ใจหลงตดิ อยู่กับตน้ มะมว่ ง ๙๑
เพยี งพดู กนั ไปตามสมมตโิ ลกเทา่ นนั้ สว่ นความจรงิ ทเ่ี ปน็ อนตั ตา
ก็ยังเปน็ ความจรงิ ไมม่ ีการเปล่ยี นแปลงแต่อย่างใด จะสมมติว่า
เป็นสัตว์เปน็ บุคคลก็เปน็ ไดเ้ พียงสมมติเท่านน้ั
คำ� วา่ สกั กายทฏิ ฐิ ความเหน็ ในรปู กายคอื ธาตสุ ขี่ องตวั เอง
หรอื ธาตสุ ขี่ องคนอน่ื สตั วอ์ น่ื กร็ เู้ หน็ ไดช้ ดั วา่ ตอ้ งเปน็ ไปในอนตั ตา
ด้วยปัญญาอย่างชัดเจน การเกิดดับของธาตุก็ต้องเป็นไปตาม
เหตุปัจจัยในตัวมันเอง ไม่มีข้อบังคับใดห้ามไม่ให้แก่และห้าม
ไมใ่ ห้ตายไดเ้ ลย ค�ำวา่ ละสกั กายทิฏฐิ หมายถงึ ละความเห็นผิด
ภายในใจเอง แตก่ อ่ นใจมคี วามเหน็ วา่ รปู กายนเ้ี ปน็ ตวั เรา เมอ่ื มา
เขา้ ใจว่าเปน็ รูปธาตุทอี่ าศยั ช่วั คราวแลว้ อย่างน้ี มีความรเู้ หน็ ชดั
อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนว่าเพียงเป็นธาตุส่ี ไม่มีเราแฝงอยู่ในธาตุ
น้เี ลย ความยึดตดิ ผูกพันว่าเปน็ ตัวเรากห็ มดไป เปน็ เพียงใจกับ
รา่ งกายอาศยั กนั อยชู่ ว่ั ขณะ และมาเขา้ ใจในอายขุ ยั ของธาตสุ ว่ี า่
มันต้องเป็นไปตามหน้าท่ีของมัน จะไปบังคับบัญชาให้เป็นไป
ตามความต้องการนน้ั ไม่ได้ ใจกล็ ะจากความยดึ มัน่ ว่าธาตุสเ่ี ปน็
เรากเ็ ท่านนั้ เอง
วจิ ิกจิ ฉา ความสงสัยลงั เลในพระพุทธเจา้ ความลังเลใน
พระธรรม ความสงสัยในพระอริยสงฆ์ ความสงสัยในมรรคผล
๙๒ อัตโนประวัติ ภาค ๑
นพิ พาน ไดห้ มดไปจากใจ เพราะไดร้ เู้ หน็ ดว้ ยปญั ญาอนั แจม่ แจง้
แลว้ วา่ พระพทุ ธเจา้ มจี รงิ พระธรรมเมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามแลว้ ไดร้ บั ผลจรงิ
พระอรยิ สงฆส์ าวกของพระพทุ ธเจา้ เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมแลว้
บรรลธุ รรมเปน็ พระอรยิ เจา้ จรงิ ไมม่ คี วามลงั เลในกรรมดกี รรมชวั่
ผทู้ ำ� กรรมดยี อ่ มไดร้ บั ผลดจี รงิ ผทู้ ำ� กรรมชว่ั ยอ่ มไดร้ บั ผลชว่ั จรงิ
ไม่มีความลงั เลสงสยั เลยว่านรกมีจริง เปรตมีจรงิ อสูรกายมีจรงิ
ไมส่ งสยั เลยวา่ สวรรคม์ จี รงิ เทวดา อนิ ทรพ์ รหมมจี รงิ ไมม่ คี วามสงสยั
เลยวา่ ในชาตอิ ดตี มจี รงิ ในชาตอิ นาคตมจี รงิ ตายแลว้ เมอื่ อาสวกเิ ลส
มีอยู่ เกดิ ใหม่จรงิ ไม่มคี วามสงสัยเลยว่าภพภมู ติ ่างๆ ทีว่ ญิ ญาณ
ไปเกิดน้ันเปน็ สงิ่ ทม่ี จี รงิ ความเชอื่ ในพระพทุ ธเจ้า ความเชือ่ ใน
พระธรรม ความเชอ่ื ในพระอรยิ สงฆ์ ความเชอ่ื ในมรรคผลนพิ พาน
ความเชอื่ ว่านรกมี สวรรคม์ ี ความเช่ือวา่ เม่อื อาสวกเิ ลสยงั มีใน
ใจอยู่ ต้องมาเกิดใหม่แน่นอน ความสงสัยเหล่านี้จะไม่มีกับ
พระโสดาบนั
สีลัพพตปรามาส ความลูบคล�ำในศีลว่าขาดหรือไม่ขาด
มคี วามเศรา้ หมองหรอื ไมเ่ ศรา้ หมองอยา่ งไร ฉะนน้ั ผบู้ รรลธุ รรม
เป็นพระโสดาบัน จึงเป็นผู้มีศีลเกิดขึ้นจากธรรมโดยตรง ไม่ได้
ไปรบั เอาศลี จากพระ เรียกว่าศีลเกดิ ข้นึ เอง หรือจะมพี ธิ ีเกิดขนึ้
ใจหลงตดิ อยูก่ ับตน้ มะม่วง ๙๓
จะรบั ศลี จากพระกเ็ ปน็ เพยี งกริ ยิ าในการรบั ศลี เทา่ นนั้ ตวั อกริ ยิ า
อนั เปน็ ปกตศิ ลี กม็ อี ยเู่ ทา่ เดมิ ศลี จะมคี วามบรสิ ทุ ธอิ์ ยใู่ นตวั มนั เอง
ศลี นไี้ มม่ กี ารรกั ษา ไมม่ คี วามกงั วลวา่ ศลี จะขาดจะดา่ งพรอ้ ยแต่
อยา่ งใด นค้ี อื ศลี ทเ่ี ปน็ ผลสะทอ้ นออกมาจากธรรม เมอ่ื ใจมธี รรม
และธรรมฝังอยูใ่ นใจอยา่ งแนบแน่นแลว้ ผลคือความละอายใน
การทำ� ชว่ั พดู ชว่ั และคดิ ชวั่ มอี ยใู่ นใจ นีค้ ือศีลท่ีเกดิ จากธรรม
โดยตรง เป็นศีลท่ีไม่มีความหวั่นไหว เป็นศีลท่ีไม่มีความวิตก
กังวลในสงิ่ ใดๆ เพราะศลี ไดฝ้ ังลึกอยทู่ ่ีใจอย่างแนบแน่นแลว้
ฉะน้นั จึงเรยี กว่า อธศิ ีล เปน็ ศีลท่ยี ิ่ง อธิจติ เป็นจิตท่ีมี
ความแนว่ แนใ่ นธรรม ทงั้ ศลี ทงั้ ธรรมรวมอยทู่ ใี่ จอยา่ งสนทิ ทเี ดยี ว
อธปิ ญั ญา ปัญญาความรอบร้ใู นศลี ปัญญาความรอบรใู้ นธรรม
ปัญญาความรอบรใู้ นจติ กอ็ ย่ใู นที่แห่งเดยี วกนั เป็นศลี ทไ่ี มม่ ใี น
เจตนา สมมตวิ า่ เดนิ ไปเหยยี บสตั วต์ ายโดยไมร่ ไู้ มเ่ หน็ ศลี กไ็ มไ่ ด้
ขาดไปแต่อย่างใด ฉะน้ัน ภูมิธรรมนับจากพระโสดาบันข้ึนไป
จึงไม่มีในค�ำว่าศีลด่างพร้อย จึงเรียกว่าอุดมศีล เป็นศีลที่มี
ความอุดมสมบูรณ์อย่างเต็มท่ี ศีลน้ีจะมีเฉพาะพระอริยสงฆ์
เทา่ นน้ั เรยี กวา่ สมจุ เฉทวริ ตั ศิ ลี เปน็ ศลี ทตี่ ดั ขาดจากเจตนาและ
ไมเ่ จตนาโดยประการทงั้ ปวง เปน็ ศลี ทมี่ คี วามบรสิ ทุ ธอิ์ ยา่ งเตม็ ท่ี
๙๔ อัตโนประวัติ ภาค ๑
ไมม่ ีการลบู คลำ� แต่อยา่ งใด
แต่ก่อนมาข้าพเจ้าเคยได้อ่านต�ำราเรื่อง สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ในความหมายว่า
เปน็ อย่างไร จึงไม่มคี วามสนใจในเร่อื งนี้ เพราะถือวา่ เปน็ เรื่องที่
เกนิ ตวั ทจ่ี ะไดจ้ ะถงึ ใหเ้ ปน็ เรอ่ื งของพระอรยิ เจา้ จะรจู้ ะละกนั เอง
เท่านั้น เราเป็นปุถุชนไม่ต้องไปสนใจในเร่ืองน้ี เพราะการได้
บรรลธุ รรมเปน็ พระอรยิ เจา้ ถอื วา่ เปน็ เรอ่ื งใหญ่ ในชวี ติ เราคงเปน็
ไปไม่ได้ จะเกิดมาในโลกน้ีอีกสักร้อยชาติ ก็ไม่หวังบรรลุธรรม
เป็นพระอริยเจ้าแต่อย่างใด นับแต่ครั้งนั้นมาก็ลืมไปหมดแล้ว
แต่ในคืนวันน้ันเอง เมื่อจิตเข้าสู่กระแสธรรมได้แล้ว จึงรู้ว่า
สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี ัพพตปรามาส วา่ เป็นอยา่ งไร จะรู้และ
เข้าใจในคืนนั้นท้ังหมด
ในสมยั ครงั้ พทุ ธกาล ปถุ ชุ นทไี่ มเ่ คยบรรลธุ รรมมากอ่ น ใน
เมอ่ื ทา่ นไดบ้ รรลธุ รรมแลว้ ในขณะใด ทา่ นกร็ ตู้ วั เองในขณะนนั้ ทนั ที
คำ� วา่ ละกเิ ลสได้ ๓ อยา่ งคอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส
ทา่ นกร็ ใู้ นตวั ทา่ นเองวา่ ละอยา่ งไร ถงึ ไมร่ ทู้ างปรยิ ตั มิ ากไ็ มส่ ำ� คญั
ขอให้จติ บรรลธุ รรมไดเ้ ท่านนั้ การละในกิเลสสามตัวนนั้ มันจะ
ละโดยอัตโนมัติทันที ในสมัยคร้ังพุทธกาล ผู้ได้บรรลุธรรมใน
ใจหลงตดิ อยู่กับต้นมะม่วง ๙๕
สมัยนั้นจึงไม่มีปริยัติมาศึกษา ไม่รู้เรื่องการละกิเลสแต่อย่างใด
แตท่ า่ นเหลา่ นนั้ กย็ งั เปน็ พระอรยิ เจา้ ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ ไมม่ ใี ครมา
เป็นพยานหลกั ฐาน ไมม่ ใี ครมาพยากรณ์ใหแ้ ต่อย่างใด ในยุคน้ี
ผู้ที่ได้บรรลุธรรมในข้ันใด ก็จะเป็นในลักษณะเดียวกันกับครั้ง
พุทธกาล จะรู้ได้ด้วยตนเอง ที่เรียกว่าปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตัว
ไมต่ อ้ งมใี ครๆ มาตดั สนิ ชขี้ าดให้ แมพ้ ระพทุ ธเจา้ จะประทบั นงั่ อยู่
ในทน่ี นั้ กต็ าม จะไมก่ ลา่ วเรอ่ื งการไดบ้ รรลธุ รรมถวายพระพทุ ธเจา้
ให้ทรงรับทราบแต่อย่างใด ในคร้ังพุทธกาลจะต้องเป็นอย่างนี้
ในยุคนี้หากมีผู้ทีไ่ ดบ้ รรลธุ รรมขนั้ ใดขั้นหนง่ึ กเ็ ปน็ ในลกั ษณะน้ี
เชน่ กนั ไมจ่ ำ� เปน็ จะไปประกาศตวั ใหใ้ ครๆ ไดร้ บั รู้ นเ่ี ปน็ ประเพณี
ของพระสาวกเจ้าทงั้ หลาย ทง้ั ในอดตี กาลและยคุ ปจั จุบัน เรือ่ ง
ทั้งหมดนี้ข้าพเจา้ รู้ดีในคนื นนั้ ท้งั หมดอยา่ งชดั เจน
๙๖ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
มีนมิ ติ ชว่ ยเปน็ กำ� ลังใจ
ในคืนหนึ่ง หลังจากใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมในแง่
ตา่ งๆ แลว้ ก็ไดม้ าก�ำหนดจติ ใหล้ งสู่ความสงบ เพอื่ เป็นอุบายใน
การพักจติ ตอ่ ไป เมอ่ื จิตลงสู่ความสงบได้แลว้ ก็เกดิ ความสวา่ ง
ขน้ึ มาอยา่ งกวา้ งขวาง เปน็ ความสวา่ งทไี่ มม่ ขี อบเขต ไมม่ ปี ระมาณ
สว่างโล่งทวั่ ไปในโลกนี้ ในขณะนัน้ ก็ปรากฏเหน็ รถแกว้ คนั หน่งึ
ลอยลงมาจากที่ไกล แล้วก็ลอยตรงเข้ามาหาข้าพเจ้า รถนั้นได้
หยุดอย่บู นอากาศ หา่ งจากตวั ขา้ พเจา้ ประมาณ ๕ วา จึงมอง
เห็นรถแก้วนั้นได้อย่างชัดเจน ในตัวรถแก้วน้ันมีเครื่องประดับ
ด้วยแก้วนานาชนิด มีแสงสว่างแพรวพราวเต็มไปหมด มีรัศมี
ความสวา่ งแผอ่ อกไปรอบดา้ น ในรถแกว้ น้นั มธี นู ศร หอก ดาบ
และมอี าวธุ อย่างอน่ื อีกมากมาย
๙๘ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
ในรถแก้วน้ันมีพระราชาองค์หน่ึงนั่งอยู่ในรถแก้วน้ัน
เครอ่ื งประดบั ของพระราชาล้วนแลว้ แต่เพชรนลิ จนิ ดา ประดบั
เครือ่ งทรงเจดิ จา้ แพรวพราว ระยบิ ระยับอยู่รอบองค์ จากน้ันได้
ประกาศลงมาวา่ น่ีทูล ขา้ พเจ้านีเ้ ปน็ พระยาธรรมมกิ ราช มาใน
คร้ังนี้เพ่ือจะเตือนให้รู้ว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปโลกมนุษย์เร่ิม
หมุนไปสู่ความหายนะ มนุษย์ทั้งหลายในโลกจะเกิดโกลาหล
ฆา่ กนั ตกี นั รบลา้ งทำ� ลายกนั ดว้ ยอาวุธตา่ งๆ จะหาผู้มศี ลี ธรรม
ประจำ� ใจนัน้ มีนอ้ ย ทั้งพระสงฆผ์ ู้ทรงศีลอันดีงาม ผู้ทรงธรรมที่
เป็นสาระแกน่ สารนัน้ กจ็ ะมีน้อย ฉะน้นั ให้ทลู ออกบวชเสียแต่
ในชว่ งนี้ เพ่อื จะไดเ้ ป็นกำ� ลงั ใหแ้ กพ่ ระพุทธศาสนาสบื ต่อไป จะ
ได้สั่งสอนประชาชนให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ให้เขารู้การบ�ำเพ็ญ
ทาน ศีล ภาวนา ต่อไป ในยคุ ต่อไปจะมภี ัยเกดิ ขน้ึ ในโลกมนุษย์
นม้ี ากมาย มอี คั คภี ยั อทุ กภยั วาตภยั ปฐวภี ยั และภยั ในสงคราม
กจ็ ะเกดิ ขน้ึ ทกุ หนแหง่ เมอ่ื สงครามมคี วามรนุ แรงอยา่ งเตม็ ทแ่ี ลว้
มนุษย์เองจะห้ามกันไม่ได้เลย เรานี้แหละจะมาเป็นผู้ห้ามใน
สงครามน้ี
ขา้ พเจา้ ถามทา่ นไปวา่ จะหา้ มสงครามนด้ี ว้ ยวธิ ใี ด พระยา
ธรรมมิกราชได้จับไม้กระบองขนึ้ มาใหด้ ู แล้วพูดว่า นีไ่ ง เราจะ
มีนิมิตช่วยเปน็ ก�ำลังใจ ๙๙
เอากระบองทางต้นชี้ลงไปให้มันตายท้ังหมด แล้วจะเอาปลาย
กระบองนช้ี ล้ี งไปใหม้ นั ฟน้ื คนื มา เขาจะมคี วามกลวั ตอ่ เรา แลว้ เรา
ก็จะบอกให้เขาหยุดท�ำสงครามกัน ฉะนัน้ ขอใหท้ ูลบวชเสยี นะ
เพราะถึงเวลาของเราแล้วที่จะได้ช่วยประชาชนได้เข้ามานับถือ
ในพระพุทธศาสนา และความตั้งใจไว้ในชาติน้ีที่จะได้เข้าถึงซึ่ง
พระนพิ พาน กจ็ ะได้สมความตง้ั ใจในชาตนิ ี้
เมอ่ื พระยาธรรมมกิ ราชสง่ั เสรจ็ แลว้ รถแกว้ กค็ อ่ ยเลอ่ื นลอย
ขึ้นสู่อากาศ ลอยสูงขึ้นๆ จนสุดสายตา มีพวกหมู่เทพเทวดา
ตามเสด็จพระยาธรรมมิกราชเป็นจ�ำนวนมากทีเดียว จากน้ัน
ความสว่างก็ค่อยๆ เลือนลางไป ในขณะน้ันก็มีลมพัดมาจาก
ทศิ ตะวนั ออก มคี วามรนุ แรงดงั สนน่ั หวน่ั ไหว เหมอื นกบั วา่ ตน้ ไม้
ได้โค่นล้มกันไปเป็นทิวแถว แล้วพัดตรงเข้ามาหาบ้านข้าพเจ้า
แล้วมีชาย ๖ คนว่งิ มากับลมนั้น ผทู้ ว่ี ง่ิ ออกหน้ามรี ่างกายก�ำยำ�
ด�ำเหมือนถา่ นไฟ อกี ๕ คนกว็ ง่ิ ตามกนั มา จากน้นั ลมกช็ นบ้าน
อย่างจงั เหมือนกับบ้านจะพงั ทลายโค่นลม้ ไปในขณะนัน้ ท�ำให้
คนรอบข้างเกิดความสะดุ้งกลัว มีความตกใจร้องโวยวายข้ึนว่า
นี่อะไรเกดิ ข้ึน มลี มพัดบา้ นเหมอื นกับบ้านจะพงั ไป ในขณะน้นั
ใจก็ได้ถอนออกจากสมาธิมา จึงได้บอกกับคนรอบข้างให้รู้ใน
๑๐๐ อัตโนประวัติ ภาค ๑
เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ แต่ก็ไมเ่ ลา่ ให้ฟงั ทัง้ หมด เพราะเขามคี วาม
ต่อต้านในการออกบวชของข้าพเจ้าอยู่แล้ว ส่วนข้าพเจ้าเองได้
ตัดสินใจแล้ววา่ ในชาตินีต้ อ้ งบวชอยา่ งแนน่ อน
นิมิตเหน็ พอ่ ตู้อ้วน
กอ่ นออกบวช มีเรอื่ งหนึง่ ทจ่ี ะตอ้ งพดู ถึง นนั่ คือเรือ่ งของ
พ่อตู้อ้วน พ่อตู้อ้วนน้ีเดิมอยู่บ้านค้อนารายณ์ เป็นผู้สนใจใน
การภาวนาปฏบิ ัตมิ าแลว้ ประมาณ ๓๐ ปี มกี ารสมาทานรกั ษา
ศลี ๕ ตลอดชีวิต และมกี ารรักษาศีลอโุ บสถทกุ วันพระมไิ ด้ขาด
ในช่วงนี้พ่อตู้อ้วนได้ย้ายมาอยู่บ้านโนนสมบูรณ์ มีบ้านอยู่ตรง
กนั ขา้ มกบั บา้ นของขา้ พเจา้ ทา่ นใหค้ วามรกั ในตวั ขา้ พเจา้ เหมอื น
กบั ลูกคนหนึ่ง ตอ่ มาพอ่ ตอู้ ้วนไดไ้ ปสร้างกฏุ ทิ ีว่ ดั สองหลัง แตล่ ะ
หลงั หา่ งกัน ๒๐ เมตร มโี ครงการทจ่ี ะสรา้ งห้องนำ้� ห้องส้วมไว้
ในระหวา่ งกลางของกฏุ ทิ ง้ั สองเพอ่ื ใหใ้ ชง้ านรว่ มกนั ในเมอื่ สรา้ ง
กฏุ เิ สรจ็ เรยี บร้อยแลว้ คดิ วา่ จะสรา้ งหอ้ งน้�ำห้องส้วมตอ่ ไป ใน
ขณะนั้นพ่อตู้ได้เกิดการเจ็บป่วยข้ึนมาเสียก่อน ลูกหลานจึงน�ำ
๑๐๒ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
พอ่ ตู้อ้วนไปรกั ษาตวั ทีบ่ า้ นคอ้ นารายณ์ อ�ำเภอบ้านผือ อาการ
เจบ็ ปว่ ยกไ็ ม่ดขี ึน้ แต่อย่างใด ในทสี่ ุดพ่อตู้อ้วนกไ็ ดเ้ สียชีวิตลงใน
ทา่ มกลางหมู่ญาตทิ งั้ หลาย
เมื่อข้าพเจ้าทราบข่าวก็ได้ไปประชุมเพลิงของพ่อตู้อ้วน
ในครัง้ นดี้ ้วย และไดใ้ ชป้ ญั ญาพิจารณาความตายอยตู่ ลอดเวลา
ว่าอนาคตต่อไปเราก็จะตายเหมือนพ่อตู้อ้วนนี้อย่างแน่นอน
จะหนีความตายน้ีไปไม่ได้เลย พ่อตู้อ้วนมีอายุ ๗๐ กว่าปี มี
ร่างกายแข็งแรงดี มคี วามขยนั ในการท�ำงาน และมคี วามขยนั ใน
การภาวนาปฏิบัติอย่างไม่ท้อถอย บัดน้ีพ่อตู้อ้วนได้ตายจาก
ลูกหลานไปแล้ว ส่วนตัวเรามีอายุยังน้อยก็มีสิทธิ์ที่จะตายได้
เชน่ กัน เหมอื นกับมะมว่ งลกู เล็กๆ ก็ยังหลน่ ได้ ตวั เรากเ็ ชน่ กัน
อาจจะตายภายในไม่ก่ีวันน้ีก็เป็นได้ หลายคนตายไปเม่ืออายุ
ยังน้อยก็มีมากมาย เราจะมีอายุอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไร เราไม่
สามารถคาดการณใ์ นความตายนไ้ี ด้ ในวนั นนั้ คดิ พจิ ารณานกึ ถงึ
ความตายอยตู่ ลอดเวลา
ในขณะทรี่ ดนำ�้ ศพพอ่ ตอู้ ว้ นอยนู่ น้ั เหน็ เครอื่ งนงุ่ หม่ ทตี่ ดิ ตวั
อยวู่ ่าใส่เสื้อผ้าสีอะไรชดุ ไหน จำ� ได้ทั้งหมด เมอื่ จากงานศพแลว้
กก็ ลบั บา้ น การไปในงานศพพอ่ ตอู้ ว้ นในครง้ั นี้ ไมค่ ดิ วา่ พอ่ ตอู้ ว้ น
นมิ ติ เหน็ พ่อต้อู ้วน ๑๐๓
๑๐๔ อตั โนประวัติ ภาค ๑
จะมจี ิตตกต่�ำ มคี วามมั่นใจว่าพอ่ ตู้อว้ นต้องได้ไปเกิดในภพทส่ี ูง
อยา่ งแนน่ อน เพราะทำ� ความดีเอาไวม้ าก การให้ทานกม็ ไิ ดข้ าด
การรักษาศีล ๕ ศีล ๘ การไหว้พระภาวนาปฏิบัติก็ได้บ�ำเพ็ญ
ตอ่ เนอ่ื งกนั อยู่เสมอ มคี วามมนั่ ใจว่าตอ้ งไปสู่สวรรค์ หรือไปชนั้
พรหมโลกอยา่ งแนน่ อน
ในคนื นนั้ ขา้ พเจา้ กท็ ำ� สมาธิ มจี ติ อนั สงบตามปกติ ในขณะนน้ั
เกดิ นมิ ติ ปรากฏเหน็ พอ่ ตอู้ ว้ นเดนิ เขา้ มาหา จงึ คดิ อยวู่ า่ พอ่ ตอู้ ว้ น
จะมาในท่ีน้ีท�ำไม การบ�ำเพ็ญกุศลก็ได้บ�ำเพ็ญอย่างเต็มที่แล้ว
ทำ� ไมจงึ ไมไ่ ปสสู่ คุ ตเิ ลา่ เมอื่ พอ่ ตอู้ ว้ นเดนิ เขา้ มาใกลๆ้ คดิ อยากจะ
ถามว่า พอ่ ตู้ ท�ำไมจงึ ไม่ไปสวรรค์ มาในทีน่ ท่ี ำ� ไมกัน ในขณะนน้ั
พอ่ ต้อู ว้ นได้เขา้ มาโอบกอดขา้ งหลังของขา้ พเจ้าเอาไว้ เม่อื แขน
ของพ่อตอู้ ้วนไดส้ ัมผสั ร่างกายของขา้ พเจ้า มคี วามเย็นเยอื กไป
ท่ัวรา่ งกาย กไ็ ดบ้ อกกับพ่อตู้อว้ นวา่ พ่อตอู้ ้วนอย่ากอดผมแนน่
ไปนกั เพราะผมเยน็ ใหพ้ อ่ ตกู้ อดเบาๆ หลวมตวั ไวห้ นอ่ ย พอ่ ตอู้ ว้ น
กก็ อดไวเ้ พยี งเบาๆ ขา้ พเจา้ กไ็ ดถ้ ามพอ่ ตอู้ ว้ นวา่ พอ่ ตมู้ าทน่ี ท่ี ำ� ไม
บญุ กศุ ลกไ็ ดท้ ำ� มามากแล้ว ทำ� ไมจึงไมไ่ ปสวรรค์ พ่อตอู้ ้วนก็ได้
พดู กระซิบใสห่ ขู องข้าพเจา้ เบาๆ วา่ มคี วามเปน็ หว่ งในหอ้ งสว้ ม
ที่ยังไม่ได้สร้าง ข้าพเจ้าก็ถามต่อไปว่า พ่อตู้จะสร้างห้องส้วม
นมิ ิตเหน็ พอ่ ตู้อ้วน ๑๐๕
ท่ีไหน พ่อต้ตู อบว่า จะสร้างในระหว่างกลางของกุฏิสองหลังที่
สรา้ งไวแ้ ลว้ ขา้ พเจา้ ไดบ้ อกพอ่ ตอู้ ว้ นไปวา่ ไมย่ ากหรอกพอ่ ตู้ ใน
วนั พรุ่งนผ้ี มจะไปบอกพอ่ แสนและญาตทิ ่ีบา้ นค้อทุกๆ คนให้พา
กันมาสร้างห้องส้วมหลังนี้ให้เสร็จเร็วที่สุด ขอให้พ่อตู้คอยรับ
อนุโมทนาในการสร้างหอ้ งส้วมนก้ี แ็ ลว้ กนั พ่อตู้อว้ นรบั ว่า เออ
ใหบ้ อกเขารีบทำ� เรว็ ๆ ด้วยนะ พอ่ ตู้จะคอยอย่ใู นบรเิ วณนี้แหละ
จากนน้ั พอ่ ตอู้ ว้ นกไ็ ดว้ างมอื จากขา้ พเจา้ ออกไป จติ กไ็ ดถ้ อนออก
จากสมาธมิ าในขณะน้นั
จากน้ันข้าพเจ้าก็ได้ใช้ปัญญาพิจารณาดูในเร่ืองนิมิตนี้
อยา่ งละเอยี ด กม็ คี วามเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งชดั เจน การพจิ ารณาอยา่ งไร
นนั้ จะอธบิ ายใหฟ้ งั ในชว่ งหลงั ในวนั รงุ่ เชา้ ขา้ พเจา้ กร็ บี ไปเลา่ ให้
พอ่ แสนกบั แมแ่ สนฟงั เรอื่ งพอ่ ตไู้ ดม้ าบอกเรอื่ งการสรา้ งหอ้ งสว้ ม
นท้ี ง้ั หมด พอ่ แสนแมแ่ สนไดร้ บั ฟงั แลว้ พากนั ตกตะลงึ แลว้ พดู วา่
เคยได้ยินพ่อตู้พูดว่าจะสร้างห้องส้วมนี้เหมือนกัน นี่ถ้าทูลไม่
มาบอกเล่าในเร่ืองนี้ให้ฟังก็คงลืมไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้รู้
มากอ่ น เพง่ิ ไดร้ ้จู ากพอ่ ตใู้ นคนื นเ้ี อง แล้วกบ็ อกใหพ้ อ่ แสนรบี ไป
บ้านค้อบอกญาติๆ ทางบ้านทุกคนให้พากันมาสร้างห้องส้วม
ใหเ้ สร็จ อย่างช้าไมใ่ หเ้ กนิ สองวนั นะ ในขณะนพ้ี อ่ ตู้อว้ นยังคอย
๑๐๖ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
รับบุญกุศลในการสร้างห้องส้วมน้ีอยู่ในบริเวณนี้ ให้รีบสร้าง
รบี ถวาย ให้พ่อตู้ไดอ้ นุโมทนา แล้วพ่อตูจ้ ะไดไ้ ปสวรรค์โดยเรว็
ไม่เช่นนั้นพ่อตจู้ ะได้อยเู่ ปน็ เปรตตอ่ ไปอีกนานทีเดยี ว
เมื่อพ่อแสนได้ฟังแล้ว ก็รีบแต่งตัวข่ีจักรยานไปอย่าง
รบี รอ้ นทีเดยี ว พอ่ แสนกไ็ ดไ้ ปเล่าเรอ่ื งนีใ้ หญ้ าติๆ ฟงั พวกญาติ
ทง้ั หลายกร็ บี เตรยี มวสั ดใุ สร่ ถ ๑๐ ลอ้ และคนมาดว้ ยกนั ประมาณ
๓๐ คน เมือ่ ไปถึงวัด ข้าพเจา้ กไ็ ด้ชจี้ ุดทีจ่ ะสร้างหอ้ งสว้ มให้วา่
ต้องสรา้ งตรงนี้ ต่างคนกพ็ ากันขดุ หลมุ ส้วมพรอ้ มทั้งใส่ท่อ กลมุ่
ทท่ี ำ� ไมก้ ช็ ว่ ยกนั ทำ� อยา่ งเตม็ ท่ี สว้ มหลงั นนั้ กเ็ สรจ็ ในวนั นน้ั ทง้ั หมด
วนั พรงุ่ นเี้ ปน็ วนั พระ ๑๕ คำ่� ลกู หลานทกุ คนกพ็ รอ้ มกนั มาทำ� บญุ
อทุ ิศท้งั กฏุ แิ ละหอ้ งส้วมใหแ้ กพ่ อ่ ตูอ้ ้วน เปน็ เสรจ็ พธิ ี
ในคนื นน้ั ขา้ พเจา้ กภ็ าวนาทำ� สมาธติ ามปกติ และไดด้ ำ� รวิ า่
พ่อตู้อ้วนได้รับกองบุญท่ีลูกหลานพากันอุทิศให้หรือเปล่าหนอ
เม่อื จติ ลงสคู่ วามสงบในสมาธิไดท้ แ่ี ล้ว กเ็ หน็ พ่อตูเ้ ดินเข้ามาหา
มีหน้าย้ิมแย้มแจ่มใสสดช่ืนดีมาก มีผิวพรรณผ่องใสทั้งใบหน้า
และร่างกาย ผ้าท่ีนุ่งสวมใส่มีความสวยงามดี เม่ือเดินมาใกล้
ขา้ พเจา้ แลว้ พอ่ ตยู้ นื อยไู่ ดพ้ ดู ขน้ึ วา่ นที่ ลู เอย บดั นพ้ี อ่ ตหู้ มดหว่ ง
แล้วนะ ถ้าทูลไม่ช่วยพ่อตู้ในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าพ่อตู้จะอยู่เป็นเปรต
นิมติ เหน็ พ่อตอู้ ว้ น ๑๐๗
ตอ่ ไปอกี นานเทา่ ไร พอ่ ตจู้ งึ ขอขอบคณุ ทท่ี ลู ไดช้ ว่ ยเหลอื พอ่ ตใู้ น
คร้ังนี้ ไม่เช่นน้ันพ่อตู้จะได้อยู่เป็นเปรต อยู่ที่จะสร้างห้องส้วม
จะมีความทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกน้ีอีกส้ินกาลนานทีเดียว
ขอใหท้ ูลไดบ้ ำ� เพญ็ บญุ ใหม้ ากๆ การรกั ษาศลี ภาวนาอยา่ ใหข้ าด
และจงบอกเร่อื งของพอ่ ตู้ให้คนอ่ืนฟงั ด้วยนะ อย่าพากันตดิ ยึด
อยกู่ ับสิ่งอะไรเลย เมอื่ ใจยดึ ติดอย่กู ับของสงิ่ ใด ใจกจ็ ะมดื ยดึ อยู่
กับสิ่งน้ันๆ จะไม่ได้สู่สวรรค์ได้เลย จากน้ันพ่อตู้อ้วนได้พูดค�ำ
สุดท้ายว่า บดั น้ีพอ่ ตู้จะไดข้ ึ้นไปอยสู่ วรรคแ์ ล้วนะ วา่ แล้วพอ่ ต้กู ็
ลอยขน้ึ ไปสอู่ ากาศ มองดพู ่อตู้ลอยไปจนสุดสายตา จากนน้ั จิต
กไ็ ดถ้ อนออกจากสมาธิ แลว้ ไดพ้ จิ ารณาเรอ่ื งความผกู พนั ไดอ้ ยา่ ง
ชัดเจน
เมือ่ ข้าพเจ้าได้พิจารณาเรอ่ื งของพ่อตู้อ้วนไดแ้ ล้ว เหน็ วา่
เปน็ อบุ ายสอนใจคนทงั้ หลายใหเ้ กดิ ความสำ� นกึ ในโทษการยดึ ตดิ
นีไ้ ด้ ข้าพเจา้ จะอธิบายในเร่ืองการยึดติดในวตั ถุสมบัติท้งั หลาย
ให้ทราบดังนี้ ความยึดตดิ ทางใจนเี้ ป็นความยึดตดิ ท่ีเหนยี วแนน่
มาก จงึ ยากทจี่ ะรตู้ วั กำ� ลงั ความหนกั หนว่ งจะเปน็ ลกู ถว่ งภายใน
ใจอย่างมืดมิดทีเดียว บุญกุศลอ่ืนใดท่ีได้ท�ำมาแล้ว ถึงจะหมด
เงินอย่างมากมายมหาศาลมาแลว้ กต็ าม ในช่วงสดุ ท้ายของชวี ิต
๑๐๘ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
กอ่ นจิตทจี่ ะไดอ้ อกจากร่างกายนีไ้ ป จงึ เป็นโค้งสุดทา้ ยของชวี ติ
ที่จะเบนเข็มทิศชี้ทางให้ใจได้เปลี่ยนไป ถ้าใจได้ติดอยู่กับของ
ส่ิงใด ใจก็จะไม่ยอมถอนตัว ถึงบุญกุศลที่ได้สร้างมาแล้วเท่าไร
ไมส่ ำ� คญั บญุ กศุ ลนนั้ จะผลกั ดนั ใหจ้ ติ ไดห้ ลดุ ออกจากการยดึ ตดิ
นนั้ ไมไ่ ดเ้ ลย บญุ กศุ ลนนั้ ไมไ่ ดห้ ายไปไหน ยงั มแี ฝงอยกู่ บั ใจนน้ั เอง
แต่ก�ำลังความยึดติดมีมากกว่า จึงท�ำให้จิตเกิดความลุ่มหลงใน
การยดึ ติดในส่งิ นัน้ จนลืมตัว ใจจะยดึ ติดนานเท่าไรน้ันข้นึ อยู่กบั
เหตุการณห์ ลายอย่าง ใจบางคนกก็ ลับใจได้ช้า ใจบางคนกก็ ลบั
ใจได้เร็ว ในเหตุที่จะให้ใจถอนตัวออกจากความยึดมั่นต้องได้
พูดกันยาวมาก เพราะเหตุปัจจัยในการยึดม่ันนั้นไม่เหมือนกัน
ความหลงตวั การลมื ตวั กม็ คี วามตนื้ ลกึ หนาบางตา่ งกนั ไป เพราะ
นสิ ัยของคนมคี วามแตกต่างกัน
ฉะนน้ั การยดึ ติดจงึ มอี ำ� นาจเหนอื บุญกศุ ลทัง้ หลาย ดงั ท่ี
พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั กบั พระอานนทว์ า่ ดกู อ่ น อานนท์ บคุ คลใดใน
โลกนท้ี จ่ี ะไปสสู่ คุ ตสิ วรรคม์ นี อ้ ยเทา่ กนั กบั เขาโคเทา่ นน้ั บคุ คลที่
ไมไ่ ดไ้ ปเทยี บกนั ไดก้ บั ขนโคทง้ั ตวั ดซู วิ า่ โคตวั หนงึ่ มเี ขามขี นมาก
ต่างกันเลยทีเดียว นี้ก็เพราะความยึดติดของใจท่ีฝังแน่นอยู่กับ
สิ่งท่ีเรารัก เพราะส่ิงที่เรายึดติดน้ันเป็นภพท่ีจะน�ำไปสู่ชาติคือ
นิมิตเห็นพ่อตูอ้ ว้ น ๑๐๙
ความเกิดน้นั เอง ดังค�ำของนกั ปราชญพ์ ดู เอาไวว้ า่ ถา้ ใจหนักไป
ทางการสร้างบุญกุศลน้ัน บุญกุศลก็จะพาใจไปสู่สวรรค์ ถ้าใจ
หนกั ไปทางบาปอกศุ ล บาปอกศุ ลกจ็ ะพาใจไปสอู่ บายภมู ใิ นทคุ ติ
อยา่ งแนน่ อน คำ� พดู ของนกั ปราชญอ์ ยา่ งน้ี สว่ นมากคนจะตคี วาม
หมายตรงๆ ไม่ได้แยกแยะในความหมายแต่อย่างใด
เช่น ผู้มีความหนักแน่นในทางบุญ ก็จะท�ำบุญมากๆ มี
ปัจจัยส่ี จีวร อาหารหวานคาวทุกชนิด สร้างเสนาสนะให้พระ
อยอู่ าศยั ยารกั ษาโรคภยั ตา่ งๆ จะมคี วามเขา้ ใจกนั อยา่ งนนั้ และ
เข้าใจว่า หนกั ไปทางบาปอกุศล จะตอ้ งฆา่ สัตวใ์ หม้ าก ลกั ของ
คนอื่นให้มาก ผิดผัวเมียกันให้มาก พูดปดพูดส่อเสียด พูดค�ำ
ส�ำรากเพ้อเจ้อเหลวไหล กินเหล้าเมายา การท่ีมีความเข้าใจ
อยา่ งนก้ี ม็ สี ว่ นถกู อยบู่ า้ ง แตก่ ย็ งั ไมต่ รงกบั เปา้ หมาย ความหมาย
ท่ถี ูกต้องเป็นดังน้ี ค�ำวา่ ท�ำบญุ มากหรอื ท�ำบาปมาก หมายถึงใจ
หนกั ไปในทางบุญ ใจหนกั ไปทางบาป มิไดเ้ อาการกระทำ� นั้นมา
เป็นตัวตัดสินเลยทีเดียวเท่าน้ัน ค�ำว่ามากในที่นี้ หมายเอาใน
ชั่วขณะจิตก�ำลังจะออกจากร่างกาย อันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อใน
ขณะลมหายใจจะได้หมดไปน้ีเอง ในช่วงน้ีเป็นจุดส�ำคัญมาก
ในช่วงน้ันก่อนจิตจะออกจากร่างกาย จะเกิดนิมิตหมายข้ึนแก่
๑๑๐ อัตโนประวัติ ภาค ๑
ใจในชั่วระยะสั้นๆ สมมตวิ ่าทา่ นผนู้ ้นั เคยฆ่าสัตว์มามาก ท�ำบุญ
มานอ้ ยกต็ าม ในขณะจติ ออกจากรา่ ง จติ มคี วามหนกั แนน่ ในบญุ
เรียกวา่ ผ้นู นั้ ใจหนกั ไปในทางบญุ มาก เมือ่ ตายในขณะนัน้ จิตก็
จะเขา้ ส่สู คุ ติในทันที หรือสมมตวิ ่าผนู้ ั้นเคยท�ำบญุ มามาก มีการ
ให้ทาน รักษาศีล ภาวนามามาก เม่ือในขณะจิตออกจากร่าง
เกิดมีความกังวลใจ มีความห่วงอาลัยในส่ิงใดสิ่งหนึ่ง ใจจะมี
ความเศร้าหมองข่นุ มัว ยดึ ติดอยูใ่ นของส่ิงนนั้ ๆ เม่อื จิตออกจาก
รา่ งไป กจ็ ะเกดิ ในอบายภมู แิ นน่ อน บญุ กศุ ลทที่ ำ� มาจำ� นวนมาก
นั้นชว่ ยไม่ได้เลย
ยกตัวอย่างเร่ืองของพ่อตู้อ้วนที่ได้อธิบายให้ท่านได้อ่าน
มาแลว้ พอ่ ตอู้ ว้ นเปน็ ผไู้ ดบ้ ำ� เพญ็ ทาน ศลี ภาวนา ตดิ ตอ่ กนั มารว่ ม
สามสบิ ปี ไมม่ กี ารทำ� ผดิ ศลี แมแ้ ตค่ รง้ั เดยี วเลย กอ่ นพอ่ ตอู้ ว้ นจะ
ตาย จิตมีความคิดในการสร้างส้วมนิดเดียว มีความกังวลใจว่า
ยังไม่ได้ท�ำห้องส้วมเท่านั้น จิตมีความเห็นผิดพลาดไปนิดเดียว
เทา่ น้นั พอ่ ตู้อ้วนก็กลายเป็นเปรตในทันที ถ้าขา้ พเจ้าไม่ไดช้ ่วย
เหลอื ไวใ้ นเวลานน้ั ไมร่ วู้ า่ พอ่ ตอู้ ว้ นจะอยเู่ ปน็ เปรตตอ่ ไปอกี นาน
เทา่ ไร
อีกอย่างหน่ึงพวกเราก็ควรจะเข้าใจเอาไว้ว่า คนท่ีก�ำลัง
นมิ ิตเหน็ พ่อตอู้ ้วน ๑๑๑
จะตายนั้น ขอให้เปล่ียนเส้ือผ้าชุดใหม่ให้ มีส่ิงของอะไรที่ผู้นั้น
เคยรักเคยห่วงผูกพัน ให้จัดการจัดห่อวางไว้ข้างของผู้ก�ำลัง
จะตายน้นั หรอื จะมีกระเปา๋ ก็ได้ ใส่ส่งิ ของทเี่ ขารกั ไว้ในนนั้ ให้
แยกออกเปน็ สว่ นของผจู้ ะตายโดยเฉพาะ และใหบ้ อกเขาดว้ ยวา่
สว่ นนไี้ ดแ้ บง่ ให้ ..... แลว้ ในเมอื่ จติ เขาออกจากรา่ งแลว้ กจ็ ะรวู้ า่
ของนเ้ี ปน็ สว่ นของเขาแลว้ จะไดต้ ดิ ตวั เขาไปไดเ้ ลย เรอ่ื งนขี้ า้ พเจา้
ไดป้ ระสบการณม์ ามากแลว้ เชน่ พอ่ ของขา้ พเจา้ กด็ ี หรอื พอ่ ตอู้ ว้ น
ก็ดี ตายในชดุ ใด ชุดนัน้ ก็ตดิ ตวั ไป จนกวา่ จะได้รับบญุ กศุ ลใหม่
ท่ลี ูกหลานท�ำบญุ อุทิศไปใหเ้ ท่านน้ั
ฉะนนั้ การยดึ ตดิ ผกู พนั ในสง่ิ ใด ใจจะมกี ารเปลยี่ นภพทนั ที
เพราะใจมีความบอบบางหวั่นไหวไวมาก ในวันปกติ ความคิด
ความเหน็ ของเราไดไ้ ปหมายเอาภพอะไรบา้ ง ตวั เองกไ็ มม่ สี ตติ าม
รไู้ ด้เลย มีทางเดยี วคอื ปฏบิ ตั ิ ใช้สตปิ ญั ญาหกั ใจใหม้ ีการปฏเิ สธ
ว่าไม่มีสมบัติอะไรเป็นของของเรา และฝึกใจไม่ให้มีความห่วง
ความผูกพันในส่ิงใดๆ เม่ือตายไปในขณะใด เราจะไปสู่สุคติใน
ทนั ที
๑๑๒
การออกบวช
การออกบวชในครง้ั น้ี ไดต้ ง้ั ความหวงั เอาไวส้ งู มาก เพราะ
ได้มีความต้ังใจว่าเป็นการออกบวชครั้งสุดท้ายของชีวิต เพราะ
ได้พิจารณาเห็นความเป็นอยู่ของฆราวาสแล้วว่ามีปัญหาใน
การรับผดิ ชอบมากมาย ไมม่ อี สิ ระทจี่ ะภาวนาปฏบิ ตั ใิ หต้ อ่ เนอ่ื ง
กันได้ ฉะนั้น จึงได้ออกบวชตามความตั้งใจเอาไว้ ถึงจะมี
อุปสรรคอยู่บ้างก็แก้ปัญหานั้นผ่านไปได้ จากน้ันก็ได้เข้ามา
มอบถวายตัวแก่ครูอาจารย์ เมื่อครูอาจารย์ว่า ทูลได้บวชแล้ว
ความหนกั หนว่ งในหวั ใจในครง้ั ทแี่ บกหามโลกอยกู่ ห็ ลดุ ออกจาก
หวั ใจไป มคี วามรา่ เรงิ ใจเบกิ บานใจอยตู่ ลอดเวลา เปน็ ใจทม่ี อี สิ ระ
ไมม่ ีภาระภายนอกมาผกู พัน และมีความมนั่ ใจในตวั เองสูงมาก
ในชวี ติ เราทงั้ ชาตนิ ขี้ อมอบไวใ้ นเพศนกั บวชนไี้ ปจนตลอดวนั ตาย
๑๑๔ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑
เมื่อถึงก�ำหนดวันบวชก็มีความเอิบอิ่มใจเป็นอย่างมาก
ทเี ดียว และมีอุบายสอนใจตัวเองอยเู่ สมอว่า วนั น้เี ราจะไดบ้ วช
เปน็ พระแล้ว การบวชเปน็ พระของเราในครัง้ นี้ เราจะตอ้ งบวช
ท้ังกายและบวชท้ังใจให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เพื่อท�ำ
ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ตามทีเ่ ราไดก้ �ำหนดเป้าหมาย
เอาไว้ใหส้ มบูรณเ์ ต็มที่ในชาติน้ี
เมื่อถึงเวลาแล้วก็เข้าสู่พระอุโบสถที่วัดโพธิสมภรณ์
จงั หวดั อดุ รธานี มพี ระธรรมเจดยี ์ (จมู พนธฺ โุ ล) เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์
ท่านได้ตั้งฉายาให้ว่า ขิปฺปปญฺโ มีพระอุดมญาณโมลีองค์
ปจั จบุ นั เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ ทา่ นเจา้ คณุ จนั โทปมาจารย์
เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทเมื่อวันท่ี ๒๗ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๐๔ เม่ืออายุยา่ งเข้า ๒๗ ปี เมื่ออปุ สมบทแลว้ ก็ได้มา
จ�ำพรรษาอยู่ทว่ี ดั เขมวราราม บ้านโนนสมบูรณ์ อ�ำเภอบา้ นผือ
จังหวดั อุดรธานี
ในชวี ติ น้ี มคี วามตง้ั ใจจะบวชเปน็ พระกรรมฐานมาในชว่ ง
ท่ียังเป็นสามเณรและเมื่อบวชเป็นพระอยู่แล้ว แต่ก็หาเวลาท่ี
เหมาะสมยงั ไมไ่ ด้ ในบดั นี้ ขณะน้ี สมความปรารถนาทตี่ งั้ ใจไวแ้ ลว้
จงึ ไดอ้ ธษิ ฐานมอบกายถวายชวี ติ อทุ ศิ แกพ่ ระพทุ ธศาสนานอ้ี ยา่ ง
การออกบวช ๑๑๕
เต็มตัว จะตงั้ ใจภาวนาปฏบิ ัตใิ หถ้ ึงท่สี ดุ แมช้ ีวิตจะแตกสลายไป
ในขณะใด จะไม่ถือว่าเป็นส่ิงส�ำคัญอะไร ข้อส�ำคัญคือจะตั้งใจ
ปฏิบัติให้เต็มที่ ในชาตินี้ชีวิตน้ีถือว่าเรามีความโชคดีท่ีได้บวช
ออกปฏบิ ตั อิ ยา่ งเตม็ ตวั จะไมป่ ลอ่ ยชวี ติ ทง้ิ ไปใหเ้ ปลา่ ประโยชน์
ดงั ทเี่ คยเป็นมา จะภาวนาปฏิบัติแข่งกับชวี ติ ตวั เองอย่างเตม็ ที่
พรรษาท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๐๔
เม่อื เขา้ พรรษาในปีน้ี นกึ หาข้อวัตรปฏบิ ัตวิ า่ มีอะไรบา้ งท่ี
จะน�ำมาเป็นอุบายในการประกอบความเพียรให้เต็มเม็ดเต็ม
หนว่ ยในพรรษาน้ี จงึ นกึ ขนึ้ ไดใ้ นอบุ ายธรรมหมวดหนงึ่ วา่ สจั จะ
ถา้ เรามสี ัจจะประจ�ำใจแล้ว จะตอ้ งยืนหยัดในความจริงไดอ้ ย่าง
มั่นคง จะเป็นผู้ไม่โกหกตัวเอง เราจะต้องเป็นนักปฏิบัติท่ีมี
ความจริงจังต่อข้อวัตรปฏิบัติของเรา เอาสัจจะเป็นหลักยืนตัว
ให้มัน่ คง เพอื่ ไม่ใหก้ ารปฏบิ ัติมีความย่อหย่อนหละหลวม ไม่ให้
เกดิ ความลา่ ชา้ ทจี่ ะใหถ้ งึ จดุ หมายปลายทางในชาตนิ ี้ ฉะนนั้ เรา
ต้องมีสัจจะบังคับตัวเองให้ได้ เพ่ือจะได้รีบเร่งในการปฏิบัติให้
เตม็ ท่ี ถา้ เราไมม่ สี จั จะทเ่ี ขม้ แขง็ กไ็ มส่ ามารถบงั คบั ความเหน็ แก่
หลบั แก่นอนไปได้ หรือเหน็ แก่การเลน่ มัว่ สมุ อย่กู ับหมคู่ ณะ อัน
พรรษาท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๐๔ ๑๑๗
จะทำ� ใหเ้ สยี เวลาปฏบิ ตั ไิ ปเปลา่ ประโยชน์ เพราะวนั หนง่ึ คนื หนงึ่
ชั่วโมงหนึ่ง มีคุณค่าในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น
ในพรรษานี้เราจะภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มท่ี สติปัญญา ศรัทธา
ความเพียร มีเทา่ ไรจะท่มุ เทใหเ้ ต็มก�ำลัง ไมว่ า่ จะอยู่ในอิรยิ าบถ
ไหน จะตั้งใจใหม้ ีความเพยี รใหต้ ่อเนอ่ื งกันอยู่เสมอ
ตง้ั สจั จะบงั คบั ใจตวั เองใหไ้ ด้
ในวนั เขา้ พรรษา กไ็ ดว้ างขอ้ วตั รปฏบิ ตั ทิ ต่ี วั เองไดว้ างเอาไว้
แลว้ ใชส้ ัจจะเปน็ ท่ีตัง้ ในขอ้ วัตรปฏบิ ตั ิให้มีความม่ันคง สามารถ
ปฏบิ ัติให้ไดค้ รบถว้ นทกุ ประการ จึงมีความม่ันใจในตัวเองวา่ จะ
ปฏิบัติให้ถึงแห่งความพ้นทุกข์ในพรรษานี้ให้ได้ และมองเห็น
ความส้ินสุดแห่งทุกข์ ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เหมือนกับ
เออื้ มมอื ถงึ เทา่ นนั้ และยงั มคี วามมนั่ ใจในตวั เองวา่ นบั แตว่ นั เรมิ่
เขา้ พรรษาเปน็ ตน้ ไป การปฏบิ ตั จิ ะใหถ้ งึ ซงึ่ ความสน้ิ สดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้
ภายใน ๗ วนั เทา่ นน้ั นมี้ ใิ ชพ่ ดู โออ้ วด แตพ่ ดู ออกมาจากความรสู้ กึ
จากใจในขณะนนั้ จรงิ ๆ เพราะมองเหน็ พระนพิ พานความหลดุ พน้
ไปในขณะท่ตี งั้ ใจเอาไว้ ความรู้สึกอยา่ งนจ้ี ะมกี ารเปลย่ี นแปลง
อย่างไรน้นั ใหต้ ดิ ตามอ่านต่อไป
ต้งั สจั จะบังคับใจตัวเองใหไ้ ด้ ๑๑๙
พอเขา้ พรรษาในวนั แรก กเ็ รมิ่ ทำ� ความเพยี รอยา่ งหนกั ใน
ขณะนน้ั อาศยั สจั จะบบี บงั คบั ตวั เองอยา่ งเตม็ ที่ มคี วามกลา้ หาญ
และเสยี สละ ไมไ่ ดค้ ดิ เสยี ดายแมก้ ระทงั่ ชวี ติ ถงึ จะตายไปในขณะที่
ทำ� ความเพยี รนกี้ ย็ อม จะไดบ้ ชู าคณุ พระพทุ ธเจา้ บชู าคณุ พระธรรม
บชู าคุณพระอรยิ สงฆไ์ ปเลย และรตู้ วั เองอยู่เสมอว่าเราตั้งใจจะ
ให้หลุดพ้นถึงพระนิพพานภายใน ๗ วันนี้เท่าน้ัน จากน้ันก็เร่ง
ความเพยี รอยา่ งเต็มที่ สติปัญญามีเทา่ ไรก็ทุม่ เทอยา่ งเตม็ กำ� ลงั
ในขณะนน้ั อยใู่ นอริ ยิ าบถทงั้ ๓ คอื ยนื เดนิ นง่ั เทา่ นน้ั ใหค้ วามเพยี ร
มีความต่อเนอ่ื งกันอยูต่ ลอดเวลา แมแ้ ต่เดินบิณฑบาตไปกลบั ก็
มคี วามเพยี รตอ่ เนือ่ ง ในขณะท่ีฉนั ก็มคี วามเพียร มคี วามสำ� รวม
อยู่ในขณะฉนั ตลอดการทำ� กจิ วตั รก็กวาดลานวดั หรืออยทู่ ีไ่ หน
กต็ าม กจ็ ะมีความเพียรตอ่ เนื่องกนั อยูต่ ลอดเวลา
การทำ� ความเพยี รในทน่ี ี้ หมายถงึ มสี ตปิ ญั ญาพจิ ารณาใน
ความเปน็ จรงิ ในสจั ธรรมอยเู่ ปน็ นจิ นนั่ เอง ในขณะทที่ ำ� ความเพยี ร
อยู่ในอิริยาบถทั้ง ๓ นี้ จะเป็นจะตายอย่างไรไม่ถือว่าเป็นส่ิง
ส�ำคัญ ถงึ ธาตสุ ่ีขันธ์หา้ จะมีความเหนด็ เหนื่อยเมอ่ื ยลา้ อยา่ งไรก็
ต้องอดทนต่อสู้ ตัดสินใจแล้วว่าธาตุสี่ขันธ์ห้าจะแตกสลายไป
เพราะต้านทานความเพียรน้ีไม่ไหว จะตายไปในขณะนี้ก็ยอม
๑๒๐ อตั โนประวัติ ภาค ๑
ไมม่ คี วามหวน่ั ไหวในความตายนแี้ มแ้ ตน่ อ้ ยเลย เพราะความเกดิ
ความตายนี้ เราเคยเกดิ เคยตายมาแลว้ แตบ่ ดั นเี้ ราจะทำ� ความเพยี ร
ให้เตม็ ที่ ธาตสุ ขี่ นั ธห์ ้าจะสลายตายในขณะนก้ี ็ใหม้ นั ตายไป เมอื่
ใจยงั มเี ชอื้ ใหเ้ กดิ อยู่ กก็ ลบั มาเกดิ อกี ใหมไ่ ด้ ในชว่ งเวลาทกี่ ำ� หนด
ไว้ภายใน ๗ วันน้ี ชีวิตจะหมดไปในวนิ าทใี ด เราพรอ้ มแลว้ ใน
ขณะนี้
เกิดนิมติ เตอื นใจ
ในคืนท่ี ๗ นับแต่วันเข้าพรรษามา ถือว่าเป็นวันส�ำคัญ
เป็นคืนสุดท้ายแห่งชีวิต ถ้าหลุดพ้นถึงพระนิพพานได้ก็ในคืนน้ี
ถา้ ไมไ่ ด้ ชวี ติ กจ็ ะถงึ ทสี่ ดุ คอื ตายในคนื นอี้ ยา่ งแนน่ อน ในขณะนนั้
ไดเ้ กดิ ทกุ ขเวทนาทางกายขน้ึ มาอยา่ งหนกั เกดิ ความเจบ็ ปวดใน
รา่ งกายมีความรุนแรงมากขึ้น แทบจะเดินจงกรมตอ่ ไปอีกไม่ได้
เลย เพราะธาตุขันธต์ ้านทานความเพียรไม่ไหว ถึงอยา่ งไรก็ต้อง
อาศัยสัจจะบังคับตวั เองอย่างเต็มท่ี ท้ังใชป้ ญั ญาเตือนตัวเองอยู่
เสมอวา่ นท่ี ลู ตวั เองเปน็ พระกรรมฐาน เปน็ นกั ปฏบิ ตั ทิ เี่ ดด็ เดย่ี ว
กล้าหาญและกล้าตาย ยอมเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิต เพียงมี
ความทุกข์เจ็บปวดเพียงเท่าน้ี ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งส่วนร้อยของ
พระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าท�ำความเพียรจนถึงข้ันสลบไสล
๑๒๒ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
ฟน้ื คนื มาหลายครง้ั พระพทุ ธองคก์ ย็ งั ไมท่ อ้ ถอยในความเพยี รน้ี
เลย นเี้ ราผหู้ วงั ตดิ ตามพระพทุ ธเจา้ เรากอ็ ยา่ ยอมแพใ้ นความทกุ ข์
นเี้ ลย ถา้ หากจะตายจรงิ ๆ กข็ อมอบกายถวายชวี ติ เพอ่ื บชู าคณุ ของ
พระพทุ ธเจา้ ขอบชู าคณุ ของพระธรรม ขอบชู าคณุ ของพระอรยิ สงฆ์
ด้วยสจั จะทตี่ งั้ ไวใ้ นขณะน้ี
เม่ือได้ทอดอาลัยในชีวิตอย่างน้ีแล้ว จากนั้นก็ได้รีบเร่ง
ภาวนาปฏิบัติให้สุดก�ำลัง ทั้งเดินจงกรม ท้ังน่ังสมาธิ ท้ังใช้สติ
ปญั ญาพจิ ารณาในสรรพสงั ขารทงั้ หลายใหเ้ ปน็ ไปในสจั ธรรมลง
ส่ไู ตรลกั ษณ์ คอื อนจิ จัง ทกุ ขงั อนัตตา อยู่เสมอ เม่อื เหน่ือยใน
การใช้ปญั ญา กก็ ำ� หนดจิตเขา้ พักในสมาธติ อ่ ไป ออกจากสมาธิ
กใ็ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาในสรรพสงั ขารใหต้ อ่ เนอื่ งกนั อยเู่ ปน็ นสิ ยั ตอ่ ไป
ในขณะหนึ่ง จิตมคี วามสงบในสมาธิอย่างเต็มที่ ไมร่ วู้ ่ามี
ความสงบนานเทา่ ไร จากนนั้ จติ กเ็ รม่ิ ถอนออกสมาธมิ า จงึ มคี วามรู้
เกดิ ขนึ้ ในขณะนน้ั วา่ ผลไมย้ งั ไมแ่ ก่ จะบงั คบั ใหส้ กุ ในขณะนไ้ี มไ่ ด้
จากนนั้ กไ็ ดเ้ อาความรทู้ เี่ กดิ ขนึ้ มาพจิ ารณา จงึ ไดเ้ ขา้ ใจในความรู้
ทพ่ี รอ้ มดว้ ยเหตผุ ลในทนั ที ขณะนเ้ี ราพง่ึ ปฏบิ ตั มิ าไดเ้ พยี ง ๗ วนั
เทา่ นั้น อินทรยี เ์ รายังไมแ่ ก่ จะบงั คบั ให้ตวั เองได้บรรลมุ รรคผล
นพิ พานในขณะนยี้ งั ไมไ่ ด้ ตอ้ งรอใหอ้ นิ ทรยี แ์ กก่ ลา้ อกี ระยะหนง่ึ
เกิดนิมติ เตือนใจ ๑๒๓
ความหวงั ในความหลดุ พน้ เพอื่ ถงึ พระนพิ พานใน ๗ วนั นนั้ กเ็ ปน็
โมฆะไป แตก่ ต็ งั้ ความหวงั เอาไวว้ า่ เมอื่ ถงึ วนั ปวารณาออกพรรษา
อนิ ทรยี ก์ จ็ ะแกเ่ ตม็ ทแ่ี ลว้ ในวนั ออกพรรษาจะเปน็ วนั ตดั สนิ ชข้ี าด
กันว่าจะหลุดพ้นไปได้หรือไม่ จึงได้ต้ังความหวังในวันปวารณา
ออกพรรษาเอาไว้ในครั้งหนึ่ง การปฏบิ ตั ภิ าวนากย็ งั ตั้งใจเอาไว้
อย่างคงเส้นคงวา สตปิ ญั ญากม็ ีความม่ันคง ปฏิบัติอย่างเข้มขน้
อยา่ งจรงิ จงั เตม็ ที่ การปฏบิ ตั ผิ า่ นมาได้ ๑ เดอื นกเ็ กดิ นมิ ติ ขน้ึ มาอกี
แตก่ ็ไมเ่ ช่อื ในนิมติ อยนู่ นั่ เอง
นิมิตเห็นตาปะขาวมาเตือน
ในขณะนน้ั การภาวนาปฏบิ ตั อิ ยใู่ นขน้ั อกุ ฤษฏ์ ไมไ่ ดค้ ำ� นงึ
ถึงชีวิตในความเป็นตายอย่างใด สังขารร่างกายได้ทรุดโทรม
เพราะการอดนอนผอ่ นอาหารกต็ าม กใ็ หเ้ ปน็ เรอ่ื งของรา่ งกายไป
ไมถ่ อื วา่ เปน็ เรอื่ งทสี่ ำ� คญั อะไร มแี ตก่ ดั ฟนั ตอ่ สใู้ นสจั จะทต่ี ง้ั เอาไว้
อย่างจริงจัง ในคนื หน่ึงก�ำลังทำ� สมาธิ ในขณะจิตมคี วามสงบอยู่
ปรากฏเห็นตาปะขาวคนหนึง่ มือถือไม้เท้าเดินมา แลว้ ข้นึ มาบน
กฏุ ิ นง่ั พบั เพยี บเรยี บรอ้ ยดี แตก่ ไ็ มก่ ราบเพยี งยกมอื ไหวข้ า้ พเจา้
อยา่ งสวยงาม แลว้ พดู ขึน้ วา่ นีท่ า่ น การภาวนาปฏบิ ัตขิ องทา่ น
ในขณะนมี้ นั ตงึ เกนิ ไป ถา้ ทำ� ความเพยี รไมม่ กี ารพกั ผอ่ นหลบั นอน
ตอ่ ไปธาตขุ นั ธข์ องทา่ นอาจถงึ ความวบิ ตั ถิ งึ ตายไปได้ ความตงั้ ใจ
ของท่านที่จะให้ถึงในมรรคผลนิพพานในชาตินี้ก็จะไม่ส�ำเร็จใน
นิมิตเห็นตาปะขาวมาเตือน ๑๒๕
ชาตนิ เี้ ลย ฉะนน้ั ขอใหท้ า่ นมกี ารพกั ผอ่ นหลบั นอนใหแ้ กธ่ าตขุ นั ธ์
บา้ ง เมอ่ื ธาตขุ นั ธร์ า่ งกายมคี วามสมบรู ณท์ รงตวั อยไู่ ดไ้ มอ่ อ่ นเพลยี
การปฏิบัติภาวนาให้ต้ังอยู่ในทางสายกลางเป็นมัชฌิมา เมื่อ
ปฏบิ ตั อิ ยใู่ นขั้นมชั ฌิมาทางสายกลางอย่างตอ่ เน่ือง การปฏิบัติ
ของท่านและความตั้งใจของท่านเพ่ือจะให้ถึงมรรคผลนิพพาน
ในชาตินน้ี ้ัน ทา่ นก็จะสมหวงั สมความตั้งใจเอาไว้ในชาติน้อี ย่าง
แน่นอน
พอพูดจบ ตาปะขาวก็ได้ยกมอื ไหว้ขา้ พเจา้ อีกคร้ัง แลว้ ก็
ลงจากกุฏิไปในขณะนั้น จากนั้นจิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิมา
มาพจิ ารณาดวู า่ ตาปะขาวนมี้ าจากไหน ในบรเิ วณนไ้ี มม่ ตี าปะขาว
เลย ในขณะนน้ั ยงั คิดว่าเป็นตาปะขาวจริงๆ ตาปะขาวนีเ้ หมอื น
จะรจู้ กั แตจ่ ำ� ไมไ่ ดว้ า่ เคยเหน็ อยทู่ ไี่ หน นกึ ไมไ่ ดเ้ ลย อายปุ ระมาณ
๔๐ ปี มีผิวพรรณผ่องใส มีสง่าราศีดี มีความต้ังใจจะมาเตือน
ข้าพเจ้าโดยตรง
จากนนั้ กไ็ ดพ้ จิ ารณาเรอื่ งของตาปะขาวมาเตอื นวา่ ใหเ้ รา
ลดหย่อนความเพียรลง ให้มีการพักผ่อนหลับนอนแก่ธาตุขันธ์
บ้าง แล้วคิดต�ำหนิตาปะขาวว่า การให้ลดความเพียรลงน้ันใช้
ไมไ่ ด้ ตาปะขาวนัน้ เปน็ ใครมาจากไหน หรอื หากเป็นมารมาท�ำ
๑๒๖ อตั โนประวัติ ภาค ๑
เปน็ อบุ ายหลอกกเ็ ปน็ ได้ มาทำ� ใหเ้ ราหลงกลเพอื่ จะไดเ้ หนิ หา่ งจาก
มรรคผลนพิ พานกอ็ าจเปน็ ได้ ความเพยี รทเ่ี ราปฏบิ ตั อิ ยใู่ นขณะน้ี
ก็ยงั ไม่เห็นวี่แววทจ่ี ะใหห้ ลดุ พน้ ได้เลย ถา้ หากเราลดหยอ่ นผ่อน
ความเพียรลงในเมื่อไร ก็จะเข้าข่ายในกลหลอกของมารน้ีทันที
น้ีต้องเป็นมารปลอมตัวมาหลอกให้เราเผลอตัวแน่นอน อย่า
กระนั้นเลย จากน้ีไปเราจะท�ำความเพียรเตม็ ที่ มีความเขม้ แขง็
มากขนึ้ เพอ่ื เอาชนะมารตวั นีใ้ หไ้ ด้ จะไมท่ ำ� ตามทมี่ ารมารอ้ งขอ
ใหล้ ดความเพียรลงแตอ่ ย่างใด จากนไี้ ปเราจะเร่งทำ� ความเพยี ร
อย่างเต็มที่ มีสติปัญญาเท่าไรก็จะน�ำมาเป็นอุบายความเพียร
ใชค้ วามพจิ ารณาในหลกั สจั ธรรม ไมต่ อ้ งมกี ารพกั ผอ่ นหลบั นอน
ใช้สตปิ ัญญาอบรมสงั่ สอนใจอยู่ตลอดเวลา ไมว่ า่ จะอยูใ่ นทไ่ี หน
แหง่ ใด จะตอ้ งใชส้ ตปิ ญั ญาพจิ ารณาใหต้ อ่ เนอ่ื งกนั อยเู่ สมอ ตอ่ ไป
มารเหล่านี้จะไม่มาใช้อุบายหลอกเราอีกต่อไป ท�ำให้มารเกิด
ความกลวั ในความเพยี รของเราใหไ้ ด้ ตอ้ งทำ� ใจใหม้ คี วามเขม้ แขง็
ไม่ตอ้ งลดหยอ่ นผอ่ นตามในมารหนา้ ไหนเลย
สลบแล้วฟ้ืน
จากนน้ั กเ็ รง่ ความเพยี รใหม้ ากขนึ้ การเดนิ จงกรม การทำ�
สมาธิ กท็ ำ� อย่างเตม็ ที่ การอดนอนผ่อนอาหาร การสำ� รวมกาย
วาจาใจ กต็ อ้ งมคี วามสงั วรระวงั ตงั้ สตปิ ญั ญาไวเ้ ปน็ หลกั แนบแนน่
พิจารณาตามความเป็นจริงในสิ่งต่างๆ ไม่ลดละ ในช่วงที่เร่ง
ความเพยี รอยนู่ ีเ้ อง ธาตุขันธก์ ็เริ่มแสดงตวั ว่าท�ำท่าจะไปไม่รอด
เกดิ มอี าการออ่ นเพลยี ลงอยา่ งกะทนั หนั การทรดุ ตวั ลงในขณะน้ี
มีอาการไขป้ า่ มาลาเรียเปน็ อย่างหนกั ทเี ดียว และเป็นไข้ในชว่ ง
อดอาหารพอดี จากน้ันก็เกิดความทุกขเวทนาขึ้นอย่างรุนแรง
เม่ือธาตขุ นั ธ์มคี วามแปรปรวนมากขึน้ ๆ ความอ่อนเพลยี อดิ โรย
กเ็ พม่ิ ข้นึ แทบจะไมม่ ีก�ำลังหายใจแต่อยา่ งใด ในใจคิดว่าตัวเอง
จะมีชีวิตอยู่ไม่นานก็จะตายไป ในขณะนั้นไม่มียาจะกินแก้ไข้
๑๒๘ อัตโนประวัติ ภาค ๑
น้ีเลย ท้ังอดนอนอดอาหารมาแล้ว ๓ วัน ต้ังใจว่าจะให้ครบ
ก�ำหนดตามสจั จะที่ต้ังไว้ ๗ วัน ท้ังเปน็ ไขม้ าลาเรยี อย่างรนุ แรง
ในขณะน้ันตัดสินใจได้อย่างเด็ดเด่ียวกล้าหาญ คิดอยู่ว่า
ชวี ิตเราจะมีอยูเ่ ป็นวนั สุดทา้ ย น้เี ราเพ่ิงบวชมาไดเ้ พียง ๒ เดอื น
เทา่ นน้ั กจ็ ะมาถงึ จดุ จบกนั ในวนั นหี้ นอ ไมม่ ที างเลอื กอนื่ อกี แลว้
มแี ตต่ ง้ั สตคิ อยสงั เกตลมหายใจจะหมดไปเทา่ นน้ั ในเมอื่ ปลงชวี ติ
ลงสู่ความตายได้แล้ว กไ็ ม่มคี วามกลวั ในการตายในครงั้ นี้แม้แต่
นดิ เดยี ว จงึ คดิ ไดว้ า่ เราจะมานอนตายอยทู่ กี่ ฏุ นิ ไ้ี มส่ มควรอยา่ งยงิ่
ไหนๆ เรากจ็ ะตายอยแู่ ลว้ เราควรไปตายในทางเดนิ จงกรมน้ัน
ดกี วา่ เมอื่ คดิ ไดอ้ ยา่ งนน้ั แลว้ กพ็ ยายามพยงุ ตวั เองเกาะฝากฏุ วิ า่
จะยนื ในขณะทล่ี ุกข้ึนยืนยงั ทรงตัวไมไ่ ด้ กห็ มดความรู้สกึ สลบ
ลม้ ลงอย่กู ับทีใ่ นขณะนนั้ เอง
สลบแลว้ ฟ้นื ๑๒๙
เขยี นตามค�ำบอกเลา่ ของ
หมคู่ ณะ
ในชว่ งน้ีจะเขยี นตามค�ำบอกเลา่ ของหมคู่ ณะ หลงั จากได้
ฟน้ื ตวั คนื มาแลว้ ในขณะทล่ี ม้ ลงอยา่ งแรงนน้ั มเี พอ่ื นอกี องคห์ นงึ่
อยู่กุฏิใกล้กัน ได้ยินเสียงดังข้ึนที่กุฏิข้าพเจ้าอย่างแรงผิดปกติ
ตอ้ งมอี ะไรเกดิ ขนึ้ ท่กี ฏุ ขิ องทา่ นทูลแน่นอน จงึ ได้เดินมาดู ท่าน
องคน์ ีช้ อื่ วา่ เลยี บ ท่านได้ถอื สจั จะวา่ จะไมพ่ ูดกับใครๆ ในเวลา
๑ เดอื น ท่านถอื ธดุ งค์ขอ้ มุขวตั ร และถอื ธดุ งค์ข้อเนสัชชิก ไมม่ ี
การหลบั นอนภายใน ๑๕ วนั อกี ดว้ ย เมอ่ื ทา่ นเดนิ มาถงึ กฏุ สิ อ่ งดู
เห็นท่านทูลผิดปกติ จึงได้ขนึ้ ไปทกี่ ฏุ ิ แล้วกระตกุ ขาหลายคร้ังก็
ไมร่ ตู้ วั ไดม้ องดหู นา้ จงึ รวู้ า่ ทา่ นทลู ไดต้ ายไปแลว้ จากนนั้ กไ็ ดร้ บี
เขยี นตามคำ� บอกเลา่ ของหมูค่ ณะ ๑๓๑
ลงจากกุฏิไปหาหมู่คณะครูอาจารย์ผู้ใหญ่ ไปแล้วก็พูดไม่ได้
กลัวเสียสัจจะ ได้แต่แสดงกิริยาในลักษณะตายให้ดูอยู่เท่าน้ัน
ครอู าจารยไ์ มเ่ ขา้ ใจ จงึ ไปหากระดาษและปากกามาใหเ้ ขยี น กไ็ ด้
เขียนบอกว่าท่านทูลได้ตายแล้ว ครูอาจารย์ก็มีความตกใจรีบ
มาดู เห็นพระทูลตายจริง ก็รีบไปบอกหมู่คณะภายในวัดให้ไป
ตรี ะฆงั ฉกุ เฉนิ บอกกนั ว่าไปดูท่านทูลตายอยู่ในกฏุ เิ ด๋ยี วน้ี
เมอ่ื ตรี ะฆงั ฉกุ เฉนิ พระเณรกพ็ ากนั มากฏุ ทิ า่ นทลู เปน็ กฏุ ิ
เลก็ ๆ ขน้ึ ไปไดไ้ มเ่ กนิ ๔ คน ถา้ มากกวา่ นกี้ ฏุ กิ จ็ ะหกั พงั แลว้ พากนั
บบี นวดอยา่ งชลุ มนุ วนุ่ วาย ทกุ องคม์ คี วามสลดใจในการตายของ
พระทลู เปน็ อยา่ งมาก ทกุ องคพ์ ดู เปน็ เสยี งเดยี วกนั วา่ นา่ เสยี ดาย
มีความอาลัยในพระทูลเป็นอย่างมากทีเดียว บางท่านได้พูดว่า
เมอ่ื ตายมานานถงึ ขนาดนไี้ มม่ ที างจะฟน้ื ตวั มาอกี แลว้ เพราะตาย
มาแล้วต้งั แตเ่ ท่ียง ขณะน้ี ๔ โมงเย็น มที างเดียวจัดพระเณรไป
หาฟืนเอามาเผาเท่านั้น พระผู้ใหญ่องค์หน่ึงว่า อย่าพากันพูด
เช่นน้ัน ร่างกายยังมีความอุ่นนิดๆ อยู่ ให้พากันนวดจนกว่า
รา่ งกายจะแขง็ กระดา้ ง แลว้ เยน็ ในทกุ สว่ นของรา่ งกาย ถงึ จดุ นนั้
จงึ พากนั ไปหาฟนื เผา ในชว่ งนใี้ หม้ าชว่ ยกนั กอ่ น เรอื่ งการหาฟนื
เผาเอาไวท้ ีหลงั ครูอาจารยเ์ ล่าใหฟ้ ังว่าเปน็ อย่างนี้
ฟืน้ ตัวขนึ้ มาเพราะหมคู่ ณะ
ช่วยเหลือ
ในขณะนน้ั พระทลู ไดต้ ายไปแลว้ นานถงึ ๔ ชว่ั โมง ในชว่ งขณะ
จะฟน้ื ตวั คนื มานน้ั มลี มหายใจกระทบกบั สำ� ลนี ดิ ๆ แลว้ มลี มหายใจ
กระทบสำ� ลีแรงขึน้ ๆ จากนนั้ มกี ารกระพริบตานดิ ๆ เพอ่ื นพระก็
พากนั รอ้ งตะโกนเสยี งดงั ๆ เพอ่ื กระตนุ้ สตใิ หต้ นื่ ตวั เรว็ ขนึ้ ในทสี่ ดุ
กฟ็ น้ื ตวั คนื มา ในขณะนน้ั ขา้ พเจา้ ยงั จำ� หนา้ ใครยงั ไมไ่ ด้ เพยี งจำ�
ไดค้ ำ� เดยี ววา่ ทา่ นทลู ๆ ยงั มเี สยี งดงั แวว่ ๆ ในหอู ยู่ แลว้ ลมื ตาขนึ้ มา
เลก็ นอ้ ย แตก่ พ็ ดู ยงั ไมไ่ ด้ เพอ่ื นเอานำ้� หยอดเขา้ ปากไปทลี ะนอ้ ยๆ
จงึ มเี สยี งพดู เบาๆ เพราะเหนอ่ื ยมาก แลว้ กร็ ตู้ วั เองเปน็ ปกตคิ นื มา
แต่ก็นั่งโดยล�ำพังตัวเองยังไม่ได้ เพราะมีการอ่อนเพลียมากใน
ฟืน้ ตัวขน้ึ มาเพราะหมูค่ ณะช่วยเหลอื ๑๓๓
ขณะนนั้ การหายใจกย็ งั ไมส่ ะดวก เพอื่ นๆ กไ็ ดป้ ระคองตวั ลกุ ขนึ้ นง่ั
เอายาหอมมาให้ดมเพ่ือกระตุ้นหวั ใจกันพักใหญ่
พอพดู ได้ ครอู าจารยก์ ไ็ ดถ้ ามอาการทเี่ กดิ ขน้ึ วา่ เนอ่ื งจาก
อะไรเปน็ ตน้ เหตุ จึงได้เลา่ เรื่องความเพยี รให้ฟงั ความเปน็ ไขใ้ น
ระหวา่ งการอดขา้ ว ไมย่ อมตายอยทู่ กี่ ฏุ ิ การพยงุ ตวั เกาะฝาทจี่ ะ
ลงไปตายทที่ างเดนิ จงกรม เกดิ อาการวบู ไปโดยไมร่ ตู้ วั เรอื่ งตา่ งๆ ดงั
ทไี่ ดอ้ ธบิ ายมาแลว้ เมอื่ ครอู าจารยไ์ ดฟ้ งั เรอื่ งการปรารภความเพยี ร
ของพระทลู แลว้ พากนั สา่ ยหนา้ พรอ้ มทง้ั พดู วา่ แหม! ความเพยี ร
ของทา่ นทลู น้มี ันเกนิ ไป ท้งั อดนอน ท้งั อดอาหาร ทงั้ มีอาการไข้
มาลาเรยี ทง้ั อยู่ในอริ ิยาบถ ๓ ธาตขุ ันธอ์ ะไรจะทนได้ไหว นยี่ ังดี
ท่มี เี พื่อนอยู่ใกล้ ถ้าอยู่องคเ์ ดยี วห่างหมคู่ ณะ จะไดเ้ ผากันทิ้งไป
อย่างแนน่ อน
ครอู าจารยอ์ งคห์ นง่ึ พดู วา่ การทำ� ความเพยี รของทา่ นทลู นี้
มนั เกินไป ถงึ วา่ เราปฏบิ ัติถูก แตม่ นั เกนิ ความพอดี คือตึงเกินไป
ถา้ เปน็ สายพณิ กจ็ ะขาดทง้ิ ไปเปลา่ ไมม่ ใี ครเลยทจี่ ะทำ� ความเพยี ร
อยา่ งทา่ น ผมมาคอยสงั เกตดทู า่ นทำ� ความเพยี รหลายครงั้ หลายหน
ท้ังกลางวนั และกลางคืน ไมร่ วู้ ่าทา่ นพกั ผอ่ นหลบั นอนเวลาไหน
ผมเองยอมรบั วา่ ทำ� ความเพยี รเหมอื นทา่ นไมไ่ ด้ ผมคดิ วา่ จะเตอื น
๑๓๔ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
ท่านอยู่หลายคร้ังแล้ว แต่ก็กลัวว่าจะมาขัดขวางขัดจังหวะใน
ความเพยี รและความตงั้ ใจของทา่ น เพราะทกุ องคก์ ม็ คี วามตง้ั ใจ
ในการหลดุ พน้ ดว้ ยกนั ทง้ั นนั้ นย้ี งั ดที ม่ี หี มคู่ ณะไดเ้ หน็ ไมเ่ ชน่ นนั้
ก็จะตายเน่าอยู่ในกุฏิองค์เดียว นี่ท่านเพ่ิงบวชมาได้ ๒ เดือน
เท่าน้ัน และมีอายุยังหนุ่มเพียง ๒๗ ปี จะมีอนาคตสืบทอด
พระพทุ ธศาสนาตอ่ ไปอีกนานทเี ดยี ว การภาวนาปฏิบัติตอ้ งอยู่
ในมัชฌิมาทางสายกลาง จึงจะท�ำให้ถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้
นีค้ อื แนวทางของพระอริยเจา้ ทั้งหลาย สมมติว่า ถา้ หากทา่ นได้
ตายไปในขณะนี้แล้ว มรรคผลนิพพานที่เราจะพึงได้พึงถึงใน
ชาตินี้ก็จะหมดสิทธ์ิในทันที ต่อไปนี้ให้ท่านได้ผ่อนความเพียร
ลงบ้าง อยา่ บบี บังคับในธาตขุ ันธจ์ นเกนิ ไป ให้รจู้ ักความพอดีใน
ธาตขุ นั ธข์ องตวั เอง การพกั ผอ่ นหลบั นอนกเ็ ปน็ อาหารทางกายและ
ทางใจดว้ ย ธาตขุ นั ธย์ งั มคี วามตอ้ งการอาหารประเภทนอี้ ยู่ ถา้ เรา
รู้จักประมาณตวั เอง ท่เี รียกวา่ อตั ตัญญตุ า เปน็ ผู้ร้จู ักประมาณ
ตวั เอง การปฏบิ ตั กิ จ็ ะกา้ วหนา้ ไปดว้ ยดี นคี่ อื ทางสายกลาง เปน็
แนวทางที่เป็นมัชฌิมา จะท�ำให้ถึงท่ีสุดแห่งทุกข์ได้ในชาตินี้
ถา้ เรามีความพยายามปรารภความเพยี รอยู่ อกี วนั หน่ึงขา้ งหนา้
ก็จะได้ถึงพระนิพพานแนน่ อน
หวนระลกึ ไดใ้ นคำ� เตอื นของ
ตาปะขาว
เม่ือครอู าจารย์ไดเ้ ตือนสติ อบรมสัง่ สอนเรอื่ งการปรารภ
ความเพียรให้อยู่ในขอบเขตของมัชฌิมา คือทางสายกลาง จึง
หวนระลกึ ไดใ้ นคำ� เตอื นของตาปะขาว แตก่ อ่ นคดิ วา่ เปน็ มารจะมา
ตดั รอนในความเพยี ร แตบ่ ดั นเ้ี หตทุ เ่ี กดิ ขนึ้ ทกุ อยา่ งเปน็ ไปตามที่
ตาปะขาวชท้ี ง้ั หมด แตก่ อ่ นมแี ตค่ วามกลา้ หาญ มคี วามเดด็ เดย่ี ว
จรงิ จงั มีแตค่ วามมุ่งหวังในความหลดุ พน้ อย่างเดยี ว ใครๆ จะ
มาขัดขวางในความเพียรนี้ไม่ได้เลย มีความหลุดพ้นเร็วเท่าไร
เป็นดี จะได้มีเวลาอบรมส่ังสอนคนอ่ืนเป็นเวลายาวนานได้
จงึ ขอขอบพระคณุ ครอู าจารยท์ กุ ๆ องคท์ ใี่ หค้ วามชว่ ยเหลอื ชวี ติ
๑๓๖ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑
ของตวั กระผมกลบั คนื มาได้ บญุ กศุ ลใดทก่ี ระผมไดบ้ ำ� เพญ็ มาแลว้
ขอบญุ กศุ ลนนั้ จงเปน็ พละปจั จยั ใหค้ รอู าจารยท์ กุ ๆ ทา่ นไดป้ ระสบ
ความส�ำเรจ็ ในมรรคผลนพิ พานทุกทา่ นเทอญ
จากนนั้ มา ครอู าจารยก์ ไ็ ดห้ าหมอมารกั ษาไขป้ า่ มาลาเรยี ให้
หายไปเปน็ ปกติ และมกี ารพกั ผอ่ นหลบั นอน และอาหารการฉนั
ก็เพิ่มข้นึ เพ่ือรักษารา่ งกายไมใ่ หอ้ อ่ นเพลีย เมอ่ื รา่ งกายได้หาย
เปน็ ปกตแิ ล้ว กไ็ ดว้ างแผนในวธิ ีปฏบิ ตั ิใหม่ จะปฏิบตั ิแคไ่ หนจึง
จะอยใู่ นขอบเขตของมชั ฌมิ าทางสายกลางของเรา จงึ หวนระลกึ ถงึ
เรื่องของพระพุทธเจ้า เมื่อคร้ังพระองค์ได้บ�ำเพ็ญอยู่ในดงคสิริ
มกี ารอดหลับอดนอน ไม่รับฉนั อาหารถึง ๔๙ วนั ในครง้ั นั้นถ้า
พระอินทร์ไม่เอาพณิ ๓ สายมาดดี ให้ดู ไม่ร้วู ่าชวี ิตของพระองค์
จะเปน็ อย่างไร เมื่อพระองคไ์ ด้ร้วู ่า การปฏบิ ัตขิ องพระองคม์ ัน
ตึงเกนิ ไป เหมือนสายพิณทต่ี งึ เตม็ ท่ีก็มีแต่จะขาดไปเทา่ นน้ั เมอื่
พระองคไ์ ดก้ ลบั มาฉนั อาหาร ทำ� ใหร้ า่ งกายมคี วามสมบรู ณม์ ากขน้ึ
สตปิ ญั ญากม็ กี ารทำ� งานอยา่ งสมบรู ณไ์ ปดว้ ย พระองคจ์ งึ เขา้ ทาง
มชั ฌมิ าทางสายกลางได้ แลว้ พระองคก์ ไ็ ดต้ รสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้
อยา่ งสมบรู ณ์
เม่ือพิจารณาเรื่องของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้มาทบทวน
หวนระลึกได้ในค�ำเตอื นของตาปะขาว ๑๓๗
ในการปฏบิ ตั ขิ องตวั เอง กม็ คี วามเขา้ ใจวา่ เรากต็ งึ เกนิ ความพอดี
ไปเปน็ อยา่ งมากทเี ดยี ว ในคนื หนงึ่ ไดค้ ดิ ดำ� รเิ รอื่ งตาปะขาวทมี่ า
เตอื นว่า ตาปะขาวนีเ้ ป็นใครมาจากไหน ในคนื นน้ั ก�ำหนดจติ ลง
สสู่ มาธไิ ดแ้ ลว้ จงึ ไดร้ วู้ า่ ตาปะขาวนนั้ เปน็ หวั หนา้ เทพในระดบั สงู
ชนั้ ดาวดงึ ส์ ทา่ นผ้นู ้จี ะลงมาชว่ ยทา่ นผูใ้ ดได้ ท่านผู้น้นั จะต้องมี
ความอันเป็นไปในชีวิตท่ีไม่ควรจะเป็น ท่านจะลงมาช่วยใน
ลกั ษณะอย่างนเ้ี ทา่ น้ัน
ตง้ั หลกั ปฏบิ ตั ใิ หม่
จากนั้นก็มาพิจารณาการปฏิบัติของตัวเองท่ีผ่านมาว่า
การปฏิบัติน้ันผิดหรือถูก ก็รู้ได้ว่าอุบายวิธีปฏิบัตินั้นถูกต้อง
ทกุ ประการ เรอ่ื งสลบตายฟน้ื คนื มานนั้ เปน็ การบบี บงั คบั รา่ งกาย
เกินไปจนท�ำให้ร่างกายรับไม่ไหว จึงท�ำให้ร่างกายเกิดอาการ
ข้นึ มาอย่างนั้น เหมือนใชว้ ธิ ีเอาผลไม้ทีย่ ังไมแ่ กเ่ อามาบบี บังคบั
ให้มันสุก ในเม่ือมันสุกไม่ได้ก็เกิดมีอาการเน่าข้ึนมาได้ หรือ
เหมือนกับเครื่องยนต์รถที่มีก�ำลังเพียงเท่านี้ แต่ไปใช้งานเกิน
กำ� ลัง ก็ท�ำให้เครอื่ งพงั ไปได้ เหมือนกับตวั ถังรถทใี่ สน่ ำ�้ หนักเกนิ
ก�ำลังกพ็ ังได้เช่นกนั นีฉ้ ันใด การปฏิบัติทีผ่ ่านมาเปน็ ในลกั ษณะ
บังคบั ธาตุเกนิ ไป การให้อาหารสว่ นหยาบคือข้าวนำ้� ตา่ งๆ กไ็ ม่
พอแก่ความต้องการของธาตขุ ันธ์ การพกั ผ่อนทางร่างกายแทบ
ตั้งหลกั ปฏิบตั ิใหม่ ๑๓๙
จะไมม่ เี วลาพกั เลย การนอนใหห้ ลบั สนทิ ทเี่ ปน็ อาหารทสี่ ำ� คญั ทาง
รา่ งกาย ก็ไมไ่ ด้หลบั เพยี งพอ ส่งิ ทงั้ หมดน้ีคือความไมส่ มดลุ กนั
จึงท�ำใหร้ ่างกายเกิดความวิบัตไิ ปได้ ฉันน้นั
เมอ่ื มาเขา้ ใจในวธิ ยี ดื หยนุ่ ทางรา่ งกายแลว้ อยา่ งน้ี จากนไ้ี ป
กจ็ ะตง้ั หลกั ใหม่ จะใหค้ วามเปน็ ธรรมแกร่ า่ งกายบา้ ง ในเมอ่ื รา่ งกาย
มคี วามตอ้ งการอยา่ งนี้ กต็ อ้ งใหอ้ าหารเขาใหอ้ ม่ิ พอสมควร แตก่ ็
ไมใ่ หเ้ กนิ ความพอดจี นเกดิ ความเกยี จครา้ นขน้ึ มา มแี ตห่ ลบั นอน
จนเกนิ ไป หรอื อว้ นเหมอื นกบั หมู มนั จะเปน็ ชอ่ งทางใหก้ เิ ลสตณั หา
มีการฟักตัว เกิดมีก�ำลังต่อสู้กับสติปัญญา การภาวนาปฏิบัติก็
จะไมก่ ้าวหน้าแต่อยา่ งใด
การใหค้ วามเปน็ ธรรมแกธ่ าตขุ นั ธ์ ตอ้ งมกี ารพกั ผอ่ นหลบั
นอนพอสมควร ให้อาหารแก่ธาตขุ นั ธพ์ อทรงตวั อยไู่ ด้ ไม่ท�ำให้
รา่ งกายอ่อนเพลียจนเกนิ ไป การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ กใ็ ห้
อยู่ในความพอดี จึงจะเป็นมัชฌิมาทางสายกลางของธาตุขันธ์
เรียกว่าให้รู้จักสุขภาพของร่างกาย ให้มีก�ำลังต่อสู้เป็นคู่กับสติ
ปญั ญา เมื่อสตปิ ัญญาเป็นหลักในการปฏบิ ตั อิ ยู่แล้ว การสำ� รวม
ใจการพกั ใจในอุบายวิธกี ารทำ� สมาธิก็ไมล่ ดละ การใช้สตปิ ญั ญา
ก็ไม่มีการท้อถอย ทั้งสองอุบายน้ีท�ำให้เป็นสายโซ่เชื่อมโยงต่อ
๑๔๐ อตั โนประวัติ ภาค ๑
เนอ่ื งกนั อยตู่ ลอดเวลา การตงั้ หลกั ภาวนาปฏบิ ตั ใิ นครงั้ น้ี ตอ้ งใช้
สตปิ ญั ญาเปน็ หลกั ยนื ตวั ทสี่ ำ� คญั สว่ นการเดนิ จงกรม การนง่ั สมาธิ
กใ็ หเ้ ปน็ เพียงอริ ิยาบถในการประกอบความเพียรเท่านั้น
ค�ำว่าสมาธิ เป็นเรื่องของใจโดยตรง ส่วนการยืนเดินนั่ง
นอนนนั้ เปน็ เพยี งอริ ยิ าบถโดยธรรมชาตขิ องธาตขุ นั ธ์ แตก่ น็ ำ� มา
ประยุกตใ์ ชใ้ นวิธที ำ� ความเพยี รได้ เรยี กว่า การยืน เดิน นงั่ นอน
เป็นสว่ นประกอบในการปฏิบตั เิ ทา่ น้ัน หลักสำ� คัญในการปฏบิ ัติ
กค็ อื สตปิ ญั ญานน่ั เอง แตก่ ารภาวนาปฏบิ ตั ใิ นยคุ นช้ี อบนง่ั สมาธิ
กันมาก เหมือนกับผูกขาดไปว่าการท�ำสมาธิจะต้องน่ังเพียง
อย่างเดยี วเทา่ นน้ั นก่ี เ็ พราะความไมเ่ ข้าใจในสมาธนิ น่ั เอง คำ� วา่
สมาธมิ นั เปน็ เรอื่ งของจติ โดยตรง จะอยใู่ นอริ ยิ าบถใดกไ็ ด้ ขอให้
จิตมีความตั้งมน่ั ให้จติ มีความสงบ นั่นจึงเรยี กวา่ สมาธขิ องจริง
เหมือนกับรับประทานอาหาร ตอ้ งเอาความอม่ิ มาเป็นหลัก จะ
ยนื เดนิ นง่ั นอน รบั ประทานย่อมทำ� ไดท้ งั้ นน้ั ไมจ่ �ำเป็นตอ้ ง
ผกู ขาดวา่ ตอ้ งนง่ั รบั ประทานเพยี งอยา่ งเดยี ว การทำ� สมาธกิ ฉ็ นั นน้ั
ไม่จ�ำเป็นต้องผูกขาดว่านั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว การท�ำสมาธิ
ด้วยวธิ นี งั่ น้นั ท�ำได้ แต่ยนื เดนิ นอน ท�ำสมาธไิ ม่ได้ ความเข้าใจ
อยา่ งนไี้ มถ่ กู ตอ้ งเลย