บวชเป็นสามเณร
เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี เด็กชายทูลไดบ้ วชเป็นสามเณรท่ีบ้าน
หนองแวง การบวชในคร้ังน้ันก็เปน็ ไปตามประเพณนี ิยมเทา่ นนั้
เพราะคนอสี านถอื กนั วา่ ถา้ เปน็ ผชู้ ายตอ้ งบวชเพอ่ื ตอบแทนบญุ คณุ
ของพ่อแม่ หรอื บวชจงู พอ่ แมไ่ ปสวรรค์ การบวชในลกั ษณะนีม้ ี
ความนยิ มบวชกนั ทัว่ ทุกภาคของประเทศไทย ความเชอ่ื อย่างน้ี
มคี วามฝงั ใจลกึ ในประเพณไี ทยมายาวนาน คนอสี านกถ็ อื กนั เปน็
พิเศษ ท�ำกันมาจนถึงปัจจุบัน และจะเชื่อถือต่อๆ กันไปอีก
ยาวนานทีเดยี ว เปน็ ประเพณที ่ีดีควรรักษาให้มีอยา่ งนต้ี ลอดไป
จะได้เป็นประโยชน์ตน เป็นประโยชน์ท่าน และเป็นประโยชน์
แก่พระพทุ ธศาสนาเป็นอยา่ งมากทีเดียว
เมอ่ื สามเณรทลู บวชมาได้ ๓ วนั มคี วามหวิ ขา้ วเปน็ อยา่ งมาก
๔๒ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
บวชเปน็ สามเณร ๔๓
ในศลี ๑๐ ข้อ มขี อ้ หน่งึ ห้ามไม่ใหก้ ินขา้ วเย็น แตก่ ็ต้องอดทนตอ่
ความหวิ เปน็ อยา่ งมาก ในวนั นนั้ เหน็ มะมว่ งแกว้ ทงั้ แกท่ ง้ั สกุ เตม็ ตน้
ประมาณ ๔ โมงเยน็ สามเณรทูลอดทนต่อความอยากไม่ไหว ก็
ไปข้ึนเอามะม่วงได้ถุงหนงึ่ มานัง่ กนิ กับเกลือท่ีศาลาคนเดยี ว ใน
ขณะน้นั พอ่ ออกอาจารย์พรหมมาไปตักน้ำ� ในบ่อทว่ี ัด ไดม้ าเห็น
สามเณรทูลก�ำลังกินมะม่วงจิ้มเกลืออย่างแซบอร่อยอยู่ โยมก็
เข้าไปถามว่า เณรทูลกินอะไร กต็ อบว่ากินมะมว่ ง โยมพูดวา่ กนิ
ทำ� ไม นน่ั มนั กนิ ขา้ วเยน็ ผดิ ศลี ขอ้ วกิ าลโภชนา สามเณรทลู กต็ อบ
สวนกลบั ทนั ทีวา่ เณรไมไ่ ดก้ นิ ข้าวเย็นแตอ่ ยา่ งใด กินอยู่น้เี ป็น
มะมว่ งตา่ งหาก โยมตอบวา่ มะมว่ งนน้ั แหละเปน็ ขา้ วเยน็ สามเณร
ทูลตดั บททนั ทวี า่ ไมใ่ ช่ ข้าวก็เปน็ ข้าว มะม่วงกเ็ ปน็ มะมว่ ง มัน
เป็นคนละอย่างกัน โยมพูดสู้สามเณรทูลไม่ได้ก็เดินไปตักน้�ำ
สามเณรทูลก็น่ังกินมะม่วงต่อไปจนอิ่ม ยังคิดไว้ว่าวันต่อไปจะ
กนิ มะม่วงอกี
ในเย็นวันน้ันอาจารย์รู้ว่าสามเณรทูลกินมะม่วง เมื่อ
ท�ำวตั รค�ำ่ เสรจ็ อาจารย์กถ็ ามเร่อื งกินมะม่วง สามเณรทลู กพ็ ูด
ความจริง อาจารย์ก็อธิบายศีลแต่ละข้อให้ฟังว่าห้ามอะไรบ้าง
สามเณรทลู กม็ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจในขอ้ หา้ มในศลี ๑๐ นนั้ ทกุ อยา่ ง
๔๔ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
อาจารยใ์ ชไ้ มแ้ ซต่ ไี ลบ่ าปเสยี ๓ ครงั้ จากนน้ั มาสามเณรทลู กไ็ มม่ ี
การท�ำผิดศีล ๑๐ อีกเลย มีแตต่ ้ังใจศกึ ษาการไหวพ้ ระสวดมนต์
ทค่ี รอู าจารยก์ ำ� หนดให้ สามเณรทลู กจ็ ำ� ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ แลว้ สวด
ตามครูอาจารย์ได้ ครูอาจารย์ก็แปลกใจว่าสามเณรทูลสวดได้
อย่างไร
มีความละอายคนจนตามืด
ในวันต่อมามีคนตายในหมู่บ้าน เป็นผู้มีฐานะดี มีคนไป
ร่วมงานมาก ประมาณ ๓ โมงเย็น อาจารย์บอกวา่ สามเณรทลู
ให้ไปงานน้ดี ว้ ย พูดวา่ กระผมสวดไมไ่ ด้ อาจารยก์ บ็ ังคบั ใหไ้ ป
นงั่ อยหู่ างแถวสดุ เหมอื นกบั วา่ ทกุ คนจอ้ งตามองแตส่ ามเณรทลู
องคเ์ ดยี ว ครอู าจารยส์ วดกสุ ลาไป สามเณรทลู นง่ั กม้ หนา้ หนา้ มดื
อยอู่ งคเ์ ดยี ว ชำ� เลอื งดหู นา้ คนเปน็ สองสามหนา้ ไป ในขณะนนั้ มี
ความละอายคนเปน็ อยา่ งมาก เกดิ อาการคอแหง้ หายใจไมถ่ งึ ทอ้ ง
เลยทีเดียว พอสวดเสรจ็ ก็เตรยี มเอาศพลงจากบา้ น สามเณรทลู
อายคนจนตาลาย มองดูท่ีไหนเหมือนกับมืดไปทั้งหมด ใน
ขณะลงบนั ไดเกดิ ตาลายคดิ วา่ แผน่ ดนิ อยใู่ กลๆ้ กา้ วขาลงไปขา้ ม
บนั ไดสามขน้ั ลม้ ลงกลางชมุ ชน คนหวั เราะลนั่ เลยทเี ดยี ว จงึ เกดิ
๔๖ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
ความละอายเพม่ิ ขนึ้ อกี เดินไปกม้ หนา้ อยตู่ ลอดจนถงึ ปา่ ช้า พอ
เสร็จแล้วกลับวัด หาค�ำสวด กุสลา เหตุปัจจะโย บังสุกุลตาย
ต้งั ใจอา่ นจ�ำได้ในคนื นัน้ ทั้งหมด
ในคนื นน้ั กม็ คี นแกต่ ายอกี บา่ ย ๓ โมงเยน็ อาจารยก์ พ็ าไป
สวดกสุ ลาอกี ในครงั้ นเ้ี ดนิ ไปมคี วามสงา่ ผา่ เผย จะแกค้ วามละอาย
กลบั คนื มาไดแ้ นน่ อน ในขณะสวดกสุ ลาอยนู่ น้ั ไมท่ ราบวา่ มอี ะไร
มาบนั ดาลใหค้ รอู าจารยแ์ ละพระเณรองคอ์ น่ื ๆ หลงคำ� สวดกสุ ลา
สามเณรตอ้ งวา่ องคเ์ ดยี วไปหลายบททเี ดยี ว ครอู าจารยพ์ ระเณร
องค์อ่ืนๆ จึงได้ว่าต่อกันไปได้ จึงท�ำให้คนที่มาร่วมงานเป็น
จ�ำนวนมากตกตะลึงว่าสามเณรทูลท่องค�ำสวดกุสลามาสวดได้
อย่างไร เป็นสามเณรบวชใหม่ เมื่อวานนี้สวดกุสลาไม่ได้เลย
คนในหม่บู ้านพากันวพิ ากษ์วิจารณก์ นั ไปเป็นอยา่ งมากทเี ดยี ว
จากนน้ั สามเณรทลู กอ็ า่ นบทสวดมนตท์ กุ สตู รในเจด็ ตำ� นาน
สบิ สองตำ� นาน จำ� ไดท้ งั้ หมดในชว่ งเวลาไมก่ วี่ นั ทำ� ใหค้ รอู าจารย์
พระเณรองคอ์ น่ื ๆ มคี วามแปลกใจวา่ สามเณรทลู จำ� ค�ำสวดมนต์
ทงั้ หมดนไ้ี ดอ้ ยา่ งไร พระเณรทงั้ หลายเขา้ ใจวา่ สามเณรทลู มคี าถา
ออ้ ปอ่ ง พากนั มาถามเพอื่ จะขอเรยี นเอาคาถานดี้ ว้ ย สามเณรทลู
กป็ ฏเิ สธวา่ ไมม่ ี แตก่ ย็ งั ไมเ่ ชอื่ อยนู่ น่ั เอง การทม่ี คี วามจำ� เปน็ เลศิ
มคี วามละอายคนจนตามืด ๔๗
เป็นสมบตั ิส่วนตัว ไมไ่ ด้มคี าถาอาคมแต่อย่างใด แมแ้ ต่ตวั เองก็
สังเกตตวั เองอยู่วา่ ความจ�ำน้เี ป็นไดอ้ ย่างไร มีอะไรเปน็ เหตเุ ปน็
ปัจจัย ก็นึกไม่ได้อยู่นั้นเอง หรือจะว่าบุญเก่าตามสนองก็อาจ
เป็นได้
ฝงั ใจในพระกรรมฐานในครงั้ แรก
ในครงั้ นน้ั มรี นุ่ พคี่ นหนงึ่ ไดไ้ ปบวชมาแลว้ ๓ ปี มกี ารศกึ ษา
ในวธิ ปี ฏบิ ตั มิ าแลว้ เปน็ อยา่ งดี ในปนี นั้ ทา่ นจะไปงานศพหลวงปมู่ นั่
ท่านก็มีโอกาสได้มาเยี่ยมบ้าน จึงได้มาพักท่ีวัดบ้านหนองแวง
ชั่วคราว ท่านมาเห็นสามเณรทูลแล้วเกิดชอบใจ เพราะเคยได้
รู้จักกับท่านมาก่อน ท่านช่ือว่าพระอาจารย์สม ท่านได้อบรม
สง่ั สอนแนวทางปฏิบตั ิใหฟ้ งั พอสมควร แตไ่ ม่มีเวลาท่จี ะปฏบิ ัติ
กับท่านได้ เพราะก�ำลงั ศกึ ษาในปรยิ ตั ิธรรมอยู่ เพียงได้รับบาตร
ปรนนิบตั ิท่านในการลา้ งบาตรใหท้ า่ นทุกวัน ทา่ นไมเ่ คยอธิบาย
ในเรอ่ื งมรรคผลนพิ พานใหฟ้ งั เลย เพยี งสอนใหน้ กึ คำ� บรกิ รรมวา่
พทุ โธ เทา่ น้ัน ขา้ พเจ้ากย็ งั ไม่ได้นึกค�ำบรกิ รรมแต่อย่างใด แต่มี
ความเล่อื มใสศรทั ธาในตัวท่านมาก เพราะท่านมคี วามสำ� รวมดี
ฝงั ใจในพระกรรมฐานในคร้งั แรก ๔๙
มกี ริ ยิ า กาย วาจา ทอี่ อ่ นโยน จะยนื เดนิ นงั่ นอน ทา่ นมคี วามสำ� รวม
ดมี ากทเี ดยี ว เวลาฉนั ในบาตรก็มีความสำ� รวมในการฉัน และก็
ฉนั มอื้ เดยี ว เมอื่ ฉนั เสรจ็ ทา่ นกใ็ ชไ้ มส้ ฟี นั ทท่ี ำ� เองดว้ ยไมโ้ กทามา
แปรงฟนั ใหส้ ะอาด แมแ้ ตล่ า้ งมอื กล็ า้ งแลว้ ลา้ งอกี ใหส้ ะอาดดว้ ย
ข้าพเจ้าเป็นนักสังเกตอยู่แล้ว เม่ือเห็นกิริยาของท่านท�ำ
อยา่ งนน้ั กม็ คี วามศรทั ธาเลอ่ื มใสในตวั ทา่ นมากขน้ึ ในวนั นนั้ เอา
กระโถนท่านไปล้าง ได้เหน็ ไม้สฟี นั ท่ที า่ นใชแ้ ล้ว จงึ จับขนึ้ ดแู ล้ว
พจิ ารณาวา่ ทำ� ไมพระกรรมฐานจงึ พากนั ใชไ้ มส้ ฟี นั อยา่ งนี้ ทบุ และ
เหลาให้เป็นแปรงสีฟันได้อย่างดี คิดต่อไปว่าพระกรรมฐานจะ
ตอ้ งมคี วามเพยี รมากทเี ดยี ว เพยี งไมส้ ฟี นั กย็ งั ทำ� ใหม้ คี วามสวยงาม
ละเอียดได้ถึงเพียงนี้ การภาวนาปฏิบัติก็คงมีความละเอียดยิ่ง
กว่าน้ีแน่นอน และได้ต้ังใจว่า เม่ือเราศึกษาธรรมเข้าใจดีแล้ว
จะต้องออกปฏิบตั ภิ าวนากับทา่ นอย่างแนน่ อน
มีความพยายามสังเกตดูจุดอ่อนในตัวท่านอยู่เสมอ เม่ือ
ท่านไปมาที่ไหน ท�ำอะไร กส็ งั เกตดทู า่ นอย่เู ปน็ ประจ�ำ ในขณะ
ที่บิณฑบาตก็สังเกตในการเดินของท่านว่าเป็นการส�ำรวมดี
เวลาทา่ นฉนั กม็ คี วามสำ� รวมในการฉนั เวลาลา้ งบาตรทา่ นกบ็ อก
วธิ ลี ้างบาตรให้ เวลาเชด็ บาตรใส่ถลกบาตร ท่านสอนให้ทัง้ น้นั
๕๐ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ฝังใจในพระกรรมฐานในครัง้ แรก ๕๑
ในความรสู้ กึ ของสามเณรทลู ขณะนนั้ มคี วามศรทั ธาเลอ่ื มใสทา่ น
มากขน้ึ การซักผา้ ตากผา้ เกบ็ ผ้า ท่านสอนใหห้ มด การพูดคุย
กับญาติโยมมีเสียงเบา และมคี วามส�ำรวมในการพูดด้วย
ตอ่ มาในวนั หนงึ่ ทา่ นบอกใหไ้ ปตดั เอาไมไ้ ผ่ แลว้ เอามาตดั
เปน็ ทอ่ นๆ ความยาวประมาณเก้าน้วิ ทา่ นให้ผา่ เป็นซีกๆ แลว้
มาเหลาใหก้ ลมแฝก เหลาสวยงามมาก ไมร่ วู้ า่ ทา่ นจะเหลาไมไ้ ป
ทำ� อะไร จงึ ถามทา่ นวา่ ทา่ นอาจารยเ์ หลาไมไ้ ปทำ� อะไร ทา่ นพดู วา่
มวี ธิ ที ำ� อยนู่ นั่ แหละ เหลาไปเถอะ เมอ่ื เหลาไปๆ กเ็ กดิ ความสงสยั
ขึ้นมาอีก ก็ถามท่านอีก ท่านก็พูดว่าเหลาไปเถอะเด๋ียวก็รู้เอง
ทั้งเหลาไม้ไผ่ไปพิจารณาไป และคิดว่าจะเหลาไปท�ำอะไรหนอ
เมื่อเหลาเสร็จแล้วก็มัดเป็นก�ำๆ เป็นจ�ำนวนหลายมัดทีเดียว
เสร็จแลว้ กเ็ อาไปเก็บในห้องทา่ น
ในวนั ทส่ี อง ขา้ พเจา้ ไปหอ้ งสว้ ม เพราะในชว่ งนนั้ ขดุ ใหเ้ ปน็
หลมุ ลกึ เปน็ สว้ มปลอ่ ย พอดไี ปเหน็ ไมไ้ ผท่ เี่ หลานน้ั อยใู่ นหอ้ งสว้ ม
แล้วมปี ีบ๊ วางอย่ขู ้างๆ มไี มไ้ ผท่ ่เี หลานัน้ วางอยู่ในป๊ีบนั้นสองอนั
ทเี่ รยี กวา่ ไม้ช�ำระ ในขณะน้ันจงึ ไดค้ ิดขนึ้ มาวา่ พระกรรมฐานมี
ความละเอยี ดอ่อน ถงึ เอาไมท้ ส่ี วยงามมาท�ำเป็นไมช้ �ำระขนาด
นห้ี รอื ในขณะทน่ี งั่ ถา่ ยอยนู่ น้ั ไดค้ ดิ เรอื่ งความละเอยี ดออ่ นของ
๕๒ อัตโนประวัติ ภาค ๑
พระกรรมฐานได้หลายเร่ืองทีเดียว น้ีเป็นจุดเริ่มแรกท่ีฝังใจใน
พระกรรมฐานในคร้ังน้ัน ได้เกิดขึ้นอยู่ในห้องส้วมน้ันเอง มี
ความสำ� นกึ อยใู่ นใจวา่ ในชาตนิ เ้ี ราจะตอ้ งเปน็ พระกรรมฐานใหไ้ ด้
ในขณะนน้ั เกิดมคี วามสนใจในการปฏิบตั ิกบั ท่านมากขึ้น
จึงได้คิดการเปรียบเทียบกันในระหว่างพระผู้ปฏิบัติ และ
พระผู้ไม่ปฏิบัติอยู่เสมอว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เป็นที่
นา่ เสยี ดายทที่ า่ นไมไ่ ดส้ อนธรรมะปฏบิ ตั อิ นั ทเี่ ปน็ ไปในมรรคผล
นพิ พานใหฟ้ งั ถา้ ทา่ นสอนในแนวทางปฏบิ ตั ใิ หเ้ ปน็ ไปในวปิ สั สนา
ในครง้ั นนั้ คดิ วา่ จะไดร้ เู้ หน็ ในสจั ธรรมความเปน็ จรงิ อยา่ งแนน่ อน
อย่างมากท่านก็สอนให้นึกค�ำบริกรรมพุทโธให้เท่าน้ัน เร่ือง
การเจริญในวิธีปฏิบัติในวิปัสสนาท่านไม่เคยพูดให้ฟังเลย เป็น
เพราะท่านยังไม่รู้หรือท่านรู้อยู่แต่ไม่อยากพูดก็อาจเป็นได้ ใน
ครั้งนัน้ มคี วามสนใจในการปฏบิ ตั ิอยู่มาก
ในวนั ตอ่ มา ทา่ นใหไ้ ปทำ� ทางจงกรมใหใ้ นปา่ ใกลห้ อ้ งสว้ ม
เมือ่ ทำ� แล้วทา่ นพดู ว่า ในคนื นี้จะพามาเดินจงกรมในทีน่ น้ี ะ เมื่อ
รับคำ� ท่านแลว้ ก็ต้องทำ� ตามทา่ น พอถึงเวลา ๑ ทุ่ม ทา่ นกเ็ รียก
แลว้ พาไป ในคืนนน้ั เดือนดาวแจง้ สวา่ งพอดี ท่านกบ็ อกวา่ ให้
เณรทลู เดนิ จากเสน้ ทางไปสว้ ม เรมิ่ จากจดุ นไ้ี ปถงึ จดุ นน้ั แลว้ หนั
ฝงั ใจในพระกรรมฐานในครง้ั แรก ๕๓
ตัวดา้ นขวามาอย่างนี้ ท่านกท็ ำ� ใหด้ ูในวธิ ีเดนิ เสน้ ทางท่ีเดนิ นั้น
ต้องผ่านกอไผ่ใหญ่พอดี มีพระเณรหลายองค์ไปห้องส้วมใน
เวลากลางคืนองค์เดียว ท่านเหล่าน้ันได้พูดให้ฟังว่าเห็นผีเปรต
โน้มน้าวเอาล�ำไผ่หย่อนตัวลงมากันทางเอาไว้ มีผมยาวตาใหญ่
ปากกว้าง ตรงนี้เองสามเณรทูลต้องได้เดินจงกรมผ่านไปมา
อาจารยเ์ พยี งใหน้ กึ คำ� บรกิ รรมในใจวา่ พทุ โธ ในขณะกา้ วขาเดนิ
ให้ท�ำความรสู้ กึ ว่า กา้ วขาหนงึ่ นกึ วา่ พทุ ก้าวขาหนึง่ นกึ ว่า โธ
ให้เดินเปน็ ปกตธิ รรมดา อยา่ ใหใ้ จไปคดิ ในเร่ืองอน่ื ๆ ให้ตั้งใจนึก
คำ� บรกิ รรมเพยี งอยา่ งเดยี ว ในขณะนสี้ ามเณรทลู ตอ้ งกลา้ ตดั สนิ ใจ
เพราะไม่ก่ีวันมาน้ีก็มีผีเปรตหลอกพระจนร้องเสียงหลงมาแล้ว
ถึงเราไม่เคยเห็นผีเปรตมาก่อน แต่ก็เกิดความกลัวอยู่ในใจว่า
ถา้ เห็นผเี ปรตจริงๆ เราต้องไมห่ นี เปน็ ตายอยา่ งไรก็ตอ้ งสกู้ นั ให้
ถึงทสี่ ุด ผีเปรตจะกินเราในขณะเดนิ จงกรมนกี้ ใ็ หร้ ู้กัน
จากนั้นท่านอาจารย์ก็ไปเดินจงกรมตามเส้นทางของ
ทา่ นไป ในขณะนนั้ สามเณรทลู เรมิ่ ออกเดนิ จงกรม เกดิ ความกลวั
เปน็ อยา่ งมาก ก้าวขาไปในครง้ั แรกก้าวขาแทบไม่เปน็ แตก่ ็ตอ้ ง
ฝนื เดนิ ไปพรอ้ มกบั คำ� บรกิ รรม พอเดนิ ไปถงึ กอไผท่ ไี ร เกดิ ขาออ่ น
หลายคร้ัง นานๆ เข้าก็เกิดความเคยชิน ก็มีการเดินจงกรมได้
๕๔ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ฝงั ใจในพระกรรมฐานในครัง้ แรก ๕๕
ตามปกติ ในทแี รกเพราะความไมเ่ คย คำ� นกึ บรกิ รรมกบั การกา้ วขา
ไมส่ มั พนั ธก์ นั เลย พอเดนิ นานๆ เขา้ การกา้ วขากบั การนกึ คำ� บรกิ รรม
กม็ คี วามสัมพนั ธ์กนั เปน็ อย่างดี
เมอ่ื เดนิ ไปไดป้ ระมาณครง่ึ ชวั่ โมง มคี วามรสู้ กึ วา่ เมอื่ ยตน้ ขา
มาก เพราะไมเ่ คยเดนิ จงกรมมากอ่ นในชวี ติ ครน้ั จะหยดุ เดนิ หรอื
กก็ ลวั อาจารยจ์ ะวา่ เปน็ ผไู้ มม่ คี วามอดทน อยา่ งไรเรากต็ อ้ งฝนื เดนิ
ต่อไป ประมาณ ๑ ช่ัวโมงผ่านไปท่านอาจารย์ก็ยังเดินไม่หยุด
สามเณรทูลก็ต้องอดทนต้ังใจเดินจงกรมสู้ต่อไป ในขณะน้ันมี
ความรู้สึกทางใจว่ามีความต้ังมั่นแน่วแน่มาก มีก�ำลังใจเกิดข้ึน
ความเหน็ดเหน่ือยเมื่อยล้าทางกายหายไป ใจมีก�ำลังได้รับ
ความสขุ ทางใจเปน็ อย่างมาก เพราะในขณะที่เดนิ จงกรมอยนู่ นั้
ใจมคี วามสงบวบู วาบนดิ เดยี ว ความเบากายความเบาใจไดเ้ กดิ ขน้ึ
ความเอบิ อม่ิ ทางใจมคี วามสขุ เปน็ อยา่ งมากทเี ดยี ว จะเดนิ ตลอดไป
ท้งั คนื ก็สามารถเดนิ ได้
เมอื่ ได้เวลาประมาณ ๓ ทมุ่ ทา่ นอาจารยก์ เ็ รียกใหห้ ยุด
พักแล้วพาไปกุฏิ แหม! ในคืนนั้นไม่อยากหยุดเดินจงกรมเลย
อยากจะเดนิ จงกรมอยใู่ นทนี่ น้ั ตลอดทง้ั คนื ในเมอ่ื ทา่ นพาไปกฏุ ิ
ก็ต้องไปตามท่าน เมื่อท่านอาจารย์เข้าห้องจ�ำวัด สามเณรทูล
๕๖ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
กลับนอนไม่ได้เลย ต้องออกมาเดินจงกรมอยู่ลานวัดคนเดียว
เมื่อจวนสว่างแล้วจึงขึ้นพักในห้องได้ ในครั้งนั้นจึงได้รู้วิธีการ
เดินจงกรม แต่วิธีเดินน้ันเป็นอุบายวิธีการเดินในวิธีท�ำสมาธิ
เท่านน้ั ยังไม่เปน็ วธิ ีในการเดนิ วิปัสสนาแตอ่ ยา่ งใด
วันต่อมา ท่านอาจารย์มีธุระจะไปกราบหลวงปู่จันทร์ที่
บ้านจ�ำปา ท่านก็ได้ชักชวนไปดว้ ย เมื่อได้รับคำ� ท่านแลว้ กไ็ ด้ไป
ลาโยมพ่อโยมแม่ เดินทางไปกับท่านอาจารย์ การเดินทางใน
คร้ังนี้มีความทุกข์มากจนน�้ำตาตกใน บาตรขนาดใหญ่ไม่รู้ว่ามี
สมั ภาระอะไรบ้าง มีนำ�้ หนกั หลายกิโลกรัม ท้ังสะพายบาตร ทง้ั
แบกกลดให้ท่าน เดินทางไปได้ประมาณ ๔ กิโลเมตร รู้สึกว่า
บาตรหนกั ขึน้ ทุกที ทา่ นอาจารย์ก็ไม่พาหยุดพักเลย ทง้ั เหน่อื ย
ทั้งหนกั บาตร ท้งั หิวขา้ ว แต่ก่อนเคยฉันสองมอ้ื เช้า เพล วนั น้ี
ฉนั เชา้ มอ้ื เดยี ว ฉนั ไมไ่ ดม้ ากนกั เพราะตน่ื เตน้ ในตวั เอง เวลาเปน็
ทุกข์ขึ้นมา น้�ำตาก็ไหลเต็มหน้า คิดว่าจะบอกให้อาจารย์พา
หยุดพักกไ็ ม่กล้าบอกท่าน จ�ำเปน็ ต้องตอ่ สูอ้ ดทนเดนิ ตอ่ ไป
เดนิ ไปไดป้ ระมาณ ๖ กโิ ลเมตร ทา่ นกพ็ าหยดุ พกั พอหายเหนอื่ ย
นดิ หนงึ่ จากนนั้ ทา่ นกพ็ าเดนิ ทางตอ่ ไปจนถงึ วดั ปา่ บา้ นจำ� ปา เปน็
เวลาบ่ายประมาณ ๔ โมงเยน็ พระเณรกำ� ลังปัดกวาดลานวัดอยู่
ฝังใจในพระกรรมฐานในครัง้ แรก ๕๗
พอดี เมอื่ เขา้ ไปถงึ กม็ สี ามเณรสององคเ์ ขา้ มารบั บาตรพาไปศาลา
ดูพระเณรทุกองค์ถือผ้าย้อมแก่นขนุนกันท้ังนั้น มีสามเณรทูล
องคเ์ ดยี ว ถอื ผา้ เหลอื งแตกตา่ งกบั หมอู่ งคอ์ นื่ ๆ เขา ในบรเิ วณวดั
มแี ตค่ วามสะอาดรม่ รน่ื ดี มคี วามเรยี บรอ้ ยสวยงามดี จงึ มศี รทั ธา
ให้ความเลื่อมใส มีความสนใจกับพระกรรมฐานมาก พระเณร
ทกุ องคม์ คี วามสำ� รวมดพี อๆ กนั การพดู กม็ เี สยี งเบา เพยี งกระซบิ
กระซาบพอรเู้ รอื่ งกนั เทา่ นน้ั สามเณรทลู มนี สิ ยั เปน็ นกั สงั เกตอยู่
ในตวั อยแู่ ล้ว
ในขณะนัน้ สามเณรทลู มีความเหนด็ เหนื่อยเมอ่ื ยล้ามาก
อยากที่จะพักนอนเพราะเวลาจวนค่�ำแล้ว สามเณรที่วัดนั้นก็
จัดกุฏิให้นอนองค์เดียว เป็นกุฏิท่ีใหม่ ยังไม่มีใครๆ มานอน
ห่างจากศาลาประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นป่าดงดิบหนาแน่น
มีต้นไม้ใหญ่นานาชนิด หนาแน่นมากมาย มีเส้นทางเล็กๆ
เดินเข้าไปหากุฏิใหม่นั้น มีพ้ืนปูด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วย
หญ้าคาอย่างดี ในกุฏิมีกล้วยน�้ำว้าสุกงอมผูกห้อยอยู่สองเครือ
ในคืนนั้นสามเณรทูลนอนไม่หลับเลยก็เพราะหิวข้าวน่ันเอง
ท้องร้องจ๊อกๆ ได้มองดูกล้วยสุกในที่น้ัน ความหิวข้าวก็มี
ความรนุ แรงมากขนึ้ ในขณะนั้นสามเณรทลู ก็ลุกขนึ้ ไปจับกลว้ ย
๕๘ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ฝังใจในพระกรรมฐานในครั้งแรก ๕๙
สกุ ทันที ก�ำลงั จะปลิดกลว้ ยมาฉัน กน็ ึกขน้ึ ไดว้ า่ น่ที ลู เราเป็น
นกั บวชเป็นสามเณรรกั ษาศลี ๑๐ นะ เราเคยรักษาศีล ๑๐ ให้
มคี วามบรสิ ุทธิ์มาแลว้ จะมาทำ� ใหศ้ ลี ขาดในขณะนี้ไม่ได้เลยนะ
เมอื่ นกึ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งน้ี จงึ กลบั มานอนดกู ลว้ ยสกุ อกี ตอ่ ไป ในคนื นน้ั
ลกุ ขึน้ ไปจับกล้วยเพื่อจะกนิ ถึง ๓ ครั้ง แตก่ ็มคี วามส�ำนึกตัวเอง
ไดท้ กุ ครง้ั ในคนื นน้ั หลบั ไดน้ ดิ เดยี วกเ็ พราะความหวิ เปน็ ตน้ เหตุ
ในคนื นั้นไดร้ คู้ วามทุกขเ์ พราะความอยากนมี้ ากๆ จริงๆ
เมอื่ ตนื่ เชา้ มากจ็ ะลงมาศาลา แตไ่ ดม้ องไปทใ่ี ตก้ ฏุ ิ มอี ะไร
แปลกๆ อยู่ในท่ีนั้น เป็นกองดินยาวๆ มีกิ่งใบไม้ปกคลุมเอาไว้
ใบไม้เพียงเหยี่ วเทา่ น้ัน เมอ่ื เดนิ ดรู อบไปมา มถี าดเล็กๆ มถี ้วย
ใส่อาหารวางไว้ มีดอกไม้ธูปเทียนปักอยู่ท่ีน่ัน แต่ก็คิดว่าเป็น
ประเพณนี ยิ มในวธิ สี รา้ งกฏุ ใิ หมเ่ ทา่ นนั้ สงิ่ ทง้ั หมดนเี้ ปน็ ประเพณี
จัดเล้ียงเจ้าท่ีเจ้าทางเท่านั้น จากนั้นก็เดินออกมาศาลาแล้ว
เล่าเรือ่ งน้ใี หอ้ าจารยฟ์ ัง อาจารย์ถามวา่ กลวั ไหม ก็บอกท่านวา่
ไม่กลัว อาจารย์บอกวา่ ทใี่ ต้กุฏนิ ้นั เขาเอาคนตายทงั้ กลม ลกู ยัง
มอี ยู่ในทอ้ งอยู่ เอามาฝังสองวันทผ่ี ่านมา สามีและญาติเขาเอา
อาหารมาวางให้ผีกิน เมื่อสามเณรทูลได้ฟังน้ีก็มีความคิดกลัว
อยู่บ้าง แต่ก็สอนตัวเองว่า ในคืนที่ผ่านมาท�ำไมเราจึงนอนได้
๖๐ อตั โนประวัติ ภาค ๑
ในคืนต่อไปเราก็จะนอนได้เหมือนกัน ให้ก�ำลังใจในตัวเองว่า
เรารกั ษาศลี บรสิ ทุ ธ์ิดแี ลว้ ผีจะท�ำอะไรให้เราไมไ่ ด้เลย คนที่ตาย
กับเราผู้มชี วี ติ อยกู่ เ็ ปน็ ธาตสุ ี่เหมอื นกนั
เมื่อถงึ เวลาบณิ ฑบาต อาจารยก์ ็จดั บาตรให้ แล้วสัง่ สอน
วา่ เวลาบณิ ฑบาตตอ้ งส�ำรวมให้ดี อย่าดูหน้าคนมาใสบ่ าตร ให้
สายตาอยูภ่ ายในบาตรเทา่ นัน้ เวลาเดนิ ก็ให้ดขู าผู้ที่เดินไปก่อน
เทา่ น้นั ใหร้ ะวังใจใหด้ ี อย่าไปคิดในเรื่องน้ันเรอื่ งน้ี ใหค้ ่อยเดิน
ตามเขาไป บณิ ฑบาตอยใู่ นบา้ นนนั้ ๑๐ วนั ไมไ่ ดเ้ หน็ หนา้ คนเลย
เวลาฉนั อาจารยก์ จ็ ดั อาหารสง่ มาให้ แลว้ กต็ กั ใสบ่ าตรพอสมควร
เมื่อฉันเสร็จก็ล้างบาตรเก็บไว้ที่กุฏิ แล้วมาเดินจงกรมเหมือน
เณรอื่นๆ ต่อไป
อาจารยไ์ ดถ้ ามวา่ กลวั ผอี ยไู่ หม กต็ อบวา่ ยงั กลวั อยู่ อาจารย์
พูดว่าท่ีแห่งน้ีเป็นป่าช้า กุฏิทุกหลังมีหลุมศพคนตายทุกหลัง
ปลกู กุฏติ า่ งๆ ครอบหลุมศพทงั้ นั้น กุฏทิ ี่เณรทลู อย่กู ็ปลูกครอบ
ศพผหู้ ญงิ ทค่ี ลอดลกู ตายใหมๆ่ นเี้ อง เมอื่ สามเณรทลู ไดฟ้ งั กเ็ กดิ
ความกลัวข้ึนมา แต่ก็หนีไม่ได้ ถึงจะกลัวก็จะอดทนอยู่ต่อไป
แล้วคิดดเู ณรองคอ์ น่ื ไปวา่ เขาก็เป็นเณรองค์เลก็ ๆ เท่ากนั กบั เรา
ทำ� ไมเขาอยู่ได้ เรากต็ อ้ งอย่ไู ด้เชน่ กนั เมอ่ื ต้ังใจให้มีความอดทน
ฝงั ใจในพระกรรมฐานในคร้ังแรก ๖๑
ตอ่ สู้ ก็อยู่กนั ได้เป็นปกติธรรมดา
ในวนั หนง่ึ หลงั จากปดั กวาดลานวดั เสรจ็ แลว้ จะไปกนิ นำ้�
ในตุ่ม แต่ไม่มีขันตักน�้ำกินเลย มองเห็นกระบอกไม้ไผ่มีผ้ามัด
ติดอยู่ ไม่รู้วา่ เป็นอะไร จึงไดไ้ ปหาขันในศาลาที่จะมาตักน�้ำกิน
พอดเี ณรองคห์ นงึ่ ไดม้ าพบ จงึ บอกวา่ อยา่ เอาขนั ตกั นำ้� ในตมุ่ นนี้ ะ
ให้เอาธมกรกกรองเอา สามเณรทูลก็ท�ำไม่เป็นว่าจะกรองได้
อย่างไร เห็นกระบอกไม้ไผ่มัดผ้าข้างหน่ึง ๒-๓ อันห้อยอยู่
สามเณรทลู กจ็ บั มาดแู ลว้ คดิ วา่ นหี้ รอื ธมกรก แลว้ จมุ่ ลงในตมุ่ นำ้�
ดึงขึ้นมาน้�ำก็ไหลออกหมด ท�ำอยู่อย่างนี้หลายคร้ัง น�้ำก็ไหล
ออกทุกครั้ง ทั้งหิวน�้ำมาก ก�ำลังยืนคิดหาวิธีกินน้�ำอยู่นั้น มี
สามเณรองค์หนึ่งเดินมาแล้วถามว่าพ่ีเณรท�ำอะไร ก็บอกไปว่า
วิธีกรองน�้ำท�ำอย่างไร เณรเขาก็ท�ำให้ดู เอากระบอกธมกรก
จมุ่ นำ้� ลงไป กอ่ นจะดงึ ขนึ้ มาเอานว้ิ มอื ปดิ รเู อาไว้ นำ้� กไ็ มไ่ หลออก
เพียงเท่านี้ก็ท�ำให้สามเณรทูลได้คิดหนักพอสมควร นี้ก็เพราะ
สิง่ ท่ีเราไมเ่ คยท�ำ ของง่ายก็กลายเปน็ ของยากขึน้ มา
ในขณะที่อยู่น้ันได้ศึกษาเรียนรู้กรรมฐานได้หลายอย่าง
มากมาย ได้มาน่ังคิดพจิ ารณาดูความเปน็ อยขู่ องพระกรรมฐาน
อยู่วา่ ลานวัด ทางไปกฏุ ิ ศาลา กระโถน และส่ิงของอยา่ งอ่ืน
๖๒ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ฝังใจในพระกรรมฐานในคร้ังแรก ๖๓
ดูแล้วมีแต่ความสะอาด เก็บเป็นสถานที่เรียบร้อยดี เพียง
นำ�้ ธรรมดากก็ รองฉนั เครอื่ งบรขิ ารอยา่ งอนื่ สว่ นตวั จะเปน็ กานำ�้
แกว้ น้ำ� ล้วนแลว้ มคี วามสะอาดทั้งสิ้น นี้เองจึงทำ� ให้สามเณรทลู
มีความผังใจในพระกรรมฐานนับแตค่ ร้ังนั้นมา
จากนั้นมาหลายวัน ท่านอาจารย์ก็พามาส่งถึงวัดบ้าน
หนองแวง ทา่ นกก็ ลบั ไปในงานศพหลวงปู่มน่ั ตอ่ ไป ในขณะนนั้
สามเณรทูลก�ำลังเรียนหนังสือนักธรรมช้ันตรี นักธรรมช้ันโท
ควบคกู่ นั ไป เพราะนักธรรมชน้ั ตรไี ดเ้ รียนจบไปแลว้ สามารถจ�ำ
ได้ทุกประโยค ทุกหมวดหมู่ สามารถวา่ ปากเปลา่ ได้ จากนน้ั ได้
ไปเรียนหนังสอื ตอ่ ที่จงั หวัดมหาสารคาม เรียนหนงั สอื นักธรรม
ชนั้ เอกจบ นกั ธรรมตรี นกั ธรรมโท นกั ธรรมเอก สามารถเรยี นจบ
อยา่ งสมบรู ณ์ จนกลา้ พนนั ไดว้ า่ ทง้ั สามนกั ธรรมนถี้ า้ ใครถามใน
หมวดต่างๆ ถ้าสามเณรทูลตอบไม่ได้จะยอมเสียเงินให้ ก็มี
หลายคนทมี่ าถาม กต็ อบได้ท้ังหมด
ในคร้ังนั้นคนมีความนิยมเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ องค์หนึ่ง
ถาม องคห์ นง่ึ ตอบ ในหมวดธรรมทถ่ี ามตอบกนั นนั้ เลน่ กนั อยา่ ง
เต็มท่ี ถ้าความรู้ไม่ดีพอก็ตอบอีกฝ่ายหน่ึงไม่ได้ ถามในเรื่อง
พุทธประวัติ พระพุทธเจ้าสร้างบารมีในทศชาติ พระพุทธเจ้า
๖๔ อัตโนประวัติ ภาค ๑
สรา้ งบารมี ๕๐๐ ชาติ เรอ่ื งปฐมสมโพธิ เรอื่ งปฐมกปั ปฐมปนั นา
เรอ่ื งพระพทุ ธเจา้ แตล่ ะองคส์ รา้ งบารมใี นปญั ญาธกิ ะ ศรทั ธาธกิ ะ
วิรยิ าธิกะ เร่ืองการตรสั รู้ของพระพุทธเจ้าแตล่ ะพระองค์ เรื่อง
ภัทรกัปของพระพุทธเจ้า เรื่องไฟประลัยกัลป์ น้�ำประลัยกัลป์
ลมประลัยกัลป์ เร่ืองการเกิดข้ึนของโลก และมีอีกมากมาย
ทง้ั หมดนสี้ ามเณรทลู มคี วามสนใจเปน็ อยา่ งมาก ในใจอยากเปน็
นักเทศน์ ๒ ธรรมาสน์กับเขา มคี วามต้งั ใจเรียนหนักเลยทีเดยี ว
จนสามารถขนึ้ เทศน์ ๒ ธรรมาสนไ์ ด้ ไม่กลวั ใครๆ ท้ังส้นิ
หลงั จากนนั้ พอ่ แมส่ งั่ ใหก้ ลบั มาบา้ น เพอ่ื นฝงู เกา่ ในหมบู่ า้ น
ออกไปเลน่ ดว้ ยทกุ คนื พากนั พดู เรอ่ื งทางโลกใหฟ้ งั ใหมๆ่ กเ็ ฉยๆ
พอพูดนานๆ เข้า ใจเอียงไปทางโลกมากข้ึนๆ ในท่ีสุดก็ได้
ลาสิกขาออกไปช่วยพ่อแม่ท�ำมาหากินตามประสาชาวบ้าน
ค�ำไหว้พระสวดมนตก์ ส็ วดเป็นนิสยั ในความร้ทู ี่ไดศ้ ึกษามากค็ ดิ
ทบทวนอยู่เสมอ เมอื่ มีงานบญุ ประจำ� ปีชาวบา้ นชอบหาหมอล�ำ
มาโจทยถ์ ามกนั ใครมคี วามรอู้ ยา่ งไรมาก็ถามตอบกนั ถ้าใครแก้
ไม่ได้ ชาวบ้านก็เฮทับไล่ลงเวทีไป งานอย่างนี้เซียงทูลชอบนัก
จะอยู่ไกลสักปานใดก็ไป พวกสาวๆ ไมส่ นใจ ซอ้ื เอาของกินแล้ว
ก็หาที่นั่งฟังหมอล�ำกัน ในบางคร้ังนั่งฟังจนสว่าง เขาไม่เลิกลำ�
ฝงั ใจในพระกรรมฐานในครั้งแรก ๖๕
เราก็ไม่เลิกหนีเช่นกัน การฟังอย่างนี้ท�ำให้มีความรู้เพิ่มเติม
อีกอย่างหน่ึงเซียงทูลก็เคยศึกษามาแล้วจึงมีความสนใจเร่ืองน้ี
ถ้าเป็นหมอล�ำชายหญิงเกี้ยวกันธรรมดาจะไม่ฟังเลย เพราะ
ไม่มีความรู้อะไรในการล�ำอย่างนี้ ฉะนั้น เซียงทูลมีความใฝ่ฝัน
ในความรู้น้ีมาก ชอบอ่านหนังสือเก่าๆ ท่ีเป็นตัวธรรม เป็นตัว
หนังสือขอม ตัวหนังสือลาวเวียงจันทร์ ชอบค้นคว้าในหนังสือ
โบราณมาอ่าน จะเพ่ิมความรูใ้ หม้ ากขึ้นน่ันเอง
เมอื่ อายไุ ด้ ๑๘ ปี ไดไ้ ปขายควายไทยกบั พช่ี าย ควายกลมุ่
ของเซยี งทลู มี ๖๐ ตวั ไดไ้ ปรวมกบั กลมุ่ อน่ื ๆ อกี รวมแลว้ มคี วาย
๖๐๐ ตัว คนอีสานพดู กนั ว่า นายฮอ้ ยขายควาย ถา้ ใครได้ผา่ น
การขายควายไทยอยา่ งนจี้ ะเรยี กกนั วา่ นายฮอ้ ย ไปขายควายใน
ครั้งน้ีมีคนไปด้วยกันร้อยกว่าคน เป็นผู้มีอายุน้อยกว่าหมู่เขา
ก็เป็นนายฮ้อยเซียงทูลนั่นเอง จะไปพักนอนที่ไหนในบ้านใด
คณะนายฮอ้ ยเซยี งทลู จะไดเ้ ปรยี บอยเู่ สมอ เมอ่ื เขา้ ไปในหมบู่ า้ น
หาอาหาร เพอ่ื นรนุ่ พๆี่ จะยกใหเ้ ปน็ นายฮอ้ ยใหญ่ บา้ นใดมลี กู สาว
ในฐานะดี รนุ่ พจ่ี ะพาไปบา้ นหลงั นนั้ ยกนายฮอ้ ยเซยี งทลู ขนึ้ เปน็
ตวั ชโู รง ประกาศความดใี หเ้ ขาไดร้ ู้ เพอื่ ตอ่ รองในการซอ้ื ของ จะ
เปน็ ขา้ วสาร พรกิ เกลอื ปลารา้ และของอยา่ งอนื่ ๆ ของทกุ อยา่ ง
๖๖ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ฝังใจในพระกรรมฐานในครั้งแรก ๖๗
จะเป็นราคาถูก หรอื บางบ้านใหข้ องฟรีมา การเดินทางในครง้ั น้ี
มีความทุกข์อยู่มาก เพราะท่ีบางแห่งพวกโจรคอยลักคอยปล้น
เอาควายอย่เู สมอ ตอ้ งอยู่เวรยามกันตลอดคืน ร่วม ๔ เดอื นจงึ
ได้กลบั มาบา้ น เพ่อื นก็เรียกนายฮ้อยทูลในสมัยนั้น
เมอื่ อายุ ๑๙ ปี พอ่ พาไปอยบู่ า้ นขเ้ี หลก็ อ.บา้ นดงุ จ.อดุ รธานี
ขณะนบี้ า้ นขเ้ี หลก็ ไดย้ า้ ยขน้ึ ไปตงั้ บา้ นใหม่ เรยี กวา่ บา้ นคำ� พเู งนิ
เม่อื อายุ ๒๐ ปี พ่อแมใ่ ห้บวชเปน็ พระอกี ได้ไปจ�ำพรรษาอย่ทู ่ี
วดั ไชยนาถวราราม ทอ่ี ำ� เภอไชยวาน การศกึ ษากไ็ มม่ ปี ญั หาอะไร
เพราะเรยี นจบนกั ธรรมตรี โท เอก มาแลว้ พอบวชแลว้ จงึ รจู้ กั วดั
ธรรมยุตในภายหลงั ในช่วงน้ันพระธรรมยตุ และพระมหานิกาย
ไม่ค่อยสามัคคีกัน ในคร้ังน้ันหลวงปู่บุญจันทร์แต่ก่อนท่านอยู่
บ้านจ�ำปา บดั นท้ี า่ นมาสรา้ งวดั อย่ทู บ่ี ้านนอ้ ยหนองตูม อำ� เภอ
ไชยวาน เมื่อบิณฑบาตสวนทางกันก็จ�ำท่านได้ ในวันต่อมาได้
ออกไปเยยี่ มวัดป่าสันติกาวาส ไปสงั เกตการณ์ในขอ้ วตั รปฏิบัติ
ของทา่ น ความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยเหมอื นเดิมหรอื ไม่ ไปเหน็
ไมส้ ฟี นั อยทู่ ห่ี ลมุ ขยะ กจ็ บั ขน้ึ มาดู กเ็ หมอื นกนั กบั ทา่ นอาจารยส์ ม
ใชอ้ ยใู่ นสมัยที่เปน็ เณรน้นั ในความรสู้ กึ ขณะน้นั อยากบวชเป็น
พระธรรมยตุ เปน็ อยา่ งมาก แตก่ เ็ ปน็ ไปไมไ่ ด้ เพราะฝา่ ยมหานกิ าย
๖๘ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
ในขณะนนั้ กำ� ลงั จะกวาดลา้ งพระธรรมยตุ ใหห้ มดไปอยู่ พระทลู
กว็ างแผนใหมว่ ่า เราตอ้ งสึกจากมหานกิ ายกอ่ น แล้วจึงไปบวช
เป็นพระธรรมยตุ ในภายหลัง
ในช่วงน้ันมีก�ำนันเพ็งมีความช�ำนาญในการดีดลูกคิดได้
ดีมาก ไปสอนพระเณรภายในวัดให้ดีดลูกคิดกัน พระทูลก็ไป
สังเกตดูว่าเขาคดิ กนั อยา่ งไร กไ็ ด้ไปฝกึ ดีดกบั พระเณรอ่ืนดูบา้ ง
ผสู้ อนได้ตัง้ สตู รในวธิ ีบวก เร่มิ ๑+๒+๓ ไปถึง ๑๐ เขาทำ� ให้ดู
ครงั้ เดยี วเทา่ น้ัน ต่อไปพระทูลได้ดีดตามก็ดีดไดใ้ นทนั ที ลบ คูณ
และสตู รหาร เขาดดี ใหด้ ูสตู รละคร้ังเทา่ นน้ั พระทูลกฝ็ ึกดีดตาม
ไดท้ ง้ั หมด จงึ ทำ� ใหค้ รสู อนแปลกใจวา่ ดดี ไดด้ ี มคี วามเขา้ ใจรวดเรว็
มากทงั้ ๔ สตู ร คอื บวก ลบ คูณ หาร จะต้งั เลขในจ�ำนวนเท่าไร
ก็บวก ลบ คูณ หาร ในลูกคดิ ไดท้ ง้ั หมด และมคี วามช�ำนาญใน
การดดี ลกู คดิ ไดใ้ นวนั เดยี ว พระทลู กไ็ ดเ้ ปน็ ครสู อนในกลมุ่ ทเ่ี รยี น
ด้วยกนั อีกดว้ ย ต่อมาพระทลู กค็ ิดสตู รบวกข้ึนมาใหม่ ไม่ต้องไป
เอาสูตรของจีนอีกต่อไป แล้วไปซ้ือรางลูกคิดมาดัดแปลงไม่ให้
เหมือนใคร ธรรมดาลูกคิดมีลูกอยู่สองด้าน คือด้านละ ๒ ลูก
และดา้ นละ ๕ ลูก แลว้ มาดดั แปลง ดา้ นละ ๑ ลกู และดา้ นละ
๔ ลกู เทา่ นนั้ คนอน่ื เหน็ เขา้ กว็ า่ ดดี ไดอ้ ยา่ งไร คนอนื่ ดดี ตามไมไ่ ด้
ฝังใจในพระกรรมฐานในคร้งั แรก ๖๙
ในช่วงขณะนั้น เสมียนโรงน้�ำตาลมาเห็นความสามารถ
ของพระทลู ในการคดิ คำ� นวณเลขในสูตรต่างๆ เขามคี วามพอใจ
จงึ ไดพ้ ดู กนั ในเรอ่ื งงาน เขาจะลาออกจากแผนกหนา้ ทเี่ ปน็ เสมยี น
เขาขอร้องให้ไปท�ำงานแทนเขาท่ีโรงน้�ำตาลบ้านหนองหลัก
จากนนั้ กต็ ัดสินใจลาสิกขา คิดวา่ ไปทำ� งานเอาเงินกอ่ น แล้วจึง
ไปบวชเปน็ พระธรรมยุตในภายหลงั
มีเพ่ือนจะลาสิกขาอยู่แล้ว ๔ คน ตื่นเช้ามาก็เข้าไปลา
พระอุปัชฌาย์ พระอุปัชฌาย์เห็นพระทูลถือดอกไม้เข้าไปกับ
เพอ่ื น ๔ องคท์ า่ นรบั ขนั ธใ์ หล้ าสกิ ขาได้ สว่ นพระทลู ทา่ นไมย่ อมรบั
ขันธ์ให้ลาสิกขาเลย เพราะท่านตั้งความหวังไว้ว่า พระทูลมี
ความสามารถหลายอย่าง มีความเหมาะสมในการปกครอง
ต่อไปจะตั้งให้เป็นคณะปกครองสงฆ์ต่อไป ในที่สุดก็หลอก
พระอปุ ชั ฌายล์ าสกิ ขาจนได้ ชาวบา้ นมาเหน็ ทดิ ทลู ตอนมาถวาย
อาหารเช้า พากนั รอ้ งไหพ้ ดู ว่า เสยี ดาย หวังว่าอนาคตจะไดเ้ ป็น
เจ้าคณะใหญ่ปกครองสงฆ์ต่อไป จากนั้นก็ไปสมัครงานเป็น
เสมียนโรงน�้ำตาล เขาก็รับเข้าท�ำงาน ให้เงินเดือนในครั้งแรก
เดอื นละพนั บาท และขนึ้ เปน็ สองพนั สามพนั ทำ� งานอยไู่ ด้ ๓ เดอื น
โรงงานนำ้� ตาลได้ถกู ปิด ได้ทำ� งานเพียงสามเดอื นเท่านนั้
๗๐ อตั โนประวัติ ภาค ๑
จากนั้นพ่อแม่จะใหแ้ ตง่ งาน ได้หาหญิงสาวไวแ้ ลว้ ก็บอก
กบั พอ่ แมว่ ่าไปธรุ ะทเี่ วยี งจนั ทนก์ อ่ น การไปเวยี งจนั ทนใ์ นครง้ั น้ี
อยู่นานถึง ๓ เดือน เกือบได้เป็นลูกเขยท่ีเวียงจันทน์ แต่ก็เอา
ตัวรอดมาได้ กลับมาอยู่บ้านดงหวาย อ.บ้านผือ เพราะมีคน
รู้จักกันในท่ีบ้านนี้ มีการวางแผนใหญ่ คือการท�ำสวนอ้อยส่ง
โรงงาน ทางที่ดนิ จัดให้ ๕๐ ไร่ และซื้อเพ่ิมอีก ๕๕๐ ไร่ รวมเป็น
๖๐๐ ไร่ มคี วามต้ังใจว่า ถ้าไม่มีเงนิ ลา้ นอย่ใู นก�ำมอื จะไมย่ อม
แตง่ งาน ใช้เงนิ จา้ งคนงานไปถางป่าและปลูกออ้ ยแล้ว
ในช่วงนเ้ี องทำ� ให้ใจไดม้ คี วามเปลีย่ นไป มคี นงานถามวา่
การมาท�ำงานใหญน่ ม้ี คี รอบครัวหรือยัง กบ็ อกว่ายังไม่มี ท�ำไม
จงึ ไมย่ อมมี บอกวา่ ยงั ไมเ่ หน็ ผหู้ ญงิ ทถ่ี กู ใจ ผหู้ ญงิ ทถี่ กู ใจตอ้ งการ
อยา่ งไร บอกวา่ ๑) เปน็ ผไู้ มก่ นิ เนอื้ ดบิ นบั แตป่ ลารา้ ขนึ้ ไป ๒) เปน็
ผ้มู ศี ีล ๕ ประจำ� ตัว ถา้ ไม่มีหญิงใดใน ๒ ข้อน้ี จะไม่ยอมแต่งงาน
แตเ่ ขากย็ นื ยนั วา่ มใี นหมบู่ า้ นนี้ จงึ เกดิ ความสนใจทจี่ ะไปดผู หู้ ญงิ
ท่ีว่าน้ี แต่ก็พอดีทิดหลงอยากจะไปเอาเลขในวันน้ี แต่ทิดทูลก็
อยากไปดูหญิงสาวในบ้านนีเ้ ชน่ กนั จากน้ันกพ็ ากันไปท�ำบุญใน
วันพระของวดั น้ัน
ฝงั ใจในพระกรรมฐานในครั้งแรก ๗๑
ใจเปลย่ี นไปในทางบวช
เมื่อไปถึงวัดแล้ว ได้เห็นความสะอาดร่มร่ืนในบริเวณวัด
ใจเรม่ิ มกี ารเปลยี่ นแปลงไปในทางบวช จากนนั้ กไ็ ดข้ นึ้ ไปบนศาลา
รว่ มกนั กบั คณะศรทั ธาทงั้ หลาย ในครงั้ แรกคดิ วา่ จะไปดหู ญงิ สาว
ท่ีมาท�ำบุญในวัดน้ัน แต่ก็ได้ไปเห็นพระเณรที่น่ังอยู่บนศาลา
ดแู ลว้ มคี วามสำ� รวมสงบเสงย่ี มดี จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ ความเลอ่ื มใสศรทั ธา
ในขณะนั้นได้มองเห็นหลวงพ่อองค์หนึ่งมีความส�ำรวมดีมาก
นงั่ อยไู่ มม่ คี วามเคลอื่ นไหวตวั ไปมาแตอ่ ยา่ งใด ขา้ พเจา้ นงั่ เฝา้ ใช้
สายตาจับดูท่านอยู่ตลอดเวลา ทา่ นนัง่ เรยี บรอ้ ยเหมอื นห่นุ ข้ผี ึง้
และพระเณรองค์อ่ืนๆ ก็มีความส�ำรวมเรียบร้อยดีพอสมควร
ข้าพเจ้าจึงได้เกิดความคิดข้ึนมาว่า ที่เราเคยบวชมาแล้วน้ัน
เหมอื นกบั วา่ เอาผา้ เหลอื งคลมุ ตอไมไ้ วเ้ ทา่ นน้ั นเ่ี ปน็ วดั พระธรรมยตุ
ใจเปล่ยี นไปในทางบวช ๗๓
ทเี่ ราตอ้ งการจะบวชเปน็ พระธรรมยตุ อยแู่ ลว้ เราสกึ ออกมากไ็ ป
หลงทางใหเ้ สยี เวลาในทางโลกหลายปี บดั นเี้ รามาพบวดั ธรรมยตุ
แล้ว เราตอ้ งบวชเป็นพระธรรมยุตอยา่ งแน่นอน
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ท้ังชาติ จะไม่ท�ำให้เสียชาติเกิดเลย
การบวชในครงั้ นเี้ ราจะบวชตลอดไปตลอดชวี ติ ความคดิ ครง้ั แรก
ว่าจะมาดูหญิงสาวก็เป็นเร่ืองของความฝันไป ในวันน้ันไม่ได้ดู
หนา้ หญงิ สาวเลยวา่ หน้าตาเปน็ อย่างไร ในวันน้นั ก็กลับมาคดิ
ทบทวนดูความตัง้ ใจของตวั เอง เร่ิมตน้ จากการลาสกิ ขามาแล้ว
จะหาวดั ธรรมยุตให้ได้ แตบ่ ัดน้เี ราไดม้ าพบวดั พระธรรมยตุ แล้ว
เราจะบวชเปน็ พระธรรมยตุ อยา่ งแนน่ อน ถา้ บวชแลว้ จะไมก่ ลบั
มาเป็นฆราวาสอีก จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็จะขอมอบกาย
ถวายชวี ติ ไวก้ บั ผา้ กาสาวพัสตรจ์ นตลอดวันตายอย่างแน่นอน
เมื่อคิดทบทวนไปมาหลายคร้ังหลายหน ก็มีความกังวล
ขึ้นมาอีกอยา่ งหนง่ึ ว่า ถ้าบวชแลว้ บางทีอาจเกิดความคิดสงสัย
ในทางโลกข้ึน จะไม่มีข้อมูลแก้ตัวเลยว่าทางโลกเป็นอย่างไร
ความคิดน้จี ะเข้าขา้ งตวั เองอยบู่ ้าง แต่ก็ไมเ่ ป็นไร พระพทุ ธเจ้าก็
เคยไดผ้ า่ นทางโลกมาแลว้ นเี่ รากจ็ ะเอาแบบอยา่ งของพระพทุ ธเจา้
ดูบ้าง จากนั้นก็คิดวางแผนเสียใหม่ เพื่อให้หายความสงสัยใน
๗๔ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
ทางโลก แต่ก็คิดต้ังใจไว้ว่าทางโลกเป็นเพียงทางผ่านเท่าน้ัน
ไดต้ งั้ ใจไวแ้ ละสญั ญากบั ตวั เองไวว้ า่ เราไมย่ อมเอาชวี ติ ไปตายอยู่
กับฆราวาสอย่างแน่นอน ในที่สุดก็เสียรู้ให้กับกิเลสตัวน้ีจริงๆ
ถึงจะเสียรู้แต่ก็ไม่ลืมตัว ใช้ปัญญาสอนตัวเองอยู่เสมอว่าเราจะ
ไมอ่ ยสู่ รา้ งโลกนต้ี ลอดไป จงึ ใหส้ จั จะกบั ตวั เองวา่ เปน็ ลกู ผชู้ ายนะ
ในชว่ งนน้ั ยงั ไมร่ ้จู ักคำ� ว่าภาวนาแต่อยา่ งใด แต่ก็ไดอ้ า่ นในตำ� รา
พอรอู้ ยวู่ า่ การภาวนาปฏบิ ตั เิ ทา่ นน้ั แตห่ ลกั วธิ กี ารในการปฏบิ ตั ิ
นน้ั ไมเ่ ขา้ ใจเลย เพราะเขา้ มาอยใู่ นทนี่ ไี่ มก่ ว่ี นั การปรบั ตวั เขา้ กบั
ครอบครวั เขากย็ งั ไมเ่ รยี บรอ้ ยดี และตวั เองกไ็ มเ่ คยมชี วี ติ คมู่ ากอ่ น
ต้องรวู้ ิธกี ารทำ� ใจของตัวเอง
ในวนั หนงึ่ เปน็ วนั พระ หลวงพอ่ บญุ มาสง่ั วา่ ทลู คำ่� ในวนั นี้
ออกมาหาด้วยนะ เมื่อได้รับค�ำท่านแล้วก็มาตามค�ำนัดหมาย
เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น เม่ือมาถงึ กฏุ ทิ ่านก�ำลังเดนิ จงกรมอยู่
ทา่ นเหน็ หนา้ เราไป ทา่ นกเ็ ดนิ ขน้ึ กฏุ ิ เรากข็ น้ึ ตามไป ยงั ไมไ่ ดพ้ ดู
อะไร ทา่ นกน็ อนลง แลว้ พดู ขน้ึ มาวา่ จบั เสน้ ใหห้ นอ่ ย ตวั เองจบั เสน้
ไมเ่ ปน็ เลย เพยี งจบั ไปมาตามขาทา่ น จากนน้ั ทา่ นกบ็ อกวา่ พอแลว้
ก็ลุกข้ึนนั่ง มีประโยคแรกท่ีพูดออกมาว่า อยากฟังเทศน์ไหม
กต็ อบทา่ นไปวา่ อยากฟงั ครบั ทา่ นวา่ ตงั้ ใจฟงั นะ เกดิ ดบั เกดิ ดบั
ใจเปลี่ยนไปในทางบวช ๗๕
๗๖ อัตโนประวัติ ภาค ๑
ทา่ นถามว่าฟงั รู้เรือ่ งไหม ตอบทา่ นวา่ รคู้ รบั ท่านกเ็ ทศนต์ อ่ อกี
ว่า เกิดดบั เอาล่ะกลบั บ้านเสีย
เมื่อทิดทูลได้ฟังธรรมประโยคสั้นๆ เพียงเกิดดับเท่าน้ัน
เกิดความซาบซ้ึงในใจเป็นอย่างมาก ใจมีความเบิกบานเอิบอ่ิม
ในธรรมจนบอกไม่ถกู เหมอื นอะไรสกั อย่างหนึง่ มาบนั ดาลใจให้
เป็นไปในธรรม เหมือนเกดิ ความเข้าใจรเู้ หน็ ในเร่ืองการเกิดดบั
ทั้งหมด จากนน้ั กก็ ราบลาท่านกลับบา้ น เมื่อลงจากกฏุ ิท่านมา
เกดิ ความรู้สึกวา่ ปัญญาไดเ้ กิดความเขา้ ใจกระจ่างแจ้ง รู้เห็นใน
สงิ่ ทเ่ี กดิ ดบั ทงั้ หลายวา่ ในโลกนมี้ แี ตก่ ารเกดิ ดบั ทง้ั นน้ั ไมว่ า่ สง่ิ นนั้
จะมวี ญิ ญาณครอง และสง่ิ ไมม่ วี ญิ ญาณครอง สงิ่ ทง้ั ปวงเกดิ ขนึ้ แลว้
ตัง้ อยูช่ วั่ ขณะแลว้ กด็ บั ไปเท่านัน้
บา้ นกบั วดั หา่ งกนั ประมาณ ๑ กโิ ลเมตร แตต่ อ้ งเดนิ หลาย
ช่ัวโมง เพราะเพลิดเพลินในการใช้ปัญญาพิจารณาในเร่ืองการ
เกิดดบั ยืนบา้ งเดนิ บา้ ง สงิ่ ที่เกดิ ดับโลกนมี้ อี ะไรบา้ ง ปัญญาจะ
ร้เู หน็ ทงั้ หมด ท้งั ร้เู ห็นวา่ เหตุใหเ้ กิดเป็นอย่างไร เหตุให้ดบั เปน็
อย่างไร มีความรู้ความเข้าใจอย่างหมดสิ้น มาคิดแปลกใจของ
ตวั เองวา่ ในความคดิ อยา่ งนเี้ กดิ ขน้ึ กบั เราอยา่ งไร ทำ� ไมเราจงึ คดิ
เรอื่ งการเกดิ ดบั ไดล้ ะเอยี ดถงึ ขนาดนี้ แตก่ อ่ นมาเราไมเ่ คยคดิ ใน
ใจเปล่ยี นไปในทางบวช ๗๗
สงิ่ เหลา่ นเี้ ลย ย่งิ คิดพิจารณาในเรือ่ งเกิดดบั เท่าไร ความร้เู ห็นก็
ขยายออกไปอยา่ งกวา้ งขวาง มคี วามรเู้ หน็ และเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งชดั เจน
สิ่งทีเ่ กดิ ขึ้นตามธรรมชาติ ส่ิงท่ีเกิดขึ้นจากมนุษยส์ ร้างข้ึนมากด็ ี
ก็มีการเกิดดับด้วยกันทั้งส้ิน แม้ตัวเราเองที่เกิดข้ึนมาแล้วก็จะ
ต้องดับไปเชน่ กนั
เมอ่ื ไปถงึ บา้ นแลว้ กน็ อนคดิ ตรกึ ตรองในสง่ิ ทเ่ี กดิ ดบั อยา่ ง
ต่อเน่ือง โลกน้ีท้ังหมดมีแต่ส่ิงท่ีเกิดดับด้วยกันท้ังหมดท้ังส้ิน
บางอยา่ งกเ็ กดิ ขนึ้ ชา้ ดบั ชา้ บางอยา่ งเกดิ ขน้ึ เรว็ ดบั เรว็ บางอยา่ ง
เกดิ ขน้ึ ชา้ ดบั เรว็ บางอยา่ งเกดิ ขน้ึ เรว็ ดบั ชา้ การเกดิ ขนึ้ ชา้ เกดิ ขนึ้
เรว็ และการดบั ชา้ ดบั เรว็ นนั้ มนั ขนึ้ อยกู่ บั ธรรมชาตใิ นตวั มนั เอง
เหมือนมนษุ ยเ์ ราหรอื ตลอดทง้ั หมสู่ ัตว์ดิรัจฉานทกุ ประเภท เม่ือ
เกิดขน้ึ ในวันเดยี วกนั ก็มีการตายชา้ ตายเร็วต่างกนั ไม่มสี ง่ิ ใดใน
โลกนเ้ี กดิ พรอ้ มกนั ตายพรอ้ มกนั ได้ นก้ี เ็ ปน็ เหตปุ จั จยั ของแตล่ ะ
บุคคล
เม่ือคิดพิจารณาในเรื่องการเกิดดับอยู่น้ัน เหมือนกับ
ชีวิตเราจะอยู่ต่อไปอีกไม่นานมันก็จะดับไป ก็สอนตัวเองต่อไป
วา่ ในเมอื่ รู้ตัวว่าจะดับไปอยูอ่ ยา่ งนี้ เราจะมามัวเมาประมาทใน
ชีวิตนี้อยู่ท�ำไม ความดีที่เราจะรีบสร้างในขณะท่ีเรามีชีวิตอยู่
๗๘ อัตโนประวัติ ภาค ๑
เรากต็ อ้ งรบี ทำ� เพราะโอกาสเรามอี ยแู่ ตล่ มหายใจเขา้ ออกเทา่ นน้ั
เมอื่ ลมหายใจหมดไปเมอื่ ไร โอกาสในการสรา้ งความดกี จ็ ะสนิ้ สดุ
ลงในทันที ในคืนน้ันไม่ได้หลับเลย มีแต่คิดเพลิดเพลินในเรื่อง
การเกิดดับอยู่ตลอดทั้งคืน ต่ืนขึ้นมาในวันใหม่ก็คิดพิจารณา
ในเร่ืองการเกิดดับต่อเน่ืองกันไป ยิ่งคิดพิจารณาเท่าไรก็ย่ิงมี
ความเขา้ ใจในเรอ่ื งการเกดิ ดบั มากขน้ึ เทา่ นนั้ และยงั มคี วามเขา้ ใจ
ในตัวเองว่า น่ีเป็นความคิดความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว
อย่างถกู ต้องชดั เจน จึงเป็นปญั ญาความเหน็ ชอบอย่างแท้จรงิ
ในวนั ตอ่ มาไดย้ นิ ผปู้ ฏบิ ตั ภิ าวนาพดู กนั วา่ จติ มคี วามสงบ
เป็นอย่างนั้น อาการของจิตเป็นลักษณะน้ี เกิดมีความสุขกาย
สขุ ใจเปน็ อยา่ งนี้ เม่อื ถามเขาเร่อื งการทำ� สมาธิ เขากใ็ หค้ �ำตอบ
เหมอื นกันทุกคน นั้นคอื นกึ คำ� บรกิ รรมวา่ พุทโธ เหมือนกัน ใน
ขณะหายใจเข้านึกวา่ พทุ ในขณะหายใจออกนกึ วา่ โธ ให้มีสติ
ตง้ั มน่ั ระลกึ รอู้ ยกู่ บั พทุ โธเทา่ นน้ั หา้ มไมใ่ หส้ ง่ ใจไปภายนอก และ
หา้ มคดิ ในเรอื่ งอะไรทง้ั นน้ั แตก่ ย็ งั ไมแ่ นใ่ จวา่ ทเี่ ขาพดู มานนั้ เปน็
ความจรงิ หรอื ไม่ จากนนั้ กอ็ อกไปถามกบั หลวงพอ่ บญุ มาใหเ้ ขา้ ใจ
ทเ่ี ขาพดู เรอ่ื งการทำ� สมาธิ ทำ� อยา่ งนถ้ี กู ตอ้ งหรอื ไม่ ทา่ นกพ็ ดู วา่
การท�ำสมาธิที่เขาพูดกันน้ันถูกต้องแล้ว ท่านก็แนะวิธีเพ่ิมเติม
ใจเปลี่ยนไปในทางบวช ๗๙
ในวิธีท�ำสมาธิให้เล็กน้อย จากนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านก็เริ่ม
ท�ำสมาธิในทันที เม่ือท�ำสมาธิในคืนแรกก็ได้ผลในคืนนั้น จิตมี
ความสงบนิ่งอย่างแน่วแน่เป็นอย่างดี มีความสุขกายสุขใจเป็น
อย่างมาก จากน้ันมากท็ �ำสมาธิทุกวัน จิตก็มคี วามสงบแน่วแน่
ในทุกคร้งั และสงบได้เร็วด้วย
แต่นิสัยเคยได้ฝึกปัญญามาก่อนก็ยังฝังอยู่ในใจ ต่อไปใจ
เม่อื ทำ� สมาธิพอจิตมีความตั้งม่ันไดแ้ ลว้ กช็ อบอยากจะคิด ก็เอา
เรื่องการเกิดดับที่เคยคิดมาก่อนนั้นมาคิดพิจารณาเชื่อมโยงต่อ
กับสมาธิความตั้งใจมั่นได้เลย ในช่วงนั้นหลวงพ่อบุญมาไม่เคย
สอนการเจริญวิปัสสนาให้เลย ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าวิธีการเจริญ
วปิ สั สนานัน้ เปน็ อยา่ งไร กม็ ีความแปลกใจอยู่วา่ ท�ำสมาธจิ ติ มี
ความตั้งมั่นนิดเดียว ใจชอบคดิ ตรึกตรองในเร่อื งการเกิดดบั อยู่
เสมอ ยิ่งมีการพิจารณาเรื่องการเกิดดับมากข้ึนเท่าไร ใจก็เกิด
ความรแู้ จง้ ชดั เจนมากขน้ึ มคี วามแยบคายหายความสงสยั ในสงิ่
ที่เราเคยยดึ ติดไปได้ ท�ำให้ใจเกดิ ความศรัทธามคี วามเชอ่ื มน่ั ใน
การปฏบิ ตั มิ ากขน้ึ มคี วามเชอื่ มนั่ ในพระพทุ ธเจา้ มคี วามเชอ่ื มนั่ ใน
พระธรรม มคี วามเชอ่ื มน่ั ในพระอรยิ สงฆม์ ากขน้ึ และมคี วามเชอื่ มน่ั
ในการปฏบิ ตั ิของตนว่าเป็นวธิ ที ่ีถูกตอ้ งในมรรคผลนพิ พานแลว้
๘๐ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ในวนั ตอ่ มาไดไ้ ปเลา่ วธิ กี ารปฏบิ ตั แิ ละผลของการปฏบิ ตั ใิ ห้
หลวงพอ่ บญุ มาฟงั ทา่ นกพ็ ดู หนกั แนน่ วา่ ถกู แลว้ ๆ ใหท้ ำ� อยา่ งนี้
อยู่บอ่ ยๆ จติ ก็จะค่อยวางในสง่ิ ที่ยดึ มน่ั ถือมัน่ ไปเอง ทา่ นส่งั ว่า
ใหพ้ จิ ารณามคี วามขยนั หมน่ั เพยี รอยเู่ สมอ ทกุ อยา่ งใหเ้ ปน็ ไปใน
การเกิดดบั พิจารณาลงส่ไู ตรลักษณ์ คอื อนิจจงั ความไมเ่ ท่ียง
ทกุ ขัง ความเปน็ สงิ่ ทท่ี กุ ข์กายทกุ ขใ์ จ และพิจารณาใหร้ ูเ้ หน็ ใน
เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ขด์ ว้ ย ใหพ้ จิ ารณาในอนตั ตา วา่ เปน็ สงิ่ ทห่ี มดสภาพ
จากของเดมิ ไป วา่ ไม่มสี ิ่งใดเป็นสัตว์ เป็นบคุ คลตวั ตนเราเขาแต่
อยา่ งใด จากนนั้ กเ็ พมิ่ ความตง้ั ใจพจิ ารณามากขน้ึ กร็ อู้ ยวู่ า่ การงาน
ทีท่ ำ� ประจำ� วันมอี ยมู่ าก จะไปนัง่ นกึ คำ� บริกรรมทำ� สมาธินานๆ
น้ันไม่ได้ ถ้าจะทำ� สมาธิกอ็ ยู่ในช่วงพกั งานเทา่ นน้ั จากนั้นก็จะ
จบั ดา้ มจอบด้ามขวานทำ� งานต่อไป ในช่วงขณะทำ� งานอยู่นั้นก็
ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องของความเกิดความดับ ให้เป็นไปใน
อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา อย่เู สมอ ทำ� งานไปดว้ ยพิจารณาไปดว้ ย
ทำ� ใหใ้ จมคี วามเพลดิ เพลนิ ในธรรมไปในตวั หาอบุ ายธรรมตา่ งๆ
มาเป็นอุบายปัญญาอยู่เสมอ และใช้ปัญญาสอนตัวเองอยู่ใน
ขณะน้ัน น่ีเราท�ำไมจึงมาหลงงมงายติดอยู่ในโลกอย่างนี้ ใน
วัตถุสมบัติท้ังหลายน้ี ไม่มีส่ิงใดเป็นของเราแม้แต่น้อยเลย แม้
ใจเปล่ียนไปในทางบวช ๘๑
ตัวเราเองก็ไม่เป็นตัวของเราเอง ทุกสิ่งเป็นเพียงอาศัยกันอยู่
เทา่ นน้ั อีกไมก่ ่ีวันกจ็ ะแตกสลายจากกนั ไป ไม่มีสิง่ ใดอยูค่ งทน
ตลอดไปได้แต่อยา่ งใด
แมแ้ ตพ่ ชื ผลทไ่ี ดม้ าจากการเพาะปลกู ทงั้ หมดนี้ กล็ ว้ นแต่
มีความไม่เที่ยงอยู่ในตัวของมันเอง และมีการเกิดดับอยู่ใน
ตัวมันเองทั้งสิ้น น่ีเราจะมาเอาวัตถุธาตุของโลกอะไรมาเป็น
ของของตนไดเ้ ลา่ วตั ถธุ าตขุ องโลกนไ้ี มม่ สี ง่ิ ใดเปน็ สาระแกน่ สาร
แต่อย่างใด เพียงเอามาบ�ำรุงรักษาก้อนธาตุให้อยู่ได้ไปเป็น
วนั ตอ่ วนั เทา่ นนั้ ธาตขุ นั ธท์ อี่ าศยั ธาตภุ ายนอกอยู่ ชวี ติ กพ็ อมอี ยู่
ได้ไม่นาน ธาตุขันธ์น้ีก็จะดับไปตามเหตุปัจจัยในตัวมันเอง
ถ้าเป็นเพียงอย่างน้ี ท�ำไมตัวเองจึงได้มาหลงติดกับวัตถุสมบัติ
เหลา่ น้ี วตั ถธุ าตทุ งั้ หลายนเ้ี ปน็ ของประจำ� โลก ไมม่ ใี ครมายดึ เอา
เปน็ ของของตวั เองไดเ้ ลย ตวั เองกเ็ ปน็ สตั วโ์ ลก เพยี งมาอาศยั กนิ
วตั ถธุ าตุของโลกเทา่ น้ัน โลกนมี้ ีความเป็นอยู่อย่างน้ี และจะอยู่
อยา่ งนต้ี ่อไปในอนาคตไมม่ ที ส่ี นิ้ สุดลงได้ ถา้ หากเรามาเกดิ ใหม่
อกี กจ็ ะมาหากินอยู่ในโลกน้อี กี จะไม่มีที่ส้นิ สุดได้เลย
ฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีสติปัญญาที่ดี จะไม่มี
อปุ สรรคในการปฏบิ ตั แิ ตอ่ ยา่ งใด จะภาวนาปฏบิ ตั อิ ยใู่ นทใ่ี ดกไ็ ด้
๘๒ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
ไม่ต้องเลือกกาลสถานที่แต่อย่างใด แม้แต่ท�ำงานก็ปฏิบัติได้
ถ้าเรามีสติปัญญาดี มองดูในส่ิงใดก็ท�ำความเข้าใจอยู่ว่าสิ่งน้ัน
เป็นของเกิดข้นึ และจะดบั ไปในไม่ช้า หรอื ใช้ปญั ญาพิจารณาให้
รู้เห็นว่าของทุกอย่างในโลกนี้มีแต่ส่ิงตกอยู่ในอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา ดว้ ยกนั ท้ังนั้น ถ้าพิจารณาในลักษณะนอี้ ยู่ ให้ถือวา่ เรา
ใช้ปัญญาพิจารณาถูกทางแล้ว อย่าไปสงสัยว่าตัวเราปฏิบัติผิด
แตอ่ ยา่ งใด ถา้ พจิ ารณาในสงิ่ ใดใหเ้ ปน็ ไปในไตรลกั ษณอ์ ยู่ นน่ั คอื
ความถกู ตอ้ งในการใชป้ ญั ญาพจิ ารณาแลว้ เปน็ แนวทางการปฏบิ ตั ิ
อยา่ งถูกตอ้ งทแ่ี ท้จรงิ ขา้ พเจา้ เองกไ็ ด้รับผลของการปฏบิ ตั โิ ดย
วธิ ีน้ีมาแล้ว จงึ ไดช้ แี้ นะในวิธีนี้แก่พวกเราทง้ั หลายให้พวกเราได้
น�ำไปปฏบิ ัตติ อ่ ไป ไมใ่ ชว่ า่ จะมานกึ คำ� บรกิ รรมทำ� สมาธแิ ตเ่ พียง
อยา่ งเดยี ว แตก่ ไ็ มล่ ะสมาธิ เมอ่ื มเี วลาวา่ งกต็ อ้ งทำ� ใจพกั ผอ่ นใน
สมาธิไปบ้างตามกาลเวลาน้ันๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วต้องใช้ปัญญา
พจิ ารณาในสง่ิ ทเี่ กดิ ดบั อยเู่ สมอ อบุ ายทง้ั หลายทจี่ ะนำ� มาประกอบ
กบั ปญั ญานนั้ ตอ้ งเปน็ อบุ ายในเหตผุ ลของตวั เอง ถา้ ฝกึ ตวั เองได้
อยา่ งนจี้ งึ เปน็ ผไู้ มจ่ นมมุ เมอื่ มปี ญั หาอะไรเกดิ ขน้ึ ตอ้ งใชป้ ญั ญานี้
แกป้ ญั หาไดด้ ว้ ยตนเอง ตอ้ งฝกึ ปญั ญาใหม้ คี วามฉลาดรอบรดู้ ว้ ย
ตัวเอง จึงจะแก้ปัญหาได้ทันต่อเหตุการณ์ จึงเรียกได้ว่าตนแล
ใจเปล่ียนไปในทางบวช ๘๓
เปน็ ทพี่ ึ่งของตนโดยแท้
อบุ ายท่ีข้าพเจา้ น�ำมาประกอบปญั ญานน้ั เอาวัตถสุ มบัติ
ของตัวเราเองมาเป็นหลกั ยืน เพราะวัตถุสมบัตเิ ปน็ ธาตทุ ่หี ยาบ
และเป็นวตั ถธุ าตุทเ่ี กิดมาภายหลงั เมอื่ ปัญญาเรายังหยาบกเ็ อา
สงิ่ ท่หี ยาบๆ พจิ ารณาไปก่อน จนให้เกดิ ความเคยชิน และทำ� ให้
เกิดความแยบคายภายในใจได้ แล้วน้อมเอาวัตถุธาตุภายนอก
เขา้ มาประกอบกนั กบั ธาตภุ ายในคอื ธาตสุ ี่ มธี าตดุ นิ ธาตนุ ำ้� ธาตลุ ม
ธาตุไฟ พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงเหมือนกับธาตุภายนอก
ให้รู้เห็นเป็นสามัญลักษณะธาตุ ให้รู้เห็นธาตุภายในและธาตุ
ภายนอกอยใู่ นสภาพเดยี วกนั คอื อนจิ จงั ความไมเ่ ทยี่ ง ถา้ ยดึ ถอื
วา่ เปน็ ของของเราเมอื่ ไร ใจจะเกดิ ความทกุ ขข์ น้ึ มาในสงิ่ เหลา่ นนั้
จะอยใู่ นทไ่ี หนแหง่ ใดกใ็ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาในวตั ถสุ มบตั แิ ละธาตุ
ท้ังส่ีให้เป็นไปตามไตรลักษณ์ได้ เพราะเป็นรูปธรรมท่ีมองเห็น
ดว้ ยตาเนอ้ื อยา่ งหยาบ การใชป้ ญั ญาพจิ ารณาเปน็ อบุ ายใหร้ เู้ หน็
เป็นตาภายใน เรยี กว่าตาใจนั่นเอง
ถ้าใจเรามีปัญญารอบรู้ตามความเปน็ จรงิ เมือ่ ไร ใจยอ่ มมี
ความฉลาดรอบรู้มากข้ึน ไม่ต้องให้คนอ่ืนตัดสินให้ ตัวเราเอง
ตัดสินความผิดถูกของตัวเองได้ จะไปฟังค�ำตัดสินของคนอ่ืน
๘๔ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ทำ� ไม สว่ นใหญผ่ ู้ปฏบิ ตั ชิ อบไปใหค้ นอื่นตัดสนิ ให้ ถ้าผตู้ ดั สนิ มี
ความรคู้ วามเขา้ ใจดพี อกต็ ดั สนิ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง สว่ นมากจะตดั สนิ
กนั ไปตามตำ� รา คดิ วา่ ตอ้ งเปน็ อยา่ งนนั้ เปน็ อยา่ งนไี้ ป จะไมถ่ กู กบั
ความหมายของผู้ปฏิบัติแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะเข้าใจกันไป
ตามตำ� ราวา่ ธรรมหมวดนั้นกร็ ู้ ธรรมหมวดน้กี ็เขา้ ใจ ในบางคร้ัง
การเกิดข้ึนจากการปฏิบัติจะไม่เป็นไปตามความรู้ในต�ำราเลย
เพราะความรู้ในต�ำราเพียงจ�ำเอาชื่อของธรรมมารู้เท่าน้ัน เมื่อ
ตัวธรรมเกิดขึ้น เราจะไม่รู้เลยว่านี้คืออะไร เรียกว่ารู้แต่ไม่เห็น
หรอื เหน็ อยแู่ ต่ไม่รู้
ฉะน้ัน ต้องฝึกรู้ฝึกเห็นให้เป็นไปพร้อมกัน รู้ในธรรมใด
ต้องเห็นในธรรมน้ัน เหน็ ในธรรมใดตอ้ งรู้ในธรรมนนั้ จงึ เรยี กได้
ว่าร้จู รงิ เหน็ จริงได้อยา่ งถกู ต้อง ถา้ รไู้ ม่ไดผ้ า่ นจากความเห็นมา
ความรู้น้นั อาจร้ผู ิดไปได้ เห็นในส่งิ ใดมา ถา้ ไม่รู้กอ็ าจเหน็ ผดิ ได้
เช่นกัน ฉะน้ัน ความรู้และความเห็นต้องมีความสัมพันธ์กัน
เน่ืองถึงกัน จึงเป็นญาณทัสสนะ รู้แล้วต้องเห็น ทัสสนญาณ
เห็นแล้วต้องรู้ ถ้าผู้ปฏิบัติได้รับผลจากการปฏิบัติมาอย่างนี้
พุทโธ เริม่ ก่อตัวขึน้ แล้ว
ใจหลงตดิ อยู่กบั ตน้ มะมว่ ง
ในช่วงท่ีข้าพเจ้าใช้ปัญญาพิจารณาในสมบัติอย่างอ่ืน
มาแล้ว ใจได้ละถอนปล่อยวางในสมบัติทุกอย่างมาแล้ว แต่ใน
ความรู้สึกในส่วนลึกของใจแล้ว เหมือนมีอะไรสักอย่างหน่ึงมา
ขัดขวาง มาใช้ปัญญาพิจารณาทบทวนหลายคร้ังก็ค้นหาไม่พบ
อยนู่ น่ั เอง ไมร่ วู้ า่ เปน็ สมบตั สิ ว่ นไหน ในวนั หนงึ่ ประมาณ ๔ โมงเยน็
ไดเ้ ดนิ ไปในสวน ไปเหน็ ตน้ มะมว่ งทไ่ี ดม้ าจากเพอ่ื นเกษตรอำ� เภอ
เปน็ มะมว่ งพนั ธด์ุ มี าก มคี วามหวงแหนเปน็ พเิ ศษ ไดป้ ลกู เรยี งกนั
ไว้ ๕ ต้น เพอ่ื เปน็ สายพันธ์ุต่อกง่ิ ปลูกให้มากขึน้ พอสายตาได้
มองเหน็ ต้นมะมว่ งสงู ประมาณศอกกวา่ เท่าน้ัน กเ็ กดิ ความรูส้ ึก
ขึ้นภายในใจขณะน้ัน ใจมีความดึงดูดกันกับต้นมะม่วงน้ัน
อย่างรุนแรงมาก ใจจึงเกิดความยินดีผูกพันกับต้นมะม่วงนั้น
๘๖ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ใจหลงติดอยู่กับตน้ มะม่วง ๘๗
อยา่ งเหนยี วแนน่ อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ทเี ดยี ว จงึ ไดร้ อ้ งตะโกนขน้ึ ดงั ๆ
ในใจว่า วัตถุสมบัติทั้งหลายของโลกได้มารวมตัวกันอยู่ใน
ต้นมะม่วงน้ี มีความรู้สึกภายในใจอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
จึงน่ังลงท�ำความเข้าใจกับตัวเองว่า ถ้าเราตายในขณะน้ี ใจจะ
ตอ้ งมาเกดิ เปน็ หนอนอยกู่ บั ตน้ มะมว่ งนแี้ นน่ อน ถา้ ใจไดต้ ดั ขาด
จากต้นมะม่วงน้ีได้เมอ่ื ไร กระแสใจทีห่ ่วงในสมบัติของโลกก็จะ
ขาดออกจากใจในขณะนี้อยา่ งแนน่ อน
จากนั้นก็นั่งใช้ปัญญาพิจารณาต้นมะม่วงนั้นให้ลงสู่
การเกิดดับ และลงสู่ไตรลักษณ์อย่างจริงจัง แล้วโอปนยิโก
น้อมเอาต้นมะม่วงน้ันเข้ามาหาตัวเอง ใช้ปัญญาพิจารณาใน
การเกิดดบั ของธาตสุ ี่ พจิ ารณาธาตสุ ่ีให้เปน็ ไปในอนจิ จงั ทกุ ขัง
อนตั ตา นอ้ มกนั ไปมาใหเ้ ปน็ สามญั ลกั ษณะธาตุ ตน้ มะมว่ งกเ็ ปน็
ธาตุ ธาตสุ เี่ รากเ็ ปน็ ทอี่ าศยั ของใจชวั่ ขณะ ตน้ มะมว่ งกเ็ กดิ ขน้ึ มา
อยไู่ ดช้ วั่ ขณะ ทงั้ ตน้ มะมว่ ง ทง้ั ธาตสุ ่ี อกี ไมน่ านกจ็ ะสลายทบั ถม
อยู่ในแผ่นดินน้ีแนน่ อน รา่ งกายน้ีเป็นของไมเ่ ท่ยี ง ต้นมะมว่ งก็
เป็นของไม่เที่ยง ใจมีความทุกข์ก็เพราะว่ามายึดติดอยู่กับต้น
มะมว่ งน้ี รา่ งกายคอื ธาตสุ น่ี กี้ เ็ ปน็ อนตั ตา ตน้ มะมว่ งกเ็ ปน็ อนตั ตา
เชน่ กนั ตน้ มะมว่ งกจ็ ะตายทบั ถมแผน่ ดินกลายเปน็ ดินไป จะไม่
๘๘ อัตโนประวัติ ภาค ๑
เป็นต้นมะม่วงขึ้นมาอีกแต่อย่างใด ท้ังธาตุสี่เรา ทั้งต้นมะม่วง
กต็ ้องผุพงั เนา่ เปือ่ ยกลายเป็นดนิ นท้ี งั้ หมด
เม่ือใช้ปัญญาพิจารณาอยู่อย่างนี้ซ้�ำๆ ซากๆ ใจก็เกิด
ความรู้เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาว่า ของทุกส่ิงย่อมเกิดข้ึน
เปน็ ธรรมดา และจะตอ้ งดบั ไปเปน็ ธรรมดา เมอ่ื มารจู้ รงิ เหน็ จรงิ
ด้วยปัญญาอันชอบแล้ว กระแสใจท่ีเคยยึดติดอยู่กับต้นมะม่วง
นั้นก็ได้ขาดกระเด็นออกจากใจในทันที ไม่มีใจและต้นมะม่วง
เชอื่ มโยงต่อกนั อกี เลย
จากนั้นก็นึกขึ้นได้อีกว่า ยังมีมะม่วงอีกต้นหนึ่งท่ีปลูกไว้
ในจดุ ทหี่ า่ งกนั เปน็ พนั ธท์ุ ดี่ ไี ดป้ ลกู เอาไวเ้ ปน็ พเิ ศษ จงึ ไดเ้ ดนิ ไปดู
พอสายตากระทบตน้ มะมว่ งเทา่ นน้ั ในความรสู้ กึ ทางใจมกี ระแส
ดึงดูดแรงมากกว่าต้นท่ีผ่านมา เหมือนกับว่าความเหนียวแน่น
ในระหว่างใจกับตันมะม่วงนั้นมีความยึดติดกันอย่างแนบแน่น
เลยทเี ดยี ว จากนนั้ กเ็ รม่ิ ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาเหมอื นทเี่ คยพจิ ารณา
มาแลว้ ในขณะนน้ั เวลาจวนค่�ำมืด พจิ ารณาเท่าไรก็ไม่ท�ำใหใ้ จ
เกดิ ความแยบคายและปลอ่ ยวางแตอ่ ยา่ งใด อบุ ายเคยพจิ ารณา
ได้ผลมาแลว้ แตบ่ ัดนไี้ มไ่ ด้ผลเลย จงึ กลบั ข้ึนที่บา้ นไปน่ังสมาธิ
พอใจตง้ั มน่ั ไดก้ ใ็ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาตอ่ ไป ใจกย็ งั มคี วามผกู พนั ยดึ ตดิ
ใจหลงตดิ อยู่กับต้นมะม่วง ๘๙
อยกู่ บั ตน้ มะมว่ งนน้ั อยา่ งเหนยี วหนบึ เลยทเี ดยี ว ไมม่ กี ารละถอน
ในตน้ มะมว่ งน้ันแต่อยา่ งใด
ต่อมาในวันทส่ี อง กใ็ ชป้ ัญญาพิจารณาในต้นมะมว่ งนีอ้ ีก
ใจก็ยังยึดติดอยู่กับต้นมะม่วงตามเดิม ในคืนท่ีสองนี้ ท�ำสมาธิ
ความตงั้ ใจมนั่ ไดแ้ ลว้ กใ็ ชป้ ญั ญาพิจารณาตอ่ ไป ในเมือ่ ใชป้ ญั ญา
พิจารณาไปนานๆ ก็เหนื่อยในการคิด จึงได้หยุดพักในสมาธิ
ไปดว้ ย ในเมือ่ ออกจากสมาธแิ ล้วก็ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาต่อไป ใน
หลักการที่ใช้พิจารณาก็เป็นอุบายเดียวกัน ในขณะนั้นได้ดูใจ
ตัวเองไปพรอ้ มๆ กนั ร้สู ึกว่ามีความละเอยี ดเป็นอย่างมาก และ
ปัญญาก็มีความละเอียดเช่นกัน ในขณะน้ันได้รู้เห็นการเกิดดับ
ของธาตุสี่ และรเู้ ห็นการเกิดดบั ของตน้ มะมว่ งไดอ้ ยา่ งชดั เจน
ในเวลาประมาณเที่ยงคืนเท่านั้น จิตก็ได้ตัดกระแสขาด
จากต้นมะม่วงปั๊บเดียวเท่านั้น ก็รู้ตัวเองได้ทันทีว่าอยู่ในฐานะ
อะไร ความเข้าใจในความเป็นจริงว่าสมบัติทุกสิ่งในโลกน้ีได้
ส้ินสุดกันเพียงเท่านี้ ไม่มีสมบัติอ่ืนใดท่ีจะให้เกิดความหลงว่า
เปน็ ของของเราอกี ตอ่ ไป ในอดตี ทผ่ี า่ นมา ใจเคยยดึ ตดิ ในสมบตั ิ
มาแล้ว และไดย้ ึดตดิ จนถงึ ปัจจบุ ัน ณ บัดนี้ ความยดึ ติดผูกพนั
ไดก้ ลายเปน็ ความฝนั ไปเสยี แล้ว นับแตบ่ ดั น้เี ปน็ ตน้ ไป ในค�ำวา่
๙๐ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
สมบตั ทิ ่ีจะเปน็ ของของเราจะไม่มีอีกต่อไป
ฉะนั้น การปฏิบัติในวิธีใช้ปัญญาพิจารณาประกอบกับ
การทำ� สมาธิตง้ั ใจมั่นนี้ จึงเป็นวธิ ีท่ีเหมาะสมที่สดุ ในยุคปัจจบุ นั
ใช้วิธีพิจารณาในเรื่องการเกิดดับในสรรพวัตถุธาตุทั้งหลาย ให้
เปน็ ไปในอนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ทง้ั ธาตภุ ายในและธาตภุ ายนอก
ใกล้ไกล หยาบละเอียด ทั้งสิ่งมีวิญญาณครอง และส่ิงที่ไม่มี
วญิ ญาณครอง ตอ้ งพจิ ารณาใหร้ เู้ ห็นในเหตุและปจั จยั ในสง่ิ น้นั
ให้ชัดเจน เพราะส่ิงเหล่านี้ไม่อยู่ในความบังคับบัญชาของเรา
อยู่แลว้ ไมว่ า่ ส่ิงทช่ี อบใจหรอื ไมช่ อบใจ ทุกอย่างจะต้องเป็นไป
ตามกฎเกณฑ์ของตัวมนั เอง
ในคืนนั้นใจได้รับผลจากการปฏิบัติตลอดคืน และรู้ชัด
ภายในใจว่า นับแตบ่ ดั นเ้ี ป็นต้นไป ไม่มีส่ิงใดในโลกนจี้ ะทำ� ให้ใจ
เกดิ ความโลภได้ เพราะกเิ ลสตวั โลภภายในใจไดถ้ กู ปญั ญาทำ� ลาย
ไปแล้ว จึงไม่มีตัวโลภและไม่มีส่ิงที่จะให้โลภอีกต่อไป ใจไม่มี
ภาระในวัตถุสมบัติท้ังหลายในโลกน้อี ีกต่อไป ใจไดป้ ล่อยวางใน
วัตถุสมบัติทั้งหลายได้อย่างสิ้นเชิง สมบัติที่มีอยู่ก็ตามหรือหา
มาเพิ่มก็ตาม เป็นเพยี งธาตุทอี่ าศัยในขณะทีย่ งั มชี ีวติ อยู่เทา่ น้นั
แม้ธาตุขันธ์ท่ีเคยเข้าใจผิดได้ยึดติดว่าเป็นตัวตนของเรา ก็เป็น