The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อัตโนประวัติ ๑ โดย หลวงพ่อทูล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-03-05 21:44:03

อัตโนประวัติ ๑ โดย หลวงพ่อทูล

อัตโนประวัติ ๑ โดย หลวงพ่อทูล

Keywords: อัตโนประวัติ ๑,หลวงพ่อทูล

ดาบ คือสงั ขาร เปน็ อาวธุ ของศัตรู ๓๔๑

การสบั ฟนั แต่ไมม่ ดี าบ จะไมม่ ีผลอะไร นฉี้ ันใด มคี วามคดิ ใน
การปรุงแต่ง แต่ไม่มีสมมติให้ปรุงแต่ง หรือมีสมมติให้ปรุงแต่ง
แต่ไม่มีสังขารท่ีจะปรุงแต่ง เรื่องต่างๆ ก็จะไม่เกิดข้ึนก็ฉันน้ัน
หรอื เหมอื นมปี ากกา แตไ่ ม่มกี ระดาษทีจ่ ะเขียน หรอื มีกระดาษ
เขียน แต่ไม่มีปากกา ตัวหนังสือก็จะไม่เกิดข้ึนเลย น้ีฉันใด มี
สังขารการปรุงแต่ง แต่ไม่มีสมมติให้ปรุง หรือมีสมมติให้ปรุง
แต่ไม่มีสังขารในการปรุงแต่ง เรื่องต่างๆ ก็ไม่เกิดข้ึน ฉะนั้น
สังขารการปรุงแต่งกับสมมติจึงเป็นของคู่กัน มีความสัมพันธ์
ต่อกัน

ฉะน้นั ดาบจงึ ให้โทษให้คณุ ได้ ข้นึ อยูก่ บั บคุ คลท่จี ะน�ำไป
ใช้งาน ถ้าดาบไปตกอยู่ในมือของฝ่ายใด ฝ่ายน้ันจะเป็นผู้ชนะ
ถ้าดาบอยู่ในมอื ของต�ำรวจ ผู้รา้ ยกต็ อ้ งแพ้ ถ้าดาบตกไปอยใู่ น
มอื ของคนร้าย ต�ำรวจกแ็ พ้เชน่ กนั นีฉ้ นั ใด ความคิด ถา้ อยู่กบั
ฝ่ายกิเลสตัณหา ฝ่ายปัญญาก็ต้องแพ้ ถ้าความคิดอยู่กับฝ่าย
สติปัญญา ฝ่ายกิเลสตัณหาก็ต้องแพ้เช่นกัน ฉะนั้น ใครจะแพ้
ใครจะชนะ ก็ขน้ึ อย่กู บั ดาบอันเดยี วน้ีเท่านั้น แต่ขณะน้ี ดาบอยู่
กับศัตรู เราจะมีอุบายวิธีใดท่ีจะเป็นอุบายหลอกเอาดาบกับ
ศตั รูได้ ถ้าเรามคี วามฉลาดในอบุ ายทีด่ ี จะหลอกเอาความคดิ ที่

๓๔๒ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑

ไปหนนุ สงั ขารอยใู่ หก้ ลบั มาคดิ พจิ ารณาในทางสตปิ ญั ญา เปน็ สงิ่
ทไี่ มย่ ากเลย ใหเ้ ขา้ ใจเสยี วา่ สงั ขารการปรงุ แตง่ ถา้ ไมม่ คี วามคดิ
เปน็ ตวั สนบั สนนุ สงั ขารการปรงุ แตง่ จะคดิ อะไรไมไ่ ดเ้ ลย ปญั ญา
ก็เชน่ กัน ถา้ ไมม่ ีความคิด การใช้ปญั ญาพิจารณาในสิ่งใดก็ไมไ่ ด้
เช่นกัน

ฉะนน้ั ความคดิ จงึ เปน็ ตวั แปรทสี่ ำ� คญั ใจเรา ถา้ ใชค้ วามคดิ
ใหเ้ ปน็ ไปในทางกเิ ลสตณั หาอยบู่ อ่ ยๆ ใจกค็ ลอ้ ยตามกเิ ลสตณั หา
ไปดว้ ย ถ้าคดิ พิจารณาในทางธรรมอย่บู อ่ ยๆ ใจกค็ อ่ ยเอนเอยี ง
เขา้ มาในทางธรรมเชน่ กนั ถา้ ความคดิ เขา้ ฝา่ ยกเิ ลสตณั หาเมอื่ ไร
จะเป็นตัวสร้างมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดให้เกิดข้ึนกับใจแน่นอน
เราตอ้ งสรา้ งนโยบายในการคดิ เสยี ใหม่ คดิ ในสงิ่ ใดใหเ้ ปน็ ไปตาม
หลักของความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา ฝึกใจให้เกิดความเคยชิน
ในสจั ธรรมนใ้ี หไ้ ด้ ในอดตี ทผี่ า่ นมา ใจมีความเหน็ ผดิ ตามสังขาร
การปรุงแต่งในฝ่ายกิเลสตัณหามายาวนาน เราต้องเปล่ียน
ในทัศนคติคอื แนวความคิดเสยี ใหม่ คดิ พจิ ารณาในสิง่ ใด ให้เป็น
ไปตามไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เสมอ ให้ใจ
ได้รู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่บ่อยๆ ใจก็จะค่อยเปลี่ยนจาก
มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดกลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่

ดาบ คอื สังขาร เป็นอาวุธของศัตรู ๓๔๓

ถูกต้องชอบธรรมได้ เพราะใจได้หลงความเป็นจริงมานานแล้ว
จ�ำเปน็ ตอ้ งอบรมใจสอนใจให้รู้เหน็ ตามความเปน็ จรงิ ให้มากขน้ึ
และให้รู้เห็นในทุกข์ โทษ ภัย ในสังขารการปรุงแต่งในสมมติ
ให้ได้ ให้ใจได้รู้เห็นในสมมติแต่ละอย่างให้ชัดเจน ฝึกความคิด
ทางปัญญาให้เหนือกว่าความคิดในทางสังขารการปรุงเอาไว้
ใจจะเป็นผ้ตู ัดสนิ เองวา่ อะไรหลอก อะไรจริง

ตามปกตทิ ผ่ี า่ นมา ความคดิ ฝา่ ยสงั ขารจะปกปดิ ความจรงิ
ตลอดมา หาเอาสิ่งที่ชอบใจในความสวยงาม มาปกปิดในส่ิง
สกปรกเอาไว้ เอาสิ่งท่ีหอมมาปกปดิ ความเหม็น เอาความสุขใน
กามคุณมาปกปิดความทุกข์ เอาส่ิงท่ีไม่มีความถาวรม่ันคงมา
หลอกใจให้หลงว่าเป็นของเที่ยง เอาฆนอัตตามาปิดบังอนัตตา
เอาสง่ิ ท่ีไมใ่ ช่ของของเรามาประกาศหลอกใจว่าเปน็ ของของเรา
เอาส่ิงที่ไม่มีสาระมาหลอกใจว่าเป็นสิ่งมีสาระ ใจท่ีถูกสังขาร
การปรุงแต่งปิดบังความจริงอย่างนี้มายาวนาน จึงเกิดเป็น
มิจฉาทฏิ ฐิความเห็นผิดตามสงั ขารมาตลอด

บัดน้ีสติปัญญาได้รับข้อมูลที่เป็นจริงจากค�ำสอนของ
พระพุทธเจ้ามาแลว้ เพือ่ จะนำ� มาพิสจู น์ความจรงิ ความคิดของ
สังขารปกปิดที่ไหน ความคิดทางปัญญาจะเปิดเผยดูความจริง

๓๔๔ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑

ในทีน่ ัน้ ความคิดของสังขารพยายามปดิ บังสมมติ แต่ความคดิ
ทางปัญญาจะเปดิ เผยความจรงิ ในสมมตินีใ้ ห้ได้ ดซู ิวา่ ความคดิ
ของสังขาร กับความคดิ ของปญั ญา ฝ่ายไหนจะมกี ำ� ลังมากกวา่
กัน ถ้าความคิดทางปัญญามีน้อย ความคิดทางสังขารมีมาก
เราก็จะเป็นผู้แพ้อีกต่อไป ถ้าความคิดทางปัญญามีมาก ก็จะ
สามารถเปิดเผยสมมติให้ใจได้รู้เห็นในสมมติทั้งหมดได้อย่าง
ชัดเจน น่ันเรียกว่า ญาณทัสสนะ รู้เห็นตามความเป็นจริงใน
สมมตนิ น้ั ๆ หรือเปน็ ทสั สนญาณ เห็นความจริงและรู้ความจรงิ
ในสมมติทัง้ หลาย เม่อื ใจไดร้ เู้ ห็นความจริงในสมมติเมื่อไร กใ็ จ
นั่นแหละจะปล่อยวางในสมมติเอง คำ� วา่ โมหะ ความหลง กค็ ือ
ใจหลงในสมมตนิ ี้ อวชิ ชา ความไมร่ ู้ ก็คือไม่รู้ในสมมตินท้ี ั้งนัน้

คำ� วา่ ดาบ กค็ ือความคดิ ท่ีเป็นสังขารการปรงุ แต่งน่นั เอง
เมื่อเรามีอุบายที่ดี หลอกเอาความคิดอันน้ีมาเข้าทางปัญญาได้
เมื่อไร ในสังขารจะไม่มีอาวุธต่อสู้ทางปัญญาเลย จึงเรียกว่า
ปญั ญาวธุ อาวธุ คอื ปญั ญากเ็ ปน็ ในลักษณะน้ี ในเมอ่ื ใจมีปญั ญา
ที่ดี จึงเรียกว่าปัญญาเป็นตาของใจ หรือเรียกว่าปัญญาเป็น
แสงสว่างให้แก่ใจ ใจมีความสว่างทางปัญญาเม่ือไร จึงเรียกว่า
นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา แสงสว่างอ่ืนใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

ดาบ คอื สังขาร เป็นอาวธุ ของศัตรู ๓๔๕

ทั้งสามโลกธาตุน้ี ไม่มีสมมติใดในสามภพมีความล้ีลับปกปิด
อำ� พรางปญั ญานไี้ ดเ้ ลย จงึ เรยี กวา่ นตถฺ ิ โลเก รโหนาม ความลบั
ในโลกนไ้ี มม่ ี ปญั ญาจะสอดสอ่ งรเู้ หน็ ตามความเปน็ จรงิ ไดท้ งั้ หมด
วา่ ในสมมตทิ กุ อยา่ งอยใู่ นสภาพของไตรลกั ษณ์ คอื อนจิ จงั ทกุ ขงั
อนตั ตา นท้ี ้งั หมด

ฆนะท่ีเปน็ กอ้ นเป็นกลุ่มในส่ิงใด ปญั ญาจะเข้าไปท�ำลาย
กระจายออกมาเป็นช้ินเป็นส่วน ไม่มีในค�ำว่าอัตตาตัวตนแต่
อยา่ งใด เมอื่ ตนไมม่ ี เรากไ็ มม่ ี เขากไ็ มม่ ี คำ� วา่ ของของตนจะไมม่ ี
ความหมายอะไร ทุกอย่างเป็นเพียงสมมติที่มีความอาศัยกัน
อยู่ชั่วขณะ อีกไม่กี่วันเดือนปีก็จะแตกสลายไปตามธรรมชาติ
ในตัวมันเอง น้ีเรียกว่าปัญญารอบรู้ตามความจริงในสัจธรรม
การตีความหมายในนิมิตนี้ ต้องเป็นนิมิตของตัวเองเท่านั้น
จึงตคี วามถูกได้

นิมติ ทุกอยา่ ง ไมว่ า่ จะเปน็ สุบนิ นมิ ิตและอุคคหนมิ ิต เมื่อ
เกิดข้ึนกับใครๆ แล้ว ถ้าผู้น้ันไม่มีปัญญาท่ีดี ไม่มีความฉลาด
รอบรู้ นมิ ติ น้นั กไ็ ม่มีประโยชน์แต่อยา่ งใด เกดิ ขึ้นแล้วก็เพียงนำ�
มาเล่าสู่กันฟังเล่นๆ ไปเท่าน้ัน หรือบางทีอาจจะตีความหมาย
ไปในทางอื่น ไม่เกิดประโยชน์ในทางธรรมแต่อยา่ งใด เช่น นิมติ

๓๔๖ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑

วา่ ตวั เองนอนอยใู่ นหลมุ ในบอ่ หรอื ตกอยใู่ นทอ่ี นั สกปรกโสโครก
ก็จะตีความไปว่า ชะตาไม่ดี ดวงตก ต้องไปหาหมอมาแต่งแก้
เสียเคราะห์สะเดาะนามต่อชะตากรรมไป หรือนิมิตเห็นเสือไล่
นิมิตเห็นงูมาเก่ียวพัน ก็จะตีความว่าเป็นลางร้ายไป อาจจะมี
ภัยอันตรายเกิดข้ึนในชีวิตของตัวเอง จะเกิดความไม่สบายใจ
ทุกข์ใจ มีความระวังตัวอยู่ตลอดเวลา หรือนิมิตว่าเราไปเห็น
ปราสาทอันสวยงามเหมือนกับตัวเองได้ไปอยู่ในที่น้ัน ก็จะ
ตีความหมายในนิมิตนั้นไปว่าเรามีบุญกุศลที่ดี ใจมีความสุข
ยม้ิ แย้มแจม่ ใสอยตู่ ลอดเวลา

ฉะนน้ั นมิ ติ จงึ ตคี วามไดห้ ลายวธิ ี ตคี วามไปในทางโลกกไ็ ด้
ตคี วามไปในทางธรรมก็ได้ ถา้ นมิ ติ นน้ั เกดิ ขน้ึ กับผภู้ าวนาปฏบิ ตั ิ
เปน็ ผมู้ ปี ญั ญาท่ดี ี ทา่ นผู้น้ันจะตีความในนิมิตไปในทางธรรมได้
อยา่ งถกู ตอ้ ง นมิ ิตน้นั ก็จะเกิดประโยชน์ เป็นอบุ ายให้แก่ปญั ญา
ได้เป็นอย่างดี นิมิตแปลว่าความหมาย หมายเอาว่าต้องเป็น
อย่างน้ัน ต้องเป็นอย่างนี้ ผู้ปฏิบัติภาวนาควรจะตีความหมาย
ในนิมิตไปในทางธรรมเท่าน้ัน เหมือนข้าพเจ้าตีความหมายใน
นมิ ติ เปน็ ตวั อยา่ งไวแ้ ลว้ หากทา่ นจะเลยี นแบบไดก้ จ็ ะเปน็ การดี

ในปที จี่ ำ� พรรษาอยทู่ ว่ี ดั ถำ�้ กลองเพลน้ี มกี ำ� ไรในการปฏบิ ตั ิ

ดาบ คอื สังขาร เปน็ อาวุธของศัตรู ๓๔๗

เป็นอย่างมากทีเดียว ในวันหนึ่ง ได้ไปปรึกษาหลวงปู่ขาวว่า
สถานทภี่ าวนาปฏบิ ตั คิ วรจะเปน็ อยา่ งไร ทอี่ ยา่ งไรจะมคี วามสะดวก
ในการภาวนา หลวงปู่ก็ได้เล่าถึงสถานที่อันเป็นสัปปายะใน
การภาวนาปฏบิ ตั ิ ในหลายแหง่ ทหี่ ลวงปไู่ ดเ้ คยปฏบิ ตั ผิ า่ นมาแลว้
วา่ ทกุ แหง่ เปน็ สถานทดี่ ๆี ทงั้ นน้ั สถานทจี่ ะภาวนาดที ส่ี ดุ ในยคุ นี้
ต้องไปภาวนาปฏิบัติทางภาคเหนือ เพราะทางภาคเหนือไม่มี
คนไปมาหาสู่จุ้นจ้านเหมือนภาคอีสาน เขาเอาข้าวกับอาหาร
ใสบ่ าตรแลว้ กแ็ ลว้ กนั ไป เขาไมต่ ามมาขอเลขขอหวยเหมอื นทาง
บา้ นเรา แตล่ ะวนั แตล่ ะคนื การภาวนาปฏบิ ตั มิ คี วามตอ่ เนอื่ งกนั
อยู่ตลอด ไมข่ าดวรรคขาดตอน จะยนื เดนิ นัง่ นอน ในที่ไหน
ไมค่ ิดว่าจะมคี นไปมาหาสู่

สว่ นภาคเรา มแี ตค่ นเลน่ เลขเลน่ หวยกนั มาก ไปพกั ภาวนา
ปฏิบัติอยู่ในท่ีไหน มีแต่คนไปขอหวยขอเบอร์วุ่นวายไปหมด
ขอเลขสองตวั สามตวั ขอฟงั นมิ ติ ความฝนั บอกวา่ ไมฝ่ นั กย็ งั บงั คบั
ให้ฝันอยู่น่ันแหละ บางทีก็ไปคอยสังเกตดูความเคลื่อนไหว
เอามอื เกาหวั หรอื มอื จบั อะไรกแ็ ลว้ แต่ เอามาตเี ปน็ เลขเปน็ เบอร์
ไปเสยี ทง้ั หมด หรอื พดู ธรรมะหมวดนน้ั หมวดน้ี บอกวธิ กี ารรกั ษา
ศลี ๕ ศีล ๘ กน็ ำ� ไปตีเป็นเลขเป็นเบอร์ไป ในบางทีกต็ รงกนั กับ

๓๔๘ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑

เลขตัวท่ีมันออก ก็เล่าลือกันไปว่าอาจารย์องค์น้ันใบ้หวยแม่น
แลว้ กพ็ ากนั มารมุ ลอ้ มเขา้ มาอกี มอี าหารหวานคาวฉนั เครอื่ งดม่ื
นมเนยเต็มไปหมด ดูซิ อาจารย์องค์ไหนที่เขาเคยได้เงินด้วย
ถึงวันกลางเดือนสิ้นเดือน พากันไปเต็มอยู่ที่วัด ไปคอยจับเอา
คำ� พดู บา้ ง ไปคอยจับเอาความเคลอ่ื นไหวบ้าง ทง้ั ท่ีทา่ นเองไม่มี
เจตนาไปในทางเลขทางเบอร์เลย ถึงบางคนไปนับเอาก้าวขา
ของท่าน ก็เอาไปซื้อเลขไปด้วย บางคนไปน่ังนับค�ำข้าวท่ีท่าน
ฉนั ว่ามีกี่ค�ำ ก็น�ำไปซือ้ เลขอกี

ทางทด่ี ใี ห้ไปภาวนาปฏบิ ัตทิ างภาคเหนอื นะ จะไดม้ เี วลา
เรง่ ภาวนาปฏิบตั ไิ ด้อยา่ งเตม็ ที่ ขา้ พเจา้ ถามหลวงปู่วา่ หลวงปู่
จะให้กระผมไปภาวนาในที่จังหวัดไหนจึงจะดี หลวงปู่ว่า ไป
ภาวนาปฏิบตั ิอยเู่ ขตจังหวดั เชียงรายนะ ไปหาอยู่ตามบ้านนอก
ห่างไกลจากเสียงรบกวน จิตก็จะเป็นสมาธิต้ังม่ันได้ดี การใช้
ปญั ญาพจิ ารณากจ็ ะมคี วามตอ่ เนอื่ งกนั จะเปน็ กายวเิ วก จติ วเิ วก
จะรเู้ หน็ ในสจั ธรรมตามความเป็นจริงอยา่ งแจม่ แจ้งชดั เจนดี

เมื่อได้ฟังหลวงปู่เล่าให้ฟังดังนี้ ใจมันอยากจะไปภายใน
วนั สองวนั นเี้ อง ทแี รกคดิ วา่ หลวงปจู่ ะบอกใหไ้ ปปฏบิ ตั ทิ จี่ งั หวดั
เชยี งใหม่ เพราะหลวงปไู่ ดร้ แู้ จง้ ในธรรมในเขตอำ� เภอพรา้ ว จงั หวดั

ดาบ คอื สังขาร เปน็ อาวธุ ของศัตรู ๓๔๙

เชียงใหมม่ าแล้ว แต่กเ็ ชื่อในค�ำบอกของหลวงปู่ หลวงป่วู ่าให้ไป
ในเขตจังหวัดเชียงราย เหมือนกับว่าหลวงปู่ได้พิจารณาแล้ว
เราจะต้องรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมในเขตจังหวัดเชียงรายใน
เรว็ วนั

น่ีก็เป็นตัณหาอีกอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นตัณหาคิดอยากไป
ในทางที่ดี มีความอยากในทางทจี่ ะหลุดพน้ ไป ตณั หาประเภท
นเี้ มอื่ ใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนแ์ ลว้ จะเปน็ กำ� ลงั ใจในการปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ปน็
อย่างดี ดังค�ำบาลีว่า ตณฺหาย ตรติ โอฆํ ผู้จะข้ามมหรรณพ
ได้เพราะตัณหา ตัณหาความอยากนั้นมีสองอย่าง คือ ตัณหา
ความอยากในทางโลก และตัณหาความอยากไปในทางธรรม
ตัณหาความอยากในทางโลกเป็นความอยากไปตามกระแส
ถึงจะมีความสุขก็เป็นความสุขเจือด้วยน้�ำตาอันเป็นทุกข์
จะหาความสขุ ลว้ นๆ ไมไ่ ดเ้ ลย แตค่ นทง้ั หลายกม็ คี วามยนิ ดพี อใจ
ในตัณหาประเภทนีเ้ ป็นอย่างมากทเี ดยี ว

ส่วนความอยากอีกประเภทหน่ึง เป็นความอยากไปใน
ทางท่ดี ี เชน่ อยากไหวพ้ ระสวดมนต์ อยากท�ำบญุ ให้ทาน อยาก
รกั ษาศลี อยากภาวนาปฏบิ ตั ิ หรอื อยากละอาสวกเิ ลสใหห้ มดสน้ิ
ไปจากใจ หรอื อยากหลดุ พน้ เขา้ ส่มู รรคผลนพิ พาน ความอยาก

๓๕๐ อตั โนประวัติ ภาค ๑

ประเภทนเ้ี ปน็ ความอยากของนกั ปราชญเ์ จา้ ทงั้ หลาย ควรสง่ เสรมิ
ใหค้ วามอยากประเภทนม้ี แี กต่ วั เองใหม้ าก เพราะเปน็ ความอยาก
ทน่ี กั ปราชญย์ อมรบั และตอ้ งการ ความอยากอยา่ งน้ี ในหมภู่ าวนา
ปฏบิ ัตมิ ีความตอ้ งการมากทีเดียว

ฉะนนั้ ผภู้ าวนาปฏบิ ตั ติ อ้ งรจู้ กั แยกแยะในคำ� วา่ ตณั หาคอื
ความอยากนี้ให้เป็น ไม่เช่นน้ันจะเกิดความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้
เพราะได้ยินจากผู้สอนภาวนาปฏิบัติมามากแล้วว่าให้พากัน
ละตณั หา คอื ความอยากทง้ั หมด ไมใ่ หม้ คี วามอยากอะไรภายในใจ
ไมใ่ ห้ทำ� อะไรเนือ่ งจากความอยากทั้งนั้น นค่ี อื ความไมเ่ ขา้ ใจใน
คำ� วา่ ตณั หา ความดกี ไ็ มอ่ ยากทำ� ความชวั่ กไ็ มอ่ ยากทำ� การพดู มา
อยา่ งนมี้ นั ผดิ จากเปา้ หมายความเปน็ จรงิ ตามปกตแิ ลว้ นกั ปราชญ์
ทา่ นมคี วามสรรเสรญิ ในการสรา้ งคณุ งามความดี ใหม้ กี ารละเวน้
ในทางท่ีไม่ดีเท่าน้ัน แม้แต่พระอรหันต์ก็ไม่มีวิธีอย่างนี้ เพราะ
ทา่ นไมม่ ตี ณั หาภายในใจอยแู่ ลว้ ถงึ ทา่ นจะทำ� ดใี นวธิ ตี า่ งๆ อยา่ งไร
ก็เป็นเพียงกิริยาในการท�ำเท่านั้น ท่านไม่ได้ต้ังเป้าหมายในผล
การทำ� ดีแตอ่ ยา่ งใด

นเ่ี ราเปน็ ปถุ ชุ นจะมาทำ� ตนใหเ้ หมอื นพระอรหนั ต์ จงึ เปน็
สง่ิ ไมถ่ กู ตอ้ งแตอ่ ยา่ งใด เพราะในการเรมิ่ ตน้ ในการบำ� เพญ็ บารมี

ดาบ คอื สังขาร เปน็ อาวุธของศตั รู ๓๕๑

ต้องมีตัณหาคือความอยากก่อนทั้งนั้น แต่ก็ต้องเป็นตัณหา
ความอยากในทางทด่ี ี ตวั อยา่ งพระพทุ ธเจา้ ของพวกเราทงั้ หลาย
ก่อนท่พี ระองค์จะไดต้ รสั ร้เู ป็นพระพุทธเจา้ ได้ พระองค์มีตัณหา
คอื อยากเปน็ พระพทุ ธเจา้ สรา้ งบารมคี ดิ อยใู่ นใจ ปรารถนาอยาก
เป็นพระพุทธเจ้า มคี วามยาวนาน ๙ อสงไขย อุทานออกเสียง
ปรารถนาท่ีอยากเป็นพระพุทธเจา้ มคี วามยาวนาน ๗ อสงไขย
จนไดร้ บั พยากรณจ์ ากพระพทุ ธเจา้ ทปี งั กรวา่ จะไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้
องคห์ นง่ึ ในภายภาคหนา้ นบั แตบ่ ดั นเ้ี ปน็ ตน้ ไป มคี วามยาวนานถงึ
๔ อสงไขย รวมแลว้ พระพทุ ธองคบ์ ำ� เพญ็ บารมนี านถงึ ๒๐ อสงไขย
พระองคส์ รา้ งบารมีอาศัยความอยากคือตณั หา

นี่จะมาสอนกันใหล้ ะตัณหา ในขั้นเริ่มตน้ อย่างนี้ กำ� ลังใจ
อยากจะทำ� ความดจี ะมมี าจากทไี่ หน เพราะเปน็ ธรรมดาของปถุ ชุ น
ผ้กู ำ� ลังแสวงหาต้องมคี วามอยากเอาไว้ เช่น อยากได้ครูอาจารย์
ทดี่ ี อยากฟงั ธรรมจากทา่ น อยากปฏบิ ตั จิ นไดร้ บั ผลในธรรมนน้ั ๆ
ฉะนน้ั ความอยากจึงเปน็ ฐานในการสร้างคณุ ความดีต่อไป มใิ ช่
วา่ จะไมม่ คี วามอยากไปเสยี ทง้ั หมด แตต่ อ้ งมปี ญั ญาในวธิ ปี อ้ งกนั
ในความอยากในทางทต่ี ำ่� ชา้ เลวทราม ใหม้ ีความฉลาดรอบร้ใู น
วธิ กี ารสง่ เสริมในความอยากในทางท่ีดใี หเ้ กิดขึน้ ภายในใจ เพอ่ื

๓๕๒ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑

ให้เกิดก�ำลังใจในการบ�ำเพ็ญบุญกุศล เพ่ือเป็นก�ำลังหนุนส่งให้
ถงึ ซึ่งมรรคผลนิพพาน

เหมือนกับศรัทธาความเช่ือ หลายๆ คนยังไม่เข้าใจใน
คำ� วา่ ศรทั ธาเทา่ ไรนกั เพราะตามปกตแิ ลว้ คนเรามคี วามเชอื่ อยู่
ในตัวเองอยู่แล้ว แต่จะใช้ความเช่ือให้เป็นไปในทางไหนนั้น
ขึ้นอยู่กับความเห็นแต่ละบุคคล ถา้ ผูม้ ีปญั ญาที่ดีมีเหตผุ ล จะไม่
ตัดสินใจเช่ืออะไรท่ีงมงาย ต้องเอาส่ิงที่ได้ยินมาตริตรองให้
สมเหตสุ มผลกอ่ นจงึ เชอ่ื ในภายหลงั หรอื อา่ นหนงั สอื จากตำ� รามา
ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาก่อนว่าธรรมะในต�ำรามีเหตุผลพอ
เชอ่ื ถอื ไดห้ รอื ไม่ ตอ้ งใชเ้ หตผุ ลมาเปน็ ตวั ตดั สนิ ชข้ี าด ถา้ มเี หตผุ ล
รองรบั ทดี่ จี งึ ตดั สนิ ใจเชอ่ื ถา้ ความรนู้ น้ั ขดั กนั กบั เหตผุ ล กไ็ มต่ อ้ ง
เชอ่ื ในความรนู้ นั้ ๆ จงึ เรยี กวา่ ศรทั ธาญาณสมั ปยตุ คอื พจิ ารณาดว้ ย
ปญั ญาเขา้ กนั ไดใ้ นเหตผุ ลกอ่ นจงึ เชอ่ื นจ้ี งึ เรยี กไดว้ า่ ความเชอ่ื ถอื
ของนักปราชญเ์ จา้ ท้งั หลาย

สว่ นความเชอื่ ของผไู้ มม่ ปี ญั ญา จะเชอ่ื ในสงิ่ ใดจะขาดจาก
เหตผุ ล ได้ยนิ ใครพูดมาอยา่ งไรกเ็ ชอ่ื ตาม หรือไดอ้ ่านหนงั สอื มา
อยา่ งไรกเ็ ชอื่ ไปเสยี ทงั้ หมด ไมม่ กี ารพจิ ารณาในเหตผุ ลแตอ่ ยา่ งใด
จึงเรยี กวา่ ศรัทธาวปิ ปยตุ เรยี กวา่ ผ้มู คี วามเชอื่ ทีง่ มงาย เขาว่า

ดาบ คอื สงั ขาร เป็นอาวธุ ของศตั รู ๓๕๓

ถูกกถ็ กู ดว้ ย เขาวา่ ผิดก็ผิดดว้ ย ถา้ เป็นอย่างนี้จะเป็นผู้ไมม่ ีหลกั
เป็นท่พี ึ่งให้แกต่ วั เอง และเปน็ ผนู้ ำ� ของผอู้ ืน่ ไม่ได้เลย

พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวว้ า่ จงเปน็ ผมู้ คี วามเชอ่ื มน่ั ในเหตผุ ล
ของตวั เองเปน็ หลกั สำ� คัญ ต้องเปน็ ผูม้ ีหลักการ อดุ มการณ์ เป็น
ของตัวเองอย่างมีเหตุผล จึงเรียกว่าตนแลเป็นที่พ่ึงแห่งตน
อยา่ งมั่นคง ฝึกตนให้มคี วามหนกั แนน่ อย่าเปน็ ผู้ใจเบาหเู บาไป
ตามขา่ วลอื อยา่ ทำ� ตวั เหมอื นเอาไมป้ กั ทราย หรอื เอาไมป้ กั ขโี้ คลน
ข้ีเลน ถูกลมพัดไปทางไหนก็เอนเอียงไปทางน้ัน จะมีนิสัยเป็น
คนต่ืนข่าวอย่างงมงายไปโดยไม่รู้ตัว จะตกอยู่ในหมู่กาลามชน
ชนกลุม่ นมี้ คี วามเชอ่ื ทีข่ าดจากเหตผุ ลที่ถูกต้อง และเปน็ กลุ่มท่ี
เชอ่ื ตวั บคุ คลเป็นหลัก

เชน่ เชอ่ื ในครอู าจารยข์ องตวั เองมากเกนิ ไป โดยเราไมต่ อ้ ง
คดิ พิจารณาในความถูกตอ้ งแต่อยา่ งใด อาจารยส์ อนผดิ สอนถกู
อยา่ งไรกเ็ ชอ่ื ไปอยา่ งนนั้ การเชอื่ ในลกั ษณะอยา่ งนพี้ ระพทุ ธเจา้
ไมส่ รรเสรญิ เลย แตถ่ ้าอาจารยข์ องเราเป็นพระอริยเจ้าองคจ์ ริง
กเ็ ปน็ ผลดกี ับตัวเราไป ถา้ อาจารยไ์ มเ่ ปน็ พระอรยิ เจา้ จริงก็เสีย่ ง
อยมู่ าก อาจผิดได้ถกู ได้ หากทา่ นยังเป็นปถุ ชุ น แต่ทา่ นกเ็ ขา้ ใจ
ในแนวทางการภาวนาปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง เรากม็ สี ว่ นถกู ตอ้ งไปดว้ ย

๓๕๔ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑

เม่อื อุบายวธิ กี ารปฏบิ ัตขิ องครอู าจารยไ์ มถ่ กู เรากไ็ ม่ถูกไปดว้ ย
หากมคี ำ� ถามวา่ จะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ ครอู าจารยส์ อนผดิ สอนถกู

คำ� ตอบ เราควรไดศ้ กึ ษาประวตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ ใหเ้ ขา้ ใจ ตรงไหน
ท่ีพระพุทธเจ้าว่าผิด ตรงไหนท่ีพระพุทธเจ้าว่าถูก เราก็จะได้รู้
และเขา้ ใจไดท้ นั ที ฉะนน้ั เราตอ้ งเอาพระพทุ ธเจา้ และพระอรยิ เจา้
เป็นหลกั เรอ่ื งประวัตขิ องพระอรยิ เจ้าในพระสตู รมีมากมาย ถ้า
เราเขา้ ใจประวตั ขิ องพระอรยิ เจา้ ดแี ลว้ เราจะไดเ้ อามาเปรยี บเทยี บ
กบั คำ� สอนครอู าจารยใ์ นยคุ ปจั จบุ นั นไี้ ดท้ นั ที วา่ ในยคุ นอ้ี าจารย์
องค์ไหนสอนผิดสอนถูก เราก็จะได้รู้ ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นนิสัย
ความเช่ือทีเ่ ลอ่ื นลอย จะไม่มคี วามม่นั คงแต่อย่างใด รบั ผดิ ชอบ
ในความเช่ือของตัวเองกไ็ ม่ได้ ฝกึ ตวั เองใหเ้ ปน็ ผู้หเู บา วอกแวก
งมงาย ไร้เหตผุ ล จะพงึ่ ตนไมไ่ ดจ้ นตลอดวนั ตาย หนำ� ซ�ำ้ ยงั จะ
เป็นนิสยั ติดตวั ไปในภพชาติหน้าด้วย

นสิ ยั ของหลวงปู่ขาว

นิสยั ของหลวงปู่ขาว ถา้ ใครๆ ไดเ้ ขา้ ไปกราบไหวแ้ ลว้ จะ
รนู้ สิ ยั ทา่ นเปน็ อยา่ งดี หลวงปขู่ าวเปน็ ผมู้ นี สิ ยั ในความเมตตาสงู
มากทีเดียว ใครๆ ไดไ้ ปพบเหน็ กราบไหวท้ ่านแล้ว ไม่อยากท่ีจะ
ลกุ หนไี ปจากทา่ นไป มคี นพดู กนั อยมู่ ากวา่ ไปนงั่ อยกู่ บั หลวงปขู่ าว
มคี วามเยน็ ใจเปน็ อยา่ งมาก ใครมปี ญั หาอะไร จะมาขอความเมตตา
จากหลวงปูอ่ ยู่เสมอ เรียกวา่ ผู้มีเมตตาอย่างสมบรู ณ์ เมตตาทาง
กาย กริ ยิ ามรรยาททแ่ี สดงออกมคี วามยมิ้ แยม้ แจม่ ใส ใหค้ วามเมตตา
กับทุกๆ คน ไม่ว่าคนมีฐานะดีหรือมีฐานะยากจนขาดแคลน
หลวงปขู่ าวใหค้ วามเมตตาเสมอภาคกนั เมตตาทางวาจา หลวงปขู่ าว
มีน�้ำเสียงที่นุ่มนวลแผ่วเบา น�้ำเสียงไม่เข้าไปกระทบกระแทก
แดกดนั หวั ใจใครใหเ้ จบ็ ปวดบอบชำ�้ คำ� พดู ธรรมะแตล่ ะประโยค

๓๕๖ อัตโนประวัติ ภาค ๑

มีคุณค่ามาก ธรรมะประโยคเดียวกันเราเคยรู้จากต�ำรามาแล้ว
หรอื ไดฟ้ งั จากครอู าจารยอ์ งคอ์ นื่ แลว้ กต็ าม เมอ่ื ฟงั มาแลว้ กเ็ ฉยๆ
เมอ่ื มาไดฟ้ งั ธรรมะจากหลวงปขู่ าวในประโยคเดยี วกนั คนผฟู้ งั จะ
เกดิ ความรสู้ กึ ยอมรบั เอาธรรมะหมวดนนั้ ไปปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งฝงั ใจ

เชน่ หลวงปพู่ ดู วา่ ใหพ้ ากนั ไหวพ้ ระทกุ คนื กอ่ นนอนนะ เขา
กท็ ำ� ตามหลวงปจู่ รงิ ๆ บอกใหน้ งั่ สมาธบิ รกิ รรมวา่ พทุ โธ เขากน็ ำ�
ไปภาวนาจรงิ ๆ บอกใหเ้ ขารกั ษาศลี ๕ ใหม้ คี วามบรสิ ทุ ธน์ิ ะ เขาก็
รกั ษาจรงิ ๆ บอกธรรมะอะไรมา เขายอมรบั นำ� ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ตามความสามารถของเขา ความเมตตาในทางกาย ความเมตตา
ทางวาจา เปน็ ผลสะท้อนออกมาจากความเมตตาภายในใจของ
หลวงปดู่ ว้ ยความบรสิ ทุ ธจ์ิ รงิ ๆ ในเมอ่ื ใจมคี วามเมตตาแลว้ รศั มี
ที่แสดงออกมาทางกายและวาจาจึงได้ปรากฏแก่ผู้ได้พบเห็น
กราบไหว้ การเคล่ือนไหวไปมาในอิริยาบถต่างๆ ก็แฝงอยู่ใน
ความเมตตา ตลอดสายตาและใบหน้ามีความยิ้มแย้มแจ่มใส
รบั แขกทไ่ี ปมาหาสอู่ ยตู่ ลอดเวลา ไมม่ กี ริ ยิ าทเ่ี ปน็ ไฟแฝงออกมา
ทางกายและวาจานเ้ี ลย มคี วามเยอื กเยน็ เขา้ ไปในหวั ใจในสว่ นลกึ
ของผไู้ ดไ้ ปสัมผัสมาแลว้

พระเณรหรอื ญาตโิ ยม ถา้ ไดฟ้ งั หลวงปอู่ ธบิ ายธรรมะแลว้

นสิ ัยของหลวงปขู่ าว ๓๕๗

ทกุ คนจะตัง้ ใจฟงั อย่างเงียบสนิทเลยทีเดยี ว จับเอาอุบายธรรม
จากหลวงปขู่ าวคนละขอ้ สองขอ้ เปน็ ธรรมทม่ี คี ณุ คา่ มากสำ� หรบั
ทา่ นผู้นั้น ธรรมะน้นั เคยได้ฟังจากที่อนื่ มาแล้วก็ตาม เมอ่ื ไดม้ า
ฟงั ธรรมจากหลวงปขู่ าว ถงึ จะเปน็ ธรรมขอ้ เดยี วกนั แตค่ วามซาบซง้ึ
น้ันต่างกัน น่ีก็เพราะธรรมนั้นได้ผ่านความเมตตาจากหลวงปู่
นนั่ เอง พระธรรมนน้ั ไดม้ าจากครอู าจารยท์ เ่ี รามคี วามเคารพเชอื่ ถอื
พระธรรมนน้ั จะมีคณุ ค่ามาก ถา้ ฟังธรรมจากครอู าจารย์ที่เราไม่
เคารพ ฟงั แลว้ กเ็ ฉยๆ แทบไมม่ คี วามหมายอะไร หลวงปขู่ าวเปน็
ทเี่ คารพแกห่ มชู่ น ธรรมะทห่ี ลวงปอู่ ธบิ ายใหฟ้ งั กเ็ ปน็ ธรรมะพนื้ ๆ
ธรรมดา แตผ่ ู้ฟังถอื วา่ มีความสำ� คญั มีความหมายมาก

เหมอื นกบั เราไดร้ บั พระราชทานสง่ิ ของตา่ งๆ จากพระบาท
สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถ ถงึ สงิ่ ของนนั้ จะ
มีอยู่ในท่ีท่ัวไป ถ้าเราได้รับพระราชทานแล้ว สิ่งของนั้นจะมี
คณุ ค่ามาก เปน็ สิรมิ งคลกบั ตัวเราเอง การเกบ็ รกั ษาจะดูแลเปน็
อยา่ งดี เพราะของน้ไี ด้มาจากผทู้ ี่เรามีความเคารพ น้ีฉันใด ผู้ได้
รับธรรมะจากหลวงปู่ขาวก็ฉันน้ัน หรือวัตถุอื่นใดท่ีได้รับจาก
หลวงปแู่ ลว้ ถอื วา่ สง่ิ นนั้ เปน็ มงคลอยา่ งยง่ิ การอธบิ ายพรรณนา
พระคณุ แหง่ ความเมตตาของหลวงปขู่ าวนน้ั จบสน้ิ ไดย้ าก จงึ จบ

๓๕๘ อตั โนประวัติ ภาค ๑

ไวเ้ พยี งเท่านี้
เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ได้เล่าความตั้งใจท่ีจะไปภาวนา

ปฏบิ ตั ใิ นเขตจงั หวดั เชยี งรายใหห้ ลวงปฟู่ งั หลวงปกู่ ใ็ หโ้ อวาทใน
อบุ ายภาวนาปฏิบัตหิ ลายหมวดหมูอ่ ยา่ งซาบซ้งึ ทีเดยี ว จากนนั้
ก็ได้ลาหลวงปู่ออกเดินทางไปรวมตัวกันท่ีบ้านกุดเต่ากับ
พระอาจารย์ขาน เพื่อเตรียมบริขารในการออกเดินทางไปใน
จังหวดั เชยี งรายต่อไป พระเณรท่ีไปด้วยกนั ในคร้ังน้มี ี ๑๐ รปู

๑) พระอาจารยข์ าน ฐานวโร
๒) ข้าพเจ้าเอง
๓) พระอาจารยห์ วนั
๔) พระอาจารย์จรัส
๕) พระอาจารยเ์ หรียญ
มีสามเณรตดิ ตามอีก ๕ รูป เมอ่ื เตรียมบรขิ ารพรอ้ มแล้ว
กอ็ อกเดนิ ทาง ถงึ จังหวดั เชยี งราย ได้ไปพักท่ีบ้านเหล่า ต�ำบล
ทงุ่ ก่อ อ�ำเภอเวยี งชัย จงั หวดั เชยี งราย พระอาจารยข์ านท่านอยู่
ทบ่ี ้านเหลา่ นอกน้นั กแ็ ยกกนั ไปภาวนาในทตี่ า่ งๆ ตามหมู่บ้าน
แถบน้ัน ข้าพเจ้าเองไดไ้ ปพกั ภาวนาอยู่ทีป่ า่ ช้าบ้านดงหวาย มี
ชาวบ้านออกไปทำ� แคร่ให้อยู่

นสิ ยั ของหลวงป่ขู าว ๓๕๙

๓๖๐ อัตโนประวัติ ภาค ๑

ในชว่ งเดอื นกุมภาพนั ธ์ ปพี .ศ. ๒๕๑๒ ในคนื หนึ่งมลี มฝน
กรรโชกรนุ แรงมาก ลมไดพ้ ดั เอากงิ่ ไมต้ น้ ไมห้ กั กระเดน็ ทำ� ใหก้ ลด
ท่ีกางนอนปลิวออกไป ในคืนน้ันไม่ได้กางกลดเลย ได้เก็บเอา
เคร่ืองบริขารท่ีจ�ำเป็นใส่ในบาตร แล้วเอากลดมาหุ้มตัวและ
บรขิ ารเอาไว้ แตก่ ถ็ กู ฝนสาดเปยี กปอนไปทงั้ หมด จำ� เปน็ ตอ้ งนงั่ อยู่
บนแครต่ ากฝนดว้ ยความหนาวตลอดทง้ั คนื ทพ่ี กั นน้ั อยใู่ ตต้ น้ มะมว่ ง
ป่าขนาดใหญ่ มีลมพัดกิ่งมะม่วงขนาดใหญ่เอนไปเอียงมาอยู่
ตลอดเวลา คดิ ในใจวา่ ถา้ กงิ่ มะมว่ งนหี้ กั ลงมาเมอื่ ไร นนั่ คอื คนื ท่ี
ส้ินสดุ ของชีวิต เพราะในคนื นั้นไปไหนอีกไมไ่ ด้แลว้ ความมืดใน
ป่าอันหนาทึบ มองไม่เห็นท่ีไหนเลย ไฟฉายก็มีแสงแดงริบหร่ี
จวนจะหมดแสงอยแู่ ล้ว

ในคนื นน้ั ไดอ้ ธษิ ฐานวา่ ถา้ ขา้ พเจา้ จะไดท้ รงไวซ้ งึ่ พระพทุ ธ
ศาสนาต่อไป ขออย่าให้ชีวิตของข้าพเจ้าได้ตายไปในช่วงน้ีเลย
ในขณะเดยี วกนั กงิ่ ไมใ้ หญท่ ถี่ กู ลมพดั เอนเอยี งไปมา กไ็ ดห้ กั ขาด
ลงมาข้างแคร่ ห่างจากตวั ข้าพเจา้ เพยี ง ๑ เมตรเทา่ น้นั ในขณะ
ทไ่ี ดย้ นิ เสยี งกงิ่ ไมห้ กั นน้ั กไ็ ดก้ ำ� หนดใจไวว้ า่ เปน็ ครงั้ สดุ ทา้ ยของ
ชวี ติ เราแลว้ แตเ่ ดชะชวี ติ ยงั ไมถ่ งึ วนั ตายกร็ อดไปได้ ในเมอื่ ลมฝน
ไดห้ ยดุ แลว้ มหี มตู่ ะขาบเปน็ จำ� นวนมากยวั้ เยยี้ เตม็ ไปหมด ออกมา

นสิ ัยของหลวงปู่ขาว ๓๖๑

หากนิ วงิ่ สวนกนั ไปมามากมาย หลายตวั ขน้ึ มาบนแคร่ หลายตวั มดุ
เขา้ มาในทนี่ งั่ พยายามเขา้ มาในผา้ สบง หลายตวั ขน้ึ มาไตต่ ามตวั
แต่ไม่ท�ำอะไร ในคืนนั้นต้องนั่งภาวนาทนต่อความหนาวเย็น
ตลอดทง้ั คนื

ไดน้ กึ ถงึ สมยั ครงั้ พทุ ธกาล พระสงฆผ์ ไู้ ดอ้ อกไปธดุ งคใ์ นที่
ตา่ งๆ กจ็ ะไดร้ บั ในเหตกุ ารณอ์ ยา่ งนเ้ี หมอื นกนั กบั เรา ทา่ นเหลา่ นน้ั
กม็ คี วามอดทนตอ่ สใู้ นอปุ สรรคเหลา่ นผี้ า่ นไปได้ จนทา่ นเหลา่ นนั้
ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เราก็จะมีความอดทนต่อสู้ใน
ความไม่สะดวกน้ีต่อไป ต้ังใจว่าจะขอมอบกายถวายชีวิตใน
พระพุทธศาสนา เราจะต้องตอ่ ส้ตู ่อไปจนชวี ติ สิ้นสลาย

ในคนื หนง่ึ ในขณะทจี่ ติ มคี วามสงบไดท้ แี่ ลว้ ไดเ้ กดิ นมิ ติ ขน้ึ
ปรากฏเหน็ ตน้ มะพรา้ วเปน็ แถวๆ แตล่ ะแถวมมี ะพรา้ วอยู่ ๔ ตน้
สงู ๑ ศอก ตน้ ที่ ๑ มลี กู ใหญด่ กหนาแนน่ เตม็ ตน้ กองอยกู่ บั พน้ื ดนิ
ตน้ ที่ ๒ สงู ๑ ศอกเทา่ กนั มผี ลดกเทา่ ครง่ึ หนง่ึ ของตน้ แรก ตน้ ที่ ๓
สงู ๑ ศอกเท่ากัน มีผลเพยี ง ๓ ผลเทา่ น้นั ตน้ ท่ี ๔ สงู เทา่ กนั แต่
ไมม่ ีผลเลย มีแตใ่ บคลุมอยู่เท่าน้ัน มะพร้าวแถวท่ี ๒ สงู ๑ เมตร
ต้นที่ ๑ มีผลเตม็ ต้น ต้นที่ ๒ สูงเท่ากัน มผี ลเทา่ ครงึ่ หนงึ่ ของ
ตน้ แรก ตน้ ที่ ๓ สูงเท่ากนั มีผลเพยี ง ๓ ผลเทา่ นัน้ ตน้ ท่ี ๔ สูง

๓๖๒ อัตโนประวัติ ภาค ๑

นิสัยของหลวงปู่ขาว ๓๖๓

เท่ากนั ไม่มผี ลเลย มีแตใ่ บคลุมตน้ อยเู่ ทา่ นั้น แถวท่ี ๓ มตี ้นสูง
๒ เมตร แถวที่ ๔ มตี ้นสูง ๔ เมตร แถวท่ี ๕ มีต้นสูง ๕ เมตร มี
ตน้ มะพร้าวสูงตา่ งกันเป็นชน้ั ๆ แต่ละชั้นแต่ละแถวกม็ มี ะพรา้ ว
๔ ต้นเหมือนกัน มีผลท่ีแตกต่างกันดังท่ีได้อธิบายมาแล้ว
ตน้ มะพรา้ วแถวสดุ ทา้ ยสงู ๔๐ เมตร มอี ยู่ ๔ ตน้ เหมอื นกนั แตล่ ะ
ต้นไม่มีใบเลย มีเพียงยอดโด่ช้ีฟ้าอยเู่ ทา่ นัน้ ตน้ ที่ ๑ มีผลเตม็ ตน้
ตน้ ที่ ๒ มผี ลเทา่ ครง่ึ หนงึ่ ของตน้ แรก ตน้ ท่ี ๓ มอี ยู่ ๓ ผล ตน้ ท่ี ๔
ไม่มีผลเลย ในขณะเดียวกันเป็นนิมิตปรากฏเห็นต้นมะพร้าว
อีกต้นหนึ่ง มีต้นสูง ๘ ฟุต ล�ำต้นก้านใบมีความสมบูรณ์เต็มที่
แลว้ มคี วามรวู้ า่ นเี้ ปน็ ตน้ มะพรา้ วของตวั เราเอง ในขณะเดยี วกนั
เหมือนกับตัวเองได้กระโดดขึ้นไป ได้กอดลูกมะพร้าวทั้งหมด
เอาไว้ จากนนั้ จิตกไ็ ดถ้ อนออกจากสมาธิ

แลว้ ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาในเรอ่ื งนมิ ติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จงึ ไดค้ วามวา่
นมิ ติ ทเี่ กดิ ขนึ้ มานนั้ เกย่ี วกบั ผปู้ ฏบิ ตั ิ และผลของการปฏบิ ตั มิ ผี ล
เกดิ ขนึ้ ไมเ่ ทา่ กนั จงึ พจิ ารณาไดค้ วามวา่ เหมอื นกบั บคุ คลผปู้ ฏบิ ตั อิ ยู่
ในสมยั เดยี วกนั เรม่ิ ตน้ ปฏบิ ตั มิ าพรอ้ มกนั ความสงู ของตน้ มะพรา้ ว
มีความสูง ๑ ศอกเท่ากัน แต่ผลของมะพร้าวมากน้อยต่างกัน
นี้หมายถึงบารมีของบุคคลทั้งส่ี สร้างบารมีมาไม่เท่ากัน ถึงจะ

๓๖๔ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑

เริ่มต้นการปฏิบัติมาพร้อมกัน ความเอาใจใส่ในการปฏิบัติมี
ความขยันมากน้อยตา่ งกัน เมื่อได้รับผลจากการปฏิบตั ใิ นชาติน้ี
จงึ ไมเ่ ท่ากัน

ลูกมะพร้าวมีเต็มต้น หมายถึงผู้ท่ีได้บรรลุธรรมเป็น
พระอรหนั ต์ ต้นท่สี องมผี ลเทา่ คร่ึงหนึ่งของต้นแรก หมายถงึ ผู้ที่
ได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี ต้นท่ีสามมีผลน้อย หมายถึง
ผไู้ ดบ้ รรลุธรรมเป็นพระสกทิ าคามี และพระโสดาบัน ต้นทส่ี ่ยี ัง
ไม่มีผลเลย หมายถงึ บารมยี ังไมพ่ ร้อมในขณะนี้ ถ้ามคี วามขยัน
หมัน่ เพียรมากขึ้น ก็จะมีผลเกดิ ข้ึนไดใ้ นชาตินี้เหมอื นกนั

ตน้ มะพรา้ วทม่ี ตี น้ สงู ขนึ้ ไปตามลำ� ดบั นนั้ หมายถงึ การปฏบิ ตั ิ
ใช้เวลานานพอๆ กัน แต่ก็มีผลในการปฏิบตั ไิ ม่เทา่ กัน เหมือน
มะพร้าวในแถวแรก แถวตน้ มะพรา้ วที่สงู ข้ึนไปเร่ือยๆ กเ็ ปน็ ใน
ลกั ษณะเหมอื นกนั ตน้ มะพรา้ วแถวสดุ ทา้ ยสงู ๔๐ เมตร หมายความ
วา่ อายผุ ปู้ ฏบิ ตั อิ ยใู่ นขน้ั ปจั ฉมิ วยั เปน็ วยั สดุ ทา้ ย กา้ นมะพรา้ วไมม่ ี
นนั้ หมายถงึ ไมม่ อี ายยุ าวตอ่ ไปอกี แลว้ มยี อดเดยี วชฟี้ า้ โดเ่ ดอ่ ยนู่ น้ั
หมายถงึ ลมหายใจกับรา่ งกายอนั แกช่ ราเตม็ ท่แี ลว้

มผี ลดกตา่ งกนั หมายถงึ ผหู้ นงึ่ ไดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พระอรหนั ต์
ผู้หนึ่งได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี ผู้หนึ่งได้บรรลุธรรมเป็น

นิสัยของหลวงป่ขู าว ๓๖๕

พระสกทิ าคามี หรอื พระโสดาบนั อกี ผหู้ นงึ่ ไมไ่ ดบ้ รรลธุ รรมอะไร
ในชาติน้ี แต่ในชาติหน้าเม่ือได้ไปเกิดร่วมพระศรีอริยเมตไตรย
กจ็ ะไดม้ สี ว่ นไดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พระอรยิ เจา้ ขน้ั ใดขน้ั หนงึ่ แนน่ อน

๓๖๖

พ.ศ. ๒๕๑๒ จ�ำพรรษาท่ี
บ้านปา่ ลนั

ไม่กว่ี ันตอ่ มา ชาวบ้านป่าลนั รู้ข่าววา่ ตวั ขา้ พเจ้าไดไ้ ปพัก
ปฏิบัติอยู่ที่บ้านดงหวาย ก็ได้พากันไปนิมนต์เอาในท่ีแห่งนั้น
จึงได้เดินทางไปบ้านป่าลัน ต�ำบลปงน้อย ก่ิงอ�ำเภอดอยหลวง
จังหวัดเชียงราย สถานที่แห่งน้เี ปน็ ปา่ ดงดิบ มีต้นไมใ้ หญน่ านา
ชนดิ อยา่ งหนาแน่น มชี าวบา้ นไดพ้ ากนั ออกมาท�ำท่อี ยู่อาศัยให้
ท�ำเป็นกระต๊อบหลังเล็กๆ มุงด้วยหญ้าคา ปูฟากไม้ไผ่และเสา
ไมไ้ ผพ่ อไดอ้ าศยั ในคนื หนงึ่ มนี มิ ติ เหน็ หลวงปขู่ าวเขา้ มาหา ใชม้ อื
จบั ไหลแ่ ลว้ พดู วา่ จากนไี้ ปไมน่ านหรอกนะ ความตงั้ ใจของทา่ นที่
ไดต้ ง้ั ใจเอาไวจ้ ะสำ� เรจ็ อยใู่ นทแ่ี หง่ นี้ ในขณะนนั้ ปรากฏมเี สน้ ทาง

๓๖๘ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑

ขนาดใหญ่เรียบราบดี มีแนวทางตรงมาจรดท่ีข้าพเจ้าน่ังอยู่
หลวงป่ขู าวพดู ว่า ทา่ นตอ้ งเดินตามเสน้ ทางนี้ไปนะ อีกไมน่ านก็
จะถึงทส่ี ดุ แห่งทกุ ขใ์ นไมช่ ้า

จากน้ันจิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิมา จึงได้พิจารณาใน
ค�ำพูดหลวงปู่ขาวว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะในขณะน้ียัง
ไม่มีอุบายใดที่จะท�ำให้เกิดความม่ันใจในตัวเองว่าจะส�ำเร็จได้
แต่ละวันท่ผี ่านมา การภาวนาปฏบิ ตั ิก็เป็นปกติ ยงั ไมม่ ีช่องทาง
ทจี่ ะพน้ จากทกุ ขไ์ ดเ้ ลย เสน้ ทางทเ่ี หน็ ในนมิ ติ นนั้ กเ็ พยี งเปน็ นมิ ติ
จะเอามาเปน็ หลกั ประกนั วา่ พน้ จากทกุ ขน์ น้ั ยงั ไมไ่ ด้ แตม่ คี วามตง้ั ใจ
เอาไวว้ า่ ในชวี ติ นจี้ ะตง้ั ใจภาวนาปฏบิ ตั ใิ หเ้ ตม็ ท่ี จะสำ� เรจ็ ไดห้ รอื
ไม่ได้น้ันเอาลมหายใจเป็นเครื่องตัดสิน ลมหายใจเข้าไม่ออก
ลมหายใจออกแลว้ ไมเ่ ขา้ นนั้ เปน็ ตวั ตดั สนิ ในวาระสดุ ทา้ ย จะได้
หรอื ไม่ได้กม็ เี วลาเพยี งเทา่ นี้

ในขณะท่ีเรายังมีชีวิตอยู่ มีร่างกายแข็งแรง มีสติปัญญา
ทดี่ ี มคี วามสามารถทพี่ อตวั เราจะตงั้ ใจภาวนาปฏบิ ตั อิ ยา่ งเตม็ ท่ี
มสี ตปิ ญั ญาเตอื นตวั เองอยเู่ สมอวา่ เราอยา่ ประมาทในชวี ติ วนั คนื
ล่วงผ่านไป ชีวิตเราก็มีความร่วงโรยไปตามกาลเวลาทุกนาที
ขณะน้เี รายังไมถ่ งึ ทส่ี ุดแห่งทกุ ข์ เราตอ้ งรีบเรง่ ภาวนาปฏบิ ตั ใิ ห้

พ.ศ. ๒๕๑๒ จ�ำพรรษาท่บี ้านป่าลนั ๓๖๙

เต็มก�ำลัง อย่าไปสนใจในนิมิตน้ันเลย อย่าไปคอยบุญวาสนา
บารมใี นชาตอิ ดตี มาสง่ เสรมิ ในชาตกิ อ่ นนนั้ ไมท่ ราบวา่ ตวั เราได้
บำ� เพญ็ บารมมี ามากนอ้ ยแคไ่ หน อยา่ ไปสนใจในบารมขี องตวั เอง
ในปจั จุบันนใ้ี ห้เราไดภ้ าวนาปฏบิ ตั อิ ย่างเต็มที่ก็แล้วกนั

วนั คนื เวลานน้ั มคี วามหมาย อยา่ ปลอ่ ยใหเ้ วลาเสยี ไปเปลา่
เอาเวลานั้นมาท�ำให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองให้ได้ ในชีวิตน้ีเรา
ได้เกิดมารว่ มพระพทุ ธศาสนา ภาระทางโลกเราก็ได้ผา่ นมาแล้ว
ว่าเป็นอย่างไร ในขณะนี้เรามารู้ช่องทางแห่งความพ้นทุกข์ที่
พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวด้ แี ลว้ ในโอกาสชาตนิ เี้ ราเกดิ มา อยา่ ทำ� ตวั
ลอยไปตามกระแสโลกดังที่เคยเป็นมา เพราะเวลาของชีวิตนี้มี
ขอบเขตจำ� กดั อกี ไมก่ ป่ี ขี า้ งหนา้ กจ็ ะตายจากโลกนไี้ ป เมอ่ื เกดิ ใหม่
ในชาติหน้า ไม่รู้ว่าจะได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเหมือนใน
ชาตนิ ีอ้ ีกหรือไม่ และจะไดเ้ กดิ ตายๆ เวียนวา่ ยในวฏั สงสารนี้ต่อ
ไปอกี ยาวนานเทา่ ไร ในชาตทิ ผ่ี า่ นมา เราไดเ้ วยี นวา่ ยเกดิ ตายอยู่
ในโลกนมี้ ายาวนานแลว้ และยงั จะไปเกดิ ตายในภพชาตหิ นา้ อกี
ไม่รู้ว่าจะจบส้ินเมื่อไร ตราบใดยังมีกิเลสตัณหาเป็นเช้ือพาให้
เกดิ อยู่ ชาตภิ พก็จะไม่มที างจบส้ินลงได้ ในชาตินี้เราพร้อมแลว้
ทงั้ กายและใจ เราจะไดท้ มุ่ เทในความพากเพยี รปฏบิ ตั อิ ยา่ งเตม็ ที่

๓๗๐ อัตโนประวัติ ภาค ๑

พ.ศ. ๒๕๑๒ จ�ำพรรษาท่บี า้ นป่าลนั ๓๗๑

จะเอาชีวติ น้เี ป็นหลกั ประกันเปน็ เดิมพัน
ในพรรษาน้ี มพี ระรว่ มจำ� พรรษาดว้ ยกนั สองรปู ตวั ขา้ พเจา้

เอง พระอาจารย์หวัน ปณฺฑิโต และสามเณรไสว ในที่แห่งนี้
ชาวบา้ นพดู กนั วา่ มผี ดี มุ าก คนพนื้ เมอื งเขาไมก่ ลา้ ทจ่ี ะมาหากนิ ใน
เขตนเ้ี ลย เพราะผที ำ� ใหค้ นตายไปแลว้ หลายคน เมอ่ื ภาวนาปฏบิ ตั ิ
อยใู่ นทแ่ี หง่ นไ้ี ด้ ๗ คนื ในคนื หนงึ่ ขณะจติ ไดส้ งบเปน็ สมาธเิ ตม็ ท่ี
แลว้ ได้ยินเสยี งดงั เหมอื นกบั ภูเขาพงั ทลายลงมาจากอ่างนำ�้ ตก
หา่ งจากทอ่ี ยไู่ ปประมาณ ๑๐๐ เมตร จงึ ไดก้ ำ� หนดจติ ไปดู ปรากฏ
ว่าเป็นหมูป่าขนาดใหญ่ ๒ ตัว มีกิริยาอาการแสดงออกมี
ความโกรธจดั มากทเี ดยี ว ทง้ั สองตวั มองมาหาขา้ พเจา้ ดนู ยั นต์ า
เป็นสีแดงเหมือนกับแสงไฟที่ก�ำลังลุกโชน แสดงความไม่พอใจ
ในตัวข้าพเจา้ เปน็ อยา่ งยิง่

จากนนั้ หมทู งั้ ๒ ตวั กไ็ ดแ้ สดงฤทธด์ิ ว้ ยวธิ ตี า่ งๆ ทำ� ทา่ ทาง
ให้ข้าพเจ้าเกิดความกลัว แล้วพากันว่ิงเข้ามาหาข้าพเจ้าอย่าง
รวดเร็ว ในลักษณะที่จะเข้าท�ำร้ายให้ข้าพเจ้าตายไปในขณะน้ี
สายตากล็ กุ เปน็ ไฟ ใชเ้ สยี งขม่ ขคู่ ำ� รามตอ่ เนอื่ งกนั พากนั เดนิ ขม่ ขู่
ขา้ พเจา้ รอบกระตอ๊ บ ๓ รอบ แลว้ พากนั มายนื เคยี งคอู่ ยตู่ รงหนา้
ห่างจากตัวข้าพเจ้าเพียง ๓ ศอกเท่าน้ัน แล้วหมูท้ัง ๒ ตัวก็

๓๗๒ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑

พากันหมอบลง พากันท�ำท่าโยกตัวไปมาพร้อมๆ กับโยกตัว
เอาก�ำลังท้ังสองครั้งแล้ว คร้ังท่ี ๓ ก็พากันกระโดดเข้ามากัด
ข้าพเจา้ อย่างแรงทเี ดยี ว ในขณะนั้นข้าพเจา้ กไ็ ดเ้ ตรียมก�ำลงั ใจ
รับอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน ในขณะที่หมูทั้ง ๒ ตัวกระโดดมา
ข้าพเจ้าก็เพ่งก�ำลังใจรับอย่างเต็มท่ี ขณะท่ีก�ำลังของหมูกับ
ก�ำลังใจปะทะกันนน้ั ฟงั เสยี งดงั ช้ัว อย่างรนุ แรง หมทู ั้งสองตวั
กระเด็นไปกองกันอยูใ่ นท่นี น้ั

แล้วหมูทั้งสองหมอบตัวอยู่ช่ัวครู่ ก็ฟื้นตัวกลับมากลาย
เปน็ คน มรี า่ งกายกำ� ยำ� ลำ่� สนั พากนั คลานเขา้ มาหาขา้ พเจา้ ดว้ ย
ความอ่อนน้อมถ่อมตัว พากันยกมือไหว้ข้าพเจ้าแล้วพูดขึ้นว่า
กระผมท้งั ๒ เป็นใหญ่ในท่แี หง่ นม้ี านาน ได้ทำ� ให้คนตายไปแล้ว
เปน็ จำ� นวนมาก ในครง้ั นกี้ ระผมทงั้ ๒ กจ็ ะกระทำ� ใหท้ า่ นอาจารย์
ไดต้ ายไปอีกเช่นกนั แต่กระผมทัง้ สองไมส่ ามารถกระท�ำใหท้ า่ น
อาจารย์ตายไปได้ กระผมท้ังสองจึงขอยอมแพ้ท่านอาจารย์ใน
ครัง้ น้ี ขอให้ทา่ นอาจารย์ไดโ้ ปรดเมตตา จงยกโทษให้แกก่ ระผม
ทั้งสองในคร้ังนีด้ ้วย กระผมท้งั สองขอปวารณาเป็นลกู ศษิ ยเ์ พ่อื
รับใชแ้ กท่ ่านอาจารย์ นบั แตบ่ ัดนเี้ ป็นต้นไป เมอื่ ทา่ นอาจารย์มี
ความประสงคส์ ง่ิ ใดทจี่ ะใหก้ ระผมทง้ั สองไดช้ ว่ ยเหลอื ขอจงเรยี กหา

พ.ศ. ๒๕๑๒ จำ� พรรษาทบี่ า้ นปา่ ลนั ๓๗๓

กระผมท้ังสองได้ทุกเม่ือ กระผมท้ังสองมีความยินดีพร้อมที่จะ
รบั ใชท้ า่ นอาจารยด์ ว้ ยความเตม็ ใจ และจะรกั ษาความปลอดภยั
ให้กับพระเณรท่ีอยู่กับท่านอาจารย์ด้วย ขอให้ท่านอาจารย์ได้
โปรดเมตตาแกก่ ระผมท้ังสองนีด้ ้วยเถิด

จากนน้ั จติ กไ็ ดถ้ อนออกจากสมาธมิ าแลว้ พจิ ารณาดู จงึ ได้
รวู้ า่ ทง้ั สองนนั้ เปน็ พญานาคอยใู่ นนำ�้ ตกแหง่ นนี้ เี่ อง เขาเหลา่ นน้ั
มีความเคารพในตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ให้ความช่วยเหลือ
ปกปอ้ งในตวั ขา้ พเจา้ เปน็ อยา่ งดี ตอ่ มาอกี ไมก่ ว่ี นั ในขณะนนั้ เกดิ
ความรำ� คาญกบั เสยี งอเี หน็ (ชะมด) รอ้ งเปน็ อยา่ งมาก แตล่ ะคนื
ไดม้ ารอ้ งอยใู่ กลก้ ฏุ ิ รอ้ งเปน็ เวลาหลายชว่ั โมงกไ็ มห่ ยดุ ไมส่ ะดวก
ในการภาวนาปฏิบัติเลย จึงนึกข้ึนได้ว่าเราจะบอกพญานาค
ทั้งสองช่วยไล่อีเห็นน้ีไปให้ไกล เม่ือนึกข้ึนได้แล้วก็บอกเขาไป
ในคืนนน้ั อเี ห็นรอ้ ง เวลาประมาณ ๔ ทุ่ม อเี หน็ ยงั ร้องอยู่ เม่ือ
เขา้ สมาธไิ ด้ทแี่ ล้ว ไดย้ นิ เสียงคนพูดกันขึน้ มาว่า ท่านอาจารยม์ ี
ความร�ำคาญในเสียงร้องของอีเห็นตัวนี้ พวกเราพากันไปไล่ให้
มนั หนจี ากทนี่ ้ี ไลห่ นใี หไ้ กล อยา่ ใหม้ นั มารอ้ งในทแี่ หง่ นอี้ กี พากนั
เดนิ เขามาใกลก้ ฏุ ิ ทง้ั สองถอื ไมค้ อ้ น กระบองครบมอื แลว้ เดนิ ตรง
ไปหาอเี ห็นตัวนนั้ ทนั ที อเี ห็นกไ็ ดว้ ิ่งหนีจนสุดกำ� ลัง ท้ังสองกเ็ อา

๓๗๔ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑

ไม้ค้อนกระบองตไี ล่ไป ไกลประมาณ ๒ กโิ ลเมตร เขาพูดสำ� ทบั
ไปวา่ จากนี้ไปอยา่ ได้มาร้องในทีแ่ ห่งนีอ้ กี ถา้ มารอ้ งอีก กจู ะฆา่
ใหต้ ายในทนั ที

ขา้ พเจา้ กน็ งั่ ดเู ขาไลอ่ เี หน็ ไปไกล แลว้ จงึ หยดุ แลว้ ปลอ่ ยให้
อีเห็นหนีไป จากนั้นมาไม่มีเสียงอีเห็นมารอ้ งอีกเลย ในครัง้ หนึ่ง
กม็ หี นขู น้ึ มากดั สงิ่ ของภายในกฏุ ิ แลว้ ไลก่ ดั กนั จนเกดิ ความรำ� คาญ
กบ็ อกเขามาไลใ่ ห้อีก เขากม็ าเหมอื นเดิม พากันไล่หนเู ข้าป่าไป
หมดเชน่ กนั จากนน้ั มาไมม่ อี เี หน็ และหนมู าทำ� ใหเ้ กดิ ความรำ� คาญ
อีกเลย การภาวนาปฏิบัตกิ ็มคี วามตอ่ เนอ่ื งกันได้ดี ก็เพราะไมม่ ี
เสยี งอะไรมาทำ� ใหเ้ กิดความรำ� คาญ

เมอื่ พดู ในเรอื่ งผมี าแลว้ กจ็ ะเลา่ เรอ่ื งของเทวดาใหฟ้ งั บา้ ง
เพอ่ื จะไดเ้ ปน็ ขอ้ คดิ เปรยี บเทยี บกนั ดวู า่ มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งไร
เพราะใครๆ กเ็ คยพดู เรอื่ งผแี ละเทวดามานาน จนทำ� ใหน้ กั ปฏบิ ตั ิ
ทข่ี ข้ี ลาดตาขาวเกดิ ความกลวั กนั อยเู่ สมอ จะไปภาวนาปฏบิ ตั กิ นั
ในทไี่ หน กม็ แี ตก่ ลวั ผกี นั ทงั้ นนั้ เหมอื นกบั วา่ ผจี ะมคี วามดรุ า้ ยไป
เสยี ทงั้ หมด ทจ่ี รงิ แลว้ ทางพทุ ธศาสนาเราไมน่ ยิ มในคำ� พดู เรยี กวา่
ผนี ีเ้ ลย มีแตค่ ำ� ยกยอ่ งสรรเสรญิ เขาว่าเป็นเทวดากนั ทัง้ น้ัน

คำ� วา่ ผเี ปน็ คำ� พดู ของชาวบา้ นเรยี กกนั เอาเอง เปน็ คำ� เรยี กวา่

พ.ศ. ๒๕๑๒ จ�ำพรรษาท่บี า้ นป่าลัน ๓๗๕

ผีที่ฝังลึกอยู่ในใจมายาวนาน พอเริ่มรู้ภาษาพ่อแม่และญาติๆ
ก็พูดว่าผีนี้เข้าไปฝังไว้กับใจของเด็กตั้งแต่วันนั้นมา ว่าผีเป็นใน
ลกั ษณะอยา่ งนนั้ อยา่ งน้ี มรี า่ งกายเปน็ อยา่ งนน้ั มตี าเปน็ อยา่ งน้ี
สดุ แลว้ แตจ่ ะพรรณนาไป เพอื่ ใหเ้ ดก็ เกดิ ความกลวั เปน็ อบุ ายใน
การพูดไม่ให้เด็กไปเท่ียวในเวลาค�่ำคืน ถึงจะเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว
ความกลัวผีก็ยังติดใจมาจนถึงปัจจุบัน ส�ำหรับคนท่ีขี้ขลาด ก็
จะนึกถึงผีข้ึนมาเป็นอันดับหนึ่ง คิดว่าจะมาหลอกเราอย่างนั้น
อย่างนี้ไป จึงไดเ้ กดิ ความกลัวข้ึนมา ทแ่ี ทก้ เ็ ป็นตวั เองคดิ หลอก
ตัวเองโดยไม่รู้ตัว จะไปในที่ไหนแห่งใดก็จะนึกถึงแต่ผี ท�ำให้
ใจสะดุ้งกลัวอยู่ตลอดเวลา

ตัวส�ำคัญคือผู้ภาวนาปฏิบัติ เมื่อพูดในเร่ืองธรรมใน
หมวดไหนจะร้ไู ปหมด ถา้ มาพดู เรอื่ งของผีขึ้นมา พากนั กลวั จน
ตาตั้งหูผงึ่ ขน้ึ มาทนั ที น่หี รือผจู้ ะร้แู จง้ เหน็ จริงในธรรม ผจู้ ะนำ�
ตนเองเข้าสู่ทางแห่งมรรคผลนิพพาน ในด่านแรกคือผีก็ยังผ่าน
ไม่ได้

ค�ำว่าผีกับเทวดาก็อยู่ในตัวคนเดียวกัน แต่ละวันๆ เรา
คนเดยี วจะเปน็ ไดท้ ง้ั ผี เปน็ ไดท้ งั้ เทวดา เชน่ มอี ารมณท์ ไี่ มช่ อบใจ
อย่างใดอย่างหน่ึง ก็จะแสดงอาการของผีขึ้นมาทันที น้ีคือผี

๓๗๖ อัตโนประวัติ ภาค ๑

ตัวจริง ท�ำไมจึงไม่กลัวตัวนี้เล่า เม่ือไรใจมีความผ่องใสร่าเริง
คดิ อยากจะทำ� บญุ รกั ษาศลี ใจมคี วามเมตตาตอ่ มวลสตั วท์ งั้ หลาย
ใจมีความละอายในการท�ำความช่ัวท้ังปวง ใจมีความกลัวต่อ
บาปกรรม ในเวลานน้ั ใจกจ็ ะเกดิ เปน็ เทวดาขน้ึ มาในตวั เอง ฉะนนั้
ผู้ที่อยากดูผี อยากดูเทวดาตัวจริง ขอให้มาดูตัวเอง จะเห็นผี
เทวดา ไดช้ ดั ทเี ดียว นเี่ รียกวา่ ผีภายใน และเทวดาภายใน เปน็ ผี
ที่มีธาตุส่ีขันธ์ห้าครองร่าง ส่วนผีภายนอกและเทวดาภายนอก
กเ็ ปน็ ในลกั ษณะนเ้ี หมอื นกนั ผดิ แตว่ า่ ผภี ายนอกไมม่ ธี าตสุ เ่ี ทา่ นนั้
เช่น วญิ ญาณอันเดยี วกันย่อมเปลี่ยนไปได้ทัง้ สองอยา่ ง เพราะมี
ความโลภ มคี วามโกรธ และมคี วามหลง เต็มอยูใ่ นใจน้ีทงั้ หมด
จึงมวี ิธีหลอกตม้ ตุ๋นในพิธตี า่ งๆ หรอื อาจทำ� ใหค้ นตายได้เช่นกัน
ถา้ อยา่ งน้ีจงึ เรยี กว่าเขาเปน็ ผี ถ้าเขามคี วามชอบใจในวิธกี ารท�ำ
ของหมู่มนุษย์เรา เชน่ การท�ำบญุ อทุ ศิ ใหเ้ ขา หรือภาวนาปฏบิ ตั ิ
แผเ่ มตตาใหเ้ ขา เขากม็ คี วามรกั ตอ่ เรา มกี ารชว่ ยเราใหม้ คี วามสขุ
ความเจริญได้ ถ้าเขาท�ำให้เราในลักษณะอย่างน้ี ก็เรียกเขาว่า
เปน็ เทวดา

ฉะนนั้ ผี เทวดา และมนษุ ย์ จงึ มอี ยใู่ นวญิ ญาณอนั เดยี วกนั
แต่มีความแตกต่างกันเพียงว่า ผีกับเทวดามีเพียงวิญญาณ

พ.ศ. ๒๕๑๒ จำ� พรรษาที่บ้านปา่ ลัน ๓๗๗

อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีกายหยาบคือธาตุสี่เหมือนมนุษย์เรา
นิสัยความประพฤติความต้องการมีในลักษณะเหมือนกัน หรือ
มนุษย์เราอาจหลอกมนุษย์กันเองเก่งยิ่งกว่าผีหลอกคนเสียอีก
ถา้ วิญญาณใดมีคณุ ธรรมแฝงอยู่ จงึ เรียกวา่ เทวดาช้ันสูง เขาจะ
ไมม่ ายงุ่ เกยี่ วกบั หมมู่ นษุ ยน์ เี้ ลย เพราะเขามบี ญุ เปน็ ทพ่ี งึ่ อยแู่ ลว้
มหี ริ ธิ รรมประจำ� ใจ และโอตตปั ปธรรมอยใู่ นวญิ ญาณนนั้ ๆ สว่ น
วิญญาณที่ต�่ำด้วยคุณธรรม จะมีความสัมพันธ์อยู่ในหมู่มนุษย์
ตลอดเวลา เชน่ มกี ารทำ� บญุ ในพธิ ตี ่างๆ จะเชญิ ใหเ้ ขาไดม้ ารว่ ม
อนโุ มทนาบญุ กบั หมมู่ นุษย์เรานีด้ ว้ ย

แตว่ ญิ ญาณบางตวั กย็ งั มาหลอกกนิ เครอื่ งสงั เวยของมนษุ ย์
น้ีอยู่บ้าง แต่การหลอกเพียงเท่านี้ ยังไม่เท่าพวก มนุสสเปโต
ทอี่ า้ งตวั เองวา่ เปน็ มนษุ ย์ แตใ่ จนน้ั เปน็ เปรต ไดห้ ลอกลวงในหมู่
มนษุ ยก์ นั เอง ดงั เห็นกันในที่ท่ัวไป มนุษย์เปรต มนุษยผ์ ีเหลา่ น้ี
มีกลลวงเล่ห์เหล่ียมยิ่งกว่าผีไปเสียอีก จึงได้แบ่งกลุ่มมนุษย์ไว้
เปน็ หลายกลมุ่ ดว้ ยกนั เชน่ มนสุ สเทโว รา่ งกายเปน็ มนษุ ยใ์ จเปน็
เทวดา มนสุ สมนุสโส ร่างกายเปน็ มนุษย์ จติ ใจกเ็ ป็นมนุษย์ที่มี
ความฝักใฝ่ในคุณธรรม มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจ
เป็นเปรตไป มนุสสติรัจฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็น

๓๗๘ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑

สตั วด์ ริ จั ฉาน อกี พวกหนง่ึ รา่ งกายเปน็ มนษุ ยแ์ ตจ่ ติ ใจเปน็ อสรุ กาย
มนุษย์อสุรกายกลุ่มน้ี เก่งในทางต้มตุ๋นหลอกลวงเป็นพิเศษ
อะไรพอจะหลอกเอาไดพ้ อเปน็ ประโยชนส์ ว่ นตวั จะควา้ เอาทง้ั นนั้
ใจไม่มีคุณธรรมแม้แต่น้อยเลย เรียกว่าปีศาจครองร่างมนุษย์
ส่วนปีศาจไม่มีร่างกายครอง จะหลอกลวงกินเคร่ืองสังเวยของ
หมมู่ นษุ ย์ ทไ่ี หนมคี นโงต่ ัง้ ศาลพระภูมิข้ึน มีหัวหมู เป็ด ไก่ คาว
หวาน พวกปีศาจเหล่าน้ีชอบไปแสดงตัวในที่เช่นน้ัน จะท�ำตัว
เปน็ เทพารกั ษ์ เปน็ ผศู้ กั ดสิ์ ทิ ธเ์ิ ขา้ อยอู่ าศยั ในศาลพระภมู นิ นั้ ทนั ที
มนุษยโ์ งท่ ัง้ หลายก็จะนำ� เครอื่ งสังเวยที่ดๆี ไปให้กนิ เปน็ ประจำ�
มิหน�ำซ้�ำยังกราบไหว้ขอความช่วยเหลือจากพวกปีศาจเหล่าน้ี
อกี ดว้ ย

ในชว่ งกอ่ นเขา้ พรรษาน้ี ในความรสู้ ึกส่วนตัวแล้วร้ตู วั เอง
อยตู่ ลอดเวลา การภาวนาปฏบิ ตั มิ คี วามเขม้ แขง็ ใจมคี วามมนั่ คง
ผดิ ปกติ ใจมคี วามหนกั แนน่ กำ� ลงั ของสติ กำ� ลงั ของปญั ญา กำ� ลงั
แห่งความสามารถ มีสูงมาก เป็นในลักษณะมีความเฉียบขาด
กลา้ หาญเดด็ เดยี่ วเตม็ ที่ ลกั ษณะอยา่ งนเี้ ปน็ ผลของการปฏบิ ตั ทิ ่ี
ผา่ นมา เพง่ิ ไดร้ คู้ วามสามารถสว่ นตวั ในครงั้ นเ้ี อง เปน็ ในลกั ษณะใด
จึงไม่ควรอธิบายออกมาให้คนอ่ืนได้รู้เห็นได้ เหมือนกับผู้กิน

พ.ศ. ๒๕๑๒ จำ� พรรษาที่บา้ นปา่ ลนั ๓๗๙

อาหารทอ่ี ิม่ แลว้ จะเขยี นลักษณะอาการความอิ่มน้ันออกมาให้
คนทีก่ �ำลังหิวอยูร่ ้ตู ามไมไ่ ด้ นกี้ ็ฉนั ใด สงิ่ ทีเ่ ป็นปัจจตั ตงั ท่รี ูเ้ ห็น
เฉพาะตัวแล้ว จะเล่ารสชาติความสัมผัสในธรรมน้ันให้คนอ่ืน
ร้ตู ามไม่ได้ ถึงจะเลา่ ไป ผ้ทู ีย่ ังไม่เคยสัมผสั ในธรรมกร็ ู้เห็นตาม
ไม่ได้อยู่นั่นเอง ดังน้ัน ธรรมท่ีเป็นผลเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ
ของท่านผู้ใดแล้ว ผลของการปฏิบัติน้ันก็เป็นสมบัติส่วนตัวไป
นกั วิเคราะห์วิจยั ในปริยตั ทิ งั้ หลายไมส่ ามารถจะสุ่มเดาถกู ได้

ฉะนน้ั ปรยิ ัติ ปฏิบัติ ถึงจะเปน็ เสน้ ทางอนั เดยี วกนั กต็ าม
ปริยัติก็ยังเป็นสูตรของปริยัติอยู่น่ันเอง จะเกิดเป็นผลท่ีได้รับ
เหมอื นกบั ผลทเี่ กดิ ขนึ้ จากการปฏบิ ตั ไิ มไ่ ดเ้ ลย แมแ้ ตต่ วั ขา้ พเจา้
เองกเ็ คยศกึ ษาในทางปรยิ ัตมิ าแลว้ พอสมควร จงึ ไดน้ ำ� ปรยิ ตั ิมา
ปฏิบัติจนได้รับผลอย่างแท้จริง จึงรู้ได้ว่าผลของการปฏิบัติ
นั้นมีความแตกต่างกันกับความรู้ในปริยัติเป็นอย่างมากทีเดียว
เหมือนกับผู้หนึ่งเรียนชื่อของอาหารมา แต่ไม่เคยลิ้มรสของ
อาหารนั้นว่าเป็นรสชาติอย่างไร อีกคนหนึ่งเรียนรู้ในอาหาร
มาแล้ว พร้อมทงั้ ยังได้ลิ้มรสในอาหารนน้ั ดว้ ย จึงรู้จักวา่ อาหาร
แต่ละประเภทมีรสชาติเป็นอย่างไร ภายในใจความรู้สึกจึงมี
ความแตกต่างกันกับผู้รู้ตามต�ำราอย่างแน่นอน น้ีฉันใด ผลท่ี

๓๘๐ อตั โนประวัติ ภาค ๑

เรียนรู้จากปริยัติและผลที่เกิดจากการปฏิบัติก็มีความแตกต่าง
กนั ฉนั น้นั

ฉะน้ัน ข้าพเจ้าจึงได้กล้าพูดให้สาธารณชนได้รับรู้เอาไว้
อกี สกั วนั หนงึ่ ขา้ งหนา้ ถา้ หากวา่ ทา่ นมคี วามสนใจในการปฏบิ ตั ิ
ในธรรมอยู่ ท่านก็จะรู้รสพระธรรมน้ันด้วยตัวท่านเองอย่าง
แนน่ อน เมอ่ื ถงึ เวลานน้ั แลว้ ทา่ นกจ็ ะกลา้ พดู ใหผ้ อู้ นื่ ฟงั ในรสชาติ
ของธรรมอย่างกล้าหาญ หรือเหมือนคนหน่ึงถือผลไม้อยู่ในมือ
แตย่ งั ไมไ่ ดก้ นิ กไ็ มส่ ามารถรไู้ ดว้ า่ รสชาตขิ องผลไมน้ น้ั เปน็ อยา่ งไร
ถ้าได้ลิ้มรสผลไม้น้ันด้วยตัวเองแล้ว จะรู้ได้ทันทีว่ามีรสเป็น
อยา่ งนๆ้ี น้ฉี นั ใด การศกึ ษาในภาคปริยตั ิ แต่ไปวิพากษ์วจิ ารณ์
ผลของการปฏิบัติของคนอ่ืนว่าภาวนาผิดอย่างน้ัน ปฏิบัติผิด
อยา่ งนี้ หรอื ภาวนาถูกอย่างน้ัน ปฏิบัติถูกอย่างนี้ นัน่ เปน็ เพียง
การสุ่มเดาของคนโง่อวดฉลาดเท่านั้น แต่ผลของการปฏิบัติ
อย่างแท้จริงเป็นอย่างไรหารู้ไม่ เม่ือท่านยังไม่รู้จริงเห็นจริงใน
ผลของการปฏบิ ตั ทิ เ่ี กดิ ขนึ้ กบั ตวั เอง ทา่ นอยา่ งเพงิ่ ไปอวดฉลาด
หาท�ำนายคนน้ัน หาทำ� นายคนนี้ ว่าเป็นอยา่ งนนั้ ผดิ เป็นอย่าง
นน้ั ถกู มนั จะเขา้ ในคำ� วา่ บอดอวดฉลาด โงอ่ วดรู้ บอดหลงทางอยู่
แตไ่ ปอวดรูบ้ อกทางให้คนตาบอดดว้ ยกนั

พ.ศ. ๒๕๑๒ จำ� พรรษาที่บา้ นป่าลนั ๓๘๑

นี่เป็นเพียงให้ข้อคิดไว้แก่ท่านเท่านั้น ถึงตัวข้าพเจ้าเอง
ไดอ้ ธิบายผลของการปฏบิ ตั ิใหท้ า่ นได้อา่ นอยใู่ นขณะนี้ ข้าพเจา้
ไม่ได้ไปยืมผลของการปฏบิ ตั ิของใครๆ มาเขยี น และไมม่ เี จตนา
ท่ีจะอวดอ้างว่าปฏิบัติดีเพื่อให้คนอื่นเกิดความเคารพเชื่อถือ
แต่เขียนตามความเป็นจริงที่ข้าพเจ้าได้รับผลจากการปฏิบัติมา
เท่าน้ัน คนอื่นจะมีความคิดเห็นเป็นอย่างไรน้ัน ให้เป็นเร่ือง
ของคนอ่นื ไป ในชีวติ นขี้ อให้พดู ความจริงทิ้งไวก้ บั โลกนี้ เพื่อให้
ลูกหลานเกดิ มาสุดท้ายภายหลงั ไดร้ บั รูเ้ อาไวเ้ ทา่ นั้น และเขาจะ
มีความส�ำนึกได้ว่า เมื่อปลายพุทธศาสนาก็ยังมีผู้ได้รับผลจาก
การปฏิบัตินี้ และสมกับคำ� ว่า อรหนตฺ อสญุ ฺโลโก ตราบใดยงั มี
ผปู้ ฏบิ ตั ทิ ถี่ กู ตอ้ งตามพระธรรมวนิ ยั อยู่ ในตราบนนั้ พระอรหนั ต์
ยงั มีอยู่ในโลกนี้

แรกเริ่มทไี่ ด้เข้าไปภาวนาปฏบิ ตั ิอยู่ในทีแ่ หง่ นี้ มคี วามผดิ
สงั เกตในตัวเองเปน็ อยา่ งมาก เช่น การพจิ ารณาอุบายธรรมใน
แง่ต่างๆ ด้วยปัญญา จะเกิดความกระจ่างชัดเจนมากทีเดียว
พิจารณาในสัจธรรมใดจะเกิดความแยบคายได้ง่ายและหาย
ความสงสัยภายในใจทันที การพิจารณาด้วยปัญญาให้เกิด
ความแยบคายน้นั เป็นศนู ย์รวมแหง่ ปญั ญาในสัจธรรมทง้ั หลาย

๓๘๒ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑

เพราะความแยบคายนั้นเป็นเคร่ืองท�ำลายความเห็นผิดและ
ความยึดมน่ั ภายในใจโดยตรง เมอ่ื พจิ ารณาในปญั หาน้นั ๆ เกิด
ความแยบคายเมอื่ ไร ความยดึ มนั่ ภายในใจกห็ ลดุ ออกไปในทนั ที

แตก่ อ่ นมาใจมคี วามลมุ่ หลงในภพทง้ั สามมาตลอด กเ็ พราะใจ
ถกู อวชิ ชา คอื ความไมร่ จู้ รงิ ปดิ บงั เอาไวม้ าชา้ นาน ไมเ่ คยใชป้ ญั ญา
อบรมใจสอนใจแตอ่ ยา่ งใด แมค้ วามจรงิ ท่ีมีอย่ใู นตัวเองและส่งิ
ภายนอกก็ไมร่ เู้ ห็น ใจจงึ ได้เกดิ ความลมุ่ หลง เกิดความเขา้ ใจผิด
อยตู่ ลอดเวลา เม่อื ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาใหใ้ จไดร้ เู้ ห็นอยา่ งเปิดเผย
แล้ว ความจริงจึงได้ปรากฏข้ึนที่ใจ จึงได้รู้ว่ากิเลสสังขารได้
ประกาศความเท็จให้ใจได้เกดิ ความล่มุ หลงอยตู่ ลอดเวลา จนใจ
เกิดความเคยชิน มีความหลงใหลอยู่ในโลกน้ีมายาวนาน บัดนี้
ใจมีปัญญาเป็นพี่เล้ียงแล้ว คอยอบรมส่ังสอนใจให้รู้เห็นตาม
ความเป็นจริงอยูต่ ลอดเวลา ใจมคี วามรอบรู้ ใจมีความฉลาด มี
ความสามารถรู้เห็นไดอ้ ย่างชดั เจนวา่ อะไรจรงิ อะไรปลอม เมอื่
ใจมคี วามรอบรแู้ ละมเี หตผุ ลอยอู่ ยา่ งน้ี ใจกม็ คี วามเชอ่ื มนั่ ขน้ึ มา
ในตวั เองวา่ เมอ่ื ใชป้ ญั ญาอบรมใจอยบู่ อ่ ยๆ ใจกจ็ ะคอ่ ยๆ ตนื่ ตวั
จากความเห็นผิดข้ึนมา นี่คือใช้ปัญญาอบรมใจให้รู้เห็นตาม
ความเป็นจริงว่าของทุกสิ่งในโลกน้ีย่อมตกอยู่ในอนิจจัง ทุกขัง

พ.ศ. ๒๕๑๒ จำ� พรรษาทบ่ี า้ นป่าลัน ๓๘๓

อนัตตา ด้วยกันทั้งส้ิน ในโลกน้ีไม่มีส่ิงใดนอกเหนือไปจาก
ไตรลักษณน์ เ้ี ลย

ทผี่ า่ นมาเคยใชป้ ญั ญาพจิ ารณาในสจั ธรรมในสง่ิ ทหี่ ยาบๆ
เกดิ ความแยบคายไปแลว้ ความยดึ มน่ั และความสงสยั ไดต้ ดั ขาดไป
ไม่ต้องมีการพิจารณาในรอบท่ีสองอีกแต่อย่างใด น่ีคือใจได้รับ
ความรจู้ รงิ เหน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอยา่ งชดั เจน แลว้ ความลงั เลสงสยั
ก็ได้ถูกท�ำลายไปเป็นอัตโนมัติ ความถอดถอนในความรักใน
ความชงั ความพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งใดๆ ก็ไดด้ บั สูญออกจาก
ใจไปในขณะนน้ั ทนั ที ในชว่ งนนั้ เหมอื นไดร้ วบรวมเอาทงั้ สามภพ
คือกามภพ รูปภพ อรปู ภพ มารวมอยใู่ นทีแ่ ห่งเดยี วกนั วัฏจกั ร
ความหมนุ เวยี นไปมาอยใู่ นภพทงั้ สามเปน็ อยา่ งไร อะไรเปน็ เหตุ
เป็นปัจจยั ให้เกิดความลุ่มหลง ท�ำให้เกดิ ตายอยู่ในภพทัง้ สามนี้
มายาวนาน ก็รู้เห็นเส้นทางของวัฏจักรนี้ทั้งหมด และรู้เห็นใน
วิธีทจี่ ะยบั ย้ังใจตวั เองไม่ใหห้ มุนไปตามในวัฏจักรน้ีอย่างชดั เจน
รู้เห็นได้ชัดว่าการที่หมุนเวียนไปมาในวัฏสงสารนั้น มีแต่จะ
เกิดทกุ ข์ มโี ทษ มีภยั อย่ตู ลอดเวลา จึงใช้ปัญญาพจิ ารณาใหม้ ี
ความละเอยี ดมากขนึ้ ท้งั เรือ่ งอดตี ทีผ่ า่ นมา จนถึงปัจจบุ นั และ
พิจารณาโยงไปสู่อนาคตท่ีจะเกิดต่อไปในภพชาติต่างๆ ว่าเป็น

๓๘๔ อัตโนประวตั ิ ภาค ๑

อย่างไร ความเข้าใจด้วยปัญญาท่ีเฉียบแหลมก็รู้เห็นได้อย่าง
ชัดเจน ทง้ั สามภพไม่มสี ่งิ ใดๆ จะมาปิดบงั ตัวปญั ญานี้ได้เลย ทุก
อยา่ งจะรู้เหน็ แทงทะลุปรุโปร่งไปเสยี ท้ังหมด

๓๘๕

วปิ สั สนาไดเ้ กดิ ขนึ้

ในวันหน่งึ หลงั จากการภาวนาปฏิบตั ิและไดพ้ ักผอ่ นพอ
สมควรแลว้ ในเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเยน็ เปน็ เวลาที่ออกมา
เดนิ จงกรมตามปกติ ในขณะนน้ั ไดอ้ อกมานงั่ พกั ผอ่ นอยทู่ รี่ ะเบยี ง
กฏุ ิ ได้มองไปเหน็ เครือตดู หมตู ูดหมา (เครอื กระพงั โหม) เกดิ ข้ึน
ทข่ี า้ งทางเดนิ จงกรม หลายวนั ทผี่ า่ นมา เคยบอกใหเ้ ณรเอาออก
มาแลว้ ๒ ครงั้ แตเ่ ครอื ตูดหมูตูดหมาไดเ้ กิดขึน้ มาในท่ีเดิมอกี

ในชว่ งนน้ั ปญั ญาเคยพจิ ารณาในสจั ธรรมตามความเปน็ จรงิ
อยแู่ ลว้ และไดร้ เู้ หน็ ในเหตปุ จั จยั ทพ่ี าใหเ้ ปน็ ไปในภพทง้ั สามมา
ตลอด เมือ่ มาเหน็ เครือตูดหมตู ูดหมาก็นอ้ มมาเปน็ อุบายในทาง
ธรรมะในทันทีว่า เครือตูดหมูตูดหมานนั้ กเ็ หมือนกับใจเรา มนั
เกดิ ขน้ึ มาไดด้ ว้ ยเหตปุ จั จยั ในตวั มนั เอง เมอ่ื ใดหวั เครอื ตดู หมตู ดู หมา

วิปัสสนาไดเ้ กิดข้ึน ๓๘๗

ยังฝังอยู่ในดิน ปัจจัยท่ีจะให้เกิดข้ึนมาอีกนั้นมันเป็นเหตุผล
ต่อเนื่องกัน หัวตูดหมูตูดหมาก็จะดึงดูดเอาอาหารในพ้ืนดิน
ขึ้นมาเล้ียงล�ำต้นของมันเอง ถึงจะไปสับมันก็เป็นเพียงแก้ใน
ปลายเหตุ เมื่อตัดเครือท้ิงไป เช้ือในการเกิดใหม่ยังมีอยู่ท่ีหัว
กจ็ ะเกดิ ขนึ้ มาอกี ได้ ถงึ จะตดั รอ้ ยครงั้ พนั ครงั้ เครอื ตดู หมตู ดู หมา
ก็จะเกิดอีกไม่มีท่ีสิ้นสุดลงได้ ถ้าขุดเอาหัวตูดหมูตูดหมาขึ้นมา
จากพน้ื ดนิ แลว้ เอามาตากแดดใหแ้ หง้ หรอื เอาไฟเผาใหเ้ ปน็ เถา้
ไปเสยี หัวตูดหมูตูดหมาก็จะไมไ่ ด้เกิดอีกเลย น่ันคอื ทำ� ลายเหตุ
ปจั จยั ของหัวตูดหมูตูดหมาให้สิน้ เช้ือหมดไปแล้ว

น้ฉี นั ใด ใจทไี่ ปกอ่ เกดิ ในภพชาติต่างๆ นนั้ ก็เพราะใจยงั
มเี ชอ้ื ของกเิ ลสตณั หาพาใหเ้ ปน็ ไป เมอื่ ใดทไ่ี ดท้ ำ� ลายกเิ ลสตณั หา
ให้หมดไปจากใจได้แล้ว ภพชาติต่างๆ ท่ีจะเกิดขึ้นมาอีกนั้นก็
หมดสทิ ธ์ทิ ่ีจะเกดิ อกี ตอ่ ไป ในขณะน้ัน ในความรู้สกึ เหมือนใจมี
ความวา่ งไปเสยี ทงั้ หมด เหมอื นกบั วา่ โลกกบั ธรรมแยกออกจาก
กนั เปน็ คนละอยา่ ง ใจไม่มคี วามผูกพนั ในสิง่ ใดๆ

ในช่วงน้ันสติปัญญามีความกล้าหาญมาก พิจารณาใน
สิ่งใดมีความแยบคายในทุกส่ิงไป อุบายน�ำมาใช้กับปัญญา
กเ็ หมือนกันกับหลักทเี่ คยใช้พจิ ารณามาแลว้ ความแตกต่างกนั

๓๘๘ อตั โนประวตั ิ ภาค ๑

คือใจยอมรับความเป็นจริงจากปัญญาน้ีท้ังหมด พิจารณาใน
สิ่งใด ใจมีความรู้เห็นเป็นไปตามหลักความเป็นจริงทั้งสิ้น ท้ัง
ความแยบคาย ทงั้ ความหายสงสยั ไปพรอ้ มๆ กนั หลกั สำ� คญั คอื
ตัวตัณหาเป็นตัวพาใหใ้ จไดไ้ ปเกดิ ในภพน้อยภพใหญ่ ตัณหาพา
ให้เป็นไปในความทุกข์น้ัน มีหลายเหตุมีหลายปัจจัยด้วยกัน
ตณั หาคอื ความอยากในความสขุ จงึ เปน็ ตน้ เหตทุ ส่ี ำ� คญั เปน็ อยา่ ง
มากทเี ดยี ว เปน็ ตณั หาความอยากอนั ละเอยี ดออ่ น และทำ� ใหใ้ จ
ไดเ้ กดิ ความหลงไดง้ า่ ย และหลงอยา่ งไม่รูต้ ัว น่ันคือความอยาก
ในกามคุณท่มี นุษย์ท้งั หลายในโลกนพี้ ากันหลงอยู่ เพราะถือวา่
เป็นความสุขในรสนยิ ม มคี วามพอใจในสิ่งใด มคี วามรกั ในส่ิงใด
ไดใ้ นสง่ิ น้ันมาสมความตัง้ ใจ ถือวา่ สิง่ นนั้ เปน็ ความสุข หารไู้ ม่วา่
ความสขุ เปน็ เหตแุ ห่งความทกุ ข์ เช่น กามคณุ ท้ังหา้ มรี ูป เสียง
กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ทง้ั หา้ นเี้ ปน็ ของมอี ยใู่ นโลก พากนั หลงเสพกนั
มาจนเกดิ ความเคยชนิ ในขณะเสพก็ถือวา่ มีความสุข แตผ่ ลคือ
ความทกุ ขก์ เ็ กดิ ตามมา กพ็ ากนั ดน้ิ รนเพม่ิ ความแสวงหาในกามคณุ
อกี ความทุกขก์ เ็ กิดขน้ึ มาอีก จึงเปน็ ความสุขในกามคณุ เปน็ ต้น
เหตุ ความทุกข์เป็นผลที่ได้รับ เม่ือมีความหลงในกามคุณมาก
กเ็ กิดเป็นผลทกุ ข์มากเป็นเงาตามตวั

วิปัสสนาไดเ้ กดิ ขึ้น ๓๘๙

ในขณะนนั้ มปี ญั ญาในขน้ั ละเอยี ดอยา่ งเตม็ ที่ มคี วามรเู้ หน็
รากแกว้ ของตณั หาคอื ความอยากไดช้ ดั เจน มตี ณั หาความอยาก
อีกอย่างหน่ึงเป็นต้นเหตุให้ได้กลับมาเกิดอยู่ในโลกน้ีอยู่บ่อยๆ
และมคี วามยนิ ดพี อใจเปน็ อยา่ งมาก ทกุ คนในโลกนม้ี คี วามปรารถนา
เปน็ อยา่ งยง่ิ นนั่ คอื ตณั หาความอยากในบญุ กศุ ล ขออภยั กบั ทา่ น
ผ้อู า่ นทุกๆ ท่านไว้ในที่นี้ดว้ ย มันเป็นเรอื่ งที่ไมค่ วรจะเขียนไวใ้ น
ทนี่ เ้ี ลย แตก่ จ็ ำ� เปน็ ตอ้ งเขยี นเอาไว้ ใหถ้ อื วา่ เปน็ เรอ่ื งของขา้ พเจา้
เพยี งผู้เดียว ท่านผูอ้ ่านอยา่ เพิ่งเอาแบบอย่าง เมื่อถึงวนั นัน้ แล้ว
ท่านก็จะรู้เห็นด้วยตนเองว่าตัณหาส่วนละเอียดท่ีก่อให้เกิด
ความหลงนน้ั เปน็ อยา่ งไร ทำ� ไมมนษุ ยเ์ ราจงึ ไดม้ าเกดิ อยใู่ นโลกนี้
จนหาทางออกไม่ได้ หน�ำซ�้ำยังวนไปเวียนมาในสามภพกันอยู่
ค�ำวา่ กามภพ คอื ภพที่มีความหลงอยใู่ นกามคณุ คำ� วา่ กามมีอยู่
๒ ประเภท

๑) วัตถุกาม
๒) กเิ ลสกาม
วัตถุกาม หมายถึงทรัพย์สมบัติทุกชนิดที่เรามีอยู่ มีเงิน
ทองข้าวของทุกชนิด อันเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะส่ิงของของเรา
รบั ผดิ ชอบอยู่ จะเป็นสง่ิ ทม่ี ชี วี ติ นานาชนดิ ทเี่ รามอี ยใู่ นสมมตวิ า่

๓๙๐ อัตโนประวัติ ภาค ๑

สตั ว์นี้เป็นของของเรา ทง้ั สองน้เี รยี กวา่ วตั ถกุ าม หากันมาเสพ
อปุ โภค บรโิ ภค อยใู่ นโลกมนษุ ยน์ เี้ ทา่ นนั้ สมบตั เิ หลา่ นไ้ี มม่ ใี ครเปน็
เจา้ ของทต่ี ายตวั ได้ เปน็ เพยี งวา่ สมบตั ทิ อี่ าศยั ในชว่ั ขณะทท่ี กุ คน
ยังมชี วี ิตอยเู่ ท่านนั้ ถา้ ใจไปหลงติดคิดว่ามันเปน็ ของของเราจน
เกดิ ความยดึ ตดิ ผกู พนั จนลมื ตวั จะทำ� ใหเ้ กดิ ความเปน็ ทกุ ขภ์ ายใน
ใจได้ เพราะวตั ถสุ มบตั เิ หลา่ นตี้ กอยใู่ นอนจิ จงั ความไมเ่ ทย่ี ง ยอ่ ม
มกี ารเปลยี่ นแปลงไดต้ ามเหตปุ จั จยั ความเขา้ ใจวา่ เปน็ ของของเรา
ตลอดไปนัน้ หาใชไ่ ม่ ใหถ้ ือวา่ เปน็ ของเราช่ัวคราวเทา่ นนั้ อีกไม่
ก่ีวันก่ปี ี ตัวเราและทรพั ยส์ มบัติต่างๆ กจ็ ะไดพ้ ลัดพรากจากกนั
อย่างแน่นอน บางทีเรายังมีชีวิตอยู่ ทรัพย์สมบัติต่างๆ เกิด
ความหายนะก่อนตัวเราไป หรือทรัพย์สมบตั ิยังมอี ยู่ แต่ตวั เรา
ตายไปกอ่ นกเ็ ปน็ ได้ สมบตั ติ า่ งๆ กต็ กทอดไปยงั ลกู หลานไดอ้ าศยั
กนั ไป แมล้ กู หลานกไ็ มม่ ใี ครๆ เปน็ เจา้ ของสมบตั ทิ แี่ นน่ อนตายตวั
เช่นกนั ทุกอย่างเป็นเพยี งหามาเพือ่ อาศยั เทา่ นน้ั

ตั้งแต่พระบรมจักรพรรดิราชท่ีเป็นผู้มีบุญบารมีท่ีสูงส่ง
ทรพั ยส์ มบตั ใิ นโลกนเี้ ปน็ สมบตั สิ ว่ นตวั อยกู่ ต็ าม กม็ ายดึ เอาสมบตั ิ
ของโลกนเ้ี ปน็ ของสว่ นตวั ไมไ่ ด้ เปน็ เพยี งครอบครองอาศยั กนั อยู่
ในขณะท่ีมชี ีวติ อยเู่ ท่าน้ัน อกี ไมน่ านกต็ ้องพลดั พรากจากกันอยู่


Click to View FlipBook Version