The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by warm.siriteng, 2023-12-12 17:54:23

สันตุสสโกวาท

สันตุสสโกวาท

โลกหาได้ คำ พูดของคุณแม่ชีแก้วที่ท่านพูดสั้นๆว่า “โลกนี้ โลกหาได้ หาดีก็ได้ หาชั่วก็ได้ หานรก หาสวรรค์ใส่ตัว เองก็ได้ หาความชั่วช้าเสียหายใส่ตัวเองก็ได้ หาสวรรค์ หานิพพาน หารํ่าหารวยใส่ตัวเองก็ได้” เพราะฉะนั้นเราจะ หาอะไรเข้ามาสู่ตัวของเรา? ให้พวกเราใช้ปัญญา พิจารณา ว่าขณะนี้เราหาอะไรเข้าสู่ตัวของเรา ถ้าหากว่าเราหาสิ่งชั่ว ช้าเสียหาย เราก็หาความทุกข์เข้ามาตัวเอง หาคุกหาตาราง หานรกมาใส่ตัวเอง ถ้าหากว่าพวกเราคิดดูแล้ว เราหาสิ่ง ที่ดีเข้ามาสู่จิตใจของพวกเรา เราก็หาสวรรค์ หานิพพาน หาความสุขมาสู่ตัวเอง ท่านก็เลยพูดเป็นคำสั้นๆว่า โลก นี้โลกหาได้ เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราทุกๆท่านให้เสาะ แสวงหาแต่คุณความดี สิ่งที่มันไม่ดีให้ปล่อยละวางและพวก เราจะมีแต่ความสุขความเจริญ 201 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ใจนี้ฝึกได้ พวกเราท่านทั้งหลายได้มาเกิดได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้มาพบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ขอให้พวกเรา ท่านทั้งหลายอย่าตั้งอยู่ในความประมาท ชีวิตของพวกเราถึงจะ เลี้ยงดีขนาดไหน อาหารดีขนาดไหน ผ้านุ่งห่มดีขนาดไหน ยาแก้ โรคภัยไข้เจ็บดีขนาดไหน ที่อยู่อาศัยดีขนาดไหน ร่างกายของพวก เราก็ยังเป็นอื่นอยู่เสมอ ยังไม่ใช่เรา อีกสักวันหนึ่งก็แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย ไม่มีใครที่จะหลีกลี้หนีพ้นไปได้ มีแต่ดวงวิญญาณ คือ ใจ นั้นแหละที่พระพุทธเจ้าให้ความสนใจอย่างมาก พระพุทธ องค์ตรัสว่า “มโน ปุพพังคมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโน มยา เรื่อง ทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำ เร็จแล้วด้วยใจ” เพราะ ฉะนั้นพระองค์ให้ความสนใจเรื่องใจนี้มากกว่ากาย ส่วนร่างกาย นั้นพอเป็นพอไป ให้พอประทังชีวิตไปวันๆและก็ถึงจุดจบ แต่ส่วน นามธรรมนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า “ใจของเรานี้จะให้ฉลาดก็ได้ ให้โง่ก็ได้ ให้เป็นอันธพาลก็ได้ ให้ตกนรกเป็นคนชั่วช้าลามก ก็ได้ ให้เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ก็ได้ ให้เป็นพระอริยะบุคคล พระ โสดาบันบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ หรือเป็น พระพุทธเจ้าก็ได้ ใจของเรานี้ฝึกได้ ส่วนร่างกายนั้นถึงจะเลี้ยง ทะนุถนอมขนาดไหน ร่างกายก็ยังเป็นอื่นอยู่เสมอ แก่ เจ็บ ตาย ในที่สุด” 202


ขนวัวหรือเขาวัว กิเลสมันมากกว่าธรรม ความชั่วมันมากกว่าคุณงามความดี คนชั่วมากกว่าคนดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า “ขนวัวกับเขาวัวอันไหนมันมากกว่ากัน เราคิดดูก็แล้วกัน คนที่ประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนกับเขาวัว แต่คนที่ไม่สนใจกับ ธรรมะ ไม่สนใจแก้ไขกาย วาจา ใจของตนเองนั้นเหมือนกับขน วัว” พระพุทธเจ้าตรัสมาแล้วตั้งแต่ยุคนั้นสมัยนั้น เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าแปลกใจว่า ยุคนี้สมัยนี้ทำ ไมคนนั้นเป็นอย่างนั้น คน นี้เป็นอย่างนี้ เราไปคิดไปพูดให้โง่เท่านั้นเอง แต่ถ้าเราพูดก็เป็นข้อ สังเกตสำ หรับเราเอง แต่ส่วนลึกของใจแล้วให้รู้เอาไว้ว่า ความชั่วนั้น มากกว่าความดี ความดีนั้นน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ตามให้สังเกตดูตัว เองก็แล้วกันว่า ในวันหนึ่งเราคิดไปทางไหน? เราปล่อยจิตปล่อย ใจไปทางไหนบ้าง? พยายามอย่าให้ตนเองเป็นขนวัวก็แล้วกัน 203 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ธุระที่แตกต่าง เรื่องทั้งหลายทั้งปวงออกมาจากใจทั้งหมด ถึงจะเรียน ปริยัติ ปธ.๙ แล้วก็เถอะ มันก็เรียนจากความจำ ที่พระพุทธเจ้า ท่านได้บอกไว้ในตำ หรับตำ รา แล้วก็เรียนตามนั้น แต่ทีนี้พอ เข้ามาจุดนี้คือเรียนเข้ามาหาใจ ใจคือผู้รู้คือนามธรรม “มโน ปุพพังคมา ธัมมา” เรียนเรื่องของใจ ใจเป็นหัวหน้า นี่แหละ พวกเราเข้ามาเรียนครั้งนี้ เข้ามาปฏิบัติครั้งนี้ เข้ามาบวช ครั้งนี้ คราวนี้เราไม่ได้เรียนคันถธุระ เราเข้ามาเรียนเรื่องวิปัสสนา ธุระ นี้แหละให้รู้จักเงื่อนทั้ง ๒ เงื่อน คำ ว่าคันถธุระ ก็คือการ เรียนตามพุทธวจนะ หรือว่าธรรมคำสอนของพระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ อันนั้นเรียกว่า คันถธุระ ส่วนวิปัสสนาธุระ นั้นเรียน ด้านจิตใจ... 204


ตามที่จริงถ้าหัวหน้าพาทำอะไร แล้วลูกน้องก็ทำตามทุก อย่าง แบบนี้ก็ไม่น่าจะถูกเหมือนกันนะ เหมือนอย่างเรื่องนี้ที่ลูกชาย กับพ่อไปด้วยกัน พอดีลูกชายไปทำ งานรับราชการที่กรุงเทพฯ ส่วน พ่ออาศัยอยู่ที่บ้านนอก ทีนี้ตอนพ่อจะไปเยี่ยมลูกชาย เเกก็หิ้วของ ฝากไปพะรุงพะรังเพราะกลัวลูกชายตัวเองจะอดว่างั้นเถอะ เตรียม ทั้งข้าวสาร อาหารแห้งไปให้ลูกชายที่ทำ งานราชการที่กรุงเทพฯ แต่ลูกชายอายเขาพอแรงเพราะว่าพ่อพอเข้าไปแล้วมีแต่ของอะไรก็ ไม่รู้พะรุงพะรังเต็มไปหมด เพราะฝ่ายผู้พ่อที่เป็นบ้านนอกเป็นห่วง ลูก ทีนี้ส่วนลูกชายกลับกลัวขายหน้าคนอื่นถ้ารู้ว่าว่าพ่อเป็นบ้าน นอก ทีนี้แกก็เลยตัดชุดแบบคนกรุงเทพฯให้อย่างดีให้พ่อแกใส่ แต่ ถึงผู้พ่อถึงจะใส่ชุดคนกทม.มันก็เป็นบ้านนอกอย่างเก่าว่างั้นเถอะ ทีนี้พอผู้พ่อใส่ชุดเรียบร้อย ฝ่ายลูกชายก็บอกกับพ่อว่า “พ่อๆ ดูผม ไว้นะ ผมทำอย่างไร ให้ทำอย่างนั้น ต้องดูผมนะ ผมทำอย่างไรให้ ทำอย่างนั้นนะ ถ้าพ่อไม่ทำอย่างผม เดี๋ยวผมขายหน้านะ อายเขา นะ เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าพ่อบ้านนอก” ทางฝ่ายพ่อนั้นเมื่อลูกชายแนะนำจะให้ทำอย่างไร? ก็ต้อง เชื่อฝังลูกชายตามนั้น เพราะตัวเองก็เป็นคนบ้านนอกจริงๆ กลัว ลูกชายจะขายหน้าเพราะว่าลูกชายเป็นข้าราชการ เดี๋ยวไปทำ อะไรไม่ถูกเข้าไป ผู้คนทั้งหลายจะดูถูกลูกชายตัวเอง พ่อก็เลยเชื่อ ตามที่ลูกชายบอก ทีนี้ลูกชายก็ให้ใส่ชุดอย่างดี ให้ใส่รองเท้าอย่าง ดีอีกต่างหาก แต่คนบ้านนอกยังไงก็เป็นคนบ้านนอกอยู่วันยังคํ่า 206


สรุปแล้วก็เหมือนลิงแต่งตัวอย่างไรอย่างนั้นแหละ ทีนี้พอ เดินไปลูกชายก็พาเข้าไปในร้านอาหาร ลูกชายก็พาไปดื่มนํ้า พอ ไปดื่มนํ้า ก็พากินปาต๋องโก๋กับกาแฟก่อน พอเสร็จแล้วลูกชายก็ พาเดินไป พอเดินไปก็ไปเห็นอ้อย ก็เลยเอาให้พ่อ ๑ ถุงแล้วก็ให้ ตัวเอง ๑ ถุง ทีนี้ตอนกินอ้อย ตอนลูกชายเคี้ยวอ้อยเสร็จแล้ว ก็ ม้วนขี้อ้อยใส่ในผ้าเช็ดหน้า แต่พ่อมองไม่เห็นว่าลูกชายเอาขี้อ้อย ไปไว้ที่ไหน พอมันกินอ้อยเสร็จแล้วมันก็เงียบเอาๆ ทางฝ่ายผู้พ่อ ไม่รู้จักเอาไว้ไหน ก็เลยกลืนขี้อ้อยเข้าไป เพราะว่าเวลาที่ลูกชาย เค้าแอบคายทิ้งใส่ไว้ในผ้าเช็ดหน้า แล้วตัวเองมองไม่เห็นเลยนึกว่า ลูกชายกลืนขี้อ้อย ก็เลยกลืนเอาๆ กลืนขี้อ้อยมันไม่ใช่ธรรมดานะ มันกลืนฝืดคอ แต่เพราะตัวเองเห็นลูกชายกลืนขี้อ้อยได้ ฝ่ายพ่อก็ เลยต้องฝืนทน กลืนเอาๆ ต่อมาลูกชายก็เลยพาเดินไปอีก พอเดิน ไปเห็นกระป๋องหล่นอยู่ที่ข้างถนน ลูกชายก็กระโดดเตะปั้บ ทีนี้ ฝ่ายพ่อก็กลัวจะไม่ทัน กลัวจะขายหน้าว่างั้นเถอะ พอลูกชายพา โดดเตะ ฝ่ายพ่อเลยทำ ท่ากระโดดเตะตามเพื่อจะให้ทันสมัย ทีนี้ พอมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวกัน พอกินไปกินมาลูกชายเกิดนึกขำตอนที่ พ่อเตะกระป๋อง ลูกชายอดขำ ไม่ได้เลยหัวเราะก้ากอย่างแรงขึ้นมา แบบกะทันหัน จนก๋วยเตี๋ยวออกทางจมูกทั้ง ๒ ข้าง ฝ่ายพ่อก็เลย บอกลูกชายว่า “ลูกให้ทำอะไร พ่อทำ ได้หมด กินขี้อ้อยก็ทำ ได้ เตะ กระป๋องก็ทำ ได้ แต่ให้เอาเส้นก๋วยเตี๋ยวออกทางรูจมูกแบบนี้ พ่อทำ แบบนี้ไม่ได้ พ่อยอมแพ้” สรุปแล้วก็คือไป ณ สถานที่ใด ให้รู้จักใช้ ปัญญา ให้รู้จักสังเกต ให้ใช้ตาดู หูฟัง ใจคิด ประกอบกับสติปัญญา 207 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


อย่าลืมอาหารใจ ตามที่จริง การไปวัดกับการครองชีพ นี่มันคนละเรื่องกัน นะ การไปวัดคือการให้อาหารทางใจ อยู่ทางโลกคือเราเสาะ แสวงหาปัจจัย ๔ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ ยารักษา โรค อันนั้นเราแสวงหาทรัพย์สมบัติ เพื่อเจือจุนปัจจัย ๔ ของเรา ให้บริบูรณ์ แต่มาศึกษาธรรมมะเข้าวัดวาศาสนา เพื่ออาศัยการ ได้ยิน ได้ฟัง การปฏิบัติ ให้จิตใจของเรามีหลักว่าพระพุทธเจ้าท่าน สอนเรื่องการคิดว่าให้คิดอย่างไร ท่านสอนให้คิดว่าโลกนี้เป็นของ อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยงนะ ร่างกายของเราทุกคน ทุกส่วน เกิด มาแล้ว แก่เจ็บตาย ไม่มีใครที่จะเอาร่างกายไปด้วยได้ เพราะ ฉะนั้น เสาะแสวงหาทรัพย์ได้ขนาดไหน รํ่ารวยขนาดไหน ตาย ไปแล้วก็ต้องทิ้ง ฉะนั้นกระทำสิ่งไหน ก็ต้องขยันอดทน ให้ทำตาม หน้าที่ให้ดีที่สุด แต่ว่าให้รู้จักปล่อยวางในใจ อย่าไปถือโทษโกรธ เคืองใครจนเกินไป รักใครก็อย่าไปรักจนเกินไป โกรธใครก็อย่าไป โกรธจนเกินไป อาฆาตพยาบาทใคร ก็อย่าไปจองเวรจนเกินไป ให้ มองโลกด้วยเหตุด้วยผล โลกใบนี้เป็นอย่างนี้แหละ มีคนดี มีคน ชั่ว มีคนบ้า มีคนเมา มีคนฉลาด มีคนโง่ แต่เราจะอยู่กับโลกใบนี้ ได้อย่างไร? เราจะอยู่กับโลกใบนี้ด้วยความสงบสุขอย่างไร? อันนี้ หลักพุทธศาสนาท่านสอนไว้หมด ให้คิดให้ดี เมื่อคิดดีแล้ว ใจได้ รับการอบรมดีแล้ว เราไปอยู่ที่ใด ถิ่นใด เราจะวางตัวได้ทีนี้ 209 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


สมุทัย คำว่าทุกข์ มันมีทั้งทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ทุกข์ทาง กายอย่างที่พวกเราเห็น หิว กระหาย ปวดอุจาระปัสสาวะ นอน อย่างเดียวก็ไม่ได้ นั่งอย่างเดียวก็ไม่ได้ ยืนอย่างเดียวก็ไม่ได้ เดิน อย่างเดียวก็ไม่ได้ มันเหมือนกับของร้อนอยู่ในฝ่ามือข้างหนึ่งโยน มาอีกข้างหนึ่ง โยนไปโยนมา เพื่อหาความสุขจนถึงวันอวสานของ ชีวิต วันตายนั้นจึงจะจบ เพราะฉะนั้น กาย ความทุกข์ของกาย อย่างที่พวกเราเห็น ไม่มีใครที่จะมีความสุขไปตลอดเป็นไปไม่ได้ ความทุกข์ทางใจ ความพลัดพราก ความได้มาไม่พอใจ การได้ยิน การได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาสู่จิตใจของเรา ใจของเราก็มีความ ทุกข์ 210


เพราะฉะนั้นทุกข์กายและทุกข์ใจ พระพุทธเจ้าท่านทรง สอนว่าให้กำ หนดรู้ว่าอันนี้คือทุกข์ เมื่อมันเกิดขึ้นมาให้กำ หนดรู้ ว่านี่คือทุกข์ แล้วทุกข์มันมาจากไหนล่ะ? สมุทัย-เหตุให้เกิดทุกข์ มีอยู่ ๓ อย่าง กามตัณหา - ความทะเยอทะยานในกาม ความรัก ความชอบ ความไคร่ ความพอใจ ภวตัณหา - ความอยากเป็นโน่น เป็นนี่ อยากมียศถา บรรดาศักดิ์ อยากรํ่า อยากรวย อยากสวย อยากงาม วิภวตัณหา - ความไม่อยากเป็น ไม่อยากร้อนเกินไป ไม่ อยากหนาวเกินไป ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่ อยากจะมีความทุกข์ ความไม่อยากนี่ก็เป็นทุกข์ในใจเหมือนกัน นี่แหละเรียกว่า ตัณหา: กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นบ่อ เกิดแห่งความทุกข์ ตัณหาตัวนี้พาไป 211


ยิ่งหายิ่งหด ยิ่งหมดยิ่งจน เศรษฐกิจพอเพียงคือ ให้รู้จักหา ให้รู้จักใช้ การหาก็ ให้รู้จักหาในการหา หาเงินทองทรัพย์สมบัติ อย่าไปคด ไปจี้ ไปปล้น ให้เขาเดือนร้อน เมื่อหาแล้วให้รู้จักบริหารในการใช้ ไม่ใช่ว่าหามามากๆ เหมือนตักนํ้าใส่กระป๋องก้นรั่ว ขยันตักมา เท่าไหร่นํ้ารั่วหมดไม่ขังเลย อันนี้แปลว่าเราไม่รู้จักการบริหาร ว่ามันรั่วเพราะอะไร? ทำ ไมมันจึงรั่วขนาดนี้? เพราะใจของเรา รั่วหรือเราไม่รู้จักประมาณในการใช้ มันจึงตักนํ้าไม่อยู่ อันนี้เรา ก็ต้องมาตรวจตราดูตัวของเราว่า เมื่อเราเสาะแสวงหาทรัพย์ มาก แต่ทำ ไมเราจึงไม่มีเงินใช้? 212


213


214


คนดีทำ�ดีง่ายทำ�ชั่วยาก คนชั่วทำ�ชั่วง่ายทำ�ดียาก เพราะธรรมของพระพุทธเจ้า จะให้ใจของเราคิด อยากจะทำซะก่อนแล้วค่อยทำ โดยมากจะไม่เป็นอย่างนั้น โดยมากถ้าหากว่าใจอยากจะทำ โดยมากมันจะไหลไปทาง ตํ่า คือความชั่วเสียมากกว่า แต่ส่วนคุณงามความดีนั้นใจไม่ ค่อยอยากจะชอบทำ อันนี้เป็นมาตั้งแต่ดึกดำ บรรพ์แต่ยุค ไหนสมัยไหนอยู่แล้ว ไม่ใช่จะเกิดมาแต่ยุคนี้สมัยนี้ ไม่ใช่แต่ เฉพาะตัวของเราเอง คำ นี้เป็นคำ ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ สาวก ครูบาอาจารย์ ท่านพูดมาให้ฟังนมนานอยู่แล้ว เพราะ ความชั่วนั้นทำ มันทำ ง่ายกว่าความดี แต่ว่าถึงอย่างไรก็ตาม ในหลักที่ท่านได้สอนเอาไว้ว่า คนดีนั้นทำ�ดีได้ง่ายทำ�ชั่วได้ ยาก ส่วนคนชั่วนั้นทำ�ชั่วง่ายทำ�ดีได้ยาก อันนี้ท่านก็แบ่ง แยกเป็น ๒ ไว้เหมือนกัน 215


กุสลา-อกุสลา ธัมมา กุสลา ธัมมา จิตที่เป็นกุศล จิตใจที่ผ่องใส อกุสลา ธัมมา จิตที่เป็นอกุศล จิตที่เศร้าหมอง อัพยากะตา ธัมมา จิตเป็นกลางๆ จิตไม่เศร้าหมอง จิตไม่ผ่องใส แต่มันน้อยมาก โดยมากมันเป็น กุศลและอกุศล ซะมากกว่า เพราะฉะนั้น ให้มองเข้าไปดูจุดนี้แหละ เอาสติจับดูให้ดี ดูใจตัวนี้ ที่ใจมันเคลื่อนไหว ใจมันจะไปเป็นสวรรค์หรือจะไปเป็นนรก มัน อยู่ในใจของเรานี่แหละ ถ้าหากว่าจิตใจเศร้าหมองก็นั้นแหละเป็น นรก ว่าอย่างนั้นเถอะ จิตใจผ่องใสก็เป็นสวรรค์ แต่ว่าทั้ง ๒ อย่าง ทั้ง ๒ เงื่อน มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเหมือนกันนะ พยายามดูให้ ดีจุดนี้ กำ หนดดูให้ดี ดูใจให้ดี 216


มืดแล้วต้องสว่าง พระพุทธเจ้าท่านว่า “ตะโม ตะมะปะรายะโน โชติ ตะโม ตะมะ” แปลว่า มืดมาแล้วสว่างไป เมื่อสมัยเป็นเด็กเราไม่ได้ศึกษาคือเรามืด มา แต่บัดนี้เราได้ศึกษาธรรมะ พวกเรารู้แล้วว่าอันไหนดี อัน ไหนชั่ว เราก็หันหน้าเข้าสู่คุณงามความดี อันนี้เรียกว่า “โชติปะรายะโน” อันนี้เป็นหนทางที่ถูกต้องในหลัก พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่า “ตะโม ตะมะปะรายะโน ตะโม ตะมะ” แปลว่า มืด มาแล้วมืดไป สมัยเป็นเด็กก็ลุ่มหลงมัวเมาไปอีกแบบนึ่ง ใน เมื่อเฒ่าแก่ชรามาก็ลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสตัณหามานะทิฐิ อะไรก็ไม่รู้ กินเหล้าเมายา สัมมะเลเทเมาไปเรื่อย เพราะ ฉะนั้นพวกเราอย่าได้เป็นอย่างนั้น คือให้มืดมาแล้วก็สว่าง ไป เพราะเราได้ศึกษาธรรมะ ธรรมคำสั่งสอน แล้วก็ได้นำ ธรรมคำสั่งสอน มาวิเคราะห์ มาไตร่ตรองด้วยเหตุและผล แล้วมีคุณค่า มีประโยชน์จากนั้นพวกเราก็ลงมือประพฤติ ปฏิบัติตาม พวกเราจะสว่างไปแล้วทีนี้ ศีลธรรมจะพานำ จิตใจของพวกเรา ให้สว่างไปสู่สุคตินะ 217 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


สู้กับความไม่รู้ ความโง่ คนเรียนหนังสือ เขาก็สู้กับความไม่รู้ของเขามาหลาย ปีเหมือนกัน ตั้งแต่เรียน ก ข ค ง ขึ้นมา เขาก็สู้กับความ ไม่รู้ความโง่ของเขาขึ้นมานานพอสมควร จึงรู้จึงฉลาดขึ้น มาถึงได้ระดับนี้ พระอริยเจ้าทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ก่อนที่ ท่านจะได้เป็นพระอริยชนขึ้นมา พระโสดาบันบัน พระสกิ ทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ท่านก็ได้สู้กับความโง่ ของท่านมามากพอสมควร ท่านจึงได้เป็นพระอริยชนขึ้นมา ถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้น การสู้กับความชั่วในจิตในใจของ ท่านเอง คือสู้กับกิเลสภายในของท่านเอง ไม่ใช่ของทำ ได้ ง่ายๆ ไม่ใช่ของเอาชนะได้ง่ายๆ ต้องสู้แล้วสู้อีก ฝึกฝนแล้ว ฝึกฝนอีก ทำแล้วทำอีก แก้ไขแล้วแก้ไขอีก ฟังแล้วฟังอีก ปรับปรุงแล้วปรับปรุงอีก กาย วาจา ใจ จึงสูงแล้วเป็นลำดับ ขึ้นมา 218


ชัวร์ไว้ก่อน ไม่ใช่ว่า ชั่วไว้ก่อน การสั่งสมคุณงามความดี สั่งสมบุญกุศลนำสุขมาให้ อย่าประมาทชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน อีก สักวันหนึ่งไม่รู้ว่าวันไหนละ ไม่รู้ว่าวันไหนละ นับตั้งแต่วัน นี้เป็นต้นไป ชีวิตของเราจะจากไปแน่นอน บางทีบางสิ่ง บางครั้งเราอาจจะคาดไม่ถึง ซะด้วยซํ้าไปว่าชีวิตของเรามา เป็นลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง แท้แน่นอน เพราะฉะนั้นการเตรียมพร้อมคือ ความตั้งใจใน ความไม่ประมาท ไว้ทุกอิริยาบถนั้นๆ ดีที่สุด 219 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ดูแลฝูงวัวกับดื่มนมวัวมันต่างกัน พระสงฆ์สมัยนั้นที่มีมาบวชตอนเป็นหนุ่มน้อยก็มี ได้ มาถามพระพุทธเจ้าว่า “กระผมขอเรียนปริยัติซะก่อน เพื่อให้ แตกฉานในความรู้ความฉลาด เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงขอ เรียนปริยัติซะก่อน” “เออเอาได้” แต่บางองค์บอกว่า “เรา บวชเมื่อภายแก่ เราจะไม่ทำ ให้เสียเวลา เราจะเรียนปฏิบัติไป เลย เรียนภาวนาไปเลย เอาทางพ้นทุกข์ไปเลย” ทีนี้ก็เลยถาม พระพุทธเจ้าว่า “คันถธุระก็คือการเรียนนักธรรม ตรี โท เอก กับวิปัสสนาธุระก็คือการเรียนด้านภาวนา อันไหนมีประโยชน์ กว่า อันไหนที่มีคุณค่ากว่ากัน พระเจ้าข้า?” พระพุทธองค์ทรง ตรัสว่า การเรียนปริยัติก็เหมือนกับการเลี้ยงวัวนม มันจะไปกิน นํ้าที่ไหน ไปกินหญ้าที่ไหน ก็พยายามเลี้ยงรักษาฝูงวัวไว้ แต่ ผู้ปฏิบัตินี้เหมือนกับการรีดนมวัว มาดื่มนมวัว ได้กินนมวัว ได้ รู้จักรสชาติของนมวัว แล้วก็ร่างกายของเราก็ได้ประโยชน์จาก การดื่มนํ้าของนมวัว แต่คันถธุระเหมือนรักษาฝูงวัว เลี้ยงวัว ถ้า ให้เกิดประโยชน์ก็ต้องเป็นผู้ได้กินนมวัวนั้นเกิดประโยชน์กว่า นี้แหละคือที่พระในครั้งพุทธกาลท่านถาม พระพุทธองค์จึงทรง ตรัสอย่างนี้ ทีนี้พอบางองค์พอได้ทราบคำตอบท่านก็เข้าป่าไป เลย ศึกษาเรื่องปฏิบัติไปเลย เน้นเรื่องวิปัสสนาธุระไปเลย ท่าน ไม่ได้เรียนทางโลก 220


ไม่ได้เรียนเรื่อง พ ร ะ ธ ร ร ม คำ สอนจบพระ ไตรปิฎก ท่าน ไม่ได้เรียน ท่าน เรี ย น ท า ง ฝ่ า ย ประพฤติปฏิบัติ จากนั้นท่านก็พ้นทุกข์ในวัฏสงสาร เรียกว่าปริยัติคือการเรียน ปฏิบัติคือลงมือปฏิบัติ ปฏิเวธคือผลแห่งการปฏิบัติ เรียกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติคือการเรียน เหมือนกับเราเรียน แผนที่ ปฏิบัติเราก็เดิมตามแผนที่ ปฏิเวธคือถึงจุดหมายปลาย ทางที่เราเดิน เดินทางแผนที่และจุดหมายปลายทาง อันนี้เรียก ว่าปฏิเวธ ถ้าจะเปรียบเทียบให้ชัดเจนลงไปอีก ปริยัติเหมือน กับเราเรียนหมอ วิชาการหมอ วิชาการทั้งหมดต้องเรียนตั้ง ๖ ปี เราเรียนตั้งแต่เบื้องต้นเตรียมการจนถึงจบหมอ เรียกว่า ปริยัติ ปฏิบัติเมื่อเรียนหมอจบแล้วรักษาคนไข้คนป่วยตามวิชา ที่ตัวเองได้เรียนมา ปฏิเวธคือการได้รับค่าจ้างรางวัลจากคน ป่วย ผลงานที่เราได้รักษาคนป่วย ได้เงินเข้ากระเป๋านี่ อันนี้คือ ปฏิเวธธรรม 221 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


222


ถ้าผู้ใดไปอยู่ ณ สถานที่ใด ให้รำลึกถึงผู้มีอุปการคุณ คน นั้นจะไม่ตกตํ่า ไปอยู่ ณ สถานที่ใดจะมีความรุ่งเรือง จิตใจจะมี ความสุข เพราะเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทิตา ถึงจะเกิดเป็นสัตว์ เดรัจฉาน พระพุทธเจ้ายังไม่ลืมพระคุณของพ่อแม่ ท่านเคยเสวย พระชาติเป็นลิง มีแม่ลิงที่ตาบอด ตัวของท่านเองเป็นหัวหน้าจ่าฝูง ลิง มีน้องชายอยู่ตัวหนึ่ง ทีนี้ลูกชายตัวใหญ่ที่เป็นหัวหน้าจ่าฝูง มี ร่างกายใหญ่แข็งแรง เวลาออกไปหาอาหารก็นำ หน้า ตัวนำ หน้าก็ ต้องได้อาหารดีเป็นธรรมดา ได้ผลหมากรากไม้ ได้มาก็ส่งมาให้ลูก น้อง แล้วก็ส่งมาให้แม่ แต่น้องชายจะอยู่ดูแลแม่ คำว่าลิงมันจะให้ มาสมํ่าเสมอไม่ได้ มันจะขาดตกบกพร่อง บางทีก็เหลือนิดหน่อย อันดีๆ ที่หัวหน้าส่งมาให้ มันก็กินซะ ผลที่สุดมันมาถามน้องชายว่า “ผลไม้ที่ส่งมาให้ดีหรือไม่ พอหรือไม่พอ?” “ไม่ดีพี่ บางทีมันก็เหลือนิดๆ หน่อย” “เอ... ถ้าเราเลี้ยงแม่ของเราแบบนี้ก็คงจะไม่สมบูรณ์ แบบ นี้เราก็ควรจะไปอยู่ที่อื่นเพื่อไปเลี้ยงแม่” พอตกกลางเดือนหงายก็ เอาแม่ขึ้นหลัง ไปสามตัวรวมทั้งน้องด้วย ไปอยู่อีกดงให้ห่างออกไป จากหมู่ ถ้ายังอยู่กับหมู่แล้วทีนี้พอเอาอาหารไปให้แม่ บริวารก็จะกิน หมด ถ้าหากว่าจะเอาแม่ไปด้วยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะฝูงใหญ่ ก็ เลยหนีไปตามลำ พัง ผลที่สุดก็ไปอยู่ใกล้แดนมนุษย์ บางทีน้องก็ 224


ไปหาผลไม้มาเลี้ยงพี่เลี้ยงแม่ บางทีพี่ก็ไปหาผลไม้มาเลี้ยงแม่เลี้ยง น้อง สลับกัน แต่คราวนั้นเคราะห์เข็ญเวรกรรม กรรมที่ได้กระทำ ไว้ในอดีตมันมาถึง วันนั้นนายพรานออกจากบ้าน ไปหาล่าสัตว์ในป่า หา ยิงอะไรก็ไม่ได้ ขณะที่กำลังกลับมาทางผ่านเห็นลิง ๓ ตัวอยู่ใน ต้นไทรใหญ่ สามแม่ลูกก็อยู่ในต้นไทรใหญ่ พอพี่ชายเห็นคนผ่าน มา น้องชายก็หลบ แต่เอาแม่หลบไม่ทัน แม่ตาบอดนั่งอยู่กิ่งไทร ลูกชายตัวโตมันก็คิดว่าคนถ้าไม่จำ เป็นจริงมันคงไม่ยิงลิง นาย พรานก็เห็นว่าวันนี้ไม่ได้อะไรเลย หายิงสัตว์ไม่ได้ เอาลิงตัวนี้ไป กินแทนแล้วกัน พอว่าแล้วก็ขึ้นขาธนูเลย “อ้าว... มันจะยิงแม่ เรา” ลิงตัวใหญ่ก็โดดออกมาจากที่กำ บัง บอกน้อง “ให้ดูแลแม่นะ ข้าจะไปตายแทนแม่” พอว่านั้นก็วิ่งออกไปขวางทางนายพรานจะ ยิง นายพรานก็ไม่ยิงแม่ เห็นลูกตัวโตสมบูรณ์กว่า ก็ปล่อยธนูอาบ ด้วยยาพิษ ลิงพี่ชายถูกยิงก็ตกมาจากต้นไม้ ลิงตัวน้องชาย คิดว่า มันคงจะเอาแค่ตัวเดียว คงจะพอมั้ง พอว่าอย่างนั้นมันยังจะเอา แม่อีก ลูกชายก็ไม่ได้ โดดออกไปขวางอีก ก็ถูกยิงตกลงมาอีก ผลที่สุดนายพรานก็ยิงครบทั้งหมด ๓ ตัวเลย พอมาถึง บ้านบาปกรรมอะไรก็ไม่รู้ ไฟไหม้บ้านนายพราน ก็เสียอกเสียใจ กระโดดเข้าไปในกองไฟ ไฟไหม้อีก ตาแก่ก็ตาย แถมแผ่นดินสูบ อีก 225 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าในชาตินั้นเราเสวยพระชาติเป็น ลิงที่เป็นพี่ พระอานนท์เป็นน้องชายเรา แม่ของเราคือแม่ของเรา ปัจจุบันชาติ ขนาดเราเป็นลิงยังแสดงกตัญญูกตเวทิตาตายแทน แม่ แต่นายพรานคนนั้นคือพระเทวทัต การจองเวรจองกรรมไม่ใช่ ธรรมดา ในชาดก พระพุทธเจ้าขนาดเป็นลิงยังไม่ลืมบุญคุณของ พ่อแม่ที่ได้เลี้ยงเรามา พวกเราท่านทั้งหลาย ให้ระลึกถึงพระคุณผู้ มีอุปการคุณ สำ หรับพวกเรา ให้ระลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ ไปอยู่ที่ใด ก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง 226


227


อย่าหาปรุง หาฟุ้ง อย่าส่งจิตออกนอก พวกเราทุกท่านนะ เป็นอุบาสก อุบาสิกา เป็นพระภิกษุ สามเณร อย่าไปส่งจิตส่งใจออกไปข้างนอกจนเกินไป โลกนี้มัน เป็นอยู่อย่างนี้แหละ บุญวาสนาบารมีของเราคงจะมีเพียงแค่นี้ใน ชาตินี้ คงจะไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน คงจะไม่ได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ์ คงจะไม่ได้เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี แต่ว่าเป็นพระอรหันต์ นั้นพวกเราให้มุ่งหวังเอาไว้ มุ่งมั่นเอาไว้ ถ้าหากว่าพวกเราตั้งใจ ประพฤติ ปฏิบัติ บำ เพ็ญ อย่างเข้มงวดกวดขัน มรรคผลนิพพาน ก็รอเราอยู่ 229 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ไม่มีทางอื่น นอกจากทำ�ให้สมํ่ าเสมอ การภาวนาและการปฏิบัติธรรมของพวกเราท่านทั้งหลาย จะทำอย่างไรถึงจะได้รับผลเร็ว หรือว่าได้ผลดี หรือว่าได้ผลเป็นที่ พึงพอใจ ในการประพฤติปฏิบัติ? จะเดินอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไร จิตใจของเราถึงจะก้าวหน้าไปสู่มรรคสู่ผล อย่างที่เราตั้งใจ อย่าง ที่พวกเราตั้งความปรารถนาเอาไว้? วันนี้ก็มีคนมาถามหลวงพ่อใน ลักษณะอย่างนี้ หลวงพ่อก็ให้คำตอบเขาไปว่า ไม่มีทางอื่น ไม่มี อย่างอื่น นอกจากให้พวกเราทำ ให้สมํ่าเสมอ ให้ทำด้วยความตั้งใจ ให้ทำด้วยความสนใจ 230


ศีลของพระพุทธเจ้า ศีลของพระพุทธเจ้า คือสำ รวมกาย วาจาให้เรียบร้อย ชื่อ ว่าศีล กายคือการกระทำ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมยทรัพย์ ไม่ประพฤติ ผิดในกาม ไม่ดื่มสุรา อันนี้คือศีลสำ หรับฆราวาส วาจาคือไม่พูด เท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำ หยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ อันนี้ก็คือ ศีล ๕ ที่พระพุทธเจ้าวางไว้สำ หรับฆราวาสผู้มีภาระ กิจธุระมาก เป็น ผู้เสาะแสวงหาผู้เลี้ยงชีพ เอาเพียงแค่นี้พอ ถ้ามีศีล ๕ บริสุทธิ์ บริบูรณ์แล้ว ปิดอบายภูมิ ไม่ตกนรก 231


ธรรมะคือหลักเหตุผล ธรรมะคือหลักเหตุผล ธรรมะคือหลักถูกต้อง ธรรมะ นี้ควรให้โอปะนะยิโก คือน้อมเข้ามาดูกายดูใจของตนเอง ถ้า เราดูกายดูใจของตนเองแล้ว แล้วกายมันก็ต้องแตก อย่าง ที่ว่านี่แหละ แล้วใจอย่าไปลุ่มหลงมัวเมานะ ใจอย่าไม่ลุ่ม หลงอย่าไปลืมตัว อย่าไปให้ความสำคัญ ว่าโลกจักรวาลนี้ จะเป็นของตัวทั้งหมด ตัวจะอยู่ในโลกจักรวาลเท่านานแสน นาน....ไม่ใช่เน้อ 232


สิ่งที่จำ�เป็นอย่างยิ่ง เรื่องสติเป็นสิ่งที่จำ เป็น สำคัญอย่างยิ่ง ในหลักพระพุทธ ศาสนาพระพุทธเจ้าท่านให้ตั้งสติก่อน ก่อนที่จะภาวนา หรือคิด เรื่องอื่นๆ อันนี้สมาธิเป็นหน้าที่ของพวกเรา จะเป็นใครก็ตาม ถ้า ฝึกหัดเรื่องสติให้อยู่กับตัวเองแล้ว เราจะมองเห็นได้ว่า อันนี้ดี อัน นี้ชั่ว อันนี้ควร อันนี้ไม่ควร เราจะได้กลั่นกรองไตร่ตรอง ด้วยเหตุ และผล เพราะเรามีสติสัมปชัญญะอยู่กับตัวเอง เพราะฉะนั้น สติ เป็นเรื่องจำ เป็นสำคัญอย่างยิ่ง ในหลักของพระพุทธศาสนา 233


ยึด-ปล่อยวาง นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ให้รู้จักยึดในสิ่งที่ควรยึด ปล่อยวางในสิ่งที่ควรปล่อยวาง ยึดพระไตรสรณคมน์ ยึด คุณงามความดี ยึดแนวปฏิปทาพ่อแม่ครูบาอาจารย์พา ดำ เนินมาอย่างไร เราก็ควรไตร่ตรอง กลั่นกรองด้วยเหตุผล แต่ส่วนลึกของใจของเรานั้น เราบวชมาเพื่ออะไร? ต้องการ อะไร? จุดประสงค์สูงสุดของเราคืออะไร? สำ หรับหลวงพ่อ บวชมาเพื่อขอให้พ้นทุกข์ วัฏสงสาร ใครอยากจะได้ลาภยศ-สรรเสริญ เอ้าเชิญ แต่ข้อสำคัญคือ ขอให้เรารู้แจ้งเห็น จริงในธรรม ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เห็นเพียงเท่า นี้ก็พอแล้ว ให้ลองพิจารณาว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริง? ความสุขที่แท้จริงคืออะไร? 234


เสียเปรียบคือเมตตา การเสียเปรียบคนนั้นแหละคือเมตตา หลวงตามหา บัวท่านว่างั้น การยอมเสียเปรียบคนนั้นแหละคือเมตตา คน ที่จะมีเมตตาต่อชนทั้งหลายคือต้องเป็นผู้ยอมเสียเปรียบ สรุปแล้วถ้าเอาเปรียบเขาตลอดไปแสดงว่าเป็นผู้ขาดเมตตา ถ้าหากพวกเราที่ยอมเสียเปรียบคนอื่นนั้นแหละคือเมตตา แต่ก็อย่าให้มันเกินไปเท่านั้นแหละ อย่ายอมเสียเปรียบเขา จนเกินไป การเสียเปรียบก็ต้องมีเล่ห์เหลี่ยม ต้องมีชั้นเชิง ต้องมีเทคนิค ต้องแฝงด้วยเมตตา ถ้าสิ่งใดก็ตามถ้าเขาเอา รัดเอาเปรียบเราแบบไม่เป็นกิจจะลักษณะ เอารัดเอาเปรียบ เรา แบบที่ว่าเราก็รู้ว่าเขาเอารัดเอาเปรียบเราแบบไหน อัน นั้นเราก็ต้องมีชั้นเชิงกับเขา แต่ถ้าหากว่าเขาเป็นคนธรรมดา นี่ละ เราไปทำ ให้แก่เขา การสงเคราะห์เขา อันนี้แปลว่าการ เสียเปรียบคนมันเป็น “ทานะ” พร้อมกันก็มี “ทานะ” คือ การให้ทานด้วย ในการเสียสละด้วย นั้นแหละคือเมตตานะ 235 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


โลกธรรม ๘ ให้รู้จักปล่อย ให้รู้จักวาง ให้รู้จักสิ่งที่ควรทำและไม่ ควรทำ สิ่งที่ควรคิดและไม่ควรคิด สิ่งที่ควรพูดและไม่ ควรพูด คนที่มีธรรมะในจิตใจแล้ว คนนั้นแหละเรียกว่ามี อาหารทางจิตใจ จิตใจมีหลัก จิตใจมั่นคง จิตใจจะไม่ทุกข์ ในเมื่อมีสิ่งมากระทบ จิตใจไม่ว้าเหว่ จิตใจไม่อ้างว้าง จิตใจ ไม่เงียบเหงา จิตใจไม่ซึมเศร้า ถ้าคนที่มีธรรมะเข้าสู่จิตใจ ถ้าคนไม่มีธรรมะเข้าสู่จิตใจแล้ว เมื่อโลกธรรมเข้ามา เราจะ รู้ได้ อย่างโลกธรรมทุกวันนี้ บางทียศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นมาก็ ดีใจ แต่พอถูกลดโลกธรรมแล้ว ทีนี้ตัวนี่ไม่เป็นตัวเลย เสีย อกเสียใจ จะเป็นบ้าเป็นบอได้ง่ายๆ โลกธรรมไม่ใช่ธรรมดา นะ ไม่ธรรมดานะ ยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งเหมือนลมพัดแรง แต่ถ้า หากว่าคนมีธรรมในใจแล้ว ท่านจะต้องวางเฉย ไม่ยินดีไม่ ยินร้าย เพราะฉะนั้นใครจะทำแบบนั้นได้ ไม่ใช่ของทำ ได้ ง่ายๆนะ ถ้าไม่ฝึกไม่เตรียมตัวไว้ก่อน ถ้าได้ฝึกได้คิดได้ เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว นั้นแหละทีนี้ สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมา ถึงอย่างไรๆเราก็มีหลุมเพาะ มีบังเกอร์ เออ มีที่หลบซ่อน คือศีลธรรม เรารู้จักปล่อยวางที่ใจของเรา เมื่อเรารู้จักที่ ปล่อยวางของใจของเรา เราก็วิ่งเข้ามาหาจุดนี้ เราก็ปล่อย วางโลกธรรมนี้ จะไปถืออะไรเที่ยงแท้แน่นอนได้อย่างไร 236


กฏไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะแทน พระพุทธเจ้าได้ พระสาวกแต่ละองค์ อย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอานนท์ เมื่อผ่าน ไปแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะแทนท่านเหล่านั้นได้ ต่อมาก็หลวงปู่ แหวน หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่หล้า ก็ไม่มีใครที่จะ แทนท่านเหล่านั้นได้อีกเช่นเดียวกัน ต่อมาถึงองค์หลวงตา ของเรา ก็คงจะลักษณะอย่างนั้นเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไร เราก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวมันจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องอยู่ ในกฎไตรลักษณ์: อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่พวกเราพี่น้อง ทุกคน ทุกหมู่ทุกเหล่า เมื่อพระราชทานเพลิงสรีระองค์ หลวงตาแล้ว ก็ขอฝากไว้กับทุกคน ให้มีนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน ให้รำลึกถึงพระคุณขององค์หลวงตา อย่างน้อยก็มากราบ มาไหว้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงตาที่ท่านให้ธรรมะแก่ พวกเรา ส่วนทางฝ่ายพระสงฆ์ ก็ขอฝากไว้ด้วยกับพระสงฆ์ ทุกรูป คล้ายๆว่าช่วยกันดู ช่วยกันประคับประคอง ช่วยกัน ดูแลสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ 237 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


238


พระในครั้งพระพุทธเจ้า มีองค์หนึ่งที่ชื่อโลติกะท่านกำลัง จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว แต่เพราะท่านมีวิบากกรรม ในอดีตชาติมาให้ผล เกิดมาในชาตินี้เลยมาเกิดเป็นคนขอทาน เช่นนี้ พระอานนท์ท่านก็คงจะเห็นอุปนิสัยเก่า ถึงเขาจะเป็นคน ยากจน เป็นขอทาน แต่อุปนิสัยเบื้องหลังของเขาเป็นคนมีบุญอยู่ แต่ว่ากรรมมาบิดบังเขา แต่เมื่อบวชแล้วบำ เพ็ญจะสำ เร็จเป็นพระ อรหันต์ พอบวชเสร็จแล้วเปลี่ยนผ้ากาสาวพัสตร์ ก็มอบเสื้อผ้า เครื่องขอทานไปเก็บที่ไหนก็ไป มีบริขาร ๘ แล้ว จากนั้นโลติกะ เป็นพระแล้วก็เอาในมุมวัดแห่งหนึ่ง พออยู่มาท่านอยากจะสึก “ทำ ไมใจของเราปั่นป่วนขนาดนี้? ทั้งที่เราอยู่ในพระพุทธศาสนามี ความสุข เราก็สมบูรณ์ด้วยอาหารการบริโภค ปัจจัย ๔ แต่ทำ ไมใจ ของเรามันร้อน?” 240


เรื่องใจเป็นสิ่งจำ เป็นและสำคัญ ถ้าการเป็นอยู่นั้นจะมีความ สมบูรณ์ขนาดไหน แต่ถ้าใจมันปั่นป่วนมันอยู่ไม่ได้เหมือนกัน วันหนึ่ง ท่านบำ เพ็ญทางด้านจิตใจ ทำ ไมถึงปั่นป่วน ท่านก็ดูที่ใจ ปรับปรุงที่ ใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า จากนั้นท่านก็ชำระจิตใจของท่าน โลภ โกรธ หลง ในหัวใจของท่านกระเด็นออกไป หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าบุคคลใดก็ดี สามารถเบรกใจตัวเองได้ ถ้าเป็น รถก็ห้ามล้อได้เป็นดี พวกเราทุกท่าน อุบาสก อุบาสิกา สิ่งใดก็ดีถ้า หากเราถูกใจหรือชอบใจมาก แต่ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ไม่ ถูกธรรมเนียมประเพณีของโลก ไม่เป็นที่ยอมรับของชุมชนทั่วไป ไม่ เป็นที่ยอมรับของวงศาคณาญาติ เราต้องเบรกใจของตนเองไว้ต่อสิ่ง ที่มันไม่ถูกไม่ควรอันนั้น 241 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


พยากรณ์พระเทวทัต พระเทวทัต ก่อนที่ท่านจะถูกแผ่นดินสูบ ท่านยัง เคารพ คารวะพระพุทธเจ้า จากนั้นจึงถูกแผ่นดินสูบ จาก นั้นก็ตกไปในมหานรกอเวจี พระพุทธเจ้ายังพยากรณ์ว่า เทวทัตนะ ถ้าหากยังว่าไม่รำ ลึกถึงความผิดของตนเอง “เทวทัตจะไม่มีวันเกิดมาอีก จะไปที่ไหนไม่มีใครทำ นายได้ แต่บัดนี้เทวทัตเห็นโทษว่าตัวเองได้ทำ ผิด ขอคารวะครั้ง สุดท้าย พระเทวทัตจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในอนาคตต่อไปในภายภาคหน้า” นี่เทวทัตยังดีกว่าพวก เรานะ ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าจะได้เป็นพระ ปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตนะ แต่พวกเรานี่ไม่รู้นะ ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนได้พยากรณ์เอาไว้นะ ฉะนั้นขอให้ พวกเราทุกท่านที่ได้ยินคำ พูดของหลวงพ่อออกไป ขอให้นำ ไปคิด นำ ไปพิจารณา ว่าที่เรารัก เคารพ นับถือเลื่อมใสใน องค์หลวงตาน่ะ เราเคารพนับถือด้วยความลุ่มหลงงมงาย ใช่หรือไม่? หรือเราเคารพนับถือด้วยสติปัญญาของเราที่มี แล้วเราได้ศึกษาไตร่ตรองตามธรรมคำสอน และเราได้เห็น แนวทางปฎิบัติขององค์หลวงตา เป็นผู้เสียสละจริงอย่างนั้น ใช่หรือไม่? 243 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


อย่าเติมแค่นํ้ ามันรถ อย่าลืมการให้อาหารทางใจ เราให้แต่อาหาร อย่างอื่น เพราะฉะนั้นให้เราสำ นึก สำ เหนียกไว้อยู่เสมอ ว่าอาหารกายส่วนหนึ่ง อาหารใจก็ส่วนหนึ่ง อาหารใจ อย่างหนึ่ง อาหารกายก็อีกอย่างหนึ่ง อาหารกายก็คือข้าว นํ้า โภชนาอาหาร อาหารใจก็คืออารมณ์ พยายามทำจิตให้ สงบ ทำจิตให้เป็นหนึ่ง ทำจิตให้เที่ยงตรง ไม่คิดเอาอารมณ์ อื่นเข้ามาสู่จิต สู่ใจ พยายามสะบัด สกัดเอาอารมณ์อื่นๆ ไม่ให้เข้ามาได้ พยายามกำ หนดอันไหน ก็พยายามเอาให้ แน่วแน่กับกรรมฐานนั้นๆ อย่างครูบาอาจารย์ท่านแนะนำ พุทโธอย่างนี้ ที่หลวงพ่อเคยยํ้าแล้ว ยํ้าอีก ก็พยายามให้อยู่ กับพุทโธตลอด อย่าให้ไปทางอื่น อันนี้ก็คือภาคปฎิบัติ ของ พวกเราท่านทั้งหลาย 244


มองน้อมเข้ามาหาตัวอยู่เสมอ ผู้ที่มีธรรมะอยู่ในใจ โดยมากจะมองเข้ามาหาตัวเอง อยู่เสมอ มองคนอื่นมันก็มองเป็นบทเรียน และก็มองตัวเอง เพื่อแก้ไขกาย วาจา ใจ ของเราว่ามันขาดตกบกพร่องตรง ไหน? จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร? เมื่อเราได้ยิน ได้ฟัง พระ ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่ท่านแนะนำอบรมสั่งสอน ให้เชื่อกรรม ให้เชื่อผลของ กรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ดูแลปฏิบัติบิดา มารดา ให้ ทาน รักษาศีล จากนั้นเราก็นำ มาปรับปรุงแก้ไขกาย วาจา ใจของเรา ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ขึ้น ให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ให้รักษากาย วาจาให้เรียบร้อย อย่าไปเบียดเบียนผู้อื่นเขา ให้มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย 245


ต.ต.ต. เตรียมตัวตาย ถ้าพวกเรามีสมาธิดีแล้ว เมื่อจิตใจของเรามีหลักยึด จิตใจของเรามีสมาธิ ต่อไปภายภาคหน้า ใจของเราจะไม่ หว้าเหว่ อ้างว้าง เงียบเหงา ซึมเศร้า นิสัยซึมเศร้าจะไม่มี เราจะมองดูว่าถึงคราวแล้วหรือ ถึงคราวแก่ชราแล้วหรือ อีก สักวันก็ถึงจุดจบของเรา เราก็จะไปตามทำ นองครองธรรมที่ ว่า คนเราเกิดมา แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา เราจะหลีก หนีไม่พ้น เราจะต้องไป เราจะไม่เสียอกเสียใจ จะไม่หว้าเหว่ อ้างว้าง เงียบเหงา เพราะเราได้ฝึกจิตภาวนาเอาไว้แล้ว 246


ต้องหาให้เจอ...อยู่ไม่ไกล ใครจะว่าสุขขนาดไหนก็เถอะ ที่จริงมันก็สุขแต่ ภายนอกเท่านั้นเอง แต่ในส่วนลึกของจิตใจ แล้วมันหาความ สุขไม่ได้ หาไม่เจอว่าอันไหนคือความสุขที่แท้จริง? ลอง ค้นหาดูก็แล้วกันไม่ว่ายังไงก็ ค้นหาความสุขที่แท้จริงกันยัง ไม่เจอทั้งนั้นแหละ ที่ใครบอกว่ามีความสุขกัน ก็แค่พูดกันไป กันมาอย่างนั้นแหละ แต่ว่าส่วนลึกๆของใจแล้ว มันเป็นความสุข ที่จอมปลอมทั้งนั้น อย่างที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า จิตใจ ที่หลุดพ้นเท่านั้น จึงจะเป็นจิตใจที่หาความสุขที่แท้จริงได้ 247 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


รู้เท่า-รู้ทัน-รู้มัน-รู้ตัว พิจารณาอะไร? พิจารณาว่าร่างกายนี้จริงๆแล้วมัน ใช่ของเราจริงหรือไม่? ของเหล่านี้มันใช่ของเราจริงหรือไม่? เป็นของจีรังถาวรจริงหรือไม่? มันจะอยู่นานสักเท่าไหร่? เป็นของเราใช่หรือไม่? เมื่อเราพิจารณาสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว กิเลสราคะ ที่ยึดมั่นถือมั่นให้ความสำคัญร่างกายว่าสวยสด งดงาม มันจะล้มลงเป็นกองๆเลย แล้วเราจะไปรักไปหลง มันทำ ไม? เพราะถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว...ร่างกายเรานี้มีแต่ กระดูก มีแต่เนื้อ มีแต่ตับ ไต ใส้พุง ลำ ไส้ เหมือนกับเราเห็น สัตว์เดรัจฉานอย่างนั้นแหละ แต่ร่างกายของเราก็ไม่แพ้กัน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เป็นอย่างอื่น ในเมื่อเห็นร่างกาย ตัวเองเป็นอย่างนั้นแล้ว ความกำ หนัด ความยินดี ความรัก ใคร่ชอบใจ ความลุ่มหลง ในร่างกายของเรานั้น มันก็จะอยู่ ในสภาพที่ว่า รู้เท่า-รู้ทัน-รู้มัน-รู้ตัว ว่าเราสักแต่ว่าอาศัยมัน อยู่ แต่ไม่ไปยึดมัน หลงมัน 248


ภาวนาเสร็จแล้วทำ�อะไร พอนั่งเสร็จแล้ว เราก็พนมมือขึ้นระหว่างอก คือไหว้ ครูซะก่อน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ จบ จากนั้นก็เอามือลง แล้ว ให้บริกรรมว่า “ข้าพเจ้าจงเป็นสุข ผู้อื่นจงเป็นสุข ข้าพเจ้า ต้องการความสุขอย่างไร ผู้อื่นวิญญาณอื่น ขอให้มีความสุข อย่างเดียวกับที่ข้าพเจ้าต้องการ” บริกรรมไปชั่วระยะหนึ่ง ไม่ให้โกรธเคืองแก่ใครทั้งหมด เราให้อภัยในขณะนั้น คือใจ ให้ปล่อยวาง ทำ ใจให้ว่าง จากนั้นเราก็กำ หนด ลมหายใจ เข้าบริกรรม-พุท ลมหายใจออกบริกรรม-โธ แต่บางคนบาง ท่านยังไม่เคยภาวนา จะยังจับลมไม่รู้ เริ่มต้นให้ลองหายใจ แรงๆดู จากนั้นเราจะจับได้ว่า ลมอยู่ที่ไหน? ลมอยู่ที่ปลาย จมูก ลมหายใจเข้าให้บริกรรม-พุท ลมหายใจออกบริกรรมโธ ผู้เริ่มใหม่จิตใจมันจะวอกแวก บางทีก็อยู่ได้นาน บางทีก็ ไม่นาน อันนี้เป็นธรรมดาสำ หรับผู้ฝึกหัดใหม่ แต่ถึงอย่างไร ถ้าเรามีความพยายามพอ มีความตั้งใจพอ ซักวันหนึ่งจิตมัน จะต้องอยู่นิ่งเอง อยู่ได้นานเอง ถ้าจิตใจมันไม่อยู่นิ่ง มันยัง เผลอส่งออกบ่อย ก็ให้เราบริกรรม พุทโธๆๆ รัวๆ ให้ถี่ยิบ ไม่ ให้มันมีช่องว่างที่จะให้จิตมันหลุดออกไป คิดไปปรุง ไปฟุ้ง 249 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


เสือไม่กลับไปกินอาหารเก่า ถ้าจิตใจเคยสงบครั้งหนึ่งแล้ว เย็นสบายแล้ว พอไป คราวหน้า เราก็อยากที่จะให้มันสงบอีกอย่างคราวก่อน อัน นี้อย่าคิดอย่างนั้นนะ เราต้องหาใหม่อีก ความสงบมันผ่าน ไปแล้วมันเป็นอดีตไป ไม่ต้องเอาเรื่องของเก่ามาคิด ถ้าเรา เอาเรื่องของเก่ามาคิด เวลาภาวนา พุทโธ พอเวลาใจมัน กำ ลังจะรวมแล้ว แต่พอเรามามัวแต่จะอยากให้มันสงบ แบบเก่าอีก คราวนี้มันจะถอยไปอย่างเก่า เพราะฉะนั้น อย่าตั้งความอยากในจิตใจ เราไม่ต้องคิดว่ามันจะรวมหรือ ไม่รวม ไม่ต้องไปสนใจ อย่าจงใจ อย่าสงสัย ให้เราพยายาม สร้างเหตุให้เพียงพอ เมื่อเราสร้างเหตุเพียงพอแล้ว มันจะ สงบไปเอง 250


Click to View FlipBook Version