตาและกรณุ า หมายถงึ เหลา่ เทพท่ีเกิดด้วยอานาจเมตตาฌานและกรุณาฌานที่เคย
บาเพ็ญมา ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๔๐/๓๐.
๑๐๒ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง
โยนิโสมนสิการ (มนสิการโดยแยบคาย) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๘/๒๒๐. มนสิการโดยแยบคาย
หมายถงึ การคดิ ถกู วธิ ี (อปุ ายมนสกิ าร) และการคิดถูกทาง (ปถมนสิการ) ที.ม.อ. (บาลี)
๒/๒๘๘/๒๕.
รตฺตญฺญู (รตั ตญั ญู) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๖/๘๒. รัตตัญญู เป็นตาแหน่งเอตทัคคะที่พระอัญญา-
โกณฑญั ญะ ได้รบั ยกยอ่ งจากพระพุทธเจ้ามีความหมายวา่ รู้ราตรีนาน คือบวชรู้แจ้งธรรม
และเป็นพระขณี าสพก่อน พระสาวกท้ังหลาย ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๖/๑๒๖, ที.ม.ฏีกา
(บาล)ี ๑๓๖/๑๕.
รโหคต (ท่ีสงัด) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๕๖/๓๑. ท่สี งดั หมายถึงกายวเิ วก ท.ี ม.ฏกี า ๕๗/๕.
อาลยราม (ผรู้ ่ืนรมย์อาลยั ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๖๔/๓๖. ผู้รื่นรมย์อาลัย คือกามคุณ ๕ ที่สัตว์พัวพัน
ยินดีเพลดิ เพลนิ วิ.อ. (บาลี) ๓/๗/๑. เป็นช่ือเรียกกิเลส ๒ อย่าง คือ กามคุณ ๕ และ
ตณั หาวิจริต ๑๐๘ สารตถฺ .ฏีกา (บาลี) ๓/๗/๑๘.
รปู (รูป) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๙/๗๕. รูป หมายถึงไดร้ ปู ฌานโดยเจรญิ กสิณทก่ี าหนดวัตถุในกายของ
ตน เช่น สผี ม เห็นรปู ทงั้ หลาย หมายถงึ เห็นรูปฌาน ๔ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๒๙/๑๑๒-๑๑.
ลิงฺค (เพศ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๔/๖๕. เพศ หมายถึงลกั ษณะที่บ่งบอกหรอื ใชเ้ ป็นเคร่ืองอนุมานถึง
นามขันธแ์ ตล่ ะอย่าง ที.ม.ฏีกา (บาล)ี ๑๑๔/๑๒.
โลห (โลหะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๓๖/๓๖๗. โลหะ ในท่ีนี้หมายถึงทองแดง ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๔๓๖/
๔๒.
โลหิตปกขฺ นฺทิก (ลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๙๐/๑๓๙. ลงพระบังคนหนักเป็น
โลหิตคือ เปน็ อาการของโรคท่ถี า่ ยเปน็ เลอื ดตลอดเวลา ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๐/๑๗.
วกฺก (วกั กะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๗/๓๐๖. วักกะ โบราณแปลวา่ ม้าม และแปล คาว่า ปิหกะ ว่า ไต
แตใ่ นทน่ี ้ี แปลคาวักกะ วา่ ไต และแปลคาปิหกะ ว่า ม้าม อธิบายวา่ ไต ไดแ้ ก่ กอ้ นเนื้อ ๒
กอ้ นมีขวั้ เดียวกัน รปู ร่างคล้ายลูกสะบา้ ของเดก็ ๆ หรือคล้ายผลมะม่วง ๒ ผลที่ติดอยู่ใน
ข้ัวเดียวกัน มีเอ็นใหญ่รึงรัดจากลาคอลงไปถึงหัวใจ แล้วแยกออกห้อยอยู่ทั้ง ๒ ข้าง
ข.ุ ขุ.อ. (บาล)ี ๔๓-๔. พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ แปล วักกะ ว่า
ไต และใหบ้ ทนิยามของไตไวว้ ่า อวัยวะค่หู นง่ึ ของคนและสตั ว์ อยู่ในช่องท้องใกล้ กระดูก
สันหลงั ทาหน้าทข่ี ับของเสียออกมากับน้าปัสสาวะ แปล ปิหกะ วา่ มา้ ม และให้บทนิยาม
ไว้ว่า อวัยวะภายในร่างกายริมกระเพาะอาหารข้างซ้าย มีหน้าที่ทาลายเม็ดเลือดแดง
สร้างเม็ดน้าเหลือง และสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย, Buddhadatta Mahathera, A.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๐๓
Concise Pali-English Dictionary; Rhys Davids. T.W. Pali-English Dictionary, ให้
ความหมายของคาว่า วักกะ ตรงกันวา่ หมายถึง ไต (Kidney)
วจีสงฺขาร (วจีสังขาร) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๘/๒๒๐. วจสี ังขาร แปลว่าสภาพปรงุ แต่งวาจา คือ วิตก
วจิ าร ม.มู.อ. (บาล)ี ๒/๔๕๗/๒๕.
วชฺช (โทษ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๖๙/๓๙. โทษ ในที่น้ี ไดแ้ ก่ กิเลส ทจุ รติ อภสิ งั ขาร และกรรมนาไปเกิด
ในภพ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๖๙/๖.
วสุ (เทพวสุ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๖๘. เทพวสุ หมายถึงเทพเจ้าแห่งทรัพย์ T.W.Rhys Davids
and William Stede P. 605.
วิชิตสงฺคาม (ชนะสงคราม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๐/๔๐. ชนะสงคราม หมายถึงชนะเทวปุตตมาร
(มารคือเทพบุตร) มจั จุมาร (มารคือความตาย) และกิเลสมาร (มารคือกิเลส) ได้แล้ว ที.
ม.อ. (บาลี) ๒/๗๐/๖.
วิตกกฺ นทิ าน (มีวิตกเปน็ ต้นเหต)ุ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๘/๒๘๖. วิตก แปลว่าการตรึก การไตร่ตรอง
ในที่นหี้ มายถึงการตรกึ เพื่อการตัดสนิ ๒ อย่าง คอื ตัณหาวนิ จิ ฉัย (การตัดสินด้วยอานาจ
ตณั หา) ทฏิ ฐวิ นิ จิ ฉัย (การตัดสินดว้ ยอานาจทิฏฐิ) ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๘/๓๓.
วติ กกฺ (วิตก) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๖๑/๑๙๔. วิตก ในที่นี้หมายถึงการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ หรือการปัก
จติ ลงสู่อารมณ์ เปน็ องค์ ๑ ในองคฌ์ าน ๕ มิใช่วิตกในคาว่า กามวิตก (ความตรึกในทาง
กาม) พยาบาทวิตก (ความตรึกในทางพยาบาท) วหิ งิ สาวติ ก (ความตรกึ ในทางเบยี ดเบยี น)
ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๙๖/๑๑.
วินยธร (ทรงวินยั ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๗/๑๓๕. ทรงวินยั หมายถงึ พระวินัยปิฎก องฺ.ติก.อ. (บาลี)
๒/๒๐/๙.
วิภวตณฺหา (วิภวตัณหา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๒/๖๔. วภิ วตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ) ในที่น้ี
หมายถึงราคะทป่ี ระกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๑๒/๙.
วิรช (ธรรมทป่ี ราศจากความกาหนัด) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๔/๒๘๓. ธรรมที่ปราศจากความกาหนัด
ในท่นี ้ีหมายถงึ อนาคามิมรรค ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๔/๓๒.
ววิ ฏฺฏจฉฺ ท (ผูไ้ มม่ ีกิเลส) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๓/๑๖. ผู้ไม่มีกิเลส ในท่ีนี้หมายถึงราคะ โทสะ โมหะ
มานะ ทฏิ ฐิ กเิ ลส ตณั หาทป่ี ดิ กั้นกุศลธรรม ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๔/๓.
๑๐๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง
วหิ าร (วิหาร) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๐๗/๑๕๔. วหิ าร ในทีน่ หี้ มายถึงพลบั พลา ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๐๗/
๑๙.
วีรยิ (ความเพียร) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๔/๑๐๙. ความเพียร ในทนี่ ี้มี ๒ อยา่ ง คือ ความเพียรท่ีเป็น
บุพภาค ได้แก่ การบริกรรมผลสมาบัติ ความเพียรที่ประกอบด้วยผลสมาบัติ ที.ม.อ.
(บาลี) ๒/๑๖๔/๑๔๙, ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๑๖๔/๑๗.
วุฑฺฒิ (ความเจริญ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๖/๘๒. ความเจริญ ในที่นี้หมายถึงความเจริญด้วย
คณุ ธรรมมศี ีลเป็นต้น ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๖/๑๒.
สกขฺ ิสาวก (สกั ขสิ าวก) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๕/๑๖๔. สักขิสาวก แปลว่า พระสาวกท่ีทันเห็นองค์
พระพุทธเจ้า มี ๓ พวก คือ ผบู้ รรพชาอปุ สมบท เรียนกมั มฏั ฐาน บรรลอุ รหัตผลเม่อื พระผู้
มพี ระภาคยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ ผู้ไดบ้ รรพชาอุปสมบท เมือ่ พระพุทธเจา้ ยังทรงพระชนม์อยู่
ต่อมาไดเ้ รียนกัมมัฏฐานและบรรลอุ รหัตผล ผู้ได้เรียนกัมมัฏฐาน เม่ือพระผู้มีพระภาคยัง
ทรงพระชนมอ์ ยู่ พระสภุ ัททะจดั อย่ใู นพวกที่ ๑ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๒๑๕/๑๙.
สติ (สติ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๔/๒๘๓. สติ ในที่นี้ไดแ้ กฌ่ าน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๕๔/๓๒.
สติปฏฺ าน (สตปิ ัฏฐาน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. สติปัฏฐาน แปลว่า ธรรมเป็นท่ีต้ังแห่งสติ
หรือการปฏบิ ตั ิมีสติเปน็ ประธาน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๗๓/๓๖๘, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๐๖/
๒๕.
สทฺธา (ศรัทธา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๘/๘๔. ศรัทธา แปลว่าความเช่ือ มี ๔ อย่างคือ อาคมนียะ
(ศรทั ธาของพระโพธิสัตว์ ผบู้ าเพ็ญเพื่อ พระสัพพัญญุตญาณ) อธิคมะ (ศรัทธาของพระ
อริยบุคคล) ปสาทะ (ศรทั ธาในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์) โอกัปปนะ (ศรัทธา
อยา่ งมนั่ คง) แตใ่ นทนี่ ้หี มายถงึ ปสาทะและโอกปั ปนะเท่าน้ัน ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓๘/๑๒.
สพฺพทุกขฺ วตี ิวตฺต (ผู้ลว่ งทกุ ข์ทั้งปวง) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓/๖. ผู้ล่วงทุกข์ทั้งปวง ในท่ีนี้หมายถึง
วปิ ากวฏั ฏะ (วงจรวบิ าก) ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓/๒.
สพฺพธิ (ทิศเฉยี ง) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๖๑/๑๙๔. ทิศเฉียง หมายถึงทิศย่อยของทิศใหญ่หรือทิศรอง
วิสุทธฺ .ิ มหาฏกี า (บาลี) ๑/๒๕๔/๔๓.
สพฺพาการวรเู ปต (มพี ระอาการอันล้าเลิศทกุ อยา่ ง) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๒๓/๑๖๙. มีพระอาการอัน
ลา้ เลิศทกุ อย่าง หมายถงึ ทรงมีเหตุอนั ล้าเลิศทุกอยา่ งมีศีลเป็นต้น ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๒๓/
๒๐๓, ท.ี ม.ฏีกา (บาลี) ๒๒๓/๒๓.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๐๕
สมนฺตจกฺขุ (พระสมันตจกั ขุ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๐/๔๐. พระสมันตจักขุ หมายถึงพระสัพพัญญุต
ญาณ (ปรีชาหยัง่ รสู้ ง่ิ ทั้งปวง ท้ังท่เี ปน็ อดีต ปัจจบุ ัน และอนาคต) ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๗๐/๖.
สมาธิปริกฺขาร (บริขารแห่งสมาธิ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๐/๒๒๔. บริขารแห่งสมาธิ ในที่นี้หมายถึง
บริวาร หรือองค์ประกอบของมรรคสมาธิ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๙๐/๒๕๗, องฺ.สตฺตก.อ.
(บาลี) ๓/๔๔-๔๕/๑๘.
สมฺโพธิ (สมั โพธิ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๙/๒๙๗. สัมโพธิ ในที่น้ีหมายถึงสกทาคามิมรรค ที.ม.อ.
(บาล)ี ๒/๓๖๙/๓๕.
สมฺโพธิปถ (ทางสมั โพธิ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๔/๒๘๓. ทางสัมโพธิ ในท่นี ห้ี มายถงึ อนาคามิมรรค ที.
ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๔/๓๒.
สมฺโพธิปรายน (สมั โพธิในวนั ข้างหน้า) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๗/๑๐๑. สัมโพธิในวันข้างหน้า ในที่นี้
หมายถึงมรรค ๓ เบื้องสูง (สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค) ที.ม.อ.
(บาลี) ๒/๑๕๗/๑๔.
สร (สระ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๔/๙๘. สระ หมายถึงตณั หา ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๕๔/๑๔.
สรรี (พระสรรี ะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๓๕/๑๗๖. พระสรีระ ในที่นี้หมายถึงพระบรมสารีริกธาตุของ
พระพทุ ธเจ้า ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๒๓๕/๒๑.
อุปนิส (อุปนสิ ะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๐/๒๒๔. อปุ นสิ ะ หมายถึงอุปนิสัย ในที่น้ีได้แก่หมวดธรรมท่ี
เป็นเหตทุ าหนา้ ท่รี ่วมกัน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๙๐/๒๕๗, ท.ี ม.ฏกี า (บาลี) ๒๙๐/๒๖.
สามีจิปฏิปนนฺ (ปฏบิ ตั ิชอบ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๙๙/๑๔๘. ปฏิบัติชอบ หมายถึงปฏิบัติธรรมสมควร
แก่ธรรมน้ันเอง ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๙/๑๘.
สามกุ ฺกสิกธมฺมเทสนา (สามุกกงั สกิ ธรรมเทศนา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๕/๔๓. สามกุ กังสิกธรรมเทศนา
หมายถงึ ธรรมเทศนาท่ีพระพุทธเจ้าท้ังหลายตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ทรงเห็นด้วยสยัมภู
ญาณ ไม่ทว่ั ไปแก่ผอู้ นื่ คอื มไิ ด้รับแนะนาจากผอู้ นื่ ตรัสรลู้ าพงั พระองคเ์ องก่อนใครในโลก
วิ.อ. (บาล)ี ๓/๒๙๓/๑๘๑, สารตฺถ.ฏกี า (บาล)ี ๓/๒๖/๒๓๗, ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๙๘/๒๕.
สาวกยุค (คพู่ ระสาวก) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙/๔. คู่พระสาวก คอื พระสาวกชนั้ ยอด เพราะมีคณุ สมบัติ
พเิ ศษกวา่ พระสาวกอน่ื ทั้งหมด พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีพระอัครสาวก ๒ องค์ ที.
ม.อ. (บาล)ี ๒/๙/๑.
๑๐๖ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
สาวกสนฺนปิ าต (การประชุมพระสาวก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๐/๔. การประชุมพระสาวก ในท่ีนี้
หมายถึงการประชุมสงฆ์ ที่ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ภิกษุผู้เข้าประชุมท้ังหมดมี
พระพุทธเจ้าเปน็ อุปชั ฌาย์ ภกิ ษผุ ู้เขา้ ประชมุ ท้งั หมดมบี าตรและจีวรเกิดจากฤทธิ์ ภิกษุผู้
เข้าประชมุ ท้ังหมดเข้าประชมุ กนั โดยมิได้นดั หมาย วันประชุมตรงกับวนั อโุ บสถขน้ึ ๑๕ ค่า
พระศาสดาทรงแสดงอุโบสถ (โอวาทปาติโมกข์) ด้วยพระองค์เอง ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๐/๑.
สลี (ศีล) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๕๓/๒๘๐. ศลี ในท่ีนีห้ มายถึงศีล ๕ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๕๓/๓๒.
สีหเสยยฺ (สหี ไสยา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๙๖/๑๔๕. สีหไสยา หมายถึงนอนอย่างราชสีห์ นอนตะแคง
ขวา ซอ้ นเทา้ เหล่อื มเท้า มีสติสัมปชัญญะ กาหนดใจถึงการลกุ ขึ้น ท.ี ม.ฏีกา (บาลี) ๑๙๘/
๒๑.
สญุ ฺ าคาร (เรือนวา่ ง) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๔/๓๐๒. เรือนว่าง หมายถึงที่ที่สงัด คือเสนาสนะ ๗
อย่าง เว้นปุา และโคนไม้ ได้แก่ ภเู ขา ซอกเขา ถ้า ปุาช้า ปุาชัฏ ท่ีแจ้ง ลอมฟาง ที.ม.
(ไทย) ๑๐/๓๒๐/๒๔๘.
สุภนเฺ ตวาธมิ ตุ ฺต (ผู้น้อมใจไปว่างาม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๙/๗๕. ผู้น้อมใจไปว่างาม หมายถึงผู้
เจริญวัณณกสณิ กาหนดสีทีง่ าม ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๒๙/๑๑๒-๑๑.
สุริยวฺจฉสา (สุริยวัจฉสา) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๘/๒๗๕. สุรยิ วจั ฉสา เป็นช่ือของเทพธิดา ผู้มีสิริโฉม
งดงามทัว่ สรรพางค์ มรี ัศมีออ่ น ๆ เปลง่ ออกจากร่างกายดุจแสงอ่อนของดวงอาทิตย์ยาม
ทอแสง ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๔๘/๓๑.
สูกรมทฺทว (สูกรมัททวะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๙/๑๓๘. สูกรมัททวะ ความหมายตามมติของ
เกจิอาจารย์ ๓ พวก คอื ๑. หมายถึงปวตั ตมงั สะ เน้ือสุกรหนมุ่ ๒. หมายถงึ ข้าวสุกอ่อน ที่
ปรุงดว้ ยนมสด นมส้ม เนยใส เปรยี ง เนยแขง็ และถั่ว ๓. หมายถึงวธิ ปี รุงอาหารชนิดหน่ึง
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๘๙/๑๗๒, ข.ุ อ.ุ อ. (บาลี) ๗๕/๔๒.
สวฺ าการ (มีอาการดี) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๖๙/๓๙. มีอาการดี หมายถึงมคี วามโนม้ เอยี งไปในทางดี เช่น
มศี รัทธา เป็นต้น ส่วนอาการทรามมลี กั ษณะตรงขา้ ม ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๖๙/๖.
เสตุ (สะพาน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๔/๙๘. สะพาน หมายถงึ อริยมรรค ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๕๔/๑๔.
อกาลกิ (ไม่ประกอบดว้ ยกาล) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๙/๑๐๓. ไม่ประกอบดว้ ยกาล หมายถึงให้ผลไม่
จากดั กาล คือไมข่ ึ้นกับกาลเวลา ให้ผลแกผ่ ้ปู ฏบิ ตั ิทกุ เวลา ทกุ โอกาส บรรลเุ มื่อใด ก็ได้รับ
ผลเม่ือน้นั องฺ.ติก.อ. (บาล)ี ๒/๕๔/๑๕.
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๐๗
อจจฺ นตฺ นิฏฺ (มคี วามสาเร็จสงู สดุ ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๖/๒๙๓. มีความสาเรจ็ สูงสดุ ในทน่ี ีห้ มายถึง
พ้นความพนิ าศคอื กิเลส ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖/๓๕.
อจฺจนตฺ ปริโยสาน (ทสี่ ุดอันสูงสดุ ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๖/๒๙๓. ที่สดุ อนั สูงสุด ในท่ีน้ีหมายถึงพระ
นิพพาน ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖/๓๕.
อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี (ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๖/๒๙๓. ประพฤติ
พรหมจรรย์ถงึ ที่สดุ ในท่ีนีห้ มายถึงอรยิ มรรค ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖/๓๕.
อจฺจนฺตโยคกฺเขมี (ความเกษมจากโยคะสูงสดุ ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๖/๒๙๓. ความเกษมจากโยคะ
สงู สุด ในทนี่ ้หี มายถึงพระนิพพาน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๖๖/๓๕.
อชฌฺ ตฺตกาย (กายภายใน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๔/๓๐๓. กายภายใน ในท่ีน้ีหมายถึงลมหายใจเข้า
ออกของตน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๗๔/๓๗.
อชฺฌตตฺ กาย (กายภายใน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. กายภายใน ในทีน่ ี้หมายถึงอิริยาบถ ๔ คือ
ยนื เดิน น่งั นอน ในกายของตน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๕/๓๘.
อชฺฌตตฺ กาย (กายภายใน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๖/๓๐๕. กายภายใน ในท่นี ี้หมายถึงสัมปชัญญะ ๔
ในกายของตน คือ สาตถกสมั ปชญั ญะ (รู้ชดั ว่ามปี ระโยชน์) สัปปายสัมปชัญญะ (รู้ชัดว่า
เปน็ สปั ปายะ) โคจรสัมปชญั ญะ (รูช้ ัดวา่ เป็นโคจร) อสมั โมหสัมปชัญญะ (รู้ชัดว่าไม่หลง)
ในกายของตน ที.สี.อ. (บาลี) ๒/๒๑๔/๑๖๖, ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๖/๓๘๓, อภิ.วิ.อ.
(บาลี) ๕๒๓/๓๗๒-๓๗.
อชฌฺ ตฺตกาย (กายภายใน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๗/๓๐๗. กายภายใน ในท่ีนี้หมายถึงอาการ ๓๒ มี
ผมเปน็ ต้นในกายของตน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๗/๓๘.
อชฺฌตตฺ ธมมฺ (ธรรมภายใน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๓/๓๓๗. ธรรมภายใน หมายถึงอรยิ สัจ ๔ ของตน
ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๔๐๓/๔๒.
อชฺฌตตฺ ธมฺม (ธรรมภายใน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๓/๓๑๙. ธรรมภายใน หมายถงึ ขันธ์ ๕ ของตน ที.
ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๘๓/๓๙.
อชฺฌตตฺ รูปสญฺ (มีรปู สัญญาภายใน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๗๓/๑๒๐. มรี ูปสญั ญาภายใน หมายถึงจา
ไดห้ มายรู้รูปภายใน โดยการบรกิ รรมรปู ภายใน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๗๓/๑๖.
อชฌฺ ตตฺ เวทนา (เวทนาภายใน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๔. เวทนาภายใน หมายถึงสุขเวทนา
เป็นต้นของตน ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๐/๓๙๐, ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑๑๓/๒๙.
๑๐๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
อชฺฌตฺตารูปสญฺญี (มีอรูปสัญญาภายใน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗๓/๑๒๐. มีอรูปสัญญาภายใน
หมายถึงเว้นจากสญั ญาในบริกรรมในรูปภายใน ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๗๓/๑๖.
อชฺโฌสาน (อัชโฌสานะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๖/๒๙๒. อัชโฌสานะ ในที่นี้หมายถึงมีท่ีสุดอย่าง
เดียวกนั (เอกปรโิ ยสานา) มขี อ้ ตกลงร่วมกัน (สมานนิฏฐานา) ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖/
๓๕๓, ที.ม.ฏกี า (บาล)ี ๓๖๖/๓๔.
อฏฺ าน (ไม่ใช่ฐานะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๘/๒๓๒. ไม่ใช่ฐานะ หมายถึงเหตุการณ์ท่ีมีไม่ได้หรือ
เปน็ ไปไมไ่ ด้ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๙๘/๒๗.
อตตฺ ทีป (มีตนเป็นเกาะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๕/๑๑๑. มีตนเป็นเกาะ ในที่น้ีหมายถึงทาตนให้พ้น
จากหว้ งนา้ คอื โอฆะ ๔ เหมอื นกบั เกาะกลางมหาสมุทรทน่ี ้าท่วมไมถ่ งึ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/
๑๖๕/๑๕๐, ที.ม.ฏกี า (บาลี) ๑๖๕/๑๘.
อตถฺ วส (อานาจประโยชน์) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๙/๒๙๖. อานาจประโยชน์ หมายถึงเหตุ องฺ.ทุก.อ.
(บาลี) ๒/๒๐๑/๗.
อนณ (ผไู้ มม่ ีหน้ี) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๐/๔๐. ผู้ไม่มีหน้ี ในที่นี้หมายถึงกามฉันทะ (ความพอใจใน
กาม) ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๗๐/๖.
อนนฺตราพาหิร (ไม่มีในไม่มีนอก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๕/๑๑๐. ไม่มีในไม่มีนอก หมายถึงไม่
แบง่ เป็น ๒ ฝุายไมว่ ่าจะเป็นการแบง่ ธรรมหรือแบง่ บคุ คล (ผู้ฟงั ) เช่น ผู้ท่ีคิดว่า เราจะไม่
แสดงธรรมประมาณเท่านแ้ี กบ่ ุคคลอืน่ ช่อื วา่ ทาธรรมให้มีใน แต่จะแสดงธรรมประมาณ
เท่านี้แกบ่ ุคคลอ่นื ชื่อว่าทาธรรมให้มนี อก ส่วนผทู้ ีค่ ิดวา่ เราจะแสดงแก่บุคคลนี้ ช่ือว่าทา
บคุ คลให้มีใน ไม่แสดงแกบ่ คุ คลน้ี ชือ่ วา่ ทาบคุ คลใหม้ ีนอก ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๕/๑๔.
อนยพฺยสน (พนิ าศย่อยยับ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๑/๗๗. พินาศย่อยยับ ในทนี่ ี้หมายถึงทาให้ไม่มีให้
ถึงความไม่เจริญ และให้ถงึ ความเสื่อมไปแหง่ ญาติ เป็นตน้ ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓๑/๑๑.
อนุธมฺมจารี (ปฏิบัติตามธรรม) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๙๙/๑๔๘. ปฏิบัติตามธรรม หมายถึงการ
ประพฤติหลกั เบ้ืองตน้ ใหส้ มบูรณ์ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๙/๑๘.
อนปุ าทาวิมตุ ตฺ (หลุดพ้นเพราะไม่ถือม่ัน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๘/๗๕. หลุดพ้นเพราะไม่ถือม่ัน
หมายถึงไมถ่ อื มัน่ ในอุปาทาน ๔ คอื กามปุ าทาน (ความถอื ม่ันในกาม) ทฏิ ฐุปาทาน (ความ
ถือมน่ั ในทฏิ ฐ)ิ สีลัพพตปุ าทาน (ความถือมั่นในศีลพรต) อตั ตวาทปุ าทาน (ความถือมั่นใน
วาทะว่ามีอตั ตา) ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๒๘/๑๑.
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๐๙
อนปุ พุ ฺพีกถา (อนปุ พุ พกิ ถา) ที.ม. (ไทย) ๑๕/๗๑/๔๒. อนุปุพพิกถา หมายถึงธรรมเทศนาที่แสดง
เนอื้ ความล่มุ ลกึ ลงไปโดยลาดบั เพ่ือขดั เกลาอธั ยาศัยของผู้ฟังให้ประณีตขึ้นไปเป็นช้ัน ๆ
จนพรอ้ มทีจ่ ะทาความเข้าใจในธรรมส่วนปรมตั ถ์ ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๙๘/๒๕.
อเนกธาตุ (มธี าตหุ ลากหลาย) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๖/๒๙๓. มีธาตุหลากหลาย ได้แก่ มีอัชฌาสัย
คือนิสัยใจคอความนยิ มต่างกัน เชน่ เมื่อคนหน่ึงอยากเดินอีก คนหน่ึงอยากยืน เม่ือคน
หนึ่งอยากยืน อกี คนหนง่ึ อยากนอน ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๖/๓๕.
อปรปปฺ จฺจย (ไม่ต้องเชือ่ ผู้อน่ื ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๖/๔๓. ไม่ตอ้ งเช่ือผอู้ ่นื หมายถึงไม่ต้องอาศัยผู้อื่น
คอยแนะนาพร่าสอนในคาสอนของพระศาสดา ไม่ได้หมายถึงว่า ไม่ต้องเช่ือใคร
(อปรปฺปจจฺ โย =ไม่มีใครอ่ืนอีกเป็นปจั จัย) สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๓/๑๘/๒๒.
อปาย (อบาย) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๕/๕๗. อบาย หมายถึงภาวะหรือที่อันปราศจากความเจริญ ๔
คือ นรก กาเนิดสัตว์ดิรัจฉาน แดน เปรต อสุรกาย ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๙๕/๙๔, ส.นิ.อ.
(บาล)ี ๒/๖๐/๑๑.
อปฺปรชกฺขชาติก (ผูม้ ีธลุ ีในดวงตาเบาบาง) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๖๗/๓๗. ผู้มีธุลีในดวงตาเบาบาง
หมายถึงผู้มธี ุลี คือ ราคะ โทสะ โมหะ เพยี งเลก็ นอ้ ยในดวงตาคอื ปญั ญา ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/
๖๖/๖.
อมตทฺวาร (ประตูแหง่ อมตะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๗๑/๔๑. ประตแู หง่ อมตะ หมายถึงอริยมรรคท่ีเป็น
ทางแหง่ อมตะคือพระนิพพาน ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๗๑/๖.
อมฺพปาลิวน (อัมพปาลวี ัน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๙/๑๐๔. อัมพปาลีวัน หมายถึงสวนมะม่วงของ
หญิงคณิกาชื่ออัมพปาลี ซ่ึงถวายเป็นท่ีพักแด่สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ที.ม.อ.
(บาล)ี ๒/๑๖๐/๑๔.
อริยกนฺตสลี (ศีลทีพ่ ระอรยิ ะชอบใจ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๙/๑๐๔. ศีลที่พระอริยะชอบใจ ในท่ีน้ี
หมายถงึ ศลี ๕ ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๕๙/๑๔.
อสฺสตฺถ (ต้นอสั สตั ถะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๘/๔. ต้นอสั สตั ถะ ในทน่ี ้ีหมายถึงตน้ ไมท้ พี่ ระพทุ ธเจา้ ตรัสรู้
กลา่ วคอื พระพุทธเจา้ ท้ังหลายได้ตรัสรู้ ณ ควงต้นไม้ใด ๆ ต้นไม้น้ัน ๆ เรียกว่า โพธ์ิ ขุ.
พุทธฺ . (ไทย) ๓๓/๑๕/๕๙๘,๒๓/๗๑๔, ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๘/๑๐-๑.
อาการ (อาการ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๔/๖๕. อาการ หมายถึงอากัปกริ ิยาของนามขันธ์แต่ละอย่างท่ี
สาแดงออกมา ท.ี ม.ฏกี า (บาล)ี ๑๑๔/๑๒.
๑๑๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ ค้มุ ครอง
อากาสป วีสญฺ นี (กาหนดแผน่ ดนิ ข้นึ บนอากาศ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๐๑/๑๕๐. กาหนดแผ่นดิน
ขึ้นบนอากาศ หมายถึงเนรมิตแผ่นดนิ ขึน้ บนอากาศ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๒๐๑/๑๘.
อาคตาคม (เรียนคมั ภีร์) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๗/๑๓๕. เรียนคัมภีร์ หมายถงึ นิกาย ๕ คือ ทีฆนิกาย
มชั ฌมิ นิกาย สังยตุ ตนกิ าย องั คตุ ตรนิกาย และขุททกนกิ าย องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๒๐/๙.
อาจริยมุฏฺ (อาจรยิ มฏุ ฐิ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๕/๑๑๐. อาจริยมุฏฐิ แปลว่า กามือของอาจารย์
อธบิ ายว่า มอื ที่กาไว้ ใชเ้ รียกอาการของอาจารย์ภายนอกพระพุทธศาสนาท่ีหวงวิชา ไม่
ยอมบอกแกศ่ ษิ ยข์ ณะทต่ี นเองยังหน่มุ แต่จะบอกแก่ศิษย์ที่ตนรัก ขณะที่ตนใกล้จะตาย
เทา่ นัน้ แตพ่ ระผูม้ ีพระภาคไม่ทรงถือตามคติเช่นนี้ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๖๕/๑๕.
อาตปฺป (ทาความเพียร) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๓๔/๒๖๒. ทาความเพียร ในที่นี้หมายถึงการเข้าผล
สมาบัติ ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๔๓/๓๐.
อาตุร (ความเร่าร้อน) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๘/๒๗๕. ความเร่าร้อน ในที่นี้หมายถึงความเร่าร้อน
เพราะไฟคือราคะ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๔๘/๓๑.
อายุสงฺขาร (พระชนมายุสังขาร) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๙/๑๑๖. พระชนมายุสังขาร หมายถึงสลัด
ปจั จัยเครอื่ งปรงุ แต่งอายุ คอื ตกลงพระทัยว่าจะปรินพิ พาน
อารทฺธวีริย (ปรารภความเพยี ร) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๘/๘๕. ปรารภความเพียร หมายถึงบาเพ็ญ
เพยี รทัง้ ทางกายท้ังทางจิต ความเพียรทางกาย คอื เว้นการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เป็นอยู่
โดดเดย่ี ว ความเพียรทางจิต คอื บรรเทาความฟูงุ ซ่านแห่งจิต ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓๘/๑๓.
อาวโุ ส (อาวโุ ส) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔. อาวุโส แปลว่า ผู้มีอายุ เดิมใช้เป็นคาเรียกกันเป็น
สามัญ คือ ภิกษผุ ู้แกก่ ว่าใชเ้ รียกภกิ ษผุ ้อู อ่ นกวา่ หรือภกิ ษุผู้อ่อนกว่า ใช้เรียกภิกษุผู้แก่กว่า
ก็ได้ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๒๑๖/๑๙.
อาสว (อาสวะ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๗๐. อาสวะ เรียกอีกช่ือหน่ึงว่า อาสา ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๓๔๐/๓๐.
อทิ ปฺปจฺจยตา (อทิ ัปปจั จยตา) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๖๔/๓๖. อิทปั ปจั จยตา แปลว่า ความที่ส่ิงนี้อาศัย
สิ่งน้เี กดิ ข้นึ หมายถึงสภาวธรรมอันเป็นปัจจัยแห่งชราและมรณะ เป็นต้น เป็นชื่อหนึ่ง
ของปฏิจจสมุปบาท ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๘, ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๐/๔๖-๔.
อิทฺธิม (พระผู้ทรงฤทธ์ิ) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๗๐. พระผ้ทู รงฤทธิ์ หมายถึงพระพุทธเจ้า ที.ม.อ.
(บาลี) ๒/๓๔๑/๓๐.
พจนานกุ รมศัพท์เชงิ อรรถพระไตรปิฎก ๑๑๑
อุจฺจาวจ (ฐานะสูงบา้ งตา่ บ้าง) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๗/๒๙๔. ฐานะสูงบ้างต่าบ้าง ในที่นี้หมายถึง
ภพภมู ิต่าง ๆ เช่น พรหมโลกสูงกวา่ เทวโลก เทวโลกสูงกว่ามนุษยโลก และมนุษยโลกสูง
กว่าอบายภูมิ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๗/๓๕.
อุทฺเทส (อุทเทส) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๔/๖๕. อุทเทส หมายถึงคาอธิบายเก่ียวกับนามขันธ์แต่ละ
อยา่ ง เช่น เป็นสงิ่ ท่ีไมใ่ ชร่ ูป เป็นสิ่งท่ีรับรู้ได้ ที.ม.ฏกี า (บาล)ี ๑๑๔/๑๒.
อทุ ฺธมธ (ทิศเบ้ืองบน) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๖๑/๑๙๔. ทศิ เบอ้ื งบน หมายถึงเทวโลก วิสุทฺธิ.มหาฏีกา
(บาล)ี ๑/๒๕๔/๔๓.
อุปปตฺติ (อบุ ัติ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๗๓/๒๐๕. อบุ ตั ิ ในทน่ี หี้ มายถึงญาณคติ (การเกิดขึ้นแห่งมรรค
ญาณ) เพราะมสี ังโยชนเ์ บอื้ งต่า ๕ ประการส้นิ ไป และหมายถงึ บญุ ที่ใหเ้ กิดเป็นเทพช้ันใด
ช้นั หนึ่ง ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๗๓-๒๗๕/๒๔๘, ที.ม.ฏกี า (บาลี) ๒๗๓-๒๗๕/๒๕.
อุปาทานขนธฺ (อปุ าทานขนั ธ์) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๓/๓๑๘. อุปาทานขนั ธ์ มาจากอุปาทาน + ขันธ์
แยกอธบิ ายความหมายไดด้ ังนี้ อุปาทาน แปลว่า ความถือมั่น (อุป=ม่ัน+อาทาน=ถือ) มี
ความหมายหลายนยั เชน่ หมายถงึ ชอื่ ของราคะท่ีประกอบด้วยกามคณุ ๕ (ปญฺจกามคณุ ิก
ราคสฺเสต อธิวจน) ส.ข.อ. (บาล)ี ๒/๑/๑๖, อภ.ิ สง.ฺ อ. (บาลี) ๑๒๑๙/๔๔. บ้าง หมายถึง
ความถือมั่นด้วยอานาจตัณหามานะและทิฏฐิ ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๖๓/๓๐. บ้าง ขันธ์
แปลวา่ กอง (ตสฺส ขนฺธสฺส) ราสิอาทิวเสน อตฺโถ เวทิตพฺโพ อภิ. สงฺ.อ. (บาลี) ๕/๑๙.
ดังนั้น อุปาทานขันธ์ จึงหมายถึง กองอันเป็นอารมณ์แห่งความถือมั่ น (อุปาทานาน
อารมมฺ ณภูตา ขนธฺ า = อปุ าทานกขฺ นฺธา) ส.ข. ฏกี า (บาล)ี ๒/๒๒/๒๕. ที.ปา. (ไทย) ๑๑/
๓๑๑/๒๙๓,๓๑๕/๒๙๙, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๒๘/๓๕๑, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๗๙/๑๑๓
เม่อื นาองค์ธรรม คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มารวมกับอุปาทานขันธ์ เช่น
วิญฺญาณู-ปาทานกฺขนฺโธ จึงแปลได้ว่า กองอันเป็นอารมณ์แห่งความถือม่ันคือวิญญาณ
ตามนัย อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๕/๑๙๒ ว่า วิญฺญาณเมว ขนฺโธ = วิญฺญาณกฺขนฺโธ (กอง
วญิ ญาณ) อนงึ่ เม่ือกล่าวโดยสรุป อุปาทานขันธ์ หมายถึงทุกข์ ตามบาลีว่า สงฺขิตฺเตน
ปญฺจุปาทานกขฺ นฺธา ทุกฺขา แปลว่า ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ ม.อุ.(ไทย)
๑๔/๓๗๓/๓๒๐, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๓/๕๓, อภ.ิ ว.ิ อ. (บาลี) ๑/๒๐๒/๑๑๗, วิสุทฺธิ. (บาลี)
๒/๕๐๕/๑๒.
อโุ ปสถนาคราช (พญาชา้ งตระกลู อุโบสถ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๔๖/๑๘๕. พญาชา้ งตระกูลอุโบสถ ใน
ท่ีน้ีหมายถงึ ช้างมงคลตระกูล ๑ ในบรรดา ๑๐ ตระกูล คือ กาฬวกหัตถี (สีดา) คังไคย
หตั ถี (สีเหมอื นนา้ ไหล) ปัณฑรหัตถี (สขี าวดังเขาไกรลาส) ตามพหัตถี (สีทองแดง) ปิงคล
๑๑๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
หตั ถี (สีทองอ่อนดังสตี าแมว) คันธหัตถี (สีไม้กฤษณา มีกลิ่นตัวหอม) มังคลหัตถี (สีนิล
อัญชนั มีกิริยาท่าทางเดินงดงาม) เหมหัตถี (สีเหลืองดั่งทอง) อุโบสถหัตถี (สีทองคา)
ฉัททันตหัตถี (กายสีขาวบรสิ ุทธิ์ดงั สเี งนิ ยวง แตป่ ากและเท้าสแี ดง) ส.น.ิ อ. (บาลี) ๒/๒๒/
๕. ในช้างมงคล ๑๐ ตระกูลนี้ ช้างอุโบสถประเสรฐิ ท่ีสุด ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๔๖/๒๓.
อุภโตภาควิมุตฺต (ผ้เู ปน็ อุภโตภาควิมุต) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๐/๗๖. ผู้เป็นอุภโตภาควิมุต คือ ผู้
หลุดพ้นทั้ง ๒ ส่วน หมายถงึ พระอรหนั ตผ์ บู้ าเพญ็ สมถะมามากจนไดส้ มาบตั ิ ๘ แล้วจึงใช้
สมถะน้ันเป็นฐานบาเพ็ญวปิ สั สนาตอ่ ไป ช่ือว่าหลุดพ้น ๒ ส่วน คือ หลุดพ้นจากรูปกาย
ดว้ ยอรูปสมาบัติ (วกิ ขัมภนะ) หลุดพ้นจากนามกายด้วยอริยมรรค (สมุจเฉทะ) ที.ม.อ.
(บาลี) ๒/๑๓๐/๑๑.
เอกจจฺ เทว (เทพบางพวก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๗/๗๒. เทพบางพวก หมายถึงพวกเทพในสวรรค์ชั้น
กามาวจร ๖ คอื ช้นั จาตุมหาราช ชน้ั ดาวดงึ ส์ ชั้นยามา ชนั้ ดุสติ ชน้ั นิมมานรดี ชั้นปรนิม
มิตวสวัตดี ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๒๗/๑๐.
เอกจฺจวินิปาติก (วินิปาติกะบางพวก) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๗/๗๒. วินิปาติกะบางพวก ในที่น้ี
หมายถงึ ยกั ษิณีและเวมานิกเปรตท่ีพ้นจากอบายภมู ิ ๔ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๒๗/๑๐.
เอกายน (ทางเดยี ว) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. ทางเดียว หมายถึง เป็นทางที่บุคคลผู้ละการ
เก่ยี วข้องกับหมคู่ ณะ ไปประพฤตธิ รรมอย่แู ตผ่ เู้ ดียว เปน็ ทางสายเดียวที่พระพุทธเจ้าทรง
ทาใหเ้ กดิ ขึ้น เป็นทางของบคุ คลผู้เดียว คือ พระผู้มีพระภาค เพราะทรงทาให้เกิดขึ้นเป็น
ทางปฏบิ ัตใิ นศาสนาเดยี วคอื พระพุทธศาสนา เป็นทางดาเนินไปสู่จุดหมายเดียว คือพระ
นิพพาน ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๓/๓๕.
เอวธมมฺ (มีธรรมอยา่ งน้ี) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓/๖. มีธรรมอย่างน้ี ในท่ีน้ีหมายถึงสมาธิ ทั้งมรรค
สมาธิ ผลสมาธิ โลกิยสมาธิ และโลกตุ ตรสมาธิ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓/๒.
เอวมหานภุ าว (มอี านภุ าพมากอยา่ งนี้) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๑/๗๗. มีอานุภาพมากอย่างนี้ ในที่น้ี
หมายถึงการได้รับการศกึ ษาฝึกฝนศิลปะต่าง ๆ เช่น ศิลปะเรื่องช้าง ที.ม.อ. (บาลี) ๒/
๑๓๑/๑๑.
เอวมหิทธฺ กิ (ผู้มีฤทธ์ิมากอย่างน)้ี ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๑/๗๗. ผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ในท่ีน้ีหมายถึง
ความพร้อมเพรียงกนั ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๑/๑๑.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๑๓
เอววิมุตฺต (ธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้น) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓/๖. ธรรมเป็นเคร่ืองหลุดพ้น ในที่นี้
หมายถงึ วิมุตติ ๕ ประการ คอื วกิ ขัมภนวิมุตติ ตทังควิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิ
วมิ ุตติ นิสสรณวมิ ตุ ติ ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓/๒.
เอววหี ารี (ธรรมเป็นเครอ่ื งอยู่) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓/๖. ธรรมเป็นเคร่ืองอยู่ ในท่ีน้ีหมายถึงนิโรธ
สมาบตั ิ ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓/๒.
โอกาสาธิคม (การบรรลุโอกาส) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๘/๒๑๙. การบรรลุโอกาส ในที่นี้หมายถึง
ภาวะทปี่ ลอดจากกเิ ลสตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ รปู ฌาน ๔ อรปู ฌาน ๔ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ และ
อรหัตมรรค แต่ละภาวะก็ปลอดจากกิเลสต่างกัน เช่น ปฐมฌานปลอดจากนิวรณ์ ๕
จตตุ ถฌานปลอดจากสุขและทกุ ข์ วิธกี ารบรรลุโอกาสท่ี ๑ หมายถึงการบรรลุปฐมฌาน
วธิ กี ารบรรลโุ อกาสท่ี ๒ หมายถงึ การบรรลจุ ตุตถฌาน วิธีการบรรลุโอกาสท่ี ๓ หมายถึง
การบรรลอุ รหัตมรรค ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๒๘๘/๒๕๕, อง.ฺ นวก.ฏีกา. (บาลี) ๓/๓๗/๓๖.
โอฆ (โอฆะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๐/๒๗๐. โอฆะ หมายถงึ โอฆะ ๔ คือ กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา ที.
ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๔๐/๓๐.
โอปปาตกิ (โอปปาตกิ สตั ว์) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๗/๓๔๑. โอปปาติกสัตว์ หมายถึงสัตว์ที่เกิดและ
เตบิ โตเตม็ ทที่ ันที และเม่ือจุติ (ตาย) ก็หายวบั ไป ไมท่ ง้ิ ซากศพไว้ เชน่ เทวดาและสตั วน์ รก
ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๑/๑๔.
โอปปาติก (โอปปาติกะ) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๗/๑๐๑. โอปปาติกะ หมายถึงสัตว์ท่ีเกิดและเติบโต
เต็มทท่ี นั ที และเมือ่ จุติ (ตาย) ก็หายวบั ไปไม่ทง้ิ ซากศพ เชน่ เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น
ที.สี.อ. (บาลี) ๒/๑๗๑/๑๔. แตใ่ นท่นี ห้ี มายถึงพระอนาคามีท่เี กิดในภพ ชั้นสุทธาวาส (ที่
อย่ขู องทา่ นผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ) ๕ ชนั้ มชี น้ั อวิหา เปน็ ตน้ แลว้ ดารงภาวะอยู่ในช้นั น้ัน ๆ ปรินิพพาน
สน้ิ กิเลสในภพชัน้ สทุ ธาวาสน่นั เอง ไม่กลับมาเกิดเปน็ มนุษย์อีก องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗-
๘๘/๒๔๒-๒๔.
โอรส (บตุ รผ้เู กดิ แต่อก) ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๓/๙๗. บุตรผู้เกิดแต่อก หมายถึงบุตรที่มารดาเลี้ยง
ให้เจรญิ อย่แู นบอก ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๕๓/๑๔.
๑๑๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ ค้มุ ครอง
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก
พระสตุ ตันตปิฎกเลม่ ที่ ๑๑
กณฺห (ธรรมดา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๕/๘๕. ธรรมดา ในที่นี้หมายถึง ธรรมท่ีไม่บริสุทธิ์มาแต่เดิม
ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๑๑๕/๔.
กณหฺ (ฝุายดา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๔/๑๐๕. ฝาุ ยดา ในทน่ี ีห้ มายถึง สงั กิเลสธรรม (ธรรมเคร่ืองทา
ใจใหเ้ ศร้าหมอง) ที.ปา.ฏีกา (บาล)ี ๑๔๔/๗.
กณฺหวิปาก (มวี ิบากดา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๕/๘๕. มีวิบากดา ในท่ีน้ีหมายถึงมีผลเป็นทุกข์ ที.
ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๕/๔.
กถาปาภต (เป็นขอ้ อ้าง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๕/๑๒๖. เปน็ ขอ้ อ้าง ในทน่ี ้หี มายถงึ เป็นมูลเหตุแห่ง
การได้รบั ฟังธรรมกถาจากสานักของพระผู้มีพระภาค ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๕/๙๗, ที.
ปา.ฏกี า (บาลี) ๑๖๕/๑๐.
กมมฺ (กรรม) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๑๔/๑๗๘. กรรม ในที่นี้หมายถึงปัญญาหย่ังรู้ความที่สัตว์มีกรรม
เป็นของตน ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๑๔/๑๒๐, ที.ปา. ฏีกา (บาล)ี ๒๑๔/๑๓.
กมฺมารปุตฺต (กัมมารบตุ ร) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๙๖/๒๔๖. กมั มารบุตร แปลว่าบุตรของนายช่างทอง
อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๗๖/๓๗.
กลยฺ าณมิตตฺ (มติ รดี) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๕๙. มติ รดี ในทน่ี ีห้ มายถงึ มติ รที่มีคุณธรรม คือ ศีล
เปน็ ต้น ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๕/๒๔๖, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๗/๓๒.
กลฺยาณสมปฺ วงกฺ (เพอื่ นดี) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๕๙. เพ่ือนดี ในที่น้ีหมายถึงเพื่อนที่รักใคร่
สนิทสนม รใู้ จกัน ซือ่ สตั ย์ตอ่ กัน ที.ปา.อ. (บาล)ี (บาล)ี ๓/๓๔๕/๒๔๖, องฺ.ทสก.อ. (บาลี)
๓/๑๗/๓๒.
กลฺยาณสหาย (สหายดี) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๕๙. สหายดี ในท่นี ้หี มายถงึ เพ่ือนร่วมงานท่ีดี ที.
ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๕/๒๔๖, องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๑๗/๓๒.
กสณิ ายตน (บ่อเกิดแห่งธรรมท่ีมีกสิณเป็นอารมณ์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๖๐. บ่อเกิดแห่ง
ธรรมทม่ี กี สณิ เป็นอารมณ์ หมายถึงท่ีเกิดหรอื ท่เี ป็นไปแห่งธรรมทั้งหลายโดยบรกิ รรมกสิณ
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๑๕
เป็นอารมณ์ คาว่า กสณิ หมายถงึ วัตถสุ าหรับเพง่ เพอื่ จูงใจให้เปน็ สมาธิ ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/
๓๔๖/๒๔๗, อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๕/๓๓๓, อง.ทสก.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๕/๓๙.
กาม (กาม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๖/๑๔๔. กาม ในท่ีนี้หมายถึงท้ังวัตถุกามและกิเลสกาม ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๑๘๖/๑๐.
กามตณฺหา (กามตณั หา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๖๓. กามตัณหา หมายถึงราคะท่ีมีกามคุณ ๕
เป็นอารมณ์ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๕/๑๘๒, ท.ี ปา.ฏีกา (บาล)ี ๓๐๕/๒๓.
กามสุขลฺลิกานโุ ยค (กามสุขลั ลกิ านโุ ยค) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๒. กามสุขัลลิกานุโยค ในท่ีน้ี
หมายถึงการหมกมุ่นด้วยกามสขุ ในวตั ถุกาม ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๐/๘.
กายสกฺขี (กายสกั ขี) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๐/๑๑๑. กายสกั ขี หมายถึง ผู้มีศรัทธาแก่กล้า ได้สัมผัส
วิโมกข์ ๘ ดว้ ยนามกายและอาสวะบางอย่างกส็ น้ิ ไป เพราะเห็นด้วยปัญญา และหมายถึง
พระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตผล องฺ.ทุก.อ.
(บาล)ี ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตฺตก.อ. (บาล)ี ๓/๑๔/๑๖.
กาลกญฺชิกา (อสูรชอ่ื กาลกัญชกิ า) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗/๘. อสรู ชื่อกาลกัญชิกา หมายถึงอสูรท่ีมีตัว
สงู ๓ คาวตุ มเี นือ้ และโลหิตน้อย เหมือนกับใบไม้เหลือง มีตาติดบนศีรษะคล้ายตาปู มี
ปากเทา่ รเู ขม็ บนศีรษะ ก้มตัวลงกินอาหารดว้ ยปากเลก็ ๆ นนั้ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๗.
กาลวาที (กาลวาที) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. กาลวาที หมายถึง ตรัสในเวลาเหมาะสม ขุ.
จู.อ. (บาล)ี ๘๓/๖.
กกุ ฺกฏุ สมฺปาติก (มีทกุ ระยะช่วั ไกบ่ ินตก) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๖/๗๗. มีทกุ ระยะชว่ั ไก่บินตก ในท่ีน้ี
หมายถึงระยะหา่ งจากบ้านหนง่ึ ถงึ บา้ นหน่งึ คานวณจากการบนิ ของไก่ คือ ในเมืองน้ี ไก่
สามารถบินจากหลังคาบ้านหลังหนึ่งไปลงหลังคาอีกบ้านหลังหน่ึงไ ด้ซึ่งแสดงว่ามี
บา้ นเรอื นหนาแน่นจนไกบ่ ินถึงกันได้ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๐๖/๔.
กุลจีร (ผา้ คากรอง) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๕๗/๓๙. ผา้ คากรอง หมายถึง ผา้ ท่ีถักทอด้วยหญ้าคา เป็นผ้า
ทพี่ วกฤๅษีใชน้ ุ่งห่ม อง.ฺ ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๙๔/๒๔.
กหุ ก (หลอกลวง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๓/๑๑๔. หลอกลวง หมายถึง ลวงด้วยอาการ ๓ คือ พูด
เลยี บเคยี ง แสรง้ แสดงอริ ิยาบถ คอื ยืน เดิน น่ัง นอน ให้น่าเล่ือมใส แสร้งปฏิเสธปัจจัย
อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๘๖๑/๕๘๖, องฺ.ปญฺจก.อ. (บาล)ี ๓/๘๓/๔๑, วิสทุ ฺธ.ิ (บาลี) ๑/๑๖/๒.
ขิฑฺฑาปโทสิก (ขิฑฑาปโทสิกะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๔๑/๓๐. ขิฑฑาปโทสิกะ หมายถึงเทพผู้
๑๑๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
เพลิดเพลินในการเลน่ จนเปน็ เหตใุ หไ้ ด้รบั โทษ คือต้องจุติจากพรหมโลก ที.ปา.อ. (บาลี)
๓/๔๑/๑๕, ที.ปา.ฏกี า (บาลี) ๔๑/๑.
คมมฺ (เป็นของชาวบ้าน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๖/๑๓๗. เปน็ ของชาวบ้าน ในที่นี้หมายถึง เป็นข้อ
ประพฤติปฏบิ ตั ขิ องคนโง่ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๖๐/๑๐.
โคจร (ธรรมอันเปน็ โคจร) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๘๐/๖๐. ธรรมอนั เปน็ โคจร ในทนี่ ้ีหมายถึง ธรรมที่เป็น
อารมณก์ มั มฏั ฐานของภิกษุ ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๘๐/๓๑, ที.ปา.ฏกี า (บาลี) ๘๐/๓.
จตรุ งฺคนิ เี สนา (จตุรงคนิ เี สนา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๘๕/๖๓. จตุรงคินเี สนา หมายถึง กองทัพท่ีมีกาลัง
๔ คือ พลช้าง พลมา้ พลรถ และพลเดินเท้า ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๒๕/๑๔.
จรณ (จรณะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๑๔/๑๗๘. จรณะ ในที่น้ีหมายถึงศีล ๕ ศีล ๑๐ หรือปาติโมกข
สงั วรศลี ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๑๔/๑๒.
เจโตปริย าณ (เจโตปริยญาณ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๒/๑๐๔. เจโตปริยญาณ หมายถึงปรีชา
กาหนดรใู้ จผ้อู นื่ ได้ คือรู้ใจผู้อืน่ อา่ นความคดิ ของเขาได้ เช่น รูว้ า่ เขากาลังคิดอะไรอยู่ ใจ
ของเขาเศร้าหมองหรอื ผ่องใส ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๔๒/๘๒, ๔๗๖/๒๑๓-๒๑๔, ที.ม. (ไทย)
๑๐/๑๔๕/๙.
เจโตวิมุตฺติ (เจโตวิมุตติ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๐/๘๒. เจโตวิมุตติ หมายถึงความหลุดพ้นแห่งจิต
ความหลุดพ้นจากกิเลสดว้ ยอานาจการฝึก หรอื ดว้ ยกาลงั สมาธิ เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโต
วิมุตติอนั ละเอียดประณตี ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๓๗๓/๒๘.
ฉทิสาปฏิจฺฉาทิ (ปิดปูองทิศ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๔๔/๒๐๐. ปิดปูองทิศ ในที่นี้หมายถึงปกปิด
ช่องวา่ งระหว่างตนกบั บุคคลท่เี กยี่ วขอ้ ง ซ่งึ เรยี กว่าทิศ ๖ ท.ี ปา.ฏกี า (บาลี) ๒๔๔/๑๕.
ชนปท (ชนบท) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๕๐/๓๕. ชนบท ในทน่ี ีห้ มายถึงเขตปกครองที่ประกอบด้วยเมือง
(นคร) หลายเมือง ตรงกบั คาวา่ แคว้นหรอื รฐั ในปจั จุบัน ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๗/๘.
าณ (ญาณ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๖/๑๔๔. ญาณ หมายถึงมรรคญาณ ๔ คือ โสตาปัตติมรรค
สกทาคามิมรรค อนาคามมิ รรค อรหตั มรรค ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๗/๑๐.
าณทสฺสน (ญาณทัสสนะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๗/๒๗๘. ญาณทัสสนะ ในที่น้ีหมายถึงทิพพจักขุ
ญาณ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๗/๒๐๓, อง.ฺ จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๓/๒/๔๑/๓๔.
าณวาท (ญาณวาท) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕/๑๓. ญาณวาท ในท่ีน้ีหมายถึงลัทธิที่เข้าใจว่าตนรู้
สพั พัญญตุ ญาณ และกล่าวอา้ งเรื่องสัพพญั ญุตญาณวา่ เรารทู้ ุกส่งิ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๕/
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๑๗
๙, ท.ี ปา.ฏกี า (บาล)ี ๑๕.
ฑณฺฑมาณวก (นกฑณั ฑมาณวะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๘๑/๒๒๖. นกฑณั ฑมาณวะ หมายถึงนกท่ีมี
หน้าเหมอื นคนซงึ่ ชอบนาท่อนไมส้ ีทองมาวางไวบ้ นใบบัว ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๘๑/๑๖.
ตตรฺ ปู ปตฺติ (เกิดในทนี่ ้ัน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๗/๓๔๖. เกิดในท่ีน้ัน หมายถึงเกิดในสถานที่ที่ตน
ปรารถนาไวข้ ณะทาบุญ อง.ฺ อฏฺฐก.อ. (บาลี) ๓/๓๕/๒๕.
ตถาคต (ตถาคต) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๙/๑๔๗. ตถาคต เป็นคาทล่ี ัทธิอน่ื ๆ ใช้กันมาก่อนพุทธกาล
หมายถงึ อัตตา (อาตมนั ) ไมไ่ ดห้ มายถึงพระพุทธเจ้า อรรถกถาอธิบายว่า สัตตะ ที.สี.อ.
(บาล)ี ๑/๖๕/๑๐๘, ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๙/๑๐.
ตสฺสปาปิยสิกา (ตัสสปาปิยสกิ า) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๙. ตัสสปาปิยสิกา หมายถึงวิธีระงับ
อธกิ รณ์โดยตัดสินลงโทษผูก้ ระทาผิด เม่ือสงฆ์พิจารณาตามหลกั ฐาน พยานแล้ว เห็นว่ามี
ความผดิ จรงิ แมเ้ ธอจะไม่รับสารภาพกต็ าม
ตณิ วตฺถารก (ตณิ วตั ถารกะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๙. ตณิ วตั ถารกะ หมายถึงวธิ รี ะงับอธิกรณ์
โดยใหท้ ง้ั ๒ ฝุายประนีประนอมกัน เปรียบเหมือนเอาหญ้ากลบไว้ ไม่ต้องชาระสะสาง
ความ วธิ นี ี้จะใชร้ ะงับอธกิ รณท์ ่ยี งุ่ ยาก เช่น กรณพี พิ าทกันของภิกษุชาวกรุงโกสัมพี วิ.ม.
(ไทย) ๕/๔๐๐-๔๐๑/๒๘๗-๒๘๙,๕๔๑/๓๓๑-๓๓.
ตณุ ฺฑกิ ีร (ใช้หญิงเป็นพาหนะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๘๑/๒๒๖. ใช้หญิงเป็นพาหนะ ในท่ีนี้หมายถึง
จับผ้หู ญิงทอ้ งมาเทยี มยานใหล้ ากไปเหมือนม้ากบี เดย่ี ว ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๘๑/๑๕.
ตณุ ฺฑิกีร (เตาอันปราศจากควันและถ่าน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๘๑/๒๒๖. เตาอันปราศจากควันและ
ถ่าน ในท่ีนห้ี มายถึงเตาทใ่ี ช้หนิ ซึง่ มคี วามร้อนในตัวเอง ๓ ก้อนวางเป็นสามเส้า แล้วนา
หมอ้ ข้าวท่บี รรจขุ ้าวสารวางไว้บนก้อนเส้านั้น แล้วข้าวก็จะสุกด้วยความร้อนท่ีเกิดจาก
กอ้ นเสา้ นนั้ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๘๑/๑๕.
ถามวต (มเี รยี่ วแรง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๑. มีเรี่ยวแรง หมายถึง มีความพยายามอย่าง
ม่นั คง ท.ี ปา.ฏกี า (บาล)ี ๑๖๐/๑๐.
เถร (ผมู้ ่นั คง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๒/๑๓๑. ผมู้ ั่นคง หมายถงึ ผูป้ ระกอบด้วยธรรมมีศลี ขันธ์เป็นต้น
ทที่ าใหม้ ีความมั่นคง ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๗๒/๙๙, ท.ี ปา.ฏีกา (บาล)ี ๑๗๒/๑๑.
ทม (การฝกึ ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๓/๑๖๕. การฝกึ ในที่นี้หมายถึงการฝึกอินทรีย์ ที.ปา.อ. (บาลี)
๓/๒๐๓/๑๑.
๑๑๘ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง
ทิฏ (รปู ทไี่ ด้เห็น) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. รูปท่ีไดเ้ ห็น หมายถงึ รูปายตนะ (อายตนะคือรูป)
ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๘/๑๐๔, องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๒๓/๓๐.
ทฏิ ฺ ปฏิเวธ (การแทงตลอดด้วยทฏิ ฐิ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๑/๓๓๔. การแทงตลอดด้วยทิฏฐิ แปล
จากบาลีวา่ ทิฏฐิปฏิเวธ หมายถึงมัคคทัสสนะ (การเหน็ ด้วยมรรค) กล่าวคือ การเห็นแจ้ง
ดว้ ยมคั คสัมมาทฏิ ฐิ องฺ.สตฺตก.อ. (บาล)ี ๓/๒๐/๑๖๕, ท.ี ปา.ฏกี า (บาล)ี ๓๓๑/๓๒.
ทิฏฺ ปตฺต (ทิฏฐิปัตตะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๐/๑๑๑. ทิฏฐิปัตตะ หมายถึง ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ
เขา้ ใจอริยสัจถูกต้อง กเิ ลสบางส่วนสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา มีปัญญาแก่กล้า และ
หมายถึงผ้บู รรลุโสดาปัตตผิ ลจนถึงผ้ปู ฏิบตั ิเพ่อื อรหตั ผล อง.ฺ สตตฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖.
ทฏิ ฺ สุปฺปฏิวทิ ธฺ (แทงตลอดดีด้วยทฏิ ฐิ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๕๙. แทงตลอดดีด้วยทิฏฐิ ในท่ีน้ี
หมายถงึ รู้แจ้งธรรมโดยผลและเหตุดว้ ยปญั ญา องฺ.จตุกกฺ .อ. (บาล)ี ๒/๒๒/๓๐.
ทิฏฺ อริย (อริยทิฏฐิ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๒๒. อริยทิฏฐิ ในที่น้ีหมายถึง สัมมาทิฏฐิใน
อรยิ มรรค องฺ.ฉกฺก.อ. (บาล)ี ๓/๑๑/๑๐.
ทวิ าทิว (แต่ยังวัน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๔๙/๓๕. แต่ยังวนั ในทน่ี ี้หมายถงึ เพิ่งจะเลยเท่ียง เพิ่งจะบ่าย
ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๔๙/๑.
เทวนิกาย (เทพนกิ าย) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๒/๓๕๕. เทพนิกาย ในที่นี้หมายถึงเทพที่เป็นอสัญญี
สัตว์ องฺ.อฏฺฐก.อ (บาลี) ๓/๒๙/๒๔.
ธมมฺ (ธรรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๒/๓๑๓. ธรรม ในท่ีน้ีหมายถึงอริยสัจ ๔ ที.ปา.ฏีกา (บาลี)
๓๒๒/๓๑๖, อง.ฺ ปญจฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๒๖/.
ธมฺม (ธรรม) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๘๔/๖๒. ธรรม ในท่นี หี้ มายถงึ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ คือ เว้น
ขาดจากการฆา่ สัตว์ เวน้ ขาดจากการถือเอาส่งิ ของท่ีเจ้าของเขามิได้ให้ เว้นขาดจากการ
ประพฤตผิ ิดในกาม เวน้ ขาดจากการพดู เท็จ เวน้ ขาดจากการพดู สอ่ เสยี ด เว้นขาดจากการ
พูดคาหยาบ เวน้ ขาดจากการพดู เพ้อเจอ้ ความไม่เพง่ เลง็ อยากไดข้ องของเขา ความมีจิต
ไมพ่ ยาบาท ความเหน็ ชอบ ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๘๔/๓.
ธมฺม (ธรรม) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๓/๑๖๕. ธรรม ในท่ีนี้หมายถึงกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ที.
ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๐๓/๑๑.
ธมฺมกาม (ผ้ใู ครธ่ รรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๖๐. ผู้ใคร่ธรรม ในที่นี้หมายถึงรักพระพุทธพจน์
คือพระไตรปฎิ ก ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๕/๒๔๗, องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๑๗/๓๒๒-๓๒.
พจนานกุ รมศพั ท์เชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๑๙
ธมมฺ นสิ นตฺ ิ (การใคร่ครวญธรรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๑/๓๓๔. การใครค่ รวญธรรม หมายถึงการ
เพ่งพนิ จิ พจิ ารณาเหน็ ธรรมโดยเปน็ สภาวะไม่เท่ียง เปน็ ทกุ ข์ และเป็นอนัตตา คาว่า ธมฺม
นสิ นตฺ ิ เปน็ ชอื่ ของวิปัสสนา ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๓๑/๒๓๙, องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๒๐/
๑๖๕, องฺ.สตฺตก.ฏกี า (บาลี) ๓/๒๐/๑๙.
ธมฺมปฏสิ เวที (รู้แจง้ ธรรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๒/๓๑๓. รูแ้ จง้ ธรรม ในทน่ี ี้หมายถึงรู้บาลีคือพระ
พุทธพจน์ เช่น ทรงจาบาลีท่ีให้รู้ความหมายได้อย่างถูกต้อง ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๓๒๒/
๓๑๖, อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี ๓/๔๓/๑๕๒-๑๕๓, องฺ.ปญจฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๒๖.
ธมฺมวาที (ธมั มวาที) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. ธัมมวาที หมายถึงตรัสถึงมรรคธรรมและผล
ธรรม ข.ุ จ.ู อ. (บาล)ี ๘๓/๖.
ธมฺมานุสารี (ธัมมานุสารี) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๐/๑๑๑. ธัมมานุสารี หมายถึง ผู้แล่นไปตามธรรม
คอื ผปู้ ฏบิ ัติเพอื่ บรรลโุ สดาปัตติผล มีปัญญาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ
อง.ฺ ทุก.อ. (บาล)ี ๒/๔๙/๕๕, อง.ฺ สตฺตก.อ. (บาล)ี ๓/๑๔/๑๖.
ธาตุ (ธาต)ุ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๑/๓๑๑. ธาตุ ในที่นี้หมายถึงธัมมธาตุและมโนวิญญาณธาตุขั้น
พเิ ศษ เป็นสภาวะทว่ี ่างจากอตั ตา (อัตตสุญญสภาวะ) องฺ.ปญฺจก.อ. (บาลี) ๓/๒๐๐/๘.
หรอื สภาวะทีป่ ราศจากชีวะ อง.ฺ ปญฺจก.ฏีกา (บาล)ี ๓/๒๐๐/๙.
นาม (นาม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๕๒. นาม หมายถึงอรปู ขันธ์ ๔ คอื เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สังขารขนั ธ์ วิญญาณขันธ์ และนิพพาน ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๔/๑๗๐-๑๗. องฺ.ทกุ . (ไทย)
๒๐/๙๐/๑๑๒, อภ.ิ สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๓๑๖-๑๓๑๗/๓๖๕
นเิ กต (กาเนดิ ก่อน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๑/๑๖๓. กาเนิดก่อน หมายถึงที่อยู่อาศัยในชาติก่อน ที.
ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๐๑/๑๐.
นทิ ฺทสวตฺถุ (นิททสวัตถุ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๑/๓๓๓. นทิ ทสวัตถุ แปลว่า ธรรมท่ีเป็นเหตุให้ช่ือ
ว่า นทิ ทสะ ซึ่งแปลว่า มีอายุไม่ถึง ๑๐ ปี คาน้ีเป็นคาท่ีพวก เดียรถีย์ใช้เรียกนิครนถ์ผู้
ประพฤติพรหมจรรยก์ าหนด ๑๒ ปี ถ้าตายลงเม่ือถึง ๑๐ ปี เรียกผู้นั้นว่า นิททส คือเมื่อ
มาเกดิ อีก จะมีอายไุ มถ่ งึ ๑๐ ปี และอาจไม่ถงึ ๙ ปี - ๑ ปี แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคทรงใช้คาน้ี
หมายถงึ พระขีณาสพในความหมายว่า ไมม่ กี ารเกิดอีก ไม่ว่าจะเกิดมาเพยี งวนั เดยี วหรอื ครู่
เดียวโดยมีเงื่อนไขว่า ผู้นั้นต้องเพียบพร้อมด้วยธรรม ๗ ประการ ส่วนเวลาประพฤติ
พรหมจรรย์มากน้อยไมส่ าคัญ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๓๑/๒๓๘, องฺ.สตตฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๒๐/
๑๖๔-๑๖.
๑๒๐ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง
นิปฺปปญฺจธมฺม (นปิ ปปญั จธรรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๘/๔๑๔. นิปปปัญจธรรม ในที่นี้หมายถึง
ธรรมทีป่ ราศจากส่งิ ปรุงแต่ง คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๕๘/๒๖.
นิปเฺ ปสิก (พูดบบี บงั คับ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๓/๑๑๔. พูดบบี บังคับ หมายถึงด่า พูดข่ม พูดนินทา
ตาหนโิ ทษ พดู เหยยี ดหยาม และการนาเรอื่ งไปประจานตลอดถงึ การพดู สรรเสริญต่อหน้า
นนิ ทาลบั หลงั อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๘๖๔/๕๘๗, อภ.ิ วิ.อ. (บาลี) ๘๖๔/๕๒๕, วิสุทฺธิ. (บาลี)
๑/๑๖/๒๔-๒.
นพิ พฺ ุติ (ความดบั ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๖/๒๗. ความดับ ในท่ีนี้หมายถึง กิเลสนิพพาน (ความดับ
กเิ ลส) ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๖/๑.
นิมติ ฺตคคฺ าหี (รวบถือ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๐/๒๘๔. รวบถือ คือมองภาพรวม โดยเห็นเป็นหญิง
หรือเป็นชาย เห็นวา่ รูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอรอ่ ย สมั ผัสท่ีอ่อนนมุ่ เป็นอารมณ์
ทนี่ ่าปรารถนาด้วยอานาจฉนั ทราคะ อภิ.สง.ฺ อ. (บาลี) ๑๓๕๒/๔๕๖-๔๕.
นิยฺยานกิ (เป็นเคร่ืองนาออกจากทุกข์ได้) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๘/๑๒๘. เป็นเคร่ืองนาออกจาก
ทุกข์ได้ ในที่นหี้ มายถงึ นาใหบ้ รรลุมรรคและผล ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๘/๙.
นยิ ฺยานกิ (อนั เป็นธรรมเครื่องนาออก) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๒๒. อันเป็นธรรมเครื่องนาออก
ในท่ีนี้หมายถึงมรรค ๔ คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และ
อรหัตมรรค ที่ตัดมูลเหตุแห่งวัฏฏะ ทานิพพานให้เป็นอารมณ์แล้วออกจากวัฏฏะได้
อภิ.สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๑๒๙๕/๓๖๑, อภ.ิ สง.ฺ อ. (บาลี) ๘๓-๑๐๐/๙.
นิโรธ (ความดับ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๐/๒๘๔. ความดบั เปน็ ช่อื เรยี กนิพพาน องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี)
๒/๑๔/๒๙.
นิโรธ (นิโรธ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๔/๓๗๔. นิโรธ ในที่น้ีหมายถึงอรหัตผล ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/
๓๕๓/๒๕.
นิโรธตณฺหา (นิโรธตัณหา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๖๔. นโิ รธตัณหา หมายถงึ ราคะที่สหรคตด้วย
อุจเฉททิฏฐิ ทีถ่ ือวา่ ภพ คอื ความเป็นมนษุ ย์ ความเป็นเทพช้ันกามาวจร ความเป็นเทพ
ชั้นรปู าวจรและชนั้ อรูปาวจร ขาดสญู ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๕/๑๘๒, ที.ปา.ฏีกา (บาลี)
๓๐๕/๒๓.
เนกขฺ มฺม (เนกขัมมะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๔/๓๗๔. เนกขัมมะ ในท่ีน้ีหมายถึงอนาคามิมรรค ที.
ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๕๓/๒๕.
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๒๑
เนมติ ฺติก (ทานิมิต) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๓/๑๑๔. ทานิมติ หมายถงึ แสดงอาการทางกาย ทางวาจา
เพอ่ื ใหค้ นอ่นื ให้ทาน เชน่ การพูดเป็นเลศนัย พดู เลยี บเคยี ง อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๘๖๓/๕๘๗,
อภิ.ว.ิ อ. (บาลี) ๘๖๔/๔๒๔, วสิ ทุ ฺธิ. (บาลี) ๑/๑๖/๒.
ปจฺเจกสจฺจ (ปัจเจกสจั จะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๕/๓๖๐. ปัจเจกสัจจะ หมายถึงความเห็นส่วนตัว
ของแต่ละคนท่ีแตกต่างกนั ไปโดยยึดถือว่า ความเห็นนีเ้ ท่าน้นั จรงิ ความเห็นนี้เท่านั้นจริง
ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๔๘/๒๕๑, อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๒๐/๓๒.
ปจฺฉาสมณ (ปัจฉาสมณะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗/๗. ปัจฉาสมณะ หมายถึงพระติดตามคือคอย
ติดตามรบั ใช้ ข.ุ อ.ุ อ. (บาลี) ๗๗/๔๕.
ปญฺ ตฺติ (บัญญัติ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๙๒/๑๕๒. บัญญัติ มี ๒ อย่าง คือ บัญญัติ อธิบัญญัติ
บญั ญัติ หมายถึงทิฏฐบิ ญั ญตั ิ อธิบัญญัติ หมายถึง ขนั ธบัญญตั ิ ธาตบุ ัญญตั ิ อายตนบัญญัติ
อินทรยิ บญั ญตั ิ สัจจบัญญัติ และปคุ คลบญั ญัติ ในทน่ี ี้หมายเอาทั้งบัญญัติและอธิบัญญัติ
ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๙๒/๑๐.
ปญฺ าปารปิ รู ิ (ความบริบรู ณ์แห่งปัญญา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗๘/๕๘. ความบริบูรณ์แห่งปัญญา
ในท่นี ห้ี มายถึงมรรคปญั ญา ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๗๘/๒.
ปญฺ าวมิ ุตฺต (ปัญญาวิมุต) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๐/๑๑๑. ปัญญาวิมุต หมายถึง ผู้บาเพ็ญวิปัสสนา
ลว้ น ๆ จนบรรลุอรหัตผล อง.ฺ สตตฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๑๔/๑๖.
ปญฺ าวิมตุ ฺติ (ปัญญาวมิ ตุ ติ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๐/๘๒. ปัญญาวิมุตติ หมายถึงความหลุดพ้น
ด้วยปญั ญา ความหลุดพน้ ทบี่ รรลดุ ว้ ยการกาจัดอวิชชาได้ ทาให้สาเร็จอรหตั ผล และทาให้
เจโตวมิ ุตติ เปน็ วิมุตติท่ีไมก่ าเรบิ คือ ไมก่ ลบั กลายได้อกี ต่อไป ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๓๗๓/๒๘.
ปฏิญฺ าตกรณ (ปฏญิ ญาตกรณะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๙. ปฏิญญาตกรณะ หมายถึงวิธี
ระงับอธกิ รณโ์ ดยปรับอาบตั ิตามคารบั สารภาพของภิกษุผตู้ อ้ งอาบตั ิ
ปฏิภานว (มไี หวพริบ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗๓/๒๑๗. มีไหวพริบ ในทนี่ ห้ี มายถงึ มีความเฉลียวฉลาด
ในการไหว้ทิศ คือเข้าใจความหมายของการไหว้อย่างถูกต้อง ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๗๓/
๑๕.
ปฏิสลฺลีน (ประทบั หลกี เร้นอยู่) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๔๙/๓๔. ประทับหลีกเร้นอยู่ หมายถึง เข้าฌาน
อยู่ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๔๙/๑.
ปณว (บณั เฑาะว์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๙๒/๖๙. บณั เฑาะว์ ในทน่ี หี้ มายถงึ กลองที่ใช้ตีให้สัญญาณเม่ือ
๑๒๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
จะประหารนักโทษ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๙๒/๓.
ปตตฺ (ธรรมารมณ์ท่ีรแู้ จง้ ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. ธรรมารมณ์ที่รแู้ จง้ หมายถึงธรรมารมณ์
มีสขุ และทกุ ขเ์ ปน็ ตน้ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๘๘/๑๐๔, อง.ฺ จตุกฺก.อ. (บาล)ี ๒/๒๓/๓๐.
ปตฺตโยคคเฺ ขม (ธรรมอนั เกษมจากโยคะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๓/๑๓๒. ธรรมอันเกษมจากโยคะ
ในทนี่ ้ีหมายถึง อรหัตผล ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๗๓/๙.
ปทกขฺ ิณ (ประทักษณิ ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๙๘/๒๔๘. ประทักษิณ หมายถึงเดินเวียนขวา คือเดิน
พนมมอื เวยี นไปทางขวาตามเขม็ นาฬกิ า เปน็ การแสดงความเคารพ ตามธรรมเนียมสมัย
นนั้ ตอ้ งเดินเวียนขวา ๓ รอบ โดยมีพระผ้มู ีพระภาคอย่ทู างขวา เสรจ็ แล้วหันหน้าไปทาง
พระผ้มู พี ระภาค เดนิ ถอยหลังจนสดุ สายตา คือจนมองไม่เหน็ พระผู้มีพระภาค คุกเข่าลง
กราบด้วยเบญจางคประดษิ ฐ์ แล้วเดนิ จากไป วิ.อ. (บาลี) ๑/๑๕/๑๗๖-๑๗.
ปธาน (ความเพียรท่ีต้ังมั่น) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๙/๑๐๙. ความเพียรท่ีต้ังม่ัน หมายถึงความ
พยายามท่มี ุ่งตรงตอ่ ภาวนา ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๔๙/๗๕, ท.ี ปา.ฏีกา (บาลี) ๑๔๙/๘.
ปมาท (ความประมาท) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๘๔/๖๒. ความประมาท ในที่นี้หมายถึง ความมีจิต
หมกมุ่นในกามคณุ ๕ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๘๔/๓.
ปรปปฺ วาท (ปรปั วาท) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๓/๑๓๒. ปรัปวาท หมายถึง วาทะ หรือลัทธิต่าง ๆ
ของเจา้ ลัทธอิ ืน่ นอกพระพุทธศาสนา ท.ี ม.ฏีกา (บาล)ี ๓๗๔/๓๗๕, ขุ.ม.อ. (บาลี) ๓๑/๒๓.
ปรนิ พิ ฺพาน (ปรินิพพาน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๘/๔๑๒. ปรินิพพาน ในที่น้ีหมายถึงความดับกิเลส
อง.ฺ อฏฺฐก.อ. (บาล)ี ๓/๒๙/๒๔.
ปรปิ ณุ ฺณ (เต็มรูปแบบ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๓/๘๔. เต็มรูปแบบ ในท่ีน้ีหมายถึงยกอักโกสวัตถุท้ัง
๑๐ อยา่ งมาดา่ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๑๓/๔.
ปาตโิ มกฺขสวร (สงั วรในพระปาตโิ มกข์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๘/๔๐๕. สังวรในพระปาติโมกข์ มี
อรรถาธบิ ายแต่ละคาดงั น้ี สังวร หมายถงึ การไม่ล่วงละเมิดทางกาย ทางวาจา ปาติโมกข์
หมายถงึ ศลี สิกขาบทที่เป็นเหตใุ ห้ผ้รู กั ษาหลุดพน้ จากทุกข์ (ปาติ=รักษา+โมกขะ = ความ
หลดุ พ้น) วสิ ทุ ธฺ .ิ (บาล)ี ๑/๑๔/๑.
ธมฺม (ธรรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๘/๔๑๒. ธรรม ในที่นห้ี มายถึงสัจจะ ๔ องฺ.อฏฺฐก.อ. (บาลี) ๓/
๒๙/๒๔.
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๒๓
ปยิ วาทิต (เปยยวัชชะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๑๑/๑๗๑. เปยยวัชชะ บาลีเป็นปิยวาทิตะ แปลว่า การ
กลา่ ววาจาเปน็ ทรี่ กั ท.ี ปา. (บาล)ี ๑๑/๒๑๑/๑๓.
ปตี ภิ กฺขา (มปี ีตเิ ปน็ ภกั ษา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๙/๘๙. มีปีติเป็นภักษา หมายความว่าแม้อยู่ใน
มนษุ ยโลกนกี้ ม็ ีปตี เิ ปน็ อาหารเหมอื นอยู่ในพรหมโลก ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๙/๕.
ปรุ ิมชาติ (ชาติก่อน) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๑/๑๖๓. ชาติก่อน หมายถึงชาติท่ีเคยเกิดมาก่อน ที.
ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๐๑/๑๐.
ปุรมิ ภว (ภพกอ่ น) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๑/๑๖๓. ภพก่อน หมายถึงชาติท่ีเคยเกิดมาก่อน ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๒๐๑/๑๐.
ปุริสโธรยฺห (ความเอาธุระของบุรษุ ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๑. ความเอาธุระของบุรุษ หมายถึง
ความม่งุ มัน่ ท่ีจะทาธุระให้สาเร็จลุลว่ งได้ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๐/๘.
ผตี (กวา้ งขวาง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๔/๑๓๔. กว้างขวาง ในที่นี้หมายถึง เจริญสูงข้ึนจนถึงที่สุด
แห่งความเจริญทางศาสนามคี วามถงึ พรอ้ มด้วยอภิญญาเป็นต้น ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๑๖๘/
๑๘.
พาหุชญฺ (รู้จักกันโดยมาก) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๔/๑๓๔. ๖ รู้จักกันโดยมาก ในที่น้ีหมายถึง
ได้รบั ประโยชนเ์ กอ้ื กูลจากการบรรลุธรรมกันโดยท่ัวไป ที.ม.ฏกี า (บาลี) ๑๖๘/๑๘.
พฺยาปาท (ความพยาบาท) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๓/๗๔. ความพยาบาท หมายถึงความโกรธท่ีทา
ใหป้ ระโยชนส์ ขุ ท้ังของตนทั้งของคนอน่ื พนิ าศ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๐๓/๓.
พฺรหฺมกายกิ (พรหมกายกิ า) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๖. เทพชั้นพรหมกายิกา หมายถึงพรหม
ชั้นปฐมฌานภูมิ (ระดับปฐมฌาน) ๓ ชั้น คือ พรหมปาริสัชชา (พวกบริษัทบริวาร
มหาพรหม) พรหมปโรหติ า (พวกปุโรหิตมหาพรหม) มหาพรหมา (พวกท้าวมหาพรหม) ท.ี
ม.อ. (บาลี) ๒/๑๒๗/๑๐๙-๑๑.
พฺรหมฺ จริย (พรหมจรรย์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๔/๑๓๔. พรหมจรรย์ ในที่น้ีหมายถึง ศาสนพรหม
จรรย์คือคาสัง่ สอนในพระพุทธศาสนาท้งั ส้นิ ทร่ี วมลงในไตรสกิ ขา ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๘/
๑๕.
ภวตณหฺ า (ภวตณั หา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๕๒. ภวตัณหา หมายถึงความปรารถนาภพ ที.
ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๔/๑๗.
๑๒๔ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
ภวตณฺหา (ภวตณั หา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๖๓. ภวตัณหา หมายถึงราคะในรูปภพและอรูป
ภพ ราคะอันสหรคตด้วยสสั สตทิฏฐิ หรือความปรารถนาภพ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๕/๑๘.
ภวทฏิ ฺฐิ (ภวทฏิ ฐิ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๕๒. ภวทิฏฐิ หมายถึงสัสสตทิฏฐิ คือเห็นว่าอัตตาและ
โลกเท่ียง ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๔/๑๗. องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๙๒/๑๑๓, อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/
๘๙๖/๕๖๒
ภินฺนถูป (ท่ีพานักถูกทาลายแล้ว) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๔/๑๒๕. ที่พานักถูกทาลายแล้ว
หมายความวา่ นคิ รนถ์ นาฏบตุ รเป็นทพี่ านกั ของเหล่าสาวก เม่อื เขาถึงแก่กรรมแล้ว เหล่า
สาวกจึงหมดทพ่ี ง่ึ พงิ ธรรมของเขาก็เหมือนสญู สน้ิ ไปดว้ ย ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๔/๙.
ภูตวาที (ภูตวาที) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. ภูตวาที หมายถึงตรัสสภาวะที่เป็นจริง ขุ.จู.อ.
(บาล)ี ๘๓/๖.
มงฺกภุ ตู (เกอ้ เขิน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗๕/๕๔. เกอ้ เขิน ในท่ีน้ีหมายถงึ หมดอานาจ หมดฤทธ์ิเดช ที.
ปา.อ. (บาล)ี ๓/๗๕/๒.
มจฺฉรยิ (ความตระหน่ี) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๖๒/๔๓. ความตระหนี่ ในท่ีน้ีหมายถึง ความไม่พอใจท่ี
เหน็ เขาทาสกั การะ เปน็ ตน้ แกค่ นอื่น ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๖๑/๒.
มณฺฑล (แวดวง) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๓๑/๙๗. แวดวง แปลจากคาว่า มณฺฑล ซ่ึงอรรถกถาให้
ความหมายว่า คณะ (หมู่) เช่น คาวา่ พฺราหมฺ ณคณสสฺ แปลว่าหมู่ของพราหมณ์ ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๑๓๒/๕.
มนสิการสกฺกาย (มนสิการสักกายะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๑/๓๑๒. มนสิการสักกายะ ในที่นี้
หมายถึงวธิ ีการทีพ่ ระอรหนั ตส์ กุ ขวิปัสสกะ (ผ้บู าเพญ็ วปิ ัสสนาล้วน ๆ) ผเู้ หน็ นพิ พาน ด้วย
อรหัตมรรคและอรหัตผล ออกจากผลสมาบัติแล้ว ส่งจิตไปยังอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพื่อจะทดสอบ ว่า ความยึดม่ันรูป เวทนา สัญญา
สงั ขาร วญิ ญาณ ว่าเป็นอตั ตายงั มีอยหู่ รอื ไม่ องฺ.ปญจฺ ก.อ. (บาลี) ๓/๒๐๐/๘. อน่ึง ๔ วิธี
แรกดังกลา่ วมาแล้ว เปน็ วธิ ีของทา่ นผูเ้ ปน็ สมถยานิกะ (ผบู้ าเพ็ญสมถกัมมัฏฐาน) แต่วิธีท่ี
๕ นเ้ี ป็นวิธีของทา่ นผเู้ ป็นวปิ สั สนายานกิ ะ (ผ้บู าเพญ็ วปิ สั สนาล้วน) องฺ.ปญจฺ ก.ฏีกา (บาลี)
๓/๒๐๐/๙.
มนสุ สฺ ราหสเฺ สยฺยก (เปน็ สถานท่ที าการลบั ของมนุษย์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๕๒/๓๖. เป็นสถานท่ีทา
การลบั ของมนุษย์ ในทีน่ ีห้ มายถึงปุาที่มีสภาพเงียบสงัดจากผคู้ น ที.ปา.ฏกี า (บาลี) ๕๒/๑.
พจนานกุ รมศพั ท์เชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๒๕
มโนปโทสกิ (มโนปโทสิกะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๔๓/๓๑. มโนปโทสิกะ หมายถึงเทพท่ีต้องจุติเพราะ
คดิ รา้ ยกันและกัน ท.ี สี. (ไทย) ๙/๔๗-๔๘/๒๐-๒.
มโนภาวนีย (เป็นท่ีเจริญใจ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๔๙/๓๔. เป็นที่เจริญใจ ในท่ีน้ีหมายถึงผู้ทาจิตของ
คนท่ีไปหาใหเ้ จรญิ ขน้ึ และให้ปราศจากนวิ รณ์ ๕ ประการ คือ กามฉันทะ (ความพอใจใน
กาม) พยาบาท (ความคดิ ร้าย) ถนี มิทธะ (ความหดหู่และเซอื่ งซึม) อทุ ธจั จกุกกุจจะ (ความ
ฟูุงซา่ นและร้อนใจ) วิจิกจิ ฉา (ความลงั เลสงสัย) ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๔๙/๑.
มโนมย (สาเรจ็ ได้ตามปรารถนา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๙/๘๙. สาเรจ็ ไดต้ ามปรารถนา หมายความ
วา่ สัตวเ์ หลา่ นั้นแมม้ าเกิดในมนษุ ยโลกนี้ กย็ ังเปน็ โอปปาตกิ ะ เกดิ ขน้ึ ดว้ ยใจทบ่ี รรลอุ ปุ จาร
ฌานอยา่ งเดียวกัน ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๙/๕๐,ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๑๑๙/๕.
มลขลิ ก (สนมิ ตะปู) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๒๙/๑๘๗. สนมิ ตะปู คาว่า สนิม ในท่ีน้ีหมายถึงอกุศลมูล
คือ ราคะ โทสะ โมหะ ทท่ี าจติ ให้เศร้าหมอง ส่วนคาว่า ตะปู หมายถงึ อกศุ ลมูล คือ ราคะ
โทสะ โมหะ ที่ตรึงจติ ไว้ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๔๑/๑๓.
มหคคฺ ต (มหัคคตะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๘/๒๘๐. มหคั คตะ หมายถึงอารมณ์ที่ถึงความเป็นใหญ่
ชัน้ รูปาวจร และชั้นอรูปาวจร เพราะมีผลทีส่ ามารถขม่ กเิ ลสได้ และหมายถึงฉันทะ วิริยะ
จติ ตะ และปัญญาอันยิง่ ใหญ่ อภ.ิ สงฺ.อ. (บาล)ี ๑๒/๙.
มหาพนธฺ น (เครอื่ งผกู ใหญ่) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔/๒๖. เคร่อื งผกู ใหญ่ ในที่นี้หมายถึง กิเลสตัณหา
หรือ สังโยชน์ ๑๐ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ (ความเห็น ว่าเป็นตัวของตน) วิจิกิจฉา
(ความลงั เลสงสัย) สีลพั พตปรามาส (ความถือมัน่ ศีลพรต) กามราคะ (ความพอใจในกาม)
ปฏฆิ ะ (ความกระทบกระท่งั ) รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่ง รูปฌาน) อรูปราคะ
(ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน) มานะ (ความถือตัว) อุทธัจจะ (ความฟูุงซ่าน)
อวิชชา (ความไมร่ แู้ จ้ง) ท.ี ปา.ฏกี า (บาลี) ๓๔/๑.
มหาวิทุคคฺ (ห้วงน้าใหญท่ ี่ข้ามได้ยาก) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔/๒๖. ห้วงน้าใหญ่ที่ข้ามได้ยาก ในท่ีน้ี
หมายถงึ โอฆะ ๔ ประการ คือ กาโมฆะ (โอฆะคือกาม) ภโวฆะ (โอฆะคือภพ) ทิฏโฐฆะ
(โอฆะคือทฏิ ฐ)ิ อวิชโชฆะ (โอฆะคอื อวิชชา) ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๔/๑.
มหาสาล (มหาศาล) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐/๑๖. มหาศาล ในท่ีน้ีหมายถึงผู้มีทรัพย์มาก คือ ขัตติย
มหาศาล มีพระราชทรพั ย์ ๑๐๐-๑,๐๐๐ โกฏิ พราหมณมหาศาลมที รพั ย์ ๘๐ โกฏิ คหบดี
มหาศาลมที รพั ย์ ๔๐ โกฏิ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๑๐/๑๙.
๑๒๖ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
มารพล (กาลังของมาร) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๐/๘๒. กาลังของมาร ในท่ีนี้หมายถึง กาลังของ
เทวปตุ ตมาร มัจจุมาร และกเิ ลสมาร ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๑๐/๔.
มจิ ฺฉาทฏิ ฺ (เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๒๓. เป็นมจิ ฉาทิฏฐิ หมายถึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ
บคุ คลพวกท่ถี อื นตั ถิกวาทะ (ลัทธิท่ีถือว่า ทานท่ีบคุ คลใหแ้ ล้ว ไม่มผี ล) อเหตุกวาทะ (ลัทธิ
ท่ถี อื วา่ ไมม่ ีเหตปุ ัจจยั เพ่อื ความบรสิ ุทธิแ์ ห่งสัตว์ทั้งหลาย) และอกิริยวาทะ (ลัทธิท่ีถือว่า
การกระทาทกุ อย่างไมม่ ผี ล ทาดีก็ไมไ่ ดด้ ี ทาช่ัวกไ็ ม่ได้ช่ัว เป็นความเห็นที่ปฏิเสธกฎแห่ง
กรรม) องฺ.ฉกฺก.อ. (บาล)ี ๓/๓๖/๑๑. ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๖๕/๕๔, ๑๖๗/๕๕,๑๗๓/๕๘
มิจฺฉาธมฺม (มิจฉาธรรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๑/๗๒. มิจฉาธรรม แปลว่า ความกาหนัดผิด
ธรรมชาติ หมายถึงความกาหนัดที่ผู้ชายมีต่อผู้ชาย และท่ีผู้หญิง มีต่อผู้หญิง ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๑๐๑/๓.
มิตฺตามจฺจ (มติ รอามาตย์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๕๑/๒๐๔. มติ รอามาตย์ แยกอธบิ ายได้ดังน้ี มิตร ใน
ทนี่ ้หี มายถึงคนทส่ี ามารถใชส้ อยสิ่งของในบ้านเรือนของกัน และกันได้ อามาตย์ ในที่น้ี
หมายถึงเพ่ือนร่วมงาน ส.ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๑๒/๓๖.
มตุ ฺต (มตู ร) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๙/๑๐๙. มูตร หมายถึง น้าปัสสาวะท่ีอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
ขุ.ขุ.อ. (บาลี) ๓/๕.
มทุ ฺธาวสิตฺต (มรู ธาภิเษก) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๘๓/๖๑. มูรธาภเิ ษก หมายถึงพธิ หี ลัง่ นา้ รดพระเศียรใน
งานราชาภิเษก หรือพระราชพิธีอื่น ๆ พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒
หน้า ๘๗.
เมตฺตากายกมมฺ (เมตตากายกรรม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๒๑. เมตตากายกรรม ในท่ีนี้หมายถึง
กายกรรมที่พึงทาดว้ ยจติ ประกอบด้วยเมตตา เมตตาวจีกรรมและ เมตตามโนกรรม ก็มี
อรรถาธิบายเช่นเดยี วกนั นี้ อง.ฺ ฉกกฺ .อ. (บาลี) ๓/๑๑/๙.
เมตฺตาเจโตวิมตุ ฺติ (เมตตาเจโตวิมุตติ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๖/๓๒๕. เมตตาเจโตวิมุตติ ในที่น้ี
หมายถงึ เมตตาทเ่ี กดิ จากตตยิ ฌานและจตุตถฌาน เพราะพ้นจากปัจจนีกธรรม (ธรรมท่ี
เปน็ ข้าศกึ ) กลา่ วคอื นิวรณ์ ๕ ประการ ได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจ-
กุกกุจจะ วิจิกิจฉา ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๒๖/๒๓๔, องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๑๗/๔๒,
อง.ฺ ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๑๓/๑๐.
เมถนุ ธมฺม (เมถนุ ธรรม) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๓๓/๙๘. เมถนุ ธรรม แปลวา่ ธรรมแห่งการดาเนินชีวิต
ของคนคู่ หมายถงึ อสทั ธรรมซึง่ เปน็ ประเวณีของชาวบา้ น มารยาทของคนช้ันต่า กิริยาชั่ว
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๒๗
หยาบ มีนา้ เป็นที่สุด เปน็ กจิ ทตี่ ้องทาในท่ลี บั ตอ้ งทากนั สองตอ่ สอง วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/
๔๒, อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๗๕/๑๖.
ยสคฺคปฺปตฺต (ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยยศ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑/๑๐. ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยยศ
หมายถึงมีนกั บวชเปลือยจานวนมากหอ้ มล้อมและมีคฤหสั ถ์ผู้ม่ังคั่งมาเยี่ยมเยือน อยู่เป็น
ประจา ที.ปา.ฏกี า (บาลี) ๑๑.
เยภุยฺยสิกา (เยภุยยสิกา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๙. เยภุยยสิกา หมายถึงวิธีระงับอธิกรณ์โดย
ตัดสินตามเสียงข้างมาก สงฆ์จะใช้วิธีการนี้ ในกรณีที่บุคคล หลายฝุายมีความเห็นไม่
ตรงกัน
รตฺตญฺญู (มีประสบการณ์มาก) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๓/๑๓๒. มีประสบการณ์มาก ในที่นี้หมายถึง
บวชมานานประสบพบเห็นเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ มามาก ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๑๕๑/๑๓.
รูป (รปู ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๕๒. รูป หมายถึงมหาภูตรูป ๔ และรูปท่ีอาศัยมหาภูตรูป ๔
(คืออปุ าทายรูป ๒) ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๔/๑๗. อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๓๑๖-๑๓๑๗/
๓๖๕
รูปี (มรี ูป) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๙/๓๕๐. มีรูป ในที่น้หี มายถึงได้รูปฌานท่ีเกิดจากการทาบริกรรม
ในรปู ภายในตน เช่นทาบริกรรมผม เหง่อื เนอื้ เลอื ด กระดูก ฟนั เล็บ โดยวิธกี ารบริกรรม
เปน็ สีต่าง ๆ มสี เี ขียว เหลือง แดง เป็นต้น อง.ฺ อฏฺฐก.อ. (บาลี) ๓/๖๕/๒๗๐, ๖๖/๒๗.
ลปก (พูดปูอยอ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๓/๑๑๔. พูดปอู ยอ หมายถึงพูดยกย่องมุ่งหวังลาภสักการะ
และช่ือเสียง อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๘๖๒/๕๘๗, องฺ.ปญฺจก.อ. (บาลี) ๓/๘๓/๔๑, วิสุทฺธิ.
(บาล)ี ๑/๑๖/๒.
ลาภ (ลาภ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๕๙/๔๑. ลาภ ในท่ีนหี้ มายถึง การไดป้ จั จัย ๔ ประการท่ีเขาเตรียมไว้
เพื่อน้อมถวาย คือ ผ้าน่งุ ห่ม อาหาร ท่ีอยอู่ าศยั ยารักษาโรค ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๕๙/๒.
ลาภคคฺ ปปฺ ตฺต (ถงึ ความเปน็ ผ้เู ลศิ ด้วยลาภ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑/๑๐. ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ
หมายถึงได้รบั การนับถือวา่ เปน็ สมณะชน้ั ดี จึงไดร้ ับของถวายแต่ท่ดี ี ๆ ท.ี ปา. ฏีกา (บาลี)
๑๑.
โลก (โลก) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗๐/๔๘. โลก แปลวา่ สภาพที่ต้องแตกสลาย ในที่นี้หมายถึงอุปาทาน
ขนั ธ์ ๕ ประการ คอื ความยึดติด รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และวิญญาณว่ามีตัวตนและ
เปน็ ของตน อนั เปน็ เหตุให้เกิดทุกข์ ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๑๗/๑๙.
๑๒๘ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คมุ้ ครอง
วทญญฺ ู (รู้เร่อื งทีเ่ ขาบอก) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗๓/๒๑๗. รู้เร่ืองที่เขาบอก ในที่นี้หมายถึงรู้เร่ืองท่ี
บุพการสี ่งั ไว้แล้วปฏิบัตติ ามน้นั ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๗๓/๑๕.
วนปตฺถ (ปุาทึบ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๕๒/๓๖. ปุาทึบ หมายถึงปุาที่ไม่มีคนอาศัยทามาหากิน มี
ลักษณะ ๕ อยา่ ง คือ อย่หู ่างไกล อยู่กลางดง นา่ กลัว นา่ สยอง ตง้ั อยชู่ ายแดน ท.ี ปา.ฏีกา
(บาลี) ๕๒/๑.
วชชฺ คิ าม (วัชชคี าม) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๖/๕. วัชชคี าม หมายถึงกรุงเวสาลีซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้า
วชั ชี ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๖.
วฆิ าตปริฬาห (ความเร่าร้อนท่ีก่อความคับแคน้ ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๑/๓๑๑. ความเร่าร้อนท่ีก่อ
ความคับแค้น ในท่ีน้ีหมายถึงความเร่าร้อนเพราะกิเลสหรือความเร่าร้อนเพราะวิบาก
กรรมที่ก่อความคับแค้นให้ หรือให้เกิดทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ อันเป็นผลมาจาก
อาสวะ อง.ฺ ฉกกฺ .อ. (บาล)ี ๓/๕๘/๑๔๐, องฺ.ฉกฺก.ฏกี า (บาลี) ๓/๕๘/๑๕.
วชิ ฺชา (วิชา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๑๔/๑๗๘. วชิ า ในท่ีน้หี มายถงึ วิชาหลายหลากมวี ชิ าหมองู เป็นต้น
ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๑๔/๑๒.
วิญฺ าณญฺจายตนฌาน (วิญญาณัญจายตนฌาน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๖. วิญญาณัญ
จายตนฌาน หมายถงึ ฌานทีก่ าหนดวญิ ญาณอนั หาทส่ี ุดมไิ ดเ้ ป็นอารมณ์ เปน็ ขั้นที่ ๒ ของ
อรปู ฌาน ๔ ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๔๑๔/๓๐.
วญิ ฺ าต (อารมณท์ ี่ได้ทราบ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. อารมณ์ท่ีได้ทราบ หมายถึงคันธา
ยตนะ (อายตนะคือกลิ่น) รสายตนะ (อายตนะคือรส) โผฏฐัพพายตนะ (อายตนะคือ
โผฏฐัพพะ) เพราะเปน็ สภาวะที่บคุ คลถึงแล้วจงึ กาหนดได้ ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๘/๑๐๔,
องฺ.จตกุ ฺก.อ. (บาล)ี ๒/๒๓/๓๐.
วติ ฺถาริต (แพร่หลาย) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๔/๑๓๔. แพร่หลาย ในท่ีน้ีหมายถึง กระจายออกไป
ดารงอยทู่ ั่วทกุ ทิศ ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๖๘/๑๕.
วนิ ยวาที (วินยวาที) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๘/๑๔๖. วินยวาที หมายถึงตรัสถึงวินัยท่ีมีการสารวม
เป็นตน้ ขุ.จู.อ. (บาล)ี ๘๓/๖.
วนิ ปิ าติก (วนิ ิปาติกะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๗๐. วินิปาติกะ หมายถึงสัตว์จาพวกปลาและเต่า
เปน็ ต้นท่ีมที ีอ่ ย่ปู ระจาของตน ยกเวน้ สัตวน์ รก ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๕/๑๙.
พจนานกุ รมศัพทเ์ ชงิ อรรถพระไตรปฎิ ก ๑๒๙
วภิ วตณฺหา (วภิ วตัณหา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๖๓. วิภวตัณหา หมายถึงราคะที่สหรคตด้วย
อุจเฉททิฏฐิ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๕/๑๘.
วภิ วทิฏฺ (วิภวทิฏฐิ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๕๒. วิภวทิฏฐิ หมายถึงอุจเฉททิฏฐิ คือเห็นว่า
อัตตาและโลกขาดสญู ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๓๐๔/๑๗.
วิมุตฺติ าณ (ความหย่งั รู้การหลุดพน้ ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๕/๑๑๕. ความหยั่งรู้การหลุดพ้น ใน
ทนี่ ห้ี มายถึง ความรู้ในเรอ่ื งการละกเิ ลสของผู้อ่นื ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๕๔/๘๒, ที.ปา.ฏีกา
(บาลี) ๑๕๕/๙.
วโิ มกฺข (วโิ มกข์) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๙/๓๕๐. วิโมกข์ แปลว่า ความหลุดพ้น หมายถึงภาวะท่ีจิต
หลุดพ้นจากส่ิงรบกวนและนอ้ มด่ิงไปในอารมณน์ ้ัน อง.ฺ อฏฺฐก.อ. (บาล)ี ๓/๖๖/๒๗.
วริ าค (ความคายกาหนัด) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๐/๒๘๔. ความคายกาหนัด เป็นช่ือเรียกนิพพาน
องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๑๔/๒๙.
วิวฏฺฏกปฺป (วิวัฏฏกปั ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๗๒/๕๑. วิวฏั ฏกัป หมายถึงช่วงระยะเวลาที่โลกเจริญหรือ
หมายถึงช่วงระยะเวลาที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เกิดจน ถึงมีมหาเมฆบริบูรณ์ องฺ.
จตุกกฺ .ฏีกา (บาล)ี ๒/๑๕๖-๑๕๘/๔๒๑, วสิ ทุ ธฺ ิ. (บาล)ี ๒/๔๐๖/๕.
วเิ วก (ความสงัด) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๐/๒๘๔. ความสงัด เป็นชื่อเรียกนิพพาน องฺ.จตุกฺก.อ.
(บาล)ี ๒/๑๔/๒๙.
วสิ มโลภ (วสิ มโลภะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๑/๗๒. วสิ มโลภะ แปลวา่ ความโลภจัด หมายถึงความ
โลภท่รี นุ แรงในฐานะแม้ท่ีควรจะได้ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๐๑/๓.
วสิ ุกมฺมนฺต (การงานท่ีแตกตา่ งออกไป) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๓๓/๙๘. การงานที่แตกต่างออกไป ใน
ที่นี้หมายถึงการงานทที่ าใหม้ ีช่ือเสียงโดดเด่น เชน่ โคปกกรรม
วุสิตพฺรหฺมจริย (อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๖/๘๗. อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
หมายถึงได้เป็นพระอเสขะ ส่วนพระเสขะ ๗ จาพวก และกัลยาณปุถุชนชื่อว่ากาลัง
ประพฤติพรหมจรรย์ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๖/๔.
กตกรณีย (ทากิจที่ควรทาเสร็จแล้ว) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๖/๘๗. ทากิจท่ีควรทาเสร็จแล้ว
หมายถึงทากิจมคี วามกาหนดรู้ เป็นต้น ในอริยสัจ ๔ ด้วยมรรค ๔ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/
๑๑๖/๔.
๑๓๐ ผศ.ดร.วิโรจน์ คมุ้ ครอง
เวปุลฺลตฺต (ความไพบลู ย์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗๘/๕๘. ความไพบูลย์ ในที่นี้หมายถึงผลปัญญา ที.
ปา.อ. (บาลี) ๓/๗๘/๒.
เวยยฺ ากรณ (เวยยากรณภาษิต) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๒/๑๒๔. เวยยากรณภาษิต หมายถึง พระ
สูตรทไ่ี มม่ คี าถา เป็นร้อยแกว้ ล้วน ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๓/๙.
โวทานยิ (ธรรมเป็นเหตุให้ผอ่ งแผ้ว) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗๘/๕๘. ธรรมเป็นเหตุให้ผ่องแผ้ว ในท่ีนี้
หมายถึงภาวนา ๒ ประการ คือ สมถภาวนา (การเจริญการฝึกจิตให้สงบเป็นสมาธิ)
วปิ ัสสนาภาวนา (การเจริญปญั ญาให้เกิดความเหน็ แจง้ ) ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๗๘/๒.
สกเิ ลสกิ (เปน็ เหตุใหเ้ ศรา้ หมอง) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๗๘/๕๘. เป็นเหตุให้เศร้าหมอง ในท่ีน้ีหมายถึง
การเกดิ ข้นึ ของอกุศลจิต ๑๒ (คือโลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ และโมหมูลจิต) ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๗๘/๒.
สคฺคสวตตฺ นิก (ใหเ้ กิดในสวรรค์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๗๑/๖๘. ใหเ้ กดิ ในสวรรค์ ในที่นี้หมายถึง ให้ได้
คุณวิเศษทลี่ ้าเลิศ ๑๐ อยา่ ง มผี วิ พรรณทิพย์ เปน็ ตน้ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๙๑/๓.
สงฺกยิ (เปน็ ทสี่ งสยั ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๔๙/๒๐๓. เป็นท่สี งสัย ในท่ีนีห้ มายถึงถูกสงสัยว่าเป็นผู้ทา
กรรมชว่ั ท้งั ทไี่ มม่ สี ่วนในกรรมชว่ั นัน้ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๔๙/๑๓.
สงขฺ าร (สังขาร) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๖๘. สังขาร ในที่นห้ี มายถึงสภาพท่ีปรุงแต่งกิจ (หน้าที่)
อนั เป็นของตน การใหผ้ ลแก่ตน ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๐๕/๑๙๒, ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๓๐๕/
๒๕.
สจจฺ (สจั จะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๓/๑๖๕. สจั จะ ในท่ีนหี้ มายถงึ คาสัตย์ ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๐๓/
๑๑.
สญฺ าเวทยิตนโิ รธ (สญั ญาเวทยติ นิโรธ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๔/๓๕๘. สัญญาเวทยิตนิโรธ ในท่ีนี้
หมายถึงสมาบัตทิ ี่ดบั สัญญาและเวทนามี ๒ คอื อสญั ญาสมาบตั ิ และนิโรธสมาบัติ ที่เป็น
อสญั ญาสมาบัตมิ ีแก่ปุถุชน ทเี่ ป็นนโิ รธสมาบตั ิ มเี ฉพาะแตพ่ ระอนาคามีและพระอรหันต์
ผู้ชานาญในสมาบัติ ๘ แลว้ เทา่ นนั้ จงึ จะเข้าได้ อภิ.ปญฺจ.อ. (บาล)ี ๗๓๕/๒๘.
สตานสุ าริญาณ (สตานุสารญิ าณ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๖/๑๔๔. สตานุสาริญาณ ในท่ีนี้หมายถึง
ปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ (ความหยงั่ รู้เปน็ เหตใุ ห้ระลกึ ชาติได้) ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๘๗/
๑๐.
พจนานกุ รมศพั ทเ์ ชิงอรรถพระไตรปิฎก ๑๓๑
สตเิ นปกกฺ (สตปิ ัญญาเปน็ เคร่อื งรักษาตน) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๑/๓๓๔. สติปัญญาเป็นเคร่ือง
รกั ษาตน ในทนี่ ห้ี มายถงึ สตแิ ละเนปักกปัญญา กล่าวคอื สติและสัมปชัญญะ องฺ.สตฺตก.อ.
(บาล)ี ๓/๒๐/๑๖๕, อง.ฺ สตฺตก.ฏกี า (บาล)ี ๓/๒๐/๑๙.
สติวินย (สตวิ ินยั ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๘. สตวิ นิ ัย หมายถึงวิธีระงับอธิกรณ์โดยประกาศให้
ทราบวา่ พระอรหันต์เป็นพระอริยะ ผู้มีสติสมบูรณ์ เป็นวิธีระงับโดยเอาสติเป็นหลักใน
กรณที ี่มีผ้โู จทพระอรหันต์ เปน็ การบอกใหร้ ูว้ ่า ใครจะโจทพระอรหันต์ไม่ได้ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/
๔๐๐-๔๐๑/๒๘๘-๒๙.
สตตฺ (สัตว์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๒๗/๙๓. สตั ว์ ในท่ีน้หี มายถงึ มนุษย์ในระยะแรก ๆ ท่ีเปลี่ยนสภาพ
มาจากเทพ ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๑๙/๕๐.
สตถฺ นฺตรกปฺป (สัตถันตรกัป) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๔/๗๕. สัตถันตรกัป แปลว่าอันตรกัปพินาศ
เพราะศสั ตรา เปน็ ช่ืออันตรกัป (กปั ระหวา่ ง) ๑ ใน ๓ อันตรกัป ซึ่งเป็นกปั ยอ่ ยของสังวัฏฏ
กัป (กปั เส่ือม) มักเรยี กกันสนั้ ๆ ว่ากัปพินาศ อีก ๒ กัป คือ ทุพภิกขันตรกัป (กัปพินาศ
เพราะข้าวยากหมากแพง) โรคนั ตรกัป (กัปพนิ าศเพราะโรค) คาว่า กัป ในท่ีนี้เป็นคาย่อ
ของคาว่า กปั พนิ าศ (กปฺปวนิ าส) ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๐๔/๓๙, ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๑๐๔/
๓.
สทธฺ (ผู้มีศรัทธา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๐/๑๒๐. กุลบตุ รผมู้ ศี รัทธา ในที่น้ีหมายถึง พระโพธิสัตว์ทั้ง
ในอดตี อนาคต และปัจจุบัน ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๐/๘.
สทฺธา (ศรัทธา) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๒๕/๑๘๓. ศรทั ธา แปลวา่ ความเชื่อ มี ๒ ระดับ นับจากต่าไป
หาสงู คอื โอกปั ปนสทั ธา คือ ความเชือ่ ท่ปี ักใจเชื่อในส่ิงทีน่ า่ เช่ือ ปสาทนสทั ธา คือ ความ
เชอื่ ที่อาศัยความเลอื่ มใสอย่างแรงกลา้ ในส่ิงท่นี า่ เล่อื มใส ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๒๕/๑๒๗,
องฺ.ปญจฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๒๐๕/๘๕, ที.ปา.ฏกี า (บาลี) ๒๒๕/๑๔๘-๑๔. องฺ.ปญฺจก. (ไทย)
๒๒/๒๐๕/๓๔๗.
สทฺธานสุ ารี (สทั ธานสุ ารี) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๐/๑๑๑. สทั ธานุสารี หมายถึงผู้แล่นไปตามศรัทธา
คอื ผูป้ ฏิบัตเิ พื่อบรรลุโสดาปตั ตผิ ล มศี รัทธาแกก่ ล้า บรรลผุ ลแล้วกลายเปน็ สทั ธาวมิ ุต องฺ.
ทกุ .อ. (บาลี) ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖.
สทธฺ าวมิ ตุ ฺต (สัทธาวมิ ตุ ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๐/๑๑๑. สัทธาวิมุต หมายถึงผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา
เขา้ ใจอรยิ สัจถกู ตอ้ ง กิเลสบางส่วนกส็ ิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา มีศรัทธาแก่กล้า และ
หมายถงึ ผ้บู รรลุโสดาปัตติผลจนถึงผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตผล องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๔๙/๕๕,
๑๓๒ ผศ.ดร.วิโรจน์ คุม้ ครอง
องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑-๑๖.
สปปฺ ฏิภาค (ทมี่ ีสว่ นเปรียบ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๔/๑๐๕. ทมี่ สี ว่ นเปรยี บ ในที่น้ีหมายถึง สังกิเลส
ธรรมเป็นข้าศึกกบั โวทานธรรมตามลาดับ โดยแสดงการเปรียบเทียบว่าสังกิเลสธรรมเป็น
ธรรมทีค่ วรละ สว่ นโวทานธรรมเป็นธรรมทล่ี ะ ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๑๔๔/๗.
สปฺปาฏิหีรกต (ทาให้มีผลอย่างปาฏิหาริย์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๐/๑๓๐. ทาให้มีผลอย่าง
ปาฏหิ าริย์ ในที่นี้หมายถึง นาผูป้ ฏิบัตใิ หอ้ อกจากทกุ ขไ์ ด้ ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๗๐/๙.
สมณุทฺเทส (สมณทุ เทส) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๕/๑๒๖. พระจนุ ทะ สมณุทเทส หมายถงึ พระเถระผู้
นี้เปน็ นอ้ งชายของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร และเปน็ สัทธิวิหาริกของพระอานนท์ คานี้
พวกภิกษุเรยี กท่าน ในขณะเป็นสามเณร เมอ่ื ท่านเปน็ พระแล้วก็ยังเรียกช่ือนี้อยู่ ที.ปา.อ.
(บาล)ี ๓/๑๖๔/๙๕-๙.
สมาธิ (สมาธิ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๕/๓๘๔. สมาธิ ในที่นี้หมายถึงอรหัตผลสมาบัติ หรือมรรคสมาธิ
ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓ภ๓๕๕/๒๖๑, อง.ฺ ปญฺจก.อ. (บาล)ี ๓/๒๗.
สมาธิปริกฺขาร (บริขารแห่งสมาธิ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๒. บริขารแห่งสมาธิ หมายถึง
องค์ประกอบแห่งมรรคสมาธิ องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๔๔-๔๕/๑๘.
สมฺโพธิ (สัมโพธิ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๓/๑๑๔. สัมโพธิ ในท่ีน้ีหมายถึงมรรค ๓ เบ้ืองสูง คือ
สกทาคามมิ รรค อนาคามิมรรค อรหตั มรรค ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๓๗๓/๒๘.
สมฺโพธิ (สัมโพธญิ าณ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๑/๑๐๓. สัมโพธญิ าณ ในท่ีน้ีหมายถงึ สัพพัญญุตญาณ
หรืออรหัตมรรคญาณ ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๔๑/๖.
สมฺมา าณ (สัมมาญาณะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๘/๓๖๖. สมั มาญาณะ ในที่นี้หมายถึงปัญญาท่ีทา
หน้าทีร่ ู้อารมณข์ องตนถูกต้องทง้ั สัมมาทิฏฐแิ ละสัมมาญาณะ แต่ทาหน้าท่ตี า่ งกนั ที.ปา.อ.
(บาลี) ๓/๓๔๘/๒๕๒, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๑๑/๓๗.
สมฺมาทิฏฺ (สัมมาทฏิ ฐิ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๘/๓๖๕. สัมมาทิฏฐิ ในท่นี ีห้ มายถึงปัญญาทที่ าหน้าที่
เห็นอารมณข์ องตนถกู ตอ้ ง ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๔๘/๒๕๒, องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๑๑/
๓๗.
สมฺมามนสกิ าร (การใชค้ วามคดิ อยา่ งถูกวธิ ี) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๙/๑๐๙. การใช้ความคิดอย่าง
ถูกวิธี หมายถงึ การพจิ ารณาโดยอบุ ายวิธที แ่ี ยบคาย เช่น พิจารณาว่าไม่เท่ียงในส่ิงที่ไม่
เที่ยง พิจารณาว่าเป็นทุกข์ในส่ิงท่ีเป็นทุกข์ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๔๙/๗๕, ที.ปา.ฏีกา
พจนานกุ รมศัพท์เชิงอรรถพระไตรปฎิ ก ๑๓๓
(บาล)ี ๑๔๙/๘.
สมฺมขุ าวินย (สัมมุขาวินัย) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๘. สัมมุขาวินัย หมายถึง วิธีระงับอธิกรณ์
ในทพ่ี รอ้ มหนา้ คอื ตอ้ งพรอ้ มทงั้ ๔ พร้อม คอื พรอ้ มหนา้ สงฆ์ ได้แก่ ภกิ ษเุ ข้าร่วมประชุม
ครบองค์ประชุมตามทีก่ าหนดไวแ้ ตล่ ะกรณี พรอ้ มหน้าบคุ คล ได้แก่ คู่กรณี หรือบุคคลที่
เกีย่ วขอ้ งในเร่ืองน้ันอยู่พร้อมหนา้ พร้อมหน้าวัตถุ ได้แก่ ยกเร่ืองท่ีเกิดข้ึนนั้นมาวินิจฉัย
พร้อมหน้าธรรม ไดแ้ ก่ วนิ ิจฉยั ถกู ต้องตามธรรมวินัย
สยกต (เปน็ ตวั การ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๙๑/๑๕๐. เป็นตัวการ ในท่ีน้ีหมายถึงลัทธิสยังการ (ลัทธิ
สยงั การ เรยี กอีกชื่อหน่ึงว่า ลัทธิอัตตการ) หมายถงึ ลัทธิทเี่ ชอ่ื ว่า ตนเป็นตัวการ คือ เป็น
ผสู้ ร้างอัตตาและโลกข้นึ เอง ขุ.อ.ุ อ. (บาลี) ๕๖/๓๗. หมายถึงพวกอธิจจสมุปปันนวาทะ
คือลทั ธิทเ่ี ชอื่ วา่ อัตตาและโลกเกดิ ข้ึนได้เอง มิได้อาศัยเหตุอะไร เป็นลัทธิปฏิเสธทั้งลัทธิ
สยงั การ และลทั ธิปรงั การ (ผู้อืน่ เป็นตวั การ) พวกอธจิ จสมุปปนั นวาทะน้ี เรียกอีกชื่อหนึ่ง
ว่า อเหตุกวาทะ ข.ุ อ.ุ อ. (บาล)ี ๕๕-๕๖/๓๗๐-๓๗.
สยม (ความสารวม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๓/๑๖๕. ความสารวม ในที่น้หี มายถึงความสารวมในศีล
ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๐๓/๑๑.
สวฏฺฏกปฺป (สงั วฏั ฏกปั ปะ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๗๒/๕๑. สงั วัฏฏะ แปลว่า ความเส่ือม ความพินาศ
และคาว่า กัป แปลวา่ กาลกาหนด ชว่ งระยะเวลายาว นานเหลือเกินท่ีกาหนดว่าโลกคือ
สกลจักรวาลประลยั ครั้งหน่งึ ดังนัน้ คาวา่ สงั วฏั ฏกปั หมายถึงช่วงระยะเวลาที่โลกเส่ือม
มี ๓ อย่าง คือ อาโปสงั วัฏฏกัป (กปั ที่เสื่อมเพราะน้า) หมายถึงกัปท่ีเสื่อมเพราะน้าท่วม
นบั แต่ช้ันสภุ กณิ หพรหมลงมา เตโชสังวฏั ฏกปั (กปั ทเี่ สือ่ มเพราะไฟ) หมายถงึ กัปท่ีไฟไหม้
นบั แต่ช้ันอาภสั สรพรหมลงมา วาโยสังวฏั ฏกัป (กปั ทเ่ี สื่อมเพราะลม) หมายถึงกัปที่ลมพัด
ทาลายนับแต่ชั้นเวหัปผลพรหมลงมา หรือหมายถึงช่วงระยะเวลาท่ีเปลวไฟดับจนถึง
มหาเมฆทใ่ี ห้กปั พนิ าศ องฺ.จตุกกฺ .อ. (บาล)ี ๒/๑๕๖/๓๘๔, อง.ฺ จตกุ กฺ .ฏกี า (บาล)ี ๒/๑๕๖-
๑๕๘/๔๒๑, วิสทุ ฺธิ. (บาลี) ๒/๔๐๖/๕.
สสงขฺ าร (สสงั ขารจติ ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๕/๓๘๔. สสังขารจิต แปลว่า จิตท่ีถูกสังขารกระตุ้น
เตอื น ในท่ีน้ีหมายถงึ รูปาวจรกุศลจิต และอรูปาวจรกุศลจิต ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๓๕๕/
๒๖๑-๒๖๒, ที.ปา.ฏกี า (บาลี) ๓๕๕/๓๕๙, องฺ.ปญฺจก.อ. (บาลี) ๓/๒๗/๙, องฺ.ปญฺจก.
ฏกี า (บาลี) ๓/๒๗/๑.
สอุปธิก มอี ปุ ธิ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๙/๑๒๐. มีอุปธิ ในท่ีนี้หมายถึงมีโทษ มีข้อติเตียน ที.ปา.อ.
(บาลี) ๓/๑๕๙/๘.
๑๓๔ ผศ.ดร.วโิ รจน์ คุ้มครอง
สามคาม (สามคาม) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๕/๑๒๖. สามคาม หมายถึง ช่ือหมู่บ้านที่มีข้าวฟุาง
มากมาย ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๕/๙๖, ท.ี ปา.ฏกี า (บาลี) ๑๖๕/๑๐.
สกิ ขฺ าสมาทาน (สมาทานสกิ ขา) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๑/๓๓๓. สมาทานสกิ ขา ในที่น้ีหมายถึงการ
บาเพ็ญไตรสกิ ขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญาใหบ้ รบิ ูรณ์และถกู ต้อง อง.ฺ สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๒๐/
๑๖๕, องฺ.สตตฺ ก.ฏีกา (บาล)ี ๓/๒๐/๑๙.
สิปปฺ (ศิลปะ) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๑๔/๑๗๘. ศิลปะ หมายถึงวิชาชีพมี ๒ อย่าง คือ ศิลปะสามัญมี
ช่างสาน ชา่ งหม้อ ชา่ งหกู เป็นตน้ ศลิ ปะอย่างสูงมีชา่ งลวดลาย นักคานวณดว้ ยวธิ กี ารนับ
นิว้ (มุททา) และนกั คานวณด้วยวธิ คี ดิ ในใจ (คณนา) ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๑๔/๑๒.
สีล (ศลี ) ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๒๕/๑๘๓. ศีล ในท่ีน้หี มายถงึ ศีล ๕ ศีล ๑๐ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๒๒๕/
๑๒.
สีห (ราชสีห์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗/๒๒. ราชสีห์ ได้แก่ พญาสิงโต มี ๔ ชนิด คือ ติณราชสีห์
(ราชสีห์ท่ีมีสีเขียว) กาฬราชสีห์ (ราชสีห์ท่ีมีสีดา) ปัณฑุราชสีห์ (ราชสีห์ท่ีมีสีเหลือง)
ไกรสรราชสีห์ (ราชสีห์ท่ีมีสีขาวหรือมีสีแดง) ใน ที่น้ีหมายถึงไกรสรราชสีห์ที่เลิศกว่า
ราชสีหท์ ุกประเภท ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓/๒๗/๑.
สีหนาท (การบันลืออย่างราชสีห์) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐/๒๔. การบันลืออย่างราชสีห์ ในท่ีนี้
หมายถึง การเปล่งเสยี งรอ้ งของสุนขั จิ้งจอกโดยเข้าใจว่า ตนมกี าลงั เท่ากับราชสหี ์ ที.ปา.อ.
(บาลี) ๓/๓๐/๑.
สหี นาท (บันลือสีหนาท) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๒/๑๐๓. บันลือสหี นาท ในที่นี้หมายถึง บันลืออย่าง
ประเสรฐิ องอาจเหมอื นพญาราชสีห์ ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๔๒/๖.
สหี นาท (บนั ลอื สีหนาท) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗/๒๒. บันลือสีหนาท ในท่ีน้ีหมายถึงการเปล่งเสียงดัง
ของราชสหี ์ด้วยความกรุณาต่อสัตวท์ ่ีอ่อนแอเพ่อื ใหห้ ลีกหนีไปเสียก่อน ท.ี ปา.อ. (บาลี) ๓/
๒๗/๑.
สุกฺก (ธรรมขาว) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๕/๘๖. ธรรมขาว ในท่ีน้ีหมายถึงธรรมที่บริสุทธิ์เพราะ
ปราศจากกิเลส ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๑๕/๔.
สุกฺก (ฝาุ ยขาว) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๔/๑๐๕. ฝุายขาว ในท่นี ้ีหมายถงึ โวทานธรรม (ธรรมเคร่ืองทา
ใจให้ผ่องแผ้ว) ที.ปา.ฏีกา (บาลี) ๑๔๔/๗.