ใหญ่กับพ่อ ก่อกับครู
หนังสือธรรมะเล่มนี้ ถูกจัดทำ�ขึ้นมาเพื่อเป็นธรรมทานเท่านั้น ทางคณะผู้จัดทำ�ขอสงวนลิขสิทธิ์ ห้ามมีการคัดลอก ห้ามมีการตัดตอน ห้ามมีการนำ�ไปจำ�หน่าย หรือนำ�ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ใดๆทั้งสิ้น 3คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
..สุขไม่มี ทุกข์ไม่มี.. มีแต่ “สติ” เป็น “ธรรมชาติ” ที่บริสุทธิ์ เพราะ “อุเบกขา” นี่เป็น สัมมาสมาธิ ในมัชฌิมาปฏิปทา ใน “อริยมรรค” ของพระพุทธเจ้า สมาธิประเภทนี้ ตัดสังโยชน์ขาดมาเป็นลำดับๆ ตามลำดับของสติ ของปัญญา ของมรรค คือปัญญาสมาธิประเภทนี้ เป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา เป็น “อกาลิโก” ไม่อ้างกาล อ้างเวลา เพราะขาดจากสังโยชน์ ไม่มีการเสื่อม มีแต่เจริญก้าวหน้าไป ถึงแม้ว่า ชาติปัจจุบันนี้ ไม่ถึงที่สุด ตายไปก็เป็นนิสัยปัจจัย สำ หรับชาติหน้า ภพหน้าต่อไป ก็เปรียบเสมือนเราเดินทาง วันนี้เราเดินทาง แม้ไปยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง นอนพัก นั่งพัก ตื่นแม้เดินต่อไปอีก แต่เมื่อเป็นทางที่ถูก ....วันหนึ่งต้องถึงที่หมาย ไม่มีผิดทาง ไม่มีถอยหลัง.... 23
24
“อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” นั้นแลคือยอดของ “สมุทัย” อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา รวมตัวไปอยู่ในจิตทั้งหมด กระแสของมันถูกสกัดลัดต้อน ออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย สกัดลัดต้อนออกด้วย อำ นาจของธรรม มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตีต้อนเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงจิต “อวิชชา” หมุนตัวเข้าไป “สู่จิต” นี่ละเรียกว่า “ยอดสมุทัย” เข้าสู่ “จิต” แล้ว “จิต” จะมีความสว่าง กระจ่างแจ้ง มีความสว่างไสว มีความอัศจรรย์ นี่ก็คือ “กลอุบาย” คือ “โล่” ของอวิชชาที่หลอกสัตว์ทั้งหลาย “อวิชชา” นี้แม้แต่ “มหาสติมหาปัญญา” ยังหลงกลมันได้ แต่หลงก็หลงเพื่อจะฆ่า ไม่ใช่หลงเพื่อจะหลงไปเลย พอเข้าถึงจุดนี้แล้ว มหาสติมหาปัญญา ได้ทำลาย “อวิชชา” ลงอย่างราบคาบ เมื่อ “อวิชชา” ได้ม้วนเสื่อลงไปแล้ว ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ขาดสะบั้นจากกันไป เหลือแต่ความวิมุตติหลุดพ้นโผล่ขึ้นมาตรงกลางนั้น 25
26
“เชื้อ” ที่จะพาให้ “จิต” ไปเกิดไปตาย ในภพชาติน้อยใหญ่ นั้นก็คือ “ตัวรู้” หรือ “ผู้รู้” ที่อยู่กับ “จิต” กลมกลืนเป็น “อันเดียวกัน” อยู่นั้นแล เมื่อ “ผู้รู้” ถูกถอนพรวดขึ้นมาจาก “จิต” แล้ว เหลือแต่ “วิมุตติจิต” “การเกิด” จึงยุติขาดสะบั้นกันลงไป “ผู้รู้” นี้ก็เป็น สักแต่ว่า “เรือนร่าง” ของ “จิต” แต่ “ไม่ใช่จิต” “ร่างกาย” นี้เป็น สักแต่ว่า “เรือนร่าง” เป็นที่อาศัยของ “ผู้รู้” หรือ “ความรู้” นี้เท่านั้น เมื่อ “จิต” ขาดจากความ “สืบต่อ” กับสิ่งภายนอก หรือ “ขันธ์” แล้ว “จิต” จึงเป็น “อิสระ” นอกเหนือไปจากกฎ “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา” อยู่ตามความจริงของตน ไม่ไปเกี่ยวข้องกับกฎของ “สมมุติ” เพราะเป็น “วิมุตติ” แล้ว นั่นคือ “ผู้พ้นภัย พ้นโลก” พ้นตรงนี้ ท่านจึงว่า “ธมฺโม ปทีโป” ความสว่างกระจ่างแจ้งในจิตที่ ปราศจากแล้วจากกิเลส เป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนในโลกทั้งสามนี้ 27
28
“ตามรอยโค” เมื่อถึง “ตัวโค” แล้ว “พุทโธ กับ จิต” ก็เป็น “อันหนึ่ง” อันเดียวกัน ผู้กำ หนด “พุทโธ” เดินไปไหนอย่าให้เผลอคำว่า พุทโธ พุทโธ ไม่ให้ขาดวรรคขาดตอนกับ “ความรู้สึก” ระหว่าง “จิต” กับ “พุทโธ” ให้ติดต่อกันเป็นสาย “พุทโธกับความรู้” นั้นจะค่อยกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่นี่เราจะบริกรรม หรือ ไม่บริกรรม ก็ไม่เป็นปัญหา ในขณะนั้น เหลือแต่ “ความรู้ล้วนๆ” “พุทโธ” นี้เปรียบเหมือนเรา ตามรอยเท้า ของโคเพื่อจะ “จับตัวโค” ให้ได้ โคตัวนั้นไปที่ไหน “อย่าปล่อยรอย” ให้ “ตามรอย” โคตัวนั้นไป เป็นลำดับๆ ไปที่ไหนตามไปเรื่อยๆ “จนถึง” ตัวโค เมื่อถึง ตัวโค แล้ว เรื่องของรอยโคนั้น ก็หมดปัญหาเพราะไปถึงตัวโคแล้ว “ลมหายใจ” ก็เหมือนกับ “รอยโค” อันเดียวกัน คำว่า “พุทธะ” เป็นเหมือนกับ “โคตัวนั้น” พุทโธกับจิต ก็จะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วก็จะหมดปัญหาในคำว่า “พุทโธ” ในจิต เมื่อตั้งตัวได้ย่อมมีความสงบร่มเย็นเป็นสุขในเวลานั้น ไม่สงสัย นี่ผลที่เกิดจากการ บริกรรมพุทโธ เพื่อเห็นจุด “ผู้รู้” ที่เรียกว่า “ดวงใจ” อันแท้จริง 29
30
“ความเห็น” ตาม “สัญญา” กับ ความเห็นด้วย “ปัญญา” ที่ออกมาจาก “ผู้รู้” ต่างกันอยู่มากราวฟ้ากับดิน ความเห็นด้วย “สัญญา” พาให้ผู้เห็นมี “อารมณ์มาก” มัก “เสกสรรตัว” ว่ามี “ความรู้มาก” ทั้งที่ “กำลังหลงมาก” จึงมี “ทิฏฐิมานะมาก” ไม่ “ยอมลงให้ใคร” ง่ายๆ... ส่วนความ “เห็นด้วยปัญญา” เป็นความเห็นซึ่งพร้อมที่จะ “ถอดถอน” ความสำคัญมั่นหมายต่างๆ อันเป็นตัว “กิเลสทิฏฐิมานะ” น้อยใหญ่ ออกไปโดยลำดับที่ “ปัญญาหยั่งถึง” ถ้าปัญญาหยั่งลงโดยทั่วถึงจริงๆ “กิเลสทั้งมวลก็พัง” ทลายไปหมด ผู้ปฏิบัติทางจิตภาวนา จึง “ควรระวังเจ้าสัญญา” จะแอบเข้ามาทำ หน้าที่แทน “ปัญญา” โดย “รู้เอา” “หมายเองเฉยๆ” แต่กิเลสแม้ตัวเดียวก็ไม่ถอดออกจากใจบ้างเลย และอาจกลายเป็นทำ นองว่า “ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด” ก็ได้ 31
“รูปราคะ” ความกำ หนัดยินดีในรูป ไม่ได้หมายถึง รูปหญิง รูปชาย และรูปพัสดุสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งเป็นของ ภายนอกและเป็นส่วนหยาบ ๆ แต่หมายถึง “นิมิต” ที่ ปรากฏกับ “จิต” อยู่ภายในโดยเฉพาะ คือ “ภาพที่ได้จาก ภายนอก” ตามที่กล่าวผ่านมา ซึ่งย้อนกลับเข้ามาอยู่ในวง ของจิตโดยเฉพาะผู้พิจารณาจำ ต้อง “ถือนิมิต” นี้เป็น “อารมณ์ของจิต” หรือเป็นเครื่องเพ่งเล็งของจิต 32
จะว่าจิตยินดีหรือติด รูปฌานก็ถูก เพราะจิตชั้นนี้ต้องทำการ ฝึกซ้อมความเข้าใจ เพื่อความชำ นาญอยู่กับนิมิตภายใน โดย ไม่เกี่ยวกับกายอีกเลย จนเกิด “ความชำ นิชำ นาญ” ในการปรุงและ “ทำลายภาพภายในจิต” ให้มีการปรากฏขึ้นและ “ดับไปแห่งภาพ” ได้อย่างรวดเร็ว แต่ การเกิด-ดับ ของภาพทั้งนี้ เป็น “การเกิด-ดับอยู่จำ เพาะใจ” มิได้เกิด-ดับอยู่ภายนอกเหมือนแต่ก่อนซึ่งจิตกำลังเกี่ยวข้อง อยู่กับกายเลย แม้ความเกิด-ดับของภาพภายใน เมื่อถูกสติปัญญาจดจ้องเพ่งเล็งอยู่ไม่หยุด ย่อมมีการ เปลี่ยนแปลงตัวเองไปโดยลำดับ ความเกิด-ดับของภาพชนิด นี้ นับวันและเวลาเร็วเข้าทุกทีจนปรากฏเหมือน “ฟ้าแลบ แล้วดับไป” ผลสุดท้ายก็ หมดไป ไม่มีนิมิตเหลืออยู่ภายใน ใจเลย พร้อมทั้งความรู้เท่าทันว่าภาพนี้ก็มีความสลายไป เช่นเดียวกับสภาวธรรมอื่น ๆ จากนั้นก็เป็น “สูญญากาศว่างเปล่า” ไม่มีนิมิตภายในจิต แม้ร่างกายจะ ทรงตัวอยู่แต่ในความรู้สึกนั้นปรากฏเป็นความว่างเปล่าไป หมด ไม่มีภาพใด ๆ เหลืออยู่ภายในจิตเลย 33
ทุกข์จริงๆ ที่มันเกิดขึ้นในร่างกายนี้ มันไม่ได้ทราบ ความหมายของมันว่ามันเป็นทุกข์ และมันก่อขึ้นให้แก่ผู้ใด มันเองก็ไม่มีความหมายในตัวมัน ไม่รู้สึก นอกจากใจของเรา ไปหมายมันเท่านั้น 34
สัญญา สังขาร วิญญาณ ความจำก็เหมือนกัน มันสัก แต่ว่าจำ สังขาร ความคิดปรุง ก็สักแต่ว่าปรุง ใครจะเป็น ผู้รับช่วงจากความปรุง ใครจะเป็นผู้รับช่วงจากความจำ (สัญญา) ใครจะเป็นผู้รับช่วงจากความรับทราบ (วิญญาณ) นั้น ถ้าไม่ใช่จิต? ก็มีจิตดวงเดียวเท่านั้น เป็นผู้รับภาระทั้งรับ รู้ ทั้งรับหลง จิต ถ้าเป็นจิตที่รู้รอบด้วยปัญญาก็มีเครื่องมือจับ เหมือนกับเราจับไฟด้วยเครื่องจับ เช่น คีมคีบถ่านไฟ มันก็ ไม่หรือไม่้เรา ถ้ามือไปจับไฟก็หรือไม่้ จิตที่มีเครื่องมือ มีสติ มีปัญญารอบตัว ทุกข์ในขันธ์ก็ไม่เผาใจได้ ย่อมอยู่ด้วยกัน ด้วยความจริงเสมอไปตลอดอวสาน พิจารณาเวทนา ก็สักแต่เวทนาไม่ร้อนไม่ทุกข์ เพราะ มีเครื่องป้องกัน จิตที่เป็นสุข ย่อมมีเครื่องป้องกันเต็มตัว ทุกขเวทนาจะเกิดขึ้นเหมือนกองไฟทั้งกองก็ตาม จิตก็เป็น จิตล้วนๆ เป็นความรู้ล้วนๆ สุขก็เป็นสุขล้วนๆ ไม่ได้คละ เคล้ากันเลย “ต่างอันต่างจริง ตามหลักความจริงแท้” เป็น อย่างนี้แล กรุณาพิจารณาให้เห็นแจ้งกับตัวเอง จะยอมรับ พระธรรม ตลอดครูบาอาจารย์ ด้วยใจจริงในตัวเองเพราะ ความจริงนั้นเหมือนกัน 35
“ตัวคนเดียว” กีดขวางห้องอยู่ ห้องนั้นจึง “ไม่ ว่าง”“ตัวจิต” ที่มี “ธรรมชาติอันหนึ่ง” หุ้มห่อไว้อย่างมิดชิด “ธรรมชาตินั้น” เป็นผู้ทำ หน้าที่ “บงการ” ในอิริยาบถทั้ง สี่ “ธรรมชาติ” นี้เรียกว่า “อวิชชา””ความผ่องใส” คือ “ธรรมชาติ” ความองอาจกล้าหาญก็คือ “ธรรมชาติ” นี้ “ความสุขความสบาย” ก็คือธรรมชาตินี้ “ธรรมชาติ” นี้ยังเป็น “ตัวสมมุติ” อยู่เรากำลังหลง และ ยึดถือ “จิต อวิชชา” อยู่อย่างภูมิใจไม่รู้สึกตัว ก็ย้อนเข้าไปดู “จุดนี้” จุด นี้ คือจุดแห่ง “ความผ่องใส” จุดแห่งความองอาจ จุดแห่ง ความสุขอันละเอียดของ “อวิชชา” ที่อาศัยอยู่นี้ “จุดอันนี้” เป็นเช่นเดียวกับ “บุคคล” ที่เข้าไปใน “ห้องว่าง” 36
เมื่อเข้าไปสู่ห้องว่างแล้ว “ผู้นั้น” จะ “ลืมตัวของตัว” ไปเสีย แต่จะไปชมว่าห้องนี้ว่างโล่งโถงเต็มที่ “ไม่มีสิ่งใด” อยู่ในห้องนี้เลย “ห้องนี้ว่าง” อย่างเต็มที่ โดยไม่ทราบ ว่า “ตัวคนเดียว” นั้นแลไปทำการ “กีดขวาง” ห้องอยู่ใน ขณะนั้น ห้องจึง “ยังไม่ว่าง” เพราะยังเหลือคน ๆ หนึ่งไป ทำการกีดขวางห้องนั้นอยู่ พอรู้สึกตัวว่า อ้อ ห้องนี้ว่างจริง แต่ที่ห้องนี้ยังไม่ว่างเต็มที่ก็เนื่องจาก “เรามาอยู่ในห้องนี้” คนหนึ่ง ถ้าเรา “ถอนตัวออกไป” เสียจากห้องนี้แล้ว ห้องนี้จะ ว่างอย่างเต็มที่ แต่ยังเหลือคำว่า “เรา” ซึ่งเป็น “ตัวอวิชชา” อันแท้จริงแล้ว “ใจ” นั่นแหละ คือตัว “อวิชชา” ล้วน ๆ “ธรรมชาติอันนั้น” ทำการกีดขวางตัวของเราอยู่ เราเลยไม่ ว่างพอ “ปัญญา” ได้หยั่งเข้าไป “สู่จุดนี้” แล้ว “ธรรมชาติ นี้” ก็สลายตัวลงไป นั้นแล “ภายนอกก็ว่าง” “ภายในใจตัว เองก็ว่าง” “จิต” รู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านหมด “จิตนี้ว่าง” อย่างเต็มที่ ไม่มีสมมุติอันใดแฝงอยู่ภายในนั้นเลย นี่ชื่อว่า “จิตว่างจริง จิตปล่อยวางจริง”ถ้าหาก “จิต” ยังไม่รู้ตัวเอง ถึงจิตจะว่าสิ่งใดว่างหรือปล่อยวางสิ่งใดได้แล้วก็ตาม “จิต” ก็ยังไม่ว่างในตัวเอง ว่า “อวิชชา” ก็คือ “จิตผู้นั้น” ยังจะมี ทางสืบต่อไปได้อีก นี่ “จุดสุดท้าย” แห่งการปฏิบัติธรรมะ 37
คำว่า “จิตว่าง” หมายถึง ว่างจากรูปภาพ ภายนอก ที่เคยคิดปรุงเป็นคู่กับใจอยู่เสมอ เช่น รัก ชอบ หรือโกรธเคืองให้ผู้ใด ใจย่อมคิดปรุงเรื่องและ ภาพของคนนั้นอยู่เสมอ เป็นต้น เรียกว่า ภาพภายนอก 38
ส่วนจิตว่างทั้งภายนอก ทั้งภายใน แม้ตัวจิตเองก็ ไม่ยึด ไม่ถือ ทั้งว่าง ทั้งปล่อยวาง โดยประการทั้งปวง นี้ คือจิตหมดอุปาทานทั้งภายนอกและภายใน ถ้าเป็น พระหรือใครก็ตามบรรลุถึงธรรมขั้นนี้ ในครั้งพุทธกาล เรียกว่า บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลขั้น อเสขะ ไม่ต้องศึกษาเพื่อละเพื่อถอนกิเลสใดๆ อีกต่อ ไป แต่สมัยนี้ผู้แสดงไม่แน่ใจว่า จะไม่ถูกโห่ ถูกรุมอะไร ร้อยแปด คงเป็นเพราะเหตุนี้ พระกรรมฐานที่ท่านปฏิบัติเป็นธรรม และรู้ธรรม ชั้นใดก็ตามภายในใจแล้วเงียบๆ ไม่ปริปากพูดอะไรกับ ใคร ราวกับเป็นใบ้ นอกจากผู้ใกล้ชิดจริงๆ และอยู่ด้วย กันมานานจนรู้นิสัยใจคอกันดี ถึงเวลาที่ควรพูดท่านจึง พูด แต่พูดวิธีดำ เนินของจิตจนถึงธรรมขั้นนั้น โดยไม่ จำ เป็นถึงต้องพูดการบรรลุ ประการสำคัญท่านผู้หลุด พ้นแล้ว ท่านย่อมหลุดพ้นทั้งความหิวโหย ความอยาก พูดอยากคุยต่างๆด้วย ท่านพูดไปตามเหตุผลที่ควร เท่านั้น 39
40
ถ้ามี “จุด” มี “ต่อม” แห่งผู้รู้อยู่ตรงไหน นั่นแหละคือ “ตัวภพ” ใน “จุดนี้” มีอาการ เศร้าหมองบ้าง ผ่องใสบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง เอา “จุดนี้” เป็นจุดพิจารณา เหมือน “สภาวธรรม” ทั้งหลาย “สมมุติ” จะเกิดขึ้นมา “เกิด-ดับ” ที่จุดนี้ และ “วิมุตติ” จะเกิดที่นี่เหมือนกัน ให้ดูความ “เกิด-ดับ” ของ “สมมุติ” อย่างเดียว ไม่ต้อง “คาดหวัง” ใน “วิมุตติ” “วิมุตติ” จะเกิด หรือ ไม่เกิด “มันจะเป็นของมันเอง” 41
42
สำ หรับผู้ตั้งรากฐานใหม่ ก็ให้อยู่กับคำ บริกรรมที่ตนนำ มา บริกรรมนั้นด้วยสติตลอดไป ไม่ว่าจะเดินก้าวหน้าถอยกลับ มีสติอยู่กับคำ บริกรรม ติดแนบกันไปเสมอ 43
คำ�นำ� การที่หมู่พระสงฆ์ ผู้เป็นศิษย์อยู่ใกล้ชิดปฏิบัติ พร้อม ทั้งศรัทธาญาติโยม ท่านผู้เคารพนับถือ ทั้งใกล้และไกล ทั้ง ในและนอกประเทศ เป็นดุจดั่งศิษย์ผู้ใกล้ชิด ร่วมสำ นัก ปฏิบัติของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ต่างมีนํ้าใจใส แสดงออกซึ่งความเป็นผู้รู้สึกสำ นึกในอุปการะธรรม ที่ได้ เคยอบรมสั่งสอนกันมาเนืองนิตย์ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ล้วนอนุวัตร ให้เป็นไปตามพุทธโอวาทในสิงคาลกสูตร ดังที่พระพุทธองค์ ทรงสั่งสอนสิงคาลมาณพ ผู้เป็นบุตรคฤหบดี ให้ทราบว่า ศิษย์พึงบำ รุงอาจารย์ด้วยสถาน ๕ คือ ๑. ด้วยการลุกขึ้นยืนรับ ๒. ด้วยการเข้าคอยรับใช้ ๓. ด้วยการเชื่อฟัง ๔. ด้วยการบำ เรอ ๕. ด้วยการเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ทิศเบื้องขวาคืออาจารย์ เมื่อได้รับการบำ รุงจาก ศิษย์ด้วยดีเช่นนั้นแล้ว ย่อมมีข้อวัตรที่จะพึงปฏิบัติหรือให้ อนุเคราะห์ต่อศิษย์ของตนเช่นกันดังนี้ ๑.แนะนำดี ๒. ให้เรียนดี ๓. บอกศิลปวิทยาด้วยดีใน ศิลปวิทยาทั้งปวง ไม่บิดบังอำ พราง ๔. ยกย่องให้ปรากฏใน หมู่เพื่อนฝูง ๕. ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย 44
ในฐานะผู้เป็นอาจารย์อบรมสั่งสอนท่านทั้งหลาย ก็ มั่นใจว่าไม่บกพร่องในการอบรมสั่งสอนของตน และคณะ ศิษย์ฯ มาแสดงความประสงค์ ต้องการนำ โอวาทธรรม ที่ได้อบรมต่างกรรมต่างว่าระ จัดพิมพ์เป็นหนังสือ “สันตุสสโกวาท” ขึ้นนั้น ก็นับเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนายินดี เพราะการกระทำดังกล่าวนี้ ก็ด้วยความที่ท่านเป็นผู้รู้สึก สำ นึกในอุปการะที่ได้กระทำและแสดงความมีนํ้าใจด้วยการ ตอบแทนบุญคุณประการต่างๆที่เหมาะสม เหล่านี้ล้วนส่อ แสดงให้เห็นว่า พวกท่านทั้งหลายได้น้อมนำคุณธรรมอันหา ได้ยาก มาฝังฝากไว้ในตน เป็นเสมือนพวกท่านทั้งหลายก้าว เดินตามหนทางที่บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายในอดีต ได้เคย กระทำ มาแล้วเป็นเนืองนิตย์ ดั่งเช่นท่านพระสารีบุตร พระ อัครสาวกเบื้องขวา ที่เห็นอุปการะของราธพราหมณ์เฒ่าผู้ ถวายข้าวสุกแก่ท่านแม้เพียงทัพพีเดียว เพราะบัณฑิตนัก ปราชญ์ทั้งหลายท่านย่อมมองเห็นกตัญญูกตเวทิตาธรรมว่า เป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นธำ รงรักษา เป็นสมบัติของดวงจิตที่ ติดภพติดชาติ และเป็นประทีปธรรมแห่งชีวิตกลางดวงใจ ของท่านผู้เป็นคนดีมาทุกยุคทุกสมัย สมตามพุทธศาสน สุภาษิตที่ว่า 45 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
“นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี” จึงขออนุโมทนาสาธุการ ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฎิภาณธนสารสมบัติ ปรารถนาสิ่ง ใดที่อยู่ในกรอบของศีลธรรม ก็ขอให้สำ เร็จสมความมุ่งมาด ปรารถนาด้วยกันทุกท่านเทอญ ด้วยเมตตาธรรม (พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก) เจ้าอาวาสวัดป่านาคำ�น้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ 46
47
ความเป็นมาของหนังสือ เนื่องด้วยคณะศิษยานุศิษย์ได้มีโอกาสบวชเรียน เข้ามาอบรมศึกษากับหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก ที่วัดป่านาคำ น้อยแห่งนี้ ได้รับฟังคำ สั่งสอนที่มีคุณค่า และสาระประโยชน์ในการดำ รงชีวิต จึงมีความคิดเห็นว่า หากพ่อแม่พี่น้องของตน ได้รับฟังคำอบรม สั่งสอนนั้นๆ คงจะเกิดประโยชน์ต่อพวกเขา จึงได้ทำการคัดเลือก คัดสรร และรวบรวมคำสอนมากกว่า ๑๐๐ พระธรรมเทศนา ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๕๙ มาเป็นคำสอนแบบสั้นๆรัดกุม และ เข้าใจง่าย เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน จากนั้นจึงเกิดความ คิดที่จะเผยแผ่แก่พุทธบริษัททั่วๆไป เพื่อเป็่นสาธารณะ ประโยชน์สืบต่อไป หนังสือ สันตุสสโกวาท เล่มนี้เป็นคำสอนแห่ง สัจธรรมอันแท้จริง มีค่าในการจดจำ และนำ ไปปฏิบัติ โดย หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก ได้นำ หลักธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งนิทานชาดก มาถ่ายทอดสั่งสอนในแต่ละวัน คณะผู้จัดทำจึงมีความ ปรารถนาที่จะนำคำสอนเหล่านั้นมาเรียบเรียง ให้มีความ กระชับเข้าใจง่าย เหมาะแก่การอ่านสำ หรับทุกเพศทุกวัย 48
ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ที่มุ่งมั่นสืบสานพระธรรมคำ สอน และเพียรดำ เนินตามรอยบาทพระศาสดาซึ่งได้ ประกาศสัจธรรมอันประเสริฐ จึงขอมอบหนังสือเล่มนี้แก่ พุทธศาสนิกชนทุกท่าน เพื่อเป็นทานอันเกื้อกูลต่อการ พัฒนาจิตวิญญาณอันจะเป็นฐานแห่งการเข้าถึงธรรมะใน กาลต่อไป และขอนอบน้อมถวายกุศลทั้งปวงเป็นอาจาริยบูชา แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก และบูรพาจารย์ทุกๆรูป ด้วยจิตคารวะเหนือเศียรเกล้า คณะผู้จัดทำ 49 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
50 พูดสอนเรื่องธรรมะ กำ�จัดกิเลสภายในจิตใจไม่ได้ การศึกษาธรรมะภาคปฏิบัติ เรา ต้องศึกษาแล้วก็พยายามมองให้กว้าง ให้ไกล แล้วก็ตีความหมายเข้าสู่จิตใจ ของเรา แต่ถึงอย่างไรเหมือนกับเวลาที่ เรากำลังหิวอาหาร การที่เรามัวแต่พูด คุยเรื่องอาหาร ไม่สามารถที่จะกำจัด ความหิวของเราได้ฉันใด การที่พวกเรา มีแต่สนทนาเรื่องธรรมะ แต่ไม่ได้นำ มาปฏิบัติ ก็ไม่สามารถที่จะกำจัดกิเลส ภายในจิตใจของเราได้ฉันนั้น อย่างนั้น จริงๆ คนที่หิวอาหารแต่มามัวพูดเรื่อง ของอาหารมันไม่กำ จัดความหิวนะ การพูดแต่เพียงอย่างเดียวกำจัดความ หิวไม่ได้ ถ้าว่าหากเราพูดถึงอาหารก็ จัดอาหารมาทานมันถึงจะกำจัดความ หิวได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เหมือน กัน การพวกเรามีแต่มาพูดเรื่องธรรมะ ทางทฤษฎีมันไม่สามารถจะกำจัดกิเลส ภายในใจของเราออกไปได้ นอกเสีย จากว่าพวกเราทุกท่านนำ มาศึกษาและ ปฏิบัติเท่านั้น ไม่มีทางอื่น