ในหลักของพระพุทธศาสนา การศึกษาทางโลกจะ จบระดับไหนก็เถอะ ท่านไม่ถือว่าจบ เพราะเหตุใด? เพราะ ว่าการศึกษาทางโลกยังเรียนอยู่ในวัฏสงสาร มันยังวกวน เวียนอยู่ในกิเลสมี โลภ โกรธ หลง เป็นผู้บัญชาการ แต่ถ้า หากเราเรียนตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียนเข้ามา หาใจ เรียนเข้ามาหาผู้รู้คือความนึกคิดของตัวเองขณะนี้ ใจ ของเรานึกคิดเรื่องอะไร? มันไปทางโลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่? ในครั้งพุทธกาล มีพระองค์หนึ่งท่านเรียนจบพระ ไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกท่านว่าเป็นพระใบลาน เปล่าประโยชน์ จนถึงทำ ให้พระเถระท่านนั้นมีความละอาย ใจ ทั้งที่เวลานั้นท่านก็มีลูกศิษย์อยู่ตั้ง ๕๐๐ องค์ ทีนี้เวลา มากราบพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่า “เป็นอย่างไร โปฐิละ” คือเอาโปฐิละนำ หน้า โปฐิละแปลว่าใบลานเปล่า พอท่านได้ยินพระพุทธองค์เรียกเช่นนั้น ท่านก็ฉุกคิดได้ว่า... ใช่...เราก็เปล่าจริงๆ เพราะเรายังไม่ได้สำ เร็จมรรคผลอะไร เลย การเรียนการศึกษาของเรา เราเรียนรอบรู้ทั้งหมด แต่ ใจของเรายังมีกิเลส ราคะ โทหะ โมสะ อยู่ยังไม่จบ จะทำ อย่างไรดี? เราควรจะปลีกตัวออกจากลูกศิษย์ลูกหา ชุมชน เพื่อหาทางภาวนา หาทางพ้นทุกข์โดยลำ พัง 152
ท่านโปฐิละคิดได้อย่างนั้น จากนั้นท่านก็หลบหนีออก ไป ไปเข้าป่าดงพงไพรห่างไกล พอไปท่านก็ไปเห็นพระภิกษุ ๓๐ รูป อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่หัวหน้าจนถึงเณร เณรองค์นั้นก็ได้ เป็นพระอรหันต์อีก พระโปฐิละเข้าไปกราบพระเถระที่มี พรรษาอาวุโสที่สุด “ท่านอาจารย์ครับ ผมมาคราวนี้เพื่อ ทำ การศึกษา อยากจะให้ท่านอาจารย์สอนวิธีปฏิบัติ” พระเถระก็บอก “อาจารย์ก็เป็นผู้แตกฉานพระไตรปิฎก จบ พระไตรปิฎกแล้ว” พระโปฐิละก็บอกว่า “ใช่ ผมจบพระไตรปิฎกก็จริงอยู่ มีเครื่องไม้เครื่องมือบริบูรณ์ แต่ไม่รู้จะเอาเครื่องไม้เครื่อง มือตัวไหนมาแก้กิเลสภายในใจของผม” พระเถระท่านก็มีญาณทัศนะ พระโปฐิละไม่ใช่วิสัยของ เราที่จะสอน ท่านก็โยนไปหาองค์ที่สอง “ท่านเป็นผู้แตกฉาน ในการสั่งสอน ท่านเป็นผู้รู้ เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ไปศึกษากับท่าน นะ” ไปหาองค์ที่สองก็ดูว่าพระโปฐิละไม่ใช่วิสัยของเราที่จะสอน ให้ลดทิฐิมานะลงไปเรื่อยๆ องค์ที่สามไปหาองค์นั้นไป องค์ที่ ๓ จนถึงองค์ที่ ๓๐ ไปถึงเณรน้อยองค์สุดท้าย เณรน้อยไม่รู้จะโยนไป ที่ไหน “พระอาจารย์ส่งมาให้ผมมาศึกษากับท่าน เณรพอที่จะสอน ให้ผมได้หรือไม่?” ทีนี้เณรก็ถามว่า “อาจารย์จะเชื่อผมหรือเปล่า?” พระโปฐิละก็ตอบว่า “เณรบอกมา ผมจะเชื่อฟังทั้งหมด” 153 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
“ถ้าอาจารย์จะยอมปฏิบัติอย่างนั้น ผมก็ยินดีจะ แนะนำ” จากนั้นสามเณรก็พูดว่า “อาจารย์ให้เดินตามหลัง ผมมานะ” สามเณรต้องการจะทดสอบว่าอาจารย์จะเชื่อเรา จริงๆหรือเปล่า ให้ลดทิฐิมานะให้เห็นก่อน “อาจารย์เข้าไปใน ป่าสิ” พอสามเณรพูดดังนั้น อาจารย์ก็เดินเข้าป่าอย่างว่าง่าย “พอแล้วๆ” จากนั้นเดินต่อไป ก็ไปเห็นสระน้าอีก “อาจารย์ ํลงไปในสระน้าสิ” ทีนี้อาจารย์ก็ลงไปในสระอย่างว่าง่ายอีก ํ“พอแล้วๆ” ให้ขึ้นมา พออาจารย์ขึ้นมาสามเณรก็หาที่นั่ง อาจารย์ให้สังเกตที่ผมนะ ผมจะสอนให้ท่านอาจารย์ฟัง “มีจอมปลวกอยู่แห่งหนึ่ง แล้วมีรูอยู่ ๕ รู มีรูดับอยู่รูหนึ่ง แล้ว มีตัวเงินตัวทองอยู่ตัวหนึ่ง อยู่ในจอมปลวกนั้น มันออกหากิน ของมันอยู่ใน ๕ รูนั้น หากินแต่ละวี่ละวัน แล้วมันมีรูดับ รูลึก ที่อยู่อาศัยของมัน อาจารย์ปิดรูทั้ง ๕ เอาไว้รูเดียวเลย รูดับ ขึ้นลงไป ตามรูนั้นมันจะไปที่ไหน ทุกรูมันจะดิ่งลงไปหารูดับ ทั้งหมด ตอนนี้เราปิดรูทั้งหมดแล้ว เราก็จะจับเหี้ยได้ อาจารย์ เข้าใจที่ผมพูดนะ ถ้าอาจารย์เข้าใจแล้ว นิมนต์ไปปฏิบัติ” อันนี้คือสามเณรพูดเปรียบอุปมาอุปมัยให้ฟัง จอม ปลวกคือร่างกายของเรา เหี้ยของเราคือใจ มันอยู่ที่ความ นึกคิด เหี้ยมันออกทางตา เวลาเราไปเห็นรูป ถ้าเห็นรูปสวย มันก็เกิดราคะ ถ้าเขาเบี้ยวปากใส่ แสดงอากัปกิริยาไม่พอใจก็ เกิดโทสะ เหี้ยตัวนั้นมันออกไปทางหู ถ้าได้ยินคนพูดเสียง เพราะๆ ก็เกิดราคะ เกิดความกำ หนัดยินดี 154
ถ้าเขาด่าเข้ามาทางหูเกิดโทสะ นี่แหละเหี้ยตัวนั้นมันออก ไปหากินทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันออก ไปจากใจ แต่ทีนี้เราปิดรู แล้วให้ทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าปิด รูหากินของมัน คือตาเห็นให้สักแต่ว่าเห็น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ ของเรา หูได้ยินให้สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทั้ง ตา ทั้งหู ทั้งจมูก ทั้งลิ้น ทั้งกาย จากนั้นก็ค้นเข้าไปหารูดับ พอค้นเข้าไปมันก็ใจของเราเอง มันก็ไม่มีทางออก ความคิด ทางใจคิดไปในทางดีก็เป็นกุศล คิดไปในทางชั่วก็เป็นอกุศล คล้ายๆ ว่ามันเกิดขึ้นมาอยู่ในจิตใจ มีต่อมผู้รู้คือภพชาติ อยู่ ในตัวผู้นั้น อย่างที่หลวงตามหาบัวท่านว่า มีต่อมผู้รู้อยู่ที่ใด จุดนั้นแลคือพบภพชาติ มันเกิดมาจากจุดนั้น จากนั้นพระโปฐิละก็นั่งภาวนา กำ หนดดูที่ใจของท่าน พระพุทธเจ้าท่านก็เพ่งกระแสมาเทศน์ให้พระโปฐิละฟัง “ท่านจงโปรดวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น” จากนั้นพระโปฐิละ ท่านก็ดูตามที่พระพุทธองค์แนะนำ ท่านก็ได้สำ เร็จเป็นพระ อรหันต์ ถ้าเราชำ ระใจของเรา ใจของเราไม่มีกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ จิตใจของเราเป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้น ใจของเราปล่อยวาง ไม่ ยึดมั่นถือมั่น รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ใจของเราก็จะ เป็นพระอรหันต์ 155 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ใจเราไหลไปทางไหน กาย วาจาก็ไหลไปทางนั้น เมื่อคิดดีแล้ว พูดอะไรออกไปก็ไปในทางที่ถูกต้อง แต่ถ้า หัวใจเราคิดผิดซะแล้ว พูดอะไรออกไปก็มีแต่ไปในทางที่ผิด พอ คิดออกมาในทางไม่ถูกแล้วมีแต่อารมณ์โมโห โกรธา แต่ถ้าหากว่า ความคิดของเรามีแต่ความรัก ทางใคร่ ในเวลาพูดออกมาก็มีแต่ ความรัก ความใคร่ออกมา เพราะใจของเราคิดไปทางไหน กาย วาจาเป็นลูกน้องก็ต้องไปตามนั้น 157 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ครูบาเก่า...เอาไว้ทำ�ไมของไม่ดี พวกเราทุกๆท่าน ที่ได้เข้ามาบวชมาศึกษาที่นี่ ให้ทุกองค์ ทั้งพระใหม่ พระเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเก่า ควรจะเป็น ตัวอย่างที่ดีให้แก่พระใหม่เพราะได้รับการศึกษาดีแล้ว ถ้าองค์ไหน ที่เป็นพระเก่าทำตัวไม่ดี ผมไม่ให้อยู่นะเพราะพาหมู่พวกเพื่อนเสีย ไปด้วย สอนไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งเสีย เพราะเหตุใด? เพราะพระเก่า พาเป็น พาทำ สอนเท่าไหร่มันก็ไม่ขึ้น ยกเท่าไหร่มันก็ไม่ขึ้น ถึงไม่ เป็นตัวอย่าง แต่อย่างน้อยก็ต้องให้อยู่ในหลักพระธรรมวินัย เป็น แนวทางให้แก่น้องๆที่เข้ามาใหม่ ไม่ใช่ว่าสิ่งไหนที่ไม่ดีก็พาพระ น้อยพระหนุ่มเขาทำกัน แล้วผู้เป็นหัวหน้าจะสอนได้อย่างไร สอน เท่าไหร่ๆมันก็สอนไม่ขึ้น เพราะเหตุใด? เพราะพระเก่าในวัดเป็น ตัวอย่างที่ไม่ดี สิ่งเหล่านี้ผมยํ้าแล้ว ยํ้าอีกบอกพวกท่านทั้งหลาย อย่างน้อยก็ให้เอาตัวอย่างที่ได้ยิน ได้ฟังจากผมไปแล้วนั้นให้นำ ไปคิด กลั่นกรอง ไตร่ตรอง พิจารณา แล้วก็นำ ไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าฟังหูซ้ายทะลุหูขวา อยู่เป็นวันๆไป จากนั้นเอาสิ่ง ที่มันชั่วช้าเสียหายนำ มาบอก มากล่าว มาแนะนำผู้ที่เข้ามาบวช ใหม่ ที่นี่มีหรือไม่? ครูบาใหม่นะ ออกไปแล้วมาบอกหลวงพ่อได้ นะว่าพระเก่าในวัดของหลวงพ่อ พระองค์ไหนที่เป็นอย่างนั้น ให้ บอกมานะ หลวงพ่อจะไม่เอาไว้ เอาไว้ทำ ไมของไม่ดี มีแต่ต้องการ 158
แต่ของดีๆเอาไว้ในวัด ถ้าไม่ดีจะเอาไว้ทำ ไม พอพวกท่านทั้งหลาย เป็นผู้ใหญ่ พวกท่านก็จะคิดแบบผมเหมือนกัน ผมมั่นใจ แต่ถ้า หากพวกท่านทั้งหลายไม่คิดอย่างผม พวกท่านเองนั้นแหละที่คง เละเทะไปหมด หากฎหาเกณฑ์อะไรไม่ได้ ผลสุดท้ายตัวเอง จะเอาตัวรอดก็รอดไม่ออก เพราะไม่เป็นหลัก ผมสอนหมู่เพื่อน สอนให้เป็นหัวหน้า ไม่ใช่ว่าจะสอนให้เป็นผู้ตามผมตลอด อีกไม่ นานผมก็ถึงจุดจบแล้ว แล้วพวกท่านทั้งหลายล่ะ เอาอยู่เพียงขณะ นี้อย่างนี้ตลอดไปอย่างนั้นใช่หรือไม่? พวกท่านทั้งหลายจะภาค ภูมิใจหรือไม่ที่พวกท่านทั้งหลายทำสิ่งที่มันไม่ดี? ต่อไปภายภาค หน้าพวกท่านนึกภูมิใจในการกระทำ ไม่ดีอย่างนั้นใช่หรือไม่? ไม่ น่าจะเป็นอย่างนั้น เมื่อขณะที่ศึกษาอยู่ที่นี่ก็ต้องทำตนให้ดีที่สุด ต่อไปภายภาคหน้าเมื่อออกไปจากครูบาอาจารย์แล้วเมื่อมานึก ย้อนถึงในสมัยอยู่กับครูบาอาจารย์แล้วก็จะภูมิใจในการกระทำ ของตัวเอง อย่างตอนที่ผมอยู่กับหลวงปู่หล้า ผมก็ภูมิใจ อยู่กับ หลวงปู่จาม ผมก็ภูมิใจ อยู่กับหลวงปู่แหวน ถึงท่านไม่พูด ผมก็ ภูมิใจ อยู่กับหลวงตามหาบัวก็เหมือนกัน ผมก็ภูมิใจ...กลับเข้าไป หาครูบาอาจารย์ได้ทั้งหมด ไม่ได้ตัดหนามทับทางตนเอง อยู่ด้วย ความเคารพรัก มีอะไร ท่านใช้อะไรเราก็ทำอย่างเต็มที่ เมื่อขณะ ที่เราอยู่เพื่อการศึกษากับท่าน แต่พอเราออกมาแล้ว มันก็เป็น เรื่องของเรา ว่าเราจะเอามาใช้มากน้อยอย่างไรแค่ไหน อันนั้นเป็น เรื่องของเรา เพราะฉะนั้นอยากจะให้พวกท่านทั้งหลายให้เป็นผู้ มุ่งมั่นในอรรถในธรรม 159 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
เวทนาสัญญา เวทนา เวลาสิ่งไหนที่มากระทบใจ สิ่งที่ไม่พึงปรารถนามาก กระทบใจ เราก็ทุกข์ใจ สิ่งไหนที่พลัดพราก อย่างเวลาพ่อแม่ล้ม หายตายจากเรา เราก็เสียใจ อันนี้เรียกว่า ทุกขเวทนา แต่สิ่งไหน ที่พึงปรารถนา อย่างเวลาเราจะได้เลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน เลื่อน ตำแหน่ง เราจะได้มีเงินทรัพย์สมบัติ พี่น้องเข้ามาพกพาสามัคคี กัน เราก็ดีใจ อันนี้เรียกว่า สุขเวทนา มันเกิดอยู่ในใจอีกเหมือนกัน ทั้ง ๒ เงื่อนนี้ ไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น มันไม่มีสิ่งไหนที่มันเที่ยงแท้ แน่นอนมันไม่มีหรอก มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับทั้งดีทั้งเลวนั่นแหละ ถ้ามันเกิดขึ้นทางชั่ว เราก็ตั้งใจไว้เลยว่า มันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เวลาสิ่งไหนที่พึงปรารถนา เราก็ตั้งใจไว้อีกว่ามันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับ ไปอีกเหมือนกัน อันนี้ก็คือเวทนา ให้พิจารณาอย่างนี้ 160
การที่พวกเรามีโอกาศได้ทำ บุญทำ ทานนั้นดีที่สุด แต่ ถ้าหากพวกเราไม่ได้ทำ พร้อมกัน ก็ให้อนุโมทนา สาธุ ยกของ ไทยทาน พวกที่ไปทำ บุญก็ให้เป็นนํ้าหนึ่งนํ้าใจเดียวกัน อย่างคน หนึ่งหา อีกคนหนึ่งไปทำ ได้บุญเกือบเท่าเทียมกัน คนหนึ่งเอาไป ถวาย คนหนึ่งเป็นคนหาให้ด้วยจิตใจเลื่อมใสศรัทธา พร้อมเพรียง กัน อันนั้นเป็นบุญกุศลด้วยกันทั้งนั้น พวกเราควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ควรขัดขืนในการสร้างบุญสร้างกุศล แต่ถ้าหากว่าพวกเราไม่ได้ ทำอย่างนั้น ไม่ได้นะ อย่างหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ครั้งหนึ่งท่านนั่งภาวนาตอน จวนใกล้สว่าง คล้ายๆว่าจิตสงบลงไป พอจิตสงบลงไป นิมิตเห็น วิญญาณเข้ามา ทักหลวงปู่ชอบว่า “ทำ ไมไปคนเดียว? ทำ ไมปล่อย ให้ฉันตกทุกข์ได้ยากอยู่ฝ่ายเดียว? ทำ ไมท่านจึงไม่ช่วยเหลือฉัน เลย? ทำ ไมท่านจึงปล่อยให้ฉันอยู่อย่างนี้? ท่านมีแต่ไปดีเสียแล้ว ทั้งที่เคยร่วมทุกข์ร่วมยากมาด้วยกัน” 162
หลวงปู่ถามกลับไปว่า “เป็นอะไร?” “ฉันก็เป็นไก่น่ะสิ” “ทำ ไม? อยู่ที่ไหน?” “ตอนเช้าตอนท่านไปบิณฑบาต ฉันจะแสดงให้ดูก็แล้วกัน” แม่ไก่ตัวนั้นพูดพลางโมโห ท่านก็เลยสงสัยว่าจะเป็นคู่กรรม คู่ บารมี ชวนไปทำ บุญ ก็ยากลูกยากเต้า จะไปก็ไปซะ ทีนี้หลวงปู่ ชอบท่านไปทำ บุญสร้างกุศล เป็นพระอริยบุคคล เพราะท่าน บำ เพ็ญ แต่ตัวเองมัวแต่ยุ่งแต่ยาก ทีนี้พอตายไปก็เลยไปเกิดเป็น แม่ไก่ พอตอนเช้ามาหลวงปู่ชอบเดินไปบิณฑบาตรในหมู่บ้าน ก็ เห็นแม่ไก่ตัวหนึ่งอยู่กับลูกของมัน พอมันเห็นหลวงปู่ชอบเดินมา แม่ไก่ตัวนั้นเดินมาเตะขาหลวงปู่ชอบ “ใช่จริงๆ ด้วยนะนี่” หลวง ปู่ก็ยืนให้มันเตะอยู่อย่างงั้น ผลที่สุดพอเตะเสร็จแล้วแม่ไก่มันก็ยัง ด่าอีก กระต๊ากๆๆ ด่าพลางเตะขาหลวงปู่ชอบไม่หยุด “เอาดีแต่ ตัวเองคนเดียว ไม่เหลียวแลคนอื่นเลย” หลวงปู่ชอบก็ว่า “โถ... แม่นอีหลี เราได้นิมิตเมื่อคืนนี้ แต่ตอนนี้เราจะไปช่วยอะไรได้ เวลาชวนไปทำ บุญไปสร้างกุศล ไม่ยอมไป มีแต่ยุ่งแต่ยาก แถมยัง ไม่อนุโมทนา กลับมีแต่โมโห โทโสคนที่ไปทำ บุญอีกต่างหาก แล้ว มันจะไปด้วยกันได้อย่างไร? ถึงอย่างนี้มันก็ช่วยไม่ได้แล้ว กรรม ดีกรรมชั่วเป็นของใครของเรา ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ใครจะไป ช่วยได้ ถ้าไม่อนุโมทนาด้วยกัน ไม่เห็นด้วยที่ชักชวนไปทำ บุญทำ ทาน” หลวงปู่ชอบก็ปลงตก นี่แหละการสร้างบุญสร้างกุศล มัน ต้องอนุโมทนา สาธุพร้อมกัน มันถึงจะได้บุญได้กุศล 163 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ทำ�ดีเมื่อใดก็ฤกษ์ดีเมื่อนั้น อันนี้คือหลักพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าท่าน ได้บอกกล่าวเอาไว้ เรื่องฤกษ์งามยามดี ถ้าศึกษาในพระ ไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นด้วยในเรื่องเหล่านั้น พระพุทธองค์ท่านกล่าวไว้ว่า ทำ�ดีครู่ใด เวลาใด ขณะ ใด เดือนใด ปีใด ครู่นั้นแล ขณะนั้นแล เดือนปีนั้นแล - เป็นเดือนดี เวลาดี ครู่ดี ขณะดี แต่ถ้าหาว่าเราทำ�ชั่วก็ ตรงกันข้ามเป็นครู่ชั่ว เวลาชั่ว ขณะชั่ว เดือนชั่ว ปีชั่ว ไปทั้งหมด สรุปแล้วพระพุทธเจ้าท่านเน้นในเรื่องการกระ ทำ ถ้าทำดีเวลาใด ก็ดีเวลานั้น ถ้าทำชั่วเวลาใด ก็ชั่วเวลา นั้น ถ้าเราหาเวลํ่าเวลาดูฤกษ์งามยามดีแล้วไปทำความชั่ว เข้าล่ะ ไปฆ่าไปตีไปจี้ไปปล้นเขาล่ะ จะไม่ติดคุกใช่หรือไม่? ก็คงจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะตัวเราทำชั่ว อย่างไรมันก็ต้อง ได้รับกรรมชั่ว ถึงจะหาเวลํ่าเวลา ดูฤกษ์งามยามดีขนาด ไหนก็เถอะ เพราะไปทำกรรมชั่ว มันก็ต้องชั่ว แล้วถ้าเกิด ไปทำกรรมดีเข้าล่ะ ไปหาเอาวันเอาฤกษ์ที่ชั่วที่สุด แต่เราไป ทำคุณงามความดีล่ะ มันจะเป็นชั่วไปได้หรือไม่? มันก็ต้อง เป็นคุณงามความดี สิ่งเหล่านี้ในหลักพระพุทธศาสนาท่าน เน้นเรื่องการกระทำ ทำดีได้ดีทำ ชั่วได้ชั่ว 165 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
อย่าให้ขาดตกบกพร่องใน ข้อวัตร-ปฏิบัติ สำ หรับพระผู้เข้ามาศึกษา ณ สถานที่นี่ไม่ใช่ว่าพอ อยู่ไปหน่อยก็ออกไปแสดงตน โดยที่ไม่ได้ศึกษาแนวแถว ของครูบาอาจารย์ พอหลังจากนั้นไปก็เลื่อนๆลอยๆเลอะๆ เลือนๆ ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นขอให้พวก เราทุกๆท่านที่บวชเข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนา ให้พวกเรา ตั้งใจแล้วก็ปฏิบัติศึกษากฎระเบียบ หลักพระธรรมวินัย ตาม ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้บอกได้กล่าวเอาไว้ จากนั้นในภาค ปฏิบัติ กิจวัตรประจำวัน ก็อย่าให้ขาดตกบกพร่อง อย่าง พวกเราอยู่ด้วยกันพระเกือบ ๔๐ รูป เราทำกิจวัตรประจำ วัน เราไม่ใช่จะมาปัดกวาดแต่บริเวณศาลา เราต้องปฏิบัติ ปัดกวาดมาจากกุฏิของเรา หรือที่ไหนที่มันรกเราก็ต้องช่วย กันดู เท่าที่ผมเห็นเวลาผมเดินลาดตะเวนรอบบริเวณวัด เป็นบางครั้งถนนบางเส้นรู้สึกว่าไม่ค่อยได้ปัดกวาดนานแล้ว แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ว่า เพราะบางทีฝนตกพื้นยังแฉะอยู่ยังปัด กวาดลำ บาก แต่ถึงอย่างไร พวกท่านควรจะคิด พวกเรา อยู่ด้วยกันมากมายหลายองค์ อันนี้แหละคือข้อวัตรปฎิบัติ ทำความสะอาด ถ้าสะอาดกายอยู่ที่ไหนก็รื่น มิใช่ว่าเดินไปก็ ใบไม้กิ่งไม้เต็มถนนไปหมด ก็เดินไปอย่างนั้นแหละ 166
เพราะเหตุใด? เพราะใจมันเศร้าหมอง ใจของเราไม่สะอาด ใจของเราไม่โปร่งใส แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ภาวนา พยายาม ชำ ระใจของตนเอง มองแล้วมันจะขวางทันที มันจะขวาง ธรรม ธรรมคือต้องการความสะอาด ต้องการความเรียบร้อย สะอาดกาย สะอาดวาจา สะอาดพื้นที่ที่เราอาศัย ที่ผม เห็นแล้วพระที่นี่ไม่มีกิจวัตรข้อวัตรมากมายอะไร แล้วพระ ทำ ไมยังขี้เกียจปัดกวาด? เหล่านี้ อันนี้ผมก็ได้คิดอีกเหมือน กัน เพราะฉะนั้นขอให้หมู่เพื่อนทุกองค์ ให้ตระหนักไว้นะ เรื่องปัดกวาดทำความสะอาดเป็นหน้าที่ของพวกเราท่านทั้ง หลายที่อยู่ในวัดวาศาสนา ต้องสะอาด ห้องนํ้าห้องท่าก็อย่า ให้ขาดตกบกพร่อง ผู้น้อยผู้ใหญ่ต้องช่วยๆกันดู อันนี้ก็คือ กิจวัตรประจำวัน เรามาศาลาเวลาไหนก็บอกกล่าวกัน ถ้า องค์ไหนระดับไหนถ้ามาช้า พวกท่านก็ต้องพร้อมที่จะบอก กล่าวตักเตือนกัน ถ้าพวกเราไม่ว่ากล่าวตักเตือนกัน ใครจะ เป็นคนว่ากล่าวตักเตือน ถ้าว่ากล่าวตักเตือนแล้วไม่ยอมรับ ฟัง อันนั้นต้องมาบอกผม ผมในฐานะหัวหน้าก็จะต้องได้พูด ได ้จัดระเบียบให้อยู่ในหลักพระธรรมวินัย 167 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
มิจฉาทิฐิน่ากลัวที่สุด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามิจฉาทิฐินี่แหละน่ากลัวที่สุด มิจฉาทิฐิคือความเห็นผิด คนที่มีความเห็นผิด ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่ว ไม่ได้ชั่ว บาปบุญคุณโทษไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ตายแล้วสูญ ตาย แล้วไม่มีกลับมาเกิดอีก ทำดีก็ไม่ได้ดี ทำชั่วก็ไม่ได้ชั่ว อันนี้แปลว่า มิจฉาทิฐิอย่างสุดๆ ทีนี้เขาอยากจะคิด อยากจะทำ อยากจะพูด อะไร เขาก็พูดตามที่เขาต้องการ ในเมื่อคนไม่เห็น ไม่มีสักขีพยาน เขาก็พร้อมทำความชั่วได้ทุกอย่าง พร้อมที่จะหลบหลีกกฎหมาย ได้ เพราะเหตุใด? เพราะเขาเชื่อว่า บาปบุญคุณโทษไม่มี ทีนี้อยาก ทำอะไรก็ทำ ในเมื่อคนๆนั้น ถ้าในความคิดของเขามิจฉาทิฐินอน เนื่องในใจอยู่แล้ว เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าบาปบุญคุณโทษมี กิเลส ในใจของเขา คือกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ในเมื่อมี โอกาส มีจังหวะที่จะเอารัดเอาเปรียบใคร เขาก็พร้อมที่จะทำ ได้ ทุกอย่าง เพราะเขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าบาปบุญคุณโทษมี เพราะ ฉะนั้นเขาจึงพร้อมที่จะทำความชั่วได้ทุกอย่าง เมื่อมีโอกาสพอที่ ตนเองจะทำ ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านว่าน่ากลัวที่สุด ซึ่งก็คือมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด ผลที่สุดท่านว่า มนุษย์เหล่านี้ เมื่อตายไปแล้ว จะไปสู่โลกันตนรก เป็นนรกที่มืดมิดปิดตาย ถ้าจะ เปรียบเทียบเหมือนกับตกไปอยู่ในนรกกระป๋องนั่นแหละ บัดกรี อย่างดี เพราะเหตุว่ากรรมชั่ว พาดำ เนิน พาเป็น พาอยู่ พาเป็น พาไป อันนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนั้น 168
พุทโธหาย บางคนเวลานั่งภาวนา กำ หนดลมหายใจเข้าพุท หาย ใจออกโธ พุทโธๆๆๆ ลมมันละเอียดเข้าๆ ผลที่สุดคือ ลม หมด พอลมหมด ร่างกายก็หมดไปด้วย ทีนี้เลยไม่รู้จะกำ หนด อะไรต่อละทีนี้ ก็เลยกลับไปกำ หนดลมหายใจเข้า-พุท ออก-โธ พุทโธๆๆ...อย่างเก่าขึ้นมาอีกรอบว่างั้นเถอะ เพราะกลัวว่า ลมมันหมดแล้ว เลยกลัวว่าตัวเองจะตายว่างั้น กลัวว่าทำ ไม ลมมันหมดทั้งที่กำ หนดอยู่ พอกำ หนดพุทโธขึ้นมาใหม่อีก ทีนี้จากที่ลมมันละเอียด มันก็หยาบขึ้นมา พอมันหยาบขึ้น มาอีกทีคราวนี้ พอคราวหน้าเจอแบบนี้อีกก็เอาอีก ทีนี้มันก็ กลับมาหยาบอย่างเก่าอีกนั่นแหละ มันไม่ไปไหนอีกทีนี้ พอ ไปถึงจุดนั้นมันก็เป็นอย่างเก่าอีก อันนี้ก็ขอเตือนผู้ปฎิบัติไว้ นะ ทุกท่านเมื่อเราภาวนาถึงจุดนี้ พอกำ หนดบริกรรมพุทโธ แล้วลมหมด เราไม่ต้องไปตกใจ เราไม่ต้องวิตกกังวลอะไรทั้ง นั้น ให้เราเอาสติกำ หนดดูที่ตัวผู้รู้อันนั้น เอาสติเข้ามาอยู่จุด นั้น ใครรู้ว่าหมด ลมมันหมดได้อย่างไร? ใครมันเป็นคนรู้ว่า ลมมันหมด? ให้เอาสติจับอยู่ที่ตัวผู้รู้อย่างเดียว ไม่ต้องวิตก กังวลอะไรทั้งนั้น ให้เอาสติจับอยู่ตรงนั้น ถ้ามีความรู้อยู่นี่ มันไม่ตายไม่หายไปไหนหรอก เมื่อสติจับอยู่ตรงนั้น จิตจะ เข้าสู่ความสงบลึกเข้าไปกว่านั้น 169 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
อย่าลืมว่าเราเป็นคนขับรถนะ มนุษย์ทุกหมู่เหล่า ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนรถถอย ออกมาจากอู่ก็คือท้องแม่ของเรา ตอนที่จะออกมาจากท้องแม่ พระพุทธเจ้าท่านว่า วิญญาณคือ ใจ เข้าไปขับรถออกมาจาก อู่ พอออกมาแล้ว พวกเราก็จะต้องดูแล อันดับแรก เพราะยัง เป็นเด็กยังช่วยตัวเองไม่ได้ พ่อแม่เจ้าของอู่ ก็ต้องช่วยดูแล คอย ประคบประหงม เลี้ยงด้วยข้าว นํ้า โภชนา อาหารให้เป็นผู้ใหญ่ ขึ้นมาก่อน พอต่อมาคนขับรถพอช่วยตัวเองได้แล้ว รถคันนั้นก็ รู้จักพกคนขับรถ มีสติสัมปชัญญะที่ดีแล้ว เวลาหิวกระหาย นํ้ามัน หมด ก็เติมนํ้ามัน เวลามันมีปัญหา เราก็ต้องคอยดูแล บำ รุงรักษา ร่างกายของเรา แต่ถึงจะดูแลบำ รุงให้ดี เลี้ยงให้ดีขนาดไหนก็เถอะ รถคันนั้นต้องใช้ทุกวี่ ทุกวัน อีกซักวันรถคันนั้นมันก็ต้องทรุด โทรม ถึงจุดจบของมัน นี่แหละร่างกายของเราก็มีลักษณะอย่าง นั้น รถนั้นอายุมันเพียง ๑๐ กว่าปี แต่คนนั้นอยู่ถึง ๑๐๐ ปี เรียก ว่า รถกระดูก รถหนัง คันนี้ของเราใช้งานได้นานกว่ารถเหล็กจริงๆ เสียอีก อย่างไรก็ต้องคอยดูแลอย่างดี แต่ถึงจะดูแลให้ดีขนาดไหนก็ เถอะ เพราะที่สุดเมื่อรถคันนั้นมันแก่แล้ว มันตายแล้ว ซักวันก็ต้อง พบจุดจบ ถึงคนขับรถจะมีฝีมือดีขนาดไหนก็เถอะ ซักวันก็ต้องหนี ออกจากรถคันนั้น ในหลักของพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าท่านว่า 170
ถ้าคนขับเขาไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วว่ารถมันจะถึงจุดจบ ไม่ได้แสวงหาทรัพย์สินเงินทองไว้ก่อน แปลว่าเขามัวแต่ประมาท นอนใจ พอวันนั้นมาถึงวันที่รถของเจ้าของรถที่เป็นคนขับรถตาย เขาก็ออกต้องออกจากรถคันนั้นโดยที่ไม่มีทุนทรัพย์ ทีนี้ผลที่สุด แล้วก็ตกตํ่าลงไปอาจจะเกิดเป็น ช้าง ม้า วัว ควายได้ทั้งนั้น แต่ ถ้าหากว่าถ้าเขาได้เตรียมไว้ล่วงหน้า ด้วยความไม่ประมาทของ เขา เมื่อออกจากร่างนี้ไปแล้ว เขาก็ไปเลือกเกิดได้ เพราะเขาเป็น ผู้มีบุญ คนที่มีบุญก็เหมือนกับคนที่มีเงิน คนมีเงินพร้อมที่จะเลือก ไปเกิดในภพภูมิต่างๆได้ เพราะเขามีบุญ เพราะฉะนั้นให้พวกเรา ท่านทั้งหลายให้สั่งสมคุณงามความดีเอาไว้ให้พร้อม อย่าได้ตั้งอยู่ ในความประมาท 171 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
สานต่อแนวปฏิปทาของครูบาอาจารย์ เมื่อท่านเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา พวกท่านจะต้องได้สืบเนื่องแนว ปฏิปทาของครูบาอาจารย์ต่อไป เพื่อจะดำ รงทรงศาสนาให้อยู่ นานเท่านาน แต่ถ้าพวกท่านทั้งหลายต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนก็ ต่างไม่กล้าพูดกัน เพราะตัวเองนั้นได้ศึกษามาแบบเลอะๆเทอะๆ เลอะๆเลือนๆ ไม่จริงไม่จัง สมัยตัวเองอยู่ ไม่เคยปัดกวาด ใบไม้ เกือบจะท่วมหัวอยู่แล้ว ปล่อยอะไรให้รกรุงรังไปหมด แล้วจะไป กล้าบอกใคร เพราะตัวเองก็ทำ มาแบบไม่มีกิจวัตร ข้อวัตร สิ่ง เหล่านี้ทำตนเอง เสียหายแค่ตนเองใช่หรือไม่? ไม่ใช่นะ มันเสีย หาย ครูบาอาจารย์ เสียหายวงการพระพุทธศาสนา เสียหายพระพุทธศาสนา 172
กำลังใจเป็นสิ่งที่จำ เป็นและสำคัญมาก สมัยครั้ง พระพุทธเจ้า พระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี ทรงส่ง ลูกชายไปเรียนหนังสือที่เมืองตักศิลา เมื่ออายุ ๑๒ จนมีอายุ ได้ ๑๗-๑๘ เป็นหนุ่มขึ้นมา ก็จบวิชาการปกครอง วิชาการ ใช้อาวุธ เมื่อเรียนจบแล้วอาจารย์ก็มอบอาวุธทั้ง ๕ ให้มี หอก ค้อน ขวาน ธนู ดาบ ชื่อของท่านก็ชื่อว่าปัญจาวุธกุมาร อาจารย์ก็บอกวิชาที่เราสอนจบแล้ว กลับไปหาพระบิดาได้ แล้ว ระหว่างทางที่ชายหนุ่มคนนั้นกำลังเดินทางกลับ ถ้า เดินทางโค้งมันก็ไกลเกินไป ถ้าเดินทางตรงมียักษ์คอยจับ คนกินอยู่ เรามีอาวุธทั้ง ๕ อยู่แล้ว เราไปทางตรงนี้แหละ ทีนี้พอเข้ามาในป่าดงใหญ่ เห็นยักษ์ตนหนึ่ง ยักษ์ขน เหนียว ขนมันยาวเป็นขนเหนียว หัวมันบักใหญ่ ตาโปน มี เขี้ยวงอกอีกต่างหาก ท้องมันด่าง ตัวมันสูง มือมันเขียว มา ถึงจุดนี้แล้ว ข้าถอยไม่ได้ ไม่มึงกับกู เดินเข้าไปพอเห็น บอก กับยักษ์เลย “หนีนะ” ยักษ์ก็เฉย มันไม่กลัวคน ปัญจาวุธ กุมารก็บอกว่า “หนีหรือไม่หนี” ยักษ์บอกว่า “ไม่หนี” จาก นั้นก็เอาธนูมาปล่อยลูกศรอาบยาพิษใส่ ไปเข้าไปก็ติดแต่ขน ยักษ์ ห้อยทุกอัน มันไม่ถึงหนัง “กูยิงมึงไม่เข้า กูก็จะชักดาบ ฟันแทน” ดาบยาว ๓๐ องคุลี สัก ๓ ศอก ว่าแล้วก็ชักดาบ ออกมาแล้วโดดปรี่เข้าไปฟัน ดาบก็ไปติดอยู่ขนยักษ์อีก “มึง เอาอีกเหรอ มึงไม่หนี กูจะเอาหลาวซัดมึง” ไปติดขนอย่างเก่า 174
ทีนี้เลยเอาขวานเข้าไปฟันก็ติดอีก เอาค้อนเข้าไปตะพดก็ ติดอีก ผลที่สุดยังไม่ยอม “มึงไม่หนี อาวุธทั้ง ๕ กำ ปั้นกูมี เท้ากูมี ศอกกูมี เข่ากูมี” ผลที่สุดก็โดดเข้าไปกำ ปั้นชก ชก ซ้ายก็ติด ซกซ้ายติด เตะขวาก็ติด หัวชนก็ติดอีก แล้วยังขู่ อีกว่า “ยักษ์ ถ้ามึงกินกูเข้าไป เพชรอยู่ท้องของกูยังมีอีก ถ้ามึงกินเข้าไปท้องทะลุแน่” เพชรตัวนี้คือปัญญา แต่ยักษ์ ปัญญาอ่อนกว่า ยักษ์ก็ว่า “กูไม่เคยเห็นใครเป็นนักสู้ขนาด นี้ ขืนกลืนเข้าไป ท้องกูต้องทะลุแน่” ยักษ์ก็บอกว่า “ปัญจาวุธกุมาร ข้าไม่เคยเห็นใครเลย ที่จะเก่งกล้าถึงขนาดนี้ สู้ถึงขนาดนี้ ข้าให้อภัยปล่อยเธอไป ซะ” จากนั้นปัญจาวุธกุมารก็เลยสอน “ยักษ์เอ้ย ที่เธอเป็น ยักษ์เพราะทำกรรมในอดีต เธอไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีศีล ๕ ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เธอทำกรรมหนัก อย่างนี้มีแต่ความทุกข์” พระพุทธเจ้าว่าท่านทั้งหลาย ชีวิตต้องสู้ อย่าไป อ่อนแอ ทำอะไรก็ตามอย่าไปคิดว่า ถ้าเราอ่อนแอแล้ว หมดกำลัง คนที่หมดกำลังใจแล้วจะทำสิ่งไหนไม่ได้สัก อย่าง นิทานชาดกเรื่องนี้ ประมวลมาแล้วคือให้พวกเราอย่า อ่อนแอในการประพฤติ ปฏิบัติธรรม ให้พวกเราเข้มแข็ง ให้พวกเรามีความอดทน ใช้สติปัญญา ตามความสามารถ ของเรา จากนั้นก็จะประสบความสำ เร็จ สมความมุ่งมาด ปรารถนาอย่างปัญจาวุธกุมาร 175 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
กายไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา กายมันก็ไปตามสภาพของมันเหมือนกับโลกทั้งโลก อย่างนี้แหละ เราชอบยึดถือว่าร่างกายเรานั้นเป็นของของ เรา เราก็เลยเป็นทุกข์ ไร่นาก็พลอยเป็นของเรา กิจการงาน เป็นของเรา สามี-ภรรยาเป็นของเรา บ้านเรือนเป็นของเรา แต่ตามที่จริงสิ่งเหล่านั้นไม่เคยบอกเลยว่า ร่างกายนี้นะ เป็นของของท่าน ตัวร่างกายมันไม่เคยพูด มีแต่พวกเราเอง ที่ไปยึด ไปเกาะ ไปวิ่งไล่ตาม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งที่ ไม่ใช่ตัวตนเหล่านั้น วิ่งไล่ตะครุบไปตะครุบมา ผลที่สุดก็ผิด หวังล่ะทีนี้ เราพอไปตะครุบอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา มัน ก็เลยเป็นทุกข์ละทีนี้ ถ้าเราไม่ย้อนเข้ามาหาที่ใจ มันก็จะ เป็นทุกข์ตลอดไป ให้ย้อนเข้ามาหาที่ใจ พิจารณาว่าทำ ไม เราจึงไปยึดมั่นถือมั่น ใจของเราแท้ๆมันก็ยังเป็นอนิจจัง ติด อย่างหนึ่ง ปล่อยอย่างหนึ่ง 177 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติปฎิบัติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่า ถ้าหากภิกษุใดก็ตาม อยู่ ในธรรมและวินัย อยู่ในศีลและวินัย ไม่ต้องกลัวอด ไม่ต้องกลัว อยาก ไม่ต้องกลัวลำ�บาก ถึงมนุษย์ไม่เห็นเทวดาก็จะเห็น จะ เป็นอยู่ด้วยความผาสุก เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ให้อดอยาก ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว เพราะฉะนั้นธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้านี้ พวกเราอย่าคิดว่ามันจะอดจะอยาก อย่างที่พวก ท่านที่มาอยู่ที่นี่ เห็นหรือไม่ว่าพวกท่านได้ไปทำ ไร่ทำ นาซะที่ไหน? ขอเพียงแต่พวกเราประพฤติอยู่ในศีลาจารวัตร พุทธบริษัทเขา ก็ตามมาทำ บุญเอง ต่อให้ไกลแสนไกลแค่ไหนเขาก็มา มาเพื่อ ทำ บุญ เพราะเขาอยากจะได้บุญ นี่แหละพวกเราท่านทั้งหลาย จะไปอยู่ ณ สถานที่ใดก็ตาม อยู่ตามลำ พังก็ตาม อยู่กับหมู่เพื่อน ก็ตาม อย่าไปทำ ในสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง ถ้าผิดธรรมผิดวินัยแล้ว พระ ธรรมจะไม่ดูแลรักษา ผู้ที่คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เมื่อเรารู้แล้วว่า ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าคุ้มครองตัวของเรา ฉะนั้นเมื่อรู้ว่า เราร่มเย็นเป็นสุขด้วยการประพฤติอยู่ในศีล ก็ย้อนกลับมาถามตัว เราเองว่า การบวชของเรานี้ เราบวชมาเพื่ออะไร? บวชมาคราวนี้ ชาตินี้ เราบวชมาเพื่ออะไร? สำ หรับการบวชของผม ผมมอบกาย ถวายชีวิต แก่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งไหนก็ตาม 178
ที่เป็นสิ่งที่ดี คิดดี พูดดี ทำดี ตามหลักพระธรรมวินัย ผมก็จะทำ อย่างนั้น สิ่งไหนก็ตามทีเป็นสิ่งที่ไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำ ไม่ดี ผม ก็จะละเว้นในเรื่องเหล่านั้น นี่แหละพวกเราท่านทั้งหลายน่าจะทำ อย่างนั้น เราไม่ได้มาเพื่อมุ่งหวัง เรื่องลาภ เรื่องยศ เรื่องสรรเสริญ เรื่องสุขภายนอก เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นปัจจัยภายนอกเท่านั้น เอง ซักวันหนึ่งสิ่งภายนอกเหล่านั้นมันก็จะหมดไป อะไรคือความ สุขที่แท้จริงของมนุษย์? อะไรคือความสุขที่แท้จริงของนักบวช อย่างพวกเรา? ให้พวกท่านทั้งหลายวิเคราะห์ดู ตรวจตราดู 179 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ขณิก-อุปจาร-อัปปนาสมาธิ เมื่อเราภาวนาแล้วเราจะเป็นอย่างไง ผลแห่งการ ปฏิบัติ เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะ สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว ในเมื่อเรามีสติสัมปชัญญะรู้ตัว อยู่ตลอด ใจของเรามันจะไม่ออกไปข้างนอก ใจมันจะอยู่กับ กรรมฐานที่เราให้อยู่ตรงไหน ที่ลมหายใจเข้า-หายใจออก ก็ จะอยู่ที่นั่น จากนั้นจิตมันจะรวมเข้าสู่ความสงบ อันดับแรก จิตบางท่านอาจจะมีแปลกหลายๆอย่างวิธีที่จิตสงบ บางที ตกเหวก็มี วูบวาบก็มี แต่ถึงอย่างไร บางคนไม่เคยจิตสงบ พอจิตรวมเพียงครั้งเดียว มันรู้สึกมันเย็นผิดปกติ จะว่านอน หลับก็ไม่ใช่ แต่ว่าเรามีสติอยู่ อันนี้แปลว่าจิตเย็นสบายในชั่ว ขณะหนึ่ง อันนี้เรียกว่า ขณิกสมาธิ บางคนพอจิตสงบอย่าง นั้น ก็พยายามอยากจะให้มันกลับไปสงบแบบเดิมอีก อันนี้ ไม่ถูกต้อง ไม่ควรเอาเรื่องเก่ามาคิด เพราะมันเป็นอดีต มัน ผ่านมาแล้ว ต่อไปมันจะเป็นจะสงบหรือไม่สงบเราอย่าไปคิด มัน ไม่ต้องไปคาดหวังคาดหมายหรือไปคาดเดา จากนั้นให้เรา บริกรรมไปเรื่อยๆ ถ้ามีความพยายาม ความตั้งใจอยู่ ใจของ เราจะเห็น สติของเราจะจับตัวผู้รู้ คือความรู้สึกของเราอยู่ จะว่าจิตมันรวมก็ใช่ เพราะจิตมันอยู่กับตัว ไม่ปรุงไม่ฟุ้ง 180
มีความรู้สึกในตัวอยู่ตลอด ขณะนี้เราคิดอะไร เราทำ อะไร เราพูดอะไร ใจของเราอยู่กับตัวเองตลอด อันนี้เรียกว่า จิต ที่เป็น อุปจารสมาธิ จิตประเภทนี้พร้อมที่จะพิจารณาปัญญา วิปัสสนาได้ แต่ถ้าหากเรามีความพยายามกำ หนดอยู่ที่จุด เวลาเราได้ยิน เสียง ก็สักแต่ได้ยินเสียง แต่ใจเราไม่ส่งออก มันเพียงแต่ รู้สักแต่ว่ารู้ ให้มีสติอยู่กับตัวเองตลอด อันนี้เรียกว่า จิตที่ เป็น อุปจารสมาธิ ถ้าจิตดิ่งลงไปลึกกว่านั้นเขาเรียกว่าจิต ที่เป็นขั้นของ อัปปนาสมาธิ ที่ระดับนี้จิตเป็นอันใดสติ เป็นอันนั้นสติเป็นอันใด จิตเป็นอันนั้นจะไม่รับรู้เรื่องของ กายทั้งหมด มีแต่สติกับจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันนี้รู้ ชัดด้วยตนเองว่าจิตกับกายเป็นคนละอันกัน จิตที่สงบรวม เป็น อัปปนาสมาธิ จะทรงอยู่ได้เป็นชั่วโมงๆหรือนาทีก็สุด แท้แต่กำลังสมาธิของแต่ละท่าน หลังจากนั้นจิตของเรา ก็จะถอนขึ้นมา พอจิตถอนขึ้นมาเป็น อุปจารสมาธิ เราจะ ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าเลยทีนี้ ที่ว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ โลกนี้มี โลกหน้ามี อนาคตมี พรุ่งนี้มี เมื่อ วานนี้มี อดีตชาติมีบุญมี บาปมี นรกมี สวรรค์มี ไม่มีที่ใดเต็ม ทั้งนั้นจิตที่เป็นอัปปนาสมาธิ จุดนี้เองเราจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ว่าตายแล้วไม่สูญได้อย่างชัดเจน 181 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
มานะทิฐิครูบาอาจารย์ เมื่อหลวงตาล่วงลับไปแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์ก็มี มากที่นับถือครูบาอาจารย์บางท่านบางคนโดยถือแบบไม่ ยอมลืมหูลืมตา พูดง่ายๆคือถือครูบาอาจารย์องค์ไหน ก็ไป เหยียบครูบาอาจารย์องค์อื่น โดยมากมันมีให้เห็นอยู่ อันนี้ มันคือ ทิฐิมานะ ในจิตใจ ไม่ยอมฟังใคร คนอื่นโง่หมด ที่ ฉลาดมีแต่ตนเองกับครูบาอาจารย์ของตัวเองเท่านั้น ลูก ศิษย์ของเราอย่าได้มีแบบนั้นนะ อย่าเอาเราไปข่มคนอื่น ไป ข่มครูบาอาจารย์ของคนอื่น ไม่ได้นะ แบบนี้เป็นบาปกรรม หลวงพ่อไม่ส่งเสริมให้ลูกศิษย์เป็นแบบนั้น เมื่อเราเคารพ ครูบาอาจารย์ของเรา เราก็ต้องเคารพครูบาอาจารย์องค์ อื่นที่เป็นพี่ๆน้องๆด้วย หรือถ้าท่านขาดวินัย ขาดศีลหรือ บกพร่องที่ตรงไหนก็ให้บอกมา ไม่ใช่ว่าตัวเองก็พูดว่าท่าน ตำ หนิท่านไปเรื่อยเปื่อย ข่มท่านไปเรื่อย ผลที่สุดตัวเองเก่ง ขนาดไหน มีความรู้ขนาดไหน มีศีลขนาดไหน มีคุณธรรมใน จิตใจขนาดไหน อันนั้นมันเป็นกิเลส ทิฐิมานะอยู่ในจิตใจ เหยียบยํ่าทำลายครูบาอาจารย์ อย่างนั้นมันใช้ไม่ได้นะ อย่า ให้มี อย่าให้เกิดขึ้นในวัดนี้นะ 182
ศีลมีคุณค่า ศีลธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศีลของใครผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ใช่ของพระ ไม่ใช่ของคนอยู่แต่ในวัดเท่านั้น แต่เป็นศีลของ พวกเราทุกคนที่เราจะต้องฟัง จะต้องศึกษา และวิเคราะห์ดู ถ้าเราต้องการความสงบร่มเย็นเป็นสุข พวกเราทุกคนก็ควร จะสมาทานศีล ถึงแม้จะยังรักษาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้เคารพไว้ว่าศีลที่พระพุทธบัญญัติไว้นั้นน่า เทิดทูนบูชา ค่าเคารพ น่ากราบไหว้ เพราะเป็นธรรมจริงมา ตั้งแต่ยุคดึกดำ บรรพ์ แม้ว่าขณะนี้ข้าพเจ้าจะยังไม่สามารถที่ จะรักษาได้ เพราะข้าพเจ้านั้นยังไม่พร้อม แต่ข้าพเจ้าจะขอ รักษาข้อใด ข้อหนึ่งใน ๕ ข้อนั้นก่อน แบบนี้ก็ยังดีนะ เพราะ อย่างน้อยเราก็ยังเห็นคุณค่าของศีล แต่ทุกคนเห็นศีลไม่ใช่ ของเราหรอก จนกว่าเขามาปล้น มาฆ่า มาคด มาโกง เรานั่น แหละ จึงค่อยมาระลึกถึงคุณค่าของศีล อยู่ดีๆไม่ระลึกถึงศีล ของตัวเองหรอก เพราะฉะนั้นให้ทุกคนระลึกถึงคุณค่าของ ศีลไว้แต่เนิ่นๆ และก็พยายามแนะนำสั่งสอนลูกหลาน วงศา คณาญาติของพวกเรา ถ้าลูกหลานไปทำสิ่งไม่ดี พ่อแม่ก็อย่า ไปส่งเสริม ให้พยายามแนะนำสั่งสอนเพราะเขาเกิดใหม่ ใหญ่ทีหลัง เขายังมีอารมณ์โมโหโทโสอยู่ในจิตในใจ 183 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ดูจิตเลย มันยาก จิตคือความนึกคิด เราปรุงคิดเรื่องอะไร ในบางท่าน บางคนก็บอกให้ตามดูจิต ให้กำ หนดจิตอย่าให้คิดไปข้าง นอก แต่ตามที่จริงผู้ฝึกหัดใหม่จะให้ไปตามดูจิตเลยนั้น มันไม่ทันหรอก เพราะว่าจิตเป็นของละเอียด ขนาดดูลม หายใจเข้าหายใจออกยังจับไม่ทันแล้วจะไปกำ หนดจิต ดู จิตเลยนั้นมันยาก เพราะฉะนั้นท่านจึงให้กำ หนดลมหายใจ เข้า-ออก คือให้มันดูของหยาบให้ชำ นาญเสียก่อน แล้ว จึงค่อยมาดูของละเอียดทีหลัง ถ้าหากว่าเราจับลมหายใจ เข้า-ออก มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อยู่ตลอดเวลา ให้ มีสติ ไม่ให้เผลอ แล้วเมื่อจะขยับเข้าไปจับจิตนั้นมันจะทัน แต่ถ้าหากว่าขนาดจับลมหายใจเข้า-ออก ของหยาบๆยัง จับไม่ทัน แล้วเราจะไปจับดูจิตการเคลื่อนไหวของจิต ว่า จิตใจนึกคิดเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องยาก พูดไว้เลยว่าไม่มีทาง จับได้ ขนาดจับลมหายใจเข้า-ออกยังไม่อยู่ แล้วจะไปจับจิต นั้นจะมองไม่เห็นคว้านํ้าเหลวตลอด เพราะฉะนั้นสายหลวง ปู่มั่นท่านจึงสอนให้กำ หนดลมหายใจเข้า-หายใจออก 184
บวชมากอนแล้วนิน กินแล้วนอน ดูใจของตนเองในแต่ละวัน สมาธิเป็นอย่างไร? อย่าง ที่ผมได้กล่าวเบื้องต้น เวลานั่งภาวนา ก็พยายามบังคับ ตัว เองให้อยู่กับคำ บริกรรมพุทโธให้มากที่สุด นี่แหละงานของ พระพุทธศาสนา ที่องค์หลวงตาท่านพูด “เราเคยทำ�งาน มามากต่อมาก งานหนัก งานเบาในโลกเราสู้ทั้งหมด ทั้งทำ�รั้วทำ�สวนทำ�ไร่ทำ�นา แต่สู้งานที่เอาชนะใจ บังคับ ให้สติอยู่กับตัวเอง อันนี้มันเป็นงานหนักที่สุด” เพราะ ฉะนั้น พวกเราอย่าให้คนทั้งหลายเขาได้ดูถูกว่าพระพอ บวชแล้ว อยู่แบบซังกะตาย อยู่แบบเอ้อละเหยลอยลม อยู่ แบบไม่มีจุดหมายปลายทาง กอนแล้วนิน กินแล้วนอน อัน นั้นไม่ใช่ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติตามแนวแถวของ พระพุทธเจ้าแล้ว อย่างที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่พวกท่าน ได้สู้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายต้องลองสู้ซักตั้งดูซิว่า เป็น อย่างไร มันจริงอย่างที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้สู้มาแล้วหรือไม่ ผมนี่เชื่อเหลื่อเกิน เพราะผมได้สู้มาแล้ว นั่งสมาธิ บังคับใจตัว เองเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสที่สุด เพราะมันเหมือนตะครุบ เงาแต่ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อเราสติเข็มแข็งขึ้นมาแล้ว มันก็เอา อยู่ได้ ถ้าเอาอยู่ไม่ได้ แล้วจะฝึกหัดให้เป็นคนดีได้อย่างไร? 185 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ปลายทางเช่นกัน พระพุทธเจ้าท่านว่า ตายเป็นทุกข์ ถ้าเราเกิดมาชาติ หน้า ก่อนที่จะตายก็เป็นทุกข์อีก เกิดมาอีก ตายอีก ก็เป็น ทุกข์อีก เพราะฉะนั้นให้พิจารณาเอาไว้อยู่เสมอว่า ร่างกาย ของเราทุกท่านมีจุดจบ บั้นปลายของชีวิตไม่มีใครรู้ ไปรู้อีก ทีก็ไปอยู่ในหีบในโลงแล้ว ประกาศมาว่า นายคนนั้นเผาอยู่ วัดโน้น วัดนี้ เพียงแค่นั้นก็ได้ไปเผากัน 186
ในอดีตชาติมีนกกระจาบอยู่ฝูงหนึ่งไปหากินอยู่ใน ทุ่งนา เวลาบินลงก็บินลงไปพร้อมกัน เวลาบินขึ้นก็บินขึ้น พร้อมกัน นายพรานเห็นว่านกกระจาบฝูงนี้มันเยอะ เขาเลย ไปเอาตาข่ายมาดักจับนกกระจาบฝูงนี้ พอนกกระจาบฝูงนี้ ลงไปกินก็ชักตาข่าย นกกระจาบฝูงนั้นมีหัวหน้าอยู่ตัวเดียว หัวหน้าเลยสั่งลูกน้องให้บินพร้อมกัน ทีนี้ฝูงนกทั้งฝูงร่วม กัน ก็สามารถยกตาข่ายตาข่ายของนายพรานขึ้นไปอยู่ยอด ไม้ได้ เพราะกำลังของความสามัคคีมันมีพร้อมเพียงพอ นก ฝูงนั้นก็เลยรอดมาได้ แต่พอต่อมานกกระจาบฝูงนั้นมันแตก กัน เพราะแย่งกันเป็นใหญ่ เป็น ๒ หัวหน้า พอต่อมา นกกระจาบฝูงนี้ลงไปกินในทุ่งนาอย่างเก่า จากนั้น 188
นายพรานเอาตาข่ายไปดักอีก พอมันแตกกันเป็น ๒ ฝูง นายพรานชักตาข่ายมันก็คร่อมทั้งฝูงเหมือนกัน นกฝูงใหญ่ ก็บอกว่าพวกเราบิน บินขึ้นไปก็ไม่ได้ เพราะฝูงหนึ่งไม่ช่วย พอฝูงหนึ่งหมดกำลัง อีกฝูงก็ว่าฝูงนั้นไม่ได้เรื่อง พวกเราบิน มันก็ไม่ขึ้นอีก เพราะว่ามันแตกเป็น ๒ ฝูงกำลังมันไม่พอ นก ทั้งหลายมัวแต่กำลังเถียงกันอยู่ ทีนี้นายพรานก็มาถึง เขาก็ รวบตาข่ายเข้า ผลที่สุดพรานก็จับทอดใส่กระทะ เกลี้ยงทั้ง ฝูง นี่แหละความแตกแยกสามัคคีกัน ฉิบหายทั้งกลุ่ม อันนี้ คือพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ เพราะฉะนั้นพวกเราจะทำสิ่งใด ต้องคิดให้รอบคอบ อย่าไปเอาแต่ใจตัวเอง ความฉิบหาย วายป่วงก็จะเกิดขึ้น ในหมู่ในคณะนั้นๆได้ 189 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
อาจารย์องค์นั้น..ไม่ดีอย่างนั้น องค์นี้..ไม่ดีอย่างนี้ สมัยก่อนตอนหลวงพ่อศึกษาอยู่กับหลวงปู่หล้า ท่านเล่าว่า หลวงตามหาบัวท่านฉลาดนะ เวลามีพระที่มาจากต่างถิ่น มานวด ท่านในเวลากลางคืน ท่านก็จะถามซอกแซก “ท่านมาจากไหน? อ้อ มาจากครูบาอาจารย์องค์นั้นใช่หรือไม่? แล้วครูบาอาจารย์ องค์นั้นท่านเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” พระที่มาใหม่ก็เซ่อซ่ามาตำ หนิ ว่ากล่าวครูบาอาจารย์ของตนให้ท่านฟัง ไม่บรรยายคุณงามความ ดีอะไรของท่านเลยให้หลวงตาฟัง แต่กลับไปจับเอาประเด็นที่ไม่ เป็นเรื่องมาบรรยาย มาบอกกล่าวให้หลวงตามหาบัวท่านฟังซะ อย่างนั้น ทีนี้พอมาเล่ากล่าวบอกกล่าวท่าน ท่านจึงเตือนว่า “ท่าน อย่าได้ทำแบบนี้อีกนะ ครูบาอาจารย์ก็คือครูบาอาจารย์ ท่านเอา เรื่องของครูบาอาจารย์มาพูดแบบนี้ ผมก็ไม่ไว้ใจท่านเหมือนกัน ถ้าท่านออกจากนี้ไปท่านก็ต้องเอาเรื่องของผมไปพูดอีกเช่นกัน ผมไม่ใช่พระประธาน ขนาดพระประธานยังมีตำ หนิ แล้วผมจะ ไม่ให้ท่านตำ หนิได้อย่างไร ท่านเอาแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องมาพูดให้ ฟัง ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้อีกนะ ท่านไม่ควรอยู่กับผมอีกต่างหาก” หลวงตามหาบัวนี่ไม่ใช่ธรรมดานะ ญาติโยมก็เหมือนกัน พอมาหา ท่านพวกญาติโยมก็เที่ยวมาเล่าให้หลวงตามหาบัวฟังว่าอาจารย์ องค์นั้นไม่ดีอย่างนั้น องค์นี้ไม่ดีอย่างนี้ หลวงตาท่านเลยดุเอาว่า “เราเป็นใคร เราดีขนาดไหน ทำ ไมจึงเอาเรื่องครูบาอาจารย์มา ชกกันบนเวทีแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงเอาเรื่องของเราไป พูดแบบนี้อีกเหมือนกัน เราไม่ต้องการโยมแบบนี้ ความคิดแบบนี้ อย่าเข้ามาใกล้เรา ถ้ามาใกล้เราแล้วเป็นพิษเป็นภัยกับเราอีกต่าง หาก” ที่องค์หลวงตาท่านพูด หลวงพ่อฟังดูแล้ว.....มันถึงใจ 191 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
พระพุทธศาสนาเหมือน ห้างสรรพสินค้า พระพุทธศาสนา ถ้าเราจะศึกษาให้ดี ให้ถี่ถ้วนและ ถ้วนถี่แล้ว เหมือนกับห้างสรรพสินค้า มีสินค้ามากหลาก หลายแนว สุดแท้แล้วแต่ว่าเรามีทุนขนาดไหน แล้วเราจะ เอาสินค้าอะไรในห้างสรรพสินค้านั้น สำ หรับพวกเราที่ยัง เป็นฆราวาสญาติโยม ที่ยังทำอย่างพระไม่ได้ ยังถือธุดงค์ รักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ยังนั่งภาวนาทั้งวันทั้งคืนไม่ได้ ข้าพเจ้า ขอรักษาเพียงศีล ๕ ตลอดไปหรือรักษาศีลอุโบสถตลอด ไป ตลอดชีวิต หรือ ขอรักษาเพียงบางข้อ บางครั้ง บาง คราว เพราะกิจธุรการงานทางโลกของพวกเรารัดตัว พวก เราเคารพ บูชาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึง แม้ว่าขณะนี้ข้าพเจ้าจะยังปฏิบัติไม่ได้ เพราะข้าพเจ้ายังติด ภารกิจทางโลกอยู่ แต่ต่อไปภายภาคหน้าข้าพเจ้าจะรักษา ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ยิ่งๆขึ้นไป 192
จุตูปปาตญาณ อันนี้มาพูดถึง จุตูปปาตญาณ การจุติของสรรพ สัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเพราะอะไร? เกิดมาด้วย กรรม กรรมคือการกระทำ ถ้าเราทำกรรมดี กรรมดีก็จะพา ไปเกิดในสุขติ ถ้าทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็พาไปทุคติ เพราะ ฉะนั้น หลักของพระพุทธศาสนาจึงเน้นเรื่องกรรม คือ การกระทำ ถ้าหากว่าเราทำกรรมดีแล้ว กรรมดีจะพาไปสู่ ความสุข ความเจริญ ถ้าเราทำกรรมชั่วแล้ว กรรมชั่วจะพา ไปสู่ทุคติ อย่างปัจจุบันกรรมก็มีนะ ไม่ใช่มีแต่อดีตกรรม ปัจจุบันกรรม ณ ขณะนี้ ถ้าเราไปตีหัวเขาเข้า ไปปล้น เขาเข้า ไปขโมยของเขาเข้า ไปทำความชั่วเสียหายต่อเขา เข้า ไปคดไปโกงเขาเข้า กฎหมายบ้านเมืองจะเล่นงานเรา เราจะหาความสุขได้หรือไม่? ผลที่สุดเราก็ไปอยู่ในคุก ใน ตาราง ถ้าเราทำแต่คุณงามความดี อย่างองค์หลวงตา ท่าน ทำแต่คุณงามความดี มีแต่คนยกย่องเชิดชูบูชาในองค์หลวง ตา มีแต่ความสุข....เพราะเหตุใด? เพราะหลวงตาทำ กรรม ดี แต่ถ้าทำ กรรมชั่วแล้ว กรรมชั่วจะพาไปทุคติ พวกเรา ทุกๆท่าน กรรมชั่วอย่าทำซะเลยดีกว่า เพราะกรรมชั่วนั้น ย่อมเผาผลาญ ให้โทษเมื่อภายหลัง อันนี้แหละคือธรรมคำ สอนขององค์หลวงตา ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้ากัน ได้กับที่องค์หลวงตาสั่งสอนพี่น้องประชาชน 193 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ตายแล้วไม่สูญ ถ้าเราไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิดนะ เราก็ทำตามอำ เภอใจ ทำตามอัตถาใจ ทำตามต้องการ แต่ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ชีวิต ของพวกเราทุกๆท่าน เรามาจากไหน? เราต้องมีอดีตที่ผ่าน มา เมื่อวานมี ปัจจุบันคือเดี๋ยวนี้มี อนาคตพรุ่งนี้มี เพราะ ฉะนั้นชีวิตของพวกเราในอดีตชาติมี ปัจจุบันชาติเดี๋ยวนี้ มี อนาคตที่จึงจะถึงต่อไป ที่จะตายไปแล้วก็ต้องมี เพราะ ฉะนั้นชีวิตของเราไม่ใช่จบอยู่เพียงแค่นี้ แค่เดี๋ยวนี้ แต่ตอน นี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นพวกเราต้องเตรียมตัวพร้อมด้วย ความไม่ประมาท สั่งสมบุญกุศลเข้ามาสู่จิตใจของพวกเรา มี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา อันนี้แหละคือหนทางที่จะพาพวก เราจะไปสู่สุคติ 194
ปัจจุบันธรรม เรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่าไปคิด มันผ่านไปแล้ว อนาคต ที่ยังไม่ถึง มันก็ยังมาไม่ถึง อดีตที่ผ่านไปแล้วอย่างมากก็เก็บ ไว้เป็นบทเรียนสำ หรับพวกเรา ที่ว่าในอนาคตเราจะไม่ทำ อย่างนั้นอีก เราจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เราจะไม่พูดอย่างนั้น อีก เราจะไม่คิดอย่างนั้นอีก หรือ เราที่ทำ มานี่ถูกต้องแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าเราก็ควรจะทำแบบที่ผ่านมานี้อีก เพียง แต่เป็นบทเรียนสำ หรับพวกเราท่านทั้งหลายเท่านั้น แต่ ปัจจุบันของเรานี้นั้นมีคุณค่า มีประโยชน์สำ หรับพวกเรา ท่านทั้งหลาย ก่อนที่มันจะไปเป็นอดีตได้ ก็มันออกไปใน ปัจจุบัน ก่อนที่มันจะไปถึงอนาคตได้มันก็ออกไปในปัจจุบัน นี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นปัจจุบันเป็นสิ่งที่จำ เป็นสำคัญ อย่างยิ่ง 195
กรรมคือการกระทำ� กรรมคือการกระทำ ถ้าหากว่าผู้ใดทำกรรมดี กรรม ดีก็จะตามสนองมาเกิด ถ้าใครทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็จะพา สนองมาเกิด ถ้ากรรมชั่วมาพามาเกิดแล้วเขาคนนั้นก็จะไม่ สมบูรณ์ จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าบุญพามาเกิด เขาคนนั้นจะเป็น ผู้มีความสุข คำว่าบุญคำ นี้อีกเหมือนกัน เหมือนกับคนมีเงิน มากเงินน้อยลักษณะอย่างนี้ ถ้าคนมีเงินมากเราจะซื้อสิ่ง ไหนก็ได้ แต่เงินน้อยเขาก็มีบุญเหมือนกัน แต่เงินน้อยเขา จะซื้อสิ่งของเขาก็ซื้อไม่ได้ เพราะเหตุใด? เพราะเงินเขาน้อย ถ้าคนมีบุญมากเขาจะสมบูรณ์ทุกอย่างทั้งสติ ทั้งปัญญา ทั้ง ทรัพย์สมบัติ ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ครบหมดทุกอย่าง เพราะ เหตุใด? เพราะเขาได้ทำกรรมดี ได้สร้างบุญกุศลไว้ในอดีต ชาติ นี่แหละพระพุทธเจ้าเป็นผู้มองเห็น จุตูปปาตญาณ การ จุติ การเกิด การตายของสรรพสัตว์มีความเป็นมาอย่างไร? ท่านก็มองเห็นว่า คนที่ทำกรรมชั่ว ตกนรกไปเป็นเปรต พวก เราท่านทั้งหลายเห็นหรือไม่? ในยุคของเรา เราเห็นมนุษย์ เกิดมาไม่เหมือนกัน แล้วพวกเรายังเห็นสัตว์เดรัจฉาน ช้าง ม้า วัว ควาย หมู หมา กา ไก่ สัตว์เดรัจฉานที่เกิดมาในโลก นี้มีมากมาย แต่สิ่งที่มองไม่เห็นอีกยังมีอีกนะ 196
พระพุทธเจ้าท่านว่า ภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศ ธาตุเทวดา สวรรค์ชั้นต่างๆจนถึงพรหม พรหมก็มีหลายชั้น พระโสดาบันบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ยังมีอีกต่างหาก แล้วก็นรกลงไปอีกยังมีอีก มันมีมากนะ แต่ พวกเราเห็นหรือไม่ การเป็นอยู่เมืองมนุษย์เท่านี้ก็ยังแตก ต่างกัน แล้วสัตว์เดรัจฉานกับพวกเรายังแตกต่างกันอีก อาหารช้างเป็นอย่างไร อาหารวัวควายเป็นอย่างไร อาหาร เสือเป็นอย่างไร แต่ละการเป็นอยู่ก็ไม่เหมือนกันอีก นี่แหละ การใช้กรรมของสรรพสัตว์แปลกแตกต่างกัน นี่แหละท่าน ว่ากรรมชั่วอย่าทำซะเลยดีกว่า เพราะกรรมชั่วนั้นย่อมเผา พลาญให้โทษไม่ดีเมื่อภายหลัง อันนี้พวกเราให้ฟังเอาไว้ กรรมชั่วก็คืออะไร อย่างศีล ๕ ที่หลวงพ่อได้พูดเบื้องต้น อัน นั้นแหละคือกรรมชั่ว ฆ่าสัตว์ ขโมยทรัพย์ ประพฤติผิดใน กาม พูดปดมุสา ดื่มสุรา อันนี้เป็นประตูแห่งนรก ถ้าใครทำ อย่างนั้นก็เป็นหนทางไปสู่สัตว์เดรัจฉาน ไปสู่นรก ไปสู่ความ ทุกข์ แต่ถ้าหากว่าผู้ใดมีศีล ๕ แสดงว่าปิดประตูนรก จะมี แต่ไปสู่ความสุข มีแต่ไปสู่สวรรค์ หรือก็มาเกิดเป็นมนุษย์ มี แต่จะสูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ นี้อันนี้คือพระพุทธเจ้าองค์ท่านตรัส ไว้อย่างนั้น 197 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ของคู่กัน องค์หลวงตาท่านว่า สมถะและวิปัสสนาเป็นของคู่ กัน ต้องไปด้วยกัน เหมือนกับ ขาซ้ายกับขาขวา สมถะคือ ขาซ้าย ส่วนวิปัสสนาคือขาขวา ต้องไปด้วยกัน ถ้าหากว่า มีแต่ขาขวา มันก็เป็นแต่สัญญา ถ้าหากว่ามีแต่ขาซ้าย มัน ก็มีแต่มีแต่สมาธิ แต่มันก็ไม่เกิดปัญญา ไม่รู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง ดังนั้น สมถะและวิปัสสนา จึงต้องไป ด้วยกันครบคู่กันไป อันดับแรก ต้องพยายามทำจิตใจให้ สงบซะก่อน แล้วจึงนำ มาพิจารณาทางด้านปัญญา ก็จะ เป็นปัญญาที่แท้จริง แล้วถ้าหากพยายามแล้วใจมันไม่ยอม สงบซักที เราควรจะทำอย่างไร? ก็ให้พิจารณาเลยก็ได้เป็น บางครั้งบางคราว อย่างที่องค์หลวงตามหาบัวท่านเรียกว่า ปัญญาอบรมสมาธิ พิจารณาทางด้านปัญญาแล้วจึงกลับ มาหาความสงบอีก ถ้ามันไม่สงบก็เอาอีก ให้ทำสลับกันอีก กลับไปกลับมา 198
199
200