แผนการจดั การเรียนรู้
รายวิชาฟิสิกส1์ ว30201
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4
ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
นางสาวสเุ มธาวี ขันทอง
ตาแหนง่ ครู
โรงเรยี นหลม่ เกา่ พทิ ยาคม อาเภอหล่มเกา่ จงั เหวดั เพชรบูรณ์
สานักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษามธั ยมศกึ ษาเพชรบูรณ์
บทนำ
โรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม ได้รับคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ให้เป็น 1 ใน 500 โรงเรียนแรก ในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล(“World–Class Standard School )
เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 และหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสำคัญ คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ สามารถอ่าน เขียน คิด วิเคราะห์ และมีศักยภาพเป็นพลโลก ได้แก่ เป็นเลิศวิชาการ สื่อสารสอง
ภาษา ล้ำหนา้ ทางความคดิ คิดงานอย่างสรา้ งสรรค์ และรว่ มกนั รับผิดชอบตอ่ สงั คมโลก
1. วสิ ัยทศั น์ (VISION)
โรงเรยี นหล่มเกา่ พทิ ยาคม เป็นองค์กรคุณภาพตามมาตรฐานสากล บนพน้ื ฐานความเปน็ ไทย โดย
ชุมชน องคก์ ร และภาคีเครือข่ายมีสว่ นร่วม
VISION
Lomkaophitthayakhom school is a quality organization that upholds Thai values
while meeting international standards by building a strong network of community and
organizational partners.
展望
隆告中学致力于在保留泰国特色的同时以开放的胸怀积
极开展与社会各界的交流与合作,将学校打造成高质量的世界
级标准的一流学府。
2. พันธกิจ (MISSION)
1) จดั หลักสูตรและพัฒนากระบวนการจัดการเรยี นการสอนให้ผูเ้ รียนมศี กั ยภาพเปน็ พลโลก
2) สง่ เสรมิ กิจกรรมที่ปลกู ฝังใหผ้ ้เู รียนมคี วามเป็นไทย มีคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และคา่ นยิ ม
12 ประการ
3) ส่งเสริม สนบั สนนุ พัฒนาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาให้เปน็ มอื อาชีพอยา่ งมคี ณุ ภาพ
4) จัดการศึกษาเพ่ือพฒั นาคุณภาพชีวิตทเ่ี ป็นมติ รกับส่งิ แวดลอ้ ม ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง
5) พฒั นาระบบบริหารจดั การทม่ี คี ุณภาพ ตามหลักธรรมาภิบาลและมาตรฐานสากล
6) จัดแหล่งเรียนร้แู ละสาธารณปู โภคให้เพียงพอ พฒั นาสง่ิ แวดลอ้ มให้สะอาด สวยงาม และ
ปลอดภยั
7) สนบั สนุนใหช้ ุมชน องค์กร และภาคเี ครือขา่ ยมสี ว่ นรว่ มในการจดั การศึกษา และพัฒนา
สถานศกึ ษา
3. เปา้ ประสงค์ (GOAL)
1) หลักสตู รและการจดั การเรียนการสอนมีคุณภาพสามารถยกระดับผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
และได้มาตรฐานตามหลักสากล
2) ผ้เู รียนมีความเป็นไทย มีคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ คา่ นิยม 12 ประการ และมีศักยภาพเปน็
พลโลก
3) ครูและบุคลากรทางการศกึ ษาไดร้ บั การพัฒนาใหเ้ ปน็ ครูมอื อาชีพ มีทักษะในการจัดการเรยี นรู้
ที่หลากหลาย โดยยึดผ้เู รียนเปน็ สำคญั เป็นผู้สร้างสรรคน์ วัตกรรม และมที ักษะในการใชเ้ ทคโนโลยีในการ
จดั การเรยี นรู้
4) โรงเรียนจัดการศึกษาเพอ่ื พฒั นาคุณภาพชวี ติ ท่เี ปน็ มิตรกับสิ่งแวดลอ้ ม ยดึ หลักปรชั ญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง
5) ระบบการบริหารจดั การมีคณุ ภาพได้มาตรฐาน ตามหลักธรรมาภิบาลและมาตรฐานสากล
6) โรงเรียนมแี หล่งเรียนรูแ้ ละสาธารณปู โภคอย่างเพยี งพอ มสี ภาพแวดลอ้ มสะอาด สวยงามและ
ปลอดภัย
7) ชุมชน องค์กร และภาคเี ครือขา่ ยมสี ว่ นร่วมในการจดั การศึกษา และพัฒนาสถานศึกษาอยา่ งมี
คุณภาพ
4. กลยุทธ์ (STRATEGY)
กลยุทธ์ท่ี 1 พัฒนาหลกั สูตรและการเรยี นการสอน
กลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาคุณภาพผู้เรียน
กลยุทธ์ท่ี 3 พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
กลยุทธท์ ี่ 4 พัฒนาระบบบริหารจัดการ
กลยทุ ธท์ ี่ 5 พฒั นาแหลง่ เรียนรแู้ ละสภาพแวดลอ้ ม
กลยุทธท์ ี่ 6 ส่งเสรมิ การมสี ว่ นร่วมของชมุ ชน องค์กร และภาคเี ครอื ข่าย
5. อัตลกั ษณ์ (IDENTITY) : “มวี ินัย ใฝ่เรยี นรู้ ค่คู ณุ ธรรม”
6. เอกลักษณ์ (UNIQUENESS) : “รักษ์ถน่ิ ฐาน วิชาการดี กจิ กรรมเด่น เน้นคุณธรรม”
7. วัฒนธรรมองค์กร/ค่านยิ มองค์กร (VALUES): “การทำงานเป็นระบบ เคารพน้องพ่ี มธี รรมาภบิ าล”
8. รูปแบบการบรหิ ารงานของโรงเรียนหลม่ เก่าพิทยาคม
รปู แบบการบรหิ ารงาน LKP-OK TEAM
1. L = Leadership มีภาวะผนู้ ำ
2. K = King นอ้ มนำการปฏิบตั ิตนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
3. P = Participation ส่งเสรมิ การมีส่วนร่วม
4. O = Organization เปน็ องค์กรทีม่ ีคุณภาพตามมาตรฐานสากล
5. K = Knowledge สรา้ งเสริมต่อยอดองค์ความรู้
6. T = Technology กา้ วล้ำสูเ่ ทคโนโลยี
7. E = Ethics มีจริยธรรมดีงาม
8. A = Attitude เสริมสรา้ งทัศนคตเิ ชิงบวก
9. M = Management บรหิ ารจัดการตามหลกั ธรรมมาภบิ าล
9. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ของผ้เู รียน
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พ.ศ.2551 และหลักสตู รสถานศึกษา มีดงั น้ี
1) รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 2) ซื่อสัตย์สจุ รติ 3) มวี ินัย
4) ใฝเ่ รยี นรู้ 5) อยู่อย่างพอเพยี ง 6) มงุ่ มัน่ ในการทำงาน
7) รกั ความเปน็ ไทย 8) มีจิตสาธารณะ
10. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผ้เู รยี น
ตามหลกั สตู รโรงเรียนมาตรฐานสากล ผ้เู รียนมีศักยภาพเปน็ พลโลก (World Citizen) มีดังน้ี
1) ใฝ่รู้ใฝ่เรียน 2) มีภูมริ ู้ 3) รู้จักใชว้ ิจารณญาณ
4) เปน็ นักคิด 5) สามารถส่ือสารได้ 6) มีระเบียบวินยั
7) ใจกวา้ ง 8) รอบคอบ 9) กลา้ ตัดสนิ ใจ
10) ยตุ ธิ รรม
11. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน
มุ่งใหผ้ ู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ มดี ังน้ี
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
12. คณุ ภาพผู้เรียนโรงเรียนมาตรฐานสากล
1. เปน็ เลิศวิชาการ
2. ส่อื สารสองภาษา
3. ลำ้ หน้าทางความคดิ
4. ผลิตงานอย่างสรา้ งสรรค์
5. รว่ มกันรบั ผิดชอบตอ่ สงั คมโลก
13. คา่ นยิ มหลักของคนไทย 12 ประการ
1. มคี วามรักชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์
2. ซอื่ สัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสง่ิ ทด่ี ีงามเพ่ือส่วนรวม
3. กตญั ญตู อ่ พ่อแม่ ผปู้ กครอง ครบู าอาจารย์
4. ใฝห่ าความรู้ หมน่ั ศกึ ษาเล่าเรียนท้ังทางตรงและทางอ้อม
5. รกั ษาวัฒนธรรมประเพณไี ทยอนั งดงาม
6. มศี ลี ธรรม รกั ษาความสัตย์ หวงั ดีต่อผอู้ น่ื เผอื่ แผ่และแบ่งปนั
7. เขา้ ใจเรยี นร้กู ารเปน็ ประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมขุ ที่ถูกต้อง
8. มรี ะเบียบวินยั เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรูจ้ ักการเคารพผใู้ หญ่
9. มีสตริ ู้ตวั รคู้ ิด รู้ทำ รปู้ ฏบิ ัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั
10.รจู้ ักดำรงตนอยโู่ ดยใช้หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรสั ของพระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยู่หวั รัชกาลที่ 9
11. มีความเข้มแข็งท้ังรา่ งกาย และจิตใจ ไมย่ อมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายตำ่ หรอื กิเลส มีความละอาย
เกรงกลัวต่อบาปตามหลกั ของศาสนา
12. คำนงึ ถงึ ผลประโยชน์ของสว่ นรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชนข์ องตนเอง
14. ทกั ษะของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21
ทักษะท่ีจำเป็นในการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 ท่ีทุกคนจะต้องเรยี นรู้ตลอดชีวติ คือ ทักษะ 3R8C
3R คอื ทักษะพ้ืนฐานที่จำเป็นต่อผูเ้ รยี นทกุ คน มดี ังน้ี
1. Reading คือ สามารถอา่ นออก
2. (W)Riting คอื สามารถเขียนได้
3. (A)Rithemetics คอื สามารถคิดเลขเปน็
8C คอื ทักษะต่าง ๆ ทีจ่ ำเป็นเชน่ กัน เปน็ ทักษะท่สี ามารถนำไปปรับใช้ในการเรียนรไู้ ด้ทุกวชิ า
มดี งั นี้
1. Critical Thinking and Problem Solving คือ ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ การคดิ อย่างมี
วิจารณญาณ และสามารถแก้ไขปัญหาได้
2. Creativity and Innovation คือ ทักษะการคิดอยา่ งสรา้ งสรรค์ และคิดเชิงนวัตกรรม
3. Cross-cultural Understanding คือ ทักษะด้านความเข้าใจความต่างของวฒั นธรรม
ต่างกระบวนทัศน์
4. Collaboration, Teamwork and Leadership คือ ทักษะดา้ นความรว่ มมอื การทำงาน
เปน็ ทีม และภาวะผู้นำ
5. Communication, Information, and Media Literacy คอื ทกั ษะด้านการส่ือสาร
สารสนเทศ และรเู้ ท่าทันสื่อ
6. Computing and ICT Literacy คอื ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และรเู้ ท่าทนั เทคโนโลยี
7. Career and Learning Skills คือ ทักษะอาชีพและทักษะการเรยี นรู้
8. Compassion คอื มีความเมตตากรุณา มีคุณธรรม จริยธรรม
คุณภาพผเู้ รยี นนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6
❖ เข้าใจการลําเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ ภูมิคุ้มกันใน
รา่ งกายของมนุษย์และความผดิ ปกติของระบบภูมิค้มุ กัน การใช้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ ท่ีพืชสร้างข้ึน การ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วิวัฒนาการที่ทําให้เกิดความหลากหลาย
ของสิง่ มีชวี ิต ความสําคัญและผลของเทคโนโลยีทางดีเอน็ เอต่อมนุษยส์ ิง่ มีชวี ิต และสง่ิ แวดลอ้ ม
❖ เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก การเปลี่ยนแปลงแทนที่ใน
ระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรัก ษ์
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปญั หาส่งิ แวดล้อม
❖ เข้าใจชนิดของอนุภาคสําคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัติบางประการของ
ธาตุ การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่าง ๆ ของสารที่มี
ความสัมพันธ์กับแรงยดึ เหน่ียว พันธะเคมีโครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์การเกิดปฏิกิริยาเคมีปัจจัยที่มี
ผลตอ่ อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมแี ละการเขยี นสมการเคมี
❖ เข้าใจปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่งผลของ
ความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่าง
สนามแม่เหลก็ และกระแสไฟฟ้า และแรงภายในนวิ เคลียส
❖ เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปลี่ยนพลังงานทดแทน
เป็นพลงั งานไฟฟา้ เทคโนโลยดี ้านพลังงาน การสะทอ้ น การหักเห การเล้ียวเบนและการรวมคลื่น การได้ยิน
ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง สีกับการมองเห็นสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและประโยชน์ของคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟ้า
❖ เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี
ที่สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุกระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ
ผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวงั และการปฏิบตั ิตนใหป้ ลอดภัย
❖ เข้าใจผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส ที่มีต่อการ
หมุนเวียนของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูด และผลที่มีต่อภูมิอากาศความสัมพันธ์ของ
การหมุนเวียนของอากาศ และการหมุนเวียนของกระแสน้ําผิวหน้าในมหาสมุทรและผลต่อลักษณะลมฟ้า
อากาศ สิง่ มชี วี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม ปจั จัยต่าง ๆ ทมี่ ผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงภูมิอากาศโลก และแนวปฏิบัติเพื่อ
ลดกิจกรรมของมนุษย์ทสี่ ่งผลตอ่ การเปล่ยี นแปลงภมู ิอากาศโลกรวมท้ังการแปลความหมายสญั ลักษณ์ลมฟ้า
อากาศทสี่ ําคญั จากแผนทีอ่ ากาศ และข้อมลู สารสนเทศ
❖ เข้าใจการกําเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพ หลักฐานที่
สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซีโครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก
กระบวนการเกิดและการสร้างพลังงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์และความสัมพันธ์
ระหว่างความส่องสว่างกบั โชติมาตรของดาวฤกษ์ความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมผิ ิว และสเปกตรัมของดาว
ฤกษ์ววิ ัฒนาการและการเปลยี่ นแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์กระบวนการเกดิ ระบบสุรยิ ะ การแบ่ง
เขตบริวารของดวงอาทิตย์ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดํารงชีวิต การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและ
ผลที่มตี อ่ โลก รวมท้งั การสาํ รวจอวกาศและการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ
❖ ระบปุ ัญหา ตง้ั คาํ ถามท่ีจะสาํ รวจตรวจสอบ โดยมกี ารกําหนดความสมั พันธร์ ะหว่างตัวแปรต่าง
ๆ สบื คน้ ข้อมูลจากหลายแหลง่ ตง้ั สมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสนิ ใจเลือกตรวจสอบสมมติฐานที่
เป็นไปได้
❖ ตั้งคําถามหรือกําหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ ท่ี
แสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดบั สูงทีส่ ามารถสํารวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลุมและ
เชื่อถือได้สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งที่จะพบ เพื่อนําไปสู่การสํารวจตรวจสอบ
ออกแบบวิธีการสํารวจตรวจสอบตามสมมติฐานท่ีกําหนดไว้ได้อย่างเหมาะสมมีหลักฐานเชงิ ประจักษ์ เลือก
วัสดุ อุปกรณ์ รวมทั้งวิธีการในการสํารวจตรวจสอบอย่างถูกต้องทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และบันทึก
ผลการสํารวจตรวจสอบอยา่ งเป็นระบบ
❖ วิเคราะห์แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับ
สมมติฐานที่ตั้งไว้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสํารวจตรวจสอบ จัดกระทําข้อมูลและนําเสนอข้อมูล
ด้วยเทคนิควิธีที่เหมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้จากผลการสํารวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง
หรือใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ ใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจโดยมหี ลกั ฐานอ้างอิงหรือมที ฤษฎีรองรับ
❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้
เคร่อื งมอื และวิธีการท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เชือ่ ถอื ได้มเี หตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจมีการ
เปล่ยี นแปลงได้
❖ แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้พบคําตอบ หรือแก้ปัญหาได้ทํางาน
ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเกี่ยว กับผลของการ
พัฒนาและการใช้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอย่างมีคณุ ธรรมต่อสงั คมและสง่ิ แวดล้อม และยอมรบั ฟังความ
คิดเห็นของผู้อนื่
❖ เขา้ ใจความสมั พันธ์ของความร้วู ทิ ยาศาสตร์ท่ีมผี ลต่อการพฒั นาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และ
การพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าผลของเทคโนโลยีต่อชีวิต
สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม
❖ ตระหนักถึงความสําคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ใน
ชีวิตประจําวนั ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดํารงชวี ติ และการประกอบ
อาชีพ แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น และการ
พฒั นาเทคโนโลยีที่ทนั สมยั ศึกษาหาความรเู้ พม่ิ เติม ทาํ โครงงานหรอื สร้างช้ินงานตามความสนใจ
❖ แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดลอ้ มของท้องถน่ิ
❖ วเิ คราะหแ์ นวคิดหลักของเทคโนโลยีได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนการเปล่ียนแปลงของ
เทคโนโลยคี วามสัมพันธร์ ะหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์วิเคราะห์
เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยีโดยคํานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และ
สิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะ ทรัพยากรเพื่อออกแบบสร้างหรือพัฒนาผลงาน สําหรับแก้ปัญหาทีม่ ี
ผลกระทบต่อสังคม โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบและ
นําเสนอผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย รวมทั้งคํานึงถึง
ทรพั ย์สินทางปัญญา
❖ ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อ
รวบรวมขอ้ มูลในชวี ติ จริงจากแหล่งตา่ ง ๆ และความรู้จากศาสตร์อื่น มาประยุกต์ใช้สร้างความรู้ใหม่ เข้าใจ
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการดําเนินชีวิต อาชีพ สังคมวัฒนธรรม และใช้อย่างปลอดภัย มี
จริยธรรม
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ ไม่มชี วี ิต กับ
ส่ิงมชี ีวิต และความสมั พันธร์ ะหว่างสงิ่ มชี ีวติ กับสง่ิ มชี ีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ
เปลยี่ นแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีตอ่
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา
ส่งิ แวดล้อม รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัตขิ องส่ิงมชี วี ิต หนว่ ยพน้ื ฐานของสิง่ มีชวี ติ การลำเลียงสารเข้า และ
ออกจากเซลล์ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ทขี่ องระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ที ำงานสมั พนั ธ์
กัน ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ท่ี ของอวัยวะตา่ งๆ ของพืชท่ที ำงานสมั พนั ธ์กนั รวมท้ังนำความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร
พนั ธุกรรม การเปลีย่ นแปลงทางพันธกุ รรมท่ีมผี ลตอ่ ส่งิ มชี ีวติ ความหลากหลาย ทางชวี ภาพและววิ ฒั นาการ
ของสง่ิ มีชีวติ รวมท้งั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบตั ิของ
สสารกับโครงสรา้ งและแรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลีย่ นแปลงสถานะของ
สสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลกั ษณะ
การเคลื่อนทแ่ี บบต่าง ๆ ของวัตถรุ วมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาตขิ อง คลน่ื ปรากฏการณ์ท่ี
เกีย่ วข้องกบั เสียง แสง และคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวฒั นาการของเอกภพ
กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทัง้ ปฏิสมั พนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะ ท่ีส่งผลต่อสง่ิ มีชวี ติ และการ
ประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสมั พันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณพี บิ ตั ภิ ัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้า อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทงั้
ผลตอ่ สิง่ มชี วี ิตและสงิ่ แวดลอ้ ม
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยเี พ่ือการดำรงชวี ติ ในสงั คมที่มกี ารเปล่ียนแปลง
อย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรู้และทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตรค์ ณิตศาสตรแ์ ละ ศาสตร์อน่ื ๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรอื
พฒั นางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่าง
เหมาะสม โดยคำนึงถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวิต สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปญั หาท่ีพบในชีวติ จริงอยา่ งเป็น ข้นั ตอนและ
เปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อยา่ งมี
ประสทิ ธภิ าพ ร้เู ท่าทัน และมีจรยิ ธรรม
สาระวิทยาศาสตรเ์ พ่มิ เติม
สาระชวี วิทยา
1. เขา้ ใจธรรมชาตขิ องสง่ิ มีชีวติ การศกึ ษาชวี วิทยาและวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ สารท่ีเป็น
องคป์ ระกอบของสิ่งมีชวี ติ ปฏกิ ริ ิยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กลอ้ งจลุ ทรรศน์ โครงสรา้ งและหน้าที่ของ
เซลล์ การลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดับเซลล์
2. เข้าใจการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัตแิ ละหน้าที่ของ
สารพนั ธกุ รรม การเกิดมวิ เทชัน เทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ หลกั ฐานข้อมูลและแนวคดิ เก่ียวกับววิ ฒั นาการของ
สิ่งมชี วี ิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวนเ์ บิรก์ การเกิดสปชี ีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ กำเนิดของ
ส่ิงมีชีวติ ความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ติ และอนุกรมวิธาน รวมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
3. เขา้ ใจส่วนประกอบของพชื การแลกเปล่ียนแกส๊ และคายนำ้ ของพชื การลำเลียงของพืช การ
สังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพชื ดอกและการเจรญิ เติบโต และการตอบสนองของพชื รวมทง้ั นำ
ความร้ไู ปใช้ประโยชน์
4. เขา้ ใจการย่อยอาหารของสัตวแ์ ละมนษุ ย์ การหายใจและการแลกเปลยี่ นแก๊สการลำเลียงสาร
และการหมุนเวียนเลือด ภมู ิคุ้มกนั ของร่างกาย การขบั ถา่ ย การรบั รแู้ ละการตอบสนองการเคล่อื นที่ การ
สบื พันธุ์และการเจริญเตบิ โต ฮอรโ์ มนกบั การรักษาดลุ ยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
5. เขา้ ใจแนวคดิ เก่ียวกบั ระบบนเิ วศ กระบวนการถา่ ยทอดพลงั งานและการหมุนเวยี นสารในระบบ
นเิ วศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลย่ี นแปลงแทนท่ีของส่ิงมีชีวิตในระบบนเิ วศ ประชากรและ
รูปแบบการเพม่ิ ของประชากร ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ปัญหาและผลกระทบทเี่ กดิ จากการใช้
ประโยชน์ และแนวทางการแก้ไขปัญหา
สาระเคมี
1. เข้าใจโครงสรา้ งอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัตขิ องธาตุ พันธะเคมแี ละสมบัติของ
สาร แก๊สและสมบัติของแกส๊ ประเภทและสมบัติของสารประกอบอนิ ทรีย์และพอลเิ มอร์ รวมท้งั การนำ
ความรไู้ ปใช้ประโยชน์
2. เขา้ ใจการเขียนและการดลุ สมการเคมี ปริมาณสัมพนั ธใ์ นปฏิกริ ิยาเคมี อัตราการเกดิ ปฏิกิริยา
เคมี สมดลุ ในปฏิกริ ยิ าเคมี สมบตั ิและปฏกิ ิรยิ าของกรด-เบส ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์และเซลลเ์ คมไี ฟฟ้า รวมทง้ั
การนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
3. เข้าใจหลกั การทำปฏิบัตกิ ารเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวดั และการเปลี่ยนหน่วยการคำนวณ
ปรมิ าณของสาร ความเข้มขน้ ของสารละลาย รวมทงั้ การบูรณาการความรู้และทกั ษะในการอธิบาย
ปรากฏการณ์ในชวี ิตประจำวันและการแก้ปญั หาทางเคมี
สาระฟิสกิ ส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคลือ่ นท่แี นวตรง แรงและกฎการ
เคลอ่ื นท่ีของนิวตัน กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวตั ถุ งานและกฎการอนุรกั ษ์พลงั งาน
กล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การเคล่ือนที่แนวโคง้ รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. เขา้ ใจการเคล่ือนที่แบบฮารม์ อนกิ ส์อย่างงา่ ย ธรรมชาติของคลน่ื เสยี งและการได้ยิน
ปรากฏการณ์ทเ่ี กย่ี วข้องกับเสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณท์ ี่เกีย่ วข้องกบั แสง รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้
ประโยชน์
3. เขา้ ใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟา้ ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าและกฎ
ของโอห์ม วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลังงานไฟฟา้ และกำลงั ไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลงั งาน
ไฟฟา้ สนามแม่เหลก็ แรงแม่เหลก็ ท่ีกระทำกับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนยี่ วนำแมเ่ หล็กไฟฟ้า
และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทัง้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
4. เขา้ ใจความสมั พันธ์ของความร้อนกับการเปล่ียนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุน่
ของวัสดแุ ละมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรงหนืด
ของของเหลว ของไหลอดุ มคติ และสมการแบร์นลู ลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลงั งาน
ในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทรกิ ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
กมั มนั ตภาพรงั สี แรงนิวเคลียร์ ปฏกิ ิริยานิวเคลยี ร์ พลงั งานนิวเคลยี ร์ ฟิสิกสอ์ นภุ าค รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
1. เขา้ ใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพบิ ัตภิ ัยและผลตอ่ สงิ่ มีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม
รวมท้ังการศึกษาลำดบั ชัน้ หนิ ทรพั ยากรธรณี แผนท่ี และการนำไปใชป้ ระโยชน์
2. เขา้ ใจสมดลุ พลังงานของโลก การหมนุ เวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวยี นของน้ำใน
มหาสมทุ ร การเกิดเมฆ การเปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศโลกและผลต่อส่ิงมชี วี ติ และสงิ่ แวดลอ้ ม รวมทงั้ การ
พยากรณ์อากาศ
3. เข้าใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์
และระบบสรุ ยิ ะ ความสมั พนั ธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตำแหน่งดาวบนทรงกลมฟา้ และ
ปฏสิ มั พนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะ รวมท้งั การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศในการดำรงชวี ิต
โครงสร้างรายวชิ ากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หลักสตู รมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
รายวชิ าพนื้ ฐาน
รหสั วชิ า รายชือ่ วิชา จำนวนหน่วยกติ ชั่วโมง
ว31101 40
ว32101 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ 1.0 40
ว32102 40
ว33101 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 1.0 20
ว31104 20
ว32104 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ 2 1.0 20
ว33102 20
ว31103 วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ 0.5 20
ว32103 20
วิทยาการคำนวณ 1 0.5
วิทยาการคำนวณ 2 0.5
วิทยาการคำนวณ 3 0.5
การออกแบบและเทคโนโลยี 1 0.5
การออกแบบและเทคโนโลยี 2 0.5
หลกั สูตรมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
รายวชิ าเพิม่ เติม
รหสั วิชา รายชือ่ วิชา จำนวนหนว่ ยกติ ชั่วโมง
ว30201 60
ว30202 ฟิสิกส์ 1 1.5 60
ว30203 60
ว30204 ฟิสกิ ส์ 2 1.5 60
ว30205 60
ว30206 ฟสิ ิกส์ 3 1.5 60
ว30221 60
ว30222 ฟิสกิ ส์ 4 1.5 60
ว30223 60
ว30224 ฟิสกิ ส์ 5 1.5 60
ว30225 60
ว30226 ฟิสกิ ส์ 6 1.5 60
ว30241 60
ว30242 เคมี 1 1.5 60
ว30243 60
ว30244 เคมี 2 1.5 60
ว30245 60
ว30246 เคมี 3 1.5 60
ว30261 60
ว30262 เคมี 4 1.5 60
เคมี 5 1.5
เคมี 6 1.5
ชวี วทิ ยา 1 1.5
ชวี วทิ ยา 2 1.5
ชวี วิทยา 3 1.5
ชวี วิทยา 4 1.5
ชีววทิ ยา 5 1.5
ชีววิทยา 6 1.5
โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ 1 1.5
โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 2 1.5
รหัสวิชา รายชื่อวชิ า จำนวนหนว่ ยกิต ช่วั โมง
ว30263 โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 3 1.5 60
ว30264 โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ 4 1.5 60
ว30265 โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ 5 1.5 60
ว30266 โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ 6 1.5 60
ว32284 งานคอมพิวเตอรแ์ ละเครอื ข่าย 1.0 40
ว31281 การสรา้ งเว็บไซตด์ ้วยโปรแกรมสำเร็จรปู 1.0 40
ว32281 โปรแกรมภาษา 1.0 40
ว32285 โปรแกรมจดั การฐานข้อมลู (VB) 1.0 40
ว33281 การนำเสนอผ่านเครอื ข่าย 1.0 40
I 30201 การศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ IS1 1.0 40
I 30202 การศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ IS2 1.0 40
ว30282 Science for o-net 1.0 40
ว30283 Science for test 0.5 20
คำอธบิ ายรายวชิ าเพิ่มเติม
วิชา ฟสิ กิ ส์ 1 รหสั วชิ า ว 30201 จำนวน 1.5 หน่วยกิต เวลา 60 ชวั่ โมง
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ศกึ ษาคน้ ควา้ ทดลอง คำนวณและอธบิ ายเก่ยี วกบั การปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ปริมาณกายภาย
และหน่วยการทดลองในวิชาฟิสิกส์ ความไม่แน่นอนในการวัด เลขนัยสำคัญ การบันทึกผลการทดลอง การ
วิเคราะหผ์ ลการทดลอง การเคลอ่ื นท่ีแนวตรง ปรมิ าณตา่ งๆ ของการเคล่ือนที่ ตำแหน่ง การกระจัด การวัด
อัตราเร็วของการเคลื่อนที่แนวตรง ความเร่ง ความสัมพันธ์ระหว่างกราฟ ความเร็ว เวลากับระยะทาง สมการ
สำหรับการคำนวณหาปรมิ าณต่างๆ ของการเคล่อื นท่ีแนวตรง การหาแรงลพั ธข์ องแรง 2 แรงที่ทำมุมต่อกัน
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน น้ำหนัก กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุและ
สมั ประสทิ ธ์ิความเสยี ดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวัตถคุ ่หู น่งึ ๆ
โดยการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสังเกต การสำรวจตรวจสอบ
การสืบค้นข้อมูล การทดลอง การอภิปราย การสร้างความคิดรวบยอด การฝึกปฏิบัติ การทำงานร่วมกันเป็น
กล่มุ การส่อื สารและตง้ั คำถาม
เพื่อให้รักการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เกิดความรู้ความเข้าใจ มี
จิตวิทยาศาสตร์ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ ตัดสินใจ มีทักษะในการดำรงชีวิตและนำความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ไปเป็นเครื่องมือในการเรียนวิชาอื่นๆ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและ
เหมาะสม
ผลการเรียนรู้
1. สบื คน้ และอธิบายการคน้ หาความร้ทู างฟสิ ิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมท้งั พัฒนาการของ
หลักการและแนวคดิ ทางฟิสิกส์ทม่ี ีผลต่อการแสวงหาความรู้ใหมแ่ ละการพฒั นาเทคโนโลยี
2. วดั และรายงานผลการวัดปริมาณทางฟสิ กิ ส์ไดถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม โดยนำความคลาดเคลื่อนในการ
วดั มาพิจารณาในการนำเสนอ รวมทง้ั แสดงผลการทดลองในรปู ของกราฟ วเิ คราะห์และแปลความหมาย
จากกราฟเสน้ ตรง
3. ทดลองและอธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างตำแหน่ง การกระจดั ความเร็วและความเรง่ ของการเคลอื่ นท่ี
ของวัตถุในแนวตรงท่มี คี วามเรง่ คงตัวจากกราฟและสมการ รวมท้ังทดลองหาคา่ ความเรง่ โนม้ ของโลกและคำนวณ
ปริมาณตา่ งๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง
4. ทดลองและอธบิ ายการหาแรงลัพธข์ องแรงสองแรงทที่ ำมุมต่อกนั
5. เขียนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอิสระ ทดลองและอธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันและการใช้
กฎการเคลื่อนท่ีของนวิ ตันกับสภาพการเคลอ่ื นที่ของวัตถุ รวมทง้ั คำนวณปริมาณต่างๆ ท่ีเกย่ี วข้อง
6. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนามโน้มถ่วงที่ทำให้วัตถุมีน้ำหนัก รวมทั้งคำนวณ
ปรมิ าณตา่ งๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง
7. วิเคราะห์ อธิบาย และคำนวณแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่งๆ ในกรณีที่วัตถุหยุด
นง่ิ และวตั ถุเคลื่อนท่ี รวมทัง้ ทดลองหาสัมประสิทธคิ์ วามเสยี ดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวัตถุคหู่ น่ึงๆ และนำ
ความร้เู รอ่ื งแรงเสยี ดทานไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั
รวมทั้งหมด 7 ผลการเรียนรู้
ตารางการวิเคราะห์คำอธิบายรายวชิ า สาระการเรียน
สาระฟสิ ิกส์ ข้อ
คำอธบิ ายรายวิชา
ศกึ ษาค้นคว้า ทดลอง คำนวณและอธิบายเกีย่ วกบั การ
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ปริมาณกายภายและหนว่ ยการ
ทดลองในวชิ าฟิสิกส์ ความไม่แน่นอนในการวดั เลขนัยสำคัญ
การบนั ทกึ ผลการทดลอง การวเิ คราะหผ์ ลการทดลอง
ศกึ ษาการเคล่ือนทแี่ นวตรง ปรมิ าณต่างๆ ของการเคลอื่ นที่ สาระฟสิ กิ ส์ ข้อ
ตำแหนง่ การกระจดั การวัดอัตราเรว็ ของการเคลื่อนท่ีแนวตรง สาระฟสิ กิ ส์ ข้อ
ความเร่ง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกราฟ ความเรว็ เวลากับระยะทาง
สมการสำหรับการคำนวณหาปริมาณตา่ งๆของการเคล่ือนท่ี
แนวตรง
ศึกษาการหาแรงลัพธ์ของแรง 2 แรงที่ทำมุมต่อกันกฎการ
เคลื่อนที่ของนิวตัน น้ำหนัก กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียด
ทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุและสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน
ระหว่างผิวสมั ผสั ของวตั ถุค่หู นึง่ ๆ
นรู้ ตัวชีว้ ัด/
ผลการเรยี นรู้
อ 1 1. สืบค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมท้ัง
พัฒนาการของหลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์ท่ีมผี ลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่
และการพัฒนาเทคโนโลยี
2. วดั และรายงานผลการวดั ปริมาณทางฟสิ ิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำความ
คลาดเคลื่อนในการวัดมาพิจารณาในการนำเสนอ รวมทั้งแสดงผลการทดลอง
ในรปู ของกราฟ วเิ คราะห์และแปลความหมายจากกราฟเสน้ ตรง
อ 1 3. ทดลองและอธิบายความสมั พันธ์ระหว่างตำแหน่ง การกระจัด ความเร็วและ
ความเร่งของการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและ
สมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่งโน้มของโลกและคำนวณปริมาณต่างๆ ที่
เกยี่ วขอ้ ง
อ 1 4. ทดลองและอธบิ ายการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่ทำมุมต่อกัน
5. เขียนภาพของแรงท่ีกระทำต่อวตั ถุอิสระ ทดลองและอธบิ ายกฎการเคล่ือนที่
ของนิวตันและการใช้กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกับสภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุ
รวมทั้งคำนวณปรมิ าณต่างๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง
7. วิเคราะห์ อธิบาย และคำนวณแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่
หนึ่งๆ ในกรณีที่วัตถุหยุดนิ่งและวัตถุเคลื่อนที่ รวมทั้งทดลองหาสัมประสิทธิ์
ความเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่งๆ และนำความรู้เรื่องแรงเสียด
ทานไปใชใ้ นชีวติ ประจำวัน
โครงสร้างรายวชิ าฟสิ ิกส์ 1
หน่วยท่ี ชื่อหน่วย สาระ/ สาระสำคัญ/แนวคิด เวลา คะแนน
ผลการเรียนรู้
1 ธรรมชาติและ สาระฟสิ ิกส์ที่ 1 ฟิสิกสเ์ ปน็ วิทยาสตร์แขนงหน่ึงท่ี 9 10
ศึกษาเกี่ยวกับสสาร พลังงาน อันตร
การพฒั นา ผลการเรยี นรทู้ ี่ 1 กิริยาระหว่างสสารกับพลังงานและ
แรงพน้ื ฐานในธรรมชาติ การคน้ ควา้
ทางฟสิ ิกส์ และ 2 หาความรทู้ างฟิสิกส์ไดม้ าจากการ
สงั เกต การทดลองและเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู มาวเิ คราะห์หรือจากการสรา้ ง
แบบจำลองทางความคิดเพ่ือสรุปเปน็
ทฤษฎี หลักการหรือกฎ ความรู้
เหลา่ น้สี ามารถนำไปใช้อธบิ าย
ปรากฏการณธ์ รรมชาติ หรอื ทำนาย
ส่งิ ท่ีอาจจะเกิดข้นึ ในอนาคต ความรู้
ทางฟสิ ิกสส์ ่วนหน่งึ ไดจ้ ากการทดลอง
ซึ่งเกย่ี วข้องกบั กระบวนการวดั
ปรมิ าณทางฟิสิกส์ซึ่งประกอบดว้ ย
ตัวเลขและหนว่ ยวดั ปริมาณทาง
ฟิสิกสส์ ามารถวดั ได้ด้วยเคร่ืองมือ
ต่างๆ โดยตรงหรอื ทางอ้อมหนว่ ยท่ใี ช้
ในการวดั ปรมิ าณทางวิทยาศาสตร์คือ
ระบบหน่วยระหวา่ งชาติ เรียกยอ่ ๆ
วา่ ระบบเอสไอ ในการวดั ปริมาณ
ต่างๆ จะมีความคลาดเคลอื่ นเสมอ
ขึ้นอยู่กับเครื่องมือ วิธีการวัดและ
ประสบการณ์ของผู้วัด ซ่ึงค่าความ
คลาดเคลอ่ื นสามารถแสดงใน การ
รายงานผลท้งั ในรูปแบบตวั เลขและ
กราฟ
2 การเคลอ่ื นที่ สาระฟิสิกสท์ ี่ 1 ปรมิ าณท่เี กย่ี วกบั การเคล่ือนที่ ได้แก่ 23 20
แนวตรง ผลการเรียนรทู้ ่ี 3 ตำแหน่ง การกระจดั ความเร็วและ
ความเร่ง โดยความเรว็ และความเร่งมี
ทั้งคา่ เฉลี่ยและคา่ ขณะหนง่ึ ซ่ึงคิดใน
ชว่ งเวลาสัน้ ๆ สำหรบั ปรมิ าณตา่ งๆ ท่ี
หน่วยท่ี ช่ือหน่วย สาระ/ สาระสำคัญ/แนวคดิ เวลา คะแนน
3 แรงและ ผลการเรียนรู้
กฎการ
เคลือ่ นท่ี เก่ียวข้องกับการเคลือ่ นทแี่ นวตรง
ด้วยความเรง่ คงตวั มีความสัมพนั ธ์
ตามสมการ
= +
∆ = ( + )
2
1
∆ = + 2 2
2 = 2 + 2 ∆
การอธบิ ายการเคลอื่ นท่ขี องวัตถุ
สามารถเขียนอยู่ในรูปกราฟตำแหน่ง
กบั เวลา กราฟความเรว็ กับเวลาหรอื
กราฟความเร่งกับเวลา ความชันของ
เสน้ กราฟ ตำแหน่งกับเวลาเป็น
ความเร็ว ความชนั ของเส้นกราฟ
ความเรว็ กบั เวลาเป็นความเรง่ และ
พื้นทีใ่ ต้เส้นกราฟความเร็วกับเวลา
เปน็ การกระจดั ในกรณีที่ผสู้ งั เกตมี
ความเรว็ ความเรว็ ของวตั ถทุ ี่สงั เกต
ไดเ้ ปน็ ความเร็วท่เี ทียบกบั ผู้สังเกต
การตกแบบเสรเี ป็นตวั อยา่ งหนงึ่ ของ
การเคลอ่ื นทใี่ นหนึง่ มติ ทิ ี่มีความเร่ง
เทา่ กบั ความเร่งโน้มถ่วงของโลก
สาระฟสิ ิกส์ที่ 1 ผล สมบตั ิของวัตถทุ ีต่ ้านการเปล่ียน 26 20
การเรียนรทู้ ี่ 4 , 5 สภาพการเคลื่อนที่ เรียกวา่ ความ
, 6 และ 7 เฉือ่ ย มวลเปน็ ปริมาณทีบ่ อกให้ทราบ
วา่ วตั ถใุ ดมคี วามเฉื่อยมาก หรือนอ้ ย
แรงเปน็ ปริมาณเวกเตอร์จึงมีทงั้ ขนาด
และทิศทาง กรณีทม่ี ีแรงหลายๆ แรง
กระทำตอ่ วตั ถุสามารถหาแรงลพั ธ์ที่
กระทำต่อวัตถโุ ดยใชว้ ธิ ีเขยี นเวกเตอร์
ของแรงแบบหางต่อหวั วิธีสรา้ งรปู
สีเ่ หล่ียมด้านขนานของแรงและวธิ ี
คำนวณกรณีท่ไี มม่ แี รงภายนอกมา
กระทำ วัตถจุ ะไม่เปลี่ยนสภาพการ
เคลอ่ื นทีซ่ ่ึงเปน็ ไปตามกฎการ
เคลื่อนท่ีขอ้ ท่หี นงึ่ ของนวิ ตัน กรณีท่มี ี
หนว่ ยท่ี ชื่อหน่วย สาระ/ สาระสำคัญ/แนวคิด เวลา คะแนน
ผลการเรยี นรู้
แรงภายนอกมากระทาโดยแรงลัพธท์ ่ี
กระทำตอ่ วัตถุไมเ่ ปน็ ศูนย์ วัตถจุ ะมี
ความเร่ง โดยความเรง่ มีทิศทาง
เดยี วกบั แรงลัพธ์ ความสัมพนั ธ์
ระหว่างแรงลพั ธ์ มวลและความเรง่
เขยี นแทนได้ด้วยสมการ
∑ =1 ⃑ = m⃑a⃑
ตามกฎการเคลอ่ื นทข่ี ้อท่ีสองของนวิ
ตนั เมอื่ วัตถสุ องก้อนออกแรงกระทำ
ต่อกนั แรงระหว่างวตั ถทุ ั้งสองจะมี
ขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงข้าม
และกระทำต่อวตั ถุคนละก้อน
เรียกว่า แรงคกู่ ิริยา-ปฏิกิริยา ซึง่
เป็นไปตามกฎการเคล่ือนที่ข้อที่สาม
ของนวิ ตัน และเกิดข้นึ ได้ทั้งกรณีท่ี
วตั ถทุ ้ังสองสมั ผัสกันหรือไมส่ ัมผสั กนั
ก็ได้ แรงดึงดูดระหวา่ งมวลเปน็ แรงที่
มวลสองก้อนดงึ ดูดซ่ึงกนั และกนั ด้วย
แรงขนาดเท่ากนั แตท่ ิศทาง ตรงข้าม
และเป็นไปตามกฎ ความโน้ม
ถ่วงสากล เขียนแทน ไดด้ ้วย
สมการ = 1 2
2
แรงท่ีเกดิ ขึน้ ทผี่ วิ สัมผสั ระหว่างวตั ถุ
สองก้อนในทิศทางตรงขา้ มกับทิศ
ทางการเคลื่อนทีห่ รือแนวโนม้ ท่จี ะ
เคลือ่ นที่ของวตั ถุ เรยี กว่า แรงเสียด
ทาน แรงเสยี ดทานระหวา่ งผวิ สมั ผัสคู่
หนึ่งๆ ข้นึ กับสมั ประสทิ ธ์คิ วามเสยี ด
ทานและแรงปฏิกริ ิยาตั้งฉากระหว่าง
ผิวสัมผสั คนู่ น้ั ๆ ขณะออกแรง
พยายามแตว่ ตั ถยุ ังคงอยนู่ ิง่ แรงเสยี ด
ทานมขี นาดเทา่ กบั แรงพยายามท่ี
กระทำต่อวตั ถนุ ้นั และแรงเสียดทาน
มคี า่ มากที่สดุ เมื่อวัตถเุ รม่ิ เคลื่อนที่
เรียกแรงเสียดทานน้วี า่ แรงเสียดทาน
หนว่ ยท่ี ชื่อหน่วย สาระ/ สาระสำคญั /แนวคดิ เวลา คะแนน
ผลการเรียนรู้
สถติ แรงเสยี ดทานที่กระทำต่อวัตถุ
ขณะกำลงั เคลื่อนที่ เรียกว่า แรงเสียด
ทานจลน์ โดยแรงเสียดทานที่เกิด
ระหวา่ งผวิ สมั ผัสของวัตถุคู่หนึ่งๆ
คำนวณไดจ้ ากสมการ = N
และ = N ซง่ึ การเพม่ิ หรือ
ลดแรงเสียดทานมีผลต่อการเคล่อื นท่ี
ของวตั ถุ ซึ่งสามารถนำไปใชใ้ น
ชีวติ ประจำวัน
รวมระหว่างภาค 58 70
ปลายภาค 2 30
รวม 60 100
รหัสวิชา ว30201 รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 1 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1ธรรมชาตฟิ ิสกิ ส์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 เร่ือง ธรรมชาตขิ องฟสิ ิกส์
ผู้สอน นางสาวสเุ มธาวี ขนั ทอง เวลาเรียน 3 ชว่ั โมง
มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ดั /ผลการเรยี นรู้
สาระฟิสิกส์ : 1. เขา้ ใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลอื่ นทีแ่ นวตรง แรงและกฎการ
เคล่อื นที่ของนิวตนั กฎความโน้มถว่ งสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลอื่ นทีแ่ นวโค้ง รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้
สืบค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมท้ังพัฒนาการของหลักการ
และแนวคิดทางฟิสิกส์ท่ีมีผลการแสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
- นักเรยี นสามารถอธิบายและยกตัวอย่างความรทู้ างฟิสิกส์ที่มีผลตอ่ การแสวงหาความรใู้ หม่
ทางวทิ ยาศาสตร์และพฒั นาเทคโนโลยี
ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- นักเรยี นสามารถสบื คน้ ความร้ทู างฟิสกิ ส์ ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพฒั นาการของ
หลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์ทมี่ ีผลการแสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
- นกั เรียนมีนักเรียนมคี วามสนใจใฝ่เรยี นรู้ตอ่ การเรียน
สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับสสาร พลังงาน อันตรกิริยาระหว่างสสารกับ
พลังงาน และแรงพื้นฐานในธรรมชาติ การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ได้มาจากการสังเกต การทดลอง และ
เก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือจากการสร้างแบบจำลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี หลักการหรือ
กฎ ความรู้เหล่านี้สามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือทำนายสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ใหม่
เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็มีส่วนในการค้นหาความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์
ด้วย
สาระการเรียนรู้
การค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมท้ังพัฒนาการของหลักการและแนวคิดทาง
ฟิสิกส์ท่ีมีผลการแสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี โดยความรทู้ างฟิสิกส์มาอธบิ ายสิ่งตา่ งๆ
รอบตัว
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
( ✓ ) ความสามารถในการสื่อสาร ( ✓ ) ความสามารถในการคิด ( ) ความสามารถในการแกป้ ัญหา
( ) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ( ) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
( ) รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ( ✓ ) ซ่ือสตั ยส์ ุจรติ ( ) มีวนิ ยั ( ✓ ) ใฝ่เรยี นรู้
( ) อยอู่ ย่างพอเพียง ( ✓ ) ม่งุ มน่ั ในการทำงาน ( ) รกั ความเป็นไทย ( ✓ ) มีจติ สาธารณะ
คณุ ลกั ษณะของผู้เรียนตามหลกั สูตรมาตรฐานสากล
( ✓ ) เป็นเลศิ วชิ าการ ( ) สื่อสารสองภาษา ( ✓ ) ลำ้ หนา้ ทางความคิด
( ✓ ) ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ ( ) ร่วมกันรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมโลก
ชนิ้ งาน/ภาระงาน
1. คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 1.1
2. ใบงานที่ 1.1 เรือ่ ง ธรรมชาตขิ องฟิสิกส์
3. กิจกรรมกลอ่ งปริศนา (Mysterious boxes)
กิจกรรมการเรียนรู้
ขน้ั ท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ
1. ครูนำเข้าสู่บทที่ 1 โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ธรรมชาติและพัฒนาการทาง
ฟิสิกส์
2. ครูชี้แจงนักเรียนว่า ในบทที่ 1 นี้ นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษา
ค้นคว้าเพ่อื อธิบายปรากฏการณใ์ นธรรมชาติ ซง่ึ คอื วชิ าฟิสิกส์ โดยจะศกึ ษาเกีย่ วกับ ธรรมชาติทางฟิสิกส์ การ
วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ และการทดลองทางฟิสิกส์ จากนั้นครูชี้แจงหัวข้อที่นักเรียนจะได้
เรียนรู้ในบทที่ 1 และคำถามสำคัญที่นกั เรยี นจะตอ้ งตอบไดห้ ลังจากเรียนรู้บทที่ 1 ตามรายละเอียดในหนังสือ
เรียน
3. ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ของหัวข้อ 1.1 จากนั้น ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยการให้นักเรียน
อภิปรายเก่ียวกบั ที่มาของความรู้ทางวิทยาศาสตรต์ ั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน โดยอาจให้นักเรยี นอภิปรายร่วมกนั
ในประเด็นตอ่ ไปนี้
- ความรู้ ทฤษฎี หลกั การ หรือกฎทางวทิ ยาศาสตร์ทรี่ ู้จักมีอะไรบา้ ง
- นักวิทยาศาสตร์มีวิธีการในการได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือกฎทางวิทยาศาสตร์
อยา่ งไร
- ความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรอื กฎทางวทิ ยาศาสตร์ มกี ารเปล่ียนแปลงและพฒั นาอย่างไร
- ความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือกฎทางวิทยาศาสตร์ มีผลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่ทาง
วิทยาศาสตรส์ าขาอ่นื ๆ และการพฒั นาเทคโนโลยี อย่างไร
ขน้ั ท่ี 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา
ครูเปิดโอกาสให้นักเรยี นตอบคำถามอย่างอิสระ ไม่คาดหวงั คำตอบที่ถูกต้อง จากนั้น ครใู ห้ความรู้ตาม
รายละเอียดในหนังสือเรียนเกี่ยวกับธรรมชาติของฟิสิกส์ การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ พัฒนาการของ
หลักการและแนวคดิ ทางฟิสิกส์ และผลของพัฒนาการทางฟสิ กิ ส์ท่ีมตี อ่ การแสวงหาความรูใ้ หม่และการพัฒนา
เทคโนโลยี โดยครูอาจให้นักเรียนทำกิจกรรมกล่องปริศนา (Mysterious boxes) เพื่อกระตุ้นความสนใจ
และสรา้ งความเข้าใจเกี่ยวกบั ธรรมชาติของฟิสกิ ส์มากย่ิงข้นึ
ขั้นที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการทำกิจกรรมโดยเปรียบเทียบการทำกิจกรรมกล่อง
ปริศนากับการได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือกฎทางวิทยาศาสตร์ จนได้ข้อสรุปดังนี้ “กิจกรรมกล่อง
ปริศนาเปรียบได้กบั การได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลกั การ หรอื กฎทางวิทยาศาสตรโ์ ดยวตั ถุที่อยู่ในกล่องปริศนา
เปรยี บได้กบั ความรแู้ ละคำอธบิ ายปรากฏการณ์ในธรรมชาตทิ ี่นักวิทยาศาสตร์ตอ้ งการค้นพบ วธิ กี ารทใี่ ชใ้ นการ
รวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับวัตถุในกล่องปริศนา เช่น การยก การเขย่า การพลิก และการเอียงกล่องปริศนา
จากนั้นนำข้อมูลจากการสังเกตนำไปตีความหมายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับวตั ถุท่ีอยู่ในกล่องปริศนา วิธีการที่ใช้
ในกจิ กรรมดังกล่าวเปรยี บได้กบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตา่ ง ๆ เชน่ การสงั เกต การจำแนกประเภท การ
ตง้ั สมมติฐานการตีความหมายข้อมลู และการลงข้อสรปุ และการสร้างแบบจำลอง”
ขน้ั ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้
1. ครูให้นักเรียนรว่ มกันอภิปรายว่า จะมีวิธกี ารใดในการบอกวา่ วัตถุท่ีอยู่ในกลอ่ งปริศนาคอื อะไรโดย
ไม่ต้องเปิดกล่องโลหะ (แนวคำตอบ วิธีการที่จะให้ได้คำตอบว่าวัตถุที่อยู่ในกล่องปริศนาคืออะไร โดยไม่เปิด
กล่องปริศนา คือ การนำวัตถุที่คิดว่าเป็นคำตอบมาใส่ในกล่องโลหะท่ีมีลกั ษณะคล้ายกันกับกล่องปริศนา แล้ว
ทำการเปรียบเทียบว่า เมื่อมีการกระทำต่อกล่องดังกล่าว เช่น การยก การเขย่า การพลิก และการเอียงกล่อง
แล้วจะให้ผลท่คี ลา้ ยกบั การกระทำต่อกล่องปรศิ นา โดยทีผ่ ลการสงั เกตออกมาคล้ายกัน แสดงวา่ วตั ถุที่นำมาใส่
ในกล่องใบใหม่ อาจเป็นไปได้ที่จะเป็นวัตถุที่อยู่ในกล่องปริศนา ซึ่งกระบวนการดังกล่าว เปรียบได้กับการทำ
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นการดำเนินการเพื่อเทียบเคียงกับการทำงานของธรรมชาติ โดยท่ี
นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถรู้ได้ว่า การทำงานของธรรมชาติจริง ๆ นั้นเป็นเช่นไร แต่สามารถทำการทดลอง
เพอื่ ให้ได้มาซึ่งคำตอบทีใ่ กลเ้ คียงกับการทำงานของธรรมชาติมากท่สี ุด)
2. นักเรียนทำแบบฝึกหัดตรวจสอบความเขา้ ใจ 1.1 ในหนังสือเรียนฟิสิกส์ เล่ม 1 หน้า 10 ส่งครูท้าย
ชั่วโมง
3. ครูมอบหมายใหน้ กั เรยี นทำใบงาน 1.1 เรือ่ ง ธรรมชาตขิ องฟิสิกส์ เปน็ การบา้ นสง่ ครใู นชัว่ โมงถัดไป
ข้นั ที่ 5 ขัน้ ประเมินผล
1. ครูตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เพ่อื ตรวจสอบความเข้าใจก่อนเรยี นของนกั เรยี น
2. ครตู รวจสอบผลจากการทำทำแบบฝกึ หดั ตรวจสอบความเขา้ ใจ 1.1 และใบงานท่ี 1.1
3. ครปู ระเมนิ ผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานของนักเรยี น
สอ่ื การเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้ ท่ี 1
1. หนงั สือเรียนรายวชิ าเพิม่ เติม ฟิสกิ ส์ ม.4 เล่ม 1 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการทางฟิสิกส์
2. วสั ดุและอปุ กรณ์ กิจกรรมกล่องปริศนา
3. ใบงาน 1.1 เรอื่ ง ธรรมชาตขิ องฟสิ กิ ส์
4. Powerpoint
การวัดและประเมินผล
วธิ วี ดั เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน
รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
K - ใบงาน 1.1
- นกั เรยี นสามารถอธิบายและ - คำถามตรวจสอบความเข้าใจ
ยกตวั อย่างความรทู้ างฟิสกิ ส์ท่ีมี 1.1
ผลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่ทาง
วิทยาศาสตรแ์ ละพฒั นา
เทคโนโลยี
P - ใบงาน 1.1 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- นกั เรียนสามารถสืบคน้ ความรู้ - คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ
ทางฟสิ ิกส์ ประวัตคิ วามเปน็ มา 1.1 ระดับคุณภาพ 2
รวมทัง้ พัฒนาการของหลักการ ผา่ นเกณฑ์
และแนวคิดทางฟิสิกสท์ ่มี ีผลการ
แสวงหาความรู้ใหม่และการ
พฒั นาเทคโนโลยี
A - แบบประเมนิ คุณลักษณะ
- นักเรียนมีนักเรียนมีความสนใจ อนั พงึ ประสงค์
ใฝเ่ รียนรู้ต่อการเรียน
ความเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้/ผู้ที่ได้รบั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………….
(นางบัวแก้ว ศรีภธู ร)
ตำแหนง่ หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
................/................./.................
ความเหน็ ของผ้บู ริหาร/ผูท้ ่ีไดร้ ับมอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………….
(........................................................)
ตำแหน่ง.............................................................
................/................./.................
บนั ทกึ ผลหลังการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
แผนการจดั การเรยี นร้ทู .ี่ ..................
เรอื่ ง..............................................
1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จำนวนนักเรียน.........................คน
ดา้ นความรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ด้านทกั ษะกระบวนการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลกั ษณะของผ้เู รยี นตามหลักสูตรมาตรฐานสากล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางในการแกไ้ ข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………….
(........................................................)
................/................./.................
กิจกรรม กลอ่ งปรศิ นา
จดุ ประสงค์
เปรียบเทียบการทำ กิจกรรมกล่องปริศนากับการได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฏี หลักการหรือกฎทาง
วิทยาศาสตร์
เวลาที่ใช้
50 นาที
วัสดแุ ละอุปกรณ์
1. กล่องโลหะที่ปิดผนึกไม่สามารถเปิดออกได้ ภายในบรรจุวัตถุที่แตกต่างกันกล่องละ 1 ชิ้น เช่น ลวด
เสยี บกระดาษ ลกู แกว้ ลกู เต๋า ไม้จิ้มฟนั ถุงชา ถงุ ทราย
รูป 1.1 กล่องปรศิ นา
วิธดี ำเนินกิจกรรม
1. ครใู หน้ กั เรียนแต่ละกล่มุ รบั กล่องปรศิ นา กล่มุ ละ 1 กลอ่ ง
2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายร่วมกันเพื่อหาวิธีการที่จะบอกว่าวัตถุที่อยู่ข้างในกล่องปริศนาคือ
อะไรโดยไม่เปิดกล่องโลหะ เช่น การยกเพื่อเปรียบเทียบน้ำ หนักของวัตถุ การเขย่าเพื่อฟังเสียงที่วัตถุกระทบ
กบั กลอ่ งโลหะ การพลกิ กลับไปกลับมาเพื่อสังเกตแรงทเี่ กิดจากการกระทบกันระหวา่ งวัตถุกบั กล่องโลหะ การ
เอยี งเพ่อื สังเกตการกลิง้ หรอื การไหลของวตั ถุ
3. ครูให้นักเรียนบนั ทึกผลการสังเกต วิธีการที่ใช้ และการข้อสรุปของกลุม่ ว่า วัตถุที่อยู่ในกล่องปริศนา
คอื อะไร
4. ครูให้นกั เรียนเปล่ยี นกลอ่ งปรศิ นากล่องใหม่ แลว้ ทำ กิจกรรมขอ้ 2 และ 3 ซำ้ จนครบทุกกล่อง
5. ครใู หน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปรายว่าแตล่ ะกลุ่มมีวธิ ีการท่ีใช้ในการสังเกต ผลของการสังเกต และข้อสรุป
เกี่ยวกบั วัตถุท่อี ยูใ่ นกลอ่ งปริศนาแตล่ ะกลอ่ งเหมอื นหรือแตกตา่ งกันอย่างไร
6. ครใู หน้ ักเรยี นร่วมกันอภปิ รายว่า จะมวี ิธกี ารใดในการบอกว่าวตั ถทุ ่ีอยู่ในกล่องปริศนาคืออะไรโดยไม่
ต้องเปดิ กลอ่ งโลหะ
7. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการทำ กิจกรรมโดยเปรียบเทียบการทำ กิจกรรมกล่อง
ปริศนากับการไดม้ าซงึ่ ความรู้ ทฤษฎี หลกั การ หรอื กฎทางวทิ ยาศาสตร์
ใบงานท่ี 1.1
เรื่อง ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์
คำชแี้ จง : ให้เตมิ ข้อความหรอื ความหมายของคำตอ่ ไปนี้ใหส้ มบรู ณ์
1. ฟิสิกส์มคี วามหมายวา่ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. วทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติประกอบด้วยอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. เทคโนโลยีมคี วามหมายว่าอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. พจิ ารณาข้อความเยวกบั สิ่งท่ีศึกษาว่าอยใู่ นยุคสมยั ใดของฟิสกิ ส์
1. แรงและการเคล่อื นท่ี สิ่งทีศ่ กึ ษา
2. พลงั งานจลน์ 9. พฤติกรรมของแสง
3. นวิ เคลยี สของอะตอม 10. สถานะของแขง็
4. อนภุ าคยอ่ ยของอะตอม 11. โครงสร้างและพฤตกิ รรมของอะตอม
5. ความรอ้ น 12. จกั รวารวิทยา
6. คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 13. ไฟฟา้ และแมเ่ หลก็
7. สเปกตรัมของอะตอม 14. ปรากฏการณโ์ ฟโต้อเิ ล็กทรกิ
8. การส่ันและคลน่ื เสยี ง 15. ทฤษฎสี ัมพันธภาพ
16. ทฤษฎขี องนวิ ตนั
ฟิสกิ ส์ยุคเกา่ ไดแ้ ก่ ฟิสิกส์ยคุ ใหม่ ไดแ้ ก่
…………………………………………………………… ……………………………………………………………
…………………………………………………………… ……………………………………………………………
…………………………………………………………… ……………………………………………………………
…………………………………………………………… ……………………………………………………………
เฉลย
ใบงานท่ี 1.1
เรือ่ ง ธรรมชาติของฟิสกิ ส์
คำช้แี จง : ใหเ้ ติมขอ้ ความหรือความหมายของคำตอ่ ไปนใ้ี ห้สมบรู ณ์
1. ฟิสิกส์มีความหมายวา่ อยา่ งไร
ฟิสิกส์เป็นศาสตร์วิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของสิ่งที่ไม่มีชีวิตในเรื่อง
อนั ตรกริ ยิ า (interaction) ของอนุภาคของสสารและพลงั งาน
2. วิทยาศาสตร์ธรรมชาตปิ ระกอบด้วยอะไรบ้าง
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (natural science) คือ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่บรรยายถึงความเป็นไปของ
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ อนั ประกอบไปดว้ ย ข้อเทจ็ จริง หลักการ ทฤษฎี กฎ และสตู รต่าง ๆ เป็น
ความรู้พื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มาเพื่อสนองความต้องการอยากรู้อยากเห็น โดยไม่คำนึงถึง
ประโยชนข์ องการค้นหา สามารถแบ่งออกเป็นกลมุ่ ย่อยได้อีก 3 แขนง คอื
1. วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (physical science) คอื วิทยาศาสตรท์ ี่ว่าด้วยเร่อื งราวตา่ ง ๆ ของสิ่งไม่มีชีวิต
เชน่ เคมี ฟิสกิ ส์ คณติ ศาสตร์ ดาราศาสตร์
2. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (biological science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเร่ืองราวต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต
เช่น สตั ววทิ ยา จุลชีววทิ ยา
3. วิทยาศาสตร์สังคม (social science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ศึกษาหาความรู้ เพื่อจัดระบบให้มนุษย์มี
การดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีแบบแผน เพื่อความสงบสุขของสังคม ประกอบด้วย วิชาจิตวิทยา วิชา
รฐั ศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น
3. วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์เปน็ อย่างไร
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างมีกระบวนการที่เป็นแบบแผนมี
ขั้นตอนที่สามารถปฏิบัติตามได้ โดยขั้นตอนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเครื่องมือสำคัญของ
นกั วทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอน คือ การกำหนดปญั หา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และการสรปุ ผลการทดลอง
4. เทคโนโลยมี คี วามหมายวา่ อยา่ งไร
เทคโนโลยี คือ การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ มาผสมผสาน ประยุกต์ เพื่อสนอง
เปา้ หมายเฉพาะตามความตอ้ งการของมนุษย์ ดว้ ยการนำทรัพยากรต่าง ๆ มาใช้ในการผลิต
5. พจิ ารณาข้อความเยวกับสง่ิ ทีศ่ ึกษาวา่ อย่ใู นยุคสมัยใดของฟิสกิ ส์
1. แรงและการเคลอ่ื นท่ี สิ่งที่ศึกษา
2. พลงั งานจลน์ 9. พฤติกรรมของแสง
3. นวิ เคลยี สของอะตอม 10. สถานะของแขง็
4. อนุภาคยอ่ ยของอะตอม 11. โครงสร้างและพฤตกิ รรมของอะตอม
5. ความร้อน 12. จกั รวารวิทยา
6. คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า 13. ไฟฟ้าและแมเ่ หลก็
7. สเปกตรัมของอะตอม 14. ปรากฏการณ์โฟโต้อิเลก็ ทรกิ
8. การสน่ั และคล่ืนเสยี ง 15. ทฤษฎีสมั พันธภาพ
16. ทฤษฎีของนิวตัน
ฟิสกิ ส์ยุคเก่า ไดแ้ ก่ ฟิสกิ สย์ ุคใหม่ ไดแ้ ก่
1, 2, 5, 6, 8, 9, 13, 16 3, 4, 7, 10, 11, 12, 14, 15
เกณฑ์การประเมนิ คณุ ลกั ษะอนั พงึ ประสงค์
ตัวชีว้ ัด ผา่ น (1) ปฏบิ ตั ิตามข้อ
1. มวี นิ ยั ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของ ช้ันเรยี น ตรงต
2. ใฝ่เรยี นรู้ ช้ันเรยี น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัตกิ ิจกรรม ต่างๆ และรับ
ต่างๆ
3. มุ่งมั่นในการทำงาน เขา้ เรยี นตรงเวลา ตั้งใจเรียน เอาใจใส่ และ เข้าเรยี นตรงเ
มคี วามเพยี รพยายามในการเรียนรู้ มีส่วน ความเพียรพย
ร่วมในการเรียนรู้ และเข้าร่วมกจิ กรรมการ ในการเรียนรู้
เรียนร้ตู า่ งๆ บางครัง้ ต่างๆ ทงั้ ภาย
บ่อยครง้ั
ต้ังใจและรบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิหน้าทีท่ ่ี
ไดร้ ับมอบหมายให้สำเรจ็ ต้งั ใจและรบั ผ
ได้รบั มอบหม
ทำงานใหด้ ีข้ึน
เกณฑ์การประเมนิ ดีมาก
ช่วงคะแนน 7 – 9 ระดับคุณภาพ 3 ดี
ชว่ งคะแนน 4 - 6 ระดับคณุ ภาพ 2 พอใช้
ชว่ งคะแนน 3 ระดบั คุณภาพ 1
เกณฑก์ ารผา่ น : นักเรียนไดร้ ะดบั คุณภาพ 2 ข้นึ ไป
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดเี ย่ียม (3)
ดี (2)
ปฏิบตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของช้นั
อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของ เรียน ไมล่ ะเมิดสิทธขิ องผ้อู ื่น ตรงตอ่ เวลาในการ
ต่อเวลาในการปฏบิ ัติกจิ กรรม ปฏิบัตกิ จิ กรรมตา่ งๆ และรบั ผดิ ชอบในการทำงาน
บผิดชอบในการทำงาน
เวลา ตงั้ ใจเรยี น เอาใจใส่ และมี เข้าเรียนตรงเวลา ต้ังใจเรียน เอาใจใส่ และมีความ
ยายามในการเรียนรู้ มสี ่วนร่วม เพียรพยายามในการเรยี นรู้ มีสว่ นรว่ มในการ
และเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรยี นรู้ และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทงั้
ยในและภายนอกโรงเรยี น ภายในและภายนอกโรงเรยี นเป็นประจำ และเป็น
แบบอย่างท่ดี ี
ผดิ ชอบในการปฏิบตั หิ นา้ ทีท่ ่ี
มายให้สำเร็จ มีการปรบั ปรงุ การ ตั้งใจและรับผิดชอบในการปฏิบัติหนา้ ทท่ี ี่ไดร้ ับ
น มอบหมายให้สำเรจ็ มกี ารปรับปรุงและพฒั นาการ
ทำงานให้ดีข้นึ
แบบมาตรประมาณค่าเพ่อื ประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ใหพ้ ิจารณาพฤติกรรมต่อไปน้ี แล้วใหร้ ะดับคะแนนที่ตรงกับการปฏบิ ัติของนกั เรยี นตามความเปน็
จริง
รายการประเมิน คะแนน
เฉลี่ย
เลขท่ี ชอ่ื -สกุล มีวินัย ใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ ม่ันใน การแปลผล
การทำงาน
ลงช่อื .........................................................
(.............................................)
ผปู้ ระเมิน
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 2
รหสั วชิ า ว30201 รายวิชา ฟิสกิ ส์ 1 กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 ธรรมชาติฟสิ ิกส์ เรื่อง การวัดและการบันทกึ ผลการวัดปรมิ าณทางฟิสกิ ส์
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 เวลาเรยี น 3 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสเุ มธาวี ขันทอง
มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชว้ี ดั /ผลการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์ : 1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสกิ ส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคล่อื นท่แี นวตรง แรงและกฎการ
เคลอ่ื นทข่ี องนวิ ตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดลุ กลของวตั ถุ งานและกฎการอนุรักษพ์ ลังงานกล
โมเมนตัมและกฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตัม การเคลื่อนท่แี นวโค้ง รวมทัง้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
ผลการเรยี นรู้
วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำ ความคลาดเคลื่อนในการ
วัดมาพิจารณาในการนำ เสนอผลด้วย รวมทั้งแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปล
ความหมายจากกราฟเส้นตรง
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
- อธบิ ายความสำคัญของการเลอื กใช้เครือ่ งมือวดั ให้เหมาะสมกับส่ิงทตี่ ้องการวดั
ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
- บันทึกผลการวัดปริมาณได้อย่างเหมาะสมประกอบด้วยค่าที่อ่านได้จากเครื่องวัดและ
ค่าประมาณ
ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
- นักเรยี นมีนักเรียนมีความซ่ือสัตย์ในการบนั ทึกผลการทดลอง
สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึ่งได้จากการทดลองซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ซึ่ง
ประกอบด้วยตัวเลขและหน่วยวัด ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรงหรือ ทางอ้อม
หน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณทางวิทยาศาสตร์คือระบบหน่วยระหว่างชาติ (The International System of
Units) เรียกย่อว่า ระบบเอสไอ (SI) ประกอบด้วยหน่วยฐานและหน่วยอนุพัทธ์ หน่วยฐาน มี 7 หน่วย ได้แก่
เมตร (m) กิโลกรัม (kg) วินาที (s) แอมแปร์ (A) เคลวิน (K) โมล (mol) และแคนเดลา (cd) หน่วยอนุพัทธ์
เป็นหน่วยที่เกิดจากหน่วยฐานหลายหน่วย ปริมาณทางฟิสิกส์ที่มีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 มาก ๆ นิยม
เขียนโดยใช้คำ นำ หน้าหน่วยของระบบเอสไอ เช่น kilo แทนตัวคูณที่เที่ยบเท่า 103 nano แทนตัวคูณที่
เท่ียบเท่า 10-9 หรือเขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นการเขียนปริมาณที่มีค่ามาก หรือน้อยให้อยู่ใน
รูปจำนวนเต็มหนึ่งตำแหน่งตามด้วยเลขทศนิยม แล้วคูณด้วยเลขสิบยกกำ ลัง มีรูปทั่วไป An ×10 เมื่อ
1 ≤ A ≤ 10 และ n เป็นจำนวนเต็ม
สาระการเรียนรู้
การวัดและการบันทึกผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ จะเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นเนื่องจากอปุ กรณ์การวัด
ผูท้ ำการทดลอง และสภาพแวดล้อม
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
( ✓ ) ความสามารถในการส่ือสาร ( ✓ ) ความสามารถในการคดิ ( ) ความสามารถในการแก้ปัญหา
( ) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ ( ) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
( ) รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ( ✓ ) ซ่ือสัตยส์ จุ ริต ( ) มีวนิ ัย ( ✓ ) ใฝเ่ รยี นรู้
( ) อยู่อยา่ งพอเพียง ( ✓ ) มุ่งมั่นในการทำงาน ( ) รกั ความเป็นไทย ( ✓ ) มจี ติ สาธารณะ
คุณลักษณะของผู้เรียนตามหลกั สตู รมาตรฐานสากล
( ✓ ) เป็นเลศิ วชิ าการ ( ) สื่อสารสองภาษา ( ✓ ) ล้ำหนา้ ทางความคิด
( ✓ ) ผลติ งานอยา่ งสรา้ งสรรค์ ( ) รว่ มกนั รบั ผดิ ชอบต่อสงั คมโลก
ชน้ิ งาน/ภาระงาน
1. คำถามตรวจสอบความเข้าใจ 1.2
2. ใบงานที่ 1.2 เรื่อง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชิงฟสิ ิกส์
กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั ที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนวัดความกว้างและความยาวของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น
สมุด หนังสอื โต๊ะ และกระดานดำ โดยเริ่มจากการวัดโดยใชห้ นว่ ยคบื ของนักเรียนแตล่ ะคน แลว้ นำมาอภิปราย
เพื่อสรุปว่า หน่วยการวัด 1 คืบของนักเรียนแต่ละคนมีความยาวไม่เท่ากัน จึงไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือวัดท่ี
เป็นมาตรฐานได้ ดังนั้น การวัดสิง่ ๆ หนึ่งเพื่อให้ทกุ คนรับรูต้ รงกันจะต้องใช้เครื่องมอื ที่มมี าตรฐาน จากนั้นครู
ใหน้ ักเรยี นใช้เคร่ืองมดื วัดที่มีมาตรฐาน เชน่ ไม้บรรทดั ไมเ้ มตร มาทำการวัดความยาวของวัตถุเดิมอีกคร้ังเพื่อ
เปรียบเทียบผลการวดั แลว้ อภิปรายร่วมกนั เพื่อให้ได้ข้อสรุปวา่ การใช้เครื่องมอื วดั ท่ีไดม้ าตรฐานทำ ให้ผลของ
การวัดใกล้เคยี งกนั มากยงิ่ ขึน้ ครใู ห้นักเรียนอภิปรายรว่ มกันเพ่ือตอบคำถามว่า
- การวดั ปริมาณใด ๆ มีความคลาดเคล่อื นเกิดขึ้นเสมอไปหรอื ไม่
- ปจั จยั ใดบา้ งท่ีมผี ลตอ่ ความคลาดเคล่ือนในการวัด
- ยกตวั อยา่ งผลกระทบอาจเกิดขึน้ ได้จากความคลาดเคล่ือนในการวดั
ขนั้ ที่ 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา
1. ครูให้นักเรียนทำการศึกษาการวัดด้วยเครื่องมือที่มีชื่อว่า เวอร์เนียร์แคลิเปอร์ และไมโครมิเตอร์
โดยครคู วรอธบิ ายวิธกี ารใชด้ งั น้ี
การวัดความยาวด้วยเวอร์เนียรแ์ คลเิ ปอร์ เวอรเ์ นียร์แคลเิ ปอร์ (Vernier Calipers) หรือเรียก
สัน้ ๆ วา่ เวอรเ์ นียร์ เป็นเครอ่ื งมือทใี่ ชว้ ดั ความยาวหรือเส้นผ่าศูนยก์ ลางของวตั ถุ โดยสามารถวดั ได้ละเอยี ดถึง
ระดับ 0.01 เซนติเมตร หรือ 0.1 มิลลิเมตร เหมาะสำหรับใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดและความถูกต้อง
สูง เวอรเ์ นียร์สามารถใชใ้ นการวัดได้ทั้งความยาวภายนอกของวัตถุ ความยาวภายในของวัตถุ และความลึกของ
วัตถุ วิธีการวัดมีดงั น้ี
1. อ่านค่าความยาวของวัตถุจากสเกลหลัก โดยใช้ขีดที่ 0 ของสเกลเวอร์เนียร์เป็นจุดสังเกต
(ลูกศรสีแดง) ซ่งึ ในกรณีน้จี ะอา่ นค่าความยาวของวัตถุไดเ้ ป็น 3.80 เซนตเิ มตร
2. อ่านค่าความยาวของวัตถุจากสเกลเวอร์เนีย โดยดูจากขีดของสเกลเวอร์เนียร์ที่อยูต่ รงกับ
ขีดของสเกลหลักพอดี (ลูกศรสีเขียว) ซึ่งในกรณีนี้เป็นขีดที่ 7 จะอ่านค่าความยาวได้เป็น 7 ช่อง
0.002 เซนตเิ มตรต่อชอ่ ง = 0.014 เซนติเมตร
3. ความยาวของวัตถุสามารถหาได้จากผลรวมระหว่างความยาวที่วัดได้จากสเกลหลักและสเกลเวอร์เนียร์ ซึ่ง
ในกรณนี จ้ี ะได้เป็น 3.80 + 0.014 = 3.814 เซนติเมตร
ดังนัน้ ความยาวของเส้นผ่าศูนย์กลางของวัตถุนีเ้ ทา่ กบั 3.814 เซนตเิ มตร ซ่งึ จะเห็นได้ว่า ค่า
ความยาวท่วี ดั ได้จะละเอยี ดกว่าการวัดโดยใชไ้ มบ้ รรทัดซง่ึ จะอา่ นค่าความยาวได้เปน็ 3.80 เซนตเิ มตร เท่าน้นั
การวัดความยาวด้วยไมโครมิเตอร์ (Micrometer) หรืออีกชื่อหนึ่งคือไมโครมิเตอร์สกรูเกจ
เป็นเครอื่ งมอื ใช้งานด้านวศิ วกรรม จุดประสงคก์ ารใช้งานเพื่อสำหรับวัดขนาดทีต่ ้องการความแมน่ ยำสงู โดยใช้
วัดความกว้าง ยาว หรือ ความหนาของวัตถุ เหมือนเวอร์เนียร์ แต่ว่าไมโครมิเตอร์จะสามารถวัดได้ละเอียดสูง
กว่า วิธกี ารวดั มดี ังนี้
1. อ่านค่าผลการวัดที่สเกลหลัก (Sleeve scale) โดยสังเกตขอบของสเกลหมุน (Thimble
scale) ตรงกับช่วงไหนของขีดสเกลหลัก จากรูปจะเห็นได้ว่าขอบของสเกลหมุนจะตรงกับขีดสเกลหลักใน
ระหวา่ งช่วง 7 มิลลิเมตร ถงึ 8 มลิ ลิเมตร ดังนนั้ เราจะอา่ นคา่ ทส่ี เกลหลักได้ 7.00 มิลลิเมตร
2. อ่านค่าผลการวัดที่สเกลหมุน (Thimble scale) โดยสังเกตที่ตำแหน่งขีดสเกลหมุนว่ามี
สเกลใดตรงกับเส้นกลางของขีดสเกลหลกั จากรูปจะเห็นได้ว่าขีดสเกลหมุนขดี ที่ 37 ตรงกับขีดกลางของสเกล
หลักพอดี
ดังนั้นสามารถอ่านค่าของสเกลหมุนได้ โดยการนำค่าความละเอียดของเครื่องมือคูณเส้นขีด
สเกลหมุนที่อ่านได้คือ สเกลขีดที่ 37 x ความละเอียด 0.01 มิลลิเมตร เท่ากับ 0.37 มิลลิเมตร นำผลการวัดที่
อ่านได้จากสเกลหลักบวกผลการวัดที่อ่านได้จากสเกลหมุนคือ 7.00 + 0.37 = 7.37 มิลลิเมตร
2.4 ครูถามนักเรียนว่าวัดความหนาของกระดาษสมุด 1 แผ่น กับ เส้นผ่าศูนย์กลางของฝา
ขวดน้ำพลาสติก โดยใช้อุปกรณ์ใดจึงจะเหมาะสมที่สุด เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : ความหนาของกระดาษ
สมุดควรใช้ไมโครมิเตอร์ แต่เส้นผ่านศูนย์กลางของฝาขวดนำ้ ควรใช้เวอร์เนียร์ เพราะลักษณะของอุปกรณ์การ
วดั มคี วามเหมาะสมที่แตกต่างกัน)
ขัน้ ที่ 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ
1. ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายถึงผลการทำกิจกรรมการวัดจากเคร่ืองมือต่าง ๆ ว่าการวัดปริมาณ
ใด ๆ ด้วยเคร่ืองมอื วดั ย่อมมคี วามคลาดเคล่ือนเกดิ ข้นึ โดยความคาดเคลื่อนดงั กล่าวจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่
กับคุณสมบัติของเครื่องมือที่ใช้วัด วิธีการวัด ความสามารถและประสบการณ์ของผู้วัด ความคาดเคลื่อนที่
เกิดขึ้นนี้จะเกี่ยวโยงไปถึงการบันทึกผลการคำนวณเมื่อนำตวั เลขทีม่ ีความไม่แน่นอนหลายปริมาณมาบวก ลบ
คณู และหารกัน ย่อมทำให้เกดิ ความคาดเคล่ือนเปล่ียนแปลงไปได้
2. ครูให้ความรู้ตามรายละเอียดใน หนังสือเรียนฟิสิกส์เพิ่มเติม 1 เรื่องระบบหน่วยระหว่างชาติ
สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ความไม่แน่นอนในการวัด เลขนัยสำคัญ และการบันทึกผลการคำนวณ และให้นักเรียน
ฝึกใช้เครื่องมือวัดที่มีความละเอียดแตกต่างกันมาใช้ สำหรับวัดความกว้าง ความยาว และความหนาของวัสดุ
ต่าง ๆ เช่น เหล็ก อะลมู ิเนยี ม และทองแดง เพ่ือใช้คำนวณหาความหนาแน่นของวัสดุ ซ่งึ คือ มวลต่อปริมาตร
ท่มี ีหนว่ ยในระบบเอสไอ คือ กิโลกรัมตอ่ ลกู บาศก์เมตร แล้วนำมาเปรียบเทยี บกับคา่ มาตรฐาน พร้อมอภิปราย
ร่วมกันเกี่ยวกับผลการหาความหนาแน่นของวัสดุเหมือนหรือแตกต่างกับค่ามาตรฐานหรือไม่ อย่างไร
ขน้ั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
1. ครูให้นักเรียนสืบค้นและอภิปรายร่วมกันในประเด็น ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวัด ดังนี้
- หน่วยการวัดของไทย คนไทยได้มกี ารกำหนดมาตรฐานการวดั ขนึ้ มาต้ังแต่สมัยโบราณ โดย
บรรพบุรุษของเรารู้จักที่จะคิดหน่วยการวัดขึ้นมาใช้ได้เอง เช่น คืบ ศอก วา โยชน์ โดยที่ 2 คืบเป็น 1 ศอก,
4 ศอกเป็น 1 วา, 20 วาเป็น 1 เส้น, และ 400 เส้นเป็น 1 โยชน์ แต่ในเวลาต่อมามีการติดต่อสัมพันธ์กับ
หลายๆ ประเทศ จึงจำเป็นต้องใช้หน่วยที่เป็นสากลเพื่อความสะดวกในการสื่อสารให้เข้าใจที่ตรงกัน
- ความแม่นและความเที่ยงของการวัด การบอกความสามารถในการวัดของเครื่องมือวัด
นิยมบอกด้วย 2 ปริมาณด้วยกัน คือ ความแม่น (accuracy) และความเที่ยง (precision) โดยที่ ความแม่น
หมายถึงความสามารถของเครื่องมือวัดในการแสดงค่าได้ใกล้เคียงกับค่าจริงมากที่สุด สำหรับ
ความเที่ยง หมายถึงความสามารถของเครื่องมือวัดในการ แสดงค่าเดิมเมื่อทำาการวัดซ้ำเดิมหลาย ๆ คร้ัง
- การเลอื กใชจ้ ำนวนตวั เลขนยั สำคัญในการคำนวณ การนำเอาข้อมลู ท่ีมจี ำนวนเลขนัยสำคัญ
ต่างกันมาบวก ลบ คูณ และหารกัน จะทำให้ผลลพั ธท์ ีไ่ ด้มีตัวเลขนัยสำคัญมากเกินไป ทำให้การบันทึกผลการ
คำนวณจำเปน็ ตอ้ งพิจารณาจากตัวเลขนัยสำคัญและความละเอียดใหเ้ หมาะสมตามรายละเอียดในหนงั สือเรียน
ฟิสิกสเ์ พิม่ เติม
2. นักเรียนทำแบบฝกึ หดั ตรวจสอบความเข้าใจ 1.2 ในหนังสือเรียนฟิสิกส์ เล่ม 1 หน้า 19 ส่งครูท้าย
ช่ัวโมง
3. ครมู อบหมายใหน้ ักเรียนทำใบงาน 1.2 เรือ่ ง การวัดปรมิ าณทางกายภาพในเชิงฟสิ ิกส์ เปน็ การบ้าน
สง่ ครใู นชว่ั โมงถัดไป
ขน้ั ท่ี 5 ขนั้ ประเมินผล
1. ครูตรวจสอบผลการทำคำถามตรวจสอบความเข้าใจ 1.2 เพอ่ื ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน
2. ครูตรวจสอบผลจากการทำใบงานที่ 1.2
3. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานของนักเรยี น
ส่อื การเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้ ท่ี 1
1. หนังสือเรียนรายวิชาเพ่มิ เตมิ ฟสิ กิ ส์ ม.4 เลม่ 1 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) หน่วยการเรยี นรู้
ธรรมชาตแิ ละพัฒนาการทางฟสิ กิ ส์
2. เวอเนยี รค์ าลิปเปอร์
3. ใบงาน 1.1 เรอ่ื ง ธรรมชาตขิ องฟสิ ิกส์
4. Powerpoint
การวดั และประเมินผล
วิธีวัด เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน
ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
K - ใบงาน 1.2
- อธบิ ายความสำคัญของการ - คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ
เลือกใชเ้ ครื่องมือวดั ให้เหมาะสม 1.2
กับส่งิ ทตี่ ้องการวัด
P - ใบงาน 1.2 ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
- - บันทึกผลการวัดปริมาณได้ - คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ
อยา่ งเหมาะสมประกอบดว้ ยค่าที่
อ่านไดจ้ ากเคร่ืองวดั และ
ค่าประมาณ
ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
A - แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ 2
- นกั เรียนมีนกั เรยี นมีความสนใจ อนั พงึ ประสงค์ ผา่ นเกณฑ์
ใฝเ่ รียนร้ตู ่อการเรียน
ความเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้/ผู้ที่ได้รบั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………….
(นางบัวแก้ว ศรีภธู ร)
ตำแหนง่ หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
................/................./.................
ความเหน็ ของผ้บู ริหาร/ผูท้ ่ีไดร้ ับมอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………….
(........................................................)
ตำแหน่ง.............................................................
................/................./.................
บนั ทกึ ผลหลังการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
แผนการจดั การเรยี นร้ทู .ี่ ..................
เรอื่ ง..............................................
1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จำนวนนักเรียน.........................คน
ดา้ นความรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ด้านทกั ษะกระบวนการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลกั ษณะของผ้เู รยี นตามหลักสูตรมาตรฐานสากล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางในการแกไ้ ข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………….
(........................................................)
................/................./.................
ใบงานที่ 1.2
เรื่อง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชิงฟิสิกส์
1. นักเรียนจงเปลยี่ นหนว่ ยปริมาณท่ีกำหนดใหด้ ังต่อไปนี้
1.1 15 cm เขียนให้อยใู่ นหนว่ ย เมตร (m) ………………………………………………………………….
1.2 789 g เขยี นใหอ้ ยใู่ นหน่วย กโิ ลเมตร (kg) ………………………………………………………………….
1.3 2.4 m3 เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร (cm3) …………………………………………
1.4 201 mm เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย เมตร (m) ………………………………………………………………….
1.5 165 ml เขียนใหอ้ ยู่ในหน่วย ลูกบาศก์เมตร (m3) …………………………………………………….
1.6 5 min เขยี นให้อยูใ่ นหน่วย วนิ าที (s) ………………………………………………………………….
1.7 700 mC เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย คูลอมบ์ (C) ………………………………………………………………….
1.8 1.2 kA เขยี นให้อยใู่ นหนว่ ย แอมแปร์ (A) ………………………………………………………………….
1.9 400 MHz เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย ไมโครเฮริ ตซ์ (μHz) ……………………………………………………..
1.10 1.5 x 10-5 A เขยี นให้อยใู่ นหนว่ ย มลิ ลแิ อมแปร์ (mA) …………………………………………
1.11 15 m3 เขยี นใหอ้ ยูใ่ นหน่วย ลกู บาศกม์ ลิ ลเิ มตร (mm3) …………………………………………
1.12 23.4 ชัว่ โมง เขียนใหอ้ ยใู่ นหน่วย วินาที (s) ………………………………………………………………….
2. พจิ ารณาข้อมลู ทีใ่ หว้ า่ บันทึกถูกต้องตามระบบเอสแหรือไม่ หากไมถ่ กู ตอ้ งใหแ้ กไ้ ขให้ถกู ต้อง
ข้อมูล คำตอบ แกไ้ ขเป็น
2.1 แทง่ ไมม้ นี ้ำหนัก 0.20 kg
2.2 น้ำอุณหภูมิ 87o C
2.3 มมุ ตกกระทบเทา่ กับ 45o
2.4 อ่านคา่ จากโวลตม์ เิ ตอร์ได้ 5.0 V
2.5 ความต้านทานมคี า่ เทา่ กับ 20
3. ระบุจำนวนเลขนัยสำคญั ของจำนวนท่กี ำหนดให้ พรอ้ มใหเ้ หตผุ ล
3.1 0.3002
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.2 3.1415
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.3 0.000000870
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.4 101,050
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.5 6.02 x 1023
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. อา่ นคา่ ความยาวของแทง่ ไมจ้ ากภาพท่ีกำหนดให้
4.1 คา่ ท่ีอา่ นได…้ ………………………….
4.2 ค่าท่ีอ่านได…้ ………………………….
5. จงคำนวณหาผลลัพธต์ ามหลักเลขนัยสำคัญ
5.1 นำแท่งไม้ 2 แท่ง ที่มีความยาว 7.50 เซนติเมตร และ 3.268 เซนติเมตร มาต่อกันจะได้แท่งไม้ที่มีความ
ยาวเทา่ ใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.2 นำบีกเกอร์ใบหนึ่งใส่น้ำจนเกือบเต็ม มาชั่งบนตาชั่งอ่านค่าได้ 200.0 กรัม จากนั้นเทน้ำออกจนหมดแล้ว
นำไปชง่ั ใหมอ่ ่านค่าได้ 125.6 กรัม จงคำนวณหา
ก) มวลของน้ำท่ีเทออกไปในหน่วยกิโลกรมั
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ข) ปริมาตรของน้ำที่เทออกไป เมื่อกำหนดให้ความหนาแน่นของน้ำเท่ากับ 1,000 กิโลกรัมต่อ
ลกู บาศกเ์ มตร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. จงคำนวณหาผลลัพธ์ตามหลกั เลขนยั สำคัญและความคลาดเคลือ่ น
ถา้ ปริมาณ A = 7.2 ± 0.2 เมตร ปรมิ าณ B = 2.4 ± 0.3 เมตร และปริมาณ C = 4.5 ± 0.6 เมตร
จงหาผลลัพธ์ของปรมิ าณต่อไปนต้ี ามหลักเลขนยั สำคัญและความคลาดเคล่ือน
1. A + B
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. A – B
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. A – B + 2C
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. AB
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบงานท่ี 1.2 เฉลย
เรอื่ ง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชิงฟิสกิ ส์
1. นักเรียนจงเปลย่ี นหนว่ ยปริมาณที่กำหนดใหด้ ังตอ่ ไปน้ี
1.1 15 cm เขียนให้อยใู่ นหนว่ ย เมตร (m) 0.15 m
1.2 789 g เขยี นใหอ้ ยใู่ นหนว่ ย กโิ ลเมตร (kg) 0.789 kg
1.3 2.4 m3 เขยี นให้อยูใ่ นหน่วย ลกู บาศก์เซนติเมตร (cm3) 2.4 x 108 cm8
1.4 201 mm เขียนใหอ้ ยู่ในหนว่ ย เมตร (m) 0.201 m
1.5 165 ml เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย ลกู บาศก์เมตร (m3) 165 x 10-6 m3
1.6 5 min เขยี นใหอ้ ยูใ่ นหนว่ ย วนิ าที (s) 300 s
1.7 700 mC เขียนให้อยใู่ นหน่วย คูลอมบ์ (C) 0.700 C
1.8 1.2 kA เขยี นใหอ้ ยูใ่ นหนว่ ย แอมแปร์ (A) 1,200 A
1.9 400 MHz เขียนใหอ้ ยใู่ นหน่วย ไมโครเฮิรตซ์ (μHz) 4 x 1014 μHz
1.10 1.5 x 10-5 A เขียนให้อยูใ่ นหนว่ ย มลิ ลแิ อมแปร์ (mA) 1.5 x 10-2 mA
1.11 15 m3 เขียนให้อยใู่ นหนว่ ย ลกู บาศก์มิลลเิ มตร (mm3) 1.5 x 1010 mm3
1.12 23.4 ช่ัวโมง เขียนใหอ้ ยใู่ นหน่วย วินาที (s) 84,240 s
2. พจิ ารณาขอ้ มูลท่ใี ห้วา่ บันทกึ ถกู ต้องตามระบบเอสแหรือไม่ หากไมถ่ กู ตอ้ งให้แกไ้ ขให้ถกู ต้อง
ขอ้ มูล คำตอบ แกไ้ ขเปน็
2.1 แท่งไม้มนี ำ้ หนัก 0.20 kg ไมถ่ ูกตอ้ ง แท่งไม้มีมวล 0.20 kg
2.2 นำ้ อุณหภมู ิ 87o C ถูกต้อง หรอื น้ำมีอณุ หภูมิ 360 K
2.3 มุมตกกระทบเท่ากับ 45o ถกู ต้อง หรอื มีมมุ ตกหระทบเทา่ กบั π/4 rad
2.4 อ่านคา่ จากโวลตม์ ิเตอร์ได้ 5.0 V ถูกต้อง
2.5 ความตา้ นทานมคี า่ เท่ากบั 20 ไมถ่ ูกต้อง ความต้านทานเทา่ กบั 20 Ω
3. ระบจุ ำนวนเลขนยั สำคญั ของจำนวนที่กำหนดให้ พร้อมให้เหตผุ ล
3.1 0.3002
ตัวเลขทอ่ี ยหู่ ลังจดุ ทศนิยมทง้ั หมดนบั เป็นเลขนัยสำคัญ โดยนับเลขศนู ย์ทย่ี ู่ระหว่างตัวเลขอ่ืนเป็นเลขนัยสำคัญ
ด้วย ส่วนเลขศูนย์ที่อยู่หน้าตัวเลขอื่นไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญ นั่นคือ นับ 3 0 0 2 ดังนั้น 0.3002 มีเลข
นัยสำคญั เทา่ กบั 4
3.2 3.1415
ตัวเลขทุกตัวที่ไม่ใช่เลขศูนย์ ให้นับเป็นเลขนัยสำคัญทุกตัว นั่นคือ 3 1 4 1 5 ดังนั้น 3.1415 มีจำนวนเลข
นยั สำคญั เทา่ กบั 5
3.3 0.000000870
จำนวนทีม่ ีค่าน้อยมากต้องเขยี นในรปู สัญกรณว์ ทิ ยาศาสตร์กอ่ น จึงได้ว่า 8.70 x 10-7 จากนั้นนับเฉพาะสว่ นที่
เป็นตัวเลข โดยนับเลขศูนย์ที่อยู่หลังจุดทศนิยมของตัวเลขใด ๆ เป็นเลขนัยสำคัญด้วย นั่นคือ 8 7 0 ดังน้ัน
0.000000870 มจี ำนวนเลขนยั สำคญั เท่ากบั 3
3.4 101,050
เลขศูนย์ที่อยู่หลังหรือระหวา่ งตัวเลขอื่นทีไ่ ม่ใช้ศูนย์ นับเป็นเลขนัยสำคัญดว้ ย นั่นคือ นับ 1 0 1 0 5 0 ดังนั้น
101,050 มจี ำนวนเลขนัยสำคญั เทา่ กบั 6
3.5 6.02 x 1023
เลขยกกำลังฐาน 10 ให้นับเฉพาะส่วนที่เป็นตัวเลข ไม่นับตรงเลขยกกำลังฐาน 10 นั่นคือ นับ 6 0 2 ดังน้ัน
6.02 x 1023 มจี ำนวนเลขนัยสำคญั เทา่ กับ 3
4. อา่ นค่าความยาวของแทง่ ไม้จากภาพท่ีกำหนดให้
4.1 ค่าท่อี า่ นได้ 5.64 เซนติเมตร
4.2 ค่าทีอ่ ่านได้ 7.0 เซนติเมตร
5. จงคำนวณหาผลลพั ธต์ ามหลักเลขนัยสำคัญ
5.1 นำแท่งไม้ 2 แท่ง ที่มีความยาว 7.50 เซนติเมตร และ 3.268 เซนติเมตร มาต่อกันจะได้แท่งไม้ที่มีความ
ยาวเทา่ ใด
วธิ ีทำ แท่งไมแ้ รกยาว 7.50 cm
แท่งไม้ทีส่ องยาว 3.268 + cm
แท่งไมร้ วมยาว 10.768 cm
ตอบ แทง่ ไม้ทต่ี ่อกนั จะยาว 10.768 เซนตเิ มตร
5.2 นำบีกเกอร์ใบหนึ่งใส่น้ำจนเกือบเต็ม มาชั่งบนตาชั่งอ่านค่าได้ 200.0 กรัม จากนั้นเทน้ำออกจนหมดแล้ว
นำไปช่ังใหม่อ่านค่าได้ 125.6 กรัม จงคำนวณหา
ก) มวลของน้ำทเ่ี ทออกไปในหน่วยกโิ ลกรมั
วธิ ีทำ บกี เกอร์ใสน่ ำ้ มวล 200.0 g
บีกเกอร์เปลา่ มวล 125.6 - g
มวลของนำ้ 74.4 g
ตอบ มวลของน้ำท่ีเทออกไปเท่ากับ 74.4 x 10-3 กโิ ลกรัม
ข) ปริมาตรของน้ำที่เทออกไป เมื่อกำหนดให้ความหนาแน่นของน้ำเท่ากับ 1,000 กิโลกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร
วธิ ีทำ ความหนาแน่น = มวล
ปริมาตร
ปรมิ าตร = 74.4 x 10-3 kg
= 1,000 kg/m3
= 74.4 x 10-6 m3
ตอบ ปริมาตรของนำ้ ท่เี ทออกไปเทา่ กับ 74.4 x 10-6 ลกู บาศกเ์ มตร
6. จงคำนวณหาผลลพั ธต์ ามหลกั เลขนัยสำคัญและความคลาดเคลื่อน
ถ้าปรมิ าณ A = 7.2 ± 0.2 เมตร ปรมิ าณ B = 2.4 ± 0.3 เมตร และปริมาณ C = 4.5 ± 0.6 เมตร
จงหาผลลพั ธข์ องปริมาณต่อไปนี้ตามหลักเลขนัยสำคญั และความคลาดเคล่ือน
1. A + B
วธิ ีทำ A + B = (7.2 ± 0.2) + (2.4 ± 0.3)
= (7.2 + 2.4) ± (0.2 + 0.3)
= 9.6 ± 0.5 เมตร
ตอบ ผลลัพธข์ องปรมิ าณ A + B เท่ากับ 9.6 ± 0.5 เมตร
2. A – B A - B = (7.2 ± 0.2) - (2.4 ± 0.3)
วธิ ที ำ = (7.2 - 2.4) ± (0.2 + 0.3)
= 4.8 ± 0.5 เมตร
ตอบ ผลลัพธข์ องปรมิ าณ A + B เท่ากบั 4.8 ± 0.5 เมตร
3. A – B + 2C (7.2 ±
วิธที ำ A – B + 2C = (4.8 ± 0.5) + 2(4.5 ± 0.6)
= (4.8 ± 0.5) ± (9.0 + 1.2)
= (4.8 + 9.0) ± (0.5 + 1.2)
= 13.8 ± 1.7 เมตร
ตอบ ผลลัพธข์ องปรมิ าณ A – B + 2C เทา่ กับ 13.8 ± 1.7 เมตร
4. AB
วธิ ีทำ AB =
0.2)(2.4 ± 0.3)
= (7.2)(2.4) ± (7.2)(2.4)(07..22 + 20..34)
= 17.28 ± (17)(0.1)
= 17 ± 2 ตารางเมตร
ตอบ ผลลพั ธข์ องปริมาณ AB เท่ากบั 17 ± 2 ตารางเมตร
เกณฑ์การประเมนิ คณุ ลกั ษะอนั พงึ ประสงค์
ตัวช้วี ัด ผา่ น (1) ปฏบิ ตั ิตามข้อ
1. มวี นิ ยั ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของ ช้ันเรยี น ตรงต
2. ใฝ่เรยี นรู้ ช้ันเรยี น ตรงตอ่ เวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ต่างๆ และรับ
ต่างๆ
3. มุ่งมั่นในการทำงาน เขา้ เรยี นตรงเวลา ตั้งใจเรียน เอาใจใส่ และ เข้าเรยี นตรงเ
มคี วามเพยี รพยายามในการเรียนรู้ มีส่วน ความเพียรพย
ร่วมในการเรียนรู้ และเข้าร่วมกจิ กรรมการ ในการเรียนรู้
เรียนร้ตู า่ งๆ บางครง้ั ต่างๆ ทงั้ ภาย
บ่อยครง้ั
ต้ังใจและรบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิหน้าทีท่ ่ี
ไดร้ ับมอบหมายให้สำเรจ็ ต้งั ใจและรบั ผ
ได้รบั มอบหม
ทำงานใหด้ ีข้ึน
เกณฑ์การประเมิน ดีมาก
ช่วงคะแนน 7 – 9 ระดับคุณภาพ 3 ดี
ชว่ งคะแนน 4 - 6 ระดับคณุ ภาพ 2 พอใช้
ชว่ งคะแนน 3 ระดบั คุณภาพ 1
เกณฑก์ ารผ่าน : นักเรยี นไดร้ ะดบั คุณภาพ 2 ขน้ึ ไป