The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by warm.siriteng, 2023-12-12 17:54:23

สันตุสสโกวาท

สันตุสสโกวาท

คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา 51 นํ้ามันมะพร้าว มาจากกะทิมะพร้าว เมื่อพิจารณาตามความเป็น จริงปล่อยวางเข้าไปแล้วความ บริสุทธิ์นั่นล่ะเป็นของแท้ เหมือ นกับน้ามันมะพร้าวที่มันเกิดจาก ํ กะทิมะพร้าว แต่พอมันลอยตัวขึ้น มาแล้วมันก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง มัน ไม่ใช่กะทิมะพร้าวแล้วแต่มันเป็นน้ามันมะพร้าวแทน ใจของเรา ํ นี้ก็เหมือนกัน เมื่อพิจารณาได้ที่ แล้ว ถอนอุปาทานความยึดมั่นถือ มั่นแล้ว มันลอยตัวเหมือนน้ามัน ํ มะพร้าว เมื่อมันลอยตัวเป็นน้าํ มันมะพร้าวแล้ว ทีนี้จะขยำ มันใส่ กิเลสให้มันเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็ ไปไม่ได้เพราะมันคนละเรื่องกันมัน เป็นคนละอันกันแล้ว นี่แหละการ พิจารณาธรรมะถึงจุดอิ่มได้ หลุด พ้นได้ เกิดความเบื่อหน่ายคลายได้


ใบไม้ในกำ�มือ เราอย่าไปทะนง อวดตัวว่าข้าพเจ้าเป็นคนรู้ เป็นคน ฉลาด จริงๆเราฉลาดแต่เฉพาะในเรื่องที่เรารู้เท่านั้นเอง แต่ สิ่งที่เราไม่รู้นั้นก็มีอีกมาก ที่เราจะต้องเรียนรู้มีมาก เราไปอยู่ สถานที่ใดอย่าไปกร่างว่าข้าฉลาดเหนือมนุษย์มนาทั้งหลาย ถ้ากร่างมากก็ยิ่งโง่มาก เขายิ่งเห็นความโง่ของเรามากขึ้น ถ้าอ่อนน้อมถ่อมตนไว้น่ะดี สิ่งไหนที่รู้ก็บอกว่าข้าพเจ้ารู้ใน เรื่องนี้ พอจะทำ ได้ พอจะช่วยหมู่เพื่อนๆ ได้ พอจะก่อสร้าง ได้ พอจะสอนวิธีให้รู้ให้รับทราบได้ แต่อย่างอื่นข้าพเจ้ารู้มา อยู่ แต่ว่าไม่ชำ นาญพอ เพราะวิชาในโลกมีมาก จะให้รู้แจ้ง โลกไปทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเคยเสด็จไปอยู่ในป่า กับพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ท่านก็เอามือกวาดๆ กำ ใบไม้ประดู่ขึ้นมา ท่านก็ ถามพระสงฆ์ทั้งหลายว่า ใบไม้ประดู่ที่อยู่ในกำ มือของเรา กับใบไม้ประดู่ที่หล่นอยู่ในจักรวาลอันไหนมันมากกว่ากัน? พระสงฆ์ตอบว่า “ใบไม้ในมือของพระองค์หน่อยเดียว แต่ ใบไม้อยู่ในจักรวาลมากกว่า พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ 52


บอกว่า ธรรมคำสั่งสอนของเราตถาคต ๘๔,๐๐๐ พระธรรม ขันธ์ ที่นำ มาสอนพวกท่านทั้งหลาย เหมือนกับใบไม้อยู่ใน กำ มือของเรา ฉันใด แต่ความรู้ของเราที่เรารู้แล้วแต่ไม่ได้ นำ มาสอนพวกท่านทั้งหลายก็เหมือนกับใบไม้ทั้งหมดที่อยู่ ในจักรวาล ฉันนั้น เพราะเอามาพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ เราสอนพวกเธอแต่เฉพาะสิ่งที่จะเกิดประโยชน์สำ หรับการ ถอดถอนกิเลส ราคะ โมหะ โทสะออกจากจิตใจ ที่เราเอา มาสอนเป็นไปเพื่อความสุขด้วยกาย วาจา ใจ ของมวล มนุษยชาติ หากใครปฏิบัติตามที่เราสอนแล้วมีแต่ความ ร่มเย็นผาสุก แต่อย่างอื่นที่เรารู้แต่เราไม่ได้นำ มาสอนนั้น เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ต่อความดับทุกข์ 53 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ภัยต่อตน ภัยต่อศาสนา ชีวิตของพระ ชีวิตของนักบวช ผู้ บำ เพ็ญอยู่ในป่า ในวัดวาศาสนา ต้องรู้จัก หลบหลีก ให้รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง แต่สิ่งที่ไหนที่เกิดประโยชน์ต่อวัดวาศาสนา ต่อหมู่พวกเพื่อนอันนั้นเราต้องทำ สิ่งไหน ที่จะเป็นพิษเป็นภัย เป็นอันตรายต่อวัดวา ศาสนา อย่านำสิ่งนั้นเข้ามาในวัดวาศาสนา มันเป็นพิษเป็นภัย มันเป็นอันตราย มัน เผาตนเอง แล้วเผาวัดวาศาสนา เผาครูบา อาจารย์ เผาหมู่เพื่อนอีก มันไม่เป็นผลดี สิ่ง ไหนที่เป็นหายนะ ที่ครูบาอาจารย์ท่านได้ ห้ามไว้แล้ว ได้บอกไว้แล้ว สิ่งนั้นเราต้องระวัง เพราะเรามาอยู่ในวัดของท่าน สิ่งไหนก็ตาม ถ้าผมได้ห้ามเอาไว้แล้ว พวกท่านทั้งหลาย ต้องฟัง แต่ถ้าท่านทั้งหลายยังฝืนอยากจะทำ ท่านทั้งหลายต้องออกจากวัดนี้ไป ทีนี้จะไป ทำอย่างไรก็ได้ผมไม่ได้ห้าม แต่ถ้าผมได้ยิน ว่าพวกท่านทำ ไม่ถูกในหลักพระธรรมวินัย ไม่อยู่ในศีลาจารวัตร ผมจะห้ามไม่ให้เข้ามา เหยียบวัดผมอีก เพราะมันจะเปรอะเปื้อน 54


คำ�เดียว ถึงใจ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น รู้สักแต่ว่ารู้ อย่าไป ให้ความสำ�คัญในการรู้การเห็นนั้นๆ ถึงจะพูดคำ เดียวหรือสองคำก็ตาม ถ้า คำ นั้นถึงใจผู้ปฏิบัติธรรม ถูกแนวทาง ของผู้ปฏิบัติธรรม คำ นั้นมีประโยชน์ มาก ถึงจะพูดทั้งวันทั้งคืนก็ตาม แต่ ถ้าคำ นั้นไม่เข้าหูผู้ฟัง คำ พูดนั้นไม่เกิด ประโยชน์ แต่คำ พูดใดก็ตามถ้าผู้ฟัง ไปแล้วกินใจ ถูกใจ เข้าใจ และนำคำ สอนเพียงคำ เดียวนั้นไปก็เกิดประโยชน์ อย่างเช่นพระพาหิยะที่ท่านเคยเกิด เป็นพระมาแต่ในครั้งศาสนาของพระ พุทธเจ้ากัสสปะมาก่อน ท่านบำ เพ็ญจน กิเลสเบาบางมาเต็มที่แล้ว แต่ท่านยังไม่ ได้สำ เร็จ ครั้นพอมาถึงยุคพระพุทธเจ้า ของเรา เพียงได้ยินท่านตรัสสอนว่า เห็นแต่สักว่าเห็น รู้แต่สักว่ารู้ อย่าให้ ความสำคัญในการเห็นการรู้นั้น เพียง แค่นั้นท่านก็ปล่อยวางในจิตใจของท่าน ท่านก็ได้สำ เร็จเป็นพระอรหันต์ คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา 55


ทัพพี กับ ลิ้น ในพระธรรมคำสอน หรือตามแนวแถวที่พ่อแม่ครูบา อาจารย์สายหลวงปู่มั่นที่ท่านได้บอกกล่าวแนะนำ ผมมั่นใจ ว่าไม่เปล่าประโยชน์แน่ ถ้าพวกเราใส่ใจสนใจ เว้นเสียแต่ ท่านทั้งหลายไม่ได้สนใจใส่ใจ อยู่แบบไม่คิดไม่อ่าน อยู่แบบ ว่า พอให้พ้นวันๆ คืนๆ เดือนๆ แล้วก็ออกไป อันนั้นแปลว่า ไปอยู่ ณ สถานที่ใดเหมือนกับทัพพีแช่อยู่ในหม้อแกง ถึงจะ แช่อยู่ร้อยปีพันปีก็ไม่รู้รสหวานเค็มของแกงนั้นๆ เพราะ เหตุใด เพราะไม่ได้ใส่ใจ เหมือนกับทัพพีแช่อยู่ในหม้อแกง ถ้าว่าลิ้นเราไป ณ สถานที่ใด รสเผ็ดๆ หวานเค็มอะไรเราก็ รู้ เพราะลิ้นของเรา เราพร้อมที่จะรับรู้รส นี้ก็เหมือนกัน เรา เข้ามาสู่วัดวาศาสนา มาสู่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราควรจะเป็นลิ้น ไม่น่าจะเป็นทัพพี ควรจะรู้รส น่าจะ ศึกษาค้นคว้า เมื่อเราศึกษาค้นคว้า ถึงจะมีเวลาน้อย ชั่ว ระยะหนึ่ง ผมก็มั่นใจว่าถ้าหากพวกท่านประทับใจในการ ประพฤติปฏิบัติ พวกท่านก็จะได้นำ ไปใช้ต่อภายภาคหน้า เมื่อท่านออกไปเป็นฆราวาส หรือว่าท่านออกจากวัดนี้ไป ถ้าท่านเป็นผู้ใหญ่ต่อไปในภายภาคหน้านั้นยิ่งมีประโยชน์ อย่างมาก เพราะเป็นพื้นฐานที่จะได้นำ ไปประพฤติปฏิบัติ ปรับปรุงกายใจท่าน ต่อไปท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านก็จะได้นำ ธรรมคำสอนที่พวกท่านได้ศึกษาแล้วนี้ นำ ไปบอกกล่าว 56


แนะนำศิษยานุศิษย์ต่อไปในภายภาคหน้า แตถ้าพวกท่าน ทั้งหลายมาอยู่แล้วไม่ได้รับการศึกษา ก็เหมือนมาอยู่กับ พระประธาน ถึงแม้พระประธานเป็นบรมครูของเรา ถึงท่าน จะศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน แต่ถ้าเรามาอยู่กับท่านโดยที่ท่านไม่ ได้แนะนำสั่งสอนอะไร มีแต่มากราบไหว้อยู่ทั้งวี่ทั้งวัน มาอุป ถัมภ์อุปฐากโดยที่เราไม่ได้รับการศึกษาอะไรเลย แล้วพวก เราจะได้ความรู้ความฉลาดหรือไม่? อันนี้ผมก็มั่นใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเองพวกท่านเข้ามาสู่วัดวาศาสนา มาสู่วัดของ ผม ผมจึงเก็บประเด็นนั้นประเด็นนี้ แนวความคิดนั้นแนว ความคิดนี้ มาตีแผ่ขยายผลให้แก่พวกท่านทั้งหลายได้ฟัง ได้ ศึกษา ต่อไปภายภาคหน้าถ้าท่านเป็นผู้สนใจใฝ่ศึกษา ท่าน จะได้นำแนวความคิดของผมประเด็นใดประเด็นหนึ่ง นำ ไป ปรับปรุงแก้ไขการกระทำ หรือว่าพวกท่านทั้งหลายประสบ ปัญหาอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ต่อไปภายภาค หน้า ความคิดที่พวกท่านได้ศึกษาในวันนี้ มันจะวิ่งเข้ามา หาพวกท่าน พวกท่านจะได้นำแนวความคิดนั้นมาใช้ในชีวิต ประจำวันหรือเฉพาะหน้า ผมมั่นใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้น สรุปแล้วทุกอย่างต้องอาศัยการเรียนรู้ ต้องอาศัยการได้ยิน ได้ฟัง ต้องอาศัยการศึกษาเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ 57 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ปฏิบัติบูชาเป็นเลิศกว่าอามิสบูชา ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระสงฆ์บางกลุ่ม ก็เข้าไปมะรุมมะตุ้มๆ แต่มีบางองค์ทราบว่าพระองค์ จะปรินิพพาน ก็ปลีกตัวออกมาหาภาวนาอย่างอุกฤษฏ์ ข้าพเจ้าจะภาวนาให้ได้สำ เร็จก่อนที่พระพุทธเจ้าจะ ปรินิพพาน พระสงฆ์กลุ่มที่เข้าไปอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า เห็น พระดังกล่าวไม่เข้ามาอยู่ใกล้เลยทั้งที่รู้ว่าพระพุทธเจ้าจะ ปรินิพพานอยู่แล้ว ทำ ไมไปหาหลบหาหลีก ซ่อนเร้นอยู่ตาม ลำ พัง ไม่เข้ามาดูแลช่วยหมู่พวกเพื่อน พระองค์ที่อยากได้ หน้าก็คงจะฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเรียกมาคุย สิ พวกนั้นก็คงจะดีใจเพราะพระพุทธเจ้าเรียกมาก็คงจะ ด่าว่าพระองค์นี้เนรคุณ ไม่รู้จักหรอว่าเราจะตายแล้ว ไปหา หลบหลีกซ่อนเร้นไปอยู่ทำ ไม ทำ ไมไม่มาดูมาแลกับหมู่พวก เพื่อน หนีอย่ามาใกล้เรา พระสงฆ์ก็คงจะให้พระพุทธเจ้าว่า อย่างนั้น ลูกศิษย์เทวทัตว่าอย่างนั้น ทีนี้พระพุทธเจ้าก็ถาม ทำ ไมเธอจึงไม่มาดู ในเมื่อเราก็ป่วย จะปรินิพพานอยู่แล้ว? ส่วนพระองค์นั้นก็บอกว่า กระผมรู้ เคารพ และเทิดทูนบูชา อย่างยิ่งพระพุทธเจ้าข้า แต่ว่ากระผมจะพยายามภาวนา เพื่อให้พ้นทุกข์ให้ได้ ในขณะที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ อยู่ จะตัดกิเลสให้ได้ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เพราะ ฉะนั้นข้าพระองค์จึงหลีกไปบำ เพ็ญภาวนา เพื่อให้พ้นทุกข์โดย เร็วจะให้ทันก่อน พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระเจ้าข้า 58


นี้แหละ สาธุ สาธุ สาธุ เห็นด้วย เห็น ด้วย เห็นด้วย ต้อง เ ป็ น อ ย่ า ง นี้ คื อ ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติ บูชาเลิศกว่าอามิส บูชา การที่พวก ท่านทั้งหลายมา ดูแล มาปรนนิบัติ อันนี้เรียกว่าอามิส บูชา แต่อันนี้เขา จะไปภาวนาเพื่อ หาทางพ้นทุกข์ จะ ไม่มาเวียนว่ายตาย เกิดในวัฏสงสาร เรายกย่องเชิดชู ผู้ ป ฏิ บั ติ บู ช า มากกว่าอามิสบูชา ถูกต้องแล้ว 59


อมตะวาจา ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์ ในตอนบ่ายพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป มารวมกัน พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย และให้โอวาทปาฏิโมกข์ ในโอวาทปาฏิโมกข์นั้นคืออะไร? “สัพพะ ปาปัสสะ อะกะระณัง” การไม่ทำ บาปทั้งปวง “กุสะลัสสูปะสัมปะทา” การยังกุศลให้ถึงพร้อม “สะจิตตะปะริโยทะปะนัง” การทำจิตให้ผ่องใส ผ่องแผ้ว “เอตัง พุทธานะ สาสะนัง” นี่คือธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า และหลวงพ่อขอเปรียบเทียบปัจฉิมโอวาทว่า ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน “ขะยะ วะยะ ธัมมา สังขารา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ” สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ขอให้ท่านทั้งหลายจงยัง ประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ทั้งสองศัพท์นี้ถ้าจะเปรียบ เทียบแล้ว เป็นอมตะวาจา เป็นวาจาอันไม่ตาย พวกเราคิด ดูให้ดีก็แล้วกัน คือที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งเสียพวกเราทั้ง หลาย 60


เป็นมนุษย์ต้องเลือกคบกัลยาณมิตร คบเพื่อนที่ดี งาม เว้นเสียแต่เราเลือกไม่ได้ เลือกไม่ได้คืออะไร? เช่นถ้า เราเกิดมากับพ่อกับแม่ของเรา แต่พ่อแม่ของเราเป็นขโมย โพยโจร บางทีลูกเห็นว่าพ่อแม่ทำ ไม่ถูก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร อันนี้เราก็ต้องพยายามสอน แนะนำ พ่อแม่ของเรา พ่อแม่คิด อย่างนั้นไม่ถูกนะ ถ้าลูกเป็นอภิชาตบุตรต้องเป็นลักษณะ อย่างนั้น คือไม่ตามทีเดียว แต่ถ้าไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะ เราเกิดมาแล้ว พ่อแม่พาทำชั่ว เราก็เลยต้องทำชั่วตาม อัน นั้นแปลว่าอวชาตบุตร บุตรที่ตํ่ากว่าพ่อแม่ หรือว่าอนุชาต บุตร บุตรที่เสมอพ่อแม่ ถ้าเป็นอภิชาตบุตรแล้ว บุตรที่เหนือ กว่าพ่อแม่ ต้องแนะนำ ต้องบอกกล่าวว่าสิ่งนี้ไม่ถูกนะ พระพุทธองค์บอกว่าเราเกิดมาในตระกูล แต่ว่าพ่อ ของเราเกิดมาจากพ่อแม่ของท่านอีก คือมาจากปู่ย่า พอเกิด มาแล้วพ่อแม่ของท่านไปทำอะไรก็ไม่รู้ ตาเลยบอดทั้งพ่อ ทั้งแม่ พ่อแม่เลยไปบอกญาติพี่น้องหาหญิงสาวมาแต่งงาน กับลูกชาย พอมาอยู่ใหม่ๆ ก็ดี เพราะแกมีมรดกที่ดินที่นา พร้อมที่จะให้สืบทอดต่อจากพ่อแม่ไปได้ แต่พอต่อมาทุกวี่ ทุกวัน ลูกสะใภ้ก็เบื่อพ่อผัวแม่ผัว เห็นหน้ากันก็ไม่อยากจะ เห็น ตาบอดอีกต่างหาก ทำอะไรก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็จูงไปขี้ เดี๋ยว ก็จูงไปเย่ี่ยว ธรรมดาคนแก่ตาบอดเดี๋ยวบางทีก็ซุ่มซ่ามก็ 62


ทำอันนั้นหกบ้าง ความอัดอั้นตันใจแต่ละวี่ละวันก็มากขึ้นๆ จนถึงจะฆ่าทิ้งได้ พอในที่สุดก็ยุแยงผัว ให้ผัวไปฆ่าพ่อแม่ทิ้ง ฝ่ายผู้ผัวก็ว่าจะให้ข้อยทำอย่างไร? “เวลานั้นก็ชวนพ่อแม่ให้ ไปป่าช้า เสร็จแล้วก็ขุดหลุมเอาค้อนทุบแล้วก็ฝังเลย แล้วก็ กลับมามันจะไปยากอะไร” ทางฝ่ายเมียนั้นวางแผนให้เสร็จ ฝ่ายผู้ผัวก็เชื่อตามใจเมีย ทีนี้ลูกชาย อายุ ๑๓-๑๔ ปี พอจะรู้ เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ลูกชายก็ฟัง พ่อแม่ไม่เป็นธรรมแล้ว นี่ แหละอภิชาตบุตรต้องเป็นอย่างนี้ไง คงจะฆ่าปู่ฆ่าย่าคราวนี้ ต่อมาพ่อก็เอาจริงๆ เตรียมเกวียนเสร็จแล้วผลที่สุดก็เอาพ่อ แม่ขึ้นเกวียนบอกจะพาไปเยี่ยมญาติ ฝ่ายลูกชายตัวเล็กๆ ก็ เลยกระโดดขึ้นเกวียนด้วย พ่อก็บอกว่า “ไม่ต้องไปหรอก” “ไม่ครับ ผมจะไปด้วย” ผลที่สุดแม่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ให้ ลูกชายไปด้วย พอไปถึงป่าช้าแล้วฝ่ายพ่อก็ขุดหลุม ลูกชาย ก็ถามพ่อว่า “พ่อจะทำอะไร?” พ่อก็พูดให้ลูกฟังว่าจะทำ อย่างนี้ๆนะ ลูกชายก็บอกพ่อว่า “จอบก็ดี เสียมก็ดีที่พ่อ เอามา เก็บไว้ให้ดีนะ เพื่อต่อไปภายภาคหน้าถ้าหากว่าพ่อ แม่ตาบอดผมจะได้เลียนแบบพ่อแม่บ้าง เพราะว่าพ่อพูดถูก แล้วว่าพ่อแม่ตาบอด เราเลี้ยงก็ยาก ทุกข์ท่านด้วย ทุกข์เรา ด้วย ถ้าหากท่านตายเราเอาไปฝังซะ พวกเราก็สบาย ท่านก็ สบายไปอีก เพราะท่านทำอะไรไม่ได้แล้ว 63 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ท่านก็ตาบอด เพราะฉะนั้นถ้าหากพ่อแม่ตาบอด ต่อไปภาย ภาคหน้า ผมจะได้จัดการอย่างที่คุณพ่อพาทำ ผมเห็นด้วย อย่างที่คุณพ่อทำ” พอพ่อได้ยินเท่านั้นเเหละ ยืนอึ้งเลย เพราะลูกชายจะฝังตัวเองอีกเหมือนกันว่างั้นเถอะ ผลที่สุด พ่อเลยพากลับ “ไปๆๆกลับ” ฝ่ายลูกชายเลยถาม“ทำ ไมคุณ พ่อไม่ฝังแล้ว?” พ่อก็ว่า “ไม่ทำแล้ว เดี๋ยวกรรมตามสนอง” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าในชาตินั้นท่านเป็นกุมารคนนั้นได้ ช่วยเหลือพ่อแม่ ส่วนพ่อของท่านคือพระอานนท์ ส่วนแม่ นั้นท่านไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ถึงท่านจะเกิดในตระกูลหรือ พ่อแม่เป็นอธรรม แต่ท่านก็พยายามแนะนำสั่งสอนพ่อแม่ ของท่านให้อยู่ในธรรม อันนี้เรียกว่าอภิชาตบุตร บุตรที่ เหนือกว่าพ่อแม่ เพราะฉะนั้นพวกเราไปอยู่ ณ สถานที่ใด ให้คิด ทบทวนให้ดีว่าสิ่งไหนควรทำ อย่างไร สิ่งไหนไม่ควรทำ อย่างไร อันไหนถูกต้อง อันไหนไม่ถูกต้อง อันไหนเป็นธรรม อันไหนไม่เป็นธรรม ให้พวกเราใช้สติปัญญาให้ศึกษาทั้งคดี โลกและคดีธรรม ถ้าพวกเราปฏิบัติอย่างนั้นได้ หลวงพ่อว่า เราไปเกิดอยู่ในสถานที่ใดความสงบร่มเย็นเป็นสุขก็จะเกิด ขึ้นกับเราเป็นอันดับแรก 64


65


ให้รักษาใจ ศีล ๕ ประการ ถ้าหากว่าเราจะเปรียบเทียบเข้ามา แล้ว เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา ถ้าเราไม่ อยากจะได้รับความทุกข์อย่างนั้น เราก็ไม่ควรทำ ทุกข์ ให้คนอื่นเขา ถ้าหากเขามาทำ โทษให้แก่เรา เรามีความ รู้สึกอย่างไร? ถ้าหากว่าเปรียบเทียบหัวใจในศีลของ พระพุทธเจ้า มีอยู่ ๒ เท่านี้ คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา 67 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


รถ กับ คนขับรถ ในพระธรรมคำสอน สอนไว้ว่าให้มีทาน ศีล ภาวนา จากนั้นก็ให้พิจารณา เมื่อเวลาเราภาวนาและจิตใจของเรา ได้รับความสงบเป็นพื้นฐานแล้ว จากนั้นให้เรานำ มา พิจารณาทางด้านปัญญา กลั่นกรอง ไตร่ตรอง ดูเหตุผล ให้ พิจารณาดูกาย ให้พิจารณาดูใจ ร่างกายเหมือนกับรถ ใจ ของเราเหมือนกับโชเฟอร์รถ โชเฟอร์รถเตือนกัน อย่าลุ่ม หลงมัวเมาในรถของตนเองเกินไปนะ อีกสักวันหนึ่งจะต้อง ได้ทิ้ง มันหมดสภาพของมันนะ อันนี้ก็ขอให้ทุกท่านนำ ไป พิจารณา กลั่นกรอง ไตร่ตรองด้วยเหตุและผล 68


เหยียบเบรกเหยียบคันเร่งให้เป็น เมื่อปล่อยวางที่ใจของเรานั้นแหละ กิเลสตัวไหน จะเข้ามา กิเลสคือสิ่งแปลกปลอม มันออกนอกลู่นอกทาง โลภมันเป็นอย่างไร? โกรธมันเป็นอย่างไร? หลงมันเป็น อย่างไร? ราคะมันเป็นอย่างไร? ความกำ หนัดยินดีมันเป็น อย่างไร? มันเป็นสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในจิตใจของเรา ทั้งนั้น ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะตรวจตราดูด้วยเหตุและผล แล้ว ขอให้เราทุกท่าน อย่าให้เปล่าประโยชน์ ให้มีคุณภาพ คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม สิ่งไหนที่มันไม่ดีเหยียบเบรก ห้ามล้อ แต่ถ้าสิ่งไหนที่เกิดประโยชน์แล้ว เหยียบคันเร่งใส่ เข้าไป แล้วหันพวงมาลัยไปในทางที่ถูกต้อง 69 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


สุขแท้ ความสุขที่แท้จริงคือ อะไร? ทานอาหารอร่อย นอน หลับสบาย มีเงินใช้อย่างนั้น ใช่หรือไม่? เวลาทานอาหาร อร่อยอิ่ม เวลาไม่มีห้องนํ้า มัน สุขหรือมันทุกข์? ความทุกข์มัน เตรียมพร้อมรอรับเราอยู่แล้ว ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงถ้าเราคิด ดูแล้วเป็นเช่นที่พระพุทธเจ้า ตรัสจริงๆ ความสุขของมนุษย์ อันไหนคือความสุขที่แท้จริง เราหากันไม่เจอจริงๆ มีแต่ที่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้ชำ ระใจ อย่าได้มีความโลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ ให้ออกไปจากจิตใจ เป็นพระ อรหันต์ บริสุทธิ์ บริบูรณ์เมื่อไร นั่นล่ะคือความสุขที่แท้จริง ถ้า นอกจากนั้นไม่มี หาความสุข ที่แท้จริงไม่ได้ 70


ปล่อยวางที่ใจ นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม ทำอย่างไร? กำ หนดภาว นาพุทโธให้จิตอยู่กับตัวเอง นั่งสมาธิทำอย่างไร? กำ หนด ลมหายใจเข้าออกให้จิตอยู่กับตัวเอง ให้มีสติอยู่กับตัวเอง พิจารณาตัวเอง โดยกำ หนดพิจารณาร่างกายของตนเอง พิจารณากาย พิจารณาใจ ในเมื่อพิจารณากาย พิจารณา ใจแล้ว เราจะเห็นความเป็นจริง กายของเราเป็นส่วนหนึ่ง ใจก็เป็นส่วนหนึ่ง กายของเราเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใจของเราก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่เที่ยง เหมือนกัน พิจารณาถอนอุปาทาน การยึดมั่นในจิตในใจ ถึง ขั้นนั้นแล้ว ถ้าปล่อยวางการยึดมั่นแล้ว ใจของเราก็หลุดพ้น จากกิเลส เหมือนอย่างเวลาที่นํ้ามันมะพร้าวถูกสกัดออกมา จากกะทิมะพร้าว ความบริสุทธิ์ออกมาจากใจที่มีกิเลส ไม่ใช่ ออกมาจากที่อื่น เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็ปล่อยวาง ไม่ยึด มั่นถือมั่น จิตใจก็บริสุทธิ์ จากราคะ โทสะ โมหะ ก็จบแล้ว คือพรหมจรรย์จบแล้ว ก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าเราเกิดเป็นชาติ สุดท้ายแล้ว เราไม่เกิดอีกแล้ว นี่แหละการประพฤติปฏิบัติ ธรรม 71 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


พระขี้เล่า ฟ้าผ่านะเมื่อวานนี้ เราเห็นพระยุ่งยิ่งยุ่งเหยิง ขณะ ๑-๒ ทุ่มแล้วยังมาดื่มนํ้ากันมั่ว ตั้งวงกันเหมือนกับวงขี้เหล้า มันดูไม่ได้ เลยนะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์นั้น เราก็ว่านั้น แต่พอเสร็จแล้วมัน ก็จบ ฉันเพียงเท่านั้น ต่างคนต่างก็แยกย้ายกัน ยังไม่มืดคํ่าก็แยก ย้ายกัน อันนี้ก็มืดจนใต้ไฟเปิดไฟเต็มไปหมด ขณะห้องนํ้าไม่มีคน ก็เปิดไฟทิ้งไว้อย่างนั้น เราไปเห็นพระของเรารุ่นนี้รู้สึกไม่สบายใจ ถ้ามีกิจธุระต้องทำ ทำ เสร็จแล้วพอที่จะหยุดเลิกกัน จากนั้นให้ต่าง องค์ต่างหามุมสงบของใครของเรา เพราะเรามาที่นี่มาหาภาวนา มาปฏิบัติ เราไม่ได้มาเพื่ออย่างอื่น ถามหัวใจท่านดูสิ พวกท่าน ทั้งหลายมาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร? มาเพื่ออยู่เพื่อกิน เพื่อเที่ยว เพื่อโม้ เพื่อคุย เพื่ออยากจะได้ลาภ ได้ยศอย่างนั้น ใช่หรือไม่? ถ้าหากว่า ถามออกมาแล้วได้อย่างที่ผมพูด ก็ผิดที่ผิดทางแล้ว มาอยู่ตรงนี้ 72


ฝืนเพื่อดี ทางที่ดีโดยมากกิเลสมันไม่อยากให้ทำ เจริญธรรมให้มาก นะ โดยมากกิเลสมันจะไม่อยากให้ทำ หรอกการทำ ดี ทำ ดีมัน ต้องบังคับ บางทีก็บังคับหน่อยๆ บางทีก็บังคับมาก จนกว่าจิตใจ เราเห็นคุณค่าเมื่อไร เมื่อนั้นมันถึงจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ มัน ถึงจะขยันไปเอง เพราะเราเห็นคุณค่า แต่ใหม่ๆ ทางไหนไปทาง ตํ่ามันจะไหลลงไปทางนั้นแหละ เหมือนกับนํ้า อันนี้ก็เหมือนกัน ใจของเรามีกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ มันจะชอบไหลไปทางตํ่า ไปทางกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ทีนี้เรามองดูแล้วว่าไหลไปทาง นั้นมีแต่ความเสียหาย ไม่ใช่ธรรมวินัย ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เราต้อง ฝืนเหมือนกับกลิ้งครกขึ้นเขา การสั่งสมคุณงามความดีมันยากถึง ขนาดนั้น แต่ยากหรือง่ายเป็นหน้าที่ของใคร เป็นหน้าที่ของเราทุก คนนะที่เราจะต้องฝืน จะต้องสู้ จะต้องประพฤติปฏิบัติ 73


กรรมฐาน ๓ อย่าง กรรมฐานที่พระพุทธเจ้าวางเอาไว้มีกรรมฐานถึง ๔๐ อย่าง เพื่อที่จะผูกใจให้ได้รับความสงบ แต่วันนี้อาตมาภาพจะแนะนำ เพียง ๓ กรรมฐานคือ กรรมฐานที่ ๑ คือกำ หนดลมหายใจ เข้า หายใจออก กรรมฐานที่ ๒ คือให้บริกรรม พุทโธ กรรมฐาน ที่ ๓ คือให้เราหายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๒ หายใจเข้านับ ๓ หายใจออกนับ ๔ นับให้ไปถึง ๑๐๐ ถ้าหากว่าไม่เผลอ แสดง ว่าจิตใจของเราอยู่ในความสงบ แต่ถ้ามันเผลอบ่อยไม่เป็นผลดี สำ หรับเรา เพราะว่าคนถ้าขาดสติมากๆ ขาดสติบ่อยๆ นับถึง ๑๐๐ ก็ยังขาดสติหลายครั้ง ท่านนั้นไม่น่าไว้ใจ เพราะฉะนั้นให้ พวกเรากำ หนดหายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๒ ถ้ามันจะขาด ไป คือเราสังเกตว่าหายใจเข้านับ ๑ เป็นเลขคี่ เวลาหายใจออกคือ เลข ๒ เป็นเลขคู่ ถ้าหากว่ามันเผลอ มันจะหลุดไป มันจะเบลอ เสร็จแล้วหายใจเข้ามันเป็นเลข ๘ หายใจออกมันจะเป็นเลข ๙ แสดงว่าสติของเราขาดแล้วช่วงนั้น ให้เรากลับมาใหม่อีก ให้ตั้งสติ เข้มแข็งขึ้นมาอีก แล้วก็นับไปอีก ถ้าหากนับไม่เผลอสัก ๔-๕ ครั้ง จากนั้นเราจะค่อยปล่อยวาง แล้วจึงบริกรรมพุทโธ หายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ ต่อไป อันนี้คือวิธีการปฏิบัติ 74


สายนํ้ าย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่ า เมื่ออายุของเราถึง ๓๐ แปลว่านํ้าของเรามันกำลังไหลขึ้น บนเขา แต่ขณะนี้มันถึงอายุ ๓๐-๔๐ ปี มันกำลังไหลลงแรงไป เรื่อยๆ ๖๐-๗๐ ปีเข้าไปแล้วจะเห็นได้ชัด ทุกคนร่างกายผิวหนังจะ เหี่ยวแห้ง ผมจะขาว ตาจะฝ้าฝาง หูจะตึง ฟันจะหลุด มันจะไหล ลงตํ่าไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดไปเรื่อยๆ อายุยิ่งมากไปเท่าไรก็จะเห็น ได้ชัด เพราะฉะนั้นร่างกายของเราท่านทั้งหลาย มันไหลไปทาง ตํ่า ไม่มีร่างกายไหนหรือชีวิตไหนมันจะไหลกลับมาหาเป็นหนุ่ม เป็นสาวอีก ไม่เคยมี มีแต่ไหลไปข้างหน้าเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นหลัก ของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนบอกกล่าวพุทธบริษัท ๔ ของพุทธองค์ อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ให้สั่งสมคุณงาม ความดีเอาไว้ ชีวิตนี้ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย ไม่มีใครที่จะ พูดอย่างนั้นได้ เปรียบว่ายืมวันอยู่ พูดอย่างนั้นจะถูกกว่า อยู่เป็น วันๆ อยู่เป็นนาที วินาทีไปเรื่อยๆ สรุปแล้วก็คือ อยู่ที่ลมหายใจเข้า หายใจออก แต่ถึงอย่างไรก็เถอะ ถ้าหายใจเข้าแต่ไม่หายใจออก หรือถ้าหายใจออกแต่ไม่หายใจเข้า ก็ตายเมื่อนั้นแหละ ถ้ายังมี ลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่แต่ไม่มีสติ นอนอยู่เฉยๆเป็นเจ้า ชายนิทราหรือเป็นเจ้าหญิงนิทรา นอนหายใจเข้าใจเข้า หายใจ ออกอยู่ถึงมันไม่ตายแต่มันหมดสภาพ นี่ก็เหมือนกันพวกเราท่าน ทั้งหลาย ไม่รู้จะหมดสภาพเมื่อไร ไม่มีใครรับประกันได้ เพราะ ฉะนั้นหลักของพระพุทธศาสนาจึงสอนพวกเรา อย่าตั้งอยู่ในความ ประมาท ในแต่ละวัน ในแต่ละเวลา ให้สั่งสมคุณงามความดีเอาไว้ 75 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


การเสียสละ คือ ทาน ทานคือการเสียสละ เมื่อเราเกิดมามีพ่อมีแม่ มีปู่ย่า ตายาย มีวงศาคณาญาติ มีหมูหมากาไก่ เราก็ต้องให้ความ สงเคราะห์พ่อแม่ของเรา สามีภรรยาของเรา ลูกหลานของ เรา หมูหมากาไก่ของเรา การให้คือทาน คือการเสียสละ ของเรา จากนั้นก็ให้สาธารณะประโยชน์ชุมชนที่เราเกิด เสีย ภาษี แล้วก็ทำ บุญทำ ทานไว้ในพระพุทธศาสนา นี่ล่ะคือ การทำ ทาน ทานมีหลายอย่าง เช่น อภัยทานคือการให้อภัย ซึ่งกันและกัน ธรรมทานที่หลวงพ่อแนะนำสั่งสอนอยู่ คือ ให้ธรรมะแก่พวกเรา ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ทานนี้มีหลายอย่าง ไม่ใช่แต่จะควักเงินในกระเป๋า อย่างเดียว ในการเสียสละในการทำ ทาน ทานเป็นคำ ที่กว้าง ขวาง ในหลักของทางพระพุทธศาสนา พวกใดก็ตามเป็น ผู้เห็นแก่ตัว ไม่ยอมเสียสละ ให้พ่อให้แม่ ให้ใครต่อใคร ทั้งหมด มีอะไรก็กินคนเดียว ใช้คนเดียว คนคนนั้นไม่กว้าง ขวางหรอก ไม่เจริญอีกต่างหาก อยู่แบบมืดๆ มิดๆ เป็น คนที่ตระหนี่ถี่เหนียว เวลาจะพึ่งพาอาศัยใครก็อยากจะ อาศัย แต่ตัวเองไม่ยอมเสียสละแก่ใคร ใครจะให้ความพึง พาอาศัยได้อย่างไร เพราะตัวเองเป็นคนไม่ให้ความพึ่งพา อาศัยแก่ใคร ไม่ยอมเสียสละ ไม่ทานะแก่ ใครแล้วใครจะให้ ความพึ่งพาอาศัยกับเรา นี่ล่ะ หลักของพระพุทธศาสนา 76


พระพาหิยะทารุจีริยะ เคยบวชเป็นพระในสมัยของพระ พุทธเจ้ากัสสปะ พอท่านได้บวชแล้วท่านก็ชวนกันขึ้นไปภาวนา อยู่บนยอดเขา โดยไปด้วยกันทั้งหมด ๗ องค์ ทำ บันไดเหมือน กับบันไดขึ้นไปเอารังนกนางแอ่นในถ้า พอไปถึงถ ํ ้าก็ผลักบันได ํ ทิ้ง พอขึ้นไปถึงข้างบนแล้วก่อนที่จะผลักบันไดก็ถามกันว่า “มีผู้ จะลงหรือไม่?” “ไม่ลงครับ” “ถ้าไม่ลงผลักบันไดนะ” จากนั้น ก็ผลักบันไดลงแล้วทุกองค์ก็แยกย้ายไปบำ เพ็ญ พอองค์ที่เป็น หัวหน้าท่านภาวนาได้สำ เร็จเป็นพระอรหันต์ในคืนนั้น ทีนี้ท่าน ก็เหาะได้ ท่านไปบิณฑบาตกลับมาก็บอกว่า “ผมไปบิณฑบาต มาได้แล้วนะ นิมนต์มาฉัน” พระทั้งหลายได้ตั้งกติกาไว้ว่า องค์ ไหนเหาะไปบิณฑบาตไม่ได้จะไม่ฉัน “ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลาย ตั้งใจภาวนานะ พวกเราปฏิบัติถูกทางแล้ว ผมได้แล้วผมจะไป แล้วนะ” จากนั้นองค์นั้นก็ไป วันที่ ๒ อีกองค์ได้พระสำ เร็จเป็น พระอนาคามี องค์นี้ก็เหาะไปบิณฑบาตได้เหมือนกัน ทีนี้มาให้ ชวนหมู่ฉัน หมู่ก็ไม่ฉันอีก ที่มียังเหลืออยู่ ๕ องค์ยังอยู่บนยอดเขา ผลที่สุดเลยตายอยู่บนเขา ๕ องค์มีพระพาหิยะทารุจีริยะรวมอยู่ องค์หนึ่งด้วย เมื่อท่านตายไปแล้วท่านไปอยู่สวรรค์ชั้นพรหม พอมาพระพุทธศาสนาพระโคตมะอุบัติขึ้นในโลก วิญญาณของทารุจีริยะ พระภิกษุที่ไปนั่งอยู่บนยอดเขามา เกิด พอมาชาตินี้ไปเกิดอยู่ใกล้ฝั่งทะเล เป็นพ่อค้าสำ เภาเอา 78


สินค้าไปขาย พอไปกลางทะเล เกิดพายุซัดเอาเรือสำ เภาแตก ทารุจีริยะได้ไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ลอยคออยู่ในทะเล หลาย วันกว่าที่จะมาถึงฝั่งได้ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยหมด ก็อายคนพอดีไป เห็นปอที่อยู่ริมฝั่งแม่น้า เลยเอามาปิดร่างกายของตนเองเท่า ํ ที่จะหาได้ ในส่วนที่มันจะละอาย จากนั้นคนทั้งหลายเห็นคิด ว่าพระอรหันต์ เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ดูสิมีแต่กระดาษ มีแต่ ผ้าปิดที่ละอายตัวเองเท่านั้น แล้วเอาเชือกพันหุ้มเอาไว้ นี่เป็น ผู้สันโดษที่แท้จริง เป็นพระอรหันต์ จากนั้นเลยเอาอาหารมา ถวาย พระพาหิยะพอเขาเอาอาหารมาให้ก็ได้กินอาหาร อิ่ม หมีพีมัน อาชีพนี้มันก็ดีนี่หว่า อาชีพแก้ผ้า เพราะว่าได้อาหาร แบบง่ายๆ ก็ได้ยึดอาชีพนั้นต่อมา ผู้คนก็นับถือเลื่อมใสมาก ขึ้น ทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเห็นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีตบะอัน แก่กล้า เผลอๆ ยังยืนขาเดียวให้เขาดูอีก ทีนี้พรหมบนชั้น สุทธาวาสที่ในอดีตเคยเป็นพระไปภาวนาด้วยกันบนหลังเขา มองลงมาเห็นว่า พระพาหิยะไปในทางผิดแล้ว เป็นมิจฉาทิฐิ หากไม่ลงไปแก้ไข พระพาหิยะจะไปหนักนะ ตกนรกนะ ทั้ง ที่ตัวเองก็รู้แก่ใจว่าตัวเองไม่ได้สำ เร็จพระอรหันต์ แต่พอเขา ยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ก็เลยสำคัญผิดคิดว่าตนเป็นพระ อรหันต์ไปเลย ท่านจึงลงมาลอยอยู่ในอากาศให้เห็นเป็น เทวดาแล้วพูดว่า “พาหิยะเธอก็รู้อยู่ 79 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


แก่ใจว่าไม่ได้สำ เร็จเป็นพระอรหันต์ ว่าความเป็นมาของเธอ เป็นอย่างไร ทำ ไมเธอจึงต้มตุ๋นหลอกลวงพี่น้องประชาชน เขา ถ้าหากเธอทำอย่างนี้ออกจากชาตินี้ไป เธอจะตกนรก นะ ควรจะปรับปรุงแก้ไขใหม่ เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น แล้วในโลก อยู่ในกรุงสาวัตถี ให้ท่านเข้าไป ศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติ ท่านจะได้สำ เร็จมรรคผล” พอพูดเท่านั้นแหละ พรหมก็หายเงียบไปเลย พาหิยะพอได้ฟังคำ เตือนก็เกิด ความสลดสังเวชใจอย่างใหญ่หลวง “ใช่ ท่านพรหมเทวดา มาบอกข้าพเจ้าถูกหมดทุกอย่างเลย ข้าพเจ้าจะต้องเดินไป กรุงสาวัตถีเดี๋ยวนี้เลย เพราะว่าชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง แท้แน่นอน อาจจะล้มหายตายจากเมื่อไรไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราจะไปนอนใจนอนจมในชีวิตนี้ไม่ได้” เพราะในอดีตชาติ ท่านภาวนามาก่อนบนหลังเขา มีความพยายามอย่างมาก แต่จิตใจของท่านยังไม่สำ เร็จในชาตินั้น แต่พอมาถึงชาตินี้ พอได้ยินพรหมพูดอย่างนั้น พาหิยะก็เดินอ้าวใหญ่ จนไป ถึงวัดป่าเชตวันมหาวิหาร ในตอนเช้าพาหิยะก็เข้าไปถาม พระที่กลับมาฉันก่อน “พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนครับ?” พระ สงฆ์ก็บอกว่า “ขณะนี้พระพุทธองค์กำลังเสด็จไปบิณฑบาต อยู่ในตัวเมืองสาวัตถียังไม่กลับมา ให้รอที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยว พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปเสวยพระกระยาหาร เสร็จแล้วท่าน 80


ก็จะกลับมา” พาหิยะตอบ “โอ๊ยไม่ได้ ชีวิตของผมไม่เที่ยงแท้ แน่นอน อาจจะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้ เกิดถ้าตายไปเดี๋ยวนี้ผมจะไม่ได้ กราบพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นผมจะต้องรีบไป” ว่าแล้วพาหิ ยะก็เดินจ้าอ้าวเข้าไปในตัวเมืองสาวัตถี ไปเห็นพระพุทธเจ้า ํ กับพระสงฆ์ขณะกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ในเมือง พอไปเห็น เท่านั้น เพราะท่านเคยเป็นพระมาก่อนในพุทธศาสนาสมัย ของพระพุทธเจ้ากัสสปะ น้าตาไหลอาบแก้มเลย ปีติท้วมท้น ํ หัวใจอย่างมากเลย พูดอะไรสะอึกสะอื้น เข้าไปพนมมือกราบ พระพุทธเจ้า “ข้าพระองค์ ขอฟังเทศน์พระพุทธเจ้าด้วยเถิด” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ยังไม่ใช่กาล พาหิยะ” พระพุทธองค์ ทรงมองดูหัวใจของพาหิยะเต็มเปี่ยมล้มไปด้วยปีติ คนที่สะอึก สะอื้นไปสอนธรรมะจะเข้าใจได้อย่างไรใช่หรือไม่ พาหิยะกราบขอฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าถึง ๒ ครั้ง พระพุทธองค์ก็ทรงปฏิเสธทุกครั้ง ทีนี้พอครั้งที่ ๓ ความ ปีติอิ่มใจ สะอึกสะอื้นของพาหิยะหายไปแล้ว ก็กราบขอ พระพุทธเจ้าอีก พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “พาหิยะ เราจะ พูดให้ฟัง” พาหิยะก็มายืนต่อหน้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ จึงตรัสว่า “เห็นให้สักแต่ว่าเห็น รู้ให้สักแต่ว่ารู้ อย่าไปให้ ความสำ�คัญกับการรู้การเห็นนั้นๆ พาหิยะ” พระพุทธเจ้า ตรัสเพียงเท่านั้น พาหิยะก็ได้สำ เร็จเป็นพระอรหันต์ทันที 81 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ทีนี้พระพุทธองค์ทรงมองดูบุญบารมีของพระพาหิยะ ไม่เคยจะบริขารให้หมู่เพื่อนเลย ที่เคยบวชมาในพระพุทธ ศาสนาในสมัยของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ๒๐,๐๐๐ ปี ไม่ เคยขวนขวาย ไม่เคยจัดบริขาร มีมาก็ใช้ตัวเองแล้วก็จบ ไป เพราะฉะนั้นพุทธองค์บอกว่าเรียกเอหิไม่ได้ เพราะว่า ไม่มีบารมีในเรื่องนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “พาหิยะเธอจง ไปเสาะแสวงหาบริขารให้ครบก่อนแล้วค่อยบวชนะ” จาก นั้นพาหิยะท่านก็เดินออกไปจากพระพักตร์พระพุทธเจ้าไป หน่อยหนึ่ง พอพระพุทธเจ้าผ่านไปแล้ว มีวัวตัวเมียคงจะ หวงลูกของมัน พาหิยะเดินโต๋เต๋ไปเพื่อจะหาบริขาร วัวตัว นั้นมาเห็นเข้าเลยโดดขวิดเข้าใส่ พาหิยะก็เลยโดนวัวขวิด ตาย พระพุทธองค์พอทรงทราบเรื่องก็ทรงดำ รัสว่า “ภิกษุ ทั้งหลายเธอจงหาเฉลียงหาเตียงเอาพาหิยะไปเผาวัดป่าเชต วัน” พระสงฆ์ก็พากันถามพระพุทธเจ้าว่า “พระพาหิยะไป เกิดที่ไหนหนอ พระเจ้าข้า?” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “พาหิยะ นิพพานแล้ว” “เป็นไปได้หรือ พระพุทธองค์พูดเพียง ๒ บาท ๓ บาทพระคาถาเท่านั้นเอง?” พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าถึง จะพูดเพียงคำ เดียวสองคำก็ตาม แต่ถ้าคำ นั้นถึงใจผู้ปฏิบัติ ธรรม ถูกแนวทางของผู้ปฏิบัติธรรม คำ นั้นมีประโยชน์มาก 82


ถึงจะทั้งวันทั้งคืนก็ตาม แต่ถ้าพูดแล้วมันไม่เข้าหูผู้ฟัง คำ พูด นั้นมันไม่เกิดประโยชน์ แต่คำ พูดใดก็ตาม ถ้ากินใจ ถูกใจ เข้าใจ คำสอนคำ นั้นเพียงคำ เดียวก็เกิดประโยชน์ พระพาหิ ยะท่านบำ เพ็ญจนเบาบางเต็มที่แล้ว แต่ท่านยังไม่ได้สำ เร็จ แต่พอได้ยินธรรมของเราที่ว่า เห็นให้สักแต่ว่าเห็น รู้ให้สัก แต่ว่ารู้อย่าไปให้ความสำ�คัญกับการรู้การเห็นนั้น เพียงแค่ นั้นท่านก็ปล่อยวางในจิตใจของท่าน ท่านก็สำ เร็จเป็นพระ อรหันต์ในการรู้การเห็นนั้น เพียงแค่นั้นท่านก็ปล่อยวางใน จิตใจของท่าน ท่านก็สำ เร็จเป็นพระอรหันต์ 83 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


รถก็ไม่ใช่คนขับ คนขับก็ไม่ใช่รถ ถ้าเราภาวนาให้จิตใจสงบ อย่างที่พระพุทธเจ้าพา ปฏิบัติ โดยการกำ หนดลมหายใจเข้า-ออก สติของเราก็ จะเริ่มแน่วแน่ จิตเริ่มรวมสงบเป็นหนึ่งขึ้นมา เมื่อจิตสงบ เป็นหนึ่งแล้ว เราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า ร่างกายกับจิตใจ นั้นเป็นคนละอันกัน แต่อาศัยกันอยู่ เหมือนกับรถกับคน ขับรถ คนนั่งอยู่ในรถพารถไปที่ต่างๆ เท่าที่กำลังของรถ จะพาไปได้ นี้ก็เหมือนกัน ใจของเราก็คือนามธรรมที่อยู่ใน ร่างกายของทุกท่าน ร่างกายเหมือนกับรถเป็นที่พักพิงของ นามธรรมคือใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้สนพระทัยเรื่องของกาย แต่ท่านทรงสนพระทัยเรื่องของใจมากกว่า ใจเป็นใหญ่ ใจ เป็นหัวหน้า จะต้องได้รับการสั่งสอน เอาศีลธรรมเข้าสู่ จิตใจ ควรได้รับธรรมะคำสั่งสอน จึงจะเป็นใจที่ดีได้ ถ้าใจดี แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีไปด้วย วาจาพูดออกมาก็ดี การกระ ทำออกไปก็ดี แต่ถ้าใจที่ไม่ได้รับการอบรมให้เป็นใจที่ดี ใจ นั้นก็จะเป็นในใจที่โมโห โทโส โกรธา เป็นใจนักเลงหัวไม้ ใน เมื่อใจนั้นไม่ได้สั่งสมอบรมใจให้เป็นใจที่ดี ใจพวกนั้นก็เป็น อัปมงคลไปได้ง่าย 85 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ศรัทธางมงาย ไปกราบ ไปไหว้ ปักธูป ปักเทียน ขอหวย ขอเบอร์ตาม ที่ตนเองคิดว่าจะได้ เรียก ว่าศรัทธาเสียหาย ไม่ได้ ศรัทธาพระพุทธเจ้า ศรัทธา ถ้าหากว่าถูกใช้ไปในทางที่ ผิด ก็จะก่อให้เกิดความ เสียหายได้ ปัญญาก็เหมือน กัน ถ้าคิดปรุงฟุ้ง ออกนอก ลู่นอกทางเกินขอบเขต ก็ ทำ ให้เสียได้เหมือนกัน ความ เพียรก็เหมือนกัน ถ้าเพียร ออกนอกลู่นอกทาง เพียร พยายามจะปล้นจะฆ่า จะลัก ขโมยของคนอื่น อย่างนี้ก็เสีย หายอีก แต่ถ้ามีสติอยู่กับตัว เองตลอดเวลา รอบรู้อยู่กับ ตัวเองตลอดเวลา อันนี้ไม่เสีย หาย 86


หนทางตัดภพ ตัดชาติ มีวิธีการอย่างไรจึง จะไม่มาเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารนี้อีก พระพุทธ องค์ทรงเสาะแสวงหา โมกขธรรม หรือเสาะแสวงหา ทางพ้นทุกข์โดยพระองค์และ ทรงค้นพบคำตอบว่าไม่มีทาง อื่น นอกจากมรรค ๘ อันมี ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ เป็น หนทางที่จะตัดภพตัดชาติ ไม่มาเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏสงสารนี้อีก พระพุทธองค์ จึงออกไปบวช บำ เพ็ญอยู่ ตั้ง ๖ ปี จนได้ตรัสรู้ธรรม จากนั้นจึงได้นำ พระธรรมคำ สั่งสอนมาสั่งสอนพระสาวก ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ มี โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานมะ อัสสชิ จากนั้นท่านเหล่า นั้นจึงเห็นมรรคผล โดยลำดับ คติธรรมคำ�สอนและพระธรรม 87


กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ในจิตใจนั้นเข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนมนุษย์ชาติ จะไม่เบียดเบียน เพื่อนมนุษย์ชาติด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คือไม่ คิดเบียดเบียนเขา พยาบาทเขา ไม่คิดผิดจากทำ นองคลอง ธรรม อันนี้ มโนกรรม วจีกรรม ไม่พูดโกหก ส่อเสียด ไม่พูด คำ หยาบให้แก่เขา ส่วน กายกรรม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมยทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุรา ทำตนให้เป็นคนดี ถ้า หากว่าเรามีกายกรรมดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี ไปในทาง ที่ดี อยู่กับใครๆ ในโลกก็มีแต่ความผาสุก แต่ว่าถ้าจิตใจเป็น อกุศล อะแปลว่าไม่ดี วาจาก็เป็นอกุศล การกระทำก็เป็น อกุศล กายก็ไม่ดี วาจาก็ไม่ดี ใจก็ไม่ดี ไปอยู่กับใครก็มีแต่ ความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะกาย วาจา ใจไม่อยู่ในกรอบ ของศีลธรรม 88


ดึงเบรกมือ การภาวนาเรื่องความตายกับอสุภะ ไม่ควรจะให้ห่าง จากจิตใจ ควรจะเป็นเบรกห้ามล้อไว้อยู่เสมอ ธรรม ๒ ข้อ นี้ อสุภะก็ดี ความตายก็ดี ควรจะมีประจำ ใจอยู่ตลอดเวลา ถ้ารถจะวิ่งเตลิดเปิดเปิง อสุภะกับมรณะ จะเป็นเบรกให้ มันเลย ถ้าท่านผู้ใดก็ตามถ้าเห็นความตายของตนเองอยู่ ตลอดเวลา หรือว่าระลึกถึงความตายของตัวเองอยู่เสมอ ความหลง ความรื่นเริงบันเทิงของกิเลสนั้น มันจะไม่ออก มาเพ่นพ่าน จนทำ ให้ตัวเองหรือคนอื่นเห็น คร่าวๆ ว่าเมื่อ พิจารณาถึงความตาย ความรู้เท่ารู้ทัน รู้การเป็นอยู่ของ ตนเอง รู้การปรับปรุงแก้ไขว่าชีวิตของเราไม่รู้ว่าจะจากวัน ไหนนะ คล้ายๆ กับว่าเป็นการทบทวน กลั่นกรอง ไตร่ตรอง นิสัม มะ กะระณัง เสยโยใคร่ครวญ ทบทวน ในการเป็นอยู่ ของตนเองกิเลส ราคะ โมหะ โทสะ สยบลงไม่ใช่น้อยเหมือน กัน 89 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


เรื่องธรรมเป็นใหญ่เหนือเรื่องทางโลกทั้งปวง การอยู่ด้วยกันบางครั้งบางคราว มันก็มีความไม่เข้าใจกัน จะด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี บางทีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็มีใน หมู่ในคณะ แต่ถึงอย่างไรเราไม่ควรมามุ่งหวังเอาผิดเอาถูกเอา แพ้เอาชนะ ไม่ใช่ว่าเขาพูดผิดคำ เดียวก็หัวฟัดหัวเหวี่ยง เอาเป็น เอาตายกับเรื่องเหล่านั้น ทั้งที่มันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นอยู่ อย่างนี้ เหมือนกับหมาเห่าขึ้นมา เราก็ไปไล่ตีหมา ไม่มีเหตุมีผล ไม่เรียกว่าโง่แล้วจะไปเรียกว่าอะไร ไม่ใช่โง่ธรรมดาอีกต้องเรียก ว่า บรมโง่ สิ่งเหล่านี้เราต้องคิด เราไม่ได้มามุ่งหวังอย่างอื่น เรามุ่ง หวังมาหาเพชรนิลจินดา หาของดี เราต้องมุ่งหวังไปในทางที่ดี หา คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ใฝ่ในทางที่ดี เราเข้ามาบวช เข้ามา เกิดในโลก คราวนี้เราได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบพระธรรมคำ สั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอนอย่างไร? เรา เชื่อมั่นในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เรามอบกายถวาย ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ต่อพระธรรมคำ สอนของ พระพุทธเจ้า เราจะเดินตามพระธรรมคำ สอนของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเราขอมอบกายถวายชีวิตต่อพระธรรมคำ สอนของ พระพุทธเจ้า ส่วนอื่นนั้นเราขอยกไว้ เพราะเราไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่อง ใหญ่ 90


มรรคมีองค์ ๘ ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมา สมาธิ เรียกว่ามรรค ๘ เป็นผู้ชำ ระใจให้สงบ ทำ ใจให้เป็นหนึ่ง เมื่อจิตใจนิ่งสงบแล้ว เราจะมองเห็นการเคลื่อนไหวของจิตใจ คิด ไปในทางไหน? คิดไปทางโลภ หรือคิดไปทางโกรธ โกรธไปเพื่อ อะไร? หลงเพื่ออะไร? ราคะมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? โทสะ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? เราจะมองเห็นได้เมื่อจิตใจของเรานิ่ง เมื่อจิตใจของเราสงบเป็นสมาธิดีแล้ว จากนั้นสิ่งไหนผิด สิ่ง ไหนถูกเราก็กลั่นกรองด้วยปัญญาของเราอีกทีหนึ่ง จากนั้นก็นำ มาพิจารณาสิ่งแวดล้อมของเราอีก สิ่งแวดล้อมคืออะไร? คือ ร่างกายของเรา กายกับใจอาศัยกันอยู่ แต่ร่างกายไม่ใช่ตัวตน ของเรา อีกสักวันหนึ่งเห็นหรือไม่ แต่ก่อนเราเป็นเด็กเห็นหรือ ไม่? เราเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวใช่หรือไม่? บัดนี้เราแก่ชราไปแล้วใช่ หรือไม่? แก่แล้วไปไหน? ผลที่สุดก็เห็นคนตายหรือไม่? เราจะตาย เหมือนกับเขาหรือไม่? คือเราไล่เรียงตามลำดับ เมื่อเราเห็นอย่าง นั้นแล้ว พวกเราจะตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราควรจะสั่งสม สิ่งไหน ควรจะทำความดีอย่างไรเข้ามาสู่จิตใจของพวกเรา ให้ เตรียมพร้อมเอาไว้ ในหลักของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่าน ได้พิสูจน์วิเคราะห์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านก็ได้พิสูจน์วิเคราะห์ดู แล้วว่า ตายแล้วไม่สูญ ถ้าญาติโยมทั้งหลายอยากจะรู้ว่าตายแล้ว เกิดหรือตายแล้วสูญ พวกท่านอย่าไปคิดเองเฉยๆ ให้พวกท่านนั่ง ภาวนา เมื่อนั่งภาวนาจิตใจเข้าสู่ความสงบนิ่งแล้ว พวกท่านจะรู้ได้ ด้วยตนเองว่า กายกับใจเป็นคนละส่วนกัน 91 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ใจสั่งมา ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีความผิดกันทั้ง นั่นแหละ ความผิดมันมีหลายระดับ ระดับ หนึ่ง ความผิดยังไม่ออกนอกลู่นอกทาง พวกเราคิดผิด บางทีโมโหขึ้นมา อยากจะ ฆ่ามันเหลือเกิน แต่ยังไม่พูดออกไป ยัง ไม่ทำออกไป อันนี้เรียกว่ามโนกรรม เป็น บาปทางใจ จะไปฆ่าเขาทำ ไม ถึงฆ่าหรือ ไม่ฆ่าเขา เขาก็จะตายจากเราอยู่แล้ว ตัว เราเองก็จะตายจากเขาอยู่แล้วเช่นกัน อัน นี้ยังไม่มีโทษอะไร แต่เมื่อเราไปด่าเขาเข้า กฎหมายเอาผิดได้แล้วนะ ถ้าเกิดว่าเราไป ตีเขาเข้า ไปฆ่าเขาเข้า เอาร่างกายของเรา ไปทำ เป็นโทษ ที่เขาจับเข้าคุก โทษทาง กายกับโทษทางวาจา วาจาคือคำ พูด กาย คือการกระทำ แต่ใจอย่างเดียวยังไม่มีโทษ อะไร แต่มันก็ยังออกมาจากใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ใจไม่พอใจซะก่อน มันยังสั่ง วาจาพูดออกไป สั่งให้การกระทำ พูดออก 92


ท่านว่าศีลรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย รักษากาย วาจา ก็ คือ ไม่ให้วาจาของเรามีโทษ ไม่ให้ร่างกายของเราไปทำ โทษ ถ้า หากว่าเราสำ รวจกายกับวาจาให้เรียบร้อย แล้วก็ชื่อว่าศีล สรุป แล้วใจของเราไปสั่งให้วาจาพูดออกไป เราคิดผิดเสียก่อน เราถึง ค่อยสั่งให้วาจาพูดออก เราคิดไม่ดีเสียก่อน เราจึงสั่งกายส่งหมัด ส่งอาวุธปืนผาหน้าไม้ออกไป นั่นคือใจของเราสั่งเสียก่อน เพราะ ฉะนั้นเมื่อเราสั่งออกไปอย่างนั้น ร่างกายของเราก็ทำ วาจาของ เราพูดออกไป นั่นแหละผิด คนเรามีผิดทุกคน แต่ต้องมีการยับยั้ง ในจิตในใจ เราจะไปฆ่าเขาทำ ไม ไม่ว่าจะเราฆ่าเขาหรือเขามาฆ่า เราก็ดี มันไม่ดีทั้งนั้นแหละ อย่าทำ นะ ใจหยุด อย่าคิดนะ ต้องใช้ สมาธิในการบังคับจิตใจของตนเอง เมื่อเราทำ ได้อย่างนี้ จิตใจของ เราจะเยือกเย็น ก่อนจะคิดจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้องลงไป ใจของเรา ก็มีเบรกคอยห้ามเอาไว้ 93 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ให้สติอยู่กับตัว เวลาเราบริกรรมให้ กำ หนดหายใจเข้า หายใจออก เวลา เราเดินให้กำ หนดขาขวา-พุท ขาซ้าย-โธ คือให้มีสติอยู่กับตัวเอง ตลอด ใหม่ๆ มันก็ยากพอสมควร แต่พอต่อไปถ้าเรามีความมุ่งมั่น มีความพยายาม มีความตั้งใจจริง จิตใจมันสั้นเข้าๆ มันอยู่กับ หลักเลยทีนี้ เวลาเราจะเคลื่อนไหวไปที่ไหนสติจะอยู่ติดกับตัวเอง ตลอด เวลาที่สติอยู่กับตัวเองมันมีความสุขระดับหนึ่งเหมือนกัน มันไม่หิวโหยอยู่กับอารมณ์ต่างๆ มันอยู่กับตัวเองตลอด พุทโธๆ ถึงจะไม่พุทโธก็ให้มีสติอยู่กับตัวเอง รู้อยู่อย่างนั้น แต่ก่อนมันส่าย แส่ออกไปข้างนอก แต่นี่พอจะออกไป อดเพียง ๘-๙ วัน พอคิด ว่าพรุ่งนี้จะออกฉันอาหาร ใจมันเริ่มออก ออกไกลไปเรื่อย ใน ที่สุดก็ปกติ ก็รู้ได้อยู่เหมือนกันอีกว่าสติอยู่กับตัวเอง ใจอยู่กับ ตัวเอง มันเป็นอย่างไร ที่จริงใจมันคิดออกไปข้างนอกไม่มีกฎ เกณฑ์มันเป็นอย่างไร ไอ้คนที่มีจิตใจคิดไม่อยู่กับตัวเองเลย คิด ปรุงฟุ้งซ่านมากๆ จนถึงกับเข้าโรงพยาบาล แล้วเป็นอย่างไร ก็ พอจะรู้ได้ มันรู้ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเน้นหนัก เรื่องสติ เป็นสิ่งที่จำ เป็นสำคัญอย่างยิ่งสำ หรับผู้ปฏิบัติ มหาสติ มหาปัญญา แล้วยังมีปัญญารอบคอบอีก ถ้าขาดสติเสียอย่างเดียว ทุกอย่างขาดหมด เพราะฉะนั้นเรื่องฝึกจิตฝึกสติต้องมาเป็นอันดับ หนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจะก้าวเดินเหินไปที่ไหนต้องมีสติ 94


กายวาจาเป็นนอมินี ตัวที่เชิดคือใจ เรามีความคิดอะไร ในแต่ละวัน ในแต่ละเวลา ความคิด ถ้าคิดไปในทางที่ไม่ถูก คิดไปในทางที่โมโหโทโส มีแต่นำความ ทุกข์เข้ามาจิตใจ สิ่งใดก็ตามในโลกนี้จะให้ถูกใจเราทุกอย่างมัน เป็นไปไม่ได้ พระพุทธองค์ตรัสว่าอย่างนั้น เพราะโลกนี้เป็นโลก อนิจจัง ใจของเราก็ยังไม่ถูกใจเรา เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ถูกใจเรา เรา จะทำอย่างไร? พระพุทธองค์ก็บอกให้ดูใจ คือดูตัวนามธรรมสิ่งที่ เราไม่เห็น คือตัวนึกคิด ตัวนั้นเป็นตัวใหญ่ เป็นหัวหน้าของเรื่อง ราวทั้งหลายทั้งปวง 95 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ทางไปเที่ยวคุก คนที่เขาอยู่ในตารางนี่ไม่ใช่อื่นไกลหรอก เพราะขาด ศีล ๕ ไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง ศีล ๕ นี่เป็นศีลพื้นฐานคือคุณ งามความดี ผู้รักษาศีล ๕ นี่ปิดความชั่วในเมืองมนุษย์ ปิด อบายภูมิ ไม่ตก นรกอีกต่างหาก ที่คนเข้าไปอยู่ ในคุกในตาราง โดยมากจะ เพราะขาดศีล ๕ ไม่ข้อใดก็ข้อ หนึ่ง นี่แหละ 96


97


98


สะสมคุณงามความดีเข้าสู่จิตใจ ถึงแม้ใครจะดีใครจะชั่ว แต่ตัวเราคนหนึ่งละที่ขอ ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข มีคุณธรรมในจิตใจ ให้ธรรมะ เข้าสู่จิตใจ จิตใจเป็นอริยชนขึ้นมาตามลำ ดับ คนอื่นจะ เป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องคนอื่น แต่ข้าพเจ้าจะต้องสั่งสมคุณ งามความดีเข้าสู่จิตใจให้สูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตามแนวแถว ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ตามแนวแถวของพระพุทธเจ้า ที่ ท่านทรงนำ มาแนะนำสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย 99 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ทมะ ทมะคือให้รู้จักข่มจิตของตน คำว่าข่มจิตคำ นี้ไม่ใช่ ว่าเราจะต้องเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลสอย่างราคะ โทสะ โมหะ เราอาจยังพอมีโทสะอยู่บ้าง อย่างเวลาบางทีใคร ก็ตามทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ หรือบางทีเราโดนพ่อแม่ดุด่าว่า กล่าวให้ เราก็อาจจะมีอารมณ์โมโห โทโส โกรธาแลบขึ้นมา บ้าง แต่เราก็ต้องมีทมะให้ข่มเอาไว้ ให้ใจหยุด เพราะว่าท่าน เป็นผู้มีพระคุณนะ ท่านบอกกล่าวว่าอย่างไรเราก็ต้องเชื่อ ฟัง ถ้าอดไม่ได้จริงๆ ต้องเดินหนีเสียก่อน อย่าไปโมโหโทโส โกรธาตอบแทนท่าน ถ้าอย่างนั้นก็ยกมือไหว้ท่าน ขออภัย ขอโทษ ชี้แนะชี้นำ ให้แก่ท่าน แล้วลองพิจารณาดูว่าสิ่งที่ ท่านบอกมันมีเหตุผลหรือไม่? พวกเรามีแต่ปริญญาตรี โท เอกทั้งนั้น จะไม่รู้จักดีรู้จักชั่วเชียวเหรอ? คำ พูดคำ ไหนที่ เป็นสาระ ที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนที่มีคุณค่ากว่าการที่ท่าน สอนมา เราก็ต้องแยกแยะให้ออกและให้รู้จักข่มจิตของตัว เอง อันนี้คือ ทมะให้รู้จักข่มจิต 100


Click to View FlipBook Version